พิมพ์หน้านี้ - [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Eucalyp ที่ 22-08-2013 21:50:50

หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 22-08-2013 21:50:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 





((Intro +  แรกพบ (อีกครั้ง)))


ร่างบอบบางภายใต้เสื้อผ้าบางเบาอย่างที่เจ้าตัวชอบ ทับด้วยเสื้อคลุมสไตล์เก๋บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองอย่างที่สุด ย่างกายเข้าสู่พรมแดงออกสู่สายตาของสื่อมวลชน แสงแฟลชวิบวับสาดส่องไปยังร่างกายที่สุดแสนจะเฟอร์เฟ็คนี้ ใบหน้าที่ใครต่างก็ล่ำลือกันว่าสวยจนผู้หญิงบางคนยังอิจฉา แสงสปอร์ตไลท์ที่ส่องมา ขับให้ผิวขาวเปร่งประกายล้อแสงยิ่งขึ้น

“คุณซินคะ หันมาทางนี้หน่อยค่ะ”


“ด้านนี้ด้วยค่ะคุณซิน”


“คุณซินคะ”


คนตัวบางยืนนิ่งๆ แจกจ่ายรอยยิ้มให้กับบรรดาช่างภาพที่แย่งกันยิงแสงแฟลชเพื่อให้ได้ภาพที่สวยที่สุด โดยที่ไม่สนใจกันบ้างเลยว่ามันจะส่งผลต่อสายตาของผู้ถูกถ่ายแค่ไหน


เสียงกรี๊ดดังระงมเมื่อบรรดาแฟนคลับมองเห็นศิลปินที่ตนชื่นชอบมาถึงแล้ว ใบหน้าสวยหวานยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มให้บรรดาผู้คนที่ตนเดินผ่าน พาให้ใจละลายกันไปเป็นแถบๆ


แต่ในขณะนั้นเอง ในขณะที่คนตัวบางไม่ทันระวังตัว ท่ามกลางบรรดาแฟนคลับที่พยายามชูไม้ชูมือเพื่อให้ได้จับมือกับศิลปินที่ตนรัก ร่างๆหนึ่งก็พุ่งถลารอดใต้เชือกกั้นออกมา พุ่งตรงเข้าหาคนที่อยู่กลางพรมแดงทันที เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด บรรดาบอดี้การ์ดที่คอยป้องกันอยู่ไกลๆรีบวิ่งเข้ามาในพรมแดงทันที ผู้คนรอบด้านแตกตื่นไปหมด แต่คนที่ตกใจมากที่สุดก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนที่ถูกกระโจนเข้าใส่ บรรดาแฟนคลับคนอื่นเมื่อเห็นว่าคนหนึ่งสามารถเข้าไปได้ ก็พากันกรูเข้าหาในทันที เมื่อบอดี้การ์ดและผู้จัดการเข้ามาถึง ร่างบางก็หายไปกับบรรดาฝูงชนซะแล้ว

 

……………….


“ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้! ที่เราจ้างพวกคุณมาก็เพื่อความปลอดภัยของศิลปินไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ ถ้าศิลปินเป็นอะไรขึ้นมา พวกคุณทั้งหมดจะรับผิดชอบไหวมั้ย ผมถามจริงๆ พวกคุณมาเป็นบอดี้การ์ดได้ยังไง”

เสียงพี่โอ๊ต ผู้จัดการส่วนตัวของซินที่กำลังอารมณ์เสียเป็นอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนพรมแดง กำลังต่อว่าบรรดาบอดี้การ์ดที่เขามาจ้างมาเพื่อดูแลนักร้องของเขา


งานนี้เป็นงานประกาศผลรางวัล ซึ่งเป็นงานใหญ่ จึงไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หลังจากคลี่คลายความวุ่นวายได้ ก็จับตัวก่อเหตุมาตักเตือน ได้ความว่า แค่อยากจะกอดศิลปินที่ชื่นชอบสักครั้ง ก็เป็นเพราะแบบนี้ไง เพราะคิดว่าเหตุการแบบนี้อาจจะเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องจ้างบอดี้การ์ดให้คอยดูแล แต่จากงานนี้ เห็นชัดๆกันเลยว่ามันล้มเหลวไม่เป็นท่า!


“พอแล้วน่าพี่โอ๊ต ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว” เสียงจากร่างบางดังรั้งให้พี่โอ๊ตหันมามอง


“ช่างมันได้ยังไงล่ะซิน ยังดีนะที่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้าเกิดล้มลงไปล่ะก็แย่แน่ๆ”


“ซินก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายนี่ แค่ตกใจนิดหน่อยเอง ไหนๆวันนี้ก็ได้รางวัลมาแล้ว ทำตัวร่าเริงกันดีกว่าน่า”


วันนี้ที่งานประกาศผลรางวัล ซินได้รับรางวัลศิลปินยอดเยี่ยมแห่งปี ยังความดีใจให้แก่เจ้าตัวเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ซินตั้งใจกับอัลบั้มที่ทำมากทีเดียว แทบจะทุกอย่างที่เขาทำเอง ทั้งออกแบบปกอัลบั้ม แต่งเนื้อร้อง และอะไรอีกหลายๆอย่าง เพื่อผลงานที่จะออกสู่สายตาของผู้คนที่รอคอย และวันนี้ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่า ทั้งหมดที่ทุ่มเทมาคุ้มค่ามากจริงๆ


“เออจริงด้วย พี่ยินดีด้วยนะซิน ดีใจมากๆ ในที่สุดเราก็ได้รางวัลมาเชยชมกันแล้ว ฮิ้ววววว” เสียงโห่ร้องดีใจของบรรดาทีมงานทั้งหลาย พาให้บรรยากาศดีขึ้นมาบ้าง


“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีคนรับผิดชอบ พวกนายทุกคน ฉันไล่ออก!!”


“พี่โอ๊ต!” ซินร้องเสียงหลงก่อนจะเดินมาขนาบข้างพี่โอ๊ตด้วยความตกใจ บอดี้การ์ดสามคนที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่ตรงหน้าพี่โอ๊ตหน้าถอดสีไปตามๆกัน


“ซินไม่ต้องห้าม เรื่องนี้เกินกว่าจะให้อภัยได้จริงๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ เป็นเพราะพวกนายไร้ประสิทธิภาพ”


“ไล่ออกแล้วแล้วซินจะทำยังไงล่ะพี่โอ๊ต เวลาไปไหนมาไหนก็ลำบากแย่สิ”


“บอร์ดี้การ์ดหาใหม่ได้ซิน แต่ถ้าซินเป็นอะไรขึ้นมา พี่จะหาใหม่ได้จากที่ไหน”


คนตัวบางได้แต่ยืนนิ่งเพราะเถียงไม่ออก เอาจริงๆแล้วเรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นจริงๆนั่นแหละ บอกตามตรงว่าตอนนั้นตกใจมากที่อยู่ๆใครก็ไม่รู้วิ่งเขามาคว้าตัวเข้าไปกอดแบบนั้น แล้วไหนจะคนอื่นๆที่กรูกันมาอีก ตกใจจนทำอะไรแทบจะไม่ถูก จะหันไปหาคนช่วยก็ไม่มี แต่เพราะว่าเป็นศิลปินจะให้ทำท่าทางไม่พอใจก็ไม่ได้ ได้แต่ต้องยืนฝืนยิ้มให้ทุกคน และรอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้น


เหตุการณ์ครั้งนี้ปรากฎตามเว็บต่างๆมากมายอย่างรวดเร็ว และเพราะเหตุนั้น บอดี้การ์ดทั้งเซ็ตจึงถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด...

 

.................


เสียงเอะอะโวยวายจากการฝึกซ้อมดังไปทั่วโรงฝึก นี่คือกิจการที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนมาถึงรุ่นนี้ ซึ่งก็คือรุ่นของพ่อผมเอง โรงฝึกหลังใหญ่ พรั่งพร้อมไปด้วยบุคลากรที่มีฝีมือ เราทั้งหมดถูกฝึกให้มีร่างกายแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสามารถปกป้องคนอื่นได้

'บอดี้การ์ด' ผมโตมากับคำคำนี้

และเพราะตอนนี้พ่อไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนอารมณ์อย่างสบายอุรา(?)กับผู้หญิงที่รักยิ่งชีพ ซึ่งก็คือแม่ของผมเอง จึงเป็นหน้าที่ของลูกอย่างผมที่ต้องรับผิดชอบดูแลโรงฝึกแทน

เสียงฝีเท้าแผ่วๆวิ่งตามทางเดินในโรงฝึกตามหลังผมมา คงกะจะเล่นงานผมจากด้านหลังอีกตามเคย ผมอาศัยจังหวะที่เสียงฝีเท้ามาอยู่ที่ด้านหลังพอดิบพอดี ก้มหลบขาที่คงกะว่าจะเตะให้โดนก้านคอผม แต่ยังเร็วไปสิบปีไอ้เด็กน้อย เมื่อผมหลบไอ้คนที่กระโดดเตะมาแต่ไกลก็ลอยละลิ่วและตกลงพื้นอย่างสวยงาม

"โอ้ย! พี่นัทแม่งรู้ทุกที หยั่งกะมีตาหลัง" เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังมาจากไอ้ตัวเล็กที่มาฝึกที่นี่ได้สามปีกว่าแล้ว และตลอดสามปีที่พยายามจะเล่นงานผมทีเผลอ - -

"วิ่งเสียงดังขนาดนั้น ใครไม่รู้ก็หูหนวกแล้ว"

"คนอื่นไม่เห็นจะได้ยิน มีแต่พี่เนี่ยแหละที่รู้ตัวก่อนทุกที" ไอ้ตัวแสบลุกขึ้นสะบัดแข้งขาไล่ฝุ่นที่ลงไปคลุกเมื่อครู่

"มีอะไร"

"คุณลุงโทรมา ให้พี่ไปรับสาย"

"อืม" ผมตอบรับคำแค่นั้นก่อนจะเดินผละออกมา แต่แล้ว

"ย๊ากกกกกก" หันหลังให้เป็นไม่ได้สินะไอ้เด็กนี่

โครมมม!!

ไม่ต้องบรรยายสินะครับว่าเกิดอะไรขึ้น...

"ครับพ่อ" ผมกรอกเสียงไปตามสายโทรศัพท์

(อีกสองวันฉันจะกลับนะ มีงานใหญ่ให้แกด้วย ฟิตร่างกายให้พร้อมนะไอ้ลูกชาย ตอนนี้ฉันกำลังมีความสุขมาก เสียดายต้องรีบกลับ ยังกอดเมียไม่สะใจเลย ให้ตายสิ!!! นานๆทีจะได้พักผ่อนแท้ๆแต่ต้องรีบกลับเพราะงานเข้าซะได้ ที่นั่นเรียบร้อยดีใช่มั้ย ไอ้แสบกัสมันก่อเรื่องให้ปวดหัวอะไรรึเปล่า แต่แกคงจัดการได้ ดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยล่ะจนกว่าฉันจะกลับไป ฉันโทรมาบอกเท่านี้ล่ะ!)

"ครับ..."

โทรมาเพื่อจะพูดธุระของตัวเองอย่างเดียวจริงๆสินะ... -_- นี่ล่ะพ่อผม

ผมวางโทรศัพท์อย่างงงๆ อีกสองวันพ่อจะกลับ และมีงานเข้ามา งานที่ว่าคงเป็นของผมสินะ

งานทุกอย่างที่โรงฝึกจะเข้ามาทางพ่อ และพ่อจะเป็นคนคัดเลือกเองว่างานไหนเหมาะสมกับใคร ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นงานคุ้มกันพวกนักการเมือง หรือพวกคนใหญ่คนโต หรือไม่ก็พวกดารา แต่บอกไว้ก่อนว่าพวกผมไม่รับงานผิดกฏหมาย อะไรก็แล้วแต่ที่คิดว่ารับแล้วจะเดือดร้อน เราจะไม่รับ ฟังไว้นะ เผื่อใครอยากจะจ้างผมไปคอยคุ้มกันให้

และครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอะไรก็แล้วแต่ พ่อคงคิดว่างานนี้เหมาะกับผม อาจจะเป็นนักการเมืองสักคนล่ะมั้ง...

 

เดินวนดูรอบโรงฝึกอีกครั้ง ค่อยฝึกละกัน...

 

.............................


“กลับมาแล้ว!!! เฮ้ย...บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าวิ่งตรงทางเดินน่ะฮะ มันลื่นเดี๋ยวก็ล้มหัวแตกกันพอดี เฮ้ย...ไอ้ตรงนั้นน่ะ ให้มันแข็งขันหน่อยซี่ ท่าทางอ่อนปวกเปียกแบบนั้นมันอะไรกัน!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นมาแบบนี้ พ่อกลับมาแล้วชัวร์


“แหมพ่อนี่ก็ล่ะ เพิ่งจะกลับมาถึง ไปพักก่อนดีมั้ย” เสียงใจเย็นของแม่เปรียบเสมือนน้ำเย็นที่ราดลงบนแกงเผ็ด(?) ที่ร้อนแรงเสมอ


“ไม่ได้หรอกจ้ะที่รัก คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะนะกลับมาเหนื่อยๆ ขอผมดูไอ้พวกตัวแสบพวกนี้ก่อนนะ” เป็นแบบนี้เสมอ แกงเผ็ดของผมเวลาอยู่ใกล้ๆแม่ทีไรกลายเป็นขนมหวานทุกที


“กลับมากันแล้วเหรอครับ”


“อ้าวตานัท พ่อกับแม่กลับมาแล้วจ้ะลูก เป็นไง เหนื่อยมั้ย” แม่เดินมาลูบหน้าลูบตาผมก่อนจะเข้ามากอด


“ไม่เหนื่อยหรอกครับ”


“แข็งขันกันหน่อย!!!”


“คร้าบบบบ/กลับมาแล้วเหรอครับคุณลุง”


เสียงพ่อกับบรรดาลูกศิษย์คุยกันโหวกเหวกดังมาถึงมาด้านนอก


“เฮ้อ ไม่ยอมพักบ้างเลยนะพ่อของลูกน่ะ”


“ตอนไปเที่ยวคงครึกครื้นกันน่าดูเลยสินะครับ”


“แหม ก็พ่อของลูกน่ะนะ.... =///=”

ท่าท่างเขินบิดตัวไปมาแบบนี้คืออะไรกัน - -


“แม่ไปพักเถอะครับ เดินทางมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมยกของไปให้เอง”


“ขอบใจจ้ะลูก”


ผมจึงต้องยกกระเป๋าเดินทางที่พ่อสลัดทิ้งตั้งแต่มาถึงก่อนจะเดินเข้าโรงฝึกไปอย่างไร้เยื่อใย พร้อมถุงของฝากอีกหลายถุงเดินตามแม่เข้าบ้านที่อยู่ข้างๆกับโรงฝึกไป


เมื่อยกของไปให้แม่เสร็จแล้วก็เดินตามพ่อเข้าไปในโรงฝึก ณ ตอนนี้ พ่อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินตรวจโรงยิมด้วยตัวเองแล้ว แต่เมื่อเห็นผมก็ตรงดิ่งเข้ามาในทันที


“มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า” พ่อลากคอผมตรงไปที่สำนักงานที่เราไว้ใช้คุยในเรื่องสำคัญๆ หรือเวลาตกลงเรื่องงานกับผู้ว่าจ้าง


“เอ้านี่” พ่อยื่นแฟ้มแฟ้มหนึ่งให้ผม


“คราวนี้เป็นนักร้อง เห็นว่าเพิ่งมีเรื่อง เลยไล่บอดี้การ์ดชุดเก่าออกทั้งหมด ชุดเก่ามีสามคน แต่คราวนี้จ้างแค่คนเดียว”


ผมเปิดดูรายละเอียดคราวๆของ ‘ผู้ว่าจ้างคนใหม่’ รูปที่ปรากฎอยู่ที่หน้าแรก สะกดสายตาผมให้ไม่สามารถเคลื่อนไปทางไหนได้อีก.... ผมยาวเป็นคลื่นสลวยเงางาม ดวงตาเป็นประกายหวานที่ใครต่อใครต่างหลงไหล ใบหน้านี้ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะต้องหลงรัก บุคคลิกภายนอกที่มองแล้วอาจจะดูเข้าถึงยาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใครใครต่างก็อยากเข้าถึงตัวตนของเขาทั้งนั้น



......‘ซิน’


“ผมไม่รับงานนี้” ทันทีที่ตั้งสติได้ ผมก็รีบคืนแฟ้มให้กลับพ่อทันที


“ทำไม” พ่อขมวดคิ้วถามเสียงนิ่ง เป็นเพราะว่าผมไม่เคยเลือกงานมาก่อน ไม่ว่างานไหนถ้าพ่อเห็นว่าสมควร ผมก็จะทำเสมอ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป



.....แค่คนคนนี้ ที่ผมไม่อยากรับ


“ผมคงไม่เหมาะ อีกอย่าง ผมไม่เคยรับงานกับคนพวกนี้มาก่อน”


“นั่นไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่แกจะคัดค้าน” น้ำเสียงจริงจังของพ่อไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป


“แต่ว่า...”


“ไม่มีคำว่าแต่ เริ่มงานวันจันทร์ แกมีเวลาเตรียมตัวอีกสองวัน เตรียมทุกอย่างให้พร้อม จัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย อย่าทำให้พ่อผิดหวัง แกก็รู้ว่าพ่อภูมิใจในตัวแกเสมอไอ้ลูกชาย” พ่อพูดแค่นั้นก่อนจะตบบ่าผมด้วยแรงที่อาจจะทำให้ไหล่บางคนทรุด ซึ่งผมที่โดนมาตั้งแต่เกิดชินซะยิ่งกว่าชินแล้วล่ะ


 

แต่ไม่ว่ายังไง ก็ ไม่อยากรับงานนี้เลย

 

.................


วันจันทร์ มาถึงจนได้สินะ


ในฐานะบอดี้การ์ด ชุดทำงานของเรามีแค่ชุดเดียวเท่านั้น เสื้อเชิตสีขาว เน็คไทสีดำ ชุดสูทสีดำ ...และตอนนี้ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว หน้าค่ายเพลงดังที่ ‘เขา’ สังกัดอยู่


“ติดต่อเรื่องอะไรคะ” เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่เค้าท์เตอร์ด้านหน้าถามขึ้น


“ที่นัดไว้ครับ” ผมยื่นนามบัตรให้กับเธอ ก่อนที่เธอจะตรวจสอบอะไรนิดหน่อยก่อนจะยิ้มให้ผมนิดๆ


“เชิญทางนี้เลยค่ะ”


ผมตามหลังเธอไป ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 14 และตรงเข้าไปที่ห้องๆหนึ่ง เธอเคาะประตูสองสามครั้ง ก่อนที่เสียงจากภายในจะตอบกลับมา


“เข้ามา”


หันหลังกลับตอนนี้ไม่ทันแล้วใช่มั้ย...


ประตูเปิดออก เผยให้เห็นภายในห้อง มีชายคนหนึ่งยืนรอผมอยู่แล้ว


“ขอบคุณมากคุณดาวเรือง คุณลงไปทำงานต่อเถอะ” เขาหันไปขอบคุณหญิงสาวคนที่ขึ้นมาส่งผม


“ค่ะ” เธอโค้งให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งและเดินออกจากห้องไป


“นายคงจะเป็นนัทสินะ” ชายคนนั้นหันมาพูดกับผม


“ครับ”


“โอเค อ่านเอกสารที่ส่งไปให้หมดแล้วใช่มั้ย หน้าที่ของนายไม่มีอะไรมากเลย แค่ดูแลความปลอดภัยของซินเท่านั้นเอง เข้าใจนะ รายละเอียดก็ตามที่ส่งไปให้แล้วนั่นแหละ ฉันชื่อโอ๊ต นายเรียกฉันว่าพี่โอ๊ตเหมือนคนอื่นๆก็ได้”


“ครับคุณโอ๊ต”


-_-

“เออ แล้วแต่นายจะเรียกแล้วกัน”


เป็นเพราะอะไรกันนะ แค่ชื่อของ ‘เขา’ ทำให้มือของผมเย็นเฉียบได้ขนาดนี้เชียวเหรอ อาจจะเป็นเพราะแอร์ที่เย็นเกินไปของห้องนี้มากกว่า ใช่สิ! ต้องเป็นเพราะแบบนั้นแน่ๆ


เพราะเรื่องนั้น มันก็ตั้งนานมาแล้ว...



“วันนี้มีงานแจกลายเซ็นตอนเที่ยงที่ห้างxxxจนถึงบ่ายสอง หลังจากนั้นก็ไปอัดรายการเพลงตอนหกโมง กว่าจะเสร็จก็คงสองสามทุ่ม นายต้องตามไปด้วยนะ โอเคมั้ย”


“ครับ”


“ตอนนี้ซินยังไม่มา อาจจะเข้ามาตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ นายก็นั่งรอที่นี่ไปก่อน”


“ครับ”


“อ้อ! นี่ สิ่งที่ฉันอยากให้นายทำมากที่สุดก็คือ ดูแลความปลอดภัยของซินให้ดีที่สุด นายคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นคราวที่แล้วนะ ฉันไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้นักร้องของฉันเป็นอันตราย เพราะเหตุนี้ฉันถึงจ้างนายมา เข้าใจใช่มั้ย”

“ครับ”


“เออ...นั่นแหละ นั่งรอไปก่อนแล้วกัน” คุณโอ๊ตพูดแค่นั้นก่อนจะทำท่าเดินออกจากห้องไป แต่ก็ยังไม่วายบ่นงึมงำไปด้วย “แม่ง คนหรือหุ่นยนต์วะ พูดเป็นแต่ ‘ครับ’ คำเดียว”


ผมนั่งอ่านตารางงานเดือนนี้ของ ‘เขา’ ที่คุณโอ๊ตเอามาให้อ่านฆ่าเวลาระหว่างที่รอ งานเยอะเหมือนกันนะ แล้วแบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปพักกัน เป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงได้ตัวบางและดูเปราะบางขนาดนั้น ยิ่งเป็นคนที่หลับยากอยู่แล้ว เวลาที่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ได้นอนหลับบ้างหรือเปล่านะ... แล้วไหนจะยัง...



แกร้ก!

เสียงเปิดประตูทำให้ผมวางแฟ้มลงและลุกขึ้นยืนในทันที อาจจะเป็นคุณโอ๊ตที่เข้ามาแจ้งเรื่องอะไรอีก....


แต่แล้วร่างตรงหน้าที่ก้าวเข้ามาในห้องทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัว



....ซิน

ราวกับว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการหายใจมันทำยังไง ผิดกับหัวใจที่มันเต้นบ้าคลั่งจนแทบจะกระเด็นออกมาด้านนอก คนตัวบางหยุดชะงักลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่คือผม ผมคนเดิม...ที่ต่างไปจากเดิม






TBC.
...

ฝากฟิคซิงกูล่าร์เรื่องนี้เอาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^




 

 

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: koikoy ที่ 22-08-2013 23:48:46
+เป็ด รอตอนต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 23-08-2013 02:56:42
+เป็ดค่า ชอบซกล.มากๆจะรอติดตามเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-08-2013 03:52:56
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 23-08-2013 23:05:13
ชอบค่า รอติดตามตอนต่อไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ตอน1/1 ((ใกล้))
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 24-08-2013 00:40:36
1/1

((ใกล้))


                “อ้าวซิน หยุดทำไม เข้าไปข้างในสิ”


                คุณโอ๊ตที่เดินตามหลังมาดันซินที่ยังคงยืนค้างอยู่ที่ประตูให้เดินเข้ามาในห้อง


                “นี่ไงนัท บอดี้การ์ดคนใหม่ คนเดียวเพราะจะได้ไม่วุ่นวายอย่างที่ซินขอไง”


                ซินหันไปมองหน้าคุณโอ๊ตอย่างตกตะลึงก่อนจะหันมาทางผมอีกครั้ง ยังคงเหมือนเดิม ทุกๆอย่างของเขายังคงเหมือนเดิม ยกเว้นเพียงแต่สายตาคู่นั้นที่มองมายังผม กับเกราะบางอย่างที่มองไม่เห็น ที่เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อปกป้องอีกตัวตนข้างใน


                “ทำความรู้จักกันไว้สิ” คุณโอ๊ตพูดขึ้นพลางเดินไปนั่งที่มุมห้องอย่างสบายอารมณ์


                ซินยังคงจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ยังคงมองมาทางผมด้วยสายตาที่สับสน มันทั้งตกใจ แปลกใจ และอะไรอีกหลายๆอย่าง แต่ตอนนี้ เวลานี้ ผมต้องตัดเรื่องส่วนตัวออกไปทั้งหมด เพราะนี่คือหน้าที่ที่ผมต้องทำ ดังนั้นจะไม่มีเรื่องอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง...


                “สวัสดีครับ ‘คุณซิน’ ผมนัท ตั้งแต่วันนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยครับ” ผมกล่าวคำทักทายพร้อมก้มหัวให้เขานิดๆในฐานะ ‘นายจ้าง’ ราวกับว่านี่คือครั้งแรกที่เราได้พบกันจริงๆ


                คนตัวบางนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา


                “สวัสดี ฉันคิดว่าพี่โอ๊ตคงแนะนำนายเรื่องของฉันแล้ว หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้นะ” สายตาสับสนเมื่อกี้แปรเปลี่ยนไป แทนที่ด้วยสายตาเย็นชาของคนที่ ‘ไม่รู้จักกัน’


                บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบขึ้นมาทันทีเมื่อทั้งผมและซินต่างก็แผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมา คุณโอ๊ตเองที่เริ่มสัมผัสบรรยากาศไม่ค่อยดีได้ เลยเร่งให้เรารีบไปขึ้นรถ เพราะเดี๋ยวจะไปถึงที่งานไม่ทันเมื่อเดินออกมาที่หน้าตึกก็พบว่ารถมาจอดรออยู่แล้ว


                “อ้าว รถตู้ล่ะพี่โอ๊ต” เสียงซินถามคุณโอ๊ตเมื่อเห็นว่ารถที่มารอคือรถวีออสสีดำธรรมดา


                “บริษัทเห็นว่าไหนๆบอดี้การ์ดก็เหลือคนเดียวแล้ว รถนี่ก็น่าจะพอ เล็กแล้วก็สะดวกดีด้วย” เสียงคุณโอ๊ตตอบ


                คนตัวบางพยักหน้าเข้าใจช้าๆก่อนจะเดินเข้ารถไป


                “นายนั่งข้างหน้านะ” คุณโอ๊ตหันมาพูดกับผมเมื่อซินเดินเข้าไปในรถเรียบร้อยแล้ว


                “อาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะปกติแล้วซินค่อนข้างที่จะมีโลกส่วนตัวสูง กว่าจะคุ้นชินกันคงต้องใช้เวลา อาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง อดทนเอาหน่อยล่ะกัน”


                ผมพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ


                เวลาเหรอ... นานเท่าไหร่ก็คงไม่พอ...


                เสียงคุณโอ๊ตอธิบายตารางงานให้ซินฟังเล็กน้อย ก่อนที่จะเงียบเสียงไป บรรยากาศในรถจึงเงียบอีกครั้ง


               เป็นเพราะว่าผมนั่งด้านหน้า จึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังตอนนี้กำลังนั่งท่าไหน หรือทำสีหน้าแบบไหนอยู่ จะกำลังคิดอะไรอยู่นะ จะคิดเรื่องเดียวกับที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มั้ย สายตาคู่นั้น จะยังมองมาที่ผมบ้างมั้ย ยังมีบ้างมั้ยสักแว๊บหนึ่งที่คิดถึง...


                ไม่! นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดตอนนี้เลย เรื่องที่ควรจะทำตอนนี้คือทบทวนตารางงานที่ถูกบันทึกลงไปยังสมองเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง จะต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาด จะทำให้ ‘นายจ้าง’ เดือดร้อนไม่ได้เด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ผมต้องทำ


                ไม่นานรถก็เข้ามาถึงพื้นที่จัดกิจกรรม ที่ลานจอดรถยังไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก อาจเป็นเพราะบรรดาแฟนคลับไม่ทราบว่าจะจอดรถที่ตรงไหน แต่ตอนขากลับคงต้องรับมือกันหนักหน่อย เพราะคงหนีไม่พ้นต้องวิ่งตามกันมาแน่ๆ


                ผมก้าวลงจากรถก่อนที่จะเปิดประตูให้คุณโอ๊ต ตามด้วยซิน... เขาเพียงแค่ก้าวลงจากรถและเดินตามหลังคุณโอ๊ตไปเท่านั้น ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบตามามองกันเลย แต่นั่นก็ถูกแล้ว เพราะผมเป็นแค่ ‘บอดี้การ์ด’ ทำได้เพียงแค่อยู่ใกล้ๆ และคอยดูแลให้ปลอดภัยเท่านั้น


                เป็นเพราะเดินเข้าทางประตูเล็กจากด้านหลัง คนจึงไม่มากนัก บวกกับมีเจ้าหน้าที่ของห้างมาช่วยคุ้มกันให้อีกสองคน ผมเปลี่ยนมาเดินด้านหน้า ตามด้วยคุณโอ๊ตที่เดินกับซิน ปิดท้ายด้วยเจ้าหน้าที่ของห้างอีกสองคน โดยมีคุณโอ๊ตเป็นคนบอกทาง


                “เดี๋ยวเลี้ยวขวาข้างหน้า งานจัดที่ลานน้ำพุ โผล่หัวมุมออกไปคงเจอแฟนคลับแล้ว” เสียงคุณโอ๊ตกำชับมาจากทางด้านหลัง ผมจึงต้อง เดินช้าลงเพื่อให้ซินเดินตามหลังมาติดๆ


                และก็เป็นไปตามที่คุณโอ๊ตคาดการณ์ ทันทีที่โผล่ออกจากหัวมุม บรรดาแฟนคลับที่หันมาเห็นกรูกันเข้ามาในทันที เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องกันพวกเขาเอาไว้ คนตัวบางถูกดันมาชิดด้านหลังผม ขนาบข้างด้วยเจ้าหน้าที่และคุณโอ๊ตกันหลังให้


                “ขอทางให้ซินด้วยครับ ของทางเดินหน่อย” เสียงคุณโอ๊ตดังมาจากทางด้านหลัง พร้อมกับผมที่ค่อยๆดันแฟนคลับเพื่อจะเดินไปข้างหน้า หลายคนพยายามที่จะถ่ายรูป และเบียดตัวกันเข้ามาใกล้ๆ ทำให้ค่อนข้างที่จะเดินลำบากสักหน่อย แต่ก็มาถึงที่ด้านข้างเวทีจนได้ ซึ่งที่ตรงนี้ถูกกั้นไว้ไม่ให้คนนอกเข้ามา บรรดาแฟนคลับจึงไปนั่งรอกันที่หน้าเวที


                ซินทักทายกับทุกคนอย่างสนิทสนม ก่อนคุณโอ๊ตจะดึงซินให้เข้าไปฟังรายละเอียดของงานอีกครั้ง ซึ่งผมก็ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ คนตัวบางยืนห่างจากผมเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น ผมรอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ซินพยักหน้าน้อยๆตอนที่ฟังคุณโอ๊ตอธิบาย นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยผมที่ตกลงมาปรกหน้าเป็นระยะ ยังคงเหมือนเดิมทุกๆอย่างจริงๆ


                ในขณะที่ผมมองเขาอยู่นั้นเอง ซินก็หันหลังมาเพื่อจะรับน้ำจากพี่ทีมงานด้านหลัง ร่างบางชะงักเมื่อพบว่าคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขาคือผม ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนไป


                โหยหา...


                ไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ชั่ววินาทีที่ดวงตาคู่นั้นกลับมาเฉยชาดังเดิม ผมจึงเอี้ยวตัวไปรับแก้วน้ำมาส่งให้เขาแทน


                “ขอบใจ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าแก้วน้ำไปจากผม เสี้ยววินาทีที่นิ้วมือเราแตะกัน ราวกับว่ามือไม้มันไร้ความรู้สึกไปซะเฉยๆ อีกฝ่ายคงจะรู้สึกเหมือนกันจึงรีบชักมือกลับไปทันที


                ซินเดินผ่านผมไปอีกด้านหนึ่งเพื่อที่จะนั่งรอด้านข้างเวทีและรอทำหน้าที่ของเขา โดยไม่หันมาทางผมอีกเลย ดังนั้นผมเองก็ต้องทำหน้าที่ของผมเหมือนกัน


                ยังคงใช้น้ำหอมกลิ่นเดิมสินะ... กลิ่นที่แสนจะคุ้นเคยเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว พาให้ภาพความทรงจำสีจางๆ สดใสขึ้นอีกครั้ง

 


..........................


                “กลิ่นนี้ดีมั้ย” เสียงใสที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็พาให้คนฟังยิ้มเสมอเอ่ยถาม


                “หอมดี แต่...ไม่เหมาะกับซินหรอก” น้ำเสียงอบอุ่นจากคนข้างกายตอบกลับไป


                “ทำไม ไม่เหมาะกับเราตรงไหน จะบอกว่าเราไม่มีคลาสไม่เหมาะกับน้ำหอมรึไง” ตากลมโตเปล่งประกายสดใสหันมาค้อนใส่คนข้างตัวเสียทีหนึ่ง


                “เปล่า น้ำหอมเนี่ย ตอนแรกก็หอมดี แต่พอได้กลิ่นไปนานๆแล้วมันเลี่ยน บาดจมูก”


                คนตัวสูงกว่าหยิบขวดน้ำหอมตัวทดลองขึ้นดมอีกสองสามขวด ก่อนที่จะถือขวดหนึ่งตรงมาที่ร่างบางที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ พลางยื่นขวดทดลองนั้นส่งให้


                “กลิ่นนี้ดีกว่า”


                คนตัวบางทำจมูกฟุดฟิดเหนือขวดน้ำหอม


                “หอมดี แต่กลิ่นอ่อนมากไปหน่อยรึเปล่า”


                “หอมอ่อนๆ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หอมอยู่ดี ไม่มากไปไม่น้อยไป ได้กลิ่นนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อ กำลังพอดี”


                “เรา...หรือว่าน้ำหอม” คนน่ารักยิ้มเล็กๆก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆคนข้างๆกัน หวังจะแกล้งแหย่เล่น แต่คนโตกว่ากลับไม่ยักถอยไป กลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก


                “อยากจะรู้ตรงนี้ หรือว่าจะไปรู้กันแค่สองคน”


                “บ้า เยอะและ”


                มือเรียวยกขึ้นตะปบหน้าคนเจ้าเล่ห์ก่อนจะผลักออกไปเบาๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะใสๆที่พาให้คนตัวโตกว่าหัวเราะในลำคอตามไปด้วย

                “เอากลิ่นนี้ครับ”

 

……………….

……….

..

 

                งานแจกลายเซ็นผ่านไปได้ด้วยดี มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นของที่ระลึกไม่พอ หรือบางช่วงที่เกิดไฟตก แต่ก็สามารถแก้ปัญหากันได้ทัน ผมมีหน้าทีแค่ยืนอยู่เฉยๆ และคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น ซินได้รับของขวัญจากบรรดาแฟนคลับมากพอๆกับจำนวนของแฟนคลับที่มาในวันนี้เลยก็ว่าได้ ยังคงได้รับความรักจากทุกคนเหมือนอย่างเคย


                บ่ายสองโมงกว่าแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ แฟนคลับบางส่วนเดินกลับมาส่งถึงที่รถ สร้างความลำบากในการเดินกลับมาพอสมควร แต่ก็มาจนถึงรถได้สำเร็จ ซินยังคงต้องยืนถ่ายรูปกับแฟนคลับอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวลาขึ้นรถ โดยมีผมคอยเปิดประตูให้ ตามด้วยพี่โอ๊ต และเมื่อผมขึ้นรถ ตัวรถก็เคลื่อนออกในทันที


                “เหนื่อยมั้ย” คุณโอ๊ตถามขึ้นเมื่อรถออกมาได้สักพักแล้ว


                “เมื่อยมือมากกว่า ปวดนิ้วไปหมดเลย” เสียงซินตอบกลับมาอย่างเนือยๆ


                “ยังมีเวลาพัก เดี๋ยวกลับไปพักที่บริษัทก่อน”


                “อื้ม”   


                ภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงครางเบาๆจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น


                และไม่นานก็มาถึงบริษัท


                “เดี๋ยวซินขึ้นไปพักที่ห้องแหละ ใกล้ๆเวลาพี่จะเข้าไปเรียก อยากกินอะไรรองท้องก่อนมั้ย” เสียงคุณโอ๊ตบอกซินในขณะที่ยืนรอลิฟต์กันอยู่


                “ไม่อ่ะพี่โอ๊ต ขอไปงีบสักหน่อยละกัน”


                “โอเค นัทไปกับซินนะ” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆก่อนที่คุณโอ๊ตจะเดินผละออกไป เหลือเพียงผมกับซินเท่านั้น เมื่อลิฟต์มาถึง ผมก็เดินตามหลังซินเข้าไป ในลิฟต์ที่มีแค่เราสองคน


                บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที เมื่อต่างคนต่างเงียบและไม่คิดที่จะพูดคุยกัน


                “สบายดีมั้ย ...ซิน” เป็นผมเองที่ทำลายความเงียบนั้น


                ร่างบางตัวเกร็งขึ้นมาในทันที ซินสูดหายใจเข้าช้าๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


                “นั่นสินะ นั่นไม่ใช่คำถามสำหรับคนที่เพิ่งเจอกัน ‘ครั้งแรก’ นี่นะ”


                “ไม่ว่านายกำลังจะทำอะไรอยู่ ขอให้รู้ไว้ว่าควรจะหยุดอยู่แค่นั้น” ซินตอบกลับมาเสียงเรียบนิ่งโดยที่ไม่หันมามองกันเลยสักนิด


                “แค่กล่าวทักทายตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานก็ไม่ได้เหรอ”


                “ลืมไปแล้วรึไง ว่าเราเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก” ซินเอ่ยสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไรต่อ


                “ซิน...”


                “นั่นคือชื่อที่นายควรจะเรียกฉันรึไง ในฐานะบอดี้การ์ด” เป็นซินอีกครั้ง ที่พูดตัดคำพูดผม


                “ควรจะรู้ตัว ว่าตอนนี้อยู่ในฐานะอะไร และถ้าเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้จักกันตั้งแต่แรก ก็ช่วยทำแบบนั้นต่อไปด้วย และมันก็จะดีมาก ถ้าจะให้เรื่องในอดีต มันกลายเป็นแค่อดีต”


                ผมที่กำลังจะอ้าปากตอบโต้กลับต้องชะงัก เพราะลิฟต์ที่เปิดออกรับคนภายนอกเข้ามา


                “อ้าวซิน ไม่ได้เจอกันนานเลย” คนมาใหม่กล่าวทักซิน อาจจะเป็นศิลปินหรือใครสักคนในบริษัทที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มแย้มทักตอบกลับไป ก่อนจะพูดคุยกันไปโดยที่ไม่ได้สนใจผมอีก


                และเมื่อถึงชั้นที่หมาย ผมก็เดินตามซินออกมา และเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ


                “รอข้างนอกเนี่ยแหละ ไม่ต้องเข้าไป ฉันอยากพักผ่อน” เสียงเรียบพูดสั่งกันโดยที่ไม่ได้หันมามอง และก็เป็นหน้าที่ของผมเช่นกันที่ต้องทำตาม


                “...ครับ”


                นี่ใช่มั้ย คือสิ่งที่นายอยากให้เป็น


TBC.
...

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆนะคะ ><
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-08-2013 00:54:00
อ่านแล้วหนึบๆ ในใจ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ตอน1/2 ((ใกล้))
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 24-08-2013 17:02:46
1/2

((ใกล้))
               


                ผมยืนเอนหลังพิงกำแพงอยู่ข้างๆบานประตูที่คนตัวบางเพิ่งจะเข้าไป คำพูดของซินยังคงวนเวียนสะท้อนอยู่ในหัว ไม่ว่ายังไง ปลายทางของเราก็ไม่มีทางที่จะบรรจบกันได้เลยเหรอ ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้เลยเหรอ ซิน...


                “อ้าวนัท ทำไมยืนอยู่ตรงนี้”


                หลังจากที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองมาสักพัก คุณโอ๊ตก็เดินเข้ามา


                “ซินไม่ให้เข้าไปเหรอ”


                ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยิ้มนิดๆเท่านั้น


                “อ้าว ทำไมเป็นงั้นไป ปกติก็ไม่ได้ขนาดนี้นี่นา กับบอดี้การ์ดชุดที่แล้วก็พูดคุยกันดีนี่” คุณโอ๊ตบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไป และสักพักก็แง้มประตูและชะโงกหัวออกมา


                “เข้ามาข้างในเหอะ ยืนนานแล้ว”


                ผมถึงได้เดินเข้าไป


                ซินนั่งอยู่บนโซฟา ขนตาหนาเป็นแพเรียงตัวสวยเมื่อเจ้าตัวนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงจากหูฟังโทรศัพท์เครื่องโปรด อาจจะกำลังพักสายตาอยู่ เพราะปกติเป็นคนหลับยากยังกับอะไร ที่แบบนี้น่ะ หลับไม่ลงหรอก


                เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็ต้องหยุดความคิดตัวเองเอาไว้แค่นั้น เราไม่ได้รู้จักเขาดีขนาดนั้นสักหน่อย ลืมไปแล้วเหรอนัท ว่าวันนี้เราเพิ่งจะเจอเขาครั้งแรก... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่ผมมองหาก็คือเขา


                ใช่สิ... เพราะเขาคือ ‘นายจ้าง’ ที่ผมต้องดูแลนี่นา ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นหรอก...ใช่มั้ย?


                คุณโอ๊ตเดินมาจับนู่นหยิบนี่บนโต๊ะเอกสาร และทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ก่อนที่จะชะงักและหันมาทางผม


                “เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงก็ปลุกซินด้วยนะ ออกไปหาอะไรกินกันก่อน ถ่ายรายการคงจะยาว หาอะไรรองท้องก่อนจะดีกว่า”


                “ครับ”


                คุณโอ๊ตพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป นี่สรุปว่าหลับไปแล้วจริงๆเหรอ หลับไปทั้งๆที่นั่งอยู่อย่างนั้นน่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเหนื่อยมาก ก็เป็นเพราะเมื่อคืนโหมทำงานจนอดหลับอดนอนอีกน่ะสิ นิสัยเดิมๆไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ   


                ...!!


                อีกแล้วไอ้นัท! อย่าลืมตัวบ่อยนักสิวะ


                คนบนโซฟาขยับตัวน้อยๆเพื่อให้นั่งสบายตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เสียงหายใจสม่ำเสมอทำให้แน่ใจได้ว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ ผมเลือกจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างโซฟาไปนิดหน่อย พอให้มีระยะห่างระหว่างเรา เพราะเกิดเขาตื่นขึ้นมาจะได้ไม่โวยวาย


                คอระหงพาดอยู่บนขอบโซฟา เส้นผมที่เจ้าตัวหวงนักหวงหนาสยายอยู่ด้านหลัง แขนบางๆนั่นยังกอดอกอยู่เลย แถมยังนั่งไขว่ห้างตามสไตล์เขาล่ะ แบบนั้นไม่เมื่อยแย่เหรอน่ะ ตื่นมาได้มีคอเคล็ดกันมั่งล่ะ ควรจะปลุกให้นอนเหยียดสบายๆดีมั้ย แต่ถ้าขืนตื่นมาเห็นว่าผมอยู่ในห้อง เจ้านี่คงไม่นอนต่อแน่ๆ


                ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร หัวซินก็เริ่มเอนไปด้านข้างนิดๆ ผมสวยไหลลงมาปรกหน้าหวาน ตัวบางๆนั่นก็เริ่มเอนมาด้านข้างอีกนิด ...อีกนิด ถ้ามากกว่านี้คงได้ล้มคว่ำลงมาแน่ๆ


                !!!


                ไวเท่าความคิด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้ยังไง มารู้ตัวอีกที ตอนนี้ผมก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของซินแล้ว และมือข้างหนึ่งก็ประคองหัวทุยๆนี้อยู่ไม่ให้ล้มคว่ำไปซะก่อน... ซินขยับหัวเล็กน้อยเพื่อที่จะหนุนมือผมได้อย่างถนัดขึ้น


                ตึก


                ตึกตัก


                ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


                เหมือนกับว่าหัวใจหยุดเต้นไปซะดื้อๆ ก่อนจะกลับมาเต้นอีกครั้ง และเร่งจังหวะขึ้นราวกับเสียงกลองจังหวะร็อค


                นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ใกล้มากขนาดนี้...


                ขนตาดกเป็นแพร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางแดงสวย กลิ่นหอมจางๆจากคนตัวบางคนนี้ กลิ่นนี้ที่ผมบอกว่าเหมาะกับเขา กลิ่นที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็หอมเสมอ ซินที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็น่าหลงใหลเสมอ...


                คนคนนี้ที่มักจะอยู่ภายในสายตาของผู้อื่น เปล่งประกายได้แม้ภายในที่มืดมิด ประกายสายตาที่สดใสสะกดคนที่มองแทบหยุดหายใจ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหนก็อยู่ในสายตาของผม


                เพลงของซิน น้ำเสียงของซิน สิ่งต่างๆของซิน ที่ผมยังไม่เคยลืม


                อยู่ใกล้เพียงแค่นี้ แต่แตะต้องไม่ได้ ขอแค่เวลานี้ได้มั้ย ขอให้ได้อยู่ไปแบบนี้สักพัก ให้ได้มองใบหน้าที่แสนคิดถึงนี้ใกล้ๆ อีกสักวินาทีเดียวก็ยังดี


                แต่ดูเหมือนว่าจะผมจะขอมากไป เพราะตอนนี้ซินเริ่มขยับตัวน้อยๆ


                คนตัวบางลืมตาขึ้นช้าๆโดยที่ยังไม่ได้ยกหัวขึ้นจากมือผม ใบหน้าที่เพิ่งตื่นสะลึมสะลือเล็กน้อยเพราะสมองยังปรับตัวไม่ทัน ตากลมมองมาทางผมอย่างงงๆ


                “นัท...” เสียงหวานกระซิบเรียกชื่อกัน น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคยพาให้ใจผมกระตุกวูบ


                ยังไม่ได้ลืมกันจริงๆใช่มั้ยซิน...


                แต่เมื่อคนตัวบางเริ่มประมวลสถานการณ์ตรงหน้าได้แล้ว ก็เบิกตาโพลงก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากฝ่ามือผมในทันที


                “นาย! เข้ามาได้ยังไง บอกให้รออยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...!” ซินดึงหูฟังที่กำลังฟังเพลงออก ก่อนจะลุกยืนขึ้นชี้หน้าผม แต่สักพักก็ลดมือลง มือบางกำแน่นอย่างพยายามควบคุมตัวเอง ก่อนจะนิ่งเงียบไป


                “กี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติของซินถามขึ้น


                “สี่โมงครับ คุณโอ๊ตบอกเอาไว้ว่าควรจะออกไปหาอะไรทานรองท้องก่อน นี่ก็เกือบจะได้เวลาแล้ว” ผมที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวถอยออกมาเพื่อระยะห่างที่สมควรก่อนจะตอบ


                ซินไม่ได้พูดตอบว่าอะไร แต่จัดทรงผมให้เข้าที่ และขยับเสื้อผ้าที่ยู่ยี่จากการนอนเมื่อครู่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังประตู พอดีกับที่คุณโอ๊ตเปิดประตูเข้ามา


                “อ้าว กำลังจะมาตามพอดี แวะไปหาอะไรกินกันก่อนเข้าสตูดีกว่าเน้อะ จะได้ไม่หิว”


                “ครับ” ซินตอบสั้นๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป คุณโอ๊ตพยักหน้างงๆกับท่าทางแปลกๆของซิน ก่อนจะหันมาทางผม


                “มีอะไรรึเปล่า”


                “เปล่าครับ ...ไม่มีอะไร”


                “อืม เหนื่อยหน่อยนะ พยายามเข้าล่ะ” คุณโอ๊ตตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะเดินตามซินออกไป


 

                คราวนี้ผมควบสองตำแหน่ง ทั้งบอดี้การ์ดและคนขับรถ เราแวะกินข้าวกันที่ทางผ่านไปสตูดิโอรายการ เป็นร้านอาหารเล็กๆแต่บรรยากาศดีใช้ได้ คนในร้านก็ยังไม่เยอะมากนัก จึงไม่มีใครสังเกตเห็นซินที่เข้ามาด้านใน


                ผมตั้งท่าจะรอที่ด้านนอก แต่คุณโอ๊ตกลับเรียกให้เข้าไปด้วยกัน เหตุผลเพราะว่าผมก็คน จำเป็นต้องหาอาหารใส่ท้องให้อิ่มและทำงานเหมือนกัน ตอนนี้ผมจึงอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับทั้งสองคน โดยที่ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของซิน และด้านข้างของซินคือคุณโอ๊ต อาหารสองสามอย่างถูกสั่ง และไม่นานก็ออกมาเสิร์ฟ


                ผมนั่งทานข้าวเงียบๆ ตอบรับเป็นบางครั้งเมื่อคุณโอ๊ตถามหรือหันมาพูดด้วย นอกจากนั้นก็นั่งฟังคุณโอ๊ตกับซินพูดคุยกัน โดยที่ซินไม่ได้หันมาทางผมเลยสักครั้ง เหมือนเคย


                “เออนี่ซิน อาทิตย์หน้างานที่ตรังน่ะ ต้องค้างคืนด้วยนะ เลยคิดว่าไหนๆก็ได้ไปไกลทั้งที หลังจากนั้นก็ว่างอีกสองสามวันด้วย เลยกะว่าจะไปเที่ยวกันต่อ ซินโอเคมั้ย”


                “ตรังเหรอ ทะเลสินะ ก็น่าสนใจเหมือนกัน เดี๋ยวซินถามป๊ากับม้าดูก่อนแล้วกัน”


                “โอเค เป็นอันว่าตกลง”


                “อ้าว ได้ไงพี่โอ๊ต ซินยังไม่ได้ถามป๊าม้าเลย เดินทางไกลๆ กลัวม้าจะเป็นห่วง เห็นบ่นๆว่าอยากจะไปบ้านคุณยาย ถ้าซินว่างก็จะให้ไปเป็นเพื่อน”


                “พี่โทรไปถามมาแล้ว ป๊ากับม้าบอกว่าแล้วแต่ซินเลย ถ้าซินตอบตกลงก็โอเค” เมื่อพูดจบคุณโอ๊ตก็ยักคิ้วตอบยิ้มๆ


                “หลอกถามกันนี่”


                “ก็อยากให้พักผ่อนบ้าง ทำงานเหนื่อยๆมานาน ไปพักผ่อนสมองมั่งดีกว่า”


                ซินทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ


                “ไปก็ไปสิ”


                เมื่อได้รับคำตอบที่พอใจแล้วคุณโอ๊ตก็ยิ้มแป้น


                “นัทก็ต้องไปนะ ไปช่วยกันดูแล” คุณโอ๊ตหันมาพูดกับผม ซินชะงักไปทันทีที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


                ผมหันไปมองเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอย่างชัดเจนแสดงออกมา ก็พยักหน้าตอบรับ


                “ครับ”


                “ค้างคืนได้ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”


                “ครับ ถ้าพวกคุณต้องการให้ผมไปช่วยดูแล ก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องไป”


                “แหม ไม่ต้องเป็นงานเป็นการขนาดนั้นก็ได้นะ ไม่ต้องซีเรียสหรอก เป็นกันเองบ้างก็ได้”


                “ครับ”


                คุณโอ๊ตมองหน้าผมพลางถอนหายใจนิดๆก่อนจะหันไปคุยกับซินต่อ บทสนทนาหลังจากนั้นผมไม่ได้ตั้งใจฟังมากเท่าไหร่ เพราะจะออกไปทางคุยเล่นกันมากกว่า ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปสตูดิโอ


                เมื่อมาถึงซินก็ถูกเชิญให้ไปที่ห้องแต่งตัวแขกรับเชิญ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆเหลือเพียงผมกับซินอีกครั้ง เมื่อคุณโอ๊ตออกไปดูแลความเรียบร้อยส่วนอื่นด้านนอก


                คนตัวบางนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา โดยที่ผมยืนอยู่ด้านข้างประตู มีเพียงเสียงกดโทรศัพท์ของซินเท่านั้นที่ดังอยู่ตอนนี้ ผมชักสงสัยซะแล้วสิว่า กับบอดี้การ์ดชุดก่อน ซินเฉยชาใส่พวกเขาแบบนี้หรือเปล่า


                บรรยากาศที่แสนจะอึดอัดภายในห้องถูกทำลายลงเมื่อทีมงานคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา


                “น้องซิน จะทานอะไรก่อนมั้ยคะ” หญิงสาวถามขึ้น


                “ไม่ครับ ไม่เป็นเป็นไร ซินทานมาแล้ว ขอน้ำเปล่าสักแก้วแล้วกันครับ” ซินหันมาตอบพลางยิ้มให้นิดๆก่อนจะหันกลับไปกดโทรศัพท์ต่อ


                “แล้วคุณบอดี้การ์ดสุดหล่อล่ะคะ จะรับน้ำด้วยมั้ย” หญิงสาวคนเดินจึงหันกลับมาถามพร้อม พร้อมส่งสายตาหวานมาให้


                “เอ่อ... ขอน้ำเปล่าแล้วกันครับ”


                “อย่างเดียวเหรอคะ จะรับขนมอย่างอื่นไว้ทานเล่นมั้ยคะ ถ่ายงานอาจจะเลิกดึก ทานอะไรลองท้องหน่อยมั้ยคะ”


                ลำเอียงกันอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ถามคุณนักร้องแค่ประโยคเดียว แต่กลับมาถามบอดี้การ์ดอย่างผมซะยืดยาว นี่ผมกำลังถูกเกี้ยวพาราสีอยู่หรือเปล่านี่ ภาษาโบราณไปมั้ย ขอโทษด้วยครับ ._.


                “ไม่เป็นไรครับ ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ” ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางนิ่งๆตามนิสัย แต่ไม่รู้ว่าไอ้ท่าทางนิ่งๆของผมไปกระตุกต่อมอะไรของพี่เขาหรือเปล่าถึงได้หน้าแดง ยิ้มกว้างขนาดนั้น


                “ค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ”


                “ครับ เชิญครับ”


                ก่อนจะไปยังไม่วายหันมาส่งยิ้มหวานให้กันอีกรอบ


                เสียงประตูปิดลง ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอจากคนตัวบางบนโซฟา แต่ก็เพียงแค่เสียงเบาๆเท่านั้น ผมมองไปที่ใบหน้าหวานที่ทำทีสนใจโทรศัพท์เครื่องบางนั้นซะเหลือเกิน


                แอบฟังอยู่ คิดว่าผมไม่รู้หรือไง


                “คุณซินอยากจะรับขนมไว้ทานเล่นด้วยมั้ยครับ” ผมจึงแกล้งลองถามเขาไป


                “...ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบกินอะไรเลี่ยนๆ” ซินเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาเสียงนิ่ง เน้นน้ำเสียงไปที่คำสุดท้ายสุดๆ


                “เมื่อก่อนชอบทานของหวานไม่ใช่เหรอครับ” ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามแบบนั้นออกไป เป็นเพราะคนตรงหน้าที่ทำท่าไม่สนใจกันมากขนาดนั้น หรือว่าเพราะอยากรู้อะไรบางอย่างกันแน่


                ซินวางโทรศัพท์ที่ถือลงทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ ก่อนจะคลายออกและตีสีหน้าเรียบนิ่งแบบที่เจ้าตัวชอบทำ


                “เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน เมื่อก่อนอาจจะเคยชอบ แต่เพราะของหวานจะทำให้เสียงร้องของฉันมีปัญหา ฉันก็จำเป็นต้องเลิกกิน”


                หน้าเสียงเฉยชากับใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้น เสียดแทงเข้าไปในหัวใจที่เคยคิดว่ามันชินชากับเรื่องแบบนี้ไปแล้วของผมให้เจ็บแบบแปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่คิด และเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องตัดเรื่องส่วนตัวออกจากงานให้หมด แต่แล้วก็ทำไม่ได้


                ก็ที่พูดมานั่น ก็เหมือนกับฉัน ที่จะทำให้ชีวิตนักร้องของนายมีปัญหา จึงจำเป็นต้องตัดทิ้งกันไป ใช่มั้ยซิน...


                “คนบางคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปตามเวลาหรอกนะ ถึงแม้ว่าการเล่นกีต้าร์จะเป็นการรบกวนเวลาฝึกซ้อมของผม ผมก็ยังเล่นมันทุกวัน ยังคงจำได้ ทุกเพลง ทุกท่วงทำนอง ทุกความรู้สึก


                ...ทุกๆเรื่องของเรา”


                ดวงตากลมโตไหววูบเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด ก่อนที่จะแสดงสีหน้าสับสนออกมา ผมควรที่จะดีใจใช่มั้ยที่ซินมีปฏิกิริยาแบบนี้ นั่นแปลว่าเขาเองก็หวั่นไหวอยู่เหมือนกัน ...ใช่มั้ย


                “พูดแบบนี้ ต้องการอะไร” ซินที่พยายามจะบังคับน้ำเสียงของตัวเองให้นิ่งอีกครั้งถามขึ้น แต่เสียงที่ดังออกมานั้นติดจะสั่นๆอยู่เล็กน้อย


                ผมยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พยายามสื่อให้คนตรงหน้ารู้ถึงความรู้สึกของผมที่มีส่งผ่านสายตาออกไป นายจะเข้าใจมันบ้างมั้ยซิน งานนี้ถึงแม้ว่าพ่อจะบังคับ แต่ถ้าหากฉันไม่อยากทำจริงๆ ฉันก็สามารถปัดทิ้งไปได้ หรือไม่ก็ขอให้พ่อส่งคนอื่นมาแทน แต่เป็นเพราะนาย ที่ทำให้ฉันปฎิเสธพ่อได้ไม่เต็มปาก และก็เป็นเพราะนาย ที่ฉันอยากจะอยู่ใกล้ๆอีกสักครั้ง


                เพื่อให้ความใกล้นี้บอกฉันว่า ฉันควรจะยอมแพ้และถอยเหมือนก่อนหน้านี้


                ...หรือควรจะทวงหัวใจของนายคืน...


TBC.
....

เป็นยังไงกันบ้างคะ อยากติชมแนะนำตรงไหนบอกได้เลยนะ :)
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-08-2013 02:03:02
ยิ่งอ่านยิ่งหน่วง สงสารคุณบอดี้การ์ด

ปล.ใส่ชื่อตอนที่หัวกระทู้หน่อยก็ดีน๊า
จะได้เห็นว่าอัพแล้ว
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 25-08-2013 03:02:36
อ่านแล้วหนึบๆหน่วงๆ มันอธิบายไม่ถูกอ่ะ เฮ้อเขาผิดใจเรื่องอะไรกันนะ รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 25-08-2013 13:10:17
ตึบบบบบมากกก
หน่วงแทนคุณบอดี้การ์ด
แต่เชื่อเหอะ คุณศิลปินก้อคงหนึบ ไม่แพ้กัน
ใช่ไม๊หล่ะ??
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up1 ตันสินใจ 50% [25/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 25-08-2013 21:10:06
2/1
((ตัดสินใจ))




                การถ่ายรายการดำเนินไปตามที่เตรียมการไว้อย่างราบรื่น มีการถามเรื่องงานเพลง อัลบั้ม และเรื่องทั่วๆไปของซิน รวมถึงเรื่องคอนเสิร์ต ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าขออุบเอาไว้ก่อน อาจจะเป็นเร็วๆนี้ หรืออาจจะเป็นปีหน้า ขอให้ทุกคนรอฟังข่าวกันอีกที ถ้าได้จัดจริงๆก็จะต้องมีเซอร์ไพรซ์พิเศษให้ทุกคนตกใจกันแน่นอน

                “เอาล่ะครับ มาถึงคำถามเรื่องหัวใจกันบ้างดีกว่า” เสียงพิธีกรรายการถามในขณะที่การถ่ายรายการกำลังดำเนินอยู่ โดยที่ผมยืนดูความเรียบร้อยอยู่ที่ด้านหลังจอมอนิเตอร์

                “ซินยังโสดอยู่หรือเปล่าครับ”

                “ครับ โสดอยู่ครับ” ซินหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “แล้วเคยมีใครบอกบ้างมั้ยครับว่าซินสวยมากเลย” ซินยิ้มนิดๆกับคำถามนี้ก่อนจะตอบ

                “...ครับ ก็มีบ้างนะ”

                “แล้วเคยมีผู้ชายมาจีบบ้างมั้ยครับ” คราวนี้ใบหน้าหวานหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

                “ไม่ครับ ไม่มี”

                “งั้นผมขอเป็นคนแรกได้มั้ยครับ” พิธีกรรายการถามด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนหน้าหวาน

                “จะดีเหรอ” ตอบได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

                “แหมล้อเล่นครับ แต่ก็เพราะว่าซินเป็นคนสวยแบบนี้ก็เลยมีข่าวออกมาบ้างเหมือนกันว่าจริงๆแล้ว ซินไม่ใช่ผู้ชาย จริงรึเปล่าครับ

                ถ้าผมกระโดดเข้าไปต่อยหน้าไอ้พิธีกรรายการคนนั้น ผมจะผิดมั้ยครับ มันน่าโกรธมากจริงๆที่ถูกถามแบบนั้น

                แต่ซินทำเพียงยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

                “ถ้าซินไม่ใช่ผู้ชาย แล้วซินเป็นอะไรล่ะครับ”

                พิธีกรรายการอึ้งไปนิดๆที่ได้ยินซินถามกลับแบบนั้น เล่นเอาเงียบกันไปทั้งสตูเลยทีเดียว

                “ฉิบหายแล้ว” เสียงคุณโอ๊ตอุทานขึ้นเบาๆจากด้านข้างผม

                “เอ่อ... ฮ่าๆ นั่นสินะครับ ถ้าซินไม่ใช่ผู้ชายแล้วซินจะเป็นอะไร” เสียงพิธีกรหัวเราะกลบเกลื่อนบรรยากาศเมื่อครู่ ตามด้วยซินที่หัวเราะออกมาเบาๆ พาให้ทุกคนถอนหายใจเฮือกกันไป

                ผมมองใบหน้าหวานที่กำลังยิ้ม แต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย คงกำลังโกรธอยู่นั่นแหละ ขนาดผมที่ไม่ใช่เจ้าตัวได้ยินยังโกรธเลย ถึงแม้ว่าซินจะใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่จำเป็นต้องถามกันตรงๆอย่างนั้นเลยไม่ใช่หรือไง

                “สุดท้ายนี้ขอให้ซินได้ฝากฝังผลงานของซินกับท่านผู้ชมด้วยครับ”

                “ครับ ยังไงซินก็ฝากผลงานเพลงของซินทุกเพลงด้วยนะครับ ตอนนี้อัลบั้มก็วางแผงทั่วไปแล้ว ติดตามอุดหนุนกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

                และรายการก็จบลงเพียงเท่านั้น เสียงพูดขอบคุณดังระงมไปทั่วทั้งสตูดิโอ ซินเดินขอบคุณทีมงาน ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักตามด้วยคุณโอ๊ตและผม

                “คำถามนั่นนอกเหนือจากในสคริปต์นี่” ทันทีที่ประตูปิด ซินก็ถามขึ้นมาในทันที

                “ตอนที่เตี๊ยมกัน ไม่มีคำถามนั้นในสคริปต์เลย” คนตัวบางยืนหันหลังให้ และถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

                “นั่นสิ พี่เองก็งง เดี๋ยวคงต้องออกไปคุยกันหน่อย ซินเองก็รออยู่ในนี้แล้วกัน ...ใจเย็นๆนะ” คุณโอ๊ตตอบ และเห็นว่าซินยังคงทำหน้าขมวดคิ้วนิดๆติดจะไม่พอใจ ก่อนจะเดินมาลูบหลังคนตัวบางก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                เมื่อคุณโอ๊ตเดินออกไปซินก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมมองอากัปกิริยาเหล่านั้นนิ่งๆก่อนจะถามออกไป

                “ไม่ชอบ ทำไมถึงไม่บอกออกไป ขืนไม่พูดก็คงมีคำถามแบบนี้อีกบ่อยๆ”

                คนตัวบางไม่ตอบอะไร แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียอย่างนั้น

                “ซิน”

                “ลืมตัวบ่อยไปรึเปล่า ‘คุณบอดี้การ์ด’” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ได้มองหน้ากัน แถมยังเน้นฐานะของผมให้ได้ยินกันชัดๆอีกด้วย

                “อย่างน้อยก็ควรเคารพเรื่องความเป็นส่วนตัวกันบ้าง”

                “เมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ เรื่องส่วนตัวน่ะไม่มีหรอก”

                “ทำไม...”

                “ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ไม่มีวันเข้าใจ ทำหน้าที่ของนายไปก็พอ ฉันเหนื่อย ขออยู่เงียบๆสักพัก” น้ำเสียงปิดบทสนทนาขนาดนี้แล้วผมจะพูดอะไรต่อได้ ทำได้แค่ยืนมองซินหลับตาลง พิงหัวกับขอบโซฟาโดยที่คิ้วนั้นยังขมวดเข้าหากันอยู่เลย

                นั่นสินะ การกระทำของนาย ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีวันเข้าใจสินะ...

                สักพักคุณโอ๊ตก็กลับเข้ามา

                “พิธีกรยอมขอโทษแล้ว บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไม่พอใจ แค่บรรยากาศมันพาไปเลยลองถามดู ฝากมาขอโทษซินด้วย ถ้ายังไงจะให้มาขอโทษด้วยตัวเองก็ได้ ซินว่าไง”

                “ไม่เป็นไรหรอกพี่โอ๊ต ช่างมันเถอะ”

                “แต่แหม ซินก็เล่นเอาตกใจกันไปทั้งสตูเหมือนกันนะ ตอบแบบนั้นอ่ะ”

                “ขอโทษ ทีหลังจะควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ซินไม่ชอบจริงๆนะที่เขาถามแบบนั้น”

                “โอเคๆ พี่เข้าใจ เอาเป็นว่าเราโอเคแล้วนะ”

                “ครับ”

                “งั้นเรากลับกัน สามทุ่มกว่าแล้ว”

                “อือ”

                คนตัวบางลุกขึ้นยืน บิดเนื้อบิดตัวนิดหน่อยก่อนจะเดินตามหลังคุณโอ๊ตไป
                “หิวมั้ย แวะกินอะไรก่อนรึเปล่า” คุณโอ๊ตถามขึ้น ตอนนี้เราอยู่บนรถระหว่างทางไปบริษัท

                “ไม่เอาอ่ะ อยากกลับบ้านแล้ว” ซินตอบ

                “งั้นเดี๋ยวนัทไปส่งพี่ที่บริษัทก่อน ซินวันนี้ป๊ามารับมั้ย”

                “วันนี้ป๊าไม่ว่าง ไปทำธุระ เดี๋ยวซินกลับเอง”

                “เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ” ผมตอบขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบจากซิน จะปล่อยให้กลับคนเดียวได้หรือไง มืดค่ำป่านนี้แล้ว ตัวเองก็หุ่นล่อเสือล่อตะเข้ขนาดนี้

                “ไม่ต้อง” ตามคาดครับ ซินปฏิเสธขึ้นมาทันควัน

                “ให้นัทไปส่งดีแล้วซิน กลับเองได้ไงเล่าอันตราย” คุณโอ๊ตพูดสนับสนุนผมอีกแรง

                “ดึกแล้ว บอดี้การ์ดเลิกงานได้แล้วมั้ง” ซินยังคงทำท่าจะไล่กันให้ได้อยู่ดี

                “หน้าที่ของผมคือดูแลคุณจนกว่าคุณจะถึงบ้าน ความปลอดภัยของคุณคืองานของผม ไม่มีเวลาเลิกงานหรอกครับ” ผมเหลือบตามองกระจกมองหลัง สบเข้ากับตากลมโตพอดี ตาหวานมองผมตาเขียวปั้ดก่อนจะหันหนีไปทางอื่น

                อย่างน้อยก็มองกันด้วยสายตาอื่นนอกจากเฉยชาแล้วนี่... แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว

             
                  “เดี๋ยวไปส่งซินดีๆนะ ซินก็คอยบอกทางนัทด้วย นัทไม่รู้ทาง ไปกันดีๆล่ะ” เมื่อถึงบริษัท คุณโอ๊ตก็หันมาพูดกับผมก่อนจะหันไปหาซิน และหันมาหาผมอีกที

                “ครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมส่งคุณซินเสร็จ จะเอารถมาคืนครับ”

                “ฝากด้วยนะ”

                พอคุณโอ๊ตลงจากรถไปในรถก็เหลือแค่ผมกับซินสองคน ผมขับรถออกมาเงียบๆ โดยที่แอบมองคนด้านหลังเป็นระยะๆ ซินยังคงนั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่าด้านนอกนั่นมีสัตว์ประหลาดกำลังบินอยู่ข้างกระจกอย่างนั้นแหละ ผมเลื่อนสายตากลับมามองถนนอีกครั้ง เริ่มดึก ถนนก็เริ่มว่างแล้ว

                “เดี๋ยวกลับรถ ตรงไปที่ถนน...”

                “จำได้ ยังไม่ลืม”

                คนตัวบางชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด บ้านซิน...ทำไมผมจะจำไม่ได้

                “ไปส่งออกจะบ่อย ลืมได้ไง” ผมพูดพลางเหลือบมองคนด้านหลัง ซึ่งเขาเองก็กำลังจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนกัน ผิดกันตรงที่สายตาที่เขามองมาแตกต่างจากผมนิดหน่อย

                ผมมองเขาด้วยรอยยิ้มนิดๆ

                แต่เขามองผมด้วยสายตารังเกียจหน่อยๆ - -

                แตกต่างกันนิดหน่อยจริงๆครับ...

                “ฉันย้ายบ้านแล้ว”

                “ฮะ?” คำตอบจากซินทำให้ผมชะลอความเร็วลงในทันที

                “ย้ายบ้าน...ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “มันใช่เรื่องที่นายจะต้องรู้รึเปล่าคุณบอดี้การ์ด”

                “....” ผมไม่ตอบ และยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไปตามเส้นทางเดิมที่ผมรู้จักนั่นแหละ

                “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันย้ายบ้านแล้ว! นายขับผิดทางแล้วนะ!” ซินเริ่มขึ้นเสียงนิดๆอย่างไม่พอใจ ท่าทางแบบนี้ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร

                ผมไม่ได้ขับผิดทาง ซินยังคงอยู่ที่บ้านเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน หลายครั้งที่ผมไม่มีอะไรทำเวลาว่างๆ เลยออกมาขับรถเล่นเรื่อยเปื่อยแบบไม่มีจุดหมาย แค่อยากไปเรื่อยๆ ไปข้างหน้า ทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง แต่แล้วพอมารู้ตัวอีกที รถผมก็มาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่งทุกครั้ง

                บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสุขที่ได้มา บ้านที่เจ้าของต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มเสมอ บ้าน...ของคนที่ผมรัก แค่มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเลย ขอแค่เพียงยังได้มองเห็นเขาอยู่ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

                “ฉันบอกว่าผิดทางแล้วไง!!” เสียงซินตวาดลั่น ทำให้ผมจำเป็นต้องเลี้ยวเข้าข้างทางเพื่อจอดรถ

                “นายไม่มีทางจำได้ นายไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย นายลืมทุกๆอย่างไปหมดแล้ว นายลืมมันไปหมดแล้ว!”

                “นั่นคือสิ่งที่นายใช้ปลอบใจตัวเองหรือเปล่าซิน นายบอกตัวเองแบบนั้นเพื่อให้สบายใจ และลืมฉันได้ง่ายๆอย่างนั้นใช่มั้ย”   

                “นายไม่ได้สำคัญสำหรับฉันขนาดนั้นหรอกนะ เรื่องของนายฉันลืมไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเพื่อลืมนายอีก”

                เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถ ก่อนจะเดินวนไปเปิดประตูหลังฝั่งที่ว่างอยู่ก่อนจะเข้าไปนั่งด้านในและปิดประตูทันทีด้วยความเร็วเท่าที่เคยฝึกฝนมา และคว้าซินที่ทำท่าจะลงจากรถเอาไว้

                “แน่ใจนะว่าลืมกันไปหมดแล้ว” ขอมองหน้ากันให้ชัดๆหน่อย อย่างน้อยถ้าปากบางๆนั่นเลือกที่จะโกหก แต่ตาโตกลมสวยนี่ คงปิดความจริงเอาไว้ไม่มิด

                “ชะ...ใช่” คนตัวบางหลบสายตาผมในทันที

                “งั้นทำไมยังใช้น้ำหอมกลิ่นนี้อยู่”

                ซินนิ่งไปในทันที ร่างบางกลั้นหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพรู่ลมหายใจออกมา

                “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

                “เบี่ยงเบนประเด็นแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยนะ” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาใสแจ๋วนี้ ความจริงที่อยู่ภายใต้เกราะใสบางๆ ที่กำลังลดขนาดลงเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ผมกำลังลดระยะห่างจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันมากยิ่งขึ้น ซินไม่ได้พยายามที่จะขยับตัวหนีไปไหนอีกแล้ว

                เราทั้งสอง ต่างพยายามมองหาความจริงจากกันและกัน อยากจะใกล้กันให้มากกว่านี้ เพื่อให้แน่ใจ และเพื่อทดแทนความเหินห่างที่ผ่านมานานแสนนานแล้ว ไม่ใช่แค่ผมที่เคลื่อนกายมาด้านหน้า ซินเองก็เหมือนกัน
                ใกล้มากขึ้น...จนแทบลืมหายใจ

                ...ซินคนเดิม...



 
                ก๊อกก๊อก!!

                !!!

                เคยดูหนังตอนถึงจุดไคลแมกซ์ที่แบบพระเอกกกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่แล้วดันมีคนมาปิดโทรทัศน์มั้ยครับ แทบอยากจะกระโดดถีบไอ้คนคนนั้นสักโครมนึงเลยใช่มั้ย แล้วถ้าผมจะขอกระโดดถีบตำรวจคนนี้จะได้มั้ยครับ ขอหลุดมาดบอดี้การ์ดสุดเท่แป๊บนึง

                ซินกระเด้งตัวออกจากผมในทันที พลางถอยกรูดไปจนชิดที่ประตูอีกฝั่ง ผมถอนหายใจช้าๆก่อนจะหันไปลดกระจกฝั่งผมลง

                “มีอะไรรึเปล่าครับ” เสียงคุณตำรวจที่หวังดีไม่ถูกเวล่ำเวลาถามขึ้น

                “เปล่าครับ พอดีมีเรื่องคุยกันนิดหน่อย”

                คุณตำรวจเลื่อนสายตาจากผมไปทางซิน อย่างไม่ค่อยมั่นใจ

                “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ

                “ปะ...เปล่า เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร”

                “เขาทำอะไรคุณรึเปล่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”

                “เปล่าครับ ไม่มีอะไร เขาเป็นคนขับรถของผมเอง นายก็ไปขับรถต่อได้แล้ว แขนฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ...ไปสิ!” ซินหันไปพูดกับคุณตำรวจ ก่อนจะหันมาไล่ผมบ้าง

                กลายเป็นคนขับรถไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

                คุณตำรวจที่เข้าใจว่าผมมาดูแขนที่เจ็บให้เจ้านายเดินจากไป ผมจึงต้องเดินลงจากรถกลับมานั่งที่หลังพวงมาลัยอย่างเดิม

                แล้วสรุปว่าเมื่อกี้นี้ ยังไง...

                “เอ่อ...”

                “ฉันจะกลับบ้าน”

                ผมที่กำลังจะสานต่อจากเมื่อกี้ต้องหยุดลงทันที

                “บ้านไหนล่ะ บ้านเก่า หรือบ้านใหม่”

                “อย่ากวนโมโห ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะเถียงด้วย”

                “...ครับ”

                ผมยิ้มพอใจให้กับตัวเอง ก่อนจะตอบออกไป แค่นี้ก็พอแล้วครับ มากพอแล้วกับการรับรู้ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ลืมเรื่องของผมเหมือนกัน

                เขาเองก็ยังคงเป็นเขาคนเดิมที่ผมรู้จัก ภายใต้เกราะบางๆภายนอก เกราะที่ตอนจากนี้คงไม่ยากแล้วถ้าจะทุบมันทิ้ง อยู่ที่ว่าเจ้าตัวจะให้ความร่วมมือมากแค่ไหน

                ผมว่า ผมตัดสินใจได้แล้ว...


TBC.
.....

มาแล้วจ้าาา หายหนึบกันบ้างยังเอ่ยย
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
ยังไม่ค่อยชินกับเล้าเท่าไหร่ จะพยายามปรับปรุงน้าา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up1 ตันสินใจ 50% [25/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 26-08-2013 01:13:51
ยังไม่ลืมกันสินะ
รุกเลยค่ะคุณบอดี้การ์ด
จัดไปอย่าให้เสีย อิอิ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up1 ตันสินใจ 50% [25/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 26-08-2013 01:48:07
 :z3:หน่วงๆนะ

อยากรู้สาเหตุอ่ะ สงสารคุณบอดี้การ์ด
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up1 ตันสินใจ 50% [25/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-08-2013 09:18:49
ตอนนี้ซินหมือนเด็กดื้ออ้ะ
อยากรู้เหมือนกันว่าห่างกันเพราะอะไร
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up1 ตันสินใจ 50% [25/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 26-08-2013 14:01:52
สู้ๆค่าพี่บอดี้การ์ด รุกคุณศลป.เยอะๆเลย เอาใจช่วย

หายหน่วงไปนิด ตอนนี้รอคุณศลป.ใจอ่อนอย่างเดียว แฮะๆๆ

รอติดตามนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 26-08-2013 20:27:51
2/2

((ตัดสินใจ))
             


                หลังจากที่ส่งซินที่บ้าน และช่วยขนของจากแฟนคลับจนเสร็จ ผมก็กลับมาที่บริษัท ไม่ต้องหวังหรอกครับว่าหลังจากนั้นผมกับซินจะได้ใกล้กันอีกมั้ย เพราะพอถึงบ้าน คุณซินมันก็ลงจากรถโดยที่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า


                ‘ขนของเข้าไปให้ด้วย’


                เท่านั้นแหละครับ


                ผมยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันโปรดรับลมเย็นๆยามค่ำคืน เสื้อสูทถูกถอดออกพาดบ่าเอาไว้ สองแขนล้วงกระเป๋ากางเกงเงยหน้ารับอากาศสดชื่น ผมชอบนะ อากาศตอนกลางคืน เงียบสงบดี แถมเย็นสบายดีด้วย สายตามองทอดออกไปไร้จุดหมาย ก่อนที่ภาพบางอย่างจะแว๊บเข้ามาในหัว






                “จับแน่นๆนะ”


                “ไม่เอาๆ จะลงแล้ว ไม่เอาอ่ะ ให้เราลง”


                “เถอะน่า เกาะแน่นๆก็พอ ไม่ตกหรอกน่า กลัวทำไม”


                “มันสูง!”


                “คนอย่างซินกลัวอะไรเป็นด้วยรึไง”


                “เราไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซค์!”


                คนตัวกว่าสูงหัวเราะขำๆกับท่าทางของคนตัวบางด้านหลังที่กอดเอวเขาจนแน่น ทั้งๆที่ตอนนี้รถก็อยู่กับที่แท้ๆ ยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหนเลย แต่เจ้าตัวก็ทำท่าทางกลัวซะเต็มที่


                “นี่ใครกำลังขับอยู่ ไม่เชื่อใจฉันรึไง ซิน...”


                มือหนากุบมือบางที่กอดเอวเขาเอาไว้ พร้อมกับหันหน้าไปหาคนด้านหลัง เรียกชื่อให้เงยหน้ามองหน้ากัน ซึ่งคนถูกเรียกก็ยอมมองแต่โดยดี


                “เชื่อสิ ไม่ว่ายังไงฉันไม่ยอมให้นายเจ็บตัวหรอกน่า ขอแค่อยู่ใกล้ๆกัน ฉันดูแลนายแน่ๆ ...นะ”


                รอยยิ้มอ่อนโยนจากคนตัวสูงพาให้คนตัวบางค่อยๆยกรอยยิ้มน้อยๆตอบรับ ...ขอแค่อยู่ใกล้ๆกัน


                “เอาล่ะนะ”


                เสียงสตาร์ทรถดังกระหึ่มก่อนที่จะ...


                บรื้นนนนน


                “ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”


                เสียงร้องโวยวายจากคนตัวเล็กดังลั่นไปตลอดทาง พาให้คนขับหัวเราะเสียงดังไปด้วย จะเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อที่จะแกล้งกันน่ะสิ แขนเล็กที่กอดแน่นอยู่แล้วยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก พอรถเริ่มชะลอและคนซ้อนเริ่มชินกับการนั่งแล้ว คนตัวบางก็เงยหน้าขึ้นมาและได้ยินเสียงหัวเราะให้เต็มๆ


                “แกล้งเหรอ!” ไม่ว่าเปล่า มือเล็กยกขึ้นทุบกัน อั้กๆ


                “โอ้ยๆๆ เจ็บๆ พอแล้วว เดี๋ยวล้ม ฮะๆๆๆ”


                เสียงหัวเราะจากทั้งสองคนยังคงดังก้องไปตลอดทาง

 

 

                ณ สวนสาธารณะสักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงนี้ ดึกป่านนี้แล้ว ที่แห่งนี้จึงไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่ คนสองคนนั่งเกยไหล่พิงกันอยู่บนที่นั่งในสวนสาธารณะ


                “ลมเย็นดีจัง” เสียงหวานเอ่ยขึ้น


                “อืม รู้ว่าจะชอบ เลยพามานี่ไง ถ้าไม่โวยวายก็คงมาถึงไม่ดึกขนาดนี้หรอก”


                “แล้วใครใช้ให้แกล้งกันล่ะ! เราบอกแล้วว่าไม่ชอบๆ” คนตัวบางกระเถิบออกห่างในทันที


                “ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร มาถึงนี่ปลอดภัยดีมั้ยล่ะ มีอะไรหล่นหายไปกลางทางบ้างมั้ย ไหนดูสิ” คนตัวใหญ่กว่าทำทีเป็นจับนู้นเปิดนี่เพื่อสำรวจตัวของอีกฝ่าย พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ


                “ฮะๆ อย่าๆ อย่าจับตรงนั้น ฮะๆๆ อย่าจั๊กจี้! อย่า!” คนตัวบางบิดเร่าๆไปมาเมื่อถูกจี้เอวทั้งสองข้าง อีกคนก็แรงเยอะเหลือเกิน จะสู้ไหวได้ไง


                “หึหึ ก็ยังอยู่ครบทุกส่วนนี่นา”


                คนตัวบางที่หอบจนพอใจหันมามองหน้ากันตาเขียว


                “หาย! หายไปอย่างนึง”


                “อะไรหาย”


                “ใจหายไงเล่า! ขับเร็วแบบนั้นตกใจแทบตาย หัวใจกระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!!” พูดจบยังไม่วายยื่นมือมาเขกหัวกันอีกแหนะ


                “มั่วแล้ว จะหายได้ไง” มือหนายกขึ้นจับมือบางที่เขกหัวตัวเองมากุมไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร


                “ทำไมจะหายไม่ได้”


                “หัวใจนายอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ...” แขนแกร่งยกมือบางเรียวสวยมาทาบทับกับหัวใจเขาเอง ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อไปทั่วแก้มใส


                “หัวใจเราจะไปอยู่ที่นายได้ไง หัวใจของเราก็ต้องอยู่ที่เราสิ” เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบโดยที่ไม่ยอมมองหน้ากัน


                “ขโมยมานานแล้ว อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ตัวอีก”


                “....” คนตัวบางทำเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มนิดๆ
 

                “เอางี้ละกัน ในฐานะที่ฉันขโมยหัวใจนายมา แทนที่จะให้หน้าอกตรงนี้ของนายมันว่างเปล่าๆ เอาหัวใจฉันไปใส่ไว้แทนละกัน”


                คนตัวบางหลุดเสียงหัวเราะออกมาในทันที


                “มั่วตลอด” มือบางยกขึ้นพลักหัวคนที่ยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ตอนนี้


                “โห่ หมดมู้ดเลย”


                “เอาหัวใจเราไปอ่ะ แน่ใจเหรอว่าจะดูแลได้”


                “แน่ใจที่สุด”


                “มันค่อนข้างที่จะเรื่องมากหน่อยนะ”


                “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”


                “เอาแต่ใจนิดหน่อยด้วย”


                “คิดว่าน่าจะรับมือไหว”


                “อืม...”


                “พอๆ ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่รับได้หมด ขอแค่อย่าผลักไสกันก็พอ” 
         

                คนตัวโตกว่าตัดบทก่อนจะเอื้อมมือมาโอบไหล่บางไว้โยกไปมาเบาๆ


                “ส่วนหัวใจฉัน เรื่องไม่มากหรอกนะ ไม่ต้องการอะไรมากมายเลย ขอแค่รัก แล้วก็ดูแลมันบ้างก็พอ”


                “อยากมาอยู่กับเรานัก ก็ดูแลตัวเองสิ”


                “ใจร้ายโคตร”


                “ไม่เคยใจดีอยู่แล้ว”


                เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากทั้งสองคน คนปากแข็ง ถ้าไม่คิดที่จะดูแลกันจริงๆคงไม่มาอยู่ด้วยกันตรงนี้หรอก คงกระโดดลงจากรถตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่ยอมนั่งซ้อนท้ายกันมาทั้งที่กลัวขนาดนั้น จะเพราะอะไรกันล่ะถ้าไม่อยากเอาใจกัน


                “ดาวตก!!” คนตัวเล็กที่แหงนหน้ามองท้องฟ้าเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ในทันที


                “อธิษฐานเร็ว!” เสียงหวานหันมาบอกอีกคนก่อนจะยกสองมือขึ้นประสานกันและหลับตาลง


                คนตัวโตกว่าทำเพียงแค่เดินมายืนข้างกันและมองหน้าคนที่เขารักเท่านั้น ใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มชวนมอง อธิษฐานเรื่องอะไรกันนะ จะคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า


                ดวงตากลมโตลืมขึ้นก่อนจะหันมายิ้มให้กันอีกครั้ง


                “อธิษฐานว่าไร” คนตัวโตถาม


                “ขอให้เดินตามฝันได้สำเร็จ”


                “แล้วเรื่องฉันอ่ะ”


                “ทำไมอ่ะ” ไม่ขอถึงกันแล้วยังมีหน้ามาทำตาบ้องแบ๊วใส่กันอีก - -


                 “ไม่เห็นขอถึงกันบ้างเลย”


                “อยากได้อะไรก็อธิษฐานเอาเองสิ แล้วเมื่อกี้ขออะไรเหรอ”


                “ไม่บอก”


                “ได้ไง ทีเรายังบอกเลย”


                “ความลับ”


                คนตัวบางค้อนให้อีกฝ่ายเสียหนึ่งที ก่อนจะพูดออกมา


                “ไม่บอก ก็ไม่อยากรู้หรอก”


                คนตัวโตกว่าทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆเท่านั้น

………



.

.

 

                    ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม รับลมเย็นๆยามค่ำคืนอยู่ที่ข้างรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ เพียงแต่ตอนนี้ มีแค่ผมคนเดียว กับคำอธิฐานในวันนั้น ไม่รู้ว่าไอ้อุกกาบาตที่ล่วงผ่านโลกไปในวันนั้นมันจะช่วยอะไรได้ไหม แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยได้จริงๆ

 

                …‘ขอแค่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ได้อยู่ใกล้คนๆนี้ก็พอ’…


TBC.
...

แวะเอาตอนหวานๆมาหย่อนให้บ้างค่ะ
เห็นหลายคนบ่นๆว่าหน่วงงง
จะชอบกันมั้ยน้ออออ ><


ขอบคุณคอมเม้นจากทุกคนมากๆนะคะ
อยากฟังความเห็นของทุกๆคนเลยค่ะ อยากรู้ว่าทุกคนอยากจะให้เป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 26-08-2013 21:04:01
อ่านเรื่องของ2คนนี้ทีไรมีความสุขทุกทีไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม
และไม่ว่าจะอ่านมากี่เรื่องราวสิ่งเดียวที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆก็คือ เค้ารักกันจริงๆไม่ใช่ในนิยาย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 26-08-2013 21:52:42
อ๊า~ ถึงจะเป็นตอนหวานๆของอดีต แต่ก็ยังดีใจที่ได้อ่าน

อยากให้ปัจจุบันหวานแบบนี้จัง รออีกนานไหมเนี่ย

ปล.อยากให้ชีวิตจริงเขารักกันจริงๆเนอะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 26-08-2013 22:44:30
ชอบจัง
ลุ้นความรักของทั้งคู่จริงๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2013 02:09:44
 :o12:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 27-08-2013 09:13:26
 :mew6:

 :o12:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 27-08-2013 11:45:02
อื้อหือออ คุณบอดีการ์ด
คุณจะรู้ไหม ว่าทำใจฉันสั่นไหว ~
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน2 up2 ตันสินใจ 100% [26/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-08-2013 18:11:29
หวานแบบเหงาๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 27-08-2013 20:38:25
3

 ((กลัว))



                วันนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทตอนเช้า เพราะวันนี้ศิลปินของผมไม่มีงาน จะมีอีกทีก็ตอนเย็นที่ต้องไปเล่นไลฟ์ในผับ ตอนที่ได้ยินก็เล่นเอาตกใจเหมือนกัน รับงานในผับด้วยเหรอ แต่มีบอดี้การ์ดประกบตลอดอยู่แล้วก็คงไม่เป็นไร


                ผมเดินวนไปมาอยู่ในโรงฝึก ทุกคนก็ยังฝึกกันอย่างแข็งขันเหมือนเดิม


                “พี่นัทททททท” เสียงเรียกชื่อลากยาวพร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้ๆ


                วันนี้มาแปลก ไม่ได้ลอบทำร้ายกันเหมือนทุกที


                “ว่าไง”


                “ผมมีเรื่องจะถาม”


                รู้จักเจ้ากัสกันแล้วใช่มั้ยครับ ที่โผล่มาตอนแรกๆ ไอ้แสบนี่เรียนมอปลาย มาเข้าโรงฝึกเพราะชอบเรียนศิลปะการป้องกันตัว อยากจะเป็นบอดี้การ์ดเท่ๆแบบผมบ้าง เจ้านี่จะมาทุกวันหลังเลิกเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์นั้นแล้วแต่อารมณ์ ถ้าไม่มีที่ไปก็จะมา - -


                “มีอะไร”


                “ผมได้ยินมาว่าพี่นัทไปทำงานกับพี่ซิน!”


                “อืม”


                “จริงอ่ะ!!! ทำไมคุณลุงไม่ให้งานผมทำบ้างงง นี่ก็ปิดเทอม ผมว่างอยู่ๆๆ”


                ผมมองท่าทางสะดีดสะดิ้งอย่างเกินควรของไอ้เด็กนี่


                “หน้าตาก็ดี รูปร่างก็เท่ เสือกอยากเป็นตุ๊ด”


                “ผมไม่ได้เป็นตุ๊ด!!”


                “ถ้าเห็นท่าทางตัวเองเมื่อกี้จะรู้ว่าที่ฉันพูดมันจริง”


                “พี่นัทแม่ง...”


                มันบ่นงึมงำอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้สน ว่าจะไปซ้อมยิงปืนสักหน่อย ไม่ได้ฝึกมาหลายวันแล้ว


                “เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ไอ้แสบวิ่งมาขวางหน้าผมอีกรอบ


                “อะไรอีกวะ”


                “ขอไปทำงานด้วยวันนึงดิ”


                ผมหันไปมองหน้ามันอย่างสงสัย ผมไปทำงานบ่อยนะ นักการเมืองสองสามเดือน พวกผู้บริหารระดับสูงๆอีก แต่ไม่เคยเห็นไอ้เด็กนี่มันร้องตามสักที คราวนี้มาแปลก แถมท่าทางมีพิรุธ


                “ฉันไปทำงาน ไม่ได้ไปเล่น”


                “รู้น่า ไม่ทำตัววุ่นวายให้เดือนร้อนแน่นอน” ผมมองท่าทางมาดมั่นอย่างจริงจังของไอ้กัส สงสัยจะเอาจริง


                “ไม่ได้”


                “ทำไมอ่ะ!!”


                “นะนะ ขอเห็นพี่ซินใกล้ๆสักครั้งก็ยังดี”


                นั่นไง มันเผยเรื่องแอบซ่อนออกมาแล้ว


                “อะไรนะ”


                “เฮ้ยไม่ใช่! ขอแค่ได้ไปฝึกในสถานการณ์จริงแค่สักครั้งก็ยังดี!”


                แก้ตัวไม่ทันแล้วจริงๆว่ะ - -


                “อยากเจอซินไปทำไม” ผมมองหน้ามัน ซึ่งก็จ้องกลับมาอย่างหวาดๆ


                “กะ..ก็...ชอบ”


                “ชอบ?”


                “อืม...”


                เหตุผลน่าโบกมาก แต่เสียใจด้วยว่ะเด็กน้อย คนที่เองชอบน่ะ ของข้า! หึหึ   


                “ยังไงก็ให้ไปไม่ได้ ฉันไปทำงาน อีกอย่างงานจ้างบอดี้การ์ดแค่คนเดียว ถ้าเอานายไป ฉันจะบอกนายจ้างว่ายังไง อยู่นี่ ฝึกฝนตัวเองให้ดี ถ้าเก่งแล้วพ่อคงหางานให้นายเอง เอาเวลาเล่นไปทำเรื่องมีสาระซะบ้าง โดนพ่อฉันบ่นยังไม่พอรึไง หรืออยากหาคนบ่นเพิ่ม”


                “โห พ่อลูกเหมือนกันเปี๊ยบ ...โอ๊ย!”


                ผมจัดการโบกหัวมันไปหนึ่งที ตอนแรกอุตส่าห์ปราณี แต่ปล่อยเอาไว้นานๆแล้วมันเหลิง


                “ลามปาม” 


                ผมผลักหัวมันไปอีกทีก่อนเดินออกมา ไม่สนใจเสียงกระเง้ากระงอดจากลูกหมาที่ไล่งับหางตัวเองอยู่ และตรงไปที่โรงฝึกซ้อมยิงปืน


 

 

                หกโมงครึ่งผมก็มาถึงที่บริษัท เอาลูกชายสุดที่รักไปจอดที่เดิมก่อนจะไปยืนรอลิฟต์ นึกไปถึงไอ้แสบที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาก่อนที่เขาจะออกมาแล้วก็ตลก


                ‘ขอลายเซ็นให้หน่อย!’ เสียงแหลมสูงของไอ้กัสยังตามมาหลอกหลอนผมจนถึงที่นี่ มันวิ่งเพื่อที่จะเอาอัลบั้มของซินมาให้ผม เพื่อที่จะให้ผมมาขอลายเซ็นให้มัน ผมก็ดันบ้าจี้รับของมันมาซะด้วยสิ แล้วแบบนี้ซินจะยอมเซ็นให้มั้ยเนี่ย ไม่ใช่ว่าซินหยิ่งหรืออะไร แต่เพราะว่าผมเป็นคนขอเนี่ยแหละ


                ยืนรออยู่สักพักลิฟต์ก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนผมออกมา ใบหน้าสวยหวาน พร้อมๆกับกลิ่นหอมที่ส่งมาจากตัวของเธอ พาให้ผมหันไปมองอย่างช้าๆ เธอส่งยิ้มหวานมาให้ ผมจึงต้องส่งยิ้มนิดๆคืนตอบกลับไป ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์


                สวย น่ารัก


                แต่ ซินของผมน่ารักกว่า...


                เมื่อเดินมาถึงก็เห็นคุณโอ๊ตเดินออกมาพอดี


                “อ้าวนัท เข้าไปก่อนสิ ซินอยู่ข้างใน”


                “ซินมาแล้ว ทำไมมาไว หรือว่าผมมาสาย”


                “เปล่าๆ พอดีคุณพ่อเขามาส่งเร็วน่ะ เห็นว่าจะไปทำธุระต่อ เข้าไปข้างในสิ”


                “ครับ”


                ผมเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับร่างบางที่นั่งอ่านเอกสารอะไรสักอย่างอยู่บนโซฟา เขาเงยหน้ามามองผมนิดๆก่อนจะก้มไปสนใจงานของเขาต่อ อย่างน้อยก็ไม่ได้ตวาดไล่กันล่ะนะ


                ผมเลยเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ก่อนจะยื่นหน้าปกวีซีดีอัลบั้มเพลงของเขาไปตรงหน้า ซินจึงเงยหน้ามามองผม


                “เซ็นให้หน่อยครับ”


                ซินมองหน้าผมงงๆก่อนจะก้มลงมองสิ่งที่ผมยื่นให้ ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ


                “อะไร” เสียงหวานถามขึ้นห้วนๆ


                “อัลบั้มนายไง จำไม่ได้เหรอ”


                ตากลมสวยตวัดใส่กันในทันที


                “จำได้ แล้วยังไง”


                “เซ็นให้หน่อย ลายเซ็น” เมื่อได้คำตอบ คิ้วที่ขมวดกันจึงคลายออกในทันที


                “ของใคร พี่โอ๊ตให้เอามาให้เหรอ”


                ทำไมต้องคิดว่าเป็นของคนอื่น แต่มันก็ของคนอื่นจริงๆนั่นแหละ แล้วถ้ามันเป็นของผมล่ะจะเป็นยังไง


                “เปล่า ...ของฉัน”


                “ฮะ?” ซินร้องขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว หลุดเก๊กกันเลยทีเดียว


                “ของฉันเอง เซ็นให้หน่อย”


                ซินมองผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ก่อนจะก้มลงอ่านงานของเขาต่อ และทำเป็นเมินใส่กันเฉยเลย ต่อหน้าต่อตา - -


                “หรือว่าดังแล้วหยิ่ง” ไม่ได้เจตนาจะว่านะครับ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดว่าเป็นอย่างนั้น เลยเงยหน้ามามองกันด้วยท่าทางไม่พอใจ นั่นแปลว่าแผนผมสำเร็จ


                “ฮึ” ซินหัวเราะในลำคอก่อนจะก้มลงเขียนอะไรบางอย่างยุกยิกๆลงบนปกอัลบั้ม ก่อนจะยื่นมันให้ผม


                ทันทีที่ผมเห็นข้อความที่เขาเขียนให้ทำให้ผมเก็บอาการแทบไม่ทัน ต้องทำเป็นกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนการขำแทน


                ‘ไปตายซะ’


                ไม่รู้ว่าไอ้กัสมันมาเห็นของของมันแล้วจะว่ายังไง แอบรู้สึกผิดนิดๆแล้วสิ   


                ผมไม่รู้นะ กับคนอื่นอาจจะคิดว่าคำพูดแบบนี้เอามาใช้ล้อเล่นกันมันแรงไปหรือเปล่า หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม การที่ซินเขียนแบบนี้นั่นแปลว่าเขาเองก็เริ่มที่จะโต้ตอบกับผมแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเผ็ดร้อนไปบ้างก็เถอะ ก็ยังดีกว่าเฉยชาใส่กันไปเลยไม่ใช่เหรอ


                “พอใจรึยัง” คนตัวบางถามกันเสียงห้วน


                “ครับ พอใจแล้ว ขอบคุณครับคุณศิลปินที่น่ารัก”


                ซินแค่เพียงมองหน้ากันด้วยสายตาไม่พอใจนิดๆก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารของเขาต่อ พอดีกับที่คุณโอ๊ตเดินเข้ามาในห้อง


                “ไปกันได้แล้ว” เสียงคุณโอ๊ตเรียกพาในคนตัวบางลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย ก่อนเราจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกันทั้งสามคน

 


                ผับที่ซินมาเล่นไลฟ์ในวันนี้ค่อนข้างใหญ่ และมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อมาถึงพวกเราก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องรับรอง มีแฟนคลับจำนวนไม่น้อยที่ตามมาให้กำลังใจซินถึงที่นี่ ทำให้บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างที่จะวุ่นวายไปสักหน่อย


                ซินนั่งเล่นอยู่บนโต๊ะที่ทางร้านจัดให้กับคุณโอ๊ต โดยมีผมยืนประกบอยู่ข้างๆ และไม่นานทางร้านก็เอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟ เพื่อเติมพลังกันก่อนขึ้นแสดงโชว์ บรรดาแบ็คอัพทั้งหลายก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมเครื่องมือของตัวเอง 
จ               
                “เดี๋ยวซินไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ” ซินพูดก่อนจะทำท่าลุกขึ้นยืน



                “ห้องน้ำในนี้ไม่มี ต้องออกไปเข้าข้างนอก นัทไปกับซินด้วย คนเยอะมากเลยดูดีๆด้วยล่ะ” คุณโอ๊ตหันมากำชับกับผม


                “ครับ”


                ซินหันมามองผมนิดๆ ผมจึงเดินออกนำหน้าเขาไป ห้องรับรองนี่อยู่ที่ด้านหลังของร้าน ซึ่งค่อนข้างที่จะลับตาคนพอสมควร แต่ก็มีบ้างบางคนที่หลบออกมาโทรศัพท์ หรือหาที่เงียบๆพูดคุยกัน


                ซินเดินตามหลังผมมาเงียบๆ จนกระทั่งที่มีผู้หญิงสามคนที่ยืนอยู่แถวนั้นหันมาเห็นซินพอดี และทำท่าจะตรงเข้ามาขอถ่ายรูป


                “พี่ซิน! พี่ซิน ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะๆๆ” พวกเธอวิ่งตรงเข้ามาในทันที ผมจึงต้องกางแขนออกเพื่อกันไม่ให้พวกเขาพุ่งเข้าหานักร้องของผม


                “เดี๋ยวขอซินเข้าห้องน้ำก่อนนะ แล้วค่อยมาถ่ายกัน” ซินตอบกลับไปไม่เชิงปฏิเสธเพื่อรักษาน้ำใจบรรดาแฟนคลับของเขา ซึ่งพวกเธอก็เข้าใจและยอมถอยให้เราได้เดินต่อ แต่ก็ยังไม่วายเดินตามมาเรื่อยๆ และกดชัตเตอร์กันแบบรัวเลยทีเดียว       
         

                บริเวณหน้าห้องน้ำที่ด้านหลังไม่มีใครเลย ผมที่ทำท่าจะเดินตามหลังซินเข้าไปด้านในถูกสายตาดุๆห้ามเอาไว้เสียก่อน


                “รอข้างนอกนี่แหละ”


                “เผื่อเป็นอะไรไปข้างในจะทำยังไง”


                “ก็เห็นๆอยู่ว่าไม่มีคนอื่น รออยู่ตรงนี้ก็พอ”     


                เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูที่ด้านในห้องน้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะออกมายืนที่ตรงประตูทางเข้า หลบทางให้ซินเดินเข้าไป


                แฟนคลับของซินทั้งสามคนก็ยังคงตามมายืนอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อเริ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของผมที่แผ่ออกไป และค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเธอเลยถอยออกไป ที่ว่าเรื่องส่วนตัวน่ะไม่มีหรอก ท่าทางจะจริง แค่เวลาเข้าห้องน้ำยังอยากจะดูกันเลย


                สักพักคนตัวบางก็เดินออกมา มองซ้ายทีขวาที


                “ไปไหนกันแล้ว” ซินพึมพำขึ้นเบาๆ แต่ผมดันหูดีได้ยินเข้าเลยอยากจะตอบ


                “ไปแล้ว”


                คนตัวบางพยักหน้านิดๆก่อนจะเดินนำหน้าผมไป


                “ไม่อึดอัดบ้างเหรอ” ผมถามขึ้นในขณะที่เดินอยู่ด้านหลังเขา “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องแคร์สายตาคนรอบข้าง ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ เวลาส่วนตัวก็ไม่มี”


                คนตัวบางทำเพียงเงียบและเดินต่อไปเท่านั้น ถึงแม้ว่าเมื่อวานผมจะสามารถกะเทาะเกราะบางๆนั่นได้บ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าแค่นั้นยังไม่เพียงพอ เพราะซินยังคงมีท่าทีเหินห่างใส่กันอยู่


                ผมเอง ถึงจะตัดสินใจเดินหน้าต่อ แต่บางครั้งภาพในอดีตก็ยังคอยตามมาวนเวียนอยู่เรื่อยๆ เรื่องบางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องยุติลง คนสองคนที่เดินทางแตกต่างกัน สุดท้าย จะบรรจบกันได้จริงๆหรือเปล่า ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ รู้เพียงแค่ว่า ตอนนี้ผมต้องการเขา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่มีกัน ผมอยู่ได้ ยังคงใช้ชีวิตของผมได้อย่างปกติ เพียงแต่ ...ไม่มีความสุข ราวกับว่าสีสันต่างๆที่เคยมองเห็นมันหายไป แล้วซินล่ะ เป็นเหมือนกันบ้างมั้ย...


                “ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับหัวใจ นายจะเลือกอย่างไหนซิน”


                ซินหยุดเดินในทันทีก่อนจะหันมามองหน้าผม


                “ถามคำถามที่รู้อยู่แล้วทำไม”


                “แค่อยากได้ยินจากปากนาย อีกอย่างบางอย่างที่ฉันรู้ มันก็นานมากแล้ว เผื่อบางทีคำตอบนั้นมันอาจจะเปลี่ยนไป”


                ซินขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


                “บางทีคนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ถ้าเลือกที่จะคว้าบางอย่างเอาไว้ และสิ่งนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ทั้งสองมือเพื่อรักษา เราก็จำเป็นที่จะต้องปล่อยบางอย่างไป เพื่อที่บางอย่างนั้นจะได้ไปคว้าสิ่งที่เขาเองต้องการเหมือนกัน”


                “แล้วเคยคิดที่จะถามกันบ้างมั้ยว่าต้องการอะไร”


                ซินไม่ตอบ ยังคงจ้องกันเงียบๆอยู่อย่างนั้น นาน...จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว


                “เคยถามฉันบ้างมั้ยว่าฉันอยากไปหรือเปล่า”


                “จะมาพูดอะไรตอนนี้! ในเมื่อตอนนั้นนายเองก็เลือกที่จะไป!”


                “หมายความว่ายังไงฉันเลือกที่จะไป นายเองต่างหากที่...”

                “พอที!!” ซินพูดเสียงดังก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหู ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะดึงมือเรียวนั่นออก มาถึงขนาดนี้จะหนีอะไรอีก!


                “พูดกันให้รู้เรื่อง”


                “ไม่! อย่ายุ่งกับเรา!!” ซินสะบัดมือผมออกก่อนที่จะหันหลังและวิ่งออกไป ผมที่กำลังอึ้งกับสรรพนามเดิมที่ไม่ได้ยินมานานยืนนิ่งอยู่กับที่ มารู้ตัวอีกทีคนตัวบางก็หายไปแล้ว


                ฉิบหาย!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 27-08-2013 20:39:30
                ผมจึงรีบออกวิ่งกลับไปที่ห้องรับรองทันทีระหว่างทางผมไม่เจอซินที่ตรงไหนเลย ขอให้กลับไปที่ห้องแล้วทีเถอะ!


                ผมกระชากประตูห้องรับรองเปิดออกอย่างแรง ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้อง ..ไม่มี.. ผมปิดประตูห้องทันทีและย้อนกลับมาทางเดิม โดยที่ไม่ได้สนใจเสียงถามจากคุณโอ๊ต


                หายไปไหนซิน...


                ผมย้อนกลับมาทางเดิม ไม่ว่ายังไงซินก็ไม่มีทางเดินเข้าไปในร้านแน่ๆ เพราะคนเยอะมาก ขืนออกไปตัวคนเดียวโดนรุมแน่ๆ ทางเดียวที่จะไปได้จากทางนี้ก็คือหลังร้านเท่านั้น ที่แบบนั้นยิ่งอันตรายกว่าด้านในไม่ใช่รึไง!       
     

                ร้อนรนไปหมด ทางเดินนี่จะสร้างมาทำไมยาวนักหนาวะ! ขอที... ขออย่าให้เป็นอะไร ด้านหลังมีประตูเล็กเพื่อเปิดออกไปด้านหลังร้านที่เชื่อมกับลานจอดรถ ผมที่โผล่ออกไปก็แทบสำลักกับควันบุหรี่ที่หลายคนออกมาหลบมุมสูบอยู่แถวนี้ มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบวี่แววของซิน ผมรีบเดินตรงไปที่ลานจอดรถทันที เดินวนอยู่สองสามรอบก็ไม่เจอ ไปอยู่ตรงไหนนะ บ้าจริง! เพราะผมแท้ๆเลย


                หรือว่าจะกลับไปที่ห้องแล้ว ผมหันหลังกลับเตรียมที่จะวิ่งกลับไปที่ห้องเดิม แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงบางอย่างดังมาจากซอกตึกด้านข้าง ตามสัญชาตญาณผมตรงไปที่ตรงนั้นในทันที


                และ...ภาพตรงหน้าพาให้เลือดในกายผมเย็นเยียบในทันที ซินที่ถูกกดอยู่ติดกับกำแพง มือสกปรกนั่นที่จับสองแขนของซินเอาไว้ และมืออีกข้างปิดปากสวยๆที่พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ ดวงตาหวานที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำตาเหลือบมามองเห็นผมด้วยท่าทางหวาดผวา ร่างบางๆที่พยายามจะดิ้นให้หลุดจากไอ้ชายชั่วคนนั้น


                สมองแทบไม่ต้องสั่งการด้วยซ้ำว่าผมต้องทำอะไร รีบตรงเข้าไปคว้าไหล่มันกระชากออกจากซินในทันที ซึ่งมันเองก็กระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงของผม ไอ้สารเลวหันมามองผมอย่างตกใจ


                “มึงมายุ่งอะไรด้วยวะ!” ไม่ต้องรอให้มันพูดซ้ำ ผมซัดหมัดลุ่นๆใส่มันในทันที และซ้ำมันครั้งที่สอง สาม สี่ และอีกหลายๆครั้งจนมันไปกองอยู่ที่พื้น ผมก็ตามไปเตะมันอีกหลายที จนเมื่อมือเรียวเอื้อมมาดึงชายเสื้อกันนั่นแหละ ผมถึงหยุด


                ผมหันไปมองซินในทันที มือบางที่กำชายเสื้อผมอยู่สั่นน้อยๆ ไม่ต้องพูดถึงตัวบางที่สั่นเป็นลูกนกนั่นเลย


                “พอแล้ว เดี๋ยวตาย” เสียงหวานที่เคยร้องเพลงอย่างลื่นไหลบนเวทีนั้นไม่เหลืออีกแล้ว เหลือเพียงเสียงสั่นไหวเบาหวิวเท่านั้น ผมดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดในทันที


                “ขอโทษ ซิน...นัทขอโทษ อย่าหายไปแบบนี้อีก อย่าหายไป” ถึงจะไม่รักกัน อยู่ใกล้กันไม่ได้ แต่อย่างน้อยอยู่ในสายตากันก็พอ เพราะถ้านายหายไป ฉันดูแลนายไม่ได้นะ     
 

                “อือ ไม่เอาแล้ว น่ากลัว” ซินตอบกลับมาเสียงเบาหวิวพร้อมกับกำชายเสื้อผมแน่นขึ้นอีก ลืมไปกองเน่าๆที่มันคงหมดสติไปแล้ว


                นานเแค่ไหนที่ไม่ได้กอดเลย ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ยิ่งต้องการมากเท่านั้น นายเป็นยาเสพติดรึเปล่านะซิน


                ยืนอยู่อย่างนั้นสักพักจนคนตัวบางหายสั่น ผมจึงคลายอ้อมกอดออกก่อนจะถอยออกมาเพื่อมองหน้ากันให้ชัดๆ ดวงตาสวยช้ำเล็กน้อย ปลายจมูกโด่งรั้นนั้นก็แดงนิดๆ


                ...น่าฟัด


                ผิดสถานการณ์ไปมั้ยถ้าผมจะคิดแบบนี้


                “จ้องพอรึยัง” คนตัวบางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้ยิ้มออก


                “ขออะไรหน่อยได้มั้ย”


                ซินเพียงแค่จ้องหน้าผมกลับมาไม่ได้ตอบว่าอะไร นั่นแปลว่าผมสามารถขอได้ใช่มั้ย


                “ไม่ต้องดีใส่กันเหมือนเดิมก็ได้ ขอแค่เปิดใจให้กันบ้าง อย่าเฉยชาใส่กัน ได้มั้ย”


                “....”


                “นัทขอได้มั้ยซิน”


                “แต่ว่า...” ผมเอื้อมมือไปหยุดคำพูดที่กำลังจะออกมานั่นเอาไว้ซะก่อน คำพูดบางอย่างที่ผมรู้ดี


                “ช่างเรื่องในอดีตไปก่อนได้มั้ย ตอนนี้มีแค่เรา แค่ตอนนี้”


                ซินที่มีท่าทีลังเล กับแววตาที่สับสนนั่น มองมายังผม เชื่อใจกันอีกสักครั้งได้มั้ย เรื่องในอดีตมันอาจจะทำให้เราเจ็บปวด แต่ครั้งนี้มันอาจจะไม่ได้จบแบบเดิมก็ได้ เริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งจะได้มั้ยซิน....


                แต่แล้ว...


                “ซิน! นัท!” เสียงเรียกจากคุณโอ๊ตดังขึ้นที่ด้านนอก พาให้ซินก้าวถอยหลังออกจากผมในทันที


                อีกแล้วสิวะ!!! ทำไมต้องมีมารคอยมาขัดทุกที!!!


                ซินปล่อยมือจากชายเสื้อผม ก่อนจะหันหลังให้กันทำท่าจะเดินออกไป ผมจึงคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อน ร่างบางจึงหยุดนิ่ง แต่ไม่ได้หันกลับมา


                “ปล่อยก่อนได้มั้ย มันเร็วเกินไปสำหรับเราจริงๆ”


                “ฉันรู้ว่านายสับสน ฉันเองก็เหมือนกัน แต่ฉันรักนาย! เหตุผลแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”


                “แค่รักมันไม่พอ เรื่องนั้นนายก็รู้ดีไม่ใช่หรือไง...”


                แขนเรียวบิดออกจากมือผมช้าๆก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นกับอารมณ์ขุ่นมัว

 

                ผมเดินกลับไปที่ห้องรับรองซึ่งซินกับคุณโอ๊ตเดินกลับไปนานแล้ว ป่านนี้ซินอาจจะขึ้นโชว์แล้วก็ได้ แล้วผมมัวมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ บกพร่องในหน้าที่จริงๆเลยนัท แบบนี้จะเป็นบอดี้การ์ดที่ดีได้ยังไง ถ้าพ่อรู้พ่อด่าเปิงแน่ๆเลย เมื่อกลับมาที่ห้องรับรองก็ไม่เจอใครแล้ว คงออกไปที่หน้าเวทีกันหมด ผมจึงเดินตามออกไป ฝ่าฝูงชนจำนวนมากมายไปจนถึงข้างเวทีจนได้ เมื่อเห็นคุณโอ๊ตจึงเดินเข้าไปหาใกล้ๆ เตรียมใจโดนด่าเอาไว้แล้ว


                “อ้าว มาแล้วเหรอ จัดการเรียบร้อยมั้ย” คุณโอ๊ตถามขึ้นทันทีที่เห็นผม


                “จัดการ? เรื่องอะไรครับ” งงสิครับ นึกว่าจะโดนด่า กลับโดนถามแทน แต่ว่าจะให้ผมจัดการเรื่องอะไร


                “ก็ที่หายไปนาน ซินเล่าให้ฟังแล้ว ไอ้เลวนั่น จัดการแล้วใช่มั้ย” อ๋อ...


                “ครับ เรียบร้อยแล้ว”


                “มีใครเห็นมั้ย”


                “ไม่มีครับ”


                “มันเป็นยังไงบ้าง จะไม่ปากโป้งใช่มั้ย”


                “ไม่แน่นอนครับ” เพราะผมจัดการข่มขู่มันไปแล้วเรียบร้อย


                ‘อย่าให้ฉันเห็นแกเอามือสกปรกๆนั่นมาแตะต้องศิลปินของฉันอีก ไม่อย่างนั้นลมหายใจแผ่วๆแบบนี้ของแกก็จะไม่เหลือ’ ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ยินมั้ย เพราะมันสลบไปแล้ว แต่คิดว่าตื่นมาคงความจำเสื่อมไปพักนึงนั่นแหละ - -


                เสียงหวานบนเวทีดึงสติผมให้หันไปสนใจ เสียงเพลงของซิน เพราะไม่มีใครเหมือนจริงๆ เสียงหวานๆนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยร้องคู่กับเสียงกีต้าร์ของผม แต่ตอนนี้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว


                แต่คำพูดของซินยังทำให้ผมสงสัย ผมเนี่ยนะที่เลือกที่จะไป เป็นไปได้ยังไง มันก็จริงบางส่วน แต่เขาเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ และเพราะอะไร...


                “นัท” เสียงคุณโอ๊ตเรียกขึ้นทำให้ผมต้องรีบดึงสติกลับมา


                “ครับ”


                “ซินกำลังจะลงมาแล้ว ไปเร็ว”


                ผมหันไปมองบนเวทีเห็นซินกำลังจะเดินลงมาด้านล่างพอดี จึงรีบเดินเข้าไปหา เดี๋ยวหลังจากนี้ต้องไปถ่ายรูปกับแฟนคลับอีกนิดหน่อย ร่างบางตอนนี้หอบข้าวของเต็มสองมือ เพราะบรรดาแฟนคลับที่เอามามอบให้ ใบหน้าหวานแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม


                ผมพาคนตัวบางเดินมาในที่ที่ร้านจัดเอาไว้ให้ถ่ายรูปกับแฟนคลับ ตรงนี้มีที่กั้นเหล็กกั้นระหว่างซินกับแฟนคลับ ผมยืนอยู่ด้านข้างเขา คอยมองเขาแจกจ่ายรอยยื้มให้บรรดากล้องต่างๆทางนู้นทีทางนี้ที เสียงชื่นชม เสียงบอกรักดังระงมไปทั่ว ที่ตรงนี้เหมาะสมกับเขาแล้วจริงๆ


                และไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องกลับ ผมเดินไปแตะหลังคนตัวบางเบาๆเพื่อบอกให้เขารู้ว่าต้องไปแล้ว ซินจึงหันไปกล่าวลากับบรรดาแฟนคลับของเขา


                “ซินกลับก่อนนะ ขอบคุณมากๆ ขอบคุณมากจริงๆ เอาไว้เจอกันงานหน้านะครับ” หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปทางเดิม คราวนี้แฟนคลับตามมาไม่ได้แล้วเพราะทางร้านปิดทางออกหลังร้านเอาไว้ให้แค่พวกเรา


                “ซินกลับเลยมั้ย ป๊ามารับกี่โมง” คุณโอ๊ตถามขึ้น ในขณะที่กำลังเก็บของกันอยู่ที่ห้องรับรอง


                “ซินไม่ได้ให้ป๊ามารับ ไม่อยากกวนป๊าดึกๆ ...ไปส่งได้มั้ย” ผมที่กำลังจะเสนอตัวชะงักไปทันทีเมื่อคนตัวบางหันมาถามกัน สะอึกไปเลยสิครับ ไม่นึกว่าจะเป็นฝ่ายขอกันขึ้นมาซะก่อน ก็ไหนตะกี้...


                “ถ้าไม่ได้ งั้นพี่โอ๊ตไปส่งซินหน่อยนะ” เมื่อเห็นว่าผมยืนนิ่งไม่ตอบ ซินเลยหันไปหาคุณโอ๊ตแทน


                “ผมไปส่งเอง! ผมไปเองครับ” ผมรีบตอบในทันที


                คุณโอ๊ตหันมามองเราทั้งสองอย่างสงสัยนิดๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


                “งั้นนัทไปส่งซินเลย เดี๋ยวพี่กลับบริษัทกับพวกแบล็คอัพก็ได้”


                “ครับ” ซินพยักหน้ารับและหันไปบอกลาทุกคน ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยที่มีผมเดินตามมาติดๆ


                ตลอดทางที่เราทั้งสองเดินมาต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไรกันเลย เพราะรู้ว่ายังมีเวลาอีกมากบนรถ ยังไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ และเมื่อมาถึง ผมก็เปิดประตูให้เขา และคนตัวบางก็ยอมขึ้นไปแต่โดยดี เมื่อผมปิดประตูเสร็จก็เดินไปขึ้นรถฝั่งของตัวเองหลังพวงมาลัย


                ผมเหลือบมองกระจกมองหลังทั้งที่ยังไม่ได้เคลื่อนรถไปไหน ก็พบว่าเขาเองก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นซึ่งซินเองก็ไม่ได้หลบสายตาไปไหน


                “อย่าเข้าใจผิด เราแค่ไม่อยากเจอเรื่องแบบนั้นอีก ไม่อยากกลับคนเดียว” เสียงหวานพูดขึ้นโดยที่หลบสายตาไปทางอื่น


                “ทีหลังอย่าหนีไปแบบนั้นอีกนะ อย่างน้อยถ้าอยากจะหนีกันจริงๆ กลับไปหาคุณโอ๊ต อย่าไปในที่อันตรายแบบนั้นอีก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งคนด้านหลังก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร แต่ผมคิดว่าคงจะเข็ดไปอีกนาน


                “ซิน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบ ทำให้เขาหันมาสบตากับผมอีกครั้ง


                “รู้แล้วน่า”


                “กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”


                ตากลมเบิกกว้างในทันที คงไม่คิดว่าผมจะพูดขอกันตรงๆแบบนี้


                “ไม่จำเป็นต้องรีบตอบกันตอนนี้ เพราะฉันรู้ว่าตอนนี้คำตอบของนายคืออะไร แต่ลองกลับเอาไปคิดดู ถามใจนายเองดูให้ดีๆ และลืมไปก่อนได้มั้ยว่าตอนนี้นายเป็นอะไรและฉันเป็นอะไร ให้ฉันเป็นแค่นัท และให้นายเป็นแค่ซิน แล้วเรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกันอีกสักครั้ง ...ได้มั้ย”


                มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบเท่านั้น ซินถอนสายตาจากผมก่อนจะหันมองออกไปนอกกระจก แต่ผมถือว่าผมได้พูดในสิ่งที่ต้องการออกไปหมดแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือเพียงแค่คำตอบจากซินเท่านั้น หลังจากนี้สองวันที่ซินไม่มีงาน หวังว่าหลังจากนั้นผมจะได้รับคำตอบที่ผมรอคอย คำตอบที่จะบอกได้ว่า ผมควรจะอยู่หรือไป...

 

TBC.
..................
เรื่องราวในอดีตค่อยๆเผยออกมาที่ละน้อยแล้วนะคะ
ไม่รู้ว่าจะเดากันได้หรือยัง

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเหมือนเคยนะคะ
คุณบอดี้การ์ดของเราก็ต้องสู้ต่อไป!!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-08-2013 20:53:33
มีแนวโน้มจะไปด้วยดี เย้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 27-08-2013 23:50:26
เอาใจช่วยคุณบอดี้การ์ดค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 28-08-2013 13:09:03
อื้ออออ พี่นัทอ่ะ
ชูป้ายไฟเชียร์พี่นัทเต็มที่ !!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน3 กลัว [27/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 28-08-2013 20:00:32
อร๊ายยยย  คุณศลป.กำลังจะอ่อนลงแล้วใช่ไหม ดีใจจัง

เชียร์พี่บอดี้การ์ดนะ เอาชนะใจคุณศลป.ให้ได้ไวๆๆ

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4 อดีต1 [28/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 28-08-2013 22:35:03
4.1

((อดีต))



                “นัท แก้ตรงนี้หน่อย เราว่ามันแปล่งๆ”


                ภายในห้องนั่งเล่นของคอนโดแห่งหนึ่งในเมืองกรุง คนสองคนนั่งกันอยู่กลางห้อง รอบตัวมีเศษกระดาษกับดินสอกระจายไปทั่ว


                คนโตกว่ายื่นหน้าไปมองตัวโน๊ตที่อีกคนยื่นมาให้ ละมือที่เกากีต้าร์เล่นไปเรื่อยเปื่อยไปรับกระดาษแผ่นนั้นมา


                “ตรงไหน”


                “เนี่ย ตรงเนี้ยะ” นิ้วเรียวชี้ไปตรงจุดที่ตนขัดใจ


                “ก็เพราะดีออก”


                “แต่เราไม่ชอบ” น้ำเสียงเอาแต่ใจจากคนตัวบางเรียกให้คนตัวโตกว่าหันไปมอง พร้อมกับเอื้อมมือไปขยี้หัวกลมๆนั่นอย่างหมั่นไส้ เรียกให้คนตัวบางร้องโวยวายเสียงดัง พาให้คนตัวโตหัวเราะอย่างชอบใจ


                “อย่าเล่นสิ! จะได้เสร็จซะที”


                “เหนื่อยก็พักสิ จะรีบไปไหน”


                “ไม่เอา อยากทำให้เสร็จ จะได้เอาไปอัดทำเดโม” ร่างหนาชะงักไปนิด ก่อนจะวางกระดาษแผ่นนั้นลงยกกีต้าร์บนตักไปวางบนโซฟาที่ทั้งสองคนนั่งพิงกันอยู่ และลุกขึ้นยืน คนตัวบางมองการกระทำนั้นงงๆๆ จนเมื่ออีกคนเดินอ้อมมาด้านหลังและนั่งลงกอดเขานั่นแหละถึงเข้าใจ หน้าใสขึ้นสีแดงระเรื่อในทันที


                “หิว” คนตัวโตพูดเสียงอ้อนได้น่าหมั่นไส้จนอีกคนนึกหมั่นเขี้ยวหยิกเข้าให้เสียหนึ่งที


                “ฉวยโอกาสตลอด”


                “ก็หิวจริงๆ” คนตัวบางหัวเราะขึ้นน้อยๆ จะว่าไปก็นั่งทำงานมากันจนดึกดื่นข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน


                “อยากกินอะไร”


                “อยากกินคนแถวนี้ แต่ไม่รู้จะยอมมั้ย” ไม่พูดเปล่า ยังเอาหน้ามาซุกซอกคอขาวให้จั๊กจี้เล่นอีกต่างหาก


                “ทะลึ่ง!!” คนตัวบางตวาดแหวก่อนจะดิ้นดุกดิ้กๆ พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ “หิวก็ลุก เดี๋ยวไปทำอะไรให้กิน”


                ได้ยินแบบนั้นคนตัวใหญ่ถึงได้คลายอ้อมกอดออกพร้อมกับรอยยิ้ม


                “เดี๋ยวช่วยนะ! เข้าห้องน้ำแป๊บนึง”


                “ไปทำอะไร” คนตัวบางหันมาถามกันด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์


                “อยากรู้ก็เข้าไปด้วยกันดิ”


                “วกเข้าเรื่องนี้อีกและ”


                “เริ่มเองนะ”


                “ยอมๆ”


                คนตัวโตกว่าหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี คนตัวบางจึงลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป หยิบข้าวของออกมาเตรียมอย่างคุ้นเคย บ่อยครั้งที่ต้องมาทำอาหารให้คนที่ทำอะไรเองไม่เป็น ของในตู้เย็นที่เขามักซื้อมาเติมให้เสมอ มือเรียวหยิบสิ่งที่ต้องการออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ


                “ทำอะไรครับ” เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเบียดตัวเข้ามาใกล้ และเอาคางเกยไหล่คนตัวเล็ก


                “สปาเก็ตตี้...”


                “ซอสมะเขือเทศ” อีกคนต่อให้จนจบประโยค


                “ถูกต้อง”


                “กินจนหน้าจะเป็นเส้น”


                “แล้วจะกินมั้ย”


                “กินคร้าบบบบ”


                ตากลมมองค้อนให้กันเสียหนึ่งที ก่อนจะหันไปสนใจกับของตรงหน้าแทน คนตัวโตจึงเดินไปค้นอะไรบางอย่างบนตู้ก่อนจะเดินกลับมา จับไหล่บางทั้งสองข้างหมุนหันมาหาตัวเอง


                คนตัวบางเลิ้กคิ้วมองอย่างงงๆ


                “อะไร”


                “ใส่นี่ก่อน เดี๋ยวเสื้อเปื้อน” มือหนาเอื้อมมือเอาบางอย่างคล้องคอให้อีกคน ‘ผ้ากันเปื้อน’ คนตัวบางก้มมองก่อนจะหัวเราะก๊ากออกมา


                “ลายกระต่ายสีชมพูเนี่ยนะ แหว๋วไปหน่อยรึเปล่า”


                “เหมาะกับซิน น่ารักดี”


                ใบหน้าหวานอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่ายผูกเชือกให้แต่โดยดี

………




                หนึ่งเสียงหวานใสดังควบคู่ไปกับอีกหนึ่งเสียงกีต้าร์ที่เข้ากัน ดังก้องกังวานไปทั่วห้องนั่งเล่น ดีที่ห้องนี้เก็บเสียง ไม่งั้นคงได้โดนเพื่อนข้างห้องด่ากันไปแล้ว


                ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเปล่งเสียงไพเราะออกมาตามท่วงทำนอง อีกคนเองก็เช่นกัน มือเรียวกรีดนิ้วไปตามสายกีต้าร์พร้อมรอยยิ้ม


                มีความสุข ที่ได้ทำสิ่งที่รัก กับคนที่รัก...


                คนหนึ่งมีความสุขที่ได้ร้องเพลงให้กับเสียงกีต้าร์ที่ร้องเพลงไม่ได้


                อีกคนมีความสุขกับการทำให้เสียงร้องนั้นมีชีวิตมากขึ้น


                ทุกๆจังหวะ ทุกๆท่วงทำนองที่ใส่ความรักเข้าไป ถ้าขาดสิ่งไหนไป บทเพลงเหล่านั้นคงไม่สมบูรณ์ 

……



                “นัท อยู่ไหนแล้ว รอนานแล้วนะ”


                “จะถึงแล้วอีกนิดเดียว”


                คนตัวบางนั่งรอคนที่นัดกันไว้แต่มาสายไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้าง ใบหน้าหวานที่เรียกสายตาจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้มากมาย แต่ตอนนี้ใบหน้าหวานนั้นกำลังหงิกงอเพราะนั่งรอมานานแล้วอีกฝ่ายก็ยังไม่มาสักที


                จนเมื่อมองไปเห็นร่างคุ้นตาที่วิ่งมาแต่ไกลก็ยิ่งหน้าบูดขึ้นไปอีก


                “มาแล้วครับ ขอโทษ”


                “ไม่มาพรุ่งนี้ไปเลยล่ะ”


                “ก็กลัวว่าถ้ามาพรุ่งนี้ซินจะไม่รอ”


                “ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก!”


                “ขอโทษครับ”


                “เรารอนานมาก”


                “เดี๋ยวเลี้ยงข้าวนะ”


                “แล้วเราก็นั่งคนเดียว”


                “เดี๋ยวเลี้ยงไอติมด้วย”


                “แล้วก็หงุดหงิดสุดๆไปเลย”


                “นัทขอโทษจริงๆซิน พอดีมีเรื่องคุยกับพ่อนิดหน่อย อย่าโกรธเลยนะ”


                “ช่างเหอะ เข้าไปข้างในกัน”


                ทั้งๆที่จะมาช่วยเลือกกีต้าร์ตัวใหม่ให้แท้ๆเลย กลับมาสายซะได้

…………………




                “แกจะไปเที่ยวเล่นหรือใช้ชีวิตไร้สาระของแกยังไงที่ผ่านมาฉันไม่ว่า แต่แกคิดที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นไปตลอดหรือไง ยังไงแกต้องกลับมาดูแลกิจการของที่บ้าน เพราะสุดท้ายที่นี่ก็ต้องเป็นของแก จะใช้ชีวิตไปวันๆแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ!”


                “แต่ผมก็มีสิ่งที่ผมอยากทำเหมือนกัน!”


                “แล้วโรงฝึกนี่ล่ะ แกจะปล่อยให้มันตายไปพร้อมๆกับฉันหรือไง!!”

……



 
                “พี่ที่ห้องอัดเขาแนะนำค่ายเพลงมาค่ายนึง เราว่าก็น่าสนใจดี เลยอยากจะอัดเดโมให้จริงจังสักที” เสียงถามจากร่างบางทำให้คนตัวโตกว่านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ


                “ก็ดีนะ ลองดู”


                “เดี๋ยวเราลองไปถามรายละเอียดเขาอีกทีก่อน”


                “อืม... ซิน สมมติว่า ถ้านายร้องเพลงโดยที่ไม่มีฉัน ...ได้มั้ย”


                คนตัวบางหันมาหากันในทันที


                “ทำไมถามแบบนี้”


                “เปล่า แค่ถามเฉยๆ”


                “ถ้าไม่ใช่เสียงกีต้าร์ของนัทเราก็ไมอยากร้องเพลงหรอก”


                “ปากหวานนนะเนี่ยเรา” มือหนายื่นไปหยิกแก้มคนต้วบาง ดึงเบาๆ


                คำพูดหยอกล้อจากอีกคนทำให้ซินยิ้มออก ลืมความกังวลเมื่อกี้ไปซะสนิท แต่ในใจนัทตอนนี้กลับยิ้มไม่ออกเสียแล้ว…

……


 

                “ตานัท ช่วงนี้พ่อเขาสุขภาพไม่ค่อยดีเลย แม่อยากให้เรากลับบ้านบ้าง มาช่วยดูที่โรงฝึกบ้างนะลูก” โทรศัพท์จากแม่ทำให้นัทคิดไม่ตก ถ้าเลือกโรงฝึก ก็จะไม่มีเวลาให้ซิน แต่ถ้าเลือกซิน ใครจะเป็นคนดูแลโรงฝึกต่อจากพ่อ...


                สองอย่างที่ตัดใจเลือกไม่ลง


                คนตัวโตหันไปมองกีต้าร์ตัวโปรดที่วางพิงอยู่ที่มุมห้อง ต้องทำยังไงดี...


……




                (ซิน พรุ่งนี้นัทไปด้วยไม่ได้ ซินไปคนเดียวได้มั้ย)


                “ได้ไง พรุ่งนี้อัดเดโมนะ”


                (แต่นัทไปไม่ได้จริงๆ ซินหาคนอื่นเล่นแทนนัทไปก่อนได้มั้ย)


                “หมายความว่าไงให้คนอื่นเล่นแทน นี่เพลงของเรานะ”


                (แต่นัทไปไม่ได้จริงๆ แค่นี้ก่อนนะ)


                เสียงรีบร้อนจากปลายสายที่ตัดทิ้งทำให้คนตัวบางมองโทรศัพท์อย่างงงๆ หลังๆนี่ทำตัวแปลกไปมาก อยู่ๆเกิดอะไรขึ้น แล้วมีอย่างที่ไหนให้ไปร้องเพลงกับคนอื่น! 


……



                “นัทขอโทษนะ”


                “เราโกรธมากนะ โกรธมากจริงๆ นัทเป็นอะไรอ่ะ เราโทรกลับไปก็ไม่รับ แถมเดโมก็ไม่ได้อัด ทั้งๆที่นัดกับพี่ที่ห้องอัดเอาไว้แล้วด้วย”


                “ขอโทษ”


                “แถมยังให้เราไปร้องเพลงกับคนอื่น จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงก็นี่มันเพลงของเรา”


                “ซิน

 

                นัทเล่นดนตรีกับซินไม่ได้แล้ว...”


                “หมายความว่าไงเล่นไม่ได้”


                “พ่อนัทเข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครดูแลงานที่บ้าน ช่วงนี้แม่ก็คิดมากพาลจะป่วยไปด้วย นัทไม่รู้จะทำยังไงแล้วซิน”


                คนตัวบางเบิกตากว้างอย่างตกใจ


                “ทำไมไม่บอกเรา!”


                “ก็กลัวคิดมาก”


                “เห็นเราเป็นคนอื่นรึไง มีอะไรก็บอกกันสิ ไม่ใช่ทำตัวแปลกๆแบบนี้ แล้วคุณพ่อเป็นอะไรมากมั้ย”


                “โรคหัวใจ หมอบอกว่าถ้าอยากให้หายคงต้องผ่าตัด”


                “ผ่าตัดเลยเหรอ”


                มือบางยกขึ้นลูบหลังคนตัวโตกว่ากว่าช้าๆอย่างปลอบใจ


                “ไม่เป็นนะ คุณพ่อต้องไม่เป็นอะไร รอให้ท่านหายก่อนก็ได้ แล้วเราค่อยมาทำเพลงของเราต่อ นัทอย่าคิดมากนะ”


                “ไม่ได้หรอกซิน นัทคงทำเพลงกับซินไม่ได้แล้ว...”


                มือบางหยุดชะงักในทันที


                “ถ้าพ่อหายนัทคงต้องไปช่วยพ่อดูโรงฝึก”


                มือหนาจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากัน


                “นัทขอโทษ”


                “ไม่เป็นไร ยังไงนัทก็ต้องเลือกที่บ้านก่อนอยู่แล้วนี่เนอะ ไม่เป็นไรหรอก ...ไม่เป็นไร” คนตัวบางพยายามพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับสั่น


                คนตัวใหญ่มองสิ่งเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซินรู้สึกยังไง ทุกๆอย่างที่พยายามมาด้วยกันกลับต้องกลายเป็นศูนย์เพียงเพราะเขาคนเดียว นี่คือความฝันทั้งหมดของซิน แต่เขากลับทำมันพัง


                นัทเอง เจ็บยิ่งกว่าซินหลายร้อยเท่า...

……

.

 


                สุดท้ายซินก็ได้ออกอัลบั้มด้วยการเป็นนักร้องเดี่ยว ผลงานเพลงของเขาได้รับการตอบรับดีอย่างเกินคาด นัทเองก็เข้าไปดูแลโรงฝึกแทนพ่อที่กำลังพักฟื้นตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทุกๆอย่างเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับห่างกันไปเรื่อยๆ


                (พรุ่งนี้เราไปไม่ได้แล้วนะ มีงานด่วนเข้ามา ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวต้องวางแล้วนะ เราแอบมาโทรตอนซ้อม ต้องวางแล้ว!)


                เสียงรีบร้อนก่อนจะตัดสายทิ้งไปของคนรักทำให้นัทถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อย่างนั้น ก็สัญญากันเอาไว้แล้วว่าจะไปเที่ยวกันเพราะว่างตรงกันทั้งที หลังจากไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์


                แต่ช่างเถอะ คงจะยุ่งจริงๆ นึกไปถึงคนตัวบางตอนอยู่บนเวทีก็ต้องยิ้มออกมา ก็ใบหน้าหวานนั่นแลดูมีความสุขมากๆเลยไม่ใช่รึไง ได้ทำงานที่ตัวเองรักก็ต้องมีความสุขมากๆอยู่แล้ว เขาเองก็กำลังพยายามอย่างมากเหมือนกัน คนสองคนที่พยายามไปพร้อมๆกัน ก็ต้องประสบความสำเร็จไปด้วยกันสิ คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็วิ่งกลับเข้าไปในโรงฝึกอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม


                รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่า สักวันมันคงจะหายไป...


TBC.
...........

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4 อดีต1 [28/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-08-2013 09:00:44
น่าสงสาร ต้องเดินกันคนละทางที่ไม่สามารถบรรจบกันได้
เห้ออออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4 อดีต1 [28/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 29-08-2013 11:23:44
เวลาที่ต้องเลือกอะไรสักอย่างแล้วมันสำคัญนี่มันรำบากใจมากเลยนะ เฮ้อ......เอาใจช่วยพี่บอดี้การ์ดค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4 อดีต1 [28/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 29-08-2013 19:00:40
มันยากนะ :hao5:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 29-08-2013 21:06:20
4

((อดีต2))


 

                ร่างบางนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสือเล่มโปรด ผมยาวเป็นลอนสวยถูกรวบมัดเอาไว้ ใบหน้าหวานสวมแว่นสายตาที่เข้ากับใบหน้าเหลือเกิน


                RrrrrrrrrrrRrrrrr


                โทรศัพท์ ที่วางเอาไว้บนโต๊ะหัวเตียงดังขึ้น ทำให้ร่างบางต้องละสายตาออกจากหนังสือ ไปคว้าโทรศัพท์มามอง แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องหลุดยิ้มออกมา


                “อะไร”


                (นอนยัง)


                “นอนแล้วจะรับโทรศัพท์ได้เหรอ”


                (ทำอะไรอยู่)


                “อ่านหนังสืออยู่”


                (ดึกแล้วนอนได้แล้วมั้ง)


                “นอนไม่หลับ”


                (ถ้านอนไม่หลับก็มาเปิดประตูให้หน่อย เดี๋ยวจะไปกล่อม)


                “ตลกละ”


                (เปิดแค่ไฟหัวเตียงอ่านหนังสือ เดี๋ยวสายตาก็ยิ่งสั้นหรอก) ได้ยินแค่นั้นร่างบางก็สะดุ้งในทันที ก็อีกคนรู้ได้ยังไงว่าเขาเปิดไฟหัวเตียง ถ้าไม่ใช่... ร่างบางลุกพรวดเดียวไปถึงหน้าต่างห้องนอน


                (หวัดดีครับ) ร่างคุ้นตายืนพิงรถมอเตอร์ไซค์โบกมือให้กันด้วยใบหน้าทะเล้น


                “มาได้ไง!”


                (ขับรถมาสิ)


                “แล้วมาทำไมดึกดื่นป่านนี้” เสียงหวานตะโกนข้ามหน้าต่างออกไปอย่างลืมตัว


                (เสียงดังขนาดนี้เดี๋ยวคุณพ่อตาก็ตื่นหรอก)


                ทั้งสองคนตะโกนเสียงดังคุยกันทั้งๆที่โทรศัพท์ยังแนบหูอยู่แบบนั้น


                “มาทำไม!” ปากบางกระซิบลอดไรฟันผ่านสายโทรศัพท์ไป


                (คิดถึงก็เลยมาหา อยากเห็นหน้า เมื่อวานนี้คนบางคนเบี้ยวนัดกัน)


                “ก็เราต้องทำงาน!”


                (ลงมาหาหน่อยสิครับ)


                “จะบ้าเหรอ ดึกดื่นป่านนี้แล้วนะ ใครเห็นจะทำยังไง”


                (หรือจะให้ขึ้นไปหาข้างบนดี)


                “นัท!!”


                (น่านะ แป๊บเดียว) ได้ยินเสียงปลายสายหงอยๆไปทำให้ร่างบางต้องถอนหายใจและลงมาหา


                คนตัวบางที่ใส่เสื้อคลุมทับชุดนอนตัวบางเพื่อกันอากาศหนาวยามค่ำคืนเดินมาเปิดประตูรั้วและทำท่าจะเดินออกมาหา แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับดึงให้เดินเข้าไปในรั้ว และพาตรงไปยังสวนหลังบ้าน


                “เดี๋ยวป๊ากับม้ามาเห็นเข้านะ” เสียงหวานกระซิบห้าม แต่อีกคนกลับไม่ฟัง


                “ป๊ากับม้าหลับไปแล้วไม่ใช่รึไง อีกอย่างดึกป่านนี้แล้วคงไม่ออกมาเดินนอกบ้านหรอกมั้ง”


                พอมาถึงในที่ที่คิดว่าไม่น่าจะมีคนมองเห็นได้แล้ว คนตัวใหญ่ก็ดึงคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดในทันที อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมานาน


                “คิดถึงมากๆ จริงๆนะ ถ้าไม่มาหาก็ไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่” เสียงอู้อี้เพราะซุกหน้ากับซอกคอของอีกคนดังขึ้น


                “คิดถึงเหมือนกัน แต่ช่วงนี้งานเราเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาว่างเลย” มือเรียวยกขึ้นกอดคนตัวใหญ่ตอบ ก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกคน


                “ขอโทษนะ”


                “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะน่า เราบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” มือบางดันหน้าอกแกร่งออก ก่อนจะมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม


                “ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันบนเวที แค่ได้อยู่ด้วยกันตรงนี้ก็พอแล้ว...”

……



                แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เมื่อคนสองคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง และเวลาว่างที่ไม่ตรงกัน


                วันนี้ เพราะเป็นโอกาสพิเศษ คุณบอดี้การ์ดฝึกหัดจึงได้โอกาสขอลาหยุดจากงานที่โรงฝึกหนึ่งวัน โทรจองร้านอาหารที่ค่อนข้างจะจองยากด้วยเส้นสายนิดหน่อย ปิดร้านอาหารเพื่อคนพิเศษของเขา ลงทุนไปที่ร้านแต่หัววันเพื่อเรียนทำขนมบางอย่างด้วยตัวเอง จัดโต๊ะและบรรยากาศภายในด้วยความช่วยเหลือจากพนักงานในร้าน ทุกๆอย่างจึงเรียบร้อยตั้งแต่ห้าโมงเย็น คนหล่อจึงมีเวลากลับไปเสริมหล่อต่อที่บ้าน


                หนึ่งทุ่ม ทุกๆอย่างพร้อม พร้อมๆกับที่นัทมาถึงที่ร้าน นั่งรอคนรักที่นัดกันไว้


                แต่แล้ว...


                สองทุ่ม


                ….



                สามทุ่ม


                …


                สี่ทุ่มครึ่ง


                ได้รับข้อความจากซิน


                ((เราคงจะไปดึกหน่อยนะ ขอโทษจริงๆ งานเลิกดึกกว่าที่คิด รอหน่อยนะ))


                …


                ห้าทุ่ม


                …


                 ห้าทุ่มห้าสิบห้า


                “เอ่อ... นี่เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ยังจะรออยู่อีกเหรอครับ” พนักงานในร้านเดินมาถามกับร่างสูงที่นั่งอยู่บนโต๊ะเพียงลำพัง


                “ยังเหลือเวลาอีกตั้งห้านาที เผื่อเขาจะมา ขอรออีกหน่อยนะ”


                “ครับ...”


                …


                เที่ยงคืนห้าสิบเก้า


                ((เราคงไปไม่ได้แล้ว ขอโทษนะ))


                เมื่ออ่านข้อความที่ส่งมาในนาทีสุดท้ายจบ ร่างสูงก็ยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ ก่อนจะเป่าเทียนบนเค้กที่เขาบรรจงทำเองกับมือ


                “สุขสันต์วันเกิดนะซิน...”


                ร่างสูงลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังให้กับเค้กรูปร่างเบี้ยวๆที่ลงมือทำเองเป็นครั้งแรก เขามองมือหนาที่เต็มไปด้วยพลาสเตอร์ยาเพราะมีดบาดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มืออีกข้างที่กำบางอย่างเอาไว้เก็บมันลงในกระเป๋ากางเกง คงไม่ได้ให้แล้วสินะ

…………




                ((เมื่อคืนนี้พี่ๆทีมงานเขาพาไปเลี้ยงต่อหลังเลิกงาน ขอโทษจริงๆนะ)) นัทมองโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าด้านในเสื้อสูท


                วันนี้เขาจะได้ทำงานในฐานะบอดี้การ์ดอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก คงจะไม่ได้ไปหาซินสักพัก และอาจจะไม่ได้ติดต่อกันด้วย เมื่อคืนกะว่าจะบอกตอนเจอกัน แต่กลับไม่ได้เจอกันซะนี่ เอาไว้เดี๋ยวค่อยบอกละกัน

……



                ร่างบางก้มมองโทรศัพท์ที่โทรเท่าไหร่ๆอีกฝ่ายก็ไม่รับ หรือว่าจะโกรธที่เมื่อวานเบี้ยวนัดกันซะดื้อๆ แต่พวกพี่ๆทีมงานพาไปเลี้ยงวันเกิดหลังจากงานเสร็จ จะให้ปฏิเสธก็ไม่ได้ ไหนจะแฟนคลับที่ตามมาอวยพรกันอีก จะปลีกตัวกลับก่อนก็กลัวจะเสียมารยาท


                “ซิน เดี๋ยวเตรียมตัวเลยนะ” เสียงผู้จัดการเดินเข้ามาเรียกทำให้ซินต้องเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า


                “ครับ” ซินตอบรับก่อนจะเดินตามออกไป


                เดี๋ยวค่อยขอโทษละกัน...

……


                จากวัน...


                กลายเป็นสัปดาห์


                จากสัปดาห์


                กลายเป็นเดือน...


                มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆที่ห่างกัน


 

                ((มาเจอกันหน่อยได้มั้ย ที่สวนสาธารณะเดิม))


                มือบางกดส่งข้อความไปแล้ว ก่อนจะสูดเอาอากาศสดชื่นในสวนสาธารณะเข้าปอด เย็นๆแบบนี้ ที่นี่จึงเงียบสงบ และคนน้อย ที่นี่...ที่นัทเคยพามา


                นานแล้วจริงๆที่ไม่ได้เจอ เดือนนึงได้แล้วมั้ง


                เวลาไม่เคยตรงกันเลย


                ...บางทีนี่อาจจะเป็นทางตัน


                ((วัดใจกันมั้ยนัท ถ้านัทมาแปลว่าความสัมพันธ์ของเราอาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ บางที เวลาของเราอาจจะหมดลงแล้ว หกโมงนะ ซินจะรอนัทถึงหกโมง))


                ข้อความสุดท้ายถูกส่งไป โดยที่ไม่รู้ว่าอีกคนจะได้อ่านมันหรือเปล่า


                แต่บางอย่างได้ถูกตัดสินใจไปแล้ว 


                ถ้ายังเห็นว่าเราสำคัญ นัทจะมาใช่มั้ย...

 
                หกโมง


                ไร้วี่แวว ไม่มีข้อความ ไม่มีโทรศัพท์ที่โทรกลับมา ไม่มีอะไรเลย


                นัทไม่มา บางทีอาจจะยังไม่ได้รับข้อความ อาจจะทำงานอยู่ อาจจะไม่ว่าง รถอาจจะติด อาจจะ...


                ช่างเถอะ! ไม่ว่ายังไงนัทก็ต้องมา รออีกหน่อยละกัน


                หนึ่งทุ่ม


                สองทุ่ม


                สามทุ่ม


                คนตัวบางกระชับเสื้อคลุมเข้ากับตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว แต่ก็ยังคงรอ ด้วยความหวังเผื่อว่าเขาอาจจะมา เดี๋ยวจะไม่เจอกัน


                หรือว่าควรจะโทรหาดี...


                คิดได้แบบนั้นมือเรียวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอีกคน


                (ฮัลโหล)


                แต่เสียงจากปลายสายกลับทำให้ซินต้องมองเบอร์ที่ตัวเองโทรไปอีกครั้ง ก็ไม่ได้โทรผิดนี่นา แต่ทำไม...


                (ฮัลโหล นั่นใคร)


                “นัทอยู่มั้ย”


                (พี่นัทไม่ว่างรับสาย มีอะไรรึเปล่า)


                “นั่นใคร”


                (ไม่เห็นจะอยากบอกเลย แค่นี้นะ)


                พูดจบปลายสายก็วางสายไปเลย ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ก็นั่นเสียงผู้หญิงไม่ใช่หรือไง...


                นัทอยู่กับใคร ที่ไม่มาหา เป็นเพราะว่าอยู่กับผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นเหรอ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!


                มือเรียวกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ปากบางเม้มเข้าหากัน


                นี่อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด บางทีอาจจะเป็นเพื่อน หรือใครสักคน...


                แล้วทำไมต้องอยู่ด้วยกันตอนดึกดื่นแบบนี้ ป่านนี้แล้ว ควรจะกลับบ้านได้แล้วไม่ใช่หรือไง


                ไม่จริงใช่มั้ย...


                หรือนี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว บางทีเรื่องของคนทั้งสองคนอาจจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ นัทเป็นผู้ชาย ซินเองก็เป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์แบบนี้จะไปได้ตลอดรอดฝั่งงั้นหรือ


ซินเองเมื่อมายืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสายตาของแฟนคลับ เรื่องแบบนี้จะได้รับการยอมรับอย่างนั้นเหรอ แล้วครอบครัวล่ะ พวกเขาจะเสียใจมั้ย ลูกชายเพียงคนเดียวที่ถูกฝากความหวังเอาไว้ทั้งหมด จะไม่มีลูกสะใภ้ จะไม่มีหลาน


                ถูกแล้ว นัทเลือกถูกต้องแล้ว...


                กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่ควรจะเป็น อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ฝืนไว้ ก็มีแต่จะเจ็บ


                ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะเคยคิดเรื่องนี้บ้าง แต่เป็นเพราะว่ายังอยู่ข้างๆกัน ความสุขบดบังความเป็นจริง ทำให้ฝืนดันทุรังมาจนถึงขั้นนี้ แต่วันนี้ทุกๆอย่างมาถึงทางตัน ไปต่อไม่ไหว ความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ มันก็ควรจะจบได้แล้ว


                ใช่ จบได้แล้ว...


                แต่ทำไมเจ็บแบบนี้ ทำไมข้างในอกมันปวด เป็นเพราะว่าโง่เองที่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้ เป็นเพราะว่าตัวเองทำเอง ก็ต้องทน ต่อให้เจ็บแทบตายก็ต้องทน


                และใช้ชีวิตต่อไป โดยไม่มีกัน...


                กลับไปใช้ชีวิตปกติแบบเดิม ตอนนั้นอยู่ได้ยังไงกันนะ ตอนที่ไม่มีนัท ตอนนั้นใช้ชีวิตอยู่ยังไง นานมากแล้ว จนแทบจะลืมไปแล้ว แล้วต่อจากนี้จะทำยังไงดี


                มือบางยกขึ้นปาดน้ำใสๆที่ไหลมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่หมดไปสักที


                ใบหน้าหวานซบลงกับฝ่ามือ ภายในสวนที่เงียบสนิท มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ลอดออกมาเท่านั้น ไร้เสียงปลอบโยน ไร้มืออบอุ่นที่คอยปลอบประโลมกัน นี่คือบททดสอบใช่มั้ย


                ยากเหลือเกิน ต่อจากนี้ไป


                การใช้ชีวิตต่อจากนี้ไป คงจะยากเหลือเกิน


TBC.
...............
ผู้จัดการที่พูดถึงไปยังไม่ใช่พี่โอ๊ตนะคะ นี่ผู้จัดการคนแรก

อดีตหมดแล้วนะ ตอนต่อไป จะได้เจอกับพี่ซินนนนน
อยากอ่านกันมั้ยเอ่ยยยย

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นของทุกๆคนด้วยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-08-2013 21:36:52
สงสารทั้งคู่ เวลาไม่ตางกัน
แถม นัทคงไม่ได้อ่านข้อความแน่ๆ
เห้อออออ
แต่ตอนนี้อยู่ด้วยกันแล้วรีบปรับความเข้าใจกันน๊าาาา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 29-08-2013 22:22:37
  :sad4: :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-08-2013 23:22:02
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 30-08-2013 00:20:16
เรื่องอดีตก็ผ่านไปแล้ว มารอลุ้นปัจจุบันค่ะ  :mew6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 30-08-2013 11:51:08
อ่านช่วงอดีตแล้วปวดใจแทน ต่างคนต่างช่วงเวลาไม่ตรงกัน

ไม่ใช่เลิกรักหรืออย่างไร แค่ยังไม่เข้าใจถึงเหตุและผลของอีกฝ่ายก้เท่านั้น

รอลุ้นกับเหตุการณ์ปัจจุบัน เอาใจช่วยทั้งคู่ค่ะ

รอติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 30-08-2013 12:06:49
อื้อหือ นั่น อ๊ายยย
ปวดใจ T.T
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน4.2 อดีต2 [29/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Flirter_kung ที่ 30-08-2013 21:27:32
แจ่มมากครับ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 30-08-2013 22:09:08
5

-Special Sin talk-    ((ถามใจ ))



                เคยมั้ยที่มีความรัก และคาดหวังกับมันมากๆ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ไป เพราะคิดว่าเขาคือคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆ คือคนที่มีความฝันเดียวกัน ก่อนที่ทุกอย่างจะพังลงตรงหน้า พังครืนลงไม่เป็นท่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่คิดว่ามันใช่ กลับไม่ใช่...


                โลกมันดูเคว้งคว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า ราวกับว่ามีใครมาขโมยเสียงหัวเราะของเรา ความสุขหายไป ท้องฟ้าที่เคยสวยงามกลายเป็นสีเทา


                แล้วสุดท้ายเราก็ต้องเริ่มรักษาตัวเอง ชีวิตเราต้องก้าวต่อ เรายังมีความฝันที่จะต้องทำให้สำเร็จ ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง


                แล้ววันนี้ กลับมาอีกทำไม...


                ถามกันแบบนั้นทำไม


                ต้องการอะไรอีก


                ในเมื่อตอนนั้นก็เลือกที่จะไป...


                ทำงานติดกันนี่มันเหนื่อยจริงๆ ไหนจะยังโดนไอ้บ้าโรคจิตที่ไหนก็ไม่รู้ลวนลามอีก ดีที่...มาช่วยเอาไว้ทัน แถมยังโดนกอดอีกต่างหาก จะทำให้หวั่นไหวกันไปถึงไหนนะ บอกตามตรงว่าตกใจมากเลยที่เห็นหน้ากันตอนแรก ทำไมต้องเป็นคนคนนี้ด้วย แถมยังทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักกันอีกต่างหาก แล้วอยู่ดีๆมาจู่โจมเราแบบนี้ได้ยังไง


                ทำแบบนี้เพื่ออะไร ไม่เข้าใจจริงๆ


                อยู่ดีๆจะให้เราตอบคำถามงี่เง่าพรรค์นั้น จะต้องให้เรามาคิดทบทวนเรื่องอะไรอีก ในตอนนั้นก็เข้าใจทุกๆอย่างได้มากพอแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องทุกๆอย่าง มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือไง


                คนที่เคยเจ็บมากๆ ผิดด้วยเหรอ ถ้าจะกลัวกับการเริ่มต้นใหม่


                แล้วไปตรังคราวนี้ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเลยเหรอ แบบนี้ก็แย่สิ ทำไมนะ ยิ่งอยากอยู่ห่างๆ แต่กลับเจอตลอดเลย สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะปิดหนังสือและวางมันลงข้างๆเตียงและถอดแว่นออก ไม่มีสมาธิอ่านแล้วจริงๆ


                ผมพิงหัวกับหัวเตียงก่อนจะหลับตาลงช้าๆเพื่อพักสายตา แต่อยู่ๆประโยคหนึ่งของนัทกลับวิ่งเข้ามาในหัว


                ‘เรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกัน ...ได้มั้ย’


                แก้ไขอดีตอย่างนั้นเหรอ ทำได้เหรอ ความรู้สึกที่เสียไปแล้วจะนำมันกลับมาได้เหรอ ...มันจะเป็นไปได้หรือไง ในตอนนั้น ผู้หญิงที่รับสายในตอนนั้น ก็นัทเลือกถูกแล้วไม่ใช่หรือไง แล้วจะกลับมาแก้ไขอะไรกันอีก ทำไมมีแต่เรื่องที่เราไม่เข้าใจ


                ในหัวมีแต่คำว่าทำไม ทำไม


                ผมสะบัดหัวก่อนจะลืมตาขึ้น และเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ยื่นออกมาจากหนังสือบนชั้น อะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เดินไปหามัน


                ...รูปโพลารอยด์...


                สีจางลงมากแล้ว กรอบกระดาษสีขาวที่เก่าจนกลายเป็นสีเหลือง ในรูปมีคนสองคนโดยที่คนตัวโตกว่าโอบไหล่อีกคนเอาไว้ และหน้าของเขาที่หันมามองหน้าอีกคนโดยที่ไม่ได้มองกล้อง ผิดกับคนตัวเล็กกว่าที่หันมายิ้มกว้างให้กล้อง รอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากจริงๆ มากจนขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด


                ก็ดูสายตานั่นสิ สายที่มองกันนั้นมันคืออะไร จะมองกันด้วยสายตาอบอุ่นแบบนั้นทำไม ถ้าสุดท้ายแล้วก็ต้องไป เสียงแว่วในอดีตดังลอยมาให้ได้ยินกันอีกครั้ง


                ‘หันไปมองกล้องสินัท เราถือกล้องเมื่อยแล้วนะ!’


                ‘มองทำไมกล้อง ซินน่ามองกว่าเยอะ’


                ‘อย่ามาตลก! นี่ถ่ายรูปอยู่นะ’


                ‘ก็ถ่ายไปสิ’


                เสียงหัวเราะในอดีตทำให้เผลอยิ้มตามไปด้วย แต่ก็ต้องรีบหุบลงทันที ไม่ได้นะ ไม่ๆ มือรีบผลักรูปกลับเข้าที่เดิม ไม่ได้นะซิน อยากกลับไปเจ็บแบบเดิมอีกหรือไง


                “ซิน ลงมากินข้าวเถอะลูก” เสียงม้าเรียก ทำให้ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้นก่อนจะหันหลังเดินออกมา และลงไปข้างล่าง


                “โห น่ากินมากก” เดินมาถึงก็เห็นม้ากำลังจัดโต๊ะอยู่ เลยเดินไปกอดข้างหลังซะเลย


                “ปากหวานจริงนะจ้ะ หิวล่ะสิ”


                “มากอ่ะ”


                “กินเยอะมากระวังอ้วนล่ะ” เสียงป๊าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดังขึ้น


                “อย่าพูดสิป๊า เดี๋ยวลูกก็ประชดด้วยการไม่กินข้าวเย็นอีกหรอก” ม้าหันไปดุป๊าให้ ป๊าหัวเราะใหญ่เลย


                “ซินไม่อ้วนหรอก ซินหุ่นดี” ผมตอบก่อนจะเดินไปนั่งด้านข้างของป๊า ก่อนที่ป๊าจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ


                “เอ้อซิน วันมะรืนจะไปตรังแล้วใช่มั้ยลูก” ม้าถามขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งทานข้าวกัน


                “ฮะ”


                “เตรียมของรึยัง ไปหลายวันใช่มั้ย”


                “เตรียมไปบ้างแล้ว”


                “ให้ป๊าไปด้วยมั้ย” เสียงพ่อพูดแทรกขึ้นมาทำให้ผมหันไปมองงงๆ


                “จะไปทำไมล่ะป๊า ลูกไปทำงาน คุณพี่โอ๊ตก็ไป ใช่มั้ยลูก” ม้าพูดขึ้น ผมละขำม้าจริงๆที่เรียกพี่โอ๊ตว่าคุณพี่โอ๊ต จะพี่โอ๊ตก็ไม่ใช่ จะคุณโอ๊ตก็ไม่เชิง พี่แกก็ยิ้มรับหน้าบานเลยตอนที่ได้ยินครั้งแรก


                “ไปฮะ พี่โอ๊ตต้องไปดูแลซินอยู่แล้ว ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”


                “จริงสิ คุณบอดี้การ์ดคนใหม่เป็นยังไงบ้างลูก เข้ากันได้มั้ย” อยู่ดีๆม้าก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาซะงั้น


                คำถามนี้ตอบยากจัง


                “ก็ดี”


                “ตอบแบบนี้แสดงว่าไม่ดี” ป๊านี่รู้ทันตลอดเลย


                “ไม่ใช่ไม่ดี เขาก็โอเค ดูแลซินดีมากแหละ”


                “แต่...” ป๊าพูดขึ้นต่อ


                “...ก็บังเอิญเป็นคนรู้จัก”


                “เป็นคนรู้จักก็ดีสิ ใครเหรอลูก ป๊ากับม้ารู้จักมั้ย”


                ซวยล่ะสิ


                “เอ่อ เพื่อนสมัยเรียนอ่ะ เพื่อนคนละกลุ่ม ป๊ากับม้าไม่รู้จักหรอก”


                “เหรอ งั้นเอาไว้ว่างๆซินพาเขามาเที่ยวที่บ้านบ้างสิ ม้าจะได้ทำอาหารอร่อยๆให้เขาทาน ต้องมาดูแลลูกชายสุดดื้อของม้า ต้องตอบแทบเขาหน่อย”


                “ซินไม่ได้ดื้อสักหน่อยม้า! ไม่ต้องพามาหรอก เขาคงไม่อยากมา”


                “อ้าว ทำไมล่ะ”


                “ม้า! อันนี้อร่อย ทำบ่อยๆนะฮะ” ผมรีบพูดเบี่ยงประเด็นไปอย่างอื่นก่อน ยังไม่อยากให้ป๊ากับม้ารู้ว่าเป็นนัท ไม่งั้นอาจจะได้เปลี่ยนบอดี้การ์ดใหม่อีกรอบแน่ๆ


                เอ๊ะ!


                แล้วทำไมถึงไม่อยากเปลี่ยน?


                ก็เพราะไม่อยากวุ่นวายไง! ใช่ แบบนั้นแหละ เปลี่ยนหลายๆรอบวุ่นวายจะตาย


                ...เฮ้อ


                ป๊ากับม้ารู้จักนัท เพราะเมื่อก่อนก็มาหาที่บ้านบ่อยๆ แต่เมื่อตอนนั้นที่นัทมาส่งที่บ้าน ที่ยอมให้ช่วยขนของเข้ามาในบ้านเป็นเพราะว่าป๊ากับม้าไม่อยู่ แต่ต่อไปคงต้องระวังมากขึ้นซะแล้ว


                เมื่อทานอาหารเสร็จก็นั่งดูโทรทัศน์และคุยกันต่ออีกสักพักก็ขอตัวขึ้นมาบนห้อง         
             

                นานๆจะได้พักผ่อนอยู่บ้านสักที แบบนี้ดีจริงๆไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มอย่างนี้นานแล้ว


                ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเล่น สักพักก็ต้องวางมันลงและหันมาหยิบหนังสือแทน พยายามอ่านให้เนื้อหาพวกนั้นเข้าหัว แต่ก็ไม่เลย ยิ่งอ่านก็ยิ่งพาลไม่สนุกไม่รู้เรื่อง เป็นเพราะว่าตอนนี้จิตใจไม่ได้อยู่กับหนังสือที่ถืออยู่เลย ทำไมถึงคิดอยู่แต่เรื่องเรื่องเดียวนะ


                ‘เรามาแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดด้วยกัน ...ได้มั้ย’


                ทำไมคำถามคำถามนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัวไปมา สลัดทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ออก ทำไมกันนะ


                ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราลืมเรื่องราวทุกอย่างไปหมดแล้วไม่ใช่หรือไง เราตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ทำไม พอเจอหน้าเขาอีกครั้ง ทุกๆอย่างถึงกลับกลายเป็นศูนย์ เรื่องที่ลืมไปแล้วกลับจำได้ ทุกอย่างที่เคยโยนทิ้งไป มันย้อนกลับมาได้ยังไง ทำไมทุกๆอย่างถึงได้ย้อนกลับมาที่เดิม


                หรือเป็นเพราะว่า มันยังคงอยู่ที่เดิม เพียงแต่...เราเลือกที่จะมองไม่เห็นมัน


                คิดถึง ทั้งๆที่ไม่ควรคิด…


                พอๆๆๆๆ พอได้แล้ว!


                ผมปิดหนังสือลงดัง ปั๊บ! ก่อนจะโยนมันไปอย่างส่งๆบนโซฟาด้านข้าง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องอ่านมันละ!


                เฮ้อ...


                นอนเถอะ นอนได้แล้วซิน ฟุ้งซ่านมามากพอแล้ววันนี้

.........

                วันนี้ม้าชวนมาเดินเล่นที่ห้างแถวๆบ้าน มีคนรู้จักเดินเข้ามาทักบ้างสักคนสองคน ยังดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุด คนเลยน้อย


                ‘นานๆได้หยุดอยู่บ้านสักที มาเดิมเที่ยวกับม้าหน่อยละกัน’ พูดแค่นั้นคุณม้าคนสวยก็ลากออกมาจากบ้านทันที


                “ซินอยากได้อะไรมั้ยลูก” แม่ถามขณะเดินดูร้านต่างๆไปเรื่อยๆ


                “ซินไม่อยากได้อะไรหรอก ม้าต่างหากพาซินมาเดิน ม้าอยากได้อะไรมั้ย”


                “สิ่งที่ม้าอยากได้ ม้าได้มาแล้ว” ผมหันไปมองม้าอย่างงงๆ ซึ่งม้าก็ยิ้มกว้างตอบกลับมา


                “ม้าแค่อยากได้เวลาว่างๆ เดินจูงมือดูนู่นดูนี่กับลูกของม้าบ้างเท่านั้นเอง” ม้าพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปดูของต่อ


                ได้ยินแบบนี้ก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะ บางทีไปทำงานกลับบ้านดึกๆ ม้าก็อยู่รอรับ ได้เจอหน้ากันก็แค่แป๊บเดียว บางทีก็ไม่ได้กลับบ้านเพราะต้องออกต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับท่านจริงๆจังๆเลยสักที


                คิดได้แบบนั้นผมก็เลยกอดท่านไปหนึ่งทีในระหว่างเดินนั่นแหละ ซึ่งม้าเองก็หัวเราะก่อนที่ผมจะคว้าแขนม้ามาควงเอาไว้และเดินดูนู่นดูนี่ไปด้วยกัน


                “เอ๊ะซิน นั่นนัทไม่ใช่เหรอลูก” ชื่อที่ม้าพูดขึ้นทำให้ขาหยุดเดินในทันที ทำไมโลกถึงได้กลมขนาดนั้น


                บางที อาจจะไม่ใช่ ม้าอาจจะจำผิด ม้าไม่ได้เจอนัทนานขนาดนั้นอาจจะมองผิดไป


                “ไม่ใช่หรอกมั้งม้า ไปเหอะ”


                “ใช่สิ นั่นไง เดินอยู่คนเดียวตรงนั้นไง แหมไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังหล่อเหมือนเดิมเลย เอ๊ะ หรือว่าหล่อขึ้น” ม้ามองออกไปทำให้ผมต้องหันไปมองบ้าง


                ใช่จริงๆด้วย แต่...ทำไมมาเดินคนเดียวล่ะ ไม่มีสาวๆควงมาด้วยหรือไง


                “เข้าไปทักหน่อยมั้ย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ม้าที่เดินนำหน้าไปทำให้ผมรั้งแขนเอาไว้แทบไม่ทัน


                “ไม่เอาม้า ไม่เอา”


                “ทำไมล่ะลูก คนรู้จักกันเจอกันก็ต้องทักสิ จะทำเหมือนไม่รู้จักได้ไง”


                ที่ตอนเจอเราทีแรกยังทำเป็นเหมือนไม่รู้จักเลย! จะทักทำไม


                “ไม่อยากทัก”


                “ซินไม่ทัก งั้นม้าทักนะ”


                “ม้า!”


                จังหวะนั้นเองที่นัทเดินมาทางนี้พอดี และหันมาเห็น...


                เห็นทำไมเนี่ย!


                ดูเขาเองก็ตกใจเหมือนกันที่เจอเรา แต่ก็ยังหันไปยกมือไหว้ม้าด้วยรอยยิ้ม


                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตานัท เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีมั้ย” ม้ายื่นมือไปจับแขนนัท ซึ่งเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นอีก ทำไมม้าต้องทำดีกับคนคนนี้ด้วย คนคนนี้ทำให้ลูกม้าต้องเจ็บนะ


                “สบายดีครับม้า ม้าล่ะครับสบายดีมั้ย” ไม่ใช่ม้านายซะหน่อย นี่ม้าเรา!!


                “สบายดีลูก แล้วมาคนเดียวเหรอเนี่ย”


                “ครับ มาคนเดียว มาซื้อของให้แม่ครับ”


                “อ๋อ แหมดีจริง แล้วจะไปไหนต่อล่ะเนี่ย”


                “ก็เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วล่ะครับ”


                “ถ้าไม่ได้มีธุระอะไรต่อที่ไหน ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย กับม้ากับซิน”


                “ไม่เอา!!” ทันทีที่ได้ยินม้าพูดผมก็รีบปฏิเสธในทันที ทำไมต้องชวนด้วย!


                “เอ่อ...” นัทเองก็เก้อไปเหมือนกันที่ผมรีบปฏิเสธออกไปแบบนั้น


                “ทำไมล่ะซิน พูดแบบนี้ไม่ดีเลยลูก ไม่น่ารักเลยนะ” ม้าหันมาทำตาดุใส่ ก่อนจะตีแขนผมเบาๆ


                ก็ไม่อยากให้ไป!


                นัทหันมามองหน้าผม และเมื่อผมหันไปมองเขาก็ยิ้มให้นิดๆ ก่อนที่ผมจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ต้องมายิ้มให้กันเลย! บ้าหรือไง


                แค่นี้ยังทำให้หัวใจเต้นแรงไม่พออีกเหรอ!!


                อันตรายจริงๆ


                เกราะบางๆของเรามันกำลัง...


                “ไม่เป็นไรครับม้า เชิญม้ากับซินดีกว่า เดี๋ยวแม่ผมจะรอนาน อีกอย่างไม่อยากรบกวนด้วย ตามสบายเถอะครับ”


                รู้ตัวว่าจะรบกวนก็ดีแล้ว


                “เสียดายจัง ว่างๆแวะไปที่บ้านบ้างนะ ไม่ได้เจอกันนานเลย”


                “เอ่อ... ครับ” นัทตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


                ฮึ! ก็ลองไปดูสิ ป๊าได้เอาปืนมายิงแน่ๆ


                “งั้นนัทกลับบ้านเถอะ กลับดีๆนะลูก”


                “ครับม้า ขอบคุณครับ” นัทยกมือไหว้ม้าอีกครั้ง ม้าเองก็ยิ้มรับก่อนจะหันไปสนใจผ้าพันคอที่ร้านข้างๆ ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับ เขา เพียงลำพัง


                “รีบกลับไม่ใช่เหรอ รีบไปสิ” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม


                “ฉันจะรอคำตอบจากนายนะ”


                “คำตอบอะไร”


                “ซิน...”


                “....”


                “พรุ่งนี้นะ ฉันจะรอฟัง...”


                พูดจบเขาก็เดินออกไปเลย... คำตอบจากฉัน นายอยากฟังนักหรือไง


                “ซิน ผืนนี้สวยมั้ย” เสียงเรียกจากม้า ทำให้ผมต้องหันไปมอง ม้าชูผ้าผันคอสีน้ำตาลขี้ม้าให้ผมดู ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ


                “สวยฮะ เนื้อผ้านุ่มดี”


                “ซินเอามั้ย ม้าซื้อให้”


                “ผืนเก่าก็ยังดีอยู่เลย”


                “เอาเถอะ จะได้เอาไปตรังวันพรุ่งนี้ด้วย เผื่อโดนลมทะเลแล้วจะไม่สบาย นะ” เพราะรอยยิ้ม และเพราะความเป็นห่วงของม้าทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง


                สุดท้ายก็ได้มันมา และหลังจากเดินเลือกร้านอาหารอยู่พักหนึ่งก็เจอร้านถูกใจ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดูดีร้านหนึ่ง


                “ไม่ได้เจอนัทนานแล้วเน้อะ” ม้าพูดขึ้นในระหว่างที่รออาหารที่สั่งไป


                ทำไงดี ไม่อยากโกหกม้าเลย บอกม้าเรื่องนัทดีมั้ยนะ


                “ม้า”


                “ว่าไงลูก”


                “ซินมีเรื่องจะบอก”


                “อะไรจ๊ะ”


                “คือว่า... นัทเขาเป็นบอดี้การ์ดคนใหม่ของซินเอง” พูดออกไปแล้ว


                “อ้าวตายจริง!” ม้าทำท่าตกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา


                “แบบนี้ก็ดีสิ ม้าจะได้อุ่นใจที่คนดูแลซินคือนัท”


                “แต่ซินไม่ชอบเลย ทำไมต้องเป็นเขา ซินไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็น”


                “ทำไมล่ะ เมื่อก่อนม้าก็เห็นว่านัทก็ดีกับลูกของม้าจะตาย”


                “ตอนเริ่มอาจะดี แต่ตอนจบมัน...”


                “ซิน... สมัยเด็กๆ ม้าจำได้ว่าลูกเคยหัดขี่จักรยานแล้วรถล้มใช่มั้ย แถมยังร้องไห้ใหญ่เลยด้วย แล้วยังบอกอีกว่าจะไม่ขี่จักรยานอีกแล้ว ม้าโอ๋ตั้งนานก็ไม่ยอมหยุด ต้องบอกว่าจะพาไปกินไอศกรีมถึงได้ยอมหยุด ใช่มั้ยจ๊ะ”


                “ฮะ” อยู่ๆม้าถามเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม นั่นมันตั้งแต่เจ็ดแปดขวบนู่นแล้ว


                “แต่พอสองวันถัดมาซินก็กลับมาหัดขี่มันใหม่เหมือนเดิม ไม่เห็นจะกลัวล้มเลย แถมยังหัดขี่จนขี่จักรยานได้เลยนี่นา”


                “....”


                “แล้วซินคนกล้าตอนนั้นของม้าหายไปไหนแล้วลูก”


                “....”


                “บางที การพยายามเริ่มต้นใหม่ อาจจะดีกว่าการจมปลักอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆนะ”


                “เริ่มต้นใหม่ ก็ต้องเริ่มกับคนใหม่ๆสิฮะ ไม่ใช่คนเดิม”


                “ก็ถ้าคนๆเดิมเขาไม่ได้ตั้งใจ แล้วอยากจะแก้ไขในสิ่งที่มันผิดพลาด ลูกก็ควรที่จะให้โอกาสเขาสักครั้งไม่ใช่เหรอ”


                “....”


                “ม้าไม่รู้ว่าเราทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร ม้ารู้แค่ว่า เวลาที่นัทอยู่กับลูกของม้า ลูกของม้ามีความสุข ลูกของม้ายิ้มกว้างมากกว่าที่ยิ้มให้ใครๆ นัทเอง มองลูกด้วยสายตาแบบไหน ม้าเฝ้ามองมาตลอดทำไมจะไม่รู้ แต่อยู่ๆ นัทก็หายไป สาเหตุนั้นไม่ว่ามันจะเป็นเพราะว่าอะไร แต่ม้าคิดว่านัทจำเป็น เขาเองก็คงไม่ได้อยากจะห่างกับลูกของม้าหรอกใช่มั้ย เรื่องนี้ซินก็น่าจะรู้ดี”


                “....”


                “แต่พอนัทหายไปซินของม้าก็เริ่มเปลี่ยนไป ซินที่ยิ้มเก่งของม้ากลายเป็นคนที่ไม่ค่อยร่าเริง ยิ้มยากขึ้น ดวงตาที่เคยเปร่งประกายสดใสกลับมืดหม่นลง ลูกของม้าไม่มีความสุขม้าก็พลอยไม่มีความสุขไปด้วย ม้าที่เฝ้าดูลูกเติบโตมาตลอดทำไมจะไม่รู้ ระหว่างที่มีเขากับไม่มีเขา แบบไหนลูกของม้ามีความสุขมากกว่ากัน เป็นซินเองไม่ใช่เหรอลูกที่ปิดกั้นเขาในทุกๆอย่าง และถอยออกมาตรงนี้”


                "คนสองคนที่มีเวลาไม่ตรงกัน มันก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ"


                "แต่ตอนนี้เวลาของลูกกับเขาตรงกันแล้วไม่ใช่เหรอ เขาเองตอนนี้ก็มาอยู่ข้างๆลูกแล้ว ถึงแม้ว่าจะในฐานะบอดี้การ์ด แต่อย่างน้อย เขาก็มาอยู่ข้างๆลูกแล้วไม่ใช่หรือไง ในตอนนั้นถ้าลูกไม่ได้พยายามที่จะหัดขี่จักรยานอีกครั้ง ลูกจะรู้มั้ยว่าการขี้จักรยานมันสนุกมากแค่ไหน แผลเล็กๆน้อยๆที่แลกกับความสุข มันก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอลูก"


                “...”


                "ไม่ใช่แค่ลูกเองที่มีแผล นัทเองก็มีเหมือนกัน ทำไมไม่ลองให้โอกาสกันดูสักครั้ง ช่วยกันรักษาแผลเก่าให้มันหายไปจริงๆสักที"

                "แต่นัทเป็นผู้ชาย...ซินเองก็เป็นผู้ชาย ม้ารับได้เหรอที่ลูกม้าเป็นแบบนี้"


                "ม้ารักลูก และม้าก็จะรักคนที่ลูกรัก ความรักมันเลือกไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นกลับใคร คนบนโลกมีเป็นพันเป็นล้าน กว่าเราจะหาคนคนนี้เจอมันยากแต่ไหน กว่าลูกของม้าจะยิ้มได้กว้างเท่านี้ มีความสุขมากเท่านี้ แล้วทำไมม้าจะต้องผิดหวังด้วยล่ะลูก ม้าควรจะดีใจสิที่ลูกของม้าเจอคนที่เขารัก แล้วก็รักเขา"


                "...."


                "ซินลองถามใจของตัวเองดูดีๆ ว่าตอนนี้ซินรู้สึกยังไง ม้าเองก็บอกซินได้แค่นี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับซินแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าซินจะเลือกแบบไหน ยังไงม้าก็รักลูกเสมอ รู้ใช่มั้ย"


                "รู้ฮะ ซินรักม้านะ"


                "ม้าก็รักลูกจ้ะ"


                ความอบอุ่นจากมือของม้าที่ยื่นมาจับมือผมมันอบอุ่นไปถึงหัวใจ ม้าผมน่ารักที่สุดเลยใช่มั้ยล่ะ


                ที่นี้...ก็เหลือแค่ถามหัวใจตัวเองแล้วสินะ

 
                END sin talk


TBC.
.........

พบกันตอนหน้านะคะ >3<
 
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-08-2013 22:28:14
รักหม่าม๊าสุดๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 30-08-2013 22:49:03
 o13 คุณม๊านี่สุดยอดอ่ะ

 :L1: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 31-08-2013 02:38:55
หนูรักคุณม้า
พี่ซิน เปิดใจค่ะเปิดใจ นะนะนะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 31-08-2013 03:14:12
รักม๊าจังรักทั้งในนิยายและชีวิตจริง คราวนี้พีี่ศลป.คนเก่งคงตัดสินใจได้แล้วสินะ พี่นัทรอฟังได้เลย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-08-2013 04:43:58
 :katai2-1:

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 31-08-2013 13:07:23
รักม้า :o12:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน5 -Sin talk- ถามใจ [30/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Yundori ที่ 31-08-2013 16:46:43
เปิดใจค่ะ บอกได้คำเดียว
เขากลับมาแล้ว ถ้าไม่คว้าเขาไว้
รับรองเลยว่าคราวนี้นัทหายไปจริงๆแน่
ถึงจะเจ็บมาก แต่ลองอีกสักครั้ง ก็ไม่เสียหายเนอะ
ถ้ามันจะเจ็บอีกสักครั้งก็ให้มันรู้ไป !
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 31-08-2013 22:18:02
6

((Sweet Trang))



                วันนี้วันออกเดินทาง ผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า ไปบริษัทเพื่อไปเอารถและไปรับซินที่บ้าน ซึ่งคราวนี้คุณแม่ของซินออกมาส่งลูกชายที่หน้าบ้าน แอบตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆบอกให้ไปรับ เสียวสันหลังว่าจะเจอคุณป๊าอยู่เหมือนกัน แต่โชคดีที่มีคุณแม่ออกมาส่งคนเดียว แบบนี้คุณแม่ก็รู้แล้วสิเรื่องงานผม


                “สวัสดีครับม้า”


                “สวัสดีลูก ยังไงม้าฝากซินด้วยนะ ถ้าดื้อก็กำราบได้เลย”


                ผมรับคำพูดม้ายิ้มๆก่อนจะหันไปมองซินที่หันไปตะแง๊วๆใส่ม้าตัวเอง แต่ยังไม่วายเหลือบตาไปมองด้านหลังม้ากับซินอย่างหวาดๆ


                “ป๊าไม่อยู่หรอกลูก ออกไปทำธุระตั้งแต่เช้าแล้ว” โดนม้าจับได้ซะแล้ว


                “เอ่อ แหะๆ”


                ไม่ใช่ว่าผมใจไม่ถึง แต่เป็นเพราะว่ายังเตรียมตัวมาไม่พร้อมกับลูกปืนต่างหาก จะตายโดยที่ยังไม่ได้ยินคำรักจากซินได้ยังไง


                หลังจากที่ร่ำลากับม้าจนเสร็จซินก็ยอมขึ้นรถโดยที่ผมขนกระเป๋าขึ้นรถให้เรียบร้อยแล้ว ผมเปิดประตูให้เขาซึ่งเขาก็ยอมขึ้นมาแต่โดยดี ผมมองกระจกหลังเห็นม้าของซินยืนโบกมืออยู่ตรงนั้นจนลับสายตาไป บรรยากาศในรถก็กลับมาเงียบเหมือนเคย


                “ซิน...” ไม่ใช่ว่ารีบหรืออะไร ก็คนมันอยากได้คำตอบไวๆนี่


                “รถออกเดินทางกี่โมง” แต่ยังไม่ได้ทันจะได้ถามอะไรก่อนคุณซินเธอก็ถามขึ้นมาซะก่อน


                “เจ็ดโมง เครื่องขึ้นแปดโมงครึ่ง รถของบริษัทออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว”


                “พี่โอ๊ตล่ะ ถึงรึยัง ไม่เห็นโทรมาเลย”


                “ถึงแล้ว เห็นยุ่งๆอยู่ วิ่งไปนู่นมานี่ เช็คของอยู่ล่ะมั้ง เออนี่ซิน...”


                “พี่โอ๊ตไปพร้อมเราใช่มั้ย”


                “ใช่ ซิน...”


                “ของีบแป๊บนึง ถึงแล้วเรียกด้วยนะ”


                “ซิน...”


                เฮ้อ... ไม่เป็นอะไร โอกาสอยู่ด้วยกันยังมีทั้งวัน ไม่รีบก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงนายก็หนีฉันไม่พ้นหรอกซิน 


                ขับรถมาได้สักพักคุณโอ๊ตก็โทรมาบอกให้ไปส่งซินที่สนามบินได้เลย ไม่ต้องไปที่บริษัทแล้ว เดี๋ยวให้คนขับรถกลับบริษัทเอง ยังดีที่ออกมายังไม่ไกล ไม่งั้นคงต้องอ้อมโลกกันแน่


                ผมแอบเหลือบตามองคนหลับไม่จริงที่เบาะหลัง ยังคงนั่งไขว่ห้างหลับตาอยู่ แต่คิ้วนี่ขมวดกันเป็นปม ผมเร่งรัดเขามากไปหรือเปล่านะ เวลาสองวันจะพอมั้ยสำหรับเขา แต่เขาจะรู้มั้ยว่าสองวันสำหรับผมมันยาวนานแค่ไหน ไหนจะยังตอนที่เจอกันที่ห้างนั่นอีก แม่ผมวานให้ไปซื้อของจุกจิกให้นิดหน่อย เงยหน้ามาอีกทีหัวใจแทบวาย กำลังคิดถึงอยู่ดีๆเจอกันซะงั้น บอกตามตรงตอนแรกไม่เห็นม้าเลยด้วยซ้ำ เห็นแต่หน้าซิน จนเห็นม้านั่นแหละ หัวใจวายไปในทันที ก็แหม ทำกับลูกชายเขาไว้นี่ คนมันมีความผิดติดตัว แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างเลยทักทายสวัสดีไป ซึ่งม้าก็น่ารักมาก ทำตัวเหมือนเดิมราวกับว่าที่ผ่านมาไม่มีอะเลย


                คำตอบจะเป็นยังไงกันนะ กลัวอยู่เหมือนกัน.... 


                เกือบๆสิบโมงเราก็ได้มาเหยียบบนผืนแผ่นดินจังหวัดตรังเป็นที่เรียบร้อย แฟนคลับของซินบางส่วนก็แวะมารับซินกันจนถึงสนามบิน ไม่รู้ไปได้เที่ยวบินของซินมาจากไหนกันนะ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร รู้กันไปหมดจริงๆ


                คนสวยของผมก็ยังคงแจกจ่ายรอยยิ้มได้อย่างทั่วถึงเหมือนเคย วันนี้ซินใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าสบายๆกับกางเกงยืนสีซีด ดวงตาคู่สวยถูกบดบังด้วยแว่นดำที่เจ้าตัวงัดขึ้นมาใส่ตั้งแต่ถึงสนามบินที่กรุงเทพ ซินยืนให้แฟนคลับถ่ายรูปอยู่สักพัก คุณโอ๊ตก็มาสะกิดบอกผมให้พาซินไปขึ้นรถได้แล้ว


                ผมจึงเดินไปข้างๆเขาและบอกว่าต้องไปแล้ว ซินถึงได้บอกลาแฟนคลับแล้วบอกให้ไปเจอกันที่งานเย็นนี้ ผมถือโอกาสโอบเอวบางนิดๆ และเอามือกันด้านหน้าของซินฝ่าบรรดาแฟนคลับเดินมาขึ้นรถ ซินถองผมไปสองสามทีเมื่อผมเบียดตัวเข้าหาเขามากเกินจำเป็น


                นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลย


                บนรถตู้ที่ทางรีสอร์ทส่งมารับ ผมนั่งเบาะหน้าสุด ซินนั่งเบาะกลางกับคุณโอ๊ต ด้านหลังเป็นทีมงานอีกสองคน ชื่อฝ้ายกับกิ๊บ 


                ไม่นานก็มาถึง รีสอร์ทที่เราจะพักกันอยู่ติดทะเล บรรยากาศดีมาก ต้นไม้เยอะพอสมควร ร่มรื่นดีทีเดียว งานวันนี้มีตอนหกโมงที่เวทีริมหาด มีศิลปินหลายท่านที่มาร่วมงานวันนี้ บรรยากาศฟังเพลงกินลมชมทะเลแบบชิลๆ ความจริงแล้วงานมีวันเดียว แต่เราจะอยู่เที่ยวพักผ่อนกันต่ออีกสามวัน เท่ากับว่าครั้งนี้เราจะอยู่ที่ตรังทั้งหมดสี่วัน


                และไม่ทราบว่าด้วยสิทธิพิเศษอะไรก็แล้วแต่ แต่ครั้งนี้ผมได้อยู่คนเดียวในห้องพักที่คนอื่นๆเขาก็อยู่กันสองคนสามคน ยกเว้นคุณศิลปินที่ต้องได้อยู่คนเดียวอยู่แล้ว กับคุณโอ๊ตอีกคนหนึ่ง และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือห้องผมอยู่ด้านข้างซินพอดี และห้องคุณโอ๊ตก็อยู่ถัดจากห้องผมไป อาจเป็นเพราะความปลอดภัยของซินผมถึงต้องมาอยู่ใกล้ๆมั้ง


                และเพราะว่ายังมีเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลางาน ทุกคนจึงเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง ผมเองก็เดินไปสำรวจรอบๆห้อง ห้องนี้มีระเบียงซึ่งมองออกไปก็เจอกับชายหาดพอดี สวยจริงๆครับ ลมเย็นๆที่มีกลิ่นไอทะเลพัดเข้ามาในห้อง สดชื่นจริงๆ ผมวางกระเป๋าสัมภาระทิ้งไว้ข้างๆเตียงก่อนจะเดินออกมารับอากาศสดชื่น แต่พอมองไปด้านข้างก็ต้อง แอบยิ้ม


                หึหึ ระเบียงห้องติดกันนี่หว่า...แบบนี้ก็...


                แต่อย่าลืมว่าถ้ามันติดกับห้องซิน ก็ต้องติดกับห้องคุณโอ๊ตเหมือนกัน จะทำอะไรก็คงต้องระวังๆหน่อย แต่ในขณะที่ผมกำลังจะกลับเข้าห้อง ร่างบางที่ห้องข้างๆก็เดินออกมาซะก่อน ผมเลยชะงักอยู่ตรงนั้น


                ซินเดินออกมาก่อนจะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่และเอี้ยวตัวไปมา ในที่สุดก็หันมาเห็นผม ตากลมโตเบิกกว้างในทันที


                “นัท!!”


                ผมส่งยิ้มพร้อมกับยักคิ้วไปให้สองสามทีเป็นการทักทาย วันนี้วันตัดสินชีวิตผมแล้ว ขอใส่ไม่ยั้งเลยแล้วกันนะครับ


                “ทำไม...ระเบียงติดกันเหรอ!”


                “ถูกต้อง ดีจัง สะดวกดี”


                “สะดวกบ้าอะไร! อย่ามายิ้มแบบนี้นะ”


                “ซิน ฉันรอคำตอบจากนายอยู่นะ” ผมยิ้มก่อนจะตีสีหน้าจริงจัง เพื่อให้เขาเห็นว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้จริงๆ เขาจึงหลบสายตาผมไปทางอื่นและเงียบไป


                “ซิน”


                “อากาศดีแบบนี้ อยากออกไปเดินเล่นจัง”


                หืมม??


                “แต่ถ้าลงไปต้องโดนแฟนคลับรุมแน่ๆเลย”


                ฮะ?? อะไรคือการที่ซินพึมพำคนเดียวแต่จงใจให้ผมได้ยินแบบนี้


                “ไปชวนพี่โอ๊ตดีมั้ยน้า”


                “ฉันไปเอง เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” ก็ตั้งใจจะชวนกันชัดๆเลยไม่ใช่หรือไงน่ะ แต่...


                “ให้ไปตอนนี้ไม่ได้หรอกซิน แฟนคลับบางส่วนรู้ว่าซินพักอยู่นี่ ลงไปตอนนี้คงโดนรุมจริงๆนั่นแหละ เอาไว้ตอนอื่น เดี๋ยวพาไป”


                ซินหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผม


                “ใครบอกว่าจะไปกับนาย เราไม่ชวนสักหน่อย”


                คนตัวบางสะบัดหน้าออกไปรับลมอีกครั้ง ผมเป็นลอนนั่นพริ้วไหวไปตามแรงลม รอยปมระหว่างคิ้วหายไปแล้ว เหลือเพียงใบหน้าผ่อนคลายที่เชิดขึ้นรับความสดชื่นนิดๆ ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองดูคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวมั้ย แต่เขาเองก็เริ่มที่จะกะเทาะเกราะบางๆของเขาออกมาหาผมเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าตัวยังทำซึนอยู่เท่านั้นเอง


                มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดๆเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมมองลงไปด้านล่างเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีใครมองอยู่ และไม่ได้มีแฟนคลับคนไหนรู้ใช่มั้ยว่าซินอยู่ห้องนี้ เมื่อเห็นว่าทางสะดวก ผมก็เริ่มกระทำการอุกอาจในทันที


                ซินมองผมที่กำลังพยายามปีนข้ามระเบียงไปที่ห้องเขาอย่างตกใจ คงกำลังงงจนทำอะไรไม่ถูก และกว่าเขาจะรู้ตัวผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาในระเบียงห้องเดียวกันเรียบร้อยแล้ว


                “เฮ้ย!!” ช้าไปมั้ยจ๊ะซิน


                ผมรีบดึงคนตัวบางเข้ามาในห้องทันที ปิดประตูตีแมวซะเลยดีมั้ย แมวตัวนี้ยิ่งซึนๆอยู่ด้วยสิ


                “เฮ้ย! จะทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยเรา นี่มันห้องเรานะเข้ามาได้ไง!!” คนตัวบางรีบสะบัดมือออกทันที ซึ่งผมก็ยอมปล่อยออก เพราะรู้ว่าถ้าขืนเอาไว้ข้อมือเล็กๆนั่นต้องช้ำแน่ๆ ตอนนี้อยู่ในห้องเดียวกันแล้ว หนีไม่พ้นแล้วล่ะ


                “กลับห้องตัวเองไปเลยนะ จะบ้ารึไง”


                “ใช่ บ้า บ้ามากด้วย ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินคำตอบของนาย”


                ซินยืนนิ่ง ตัวเกร็งแข็งขึ้นมาในทันที


                “เราไม่มีคำตอบอะไรจะให้”


                “ซิน”


                “อย่าเข้ามาใกล้นะ! เราร้องให้คนช่วยจริงๆด้วย”


                ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินเข้าไปหาคนตัวบางช้าๆโดยที่เขาเองก็ถอยหลังไปเรื่อยๆจนชนเข้ากับขอบเตียงและเสียหลักล้มนั่งลงบนเตียงนั่นแหละ และตอนนี้ผมก็อยู่ด้านหน้าของเขาแล้ว ซินมองหน้าผมอย่างหวาดๆ คงกลัวว่าผมจะทำอะไรเขาน่ะสิ เห็นใบหน้าตกใจนั้นแล้วมันหมั่นเขี้ยว จับกดซะดีมั้ยเนี่ย ไหนว่าจะร้องให้คนช่วย ก็ยอมอยู่นิ่งๆจนถึงตอนนี้เลยไม่ใช่หรือไง


                “อย่านะ” ซินถอยหลังไปเมื่อเห็นว่าผมโน้มหน้าเข้าหาเขา แต่ผมทำเพียงแค่คุกเข่าลงตรงหน้าเขาเท่านั้น มือผมเอื้อมมือไปจับมือเขาเอาไว้ ซึ่งซินก็พยายามที่จะชักมือกลับ แต่ครั้งนี้ผมไม่ปล่อยเหมือนครั้งที่แล้วหรอกนะ


                “ฉันขอแค่คำตอบเท่านั้นเองซิน บอกคำตอบของนายให้ฉันได้มั้ย ถ้าคำตอบนั้นคือไม่ ฉันก็จะไป จะไม่มาวุ่นวายกับนายให้รำคาญกันอีก ถ้าความผิดของฉันในอดีตมันมากมายเกินกว่าที่นายจะยอมให้อภัย ฉันก็ยินดีที่จะไป แค่นายบอกมาคำเดียว”


                ซินจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม มองให้ลึกเข้าไปถึงในใจฉันเลยนะซิน มองให้เห็นไปเลยว่าคนคนนี้รักนายมากเท่าไหร่ แคร์นายแค่ไหน เห็นบ้างมั้ยนัยน์ตาฉันมีแค่นาย เห็นมันบ้างมั้ยซิน ที่นี้นายเองก็เปิดใจให้ฉันบ้างนะ


                ผมเอื้อมมือขึ้นแตะแก้มบางใสนั้นเบาๆ ซินเองก็ไม่ได้หันหน้าหนีไปไหน ดวงตาใสไหววูบ ปากบางเม้มเข้าหากัน


                “ให้โอกาสฉันได้มั้ย ให้โอกาสเรื่องของเรานะ”


                ปากบางเผยอขึ้นช้าๆ ใบหน้าหวานเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ จากโหนกแก้ม เลยไปยังใบหูที่เจ้าตัวจับผมขึ้นทัดเอาไว้แต่แรก ราวกับว่าภายในของเขานั้นกำลังสับสนตีรวนกันไปหมด


                “ค่อยๆคิดก็ได้ แค่อย่าโกหกตัวเองก็พอ”


                ……..


                “อื้อ”


                !!!!


                อื้อ?? อื้อนี่คืออะไร๊!!!


                “อื้อนี่คืออะไรซิน คือไม่โกหกตัวเอง หรือ ให้โอกาสฉัน”


                “ยังจะถามอะไรอีกเล่า!!” เสียงหวานตวาดขึ้น เสียงตวาดที่น่ารักที่สุดเลย!!!


                ผมโผเข้ากอดซินอย่างดีใจ ไม่เคยดีใจเท่านี้มาก่อนเลยโว้ยยยยยยยยยย น่ารักชิบเป๋งเลยแฟนใครวะ!


                “โอ้ย ปล่อยเรานะ! แค่ให้โอกาสไม่ได้แปลว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเลยนะ” ซินดิ้นยุกยิกๆ และเอามือเล็กๆนั่นดันผมออก


                ซึ่งผมก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดี


                “แค่นี้ก็พอแล้วครับ” และมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม


                หน้าซินยิ่งแดงขึ้นไปอีกก่อนจะสะบัดหันไปทางอื่น น่ารักที่สุดเลยซินของผมเนี่ย!!!


                ในขณะที่คนหนึ่งกำลังเขิน และอีกคนกำลังดีใจจนจะกลายเป็นบ้า เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นซะก่อน


                “ซิน เปิดประตูให้พี่หน่อย คุยเรื่องงานแป๊บนึง”


                ฉิบหายแล้ว


                “พี่โอ๊ต/คุณโอ๊ต!!!”       


                “ใครอยู่ในห้องน่ะซิน อยู่คนเดียวรึป่าว”


                อะไรจะซวยแบบนี้วะ ชีวิตนี้มีแต่คนอยากขัดความสุขผม ซินรีบมองซ้ายมองขาวหาทางหนีทีไล่ทันที จะให้ปีนกลับไปตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่ทัน ยิ่งรีบๆลนๆแบบนี้จะพาลพลาดตกลงไปตายซะก่อน จะตายได้ยังไง ยังไม่ได้ซินคืนมาเลยนะ!


                “ซินอยู่มั้ย เป็นอะไรรึเปล่า ซิน” เสียงเร่งจากคุณโอ๊ตทำให้ซินลุกขึ้นวิ่งวนรอบห้องไปมา ผมมองตามร่างนั้นอย่างยิ้มๆ


                “หรือจะให้คุณโอ๊ตรู้ไปเลยดี”


                “จะบ้าเหรอ!! ไปหาที่ซ่อนสิยืนเฉยอยู่ทำไมเล่า”


                “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...”


                “เข้าในห้องน้ำนู้นเลย!” ซินดันหลังผมเข้ามาในห้องน้ำได้จนสำเร็จ ก่อนจะปิดประตูดังปังใส่หน้าผม


                หึหึ นานๆทีจะได้เห็นซินแตกตื่นแบบนี้นะ คิดถึงจังเลย ซินคนเดิมของผม


                ผมแอบเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก ได้ยืนเสียงซินเปิดประตูให้คุณโอ๊ตเข้ามา


                “เป็นอะไรรึเปล่าซิน เปิดประตูช้าจัง พี่ได้ยินเหมือนเสียงใครอยู่ในห้อง”


                “เปล่าพี่! จะมีได้ไงซินอยู่คนเดียว” ผมแอบหลุดขำออกมาในทันที คุณโอ๊ตคงตกใจน่าดู ก็เล่นตะคอกคำว่า ‘เปล่าพี่’ ดังออกขนาดนั้น   


                “เฮ้ย พี่แค่ถามเฉยๆ ตกอกตกใจหมด”


                “เออ แล้วพี่มีไร”


                “โห พูดเหมือนไล่ ก็แค่จะมาบอกคิวขึ้นเวที เดี๋ยวซินขึ้นคิวสามต่อจากสแตมป์ โอเคนะ”


                เสียงคนสองคนคุยกันเริ่มห่างออกไป สงสัยเดินไปนั่งคุยกันที่โซฟาในห้องแล้ว ผมเองก็ยืนเตะอากาศเล่นไปในห้องน้ำก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างๆอ่างล้างมือ ผมจึงหยิบมันขึ้นดูใกล้ๆ ก่อนจะยิ้มออก นึกหมั่นเขี้ยวอยากจะหยิกแก้มไอ้ตัวซึนนอกห้องจริงๆ คิดได้แบบนั้นจึงหย่อนมันลงไปในกระเป๋ากางเกงทันที


                “แค่นี้แหละ แหมรีบไล่กันจริงนะ มีไรป่ะเนี่ย หรือแอบซ่อนใครไว้จริงๆ”


                “จะบ้าเหรอพี่โอ๊ต ซินจะเอาใครมาซ่อนเล่า ซินแค่อยากพักผ่อน นั่งเครื่องแล้วมันเพลีย”


                เสียงซินกับพี่โอ๊ตดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง คงจะกลับแล้วมั้ง รีบเลยพี่ รีบกลับไปเลย ผมจะได้...


                “เฮ้ย ปวดฉี่ว่ะ ขอเข้าห้องน้ำแป๊บดิ”


                เวรของกู จะมาปวดอะไรกระทันหันกันตอนนี้ครับคุณโอ๊ต ไม่ใช่เวลาเลย!


                “เฮ้ยไม่ได้!!!” เสียงซินปฏิเสธลั่นดังกว่าครั้งแรกสามเท่า คาดว่าถ้าผมเป็นคุณโอ๊ตคงผงะไปแล้วเรียบร้อย


                “อะไรวะ แค่ขอเข้าห้องน้ำเอง ปวดมากไม่ไหวแล้ว”


                เอาไงดีๆ หลบหลังชักโครกได้มั้ย ...ไม่ได้ เล็กไป เข้าไม่ถึง โอ้ย เอาไงดีวะ หรือจะหลบในอ่าง แล้วมันจะไปมิดได้ยังไง เห็นทนโท่อยู่แล้ว


                แกร๊ก


                เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมหันไปมองอย่างตกใจ หมดกันภาพพจน์บอดี้การ์ดสุดหล่อ


                แต่คนที่แง้มประตูน้อยๆและแทรกตัวเข้ามากลับเป็นซิน ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปตะโกนกับประตู


                “ซินปวดท้อง! พี่โอ๊ตกลับไปเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเองนู้น เดินไปอีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว รีบไปเลย”


                “อะไรวะ ทำตัวแปลกๆ เออๆ ไปก็ไป” เสียงคุณโอ๊ตบ่นพึมพำ ตามด้วยเสียงปิดประตู ทำเอาผมกับซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปตามๆกัน


                รอดตัวไป


                แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังจะไม่รอด...


                ซินกลับตัวหันมาหาผมก่อนจะตกใจถอยหลังไปชนเข้ากับประตู ก็จะไม่ให้ตกใจได้ไง อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ต้องขอบคุณโรงแรมนี้ครับ ที่สร้างพื้นที่ยืนมาแคบไปนิด


                ซินหันหลังกลับในทันทีทำท่าจะเปิดประตูแต่ผมคว้าลูกบิดเอาไว้ได้ก่อน นาทีนี้นึกขอบคุณโอ๊ตขึ้นมาอีกคนที่อยากเข้าห้องน้ำมาซะเฉยๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ใกล้มากขนาดนี้


                “ปล่อยสิ เราจะออกไปข้างนอก”


                “จะรีบออกไปไหน อยู่ในนี้อบอุ่นดี”


                “อบอุ่นบ้านนายสิ ร้อนจะตาย”


                “ซิน...” ผมกระเถิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น และซบหัวลงบนไหล่เขา


                “คิดถึงมากๆเลย”


                “...”


                “อยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย”


                เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ขยับตัวหนีหรือว่าอะไร ผมจึงปล่อยมือจากลูกบิดและเลื่อนมากอดเอวบางเอาไว้หลวมๆ ตัวนุ่มนิ่มกับกลิ่นที่แสนคุ้นเคย ชักจะไม่อยากทำแค่กอดแล้วสิ


                ผมคลายแขนออก ก่อนจะจับไหล่บางหมุนให้หันมาหาอย่างช้าๆ ทำให้มองเห็นว่าใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด แก้มใสนั่นขึ้นสีอมชมพูน่าหยิกนักเชียว


                “ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะซิน”


                ตากลมเบิกโพลงขึ้นมาในทันทีเมื่อผมเอ่ยชมเขาต่อหน้าแบบนี้ ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิกแขนผมเต็มแรง


                “โอ้ย! เจ็บนะซิน โอ้ยๆๆ ยอมแล้วๆ ปล่อยนะๆ”


                เมื่อหยิกจนสะใจมือบางๆก็ยอมปล่อยกัน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา


                “โรแมนติกมาก ชมกันในห้องน้ำหน้าชักโครกแบบนี้อ่ะนะ” พูดจบก็เปิดประตูห้องน้ำเดินหนีกันไป


                แสดงว่าถ้าไม่ใช่ในห้องน้ำก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ!!


                ผมที่วิ่งตามออกมาเห็นนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่บนโซฟา สายตาแบบนี้ เอาอีกแล้ว เข้าโหมดเจ้านายอีกแล้วสิ ลูกแมวว่านอนสอนง่ายเมื่อกี้หายไปไหนแล้วล่ะ


                “การที่เรายอมตกลง ไม่ได้หมายความว่าทุกๆอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในทันทีหรอกนะ”


                “ทราบแล้วครับ”


                “แล้วการที่เราให้โอกาสไม่ได้หมายความว่าเราจะใจอ่อนได้ง่ายๆ”


                “ครับผม”


                “แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาลวนลามเราได้แบบนั้นอีก”


                ได้ยินแบบนั้นทำให้ผมอดขำไม่ได้จริงๆ นี่นายใช้คำว่าลวนลามเลยเหรอซิน สมยอมชัดๆนะเมื่อกี้


                “จะพยายามให้ถึงที่สุดครับ”               


                “นี่นาย!!”


                “ก็ถ้านายสมยอม ฉันก็ไม่ผิด ถูกมั้ย”


                “นั่นมันไม่มีทาง! เราไม่มีทางสมยอมอยู่แล้ว!!”


                “แน่ใจนะ”


                “นัท!!!”


                “ครับ ^^”


                “กวนประสาทแบบนี้โอกาสครั้งนี้ก็ยกเลิก ยกเลิกๆ”


                “เฮ้ยได้ไง แบบนี้ผิดกติกาแล้วซิน ให้แล้วให้เลยดิ”


                ซินหรี่สายตามองผม สายตาแบบนี้ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เลย


                “เรามีเรื่องจะถาม”


                “ถามได้ทุกเรื่องเลยครับคุณซิน” ซินจิ๊ปากนิดๆก่อนจะถามต่อ


                “วันนั้นใครรับโทรศัพท์”


                ผมที่ได้ฟังคำถามก็งงสิครับ วันนั้น วันไหน แล้วใครรับโทรศัพท์อะไร ยังไง งงสิครับ


                “ขอทวนคำถามได้มั้ย ไม่เข้าใจเลย ขยายความด้วยครับ”


                “ก็เราถามว่าเมื่อวันนั้นใครเป็นคนรับสายเรา”


                “วันนั้นมันวันไหนล่ะซิน แล้วโทรศัพท์ของใคร อะไรยังไง”


                “วันนั้นหลังจากที่เราส่งข้อความไป เราโทรหา แต่มีคนอื่นรับสาย”


                ข้อความ... ข้อความวันนั้นสินะ ข้อความสุดท้ายจากซินที่ผมได้รับ และ...ผมไปไม่ทัน แต่ซินโทรหาผมตอนไหน ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย ก็ตอนนั้นผมอยู่กับ...


                “ดาน่า!!!”


                “ใคร ชื่อแฟนใหม่นายเหรอ”


                “ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่ซิน ...อย่าบอกนะว่าที่นายหายไปเป็นเพราะเรื่องนี้ ให้ตาย นี่มันเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วนะ เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆซิน”


                “ใคร” เสียงเรียบจากซินถามขึ้นนิ่งๆ


                “ดาน่า ลูกสาวนักการเมืองที่ฉันไปเป็นบอดี้การ์ดให้ตอนนั้น วันนั้นที่นายส่งข้อความมา มีงานเลี้ยงการกุศลอะไรสักอย่าง แล้วดาน่าเอาโทรศัพท์ฉันไปขอยื้มเล่นเกมเพราะแบตของเธอหมด กว่าฉันจะเห็นข้อความนายก็ดึกมากแล้ว ไม่รู้เด็กนั่นแอบอ่านข้อความฉันหรือเปล่า ไม่ใช่แบบที่นายคิดเลยนะ”


                “ก็พอจะเดาออก คนซื่อบื้อแบบนายไม่น่าจะหาแฟนใหม่เร็วขนาดนั้น”


                ปากแบบนี้มันน่านักเชียว น่ากดจูบซะให้เข็ดจริงๆ - -


                “ถ้างั้น แล้วทำไม...”


                “ตอนนั้นเราก็มีเหตุผลของเรา นายก็มีเหตุผลของนาย ช่างมันเถอะ”


                “ต่อไปนี้ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ สัญญามาเลยว่ามีอะไรต้องถามกันก่อน อย่าตัดสินใจแทนกันแบบนี้อีก”


                “...”


                “ซิน แค่ระยะเวลาที่ผ่านมาเรายังเจ็บกันไม่มากพออีกหรือไง”


                “รู้แล้วน่า”


                ได้ยินแบบนั้นผมก็เดินตรงเข้าไปนั่งลงข้างๆเขา พร้อมกับเอื้อมมือไปโอบไหล่บางนั่นแบบเนียนๆ ซึ่งซินกระโดดหนีในทันที


                “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าลุ่มล่าม”


                “ไม่ได้ลุ่มล่าม ก็คนมันคิดถึง นายไม่คิดถึงกันมั่งเลยรึไง”


                “ไม่เลย!”


                “จริง?”


                “จริง!!”


                หึหึ ปากแข็งให้ได้ตลอดนะคนเก่ง ผมลูบกระเป๋ากางเกงตัวเองก่อนจะยิ้มออกมา ยึดเอาไว้ก่อนแล้วกัน


                “จูบได้ป่ะ”


                “จะบ้าเหรอ!!! เยอะไปแล้ว!!!”


                เสียงโวยวายของพวกผมยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่กลัวว่าห้องข้างๆจะได้ยินกันเลย


                ก็คนมันมีความสุข จะให้ทำยังไงล่ะครับ จริงมั้ย ??


TBC.
.........
 Sweet Trang ยังไม่จบนะคะ ไว้เจอกันตอนหน้าเด้อ

รักคนอ่านทุกคนนะคะ
คอมเม้นคือกำลังใจของไรท์น้า จุ้บๆ
ชอบหรือไม่ยังไงบอกกันได้เลย

ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 31-08-2013 23:52:20
 :hao6: :hao6:

อิอิ  ซินก็ยอมๆไปเหอะ   :hao7:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 01-09-2013 01:44:09
ชีวิตดีและ เนอะคุณบอดี้การ์ด  :hao3:

จากนี้มีกลเม็ดอะไร ก้องัดมาใช้ซะ  :z2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 01-09-2013 03:02:51
อร๊ายฉันเขิล.............พี่น่ารักกันไปไหมคะ5555555  มาต่อไวๆน้า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-09-2013 04:39:31
รวบตึงเลย !! นัท


 :hao6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 01-09-2013 09:16:51
อร๊ายยยยย ฟิน
ชอบอ่ะ
ขำพี่โอ๊ต หึหึ
น่ารักเนอะ พี่ซินเนี่ย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-09-2013 16:13:12
ทะเลจืดอ้ะงานนี้
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6 Sweet Trang [31/08/56]
เริ่มหัวข้อโดย: moodyfairy ที่ 01-09-2013 17:52:09
ชอบอ๊าาาาาาา แอบเป็น fc คู่นี้อยู่เหมือนกันน ได้อ่านแล้ววววว :hao7: :hao7:
รอจ้ะะ น้องซินจะใจอ่อนในเร็ววันมั้ยน้อออ :heaven
เป็นกำลังมจให้ชายนัทสู้ๆคร้ะะ :katai5:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 01-09-2013 21:46:51
6

((Sweet Trang2)) 



                หกโมงแล้ว บรรยากาศด้านนอกกำลังดีเลย ฟ้ายังไม่มืดเท่าไหร่ ผู้คนมากมายมาจับจองพื้นที่ด้านหน้าเวทีกันจนแทบจะไม่มีที่เหลือแล้ว บรรยากาศชิลมากๆครับ เวทีอยู่ห่างจากโรงแรมไม่มาก ขับรถมาแป๊บเดียวถึง เสียงพีธีกรบนเวทีก็กำลังเอนเตอร์เทนคนดูด้วยการพูดนู่นพูดนี่ หรือเล่นเกมก่อนที่ศิลปินจะพร้อมขึ้นแสดง ตอนนี้ซินก็กำลังนั่งคุยเล่นกับศิลปินคนอื่นๆอยู่ครับ เดี๋ยวคนนู้นเดินมาหยอก เดี๋ยวคนนั้นเดินมาโอบ เดี๋ยวคนนี้เดินมากอด จะให้ยืนดูเฉยๆนี่ก็ชักจะไม่ไหวแล้วครับ


                “อะไร” ซินถามขึ้นเมื่อผมกระเถิบไปยืนข้างๆเขา กางแขนกั้นได้นี่กางไปแล้วนะ


                “เปล่า แค่อยากใกล้ชิด”


                “อย่าเยอะ พี่โอ๊ตก็อยู่ เดี๋ยวได้ตายหรอก” ซินหันมาพูดลอดไรฟังใส่ ผมเลยยิ้มหวานให้เขาไปหนึ่งที


                “ไปยื่นห่างๆนู่น เบียดมากไปแล้ว ในนี้ไม่มีใครสักหน่อย”


                “มีสิ เสือ สิงห์ กระทิง แรด เยอะแยะ เผลอไม่ได้เลยนะ”


                “อะไร หมายถึงใคร”


                “ใครล่ะ เดี๋ยวจับเดี๋ยวโอบ”


                ซินหันมามองค้อนผมหนึ่งทีก่อนจะก้มลงกดโทรศัพท์ของเขาต่อ ผมก็แอบเหลือบมองอยู่บ่อยๆนะว่าแอบแชทกับใครหรือเปล่า แต่เปล่าครับ เปิดอินสตาแกรมเช็คเรทติ้งตัวเองอยู่


                เอาอีกแล้วครับ มาอีกแล้วเสือสิงห์กระทิงแรด


                แสตมป์ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นเด็กแนวทั้งหลาย ดูท่าทางจะสนิทกับซินของผมนะ เดี๋ยวจับมือ จับแขน จับไหล่หลายรอบแล้ว ไอ้เจ้าตัวก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ ชอบนักเหรอให้เขามาจับเนื้อต้องตัวแบบนั้นน่ะฮะ ทีผมจับนิดจับหน่อยงี้สะบัดยังกับกิ้งกือไส้เดือน


                พาลครับ ผมเลยก้าวไปยืนปิดหลังซินซะมิดเลย


                งงสิครับคุณแสตมป์ เขาเงยหน้ามามองผมนิดๆ ซึ่งผมก็แกล้งทำเป็นหันไปมองความเรียบร้อยรอบๆ เขาก็เลยเดินอ้อมไปอีกทาง คราวนี้เข้าข้างหน้าเลยครับ


                “นั่งคนเดียวเหงามั้ยครับคนน่ารัก” แหม่ เอาใหญ่ๆ ผมยืนอยู่ทนโท่ไม่เห็นรึครับ!


                “ไม่เหงาหรอกพี่แตมป์ ว่างเหรอพี่ เห็นเดินไปเดินมา” ไอ้นี่ก็เล่นกับเขา เห็นแล้วมันหมั่นไส้ครับ ใช่ซี่ ผมมันแค่บอดี้การ์ด ใครเขาจะมาเห็นหัว ฮึ!


                “ก็ไม่ว่างหรอก แค่อยากอยู่ใกล้คนน่ารัก” อื้อหือ คำก็น่ารัก สองคำก็น่ารัก ไอ้คุณซินก็ยิ้มเข้าไปสิ เห็นแล้วมันหงุดหงิดครับ


                “คุณซิน อยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ รีบไปตอนนี้ดีกว่า อีกเดี๋ยวต้องขึ้นเวทีแล้ว” ไม่รู้ว่าซินอยากเข้ามั้ย แต่ตอนนี้ผมอยากให้เข้าครับ


                ซินเงยหน้ามามองผมอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าผมพยักหน้าหงึกหงักเขาก็ลุกขึ้นยืน


                “พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย” ยังครับ ไอ้คุณแสตมป์ยังไม่วายเสนอตัวจะไปด้วย


                “ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ผม ผมพาไปเอง” ผมพูดพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกไปนิดหน่อย แสตมป์เลยมองหน้าผมงงๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ซินและเดินออก


                ผมเดินตามหลังซินไป แต่อยู่ดีๆเขาก็หยุดเสียเฉยๆ หันกลับมาหาผม ที่ตรงนี้ไม่มีคนครับ รอบด้านค่อนข้างมืด


                “ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ จะให้เดินไปไหน”


                “เดินไปไหนก็ได้ แค่อย่าอยู่ตรงนั้นนานๆเป็นพอ”


                “ออกตัวแรงนะ”


                “เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบเหรอซิน ไม่ชอบก็บอกเขาไปสิ”


                “จะให้บอกยังไง พี่ ผมไม่ชอบ ต่อไปนี้อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวผมอีกนะ แบบนี้เหรอ” คนตัวบางยืนกอดอกมองหน้าผมอย่างขัดใจ


                “ก็พี่น้องกันทั้งนั้นแหละ”


                “ก็ไม่อยากให้ใครมาแตะนี่ หวง”


                “หวงในฐานะอะไร”


                เจ็บปวด ฐานะอะไรล่ะ ก็ฐานะคนที่รักซินไง ...แหวะ! ไม่กล้าพูดครับ แต่คิดยังอายเลย


                “ก็ไม่ได้ในฐานะอะไรหรอก แต่ไม่ชอบเฉยๆ และก็ไม่ชอบมากๆด้วย”


                “หึ”


                ผมรีบเดินไปขวางซินที่ทำท่าจะกลับไปทางเดิม ก็ไม่อยากให้ไป ไม่ชอบจริงๆนะ ลองนึกดูสิ ให้ใครมาใกล้มาแหย่คนที่คุณรักอ่ะ คุณชอบมั้ย แต่ที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือทำอะไรไม่ได้นี่แหละ


                “นัท เราจะกลับโต๊ะ”


                “กลับได้ แต่ไปอยู่ใกล้ๆคุณโอ๊ต โอเคมั้ย”


                “จะไปอยู่ตรงไหน ถ้าเขาอยากจะเข้ามาหาเขาก็เข้ามาทั้งแหละ”


                แล้วไอ้บอดี้การ์ดอย่างผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ เมื่อกลับมาที่โต๊ะ ผมได้แต่ยืนตีหน้ายักษ์อยู่คนเดียวใกล้ๆซิน จนคุณโอ๊ตต้องเดินมาถามหลายครั้งว่าเป็นอะไรมั้ย ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่อยากต่อยคน เสือสิงห์กระทิงแรดก็ยังคงวนเวียนมาเรื่อยๆ แต่ขาประจำก็นี่เลย คุณพี่แสตมป์ ตอนนี้ถึงขั้นนั่งร่วมโต๊ะคุยกันไปแล้วครับ - -     


                นั่งคุยกันอยู่ได้สักพักก็ต้องลุกไปเพราะถึงคิวขึ้นร้องแล้ว ทีนี้นักร้องของผมก็อยู่คนเดียว เขาหันมาเหล่ผมนิดๆก่อนจะหันไปสนใจโทรศัพท์ แค่นั้นแหละครับ แค่หางตา


                เฮ้อ ผมยืนมองอยู่อย่างนั้นจนคุณโอ๊ตเดินเข้ามา


                “นัท ไปดูที่รถให้หน่อยได้มั้ย คนบอกว่าเห็นใครไม่รู้ไปด้อมๆมองๆแถวรถบริษัท ท่าทางไม่น่าไว้ใจ”


                ซินที่เงี่ยหูฟังอยู่เงยหน้าขึ้นมามองทันที


                “มีไรเหรอพี่โอ๊ต”


                “เปล่า ไม่มีไรหรอก พร้อมยัง อีกเดี๋ยวต้องขึ้นเวทีแล้วนะ” คุณโอ๊ตหันไปยิ้มกลบเกลื่อนให้ซิน ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผมน้อยๆ ผมจึงเดินออกมา


                กรณีแบบนี้มีบ่อย ถ้านายจ้างของผมคือนักการเมือง ศัตรูเยอะมาก อาจจะมีคนแอบรอบตัดสายเบรกคืออะไรเทือกๆนั้น แต่นี่ซินเป็นนักร้อง สงสัยว่าจะเป็นพวกสโตกเกอร์ คนพวกนี้จัดการไม่ยากครับ


                ทันทีที่ผมเดินไปถึงลานจอดรถก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังพยายามส่องเข้าไปข้างในรถ เหมือนกำลังสำรวจว่าข้างในมีอะไรบ้าง ดูท่าจะไม่ใช่แค่สโตกเกอร์ธรรมดาๆแล้วสิ


                “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”


                พวกมันสองตัวสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงผม ผมมองมันสองคนที่มองมารอบๆผม และเมื่อเห็นว่าผมมาคนเดียวมันเลยค่อยๆก้าวมาหาช้าๆ


                “ก็เห็นรถสวยดี”


                มันกำลังกวนตีนครับ


                “ถ้าไม่อยากมีปัญหา ก็ไปไกลๆจากตรงนี้ดีกว่ามั้ง”


                “แล้วถ้าอยากมีปัญหาล่ะวะ!!”


                พูดจบไอ้คนทางขวามันก็พุ่งเข้าใส่ผมทันที ผมก้มหลบหมัดกล้ากลัวๆของมันอย่างชำนาญ


                กระจอก


                ผมก้าวขาหลบพวกมันอีกคนที่พยายามจะเล่นงานผมจากด้านหลัง เหวี่ยงหมัดไปใส่ไอ้คนแรกที่วิ่งเข้ามาอีกรอบ ถีบมันซ้ำไปอีกที จนมันล้มลงไปนอนกับพื้น และหันมาหาอีกคน มันถอยหลังไปตั้งการ์ดมองผมอย่างหยั่งเชิง ไอ้คนนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดา ผมพุ่งเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่มันซึ่งมันก็หลบทัน ก่อนจะพุ่งหมัดเข้าใส่ท้องผมดีที่ผมเอี้ยวตัวหลบจนพ้น มันตามมาอาศัยความเร็วถีบหลังผมเข้าให้เต็มๆ


                จุกสิครับ


                ผมที่คุกเข่าลงกับพื้นหันหลังมาในจังหวะที่ทันกะจะเหยียบผมซ้ำอีกทีคว้าแขนมันก่อนจะเหวี่ยงลงพื้นอย่างเต็มแรง ฝุ่นงี้ตลบไปหมด รปภ.ไปไหนหมดวะ เวลาเกิดเรื่องนี่ไม่เคยเห็นหัวเลยจริงๆ ไม่ใช่ว่าไปยืนร้องเพลงอยู่ข้างเวทีกันหมดนะ!


                โอ๊ย เจ็บหลังฉิบ!


                ในจังหวะนั้นเองที่ไม่ทันได้ตั้งตัว และหันหลังให้มันอยู่ ไอ้คนแรกที่มันล้มไปกองอยู่ที่พื้นก็ลุกขึ้นมา กระโดดถีบ คงกะจะให้ซ้ำที่เดิมแหละแต่ผมหลบทัน ไอ้คนที่สองมันล้มอยู่ใกล้ๆแตะขาข้างขวาผมเต็มแรงจนล้มลง ตามด้วยไอ้คนแรกที่วิ่งเข้ามาซัดหมัดใส่ผมอย่างจัง ได้กลิ่นคาวเลือดเข้ามาในปากทันที


                ไอ้เวร


                ผมลุกขึ้นยืนสลัดไอ้คนที่สองจนหลุด หันไปกระทืบมันซ้ำอีกสามทีจนมันนิ่งไป ฤทธิ์มากนักนะพวกมึง ผมหันมาหามันอีกคนที่งัดมีดพกขึ้นมา


                เออ เข้ามาสิวะ มีดเล่มแค่นั้นทำอะไรผมไม่ได้หรอกเว้ย


                มันพยายามจะแทงมีดใส่ผมแบบผิดๆถูกๆ ผมอาศัยจังหวะที่มันเผลอจับข้อมือข้อมันและพลิกแล้วบิดออก ดัดเข้าด้านหลัง และกดมันลงกับพื้น


                เก่งให้ตลอดสิวะ!!


                “โอ๊ยยยยย ยอมแล้วๆ เจ็บโว้ยยย ปล่อยยย” มันร้องโวยวายเสียงดัง ใช้มืออีกข้างตบพื้นแบบรัวๆ


                “ทำไมวะ เมื่อกี้ยังเก่งอยู่เลย มาทำอะไรแถวนี้! มาวนเวียนทำไมรอบๆรถ!”


                “....”


                มันเงียบครับ ไม่ยอมตอบ


                “ตอบสิวะ! หรือจะไปเข้าตาราง!!” ผมกดแขนมันแรงขึ้น ซึ่งมันก็ร้องโวยวายขึ้นมาอีก เสียงดังขนาดนี้ ยามหายหัวไปไหนน


                “ก็เห็นรถสวยดี แค่อยากดูใกล้ๆ!”


                “อย่ามาโกหก!!”


                “โอ๊ยยย!!!”


                “เกิดอะไรขึ้นครับ!”


                ผมเงยหน้ามองเห็นรปภ.สามคนกำลังวิ่งถือกระบองมา เออ ตามแบบฉบับหนังไทย มาตอนสุดท้ายพอดี มาทำ อะไรตอนนี้ครับ


                “พวกนี้ทำท่าทางแปลกๆแถวรถคนนี้ พกมีด พยายามทำร้ายร่างกายผม ท่าทางไม่น่าไว้ใจ คิดว่าคงกำลังจะงัดรถ แถวนี้ไม่มีรปภ.คอยดูแลหรือไง” ผมถามขึ้นเมื่อรปภ.คนหนึ่งก้มลงมาจับไอ้ขโมยนี่แทนผม


                “เอ่อ... มีครับ แต่...”


                “จัดการต่อแทนผมที และหวังว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าหน้าที่ของพวกคุณก็คือการดูแลความปลอดภัย กรุณาทำหน้าที่ให้รอบคอบด้วย!”


                ผมลุกขึ้นก่อนจะปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า แล้วก็ต้องเสียวแปล๊บๆที่หลัง อู๊ยย แม่งถีบมาเต็มแรงเลย


                “ปากคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หนึ่งในรปภ.ถามขึ้น ผมจึงยกมือขึ้นแตะมุมปากเบาๆ จี๊ดเลย เลือดออกอีกต่างหาก


                “ไม่เป็นไร ฝากจัดการเรื่องนี้ด้วยละกัน”


                “ครับ”


                ผมยืนมองไอ้สองตัวถูกรปภ.ลากไป ก่อนถอนหายใจเบาๆ ลองคิดดูสิว่าถ้าในรถตอนนั้นมีซินอยู่ด้วยจะทำยังไง บ้าจริง! คนเลวๆเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ ตำรวจมัวแต่ทำอะไรกันอยู่นะ


                ผมจัดเสื้อสูทที่หลุดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ให้เข้าที่ กระดุมหลุดหายไปไหนเม็ดนึงด้วย สงสัยต้องให้แม่เย็บให้ใหม่ซะแล้ว ว่าแต่มันกระเด็นหายไปไหนกันเนี่ย


                ผมเดินวนไปวนมาแถวนั้นสองสามรอบ จนเจอไอ้กระดุมที่มันกล้าหลุดออกมาให้แม่ผมต้องเหนื่อยเย็บ แต่ก็ต้องสะดุ้ง นึกขึ้นได้ก็ลูบมือไปที่กระเป๋ากางเกง เฮ้อ ค่อยยังชั่ว มันยังอยู่... 


                ผมแอบอมยิ้มเมื่อนึกถึงเจ้าของมัน ป่านนี้จะรู้ตัวหรือยังก็ไม่รู้ว่าของหาย


                หึหึ


                ผมปัดฝุ่นออกจากเสื้ออีกนิดหน่อยก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ ซินไม่ได้อยู่ที่โต๊ะแล้ว คุณโอ๊ตเองก็เหมือนกัน คงออกไปดูซินบนเวทีที่ด้านข้าง ผมจึงเดินตามออกไป เห็นคนตัวบางหลับตาพริ้มร้องเพลงอยู่บนเวที ผมที่มองยิ้มๆถูกคุณโอ๊ตสะกิดเบาๆ


                “เป็นไงบ้าง”


                “น่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพครับ คงกะจะมางัดรถ”


                “เฮ้ย แล้วเป็นไงบ้าง”


                “ไม่เป็นไรครับ รปภ.มาพอดี ให้เขาจัดการต่อ”


                “ปากแตกนี่!!”


                “ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเอง”


                “ทำแผลก่อนมั้ย”


                “ไม่เป็นไรครับ เลือดมันหยุดไปแล้ว”


                “โหย ตายๆ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไงเนี่ย คนสมัยนี้มันเป็นยังไงนะ.....”


                แล้วคุณโอ๊ตแกก็บ่นอะไรของแกไปอีกสักครู่ใหญ่ ซึ่งผมไม่ได้ฟังต่อ พุ่งสายตาไปที่คนบนเวทีเท่านั้น ความปลอดภัยของนาย คือทั้งหมดของชีวิตฉัน ซิน..
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 01-09-2013 21:47:54
                จะว่าไปเรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับอาชีพแบบผมอยู่แล้ว ปากแตกนี่เรื่องจิ๊บจ๊อยมาก ผมก็เหมือนเกราะกันกระสุนของนายจ้างอยู่แล้ว ต่อให้มีกระสุนวิ่งเข้ามา เราก็ต้องอ้าแขนรับแทนนายจ้างของเรา เรื่องปกติครับ


                ไม่นานซินก็ลงจากเวที ผมกับคุณโอ๊ตจึงเดินเข้าไปหา คอนเสิร์ตยังไม่จบครับ แฟนคลับเลยยังดูกันอยู่ มีแค่บางส่วนที่วิ่งตามออกมาเท่านั้น แต่งานนี้ไม่มีการถ่ายรูปครับ ทำได้แค่วิ่งตามมาถ่ายระหว่างทาง วันนี้ซินก็ยังคงได้รับของติดไม้ติดมือมาอีกตามเคย


                ผมเดินนำเขาไปที่รถ ตามด้วยคุณโอ๊ตและทีมงานอีกสองสามคน แฟนคลับก็ยังคงวิ่งตามกันมาติดๆ แสงแฟลชนี่ส่องกันให้แสบตาไปหมด


                “บ้ายบาย เจอกันใหม่งานหน้าครับ” พูดแค่นั้นแล้วซินก็ก้าวขึ้นรถไป ตามด้วยคุณโอ๊ตและทีมงาน ผมขึ้นคนสุดท้ายและปิดประตูรถ


                “หิวมาก” ซินพูดขึ้นขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวกลับโรงแรม


                “หาอะไรกินแถวนี้มั้ย หรือจะกลับไปกินที่โรงแรม”

                “เดี๋ยวซินกลับไปกินที่ห้องก็ได้ ไม่อยากวุ่ยวายคนเยอะ”


                “โอเค”


                และไม่นานก็ถึงโรงแรม ทุกคนแยกย้ายกันกลับเข้าห้องเพื่อไปพักผ่อน ส่วนผมก็เดินมาส่งซินที่ห้อง คุณโอ๊ตเข้าห้องไปแล้ว เพราะออกจากลิฟต์มาก็เจอห้องคุณโอ๊ตก่อน ตามด้วยห้องผมและห้องซิน


                “เสื้อเป็นอะไร ทำไมมีแต่ฝุ่น” ซินที่เดินตามหลังมาถามขึ้น


                ผมลงก้มลงมองชุดตัวเอง พออยู่ในที่สว่างๆมองเห็นฝุ่นชัดเต็มเสื้อไปหมดเลย ช่างมันจะถึงห้องอยู่แล้ว


                “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ซินเข้าห้องเถอะ” ผมหันไปหาเขาก่อนจะยิ้มให้


                จี๊ดเลย ลืมไปว่าปากแตกอยู่ ผมเลยยกมือขึ้นแตะอย่างลืมตัว เปล่าเลย ไม่ได้ตั้งใจให้ซินเห็นเลยครับ หึหึ


                ซินเลื่อนสายตาไปตามนิ้วผมก่อนจะเบิกตากว้าง


                “ปากไปโดนอะไรมา” ซินเดินเข้ามาดูใกล้ๆทันที


                หึหึ เป็นห่วงกันล่ะซี่ ผมมองหน้าซินที่เดินเข้ามองใกล้ๆก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแผลที่มุมปากผมเบาๆ


                “โอ๊ยยยย” แสดงล้วนๆครับ แผลมันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก แค่อยากร้องดังๆเฉยๆ


                ซินรีบชักมือกลับด้วยท่าทางตกใจทันที


                “ไปโดนอะไรมานัท ที่พี่โอ๊ตเดินเข้ามาคุยด้วยใช่มั้ย เกิดอะไรขึ้น”


                “ไม่มีไรหรอก มีปัญหานิดหน่อย เคลียร์เรียบร้อยแล้ว”


                “ไม่มีไรได้ไง เลือดออกนั่นน่ะ”


                ผมมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มนิดๆ ออกหน้าออกตาไปหน่อยหรือเปล่าซิน เดี๋ยวคิดไกลนะครับ ก็แอบหวังอยู่เหมือนกันนะว่าซินจะเป็นห่วงกันบ้างมั้ย แต่แบบนี้มันเกินคาดไปหน่อย อย่าทำแบบนี้สิ แค่นี้ก็รักจะตายแล้ว


                “ยิ้มบ้าอะไร ไม่เจ็บหรือไงแผลน่ะ”


                หุบยิ้มแทบไม่ทัน


                “ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก” พูดไปทำหน้าสำออยไป หึหึ แอบหมั่นไส้ตัวเองเหมือนกันนะครับเนี่ย


                “มียาทำแผลมั้ย”


                ส่ายหน้าพรืดเลยสิครับงานนี้ ก็ถ้าบอกว่ามีจะได้เข้าห้องซินมั้ยล่ะ ^^


                “เข้ามานี่ก่อน เราพอจะมีบ้าง” ซินพูดประโยคที่เหมือนเสียงสวรรค์ขึ้น เกิดจะเดินนำหน้าเข้าไปในห้อง แต่เดี๋ยวก่อน ขอเล่นตัวสักนิด เดี๋ยวจะหาว่าเราจงใจ


                “ไม่เป็นไรหรอกซิน ไม่อยากรบกวน”


                “งั้นตามใจ เราเข้าห้องละ” พูดจบซินก็ปิดประตูใส่หน้าผมเฉยเลย


                เฮ้ย ได้ไงอ้ะ! ไม่ง้อหน่อยเหรอซินนนนน เปิดประตูก่อนนน ผมยกมือขึ้นเขกหัวตัวเองด้วยความโมโห ไอ้ง่าวเอ้ย คนอย่างซินเคยง้อใครด้วยหรือไง เล่นตัวไม่ถูกเวล่ำเวลาเลย!


                เอาไงดีล่ะวะงานนี้ ใจกล้าหน้าด้านไว้ก่อนแล้วกัน


                “โอ๊ย! เจ็บแผล!!” โวยวายไปก่อนครับ


                ซินเปิดประตูออกมาทันที แต่ไม่ใช่ด้วยสีหน้าตกใจนะครับ แต่เป็นสีหน้าระอาใจ


                “อะไรอีกล่ะ เล่นตัวดีนักไม่ใช่รึไง” คนตัวบางยืนกอดอกพิงขอบประตูถามขึ้น


                “ก็ที่ห้องไม่มียาทำแผล...”


                “แล้ว?”


                “แล้วก็อยากทำแผลด้วย กลัวอักเสบ...”


                “อือฮึ”


                “ทำแผลให้หน่อยได้มั้ยครับ” ผมพยายามทำสายตาลูกหมาออดอ้อนที่สุดเท่าที่จะทำได้ สงสารกันหน่อยน้า


                ซินมองหน้าผมก่อนจะส่ายหน้าไปมา และหลบทางให้ผมเดินเข้าไปด้านใน


                ยู้ฮู้ววววววววววววววว อิจฉากันล่ะสิครับ!


                ผมค่อยๆหย่อยตัวลงบนโซฟาในห้องซิน นี่ขนาดนั่นค่อยๆนะเนี่ย เสียวไปทั้งสันหลังเลย สงสัยคืนนี้ต้องกินยาแก้ปวดก่อนนอน ไม่งั้นพรุ่งนี้ทำงานไม่ไหวแน่ๆ ผมมองซินที่เดินไปรื้อของในกระเป๋า สักพักก็เดินกลับมา นั่งลงข้างๆกัน ในมือบางมีแอลกอฮอล์ สำลี ยาใส่แผล แล้วก็พลาสเตอร์ยา พกของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย


                “ซินพกของแบบนี้ติดตัวด้วยเหรอ”


                “อุบัติเหตุเกิดได้ทุกที่ทุกเวลา มีแต่คนประมาทเท่านั้นแหละที่ไม่เตรียมตัวให้พร้อม” โดนไปสิครับ ผมเลยยิ้มเจื่อนๆพยักหน้าเบาๆ


                “ทำเองเป็นมั้ย”


                “ไม่เป็น” ตอบแบบไม่ต้องคิดกันเลยทีเดียว ซินมองหน้าผมอย่างชั่งใจว่าจะเชื่อดีมั้ย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเอาสำลีจุ่มแอลกอฮอล์


                บอกตามตรงว่าไม่ค่อยถูกกับให้สารเคมีสีฟ้าๆนี่เท่าไหร่เลย แค่ได้กลิ่นก็แทบจะหันหน้าหนีแล้วครับ ใครเป็นคนคิดว่าให้เอาแลกอฮอล์ล้างแผล ใช้น้ำเปล่าไม่ได้รึไง ไม่รู้เหรอว่ามันแสบ (พาลครับ) ซินยื่นสำลีนั่นมาตรงหน้า ผมถอยหลังเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทันที


                “จะทำมั้ยแผลน่ะ หรือว่าจะทำเอง” ขู่กันตลอดเลยครับ เห็นหน้าหวานๆแบบนี้นี่ดุใช่ย่อยเลยนะ


                “แหะๆ” ผมยิ้มน้อยๆก่อนจะโน้มหน้าเข้าหาเขา


                ยังนับว่าเมตตากันมากทีเดียว เพราะซินแตะสำลีลงมาเบาๆเท่านั้น ไม่เจ็บเท่าไหร่แต่มันแสบครับ ผมเบ้หน้าทันทีเมื่อมันเข้าใกล้แผลมาเรื่อยๆ แต่ความแสบก็ค่อยๆหายไปเพราะใบหน้าน่ารักตรงหน้าที่ตั้งใจทำแผลให้กัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อผมหันหน้าหนีก่อนจะส่งตาเขียวมาให้ ตากลมโตที่มองมาที่มุมปากผม ปากบางๆที่อยู่ใกล้กันแค่ลมหายใจ


                “โอ๊ย!!” สะดุ้งเลยสิครับ จ้องอยู่ดีๆซินก็เอาสำลีกดลงมาที่แผลผมเต็มๆ


                “จ้องมากๆ เดี๋ยวคิดตังค์ซะหรอก” ซินมองค้อนผมไปทีนึง ก่อนจะเอาสำลีอีกอันจุ่มยาใส่แผล และแตะลงเบาๆสองสามที แสบจี๊ดๆเลยครับ มือบางหันไปหยิบพลาสเตอร์ยาขึ้นมา


                “พลาสเตอร์ไม่ต้องแปะก็ได้มั้ง เดี๋ยวมันจะเท่เกินไป” ผมบอกซินขำๆ ยังไม่อยากเป็นจิ๊กโก๋ที่ชอบแปะพลาสเตอร์ไว้มุมปากหรือหางคิ้ว อีกอย่างเดี๋ยวก็จะนอนแล้วด้วย


                ซินพยักหน้าก่อนจะวางมันลงข้างตัว


                “เสร็จแล้ว กลับห้องนายไปได้ละ” ไล่กันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยทีเดียว


                “ซิน เหมือนอะไรมันไหลๆออกมาจากแผลเลยอ่ะ มันคันๆ ใช่เลือดรึเปล่า ดูให้หน่อยสิ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆคนตัวบางที่กระเถิบออกไปแล้วให้ดูให้หน่อย


                “น้ำลายหรือเปล่า” ขัดกันตลอดดด


                “ใช่ที่ไหนเล่า ดูให้หน่อยสิครับ” พูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีก ซินก็เลยก้มลงดูให้ ยกมือบางขึ้นแตะๆ


                “ก็ไม่เห็น...” ซินที่กำลังจะตอบหยุดลงทันทีเมื่อผมยกมือขึ้นจับมือเขามากุมไว้ ปากบางที่กำลังจะเอ่ยว่ากันก็ต้องหยุดเพราะผมยื่นอีกมือไปแตะไว้เบาๆ


                “แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ได้มองหน้ากันใกล้ๆ เดี๋ยวเดียวนะซิน” ผมเอ่ยกระซิบขึ้นเบาๆ หวังว่าคนดื้อตรงหน้าจะฟังกันบ้าง เมื่อเห็นว่าเขายอมอยู่เฉยๆแล้ว ก็เอามือที่แตะปากเขาออก


                ผมยิ้มนิดๆเพราะตอนนี้ใบหน้าใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูทีละนิดแล้ว แต่ตากลมโตใสแจ๋วก็ยังมองผมอยู่ ทำได้ยังไงกันนะ ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ผมทนอยู่ห่างคนคนนี้ได้ยังไง ทนอยู่โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าใสๆนี่ได้ยังไง แค่คิดว่าถ้าตอนนี้ต้องห่างกันอีกครั้ง ใจมันก็เจ็บแล้ว แย่ละสิ ถ้าซินเกิดเปลี่ยนใจ ไม่ต้องการผมขึ้นมา หลังจากนี้ผมจะทำยังไง บอดี้การ์ดคนนี้จะทำยังไงถ้าไม่ได้อยู่ข้างๆซิน


                กลีบปากบางสีหวานอยู่ใกล้เพียงแค่นี้เอง ผมโน้มตัวไปด้านหน้าช้าๆ ไม่อยากผลีผลาม ไม่อยากเร่งเร้า ไม่อยากให้ซินตกใจ เดี๋ยวจะหนีกันไปอีก ทั้งๆที่ข้างในของผมมันต้องการแทบตาย ซินค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากเราจะแตะกัน เพียงแค่แตะกันแผ่วเบาเท่านั้น ส่งผ่านความคิดถึงทั้งหมดที่ผมมี ทดแทนความรู้สึกที่สูญเสียไป ผมค่อยๆขยับริมฝีปากช้าๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำทางซินเพื่อให้เขาทำตามผม ก่อนที่ซินจะเผยอปากนิดๆรับลิ้นร้อนของผมเข้าไปสำรวจภายในโพลงปากเขา ลิ้นเล็กร่นถอยหนีเมื่อปลายลิ้นเราสัมผัสกัน ผมจึงค่อยๆแตะเขาเพียงแผวเบาเพื่อให้เขาผ่อนคลาย และยอมโอนอ่อนตาม ริมฝีปากบางจึงค่อยจูบตอบผมอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะรุกเขาหนักขึ้นไปตามแรงอารมณ์ มือบางยกขึ้นขยำแขนเสื้อผมแน่น ผมเองก็โอบเอวบางเอาไว้ทั้งสองข้างก่อนจะเขยิบตัวเข้าแนบชิดเขามากขึ้น เราผลัดกันแรกรสจูบแสนหวานอยู่อย่างนั้น จนซินหอบหายใจแรงขึ้น ผมจึงถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ก็กลัวคนน่ารักจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่อยากเลย   


                ทันทีที่เราแยกห่างจากกันซินก็รีบอ้าปากสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ทันที ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด จะให้ตกหลุมรักกันวันละกี่ครั้งครับเนี่ย


                “ทีหลังหายใจทางจมูกสิครับที่รัก” ซินงี้หน้าแดงแปร๊ดไปเลย ก่อนมือที่ขยำเสื้อผมอยู่จะบิดเนื้อผมเต็มแรง


                “โอ๊ย! ฮ่าๆ เขินแล้วอย่ารุนแรงสิครับ ที่รักเจ็บนะ”


                “โอ๊ยยยซิน! ฉันเจ็บนะ ฮ่าๆ ยอมแล้วๆๆๆ” เนื้อแทบหลุดติดมือเล็กๆนั้นไปเลยครับ มือหนักจริงๆ ผมหอบหายใจยกมือยอมแพ้


                “คนบ้า” เสียงหวานพึมพำเบาๆ


                “บ้าแล้วรักมั้ย”


                “ไม่!!!” ผมหัวเราะกับคำตอบของซิน ถ้าตอบว่ารักสิครับแปลก เพราะนั่นคงไม่ใช่ซินแล้วล่ะ ซึนได้โล่แหละครับคนนี้


                ซินที่รู้ตัวแล้วว่าตกอยู่ในอ้อมแขนผมเริ่มดิ้นยุกยิกๆ แต่มีหรือที่ผมจะปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งเขาดิ้น ผมก็ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น ซินยกมือขึ้นพยายามดันไหล่ผมทั้งสองข้าง


                “ถ้าไม่อยู่นิ่งๆ จะทำแบบเมื่อกี้อีกรอบนะ” ได้ผลชะงักเลยครับ นิ่งสนิทเลยทันที เวลาไม่ดื้อก็น่ารักนะเรา


                “เราอึดอัด” คนตัวเล็กบ่นอ้อมแอ้ม ผมจังคลายแขนออกนิดนึง แค่นิดนึงนะครับ


                “มองหน้ากันหน่อยสิ” ซินที่หันหน้าหนีผมไปทางอื่น เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอย่างว่าง่าย


                “ขอบคุณนะครับ ที่ยอมเปิดใจให้กัน นัทสัญญาว่าจะใช้โอกาสนี้ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ซินเสียใจ ซินไม่ต้องเชื่อคำพูดนัทก็ได้ ขอแค่อยู่ข้างๆกัน คอยดูการกระทำของนัทว่ารักซิน แคร์ซินมากแค่ไหน


                อย่าไปไหนอีกเลยนะ...”


                ดวงตากลมโตสั่นไหว ก่อนจะกัดริมฝีปากนิดๆ หัวทุยๆนั่นก้มลงมาพิงบนไหล่ผมเบาๆ


                หัวใจไอ้นัทจะกระเด็นออกมาข้างนอกแล้วครับ!! ยิ้มแก้มจะฉีกอยู่แล้วเนี่ย


                ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ ผมนุ่มนิ่มของซินไหลไปตามร่องนิ้ว ก่อนที่จะสะดุดคำพูดต่อมาของซิน


                “หิว”


                ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ก็ซินนี่ครับ จะให้หวานได้นานแค่ไหนกัน แค่นี้ก็ทำเอาจะเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แค่นี้ก็พอแล้วครับ


                ซินเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองผมหน้างอ


                “เพราะนาย เราเลยยังไม่ได้กินข้าวเลย” อ้าว ความผิดผมซะงั้น


                ผมยิ้มนิดๆก่อนจะโทรสั่งอาหารให้เขา ยังดีที่ครัวของโรงแรมยังไม่ได้ปิด ดึกๆแบบนี้ซินกินไม่มากหรอกครับ ผมสั่งของที่เขาชอบก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง ซินกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมมองตามร่างบางไป


                ซินที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำบ่นเสียงเบาๆที่ผมจับใจความได้ว่า


                “หายไปไหนนะ เมื่อตอนมาก็เอาวางไว้ตรงนี้ไม่ใช่หรือไง”


                ผมอมยิ้มนิดๆ ก็ของที่เขาหาอยู่ อยู่ที่ผมไม่ใช่รึไง เดี๋ยวก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยคืน ซินเดินตีหน้ายุ่งออกมาจากห้องน้ำก่อนจะเริ่มเดินค้นไปรอบๆห้อง


                “อะไรหายเหรอซิน” ผมแกล้งถามเข้าออกไป ซินชะงักไปนิดก่อนจะตอบ


                “ไม่ต้องรู้สักเรื่องจะได้มั้ย” คนตัวบางหันหลังตอบกัน


                หึหึ งั้นก็ยังไม่ต้องคืน


                สักพักรูมเซอร์วิสก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ ซินเป็นคนเดินไปเปิดรับเพราะไม่อยากให้ใครเห็นผม แต่ซินยังไม่ได้กินมันทันที ยังคงรื้อกระเป๋าอย่างเอาเป็นเอาตายต่อไป คนเป็นระเบียบแบบซินลงทุนโยนทุกอย่างออกมาจากกระเป๋าจนเกลื่อนไปหมด


                “หาอะไรเหรอซิน ช่วยหามั้ย” ผมก็แกล้งถามยั่วเขาไปเรื่อยครับ


                “ไม่ต้องยุ่งเลย กลับห้องไปได้แล้วไป ดึกดื่นป่านนี้แล้ว” ไล่กันเฉยเลยอ่ะ กลับก็ได้!


                “งั้นฉันกลับนะ”


                “อือ!” ไม่ได้หันมามองกันแม้แต่นิดเดียว


                “ซิน ฉันจะกลับห้องแล้วนะ”


                “เออ ก็กลับไปสิ!” คนตัวบางหันมาหาผมอย่างหงุดหงิด เริ่มพาลแล้วครับ


                “จะไปแล้วต้องทำไง”


                “อย่ามาเยอะนัท ไปได้แล้วไป”


                ใจร้ายมากอ่ะ ._.


                ผมเดินเข้าไปจับไหล่บางหันมาหาช้าๆ ซินจึงยอมหันมาอย่างขัดใจ ผมสวยสะบัดโดนหน้าผมเต็มๆ


                “ฝันดีนะครับ” ผมยื่นหน้าไปบอกเขาข้างๆหู ก่อนจะขโมบจุ้บแก้มเขาไปหนึ่งที ก่อนจะรีบวิ่งมาที่ประตู


                ได้ยินเสียงซินโวยวายตามมา


                “ไอ้บ้านัทททททท”


                มีความสุขโว้ยยย ผมยื่นหน้าออกไปนอกห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็เดินออกมาเพื่อกลับเข้าห้องตัวเอง


                วันนี้ฝันดียันเช้าแน่ๆครับ ^^

                 
TBC.
...........
มาแล้วจ้าาาาา
จะชอบตอนนี้กันมั้ยน้า
เม้นบอกกันบ้างนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่า
ขอบคุณที่ตามมาอ่านกันนะค้าา ดีใจมากๆเลย เย้ๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 02-09-2013 00:17:51
จัดไปค่ะคุณบอดี้การ์ด  :z2:

น่ารักที่สุด  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-09-2013 01:42:51
โอ๊ย น่ารัก
เขิลแก้มจะแตกแล้ว
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-09-2013 02:04:31
เหมือนมีเค้าโครงเรื่องจริง น่ะ


 :hao3: แสตมป์ คิคิ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 02-09-2013 05:14:28
:z1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 02-09-2013 15:03:43
น่ารักมากมาย เขินเลยอ่ะ :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 02-09-2013 15:39:59
พี่ซินซึนๆนี่โครตน่ารักอ่ะ
คนอะไรเนี่ย ฮึ่ย อิจฉาพี่นัทเวอร์ๆ
ปล ของสิ่งนั้น พี่นัทกะจะเก็บไว้ถึงเมื่อไหร่อ่ะ
งี้อออ หวานนนน ชอบอ่าาา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน6.2 Sweet Trang2 [1/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 02-09-2013 20:39:05
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
สิ่งนั้นคืออะไรหว่า?? แลพี่ซินจะรัดกมันมากเลยนะ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 02-09-2013 22:09:54
7

((จูบเย้ยพระอาทิตย์))


                วันนี้เราตื่นมาเช็คเอาท์กันแต่เช้า เพราะจะเดินทางไปที่อื่นต่อ ดังนั้นเราจะพักที่นี่แค่คืนเดียว และสถานที่ต่อไปที่เราจะไปกันก็คือเกาะไหง เกาะขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง แบ็คอัพและทีมงานบางส่วนเดินทางกลับพร้อมรถตู้บริษัทเลย มีแค่สี่คนที่จะเดินทางไปกับเรา คือ ป้อง แบ็คอัพมือกีต้าร์ ส้มกับนาว ฝ่ายเสื้อผ้า และจิ๋วผู้ช่วยคุณโอ๊ต ตอนนี้ทุกคนกำลังขนของขึ้นรถตู้ของทางโรงแรมที่จะไปส่ง ซินกับคุณโอ๊ตขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย ผมก็ขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ


                หลังหายปวดไปแล้วเรียบร้อย เพราะยาแก้ปวดเมื่อคืนช่วยไว้ครับ และอยากจะบอกว่า เมื่อคืนผมไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันด้วย ฮ่าๆๆ เพราะอะไรคุณผู้อ่านน่าจะรู้ดี


                “ทะเลๆๆ อยากไปเที่ยวทะเล”


                “แล้วตอนนี้ที่เอ็งอยู่มันไม่ใช่ทะเลหรือไงไอ้ป้อง” คุณโอ๊ตที่นั่งอยู่เบาะหน้ากับซินหันไปพูดกับป้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง


                “มันเทียบกันได้ที่ไหนพี่โอ๊ต นั่นน่ะเกาะไหงนะ สวยแบบโคตรๆอ่ะ”


                “เคยไปเหรอวะ” ส้มที่อยู่ด้านหลังถาม


                “เคยเห็นในรูปว่ะ” พอได้ยินคำตอบจากป้องทุกคนก็โห่กันไป


                เรานั่งรถกันไม่นานก็มาถึงท่าเรือปากเมง รถเข้ามาส่งได้แค่นี้ครับ ท่าเรือนี้รถใหญ่เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องขนกระเป๋าสัมภาระเดินไปที่ท่าเรือกันเอง


                “มา เดี๋ยวถือให้” ผมยื่นมือไปรับกระเป๋าของซิน แต่เจ้าตัวก็เอามันขึ้นสะพายไหล่ไปแล้วเรียบร้อย


                “ไม่ต้อง เดี๋ยวถือเอง”


                “เถอะน่า อย่าดื้อสิ”


                “ก็บอกว่าเดี๋ยวถือเอง มันเบา เราถือเองได้น่า” พูดจบซินก็เดินตามหลังคุณโอ๊ตที่เดินนำล่วงหน้าไปแล้ว ผมจึงต้องถอนหายใจและเดินตามเขาไป


                วันนี้แดดค่อนข้างร้อนครับ ท้องฟ้าสวยมากๆเลย แต่จะกรุณากว่านี้มากถ้าคุณพระอาทิตย์จะลดแสงลงหน่อย ผมมองร่างบางตรงหน้าที่ใส่เสื้อเชิ้ตซะบางจนเห็นแทบจะทะลุปรุโปร่ง ยังดีที่มีเสื้อกล้ามอยู่ด้านใน วันนี้ซินใส่หมวกด้วย ก็คงเพราะว่าแดดแรงนั่นแหละ ผมยาวเป็นลอนของเขาก็ถูกมัดรวบเอาไว้ด้วยกัน


                เดินมาไม่นานก็เจอกับสะพานยาวที่ทอดไปยังทะเลครับ โชคดีหน่อยที่วันนี้เรามาเช้า คนเลยยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ในระหว่างที่รอเรือมารับ ก็เดินเล่นกันไปตามอัธยาศัยครับ


                “ซินหิวมั้ย หาอะไรรองท้องก่อนรึเปล่า” คุณโอ๊ตเดินเข้ามาถามซิน ซึ่งคนตัวบางก็ส่ายหัวน้อยๆ


                “ไม่เอา ซินไม่หิว อยากไปเดินเล่นถ่ายรูป” คุณโอ๊ตพยักหน้าน้อยๆก่อนจะหันมาหาผม


                “ดูซินด้วยนะ ฉันจะไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อย”


                “ครับ”


                หันกลับมาอีกทีซินก็เดินออกไปนู่นแล้ว ไวจริงๆ ผมเดินตามไป ซินกำลังเกาะราวสะพานยกกล้องโพลารอยด์ขึ้นถ่ายนู่นถ่ายนี่ ผมก็มองตามเขาก่อนจะยิ้มน้อยๆ ที่นี่มีชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ครับ คนไทยก็มีนะ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ซินที่ถ่ายไปถ่ายมาก็หันมาทางผม ผมก็เก๊กหล่อชูมือส่องนิ้วให้เขา แต่เขากลับลดกล้องลง


                “อ้าว ไม่ถ่ายเหรอ”


                “เปลืองฟิล์ม”


                เจ็บปวด...


                ซินก้มลงดูรูปสองสามใบที่เขาถ่ายได้ และยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเก็บใส่ซองเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินเลยผมไปอีกทาง ผมก็มีหน้าที่เดินตามเขาไปนั่นแหละครับ ซินเดินถ่ายรูปตรงนู้นทีตรงนี้ทีจนพอใจ ก็เดินกลับไปหาคุณโอ๊ตที่ร้านกาแฟ


                “สวยมั้ยซิน”


                “สวยดี แต่ร้อนไปหน่อย”


                “เกาะไหงสวยกว่านี้สิบเท่า”


                ซินหัวเราะน้อยๆกับคำพูดคุณโอ๊ต นั่งรอกันได้ไม่นานเรือก็มาเทียบท่าครับ เราทุกคนก็ขึ้นไปบนเรือ หาที่นั่งและวางของ เรือที่มารับคือเรือสปีดโบ๊ทของทางรีสอร์ทที่จองไว้ จึงมีแค่เรา กับฝรั่งอีกสามคนเท่านั้น นั่งเรือแค่ยี่สิบห้านาทีก็มาถึงท่าเรือของทางรีสอร์ทแล้วครับ เราทั้งหมดเดินขึ้นท่าเรือเพื่อตรงไปที่ห้องพัก มีพนักงานต้อนรับเดินมารับถึงที่ น้ำตรงท่าเรือนี่ใสมากจริงๆ มองเห็นปลาทะเลตัวน้อยๆว่ายกันเต็มไปหมด


                ห้องพักที่นี่เป็นบังกะโลหลังเล็กๆเรียงรายกันไป ต้นไม้เยอะมากๆ ถ้าชอบธรรมชาติคุณก็น่าจะชอบที่นี่ครับ แต่หลังที่เราจองกันไว้เป็นแบบหลังใหญ่ มีสี่ห้องนอน และห้องน้ำภายในห้องครับ ซินก็ได้นอนคนเดียวไปตามระเบียบ ผู้หญิงสามคนอยู่ด้วยกัน ผมอยู่กับแบ็คอัพชื่อป้อง และคุณโอ๊ตนอนคนเดียว


                “เก็บของแล้วออกไปเดินชายหาดกันนน” เสียงคุณโอ๊ตพูดขึ้นอย่างร่าเริงก่อนที่ทุกคนขานรับ


                “แต่ซินขออยู่นี่ก่อนนะ ยังไม่อยากออกไป ร้อนอ่ะ”


                “ทำไมล่ะซิน เล่นน้ำกัน”


                “เดี๋ยวซินตามออกไปทีหลัง”


                “โอเค แล้วตามมานะ”


                ซินพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องไป คุณโอ๊ตก็เลยหันมาหาผม ตามเคยแหละครับ


                “อยู่กับซินได้มั้ยนัท” นั่นล่ะครับ คำที่อยากได้ยิน ^^


                “ครับ”


                ต่างคนต่างก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บที่ห้อง ผมพยักหน้าให้ป้องนิดๆตอนที่วางกระเป๋าไว้ข้างเตียง


                “อดเที่ยวเลยดิ” ป้องหันมาพูดขำๆกับผม


                “ไม่หรอก ไม่ค่อยชอบอากาศร้อนๆเหมือนกัน” ผมตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียง


                “งั้นฉันไปละ จะเล่นน้ำให้ชุ่มปอดไปเลย” ป้องพูดยิ้มๆก่อนจะเดินออกไป ได้ยินเสียงคุณโอ๊ตคุยหัวเราะกับพวกสาวๆและป้องก่อนจะหายเงียบไป คงออกไปกันแล้ว ทีนี้บ้านหลังนี้ก็เหลือแค่... ^^


                ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมๆกับที่คนตัวบางก็เดินออกมาเหมือนกัน ซินหันมามองผมนิดๆอย่างสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปกับพวกคุณโอ๊ต แต่เขาก็หันไปมองทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ


                ทำไมชอบเมินกันซะเหลือเกิน ผมถอนหายใจและเดินตามเขาไปนอกบ้าน หน้าบ้านนี่โผล่ออกมาก็เจอทะเลเลยครับ มีชุดม้านั่งเอาไว้นั่งเล่นใต้เงาไม้ ถัดไปหน่อยก็เป็นทรายสีขาวสะอาดแล้ว คนตัวบางก็ทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านนั่นแหละครับ แถมยังถือหนังสือติดมือมานั่งอ่านซะด้วย ผมก็เลยเดินไปนั่งที่ม้านั่งด้านข้างเขา


                “มาเที่ยวทั้งที พกหนังสือมาอ่านด้วยเหรอ” ผมถาม ซึ่งเขาก็เหลือบตามามองนิดๆก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ


                “เฮ้อ พูดกับคนที่อยากพูดด้วย แต่เขาไม่พูดด้วยนี่มันก็น่าน้อยใจเหมือนกันนะ”


                “....”


                เงียบครับ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก


                “เฮ้อ...”


                “ถ้าอยากถอนหายใจมากนักไปถอนหายใจที่อื่น อย่ามากวนสมาธิเรา”


                “มาเที่ยวทั้งที อย่าใจร้ายนักสิซิน อุตส่าได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองนะ” ผมพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ซินเลยส่งสายตาเขียวปั้ดมาให้


                “อย่าแม้แต่จะคิด”


                “คิดอะไรครับ ยังไม่ได้คิดอะไรเลย”


                ซินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะปิดหนังสือลงดังฉับ วางหนังสือลงและเงยหน้ามามองผม ยิ้มก็ยิ้มกว้างให้เขา


                “อย่ากวนประสาทได้มั้ย สนุกนักรึไง”


                “ก็อยากอยู่ด้วย”


                “ก็อยู่เงียบๆไปสิ”


                “ก็อยากพูดด้วยนี่”


                “อยากเยอะเน้อะ”


                “อยากมากกว่านี้อีก” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆเขา ซินก็รีบยกมือขึ้นดันหน้าผมออกทันที


                “เดี๋ยวใครมาเห็น” ซินกัดฟันพูดลอดไรฟันบอกผม ผมก็ยอมถอยออกมาแต่โดยดี

                “ไปเดินเล่นกันมั้ย” ผมชวน


                “ไม่ ร้อน” ซินปฏิเสธ


                “ไปหาอะไรกินกันมั้ย” ผมชวน


                “ไม่หิว” ซินปฏิเสธ


                “ไปเดินถ่ายรูปเล่นกัน” ผมชวน


                “ไม่มีอารมณ์” ซินปฏิเสธ


                โอเค พอกันที งั้นก็นั่งมันอยู่ตรงนี้แหละครับ ซินยกหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง ผมเลยยื่นมือไปแย่งมันมา ซินหันมามองผมตาโตก่อนจะเอื้อมมือมาจะขว้าคืน ผมก็โยกหลบหนีสิครับ


                “เอามานี่นะนัท!”


                “ไม่เอา เลิกสนใจหนังสือก่อนสิ”


                “เอาของเราคืนมา!”


                “ไม่ให้!”


                ซินลุกขึ้นหมายจะขย้ำคอผม ผมก็ลุกสิครับ จะอยู่เฉยๆให้โดนทำร้ายร่างกายทำไม ตั้งท่าได้ผมก็วิ่งหนีทันที มีซินโวยวายวิ่งตามหลังมา แถวนี้ไม่มีคนครับเพราะว่าเป็นหาดส่วนตัว แถมพวกคุณโอ๊ตก็ไม่อยู่แล้วด้วย คงไปเล่นกันที่โซนอื่น ทางสะดวก...


                “ไอ้นัท! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! เอาของเราคืนมา!!”


                ผมก็วิ่งไปหัวเราะไป ซินก็บ้าจี้วิ่งตามผมมานะ ฮ่าๆ ตลกว่ะ บางทีก็หลอกง่ายเกินไปจริงๆ วิ่งมาสักแป๊บก็เห็นคนตัวบางเริ่มหอบแล้วก็เลยหยุดรอ ไอ้ผมน่ะ จะให้วิ่งรอบเกาะก็ยังไหว แต่ดูท่าคนด้านหลังจะไม่ใช่นะครับ เคยออกกำลังกายบ้างหรือเปล่าเหอะ


                “เหนื่อยแล้วเหรอ” ผมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ พลางจับแขนเขามาพยุงไว้ ซึ่งซินก็บิดออกทันที


                “เล่นบ้าอะไร เหนื่อยนะเว้ย” เริ่มขึ้นวะขี้นเว้ยแล้วครับ หึหึ


                “ก็อยากให้ออกมาสูดอากาศสดชื่น อยู่กรุงเทพดมแต่กลิ่นควัน มาพักผ่อนทั้งทีก็ต้องเอาให้เต็มที่สิ”


                ซินถอนหายใจนิดๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นทราย ผมก็ยิ้มนั่งตามเขาลงไป ดีที่ตรงนี้มีต้นไม้เป็นร่มเงาให้ครับ ลมจากทะเลก็พัดมาเย็นดี เหมาะกับการจู๋จี๋กันมาก ฮ่าๆ อย่าบอกซินนะครับ เดี๋ยวผมโดนทำร้ายร่างกายอีก


                คนตัวบางยืดขาทั้งสองข้างออกไป แขนสองข้างท้าวเอาไว้ด้านหลัง มุมปากบางยกขึ้นน้อยๆเมื่อมองออกไปที่ท้องทะเล มองจากตรงนี้น้ำทะเลสวยมากครับ เป็นสีเขียวเลย


                “บรรยากาศดีโน้ะ”


                “อือ แต่จะดีกว่านี้ถ้าได้มากับแฟน” ผมหันไปมองคนหน้าหวานที่พูดคำนั้น ก็เลยได้รับการยักคิ้วแบบกวนๆกลับคืนมา ท้าทาย ท้าทายมากเลยครับ


                “แล้วที่มาด้วยนี่ใคร”


                “ถ้านายไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วใครเขาจะไปรู้ด้วยล่ะ”


                ผมขำน้อยๆกับคำพูดเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยเบาๆ ซินก็ปัดมือออกมองผมตาเขียวสิครับ


                “จำตอนที่เราไปหัวหินได้ป่ะ” บรรยากาศมันพาไป อยู่ดีๆก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาซะเฉยๆครับ


                ซินหันมาขมวดคิ้วมองผมนิดๆ


                “ตอนนั้นสนุกดี เหมือนหนีตามกันเลย” ไม่ต้องรอซึ้งนาน ซินเอื้อมมือมาตบหัวผมทันทีครับ รุนแรงขึ้นทุกวันละนะ
 

                “ปากไม่ดี”


                “ปากไม่ดี แต่ก็มีคนเสียจูบให้ไปแล้ว” ชอบนักล่ะครับเรื่องที่ทำให้เจ็บตัวเนี่ย ก็โดนไปอีกหนึ่งป้าบตามระเบียบแหละครับ


                ตอนนั้นได้แหกปากร้องเพลงริมชายหาดด้วย สนุกดีครับ ตอนนั้นผมยังเล่นกีต้าร์ให้ซินอยู่เลย ได้ทำอะไรบ้าๆบอๆด้วยกันหลายอย่าง เห็นซินนิ่งๆอย่างนี้ใช่ย่อยนะครับ ผมยิ้มให้กับความทรงจำเก่าๆนิดๆ ก่อนจะหันไปมองซิน ซึ่งเขาเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน


                เอ๊ะๆๆ แอบมองกันนี่หว่า


                “ปากหายแล้วนี่”


                ผมก็ยกมือขึ้นจับมุมปากงงๆ


                “หายแล้วดิ ได้ยาดีขนาดนั้น” ซินหัวเราะในลำคอน้อยๆก่อนจะหันหน้าไปรับลมทะเล


                ผมที่นึกอะไรได้ รีบลุกขึ้นปัดเศษทรายที่ติดอยู่กับกางเกง ซินหันมามองผมอย่างงงๆ


                “รอนี่แป๊บนะ อย่าไปไหน รอแป๊บเดียว”


                ซินเลิกคิ้วมองหน้าผม


                “เข้าใจเปล่าเนี่ย รอตรงนี้ อย่าไปไหน” ผมกำชับเขาเสียงเรียบอีกรอบ


                “รู้แล้วน่า ดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” ซินพูดเสียงเหวี่ยงๆก่อนจะสะบัดหน้าหนีไป 


                ผมเองก็รีบวิ่งกลับมาที่บ้าน จำได้ว่าป้องถืออะไรบางอย่างติดมือมาด้วย


                “ขอยืมก่อนละกันนะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ ถือว่าขอแล้วนะ ยืมแป๊บเดียว เดี๋ยวเอามาคืน พูดจบผมก็คว้ามันวิ่งออกมาจากบ้านเลย นานแล้วครับที่ไม่ได้แตะมันอย่างจริงๆจังๆ


                ผมรีบวิ่งเท้าเปล่ากลับมาที่เก่า แต่ก็ไม่พบวี่แววของร่างบาง หายไปไหน.. ผมมองซ้ายมองขวาอย่างร้อนรน หายไปไหนอีกแล้วซิน แค่ให้นั่งรออยู่เฉยๆแป๊บเดียวนี่ไม่ฟังกันเลยหรือไง มองไปทางนู้นทางนี้ก็ไร้วี่แวว ผมวางของที่ถืออยู่ลงบนพื้น ใจก็กระวนกระวายไปหมด หรือว่าจะเกิดเรื่องอย่างคราวที่แล้ว โธ่เว้ย!!


                ผมที่กำลังจะออกตัววิ่งก็ต้องหยุดลงเมื่อใครบางคนโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้


                “จะไปไหนอีกล่ะ”


                “โธ่เอ๊ยยยซิน!” แทบจะเข่าอ่อนกันขึ้นมาในทันที แค่เพราะคนคนนี้แหละ ทำเอามาดบอดี้การ์ดหายหมดทุกที ความเยือกเย็นที่เคยมีหายไปหมดเลย!


                “อะไร เสียงดังใส่เราทำไม”


                “อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย คนมันเป็นห่วง”


                “ทำอะไร บอกให้รอก็รอนี่ไง ไม่ได้ไปไหนซะหน่อย แต่จะให้นั่งอยู่ตรงนั้นที่เดียวตลอดมันก็เบื่อเหมือนกันนะ!”


                “โอเคๆ ขอโทษที่เสียงดัง แต่ทีหลังอยู่ในที่ที่ฉันมองเห็นนะ อย่าหายไปแบบนี้ ไม่ชอบเลยจริงๆ”


                “แล้วใครจะไปรู้ตรงไหนมองเห็น ตรงไหนมองไม่เห็น!” เริ่มแล้วครับ ถ้าต่ออีกหน่อยนี่ทะเลาะกันชัวร์


                “ครับๆขอโทษ มานี่มา มานั่งตรงนี้ก่อนเร็ว”


                ซินหันหน้าไปทางอื่น แถมยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนอีกต่างหาก เอาแล้วไง งานเข้าผมละ


                “ซินครับ มาตรงนี้เถอะนะ ยืนตรงนั้นนานๆเดี๋ยวตัวบุ้งก็หล่นใส่หัวหรอก”


                ซินเงยหน้าขึ้นมองไปบนต้นไม้ทันที ก่อนจะยอมเดินมานั่งข้างๆกัน ซินหันมามองสิ่งที่ผมหยิบติดมือมาก่อนจะเลื่อนสายตามาหาผมช้าๆ ผมก็ส่งยิ้มให้เขา เขาคงแปลกใจที่ผมหยิบมันมาด้วย ผมจัดการเอากีต้าร์ออกจากกระเป๋า และเอามันมาวางไว้บนตัก


                “ร้องเพลงกันมั้ยซิน” ซินยังคงนิ่งและไม่ตอบ สายตาเหม่ออยู่ที่กีต้าร์ที่ผมถืออยู่เท่านั้น ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจ ผมเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน นานมากๆแล้วครับ ที่ไม่ได้จับกีต้าร์ต่อหน้าคนคนนี้ คนที่ผมมองกีต้าร์เมื่อไหร่ก็นึกถึงแต่เขา


                “ซิน ...ซิน หลับแล้วเหรอ” พูดแค่นั้นซินก็เงยหน้าขึ้นมามองกันด้วยสายตาเหวี่ยงๆทันที


                “หลับบ้าอะไร แล้วเอามาทำไมไอ้นั่นน่ะ เล่นเป็นด้วยเหรอ”


                “เล่นเป็นสิ แล้วก็เล่นเก่งด้วย คนบางคนรู้ดี”


                “หน้าด้านว่ะ ชมตัวเอง”


                ผมหัวเราะออกมาทันทีกับคำพูดเขา อย่างน้อยซินก็ไม่ได้ไล่ให้ผมเอามันไปเก็บหนิครับ


                “เนี่ยเก็บปิ๊กได้อันนึง ไม่รู้ใครทำตกไว้” ผมหยิบปิ๊กกีต้าร์ในกระเป๋ากางขึ้นมาดู หึหึ ซินหันมามองตาวาวทันที


                “เฮ้ย! อันนั้นมัน...”


                “อะไรเหรอ...” ผมหันไปถามเขายิ้มๆ


                “อันนั้นมันของเรา!!” ซินพุ่งเข้ามาจะคว้ามันคืนไป ผมเอี๊ยวตัวหลบ เรื่องอะไรจะคืนให้ง่ายๆล่ะครับ


                “ของนายที่ไหน นี่มันของฉันไม่ใช่เหรอ”


                “ก็ ... ไม่ใช่ นั่นมันของเรา เอามานี่!!” ผมก็หลบซ้ายหลบขาวทั้งๆที่มีกีต้าร์อยู่บนตักนั่นแหละครับ ผมมองหน้าหวานๆที่ขึ้นสีแดง เพราะโกรธหรือเพราะอายอันนี้ไม่ทราบครับ ฮ่าๆ


                “ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอซิน” นิ่งครับ ซินดึงตัวกลับไปนั่งที่เดิมทันที แถมหันหน้าหนีกันอีกต่างหาก เห็นแต่หูแดงๆที่ด้านข้างเท่านั้น น่ารักซะไม่มี


                ปิ๊กเนี่ย ของผมเอง ปิ๊กอันแรกของผมตั้งแต่ที่เริ่มเล่นกีต้าร์กับซิน ลายแบบนี้ สีแบบนี้อาจจะมีอันอื่นที่ซ้ำกัน แต่มันเป็นของผม แค่มองแว๊บเดียวก็รู้แล้ว ก็ผมเอาคัดเตอร์ขูดๆให้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆว่า NS รู้ใช่มั้ยครับว่ามันคืออะไร ปิ๊กอันนี้ผมรักมันมากเลยนะ ผมใช้มันประจำ แล้วก็รักษามันอย่างดีเลยด้วย เพราะมันคือสิ่งเริ่มต้นความทรงจำของผมกับซิน แต่อยู่ดีๆวันนึงมันก็หายไป หายไปซะเฉยๆ หาแทบตายก็หาไม่เจอ ทุกทีผมจะเก็บมันไว้ในกระเป๋าตัง แต่นี่ไม่มี รื้อห้องทุกซอกทุกมุมก็หาไม่เจอ จะเป็นบ้าเอาครับตอนนั้น เพราะมันสำคัญกับผมจริงๆ แทบจะเผาห้องกันเลยทีเดียว แต่พอวันต่อมาเห็นมันห้อยอยู่ที่โทรศัพท์ซินเฉยเลย เจาะรูทำเป็นพวงกุญแจซะเรียบร้อยเลยด้วย ผมนี่แทบจะเป็นลม ไม่ใช่ว่าโกรธหรืออะไร แต่มันโล่งใจครับ นึกว่าหายไปจริงๆซะแล้ว แต่มันก็น่าตีก้นซะให้ลายจริงๆ ขอกันสักคำก็ไม่มี อยู่ดีๆหยิบไปเฉยเลย ผมงี้แทบจะจับซินกดลงเตียงแทบไม่ทัน ...ไม่ใช่ละ ผิดเรื่อง ฮ่าๆ


                “ของของเรา จะเก็บไว้หรือทิ้งก็เรื่องของเรา”


                “น่ารักนะเนี่ย” ผมกระเถิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆหูซิน แดงเถือกเลยครับงานนี้ แล้วผมก็ได้รับลูกมะตุ้บมาอีกหนึ่งดอกเป็นการตอบแทน เขินรุนแรงจริงๆ


                “ซินครับ หันมานี่หน่อยเร็ว”


                นิ่ง...


                “ซินจ๋า หันมาหานัทหน่อยนะ”


                นิ่ง...


                “ไม่หันมาจูบจริงๆนะ จะจูบเย้ยพระอาทิตย์เลย” ได้ผลครับ คำขู่นี้ใช้ได้ผลตลอดกาล ซินหันมาหาผมทันที


                “จะบ้ารึไง เขามีแต่จูบเย้ยจันทร์” ซินพึมพำเบาๆ แต่ผมได้ยิน


                “ก็พระจันทร์ยังไม่ขึ้น เย้ยพระอาทิตย์ไปก่อนละกันเน้อะ”


                “เน้อะบ้าอะไรล่ะ หันมาแล้วเนี่ย มีไร” พูดไปหน้าแดงไป โอ้ย เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจริงๆหรอก


                “ฟังนี่หน่อย มีเพลงจะร้องไห้ฟัง”


                “เดี๋ยว” ซินเอ่ยห้ามผมขึ้นมาซะก่อน


                “หือ”


                “ยังไม่ฟังตอนนี้ได้มั้ย”


                “ทำไมอ้ะ” นี่ลงทุนวิ่งกลับไปเอามาเลยนะเนี่ย ไม่ฟังตอนนี้จะฟังตอนไหนล่ะครับ อยู่ด้วยได้สองคนทั้งที


                “เดี๋ยวเขิน”


                .... ป๊าดดดดดด จะน่ารักไปไหนครับ!!! เดี๋ยวก็จับกดมันซะตรงนี้จริงๆหรอกซินเอ๊ยยย ขอทีเถอะ แค่นี้ก็รักจะตายแล้วครับ! อย่ามาทำแบบนี้ นัทสำลักความน่ารักตายไปจริงๆซินจะทำยังไง!!


                ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวคนตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว ซินก็นั่งนิ่งหน้าแดงตัวแดงไปครับ


                “ฟังนะซิน ตั้งใจเล่นให้ฟังจริงๆ ...นะ”


                ซินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมยิ้มให้เขานิดๆ ก่อนจะเริ่มเล่นกีต้าร์ ความจริงแล้วไอ้นัทคนนี้ร้องเพลงไม่เก่งหรอกครับ อยากให้เสียงหวานๆของซินเป็นคนร้องให้มากกว่า แต่เพลงนี้มันเป็นเพลงพิเศษ ที่ผมอยากร้องให้เขาฟัง


                “...เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้คนเปลี่ยนไป
                สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน
                ก็คือความรักที่มีต่อเธอ
                จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร”


                ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ฉันจะหันไปมองคนอื่น ไม่ว่าจะนานแค่ไหน นัทคนนี้ก็ยังมองแค่ซิน รอแค่ซิน


                “ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป”


                ถึงแม้ว่าเราจะต้องห่างกัน ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ข้างนายไม่ได้ ถึงแม้นายจะบอกว่านายไม่รัก แต่ฉันก็ยังคงรักนาย ไม่เคยเลยสักครั้งที่มันจะน้อยลง ถึงแม้ว่าฉันจะเคยหลอกตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เลย มันยังคงอยู่ ไม่เคยหายไปไหน


                “คนเราถ้าคู่กันไม่ว่าอะไรเปลี่ยนไป
                สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน
                ก็คือความรักที่มีต่อเธอ
                จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร

                ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป”


                ซินยังคงมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น ผมเองก็ร้องไปยิ้มไป หวังว่านายจะเข้าใจมันนะ เข้าใจความหมายของเพลง รวมถึงเข้าใจในตัวฉันด้วย


                “แม้จะต้องรอ ไม่รู้ว่านานเพียงใดก็จะไม่ท้อ
                เพียงมีเธอก็พร้อมสู้ต่อไป
                ทางจะไกลแค่ไหนก็อดทน
                เพื่อให้ถึงในวันหนึ่งที่มันเป็นของเรา”


                ฉันจะรอ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ รอวันนั้นที่นายเปิดใจทั้งหมดให้กับฉัน วันนั้นที่นายจะบอกรักฉันได้อย่างเต็มใจ วันที่เราจะเดินข้างกันอย่างสมบูรณ์


                “ต่อให้นานเพียงใด รักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้
                ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปถ้ารักกันจริง
                ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ
                แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป

                ฉันรักเธออย่างไร ก็รักไม่เปลี่ยนใจเลย
                จะหยุดใจลงเอยที่เธอคนเดียวจนตาย”


                เพลงจบลงแล้ว เสียงกีตาร์ก็หยุดลงแล้ว แต่เรายังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนี้ นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรักซินมากจริงๆ ดวงตากลมโตคลอหน่วยไปด้วยน้ำใสน้อยๆ ซินไม่ได้ร้องไห้ครับ ผมรู้ดี เพราะไม่นานมันก็ซึมหายไป เหลือไว้เพียงดวงตาใสๆ กับแก้มสีชมพู ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของผมสดใส รอยยิ้มที่ไม่ว่าจะให้มองอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ


                “ฉันรักนายได้ยินมั้ย ...ซิน”


                ผมโน้มใบหน้าเข้าหาเขาช้าๆ ซินเองก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง ริมฝีปากเราแตะกันอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะเริ่มขยับเข้าหากัน...


                ในที่สุด ผมก็ได้จูบเย้ยพระอาทิตย์แล้วครับ หาดส่วนตัวนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง...


TBC.
...........
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ ดีใจจัง ><
ไรท์ชอบตอนนี้อ่ะ ไม่รู้ทำไม คนอ่านชอบมั้ยไม่รู้แต่ไรท์ชอบ 5555
แต่ก็อยากให้ทุกคนชอบด้วยน้าาา

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันค่าา
น่ารักจัง
เจอกันตอนหน้าค่ะ นักอ่านที่รักทุกคน!!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 02-09-2013 23:44:49
 o13 ตุณบอดี้การ์ดนี่สุดยอดอ่ะ

 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-09-2013 03:34:34
 :hao6:

เอ้าดอร์ ท้าแสงแดดที่แผดเผา ยังไม่ร้อนแรงเท่ากับไฟที่มอดไหม้ในใจคน
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-09-2013 09:33:38
ซินน่ารักอ้ะ
ชอบจัง 'เดี๋ยวเขิล' 5555
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 03-09-2013 17:09:04
อื้อออออ ฟินเย้ยพระอาทิย์เว้ยยยยย
เพลงนี้แม่ม โครตเข้ากันสุดๆ
คิดได้ไงอ่ะ มันใช่เลยนะ
โฮๆๆๆๆ เขิลวุ้ย พี่ซินแม่มน่ารักจัดๆ
ปล มโนว่าตัวเองเป็นบุ้งบนต้นไม้ อร๊ายยยย จุ๊ปกัน จุ๊บกัน
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: moodyfairy ที่ 03-09-2013 21:18:12
หวานนน เกินไปแล้ววววววววววว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 03-09-2013 23:58:26
เอ๊ยจูบเย้ยพระอาทิตย์ อ่านเรื่องนี้ น้ำตาลในเลือดคงพุ่งพิลึกหวานอ่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 04-09-2013 20:30:17
หวานอีกๆ ชอบคะ  :-[
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 04-09-2013 22:41:32
8

((Ending of Trang))

 

                หลังจากที่บทเพลงรักบันลือโลก (?) จบลง ผมกับซินก็นั่งอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะกลับมาที่บ้านพัก เพราะอากาศเริ่มร้อนมากๆแล้วครับ เรากลับมาทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดพอดี เพราะหลังจากนั้นไม่นานพวกคุณโอ๊ตก็กลับมาแบบตัวเปียกโชก ผมพึ่งจะเอากีต้าร์ไปเก็บแบบอยู่ที่เดิมเรียบร้อย พอออกมาจากห้องพวกคุณโอ๊ตก็เข้ามาพอดี บอกแล้วครับ ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ


                “น้ำใสมากกก โอ๊ย สวยสุดๆ แทบไม่อยากจะขึ้นจากน้ำเลย เสียดายแดดแรงไปหน่อย เย็นๆไปต่ออีกรอบนะ” เสียงสาวๆเขาคุยกันครับ แต่ละคนนี่ไม่ยอมใครจริงๆ บิกินี่หลายสี สวมทับด้วยเสื้อยืดสีขาวบางๆ เวลาโดนน้ำนี่เสื้อยืดแทบละลายหายไปกับทะเลเลย ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าแบบนี้แล้วจะใส่กันไปทำไม


                ก่อนที่ผมจะถอนสายตากลับมา นาวก็หันมาทางผม ขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนเดินเข้าห้องไป...


                ตาเจ็บเหรอครับ หึหึ


                ผมยิ้มกับตัวเองน้อยๆก่อนจะหันหลังกลับ


                อุ่ย!! ...เจอะกับสายตาคมๆเข้าให้ทันที ซินที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเขามองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวหันกลับเข้าห้องไป ไม่ได้โกรธกันใช่มั้ยน่ะ งานเข้าไอ้นัทอีกแล้วครับ


                ผมที่ยืนขย้ำหัวอยู่ตรงนั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะมันเตือนข้อความเข้า ใครส่งข้อความหาผมตอนนี้ หวังว่าคงไม่ใช่พี่ทรูมูฟนะ ผมก้มลงมองเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งที่ผมคิดว่ามันถูกยกเลิกไปแล้ว กับข้อความสองประโยค


                ‘เรายังไม่ได้ปิ๊กคืน หวังว่าคงไม่ได้ทำหล่นไปตอนส่องบิกินี่ใครนะ’ ครับ นั่นแหละ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร ถ้าใครมาเห็นผมตอนนี้อาจจะว่าผมบ้า ที่ยิ้มแก้มแทบแตกกับข้อความแค่นี้ ซินยังจำเบอร์ผมได้ ไม่อยากจะเชื่อเลย!


                แทบอยากจะวิ่งไปเคาะประตูห้องคนซึนซะเดี๋ยวนั้น แต่ไม่ได้ครับ ข่มจิตข่มใจไว้ก่อนไอ้นัท


                ผมเดินกลับเข้ามาในห้องตัวเอง ก็เห็นป้องกำลังนั่งเช็ดผมอยู่ที่ปลายเตียง


                “หาดฝั่งนู้นโคตรสวย เห็นเขาว่าที่ปลายเกาะมีจุดดำน้ำตื้นด้วย โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้ว อยากไปๆ” ป้องชวนคุยทันทีที่ผมนั่งลงบนปลายเตียง


                “แล้วเป็นไง เจอสาวๆมั่งมั้ย” ผมก็ถามไปเรื่อบเปื่อยแหละครับ


                “เจอดิ ฝรั่งทั้งนั้น แก้ผ้าได้นี่แก้ไปแล้ว แทบอยากจะไปนั่งทาครีมให้อ่ะ”


                “ฮ่าๆๆ คุณโอ๊ตเป็นไง”


                “อย่าไปบอกแกล่ะ แทบไม่เป็นอันเล่นน้ำ ฮ่าๆๆ”


                เรื่อยเปื่อยแหละครับ ผู้ชายคุยกัน ถึงจะไม่รู้จัก แต่เดี๋ยวก็รู้จักกันไปเอง


                “ซินเป็นไง ทำงานมาได้สักพักนึงแล้วนี่ เข้ากันได้ป่ะ” ป้องที่พาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนไหล่หันมาถาม


                ผมก็ยิ้มตอบกลับไป อยากจะบอกเหลือเกินว่า ยิ่งกว่าเข้ากันได้อีกว่ะ แต่พูดไม่ได้ครับ งานใหญ่แน่


                “ก็ดีนะ”


                “อืมมม ดีละ ปกติซินเข้าถึงยาก แต่ถ้าเข้าถึงได้ก็ไม่มีอะไร”


                “เล่นกีต้าร์ให้ซินมานานแล้วเหรอ” อยากรู้ครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร


                “นานแล้ว ปีกว่าได้แล้วมั้ง แต่ก็เล่นให้คนอื่นด้วยนะ เวียนๆกันไป”


                ผมพยักหน้าเข้าใจ คนคนนี้ยืนแทนที่ผม ที่ที่ผมควรจะยืนตรงนี้ แล้วเขากับซิน จะเหมือนผมกับซินมั้ย คิดมาถึงตรงนี้ คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีครับ


                “แล้วสนิทกับซินมั้ย” เผลอถามเสียงห้วนออกไปซะแล้วสิ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกต


                “ก็ คุยเล่นกันได้ แต่ไม่ถึงกับสนิท ถึงจะซ้อมดนตรีด้วยกันบ่อยๆ แต่ก็เข้าไม่ถึงจริงๆซะที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ก็นะ เรามันก็แค่แบ็คอัพ จะให้เขามาสนิทกับเราสักแค่ไหนกันล่ะ”


                โล่งอกไปที ผมเอนตัวลงนอนเหยียดบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ผมเองก็ไม่ได้พักผ่อนๆนานแล้วเหมือนกันครับ มีเวลาพักบ้างก็ดีเหมือนกัน


                “ยังไม่ได้จะออกไปไหนกันใช่มั้ย” ผมหันไปถามป้อง


                “อืม ยังหรอก กะว่าจะพักกันก่อน ค่อยไปต่อตอนเย็น” ผมพยักหน้าก่อนจะปิดเปลือกตาลง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้ส่งข้อความตอบซินเลยนี่นา ส่งกลับไปหน่อยดีกว่า


                ‘บิกินี่ไม่น่ามองหรอก เก็บตาไว้ส่องศิลปินใส่กางเกงว่ายน้ำดีกว่า’


                ผมยิ้มเมื่อนึกไปถึงใบหน้าหวานตอนอ่านข้อความนี้อยู่ คงไม่ได้กำโทรศัพท์แตกไปแล้วใช่มั้ย ผมหัวเราะน้อยๆก่อนจะหลับตาลงช้าๆ ขอพักผ่อนบ้างนะครับ


 

                “....”


                “....น...”


                “....นัท”


                “นัท”


                ได้ยินเหมือนเสียงใครเรียกมาไกลๆ แต่เดี๋ยวก่อนได้มั้ย กำลังหลับสบายๆเลย ผมเลือกที่จะพลิกตัวหนีเสียงรบกวนนั้น ก่อนจะรู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างฟาดลงมาที่ใบหน้าเต็มๆ ตาสว่างเลยครับผมปัดหมอนใบใหญ่ออกจากหน้า ก่อนจะหันไปหาบุคคลที่ทำร้ายร่างกายผมตอนหลับ


                “เรียกตั้งนานแล้ว เคาะประตูก็ไม่เปิด! ประตูห้องไม่ได้ล็อกก็เลยเข้ามา นึกว่าตายแล้วนะน่ะ” ซินยืนกอดอกมองผมอยู่ที่ข้างเตียง โอ๊ะโอ ผมโดนจู่โจมหรือเปล่าเนี่ย


                “ทีหลังใช้มอนิ่งคิสสิจ๊ะ จะได้ตื่น” ผมลุกขึ้นนั่งส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะสะบัดหัวไปมา มึนนิดๆแฮะ สงสัยนอนนานไปหน่อย


                “มอนิ่งบ้าอะไร แดดหุบแล้วมั่งเหอะ นอนอะไรกันนักกันหนา คนอื่นเขาออกกันไปหมดแล้ว” ซินบ่นงุ๊งงิ๊งๆก่อนจะเดินออกไปจากห้อง


                ผมก็เลยเข้าไปล้างหน้าล้างตาและเดินตามเขาออกมา ในบ้านโล่งเลยครับ ไม่มีใครอยู่เลยสักคน นอกจากซินที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนโซฟา


                “เขาไปไหนกันหมดอ่ะ” ผมถามขณะที่หย่อนตัวลงข้างๆเขา แต่ซินก็ลุกขึ้นทันที ...ซะงั้น


                “ไปเล่นน้ำ แล้วเรากำลังจะตามไป รู้งี้ไม่ปลุกซะก็ดี” ผมมองตามซินที่เดินออกจากบ้านไป


                อะไรนะ...? ซินบอกว่าจะไปเล่นน้ำเหรอ!! จริงดิ่!!! นี่ไอ้นัทจะได้ส่องศิลปินใส่กางเกงว่ายน้ำจริงดิ...


                ผมรีบวิ่งตามออกไปขาแทบขวิด พวกคุณโอ๊ตไปเล่นน้ำกันไม่ไกลครับ ช่วงนี้ไม่มีแดดแล้วด้วย เล่นน้ำกันสนุกเลย ซินที่เดินไปถึงทิ้งตัวลงบนผ้าที่ปูเอาไว้บนพื้นทราย


                “ซิน!! เล่นน้ำกัน” เสียงคุณโอ๊ตดังมาจากในทะเล ซินก็โบกมือตอบกลับไปสองสามที


                “ไม่เล่นน้ำเหรอซิน” ผมหันไปถามเขา ก็ผมเตรียมมาเต็มที่แล้วนี่ครับ กางเกงสามส่วนกับเสื้อกล้ามสีขาว อยากโดดน้ำแล้วเหมือนกันน


                “ไม่อ่ะ”


                เอี๊ยดดดดดดดดดด รถที่กำลังเร่งเครื่องดังฮึ่มๆอยู่เมื่อกี้โดนเหยียบเบรกฝุ่นตลบ


                “อ้าว ก็ไหนบอกว่าจะตามมาไง”


                “ก็บอกว่าจะตามมา ไม่ได้บอกว่าจะเล่นน้ำสักคำ” ซินตอบพลางเหยียดขาออกไปจนสุด


                โหยยย ห่อเหี่ยว


                “แล้วถึงเราจะเล่น เราก็ไม่บ้าใส่กางเกงว่ายน้ำหรอกนะ ใครที่ไหนเขาใส่กางเกงว่ายน้ำลงทะเล” ซินเหลือบมามองผมนิดๆก่อนจะหันไปโบกมือให้คุณโอ๊ตที่ส่งเสียงโหวกเหวกในทะเล


                “งั้นไปเล่นสระว่ายน้ำก็ได้ ป่ะ คนที่รีสอร์ทบอกว่ามีสระว่ายน้ำอยู่ตรง...”


                “ไม่เอาอ่ะ”


                “โธ่ซิน มาทะเลทั้งทีนะ”


                “นายอยากเล่นก็ไปเล่นสิ เราอยู่คนเดียวได้ นู่นไง บิกินี่ลอยอยู่เต็มเลยน่ะ” ผมมองตามสายตาซินไปเห็นสาวๆกำลังมองมาทางนี้อยู่พอดี แถมโบกไม้โบกมือเรียกกันอีกต่างหาก ผมยิ้มกริ่มหันไปมองหน้าซินทันที


                “หึงเหรอ”


                “หึงบ้าสิ!! ใครหึง สำคัญตัวเองผิดไปแล้ว” ซินหันมาแหวใส่ผมก่อนจะลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกง ลมพัดมานี่เข้าหน้าผมเต็มๆครับ


                “พี่โอ๊ต ซินไปเดินเล่นนะ” ซินตะโกนบอกคุณโอ๊ตที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล ก่อนจะโผล่ขึ้นมาชูนิ้วโอเคให้ และหันมาทางผมพยักหน้าให้น้อยๆ ซึ่งผมก็พยักหน้าตอบกลับไป อย่างเคยครับ ดูแลซินให้ดี


                ซินเดินเท้าเปล่าย่ำชายหาดให้น้ำซัดผ่านเท่าไปเรื่อยๆ โดยมีผมเดินตามไป มันรู้สึกดีนะครับเวลาทำแบบนี้ ทรายอะเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มดี น้ำทะเลใสๆเย็นๆไล้ปลายเท้าไปมา เดินมาได้สักพักซินก็หยุด และหันหน้ามาหาผม แบมือยื่นมาตรงหน้า


                “ปิ๊กของเรา คืนมาด้วย”


                “ของนายหรือของฉัน พูดใหม่อีกที” ผมยืนล้วงกระเป๋ามองหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม


                “ของเรา!”


                “ของเรานี่หมายถึง ของฉันกับของนาย รวมกันเป็นของเราใช่มั้ย”


                “ตลกละ อย่ามามั่ว”


                “เอ้า แล้วมันของใคร”


                “ของเรา...เอ๊ะ ของ...ซิน”


                ผมมองคนตัวบางที่พูดไปเตะทรายไปไม่ยอมมองหน้ากัน ผมงี้ยิ้มปากแทบฉีก เวลาซินเรียกแทนตัวเองว่าซินมันน่ารักดีครับ ผมชอบ แถมไม่ได้ยินมานานแล้วด้วย


                “แทนตัวเองว่าซินแบบนี้บ่อยๆสิ น่ารักดี”


                ซินไม่ได้พูดอะไร แต่เตะน้ำใส่ผมแทน อ้าว แบบนี้มันเปิดศึกกันนี่ครับ จากเตะกลายเป็นเอามือวักน้ำสาดใส่กัน จากแค่ชายหาดเริ่มเดินลึกลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าตอนนี้เราทั้งสองคนเปียกไปทั้งตัวแล้วครับ โชคดีที่วันนี้ซินใส่กางเกงขาสั้นแค่เข่าสีฟ้ากับเสื้อยืดสีโอรส


                “โอ๊ย เราเปียกหมดแล้วอ่ะ” ซินเริ่มโวยวาย มองตัวเองที่เปียกมะล่อกมะแล่ก


                “เปียกแล้วก็ให้มันเปียกไปเลยย” พูดจบผมก็กระโดดเข้าหาซิน กะเอาให้ล้มไปในน้ำด้วยกันทั้งคู่เลย แล้วก็เป็นผลครับ


                “เฮ้ยยยย”


                ตู้มมมมม ทันทีที่เราจมลงไปในน้ำด้วยกัน ผมก็กอดคนตัวบางเอาไว้ทั้งตัว เขาเองก็ดิ้นยุกยิกๆ และก็หยุดไปเพราะสัมผัสเบาๆที่ริมฝีเขา ที่ผมมอบให้เขา แล้วเราก็โผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมกัน


                “ไอ้นัท! ไอ้บ้า!!! เราสำลักน้ำตายขึ้นมาจะทำยังไง”


                “ไม่ตายหรอกน่า ใครจะปล่อยให้คนรักของตัวเองตาย”


                “เน่ามาก บอกเลย” ซินพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนที่เราจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน น้ำใสมากครับ ใสมากจริงๆ มองเห็นก้อนหินใต้น้ำได้เลย


                ผมยกมือขึ้นจับแก้มบางของซินเอาไว้ นิ้วโป้งลากไล้ไปที่ริมฝีปากแดงๆของเขา เย้ยพระอาทิตย์อีกสักรอบดีมั้ยนะ


                “พอเลย” ซินยื่นมือมาบีบจมูกผมไว้ จะโรแมนติกกว่านี้มากครับ ถ้ามันไม่ได้แรงขนาดนี้


                “เดี๋ยวฉันหายใจไม่ออกตายขึ้นมาแล้วนายจะเสียใจ” ผมพูดทั้งๆที่โดนบีบจมูกอยู่อย่างนั้น เสียงที่ออกมามันเลยแปลกๆ ซินยิ้มกว้างออกมาทันที


                “อายบ้างอะไรบ้างนัท เดี๋ยวใครมาเห็น”


                “ใครจะเห็นเล่า ก็ดูแล้วว่าไม่มีใคร” ผมเป็นคนรอบคอบครับ


                “ทีเมื่อตอนเช้าไม่เห็นอาย” พูดจบก็โดนผลักหน้าหงายจมน้ำไปอีกรอบ


                เราเล่นน้ำกันสักพักก็ขึ้น กลับมายังเห็นพวกคุณโอ๊ตเล่นน้ำกันอยู่เลย เราสองคนเลยรีบวิ่งกลับเข้าบ้านในตอนที่ไม่มีใครสนใจ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อย ก็กลับมานั่งเล่นที่หน้าบ้านรอพวกที่ยังเล่นน้ำกันอยู่ ซินก็นั่งอ่านนั่งสือไป ผมก็นั่งมองเขา แหย่เขาเป็นพักๆ


                “หิวอ่ะ หิวๆๆๆ รีบอาบน้ำเลยนะ แล้วไปหาไรกิน” เสียงคุณโอ๊ตดังมาแต่ไกล ผมที่นั่งตัวติดซินอยู่ เด้งมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวแทบไม่ทัน


                “อ้าว ซิน นัท มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเลย” คุณโอ๊ตที่หันมาเห็นเราทักขึ้น


                “แหม พี่โอ๊ตจะเห็นได้ไง เล่นดำน้ำเป็นนางเงือก” เสียงป้องตามหลังมา


                “กูต้องเป็นนายเงือกสิวะไอ้ห่า จะเป็นนางเงือกได้ไง”


                “อ้าวเหรอ ฮ่าๆๆ”


                แล้วก็พากันไปอาบน้ำครับ ผมกับซินก็นั่งรอกันอยู่ที่เดิมสักพักทุกคนก็ออกมา เราก็พากันไปกินข้าวกัน เช่ารถตู้ของโรงแรมขับรถหาร้านอาหารไปเรื่อย ในที่สุดก็ได้ร้านอาหารทะเลร้านนึง อยู่ติดชายหาด บรรยากาศดีครับ มาทะเลทั้งทีก็ต้องอาหารทะเล งานนี้เต็มที่ครับ คุณโอ๊ตเป็นเจ้ามือ ทุกคนก็สั่งไม่ยั้งเลย


                “ทะเลเผาชุดใหญ่ หมึกนึ่งมะนาว กุ้งผัดซอสมะขาม ต้มยำทะเล ปลากระพงทอดน้ำปลา หอยเชลล์อบเนย...”


                “เฮ้ย พอๆ ไอ้จิ๋วพอ กระเป๋ากูฉีกหมดพอดี ที่สั่งไปนั่นกินกี่วันวะ” พวกเราพากันขำพรืดเมื่อคุณโอ๊ตเริ่มหน้าซีด ซินก็ขำไปกับเขาด้วย


                “แหม เป็นถึงผู้จัดการนักร้อง แบบนี้จิ๊บๆพี่ อย่าไปกลัว” ป้องแซว


                “แหมพวกมึง ได้ทีเอาใหญ่ พอแล้วครับ เอาเท่าที่สั่งไปนั่นแหละ” คุณโอ๊ตรีบหันไปบอกกับพนักงานร้าน ซึ่งเธอก็พยักหน้าและเดินกลับไป


                อาหารมื้อนี้อร่อยสุดยอดครับ ต่อให้สั่งมามากแค่ไหนก็หมดเรียบ ซินที่กินน้อยวันนี้ยังกินได้เยอะเลย แต่พอโดนคุณโอ๊ตแซวว่าเดี๋ยวอ้วนนี่วางช้อนทันที แต่เป็นตอนที่อาหารหมดแล้วนะครับ เมื่อนั่งคุยเล่นกันจนย่อยก็กลับ พอถึงบ้านพักก็ต่างคนต่างเข้าห้องตัวเอง ทันทีที่หัวถึงหมอน ป้องก็ส่งเสียงกรนขึ้นมาในทันที จนแล้วจนลอดก็ยังไม่ได้คืนปิ๊กให้ซินเลยครับ เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน คืนนี้ขอนอนเอาแรงให้เต็มที่เลย


 

                เช้าวันนี้เรานั่งเรือมาเกาะมุกกันครับ ที่เกาะมุกส่วนใหญ่จะเป็นโขดผาหินสูง พวกนักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำดูประการัง และที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือถ้ำมรกต ซึ่งวันนี้น้ำค่อยข้างสูง เรือเข้าไปไม่ได้ แต่สามารถว่ายน้ำเข้าไปได้ครับ มีไกด์จากทางรีสอร์ทเดินทางมาด้วย พร้อมกับนักท้องเที่ยวชาวต่างชาติอีกสามสี่คน


                ส่วนคุณซินเธอก็ไม่ได้ลงน้ำหรอกครับ นั่งกินลมชมวิวอยู่บนเรือนั่นแหละ พวกคุณโอ๊ตก็ลั้ลลาเข้าถ้ำไปกับไกด์แล้ว


                “ซินไม่อยากดำน้ำดูประการังมั่งเหรอ ที่นี่ตรังเลยนะ สวยสุดๆเลย ไม่อยากเห็นเหรอ”


                “เคยเห็นแล้ว”


                โอเค ยอมครับ เคยเห็นแล้วก็โอเคครับ ...เฮ้อ เราก็ทำอะไรกันไม่ได้มากนักหรอกครับ เพราะคนขับเรือก็อยู่ ผมก็เลยนั่งมองซินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ก่อนที่จะลงน้ำคุณโอ๊ตก็ชวนผมอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าซินไม่ลง ผมก็ไม่อยากลงหรอก จิตใจมันก็คงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดี๋ยวจะเผลอจมน้ำตาย ...ก็พูดไปนั่น ฮ่าๆๆ 


                พวกคุณโอ๊ตเข้าไปในถ้ำกันก็นานแล้ว แต่ก็ไม่ยอมออกมาสักที คุณลุงคนขับเรือบอกว่าสงสัยไปเล่นน้ำกันอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ อ่า...ตาจะปิดครับ


                “มาแล้วววว” ผมที่กำลังปรือตาหลับ สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของคุณโอ๊ต บทจะเป็นคนขี้โวยวายขึ้นมานี่ก็หนวกหูจริงๆ


                “สวยมากจริงๆซิน ข้างในถ้ำเป็นสีเขียวมรกตสมชื่อเลย สวยโครตๆ โอ๊ย สวยจริงๆ อีกฝั่งน้ำใสมากเลย เห็นแบบนี้แล้วไม่อยากกลับกรุงเทพเลยให้ตาย” คุณโอ๊ตที่ขึ้นมาก็พูดๆๆ แล้วก็ทิ้งตัวลงด้านข้างซิน คนสวยของผมก็หัวเราะอย่างเดียวครับ


                เรานั่งเรือออกมากันนานมาก กว่าจะกลับรีสอร์ทก็บ่ายกว่าๆแล้ว ทุกคนดำน้ำกันจนเหนื่อย อาบน้ำเสร็จก็สลบไสลไปตามๆกัน เหลือแต่ผมกับซินเนี่ยแหละที่ยังมีชีวิตอยู่รอด


                ผมเดินออกมาจากห้องก็เจอซินนั่งอยู่ที่โซฟาในบ้าน เขาหันมามองหน้าผมนิดๆ ก่อนจะก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ


                “หลับกันหมดเลย” ผมพูดพร้อมกับนั่งลงข้างๆเขา


                “อืม”


                “อ่านหนังสืออีกละ”


                “ขอร้องนัท อย่าพึ่งกวน” ซินหันมาส่งตาเขียวใส่กัน


                โอเคๆ คราวนี้ยอมก็ได้ เชิญอ่านตามสบายเลยครับ ผมเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวีที่มีอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูหนังไปเรื่อยเปื่อย เปิดเสียงเบาหน่อยเกรงใจคนอ่านหนังสือ ดูไปดูมา เปลือกตาก็เริ่มจะหนักอีกแล้ว ผมเลยเอนหัวไปหาไหล่นิ่มๆของซิน ก่อนจะวางแหมะลงไป


                “เยอะและนัท เดี๋ยวใครมาเห็น” ซินเอื้อมมือมาดันหัวผมออกทันที


                “น่านะ แป๊บเดียว คนอื่นเขาหลับกันหมดแล้ว ไม่มีใครตื่นมาตอนนี้หรอก” ซินส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอน้อยๆ ก่อนจะยอมให้ผมพิงแต่โดยดี


                “นอนตักได้ป้ะ” ได้คืบจะเอาศอกครับ


                “มากไปนัท เดี๋ยวจะไม่ได้ซบ”


                “โอเคครับ แค่ซบก็แค่ซบ” ผมหยิบหมอนอิงมากอดไว้ ก่อนจะค่อยๆหลับไป


                อิจฉาผมมั้ย มีไหล่นุ่มๆให้ซบด้วยนะ ถึงจะยังไม่ได้นอนหนุนตักก็เถอะ แต่ไม่เป็นไรครับ ได้มากกว่านั้นมาแล้ว ^^







                 เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กในบ้านทำให้ผมปรือตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหนุนไหล่ซินอยู่ แต่พอลุกพรวดขึ้นมาก็ไม่เจอซินแล้ว เห็นแต่คุณโอ๊ตที่เดินไปเดินมากับพวกสาวๆที่นั่งเมาท์กันอยู่


                “ตื่นแล้วเหรอนัท พอดีเลย เรียกซินให้หน่อยสิ เดี๋ยวเราจะไปถนนคนเดินกัน” ผมที่งัวเงียลุกขึ้นมารับคำเบาๆ


                “นอนได้น่าลักหลับมากเลยพ่อบอดี้การ์ด นี่ถ้าไม่มีคนนายเสร็จฉันไปแล้วเนี่ย” ผมหันไปมองนาวที่แซวก่อนจะยิ้มให้นิดๆ


                “แหมเสียดายจัง” ผมก็เล่นตามน้ำไปเรื่อยครับ สาวๆนี่ขำกันกิ๊กเลย


                ผมเดินไปเคาะประตูเรียกซิน สักพักคนสวยของผมก็เดินออกมา


                “เดี๋ยวจะไปถนนคนเดิน ทำไรอยู่อ่ะ” ประโยคแรกพูดเสียงปกติ แต่ประโยคหลังนี่แอบกระซิบครับ


                “เปล่า ไปกี่โมงพี่โอ๊ต” ซินตอบผมเบาๆ ก่อนจะเดินสวนผมออกมาไปถามคุณโอ๊ต


                “เนี่ยเดี๋ยวไปเลย เช่ารถกับเรือของรีสอร์ท ซินไปมั้ย”


                “อืม ไป”


                “งั้นเดี๋ยวทุกคนไปเตรียมตัวเลย หกโมงตรงเจอกัน” หลังจากที่คุณโอ๊ตบอก ทุกคนก็แยกย้ายไปแต่งตัว ซินเองก็เดินเข้าห้องไป ผมเองก็เดินเข้าห้องตัวเอง ล้างหน้าล้างตา ไปชุดนี้แหละครับ กางเกงยืน เสื้อยืด พอผมออกมาจากห้องน้ำ ป้องก็เดินเข้าไปต่อ


                ผมออกมาข้างนอก ก็ยังไม่เจอใคร เลยถือโอกาสเดินไปเคาะประตูห้องซิน ซินเปิดประตูออกมาเลิกคิ้วถามงงๆ


                “มีอะไร” ผมไม่ตอบแต่มุดลอดแขนเขาเข้าห้องมาเลย โดดลงนั่งบนเตียงทันที ซินที่ตกใจห้ามไม่ทันหันกลับมามองผมงงๆ


                “อะไรเนี่ยนัท เดี๋ยวใครก็มาเห็นหรอก”


                “ซินก็ปิดประตูสิจ๊ะ จะได้ไม่มีใครเห็น” พูดไปยิ้มไป ดีที่ตอนนี้ซินไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือครับ ไม่งั้นคงได้เจ็บตัว


                “เพิ่งจะห้าโมงครึ่งเอง ไม่มีไรทำ มานี่มา” ผมกวักมือเรียกเขาให้มานั่งข้างๆกัน แต่มีเหรอครับที่ซินจะยอมง่ายๆ


                “จะคืนปิ๊กให้ ไม่เอาเหรอ” ซินยืนชั่งใจอยู่แป๊บนึง ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆกัน


                “เอามาสิ” ซินยื่นมือมาตรงหน้าผม ผมก็วางปิ๊กลงบนมือเขา แต่ในขณะที่เขากำลังจะชักมือกลับ ผมก็คว้ามือเขาไว้ก่อน มือเราจับกันเอาไว้โดยที่มีปิ๊กอยู่ตรงกลาง


                “เก็บปิ๊กเค้าไว้ตั้งนานอ่ะ คิดไรกับเค้าป่ะเนี่ย” ผมแกล้งถามล้อเลียนเขาเล่น ซินงี้หน้าแดงเลยครับ แต่ผมว่าไม่ใช่เพราะอายนะ น่าจะเพราะโกรธมากกว่าอ่ะ


                “โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ” ผมพูดก่อนจะจับมือซินมาประครองไว้ทั้งสองมือ


                “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว คงไม่ได้ทำแบบนี้อีกนานเลย เพราะงั้นขอเก็บเกี่ยวเอาไว้ก่อน”


                “พูดยังกับว่าจะไปไหนไกล ก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่ดี”


                “อยู่ใกล้ แต่ทำแบบนี้ไม่ได้...” ผมยื่นหน้าเข้าหาเขา แต่ซินกลับถอยหลังหนีไป


                “พอเลย” ซินที่ดึงมือกลับไปสำเร็จยกสองมือขึ้นปิดหน้าผมเอาไว้


                โธ่ นิดหน่อยก็ไม่ได้นะ


                “ไอ้นัท อย่าเลีย” ซินดุขึ้นเสียงดังทันทีที่ผมเอาลิ้นแตะมือเขา ฮ่าๆ ก็มันอยากแกล้งอ่ะ เอะอะก็ปิดหน้าลูกเดียวเลย พูดจบก็ผลักหัวผมออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเดินเอาปิ๊กไปเก็บที่กระเป๋าที่โต๊ะ ผมก็ตามไปกอดเขาจากด้านหลัง ซินนี่ถองผมกลับมาในทันที ปฏิกิริยาอัตโนมัติทันทีทันใดจริงๆครับ


                จุก... แต่ไม่ปล่อยหรอก ^^


                “นัท ปล่อย อึดอัด” ซินบ่น แต่ก็เก็บนู่นเก็บนี่ไป ผมที่เกยคางอยู่บนไหล่เขาก็เริ่มอยู่ไม่สุกครับ ก็ซินตัวหอม ขอซุกขอไซ้หน่อยจะเป็นไรไป ผมไล้ปลายจมูกลงไปบนซอกคอขาว ซึ่งซินก็ย่นคอหนีในทันที ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นติ่งหูขาวๆแทน มันหมั่นเขี้ยวจนเผลองับไปเบาๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน7 จูบเย้ยพระอาทิตย์ [2/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 04-09-2013 22:42:04
                “อย่านัท!” ซินสะบัดหัวหลบไปอีกด้านก่อนจะหยิบผ้าพันคอของเขาออกมาจากกระเป๋า ในเมื่อด้านบนไม่ได้ ก็ขอด้านล่างแล้วกัน ผมค่อยๆสอดมือเขาไปใต้เสื้อยืดบางที่ซินใส่อยู่ ลากปลายนิ้วลงไปบนหน้าท้องแบนราบเบาๆ แรกๆซินก็ยังเฉยอยู่ครับ แต่พอผมเริ่มเลื่อนมือสูงขึ้นเรื่อยๆ...


                “นัท!! มากไปละๆ เฉยหน่อยไม่ได้เลยนะ” ซินรีบพลิกตัวหันหน้ามาหาผมทันที พร้อมกับเอื้อมมือมาดึงเส้นผมของผมไปหนึ่งปอย


                “โอ๊ย เจ็บนะ”


                “เจ็บก็ดี จะได้จำซะมั่ง ไป ออกไปกันได้แล้ว เดี๋ยวมีใครมาเห็นตอนออกไปพร้อมกันแล้วจะซวย” ซินเดินหนีผมไปที่ประตู


                แต่ไอ้นัทจะปล่อยไปง่ายๆเหรอครับ ผมรีบเดินไปดักหน้าเขาเอาไว้ ซินหันมามองหน้าผมด้วยสายตาเตรียมเหวี่ยงเต็มที่ แต่ผมไม่รอให้เขาเหวี่ยง ประกบปิดเรียวปากสวยนั่นทันที ซินยกมือขึ้นดันผมออก ผมจึงจับมือเขาทั้งสองข้างเอาไว้ และเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ส่งผลให้ซินเดินถอยหลังไปทันที ผมก้าวเร็วขึ้นตามจังหวะการจูบของเราที่เริ่มร้อนแรง เมื่อขาซินชนเข้ากับเตียง ผมก็ดันคนตัวบางลงไปและตามไปประกบกลีบปากหวานต่อ ซินดูจะมีท่าทางตระหนกนิดๆ แต่ก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม มือเรียวยกขึ้นคล้องคอผมช้าๆ ผมเริ่มรุกไร้ลิ้นเรียวที่ตอบกลับมาอย่างเผ็ดร้อน ลากลิ้นสำรวจไปตามไรฟัน ก่อนจะกลับมาเกี่ยวกระหวัดกันอีกครั้ง


                “อือ” เสียงหวานถูกส่งออกมาอย่างพอใจ


                ผมผละออกจากริมฝีปากสวยๆตรงหน้า เลื่อนไปยังลำคอขาวเป็นระหง ก่อนจะฝังจูบลงไป พยายามไม่ให้เป็นรอย เพราะคนตัวบางใส่เพียงเสื้อยืดเท่านั้น และลากไล้ปลายจมูกต่ำลงเรื่อยๆ... 


                “ซิน เสร็จยัง” เสียงเรียกจากคุณโอ๊ต ทำเอาผมหยุดชะงักในทันที ซินนี่เอามือออกจากคอผมแทบไม่ทัน


                ซินดันผมให้ลุกขึ้น ซึ่งผมก็ยอมลุกแต่โดยดี


                “เดี๋ยวเราจะออกไปก่อน สักพักค่อยตามออกไปนะ เดี๋ยวเราบอกพี่โอ๊ตว่านายออกไปแล้ว” ซินพูดรวดเดียวจบพร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ และเดินออกไปเลยโดยไม่หันมามองหน้ากัน แต่ผมเห็นนะว่าเขาหน้าแดงเถือกเลย หึหึ


                ซินปิดประตูไปแล้ว ผมถึงได้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเอง โอ๊ยย ไอ้นัทเอ๊ย เกือบไปแล้วจริงๆ ตอนแรกกะว่าจะแค่แกล้งจูบเฉยๆ แต่ไปๆมาๆกลับหยุดไม่ได้ อยู่ใกล้ๆซินแล้วมันอันตรายจริงๆถ้าเมื่อกี้คุณโอ๊ตไม่เรียก ป่านนี้ก็คง...


                ผมขยุ้มหัวตัวเองไปมา พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านภายในให้มันสงบ โอ๊ยยย


                ...เสียดายโว้ยยยยยยย (- - เป็นงั้นไง)


 

                ถนนคนเดินที่เราจะไปอยู่ในเมืองครับ ต้องนั่งเรือออกไป ต่อด้วยรถ ถนนคนเดินนี้ตั้งอยู่ที่หลังสถานนีรถไฟตรัง พอเรามาถึงก็มืดแล้ว แต่ละร้านเปิดไฟไล่กันไป บรรยากาศดีมากๆเลยครับ ของที่ขายก็มีทั้ง ของกิน ของใช้ ของเก่า ของแฮนด์เมด มากมายหลายอย่างครับ พวกสาวๆเขาก็วี๊ดว้ายกันไป เดินลิ่วไปนู้นแล้ว


                “เอาเป็นว่า สามทุ่มครึ่งไปเจอกันที่รถแล้วกัน เพราะนัดคนขับรถไว้ตอนสี่ทุ่ม โอเคนะ” พูดจบคุณโอ๊ตก็ล็อกคอป้องลากไปทันที เป็นใจเกินไปแล้วครับ ทิ้งผมกับซินเอาไว้สองคนแบบนี้


                ผมหันไปมองซินอย่างจะถามว่าเอาไงดี เขาก็ยักไหล่ใส่ผม ก่อนจะเดินนำไป ผมก็มีหน้าที่เดินตามคุณเขาแหละครับ โซนนี้เป็นโซนของเก่ากับของแฮนเมด ซินก็เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ไปเรื่อยครับ โชคดีหน่อยที่ไม่ค่อยมีใครจำได้ อาจจะเป็นเพราะซินใส่หมวกสานใบเล็กๆปิดหน้าเอาไว้


                ผมเดินไปเห็นร้ายขายแหวนที่หัวทำจากกะลาแกะสลัก สวยดีครับ เงยหน้ามาก็เห็นซินดูสร้อยข้อมืออยู่ที่ร้านข้างๆ ผมเลยแอบซื้อแหวนวงนั้นมา ใครบางคนเขาชอบใส่แหวนครับ ราคาก็สมเหตุสมผล เพราะมันสวยดี ผมรับแหวนมาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินไปหาซิน เห็นลังเลอยู่สองเส้น ท่าทางจะเลือกไม่ได้


                อันนึงเป็นแบบหนังถักมือ อีกอันน่าจะเป็นสร้อยเงิน ผมเลยเดินไปซ้อนด้านหลังเขา


                “อันนี้สวยกว่า” ผมเอื้อมมือไปหยิบเส้นที่เป็นหนังสือดำจากมือเขา และสวมใส่ข้อมือให้ ซินขาว ใส่สีเข้มแล้วขึ้นครับ ซินหันมามองหน้าผม ผมจึงยิ้มให้เขานิดๆ แล้วหันไปจ่ายเงินให้แม่ค้า ที่ยิ้มกรุ้มกริ่มมองพวกผมแปลกๆ


                ทำไมครับ ก็คนเขารักกัน ^^


                เราก็เดินกันมาเรื่อยๆ ซินได้ของติดไม้ติดมือมาสองสามอย่าง ซึ่งคนถือก็คือผมเองครับ สักพักคนตัวบางก็บ่นหิวน้ำ ผมก็ต้องพาไปซื้อ ได้มะพร้าวน้ำหอมมาครับ ยกมาทั้งลูกเลยทีเดียว แถมได้ช้อนมาไว้ขูดเนื้อมันด้วย รอบคอบดีครับ


                “ไปไหนต่อครับ” ผมถามซินที่ยืนดูดน้ำอยู่กับที่ ซึ่งเจ้าตัวก็ส่ายหัวไม่รู้ ผมก็เลยพาเขาเดินไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตาเข้ากันร้านแฮนเมดร้านหนึ่ง


                ผมหยุด ซินก็เลยหยุดตาม ผมก้มลงมองสมุดทำมือที่หน้าปกเป็นรูปวาดสีของคนคนหนึ่งครับ ผมเห็นซินเองก็ก้มลงมองเหมือนกัน ซินยิ้มนิดๆก่อนจะหยิบขึ้นมาดู ก็รูปเขาเองนั่นแหละครับ


                “เล่มเท่าไหร่ครับ” ผมยกขึ้นถามเจ้าของร้าน


                “ยี่สิบห้าบาทค่ะ”


                “เหมาหมดนี่ ลดมั้ยครับ” มือเล็กเอื้อมมาหยิกแขนกันทันที ผมหันไปมองซิน ยักคิ้วให้เขานิดๆ มันมีอยู่ห้าหกเล่มครับ แต่เป็นรูปเดียวกันนั่นแหละ แต่ก็แอบกลัวเจ้าของร้านจำซินได้เหมือนกันแฮะ ผมเลยเดินไปยืนบังซินเอาไว้ก่อน กันพลาดครับ


                “แหม ถ้าเหมาหมดจริงๆก็จะลดให้ค่ะ” เจ้าของร้านพูด ก่อนจะส่งตาหวานให้ผม อะไรครับ ออกหน้าออกตาไปแล้ว ยังไม่ทันไรผมก็รู้สึกเสียวแปล๊บที่เอวเพราะมือบางๆที่บิดเนื้อกัน


                “เอาหมดเนี่ยครับ” ผมยื่นสมุดรูปซินทั้งหมดที่มีให้เจ้าของร้าน ก็รูปซินนี่ครับ ไม่อยากให้ใครซื้อไปหรอก หวง  ...แต่ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าตอนที่คนขายรับไปมือเธอแอบลูบมือผมนิดๆด้วย


                แล้วเธอก็คิดราคาให้ผม ลดให้จริงๆอย่างที่บอกครับ ผมก็จ่ายเงินไป ระหว่างที่รอเงินทอนก็หันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซินก็มองตาเขียวกลับมา อะไรอ่ะ ผมทำอะไรผิ๊ดด


                “นี่ค่ะเงินทอน ยังไงถ้าชอบ สั่งลายได้นะคะ ยินดีรับทำพิเศษ นี่ค่ะ เบอร์ติดต่อ” นั่นแหละครับ ถือโอกาสแจกเบอร์แบบเนียนๆ ผมก็รับมาพร้อมกับรอยยิ้มและขอบคุณเธอไป หันมาอีกที ซินก็เดินไปนู่นแล้วครับ ผมก็เลยรีบวิ่งตามไป


                “เป็นไรซิน ไม่รอกันเลย”


                “เปล่า” เปล่าแต่เสียงนิ่งมากครับ ผมก็ยิ้มยกนิ้วจิ้มแก้มยุ้ยเบาๆ


                “หึงเค้าอ่ะดิ้” ซินหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ทันทีครับ


                หัวใจมันกระชุ่มกระชวยทุกทีเวลาซินเป็นแบบนี้ อยากจะแกล้งให้หึงมากๆเหมือนกันนะ จะได้เลิกปากแข็งซะที แต่ก็กลัวว่ามันจะลามกลายเป็นทะเลาะกันไปซะก่อน 


                “รอไปสิบชาติเถอะ ถ้าอยากให้หึงอ่ะ” พูดจบก็เดินลิ่วๆไปเลยครับ ผมหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของเขา แบบนี้ถ้าไม่เรียกหึงแล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะครับ


                “ซิน รอก่อนน”


 

                เดินมาเรื่อยๆก็ถึงโซนของกิน มีปลาหมึกย่างตัวโตๆ กุ้งย่าง ปลาเผา เต็มไปหมด เห็นแล้วน้ำลายสอเลย ผมซื้อนู่นซื้อนี่จนของกินเต็มมือไปหมด ไม่รู้จะอย่างไหนก่อนเลยครับ ผิดกับซินที่ยังขูดเนื้อมะพร้าวกินอยู่เลย


                “กินมั้ยซิน” ผมจิ้มปลาหมึกย่างยื่นให้ แต่ซินกลับถอยหน้าหลบ


                “บ้าเหรอนัท คนเยอะแยะ”


                “ไม่มีใครจำได้หรอก”


                “จำได้หรือจำไม่ได้ก็ไม่เอา คนเยอะ” ผมก็เลยจำต้องเอาปลาหมึกชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง


                เดินไปกินไปจนมันเริ่มหมดทีละถุงๆ จนถุงสุดท้ายหมดไป ผมก็มองหาเหยื่อยรายใหม่ครับ


                “ซิน กินแพนเค้กมั้ย น่ากินๆ” ผมตรงรี่เข้าไปเลย แต่ก็โดนซินเบรกเอาไว้ก่อน


                “พอแล้วนัท กินเยอะเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก” ซินหันมาดุกันทันที ก็คนมันอยากกินอ่ะ ._.


                “ไม่ต้องมาทำหน้าหมาหงอย พอเลย กี่โมงแล้วเนี่ย”


                “สามทุ่มยี่สิบ”


                “ป่ะ กลับเหอะ ไปรอที่รถ เราเมื่อยแล้ว” ถ้าซินเมื่อย นัทก็ยอมครับ


                แต่จะกลับแล้วอ่ะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับกรุงเทพแล้วด้วย คิดมาถึงตรงนี้มันก็หวิวๆนะครับ สองสามวันที่ผ่านมาใช้ชีวิตด้วยกัน ตื่นมาก็เจอ ก่อนนอนก็เจอ ไปไหนมาไหนอยู่ด้วยกันตลอด แต่ถ้ากลับกรุงเทพไปทุกอย่างก็เหมือนเดิม เข้าใกล้มากไม่ได้ ทำอะไรออกหน้าออกตานักก็ไม่ได้ จะจับมือ จะกอด จะจูบ นี่คงไม่ต้องคิดถึงเลย


                ผมมองคนตัวบางที่เดินอยู่ตรงหน้า มองมือเรียวที่แกว่งไปมา ถ้าจะเดินจับมือกันตอนนี้ ซินจะยอมมั้ย ในที่ที่คนเยอะแบบนี้ ซินจะยอมให้ผมเดินจูงมือเขามั้ย ซินที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ กับผมที่ต้องอยู่ในเงามืดของแสงไฟนั้น ปัดป้องสิ่งต่างๆที่จะมาทำให้แสงไฟแสนสวยนี่หม่นลง


                ผมเดินไปด้านข้างเขา ค่อยๆสอดมือผมเข้าไปในมือบาง แล้วก็กุมมือนุ่มนิ่มนี้เอาไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นสายตาของซินที่มองมา ขอหน่อยนะซิน ขอให้ผู้ชายคนนี้ได้มีความสุข เพื่อทดแทนเวลาสีหม่นที่ต้องทนมานานแสนนาน นายเองก็ต้องอดทนเหมือนกันใช่มั้ย งั้นตอนนี้ขอเวลาให้เราเถอะนะ ให้เราได้มีความสุขหลังจากที่เราทุกข์กันมามากมายพอแล้ว


                ผมหันไปยิ้มให้ซิน ซึ่งเขาก็ยิ้มนิดๆตอบกลับมา มือเรายังคงจับกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา


                มาตรังคราวนี้ ผมมีความสุขที่สุดเลย ^^ 




TBC.
...
 
ทริปตรังจบแล้วค่าาาาาาาาาาาาาาาา

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่าาาา

เจอกันตอนหน้านะคะ รักนะ จุ้บๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน8 Ending of Trang [4/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 04-09-2013 23:43:07
อื้อออ
ทริปที่ตรังนี่ พาฟินไปสามปีเลยทีเดียว
#ทำไมต้องสามปี ช่างมันเหอะ
เราว่านะ แม่ค้าคนแรกต้องเป็นสาววายชัวร์
ไอ้ที่มองแปลกๆนั่นนะ กรี๊ดอยู่ในใจไง
แล้วก้อ ช่วงนี้คุณบอดี้การ์ดเค้ารุกหนักเหลือเกิน
โฮกกกก วาบหวามมากๆอ่ะ
เขิลเกิ๊นนน ชั้น ฟิน บ่องตง !!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน8 Ending of Trang [4/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 05-09-2013 00:45:47
น่ารักมากอ่ะคุณนักร้อง


อร๊ายยยยย :pighaun:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน8 Ending of Trang [4/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-09-2013 03:01:46
 :katai5:

เกาะสวาท หาดสววรค์
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน8 Ending of Trang [4/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 05-09-2013 08:25:24
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน8 Ending of Trang [4/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-09-2013 18:22:31
หวานเว่อร์มากทริปนี้
ซินน่ารักสุดๆเหมือนซ้อมฮันนีมูนเลย 5555
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน9 บุกบ้าน [5/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 05-09-2013 23:06:43
9

((บุกบ้าน))


               
                หลังจากที่กลับกรุงเทพมาสามวันแล้ว ศิลปินของผมยังไม่มีงานเลยครับ ดังนั้นผมกับซินจึงไม่ได้เจอกันเลย บอกตรงๆไอ้นัทคนนี้กำลังจะเป็นบ้าตายเพราะคิดถึงซิน แต่เราก็โทรคุยกันนะครับ ผมว่างก็โทรหาเขา คิดถึงก็โทรหาเขา หิวข้าวก็โทรหาเขา ก่อนเข้าห้องน้ำก็โทรหาเขา จนตอนนี้ซินปิดเครื่องหนีผมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ


                ใจร้ายที่สุดเลย...


                ก็คนมันคิดถึง ต่อให้ได้ยินเสียงมันก็ไม่หายอ่ะ มันอยากเจอมากกว่า


                ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองไอ้แสบมันซ้อมยูโดกับพวกในโรงฝึกอยู่ เห็นตัวเล็กๆแต่แรงมันเยอะนะครับ ปีนี้มันก็จะจบมอหกแล้วด้วย ไม่รู้ว่าพ่อจะป้อนงานให้ตอนไหน พอมันคว่ำรุ่นพี่มันได้สำเร็จก็วิ่งส่ายหางดุ้กดิกๆมาหาผม เหมือนหมาเลยมั้ยครับ


                “พี่นัทๆๆๆๆ” มันเรียกชื่อผมตั้งแต่วิ่งก้าวขาก้าวแรกจนมาถึงผมนั่นแหละครับ


                “เรียกคำเดียวพอมั้ง ไม่ต้องกลัวลืมชื่อหรอก”


                “กัสเก่งป้ะ” มันยื่นหน้ามาถามผมอย่างอวดๆ


                “เออๆ เก่ง”


                “งั้นบอกลุงให้ผมหน่อยสิว่าผมพร้อมทำงานแล้ว”


                “เรียนให้จบมอหกก่อนเหอะ ค่อยมาร้องของาน” ผมผลักหัวมันที่ยื่นมาใกล้ๆไปที


                “ไรวะ แล้วไม่มีงานทำรึไง เห็นอยู่โรงฝึกมาหลายวันละเนี่ย โดนนายจ้างเขาทิ้งแล้วล่ะซี้”


                ผมเลยเอื้อมมือไปโบกหัวมันหนึ่งที โทษฐานพูดจาน่าเตะมาก ดีนะที่นั่งอยู่ เอ็งเลยรอดลูกเตะพิฆาตของข้า มันก็ยกมือลูบหัวป้อยๆบ่นไรงึมงำของมันไป


                “ปากแบบนี้เดี๋ยวรายชื่อหลุดได้งานหรอก”


                “โห ใช้เส้นสายในทางที่มิชอบ”


                ผมก็ยักคิ้วให้มันไปสองที


                “เออ พี่นัท แผ่นซีดีวันนั้นอ่ะ กัสโครตเพ้ออ่ะ เก็บไว้ใต้หมอนเลยนะเว้ย เอาไว้อ่านก่อนนอน โอ๊ยย โครตมีความสุขอ่ะ ขอบคุณพี่นัทมากๆนะ ไว้จะซื้อขนมมาเซ่น เชื่อได้เลยว่าใครก็ไม่มีทางได้ลายเซ็นเหมือนผมแน่นอน” ผมฟังมันพลางประมวลผลในหัวไปด้วย เหมือนเรื่องมันผ่านมานานแล้ว แต่เอ๊ะ มันแอบด่าว่าผมเป็นศาลพระภูมิป่ะวะ เอาของมาเส้น แต่เดี๋ยวก่อน ลายเซ็น....


                พอนึกขึ้นมาได้ผมนี่หัวเราะแทบหงายหลัง ฮ่าๆ จำได้มั้ยครับ ว่าไอ้กัสมันได้ลายเซ็นอะไรมา...


                แต่ดูท่าว่ามันจะดีใจมากกว่าเสียใจนะครับ ผมก็มองท่าทางเพ้อๆของมันยิ้มๆ
                “พี่นัทพาพี่ซินมาที่โรงฝึกมั่งดิ” ผมที่ท้าวแขนอยู่กับพื้น แขนอ่อนขึ้นมาทันที


                “จะพามาได้ไงวะ เขาเป็นเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อนเล่น”


                “โธ่ ก็ลองชวนดูดิ”


                ผมส่ายหัวช้าๆก่อนจะลุกขึ้นยืน


                “ไม่เอาละ ไม่คุยกับเอ็งและ เข้าบ้านหาอะไรเย็นๆกินดีกว่า ที่นี่ร้อนว่ะ”


                “ไปด้วยๆๆๆ” ไอ้เจ้ากัสก็ลุกขึ้นโดดเหยงๆตามหลังผมมา ผมก็เดินไปถอนใจไป ปล่อยเลยตามเลยแล้วกันครับ ขี้เกียจห้ามแล้ว มันเองก็ซ้อมมาเยอะแล้วด้วย


                “แม่ครับบบ” ผมเดินเข้าไปนั่งด้านข้างแม่บนโซฟา


                “ป้าครับบบบบ” ไอ้กัสที่ลากเสียงเรียกแม่ผมยาวกว่าผมอีก แถมแสล๋นมานั่งกอดแขนแม่ผมอีกต่างหาก


                แม่ผมก็หัวเราะนิดๆก่อนจะวางไหมพรมที่แม่กำลังถักลงบนตัก ยกมือขึ้นลูบหัวผมทั้งสองคน ทำยังกับมันก็เป็นลูกแม่เลยนะน่ะ


                “ว่าไงจ๊ะ ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ” ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดต้องหุบลงทันทีเพราะไอ้กัสมันชิงตอบไปก่อนแล้ว


                “ซ้อมเสร็จแล้วครับ เหนื๊อยเหนื่อย หิ๊วหิว คิดถึงขนมอร่อยๆฝีมือคุณป้าจังเลย” สตอเบอรี่มากครับ ทำท่าทางออดอ้อนได้น่าถีบมาก ผมหันไปมองมันอย่างหมั่นไส้


                “แหม ปากหวานจริงนะจ๊ะเราเนี่ย งั้นไป ไปช่วยป้ายกขนมหน่อย” แม่ก็เออออไปกับมันด้วย ไอ้กัสลุกขึ้นประคองแม่ผมเดินเข้าครัวไป แต่ยังไม่วายหันมาแลบลิ้มปลิ้นตาใส่ผมอีกต่างหาก นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่กับแม่นี่ผมกระโดดถีบมันไปแล้วนะครับเนี่ย แม่นี่ก็ไม่สนใจลูกชายเลย! แต่ไม่ครับ แม่ผมน่ารัก ผมไม่โกรธหรอก


                พูดถึงเรื่องน่ารัก โทรหาซินดีกว่า...


                ตรู๊ด...


                เสียงรอสายดังขึ้นผมนี่แทบอยากจะตะโกนโห่ร้อง ซินเปิดเครื่องแล้วครับ รออยู่นานมาก นานแบบนานมากๆ แทบจะกดวางแล้วโทรใหม่ แต่ปลายสายก็รับพอดี


                (....) ไม่พูดครับ


                “ซินครับ...”


                (ถ้าไม่ได้มีธุระอะไร เราจะปิดเครื่อง แล้วก็จะไม่เปิดอีกเลยจนกว่าจะมีงานอีกที)


                เสียงหวานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด บ่งบอกว่าเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ แล้วก็จะทำจริงๆด้วยๆ


                “ซินปิดเครื่องไม่ได้หรอก เดี๋ยวคุณโอ๊ตติดต่อไม่ได้” นี่ครับ ไอ้นัทไม่โง่นะครับซิน


                (เดี๋ยวเราจะโทรไปบอกพี่โอ๊ตว่าโทรศัพท์เสีย ให้โทรมาเบอร์บ้านแทน) โง่ไปเลยครับไอ้นัท


                “ทำไมอ่ะซิน ก็คนมันคิดถึงนี่” เริ่มแล้วครับ แผนรู้ทันใช้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีออดอ้อนแทน


                (เราก็มีเรื่องต้องทำนะนัท จะให้เรามานั่งรับโทรศัพท์ทุกสิบนาทีรึไง ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดีสิ!)


                “ก็ไม่ได้โทรบ่อยขนาดนั้นสักหน่อย” ผมบ่น พลางมองไปเห็นแม่กับไอ้กัสที่เดินถือจานขนมตามมา ผมก็ลุกขึ้นหลบไปหามุมคุยโทรศัพท์


                “คุณป้าดูสิครับ พี่นัทแอบคุยโทรศัพท์กับสาว” ไอ้กัสชี้ชวนแม่หันมามองผม ซึ่งแม่ก็มองมายิ้มๆ ผมเลยด่ามันแบบไม่ออกเสียงไปเสียงหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปยิ้มให้แม่ และเดินออกมา


                (เราจะวางแล้วนะ) ซินที่เงียบไปนานพูดขึ้น


                “ไม่เอาอ่ะ คุยกันก่อนสิ”


                (แค่นี้นะ)


                “ถ้าวางสายจะไปหาที่บ้านจริงๆด้วย”


                (กล้าก็มา) พูดจบก็วางสายไปเลยครับ ท้าทาย ท้าทายมากครับ มันน่านัก ถ้าเจอกันคราวนี้ไม่รอดแน่ๆซิน ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าอย่างเซ็งๆ ความจริงผมก็ไม่ได้กลัวนะเว่ย แต่แค่เสียวสันหลังเฉยๆถ้าเจอป๊าซิน ถ้าเจอม้าก็ดีไป แต่ถ้าเจอป๊าก็คงไม่รอด...


                ผมเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นไอ้กัสนั่งขัดสมาธิกอดหมอนอยู่บนโซฟา เคี้ยวคุ้กกี้ตุ้ยๆอยู่ข้างๆแม่ แม่งโครตน่าหมั่นไส้ ผมเลยเดินเข้าไปดันมันออกแล้วก็นั่งแทรกตัวลงไปตรงกลาง พาลครับ! อารมณ์ไม่ดี


                “เอ้า ตานัท เบียดแม่ทำไมเนี่ย”


                “เออ พี่นัทแม่งนิสัยไม่ดีว่ะ แย่งที่ผม”


                เอาเข้าไป รุมด่าผมกันเข้าไป ใช่สิ! ผมมันเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ! งอนเว้ย!!


                “เป็นอะไรลูก” แม่หันมาเลิกคิ้วถามผม


                “เปล่าครับ ไม่ได้เป็นไร”


                “แม่ว่าลูกดูท่าทางหงุดหงิดๆนะ อารมณ์เสียเรื่องอะไรลูก”


                “โดนสาวหักอกล่ะซิ๊ สมน้ำหน้าว่ะ” ไอ้กัสครับ ไอ้ลูกหมา ผมทำท่าจะเขกมะเหงกใส่หัวมันแต่แม่กลับห้ามเอาไว้ซะก่อน


                “ไม่เอานัท อย่าแกล้งน้อง” ไอ้กัสนี่หัวเราะก๊ากเลยครับ น้องเนิ้งที่ไหนเล่า ผมลูกคนเดียวนะแม่ แต่ไม่เอาครับไม่พูด เดี๋ยวแม่โกรธ ผมเลยต้องถอนหายใจอย่างเซ็ง เดี๋ยวเข้าโรงฝึกก่อนเถอะ ข้าจะทุ่มเอ็งให้หายอารมณ์เสียเลย


                แต่คิดไป คิดมา...


                “แม่ นัทออกไปข้างนอกนะครับ” พูดจบผมก็ลุกขึ้นวิ่งขึ้นห้องมาเลย เปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากุญแจไอ้ลูกชายคู่ใจออกมาจากบ้านทันที


                “ไปไหนลูก นัท” เสียงแม่ถามตามหลังมา


                “ไปง้อสาวล่ะม้างงง” เสียงไอ้กัสเห่าตามมาอีกคน


                “เดี๋ยวมาครับแม่” ผมตะโกนตอบแม่ก่อนจะออกจากบ้าน


                ไม่ทนแล้วครับ คิดถึงก็จะไปหา โดนท้าซะขนาดนั้น เดี๋ยวจะเอาให้เก่งไม่ออกเลยครับ หึหึ แต่เดี๋ยว ผมควรจะใส่เสื้อกันกระสุนเซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีมั้ย เพราะถ้าตายตั้งแต่ประตูหน้าบ้านมันจะน่าอนาถเกินไป เอาน่า... คิดซะว่าป๊าซินไม่อยู่บ้านละกันนะ


                ปลอบใจตัวเองทั้งนั้น


                ไอ้ลูกชายคู่ใจก็แรงซะจริง ขับไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านที่แสนจะคุ้นเคยแล้ว พึ่งจะมากลัวตายเอาจริงๆก็ตอนเห็นรั้วหน้าบ้านนี่แหละครับ


                เอาไงดี โทรหาซิน ซินคงไม่รับสายแน่ๆ จะให้กดกริ่งก็ไม่กล้าอีก กลัวคนที่มาเปิดจะไม่ใช่คนที่ต้องการ แหะๆ กลัวจะเป็นคุณป๊านั่นแหละครับ หรือจะปีนรั้วเข้าไปเลยดี แล้วค่อยปีนขึ้นระเบียงห้องซินอีกที ใครก็ได้บอกผมทีครับ บุกลุกบ้านนักร้องนี่ติดคุกกี่วัน


                แต่ในระหว่างที่ผมเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านนั่นเอง ก็มีใครคนหนึ่งเดินออกมาจากสวนหลังบ้าน เห็นผมเข้าพอดี


                “อ้าว นั่นนัทใช่มั้ยลูก” ผมหันไปตามเสียงเรียกทันที ม่าม้าของซินครับ ค่อยยังชั่ว....


                “สวัสดีครับม้า” ผมยกมือขึ้นไหว้ม้าทันที ม้าเองก็เดินมาเปิดประตูให้ผม


                “มาหาซินเหรอลูก”


                “ครับ”


                “มาๆ เข้ามาก่อน เอารถมาจอดข้างใน” ม้าซินยังน่ารักเหมือนเคยครับ แต่ผมนี่สิ จะเข้าไปดีมั้ย จะเข้าดีหรือไม่เข้าดี เอาไงดีวะ


                ม้าที่ยืนรออยู่หันมามองผมงงๆ ก่อนจะยิ้ม


                “กลัวอะไรจ๊ะ”


                ผมเลยเงยหน้ามองม้ายิ้มๆ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว ไม่กล้าวันนี้แล้วจะกล้าวันไหน อย่าให้ใครเขามาดูถูกเอาได้ว่าเป็นบอดี้การ์ดขี้ขลาด! ก็แค่ป๊าซินเอ๊ง! ป๊าซินที่หน้ากลัวยิ่งกว่ากระสุนปืน!!!


                “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมก็เข็นรถเข้ามาในรั้วบ้าน และเอาไปจอดแอบไว้ข้างๆรถซิน แล้วก็เดินตามม้าเข้าไปในบ้าน เตรียมใจแล้วครับ แต่ในห้องรับแขกกลับไม่มีใครเลยสักคน มีแต่โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้


                “ซินอยู่บนห้องแหนะ นัทขึ้นไปหาสิ” ผมรีบหันไปมองหน้าม้าทันทีที่ได้ยิน


                ให้ผมขึ้นไปหาซินบนห้องเหรอ ได้เหรอครับ ได้แน่ๆนะ


                ม้าคงเห็นท่าทางผมเลยหัวเราะออกมา


                “ไปเถอะลูก เดี๋ยวม้าเอาของว่างขึ้นไปให้”


                “ไม่เป็นไรครับม้า ลำบากม้าเปล่าๆ”


                “ไม่เป็นไรหรอก ขึ้นไปเถอะ” พูดจบม้าก็เดินหายเข้าไปในครัว แล้วมีหรือครับที่ไอ้นัทจะรอช้า วิ่งสี่คูณร้อยเมตรขึ้นไปชั้นบนทันที ผมเดินไปที่ประตูบานสีขาว เคาะลงไปเบาๆ


                “เข้ามาเลยครับม้า ซินไม่ได้ล็อค” เสียงหวานตอบออกมาจากภายใน ไม่ได้ล็อคเหรอ รู้งี้เปิดเข้าไปเลยดีกว่า


                ผมค่อยๆแง้มประตูออกน้อยๆ เห็นคนที่แสนจะคิดถึงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ บนตักมีหนังสือเล่มหนาที่กำลังเปิดอ่าน


                “มีอะไร... นัท!!!” ซินที่กำลังจะถามอะไรสักอย่าง เงยหน้ามาเจอผมแทนที่จะเป็นม้าของเขาตะโกนขึ้นอย่างตกใจ


                “ไง” ผมทักเขายิ้มแป้นก่อนจะเดินเข้าไปหา


                “มาได้ไง แล้วขึ้นมาบนนี้ได้ไง ใครเปิดประตูให้ อย่าบอกนะว่าปีนรั้วเข้ามา” คนตัวบางปิดหนังสือลงทันที อะไรน่ะ เห็นผมเป็นคนแบบไหนกัน ถึงแม้ว่าคิดจะปีนจริงๆก็เถอะ


                “ไม่ได้ปีนซะหน่อย” ผมตอบเขาพลางเดินไปนั่งที่ปลายเตียง


                “แล้วเข้ามาได้ไง”


                “ม้าเปิดประตูให้” ซินหน้ายุ่งไปในทันที หึหึ


                “มีคนท้า บอกว่าถ้ากล้าก็มา นี่ก็มาแล้วไง เอาไงต่อดี” ผมถามเขายิ้มๆ ก่อนจะกระเถิบเข้าไปหาเขา ซินก็เอาหมอนปาใส่หน้าผมทันที หึหึ


                “ถอยไปเลยนัท อย่ามาทำรุ่มร่ามในบ้านเรานะ ม้าก็อยู่”


                “ม้าอยู่ข้างล่างไม่ใช่เหรอ...” ผมทำเสียงแหบๆ แกล้งเขาไปครับ แต่ดูท่าไอ้คนตรงหน้ามันจะคิดจริง เพราะซินคว้าหนังสือเล่มหนาๆขึ้นมาเตรียมปาทันที สลบนะครับน่ะ ถ้าโดนจริงๆ


                “ล้อเล่นน่าซิน ฉันก็ไม่ได้หน้ามืดขนาดนั้นนะ”


                “ใครจะไปรู้ ก็เห็นหน้ามืดได้ตลอด” ซินพึมพำเบาๆก่อนจะวางหนังสือลง หึหึ คนเก่งในโทรศัพท์หายไปไหนแล้วนะครับ


                “ซิน เปิดประตูให้ม้าหน่อยลูก” เสียงม้าดังขึ้นที่หน้าประตู ซินเลยรีบลงจากเตียงและเดินไปเปิดประตู ผมเองก็กระเถิบมานั่งที่ปลายเตียงตามเดิม


                “ขอบคุณฮะ ม้าเปิดประตูให้เขาทำไมอ่ะ” ซินรับถาดขนมกับน้ำมาถือ ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางผม


                “อ้าว ลูกคนนี้ นัทมาหาซิน แล้วม้าจะไม่เปิดให้ได้ไง” ซินทำท่าไม่พอใจนิดๆก่อนจะเอาถาดไปวางที่โต๊ะ


                “งั้นเดี๋ยวม้าลงไปดูกับข้าวก่อนนะลูก คุยเล่นกันไปเถอะ” พูดจบม้าก็เดินออกไป พร้อมกับปิดประตูให้เสร็จสรรพ ผมก็เลยหันไปยิ้มหวานให้ซิน


                “ไม่ต้องมายิ้ม เจอป๊าแล้วจะยิ้มไม่ออก สมน้ำหน้า หาเรื่องเอง” ซินพูดพลางเบะหน้าใส่ผม


                ไหน ใครกลัว ไม่มี้ วันนี้เตรียมใจมากพร้อมแล้วครับบบ


                “ตั้งแต่เข้ามายังไม่เจอป๊าเลย” วันนี้โชคดีของผมครับ วันนี้ป๊าน่าจะไม่อยู่บ้านแน่ๆ


                “ป๊าไปทำธุระ แต่ตอนนี้น่าจะกำลังกลับแล้ว หึหึ” ซินหันมาแสยะยิ้มให้ผม ผมไม่ค่อยชอบรอยยิ้มแบบนี้ของซินเลยครับ ขนลุกแปลกๆ แถมยังมาหัวเราะปิดท้ายแบบนั้นอีกแหนะ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวจะขำไม่ออก


                ผมลุกขึ้นเดินย่างสามขุมไปทางเขา ซินหุบยิ้มลงทันที ก่อนจะยกมือขึ้นชี้หน้าผม


                “จะทำอะไรไอ้นัท” ผมไม่ตอบแต่เดินเลยผ่านเขาไปที่ประตู ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยครับ แต่หนูน้อย โล่งใจไวไปแล้วครับ เพราะที่ผมเดินมาทางนี้ไม่ได้จะไปไหน แต่จะมา ...ล็อกประตู...ตีแมว


                กริ๊ก


                เสียงกริ๊กจากลูกบิดประตู ทำให้ซินหันมามองหน้าอย่างตกใจ


                “ไหนบอกจะไม่หน้ามืดไง” ทำเสียงแข็งสู้ครับ แต่จะก้าวถอยหลังไปไหนจ๊ะ ผมก้าวเข้าหาเขา เขาก็ถอยไปอีกก้าว ผมก็ก้าวต่อไปอีก แต่ซินไม่ถอยแล้วครับ ยืนตีหน้านิ่งอยู่กับที่


                “เราไม่หลงกลอีกรอบหรอกนะ! คราวนี้ผลักเราลงเตียงอีกไม่ได้แล้ว!” ผมแอบขำซินในใจ ท่าทางจะคิดเรื่องนั้นจริงจังนะนั่นน่ะ ได้ทีก็อยากแกล้งอีกสิครับ


                “ไม่ต้องบนเตียงหรอก บนพื้นห้องก็ได้” ซินหน้าซีดไปแล้วครับ ผมแสยะยิ้มโชว์ฟันขาว ทีใครทีมันครับที่รัก...


                “ย๊ากกกก”


                “เฮ้ย!!!!!!!!!!”


                ผมพุ่งเข้าใส่ร่างบาง เอามือจี๋เอวบางๆนั่นพร้อมกันทั้งสองมือ ซินถอยกรูดไปล้มลงบนเตียงพอดี ผมก็ตามไปจี้เอวเล็กนั่นต่อ ซินร้องโวยวายลั่นเลยครับ ทั้งหัวเราะทั้งข่วนผมทั้งบอกให้หยุดไปพร้อมๆกัน ตัวบางตอนนี้ขดเป็นกุ้งเลยครับ ผมเป็นลอนสวยของเขาแผ่ออกเต็มเตียงไปหมด


                “นัท! อย่า... หยุด! ฮ่าๆๆ พอแล้ว ไอ้บ้าาา”


                “สรุปว่าจะให้อย่าหรือจะให้หยุดครับ เอาอย่างไหนดี” ปากก็ถามไป มือก็จิ้มพุงนิ่มๆไปด้วย


                “พอแล้วว ยอมแล้วว” ซินที่ดิ้นพราดๆ หอบแฮ่กๆเลยครับ ผมที่กลัวว่าเขาจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ก็เลยหยุด


                ฮ่าๆๆ แมวตัวน้อยๆของผม หมดครับ หมดสภาพเลย เสื้อยืดตัวบางเลิกขึ้นมา เผยให้เห็นหน้าท้องขาวๆของซิน เลิกสูงขึ้นมาจนแทบจะเห็น...


                ชิบเป๋ง หันหน้าหนีแทบไม่ทัน เดี๋ยวจะเกิดหน้ามืดขึ้นมาจริงๆ


                “ไอ้นัทบ้า... พยุงเราขึ้นเลย” ซินพูดขึ้นด้วยเสียงหอบๆ พร้อมกับพยายามดันตัวเองขึ้น ผมเลยหันไปช่วยประคอง ใบหน้าหวานแดงซ่านเพราะออกแรง...เยอะ ...แหน่ะ คิดอะไรกันครับ รู้นะ


                ซินลุกขึ้นมานั่งได้เพราะแรงพยุงจากผม หอบใหญ่เลย แถมหน้าก็แดงมากด้วย เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาตามไรผม ไหลย้อยลงมาถึงคางมน กลีบปากสวยสีแสงสด หอบหายใจเข้าออกช้าๆ


                แย่แล้วครับ ผมกำลังจะหน้ามืดซะแล้ว...


                “ซิน เสียงดังอะไรกันลูก” ราวกับมีฟ้าฝ่าลงมากลางร่าง บรรยากาศเย็นเยียบเลยครับ ผมมองหน้าซินที่ยิ้มแสยะออกมาอีกครั้ง คราวนี้ถึงตาผมเสียวสันหลังมั่งแล้ว


                ชัดเลย...คราวนี้เป็นเสียงป๊าซินครับ


               “เอาไง” ซินถามผมพลางยักคิ้วให้ ซินเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักนะครับ แต่ผมไม่ชอบเลย


                “ซิน” เสียงป๊าเรียกขึ้นอีกครั้ง


                “ฮะ” ซินขานรับก่อนจะเดินลงจากเตียงไปที่ประตู ก่อนจะเปิดประตูยังไม่วายหันมามองผมยิ้มๆอีกต่างหาก


                ผมก็ลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ ซวยแล้วไอ้นัท อุตส่าคิดว่าโชคดีที่ป๊าไม่อยู่บ้าน แต่ป๊าดันกลับมาเร็วซะนี่ ที่นี้ควรจะทำหน้ายังไงดี ควรจะวางตัวยังไงดีวะ เอาไงดี ทำยังไงดี


                แต่ยังไม่ทันให้ผมได้คิดอะไรออก ซินก็เปิดประตูผัวะออกไปซะแล้ว...
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน9 บุกบ้าน [5/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 05-09-2013 23:08:35

                ป๊ายืนหน้านิ่วอยู่ที่หน้าประตูครับ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ซินที่เดินเข้าไปหา ไอ้ลูกแมวขี้อ้อนเดินไปกอดป๊าตัวเอง ผมก็เลยเดินตามออกมาจากห้อง รับสายตาอำมหิตเข้าให้เต็มๆ     


                “สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ ป๊าก็เมินหันไปหาซินแทน


                “ไง เสียงดังอะไรไปถึงข้างล่างลูก” เอาแล้วไง... ผมส่งสายตาปิ๊งๆไปให้ซิน ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มสะใจส่งมาให้ผม ไม่นะซิน อย่าทำร้ายฉันด้วยวิธีนี้


                “นัททำร้ายซินฮะป๊า นัทแกล้งซิน”


                ตู้ม... ระเบิดลงไอ้นัทเต็มๆ ยืนตายไปแล้วเรียบร้อยครับ


                ป๊าเหลือบสายตาโหดๆมายังผม ผมเองก็ทำได้แค่ส่งยิ้มหวานๆไปให้เท่านั้นครับ ทำไมขนมันลุกแปลกๆก็ไม่รู้สิ


                “ลงไปข้างล่างดีกว่า ม้าจัดโต๊ะกินข้าวแล้วลูก” แล้วสองคนพ่อลูกเขาก็พากันลงข้างล่างไป ตามด้วยส่วนเกินอย่างผม


                ลงมาก็เห็นม้าจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ผมก็ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงนั้น ไม่รู้จะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี ค่อนข้างที่จะทำตัวไม่ถูก บรรยากาศมันอึมครึมชอบกล ซินตอนนี้ก็ไม่สนใจผมเลยครับ ไปนั่งคุยกับป๊าที่โต๊ะกินข้าวนู่นแล้ว


                “กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้วมั้ง” เสียงป๊าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะพูดขึ้น ไล่กันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมเลยทีเดียว


                “เอ๊ะ ป๊านี่ล่ะก็ มานัท มานั่งนี่ลูก ม้าทำกับข้าวไว้เผื่อเพียบเลย อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” โชคยังดีที่บ้านนี้ยังมีคนรักผมอยู่ครับ ผมรีบหันไปยิ้มประจบม้าทันที


                “กลับไปกินข้าวบ้านไม่ดีกว่าเหรอ คนบ้านนี้เขาจะได้หายใจสะดวกขึ้นหน่อย” อิ้อหือ ป๊าครับ ผมไม่ได้หายใจเป็นพิษนะครับป๊า


                “ป๊า!!” ม้าเดินไปทีแขนป๊าทีหนึ่งก่อนจะทำหน้าดุใส่


                “มาตานัท มานั่งตรงนี้ลูก” ม้ากวักมือเรียกผมให้ไปนั่ง เอ่อ ตรงนั้นจะดีเหรอครับ ข้างๆป๊าเลยเหรอ...


                ตอนนี้เราทั้งหมดนั่งกันอยู่บนโต๊ะกินข้าว โดยที่มีป๊านั่งหัวโต๊ะ ฝั่งซ้ายของป๊าคือซินแล้วก็ม้า ส่วนฝั่งขวาของป๊าคือผมเอง ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของซินครับ สามคนพ่อแม่ลูกเขาก็กินกันไปคุยกันไป แต่ตอนนี้ผมกำลังเผชิญปัญหา เพราะไม่ว่าผมจะเอื้อมมือไปตักอะไร ป๊าก็บังเอิญจะกินอย่างนั้นเหมือนกัน และมันก็บังเอิญเป็นอย่างนั้นทุกครั้ง เพราะงั้นตอนนี้ผมก็กำลังพยายามเคี้ยวข้าวเปล่าอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ครับ...


                ฟังดูแย่ใช่มั้ยครับ แต่...มันมีที่แย่กว่านั้นอีก


                “อ่ะนัท กินเยอะนะๆ” ป๊าที่แสนจะใจดี (?) ตักกับข้าวให้ผมครับ คุณพ่อตาตักอะไรให้คุณลูกเขยรู้มั้ยครับ


                กระเทียมเม็ดโตๆที่อยู่ในผัดผัก...ไม่กินได้มั้ยครับ...ไม่ได้ครับ เพราะพ่อตาตักให้ ต้องกินให้อร่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันที่จริงผมควรจะกลับไปกินข้าวที่บ้านจริงๆ ผมมานั่งทำอะไรตรงนี้!!


                ผมมองกระเทียมในจานตัวเองตาปริบๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมากจากไอ้คนฝั่งตรงข้าม หึ..หึ สะใจมากสินะซิน


                หม่าม้าครับ ทำไมไม่หันมามองที่จานผมบ้างครับ ผมกำลังโดนรังแก ._.


                “ไม่กินเหรอนัท” ป๊าหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง (?) แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากกินมันเข้าไป


                “ครับ กินครับกิน” เอาเข้าปากปุ๊บ ผมก็กลืนมันลงไปเลยครับ ไม่ต้องถามถึงรสชาตินะ เพราะผมไม่ได้เคี้ยว แอวะ ผมเกลียดกระเทียม!!!


                ไอ้ตัวดีนี่ขำคิกคักเลย และแล้วมื้ออาหารที่แสนจะหรรษาก็จบลง อาหารที่ม้าทำอร่อยนะครับ เพียงแต่ไอ้ที่ผมกินอ่ะ มันเป็นของที่คุณป๊าตักให้เท่านั้นเอง


                “ไม่ได้เจอกันนานนะ” หลังจากมื้ออาหารก็เข้าสู่ห้องสอบสวนครับ ผม ซินและก็ป๊าอยู่กันที่ห้องนั่งเล่น ม้าอยู่ที่ห้องครัวครับ ดังนั้นนัทคนนี้จึงถูกทิ้งอย่างสมบูรณ์


                “เอ่อ ครับ”


                “แล้วตอนนี้มีงานเป็นหลักเป็นแหล่งรึยังล่ะ” เอ่อ แล้วเมื่อก่อนผมไม่เป็นหลักเป็นแหล่งเหรอครับ


                “ครับ ผมทำงาน...” แต่ก่อนที่ผมจะตอบ ซินก็ชิ่งตอบแทนผมซะก่อน


                “นัททำงานกับที่บ้านป๊า” หือ ผมหันไปมองหน้าซิน เขาส่ายหน้าให้ผมช้าๆ อะไร ไม่ให้ผมพูดเรื่องบอดี้การ์ดเหรอ


                “ทำงานกับที่บ้าน ทำอะไรเหรอ”


                “ทำ...”


                “ผมเป็นบอดี้การ์ดครับ” ผมรีบพูดสวนขึ้นทันทีก่อนที่ซินจะตอบแทนอีกครั้ง ซินสะบัดหน้าตาโตมามองผมทันที


                “เป็นบอดี้การ์ด” ป๊าทวนเสียงสูง ก่อนจะหันไปมองซิน


                “ซินก็เพิ่งเปลี่ยนบอดี้การ์ดไม่ใช่เหรอ”


                “ฮะ แต่ว่าไม่ใช่นัทหรอก นัทเขาเป็นบอดี้การ์ดนักการเมือง ใช่มั้ย!” ซินหันไปตอบป๊าก่อนจะหันมากัดฟันถามผม


                ผมมองซินงงๆ ทำไมต้องโกหก มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา แต่เอาเถอะ เพราะซินดูท่าทางจะเครียดกับเรื่องนี้ สีหน้าเขาไม่ได้มีแววล้อเล่นอยู่เลย ไม่แกล้งเขาดีกว่า


                ป๊าที่ได้ยินซิน หันมาเลิกคิ้วถามผม


                “ครับ เป็นนักการเมือง” ท่านก็พยักหน้าเป็นอันรับรู้ ผมก็แอบเหลือบไปมองซินที่ถอนหายใจเบาๆ ถือว่านายติดหนี้ฉันเรื่องนึงแล้วนะซิน หึหึ


                “ว่าแต่กลับมาอีกทำไม” ผมที่แอบยิ้มย่องอยู่ในใจแทบสำลัก ตรงไปมั้ยครับป๊า อ้อมหน่อยมั้ย


                “คิดถึงก็เลยกลับมาครับ” ปากไวเท่าใจคิด ตอบออกไปแบบไม่กลัวตายเลยทีเดียว ป๊านี่หางคิ้วกระตุกเลยครับ


                “ซิน ไปช่วยม้าในครัวไป” ป๊าหันไปหาซิน พลางลูบหัวเจ้าตัวเบาๆ ซินหันมามองหน้าผมนิดๆ ผมจึงยิ้มและพยักหน้าให้เขา ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรับมือไหว...มั้ง ซินเลยลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป เพราะฉะนั้นตอนนี้ ห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่ป๊ากับผมสองคน


                “มาคุยกันตรงๆเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องลองเชิงกันแล้ว” ผมไปลองเชิงป๊าตอนไหนครับ! มีแต่ป๊าแหละครับรังแกผม!!


                “เรื่องตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ป๊าถามขึ้นเสียงเรียบ หมดเวลาล้อเล่นแล้วล่ะครับ บรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดขึ้นแล้ว


                “เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นครับ”


                “เรื่องเข้าใจผิด? เรื่องเข้าใจผิดแบบไหนที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของฉันต้องเสียใจไปเป็นปีๆ”


                “ตอนนั้นช่วงเวลาเราไม่ตรงกันเท่าไหร่ ผมยุ่ง ซินก็ไม่ว่าง เราก็เลยไม่ค่อยเข้าใจกัน”


                “ก็แค่คำพูดของคนที่ไม่มีอะไรจะแก้ตัว”


                “ผมไม่ได้แก้ตัว ถ้าป๊าบอกว่าผมผิด ผมก็จะยอมรับ ผมผิดเองที่ทำให้ซินเสียใจในตอนนั้น ผมยอมรับความผิดเองทั้งหมด ผมถึงได้กลับมา มาขอโทษในสิ่งที่มันพลาดไป มาขอโอกาสใหม่อีกครั้ง”


                “มาขอทำให้ลูกฉันเจ็บอีกครั้งน่ะเหรอ”


                “เปล่าครับ มาขอสร้างความสุขให้ซิน เพื่อทดแทนเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ครับ”


                “หึ พูดง่ายจริงนะ แล้วเอาความเสียใจของลูกฉันไปทิ้งไว้ไหนซะล่ะ”


                ผมรู้ครับ ว่าป๊าซินเป็นคนมีเหตุผลพอ เพียงแต่ตอนนี้ป๊าแค่เป็นห่วงซินเท่านั้น ไม่แปลกถ้าท่านจะปิดกั้นผม เพราะคนที่ต้องทนเห็นซินเสียใจและเปลี่ยนไปก็คือพวกท่านทั้งสองคน ดีหน่อยที่ม้าเข้าใจ แต่สำหรับป๊าอาจจะต้องใช้เวลา


                “ผมไม่ได้เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน ผมยังเก็บมันไว้ เอาไว้คอยเตือนตัวเอง เอาสิ่งเหล่านั้นบอกตัวเองว่าต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้ซินเสียใจอีก”


                “คำพูดดีๆ ใครก็สรรหามาพูดได้ทั้งนั้น”


                “งั้นป๊าก็รอดูการกระทำของผมสิครับ อย่าพึ่งปิดกั้นผมกับซิน ให้โอกาสผมได้แสดงให้ป๊ารู้ ว่าต่อไปนี้ซินจะมีความสุข”


                “ตอนนี้ซินก็มีความสุข”


                “ถ้าอย่างนั้นผมจะทำให้ซินมีความสุขมากกว่านี้”


                “จะมีความสุขมากกว่านี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็ลงตัวดีอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องมีนายเข้ามาวุ่นวาย”


                “งั้นลองถามซินตอนนี้มั้ยครับ ว่าเขาต้องการให้ผมไปหรือเปล่า ถ้าเขาต้องการให้ผมไป ผมก็จะไป แต่ถ้าไม่ ต่อให้ป๊าไล่ผมยังไง ผมก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น”


                ผมมองหน้าป๊าของซินด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว ผมมั่นใจว่าตอนนี้ ยังไงซินก็ไม่ไล่ผมไปไหนแน่ๆ ซินยอมเปิดใจให้ผมมากขนาดนี้แล้ว เรื่องอะไรที่ผมจะต้องถอยเพียงเพราะป๊าซินไม่ยอมรับล่ะครับ ทุกอย่างที่ผมพยายามทุ่มเททำมา ความรู้สึกแย่ๆของการไม่มีกัน ผมไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแน่ เราสองคนทรมานมามากพอแล้ว พอกันทีครับ


                “อวดดีจริงนะ” ป๊าเองก็จ้องผมกลับมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน


                “ผมอวดดีได้มากกว่านี้อีก ถ้าเพื่อซิน”


                “หึหึ” ผมมองป๊าที่หัวเราะออกมานิดๆ แต่ไม่ใช่หัวเราะแบบที่มีเรื่องน่ายินดีนะครับ หัวเราะรอวันที่ผมพลาด


                “ในระหว่างที่นายไม่อยู่ ซินอาจจะปันใจไปให้คนอื่นแล้วก็ได้”


                ใจผมแกว่งไปในทันที เคยคิดนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคย แค่ลองคิดว่าถ้าซินมีคนอื่นไปแล้ว ผมจะทำยังไงดี แต่ตอนนั้นมันก็ไม่มีสิทธิ์อะไรนี่ครับ ได้เห็นแค่ผ่านโทรศัพท์ ได้ยินเสียงผ่านวิทยุ ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆซินเหมือนอย่างตอนนี้


                “ไม่มีทาง”


                “เอาเหตุผลอะไรมามั่นใจขนาดนั้น”


                “ซินรักผม เรื่องนั้นผมรู้ดี และผมคิดว่าป๊าเองก็รู้” ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมรับก็เถอะ


                เท่กว่านี้ได้อีกมั้ยครับผมเนี่ย จะโดนป๊าฆ่าตายแล้วยังไม่รู้ตัว


                นิ่งครับ ป๊านั่งนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ไม่รู้ว่ามันจะเป็นสัญญาณที่ดีหรือร้าย เพราะป๊าเพียงแค่นั่งมองหน้าผมนิ่งๆเท่านั้น นับว่าผมใจกล้ามากนะครับที่พูดกับท่านแบบนี้ เพราะถ้าท่านห้ามคำเดียว ผมคงเข้าบ้านหลังนี้ไม่ได้อีก (ยกเว้นแอบนะ ^^) และการจะเข้าหาซินหลังจากนี้ก็คงยากขึ้น แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ตอนนี้ใจแลกใจแล้ว ตรงมาผมก็ตรงกลับ หวังว่าป๊าเองจะเข้าใจ


                ป๊าอยู่กับซินตลอด ย่อมรู้ความรู้สึกซินดีอยู่แล้ว ถ้าไม่สนิทจริงๆ ถ้าไม่ใช่คนที่ซินยอมรับ ซินไม่ยอมให้เข้าห้องนอนหรอกครับ ไม่มีทางได้เข้าถึงตัวตนเขาได้มากขนาดนี้หรอก ผมไม่รู้ว่าซินร่าเริงขึ้นมากแค่ไหนหลังจากที่เจอผม แต่ป๊าน่าจะรู้ดี


                นานมากครับ กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น เมื่อป๊าไม่ยอมพูดอะไรเลย เอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนี้ เราเล่นจ้องตากันมาสักพักแล้วครับ จนผมเองก็เริ่มจะกลัวคำตอบของป๊าแล้วเหมือนกัน   


                “หึหึ ...ก็ลองดู อวดดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน แต่...ถ้าวันไหนซินเกิดเสียใจเพราะนายขึ้นมา นายต้องหายไปจากชีวิตของลูกฉันซะ อย่าให้ฉันเห็นแม้แต่เศษเส้นผมของนายอีก” พูดจบป๊าก็ลุกขึ้น


                “เดี๋ยวครับ มีเรื่องนึงที่ป๊ายังไม่รู้” ผมรั้งท่านเอาไว้ก่อน ท่านจึงหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม


                “ผมเป็นบอดี้การ์ดของซินตอนนี้” มาถึงขั้นนี้ ไม่ต้องโกหกแล้วล่ะครับ แต่ผิดคาดที่ป๊าไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร


                “ก็พอจะรู้อยู่แล้ว นายมาได้จังหวะเกินไป โผล่มาตอนที่ซินเปลี่ยนบอดี้การ์ดพอดี แถมยังเป็นบอดี้การ์ด ก็เดาได้ไม่ยาก” รู้ แต่ไม่โกรธเหรอครับ


                “ซินเป็นคนบอกให้โกหก ไม่ใช่ความผิดนาย ยังดีที่นายพูดความจริงตอนนี้ เพราะไม่งั้นประตูด่านนี้จะยากกว่านี้มากนัก” พูดจบป๊าก็เดินเข้าครัวไปอีกคน


                .....แบบนี้คือ.....


                ไอ้นัทลุกขึ้นตะโกนโห่ร้องแบบไรเสียงทันทีครับ ย๊ากกกกก ดีใจโว้ยยยยยย น้ำตาแทบจะไหล เพราะไม่ได้กระพริบตา โชคดีที่ความกล้าของผมได้ผล โชคดีที่ป๊าไม่ใจร้ายจนเกินไป โชคดีที่วันนี้ป๊าซินกลับมาทันเจอผม โชคดีที่วันนี้ผมมาหาซิน โชคดีที่พ่อยื่นงานนี้ให้ผม โชคดีที่เรายังรักกัน โชคดีจริงๆครับ


                ผมที่กำลังกระโดดโลดเต้นหันมาเจอซินที่เดินออกมาพอดี ผมก็วิ่งเข้าไปกอดเขาเลย กอดมันกลางบ้านนี่แหละ ไม่กลัวแล้ววว ซินช็อคค้างกลางอากาศทันที เพราะคงไม่คิดว่าผมจะกล้า ก่อนที่จะ...


                เข่าใส่ดวงใจของผม.....ไม่มีกั๊กแรงเลยครับ


                ผมก็...ร่วงสิครับ ยืนไหวเหรอ


                “โหยยยซิน... ใช้การไม่ได้ทำไงเนี่ยยย” พูดแทบไม่เป็นภาษาคนกันเลย เคยกันมั้ยครับ ถ้าไม่เคยก็ลองซะนะ แล้วจะเข้าใจ


                “ทำบ้าอะไร! เดี๋ยวป๊าก็เห็นหรอก!!”


                “เห็นแล้วไง ไม่กลัวตายแล้ว” เก่งแล้วตอนนี้ ฮ่าๆ ...อูยยย จุกอ่ะ น้องนัทน้อย อย่าตายนะลูก เดี๋ยวซินเสียใจ


                “กลัวหน่อยก็ดี” อุ่ย ป๊าครับ เดินออกมาหน้าโหดเลย ไม่เห็นฉากเมื่อกี้ใช่มั้ยครับ เห็นตอนผมร่วงแล้วใช่มั้ย


                “กลับบ้านไปได้แล้ว รบกวนบ้านคนอื่นอยู่ได้”


                ยอมรับแล้ว ใช่ว่าจะญาติดีกันนะครับ เปล่าเลย... ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ พยายามไม่ให้กระทบกระเทือนนัทน้อย กลับก็ได้ครับ มืดแล้วจริงๆ


                “งั้นผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับป๊า” ผมหันไปกล่าวลาท่าน ซึ่งก็โดนเมินอีกตามเคย แล้วก็หันไปไหว้ม้าที่เดินออกมาพอดี


                “กลับดีๆลูก ซิน ไปส่งนัทหน่อยไป”


                “เดินไปเองได้ไม่หลงหรอกมั้ง”


                “เอ๊ะ ป๊านี่เอาอีกแล้วนะ ไปลูกซิน”


                สรุปซินก็เดินออกมาส่งผมครับ มีคนเข้าข้างนี่มันดีจริงๆ ฮ่าๆ


                ผมเข็นไอ้ลูกชายออกมานอกรั้วโดยที่มีซินเดินตามหลังมา ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน อากาศเริ่มเย็นแล้วครับ แถมชื้นๆเหมือนฝนจะตกซะด้วยสิ ขอให้กลับถึงบ้านก่อนทีเถอะ


                “กลับแล้วนะ”


                “อือ” แฟนจะกลับพูดแค่เนี้ย (ขี้ตู่ไปแล้วไอ้นัท)


                “จะกลับจริงๆแล้วนะ”


                “ก็กลับไปสิ” ก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม


                “ไม่หอมแก้มหน่อยเหรอ”


                “เมื่อกี้คุยไรกับป๊า” เปลี่ยนเรื่องแบบไร้ทิศทางจริงๆครับคนนี้


                “ไม่บอก”


                “บอกมา”


                “จุ๊บก่อน แล้วจะบอก”


                “เออ กลับบ้านไปเลยไป เราจะเข้าบ้านแล้ว”


                ฮะ? ซินอ้ะ อยากรู้หน่อยดิวะ โห่... ไร้เยื่อใยเกินไปแล้ว


                “ไม่อยากรู้จริงดิ”


                “เดี๋ยวถามป๊าก็ได้”


                “ป๊าไม่บอกหรอก”


                “กลับบ้านไปนัทไป รีบๆไปเลย”


                “ไล่ใหญ่เลยนะ ถ้ารถคว่ำตายไปอ่ะ จำไว้ว่านี่คือคำสุดท้ายที่ได้คุยกัน”


                “เออ แช่งเข้าไปตัวเองอ่ะ จะได้ตายจริงๆ”


                โธ่เอ๊ย ถ้าไอ้นัทคนนี้ตายขึ้นมาจริงๆแล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่อยากจะพูด


                ผมก้าวขาขึ้นนั่งคร่อมรถ กอดหมวกกันน็อคเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองหน้าซิน นักร้องของผม ปากแข็งก็เท่านั้น ขี้โมโหก็เท่านั้น แถมบทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ฟังใคร นิสัยเก่าๆยังเหมือนเดิม ปากบางที่ชอบยื่นออกมาเวลาไม่พอใจ ตาโตๆที่ชอบหรี่มองกันเวลาจับผิด แถมยังมือหนักอีกต่างหาก แต่ทั้งหมดที่พูดมานี่รวมกันแล้วยังไม่เท่าความน่ารักที่เขามีเลย


                “มองบ้าอะไร ยิ้มอยู่ได้ ประสาท” ด่าไปเขินไปคืออะไรครับ ^^


                “ซิน มานี่หน่อย” ผมกวักมือเรียกเขาให้เข้ามาใกล้ๆ แต่ซินกลับไม่ยอมขยับตัว


                “มาหานัทหน่อยนะครับ นะครับคนดี” เห็นมั้ยครับ พอพูดดีๆเข้าหน่อยก็ว่าง่ายแล้ว ผมมองซินเดินกอดอกเข้ามาหาผมช้าๆด้วยรอยยิ้ม


                “อะไรติดขนตาซินก็ไม่รู้ ขอนัทดูใกล้ๆหน่อย” ซินมองหน้าผมนิดๆ แต่ก็ยอมยื่นหน้าเข้ามา


                “หลับตาลงสิ เดี๋ยวเอาออกให้” ทันทีที่ซินหลับตา คนเจ้าเล่ห์ก็ประกบจูบลงไปเบาๆ สัมผัสนุ่มนวลราวกับขนนก...ซินยังหวานเสมอครับ


                ผมรู้ว่าซินรู้ ที่ผมจะทำแบบนี้ แต่เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่างหาก เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่านักร้องของผมน่ารัก


                อย่าอิจฉาสิครับ ไม่ดีนะ ^^   
   

TBC.
....
ใครจำได้บ้างว่าไอ้น้องกัสได้รายเซ็นอะไรไปปป
ใครจำได้ ขอให้ได้พี่ซินไปนอนกอดหนึ่งคืนนนน
เถียงสู้กับพี่นัทเอานะคะ ฮ่าๆ (ไม่มีคนตอบคำถามไรท์เลย T^T)
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่าาา
รักคนอ่านทุกคนค่า
เจอกันตอนหน้า คืนนี้นอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน9 บุกบ้าน [5/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 05-09-2013 23:34:09
เราจำได้นะ
นี่น้องกัสเค้าฟินกับคำนั้นจริงๆหรอ
เป็นเรานี่ อาจช็อคไปสองนาทีนะ
หึหึ
ยินดีด้วยค่ะพี่นัท ผ่านด่านที่1 ได้อย่างสวยงาม
ขอบคุณความโชคดี 55+
 ปล. พี่ซินน่ารักมากกกก จริงๆ
อิจฉาพี่นัท มากๆ
#อย่ามาห้ามให้อิจฉานะ #ทำไม่ได้ #55+
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน9 บุกบ้าน [5/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-09-2013 01:25:21
 :katai2-1:

ที่สุด !!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน9 บุกบ้าน [5/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 06-09-2013 10:13:03
ชอบคุณป๊า โหดได้ใจ

พี่ศลป.ก็น่ารักเกินจะทนไหว พี่บอดี้การ์ดสู้ๆนะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน10 โฟโต้บุ๊ค [6/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 06-09-2013 21:32:01
10

((โฟโต้บุ๊ค))

 

                เช้าวันนี้ตื่นมาพร้อมกับสายฝนโปรยปราย อากาศเย็นกำลังดีเลยครับ แต่เพราะว่าฝนตกเลยไม่ได้ขับไอ้ลูกชายคู่ใจออกมา ต้องเปลี่ยนเป็นรถยนต์ที่มีหลังคาคุ้มกะลาหัวแทน ฝนตกนิดหน่อยก็ทำให้เมืองกรุงรถติดได้ครับ เป็นความสามารถเล็กๆน้อยที่น่าภูมิใจ (?) ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่ติดไฟแดงอยู่ เห็นคนสองคนเดินกุมมือกันข้ามถนน ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม มันจะไม่แปลกเลยถ้าเขาทั้งสองคนไม่ใช่ผู้ชาย


                ผมมองเห็นสายตาจากคนรอบข้างพวกเขา บางคนมองแปลกๆ บางคนมองแล้วก็ผ่านเลยไป บางคนมองแล้วก็ยิ้มตามเหมือนผมตอนนี้ ความรัก ทำให้โลกมีความสุขเสมอครับ เพียงแต่คุณจะเก็บเอาสิ่งรอบด้านมาเป็นทุกข์แค่ไหนเท่านั้นเอง ดูอย่างเขาสองคนสิ เดินจับมือกันไม่เห็นจะอายใคร จะอายทำไมกับคนที่เจอกันแค่ครั้งเดียว


                สักพักสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมก็เคลื่อนตัวรถออก เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ทำให้ผมต้องละสายตาจากท้องถนนไปคว้ามันขึ้นมาดู คุณโอ๊ตครับ


                “ครับ”


                (แวะรับซินด้วยนะ)


                “ครับ”


                โทรมาบอกแค่นั้นแหละ อันที่จริงผมก็จะแวะไปรับซินอยู่แล้ว เพราะเมื่อเช้าเขาโทรมาบอกว่าป๊าติดธุระ ไปส่งไม่ได้ สักพักก็มาถึงบ้านซิน เจ้าตัวคงเห็นเลยเดินกางร่มออกมาพอดี ผมก็เอื้อมมือไปเปิดประตูข้างคนขับให้เขา ซินจึงหุบร่มและก้าวเข้ามา             


                “นึกว่าจะได้แว้นมอเตอร์ไซค์ซะอีกนะเนี่ย”


                “ใครจะยอมให้ศิลปินที่รักตากฝนล่ะครับ ไม่สบายขึ้นมารายได้หดหมดพอดี”


                “อ้อ คิดแค่นั้น”


                ผมยิ้มก่อนจะหันไปมองคนตัวบาง วันนี้ก็น่ารักอีกแล้วครับ เสื้อเชิตสีฟ้ากับกางเกงยีนสีซีด


                “วันนี้อย่ายิ้มบ่อยนะ” ผมบอกเขาด้วยหน้านิ่งๆ ซึ่งซินก็หันมามองงงๆ


                “อะไร”


                “บอกว่าอย่ายิ้มบ่อย”


                “ทำไมอ่ะ”


                “เดี๋ยวน่ารักเกิน หวง” ฮ่าๆ พูดมันหน้าด้านๆแบบนี้แหละครับ


                “ไอ้บ้า” ด่าแต่ก็ยิ้มนะครับ ชอบล่ะซี่


                เช้าที่เริ่มต้นด้วยรอยยิ้มจะทำให้วันนี้สดใสไปทั้งวัน เพราะฉะนั้นยิ้มกันเยอะๆนะครับ โลกจะได้สดใส โดยโชติวุฒิ พรีเซ็นเตอร์ยาสีฟันครับ         


                พอเรามาถึงบริษัทฝนก็หยุดตกแล้วครับ ขึ้นไปที่ห้องก็เจอคุณโอ๊ตรออยู่ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ครับ เรื่องงานวันนี้แหละ


                คุณโอ๊ตหันมาพยักหน้าให้นิดหนึ่งก่อนจะหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ ซินก็เดินไปนั่งที่โซฟาที่ประจำของเขาแหละครับ ผมก็ตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ ดูท่าทางจะมีปัญหานิดหน่อยครับ จากที่ฟังๆ ดูเหมือนช่างภาพที่นัดกันไว้จะเบี้ยว งานวันนี้คือการถ่ายโฟโต้บุ๊คโครงการอนุรักษ์สัตว์ รายได้จากการขายโฟโตบุ๊คเล่มนี้จะบริจาคให้กับโครงการอนุรักษ์สัตว์ทั้งหมดครับ เป็นโครงการการกุศลที่ซินยินดีถ่ายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทางเราต้องเดินทางไปที่สตูดิโอที่เตรียมไว้ แต่ดูเหมือนว่าช่างภาพจะมาถ่ายไม่ได้ ทีนี้ก็ต้องหาคนมาแทนแหละครับ


                ผมหันหน้าไปมองซินเมื่อเห็นทางหางตาว่าเขากำลังมองผมอยู่ ซินทำท่าจับเนคไททั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ใส่ หือ...


                เนคไทเบี้ยว ผมอ่านปากซินที่พูดแบบไร้เสียง ได้ความว่าแบบนั้น ก็เลยก้มมองเนคไทตัวเอง แต่มันมองไม่เห็นนี่ครับ แถวนี้ไม่มีกระจกให้มองซะด้วย เลยไม่รู้ว่าเบี้ยวยังไง ซินเลยกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆ ผมก็เดินเข้าไปหาเขา และก้มลงให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมาจัดเนคไทให้


                ยิ้มหน้าบานเลยครับผม


                “อะแฮ่ม” แต่แล้วเสียงกระแอมไอจากคุณโอ๊ต ก็ทำให้ผมยืดตัวตรงในทันที ซินเองก็ถอยหลังไปพิงโซฟาแทบไม่ทัน


                “ไปกันได้แล้ว” คุณโอ๊ตหันมามองพวกผมสักพัก ก่อนจะเดินออกจากห้องไปก่อน ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่า สายตาคุณโอ๊ตที่มองมามันแปลกๆไป


                ...ไม่หรอก... ผมอาจจะคิดไปเอง


                ไม่นานก็มาถึงสตูดิโอครับ ทีมงานเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งฉาก และสถานที่ ซินกำลังไปแต่งตัวครับ และช่างภาพที่จะมาแทนก็กำลังเดินทางมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร และทุกอย่างน่าจะผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย


                แต่ ผมกำลังมีปัญหาครับ... การถ่ายครั้งนี้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ ก็จำเป็นต้องมีสัตว์ในภาพด้วยใช่มั้ยครับ และนายแบบนางแบบที่จะมาถ่ายร่วมกับซินวันนี้คือ


                ...สุนัข หรือหมานั่นเอง


                ทุกคนอาจจะงงว่าแล้วมันเป็นปัญหายังไง คือว่าอย่างนี้ครับ บังเอิญว่าผมพูดภาษาหมาได้ ...ห้ะ? ไม่ใช่ๆ จะว่ายังไงดี ผมค่อนข้างสนิทกับหมามากครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าเพราะอะไร เวลาไปไหน ถ้าเจอ พวกมันก็จะชอบเข้าหา ผมก็เคยเลี้ยงหมานะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ มันป่วยตายไปแล้ว ผมก็เลยสงสัยว่าคนที่เลี้ยงหมาทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่า 


                เพราะฉะนั้นตอนนี้ ไม่ว่าผมจะเดินไปทางไหน ผมมีลูกสมุนเดินตามเป็นขบวนเลยครับ มีทั้งไซบีเรียนฮัสกี้ ปอมเมอเรเนียน โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เชาเชา บางแก้ว และอีกสารพัด หลายตัวมากครับ เรียกได้ว่าเป็นฝูง พวกมันก็มีคนดูแลนะ ดูเหมือนว่าจะมาจากฟาร์มเดียวกัน แต่มันกลับมาล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กับผมเนี่ย อย่างสงบเงียบด้วย ไม่มีการเห่าเสียงดังหรือทะเลาะกันให้หนวกหู แปลกมั้ยครับ


                ไอ้คนกำลังจะยืนเก๊กมาทบอดี้การ์ดอยู่ดีๆ กระโดดมาเลียมือกันซะงั้น และเมื่อตัวหนึ่งนำอีกหลายตัวก็ตาม กลายเป็นว่าผมกำลังโดนรุม โอ้ววว เสียงเห่าเริ่มดังเอะอะไปหมด ทุกสายตาหันมาทางผมทันที


                “เฮ้ยๆ นัท เป็นไรเปล่า ฮะๆ ดูท่าหมาจะชอบนายนะ เห็นเดินตามไม่ปล่อยเลย” ผมที่กำลังพยายามฝ่าฝูงหมาออกมาอย่างทุลักทุเลมองหน้าคุณโอ๊ต 


                “เอามันไปเก็บได้มั้ย ผมทำงานไม่สะดวกเลย”


                “เห็นคนดูแลเขาว่าไม่อยากขังมัน เดี๋ยวมันจะเครียดก่อนถ่าย เอาเป็นว่านายก็ดูๆพวกมันไปก่อนนะ” พูดจบคุณโอ๊ตก็เดินผ่านไป เฮ้ย ผมเป็นบอดี้การ์ดนะ ไม่ใช่คนดูแลหมา - -


                ผมหันลงมาดุพวกมันที่พยายามจะงับมือผมให้ได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกที ซินเดินออกมาจากห้องแต่งตัวพอดีครับ...ผมยาวลอนถูกจัดให้เป็นทรงสวย ดันใบหน้าหวานให้ยิ่งโดดเด่น ชุดที่ใส่วันนี้ก็เหมาะกับเขามากครับ น่ารักมากจนแถบไม่อยากจะถอนสายตาเลย ซินเดินออกมาก่อนจะเจอกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าสตูดิโอมาพอดี เขาสองคนมองหน้ากันอย่างตกใจ ก่อนที่อีกคนจะรีบเดินเข้าไปใกล้ซิน


                ผมอยู่ไกลมากครับ เลยไม่ได้ยินว่าเขาสองคนพูดคุยอะไรกัน แต่ดูท่าทางว่าจะสนิทกันมากครับ เพราะใครคนนั้นคว้าซินเข้าไปกอดหลวมๆ และซินเองก็ยิ้มตอบรับ มือผมเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ก็บอกแล้วไงว่าอย่ายิ้มบ่อยน่ะซิน


                ผมเบือนหน้าออกจากภายนั้นทันที ก่อนที่ใครสักคนตะโกนบอกทีมงาน


                “ช่างภาพมาแล้ว เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเลย ซินเชิญทางนี้เลยครับ”


                ช่างภาพ... ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ผมมองตามคนตัวสูงที่เดินเคียงคู่กับซินไปหาเจ้าของโครงการ พูดคุยกันเรื่องคอนเซ็ปต์ของงานนี้ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนสนิทกันมากขนาดนั้นด้วยนะ ไม่เห็นต้องยิ้มให้กันขนาดนั้นเลย


                “เอ่อ ขอโทษนะครับ” ผมถอนสายตากลับมาที่ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาทักผม เขาดูท่าทางลำบากใจนิดหน่อยนะ ดูจากสีหน้าแล้ว


                “ครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”


                “คือเราจะพาพวกมันไปที่ฉากครับ แต่มันไม่ขยับเลย ยังไงคุณช่วยหน่อยสิ” ผมมองมือเขาที่พยายามจะจูงพวกหมาๆให้ไปด้วย แต่พวกมันก็ไม่ขยับจริงๆนั่นแหละ ยังคงยืนมองหน้าผมกันตาแป๋ว


                เอ่อ... แล้วผมควรทำไงวะครับ


                “แล้วจะให้ผมช่วยยังไงครับ” ผมเองก็มองพวกมันอย่างงงๆ


                “ลองขยับตัวสักนิด” งงสิครับ จะให้ผมขยับตัวไปไหนล่ะ


                ผมก็เลยลองขยับตัวไปทางซ้าย พวกมันก็เดินตาม ไปทางขาว พวกมันก็เดินตามมาอีก ชักจะไม่ค่อยดีแล้วครับแบบนี้ ผมเลยต้องมองคุณผู้ดูแลหมาอย่างขอความช่วยเหลือ พวกมันต้องการอะไรจากผมครับ! ผมไม่มีเนื้อนะ ไม่ได้ขายอาหารหมาด้วย ตามผมทำไม!!


                “เอ้า พาหมาเข้าฉากได้แล้ว เซ็ตฉากพร้อมแล้วครับ” เราสองคนมันหน้ากันสบตาปิ๊งๆ เอาไงล่ะครับ


                “พามันไปสิครับ” ผมเองก็เร่งผู้ดูแลที่ยืนเกาหัวแกรกๆ เอามันไปทีครับ เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆพิกล


                “มีอะไรรึเปล่า พาพวกมันมาสิครับ” ทีมงานหันมาเร่งเราอีกรอบ ซินเลยหันมามองทางนี้ ใบหน้าหวานเลิกคิ้วทันทีที่เห็นว่าผมก็อยู่ตรงนี้ด้วย ผมก็ยิ้มนิดๆให้เขาก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่ออีกคนด้านข้างซินหันมาเหมือนกัน เราสบตากันแป๊บนึง ก่อนที่เขาจะเมินผมไป หึ


                “คุณพามันเดินไปได้มั้ยครับ เดินไปด้วยกัน”


                ผมเลยจำเป็นต้องพาพวกสมุนไปส่งที่หน้าฉาก ซึ่งพวกมันก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี เอากับพวกมันสิ ยังกับว่าผมเป็นคนคลอดพวกมันออกมาอย่างนั้นแหละ คุณผู้ดูแลก็จับมันมารวมกัน ซินก็เดินมายืนตรงกลางพวกมัน ก่อนจะมองผมขำๆ ผมจึงแกล้งทำเมินเขาหันหน้าหนีไปอีกทาง ซินเหวอไปเลยครับ หึหึ สมน้ำหน้า


                แต่พอผมหันหลังกลับไอ้พวกหมาเจ้ากรรมมันก็จะวิ่งตามผมมาด้วย ดีที่คุณผู้ดูแลสองสามคนดึงปลอดคอพวกมันไว้ก่อน ทีนี้การประสานเสียงก็เริ่มขึ้นครับ ทุกตัวพากันเห่าเสียงดังไปหมด สองสามตัวที่หลุดมือคนดูแลวิ่งเข้าใส่ผม วุ่นวายสิครับงานนี้ เอะอะโวยวายกันไปหมดทีเดียว


                ก่อนที่ทุกอย่างจะสงบลงเมื่อผมรีบเดินเข้าไปใกล้ๆพวกมัน ทุกคนพากันมองมาที่ผมเป็นตาเดียว อย่ามองผมแบบนี้สิครับ ผมไม่ได้อยากทำตัววุ่ยวายเลยนะ ไม่ได้ต้องการขัดขวางการทำงานเลยด้วย ._.


                ไอ้หมาบ้าพวกนี้แหละ! ยังมีหน้ามามองอีก เดี๊ยะ จับทำเนื้อแดดเดียวให้หมด


                “ดูท่าไอ้เจ้าพวกนี้จะหลงเสน่ห์พ่อหนุ่มคนนี้ซะแล้วสินะ” คุณวิรัตน์เจ้าของโครงการเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะจ้องหน้าผม ผมก็พยายามถอยออกนิดหนึ่งแบบไม่ให้น่าเกลียด เพราะใกล้ๆขนาดนี้จูบกันได้เลยครับ ผมจะไม่อะไรเลยถ้าเขาไม่ใช่ผู้ฉิง หรือก็คือผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้ชาย เข้าใจใช่มั้ยครับ แบบนั้นอ่ะ... แต่ไม่ใช่แบบซินนะ บอกไม่ถูก ไม่ใช่รังเกียจนะครับ แต่กลัวอ่ะ…


                “เอ่อ ขอโทษครับ ถ้างั้น เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกดีกว่า จะได้ไม่รบกวนการถ่าย” ผมก้มหัวขอโทษก่อนจะเดินออกมา แต่มีมือปริศนาจับเอวผมเอาไว้ก่อน


                โอ้ มาย ก็อด.. จับได้ครับ แต่กรุณาอย่าลูบ ขนมันลุก อย่างอื่นมันจะลุกตาม เฮ้ย! ไม่ใช่และ ผมค่อยๆหันกลับมาแบบสโลโมชั่น ค่อยๆเอี้ยวตัวหลบมือนั้นแบบมีมรรยาท ก่อนที่มือนั้นจะเลื่อนมาเชยคางผมขึ้นแทน โอ้...


                “หล่อ มีเสน่ห์ อืม... มีแววนะ เอางี้ดีกว่า ฉันมีความคิดดีๆแล้ว แวว มานี่หน่อยสิ” คุณวิรัตน์หันไปเรียกผู้ช่วยก่อนจะยืนซุบซิบกันอยู่สองคน


                ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ แต่คงที่งงที่สุดคือไอ้นัทคนนี้ครับ ไม่ได้งงอย่างเดียว แต่เสียวสันหลังแปลกๆอีกต่างหาก


                “เดี๋ยวเราเพิ่มนายแบบอีกคนนะคะ น้องนัทใช่มั้ยคะ สะดวกมั้ยเอ่ย” แวว ผู้ช่วยคุณวิรัตน์เดินมาบอกกับทุกคน ไปรู้ชื่อผมตอนไหนวะ


                ฉิบหายอย่างจริงจังแล้วครับ ผมรีบหันไปหาคุณโอ๊ตอย่างขอตัวช่วยทันที


                “เอ่อคืองี้ครับ นัทเนี่ยเป็นบอดี้การ์ดให้ซินอยู่ครับ ไม่เคยถ่ายแบบมาก่อนเลยในชีวิต ผมคิดว่า...”


                “ไม่เป็นไรค่ะ ในเมื่อเจ้าหมาพวกนี้ติดเขาขนาดนี้ ก็น่าจะร่วมมือในการถ่ายมากขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเสียเวลาค่ะ เดี๋ยวฉันต้องจ่ายให้แน่นอนอยู่แล้ว” คุณวิรัตน์เริ่มชี้แจง เอ่อ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นครับ ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่...


                “นะจ๊ะ พ่อสุดหล่อ อย่าปฏิเสธเลย ถือว่าช่วยงานบุญเถอะนะจ๊ะ อีกอย่าง เราจะได้เริ่มถ่ายกันสักที”


                “เอ่อ” ปฏิเสธไม่ออกเลยทีเดียวครับ คุณโอ๊ตเลยเดินเข้ามาหาผม


                “ไหวป่ะ”


                “ไม่ค่อยครับ”


                “ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ะ อีกอย่างนี่งานบุญด้วย เดี๋ยวเขาจะหาว่าบริษัทเราเรื่องมากอีก ถือว่าช่วยหน่อยแล้วกันวะ นะ” ไอ้ผมก็ต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้นี่ล่ะครับ


                “โอเค งั้นพาน้องนัทไปแต่งตัวเลยแวว น้องซินไม่ว่าอะไรนะคะ ถ้าจะมีนายแบบเพิ่มอีกคน” คุณวิรัตน์หันไปหาซิน ซึ่งผมก็ถูกพาเดินออกมาแล้วครับ แต่ก็ได้ยินเสียงซินตอบตามมาแว่วๆ


                “ครับ ซินไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้ ขอให้งานออกมาโอเคก็พอแล้วครับ”


                และผมก็โดนพาไปเชือดครับ...


                ในที่สุดผมที่โดนจับแต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยครับ ไอ้ผมมองตัวเองก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากเดิมตรงไหนเลยวะ ต่างก็แค่เสื้อผ้าที่ใส่เท่านั้นเอง ชุดสูทสีดำถูกถอดออกไปหมดแล้วครับ แทนที่ด้วยเสื้อยืด ที่มีลายเดียวกับซินเปี๊ยบคลุมทับด้วยเสื้อแจ็คแก็ตหนังสีดำ กับกางเกงยีดขาเดฟสีน้ำเงินเข้ม เท่มั้ยไม่รู้ รู้แต่ประหม่ามากครับ เดินเซแล้วนะ คิดดูเถอะ


                “น้องนัทมาทางนี้ค่ะ” คุณวิรัตน์เรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ที่ด้านข้างก็มีซินกับไอ้คนนั้นก็อยู่ด้วยครับ ซินหันมาผมมองก่อนจะนิ่งไปสามวิ ไม่รู้ว่าตะลึงในความหล่อหรือกำลังกลั้นหัวเราะกันแน่ หึหึ ไม่ห่างเลยนะ ยืนชิดกันตลอดเลยนะครับ...


                ผมมองหน้าซินที่กำลังยิ้มให้นิ่งๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหุบยิ้มไปเพราะผมไม่ยิ้มตอบ ให้มันรู้ซะมั้งว่าไอ้นัทก็หยิ่งเป็นครับ


                “เดี๋ยวน้องนัทไปยืนกับซินตรงนั้นนะคะ แล้วก็...” แล้วทีมงานเขาก็อธิบายนู่นนี่นั่นไปครับ ผมก็ฟังมั่งไม่ฟังมั่ง เพราะกำลังมองซินอยู่ ไม่รู้ว่ามีเรื่องคุยอะไรกันนักกันหนา เห็นคุยกันไม่จบไม่สิ้นสักทีกับไอ้ตากล้องนั่นน่ะ


                “น้องนัท น้องนัทคะ ฟังอยู่รึเปล่าคะ” หืม ฟังอะไรคะ เอ้ยไม่ใช่ ฟังอะไรนะครับ ไปหมดละสมงสมอง


                ผมถอนสายตาจากซินมาหาพี่ทีมงานแทน


                “ว่าไงนะครับ”


                “เดี๋ยวเข้าเฟรมได้เลยค่ะ”


                “ครับๆ”


                ผมก็เดินเข้าไปยืนตรงที่เขาทำเครื่องหมายไว้นั่นแหละครับ


                “เอ้า จะเริ่มถ่ายแล้วครับ เงียบหน่อยครับ”
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน10 โฟโต้บุ๊ค [6/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 06-09-2013 21:33:00
                ไอ้ตากล้องก็เดินไปประจำที่ ซินก็เดินเข้ามาหาผม พวกหมาๆก็ลายล้อมอยู่รอบๆเรานี่แหละครับ เราก็ถ่ายกันไปเรื่อยๆ ไม่ยากอย่างที่คิดครับ เพราะแลดูหมาพวกนี้จะเชื่อฟังผมซะเหลือเกิน ผมขยับมันก็ขยับ น่ารักดี แต่ไอ้คนข้างๆนี่เริ่มจะไม่น่ารักแล้ว เพราะไม่ยอมคุยกันผมสักคำเดียว


                ไอ้ตากล้องก็สั่งนู่นสั่งนี่จังวะ เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ ไหนใครบอกถ้ายิ้มตอนเช้าแล้วจะยิ้มทั้งวันไงวะ แม่งมั่วนี่หว่า


                “นัทครับ ยิ้มหน่อยสิครับ ถ่ายรูปงานบุญนะครับ ไม่ใช่งานศพ” ดูความกวนตีนของมันนะครับ ผมนี่อยากมีเรื่องขึ้นมาทันที


                โอเค ได้ ถ้าอยากให้ยิ้มเดี๋ยวจัดให้เลย ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ๆซินก่อนจะกอดคอเขาในทันที ซินตัวแข็งไปเลยครับ


                “นัท ทำอะไรเนี่ย” ปากบางกัดฟันถามผม


                “ถ่ายรูปไงครับ ยิ้มหน่อยเร็ว” ผมหันไปยิ้มให้เขาซึ่งซินก็มองตาเขียวกลับมา


                “นัท กลับไปยืนที่เดิมดีกว่ามั้ย” ไอ้ตากล้องนั่นตะโกนมาครับ ผมเองก็เลยต้องปล่อยออก เพราะคนมองอยู่เยอะ ไม่ดีถ้าจะออกนอกหน้ามากนัก


                “ลองหันหน้าคุยกัน อะไรก็ได้ คุยเรื่องยิ้มๆหัวเราะๆด้วยจะดีมากเลย” สั่งเป็นขี้มูกเลยครับ แต่ผมชอบคำสั่งนี้นะ


                ผมเลยรีบเดินเข้าไปใกล้ซินทันที พูดค่อยๆให้ได้ยินกันแค่สองคน


                “น่ารักจังครับ มีแฟนรึยัง จีบได้มั้ยเอ่ย” ผมพูดไปยิ้มไป แต่ซินนี่หน้าหงิกแล้ว


                “ยิ้มหน่อยสิคะ อย่าทำหน้าบูด ไม่น่ารักเลย” ผมก็แหย่เขาต่อไป ซินเลยยื่นมือมาหยิกผมจากด้านหลัง ก่อนจะยิ้มมาอย่างฝืนๆ เจ็บจี๊ดเลยครับ


                “น้องซินครับ ยิ้มหน่อยครับ ทำหน้าบูดไม่น่ารักเลย ดีครับ สวยมากเลย ยิ้มอีกนิดนะครับ น่ารักมากครับ” แม่งก็ชมแต่น้องซินแหละครับ ดูจากที่มันโฟกัสแล้ว ผมน่าจะเป็นหมาประกอบฉากอีกตัว ไอ้น้องซินนี่ก็ยิ้มจัง ทีผมบอกให้ยิ้มกลับทำหน้าบูดนะ ใช่สิ คำพูดผมมันไม่มีความหมาย


                “เซตนี้โอเคครับ” เสร็จสักที เฮ้อ! ผมเดินออกมาจากตรงนั้นทันที


                “โอเคค่ะ นายแบบเปลี่ยนชุด”


                นั่นแหละครับ เราก็ทำแบบนี้อยู่ไปมาสามสี่รอบ เปลี่ยนชุดโน้นเป็นชุดนี้ ถ่ายตรงนู้นทีตรงนี้ที ฉากสวยนะครับ น้องหมาก็น่ารัก พี่ทีมงานก็โอเคเลย คุณโอ๊ตก็เดินมาให้กำลังใจผมบ่อยๆ ส่วนผมก็โดนคุณวิรัตน์แทะโลมไปบ้างเล็กน้อย เดี๋ยวจับเดี๋ยวลูบ จนถ่ายเสร็จนั่นแหละ เข็ดไปจนวันตายครับงานนี้


                ส่วนไอ้ตากล้องก็ น้องซินอย่างนู้น น้องซินอย่างนี้จนหน้าหมั่นไส้ ตอนนี้ซินไม่เข้าใกล้ผมเลยครับ ไม่แม้แต่จะเดินเฉียดมาเลย


                “ขอบคุณมากนะคะสำหรับงานนี้ เยี่ยมมากๆเลยค่ะ ขอบคุณคุณดิวด้วยนะคะที่มาเป็นช่างภาพให้วันนี้ ถ้าไม่ได้คุณดิวนี่พวกเราคงแย่มากๆแน่เลย ขอบคุณน้องซินด้วยนะคะ ประทับใจมากเลย โดยเฉพาะน้องนัท ไม่สนใจอาชีพนายแบบจริงๆเหรอคะ พี่แนะนำให้ได้นะ” คุณวิรัตน์เธอก็ขอบคุณคนนู้นคนนี้ก่อนจะมาจบที่ผม เอ่อ...


                “ไม่ครับ ไม่เป็นไร เป็นบอดี้การ์ดน่าจะดีกว่า”


                “แหมเสียดายจัง เอาเป็นว่า วันนี้ขอบคุณมากๆค่า”


                หลังจากนี้ก็มีเสียงขอบคุณตอบรับกันจากคนนู้นคนนี้ครับ ผมเองก็เดินกลับมายืนที่มุมสตูดิโอตามเดิม บอกตรงๆว่าตอนนี้อารมณ์ไม่มีดีแบบสุดๆ ปั้นหน้ายิ้มได้นี่ก็เก่งมากๆแล้วครับ ผมมองซินเดินเข้าไปปหาไอ้ตากล้องที่ชื่อดิวนั่นอีกรอบ คุณโอ๊ตก็เดินมาหาผมพอดี


                “เฮ้ย เป็นไง เห็นแล้วเสียวตูดแทนเลยว่ะ” คุณโอ๊ตเดินมาตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะหัวเราะ


                “ขอบใจมากๆ อ่ะนี่ ค่าเหนื่อย” ผมรับซองสีขาวมาจากคุณโอ๊ตก่อนจะเปิดออกดู เงินครับ


                “จะดีเหรอพี่ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ทำไรเลยนะ ไม่ใช่คนดังด้วย เดี๋ยวจะทำให้โฟโต้บุ๊คเขาขายไม่ออกซะเปล่าๆ ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างผมก็ได้มั้ง”


                “เฮ้ย ไม่ได้ เขาจ่ายให้นาย รับไปเหอะ ถือว่ารับจ็อบ”


                “โห มันจะเป็นจ็อบที่ชาตินี้ไม่ขอรับอีกเลย เข็ดยันตาย” คุณโอ๊ตก็หัวเราะกับคำพูดผมเบาๆ


                “ไป กลับกัน” ว่าแล้วแกก็กอดคอผมลากเดินตามแกไป


                ผมคิดไปเองจริงๆเรื่องสายตาแปลกๆของคุณโอ๊ต เพราะแกก็ยังเป็นกันเองกับผมเหมือนเดิมครับ เราสามคนเดินกลับมาที่รถซิน โดยที่มีอีกคนเดินตามมาด้วย...


                “ซิน ซิน” เสียงเรียกตามหลังมาทำให้คนตัวบางหยุดและหันไปมอง ผมจึงต้องหยุดด้วย ส่วนคุณโอ๊ตเดินคุยโทรศัพท์ไปนู่นแล้วครับ


                “นี่เบอร์ติดต่อพี่ พี่ขอเบอร์ซินหน่อยสิ เอาไว้ติดต่อกัน เพื่อจะชวนไปกินข้าว”


                ปึ้ด!


                ได้ยินเสียงเส้นเลือดในสมองผมแตกมั้ยครับ ตัวนี่เกร็งแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผมมองซินที่เดินเข้าไปรับกระดาษใบเล็กๆนั้นมา ก่อนจะกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงบนมือถือของดิว ไม่พอใจมากๆครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะฐานะผมตอนนี้เป็นแค่บอดี้การ์ด ทำอะไรมากไปกว่าการยืนรอไม่ได้จริงๆครับ


                “ไว้เดี๋ยวพี่จะโทรไป”


                “ครับ ไว้เจอกันครับ”


                เออ ไปได้สักที จะดีมากถ้าขากลับมันรถคว่ำตาย พร้อมมองตามหลังไอ้พี่ดิวนั่นไป พร้อมกับสาปแช่งในใจไปด้วย หึหึ 


                “นัท” ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ซิน


                “เป็นอะไร วันนี้แปลกๆนะ”


                “เปล่า”


                “ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เพราะเราเองก็ไม่อยากรู้เหมือนกัน” พูดจบนักร้องของผมก็เดินผ่านผมไปเลย


                หึ หวังอะไรจากซินล่ะครับ พูดแค่สิ่งที่อยากพูดเท่านั้นแหละ อะไรไม่จำเป็นหรือคิดว่าไม่ต้องพูดก็จะไม่พูด แล้วผมมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องล่ะครับ


                โอเค ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าตอนนี้ผมกำลังงี่เง่า มากด้วยครับ แค่เพราะซินคุยกับไอ้หมอนั่นนั่นแหละ ผมไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน ตั้งแต่สมัยก่อน ผมไม่เคยเห็นซินสนิมกับคนไหนมากเท่านี้ นอกจากเพื่อนที่มหาลัย หรือเพื่อนสนิทจริงๆซึ่งนั่นก็มีไม่มาก และผมคิดว่าผมรู้จักหมด แต่คนนี้ไม่เลยครับ


                หรือว่าเขาจะเข้ามาตอนที่เราห่างกัน...


                คำพูดของป๊าซินแว๊บเข้ามาในหัวผมทันที


                ‘ในระหว่างที่นายไม่อยู่ ซินอาจจะปันใจไปให้คนอื่นแล้วก็ได้’


                หรือว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังบางๆของคนที่เดินห่างออกไปไกลแล้ว


                ไม่มีทาง... ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก


                ผมสะบัดหัวตัวเองเบาๆก่อนจะเดินตามซินไป


                เรากลับมาบริษัทอีกรอบ เพราะผมต้องมาส่งคุณโอ๊ตก่อน และไปส่งซินที่บ้าน ซึ่งเจ้าตัวเขาก็บอกว่าจะมาเอาของเหมือนกัน ผมก็ไปเอารถมารอที่หน้าบริษัท เอารถผมไปส่งเลยครับ จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา รออยู่สักพักคนตัวบางก็เดินออกมา ผมเลยลงไปเปิดประตูให้เขา ซินก็เดินเข้ามานั่งแต่โดยดี


                “เดี๋ยวไปส่งที่ห้าง...นะ” ผมส่องกระจกมองหลัง มองหน้าเขาทันที


                “ไปทำอะไร ไปเป็นเพื่อนมั้ย”


                “ไม่ต้อง เรามีนัด”


                “นัดอะไร กับใคร” เผลอถามเสียงแข็งออกไปซะแล้วครับ ซินหันมามองผมตาขวางทันที


                “เรื่องของเราหรือเปล่า ว่าจะไปกับใคร”


                ผมนี่ตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางแทบไม่ทัน ขับต่อไปอาจจะฝ่าไฟแดงตายได้ครับ


                “ซิน โอเค...ขอโทษ วันนี้ฉันหงุดหงิด คุยกันดีๆก่อน นายจะไปไหน” ผมยอมลงให้เขาก็ได้ ยอมทำใจให้สงบ โอเคครับ ยอมแล้ว ผมงี่เง่าเองจริงๆ


                “เมื่อตะกี้พี่ดิวโทรมาชวนไปกินข้าว”


                !!! ทำไมต้องไอ้พี่ดิวนี่อีกแล้ววะ อุตส่าใจเย็นลงแล้วนะ อุตส่าพยายามไม่คิดอะไรมากมายแล้วด้วย แต่ทำไมจะต้องไปไหนด้วยกันด้วยล่ะ...


                ใจเย็นๆ ไอ้นัท เชื่อใจซินสิวะ อย่าพึ่งให้อารมณ์มาบังเหตุผลไปจนหมดสิ คุยกันดีๆ พูดกันให้รู้เรื่องก่อน


                ผมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ก่อนจะผ่อนออกมาแรงๆ แม่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย


                “ทำไมต้องไปด้วยกันด้วยล่ะ” พยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุดครับ


                “เขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย สนิทกัน”


                “สนิทกันตอนไหน”


                “ถ้าจะใช้เสียงแบบนี้ก็ไม่ต้องคุยกัน” ซินหันมาสะบัดเสียงใส่ผมก่อนจะตีหน้ายุ่ง


                อ๊ากกก ไอ้นัทอยากตายยยยย โกรธก็ไม่ได้เหรอครับ ก็คนมันหวง ไม่อยากให้ไป ไม่ชอบแบบนี้จริงๆนะ แต่ผมไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากมีปัญหากับซิน เราเจอเรื่องแย่ๆกันมามากแล้ว ขอมีความสุขมั่งเถอะครับ


                “ซินครับ นัทจะพูดกับซินดีๆนะ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครครับ ทำไมนัทไม่เคยเห็นมาก่อนเลย สนิทกันตอนไหน สนิทกันมากมั้ย แล้วทำไมต้องไปด้วยกันสองคนด้วยครับ”


                “ก็บอกแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย พี่เขาเรียนถ่ายรูป เคยให้เราไปเป็นนายแบบทำโปรเจคบ่อยๆ เลยสนิทกัน ตอนเรียนก็เคยได้พี่เขาช่วยไว้ด้วย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยนัดกินข้าวกันปกติ”


                โอเค เหตุผลไม่ได้แย่เกินรับฟัง คนของผมอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่อีกฝ่ายผมไม่รู้ ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยจริงๆ


                “โอเค งั้นฉันไปด้วย”


                “จะไปทำไม บ้าเหรอ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก พี่เขารู้แค่ว่านัทเป็นบอดี้การ์ดเรานะ” ก็จริง ถูกของซินครับ


                “โอเคๆ ยอมแล้ว แต่สัญญาอะไรก่อนได้มั้ย...”


                “อะไรอีกล่ะ”


                “ห้ามยิ้ม”


                “ฮะ?”


                “ห้ามยิ้ม”


                “บ้าไปแล้วจริงๆใช่มั้ยนัท”


                “ก็ยิ้มแล้วน่ารัก ไม่อยากให้ไปน่ารักต่อหน้าคนอื่น”


                ซินหน้าเหวอไปเลยทันที กระพริบตาปริบๆอีกต่างหาก เนี่ย! ชอบทำท่าทางแบบเนี๊ยะ! ชอบทำแบบนี้ให้คนอื่นเขาเห็น ชอบปล่อยฟีโรโมนแบบไม่รู้ตัวอย่างนี้ไง ใครๆถึงไว้แวะมาหยอดกันนักน่ะ


                ผมหวงนะ ผมหวง


                “ไอ้นัทบ้า!!” ด่าอย่างเดียวได้มั้ยครับ มือขยุ้มหัวแบบนี้ไม่เอาได้มั้ย เจ็บอ่ะ...


                “ไปเร็วๆเลย เดี๋ยวสาย”


                “เฮ้อ ไปจริงๆใช่ป่ะ”


                “ใช่! เร็วๆ” ไปก็ไปครับ ผมก็ขับรถออกมาทันที ห้างอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ คงนัดกันเอาไว้พอเหมาะพอดีกันเลยล่ะสิ คิดเสร็จแล้วก็หงุดหงิดเองครับ เลิกคิดดีกว่า เดี๋ยวจะเผลอพูดไม่ดีกับซินอีก เดินทางไม่นานก็ถึงแล้วครับ แต่ก่อนที่ซินจะลงก็หันมาหันผมซะก่อน


                “แล้วก็รอรับกลับด้วย จะกลับแล้วจะโทรบอก”


                ...ฮะ? รับกลับด้วยเหรอ ไม่ได้อยากอยู่เที่ยวด้วยกันนานๆหรือไง


                “ได้ยินป่ะเนี่ย”


                “ได้ยิน แล้วทำไมไม่ให้ไอ้พี่ดิวไปส่งล่ะ” ขอเล่นตัวนิดหนึ่งได้มั้ยครับ


                “จะรอหรือไม่รอ” นี่ก็ขู่ตลอด


                “รอๆๆๆ เดี๋ยวรอรับ โอเคเลยครับ ตามนั้นเลย”


                ฮ่าๆ อารมณ์ดีไปแล้วครับ เลิกคิดมากเลยด้วย เพราะยังมีคนแคร์ความรู้สึกกันอยู่ตรงนี้ด้วยนี่นา ถ้าไม่แคร์กันคงไล่กลับบ้านไปแล้ว และผมก็คงต้องไปนอนคิดมากว่าป่านเขาจะทำอะไรกันอยู่ จะกลับหรือยัง หรืออะไรอีกมากมายล้านแปดที่คนคนนึงสามารถคิดไปเองได้ แค่คิดก็แย่แล้วครับ


                “แล้วไปเดินห้างรอไกลๆเลยนะ ไม่ต้องมาเดินตามเรา”


                รู้ทันอีกแหนะ ผมยิ้มพยักหน้าให้เขา ก่อนที่เขาจะลงจากรถไป ผมก็วนรถเข้าไปจอดรถ เดินเล่นรอมันแถวนี้แหละ ก็คนน่ารักของผมเขาบอกให้รอ... ^^ 


TBC.
...
ช่วงนี้คุณบอดี้การ์ดของเราเขาออกตัวแรงนะคะ
อย่าหมั่นไส้เขาเลย ให้เขาได้หวานกันไปเถอะ ฮ่าๆๆ
เอ๊ะ ว่าแต่พี่ดิวเป็นใครนะ จะมีผลอะไรกับสองคนนี้รึเปล่า...? อย่าลืมติดตามกันน้า

ตอนนี้อาจจะป่วงๆไปนิด
ไม่รู้ว่าทุกคนจะชอบมั้ย ไรท์พยายามเต็มที่เลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน10 โฟโต้บุ๊ค [6/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-09-2013 22:20:22
อ่าน 2 ตอนรวดเลย
น่ารักอ้ะ นึกว่านัทจะไม่รอดจากคุณป๊าซะแล้ว
แล้วอิพี่ดิวนี่คืออะรายยยยยย ไม่เอานะๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน10 โฟโต้บุ๊ค [6/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 06-09-2013 22:28:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน10 โฟโต้บุ๊ค [6/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 07-09-2013 20:47:34
เพิ่งเข้ามาติดตามอ่านแล้วน่ารักมากๆๆเลยตอนแรกนึกว่านัทจะเป็นคนไม่ค่อยพูดซะอิกแต่ไงได้เวลาอยู่กับซินพูดมากขี้แกล้งน่ารักมากๆเลย
//ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 08-09-2013 21:08:18
11

((ความทรงจำ))


 
                หลังจากที่โฟโต้บุ๊ควางขายได้ไม่ทันไร ยอดขายก็พุ่งกระฉูด ทำให้ยอดรวมเงินที่จะบริจาคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาดมากจริงๆ และเพราะเสียงเรียกร้องมากมายจึงทำให้ต้องผลิตเพิ่มเพื่อความต้องการของตลาด ผู้จัดโปรเจคนี้ก็หน้าบานไปตามๆกันครับ กระแสของซินก็แรงมากยิ่งขึ้น แต่คนที่รับผลพลอยได้ไปเต็มๆก็คือผมคนนี้นี่เอง


                หลายคนถามหาพ่อหนุ่มที่เป็นายแบบคู่กับซิน นายแบบที่ไหนทำไมไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน หรือว่าเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ไหน เปล่าเลยครับ ไม่ใช่นายแบบที่ไหนหรอก แต่เป็นแค่บอดี้การ์ดคนนึงนี่แหละ


                คุณวิรัตน์ก็ติดต่อผมมาบ่อยๆนะครับ ไม่รู้ไปหาเบอร์ผมมาจากไหน จนตอนนี้ผมต้องคิดหนักมากว่าจะเปลี่ยนเบอร์โทรดีมั้ยเนี่ย น่ากลัวจริงๆ - -


                วันนี้มีงานโปรโมทโฟโต้บุ๊คพร้อมแจกลายเซ็นจากซินครับ แฟนคลับก็ยังตามกันมาล้นหลามเหมือนเดิม หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วผมล่ะ แจกลายเซ็นด้วยมั้ย คำตอบคือไม่ครับ ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดทันที เพราะหน้าที่ของผมคือบอดี้การ์ด ไม่ใช่นายแบบ


                แต่งานวันนี้สิ่งที่ทำผมหงุดหงิดมากที่สุดก็คือ ไอ้พี่ดิวครับ มันมาด้วยอีกแล้ว ในฐานะช่างภาพ ซึ่งแม่งโคตรกกหูรกตาผมมากเลย ยืนตัวติดกับซินอีกแล้ว พูดถึงมัน วันนั้นที่นัดกินข้าวกับซิน ที่ให้ผมรอรับ ไอ้ผมก็ดีใจที่นึกว่าคุณซินเธอจะแคร์กัน รีบกินรีบกลับ แต่ที่ไหนได้ให้ผมรอตั้งสี่ชั่วโมง ไม่รู้ไปกินข้าวกันอีท่าไหน ไปๆมาๆ ไปดูหนังด้วยกันซะงั้น อย่าให้พูดเลยครับ อารมณ์มันขึ้น


                “พี่ชอบรูปนี้มากๆเลย ซินดูเป็นธรรมชาติมากๆอ่ะ น่ารักสุดๆ ยิ้มสวยด้วย”


                “ฮ่าๆ พี่ดิวก็พูดไป เปลี่ยนเป็นหล่อแทนได้มั้ย”


                “ก็ซินน่ารักจริงๆนี่”


                เอ่อ โลกนี้มีกันอยู่สองคนหรือไงครับ สนใจโลกภายนอกบ้างก็ได้นะ หัวจะรวมกันอยู่แล้ว ไม่ต้องดูกันใกล้มากขนาดนั้นก็ได้มั้ง ผมที่ยืนอยู่ข้างๆซินกระแอมไอขึ้นอย่างคันคอ ไอ้ตัวดีก็เงยหน้าขึ้นมามองผมนะครับ แต่ก็ก้มลงไปใหม่


                จะดูอะไรนักหนา ก็เขาส่งไปให้ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือไง ยังดูไม่สะใจอีกเหรอ! เห็นแล้วมันพาลครับ


                ผมเลยแกล้งขยับตัวชนโต๊ะ ให้มันเลื่อนไปโดนไอ้พี่ดิว โฟโต้บุ๊คหลุดมือเลยครับ หึหึ


                สองคนเลยเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกัน ซินนี่หน้ายุ่งเลยครับ ผมเลยส่งยิ้มแบบไม่รู้เรื่องไปให้ ไอ้พี่ดิวมองหน้าผมนิ่งๆ ผมเลยจ้องกลับไปแบบเดียวกัน ทำไมครับ อย่านึกว่าผมจะกลัว ไม่เคยกลัว ไม่เคยไม่กล้าอยู่แล้วครับ


                บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่...


                “อยู่นี่เอง เดี๋ยวไปแจกลายเซ็นได้แล้วจ่ะน้องซิน” เสียงพี่ทีมงานดังขึ้น ทำให้ไอ้พี่ดิวถอนสายตาไป ก่อนจะยิ้มให้ซิน ซินก็ลุกขึ้นเดินตามพี่ทีมงานไปครับ ผมจึงหันไปมองหน้าไอ้ดิวนิดๆก่อนจะเดินตามหลังซินไป ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยจริงๆ


                วันนี้คนเยอะมากครับ ต่อแถวกันยาวเชียว มีหวังงานนี้ซินปวดข้อมือแน่ๆ เดี๋ยวเอาไว้เลิกงานแล้วผมนวดให้เขาดีกว่า ^^ 


                ผมมองคนตัวบางที่นั่งแจกลายเซ็นอยู่บนโต๊ะ แฟนคลับก็ถ่ายรูปกันมือเป็นระวิง หลายคนหันมามองผมนะ คงกำลังสงสัยว่าใช่หรือไม่ใช่คนในรูป แต่ดูเหมือนว่าจะจำกันไม่ได้ หน้าตามันแต่งต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ ผมงง...


                แต่ในตอนนั้นเอง มีผู้หญิงสามคนเดินเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะซิน ต่างคนต่างผลักกันเข้ามาแบบไม่กล้า


                “แกสิ/แกเข้าไปสิ/แกถามสิ” เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาอยู่แบบนั้นแหละครับ จนผมต้องมองอย่างงงๆ คือต้องการอะไรจากผมครับ?


                “มีอะไรหรือเปล่าครับ” อดรนทนไม่ไหวจนต้องถามออกไป


                “เอ่อ...คือว่า” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นอย่างกล้ากลัวๆ ก่อนจะหยุดไปและหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเอง


                “ถามสิ ถามเลย” เพื่อนเธอก็เร่งครับ เธอเลยหันกลับมาหาผม หือ...?


                “พี่ใช่คนในรูปหรือเปล่าคะ” ว่าแล้วเธอก็เลยหลับหูหลับถามผมรวดเดียวจบเลย


                สมองผมที่กำลังประมวลผลไม่ทัน มองทั้งสามคนอย่างงงๆ รูปอะไรวะครับ ก่อนที่ผมจะถึงบางอ้อเมื่อเธอยื่นโฟโต้บุ๊คมาชี้ให้ผมดู


                “ใช่มั้ยคะ ใช่พี่แน่ๆ ใช่มั้ยคะ” เพื่อนเธอก็ช่วยกันถามอีกแรง


                “เอ่อ...” ควรจะตอบว่าใช่ดีมั้ยล่ะ หรือควรจะตอบว่าไม่ดี แต่ถึงจะตอบว่าใช่ก็คงไม่มีผลอะไรมั้ง เพราะยังไงทุกคนก็โฟกัสไปที่ซินคนเดียวอยู่แล้ว ถูกมั้ย


                “ครับ ใช่ครับ”


                เท่านั้นแหละครับ ทั้งสามคนกรี๊ดขึ้นมาพร้อมกันทันที คนอื่นก็หันมามองกันให้พรึบสิครับ ซินเองก็หันมามองอย่างงงๆ แต่ผมงงมากกว่าครับ พึ่งจะโดนกรี๊ดใส่หน้าไปสดๆร้อนๆเลย - - ขอถามอีกครั้งว่า


                ต้องการอะไรจากผมครับ...


                “ขอลายเซ็นหน่อยค่ะพี่ ขอลายเซ็นหน่อย พวกหนูชอบพี่มากเลยค่ะ หล่อมาก นึกว่าดาราเกาหลี”  แรกๆก็ฟังดูดีนะ อันหลังนี่แอบแดกดันกูหรือเปล่าวะ


                “เอ่อ ขอบคุณครับ แต่พี่ว่าคงไม่เหมาะ พี่ทำงานอยู่”


                “นะคะๆ เซ็นให้หน่อยนะ” เกิดอาการตัวเกร็ง ไปไม่เป็นแล้วครับ เริ่มหันซ้ายหันขวาอย่างขอความช่วยเหลือ ซินเองก็มองมาทางผมยิ้มๆ โดยที่ไม่คิดจะช่วยกันสักนิด ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและ...


                “เอ่อ..อยากจะให้ทุกคนฟังกันหน่อย เห็นถามกันมากเหลือเกิน ซินเองก็ขอพูดไปเลยแล้วกันดีกว่า คนนี้ไงครับ ที่ถ่ายคู่กับซินในโฟโต้บุ๊ค คนนี้แหละครับ” พูดจบ ก็ผายมือมาทางผมอย่างสวยงาม ขอบคุณมากครับ... ที่โยนขี้มาให้กัน


                ทุกสายตาหันมาทางผมเป็นตาเดียว พร้อมกับแสงแฟลชที่สาดเข้าหน้ากันแบบไม่ทันตั้งตัว ตาบอดไปชั่วขณะแล้วครับ หลายคนที่ได้ลายเซ็นไปแล้ววิ่งกรูเข้ามากันทันที จนทีมงานหลายคนต้องเข้ามากันเอาไว้ก่อนที่ผมจะโดนทุกคนเหยียบ


                เอ่อ เข้าใจหัวอกศิลปินก็วันนี้แหละครับ...


                “งั้นที่เขาบอกกันว่าเป็นบอดี้การ์ดของพี่ซินก็จริงสิคะ”


                “พี่คะ หนูขอลายเซ็นหน่อย”


                “ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”


                “ว้าย น่ารักจังเลย เป็นบอดี้การ์ดพี่ซินด้วยอ่ะ”


                “เข้ากั๊นเข้ากัน”


                อะไรคือเข้ากั๊นเข้ากันครับน้อง อธิบายด้วย


                และเสียงดังอื้ออึงอีกทั้งหลายแหล่ก็ตามมา บอกตรงๆว่าตั้งตัวไม่ทันครับ ไม่นึกว่าจะได้รับผลตอบรับมากขนาดนี้ เลยกลายเป็นว่างานนี้ ผมไม่ได้ทำหน้าที่บอดี้การ์ด แต่ต้องมายืนถ่ายรูปคู่กับซินแทน ทั้งๆชุดสูทสีดำนั่นแหละครับ


                จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ผมคาดว่า ตำแหน่งบอดี้การ์ดของผมเริ่มจะสั่นคลอนซะแล้วล่ะครับ


                ไม่น่าเลยจริงๆ...
           

                หลังจากงานที่แสนจะวุ่นวายจบลง แฟนคลับก็เริ่มทยอยกันกลับ ส่วนนักร้องของผมก็กำลังจะกลับเหมือนกันครับ แฟนคลับบางส่วนตามมาส่งที่รถ และตอนนี้ผมก็กลับมาทำหน้าที่เหมือนปกติแล้ว แต่ที่ไม่ปกติก็คือ หลายคนพยายามถ่ายรูปผมกับซินคู่กัน ชักเริ่มแปลกๆแล้วครับ


                และเมื่อถึงรถ ซินก็ขึ้นรถทันที ไม่ได้ยืนให้แฟนคลับถ่ายรูปต่อ เพราะเกรงว่าจะวุ่นวายกันมากไปกว่านี้ เราตรงกลับบริษัทกันทันทีครับ เพราะคาดว่างานจะเข้าคุณโอ๊ตกับซิน


                “ผู้ใหญ่เรียกเราเข้าไปคุย เดี๋ยวซินไปกับพี่ นัทรออยู่ที่ห้องเนี่ยแหละ” คุณโอ๊ตหันมาบอก ผมก็พยักหน้ารับ ก่อนที่คุณโอ๊ตจะหันไปหาซิน ตอนนี้เราถึงบริษัทเรียบร้อยแล้วครับ


                “เดี๋ยวพี่เข้าไปไกล่เกลี่ยก่อน อีกแป๊บซินค่อยตามเข้ามา โอเคนะ”


                “อืม”


                หลังจากที่คุณโอ๊ตออกไป ผมก็หันไปมองซินอย่างตั้งคำถามทันที เกิดอะไรขึ้นครับ ผมไม่เข้าใจ


                “เรื่องที่นัทถ่ายแบบ ตอนแรกพวกผู้ใหญ่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร แต่พอมันมีเรื่องวันนี้ขึ้น เลยอาจจะมีปัญหานิดหน่อย เพราะนัทเป็นบอดี้การ์ดเรา แล้วมาถ่ายแบบอย่างนี้ ที่แย่ที่สุดคือ อาจจะต้องปลดนัทออกจากบอดี้การ์ด เพราะแฟนๆจะทำให้นัทลำบากเวลาทำงาน”


                ไม่มีทาง... ผมไม่ยอมโดนปลดแน่ๆ ทำไมต้องทำลายโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ๆซินด้วยล่ะ ทำไมต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ด้วย


                “ไม่เอานะ ฉันจะเข้าไปคุยเอง ยังไงก็ไม่ยอมให้ปลดกันหรอก ฉันจะเข้าไปคุยกับพวกเขาเอง จะไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้มาทำให้การทำงานของฉันบกพร่องหรอกนะ ฉันทำหน้าที่ได้เต็มที่อยู่แล้ว ฉันต้องไปคุยกับพวกเขา...”


                “ใจเย็นๆนัท พี่โอ๊ตเข้าไปแล้ว ยังไงพี่โอ๊ตก็ต้องช่วยอยู่แล้ว นายเข้าไปจะยิ่งยุ่ง”


                “แต่...”


                “เถอะน่า เชื่อสิ เราก็จะช่วยพูดอีกแรง เดี๋ยวเราจะขอร้องแฟนคลับเรื่องนี้เอง อีกอย่าง สักพักกระแสมันจะซาไปเอง เรื่องนั้นผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจ”


                ผมมองหน้าซินที่พยักหน้าให้ผมมั่นใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ซินยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาจับแขนผมเอาไว้ ผมจึงยกมืออีกข้างขึ้นกุมมือเขา ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากมือบางส่งผลให้ผมใจเย็นลง จริงอย่างที่ซินว่า เดี๋ยวสักพักมันจะซาไปเอง


                “เดี๋ยวเราเข้าไปในห้องก่อน นัทก็รอที่นี่ ไม่ต้องคิดมาก มันไม่แย่อย่างที่คิดหรอก บางทีพวกผู้ใหญ่อาจจะเรียกไปชมก็ได้ที่ทำให้กระแสค่ายแรงขึ้น” ซินพูดไปหัวเราะไป ทำให้ผมยิ้มตาม เป็นเพราะปัญหาเรื่องนี้ ทำให้ลืมเรื่องไอ้พี่ดิวไปซะสนิท ดูเหมือนว่าคนตัวบางตรงหน้าก็จะลืมไปแล้วเหมือนกัน ผมจึงพยักหน้าให้เขาเบาๆ เขาถึงได้เดินออกจากห้องไป


                ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงนั้น ก่อนจะพิงหลังลงไปอย่างเหนื่อยใจ ขออย่าให้ผลออกมาไม่ดีเลยเถอะ ผมไม่อยากห่างจากซินแล้วจริงๆ... เวลาเราที่ตรงกันสักที ขออย่าให้ต้องแยกกันอีกเลย


                หลังจากที่นั่งรอด้วยความกดดันอยู่สักพัก ซินกับคุณโอ๊ตก็เดินกลับมา รอยยิ้มของซินที่เปิดประตูเข้ามา ทำให้ผมโล่งใจทันที แค่เห็นซินยิ้ม ก็เบาใจได้แล้วครับ


                “เขาแค่เตือนนิดหน่อย ช่วงนี้นายเองก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะนัท คงจะมีคนเข้ามาบ้าง แต่เดี๋ยวซินจะพูดกับแฟนคลับให้ เรื่องขอให้คุณบอดี้การ์ดได้ทำงานอย่างเต็มที่ ให้เขาไปคุยกันเอาเอง น่าจะพูดกันรู้เรื่อง” คุณโอ๊ตเป็นคนชี้แจงให้ผมฟัง ซึ่งผมก็พยักหน้ารับ


                “ซินไม่ได้โดนว่าอะไรใช่มั้ยครับ”


                “ซินจะโดนอะไรล่ะ กูสิครับโดน รับงานไม่ปรึกษา แต่ก็โชคดีไปที่คุณวิรัตน์เขาโทรมาเคลียร์ให้ไว้แล้วว่าเป็นความต้องการของเขาเอง เลยเบาลงหน่อย รอดตัวไปล่ะวะ” ได้ยินคุณโอ๊ตบ่นได้แบบนี้ก็โล่งอกไปทีครับ ทุกอย่างเคลียร์!


                ผมเลยยิ้มกว้างออกมาทันที ซินก็หันมายักคิ้วให้ผมพร้อมกับพูดไม่มีเสียง


                บอกแล้ว   ผมจึงยกนิ้วโป้งให้เขาไป


                “งั้นซินกลับเลยนะพี่โอ๊ต”


                “โอเค กลับกันดีๆล่ะ”


                คุณโอ๊ตหันมาโบกมือยิ้มให้ ก่อนที่พวกผมจะเดินออกมา รอลิฟต์สักพักก็มาครับ ในลิฟต์ที่มีเราแค่สองคน ผมมองเงาซินที่สะท้อนกับประตูลิฟต์ ใบหน้าหวานก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน คิ้วเรียวขยับขึ้นลงก่อนจะแลบลิ้นใส่ผม ทำให้ผมหัวเราะออกมาทันที


                “ไม่นึกว่าจะทำหน้าเครียดเป็นนะ” ซินพูดขึ้น


                “หึ ทำเป็นพูด เครียดกว่านี้ก็เคยมาแล้ว”


                ซินยิ้มน้อยๆก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น 


                “ยังไม่อยากกลับบ้าน”


                ผมเลยเลิ้กคิ้วหันไปมองเขาตรงๆ นี่คือประโยคเชิญชวนหรือเปล่าครับ หึหึ


                “ไม่อยากกลับแล้วจะไปไหนครับ โรงแรมมั้ย” ผมพูดยิ้มๆแหย่เขาไปซินหันมามองผมตาเขียวทันที ฮ่าๆ


                “ไอ้บ้า”


                “แล้วอยากไปไหน”


                “อยากไปสวน แต่ตอนนี้คนน่าจะเยอะ” สวนที่ซินพูดถึงก็สวนสาธารณะที่เมื่อก่อนเราไปบ่อยๆน่ะครับ


                “อืม ตอนนี้คนคงเยอะแหละ ที่อื่นดีกว่า”


                “งั้นไปห้องนัทกันมั้ย...”


                ฮะ? ห้องผมเหรอครับ ห้องที่มีแต่ความทรงจำเก่าๆของเรานั่นน่ะนะ ห้องที่จะมีแค่เราสองคน...       


                 ห้องนี้ผมไม่ได้กลับมานานมากแล้วครับ ถึงจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ประจำอยู่แล้ว แต่ทุกๆอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม อะไรที่เคยอยู่ตรงไหนก็ยังอยู่ตรงนั้น เพราะผมไม่ได้มาแตะมันอีกเลย หลังจากที่ซินจากไปตอนนั้น ห้องนี้ก็กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผมไปเลยครับ เพราะถ้ากลับมาในตอนที่ไม่มีซินแล้ว เกรงว่าจะกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่ไหว


                แต่ตอนนี้ผมกลับมาพร้อมซิน ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วครับ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 08-09-2013 21:09:10
                ผมไขกุญแจเข้าไปในห้อง เปิดไฟที่อยู่ด้านข้างประตู ภายในห้องจึงสว่างขึ้นทันที ภาพบรรยากาศเก่าๆลอยเข้ามาเป็นฉากๆเลยครับ ผมกับซินที่นั่งรวมหัวกันอยู่กลางห้องนั่งเล่นเพื่อแต่งเพลง และใส่ทำนอง เสียงคนสองคนเถียงกันเพราะความเห็นเริ่มแตกแยก ผมยิ้มให้กับภาพเหล่านั้นทันที


                ซินที่อยู่ด้านหลังเดินแทรกผมเข้าไปในห้องก่อนจะกระโดดขึ้นนั่งบนโซฟาที่ประจำเขาแหละครับ ผมจึงเดินตามเข้าไปมองรอบๆห้องก่อนจะนั่งลงข้างๆซิน


                “ยังเหมือนเดิมเลย” ซินพูดขึ้นพลางมองไปที่โพสต์อิทที่เขียนโน๊ตเพลงอยู่บนกำแพงเต็มไปหมด นิสัยเก่าๆครับ คิดอะไรได้โน๊ตแปะเอาไว้ก่อน มีทั้งโน๊ตเพลง เนื้อเพลงเป็นท่อนๆ แล้วก็รูปวาดที่ซินวาดเล่นทิ้งเอาไว้ แล้วผมเก็บเอามาแปะไว้


                “อืม ก็ไม่ได้เปลี่ยนตรงไหนเลยนี่ เคยทิ้งไปยังไงมันก็ยังคงอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้กลับมาแตะอีกเลย”


                “ไม่ได้สนใจอีกเลยสินะหลังจากนั้นอ่ะ”


                “สนใจให้ได้อะไรล่ะ นายก็ไม่อยู่แล้ว ชีวิตต้องเดินต่อ ฉันก็ต้องใช้ชีวิตในแบบของฉันต่อไปเหมือนกัน”


                “ใจร้ายว่ะ”


                “สิ่งที่นายทำมันใจร้ายกว่าฉันเยอะ” ผมมองซินที่หันมามองผมนิ่งๆ ก่อนจะยกมือขึ้นผลักหัวผมไปอีกทาง


                “พูดเรื่องอะไรเนี่ย จะชวนทะเลาะหรือไง”


                “ไม่เอาหรอก ไม่อยากทะเลาะแล้ว ทะเลาะกันมามากพอละ” ผมเลยกระแซะเข้าไปใกล้ซินก่อนจะคว้าตัวเขามากอดหลวมๆ


                “เนียนตลอดเลยนะ”


                “ไม่เนียนแล้วจะได้เหรอ”


                “ได้อะไรวะ พูดจาส่อตลอดดด”


                แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่ซินจะปลดแขนผมออกและลุกขึ้นเดินวนไปรอบๆห้อง เดินดูตรงนู้นทีตรงนี้ที ก่อนจะเดินหายเข้าไปห้องนอนผม แล้วก็โผล่ส่วนหัวออกมา ผมเลยมองเขายิ้มๆ


                อย่าครับ ได้โปรดอย่าเชิญชวนกันขนาดนั้น เครื่องติดขึ้นมาแล้วมันดับยากครับคนสวย


                ซินเดินออกมาจากห้องพร้อมกับหยิบสมุดเล่มนึงติดมือออกมาด้วย


                “ยังเก็บไว้อีกเหรอ” ผมมองสมุดที่ซินเอามาเปิดอ่านข้างๆผม สมุดวาดรูปครับ แต่ไม่ใช่ผมที่วาดนะ ไม่ได้มีความสามารถทางด้านวาดรูปเลยครับ เด็กถาปัตเขาวาดเล่นแล้วทิ้งเอาไว้นั่นแหละ ผมเอนตัวซบหัวลงบนไหล่เขา มองภาพในสมุดที่ซินพลิกไปเรื่อยๆ ก่อนจะไถลเถลือกหัวลงไปวางแหมะลงบนตักซิน ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร


                “ซิน”


                “อือ” เจ้าตัวตอบรับเบาๆทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากสมุดที่ถืออยู่


                “ง่วงป่ะ”


                “ไม่อ่ะ”


                “ไปนอนเล่นในห้องกัน”


                ซินเหล่ตามามองผมทันที ฮ่าๆ ไม่ได้คิดจริงจังนะครับ แค่อยากแหย่เล่นเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย จริงจริ๊งง


                “ตลกและ” ผมหัวเราะซินที่มองมาตาเขียว ก่อนจะหันไปสนใจสมุดต่อ


                “ร้องเพลงกันมั้ยซิน” ผมที่นอนมองหน้าหวานอยู่ถามขึ้น อยู่ดีๆก็เกิดอยากฟังเสียงซินขึ้นซะงั้น


                “อารมณ์ไหนเนี่ย”


                “อารมณ์อยากได้ยินซินร้องอ่ะ”


                “ไอ้บ้านัท พูดจาดีๆ”


                “เอ้า ก็ร้องเพลงไง พูดไม่ดีตรงไหน คิดอะไรเนี่ยเรา” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยื่นมือไปบีบจมูกเขาอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไป ผมเลยลุกขึ้นไปหยิบกีต้าร์ในห้องนอนออกมา


                “ถามเราบ้างมั้ยเนี่ยว่าอยากร้องมั้ย”


                “พี่นัทเล่นให้ น้องซินก็ต้องอยากร้องสิคะ”


                “ลามปามและ ใครพี่ใครน้องให้มันรู้ซะบ้าง”


                “ฮ่าๆ” ผมเอี้ยวตัวหลบซินที่ทำท่าจะขย้ำหัวผมให้ได้เลย


                “อย่าสิ เดี๋ยวกีต้าร์หล่นนะ โอ๊ยซิน อย่าดึงผมมม” หนังหัวหลุดติดมือไปแล้วมั้งครับนั่น โหยๆ เจ็บ น้ำตาจะไหล...


                “นิสัยเสีย! ลามก! ฉวยโอกาส! เจ้าเล่ห์!”


                “โอ๊ยๆๆๆๆ”


                ด่าหนึ่งคำพร้อมกับดึงผมของผมหนึ่งที แล้วดึงแต่ละทีนี่ไม่ใช่ค่อยๆนะครับ เจ็บนะเนี่ย!! ไม่ทนแล้วว


                ผมดึงกีต้าร์หลบไปวางไว้ที่อื่นก่อนจะหันไปรวบข้อมือเล็กๆเอาไว้ด้วยกันก่อนจะดึงให้เข้ามาใกล้ตัว ซินก็ปลิวหวือมานั่งลงบนตักผมพอดี โลเคชั่นเหมาะเหม็งมากครับ นิ่งสนิทเลยครับ เลิกดื้อเลิกซนกันเลยทันที


                “ปล่อยเรา”


                “ไม่เอาอ่ะ”


                “นัท...”


                “ครับ”


                “ปล่อย”


                “พูดดีๆก่อนสิคะ”


                “....”


                ในเมื่อเขาไม่พูด ผมก็ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้น ยิ่งเห็นคนเก่งนักเก่งหนาเมื่อกี้หันหน้าหนีหลบสายตากันยิ่งอยากแกล้ง เลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆซะเลย ไม่รู้นะครับว่าซินชวนผมมาห้องทำไม แต่ไอ้นัทนี่คิดไกลไปแล้วครับ ไกลมากด้วยบอกเลย...


                “ไม่เล่นแล้วหรือไงกี้ต้าร์น่ะ” ซินถามขึ้นเบาๆ ใกล้มากๆครับตอนนี้ ปลายจมูกนี่เฉียดกันไปเฉียดกันมา มาถึงขั้นนี้ ลืมคอร์ดไปหมดแล้วครับ


                “ไม่อยากเล่นแล้ว อยากทำอย่างอื่นแทนมากกว่า” ผมขยับไปกระซิบข้างหูเขาเบาๆ


                “นัท...” เสียงเบาหวิวเอ่ยเรียกกัน ก่อนที่ผมจะฝังจูบลงไปบนต้นคอขาวๆ


                “อือ” ไม่มีกระจิตกระใจจะพูดคุยแล้วครับตอนนี้ เพราะน้องชายมันปวดหนึบไปหมดแล้วจริงๆ


                “เขิน...”


                .... ฮะ? เขิน? ใครพูด... ใช่ซินหรือเปล่า ไม่ใช่มั้งงง


                จะไม่ใช่ได้ไงก็อยู่กันสองคน!!!


                ผมรีบถอยห่างออกมามองหน้าซินให้ชัดๆทันที ไม่อยากพลาดครับโอกาสแบบนี้ ใบหน้าหวานที่ก้มงุดๆแดงระเรื่อ โคตรน่ารักอ่ะ!! ก็เป็นซะอย่างนี้ไง ไม่รักไหวเหรอครับ บทจะไม่พูดก็ไม่พูด บทจะพูดก็แทบจะฆ่ากันให้ตาย


                แล้วแบบนี้ใครจะอดใจไหวล่ะครับ


                “ซิน” ผมเรียกชื่อเขาทั้งๆที่ยังมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น แต่ซินสิ ไม่ยอมสบตาผม จนต้องเอื้อมมือไปเชยคางมนให้หันมามองหน้ากัน


                “นัทรักซิน รู้ใช่มั้ย”


                ซินไม่ตอบ แต่พยักหน้าช้าๆให้ผมแทน ผมถึงได้ยิ้มออก แล้วลูบแก้มใสนั้นอย่างเบามือ

                “เชื่อใจฉันมั้ย” ซินมองหน้าผมงงๆว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร ผมจึงยกตัวเขาลงนั่งบนโซฟาดีๆ ก่อนจะดันตัวบางให้นอนลงไปบนโซฟา โดยที่มีผมตามคร่อมลงไป คนตัวบางก็ยังคงมองผมตาปริบๆ ถ้าเป็นคนอื่นนี่นายเสร็จไปแล้วนะซิน

                ผมโน้มใบหน้าลงไปให้ปลายจมูกเราชนกัน ก่อนจะแตะริมฝีปากลงไปบนกลีบปากสวยเบาๆ และเลื่อนไปที่แก้มใส ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใบหู

                “สัญญา ว่าจะไม่ทำให้เจ็บ” ผมกระซิบลงไปเท่านั้นก่อนจะงับติ่งหูขาวๆนั้นเบาๆ และใช้ปลายลิ้นหยอกเย้าทำให้เจ้าตัวหดคอหนี ผมค่อยๆขยับต่ำลงไปที่ซอกคอขาวจูบลงไปเบาๆก่อนจะกัดหยอกเย้าปลุกอารมณ์กัน คนตัวบางหายใจติดขัดทันที มือบางกำแขนเสื้อผมเอาไว้แน่น ผมที่ลากไล้ปลายลิ้นอยู่บนลำคอขาวเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหวานที่แดงซ่านไปหมดแล้ว

                ก่อนจะประกบปากลงไป คราวนี้ไม่ได้อ่อนโยนหรือเบาหวิวแบบคราวที่แล้วหรอกนะซิน ผมบดริมฝีปากลงไปกัดปากล่างเขาอย่างหยอกเย้าก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกันในโพรงปากเล็ก ซินจูบตอบกลับมาแบบกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่ไฟในร่างกายผมมันจะพัดกระหน่ำนำทางเขาไปให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น                   

                มือผมลากต่ำลงไปลูบเอวบาง ก่อนจะสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อเพื่อสัมผัสกับผิวเนียน ร่างบางกระตุกน้อยๆเมื่อผมลากนิ้วผ่านตุ่มไตเล็กบนหน้าอกเขา ก่อนจะสะกิดไปมาเบาๆ

                “อือ...” เสียงหวานถูกส่งออกมาอย่างพึงพอใจ

                ผมค่อยๆปลดกระดุมออกจากเสื้อเชิตทีละเม็ดๆ จนตอนนี้ไร้อุปสรรคขวางกั้นระหว่างเรา กระดุมเสื้อที่หลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวใสภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางตัวนี้ที่ไม่มีวันที่ใครจะได้เห็นนอกจากผม

                “นัท...” เสียงเบาหวิวเอ่ยเรียกกัน พาให้อารมณ์ผมยิ่งเตลิดไปไกลเกินจะรั้งไหวแล้ว..

                ผมเลื่อนริมฝีปากต่ำลงมาหยอกล้อกับยอดอกของซิน ทันทีที่ปลายลิ้นของผมสัมผัสกับยอดอกเขา ซินก็สะดุ้งสุดตัวทันที ราวกับว่ามีใครสักคนมาปลุกซินที่กำลังเคลิ้บเคลิ้มของผมให้ตื่นเต็มตาขึ้นมา

                “นะ..นัท”

                “อือ...”

                “เรา... เราว่า..หยุด...เถอะ” เสียงซินขาดๆหายๆเพราะผมลากปลายลิ้นวนเวียนอยู่ตรงตุ่มไตเล็กๆนี่ อีกข้างหนึ่งก็ใช้ปรายนิ้วขยี้เบาๆ ตอนนี้ไม่ได้ยินหรือรับรู้อะไรแล้วครับ

                “นัท...”

                ผมลากไล้ริมฝีปากต่ำลงมาเลื่อยๆ ผ่านหน้าท้องแบนเรียบ กัดลงไปอย่างหมั่นเขี้ยว ฝากร่องรอยแห่งความรักเอาไว้ หน้าท้องเรียบเกร็งขึ้นมาทันที มือผมค่อยๆแกะกระดุมกางเกงของซินออก แต่ทันทีที่ซินรู้ว่าจะไรจะเกิดต่อไป เขาก็เด้งตัวลุกขึ้นมาทันที

                “นัท!” ผมเลยจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเขา ด้วยใบหน้าขมวดมุ่น นัทน้อยจะทนไม่ไหวแล้วครับ

                “ว่าไงครับ” ผมรับคำแค่นั้นก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าหาเขาอีกรอบ บอกเลยครับ ตอนนี้ไอ้นัทหน้ามืดแล้ว

                “นัทๆ เดี๋ยว....อื้ออ~” ผมไม่รอให้ซินพูดจบ รีบปิดปากหวานๆนี่ในทันที สอดลิ้นเข้าไปชอนไชในโพรงปากหวานฉ่ำอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนร่างที่เกร็งขืนโอนอ่อนผ่อนตาม ผมไม่รอช้า ปลดกระดุมกางเกงซินออกทันที และค่อยๆร่นมันลงในขณะที่อีกคนยังไม่รู้ตัว

                “อ๊ะ! นัท...!” ร่างบางผวาเฮือกเมื่อผมแตะสัมผัสกับจุดอ่อนไหวของเขาผ่านปราการด่านสุดท้าย ซินเองก็กำลังไม่ไหวแล้วเหมือนกันครับ ผมลูบไล้ผ่านส่วนนั้นของซินไปมา ร่างบางใต้ผมบิดเร่าๆในทันที

                “ถอด...นะ” ผมเอ่ยขอเขา ร่างบางที่ผงกหัวขึ้นมาส่ายหัวพรืด ถือว่าท่าทางแบบนี้คือคำตอบตกลงนะ

                ผมเลื่อนตัวขึ้นไปจูบเขาอีกครั้ง ก่อนจะบอกเขาทั้งๆที่ปากเรายังไม่ออกห่างจากกัน

                “ไปที่เตียงดีกว่า ตรงนี้ขยับตัวไม่ถนัดเลย” พูดจบผมก็อุ้มร่างบางขึ้น ก่อนจะรีบตรงไปที่ห้องนอน ซึ่งคนหน้าบางก็ซบหน้ากับอกผมแน่น ไม่ยอมสบตากัน

                พอถึงเตียงผมก็ค่อยๆวางเขาลง พร้อมๆกับที่ถอดกางเกงชิ้นสุดท้ายของเขาออก ถอดเสื้อตัวเองโยนทิ้ง และก้มลงประกบปากบาง ซินหุบขาเข้าหากันจนแน่น อย่างเกร็งๆ

                “ซิน แยกขาให้นัทหน่อยนะ สัญญา ว่าจะไม่เจ็บ ...นะ” ผมกระซิบเบาๆข้างๆหูเขา ซินจึงยอมผ่อนคลายลง

                มือข้างหนึ่งของผมกอบกุมส่วนนั้นของซินเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆขยับขึ้นลงช้าๆ

                “อือ...” เสียงหวานครางออกมาอย่างลืมตัวทันที ก่อนที่มือบางจะตะครุบปิดปากตัวเอง ผมจึงค่อยเปลี่ยนจังหวะเป็นเร็วขึ้นๆ ต้นขาขาวแยกออกจากกันอย่างไม่รู้ตัว ในตอนนั้นเองที่แรงอารมณ์กำลังฉุดซินขึ้นไป ผมจึงค่อยๆสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางรักของซิน ซินผวาเฮือกมากอดคอผมเอาไว้ทันที ผมจึงประเคนจูบร้อนแรงให้ เพื่อที่เขาจะได้ผ่อนคลาย

                “อย่างเกร็งนะซิน”

                “เรา..เจ็บ!! อ๊ะ... นัท”

                ผมค่อยๆขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บให้เขา ก่อนจะเร่งจังหวะตามแรงอารมณ์ ซินแอ่นตัวขึ้นรับสัมผัสนั้นทันที

                ผมเองก็กำลังจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ผมละมือจากซินและปลดกางเกงของตัวเองออกจนหมดในคราวเดียว ผมพร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีกครับ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้คนตัวบางตรงหน้านี้เจ็บ ต้องค่อยเป็นค่อยไป

                ผมกอบกุมส่วนแข็งขืนนั้นเอาไว้ในกำมือ ขยับขึ้นลงเร็วๆ ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปในตัวซินอีกครั้ง เพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปอีก จนคิดว่าช่องทางของซินพร้อมแล้วสำหรับอะไรที่ใหญ่กว่านิ้ว

                “จะเข้าไปแล้วนะซิน อย่าเกร็งนะคนดี” ผมกระซิบข้างหูเขาเบาๆ ก่อนจะเอาส่วนกลางของผมไปจ่อที่ทางเข้าของซิน และค่อยๆสอดส่วนปลายเข้าไปช้าๆ ซินเกร็งตัวจิกเล็บลงบนหลังผมทันที ทำให้ผมขยับไม่ได้เลย

                “ผ่อนคลายนะซิน อย่าเกร็งนะ เดี๋ยวเจ็บ” ผมปลอบประโลมเขาพร้อมกับก้มลงไปประกบจูบเขาอีกครั้ง เขาจึงค่อยๆผ่อนคลายลง ผมจึงดันส่วนแข็งขืนของตัวเองเข้าไป จนสุด ซินกัดลงบนไหล่ผมเพื่อกลั้นเสียงร้อง

                แทบคลั่งแล้วครับ อยากทำตามสัญชาตญาณดิบใจแทบขาด แต่ก็กลัวซินจะเจ็บมากไปกว่านี้ ผมจึงต้องค่อยๆขยับตัวเข้าออกช้าๆ และค่อยๆเร็วขึ้น ซินจิกเล็บและข่วนหลังผมแทนการระบายอารมณ์จนหลังผมแสบไปหมด

                “อ๊ะ นัท ช้าหน่อย... อื้อ เรา...ไม่ไหว” เสียงหวานครางกระเส่าอยู่ที่ข้างๆหูผมนี่เอง แต่ผมไม่ไหวแล้วครับ

                ไม่ไหวแล้วจริงๆ

                “อืม...”   

                ผมกระทั้นกายเข้าหาเขา พร้อมๆกับที่ขยับส่วนนั้นของซินไปด้วย คนตัวบางด้านล่างผมก็กำลังจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ผมจึงเร่งจังหวะขึ้นในช่วงสุดท้าย กระทั้นกายเข้าไปจนสุด และพาเราไปจนถึงสุดทาง 

                “อ๊า....” ซินกระตุกน้อยๆก่อนจะปลดปล่อยออกมา ตามด้วยผมที่ปลดปล่อยภายในตัวเขาด้วยเช่นกัน

                ผมค่อยๆถอดถอนกายออกจากตัวเขาช้าๆ ทิ้งตัวนอนลงด้านข้างซินและคว้าเขามากอดไว้ ซินหอบตัวโยนเลยครับ ผมเองก็ไม่ต่างกัน

                ในที่สุด เราก็ ...เป็นของกันและกันแล้วครับ


                “คนโกหก” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเบาๆกับอกของผม ผมถึงได้ดันตัวเขาออกเพื่อฟังให้ชัดๆ


                “ไหนบอกว่าจะไม่เจ็บไง” ปากบางบ่นงุบงิบโดยที่ไม่มองหน้ากัน


                ผมยิ้มกับคำพูดนั้นทันที น่ารักเกินไปแล้วครับ


                “เจ็บแล้วมีความสุขมั้ย” ผมเอ่ยถาม ซึ่งซินก็เงยหน้ามามองผมตาเขียว แต่ตาเขียวแบบหน้าแดงๆ และหอบน้อยๆนะครับ แบบนี้เซ็กซี่เกินกว่าที่จะน่ากลัวจริงๆ


                “ไม่มีแรงแล้ว แบบนี้จะกลับบ้านได้ไง ป๊าเห็นเราสภาพนี้โดนฆ่าตายแน่ๆเลย”


                “งั้นคืนนี้นอนนี่มั้ย”


                “แบบนั้นก็ไม่ต่างกัน”


                ผมหัวเราะขึ้นเบาๆ จะมีอะไรที่มีความสุขมากไปกว่านี้อีกมั้ยครับ บอกผมที เพราะแค่นี้ผมก็สุขจนไม่รู้จะสุขยังไงแล้ว


                “ฉันรักนายนะซิน รักมากๆ รักมากจนรักใครไม่ได้อีกแล้ว”


                “พูดบนเตียงเนี่ย น่าเชื่อถือมากเลย”


                ผมเอื้อมมือไปบีบจมูกโด่งเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว


                “จะให้พูดที่ไหนก็เชื่อถือได้ทั้งนั้นแหละคำพูดฉันน่ะ ป่ะ ลุกก่อน” ผมลุกขึ้นพร้อมกับฉุดซินลุกขึ้นตามมาด้วย


                “ไปไหน ไม่มีแรงแล้ว” คนตัวบางบ่น ก่อนจะทำตัวอ่อนให้ผมประคองเขาลุกขึ้น


                “ไปห้องน้ำ ไปบอกรักกันในนั้นต่อ... โอ๊ย! ซิน เจ็บนะ ไหนบอกว่าไม่มีแรงแล้วไง”


                “ไอ้หื่น”


                “หื่นแล้วรักมั้ยล่ะ”


                “ไม่รัก” โม้ตลอดกาล...


                แล้วเราก็พากันเข้าไปบอกรักกันในห้องน้ำต่อครับ แหนะๆ ไม่ต้องตามมาแล้วนะ แค่นี้พอแล้วครับ


                ผมเขิน >///<


TBC.
...
โอ้ย ตอนนี้เล่นเอาหมดพลัง
ไม่รู้ว่าชอบกันมั้ย
ในที่สุด!!!
ฮ่าๆๆๆๆๆ >.,<
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่า
เจอกันตอนหน้าน้าาา จุ้บๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 08-09-2013 23:35:24
โอ่ยยย น่ารักมากเล้ย
ชอบเวลาหยอกกัน พี่นัทน่ารักสุดๆๆๆ
เพ้อไปแล้ว

ตอนล่าสุดนี่แบบว่า555
มีความสุข
ไม่รู้ว่าเป็นครั้งแรกนะคะ :hao6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 09-09-2013 00:02:53
 :pighaun: :pighaun: :haun4: :jul1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 09-09-2013 00:28:19
 :heaven ที่สุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 09-09-2013 02:16:40
ตายอย่างสงบเลยเรา :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

อ่านตอนนี้ฟินมากกกกกกกกกก

พี่ซินน่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 09-09-2013 11:28:00
อร๊ายยยยยยยยสุดท้ายซินก็เป็นของนัทเต็มรูปแบบบบบบ!!!!ซินน่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-09-2013 21:22:56
น่ารักอ่ะตอนนี้ น้ำตาลเรียกพี่เลย :hao6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน11 ความทรงจำ [8/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-09-2013 03:17:08
 :oo1:


ลืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 10-09-2013 20:48:30
12

((คู่จิ้น))


                หลังจากเหตุการณ์วาบหวิวในตอนนั้นผมก็พาเขากลับไปส่งที่บ้าน แอบขนหัวลุกนิดๆตอนที่ป๊าออกมาเปิดประตูรับ แต่ขนหัวลุกได้ไม่นานหรอกครับ เพราะพอลูกชายคุณป๊าเขาเข้ารั้วไปปุ๊บ ประตูปิดปั๊บ ไอ้นัทก็โดนไล่กลับบ้านแบบไม่ต้องเอ่ยปากเลย


                โธ่...ป๊าครับ อยากจะบอกว่า หวงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วจริงๆ หึหึ ลูกชายป๊าเป็นของผมแบบทั้งตัวและหัวใจแล้วครับ ฮ่าๆๆ เก่งแต่ในใจพอครับผม


                ผ่านวันนั้นมาก็สองวันแล้ว ยังไม่ได้เจอซินเลย ได้แต่คุยโทรศัพท์กันนิดหน่อยๆเท่านั้นเอง


                แต่วันนี้วันดีครับ เพราะนักร้องของผมมีเล่นไลฟ์ตอนกลางคืน ได้เจอกันสักที ตอนนี้ผมเลยดี๊ด๊าเป็นพิเศษ ยืนมองซินที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ เจ้าตัวก็เล่นนั่นเล่นนี่ไปเรื่อยฆ่าเวลา


                “วันนี้กลับยังไงซิน”


                “ป๊ามารับ”


                “อ้าว งี้ก็ไม่ได้ไปส่งอ่ะดิ” ซินเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นยักคิ้วให้ผมสองที ก่อนจะก้มลงไปกดโทรศัพท์ต่อ ไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นมันมีอะไรน่าสนใจนักเนี่ย มันน่ามองกว่าผมหรือไง


                “อยากไปส่งอ่ะ”


                “อย่าง๊องแง๊งนัท เดี๋ยวใครได้ยิน”


                ผมถอนหายใจแรงๆทันทีเมื่อได้ยินเขาพูด อยากจะให้ขี้มูกกระเด็นไปโดนผมสวยๆนี่จริงๆ


                “ดึกดื่นแล้ว รบกวนป๊าทำไม ให้ป๊านอนไปสิ เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” ยังครับ ยังไม่เลิก


                “ก็ป๊าบอกว่าจะมารับ เป็นอะไรเนี่ยนัท” ซินวางโทรศัพท์ก่อนจะเงยหน้ามาหาผมอย่างจริงจัง


                นั่นแหละครับที่ผมต้องการ ^^ ความจริงก็ไม่ได้อยากง๊องแง๊งอะไรหรอกครับ เรียกร้องความสนใจอ่ะ รู้จักป่ะ ฮ่าๆ


                “ก็คนมันคิดถึง ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”


                “สองวัน หลายวันตรงไหนวะ”


                “พูดไม่เพราะนะซิน ไม่น่ารัก”


                “ไม่ได้ขอให้รักเลยครับ”


                “แต่ใจมันรักไปแล้ว เลิกไม่ได้จริงๆนี่คะ” ผมแสร้งทำเป็นกระพริบตาปริบๆใส่เขา ด้วยท่าทางของสาวน้อย ซินหัวเราะออกมาทันที ก่อนจะส่ายหน้า


                “กระแดะ”


                “โห แรงว่ะ”


                “สมน้ำหน้า”


                “ซิน เตรียมตัวได้แล้ว” เสียงคุณโอ๊ตตะโกนมาบอก ทำให้ฟองอากาศสีชมพูที่ล้อมเราอยู่แตกดังโพล๊ะเลย ขัดตลอดอ่ะคนนี้ ขอให้ได้ขัดเถอะ นิดหน่อยก็ยังดี


                ซินจึงลุกขึ้นและเดินไปทางคุณโอ๊ต ผมก็เดินตามเขาไปด้วย ซินไปยืนอยู่ข้างเวทีขนาบข้างด้วยผมกับคุณโอ๊ต แฟนคลับบางส่วนที่อยู่ด้านหน้าเวทีหันมาเห็นก็กรี๊ดกันสนั่น แค่เห็นหน้าก็สติหลุดกันแล้วครับ ได้ยินเสียงเรียกพี่ซินๆมาเป็นระยะๆ แต่เอ๊ะ ผมหูแว่วไปหรือเปล่าที่ได้ยินใครเรียก พี่นัทๆ ผมหันไปมองซินทันที ซึ่งเขาก็หันมามองเหมือนกัน


                “ได้ยินป้ะ” ผมกระซิบถามเขาเบาๆไม่ให้คุณโอ๊ตได้ยิน


                “ได้ยิน กระแสโฟโต้บุ๊คแหละ ไม่มีไรหรอก” ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันกลับมา ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ เมื่อกี้ตอนหันไปคุยกับซิน แลดูกล้องมันจะหันมาทางนี้เยอะเป็นพิเศษ...     
     

                เสียงเรียกซินจากพิธีกรบนเวที ทำให้ซินก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยรอยยิ้ม เรียกเสียงกรี๊ดได้ถล่มทลายครับ ซินก็กล่าวทักทายแฟนคลับชวนคุยไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ ก่อนจะเริ่มร้องเพลง ผมก็ยืนมองเขาจากตรงนี้เหมือนเช่นทุกครั้ง มองดูนักร้องของผมร้องเพลงอย่างมีความสุข ถึงแม้จะแอบร้องเนื้อเพลงผิดตอนร้องเพลงคนอื่นก็เถอะ น่ารักดีครับ ร้องเพลงคนนู้นบ้างคนนี้บ้าง และเพลงสุดท้ายก็กลับมาร้องเพลงตัวเอง แฟนคลับก็ร้องตามกันได้ทุกเพลงจนจบไลฟ์นั่นแหละครับ


                แฟนคลับก็รั้งชวนคุยนู่นนี่ ยืนถ่ายรูปบ้าง รับของบ้าง ไม่ได้ลงจากเวทีสักที จนคุณโอ๊ตต้องให้ผมขึ้นเรียก ผมจึงต้องขึ้นไปบนเวทีและสะกิดเขาเบาๆ ซินจึงหันกลับมา เท่านั้นแหละครับ


                เสียงกรี๊ดดังไปสามบ้านเจ็ดบ้าน เสียงตะโกนพี่นัทๆจากทุกสารทิศเลยครับ ขาตายเลยผม ขยับตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ทำได้แค่แจกรอยยิ้มโฆษณายาสีฟันไป


                “พี่นัทพี่ซิน ยืนใกล้ๆกันหน่อยสิคะ”


                “น่ารักอ่ะ”


                “ขอถ่ายรูปคู่หน่อย”


                “พี่นัทยิ้มหน่อยค่ะ”


                แล้วก็ตามมาด้วยเสียงเรียกร้องอีกมากมาย เอ่อ ขอโทษครับน้อง พี่เป็นบอดี้การ์ดครับ ไม่ใช่นายแบบ ทำตัวไม่ถูกครับ


                ผมเลยหันไปหาซินอย่างของตัวช่วย แต่เจ้าตัวก็แค่ยิ้มตอบกลับมาแบบสะใจเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเลยครับ ไอ้ตัวดีรู้ล่ะสิว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วผมจะไปไม่เป็น เรื่องนี้ต้องยอมเขาครับ เพราะเขายืนอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ผมมันไม่ใช่! ไม่เคยโดนแสงแฟลชมากขนาดนี้สาดใส่มาก่อนเลย นอกจากตอนรับปริญญา อันนี้ก็ถ่ายกันจนเบื่อแหละครับ


                เฮ้ย กลับมาก่อน อย่าเพิ่งนอกเรื่อง ผมรีบดึงแขนซินเบาๆทันที เพื่อเร่งให้เขาลงจากเวทีได้แล้ว ก่อนที่ผมจะกลายเป็นหินไป ซึ่งซินก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี บันไดขึ้นลงเวทีค่อนข้างเล็กแล้วก็มืด เลยลงลำบากนิดหน่อย ผมจึงต้องลงไปก่อน และรอรับซินจากด้านล่าง


                แต่เจ้าตัวดันสะดุดสายไฟตรงนั้นซะก่อน และทำท่าจะตกลงมา ผมเลยรีบเข้าไปรับเขาเอาไว้ได้แบบทันท่วงที คุณโอ๊ตนี่ร้องเสียงหลงไปแล้วครับ แต่ไม่ต้องห่วง นัทซะอย่าง ซินจึงปลอดภัยอยู่อ้อมอกผมนี่แหละครับ ฉากแบบนี้คุ้นๆมั้ย พบได้ตามละครไทยช่องทั่วๆไปครับ ฮ่าๆ


                “เจ็บรึเปล่า” ผมถามเขาเบาๆ ซินส่ายหัวช้าๆก่อนจะดันตัวออก คุณโอ๊ตรีบเดินเข้ามาทันที


                “เป็นอะไรเปล่าซิน เจ็บตรงไหนมั้ย เกือบไปแล้วๆๆ”


                “ไม่เจ็บๆ ไม่เป็นไรพี่โอ๊ต” ซินพูดพลางส่ายหัวไปมา


                แต่บรรดาแฟนคลับนี่กรี๊ดกันเสียสติไปแล้วครับ ไม่รู้ว่าเพราะกลัวซินเจ็บ หรือเพราะช็อตเด็ดเมื่อกี้กันแน่ ลางสังหรณ์ผมเริ่มจะทำงานอีกแล้วครับ ผมกับซินจึงมองหน้ากันนิ่งๆก่อนที่ซินจะยิ้มออกมานิดๆเพื่อจะบอกว่าไม่เป็นไร


                เมื่อเห็นว่าซินไม่ได้เป็นอะไร คุณโอ๊ตจึงดันเราทั้งสองคนให้เดินกลับไปที่หลังเวที แฟนคลับหมดสิทธิ์ตามครับ เพราะคนภายนอกห้ามเข้า


                “เกือบหน้าทิ่มแล้วมั้ยซิน ไม่เจ็บตรงไหนแน่นะ” พอมาถึงที่หลังเวทีคุณโอ๊ตก็ถามอีกครั้ง ก่อนจะซินหมุนตัวไปมา


                “ไม่เป็นไร ซินไม่เป็นไร พอแล้วพี่โอ๊ต” ซินหยุดก่อนจะจับไหล่สองคุณโอ๊ตเอาไว้และบอกว่าไม่เป็นไร คุณโอ๊ตถึงได้ถอนหายใจออกมา


                “ทีหลังต้องระวัง ถ้าตกลงมาขาแข้งหักกันพอดี”


                “ครับๆ”


                “แต่กูว่างานเข้ากูแหงๆพรุ่งนี้...” คุณโอ๊ตบ่นพึมพำเบาๆก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋า ผมมองซินที่มองตามคุณโอ๊ตไปนิ่งๆ ผมพอจะเข้าใจ เพราะตอนนี้เริ่มมีกระแสเรื่องผมกับซินขึ้นมามั่งแล้ว เห็นได้ตามบล็อคหรือเพจทั้งหลายเรื่องรูป ผมเองก็เห็นผ่านๆตามาบ้าง พวกบรรดาสาวๆเรียกผมกับซินว่า คู่จิ้น ผมได้ไปถามปรมาจารย์เกิ้ลที่ตอบได้ทุกอย่างมาแล้วว่ามันคืออะไร พอได้คำตอบมาก็ถึงบางอ้อทันที


                ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่ากระแสไม่น่าจะแรง แต่ตอนนี้เริ่มคิดหนักแล้วครับ จะว่าไปคนคิดได้นี่ก็เก่งนะ เพราะผมกับซินก็ไม่ได้แสดงอะไรออกหน้าออกตาไปทางทำนองนั้นเลยนะ เอ๊ะ หรือว่าแสดงไปตอนไม่รู้ตัววะ บ้าน่า... ไม่มีทางอยู่แล้ว


                นี่ผมกำลังจะทำให้ซินเดือดร้อนหรือเปล่าเนี่ย...


                “ซินกลับยังไง” คุณโอ๊ตตะโกนข้ามห้องมาถามซิน


                “ป๊ามารับ นี่ก็น่าจะมาแล้วมั้ง...” ซินก้มลงมองมือถือตัวเองที่ป๊าโทรมาพอดี ก่อนจะกดรับสาย


                “นัทกลับไง กลับด้วยกันมั้ยรถบริษัท” คุณโอ๊ตหันมาถามผมบ้าง ผมเลยต้องละสายตาจากซินหันไปมอง


                “เดี๋ยวผมกลับเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา”


                “โอเค งั้นพี่กลับนะ นัทไปส่งซินที่รถด้วยล่ะ”


                “ครับ”


                คุณโอ๊ตหันมาโบกมือให้ซิน ซึ่งเจ้าตัวก็โบกตอบกลับไป


                “ฮะ ป๊ารอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวซินออกไป ...ครับ” ผมมองซินที่คุยกับป๊าก่อนที่จะวางสายไป


                “ป๊ามายัง”


                “มาแล้ว อยู่ข้างหน้า นัทกลับไง”


                “บีทีเอสมั้ง”


                “อ้าว ไม่ได้ขับรถมาเหรอ”


                “เปล่า มารถบริษัท”


                “ให้ป๊าไปส่งมั้ย” ตากลมโตหันมาสบผมยิ้มๆ อย่าๆ อย่ามาทำน่ารักเรี่ยราดซิน เดี๋ยวอดใจไม่ไหวกระโดดจูบมันตรงนี้แล้วจะแก้ข่าวไม่ทัน


                “แหม ไม่ต้องหรอก เกรงใจ”


                “กลัวอ่ะดิ”


                “ใครที่ไหนกลัว ไม่มี๊ จะกลัวทำไม ก็แค่ป๊าซิน”


                “ปากดี”


                ผมหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพาเขาเดินออกมาด้านนอก แฟนคลับยังเหลืออยู่สามสี่คนครับ เลยวิ่งกรูกันเข้ามาถ่ายรูป แต่ผมกันเอาไว้ก่อน และค่อยๆพาซินเดินไป เสียงชัตเตอร์นี่ระรัวเลย ซินก็ยิ้ม โบกมือบั้ยบายไปตามเรื่อง จนมาถึงที่รถนั่นแหละครับ


                ป๊าซินเปิดกระจกลงชะโงกมามองผมนิดๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้บรรดาแฟนคลับ ผมเปิดประตูให้ซิน คนตัวบางก็เดินเข้าไป แต่ตอนที่เขาเดินผ่านหน้าผมไปนั้นผมก็แอบกระซิบเร็วๆให้เขาได้ยิน


                “เดี๋ยวโทรหานะ”


                ซินหันมายิ้มให้แฟนคลับอีกครั้ง ก่อนจะหันมามองหน้าผมนิดๆเป็นอันว่าเข้าใจ พอผมปิดประตูรถ ป๊าซินก็ออกรถไปเลย ผมมองตามรถจนหายลับไปก่อนจะหันกลับมาเจอสายตาสี่คู่เข้าให้เต็มๆ สะดุ้งเลยครับ นึกว่าไปแล้วซะอีก


                “พี่นัท...”


                รู้จักผมด้วยครับ...


                “ครับ?” ผมเองก็รับคำไปอย่างงงๆ งานเข้าแล้วครับ อยู่คนเดียวซะด้วยสิ


                “พี่นัทเป็นบอดี้การ์ดของพี่ซินเหรอคะ” หนึ่งในนั้นถามผม


                “ใช่ครับ”


                “เป็นนานหรือยังคะ ทำไมเราไม่เคยเห็นเลย ><”


                “ก็เพิ่งจะเป็นไม่นานหรอกครับ”


                “พี่นัทกับพี่ซินเป็นแฟนกันหรือเปล่าคะ!!”


                ....... ตรงกว่านี้มีอีกมั้ยครับน้อง อ้อมสักนิดดีมั้ย น้องเล่นแบบนี้พี่ตั้งตัวไม่ทัน


                “เอ่อ ไม่ใช่ครับ เป็นแค่บอดี้การ์ดเฉยๆครับ”


                “จริงเหรอ ว้า... เสียดายจัง น่าจะเป็นแฟนกันจริงๆอ่ะ” น้องควรจะทำท่าทางเสียดายแบบนั้นเหรอครับ น้องเป็นผู้หญิงนะ! ทำไมสนับสนุนให้ผู้ชายได้กัน โลกนี้นี่ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวันแล้ว…!


                “แล้วพี่นัทมีแฟนหรือยังคะ”


                “ยังครับ”


                “จริงเหรอ! งั้นแปลว่ายังมีโอกาส!” โอกาสอะไรครับ โอกาสที่พี่จะชอบน้อง โอกาสที่น้องจะมาเป็นแฟนพี่ หรือโอกาสอะไร


                “แสดงว่ากับพี่ซิน อาจจะเป็นไปได้ ใช่มั้ยคะ!”


                ฮะ? ยังคงสนับสนุนให้ชายไทยได้กันเองอยู่ครับ ผมนี่ไม่เข้าใจหัวอกผู้หญิงพวกนี้เลยจริงๆ เธอควรจะเสียใจสิที่ชายไทยหันมาได้กัน ผมมองพวกเธอที่ทำท่าทางดี๊ด๊าก่อนจะบั้ยบายผมและพากันกระโดดโลดเต้นออกไป


                เกิดอะไรขึ้นกับหญิงไทยสมัยนี้ครับ ผมล่ะงง...


                ผมส่ายหัวช้าๆก่อนจะเดินทางกลับบ้านตัวเอง


                ตอนนี้ผมกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงครับ เหนื่อยและง่วงมาก รู้งี้ขับรถไปเองดีกว่า ตาจะปิดแล้วนะเนี่ย แต่ทำไมยังไม่นอนน่ะหรือ ก็เพราะว่าไอ้ตัวดีไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมน่ะสิ ยังไม่นอนหรอกผมรู้ แต่มัวทำอะไรอยู่นี่สิ! มันน่าจูบให้ปากแตกกันไปข้างจริงๆ


                ผมฟังเสียงรอสายจนเริ่มเคลิ้มจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ปลายสายก็รับพอดี


                (ว่าไง) ซินรับสายเสียงใสเลยครับ เห็นใจคนง่วงจะตายแล้วบ้างมั้ยเนี่ย


                “ทำไรอยู่ ทำไมไม่รับโทรศัพท์” ผมก็กรอกเสียงที่งัวเงียเต็มที่ลงไป ให้มันรู้กันไปเลยว่าง่วงเต็มที่แล้วครับ


                (คุยกับม้าอยู่)


                “ม้ายังไม่นอนอีกเหรอ”


                (ถ้าม้านอนแล้ว เมื่อกี้เราคุยกับใครล่ะ)


                “อ้าวซิน ผีหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะ”


                (ไอ้นัท ถ้าไม่มีธุระก็แค่นี้นะ) เสียงใสดุขึ้นมาทันควัน โห ไม่ได้รู้สึกผิดเลยใช่มั้ยเนี่ยที่ปล่อยให้รอเนี่ย


                “ซิน ผู้ใหญ่จะว่าเรื่องข่าวนายกับฉันมั้ย” เลิกเล่นและอ้อมค้อมได้แล้วครับ ก่อนที่จะง่วงมากและพูดไม่รู้เรื่อง ผมรีบเข้าประเด็นที่ตั้งใจจะคุยกับเขาในทันที


                (ไม่รู้สิ ถ้ากระแสมันเริ่มเยอะขึ้น อาจจะโดนเรียกไปคุย)


                “เท่าที่เห็นวันนี้ก็พอสมควรแล้วนะ”


                (อย่าเพิ่งคิดมากเลย เรารับมือได้น่า ไม่ต้องห่วงหรอก นี่ใคร นี่ซินนะ) ผมยิ้มน้อยๆให้กับประโยคนี้ เก่งจริงๆ ถ้าอยู่ใกล้ๆจะจับจูบซะให้เข็ดเลย หมั่นเขี้ยว


                “ครับๆ เก่งเหลือเกิน แต่สัญญาก่อนได้มั้ย ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่าตัดสินใจแทนกัน ถามฉันก่อน คุยกันก่อนได้มั้ย”

                (รู้แล้วน่า)


                “สัญญาสิ”


                (อือๆ)


                “โอเค ตอนนี้นัทไม่ไหวแล้ว ง่วงมากเลย กล่อมนอนหน่อยสิ”


                (มากไปๆ)


                “งั้นพูดหวานๆส่งเข้านอนหน่อยสิครับ”


                ซินเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ...


                (หวาน)


                “....” ...แป้กมั้ยครับ พี่ซินเขาเล่นมุกแหนะ ช่วยกันขำหน่อยเร็ว หึหึ


                (แค่นี้นะ) เสียงน้อยใจมาเต็มๆครับ ที่ผมไม่ยอมต่อมุกเขา ฮ่าๆๆ เล่นเองโกรธเองแบบนี้น่ารักไปมั้ยเนี่ย จะทำให้ตกหลุมรักกันไปถึงไหนนน


                “โอ๋ๆๆ ไม่เอาหวานแบบนี้สิซิน ไม่เล่นมุกแล้วนะ ง่วงมากๆ”


                (ง่วงก็นอน)


                “งั้นฝันดีนะซิน ราตรีสวัสดิ์ครับ”


                (อื้ม ราตรีสวัสดิ์เหมือนกัน)


                “นัทรักซินนะ”


                (รู้แล้ว)


                “ซินรักนัทมั้ยครับ”


                (ไปนอนไปนัท พูดเหมือนคนเมาเข้าไปทุกที)


                “ก็ง่วงอ่ะ”


                (ง่วงก็นอน เราก็จะนอนแล้ว แค่นี้นะ)


                “ครับ ฝันดีอีกรอบนะซิน”


                (ฝันดี)


                พูดจบซินก็วางสายไป ผมยิ้มให้โทรศัพท์นิดๆ ก่อนจะกดปิดเสียงปิดสั่นแล้วโยนมันไปไกลๆ จะไปเฝ้าพระอินทร์แล้วครับ ตอนนี้อะไรก็ฉุดหนังตาเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ คืนนี้ยังไงก็ขอให้ฝันถึงซินนะ จะได้ฝันดีอย่างที่เจ้าตัวเขาอวยพร ^^
           

                “นัท นัทลูก ตื่นรึยัง”


                ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแม่ที่มาปลุกแต่เช้า เหลือบตาไปมองนาฬิกา เพิ่งจะแปดโมงเองนะ วันนี้ผมไม่มีงานด้วยนี่นา หรือว่ามีเรื่องอะไร


                “นัท”


                “ครับแม่”


                “รับโทรศัพท์หน่อยลูก คุณโอ๊ตเขาโทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วน”


                คุณโอ๊ตโทรมา มีอะไรแต่เช้า หรือว่ามีงานด่วน ผมหันไปหยิบโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้เมื่อคืนขึ้นมาดู มิสคอลสิบสายจากคุณโอ๊ต สองสายจากซิน ท่าจะไม่ดีซะแล้วครับ ผมรีบลุกขึ้นวิ่งไปรับโทรศัพท์บ้านทันที


                “มีเรื่องอะไรกันลูก”


                “ไม่รู้เหมือนกันครับแม่” ผมตอบแม่เร็วๆขณะที่วิ่งลงมาข้างล่าง โดยมีแม่ตามมาห่างๆ


                “ครับ” ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากรอกเสียงลงไปทันที


                (นัท เข้าบริษัทด่วนเลย งานเข้าว่ะ ผู้ใหญ่เรียกคุย) เสียงคุณโอ๊ตตอบกลับมาแบบเป็นกังวล


                “เรียกผมด้วยเหรอ”


                (ใช่ เรียกนายด้วย เรื่องกระแสในเน็ตของนายกับซิน ยังไงก็เตรียมคำตอบดีๆเอาไว้หน่อย ไปรับซินด้วยนะ ฉันโทรบอกเขาแล้ว)


                “เรื่องใหญ่มากมั้ยครับ ซินจะเดือดร้อนมั้ย” ชักใจไม่ดีซะแล้วสิ ไม่อยากให้ซินต้องมาเดือดร้อนด้วยเลย


                (ไม่รู้ว่ะ ยังไม่รู้เลยว่าจะออกหัวออกก้อย ยังไงทำใจเย็นๆมาก่อน ตอบเฉพาะที่เขาถามเท่านั้น นอกนั้นก็นิ่งฟังอย่างเดียวพอ เดี๋ยวฉันกับซินจัดการเอง รีบมาๆ)


                “ครับ”


                ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัวแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลงมาอีกทีก็เจอพ่อกับแม่รออยู่ที่ด้านล่างแล้ว


                “มีเรื่องอะไรกัน” พ่อเป็นคนถามขึ้นมาก่อนครับ


                “มีปัญหาเรื่องงานนิดหน่อย ไม่มีไรหรอกครับ”

                “เรื่องโฟโต้บุ๊คนั่นอีกหรือเปล่า”


                “ไม่ใช่ เรื่องนั้นจบไปแล้ว ไม่มีไรหรอก ผมรีบ ไปก่อนนะครับ” ผมยกมือไหว้พ่อกับแม่คนละที ก่อนจะรีบวิ่งออกมา อยากจะเอาไอ้ลูกชายไปเหมือนกันจะได้เร็วๆ แต่ติดที่ต้องไปรับซินด้วยนี่สิ เอารถยนต์ไปดีกว่า ผมที่กำลังตรงไปที่โรงรถได้เสียงฝีเท้าหนักๆของคนวิ่งตรงมา ไม่ต้องเดาหรอกครับว่าใคร


                “พี่นัท!”


                “อะไรอีก วันนี้ฉันรีบ ไม่มีเวลามาเล่นด้วยนะ” ผมหันไปหาไอ้กัสที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามา


                “ข่าวนี่อะไรอ่ะ!!!” ไอ้ตัวดียื่นโทรศัพท์มันให้ผมดู ผมเลยหยิบมาดูแบบรีบๆ แต่พอเห็นแบบเต็มๆแล้วก็ต้องส่งคืนมันไป ข่าวผมกับซินนั่นแหละ คราวนี้มีรูปตอนที่ผมรับซินตอนกำลังตกเวทีเมื่อวาน แต่ดูรูปอย่างเดียวแล้วเหมือนกำลังกอดกันอยู่เลย มุมกล้องชัดๆเลยครับ


                “ไม่มีไรหรอก ก็แค่ข่าว” ผมรีบตอบปัดไปก่อนจะก้าวขึ้นรถ แต่ไอ้กัสดันมายืนขวางประตูเอาไว้ก่อน รถเลยปิดประตูไม่ได้


                “แล้วรูปอ่ะ นี่มันกอดกันเลยนะ” ไอ้ตัวแสบก็ยังคงตะแง๊วตะแง๊วใส่ผมไม่เลิก ชักหงุดหงิดแล้วนะครับ


                “ฉันรับเขาตอนตกจากเวที ไม่มีอะไรมากกว่านั้น โอเค้ ทีนี้หลบ ฉันรีบ”


                “ทำไมพี่นัทได้ก่อนพี่ซิน แต่กัสไม่ได้กอดวะ พี่นัทไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้พี่ซินแบบกัสซะหน่อยอ่ะ กัสชอบพี่ซินมาตั้งนานแล้วนะเว้ย ปลายนิ้วยังไม่เคยแตะเลย” ไอ้เด็กนี่เริ่มงี่เง่าและ เป็นอะไรของมันวะเนี่ย


                “เออๆ เอาไว้ค่อยคุย กูรีบโว้ยยย ถอยๆๆ” ผมดันมันออกไปให้พ้นทางก่อนจะรีบปิดประตูดังปัง! มันยืนมองค้อนผมใหญ่เลย แอบสะใจเล็กๆ


                ในระหว่างที่เหยียบคันเร่งจนมิดก็คว้าโทรศัพท์มาโทรหาซินไปด้วย รอสายแป๊บเดียวอีกฝ่ายก็รับ


                “กำลังไปรับนะ”


                (อืม รออยู่ เมื่อเช้าโทรหาไม่รับนะ)


                “ยังไม่ตื่น ขอโทษๆ”


                (อืม ขับรถอยู่ใช่มั้ยเนี่ย)


                “ใช่”


                (แล้วโทรศัพท์ทำบ้าอะไร เดี๋ยวตบหัวทิ่ม) เสียงหวานตวาดกันในทันที ฮ่าๆ เป็นห่วงอ่ะดี้ แต่โหดขึ้นทุกวันแล้วนะ


                “ก็จะโทรมาบอกไงว่ากำลังไปรับ”


                (เออ รู้แล้ว วางไปเลย เดี๋ยวมาไม่ถึง)


                “ครับๆ” ผมวางสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปที่เบาะข้างคนขับ ร้อนใจครับ อยากไปถึงเร็วๆ อยากเห็นหน้าซินไวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร และไม่นานผมก็มาถึง ยังไม่ทันจะลงไปเรียก ซินก็เดินออกมาพอดีกับคุณป๊าสุดที่รัก ผมนี่รีบลงจากรถแทบไม่ทัน


                “สวัสดีครับ” ลงมาเพื่อกล่าวทักทายคุณพ่อตาโดยเฉพาะเลยนะ ก้มลงกราบได้นี่ก้มไปแล้วนะเนี่ย เกรงใจ...


                “สร้างปัญหาอะไรไว้อีกล่ะ”


                .... เป็นคำทักทายที่จริงใจอย่างตรงไปตรงมามากครับ ._.


                “ป๊า ซินไปนะครับ ขากลับเดี๋ยวให้นัทมาส่ง” ซินหันไปไหว้ป๊าเขาใกล้ๆ ก่อนจะรีบเดินมาขึ้นรถ ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแหะๆ แหละครับ


                “ระวังตัวไว้หน่อยนะ” ป๊าพูดแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าบ้านไป เป็นคำเตือนหรือคำขู่ครับป๊า ไอ้นัทไม่กลัวหรอกครับ อยากจะบอก (จริง?)


                ทันทีที่ขึ้นรถ ผมก็คว้ามือซินมาจับไว้ทันที เขาเลยหันมามองผมงงๆ


                “อยากจับเฉยๆ”


                “ขับรถเหอะ เดี๋ยวค่อยจับ เวลามีเยอะ”


                “ถึงตอนนั้นขอจับอย่างอื่นแทนนะ”


                “ใช่เวลามั้ยเนี่ย ไปเหอะ ผู้ใหญ่รออยู่”


                “วันนี้จะเป็นไรมั้ยซิน” ผมถามขึ้นเบาๆ ขณะที่ปล่อยมือเขาและขับรถออกมา


                บอกตรงๆเลยว่าผมกลัว ถ้าเกิดคนพวกนั้นบอกให้ปลดผมออกล่ะ เขาเป็นเจ้านายซินกับคุณโอ๊ต ซินกับคุณโอ๊ตก็ต้องทำตามใช่มั้ย แต่ผมไม่มีทางยอมแน่ๆ ผมมั่นใจว่าผมวางตัวถูกแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นอุบัติเหตุทั้งนั้น โตๆกันแล้วก็น่าจะเข้าใจ หวังว่าผลที่ออกมาจะไม่ใช่ในทางลบนะ


                “มันต้องไม่เป็นไร”


                ผมหันไปหาซินที่ส่งยิ้มนิดๆมาให้ ผมจึงยิ้มกว้างตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือไปบีบจมูกเขาส่ายไปมา


                “น่ารักเกินไปแล้ว”


                “ปล่อยเลย เจ็บ” ซินยกมือขึ้นมาหยิกมือผมเบาๆ ผมถึงได้ปล่อยเขา และเลื่อนขึ้นไปลูบหัวเขาแทน


                “ไม่ว่ายังไงฉันจะไม่ไปไหนแน่ๆ จะอยู่ข้างนายอยู่ตรงนี้นี่แหละ แค่ฉันเท่านั้นที่ดูแลนายได้ดีที่สุด ไม่ยอมยกหน้าที่นี้ให้ใครหรอก”


                “หึ ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน ปล่อยเลย ลามปามเกินไปแล้ว” ซินพูดเบาๆก่อนจะโยกหัวหลบมือผม


                ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะชักมือกลับมา พอดีกับที่รถติดไปแดง ผมมองไปที่รถคันข้างๆ เป็นคุณลุงมีอายุคนหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งก็เป็นฝรั่ง ไฟแดงนี่ก็นานเหลือเกินครับ ไม่เหมือนตอนไฟเขียวเลยนะ เผลอกระพริบตาทีเดียวนี่ก็เหลืองแล้ว


                หันมามองคนข้างตัวก็เห็นว่าเขากำลังกดโทรศัพท์ผมเล่นอยู่ ฮั่นแน่ แอบเช็คโทรศัพท์ผมนี่หว่า หึหึ


                “ดูอะไรครับ”


                “เปล่า”


                “ไม่มีเบอร์สาวหรอกน่า”


                “ก็ไม่ได้ดูซะหน่อย”


                “ถึงมีก็ไม่เมมชื่อให้จับได้หรอก”


                สายตาเขียวปั้ดถูกส่งมาให้ทันที ฮ่าๆ ไหนบอกไม่ได้ดูไงจ๊ะ แหม น่ารักขนาดนี้จะต้องไปหาใครอีกล่ะครับ ไปไหนไม่รอดหรอกไอ้นัทเนี่ย


                “ซิน เป็นสิวเหรอ” ผมถามเขาพร้อมกับยื่นหน้าไปใกล้ๆ เจ้าตัวรีบหันหน้ามาหาผมทันที


                “ตรงไหน มีเหรอ เมื่อเช้าส่องกระจกไม่เห็นมี”


                “ไหนขอดูใกล้ๆหน่อย” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆอีก ซินหรี่ตามองผมทันที ก่อนจะยกมือขึ้นและ ...ตบหัวผมหนึ่งทีแบบเน้นๆ ขอย้ำว่าเน้นๆ


                “เจ็บนะซิน!”


                “มุกเดิมๆใช้ไม่ได้ผลหรอกว่ะ ขอโทษที” ซินยิ้มแสยะมองผมก่อนจะหันไปกดโทศัพท์ผมต่อ


                รู้ทันได้ไงวะ! ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆพร้อมกับออกรถเมื่อไฟเขียว โธ่... นึกว่าจะได้กำลังใจก่อนไปถึงสนามรบซะหน่อย เซ็งเลยอ่ะ เฮ้อ


                ขอให้วันนี้ผ่านไปด้วยดีที่เถ๊อะ สาธุ!     


TBC.
....
เอาคู่จิ้นมาเสิร์ฟแล้วค่าาาา
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน้าาาา
ชอบเสียงกรี๊ดในเม้นจัง ฮ่าๆ
ขอบคุณที่ติดตามผลงานและชอบนะคะ ดีใจมากกกกเลย ^^
เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-09-2013 22:22:32
 :katai5:

จะผ่านไหม น๊า !!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 10-09-2013 22:59:26
 :ruready
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 11-09-2013 05:43:08
เป็นกำลังใจให้นัทกับซินนะตอนนี้ยังน่ารักและแอบหวานกันด้วย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 11-09-2013 17:17:11
ลุ้นตล๊อดดดดดดดด  ผู้ใหญ่จะว่ายังไงบ้างเนี่ย

ขอให้ผ่านไปได้นะคะ

พี่บอดี้การ์ดนี้ ได้ทีหยอดตลอดดดดดดดดดด :hao3:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 11-09-2013 18:44:28
พ่อขู่ตลอดเวลา555 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน12 คู่จิ้น [10/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 11-09-2013 20:41:55
ลุ้นทุกตอน ซินกับนัทจะเจออะไรอีก

พ่อตาก็โหดเนอะ

รอตอนต่อไป เจ้าคะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 12-09-2013 23:47:00
13

((โกรธ))


 
                ทันทีที่มาถึงบริษัท เราก็รีบตรงไปหาคุณโอ๊ตทันที คุณโอ๊ตกำลังคุยเรื่องงานกับศิลปินคนอื่นอยู่ เราจึงต้องนั่งรอกันอยู่ที่นอกห้องพักหนึ่ง ก่อนที่ศิลปินคนนั้นจะออกมา ซินก็พูดทักทายเขาไปนิดหน่อย พอเขาไปเราก็เข้าไปในห้อง แล้วเราสามคนก็ไปพบผู้ใหญ่ที่นัดไว้พร้อมกัน แต่ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป คุณโอ๊ตก็หันมากำชับกับผมอีกรอบ


                “พยายามทำใจเย็นๆ ไม่ว่าพวกผู้ใหญ่จะพูดอะไร โกรธแค่ไหนก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน พยายามอย่าใช้อารมณ์เพราะมันจะไปกันใหญ่ โอเคนะ”


                “ครับ”


                “โอเค” คุณโอ๊ตหันไปเคาะประตูห้องสองสามครั้ง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป


                ภายในห้องมีโต๊ะยาวคล้ายโต๊ะประชุมอยู่ตรงกลาง มีคนนั่งอยู่แล้วสามคน สองคนค่อนข้างมีอายุนิดหน่อย ส่วนอีกคนน่าจะอายุมากกว่าพวกเราไม่มาก


                “สวัสดีครับ” ซินกับคุณโอ๊ตกล่าวทักทายโดยที่ผมก็สวัสดีตามไปด้วยก่อนจะนั่งลง ทั้งสามคนก็ทักตอบกลับมาอย่างคุ้นเคย ก่อนจะหันมามองทางผม


                เราสามคนนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาครับ เริ่มที่ผม ซิน แล้วก็คุณโอ๊ต


                “คนนี้สินะ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น ผมรีบหันไปมองหน้าคุณโอ๊ตทันที


                “ครับคนนี้แหละครับ บอดี้การ์ดของซิน” คุณโอ๊ตตอบ


                “เห็นข่าวแล้วใช่มั้ย” ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถามผม


                “เห็นแล้วครับ” ผมจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง แค่คิดว่าผมไม่ได้ผิดอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว


                “คิดว่ายังไงบ้าง”


                “ก็ไม่ได้คิดว่ายังไงครับ” ผมตอบกลับไปเสียงนิ่งๆ ซินรีบหันมามองผมในทันที ก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องคิด เพราะมันไม่มีอะไร


                “ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจบ้างเหรอกับสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะ”


                “ไม่ครับ เพราะมันคืองานที่ผมต้องทำอยู่แล้ว ส่วนเรื่องโฟโต้บุ๊คนั่นก็น่าจะเคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว”


                “เรื่องโฟโต้บุ๊คนั่นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร กระแสที่ตามมาต่างหากที่เป็นปัญหา”


                “เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ตอนนี้มีกระแสอะไรออกมาก็น่าจะรู้ๆกันอยู่แล้ว ซึ่งทางเราเนี่ยไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของซินเสียหาย แล้วอีกอย่างหน้าที่คุณก็คือบอดี้การ์ด ไม่ควรจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ซินเองอยู่ตรงนี้มานานก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอ” ผู้ใหญ่อีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ มือผมที่อยู่บนหน้าตักกำเข้าหากันในทันที


                “เข้าใจครับ เพียงต่ว่า...” ซินที่กำลังตอบต้องหยุดลงเพราะผู้ใหญ่คนนั้นพูดแทรกขึ้นมา


                “การกระทำตัว หรือการวางตัวควรทำยังไง ซินก็น่าจะรู้ เพราะที่ผ่านก็ทำได้ดีมาตลอด แต่แล้วอยู่ๆทำไม...”


                “ไม่เกี่ยวกับซินหรอกครับ เรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของซินเลย มันก็เป็นแค่กระแสที่แฟนคลับเขาคิดกันขึ้นมาเอง ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย!” ไม่ไหวนะครับ ถ้าจะพูดกันไม่รู้เรื่อง อยู่ๆมาว่าซินทำไม เจ้าตัวอยู่เฉยๆแท้ๆ ซินกับผมกอดกันกลางเวทีเหรอ บอกรักกันออกสื่อหรือไงกัน!


                “นัท...” ซินหันมาเรียกชื่อผมเบาๆ ก่อนจะบีบแขนผมที่อยู่ใต้โต๊ะเพื่อให้ใจเย็นๆ


                “เอ่อ คือยังนี้ครับ” คุณโอ๊ตพยายามจะช่วยไกล่เกลี่ยให้อีกคน แต่ก็ต้องหยุดไป เพราะคนพวกนั้นไม่เปิดโอกาสให้พูดต่อ ยังคงพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร


                “ในฐานะที่คุณเป็นคนทำให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น และตัวศิลปินเองก็เดือดร้อน เราคงปล่อยให้คุณทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้อีก เพราะถ้าขืนปล่อยไปมากกว่านี้ กระแสนี้ก็จะแพร่หลายไปมากยิ่งขึ้น และคงเกินสามารถเราที่จะลบกระแสนี้ทิ้งไป” เขายื่นรูปที่คาดว่าคงก็อบมาจากในเน็ต และปริ้นออกมาให้พวกผมดู รูปซินที่ตกจากเวทีมาอยู่ในอ้อมกอดผมนั่นเอง


                “ผมไม่สน เรื่องนี้มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ผมไม่ได้ทำอะไร ซินเองก็ไม่ได้ทำอะไร ที่ผมทำไปทั้งหมดก็คือหน้าที่ เพื่อความปลอดภัยของซิน แล้วถ้าจะเอารูปบ้าๆนี่มาอ้าง ผมก็บอกได้เลยว่ามันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นมุมกล้อง พวกคุณซะอีกที่ทำงานตรงนี้มานานแต่กลับไม่เข้าใจ” ผมผุดลุกขึ้นยืนและพูดเสียงดังในทันที


                ซินรีบคว้ามือผมเอาไว้ และดึงลงให้ผมนั่ง แต่ผมฝืนไว้ ทำไม ผมเองก็มีเหตุผลของผมเหมือนกัน จะห่วงแต่ชื่อเสียงของค่ายตัวเอง โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของศิลปิน นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดได้งั้นสิ ศิลปินอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีค่ายก็จริง แต่ค่ายเองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่มีนักร้อง! นี่มันเรื่องบ้าบอแท้ๆเลย


                “พวกคุณจะบอกว่าพวกคุณไม่แคร์เหรอ ที่มีข่าวแบบนี้ออกมา ไม่รู้สึกแย่เลยเหรอที่มีคนหาว่าพวกคุณเป็นเกย์”


                “ผมไม่แคร์ สิ่งเดียวที่ผมแคร์คือความปลอดภัยของนักร้องของผม ไม่ว่าพวกคุณจะพูดว่าอะไร ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมมั่นใจว่าผมทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว”


                “เอ่อ... เอ่อ...” คุณโอ๊ตลุกขึ้นจากโต๊ะในทันที พลางหันมามองทางผมอย่างไม่รู้จะทำยังไง


                “ผมว่าให้นัทออกไปรอด้านนอกดีกว่า แล้วเดี๋ยวคุยกับเราสองคนแทน คือว่า...”


                “ไม่ต้องหรอก แค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจแล้ว” แต่ทางด้านนั้นกลับตอบกลับมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย


                “ต่อไปนี้เราจะระวังให้มากกว่านี้ครับ จะพยายามไม่เข้าใกล้กันมากเท่าที่ควร จะวางตัวให้ดีกว่านี้ เรื่องที่ผ่านมาเราต้องขอโทษด้วยครับ”


                ผมรีบหันไปมองซินที่ยกมือไหว้ก้มหัวให้พวกผู้ใหญ่ทันที ทำไมล่ะซิน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย! ความผิดเราเหรอ ทำไม...


                “พอๆ พอได้แล้ว” แต่คนที่นั่งมองพวกเราเงียบๆมาสักพักกลับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม


                รอยยิ้ม...?


                “ปฏิกิริยาตอบโต้ดีเหลือเกินนะคุณบอดี้การ์ด น่าประทับใจมากทีเดียว”


                ผมนิ่งไปทันที


                หืออ...? นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไร ผมไม่เข้าใจ ผมรีบหันไปมองซินอย่างงงๆ ซึ่งซินเองก็กำลังมองสามคนนั้นอย่างแปลกใจเช่นกัน


                “ที่เรียกมาคุยนี่ก็แค่อยากจะดูปฏิกิริยาของพวกคุณเฉยๆ ว่าจะเป็นยังไง โดยเฉพาะคุณ” คนพูดหันมามองทางผม


                อะไรวะ ผมงง ใครก็ได้อธิบายที คนพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่


                “ดูแลซินดีเหลือเกินนะ ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีอะไรหรอก แค่อยากเรียกมาคุยเฉยๆ ว่าเพลาๆลงหน่อย ให้มันมีข่าวพอกรุบกริบได้ สร้างกระแสน่ะมันก็ดี แฟนคลับก็ชอบด้วยนี่ ถือว่าเซอร์วิสแฟนๆไปละกัน”


                คุณโอ๊ตปล่อยแฟ้มที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะเสียงดัง ทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว คุณโอ๊ตที่ยกมือขึ้นทาบอกรีบหยิบแฟ้มขึ้นมาก่อนจะยิ้มกว้าง


                ซินเองก็เข่าอ่อน นั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงทันที เฮ้ย อธิบายที... ไอ้นัทตามไม่ทันครับ


                “นั่งก่อนเถอะคุณบอดี้การ์ด เอาเป็นว่าตอนนี้เราไม่ได้ทะเลาะกันแล้วนะ” ผมประมวลผมเรื่องทั้งหมดช้าๆ ก่อนจะตอบและค่อยๆนั่งลงที่เดิม


                “ค..ครับ”


                “โอเค การที่จะมาทำงานตรงนี้ พวกคุณต้องเจอกับความกดดันมากมาย ไม่ว่าคุณจะใช่หรือไม่ใช่อย่างที่ข่าวเขาว่า พวกคุณก็ต้องอดทน แล้วอีกอย่าง ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณดูแลนักร้องของผมได้ดีแค่ไหน คุณจะไม่กลัวข่าวแล้วหนีหายไปให้นักร้องของเราเดือดร้อนใช่หรือเปล่า แต่การที่คุณแสดงออกแบบนี้ มันก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้ว พวกเราก็ดีใจ ที่ได้คนแบบคุณมาดูแลความปลอดภัยของศิลปินให้เรา แถมยังช่วยสร้างกระแสให้ได้ด้วย แบบนี้มันก็โอเคอ่ะนะ แค่อย่าเยอะไปก็พอ คุณทำดีแล้ว ก็ทำดีแบบนี้ต่อไปละกัน”


                เข้าใจคำว่ายกภูเขาออกจากอกก็วันนี้แหละครับ ให้ตายเถอะ นี่ลองใจกันหรือไง นี่มันฆ่ากันตายทางอ้อมแท้ๆเลย ผมถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ


                “ขอบคุณครับ” ผมได้ยินตัวเองพูดตอบกลับไปแบบนั้น ตัวมันเบาหวิวๆ ทำอะไรลงไปก็ยังไม่ค่อยจะรู้ตัวครับตอนนี้


                “เอาล่ะ พวกคุณไปได้แล้ว ขอบคุณที่มาวันนี้”


                “ขอบคุณครับ” แล้วพวกเราก็พูดขอบคุณพร้อมกัน ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง


                ทันทีที่ปิดประตูลง คุณโอ๊ตก็ยกมือขึ้นกุมหัวตัวเอง


                “โอ๊ยยย เมื่อกี้ความเครียดทำให้อายุกูสั้นลงไปสิบปี!! นึกว่าหัวใจจะวายย” ก่อนที่แกจะหันมาทางผม


                “เอ็งน่ะ! ทำข้าจะตาย! ใครใช้ให้เถียงผู้ใหญ่แบบนั้นฟะ!! โอ๊ย เส้นเลือดในสมองแทบแตก”


                “ก็เขาพูดไม่ถูก ...สุดท้ายก็ออกมาดีไม่ใช่หรือไง” ผมเองก็ยกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเองเบาๆ หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย ไม่อยากจะเชื่อ


                “กลับๆ บ้านใครบ้านมันเลย!” แล้วคุณโอ๊ตแกก็เดินโวยวายออกไป โดยที่มีซินมองตามไปขำๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมามองผม ดวงตาเป็นประกายแปลเปลี่ยนไปเป็นโกรธเต็มที่ทันที


                ฉิบหาย สงสัยจะโล่งใจไวไปครับ...


 

                ซินคว้าแขนผมก่อนจะบีบแรงๆ แล้วลากไปที่ห้องประจำของเราในบริษัททันที ทันทีที่ถึงซินก็เปิดประตูเข้าไป ก่อนจะเหวี่ยงผมลงบนโซฟาตัวประจำของเขาเต็มแรง จุกเลยสิครับ


                “อะ..อะไรอ่ะซิน”


                “บอกแล้วไง! ว่าให้ใจเย็นๆ ถ้าเมื่อกี้นี้ทางผู้ใหญ่เขาไม่ได้ล้อเล่นขึ้นมาจะทำยังไง ไปเถียงเขาแบบนั้นน่ะโดนไล่ออกได้ง่ายๆเลยนะ ทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง! ควบคุมอารมณ์น่ะ ทำไม่เป็นหรือไง!” ผมมองซินที่ขึ้นเสียงว่าผมรวดเดียวจบโดยที่ไม่เว้นวรรคหายใจ ใบหน้าหวานแดงก่ำเลยครับ


                โมโหผมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...


                “ก็คนพวกนั้นกำลังว่านาย...”


                “ไม่ต้องมาแก้ตัว เราบอกแล้วว่าเราจัดการได้ เรื่องแบบนี้เราเจอมาตั้งเยอะตั้งแยะทำไมจะไม่รู้ว่าควรทำไง ทำไมพูดอะไรถึงไม่ฟังกัน!!”


                “คือว่า...”


                “ถ้าโดนไล่ออกไปจะทำยังไง! ถ้าต้องมีคนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนนายแล้วฉันจะต้องทำยังไง! คิดจะมาทำให้ฉันเป็นแบบนี้แล้วก็ทิ้งกันกัน หายไปเฉยๆแบบเดิมอีกแล้วหรือไง”


                “ซิน...” ผมเรียกชื่อซินช้าๆอย่างตกใจ เมื่อน้ำเสียงตวาดกลายเป็นเสียงสั่นเครือในตอนท้าย ก่อนที่น้ำใสๆจะหยดลงมาจากดวงตากลมโตเป็นทาง


                ผมชาวาบไปในทันที ซิน คิดมากเรื่องนี้ขนาดนั้นเลยเหรอ... ซินโกรธมากผมรู้ดี ดูได้จากสรรพนามเรียกแทนตัวเองที่เปลี่ยนไป แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้นเลยนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งกันไปไหนเลย ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆซินนะ...


                ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือบาง แต่เจ้าตัวก็สะบัดมันทิ้ง ก่อนจะหมุนตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง กำลังพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้คงที่ ผมจึงลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ๆเขา จับไหลบางให้หันมามองหน้ากัน ดวงตาสวยกำลังแดงช้ำเพราะน้ำตา ซึ่งสาเหตุนั้นมาจากผมเอง


                “ขอโทษ...” ผมเอ่ยออกไปเบาๆ ไม่อยากเห็นเลย น้ำตาของคนที่เรารัก ไม่อยากเห็นมันไหลออกมาอีกเพราะผมเลย...


                ตากลมโตกระพริบถี่ๆ ก่อนจะบิดไหล่ออกจากมือผม


                “ช่างเถอะ ขอโทษ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” น้ำเสียงเย็นชากลับมาอีกครั้ง ซินเดินผ่านตัวผมไปก่อนจะนั่งลงบนโซฟาแทนที่ผม ผมถึงได้เดินกลับไปคุกเข่าลงตรงหน้าเขา


                “ซิน...” ผมยกมือไปคว้ามือเรียวมากุมไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็หันหน้าหนีไปทางอื่น


                “ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากไปไหน อยากจะทำงานอยู่ข้างๆนายตรงนี้ ที่ทำไปก็เพราะว่านัทอยากอยู่ใกล้ๆซินนะ”


                “....” คนสวยของผมก็ยังคงไม่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น


                “ขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันผิดเอง ฉันโมโหมากไป ฉันไม่ยอมควบคุมอารมณ์ตัวเอง นิสัยไม่ดี แต่ซินอย่าเป็นแบบนี้สิ นะ... ไม่เงียบ ไม่เย็นชาใส่กันแบบนี้นะคะ”


                “....” เงียบ


                “ซิน... ไม่เอาแบบนี้อ่ะ หายโกรธนะ สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว จะฟังซิน เชื่อซินทุกอย่างเลย”


                “....” ก็ยังคงเงียบ ไอ้นัทจะร้องไห้แทนแล้วนะครับ


                “ซิน หายโกรธเถอะนะ ให้ทำอะไรยอมทุกอย่างเลย...” คนสวยหันมามองทางผมในทันที


                “ทุกอย่างแน่นะ” ซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


                เอ่อ...ชักไม่ชอบแบบนี้แล้วสิ...               
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 12-09-2013 23:47:37
                ตอนนี้ผมกำลังเป็นคนขับรถของคุณหนูซินอยู่ครับ คุณหนูซินเธอบอกว่าอยากกลับบ้าน ผมก็ต้องไปส่งเพราะพูดไปแล้วว่าจะยอมทุกอย่างเลย แต่จน ณ บัดนี้ คุณซินก็ยังคงไม่หยุดแผ่รังสีเย็นเยือกออกมานะครับ และยังคงพูดน้อยคำเหมือนเดิม


                ทันทีที่ถึงบ้าน ซินก็เปิดประตูและเดินเข้าไปในบ้านเลย ไม่เปิดประตูรั้วให้ ไม่ได้หันมาบอกอะไรทั้งนั้น อ่าว... แล้วผมควรทำไงล่ะครับ ตามซินเข้าไป หรือว่ายังไงดี


                “จะเข้ามาป่ะ หรือจะกลับบ้าน แล้วแต่นะ อยากไปไหนก็ไป” ซินเดินออกมาเรียกผมที่กำลังยืนเก้ๆกังอยู่หน้าบ้านเขา แหม... แล้วแต่นะ แต่น้ำเสียงนี่ไม่ได้ฟังดูเหมือนแล้วแต่เลยนะครับ


                ผมเดินตามซินเข้าไปในบ้าน ห้องนั่งเล่นว่างเปล่าครับ ไม่มีคุณม้าหรือคุณป๊าอยู่เลย เอ๊ะ หรือว่าจะไม่มีคนอยู่


                “ป๊ากับม้าไม่อยู่เหรอซิน” ผมถามซินที่เดินออกมาจากในครัวพร้อมแก้วน้ำในมือ แต่แก้วใบเดียวนะครับ สำหรับตัวเขาเอง ส่วนผม ถ้าหิวก็หากินเองครับ


                “เห็นใครมั้ยล่ะ” เสียงหวานตอบกลับมาพร้อมกับเดินมาทิ้งตัวลงที่โซฟา


                “ไม่เห็นครับ แหม... ก็แค่ถามดู”


                “ป๊ากับมาไปทำธุระ กลับค่ำๆมั้ง”


                “ชวนมาบ้านสองต่อสองนี่คิดไรเปล่าเนี่ย” ผมยื่นหน้าไปแซวใกล้ๆ ซินเงื้อแก้วขึ้นทำท่าจะสาดน้ำใส่ผมทันที


                “อย่าๆๆ ล้อเล่นเฉยๆเองซินอ่ะ”


                “เราโกรธอยู่นะ”


                “ครับ ทราบแล้วครับว่าโกรธ ถึงได้มานั่งให้โขกสับอยู่ตรงนี้นี่ไง” ผมกระแซะไปใกล้ๆเขาก่อนจะเห็นแมวตัวหนึ่งเดินออกมา มันชื่อว่าทองครับ แมวซินเขานั่นแหละ ผมมองมันเดินมาก่อนจะกระโดดขึ้นตักเจ้านายมัน ซินก็วางแก้วน้ำลงก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวมัน


                เห็นท่าทางสบายๆแบบนั้นแล้วมันหมั่นไส้ ผมเลยยื่นมือเข้าไปใกล้ๆมันบ้าง


                “เฮ้ย...” ชักมือกลับแทบไม่ทันครับ เพราะไอ้คุณทองมันเล่นกางเล็บออกมาตะปบกันซะงั้น ซินนี่ขำคิกคักเลย


                “นิสัยไม่ดีเลย เวลาเล่นทำไมไม่เก็บเล็บ” ผมหันไปดุมัน ซึ่งมันก็ลอยหน้าลอยตามองผมอย่างไม่รู้ไม่ชี้ เหมือน... เหมือนมากครับ เหมือนเข้านายมันมากๆ


                “อย่าว่านะ ทองนิสัยดี คนบางคนต่างหากที่นิสัยไม่ดี ทองเลยไม่ชอบ” โอ้โห ใช่ซี้ ไอ้นัทคนนี้ทำอะไรก็ผิดไปหมดแหละ


                ซินอุ้มทองขึ้นมาอยู่ในระดับอก ก่อนจะเอาจมูกไปถูๆหัวมัน โอ้ยยยยย อิจฉาโว้ยยยย ซินของผมนะน่ะ!! ไอ้ท้องง ไอ้แมวบ้าเอ๊ยย


                “ซินนนน อย่าทำแบบนั้นนน” ผมดึงแขนซินที่อุ้มไอ้ทองอยู่ออก ไอ้ตัวปุยสีส้มมันจึงยกมือขึ้นตะปบผมอีกที


                อ๊ากกก เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ชอบแมวไง ทำไม่รู้จักเก็บเล็บวะ เลือดออกเลยเนี่ย


                “ซิน มันข่วนฉันอ่ะ เลือดออกด้วย” ผมรีบยื่นมือไปฟ้องซินทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นไม่สนใจ


                “สมน้ำหน้า เน้อะทองเน้อะ ...อะไรนะ ทองว่าอะไรนะ หิวน้ำเหรอ อยากให้นัทไปเอาน้ำให้เหรอ” ผมมองซินที่ก้มลงคุยกับทองเบาๆ อะไรครับ โกรธผมอะเข้าใจ แต่ตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ กำลังสื่อสารกับแมวเหรอซิน ฮ่าๆๆ น่ารักไปแล้ว หมั่นเขี้ยวจริงๆเล้ย ผมเลยเอื้อมมือไปอยากจะหยิกแก้มยุ้ยๆนั่นซะทีหนึ่ง


                “อย่านะ” แต่ซินกลับยกไอ้ทองมาขึ้นมาตะปบมือผมแทน หน็อย เดี๋ยวถ้าซินเผลอเมื่อไหร่นะ จะเอามันใส่หม้อต้มยำ


                “หายโกรธได้หรือยังครับ” เอาลูกอ้อนเข้าว่าไว้ก่อนครับ


                “ยัง”


                “แล้วจะให้ฉันทำไงอ่ะ” ซินมองผมยิ้มๆก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา


                “ทองบอกว่าหิวน้ำ นัทไปเอาน้ำให้ทองหน่อยสิ”


                น้ำ... โอเค ได้ แค่นี้จิ๊บๆ พักยกทะเลาะกับแมวก่อนก็ได้ เพื่อดีกับซิน แค่นี้คุ้มแสนคุ้มครับ ผมลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้าไปในครัว แค่ซินกลับเรียกเอาไว้ซะก่อน


                “จะไปไหน”


                “ไปเอาน้ำให้ไอ้ทองไง”


                “ที่ไหน” ซินหันมาทำตาบ้องแบ๊งใส่กัน อย่าๆ โกรธอยู่ก็กดได้นะครับ... เอ๊ยย ไม่ใช่แล้วว หื่นขึ้นทุกวันละนะผมเนี่ย


                “ในครัว”


                “ทองไม่กินน้ำเปล่า ทองอยากกินน้ำแร่ เน้อะทองเน้อะ” หันไปพูดเป็นตุเป็นตะกับแมวอีกแล้วครับ แหมไอ้ทอง กระแตมาก อยากกินน้ำแร่


                “โอเคครับ น้ำแร่อยู่ไหนครับ ในตู้เย็นใช่มั้ยครับคุณทอง” เอากับเขาหน่อยครับ ยอมมาถึงขั้นนี้แล้ว


                “อยู่ที่เซเว่น หน้าปากซอย” ผมนี่หยุดกึกในทันที หน้าปากซอย... หน้าปากซอย! ไม่ใช่ใกล้ๆนะครับ เริ่มเห็นความซวยมารำไร เพราะดูท่าคุณซินเธอคงไม่ให้ผมขับรถไปแน่ๆครับ


                “ไกลไปมั้ยครับทอง กินน้ำเปล่าก็พอมั้งครับ”


                “ตามใจนะ ไม่อยากไปก็กลับบ้าน”


                “โหซิน พูดแบบนี้บอกมาเลยดีกว่าว่าต้องไปอ่ะ”


                “ก็ไม่ได้บังคับ ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”


                แล้วผมปฏิเสธได้เหรอครับ... แดดตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อยเลยนะครับเนี่ย แดดประเทศไทยอ่ะครับ ที่คนในเฟสเข้าบอกกันว่าตากผ้าผ้ายังไหม้เลยอ่ะครับ แล้วกระผมต้องแบกหน้าหล่อๆออกไปตอนนี้อ่ะ แต่เพื่อ(แมว)ซิน ผมก็ต้องยอมครับ


                “โอเคๆ ไปก็ไป ขับรถไปได้มั้ย ไปด้วยกันเปล่า”


                “ใกล้แค่นี้ไม่ต้องขับรถไปหรอก ช่วยชาติประหยัดน้ำมัน เดินไปแหละ แป๊บเดียว หรือจะขี่จักรยานไปก็ได้นะ แต่เอ๊ะ... ยางมันแตกนี่นา เดินไปแหละดีแล้ว”


                นั่นแหละครับ ชะตากรรมของผม


                “แต่เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป ข้างนอกมันร้อน หาไรใส่หลบแดดหน่อยดีกว่า”


                ผมนี่หูตั้งรีบเดินไปหาซินทันที อย่างน้อยก็ห่วงกันละว้า ปากร้ายใจดี... น่ารักที่สุดอ่ะคนเนี้ยะ ^^


                “รอเนี่ย เดี๋ยวไปเอามาให้” พูดจบซินก็อุ้มทองมาวางไว้บนโซฟา เขาเองก็เดินขึ้นข้างบน


                หึหึ ไอ้ทอง อยู่ตัวเดียวแล้วนะเมิงงง เสร็จกรู... ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังเลียขนตัวเองอยู่ ยื่นมือเข้าไปใกล้ๆมันอย่างระมัดระวัง และทันใดนั้นผมก็ดีดหูมันสุดแรง! เพี๊ยะ!! สะดุ้งเฮือกเลยครับ ฮ่าๆๆๆ สะใจโว้ยยย ไอ้ทองรีบลุกขึ้นหางชี้ตั้ง พองขนในทันที มาเด้ มาเล้ยย ซินไม่อยู่นัทสู้ตายเว่ยเฮ้ย!


                “ทำไรอ่ะ” เสียงซินดังขึ้นที่บันไดทำให้ผมรีบหันไปมองเขาทันที


                “เปล่าครับ” ก่อนจะยิ้มแป้นตอบกลับไป


                แต่เฮ้ย... อะไรอยู่ในมือซินครับ สีชมพูสะท้อนแสงเลยนะครับ แถมเป็นเส้นๆ หมวกแบบนี้มีด้วยเหรอซิน...


                โอ้ว... เมื่อมองดีๆแล้วมันไม่น่าจะใช่หมวกอ่ะครับ มันคือ...


                วิกผม สีชมพู ชมพูแบบชมพู๊ชมพูอ่ะครับ ชมพูสะท้อนแสงอ่ะ พอนึกภาพออกมั้ย เอามาทำไมจ๊ะที่รัก หวังว่าคงจะไม่...


                “ใส่นี่ไปด้วยนะ”


                =[]=


                ……


                หูแว่ว หรือว่าหูฝาด หรือว่าซินพูดผิด หรือว่า... ไม่นะครับ ม้ายยยย


                “ล่อเล่นเปล่าซิน ใครจะใส่วิกนั่นเดินนอกบ้าน อายเขาตายเลย” เหงื่อเย็นๆเริ่มไหล่ออกมาตามไรผม ตอนนี้อยู่ในสภาวะเครียดจัดแล้วครับ


                “ไหนบอกว่าจะทำทุกอย่างไง” น้ำเสียงเย็นชาแบบจัดเต็มมาอีกแล้วครับ


                “โธ่ซิน.. จะให้นัทใส่ให้ซินดูทั้งวันอ่ะนัทยอมเลย แต่ถ้าจะให้ใส่ไอ้นี่ไปเดินเซเว่น... มัน....” ใครเขาจะได้หาว่าผมบ้าสิครับเนี่ย แดดร้อนแบบนี้ เขาจะหาว่าผมสติแตกไปปล้นเซเว่นหรือเปล่า


                “แล้วแต่นะ ไม่ได้บังคับ” ตามมาด้วยน้ำเสียงห้วนแบบไร้เยื่อใย...


                ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ เอาวะ!! เพื่อซินเลยนะ เพื่อซินคนเดียวเลย!


                “โอเค้ ใส่ก็ใส่ ใส่มาเลย! แต่ถ้ากลับมาแล้วต้องดีกันนะ”


                “โอเค” ซินตอบกลับมาเบาๆ ผมเห็นนะเว้ยว่ากัดปากกลั้นยิ้มอยู่อ่ะ


                ร้าย... ร้ายกาจมากก เดี๋ยวก่อนเถอะ ถึงทีผมบ้างล่ะน่าดู!


                ในที่สุดซินก็ยัดไอ้วิกนั่นลงบนหัวผมได้สำเร็จ ยังมีการเอากระจกมาส่องให้ผมดูด้วยนะ แล้วพอใส่ให้เสร็จแล้วก็เลิกเก๊กเลยครับ ขำออกมาแอบสุดชีวิตโดยที่ไม่กลัวผมอายกันเลยทีเดียว


                “สวยว่ะนัท ฮ่าๆๆ ใส่บ่อยๆนะ โคตรสวยเลยอ่ะ” ซินชี้หน้าผมพูดไปขำไป


                “แหม ขำแบบนี้หายโกรธแล้วใช่ป้ะ จะได้ไม่ต้องไป” ชะงักกึกเลยครับ หน้านิ่งขึ้นมาทันที แห๊ม เก่งนะเนี่ย รางวัลออสก้าปีนี้ยกให้ซินเลยดีมั้ย


                “ยัง!” เสียงดังฟังชัดมากครับ


                “โอเค งั้นไปแล้วนะ”


                “ยังก่อน ยังไม่ครบองค์ประกอบ” ซินมองผมนิ่งๆก่อนจะควักอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เอาอะไรมาเซอร์ไพรส์ผมอีกล่ะครับ!


                “ผมสวยแล้ว แต่หน้ายังไม่สวยเลย”


                ลิปสตลิกครับผม... สีแดง สวย เป็นมันแวววาว ของมียี่ห้อด้วยนะครับ...


                “เดี๋ยวๆๆ ซิน มีของพวกนี้ได้ไงเนี่ย อย่าบอกนะว่าที่โลกส่วนตัวสูงนี่ก็เพราะ....”


                “เลิกคิดเลยนัท” ซินผลักหัวที่ใส่วิกแสล๋นนี่ทันทีก่อนที่ผมจะพูดได้จบ


                “วิกนี่ได้มาตอนงานปีใหม่บ้านญาติๆ ไม่รู้ป๊าหรือม้าหยิบติดมา ส่วนลิปสติกนี่ก็ของม้า ไม่ต้องคิดบ้าๆเลย เดี๋ยวจะไม่ได้ไปแค่เซเว่น”


                “โอเคครับ ยอมทุกอย่างเลย แค่เซเว่นนี้ก็พอแล้วครับพ่อคุณทูลหัวทูลกระหม่อม”


                “หึหึ” กลั้นขำเต็มที่เลยนะซิน...


                สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้ซินระแรงลิปนั่นลงบนปากผมจนเสร็จ แต่เข้าใจคนไม่เคยทาลิปให้คนอื่นมั้ยครับ มันก็เลยเลยขอบปากออกไปทางนู้นทีทางนี้ที เยี่ยมมากครับ ไม่เคยเห็นตัวเองน่าสมเพชเวทนาขนาดนี้มาก่อนเลย


                “สวยมากเลยนัท!”


                เออ อยากพูดไรพูดไปเลยครับ ไอ้ทองตัวดีที่กระแดะอยากกินน้ำแร่มันหายหัวไปไหนแล้ววะ มาเซ่... มาร่วมกันเยอะเย้ยฉันร่วมกับเจ้านายแกอีกตัวสิ!


                “ไหน เอาโทรศัพท์นัทมาดิ้”


                ผมรีบกำโทรศัพท์ตัวเองเอาไว้อย่างหวงแหนทันที จะทำไมอี๊กกก


                “นัท... เอามา”


                “เดี๋ยวรีบไปรีบมาเลยไงซิน ไปนะ”


                “นัท...” รังสีเย็นยะเยือกแผ่ออกมาอีกแล้ว...


                “เราโกรธอยู่นะ...”


                “โอเคๆ ยอมแล้วๆ ยอมทุกอย่างเลยครับ อยากทำไรทำได้เต็มที่เลยครับที่รัก” ผมเดินสะดีดสะดิ้งไปหาซินก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้เขา ซินเองก็รับไปก่อนจะยกยิ้มนิดๆ


                “เอ้า ยิ้มหน่อยเร็ว”


                หึ! ผมก็แสยะยิ้มให้กล้องไป ไม่มีอะไรจะเสียแล้ววว


                “สวยมากเลย อ่ะ ไปได้แล้ว” ซินยื่นโทรศัพท์คืนให้ผม ไม่อยากดูแต่ก็ต้องดูครับ


                ทันทีที่เห็นหน้าจอที่ซินเปิดค้างไว้ ความดันก็ขึ้นทันที ...หึหึหึ อินสตาแกรม กับรูปสุดแสนจะอุบาท กับคำบรรยายใต้ภาพว่า...


                ไม่เคยสวยเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ...จีบได้ ยังว่างอยู่...


                …ใครฟอลโล่กูอยู่ อันฟอลกูที...


                หลังจากนั้นก็ไม่ต้องบรรยายมากนักหรอกนะครับว่าผมบากหน้าไปเซเว่นยังไง คนนี่มองผมทั้งแต่หน้าบ้านยันปากซอย โชคยังดีที่แถวนี้ไม่มีคนรู้จักผม เพราะถ้าเป็นแถวบ้านล่ะก็ กิจการพ่อผมคงเจ๊งอ่ะ ลูกเจ้าของค่ายบอดี้การ์ดชื่อดัง เป็นบ้า เพราะอากาศร้อนเกินเหตุ คลุ้มคลั่งออกเดินรอบซอย อับอายสุดจิตสุดใจเลยครับ


                แต่ที่น่าอัปยศที่สุดนั่นคือไอ้พนักงานเซเว่นแม่งขอถ่ายรูปคู่กับผม!! เชรี่ยยยย ขอหยาบคายหน่อยเถอะ คนนี่มองกันให้พรึบพรั่บครับ หึ... แต่มีเด็ดกว่านั้น ด้วยคำพูดของไอ้พนักงานคนเดิม...


                “น้ำแร่ยี่ห้อนี้ไม่มีนะพี่ ผมว่าพี่ไปห้าง...ใกล้ๆนี่ดีกว่า น่าจะมี แต่ผมแนะนำให้พี่ลบลิปที่ปากหน่อยนะ มันเลยขอบปากอ่ะ ...ผมโคตรชอบพี่เลยว่ะ แม่งโคตรเจ๋งอ่ะ!”


                เวรรรรรรเอ๊ยย


                ก็คุณซินเธอกำชับมานักหนาว่าต้องเอายี่ห้อนี่เท่านั้น คงมั่นใจแน่นอนเลยล่ะสิว่ามันไม่มีอ่ะ ย๊ากกกก ใครบรรยายความรู้สึกผมตอนนี้ได้ช่วยบอกคนอื่นที!! ผมพูดไม่ออกแล้วครับบ อยากจะร้องไห้เป็นภาษาบาลี


                แล้วสุดท้ายผมก็ต้องแบกหน้าแหกๆนั่นกลับมาหาซิน ไม่ต้องคิดนะครับว่าผมจะไปห้างในสภาพนี้ ไม่ต้องคิดเลย!!


                “อ้าว มาแล้วเหรอ ทำไมหายไปนานจัง” ซินหันมาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง กว้างมากครับ กว้างมากจนน่าหมั่นไส้


                “ไม่ต้องมายิ้มเลยยยย” ผมพุ่งเข้าหาซินทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบไปไหน นั่งหัวเราะงอหงายอยู่ที่เดิม หึ่ย..


                “แกล้งกันเหรอซิน!!”


                “มาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอนัท ฮาว่ะ ไหนๆ น้ำแร่อ่ะ”


                “มันไม่มี!!!”


                “มีก็แปลกแล้ว ฮ่าๆๆๆ”


                “หายโกรธได้ยัง” เปลี่ยนโหมดมาจริงจังก่อนครับ ยอมให้กันขนาดนี้แล้วถ้าไม่หายก็คงต้องแบกหน้าไปห้างจริงๆแล้วนะ


                “หายแล้ว สงสาร หึหึ” พูดไปขำไปนะซิน คราวนี้ถึงตาผมเอาคืนมั่งนะ!


                “ดี!!”


                “เฮ้ย...”


                ซินร้องเสียงหลงทันทีที่ผมโถมตัวเขาหาเขาและประกอบจูบลงไป เอาสิ ทาลิปมันด้วยกันนี่เลย


                “อื้อ...” ซินดิ้นไปมาอยู่สักพักก่อนจะนิ่งไป ผมจึงค่อยๆถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง มองหน้าหวานนิ่งๆ


                “นัทขอโทษนะซิน ต่อไปนี้อย่าร้องไห้อีกนะ สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ดีกันนะครับ”


                ซินยิ้มนิดๆก่อนจะพยักหน้า ผมจึงกดจูบลงไปบนหน้าผากเขาเบาๆ เลื่อนลงมาที่จมูก ก่อนจะจบลงที่กลีบปากสวยอีกครั้ง และถอยออกมาดูผลงานตัวเอง...


                ซินคงจะลืมไป ...ว่าปากผมเลอะอยู่ ฮ่าๆๆๆ


                ซินที่เห็นผมขำตาโตขึ้นทันทีก่อนจะยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง


                “ไอ้บ้า หน้าเราเลอะหมดเลย”


                “โอ๊ยๆๆ อย่าตีสิ เจ็บ ฮ่าๆๆๆ โอ๊ยซิน อย่ากัด!”


                นั่นแหละครับ แล้วเราก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะเหมือนเช่นเคย


                หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมต้องยอมซินมากมายขนาดนี้ แต่ถ้าคุณได้รักใครสักคน แล้วคุณเคยที่จะต้องเสียเขาไปในวันหนึ่ง แต่สุดท้ายคุณก็ได้เขากลับคืนมา ความเจ็บปวดที่คุณเคยได้รับจะทำให้คุณรู้ว่า คนคนนี้มีค่ากับคุณมากแค่ไหน ความอายที่ผมได้รับในวันนี้ เทียบไม่ได้เลย กับความรู้สึกตอนที่เสียซินไป


                ดังนั้นอะไรที่ยอมได้ ก็ยอมไปเถอะครับ ดีกว่าไม่เหลือใครไว้ให้คุณยอมเขาเลย... 


TBC.
...
แอบอยากเห็นพี่นัทสภาพนั้นนะ เคยเห็นแต่ใส่วิก 555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่าา
เจอกันตอนหน้านะคะ คุณผู้อ่านที่รัก! <3
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: machan000 ที่ 12-09-2013 23:54:16
 :เฮ้อ:  โล่งอก นึกว่าจะโดนไล่ออกนะนี่

ว่าแต่ขอต่ออีกนิดไม่ได้หรอไรท์เตอร์   :mew2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-09-2013 00:50:17
 :m20:


หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 13-09-2013 11:50:34
ชอบตรงนี้อ่ะที่พี่นัทบอกว่า ถ้าเรารักใครซักคน สูญเสียเค๊าไป

พอได้เค๊ากลับมา ถ้าเรายอมไรเค๊าได้ เราก็ยอมเค๊าไปถอะ

มันเป็นอะไรที่พระเอกมากเลย คนรักกันมันมาจากข้างในจริงๆ

 o13 :a5: o13
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 13-09-2013 14:37:36
พี่ซินแสบมาก....... :hao7:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 13-09-2013 16:55:40
พี่ซินเล่นพี่นัทซ่ะแสบเลยอ่ะ
น่ากลัวมากกกกกก
^...^
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 13-09-2013 17:28:45
น่ารักอีกแล้ววววววนึกว่าซินจะไม่หายโกรธนัทซะอีกแต่วิธีแก้เผ็ดของซินนี่เด็ดชะมัดเลยยย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 โกรธ [12/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 14-09-2013 00:22:25

คุณบอดี้การ์ดนี้แจ่มจรัสมากอ่ะ  o13
คุณหนูซินก้อช่างคิดวิธีแกล้งซะเหลือเกินเนอะ :katai2-1:





หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป [14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 14-09-2013 22:05:24
14

((แปลกไป))


 
                หลังจากความอัปยศเมื่อวาน วันนี้ผมก็พบว่า คนไลค์อินสตาแกรมผมเยอะมากกก เยอะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ รูปหล่อๆที่เคยมีมาไม่เคยได้ไลค์เยอะเท่านี้ เริ่มรู้สึกชีวิตดีขึ้น แต่ในทางไหนนี่ไม่ต้องคิดตาม... เคนะ หึ!


                วันนี้ศิลปินไร้งานอีกเช่นเคย ผมเลยต้องมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่โรงฝึกเนี่ยแหละ แต่มีเรื่องหนึ่งที่แปลกมากครับ ไม่เคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ไอ้กัสตัวดีมันไม่คุยกับผมครับ แค่มองหน้านิดๆ ก่อนจะเชิดหน้าไปทางอื่น อะไรของมันวะ เดี๋ยวนี้ชักจะท่าทางแต๋วขึ้นไปทุกที ผมเหลือบมองไอ้กัสที่มองมาทางผมและสะบัดหน้าไปหาคู่ซ้อมของมันต่อ เดี๋ยวต้องจับมาคุยกันซะหน่อยละ


                ผมยืนมองมันทุ่มคู่ซ้อมอยู่สักพัก ก่อนที่มันจะเลิกซ้อมและเดินมาทางผม แต่ไม่ได้เดินมาทักนะ เดินมาหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ข้างๆผมเท่านั้น มันคว้าขวดน้ำขึ้นกระดกด้วยท่าเท่ๆแบบที่สาวกรี๊ด ก่อนจะทำท่าเดินออกไป แต่ผมคว้าไหล่มันเอาไว้ก่อน มันเลยหันสายตาเหวี่ยงๆมาทางผม


                “เป็นอะไร มองหน้ากวนตีนหลายรอบแล้ว” ผมถามมันด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่มันกลับเอี้ยวไหล่บิดตัวหนีมือผมไป


                “เปล่า” แถมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉื่อยๆแบบผิดปกติ เข้าใจมั้ยครับ ปกติมันจะอะเลิท พูดมาก และค่อนข้างติดผมพอสมควร แต่ตอนนี้มันกลับไม่ยอมพูดกับผมเลยสักคำเดียว แปลก...


                “มีเรื่องอะไรก็พูดมา อย่าเอาแต่มองหน้า รำคาญว่ะ”


                ดวงตาใสแข็งกร้าวขึ้นทันทีกับคำว่ารำคาญของผม


                “เออ รำคาญก็ไม่ต้องมายุ่งดิวะ” พูดจบมันก็ทำท่าจะเดินหนีไปอีกครั้ง แต่คำพูดผมรั้งมันเอาไว้เสียก่อน


                “ทำไม โกรธเรื่องข่าวฉันกับซินรึไง นี่ชอบซินมากขนาดนั้นเลยดิ”


                “ถ้าชอบแล้วจะทำไม” บอกตรงๆว่าผมไม่ชอบน้ำเสียงหยิ่งๆแบบนี้ของมันเลย น้ำเสียงกวนประสาทแบบแต่ก่อนยังดูน่าฟังมากกว่านี้อีก


                “ก็ไม่ทำไม แต่จะบอกให้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะซินกับนายมันอยู่กันคนละโลก”


                “แล้วจะบอกว่าพี่นัทอยู่โลกเดียวกับพี่ซินหรือไง พี่เป็นแค่บอดี้การ์ด แต่พี่ซินเป็นถึงนักร้อง มันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน”


                ผมมองตามันนิ่งๆ ก่อนที่มันจะหลบสายตาผมไป... มันกำลังพูดเรื่องอะไร นี่มันกำลังหวงซินอยู่หรือเปล่า ในฐานะอะไร แฟนคลับคนนึง หรือว่ามันชอบซินจริงๆ จะเป็นไปได้เหรอ นี่มันชอบซินขนาดนั้นเลยหรือไง ในฐานะแฟนคลับเนี่ยนะ


                “ไร้สาระว่ะไอ้กัส ไปซ้อมไป”


                “ไม่ซ้อมแล้ว เบื่อ ไปหาคุณป้าดีกว่า” คุณป้าที่มันว่าก็แม่ผมนี่แหละครับ สนิทกันจนจะเป็นแม่ลูกกันไปอยู่แล้ว


                ผมมองมันเดินสะบัดตูดออกจากโรงฝึกไปก่อนจะถอนหายใจ ช่างหัวมัน ไม่สนใจละ โทรหาซินดีกว่า ^^


                ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนที่กำลังคิดถึงอยู่ทันที ฟังเสียงรอสายสักพักอีกฝ่ายก็รับ


                (ฮัลโหล) เสียงหวานดังลอยมาตามสายโทรศัพท์ทำให้ผมยิ้มออก


                “ทำอะไรอยู่”


                (นั่งเล่น)


                “อยู่กับใครครับ อยู่บ้านเหรอ”


                (อื้อ อยู่บ้าน มีธุระอะไรหรือเปล่า เรามีแขก)


                แขกใคร มาทำไม แขกที่ไหน ขายถั่วหรือเปล่า...? แล้วมาทำอะไรที่บ้านซินของผมล่ะ


                “ใครอ่ะ”


                (พี่ดิว) คำตอบที่ได้รับทำให้ผมนิ่งไปในทันที ไอ้พี่ดิวเหรอ แล้วเสนอหน้าไปทำอะไรที่บ้านซิน แถมยังนั่งอยู่ด้วยกันอีก แล้วป๊ากับม้าไปไหน ทำไมให้อยู่กันสองต่อสอง ทีกับผมล่ะจับตาดูไม่คลาดสายตาเลย


                “มันไปทำอะไร” ไม่ได้อยากชวนทะเลาะนะครับ แต่น้ำเสียงมันนิ่งไปเองโดยอัตโนมัติ


                (ทำไมต้องตอบ) น้ำเสียงแข็งตอบกลับมาทันที ซินเป็นแบบนี้เสมอครับ ถ้าถูกเร่งรัดในเรื่องอะไรแล้วทำให้ไม่พอใจ หรือคิดว่ากำลังถูกอีกฝ่ายก้าวล้ำเส้นส่วนตัวเมื่อไหร่ จะทำให้เขามีปฏิกิริยาต่อต้านในทันที ซึ่งผมรู้จักนิสัยแบบนี้ดีครับ


                “ซิน... นัทถามดีๆนะครับ เขามาทำไม” ผมพยายามใช้น้ำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อถามเขาใหม่อีกครั้ง


                (มาเฉยๆ) แต่ก็ต้องถอนหายใจกับเสียงนิ่งๆของซินที่ตอบกลับมา ก่อนจะถามไปอีก


                “ป๊ากับม้าอยู่มั้ย”


                (ไม่อยู่ นัทแค่นี้ก่อนนะ เรามีแขก ไม่ว่างคุย)


                “ซิน...” แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไป โทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ก็ถูกดึงออกไปซะก่อน ผมรีบหันไปหามือปริศนานั่นทันที ยังพูดกับซินไม่รู้เรื่องเลยนะ!


                ไอ้กัส!!


                “อะไรวะ! ไอ้กัส เอาโทรศัพท์มานี่!” ผมโมโหจริงๆนะ มันเป็นบ้าอะไรของมันวะ จะงี่เง่าจะอะไรไม่ว่า แต่นี่มันชักจะเกินไปแล้ว คนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นะ ใช่เวลามาล้อเล่นมั้ยเนี่ย ยิ่งหงุดหงิดอยู่นะ!!


                “คุณป้าให้มาเรียก มัวแต่ทำอะไรอยู่ได้ เรียกตั้งนานแล้ว” น้ำเสียงกวนประสาทกับใบหน้ากวนตีนกระแทกอารมณ์ผมเต็มๆ ยอมรับนะครับว่าตอนนี้กำลังหงุดหงิดเรื่องซินมาก แล้วก็กำลังพาลแบบสุดๆ


                “เอาโทรศัพท์ฉันมา” ผมพยายามทำใจเย็น แบมือขอโทรศัพท์คืนดีๆ แต่ไอ้กัสกลับเฉย แถมยังยักคิ้วกวนอารมณ์กันอีก แบบนี้ชักเกินจะทนแล้วครับ


                ผมเดินย่างสามขุมเข้าไปหามัน แต่ไอ้กัสกลับตั้งท่าจะเตะผมซะก่อน แล้วมีหรือครับที่ผมจะยอมให้มันเตะ ก็หลบสิครับ อาสัยจังหวะที่มันตั้งตัวไม่ทัน คว้าแขนสกัดขาเหวี่ยงมันลงกระแทกกับพื้นโรงฝึกดังโครม! ตรงนี้ไม่มีพื้นยางรองนะครับ หลังที่กระแทกกับไม้แข็งๆเต็มๆ ทำให้คนในโรงฝึกหันมามองกันให้พรึ่บ


                ไอ้กัสจุกหน้าเขียวไปเลย ผมก้มลงไปคว้าโทรศัพท์ของผมคืนมา โดยที่มันจ้องหน้าผมอย่าง... น้อยใจ?


                มันเนี่ยนะน้อยใจ ผมอาจจะตาฝาดไปเอง คนอย่างไอ้แสบกัสทำเป็นแต่กวนตีนเท่านั้นแหละครับ


                “อย่าเล่นแบบนี้อีก ฉัน-ไม่-ชอบ!” ผมเน้นสามคำสุดท้ายให้มันฟังชัดๆ และหันหลังเดินกลับบ้าน ได้ยินเสียงไอ้ตัวดีตะโกนตามหลังมา


                “เออ! ก็ไม่ได้ขอให้ชอบโว้ย!” ผมหันไปมองตามเสียงมัน เห็นไอ้กัสลุกขึ้นนั่งจับหลังตัวเองอยู่มองมาทางนี้เหมือนกัน


                มันเป็นบ้าอะไรของมันวะ หรือว่าวันนี้กินยาลืมเขย่าขวด


                ผมสะบัดหัวหันหน้าหนีกลับมา ไม่อยากอยู่นาน เดี๋ยวได้ฆ่ากันตาย ยิ่งอยากหาที่ระบายอารมณ์อยู่ คนยิ่งหงุดหงิดมายั่วโมโหกันแบบนี้เดี๋ยวได้ตายกันไปข้าง ผมก้มมองโทรศัพท์ตัวเองที่ซินคงวางสายไปนานแล้ว ก่อนจะตัดสินใจโทรกลับไปใหม่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ


                ป๊ากับม้าไม่อยู่ แสดงว่าอยู่กันสองคน! ทำอะไรกันอยู่ คุยเรื่องอะไรกัน ซินกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่นะ กำลังยิ้มแบบที่เคยยิ้มให้ผมหรือเปล่า...


                โอ๊ย! ไม่ไม่ไม่ ผมไว้ใจซิน ซินไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีทาง ต้องเชื่อใจกันสิ เรื่องแย่ๆกว่านี้ก็ผ่านมาเยอะแล้วนะ... เรื่องแค่นี้ต้องไม่เป็นอะไร 


                เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับแม่ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมรีบเดินเข้าไปนั่งข้างๆแม่ทันที


                “ว่าไงลูก ซ้อมเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ” แม่หันมาถามผมด้วยรอยยิ้ม อ้าว... ไหนไอ้กัสบอกว่าแม่เรียกผมไง


                “ก็แม่เรียกผมไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามแม่งงๆ แม่เองก็หันมามองผมอย่างงงๆเช่นกัน


                “เปล่านี่ลูก ก็เมื่อกี้กัสเข้ามาบ่นๆว่าเหนื่อย มากอดแม่อยู่สักพักบอกว่าโกรธนัท แต่ไม่ยอมบอกว่าโกรธเรื่องอะไร แล้วก็เดินออกไป บอกจะไปหานัทนั่นแหละ แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกันลูก มีอะไรก็พูดกับน้องดีๆนะ ช่วงนี้นัทยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับน้องเลย น้องก็บ่นๆว่าเหงา”


                ผมนิ่งคิดตามที่แม่พูด ก็จริงนะ เมื่อก่อนนี้ผมเคยเป็นคู่ซ้อมให้มันบ่อยๆ แต่หลังๆมานี่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยกันเลย งั้นแสดงว่าที่มันทำตัวแปลกๆก็เพราะว่ามันงอนผมอ่ะดิ...


                ฮ่าๆๆๆ คนอย่างไอ้กัสก็ขี้น้อยใจเหมือนกันเว้ยเฮ้ย ผมเองก็ทำเกินไปจริงๆแหละ อารมณ์ล้วนๆเลยครับเมื่อกี้ ทุ่มมันไปซะเต็มแรงเลยด้วย น่าจะเจ็บเอาการ ไม่ใช่ว่าตอนนี้มันแอบหนีไปนอนร้องไห้อยู่คนเดียวหรอกนะ


                “งั้น เดี๋ยวผมไปหามันก่อน” พูดจบผมก็รีบลุกขึ้นจากโซฟา เดินกลับไปที่โรงฝึกอีกรอบ


                ไอ้กัสนั่งอยู่คนเดียวที่ด้านนอกโรงฝึกบนม้าหินอ่อน ตีหน้ายุ่งมองกล่องซีดีอะไรสักอย่าง ผมจึงเดินเข้าไปยืนค้ำหัวมัน ไอ้ตัวแสบเลยเงยหน้าบูดๆขึ้นมามอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำให้ผมที่ยืนอยู่แทบชิดกับมันรีบถอยหลังอย่างตกใจ


                “เป็นไรวะ งอนเป็นตุ๊ดเลยนะ” ผมพูดกับมันเล่นๆก่อนจะขยี้หัวมันไปอย่างหมั่นเขี้ยว แต่ไอ้กัสกลับปัดมือผมออก


                “ถามว่าเป็นอะไร นี่มาพูดด้วยดีๆแล้วนะ” น้ำเสียงเริ่มกลับมาหงุดหงิดอีกครั้งครับ ชักเยอะไปแล้วนะไอ้เด็กนี่ อุตส่าห์ยอมมาง้อแล้วนะ


                “พูดกันดีๆหลังจากที่ทุ่มกันหลังแทบหักแล้วเนี่ยนะ”


                “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ใช่หรือไง ถ้าตั้งใจทุ่มจริงๆคงไม่ได้มายืนทำหน้ากวนโอ๊ยใส่กันอยู่แบบนี้หรอก”


                “เหอะ!”


                “ประชดประชันเป็นผู้หญิงเลยนะเดี๋ยวนี้”


                ผมก้มลงมองสิ่งที่ไอ้กัสถืออยู่ก็พบว่ามันคืออัลบั้มของซินที่ผมไปขอลายเซ็นมาให้นั่นเอง อื้อหือ ดูท่าว่ามันจะรักของมันจริงๆนะนั่น


                “เอาไว้เดี๋ยวว่างๆ จะชวนซินมานั่งเล่นที่นี่ โอเคป่ะ”


                ไอ้แสบตาโตทันทีที่ผมยื่นข้อเสนอให้


                “จริงป่ะ!” แหม ลืมไปเลยนะว่าเคยโกรธกันน่ะฮะ


                “เออ ถ้าเขาว่างแล้วเขาอยากมา จะลองชวนดู”


                ไอ้กัสตาวาวขึ้นมาทันทีก่อนจะมองมาทางผม แต่แล้วสายตาสดใสก็เริ่มซึมๆไป ก่อนที่น้องมันจะมองเหม่อออกไปทางอื่น อะไรของมันวะ ตกลงว่าดีใจหรือไม่ดีใจ


                “กัส เป็นอะไร มีอะไรพูดกันตรงๆดิ เอาเป็นว่าเมื่อกี้ฉันขอโทษ พอดีกำลังคุยธุระสำคัญอยู่ ก็เลยโมโหมากไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายเจ็บนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ช่วงหลังๆมานี่ยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลาเล่นด้วยเลย เหงารึเปล่า” ผมวางมือลงบนหัวกลมๆของกัสเบาๆ แล้วลูบไปมา ไอ้แสบก็เลยเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม แล้ว...


                สะกัดขาผมก่อนจะทิ้งตัวด้านข้างทับลงมาเต็มแรง…


                ไอ้เด็กเวรเอ๊ยยยยยยย จุกฉิบหายเลยครับ ขออภัยที่ต้องหยาบคาย แต่แบบว่า ศอกมันกระแทกลงมาที่ลิ้นปี่ จุกเกินกว่าจะบรรยายได้จริงๆครับ


                “ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้า เอาคืนได้แล้วโว้ยยย ล้มพี่นัทได้แล้ววว” พูดจบมันก็วิ่งตะโกนประโยคนั้นไปทั่วโรงฝึก นี่แม่งแกล้งผมเหรอวะ แม่งแกล้งน้อยใจผมเพื่อช็อตนี้ช็อตเดียวใช่มั้ยได้เด็กแสบบบบบบบ ลุกแทบไม่ขึ้นนะครับจุดนี้ ไอ้เด็กห่านี่ ฝากไว้ก่อนเถอะ...


                ยังด่าไม่ทันขาดคำมันก็วิ่งกลับมา


                “สัญญาแล้วนะว่าจะพาพี่ซินมา ทำตามสัญญาด้วย ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำนะ!” ดูมันๆ ดูมันทำหน้าตากวนตีนล้อเลียนผม


                “ไม่พามาแล้วโว้ย แม่ง ล้มทับมาได้ไงวะ จุกนะเนี่ย”


                “เออ ความรู้สึกเดียวกันแหละ เหวี่ยงลงมาได้ไงวะ ไม่มีเบาะรองนะเนี่ย!”


                “เขาเรียกว่าเป็นการฝึกฝนในสถานการณ์จริง! ไม่มีเบาะมารองรับตอนเอ็งจะร่วงลงพื้นหรอกนะเว้ย”


                “เออ งั้นก็เป็นการฝึกของพี่นัทเหมือนกัน ว่าเวลาจริงๆ เขาไม่ให้ประมาทคู่ต้องสู้ ก๊ากกก ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้าว่ะ”


                ไอ้-เด็ก-เวร..   


                ผมหอบสังขารเดี้ยงๆกลับเข้ามาในบ้าน แต่แม่ไม่อยู่แล้ว สงสัยไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน รายนั้นชอบต้นไม้ครับ ส่วนพ่อก็คงตามไปขนปุ๋ยขนดินอยู่ข้างๆนั้นแหละ รักกันจนลืมลูกลืมเต้าเหมือนอย่างเคย ผมค่อยๆหย่อนตัวลงบนโซฟาเบาๆ ก่อนจะยืดตัวเหยียดยาวนอนลงบนโซฟา และคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู


                หมายเลขโทรออกล่าสุดที่ปลายสายไม่ยอมรับ โทรกลับไปอีกรอบดีมั้ย จะหาว่าจุกจิกกันหรือเปล่านะ จะไม่รับสายกันอีกหรือเปล่า จะโมโหรำคาญกันมั้ย...


                เฮ้ย นี่ผมเป็นอะไรเนี่ย จะต้องคิดอะไรมากมาย แค่อยากโทร...ก็โทรสิ ยังไงซินก็ต้องเห็นผมสำคัญกว่าไอ้นั้นอยู่แล้ว จริงมั้ย...?


                คิดได้แบบนั้นมือมันก็กดโทรออกไปเองโดยอัตโนมัติ ผมจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่สักพัก และเอามันขึ้นแนบหู


                (ว่าไงนัท) เสียงหวานจากปลายสายทำให้ความคิดถึงที่มีอยู่แล้วมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก


                “ทำอะไรอยู่...” ผมพยายามถามเขาด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่อยากทะเลาะกันแล้วล่ะครับ


                (กำลังจะออกไปข้างนอก) คำตอบของซิน ทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง


                “ไปไหน ไปกับใครครับ” เย็นไว้ ใจเย็นๆไว้...


                (ไปกินข้าว พี่ดิวชวนไปหาอะไรกินข้างนอก)


                นะโม พุทธทัง กะละมังถังแตก... โอ้ย!! สวดผิดสวดถูกแล้วโว้ยยย ทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้เพราะมันกรอกลงมาเต็มๆสองหูเลย! ไปทำไม ข้าวที่บ้านไม่มีกินหรือไง แล้วทำไมต้องไปด้วยกันสองต่อสอง ชักจะมากเกินไปแล้วมั้งเนี่ย


                “จำเป็นต้องไปด้วยเหรอ”


                (ก็พี่เขาชวน จะให้เราปฏิเสธพี่เขาหรือไง)


                “ก็ปฏิเสธไปสิ”


                (นัท... ถ้าพูดแบบนี้...) ซินที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่างด้วยความไม่พอใจ ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดก็คือจะตัดสายทิ้งกันนั่นแหละต้องหยุดลง เพราะผมพูดแทรกเขาไปซะก่อน


                “แล้วการที่นายทำแบบนี้ ฉันรู้สึกยังไงล่ะ นายรู้บ้างมั้ย”


                (....)


                “ฉันพยายามไม่คิดมาก พยายามไม่ทำตัวน่ารำคาญให้นายไม่พอใจ แต่นายเคยคิดบ้างมั้ยว่าการที่ทำแบบนี้มันจะทำให้ใครคิดมาก... นายไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่าย อันนั้นฉันเข้าใจ แต่นี่เราเป็นอะไรกัน... ฉันจะห้าม จะหึง จะหวง คนที่ตัวเองรักบ้างไม่ได้เลยเหรอ”


                (....) ซินไม่ได้ตอบ แต่ผมได้ยินเสียงไอ้ดิวแว่วๆมาจากปลายสายว่าจะออกเดินทางหรือยัง พร้อมๆกับที่ซินตอบรับกลับไป


                “แคร์ความรู้สึกกันบ้างมั้ยซิน หรือว่ามีแค่ฉันเท่านั้นที่แคร์นาย...”


                (แค่นี้ก่อนนะนัท เราต้องไปแล้ว) ปลายสายตัดไปแค่นั้น แต่ความรู้สึกของผมมันได้หลุดลอยไปไกลแล้วครับ


                นี่สรุปว่าที่ผ่านมาผมคิดไปเองคนเดียวเหรอว่าซินเองก็รักผมเหมือนกัน ผมคิดผิดใช่มั้ยเรื่องที่คิดว่าซินเองก็เห็นว่าผมสำคัญ ผมมันก็แค่คนไม่สำคัญ ที่คิดไปเองคนเดียว


                ใช่มั้ย...?


                มือที่ถือโทรศัพท์คาหูอยู่อ่อนแรงปล่อยแขนลงที่ข้างโซฟา โทรศัพท์จึงหลุดมือหล่นไปด้านล่าง แต่ช่างเถอะครับ


                บางที การที่คนคนหนึ่งจะยอมวิ่งตามใครสักคนมาได้ไกลขนาดนี้มันก็เหนื่อยแล้วนะ แต่กลับต้องมาพบว่าเขาเองไม่เคยที่จะหยุดรอเราเลย มันเหนื่อยยิ่งกว่า อาจจะดูเหมือนว่าใกล้ เกือบสัมผัสไป แต่กลับกลายเป็นว่า มันเริ่มไกลออกไปทุกที


                ผมหลับตาลงช้าๆ ไล่ภาพบ้าๆที่เริ่มจินตนาการเองขึ้นมาในหัวให้พ้นไป ไม่อยากคิด ไม่อยากใส่ใจ ผมเหนื่อยแล้วจริงๆ เอาเป็นว่า ลองหยุดดูสักพัก หายใจได้สบายตัวเมื่อไหร่ ค่อยก้าวต่อไป...


                เสียงฝีเท้าแผ่วๆเดินเข้ามาใกล้ๆ อาจจะเป็นแม่ที่กลับเข้ามา อาจจะเป็นพ่อที่ทนร้อนไม่ไหว หรืออาจจะเป็นใครสักคน แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากลืมตา กลัวว่าไอ้น้ำใสๆของคนอ่อนแอมันจะไหลออกมา


                หึ บอดี้การ์ดสุดเท่ ล้มคู่ต่อสู้มานักต่อนัก แต่กลับต้องมาแพ้คนแค่คนเดียว


                เงาของใครสักคนที่ชะโงกเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะค้างอยู่ตรงนั้นสักพัก ใครคนนั้นหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมาจากพื้นและวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะได้ยินเสียงลมจากแรงยวบบนโซฟาตัวเล็กด้านข้าง แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิทลง


                อาจจะเป็นแม่กลับมานั่งเล่นล่ะมั้ง...


                ผมนอนหลับตาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไป นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่บนโซฟาลุกขึ้นยืน พร้อมๆกับหมอนใบโตที่กระแทกลงมาบนหน้าผมจังๆ


                สะดุ้งสุดตัวเลยครับ...


                ไม่ใช่แม่แล้วเนี่ย!! เดาไม่ยากหรอกว่าใคร!


                ผมปัดหมอนทิ้งไปแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เห็นไอ้กัสมันยืนค้ำหัวผมอยู่ใกล้ๆนี่แหละครับ แม่งยักคิ้วกวนตีนผมอีกแหนะ เก่งจริงๆเรื่องยั่วโมโหกันเนี่ย


                “อะไรอีก ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยจริงๆว่ะตอนนี้” ผมบอกมันไปด้วยน้ำเสียงนิ่ง ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา


                “เป็นไรเนี่ย ทำท่าอย่างกับคนอกหัก สาวทิ้งรึไง” ดูมันถามสิครับ กวนตีนมั้ยเนี่ย


                “ไปเล่นที่อื่นไป”


                “ไม่ได้อยากเล่น อยากซ้อม แต่ไม่มีคู่ ทุ่มใครก็ไม่มันส์เท่าทุ่มพี่เลยว่ะ”


                ไอ้เด็กห่านี่ ได้ทีหน่อยเอาใหญ่เลยนะครับ ไอ้กัสมันเคยมาทุ่มผมที่ไหนกันล่ะ ฝีมืออย่างมันนี่เตะโดนผมก็เก่งแล้วครับ เรื่องเมื่อกี้นี้มันไม่ได้ระวังตัวต่างหากล่ะ


                “ปากดีๆ”


                “ไปดูผมซ้อมยิงปืนหน่อยดิ” ผมมองไอ้ลูกหมาที่ทำหน้าทำตาน่าสงสาร


                เอาวะ ไหนๆจิตใจมันห่อเหี่ยวแล้วก็ไปหาอะไรทำซะหน่อยดีกว่า เล่นกับมันหน่อยแล้วกัน ถือซะว่าแก้เครียด


                “เออๆ ไปดิ”


                ไอ้กัสยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งแจ้นนำผมออกไปโรงฝึกทันที ดูมันนะครับ อิจฉามันจริงๆให้ตายสิ ยิ้ม บ้า ปัญญาอ่อน หาเรื่องสนุกมาทำได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่เคยเห็นมันเครียดเรื่องอะไรเลยจริงๆ


                ผมส่ายหัวช้าๆ และเดินตามมันไป แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปในโรงฝึก ก็ต้องสะดุดเข้ากับรถคันหนึ่งที่แสนคุ้นเคย มันแล่นมาช้าๆก่อนจะจอดลงตรงหน้าบ้านผม ผมจึงมองทะลุกระจกหน้ารถเข้าไปที่คนขับด้านใน ทำให้ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ


                ผมจำได้ว่าเขาไม่เคยมาที่นี่นะ


                แล้วมาได้ยังไง...


                เขารู้ว่าผมอยู่ที่นี่ เพราะผมเคยชวนมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยยอมมาสักครั้งเดียว


                คนคนนี้ไม่ค่อยขับรถเองสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เขากลับขับรถออกมาเองคนเดียว...


                ผมมองคนตัวบางที่ก้าวลงมาจากรถช้าๆ ผมสวยนั่นยุ่งฟูนิดๆ ก่อนที่ร่างคุ้นเคยจะหยุดยืนมองผมจากข้างๆรถของเขา คิ้วสวยกำลังขมวดมุ่นเข้าหากัน กลีบปากล่างถูกกัดเอาไว้หลวมๆ 


                ผมรีบกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะขยี้ตาตัวเองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ นี่เรื่องจริงเหรอ โกหกหรือเปล่า หรือว่าผมกำลังฝันกลางวัน เขาจะมาที่นี่ได้ยังไง... ในเมื่อเขากำลังจะออกไปข้างนอกกับคนอื่นไม่ใช่หรือไง คนอื่นที่ไม่ใช่ผม


                ถูกต้องแล้วครับ...


                ซินนั่นเอง ซินมาหาผม มาที่บ้านผมด้วยการขับรถมาด้วยตัวคนเดียว ซึ่งหายากมากๆนะ


                คนสวยมองผมนิ่งๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ และหยุดลงตรงหน้ากัน บอกตรงๆว่าตอนนี้ช็อคเกินกว่าที่จะทำอะไรได้แล้วครับ ก็ไหนซินบอกว่าจะไปกับไอ้ดิวไง ก็ซินไม่ได้แคร์ผมไม่ใช่เหรอ ผมมันก็แค่คนที่สำคัญคนตัวเองผิดไปไม่ใช่หรือไง


                แล้วตอนนี้ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้...


                “กำลังคิดอะไรอยู่” เสียงหวานที่ติดจะขุ่นนิดๆถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขุ่ย แต่ผมกำลังสับสน ไม่เข้าใจคำถามที่เขาถามเลยครับ


                “มาได้ยังไงเนี่ยซิน ขับรถมาคนเดียวเหรอ” ก็เลยถามเรื่องอื่นไปแทน


                “เราถามว่า กำลังคิดอะไรอยู่” ซินถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งกว่าเดิม


                “แล้วนายคิดว่าฉันกำลังคิดอะไรล่ะ”


                “ถ้ารู้ แล้วจะมาถามถึงนี่หรือไง”


                “ไม่ไปกินข้าวกับพี่ดิวเหรอซิน” ผมไม่ตอบ แต่กลับถามไปเรื่องอื่นแทน


                คิ้วเรียวผูกเข้าหากันมากกว่าเดิม ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด มือเรียวยื่นมากำชายเสื้อผมเอาไว้ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด ผมก็เลยถามเขาออกไปอกีครั้ง


                “ฉันถามว่า นายมาที่นี่ทำไม ไม่ได้ไปกินข้าวกับพี่ดิวหรอกเหรอ มาแบบนี้เขาจะรออยู่หรือเปล่า”


                มือที่กำชายเสื้อผมอยู่เริ่มกำเน้นขึ้น ผมจึงยกมือขึ้นจับมือข้างนั้นเบาๆ ก่อนจะปลดมันออก มือเรียวจึงเปลี่ยนมาจับมือผมแทน มือซินเย็นมากๆครับ ผมจึงเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับดวงตากลมโตอีกครั้ง


                ตอนนี้ผมยังหายใจไม่ค่อยสบายตัวเลย ยังไม่พร้อมจะก้าวต่อไปจริงๆ...


                “เขารออยู่หรือเปล่า” ผมถามซินไปเบาๆ


                “เปล่า กลับไปแล้ว”


                “อ้าว ไหนบอกว่าจะไปกินข้าวด้วยกันไง”


                “เรายังไม่หิว...”


                “แล้ว…”


                “นัท!” เสียงหวานเรียกชื่อกันเสียงดัง ทำเอาสะดุ้งไปเลย


                “อะ...อะไรครับ”


                “คิดอะไรอยู่!” น้ำเสียงข่มขูเริ่มมาอีกแล้ว


                “....”


                “แล้วไม่ต้องบอกว่าไม่ได้คิด เพราะรู้ว่ากำลังคิดอยู่”


                “แคร์กันด้วยเหรอซิน” แค่นี้แหละครับที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้ คนคนนี้ที่ผมแคร์เขามากที่สุด เขาเคยแคร์ผมบ้างมั้ย...


                “ถ้าไม่แคร์ จะมาอยู่ตรงนี้รึไง...”


                เสียงหวานจากคนตรงหน้า กับดวงตาใสๆแบบแมวตัวน้อยๆที่มองมาเหมือนกำลังรู้สึกผิด


                ใครก็ได้ตบหน้าผมที และบอกว่านี่ไม่ใช่ฝันไป ซินมาง้อผมเหรอครับ!!!


                จดบันทึกเอาไว้ในกินเนสบุ๊คเลยนะ!! ว่าวันนี้เวลาเท่านี้ซินมาง้อผมถึงที่บ้าน!!! แต่ก่อนที่ผมจะได้ดีใจมากไปกว่านี้ หรือได้พูดอะไร เสียงตกใจจากหน้าโรงฝึกก็ดังขึ้นมาซะก่อน


                “พี่ซิน...” เสียงนั้นทำให้ทั้งผมและซินหันไปมองพร้อมกัน


                ไอ้ตัวแสบเดินออกมาจากโรงฝึกช้าๆ พร้อมกับที่มองหน้าซินอย่างตกใจ...


                แหม... คำขอของมัน เป็นจริงไวไปมั้ยเนี่ย


TBC.
...
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่าาาา

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 14-09-2013 23:01:09
ซินอุตส่าห์มาง้อเลยนะ  :mc4:

ว่าแต่กัส คิดไรกะคุณบอดี้การ์ดใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-09-2013 23:25:16
ตามอ่านยาวเลยคราวนี้
โอ้ยคุณนักร้องน่ารัก
แต่ประเด็นคือ น้องกัสหึงพี่นัทรักพี่ซินเรอะ รึยังไง
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-09-2013 04:20:06
 o18

ตึง
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 15-09-2013 06:37:42
เอ๋ยยยยน่ารักอ่ะ น่ารักมากๆ เหมือนคนรักกันจริงๆมากขึ้นทุกวัน(เอ๊ะก็เค๊ารักกันจริง)
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-09-2013 09:03:05
กรี๊ดดดด พี่ซินมา เซอร์ไพร์มากๆ
ถ้าเราเป็นกัส กรี๊ดบ้านแตกแน่ๆ
ปล ตอนโทรศัพท์ รอบสอง
ช่วงแคร์กันบ้าไม๊
 ช่วงที่นัทคิดจะหยุดพัก
บอกตรงๆ เศร้ามาก ณ จุดนั้น
น้ำตาซึม อินเกินไปนะเนี่ย :)
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 15-09-2013 12:26:37
จับหนูกัสคู่กับพี่ดิวไปเลย......นัทกะซินจะได้หวานตาหลอด... :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 15-09-2013 15:01:15
กัสแอบชอบพี่นัทรึเปล่า??นะ ฮิฮิ // นัทงอลซินเลยมาง้ออออออออน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน14 แปลกไป[14/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 16-09-2013 00:36:47
กัสชอบพี่นัท???????????


อ่านตรงที่นัทน้อยใจพี่ซินแล้วเศร้าตาม เคยอยู่ในอารมณ์แบบนั้นเลย

แฟนตัวเองให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าเรา

ดีใจแทนกัสที่เจอพี่ซิน ชั้นก้อยากเจอบ้างงงงงงงง  5555เริ่มไปไกลล่ะเอาเรื่องจริงมาปนกะนิยายเฉย

รอติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน15 ความในใจ [16/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 16-09-2013 20:40:23
15

((ความในใจ))

 

                “พี่ซิน...”     
       

                ซินหันไปมองตามเสียงเรียกของไอ้แสบ ใบหน้าสวยมองหน้าไอ้กัสอย่างงงๆ แต่ก็ยังคงไม่ปล่อยมือผมนะ ยังจับเอาไว้อยู่อย่างนั้น เหมือนคนขี้ระวังจะลืมตัวไปชั่วขณะซะอย่างนั้น ผมจึงหันไปมองหน้าไอ้กัสที่ตอนนี้ตาโตเป็นนกฮูกไปแล้วครับ ช็อกค้างกลางอากาศไปแล้ว


                “พี่ซินจริงๆด้วย!” ไอ้แสบอุทานขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งเข้าโรงฝึกไป ซินที่กำลังงงหันมามองหน้าผมอย่างตั้งคำถาม


                “ใครเหรอ”


                “เด็กในโรงฝึกอ่ะ คงเห็นนายแล้วตกใจมั้ง” คนตัวบางพยักน้อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ และกระตุกมือที่จับผมอยู่เบาๆ


                “ไปหาที่คุยกันหน่อยได้มั้ย”


                “จะเข้าไปในบ้านมั้ยล่ะ พ่อกับแม่ก็อยู่” ก็แค่ลองถามดูเท่านั้นแหละครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าซินคงไม่เข้าไป และผมก็เข้าใจเหตุผลของเขาดีด้วย


                ‘ไม่เหมาะสม’


                ซินเคยพูดเอาไว้ว่าแบบนั้น...


                คนตัวบางชะงักไปเล็กน้อยอย่างลังเลใจ ดวงตากลมสวยหลุบลงต่ำมองมือของเราที่เขาจับอยู่ตอนนี้ ปากบางเม้มเข้าหากันแน่น


                “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเข้าไป เดี๋ยวไปที่อื่นก็ได้” ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้น ซินคงยังไม่พร้อม เหมือนๆกับผมที่ยังไม่แน่ใจเลย ว่าจะแนะนำซินกับพ่อแม่ในฐานะอะไร จะให้บอกว่าเพื่อนก็ไม่อยากโกหก แต่จะให้บอกว่าเป็นแฟน ก็ยังนึกปฏิกิริยาของพ่อแม่ไม่ออกเหมือนกัน แม่อาจจะพอเข้าใจบ้าง แต่พ่อนี่สิ ไม่อยากจะคิดเลย อีกอย่างสถานะของผมกับซินตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์ด้วย...


                “เข้าไปก็ได้ แวะเข้าไปสวัสดีแม่นัทก็ดีเหมือนกัน” แต่เสียงหวานที่ตอบกลับมา ทำให้ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง


                อะไร ...ทำไมยอมง่ายจัง ก็ไหนทุกทีไม่ยอมไง


                อย่าบอกนะว่าที่ยอมนี่เพราะอยากจะง้อกัน... เฮ้ย ไม่จริงน่า


                ผมมองหน้าซินนิ่งๆอย่างชั่งใจ หึหึ ขอไอ้นัทเล่นตัวบ้างนะครับ ^^


                “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่อยากให้นายลำบากใจ จะกลับบ้านเลยมั้ย เดี๋ยวไปส่ง” น่าน ว่าเข้าไปนั่นครับ ความจริงแล้วอยากลากเข้าห้องใจจะขาด


                ผมทำท่าจะเดินไปที่รถซิน แต่มือบางกลับรั้งมือผมเอาไว้ก่อน ทำให้ผม ‘แสร้ง’ หันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ


                “นัท เป็นอะไร”


                “ไม่ได้เป็นอะไร เพราะถ้านายลำบากใจ ฉันก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แล้วนี่นัดพี่ดิวไว้ที่ไหน เดี๋ยวไปส่ง”


                “เราบอกว่าเราไม่ไปแล้วไง พี่ดิวกลับไปแล้ว!” เสียงหวานเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง


                แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ ไอ้ตัวแสบมันก็วิ่งปรู๊ดออกมาจากโรงฝึก พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ ผมมองมันวิ่งตรงเข้ามาหาซินอย่างตกใจ ก่อนจะก้าวไปบังซินไว้ที่ด้านหลังทันที ปฏิกิริยาอัตโนมัติจริงๆครับ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า ซินจับมือผมจากทางด้านหลังอยู่


                ไอ้กัสขมวดคิ้วมองผมที่ยืนบังซินเอาไว้ ไอ้ที่มันถืออยู่นั่นคืออัลบั้มของซินนั่นแหละครับ แถมเอาปากกาแท่งใหญ่มาด้วย


                “บังทำไม หลบดิ้” นี่คือคำพูดขอร้องหรือเปล่าวะครับ


                “จะทำอะไร” ผมถามไอ้กัสเสียงนิ่งๆ


                “จะขอลายเซ็นพี่ซิน!!” ผมกระพริบตาปริบๆมองมัน อะไรนะ... ขอลายเซ็น? วิ่งจู่โจมกันแบบนั้นเพื่อขอลายเซ็น โธ่... ไอ้เด็กบ้านี่


                ผมจึงต้องหันมามองซินอย่างขอความเห็น ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหนาน้อยๆก่อนจะปล่อยมือผมออก จะเดินมาด้านหน้า ส่งยิ้มน้อยๆให้ไอ้กัส


                “พี่ซิน! ผมชอบพี่มากเลยครับ เป็นแฟนคลับมานานมากแล้วด้วย ฟังเพลงพี่ทุกเพลงเลย กัสชอบพี่มากๆอ่ะ พี่ซินน่ารักมากๆเลย”


                เฮ้ยๆ จะชมกันก็ไม่ว่า แต่มืออย่างถึงได้มั้ย ผมหรี่ตามองไอ้กัสที่คว้ามือซินมาจับไว้ โดยที่ซินเองก็ทำแค่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น ทีแบบนี้ล่ะปฏิเสธไม่เป็นเลยนะครับ ตามใจกันเหลือเกินกับแฟนคลับเนี่ย


                “นี่ๆ ผมเคยได้ลายเซ็นของพี่ซินมาด้วย ฝากพี่นัทไปขอมา ฮ่าๆ ลายมือพี่ซินน่ารักมากๆเลยครับ ผมเอากล่องซีดีนี่ไว้ใกล้ๆตัวตลอดเลย เอาใส่ไว้ในกระเป๋าอย่างดีเลยครับ”


                ไอ้กัสยื่นลายเซ็น ‘ไปตายซะ’ ที่ซินเขียนให้ผมให้ซินดู ซินมองลายเซ็นนั้นนิ่งๆ ก็จะหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผม


                อ่าว... งานเข้าเลยครับ ก็ตอนนั้นบอกเขาไปว่าเป็นของผมเองนี่นา คงไม่คิดว่าผมจะขอไปให้คนอื่น เอาแล้วไง สายตาไม่พอใจสาดเข้ามาเต็มๆเลย แต่ผมยังถือไพ่เหนือกว่านะ! อย่าลืมสิ


                “พี่ซินเซ็นให้กัสอีกได้มั้ยครับ เอาตรงนี้ที่หน้าปกเลย” ไอ้แสบมันก็พูดเจื้อยแจ้วของมันไปแหละ ส่วนซินก็ยิ้มๆ ตอบรับสักคำสองคำเท่านั้น ตามนิสัยเขาแหละครับ


                พอเซ็นตรงนู้นตรงนี้ให้กันจนเสร็จ จนไอ้แสบมันพอใจ ก็ขอถ่ายรูปต่ออีกสองสามรูป จนซินมีท่าทีเริ่มอึดอัดนิดหน่อย ผมจึงต้องเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคน


                "พอแล้วกัส เข้าไปซ้อมต่อไปได้แล้วไป อู้นานเกินไปแล้วมั้ง"


                "อะไรอ่ะ กัสอยากถ่ายรูปกับพี่ซินนี่"


                "ฉันกับซินมีเรื่องต้องคุยกัน เข้าโรงฝึกไปได้แล้วไป"


                ผมมองหน้าไอ้กัสนิ่งๆ แสดงออกไปว่าเริ่มจริงจังแล้วนะ เลิกเล่นได้แล้ว กลับเข้าไปก่อน ซึ่งมันก็มองตอบกลับมานิ่งๆอย่างชั่งใจเช่นกัน ก่อนจะหันหลังเดินกลับโรงฝึกไป แต่ก็ยังไม่วายหันมาโบกมือให้ซินอีกรอบ แถมยังส่งซิกทำเป็นจะโทรไปหาอีกแหน่ะ ไอ้เด็กกระล่อนเอ๊ยย


                พอไอ้แสบกัสเดินหายเข้าโรงฝึกไป ซินก็หันกลับมาผมอีกครั้ง


                "เข้าบ้านนัทกัน" เป็นซินที่ชวนนะครับ ไม่ใช่ผม ซึ่งนี่มันผิดคาดเกินไปแล้ว


                "แน่ใจนะว่าอยากเข้าไปจริงๆ"


                "อืม" เสียงหวานตอบกลับมาเบาๆ ผมจึงเดินนำหน้าเขาไปทางบ้านของผมเอง

                .......

                [-Gus-]


                ผมเดินกลับเข้ามาที่โรงฝึกอีกครั้ง ทิ้งตัวนั่งลงในห้องห้องหนึ่งที่ไม่มีใคร ภาพภาพนั้นยังคงติดตาผมอยู่จนถึงตอนนี้ เขาจับมือกัน... มือของคนสองคนที่จับกันอยู่ ต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ว่าทั้งสองคนเป็นอะไรกัน


                ที่ผ่าน ก็เคยเห็นผ่านตามาบ้างตามเว็บต่างๆ ภาพของคนสองคนที่เป็นข่าวด้วยกัน รูปภาพในอากัปกิริยาต่างๆที่เขาใกล้ชิดกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ อาจจะเป็นเพราะหน้าที่ ที่ต้องทำแบบนั้น เขาสองคนอาจไม่ได้คิดอะไร หลอกตัวเอง...


                ผมก้มลงมองแผ่นซีดีที่ผมลงทุนซื้อของแท้มา ทั้งๆที่ปกติแล้วผมเป็นลูกค้าร้านประจำแผ่นก็อบยี่สิบบาทที่ตลาด หรือไม่ก็โหลดเอาตามเน็ตเป็นกิจวัต ผมชอบพี่ซินมากจริงๆนะ เป็นแฟนคลับของพี่เขามาตลอด ผมติดตามผลงานเขาอย่างที่ผมบอกเข้าไปจริงๆ แล้วดีใจมากๆด้วยที่ได้เจอตัวจริงวันนี้ ไม่เคยได้ใกล้มากเท่านี้มาก่อนเลย


                แต่... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย


                ทำไมต้องมารักคนที่ผม ...รัก


                คนหนึ่งก็เทิดทูน ให้เขาเป็นแบบอย่าง เป็นไอดอล เป็นแรงบันดาลใจให้ทำในสิ่งที่รักในความเป็นตัวเอง ชื่นชอบและหลงใหลเขามาตลอด


                กับอีกคน ที่เฝ้ามองเขามาทั้งชีวิต...


                พี่นัทเป็นลูกของเพื่อนพ่อผมเอง ทุกครั้งที่พ่อมาเที่ยวบ้านนี้ ผมก็ได้ติดสอยห้อยตามเขามาด้วยตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าแอบมองตามคนคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ชอบมองรอยยิ้มนั้นเข้าให้ซะแล้ว แต่งตัวเซอร์บ้าง เท่บ้างแล้วก็แบกกีต้าร์ไปมา  ช่วงนั้นผมก็ไม่เจอเขาบ่อยนักหรอกนะ เพราะเวลาที่ผมมา พี่เขาก็อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง แต่แล้วอยู่ดีๆพี่มันเลิกเล่นกีต้าร์ไปซะเฉยๆ และกลับมาช่วยคุณลุงดูแลโรงฝึก ผมถึงได้ตามเขามา มาฝึกอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ ผมจะได้เห็นเขาทุกวัน


                แต่เท่าที่ผมสังเกต พี่นัทที่ไม่มีกีต้าร์อยู่ข้างๆไม่ค่อยยิ้มเท่าเมื่อก่อน และพูดน้อย ผมพยายามฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ แรกๆนี่บอกตรงๆว่าไม่ได้เรื่อง เพราะผมไม่เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยนะ ก็ได้พี่นัทเนี่ยแหละ มาเป็นคู่ซ้อมให้ แต่แม่ง... ทุ่มผมเอาๆ อย่างกับผมเป็นกระสอบทราย ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งปณิธานกับตัวเองว่า จะต้องคว่ำพี่มันให้ได้ ไม่ว่าด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเหตุนั้น ผมก็เลยแอบลอบสังหารพี่มันเป็นระยะๆ ฮ่าๆๆ


                นึกมาถึงตรงนี้ก็ต้องยิ้มออกทุกที เพราะพี่มันรู้ตัวก่อนที่ผมจะเข้าถึงตัวมันทุกครั้ง เป็นแบบนี้ประจำเลยครับ แม่งรู้ทันผมทุกรอบเลย กลายเป็นผมเนี่ยแหละที่เจ็บตัวเองทุกครั้งไป...


                ผมก้มลงมองกล่องซีดีที่ได้ลายเซ็นมาเพิ่มอีกลายเซ็นแล้ว ของสิ่งนี้มีความสำคัญกับผมมากนะ


                แต่พี่นัทเองก็สำคัญสำหรับผมเหมือนกัน


                ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยคาดหวังอะไรจากพี่มันเลยนะ เพราะรู้ว่ายังไงก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะอายุที่ห่างกันเกินไป ผมที่เพิ่งเรียนมอปลาย กับพี่มันที่เรียนจบแล้ว และที่สำคัญ... ทั้งผมทั้งพี่มัน เป็นผู้ชาย


                และเพราะเหตุนี้ ผมถึงได้เก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเองมาตลอด ไม่เคยคิดที่จะบอกใคร เพราะว่าความสัมพันธ์ดีๆที่มีอยู่ตอนนี้มันก็มากจนทำให้ผมไม่อยากที่จะเสียมันไป


                แต่พี่นัทกลับมาชอบพี่ซิน...ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน


                เป็นเพราะแบบนั้น ทำให้ผมกลับมาคิดว่า ผมเอง... ก็มีความหวังได้


                ใช่มั้ย?


                แต่ความหวังของผม จะมีสิทธิ์เป็นจริงได้มากเท่าไหร่กัน เพราะมันดูเลือนลางเหลือเกิน


                หลายคนอาจจะคิดว่าแปลก ที่อยู่ดีๆเราจะมาชอบคนคนหนึ่งมากมายขนาดนี้โดยที่ไม่มีเหตุผลได้ยังไง นั่นเป็นเพราะว่าคุณไม่เคยมีความรักน่ะสิ เพราะถ้าคุณมีความรักคุณจะเข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรเลย เพราะสวยเหรอ หรือว่าเพราะหล่อ หรือว่าเพราะรวย หรือเหตุผลอะไรอีกมากมายที่สรรหามาพูดกันให้มากความ ไม่ใช่หรอก


                ก็แค่...เพราะรัก


                เท่านั้นแหละ ถึงยังคงอยู่ตรงนี้ มองดูอยู่ตรงนี้ถึงแม้จะมองไม่เห็นทางไปต่อได้เลย


                "เฮ้อ ยากจริงว่ะไอ้กัส เสือกไปรักคนที่รักไม่ได้ซะนี่ แล้วแบบนี้ควรจะทำยังไงต่อ ควรจะหยุดอยู่แค่นี้ หรือว่ายังไงดี..."


                ผมถอนหายใจให้ตัวเองอย่างปลงๆ


                นั่นสิ... ผมควรจะหยุดดีมั้ย...?


                หรือผมควรจะลุกขึ้นสู้อย่างเต็มที่สักตั้งหนึ่งดี...?

                  .....

                  ผมพาซินเดินเข้ามาในบ้านแต่กลับไม่พบใครเลย ไม่อยู่ทั้งพ่อทั้งแม่ครับ สงสัยว่าจะยังอยู่ที่สวนหลังบ้าน คนตัวบางที่เดินตามมาเกร็งๆ ยืนเคว้งอยู่ตรงทางเข้าห้องรับแขก เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะเข้าดีหรือไม่เข้าดี แต่แหม เดินมาถึงนี่แล้วครับ ถอยก็ไม่ทันแล้วจริงๆ


                "เข้ามาเถอะซิน ไม่มีใครอยู่หรอก" ผมเรียก เขาจึงเดินเข้ามา


                "บ้านน่ารักดีเน้อะ" คนสวยพูดพลางมองไปรอบๆ จะว่าน่ารักมั้ย มันก็คงน่ารักแหละมั้ง แหละแม่ผมเป็นคนชอบตกแต่ง ทำนู้นทำนี่เอง ผนังบ้านก็เลยเต็มไปด้วยของตกแต่งที่แม่ทำขึ้นเอง ทั้งภาพวาด ลายเพ้น หลายอย่างครับ


                "อืม นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวเอาน้ำมาให้" พูดจบผมก็หันหลังเดินไปทางครัว แต่ซินกลับเดินตามมาด้วย ผมจึงไม่ได้ว่าอะไร


                ในขณะที่ผมกำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำให้ซินอยู่นั่นเอง มือเล็กๆกลับดันประตูตู้เย็นให้ปิดไปซะก่อน ผมที่กำลังจะยื่นหน้าเข้าไปในตู้เย็นหดคอกลับแทบไม่ทัน หันไปมองหน้าเขาอย่างงงๆ


                "โกรธหรือเปล่า" อยู่ดีๆเสียงหวานก็ถามกันขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยซะอย่างนั้น


                "โกรธเรื่องอะไร"


                "ก็แล้วเรื่องอะไรล่ะ" ไม่ตอบนะครับ แต่ย้อนถามกลับมาอีกที


                พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาก็ได้นะซิน...


                "เอาเป็นว่า ถ้านายไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องถามหรอก ถอยหน่อยนะ เดี๋ยวจะหยิบน้ำให้ ในนี้มันร้อน" ผมเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตูตู้เย็นอีกครั้ง แต่คราวนี้มือเรียวยกมาจับมือผมเอาไว้


                "เรื่องที่เราพูดไม่ดี" ซินพูดออกมาแบบรวดเดียวจบ ทำเอาผมแทบฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ แถมยังก้มหน้าไม่ยอมมองหน้ากันอีกต่างหาก


                ผมจึงต้องถอนหายใจอออกมาเบาๆ


                "ฉันไม่ได้โกรธ หรือว่าไม่พอใจอะไรหรอกนะ แต่ว่าบางทีมันก็เริ่มที่จะเหนื่อย ฉันรู้ว่านายคงไม่ได้คิดอะไรกับไอ้พี่ดิวนั่น แต่สำหรับไอ้พี่ดิว ฉันไม่รู้ว่ามันคิดยังไงกับนาย เฮ้อ... ช่างเถอะ ฉันคงงี่เง่าไปเอง" ตาใสๆมองมากับปากที่เริ่มจะเบะนิดๆ


                "พี่ดิวเป็นแค่พี่เราคนนึง แล้วเมื่อก่อนก็เคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แล้วเราผิดเหรอ กับอีแค่จะไปกินข้าวด้วยกัน"


                "นายไม่ผิดหรอก ฉันผิดเองที่คิดมากเกินไป"


                พูดจบผมก็หันหน้าหนีใบหน้าสวยมาอีกทาง ไม่อยากมองตอนนี้เลย กลัวจะเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปอีก แค่นี้ก็แย่พอดูอยู่แล้วครับ ไม่ได้อยากทะเลาะ แต่บางทีมันก็มีอารมณ์น้อยใจ... ทำไมล่ะ ทำไมไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมผิดเหรอที่ผมหวงคนที่ตัวเองรัก ไม่พอใจที่เขาจะไปกับคนอื่น ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นพี่ก็เถอะ แต่ไอ้บ้านั่นมันคิดกับซินแค่น้องหรือเปล่าล่ะ


                "นัท... ถ้ารักกัน ก็ต้องเชื่อใจกันไม่ใช่เหรอ เห็นเราเป็นคนแบบไหนล่ะ หรือนัทเห็นว่าเราเป็นคนแบบที่นึกอยากจะไปไหนกับใครก็ไป นึกอยากจะขึ้นเตียงกับใครก็ขึ้นได้อย่างนั้นเหรอ"


                คำว่าขึ้นเตียงทำให้มือผมกำเข้าหากันแน่นในทันที แค่คิดว่าซินจะทำแบบนั้นกับคนอื่น ก็ทนไม่ได้แล้วครับ


                แต่ว่าซินของผม ...ไม่ใช่คนแบบนั้น


                ใช่ ซินของผม ไม่มีทางทำแบบนั้นอยู่แล้ว


                "นัทไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ" ผมหันกลับมามองหน้าซิน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง


                "ก็แล้วนัทจะให้เราพูดยังไง ที่แสดงออกมาทั้งหมดนี่มันยังไม่มากพออีกเหรอ นัทก็น่าจะรู้ว่าเราเป็นคนยังไง..."


                "คนเราถ้าจะให้รู้ได้เองหมดทุกเรื่อง โลกนี้ทั้งโลกก็คงไม่ต้องมีใครพูดคุยกันแล้วซิน เรื่องบางเรื่องพูดออกมาบ้างก็ได้ ซินอาจจะมองว่ามันเป็นแค่คำพูดธรรมดาๆที่ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ซินรู้มั้ยว่าคนฟังอย่างนัทคิดว่ามันมีค่ามากแค่ไหน ไม่ต้องพูดบ่อย แค่พูดให้ฟังบ้างก็ยังดี"


                "...."


                "นัทขอมากไปหรือเปล่า... หรือว่า..."


                ไม่ต้องรอให้พูดจบ ซินก้าวเข้ามาหาผมก่อนที่จะเขย่งปลายเท้าขึ้นแตะริมฝีปากของลงมา สัมผัสเบาราวปุยนุ่น หวานล้ำและรู้สึกดีเกินกว่าที่จะต้องพูดอะไรอีกแล้วครับ ผมค่อยๆหลับตาลง และยกแขนขึ้นโอบเอวบางๆนี้เอาไว้อย่างหวงแหน ไม่ครับ... ไม่มีวันที่ผมจะปล่อยมือจากคนคนนี้แน่นอน


                กลีบปากบางขยับช้าๆ และเริ่มจูบนำทางผมไปแบบนิ่มนวล จนกลายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว และบดริมฝีปากลงไปแรงยิ่งขึ้น ลุกไล้เร่งเล้าจนอีกฝ่ายเริ่มหอบหายใจแรง ผมพลิกตัวกลับและดันอีกฝ่ายจนชนเข้ากับตู้เย็น และเพราะอากาศร้อนอบอ้าวในครัวทำให้หยดน้ำเม็ดใสๆเริ่มผุดพรายขึ้นมาตามไรผมของเราทั้งสองคน แต่กลับไม่มีใครสนใจจะปัดมันทิ้งไป ผมกัดริมฝีปากของซินเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ค่อยๆเลื่อนมือลงต่ำเรื่อยๆไปจนถึงสะโพกมนและบีบลงไปเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่ายได้ในทันที


                ผมลากไล้ปลายจมูกลงต่ำ ซุกไซร้กับซอกคอขาว และกัดลงไปเบาๆอย่างหยอกเย้า


                "อ๊ะ นัท... จั๊กจี้" เสียงใสเอ่ยว่ากัน ก่อนจะดันผมออกห่าง


                "ไม่อยากฟังคำพูดเราแล้วหรือไง"


                "ก็ตอนนี้การกระทำน่าทำกว่าตั้งเยอะอ่ะ" ผมพูดพร้อมกับยืนหน้าเข้าไปแตะริมฝีปากเขาอีกครั้งเบาๆ ก่อนจะถอยกลับมา


                "ทะลึ่งว่ะ"


                "หึหึ แล้วสรุปว่ากับพี่ดิวนี่ยังไงซิน"


                "ไม่มีอะไร" ซินเน้นย้ำให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงชัดเจน เรายืนคุยกันทั้งๆที่ผมยังกอดเขาอยู่แบบนั้นแหละ


                "แล้วฉันล่ะ..."


                "นายทำไม"


                "คิดยังไงกับฉัน"


                "...."


                "น่านะ บอกให้ฟังมั่งสิ ไม่บอกก็ไม่รู้นะ"


                "ถ้าไม่รัก..." ซินพูดขึ้นมา แต่เบามากเหลือเกิน ทำให้ผมได้ยินไม่ชัดเลย ต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกนิด


                "อะไรนะ"


                "ถ้าไม่รัก จะมายืนให้กอดอยู่แบบนี้หรือไง"


                "หึหึ" แค่นี้ก็ยิ้มออกแล้วครับ


                "ถ้าไม่รักไม่มาง้อถึงนี่หรอก"


                แก้มกำลังจะแตกแล้ว ช่วยผมที


                "ถ้าไม่รัก..."


                "พอแล้วครับ พอแล้ว" ผมยกนิ้วขึ้นแตะกลีบปากสวยเบาๆ


                "แค่นี้ก็รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว"


                "ก็บอกให้เราพูด พอเราพูดก็มาห้ามเราอีก" ซินปัดมือผมออก และเบ้ปากน้อยๆอีกครั้ง ผมจึงหยิกแก้มป่องๆนั่นไปเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว น่ารักเกินไปแล้วนะ


                "นัทรักซินนะครับ รักมาก ก็อาจจะหวงมาก ซินเข้าใจนัทนะ บางทีนัทอาจจะงี่เง่า น่ารำคาญไปบ้าง แต่ที่ทำไปทั้งหมดนั่นก็เพราะว่ารักคำเดียว... เข้าใจมั้ย"


                ซินพยักหน้าช้าๆ กอดจะยกแขนขึ้นกอดตอบกลับมาหลวมๆ


                "นัทก็ต้องเข้าใจเราเหมือนกัน เราไม่ใช่คนที่จะต้องมานั่งพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆ แล้วมันก็ไม่ใช่นิสัยของเราเหมือนกันที่จะต้องมานั่งรายงานเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ใครฟัง เราไม่ใช่คนพูดหวานๆ แล้วก็ไม่ใช่คนหงุงหงิง เข้าใจใช่มั้ย" ผมก็พยักหน้าตอบกลับไปแบบเดียวกันเขา


                ซิน คลายอ้อมแขนออก ยกมือขึ้นมาบีบจมูกผมเบาๆก่อนจะโยกไปมา


                "เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดยังไง รู้ไว้แค่ว่า 'ซินรักนัท' แค่นั้นพอ..."


                เข้าใจคำว่าไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเธอ มองไม่เห็นอะไรนอกจากหน้าเธอมั้ยครับ ตอนนี้ผมกำลังประสบกับปัญหานั้นเต็มๆ รอบด้านมันเบลอๆไปหมด มองเห็นแต่หน้าใสๆของซินแค่นี้เอง คำพูดที่รอคอยมานานแสนนาน วินาทีแรกที่ได้ยินก็ไม่ได้อะไรนะครับ เหมือนพูดคำหนึ่งที่ซินก็แค่พูดมันออกมา แต่พอผ่านไปสามวิ สมองเริ่มประมวลผล เริ่มตีความหมายของคำคำนั้นได้ หัวใจเต้นกระตุกผิดไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเต้นแรงระรัวเหมือนเพิ่งวิ่งมาร้อยกิโล


                เฮ้ย... หรือว่าผมกำลังจะตาย


                แต่ถ้าจะให้ตายตอนนี้ผมก็ยอมอ่ะ! >< อั้ยยยยย เขิลไปเป็นสาวน้อยเลยเว้ยไอ้นัทเอ้ยยยยยย


                ผมโถมตัวเข้ากอดซินเต็มแรง มีความสุขจริงๆครับ แค่นี้ก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วว่าเรารักกัน


                "งั้นเราเป็นแฟนกันแล้วนะ" ผมถามขึ้นเสียงอู้อี้เพราะซบหน้าอยู่กับไหล่ซิน


                "อื้อ" เสียงเล็กตอบกลับมา


                "ขึ้นห้องกันมั้ยซิน..." สาบานว่าไม่คิดอะไรเลยจริงๆครับ >..<


                "มากไปแล้ว หื่น!"


                ผมคลายอ้อมกอดออก ก่อนจะถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวเพื่อมองหน้าซินให้ชัดๆ ผมเพ่งสายตามองซินอยู่อย่างนั้นสักพัก จนคนสวยเริ่มขมวดคิ้วนิดๆ


                "มองอะไร"


                ไม่ตอบครับ แถมยังหรี่ตาลงนิด และมองอย่างตั้งใจกว่าเดิม


                "นัท... มองบ้าอะไร" ซินเริ่มขยับตัวอย่างทำอะไรไม่ถูก


                "มองแฟน... ^^ แฟนเค้าน่ารักเน้อะ"


                "ไอ้บ้า" ซินยื่นมือมาผลักหัวผมหงายเงิบเลยครับ หึหึ เขินรุนแรงตลอดแหละคนเนี้ยะ น่ารักน่าฟัดจริงๆเชียว


                "ดื่มน้ำซะหน่อยมั้ยครับ เพื่ออีกสักพักร่างกายจะขาดน้ำนะ..."


                "ไอ้นัท!!" ได้รับหมัดแห่งความรักมาเต็มๆ


                เราสองคนเดินออกมาจากห้องครัว กลับมาที่ห้องนั่งเล่น แต่ห้องนั่งเล่นก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ครับ พ่อกับแม่นี่ปลูกป่าหลังบ้านกันไปแล้วมั้ง เอ๊ะ! หรือว่าแอบจู๋จี๋กันอยู่


                "พ่อกับแม่นัทไม่อยู่เหรอ" ซินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าในห้องนั่งเล่นไม่มีใคร


                "อยู่ แต่ไม่รู้หายไปไหน"


                "เดี๋ยวเรากลับเลยดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้ป๊ากับม้ากลับบ้านหรือยัง เดี๋ยวกลับไปแล้วไม่เจอเราจะตกใจ"


                "งั้นเดี๋ยวไปส่ง"


                "ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วแหละ ตอนขับมานี่ใจมันตุ้มต่อมๆ ไม่ได้ขับนานมากแล้ว"


                "แล้วเมื่อก่อนไปไหนมาไหนยังไงเนี่ย อย่าบอกนะว่ามีหนุ่มที่ไหนไปตามส่ง"


                "มี"


                คำตอบจากซินทำเอาหนวดผมกระตุกในทันที ใครมันบังอาจ...


                "ป๊าไง หนุ่มพอมั้ย"


                หน็อยยย ไอ้ลูกแมวตัวน้อยนี่ เรื่องยั่วโมโหกันนี่ล่ะก็ชอบจริงๆ


                "เดี๋ยวเถอะๆ" ผมขี้มือคาดโทษเขาเอาไว้ก่อน มีโอกาสเมื่อไหร่ล่ะน่าดูเลย


                "ไปส่งหน่อย"


                "ครับๆ"


                ผมมองคนตัวบางที่เดินออกจากบ้านไป ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ความรักก็แบบนั้นใช่มั้ยครับ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง แต่อย่างน้อยเราก็ยังอยู่ด้วยกัน เข้าใจผิดกันบ้างเป็นบางครั้ง แล้วความรักจะพาให้เรากลับมาพบกันเอง...


                อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปตลอดเลยนะซิน


                ขออย่าให้มีเรื่องอะไรมาทำให้เราต้องแยกจากกันอีกเลย...


TBC.
...
เค้ามาง้อแล้วนะ >< อั้ยยะ!
ฮ่าๆๆ ใครง้อใครน้าาา
ไม่รู้ว่าจะตรงใจใครหลายๆคนมั้ยน้าาา
^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่าาา
เจอกันตอนหน้าน้า จุ้บๆ         
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน15 ความในใจ [16/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 16-09-2013 21:03:09
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน15 ความในใจ [16/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-09-2013 21:55:48
หวานหยด
น่ารักอ้ะ
น้องกัสน้อยตัดใจนะ
ไปหาพี่ดิวเถอะกัส 5555
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน15 ความในใจ [16/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 16-09-2013 22:17:27
 :กอด1:  :heaven
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน15 ความในใจ [16/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 16-09-2013 22:23:08
กัสกัสต้องยอมพี่ซินแล้วล่ะไม่มีใครเหมาะกับพี่นัทเท่าพี่ซินแล้วนะ หวานนนนหยดย้อยในห้องครัวก็ไม่เว้นนะนัทนะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 19-09-2013 16:44:21
16

((ทำไม))


                “ไม่เอาพ่อ! ผมมีงานของผมอยู่แล้ว อยู่ๆจะให้ไปทำงานกับคนอื่นได้ไง!!”

                “ก็แค่วันเดียว แกจะเรื่องมากทำไมวะ อีกอย่างนี่ก็ลูกเพื่อนฉัน เขาขอมา ยิ่งช่วงนี้เห็นบอกว่าโดนพวกโรคจิตตามอยู่ ถือว่าสงสารน้องละกัน”

                “น้องไหนอีกล่ะ ไอ้กัสไง มันบ่นตะแง้วๆว่าอยากทำงาน ให้มันไปสิ”

                “ก็เดี๋ยววันนั้นจะให้กัสไปทำงานกับซินแทนแกไง แกก็ไปทำอีกงานนึง มันก็งานเดียวกันแหละ”

                โอ้ย ผมจะบ้าตาย! อยู่ดีๆพ่อจะให้ผมไปเป็นบอดี้การ์ดของคนอื่นเฉย แล้วซินของผมล่ะ ใครจะดูแล เถียงกันจนบ้านจะแตกไม่ฟังกันบ้างเลย! มีอย่างที่ไหนทำงานหนึ่งอยู่ แต่จะให้ไปทำอีกงาน แล้วแบบนี้ทางด้านซินเขาจะว่ายังไง ไม่ต้องคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเรานะครับ แต่คิดถึงในหน้าที่การงาน มันไม่ถูกต้องนะ!

                “เออน่า แค่งานเดียว ไม่เป็นไรหรอก”

                “เป็นดิพ่อ แล้วทางค่ายเพลงเขาจะว่ายังไง อยู่ๆเราเปลี่ยนบอดี้การ์ดให้เขาซะอย่างนั้นอ่ะ”

                “ฉันโทรไปบอกเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าเราจะส่งคนไปแทนอ่ะ”

                “มันไม่เหมือนกันพ่อ! คนทำงานด้วยกันมาอ่ะ แล้วอยู่ๆคนที่เคยยืนใกล้ๆเรากลายเป็นคนอื่นไป มันจะรู้สึกยังไง”

                “ก็ทำความรู้จักกันใหม่ ไม่เห็นยาก”

                “พูดอ่ะมันง่าย แต่เวลาทำมันไม่ง่ายหรอกนะ”

                “เฮ้ย! เลิกเถียงฉัน แล้วทำตามอย่างที่บอก ไม่ยากหรอกไอ้ลูกชาย ฉันไปและ” พูดจบพ่อก็เดินออกจากห้องนอนผมไปเฉย โอ้ย ผมจะบ้า ทำไมต้องห่างจากซินอีกแล้ววะครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน พอจะได้เจอกันทั้งทีก็ดันไม่ได้เจอ แล้วทำไมทางนู้นไม่โวยวายอะไรบ้างเลยล่ะเนี่ย

                ไม่เข้าใจ...

                ผมคว้าโทรศัทพ์ขึ้นมากดโทรหาคนที่คิดถึงอยู่ทันที รอสายอยู่ไม่นานซินก็รับ

                (ว่าไงนัท)

                “ซิน รู้ข่าวหรือยัง เรื่องงานแถลงข่าวเปิดตัวแชมพูอ่ะ ฉันไม่ได้ไปเป็นบอดี้การ์ดให้นายนะ ต้องไปเป็นบอดี้การ์ดให้คนอื่นแทนอ่ะ” น้ำเสียงนี่แสดงออกชัดเจนว่าขี้ฟ้องมาก ><

                (รู้แล้ว) แต่คำตอบรับนี่เฉยมากครับ

                “รู้แล้ว แล้วทำไมไม่โวยวายอ่ะ ต้องไม่ยอมสิ ให้คนอื่นไปทำงานแทนได้ไง ใครที่ไหนก็ไม่รู้นะ”

                (ก็พี่โอ๊ตโทรมาบอกว่าเดี๋ยวทางนายจะจัดบอดี้การ์ดมือดีที่สุดมาให้นี่ ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วงเลย)

                “แต่นายต้องทำงานกับใครก็ไม่รู้นะ”

                (ก็แค่วันเดียวเอง)

                “ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอซิน” ถามไปด้วยความน้อยใจแหละครับ ไม่ได้หวังจะได้คำตอบจริงๆจังอะไรหรอก

                (คิดถึง…)

                แหมดีจริง... ห๊ะ!!!!!!!!! อะไรนะ!? ซินบอกว่าคิดถึงเหรอ!! ขอกรี๊ดแตกทีได้มั้ยครับ เมื่อกี้ซินพูดว่าคิดถึงใช่มั้ย! หรือผมหูฟาด บ๊ะ! นี่คุณหนูซินพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ!!

                “เฮ้ย กินยาผิดขวดหรือเปล่าครับ”

                (....)

                “ฮ่าๆ โอ๋ๆ นัทก็คิดถึงซินนะ มากๆเลยด้วย แต่กลับมาเรื่องงานก่อนนะครับ เพราะเดี๋ยวฉันต้องไปเป็นบอดี้การ์ดให้คนอื่นนะ นายไม่หวงเหรอ เป็นสาวสวยหุ่นดี และกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเลยนะ”

                (ไม่หวงหรอก เพราะเขาคงไม่เอานัท)

                ...เจ็บปวดมากครับ บอกเลย พูดแบบนี้มันดูถูกกันเกินไป!! เห็นอย่างนี้คุณนัทเสน่ห์แรงนะครับ

                “ใจร้ายว่ะซิน ระวังไว้เถอะ ถ้าฉันหันไปสนใจสาวๆแล้วจะแอบร้องไห้”

                (ไม่ร้องหรอก คนรอปลอบใจเราเยอะ)

                อื้อหืออ ไม่น่ารักอย่างซินนี่พูดไม่ได้นะครับ ถ้าไม่มั่นหน้านี่ไม่กล้าพูดจริงๆ ไอ้ผมก็เถียงไม่ออกเพราะมันเป็นเรื่องจริง ก็ซินของผมน่ารัก ^^

                “ใครมันกล้า จะไล่ยิงให้หมด”

                (แหม เก่งเหลือเกินนะครับ)

                “เก่งอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะกับแฟน”

                (ปากดีนะครับ)

                “ก็ถ้าไม่ดีจริง คนบางคนคงไม่ติดใจ”

                (ไอ้นัท เยอะแล้วครับ โทรมาแค่นี้ใช่มั้ย เปลืองค่าโทรศัพท์)

                “ขอโทษนะครับ ผมเป็นคนโทรไป”

                (เรานั่งคุยเล่นกับม้าอยู่ เอาไว้เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะ)

                “แล้วเรื่องงานล่ะ”

                (ก็ไม่เป็นไร แค่วันเดียวเอง เดี๋ยวก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว จะกลัวอะไรล่ะ เราไม่ได้หนีไปไหนซะหน่อย)

                ถ้าอยู่ใกล้ๆนี่จะขอหอมแก้มสักที พูดจาน่ารักเกินไปแล้ว

                “เดี๋ยวพ่อจะส่งกัสไปแทนฉัน เด็กคนนั้นที่นายเจอที่โรงยิม จำได้มั้ย"

                (อืม.... อ๋อ จำได้ ...นัท เดี๋ยวเราต้องวางแล้ว ไว้เจอกันที่งานนะ ถ้ามีโอกาส แค่นี้ก่อน)

                "ครับ แล้วเจอกันนะ"

                (อืม)

                หลังจากที่วางสายจากซิน ผมก็นอนเล่นอยู่สักพักก่อนจะออกมาที่โรงฝึก เจอไอ้กัสกำลังวิ่งกระโดดโลดเต้นไปป่วนคนนู้นทีคนนี้ที เด็กนี่มันซนจริงๆครับ สงสัยคงรู้แล้วว่าจะได้งาน เลยเริงร่าเป็นพิเศษ แต่มันรู้หรือเปล่าว่าได้ทำแค่วันเดียว

                "กัส" ผมตะโกนเรียกทำให้มันหันมามอง ผมจึงกวักมือเรียกให้มันเดินเข้ามาหา

                "อะไรพี่" มันก็วิ่งส่ายหางดุ้กๆมาครับ

                "รู้เรื่องงานแล้วใช่ป่ะ"

                "รู้แล้ว! โคตรดีใจเลย สมน้ำหน้า พี่นัทโดนปลดว่ะ ฮ่าๆๆๆ"

                ไอ้เด็กห่านี่...

                "ไม่ได้โดนปลดโว้ย พ่อให้เอ็งมาแทนฉันแค่วันเดียวเท่านั้นแหละ"

                "นั่นแหละ ก็ถือว่าโดนปลด"

                "มานี่หน่อยดิ้ มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย" ผมไม่รอให้มันพล่ามต่อ เอาแขนล็อกคอมันลากตามมาด้วยกัน แต่แทนที่มันจะโวยวายที่โดนผมลากมันกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากซะงั้น สงสัยว่าจะดีใจจนเพี้ยนว่ะ

                ผมเลือกลากมันมาที่ด้านหลังโรงฝึก ซึ่งตรงนี้ต้นไม้เยอะครับ ด้วยฝีมือของคุณแม่และท่านพ่อของผมเอง ไม่ทราบว่าจะสร้างสวนหรือปลูกป่ากันแน่ บางทีก็เยอะไป...

                ผมปล่อยแขนจากไอ้กัสและนั่งลงที่ม้าหินแถวนั้น มันก็เดินตามมานั่งด้วยกัน

                "มีอะไรวะพี่"

                "พรุ่งนี้ ไปทำงานกับซินใช่มั้ยเราน่ะ" ผมหันไปถามมัน แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะว่าตอนที่ผมพูดชื่อซินแล้วคิ้วมันขมวดเข้าหากัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นจากคนอย่างมันครับ เพราะไอ้กัสมันมีความสามารถเรื่องยิ้มให้ปากฉีกถึงรูหูได้.... ล้อเล่นนะครับ คนบ้าอะไรทำแบบนั้นได้ล่ะ เอ้อ...

                "ใช่" แต่ผมคงจะคิดไปเองเพราะตอนนี้มันก็กลับมาแสดงความสามารถนั้นอีกครั้ง

                "ทำงานกับซิน อย่าลุ่มล่ามเพราะซินไม่ชอบ อย่าพยายามเกาะติดเขาจนเกินไป เขาจะรำคาญ นายต้องเว้นระยะส่วนตัวให้เขานิดนึง แล้วก็สังเกตความรู้สึกจากสีหน้า อันนี้อาจจะดูยากนิดหน่อย ถ้าไม่ชอบหรือไม่พอใจเรื่องอะไรจะขมวดคิ้วนิดๆ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นเอง แล้วที่สำคัญ อย่าปล่อยให้พวกศิลปินผู้ชายคนอื่นเข้ามาเกาะแกะมากนัก ซินปฏิเสธเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่นาย ที่ต้องกันคนพวกนี้ออกไป"

                พูดไปผมก็มองนู่นมองนี่ไป โดยที่ไม่ได้สนใจไอ้คนฟังหรอกนะว่ามันจะทำหน้าแบบไหนอยู่ ผมก็บอกมันไปเท่าที่ผมรู้นั่นแหละ ไม่อยากให้ทั้งมันและซินทำงานด้วยกันลำบาก เพราะไอ้กัสมันเป็นเด็กยังไงทุกคนก็รู้ เป็นห่วงทั้งคนรักทั้งน้องนี่แหละครับ

                "รู้จักกันดีจังเน้อะ" ไอ้แสบมันพูดขึ้นผมเลยหันไปมองหน้ามัน ซึ่งมันก็มองผมอยู่เหมือนกัน ก่อนที่มันจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และยกสองมือขึ้นบิดขี้เกียจ แหงนคอพิงกับพนักพิงม้าหิน เงยหน้าขึ้นมองฟ้า

                "ไม่รู้ได้ไงวะ ทำงานด้วยกันตั้งนาน"

                "อิจฉาเน้อะ ได้ทำงานด้วยกัน แถมยัง..." ผมนิ่งรอให้มันพูดจนจบแต่มันก็ไม่ยอมพูด

                "แถมยังอะไร"

                "เปล่า เดี๋ยวคอยดูนะ จะตีซี้พี่ซินจนให้ลืมพี่นัทไปเลย" ผมหัวเราะกับคำพูดไอ้เด็กน้อยเบาๆ

                ยากว่ะไอ้หนู เรื่องนั้นอ่ะ

                "พี่นัท" เสียงนิ่งที่เรียกชื่อกันทำให้ผมหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง

                "หือ"

                "พี่กับพี่ซิน..." คิ้วกระตุกทันทีครับกับคำเกริ่นที่เริ่มขึ้นมาแบบนี้ มันคงไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาใช่มั้ย หรือว่าผมแสดงออกมากไป ผมพูดมากไปเหรอเรื่องซิน ก็แค่อยากแนะนำงานน้องก่อนเฉยๆเองนะ เอ๊ะ หรือที่ซินมาวันนั้น หรือว่า....

                ในหัวมันตีกันยุ่งไปหมดครับ ไม่อยากให้มันรู้ เพราะถ้ามันรู้ พ่อกับแม่ของผมก็อาจจะรู้...

                แต่มันก็เกริ่นขึ้นมาแค่นั้น และไม่ยอมถามต่อ

                "อะไรกัส"

                "เป็นแฟนกันเหรอ"

                ........ เหมือนได้ยินเสียงหวูดรถไฟอยู่ในหัว เคยเป็นมั้ยครับ ในหัวมันขาวโพลน คิดอะไรไม่ออกขึ้นมากะทันหัน นี่มันรู้ ตั้งแต่เมื่อไหร่... แล้วพ่อกับแม่ผมรู้มั้ย แล้ว แล้ว...

                "ผมไม่ได้บอกใคร ผมแค่สงสัย เลยอยากจะลองถามพี่ดู" เสียงไอ้แสบลอยเข้ามาในหูทำให้ผมเลื่อนสายตาไปมองมันช้าๆ รอยยิ้มทะเล้นๆของมันหายไปแล้ว

                "เฮ้ย..."

                "ถ้ายังคิดว่าผมเป็นน้อง อย่าโกหก"

                ผมที่กำลังจะกลบเกลื่อนต้องหยุดลงทันทีเพราะคำพูดต่อมาของมัน...

                ใช่ ผมเห็นว่าไอ้กัสเป็นน้อง มันเป็นลูกของเพื่อนพ่อผม ซึ่งผมก็เห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ จนมันเข้ามาในโรงฝึกเนี่ยแหละเลยสนิทกันมากเป็นพิเศษ มันเป็นน้องชายคนหนึ่งที่บอกได้เลยว่าผมรักมัน มีเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นโรงพักผมก็ไปประกันตัวมันออกมา ช่วยกันปิดพ่อแม่มัน แล้วก็พ่อแม่ผมด้วย อีกอย่างมันเป็นเด็กร่าเริง ยิ้มง่าย ไม่แปลกหรอกถ้าใครๆจะเอ็นดู

                มันจ้องผมนิ่งๆ จนเป็นผมเองที่ต้องหันหน้าหนีหลบสายตามัน

                ผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เลย ไม่อยากให้ซินเดือดร้อน แฟนคลับซินชอบเรื่องนี้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเรื่องจริงๆมันแพร่ออกไป ทุกคนจะเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกวันนี้เรื่องคู่จิ้นนั่น เราก็ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับเขาคิดหรือจิตนาการกันเอาเอง ซึ่งแบบนั้นมันก็ดีแล้ว และผมก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นต่อไป

                แต่ไอ้กัสมันก็น้องผมคนนึง มันจะทำร้ายผมได้ลงคอเลยเหรอ...?

                ...ไม่หรอกมั้ง

                "คิดว่ามันเป็นยังไงมันก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ" ผมเลือกที่จะไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ปล่อยให้มันคิดไปเองน่าจะดีกว่าครับ

                "...งั้นก็คงคบกันอยู่จริงๆ"

                "...." ผมนิ่งมองออกไปข้างหน้าอย่างไม่ได้โฟกัสที่ตรงจุดไหน

                ผมไม่ได้กลัวเรื่องที่ใครจะรู้ว่าผมชอบผู้ชาย ผมไม่กลัวหรอกว่าคนอื่นจะมองผมยังไง ผมแคร์แค่ซิน ไม่อยากให้ใครมองซินของผมไม่ดี และอีกอย่าง ผมแคร์ครอบครัว... ผมไม่รู้ว่าถ้าพ่อกับแม่รู้เรื่องนี้แล้ว พวกท่านจะว่ายังไงนะ จะโกรธผมมั้ยที่ผมคงมีหลานให้พวกท่านอุ้มไม่ได้ แต่จะมีลูกสะใภ้ที่น่ารัก และร้องเพลงเพราะสุดๆแทน

                "ทำไมต้องเป็นพี่ซินด้วยล่ะ เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ" กัสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับว่ากำลังรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าขึ้นมา แต่ผมดันได้ยิน

                "ถ้าเป็นคนอื่น มันก็คงจะง่ายกว่านี้..."

                นี่มันกำลังพูดเรื่องอะไรครับ... บอกผมที

                "ง่ายสำหรับอะไร...?" อยากบอกนะว่ามัน...

                "พี่นัท... ผม...."   


                 "อย่าบอกนะว่าชอบซิน" ผมรีบถามออกไปก่อนที่มันจะพูดอะไรได้หมด ไอ้กัสนิ่งไปนิด และปล่อยขำก๊ากออกมา

                มีเรื่องอะไรน่าตลกวะ? ผมซีเรียสและจริงจังมากนะ

                "ขำไรไอ้กัส ฉันจริงนะเว่ย"

                "พี่นัทแม่งโง่ป่ะวะ" ไม่ต้องรอให้สมองประมวลครับ มือมันลอยไปตบกระบาลไอ้เด็กปากหมานี่เองโดยอัตโนมัติ

                "ลามปามและมึง สรุปอะไรยังไง พูดมาให้มันชัดเจน"

                "ก็แล้วถ้าผมชอบพี่ซินจริงพี่จะว่าไง"

                "ข้าก็จะกระทืบเอ็งให้ตายตรงนี้แหละ"

                "เพื่อที่ซินนี่ยอมฆ่าน้องเลยเหรอวะ"

                "เออ!!"

                เพราะรู้ว่ามันล้อเล่นก็เลยพูดออกไปแบบนั้น และเพราะคิดว่ามันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของผมอยู่แล้ว ก็เล่นหัวกันอยู่ทุกวัน แล้วแบบนี้จะต้องมามัวเกรงใจกันอยู่ทำไม

                แต่หรือว่าผมจะพูดแรงไป เพราะไอ้กัสหน้าจ๋อยลงไปทันที เฮ้ย... ผิดปกติแล้ว

                "เป็นไร อย่าสำออยว่ะ พูดแค่นี้อย่ามาทำจ๋อย"

                "แล้วถ้าผมบอกว่าผมชอบพี่ พี่จะว่ายังไง" ผมชะงักกับประโยคต่อมาของมันที่โผล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันบอกว่าอะไรนะ เช้านี้อากาศดีเหมาะแค่การเล่นน้ำฝน หรือว่า วันนี้ฝนตกเหมาะแก่การตากผ้า

                ผมไม่เข้าใจ มันว่าอะไรนะ...

                "...."       

                "พี่นัท..."

                "เฮ้ย แม่ให้ไปหานี่หว่า ลืมไปเลย" ผมพูดก่อนที่จะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั้น ตอนนี้ ผมยังไม่พร้อมจริงๆ

                ยัง... ไม่อยากได้ยินอะไร

                แต่ก่อนที่ผมจะเดินไปไหนได้ อีกคนกลับรั้งแขนผมเอาไว้ก่อน ทั้งๆที่มันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแบบนั้น ผมตัวแข็งไปเลย ความรู้สึกตอนนี้ อยากจะสะบัดออกก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้อยากให้จับอยู่อย่างนี้ แต่ตอนนี้แขนมันหนักมากจริงๆครับ หนักไปทั้งแขน หนักไปทั้งตัว หนักไปทั้งใจ...

                "วันนี้คุณป้าไม่อยู่... อยู่แต่ลุง"

                เออ... จริงด้วย แม่ผมออกไปหาเพื่อน ลืมไปซะสนิท เอาไงดีล่ะทีนี้

                "คุยกันก่อนได้มั้ย" น้ำเสียงของคนที่เคยร่าเริงมาตลอดหม่นลงไปอย่างเห็นได้ชัด

                แต่ผมยังไม่พร้อม เรื่องนี้มันบ้าชัดๆ มันอาจจะกำลังแกล้งผมอยู่ก็ได้ จะเป็นไปได้ยังไง ก็ผมเห็นมันอยู่ทุกวัน ไล่เตะไล่ต่อยกันมาทั้งแต่มันยังเด็กๆ แล้วเรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไง ไม่จริงอ่ะ...

                ผมส่ายหัวไปมา และดึงแขนออกจากมือกัส ผมจำเป็นจะต้องไปจากตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ไม่ไหวแล้ว

                แต่ทันทีที่ผมก้าวขาออก ไอ้กัสก็วิ่งอ้อมมาดักหน้าผมเอาไว้ พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้าง

                "ผมชอบพี่ ชอบมานานแล้ว แล้วก็ชอบมากด้วย ผมไม่ได้คิดที่จะบอกเพราะผมกลัว... ผมกับพี่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เลยคิดว่าเรื่องแบบนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าพี่กับพี่ซินกลับ... ผมก็เลย..."

                "พอแล้ว! ฉันว่าวันนี้แกอาจจะกินยาผิดขวดมา หรือว่าอาจจะเดินชนเสา หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ช่างหัวมัน! ถือซะว่าฉันไม่ได้ยินที่แกพูดเมื่อกี้นี้แล้วกัน ฉันจะกลับขึ้นห้อง แล้วคิดซะว่าเราไม่ได้มาที่ตรงนี้กัน" ผมพูดโดยที่เหม่อมองออกไปด้านหลังกัส ไม่กล้ามองหน้ามันจริงๆครับ

                แค่จะก้าวขา ยังแทบจะยกเท้าไม่ขึ้นเลย นี่มันบ้าชัดๆ...

                แขนสองข้างของกัสหุบลงช้าๆ ในขณะที่ผมเดินผ่านมันออกมา และทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง ผมอาจจะกำลังฝันอยู่ ตอนที่พ่อมาหาผมที่ห้องและออกไป ผมไม่ได้ลงมาที่ยิม แต่ผมนอนลงและหลับไป ผมไม่ได้เจอไอ้กัส หรือพูดคุยเรื่องอะไรกับมันทั้งนั้น ไม่ได้รู้ ไม่ได้รับฟัง ...ว่ามันชอบผม

                มารู้ตัวอีกที ผมก็กลับขึ้นมาบนห้องนอนซะแล้ว ทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างหมดแรง

                ทำไม... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเป็นมัน...

                ทำไมมันถึงต้องชอบผม แล้วทำไมผมถึงไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย...

                แล้วผมจะรู้ได้ยังไง มันไม่เคยมีท่าทีที่แสดงไปทางแนวนั้นมาก่อนเลย ไม่เคยเลย น้องของผม ที่ผมรักเป็นห่วงมันในฐานะน้องชาย ...ชอบผม ผมควรจะทำยังไงดี ปล่อยให้มันเลยผ่านไปอย่างที่ผมบอกมัน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรต่อไปดีมั้ย หรือผมควรจะห่างจากมันไปเลย

                ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆนะ ต่อไปนี้ผมจะมองหน้ามันได้ยังไงโดยที่ไม่นึกถึงเรื่องวันนี้ จะต้องทำยังไงถึงจะลบคำว่าชอบที่มันบอก ออกไปจากหัวผมได้

                "โอ้ยยยยย" ถึงกับต้องฉีกทึ้งหัวตัวเอง

                แต่ก่อนที่ผมจะกระชากหัวตัวเองหลุดติดมือมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซะก่อน เป็นโทรศัพท์ที่มาจากงานใหม่ในวันพรุ่งนี้ โทรมาบอกรายละเอียดต่างๆที่ผมต้องทำ ผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่สิบโมง เพื่อไปรับคุณโอลีฟ ซึ่งผมได้เห็นหน้าตาเธอจากที่พ่อเอามาให้ดูแล้ว สวยสมเป็นดาราดังแหละครับ ผมต้องไปรับเธอไปที่ร้านทำผม แต่งหน้า และทุกๆอย่างเพื่อทำให้เธอสวยที่สุด และพาเธอเข้างานตอนบ่ายสามโมง ไม่ทราบว่าแต่งตัวอะไรกันนานขนานนั้นครับ ลอกผิวออกมาทำความสะอาดหรือไง ซินของผมไม่เห็นนานขนาดนี้เลย

                เมื่อนัดแนะกับผู้จัดการของทางฝ่ายนู้นจนสำเร็จผมก็วางสายไป กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

                ไม่รู้ทำไม อยากได้ยินเสียงซินขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รอช้า ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเขาทันที แต่คราวนี้ปลายสายกลับไม่รับโทรศัพท์ อาจจะเข้าห้องน้ำอยู่ รออีกสักพักค่อยโทรไปละกัน...

                ผมทิ้งตัวลงนอนกับเตียง มองเพดานสีขาวอยู่อย่างนั้น

                นอนเล่นไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อคนโทรเข้าทำให้มุมปากผมยกขึ้นในทันที

                "โทรหาเค้า คิดถึงเค้าเหรอ"

                (งั้นแค่นี้นะ)

                "ซินอ้ะ เอะอะก็จะวาง"

                (ก็กวนประสาทกันก่อนทำไม)

                "ยอมรับว่าคิดถึงกันบ้าง"

                (จะให้คิดถึงอะไรกันบ่อยๆ ก็เพิ่งจะคิดถึงกันไปเมื่อกี้)

                "ฉันคิดถึงนายทั้งวันนั่นแหละ ...อยากกอดจังเลยซิน" อยากเห็นหน้า ไม่ได้อยากได้ยินแค่เสียงเลย อยากกอดตัวนุ่มๆของซิน แล้วก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเลย ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว มีแค่ซินคนเดียวก็พอ

                (เป็นอะไรเนี่ย โทรมาอ้อนกันทำไม)

                "คิดถึง"

                (รู้แล้วๆ คิดถึงขนาดนั้นก็มาหาเลย)

                "อย่าล้อเล่น เดี๋ยวทำจริงนะ"

                (ป๊าอยู่นะ กล้าเหรอ)

                "ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว"

                (หึหึ) เสียงหัวเราะจากปลายสายทำให้ผมยิ้มตาม

                "ซิน... สมมติว่าถ้าคุณโอ๊ตแอบรักซินอ่ะ ซินจะทำยังไง"

                (ห๊ะ) ผมได้ยินเสียงอุทานจากอีกฝ่ายดังลั่นอย่างตกใจ เฮ้ย... อะไรจะตกใจปานนั้น

                (นัทพูดเรื่องอะไรอ่ะ พูดภาษาซาอุดิอาราเบียหรือเปล่าเมื่อกี้นี้) เห็นมั้ยครับ ขนาดซินที่ไม่ใช่คนตลกยังเล่นมุขเลย เรื่องแบบนี้ทำให้ช็อกจนคนเปลี่ยนได้เลยเห็นมั้ย

                "มุกนี้ฮามากครับซิน ขอขำให้สามที ฮะ ฮะ ฮะ เอาล่ะ ที่นี้ตอบคำถามได้แล้ว"

                (กวนตีนมากครับนัท)

                "ไม่เอา ไม่กวนกันดิ อยากรู้คำตอบจริงๆ ถ้าคุณโอ๊ตชอบซินซินจะทำไง"

                (นัทจะบ้าเหรอ พี่โอ๊ตจะมาชอบเราได้ไง ตลกแล้ว พูดเรื่องอะไรเนี่ย ขนลุกว่ะ)

                "บอกว่าสมมติไง สมมติ"

                (ไม่ต้องสมมติอ่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก)

                "แล้วถ้ามันเป็นไปจริงๆอ่ะ"

                (เราก็จะบอกเขาไปตรงๆว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพี่โอ๊ตมีลูกมีเมียแล้ว)

                "เฮ้ยจริงดิ!" ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณโอ๊ตมีลูกมีเมียแล้ว จริงดิ เรื่องใหม่สำหรับผมเลยนะเนี่ย เห็นแกทำตัวชิลๆเปรียบเสมือนไม่มีพันธะ

                (เปล่า เราหลอก)

                = =

                "ซินครับ ไม่ใช่เวลาเล่นมุกจริงๆ"

                (ก็เห็นเสียงเครียดเลยอยากให้หัวเราะ ไหน บอกมาซิว่าเป็นอะไร ใครแกล้งครับ)

                "เด็กแถวหน้าปากซอยมันปล่อยยางรถ มาจัดการให้หน่อย"

                (ถามจริง!?)

                "อืม"

                (สมน้ำหน้า แล้วไปจอดรถอีท่าไหนน่ะ)

                ดูท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วครับ ออกทะเลไปทุกทีและ น่าแปลกที่วันนี้คนสวยของผมเล่นมุกไม่ยั้งเลย ปกติไม่ใช่อย่างนี้เลยนะเนี่ย

                "เป็นไรป่ะเนี่ย วันนี้มาแปลกนะ"

                (นัทนั่นแหละเป็นอะไร ทำไมดูเครียดๆ เรื่องวันพรุ่งนี้เหรอ ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงก็ได้เจอ)

                "ได้เจอ แต่เข้าใกล้ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ต่างกันอ่ะ"

                (ถามจริงๆนัท เป็นอะไร วันนี้งอแงนะ มีอะไรหรือเปล่า) เสียงซินนิ่งขึ้นมานิดนึงเพื่อที่จะเริ่มหาสาระให้การสนทนาครั้งนี้

                "มีเรื่องนิดหน่อย"

                (เกี่ยวกับที่พี่โอ๊ตชอบเรามั้ย)

                "เกี่ยวนิดนึง"

                (แล้วเราต้องกลัวมั้ย)

                "กลัวอะไรครับ"

                (กลัวว่าจะมีใครมาแย้งนัทไป)

                จากที่อารมณ์ขุ่นๆอยู่ยิ้มออกทันที

                "จะกลัวทำไมครับ ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว ขอตายในอกซินนี่แหละครับ"

                (แหม ควรจะดีใจดีมั้ย)

                "ซิน... คืนนี้นัทไปหาได้มั้ย แอบลงมาเปิดประตูให้หน่อยสิ" เกิดอยากเย้ยฟ้าท้าตายขึ้นมาซะอย่างนั้นครับ เรื่องวันนี้ทำให้ผมเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ

                (จะบ้าเหรอ จะมาทำไม)

                "น่านะ มีเรื่องไม่สบายใจ อยากเจอ"

                (งั้นก็มาตอนนี้ จะมาทำไมตอนกลางคืน)

                "อยากนอนกอด แล้วก็..."

                (พอเลย ไม่ต้องพูด พรุ่งนี้เรามีงาน ไม่ต้องมา อีกอย่าง ป๊าเจอเข้าแล้วจะยุ่ง)

                "ไม่เจอหรอก เดี๋ยวตอนตีสี่ตีห้านัทก็กลับไง ก่อนป๊าซินจะตื่น ไม่เจอหรอก"

                (แต่พรุ่งนี้เรามีงาน)

                "นะครับ..." เล่นลูกอ้อนที่มักได้ผลเสมอ... ซินเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบกลับมา

                (ตามใจ... อยากมาก็มา)

                >///< อนุญาตง่ายแบบนี้แอบคิดอะไรป่ะเนี่ยซิน... แต่ไม่กล้าถามครับ เดี๋ยวอด หลังจากนั้นเราก็คุยกันอีกสองสามคำก่อนที่ผมจะวาง หันมาดี้ด้าที่จะได้ไปหาซิน และพยายามลืมเรื่องที่ไม่อยากจะจำ...

                วันพรุ่งนี้จะเป็นยังไงกันนะ... ช่างเถอะ ไม่อยากสนใจ เพราะคืนนี้ผมจะไปหาเมีย! >< พูดแล้วเขินเลย อย่าบอกซินนะว่าผมเรียกเขาแบบนี้ เดี๋ยวโดนฆ่าตาย ฮ่าๆๆ

                หัวเราะได้สองสามทีก็ต้องกลับมาเสียงแหบเสียงแห้งตามเดิม โอ้ยยย เครียดโว้ยยยยย - -

                เกิดเป็นไอ้นัทนี่มันมีแต่เรื่องปวดหัว!!!     





TBC.
...
น้องกัส ... T..T
ไม่เอาไม่สปอย ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยค่าาา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-09-2013 17:31:38
น่ารักๆๆๆๆ
กัสอย่าสร้างเรืี่องเลยนะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 19-09-2013 19:08:48
แอบสงสารน้องกัสนะคะหาคู่ให้น้องที555//นัทหื่นตลอดแอบไปหาซินระวังจะเจอป๊าซินนะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 19-09-2013 21:52:43
ทำไมเราสงสารน้องกัสอ่ะ :sad11: กัสมันไม่ได้ผิดไรแค่มันไปรักคนที่เค๊ามีคนที่รักอยู่แล้วเอง

คงเจ็บน่าดูเลย แต่กว่าพี่นัทซินจะได้กลับมารักกันอีกแบบนี้ เค๊าทรมานมากเลยนะ

ความรักของพี่นัทซินเลยหนักแน่นแต่พี่นัทแค่ลำบากใจ พี่นัทเต็มปากเต็มคำมากไปนะคะ o18
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: fafin ที่ 19-09-2013 22:11:52
น้องกัสจะมาป่วนแค่ไหนเนี่ย    :serius2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-09-2013 01:12:09
 :hao7:


ห๋าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 21-09-2013 00:08:10
เห็นใจกัสนะ :mew2:

แต่อยากให้ถึงตอนกลางคืนแล้วอ่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน16 ทำไม [19/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 21-09-2013 03:57:46
อย่ามาม่าก็็พอ กำลังอิ่มจ้ะ

พี่ซินน่ารักเวลาคุยโทรศัพท์อ่ะ เขิลล์ :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 21-09-2013 23:46:54
17

((ระแวง))



                ด้วยความกล้าและบ้าบิ่น ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่บ้านซินเรียบร้อยแล้วครับ วันนี้ขับไอ้ลูกชายมา เอามาจอดแอบๆไว้ที่หัวมุมบ้านซิน มันมีต้นไม้บังอยู่ ไม่น่าจะหาย ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ทั้งบ้านปิดไฟหมดแล้ว ยกเว้นห้องของซินที่ผมกำลังยืนมองอยู่ตรงนี้ที่ยังคงมีแสงไฟสลัวๆจากโคมไฟหัวนอนอยู่ ไม่ต้องยืนบริจาคเลือดให้ยุงนานคนสวยของผมก็เดินมาเปิดประตูให้

                ผมเดินตามหลังซินเข้าไปในบ้านเงียบๆ ความรู้สึกเหมือนเด็กแอบทำความผิดเลยอ่ะ เหมือนกำลังจะหนีพ่อกับแม่ไปเที่ยวผับตอนกลางคืนกับเพื่อนเลย ต่างกันตรงที่ผมกำลังแอบย่องขึ้นหอกับซิน >.,<

                ทันทีที่ซินปิดประตูห้องผมก็คว้าเขามากอดจากด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวซินที่ผมคุ้นเคยทำให้สมองผมที่มันตึงเครียดมาทั้งวันผ่อนคลายลง คิดถึงมากจริงๆ

                "อื้อ นัท... อย่าสิ" ซินย่นคอหนีและปลดแขนผมออกเมื่อผมเริ่มซุกไซ้ไปที่ซอกคอขาว และเดินหนีไปยังเตียง ผมจึงเดินตามไปนั่งกอดเขาต่อ

                "เป็นอะไรเนี่ย อ้อนจัง" เสียงหวานถามขำๆก่อนจะเอนตัวลงมาพิงที่หน้าอกผม ผมจึงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น

                "คิดถึง"

                "ก็พอจะรู้ ไม่งั้นคงไม่ดั้นด้นมาจนถึงนี่ แต่ปกติเห็นทนได้ ทำไม...คราวนี้ทนไม่ไหวหรือไง"

                "อื้อ ทนไม่ไหว จัดเลยมั้ย" ผมแกล้งทิ้งตัวลงบนเตียงโดยลากเขาลงมาด้วย ทำให้คนตัวเล็กดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา

                "ไอ้บ้านี่! ทะลึ่งตลอด" มือเรียวเอื้อมมาตีแขนผมดังเพียะก่อนจะเขยิบไปนั่งไกลๆ

                "ซิน มาใกล้ๆหน่อย อยากกอด" ผมตบเตียงข้างๆตัวเรียกเขามาใกล้ๆ แต่ซินกลับเบ้ปากและส่ายหน้า

                "ไม่เอา ไม่ปลอดภัย"

                "แหม ก็น่าจะรู้ว่าไม่ปลอดภัยตั้งแต่ยอมให้มาแล้วล่ะ" ในเมื่อเขาไม่เขยิบมา ผมไปหาเขาเองก็ได้

                คว้าซินเข้ามากอดอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้อีกฝ่ายยอมอย่างว่าง่าย แถมยังยกมือขึ้นมาลูบแขนผมเล่นไปมาอีก

                "มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ บอกเราได้นะ"

                "มีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อย"

                "เรื่องอะไร" หัวทุ่ยเงยหน้าที่พิงอกผมอยู่ขึ้นมามอง ผมเลยบีบจมูกโด่งๆนั่นไปเบาๆ

                "ไม่บอกหรอก" ผมบอกเขาไปแบบนั้นก่อนจะบีบจมูกเขาและส่ายไปมา

                ที่ไม่อยากบอกไม่ใช่เพราะกลัวจะโกรธ แต่ผมไม่อยากให้ซินไม่สบายใจ อีกอย่างพรุ่งนี้ทั้งสองคนต้องทำงานร่วมกัน ผมไม่อยากให้ซินอึดอัด ไม่รู้ว่ากัสจะวางตัวแบบไหนในวันพรุ่งนี้ แต่ผมมั่นใจได้ว่าพ่อผมสอนมันมาดี เรื่องงานก็ส่วนเรื่องาน เรื่องส่วนตัวก็ส่วนเรื่องส่วนตัว กัสน่าจะแยกแยะได้ น้องคงไม่ทำให้ซินลำบากใจ

                ผมคิดว่างั้นนะ...

                "ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ได้อยากรู้" มือเรียวปัดมือผมออกจากจมูกเขา และคว้ามือข้างนั้นไปคลึงเล่น ผมก็ปล่อยให้เขาจับนิ้วผมเล่นไปมาอยู่อย่างนั้น การที่ได้อยู่กับซินแบบนี้ ทำให้ผมรีบเรื่องแย่ๆไปเลยครับ แค่ได้อยู่ใกล้ๆซิน ผมก็มีความสุขแล้ว เพราะแบบนี้ไง วันนี้เลยกล้าตายมากเป็นพิเศษ

                "ซินรู้จักโอลีฟมั้ย" ผมถามเขาถึงนายจ้างคนใหม่ของผมวันพรุ่งนี้ ซินอาจจะเคยเห็นเขาผ่านหน้าผ่านตามาบ้าง

                "รู้จัก เคยเจอกันครั้งนึงตอนงานประกาศรางวัลซีดอวอร์ด"

                "เป็นไง สวยมัย"

                "เซ็กซี่"

                "อืมมม ดีจัง" ผมลากเสียงยาวและพยักหน้าด้วยความพอใจ มือเล็กจิกเล็บลงบนหลังมือผมทันที

                "โอ๊ยยย ซิน เจ็บนะ! ฮ่าๆ ทำไม หึงเหรอ"

                คนสวยเหลือบมามองผมตาเขียวปั้ด และปัดมือผมทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย

                "ไม่เคยหึงอยู่แล้ว" น้ำเสียงอวดดีมาอีกแล้วครับ

                "ให้มันจริง..."

                "เพราะพรุ่งนี้พี่ดิวก็ไป"

                "อะไรน๊ะ!!"

                แหม ถึงแม้ว่าจะพูดเรื่องของบุคคลนี้เคลียร์ไปแล้วก็เถอะ แต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆทีได้ยินชื่อนี้ มันโผล่มาอีกแล้วครับ

                "เขาก็ได้รับเชิญไปในฐานะช่างภาพ ไม่เห็นจะแปลก" ผมหรี่ตามองซินนิดๆ ดันร่างบางนอนราบลงกับเตียงด้วยความไวแสงและตามไปคร่อมเขาเอาไว้

                ซินเบิกตากว้างทันที

                "ทำบ้าอะไร" กลีบปากสวยกัดฟันเอ่ยถามผมเสียงค่อย

                "อยากยั่วกันทำไม" ผมถามเขาด้วยรอยยิ้มกวนๆ พร้อมๆกับที่ลดใบหน้าต่ำลงเรื่อยๆ จนปลายจมูกเราชนกัน

                "ไม่ได้ยั่วซะหน่อย" ไม่ได้ยั่วเลยครับ ทำเสียงเซ็กซี่ใส่กันขนาดนี้ไม่ได้ยั่วเลย

                “งั้นฉันยั่วเอง...”  พูดจบผมก็ประกบปากเข้าหาเขาทันที โดยที่ซินเองก็เผยอปากรับสัมผัสรุกรานจากผมเช่นกัน

                ริมฝีปากเราบดเบียดเข้าหากันโดยที่ไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ซินจะเป็นฝ่ายผลิกตัวและดันขึ้นมาอยู่บนตัวผมแทน เล่นเอาผมตาค้างไปเลยครับ ซินกัดริมฝีปากล่างของผมที่หยุดไปซะเฉยๆ และเป็นฝ่ายรุกร้ำเข้ามาหาผม สองมือผมยกขึ้นจับเอวบางเอาไว้ ลูบไล้ไปมา ผมปล่อยให้เขาจูบนำอยู่อย่างนั้น และสอดมือเข้าชายเสื้อชุดนอนตัวบางของซิน สัมผัสเอวคอดที่ไม่มีสิ่งใดบดบัง

                ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับซินของผม ถึงได้กล้ามากขนาดนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยเลยตามเลยมากกว่าที่จะถามอะไรออกไป เพราะเกรงว่าโอกาสที่หายากแสนยากแบบนี้จะต้องจบลง ร่างบางกระตุกน้อยๆ เมื่อผมสะกิดผ่านตุ่มไตเล็กๆบนอกเขา และเลื่อนลงต่ำมาเรื่อยๆจนถึงขอบกางเกงนอนตัวเก่งของซิน และค่อยๆร่นมันลง พร้อมๆกับที่ริมฝีปากหวานของซินละออกจากผมและเลื่อนลงมาที่ลำคอ

                ลิ้นเล็กแตะที่ลำคอของผมเบาๆ แต่ด้วยสัมผัสเพียงเบาบางเช่นนั้นกลับปลุกไฟในตัวผมให้ลุกโชน ดันตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทำเอาร่างเล็กที่อยู่บนตัวผมผวาขึ้นมาเกาะคอผมเอาไว้อย่างตกใจ

                “อ๊ะ” ซินร้องออกมาได้แค่นั้นเพราะผมดันเข้าไปจนติดหัวเตียงและบดเบียดริมฝีปากเข้าหากลีบปากสวย ซอกซอนชอนไชเรียวลิ้วเข้าสำรวจจนทั่วโพร่งปากร้อน กางเกงนอนตัวบางถูกถอดเหวี่ยงกระออกไปข้างเตียงพร้อมๆกับกางเกงซับในตัวเล็ก ตามด้วยผมที่เข้าครอบครองส่วนอ่อนไหวของซิน

                “อ๊ะ... อ่า....” เสียงหวานครางกระเส่าเมื่อได้รับสัมผัสที่ถูกใจ ก่อนที่มือเรียวจะคว้าตะครุบปากตัวเองเอาไว้อย่างตกใจ ก็ห้องซิน ไม่ได้เก็บเสียงนี่ครับ...

                ผมลากไล้ปลายลิ้นขึ้นลงตั้งแต่โคนจรดปลาย และดูดเม้มที่ส่วนปลายเบาๆ ระเรงลิ้นอยู่ตรงส่วนนั้น เล่นเอาตัวคนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่บิดตัวเล่าๆในทันที 

                “อื้อ... นัท ยะ อย่าแกล้ง...”

                เมื่อได้ยินเสียงหวานขาดห่วงผมก็เร่งจัวหวะในการขยับปากมากยิ่งขึ้น มือเรียวสวยเอื้อมมาขยุมหัวผมไว้อย่างลืมตัว และดันหัวผมเบาๆเพื่อให้ผมขยับไปตามที่เขาต้องการ ร่างบางเริ่มเกร็งตัว และดันหัวผมเร็วขึ้น แต่ยังครับ...

                ครั้งนี้ ผมยังไม่ให้เขาไปก่อน ทันทีที่คิดได้แบบนั้นผมก็หยุดการเคลื่อนไหวลง และถอนริมฝีปากออกจากแท่งร้อนของซิน ดันตัวขึ้นจูบเขาเบาๆ คนตัวเล็กกว่าจิ๊อย่างขัดใจ และบดริมฝีปากเข้าหาผมอย่างแรง

                “นัท... เราไม่ไหว” เสียงหวานที่เลื่อนมากระซิบข้างหูกันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงแปร๊ด ทำเอาผมยิ้มปากแทบจะฉีกไปถึงใบหู ก็เคยเห็นซินเชิญชวนขนาดนี้ที่ไหนกันครับ

                “แล้วอยากให้นัททำยังไงครับ” เลยอดไม่ได้จริงๆที่จะแกล้งแหย่เขาออกไป ปากบางไม่ตอบแต่กลับเคลื่อเข้ามางับปากล่างผมไปกัดเบาๆแทน

                เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากผมได้ไม่ยากเลยครับ ก็ถ้าจะอ้อนกันได้น่ารักขนาดนี้อ่ะนะ

                “อยากให้จูบเหรอ” ผมถามเขาทั้งที่ปากเรายังไม่ห่างกัน...

                คนสวยตีหน้ายุ่งและถอยหน้าออกไปทันที เอาแล้วไง... มาดนางพยามาอีกแล้ว

                และก่อนที่ผมจะได้แหย่อะไรเขาต่อ ผมกลับต้องเป็นฝ่ายช็อคแทนเมื่อมือเรียวดันอกผมลงกับเตียงอย่างแรง และกระชากเสื้อยืดผมออกอย่างง่ายดาย ลิ้นเล็กตามมาแตะสัมผัลลากวนไปมาบนหน้าอกผม

                “อืมม” เก็บอาการไม่ทันกันเลยทีเดียว

                เฮ้ย... ผมว่าซินกินยาผิดขวดแน่ๆเลยครับ ใครเอาอะไรให้ลูกแมวน้อยของผมกินจนกลายเป็นนางแมวยั่วสวาทแบบนี้เนี่ย

                ริมฝีปากเล็กเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆพาอารมณ์ผมกระเจิดกระเจิงไปหมด จนมือบางแตะเข้าที่ขอบกางเกงผมเท่านั้นแหละ รีบไปคว้าตัวบางขึ้นมาแทบไม่ทัน

                “พอแล้วครับ”

                “ทำไม...” ดวงตากลมโตเงยขึ้นมาถามกัน แก้มนั่นก็แดงจนไม่รู้ว่าจะแดงยังไงแล้วครับ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านี่ใคร! เอาซินตัวจริงของผมไปซ่อนไว้ที่ไหน

                “พอแล้วนะ ซินไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก นัทแหย่เล่น” ผมยิ้มให้เขานิดๆ จูบลงไปบนหน้าผากมนเบาๆ แต่เพราะเสียงหวานที่บ่นอุบอิบออกมาทำให้ผมกดเขาลงกับเตียงอีกครั้งแทบไม่ทัน

                “...รู้ว่าอยากโรแมนติก แต่เราไม่ไหวแล้วนะ อึดอัด...”

                แบบนี้มันต้องจัดทั้งคืน!!

 
                ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีนวลที่เปิดแอร์จนเย็นเฉียบแต่กลับไม่สามารถกลบความร้อนภายในกายจากคนสองคนได้เลย ร่างสองร่างที่กอดรัดกันอยู่บนเตียงด้วยความรักใคร่ เหงื่อไครที่ไหล่หยดลงบนกายของกันและกัน ลมหายใจร้อนปัดเป่าความทุกข์ที่เคยบดบังอยู่ออกไปจนหมด นี่หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่าอานุภาพแห่งรัก...

                  ผมมองใบหน้าหวานที่คิ้วขมวดมุ่นเพราะความรู้สึกที่มีตอนนี้ ซินตอนนี้เซ็กซี่เกินกว่าที่ผมจะคาดสายตาได้จริงๆ ไหนจะยังเสียงหวานๆของเขาที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มเขาหากันจนแน่น คางมนเชิดขึ้นทุกครั้งที่ผมพาตัวเองเข้าไปจนสุด มือเล็กจิกลงบนแขนและหลังผมเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังท่วมท้นอยู่ตอนนี้

                สวย... สวยมากจริงๆครับ

                ไม่ใช่ว่าผมหลงไหลซินจนไม่ว่ามองอะไรเขาก็สวยไปหมด แต่ซินของผมสวยจริงๆครับ ซินคนนี้ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ค้นพบ

                “อื้อ...นัท...” เสียงเรียกชื่อจากเขาครั้งแลวครั้งเล่าทำเอาผมแทบคลั่ง และเร่งจังหวะขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เริ่มจะอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จนคนด้านล่างดิ้นพล่าน ผมใส่จังหวะสุดท้ายเข้าไปจนสุดสองสามครั้ง และปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกันกับซิน...

                ความปรารถนาที่มีถูกปลดปล่อยออกไป ก่อนที่ความปรารถนาครั้งใหม่จะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

                ผมไม่รู้ว่าคืนนี้ผมกอดซินไปกี่ครั้ง แต่ไม่ว่าผมจะกอดซินเท่าไหร่ หรือว่ากอดแน่นแค่ไหน ผมกลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ... ผมต้องการเขามากขึ้น ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที..


                 "...."

                "น...ท..."

                "...นัท"

                ผมค่อยๆปรือขึ้นมาตามเสียงเรียกกับแรงเขย่าแขนเบาๆของซิน คนสวยที่ผมยุ่งเหยิงอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ตีสีหน้ายุ่งนั่งอยู่ข้างผม เพลียจริงๆครับ แทบไม่อยากลุกจากเตียงเลย สงสัยเพราะเมื่อคืนเสียน้ำเยอะ -,,-

                 "ตื่นได้แล้ว ตีสี่แล้วเนี่ย เดี๋ยวป๊าตื่นขึ้นมาแล้วจะยุ่ง"

                "อืม.." ผมรับคำเบาๆก่อนจะลุกขึ้นนั่ง พลางสะบัดหัวไปมาไล่ความมึน

                "ไปล้างหน้าล้างตาแล้วแต่งตัวเร็วๆเข้า เราจะไปได้นอนต่อ เดี๋ยวไปทำงานไม่ไหว"

                ผมยิ้มกริ่มหันไปมองหน้าซิน

                "ไปทำอะไรมาเหรอ ถึงจะไม่ไหว" แซวเขาไปแบบนั้นก็ได้รอยข่วนจากแม่แมวยั่วสวาทที่สิ้นฤทธิ์มาอีกหนึ่งที

                "ไปได้แล้ว เร็วๆเลย" คนสวยขี้อายดันผมลงจากเตียงและล้มตัวลงนอนต่อ ผมเลยเดินไปจุ๊บปากเขาหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้และเดินเข้าห้องน้ำไป

                .................

                หลังจากที่ซินเดินลงมาส่งผมก็ขับรถกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ขอนอนต่ออีกสักหน่อยแล้วกันครับ ไม่งั้นเดี๋ยวไปยืนหลับแน่ๆ ยิ่งถนนโล่งๆแบบนี้ บิดได้เต็มที่เลยครับ แต่พอขับมาได้สักพัก คำพูดของใครบางคนตอนก่อนออกมาก็ลอยเข้าในหัว

                'ถ้ารู้ว่าขับรถเร็ว จะแช่งขอให้แฟนไม่รัก' ใบหน้าหวานตอนชี้หน้าคาดโทษกันลอยมาทันที

                อุ่ย... ชะลอแทบไม่ทัน

                ทันทีที่ถึงบ้านก็หลับเป็นตาย แทบจะไม่อยากเห็นเดือนเห็นตะวัน แต่สุดท้ายก็ต้องตื่น เพราะมีงานที่ต้องทำ หลังจากที่ลากสังขารตัวเองขึ้นจากเตียง แต่งเนื้อแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยก็ลงมาที่ด้านล่าง แต่ก็ต้องชะงักขาหยุดอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้าย เพราะไอ้คนที่มันนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพ่อสองคน

                มันแต่งชุดพร้อมทำงานเรียบร้อยแล้วครับ เพิ่งเคยเห็นมันใส่ชุดนี้ครั้งแรกนี่แหละ ดูดีที่เดียวเลย เหมาะกับมันมากๆ เพราะมันเป็นคนตัวสูง และหุ่นดีด้วยแหละ แต่ขอโทษ...หล่อน้อยกว่าผมว่ะ เห็นมันวางท่าบอดี้การ์ดแล้วอดขำไม่ได้จริงๆพอนึกถึงตอนที่มันพยายามจะลอบทำร้ายผม หึหึ ไอ้เด็กน้อยเอ๊ยยย

                แต่แล้วความคิดทั้งหมดก็หยุดลงเมื่อกัสเงยหน้าขึ้นมาเจอผมเข้า ความรู้สึกกระวนกระวายที่ถูกส่งออกมาทางสายตาทำเอาเรื่องที่หลังโรงฝึกนั่นตามมาหลอกหลอนผมทันที

                เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะขยับปากพูดอะไรสักอย่าง ผมก็รีบชิ่งพูดขึ้นตัดหน้ามันซะก่อน     

                "พ่อ ผมไปแล้วนะ" ยกมือไหว้พ่อเสร็จ ผมก็เดินออกจากบ้านทันที ไม่ได้สนไปไอ้กัสที่มองตามหลังมา ทั้งๆที่คิดว่าจะลืม ทั้งๆที่คิดว่าจะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่มันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ...

                ผมจอดรถที่หน้าบ้านของนายจ้างคนใหม่ที่นัดผมเอาไว้ ไม่นานร่างบางในชุดเซ็กซี่นิดๆก็เดินออกมา ผมรีบก้าวลงจากรถเพื่ออ้อมไปเปิดประตูให้เธอ

                โอลีฟหันมายิ้มให้ผมนิดๆก่อนจะเดินขึ้นรถมา สวยจริงๆแหละครับ แล้วก็เซ็กซี่เหมือนที่ซินบอกเป๊ะๆเลย

                ผมกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้ง และออกรถมา ไม่นานก็ถึงร้านที่โอลีฟนัดเอาไว้ หลังจากนี้ก็หมดหน้าที่ของผมแล้วครับ ทำได้แค่นั่งคอยอย่างเดียวแล้วตอนนี้

                แต่ตอนนี้ไอ้นัทกำลังมีปัญหาอีกแล้วครับผม... คือว่า ร้านนี้ประชากรพนักงานส่วนใหญ่เป็นชายไทยหัวใจสาวครับ เข้าใจใช่มั้ย แล้วตอนนี้ก็ยังค่อนข้างเช้าอยู่ ลูกค้าคนอื่นเลยยังไม่ค่อยมี ทีนี้พนักงานก็ว่างงานสิครับ คือผมก็ไม่เข้าใจอ่ะนะว่าที่ในร้านก็มีเยอะแยะ แต่จะมาเดินเฉียดอะไรใกล้ๆผมกันบ่อยๆ

                เดี๋ยวมาหยิบของ เดี๋ยวมาจัดโต๊ะ นั่นนู่นนี่ และทุกครั้ง จะต้องมีอวัยวะร่างกายสักส่วนหนึ่งแหละมาเฉียดโดนไอ้นัททุกครั้งไป... เอ่อ ต้องการอะไรจากผู้ชายคนนี้ครับ

                "แหม คุณบอดี้การ์ดนี่หล่อจังเลยนะคะ"

                เอ่อ..ครับ ไปไม่เป็น และตอบไม่ถูกกันเลยทีเดียว เพื่อความปลอดภัย ยิ้มเล็กๆกลับไปเท่านั้นพอครับ

                "คุณน้องโอลีฟนี่โชคดีจังเลยนะคะ มีบอดี้การ์ดหล่อขนาดนี้ นี่ถ้าเป็นพี่ล่ะก็ คงไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน" คุณช่างทำผมก็ทำผมไป ส่องผมผ่านกระจกไป ขอโทษนะครับ ระวังไอ้แท่งๆทำผมนั่นมันจะทิ่มหน้าสวยๆของโอลีฟไปซะก่อน

                โลอีฟที่ได้ยินช่างพูดแบบนั้นก็เหลือบตามาสบกันผมผ่านกระจกเช่นกัน ก่อนจะยิ้มกว้าง               

                "นั่นสิคะ  โอลีฟก็ยังกลัวๆอยู่ นี่บอกว่าจะมาเป็นบอดี้การ์ดให้แค่วันเดียวเนี่ย เสียดายจัง..." สายตาที่ส่งผ่านกระจกมาเริ่มเปลี่ยนไปนิดๆ หรือว่า ...ผมคิดไปเอง

                "อุ๊ยต๊ายยย พูดแบบนี้กระเทยแถวนี้ก็อดสิคะ ตายกันเป็นแถบๆแล้วเห็นมั้ย"

                "แหม พี่ลิลลี่ก็พูดไป โอลีฟก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละค่ะ"

                "ก็แหม น้องโอลีฟสวยเซ็กซี่ขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธได้ล่ะคะ ใช่มั้ยคะคุณบอดี้การ์ดสุดหล่อ" ประโยคแรกก็จีบปากจีบคอพูดไป และประโยคสุดท้ายนี่หันมาถามผม

                "เอ่อ...ครับ" ก็ต้องตอบไปตามมารยาทใช่มั้ยครับ

                "ต๊ายยยย กระเทยแซดดด"

                แล้วหลังจากนั้นเขาก็คุยกันตลกโปกฮาไปเรื่อยๆ ผมเองก็โดนแทะเล็มไปเรื่อยๆด้วยเหมือนกันครับ เฮ้อ... คิดถึงซินขึ้นมาซะแล้วสิเนี่ย หลังจากที่รอจนลากงอกได้เป็นไม้ยืนต้น ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ตอนนี้โอลีฟสวยมากๆในชุดราตรีสีครีมที่ยาวลากพื้น แต่รัดรูปมากๆครับ เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งได้ทุกสัดส่วนจริงๆ

                แต่สาบานได้ว่าผมไม่ได้แอบมองเลย แค่ผ่านตาเฉยๆเอง

                ทันทีที่มาถึงงาน โอลีฟก็ถูกทุกสายตาจับจ้องในทันที แสงแฟลชจากทั่วทิศทางสาดมาแบบไม่ยั้ง ทำเอาผมที่ยืนอยู่ห่างๆตาบอดไปชั่วขณะ และไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ คุณโอลีฟเธอก็เดินมาคล้องแขนผมซะอย่างนั้น!!

                "เอ่อ..." ผมที่กำลังจะเอ่ยถามท้วงก็ต้องหยุดลงเพราะคำอธิบายของเธอ               

                "มันเป็นธรรมเนียมน่ะ ที่จะคล้องแขนบอดี้การ์ดและให้พาเข้างาน"

                ธรรมเนียมประเภทไหนครับ ทำไมผมไม่เคยได้ยิน แต่ช่างเถอะ! ผมก็ไม่ได้ทำงานในวงการนี้ จะไม่รู้ก็ไม่แปลก แค่ทำหน้าที่วันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ พรุ่งนี้จะได้กลับไปทำงานกับซินแล้ว ผมพาเธอเดินเข้ามาเรื่อยๆจนถึงด้านใน มีดารา นักร้อง ได้รับเชิญมางานนี้เยอะมากครับ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของสินค้าต้องการที่จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ มองหาอยู่ไม่นานก็เจอซิน คนสวยของผมมักโดดเด่นท่ามกลางผู้คนเสมอจริงๆ

                 ซินในชุดสีขาวทั้งชุด และเก็บผมด้านข้างขึ้นไปหน่อยนึงดูดีมากๆทีเดียวครับ เห็นแล้วอยากจะเข้าไปหา แต่ผมไปไม่ได้ เพราะวันนี้คนที่ผมต้องอยู่ข้างๆไม่ใช่เขา ...เศร้าเลย

                โอลีฟเดินไปทักทายกับคนนู้นทีคนนี้ที ผมก็มีหน้าที่แค่เดินตามเขาไปเท่านั้น จนตอนนี้ที่เธอเดินเข้าไปทักใครสักคนที่ผมเคยเห็นเขาผ่านในทีวีแว๊บๆแต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆผมตอนนี้คือซิน...

                ซินที่โดนชายหนุ่มรุมล้อมอีกเช่นเคย มองเลยไปนิดก็เห็นกัสยืนอยู่ใกล้ๆซินเช่นกัน มันกำลังมองมาทางนี้... ผมมองหน้ามันนิ่งๆก่อนจะหันกลับมาเพราะเสียงเรียกของโอลีฟ

                "นัท กันผู้ชายคนนี้ให้ที ฉันไม่ชอบเขา เอาแต่จ้องหน้าอกฉันอยู่ได้" เสียงลอดไรฟันจากโอลีฟทำให้ผมหันไปมองชายคนนึงที่กำลังจะเดินเข้ามา ผมจึงเดินไปดักหน้าเขาเอาไว้ก่อนที่จะเข้าถึงตัวนายจ้างผม

                รังสีอำมหิตถูกแผ่ออกไปยังชายคนนั้น เขาชะงักไปนิด และเดินหลบฉากไป

                "ขอบใจนะ" เสียงขอบคุณเบาๆจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง จึงได้รับรอยยิ้มสวยๆตอบกลับมา

                สักพักบรรดาสาวๆที่น่าจะเป็นเพื่อนของโอลีฟก็เดินเข้ามา ผมถึงถอยห่างออกมาเพื่อให้พวกเธอได้คุยกัน ซินของผมก็ยังยืนอยู่ใกล้ๆแถวนี้แหละครับ เพียงแต่ตอนนี้ กัสกำลังพูดอะไรบางอย่างกับซินอยู่ และไม่ว่าเรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม แต่มันทำให้ซินของผมแสดงสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักออกมา

                อะไร... ไอ้กัสไปพูดอะไรกับซิน

                หวังว่า จะไม่ใช่เรื่องของผมนะ

                ซินหันมามองทางนี้ ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้ผมนิดๆ ก่อนจะหันกลับไป

                ไม่หรอกมั้ง... ผมคงจะคิดมากไปเอง แต่ก็อดระแวงไม่ได้จริงๆ ผมหันกลับมามองนายจ้างคนปัจจุบันที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน และเมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีเรื่องอะไร จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดส่งข้อความไปหาใครบางคน

                'เป็นอะไร ทำหน้าบูดทำไม'

                ผมมองซินที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยิ้มนิดๆ และกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความตอบกลับมา

                'นัทนั่นแหละเป็นอะไร อยู่ใกล้สาวหน่อยล่ะยิ้มหน้าบานเชียวนะ'

                แหน่ะๆ แบบนี้เขาเรียกว่าหึงหรือเปล่าครับ...

                'เห็นด้วยเหรอ'

                'ไม่เห็นก็ตาบอดแล้ว ยิ้มให้กันกว้างซะขนาดนั้น'

                'นี่ถ้าไม่หวงกันจริง ไม่สังเกตกันมากขนาดนั้นหรอกนะเนี่ย'

                และบทสนทนาทางข้อความของเราก็จบเพียงเท่านั้น หลังจากที่คุณซินเธอส่งสายตาพิฆาตมาให้ ผมขำน้อยๆและเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า

                ซินยังเหมือนเดิม... คงไม่มีอะไร ผมอาจคิดมากไปเอง

                แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่กัสพูดอะไรบางอย่างกับซิน ใบหน้าหวานถึงได้หุบยิ้มลงทุกที...

                โอลีฟกับเพื่อนๆเดินเข้าไปที่โต๊ะที่มีขนมจัดวางเรียงอยู่ ซึ่งซินก็ยืนอยู่แถวนั้นทำให้ผมได้ไปยืนอยู่ข้างๆเขาจริงๆซะที

                ผมยืนอยู่ด้านหลังซินที่ยืนหันข้างอยู่ทางด้านหน้าผม กัสเองก็ยืนขนาบข้างซินอยู่เช่นกัน ผมจึงพูดขึ้นเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน โดยที่ซินกำลังยืนในท่าเดิม ทำเหมือนว่าเรา ไม่ได้รู้จักกัน แต่ความจริงแล้วเราแอบคุยกันอยู่ ><

                "น่ารักมากๆเลย" ผมพูดขึ้นเบาๆ ซึ่งซินก็แกล้งทำเป็นยกแก้วน้ำในมือขึ้นจิบ

                "เห็นใส่ชุดนี้แล้วอยากกอด" คำพูดผมเล่นเอาคนสวยสำลักน้ำไปเลยครับ

                "ระวังคำพูดหน่อยก็ดี" ซินพูดขึ้นเบาๆโดยที่ยังหันหลังในผมอยู่แบบนั้น

                ผมรู้ ว่าไอ้กัสมันได้ยิน ก็ผมจงใจพูดให้มันได้ยินนี่นา เผื่อบางทีมันจะรู้ว่า เรื่องที่มันกำลังคิดอยู่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้

                "บอดี้การ์ดนิสัยไม่ดี ไม่ไปสนใจนายจ้างตัวเองล่ะ"

                "นายจ้างจริงๆน่ะอยู่ตรงนี้ ตรงนั้นน่ะแค่ตัวสำรอง"

                "ปากดี"

                "ซิน..." ผมกดเสียงต่ำลงเพื่อกันไม่ให้กัสได้ยิน ซินจึงจำเป็นต้องเอียงหูมาทางผมนิดนึงอย่างไม่ให้น่าสงสัย

                "กัสพูดอะไรกับนายหรือเปล่า" ซินชะงักไปนิดนึงก่อนจะตอบเสียงเบา

                "ก็เปล่านี่ ไม่มีอะไร"

                "แน่ใจนะ"

                "แน่"

                "ถ้าโกหกขอให้โดนแฟนกดทั้งวันทั้งคืน"

                คราวนี้คนสวยหันมาทางผมทั้งตัวแบบไม่กลัวสายตาใครเลย แต่จะว่าไปในงานตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจใครเท่าไหร่หรอกครับ จับกลุ่มคุยกัน ฟังเพลง ฟังพิธีกรพูดกันซะมากกว่า

                "เรื่องลามกนี่ขอให้บอกเถอะนะ สรรหาจริงๆ" พูดกับผมแต่สายตากลับไม่ได้มองมาทางผม ทำเหมือนแค่พึมพำคนเดียว และเดินผ่านผมไป แต่ขอโทษเถอะครับ ไอ้การเหยียบเท้ากันแบบทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวแบบนี้มันคืออะไรกัน...

                ผมมองรองเท้าตัวเองที่อุตส่าห์ขัดมาซะเงาแว๊บ แต่ตอนนี้เลอะไปหมดแล้ว เพราะเท้าของไอ้ตัวดีที่เพิ่งจะเดินไปผมไป ก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ แต่ก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อกัสกำลังจะเดินผ่านผมไป สายตาที่ถูกส่งมาเต็มไปด้วยบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

                อะไร...

                มันจะกำลังจะบอกอะไร ...มันกำลังจะทำอะไร

                ผมมองตามมันไปจนสุดสายตา


TBC.
...
มาแล้วค่าาา
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-09-2013 23:57:49
กัสพูดอะไรกับซิน ไม่เอาน๊า
น้องกัสเป็นเด็กดี ไม่นำพามาม่ามาให้หรอกเนอะๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 22-09-2013 01:57:20
กัสต้องเป็นเด็กดีนะคะ!!กลัวววววววววว
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-09-2013 06:39:12
 :serius2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 23-09-2013 09:33:30
 "ถ้าโกหกขอให้โดนแฟนกดทั้งวันทั้งคืน" ชอบประโยคนี้ :z1:


แค่หนักแน่นเข้าไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิด รักพี่นัทซินนะคะ รักคนแต่งด้วย :กอด1:


โมเมนต์เรื่องนี้อ่อนหวานอมยิ้มจริงๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: FahFon ที่ 23-09-2013 14:04:54
ชอบนัทซินมากอ่ะ แต่พอมีข่าวว่าจะแยกวงกัน อ่านฟิคคู่นี้ไม่สนุกไปเลย เราเสียใจ ฮื่อออออออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: darkeyes1 ที่ 23-09-2013 21:10:58
เอ๋  อะไรทำไม  นายกัสจะลองเล่นบทตัวร้ายเหรอ  ไม่ดีนะ  อย่าเปลี่ยยความรู้สึกคนอ่านที่มีต่อกัสเลย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน17 ระแวง [21/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: toshika ที่ 27-09-2013 02:45:14
กัสอย่าร้ายให้มากนะ เด๋วให้มาเฟียหักคอเลย5555555

พี่ซินเซ็กซี่ ชั้นจะคลั่งอยู่แล้วววว  โอ๊ววววววววววววว :katai1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 เปลี่ยน [27/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 27-09-2013 21:49:01
18

((เปลี่ยน))


 

                การเปิดตัวแชมพูสระผมในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก และได้รับความร่วมมือจากดารานักร้องหลายท่านเพื่อช่วยในการโปรโมท ซินของผมก็เช่นกัน คนสวยเดินไปรอบๆงานคุยกับคนนู้นที คนนี้ที ไอ้ผมก็ห่วงเขา มัวแต่สนใจเขา จนจะลืมนายจ้างจริงๆตอนนี้ไปซะแล้วเนี่ย และอีกอย่าง ตอนนี้เป็นช่วงที่คาดสายตาไม่ได้เลยจริงๆ

                ไอ้พี่ดิวมันมาอีกแล้วครับ ใกล้มาก ...จนเกินไป ก็เข้าใจว่าในงานมันเปิดเพลง แต่ก็ไม่ได้ดังขนาดที่ว่าจะต้องก้มเข้าหากันขนาดนั้นซะหน่อย ยิ่งฉากกระซิบข้างหูกันนี่บาดใจยิ่งนักครับ

                และยิ่งเขาใกล้กันมากเท่าไหร่ ขามันก็ก้าวไปเองไวเท่านั้น จนเมื่อมารู้ตัวอีกที ผมก็มายืนตรงหน้าซินเรียบร้อยแล้ว...

                ซินหันมามองผมที่ยืนบังเขาจากไอ้พี่ดิวอย่างๆงง ปนตกใจนิดๆที่อยู่ๆผมก็โผล่มาแบบนี้ แถมยังทิ้งนายจ้างของตัวเองเอาไว้อีก แต่นาทีนี้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยครับ ไม่รู้ทำไม จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยจริงๆ

                "พี่นัท..." เสียงไอ้กัสที่ยืนอยู่ด้านหลังซินเรียกผม แต่ผมไม่ได้สนใจหันไปมอง

                เพราะคนที่กำลังจ้องตาผมกลับมาตอนนี้มันกวนตีนผมมากครับ

                "ผิดคนหรือเปล่า คนที่ต้องสนใจไม่ใช่คนนี้มั้ง"

                ดูความกวนตีนของมันนะครับ...

                "เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องให้พูดก็น่าจะเข้าใจ"

                "เข้าใจอะไร มีอะไรที่ผมจะต้องเข้าใจคุณบอดี้การ์ดด้วยเหรอครับ"

                มือผมมันกำเข้าหากันแน่นอย่างไม่รู้ตัว จนรู้สึกได้ว่ามีมือของใครบางคนเอื้อมมาแตะมือข้างนั้นของผมเบาๆ

                มือของซิน... ผมจึงคลายกำปั้นนั้นออก และหายใจเข้าลึกๆอย่างพยายามกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้

                "ถอยออกไปห่างๆจะดีกว่า" ผมพูดช้าๆชัดๆเพื่อให้อีกคนเข้าใจ ผมรู้ว่ามันรู้ ว่าผมกับซินเป็นอะไรกัน

                "เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ" เสียงเบาๆจากคนด้านหลังทำเอาคิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที

                ก็รู้ว่าคุยกันแล้ว ซินอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ไอ้นี่มันคิดหรือเปล่าล่ะ ผมไว้ใจซินของผมได้ แต่ผมไว้ใจไอนี่ได้มั้ย แล้วทำไม ไม่เข้าใจ จะต้องใกล้อะไรกันขนาดนั้น

                "ผมว่าคุณไปสนใจงานของคุณดีกว่ามั้ง ตรงนี้น่ะ เขามีคนดูแลอยู่แล้ว คนของคุณทางฝั่งโน้นดูท่าทางจะกำลังมองหาคุณอยู่นะ" ไอ้พี่ดิวพยักพเยิดไปทางด้านหลังผม ซึ่งก็คงจะเป็นโอลีฟนั่นแหละ

                "คนของผม อยู่ตรงนี้" เสียงแบบฉบับมาเฟียในคราบบอดี้การ์ดถูกนำมาใช้อีกครั้ง บอกตรงๆว่ากำลังโมโหมากจริงๆครับ

                "เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ซินไม่ใช่ 'คนของคุณ' แล้วนะ"

                "ถามซินเองดีกว่ามั้ย ว่าเป็นคนของใคร" ผมพูดช้าๆ และหันมามองหน้าซินที่กำลังมองผมอยู่เช่นกัน

                ซินมองผมนิ่งๆไปสักพัก ก่อนจะตอบ

                "เราไม่ใช่คนของใคร" ก็รู้แหละครับว่าเขาจะต้องตอบแบบนี้อยู่แล้ว ซินจะมาบอกว่าเขาเป็นคนของผมได้ยังไงกัน แต่ลึกๆในใจก็อยากจะให้เขาพูดอกมา เห็บไรบ้าพวกนี้มันจะได้หมดๆไปซะที

                "ได้ยินชัดแล้วนะครับ งั้นเชิญครับ กลับที่ของตัวเองดีกว่านะผมว่า เป็นผม ผมจะ'รู้ตัวเอง'" ทุกคำที่มันพูด จงใจยั่วโมโหกันชัดๆนะครับ ทำเอาขาก้าวเข้าไปหามันอย่างลืมตัว แต่ก็ต้องหยุดลงเพราะมีคนรั้งเอาไว้ก่อน

                แต่คราวนี้ไม่ใช่ซิน ...เป็นกัส ที่ดึงแขนรั้งผมเอาไว้

                "ผมว่าพี่กลับไปหานายจ้างพี่ก่อนดีมั้ย เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง" เสียงน้องพูดขึ้นเบาๆ ทำให้ผมหันไปมอง กัสกำลังทำหน้าลำบากใจอยู่กับเหตุการญ์ตรงนี้ แต่ผมกำลังหงุดหงิด มากด้วยครับ และพร้อมจะสลัดแขนออกจากมือมันได้ทุกเมื่อ

                แต่ก่อนที่สถานการณ์จะแย่ไปกว่านี้ เสียงใครอีกคนก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน

                "นัท..." โอลีฟที่แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน กำลังจะเดินเข้ามาตรงนี้ กัสปล่อยมือจากแขนผมทันที

                "มาทำอะไรตรงนี้คะ โอลีฟมองหาตั้งนาน พอดีอยากจะไปเข้าห้องน้ำ ...แล้วนี่มีอะไรกันหรือเปล่า" โอลีฟมองผมทีหนึ่ง เลื่อนสายตาไปหาไอ้ดิว และมาหยุดอยู่ตรงที่ซิน

                "ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมว่าบอดี้การ์ดของคุณโอลีฟเขาอาจจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง" ไอ้พี่ดิวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มนิดๆที่ส่งมาให้ผมโดยเฉพาะ

                อยากจะซัดให้ปากมันแตกจริงๆ เอาให้ปากมากไม่ได้ไปเลย

                "นัท ไปเถอะค่ะ โอลีฟอยากเข้าห้องน้ำ ไม่อยากไปคนเดียว" เสียงเร่งจากโอลีฟทำให้ผมเผลอกัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ

                "ไปเถอะ" เสียงเบาๆจากคนตัวบางด้านหลัง ทำให้ผมสะบัดหน้าหนีจากที่ตรงนั้น และเดินออกมา โดยมีโอลีฟเดินนำหน้าผมอยู่

                บางทีก็อยากให้เขารั้งผมเอาไว้เหมือนกันนะ

                แต่สิ่งที่ผมหวัง...มันคงจะมากไป

                ผมเดินตามโอลีฟไปเงียบๆ จนถึงห้องน้ำ และยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอเธอ ในหัวตอนนี้มีแต่เรื่องซินกับไอ้เวรนั่น มันจงใจยั่วโมโหผมชัดๆ แล้วมันจะผิดมั้ยนะที่ลึกๆแล้วผมก็แอบโมโหซินด้วยเหมือนกัน

                ซินก็รู้ว่าผมไม่ชอบ แต่ก็ยังไปใกล้มันอีก ถึงแม้ว่าจะคุยกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่คิดอะไรเลยซะหน่อย ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างนะ

                แรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาดู พบข้อความข้อความหนึ่งที่ถูกส่งเข้ามา

                'ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ นักข่าวเยอะขนาดนี้ ไหนบอกว่าจะควบคุมตัวเอง' ไม่ต้องเดาก็รู้ใช่มั้ยครับว่าข้อความจากใคร

                หึหึ ไอ้นัทผิดตลอดแหละครับ ใครจะทำอะไร จะพูดอะไร ไม่ผิดเลย

                ผมเก็บโทรศัพท์กลับทีเดิมโดยที่ไม่ได้ส่งอะไรตอบกลับไป พร้อมกันกับที่โอลีฟเดินออกมาพอดี

                "เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้าเครียดๆนะ"

                "เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร"

                "เมื่อกี้โอลีฟตกใจมากเลย หันกลับมาก็ไม่เจอนัทแล้ว มองหาตั้งนานก็ไม่เจอ"

                โอลีฟพูดมาถึงตรงนี เล่นเอาความรู้สึกผิดพุ่งวูบเข้ามาทันที นี่ผมทิ้งนายจ้างให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ถึงจะมีเพื่อนอยู่ด้วยก็เถอะ แต่ก็ไม่ควรเลยจริงๆที่จะทิ้งเธอเอาไว้แบบนั้น และไปสนใจอย่างอื่นแทน อย่างอื่นที่ไม่สนใจผมสักนิด

                "ขอโทษจริงๆครับ พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย"

                "มีอะไรกันหรือเปล่าค่ะ ตอนโอลีฟเดินเข้าไปเห็นทำหน้าเครียดๆกัน"

                "อ๋อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร คุณโอลีฟเข้างานดีกว่า"

                ..........

 

                แล้วงานวันนี้ก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเลสำหรับผมมาก หลังจากที่ไปส่งโอลีฟที่บ้านเสร็จก็ต้องมานั่งระงับอารมณ์ตัวเอง ตั้งแต่ไปส่งโอลีฟเข้าห้องน้ำตอนนั้น ผมไม่ได้เดินเข้าไปเฉียดใกล้ซินอีกเลย และพยายามที่จะไม่หันไปมองทางนั้นด้วย เพราะกลัวว่าภาพที่เห็น จะทำให้อยากเดินเข้าไปอีกครั้ง

                ส่วนซินเอง เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ส่งข้อความกลับไป เขาก็ไม่ได้ส่งอะไรมากอีก ไม่โทรหาผมด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นอีกแหละ เขาจะโทรหาผมทำไม ผมไม่ใช่เหรอที่ควรจะโทรหาเขา ก็มันเป็นแบบนั้นทุกที...

                เป็นผม ที่ต้องเดินเข้าหาซิน...เป็นซิน ที่รออยู่เฉยๆ  เพื่อให้ผมเข้าไป

                ก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ

                เฮ้อ...

                ถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยในรอบวัน สวนสาธารณะที่ผมมาบ่อยๆตอนนี้ล้างผู้คนไปแล้วครับ สามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้วแบบนี้ ไม่มีคนก็ไม่แปลก แต่บรรยากาศดีๆแบบนี้ไม่อยากต้องมานั่งคนเดียวเลยจริงๆ แต่ติดตรงที่คนที่อยากให้มาด้วยเขาไม่ได้มากับเรา

                โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้นอีกครั้งทำเอาผมรีบควักมันออกมาดู ในใจก็คิดไปว่าอาจจะเป็นซิน แต่อีกใจก็รู้ดีว่าไม่ใช่หรอก ซินจะโทรมาทำไม และก็จริงอย่างที่คิดครับ เพราะคนที่โทรมาก็คือ

                ไอ้กัส...

                "...." ผมกดรับสาย แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป มันจึงพูดขึ้นมาก่อน

                (พี่นัท)

                "มีไร"

                (อยู่ไหนเนี่ย คุณลุงบอกให้โทรมาตามว่าทำไมบ้านช่องไม่กลับ งานเสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง)

                "โทรตามทำไม ทุกทีไม่เคยเห็นโทร"

                (ก็ไม่รู้ จะคุณกับคุณลุงป่ะล่ะ) พอไอ้กัสพูดจบก็มีเสียงพ่อแว่วๆมาจากอีกฝั่ง จับใจความได้ว่า

                (เฮ้ยๆ ไม่เอา ไม่ว่าง จะกอดเมีย) = = นั่นแหละครับ พ่อผม เห็นเมียดีกว่าลูกเสมอ แต่เมียพ่อก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนะ ก็แม่ผมนี่แหละ

                "แล้วนายล่ะ ทำไมยังไม่กลับบ้าน ป่านนี้แล้วอยู่ทำอะไร"

                (ก็คุณลุงเขาชวนคุย ก็เลยอยู่คุยด้วย พี่นัทเหอะ กลับบ้านกลับช่องเหอะว่ะ อย่ามัวไปเหล่สาวอยู่แถวไหนเลย) เสียงใสๆจากปลายสาย ทำเอาผมแอบดีใจนิดๆ บางที มันอาจจะทำใจได้แล้ว

                ...หรือเปล่า

                หรือมันแค่แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร เพื่อที่ทุกอย่างจะได้เหมือนเดิม

                แล้ววันนี้ล่ะ มันพูดอะไรกับซิน

                "กัส"

                (ไรพี่)

                "วันนี้พูดอะไรกับซินหรือเปล่า"

                (....)

                ปลายสายเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากผม

                "ว่าไง"

                (ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ แค่บอกพี่ซินว่า ดูพี่นัทดีๆนะ แอบจีบพี่โอลีฟหรือเปล่าก็ไม่รู้)

                "แน่ใจนะ"

                (แน่ใจดิ แล้วพี่คิดว่าผมพูดเรื่องอะไรล่ะ)

                "ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดเรื่องอะไร แต่ก็อยากให้นายรู้ไว้ว่าก่อนที่จะทำอะไร คิดก่อน เพราะบางสิ่งบางอย่างเมื่อเสียมันไปแล้ว เรียกกลับยากนะ อย่างเช่น...ความรู้สึก"

                (พี่นัทแม่งบ่นเรื่องอะไรวะ ไม่เห็นจะเข้าใจ รีบกลับบ้านเหอะ คุณลุงบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย)

                "เรื่องอะไร"       

                (จะไปรู้เหรอวะ คุณลุงจะคุยกับพี่นัทเว้ย ไม่ใช่ผม เออ แค่นี้นะ กลับเร็วๆด้วย เปลืองค่าโทรศัพท์ว่ะ) พูดจบไอ้เด็กบ้านี่มันก็วางสายไปเลย

                อะไรของมันวะ

                ผมส่ายหัวช้าๆ ลุกขึ้นจากม้านั่ง บิดตัวไปมายืดเส้นยืดสาย เพื่อจะกลับบ้านตัวเอง นี่สรุปว่าผมกับซินเราทะเลาะกันอยู่หรือเปล่านะ...

                ช่างเถอะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องได้เจอ เพราะซินจะเข้าบริษัทพรุ่งนี้ และวันนี้ก็หมดหน้าที่ของผมกับโอลีฟแล้วด้วย แบบนี้พรุ่งนี้ต้องจัดเต็ม... เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้รอได้เลยซิน...       



                   ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน ก็พบสายตาสามคู่พุ่งตรงเข้ามาทันที ไอ้กัสก็ยังอยู่ด้วย ทั้งสามคนที่กำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ก่อนแล้วหยุดลงเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามา แหม... ดูหนังกินของว่างกันอย่างมีความสุขเลยนะครับ ทำเป็นครอบครัวสุขสันเลยนะ นี่ผมเป็นส่วนเกินหรือเปล่าเนี่ย

                "กลับมาแล้วเหรอลูก" เป็นแม่ที่ทักผมขึ้นมาก่อน

                "กลับมาแล้วครับ" ผมตอบรับและเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่

                "ไงไอ้แสบ บ้านช่องไม่กลับเลยนะ"

                "ไรอ่ะ มาถึงก็ไล่กันเลยนะ ทำไมอิจฉาอ่ะดิ พ่อแม่ไม่รักหรือไง"

                "กลับบ้านไปเลยป่ะ" เบื่อจะเถียงกับมันจริงๆ วันนี้ยิ่งอารมณ์ไม่คงที่อยู่

                "นัททานอะไรมาหรือยังลูก แม่ทำอะไรให้ทานเอามั้ย"

                "แวะกินมาแล้วครับ ไม่เป็นไร"

                "อะไรหรือเปล่า น่าทางเหนื่อยๆนะ" แม่ถามพร้อมกับลุกขึ้นเดินมานั่งข้างๆผม เลยได้ทีทำตัวเป็นลูกแหง่อ้อนแม่ซะหน่อย

                "เหนื่อยมากกก"

                "สำออยล่ะสิไม่ว่า" พ่อครับ ด่ากันตลอดอ่ะ

                "แหมพ่อนี่ล่ะก็ ว่าลูกตลอดเลย" สมน้ำหน้าโดนแม่ว่า ฮ่าๆๆ แหนะๆ มีการค้อนกันอย่างน่ารักน่าเอ็นดู (?)

                "พ่อมีเรื่องจะพูดกับผมเหรอ ที่ไอ้กัสบอก"

                จากบรรยากาศร่าเริงเมื่อกี้ กลายเป็นความเงียบขึ้นมาแทนที่ แม่ที่กำลังลูบหัวผมอยู่ชะงักมือไปทันที ไอ้กัสที่กำลังเคี้ยวขนมตุ้ยๆก็หยุดเคี้ยวไปซะเฉยๆ

                    ...แบบนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีแน่ๆครับ

                "เดี๋ยวแม่เข้าไปดูในครัวหน่อยดีกว่า ไม่แน่ใจว่าเก็บเรียบร้อยดีหรือยัง" ผมมองแม่ที่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นไปซะเฉยๆ

                "เอ่อ คุณป้าครับ เดี๋ยวผมไปช่วย"

                ไอ้กัสก็วิ่งตามแม่ไปอีกคน ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมกับพ่อที่กำลังนั่งจ้องหน้าผมอยู่ ไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ อะไรกันอีกเนี่ย วันนี้เจอเรื่องแย่ๆมาพอแล้วนะครับ ขอให้ผมได้พักบ้างได้มั้ย

                "ทำงานวันนี้เป็นไง เข้ากับโอลีฟได้มั้ย"

                "ก็โอเค ไม่ได้มีอะไร"

                "เข้ากันได้มั้ย"

                "ก็ปกติ เหมือนทำงานกับคนอื่นๆนั่นแหละ พ่อถามทำไมเนี่ย"

                "ถ้าเข้ากันได้ดี ก็น่าจะทำงานด้วยกันได้..."

                "ทำงานด้วยกันแค่วันเดียว ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้นเลย"

                ผมรีบตัดบทก่อนที่พ่อจะได้พูดอะไรต่อ ผมว่าผมพอจะเดาได้ว่าพ่อจะพูดเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นชิ่งตัดหน้าไปก่อนดีกว่า ถ้าสิ่งที่ผมคิดอยู่มันเป็นเรื่องจริง มันต้องไม่ดีสำหรับผมมากแน่ๆ

                "เดี๋ยวผมขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า เหนื่อยแล้ว อยากพัก"

                "ฉันจะให้แกมาเป็นบอดี้การ์ดให้โอลีฟถาวรไปเลย แล้วก็ให้กัสไปเป็นบอดี้การ์ดให้ซิน มันปิดเทอมว่างๆก็อยากให้ลองงานดู อีกอย่างโอลีฟเป็นผู้หญิง ก็น่าจะต้องการการดูที่มากกว่าซินอยู่แล้ว อีกอย่างทางด้านนั้นก็เป็นลูกสาวเพื่อนฉันเอง ส่งแกไปเขาก็จะสบายใจกว่า"

                นั่นไง... ซื้อหวยไม่ถูกวะครับ

                "อะไรอีกแล้วอ่ะพ่อ อยู่ๆดีก็ย้ายให้ผมไปทำงานกับเขาวันนึง ผมก็ไปทำให้แล้ว แล้วนี่จะอะไรอีกล่ะ มันไม่ใช่งานผมเลยนะ งานของผมคือซิน แค่ซินคนเดียว ผมไม่รับงานโอลีฟ พ่อให้ไปกัสไปทำแล้วกัน ไอ้กัสก็ไว้ใจได้ไม้แพ้ผมหรอก"

                ครั้งนี้ ผมไม่ยอมง่ายๆหรอกนะครับ เรื่องอะไรล่ะ กว่าจะมาถึงขั้นนี้ผมต้องพยายามมามากแค่ไหน อยู่ดีๆพ่อจะมาจับผมแยกกับซินได้ยังไงกัน เวลาของเราที่ได้เดินตรงกันแล้ว เรื่องอะไรผมจะต้องทำให้มันคลาดกันอีกล่ะ ไม่มีทาง...

                "แต่นี่คือคำสั่งฉันนะ"

                "ผมทำตามที่พ่อขอมาทุกอย่างแล้ว ยอมทิ้งความฝัน ยอมเลิกเล่นดนตรี ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยรักมากเพื่อพ่อ เพื่อโรงฝึก คราวนี้ถึงตาผมขอบ้างได้มั้ย ขอผมทำตามใจตัวบ้าง ให้ผมได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง" ผมพูดด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเพื่อให้พ่อเข้าใจ

                "ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกแล้ว ทำตามที่ฉันบอก แล้วทุกอย่างจะดีเอง"

                "ผมรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมคืออะไร พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอก มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคิดว่าว่าผมตัดสินใจเองได้"

                "นัท..."

                "วันนี้เหนื่อยมากเลย ผมขอตัวไปพักก่อนนะ"

                "ที่ฉันไม่พูด ไม่ได้แปลว่าฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรนะ..."

                ขาที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงักลงทันที ความรู้มันเหมือนกับขาหนักขึ้นมาซะเฉยๆ แค่จะขยับเพื่อให้ทรงตัวดีขึ้นยังแทบไม่ได้ มันชาวาบไปหมดทั้งตัวเลยจริงๆครับ นี่พ่อกำลังพูดเรื่องอะไรกัน ...ไม่ใช่เรื่องที่ผมกำลังคิดอยู่ใช่มั้ย

                "จะทำอะไร คิดถึงความรู้สึกแม่แกบ้างนะ"

                ให้ตายสิ ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย เหมือนโลกมันจะเอียงๆไปนะ เอ๊ะ หรือว่าผมเมา กินอะไรเข้าไปนะ ทำไมมันรู้สึกผะอืดผะอมแบบนี้ เหมือนจุกอะไรสักอย่าง หายใจไม่ทั่วท้องเลยจริงๆ คิ้วมันขมวดเข้าหากันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ปวดหัวหนึบไปแล้ว ความรู้สึกแปลกๆนี้มันอะไรกัน ความรู้สึกนี้มัน...

                รู้สึกผิด... ผมผิดอะไร ผมแค่รักซิน

                แค่นี้... ผมผิดด้วยเหรอ

                แค่ผมรักซิน... ผมกลายเป็นลูกที่ไม่ดีไปเลยหรือไง

                "ผมไม่เข้าใจ พ่อพูดเรื่องอะไร" ผมเอ่ยถามออกไปเสียงเบา

                "แกน่าจะรู้ดี ว่าฉันพูดเรื่องอะไร กลับไปลองคิดดูดีๆ ว่าสิ่งที่แกเลือกตอนนี้มันถูกต้องหรือเปล่า คิดถึงอนาคต คิดถึงความเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง คิดถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ด้วยแล้วกัน"

                ผมก้าวขาชาๆออกมาจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เดินขึ้นบันไดมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว สติกลับมาอีกทีก็ตอนเดินชนเข้ากับประตูตัวเองนั่นแหละ หัวโขกเข้าให้เต็มๆ ตื่นตัวเต็มที่เลยครับ

                ไอ้นัทเอ๊ยยย บ้าบอจริงๆว่ะ

                ผมเดินเข้ามาในห้อง หย่อนตัวลงบนเตียงนุ่มๆ แหละแผ่หลาลงอย่างหมดเรี่ยวแรง พ่อรู้ พ่อเห็นอะไรมา แล้วพ่อรู้มากแค่ไหน พ่อรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผมกับซินบ้าง หรือว่าใครไปพูดอะไร...

                ไอ้กัส

                ชื่อนี้โผล่เข้ามาในหัวผมทันที วันนี้มันก็ทำตัวแปลกๆกับซินไปแล้ว แถมคนในบ้านนี้ก็มีแค่มันที่รู้เรื่อง หรือว่าจะเป็นมันที่บอกพ่อ จะทำถึงขึ้นนั้นเลยเหรอ มันจะอยากทำร้ายผมถึงขนาดนั้นเลยหรือไง ปกติไอ้กัสก็ไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อยนะ ถึงมันจะดื้อ แต่ก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น...

                แต่ก็มีแค่มันที่รู้

                หรือจะเป็นมันจริงๆ

                โอ๊ยยยยย ปวดหัวโว้ยยย ไม่อยากคิดอะไรแล้วเนี่ยยย ทำไมช่วงนี้มันมีแต่เรื่องแบบนี้นะ

                ไอ้ตัวดีก็ไม่โทรหาผมเลย จิตใจนี่จะให้ผมโทรหาอยู่คนเดียวเลยหรือไงเนี่ย ไม่เคยคิดถึงกันก่อนเลยใช่มั้ยเนี่ย หงุดหงิดๆ

                ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมามองก็พบว่าตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าซินจะอาบน้ำนอนหรือยังนะ แต่ป่านนี้แล้วน่าจะอาบน้ำแล้วแหละ คงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง มีไอ้คุณทองกับแสงดาวนอนเกยอยู่บนตักแหงๆ มือก็คงกำลังเกาคางให้ไอ้สองตัวนั้นอยู่

                แต่พอนึกถึงใบหน้าหวาน ภาพวันนี้ก็ลอยเข้ามาในหัวอีกครั้ง

                'เราไม่ใช่คนของใคร...'

                คำพูดเย็นชาจากอีกฝ่ายที่ผมควรจะชินได้แล้ว แต่กลับไม่ชินสักที

                โอเค ยอมรับว่าวันนี้ความผิดมาจากผมเต็มๆ ระเลยหน้าที่ของตัวเอง แถมยังหึงไม่เข้าเรื่องอีก ในงานมีคนเยอะแยะ แต่ผมกลับไม่ยอมควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้ ยังดีที่ไม่ได้มีใครสนใจ ซินจะโกรธก็ไม่แปลก

                แต่บางที คิดถึงความรู้สึกผมบ้างได้มั้ย ผมเองก็น้อยใจ เสียใจเป็นนะครับ บางทีก็อยากให้แสดงออกว่ารักกันบ้าง อย่างน้อยผมก็อยากรู้ตัวว่าผมเองก็เป็นคนสำคัญสำหรับซินนะ เหมือนกับเขาที่สำหรับที่สุดสำหรับผม ไม่ต้องแสดงออกมากก็ได้ แต่ช่วยพูดอะไรที่มันเข้าข้างผมบ้างสิ ไม่ใช่พูดจาใจร้ายแบบนั้น ไม่ใช่ปล่อยปะละเลยกัน

                ในขณะที่ผมกำลังตีอกชกหัวของตัวเองอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซะก่อน ป่านนี้แล้ว ใครจะยังโทรหาผมอีก ถ้าไม่ได้มีธุระอะไร พ่อจะด่าให้ญาติเสียเลย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่...

                ...ซิน

                ชื่อคนโทรเข้าทำเอาตาแทบถลน เด้งตัวขึ้นจากเตียงเพื่อมองชื่อนั้นให้ชัดๆอีกที

                ซินโทรหาผม!!! กรี๊ดดดด ขอสาวแตกแป๊บนึงนะ >///<

                "ฮัลโหล!" ด้วยความดีใจ เลยเผลอทักทายกันไปฮาร์ดคอร์นิดนึง

                (ตะโกนทำไมเนี่ยนัท! ตกใจหมดเลย)

                "ฮะๆๆ ขอโทษๆ" ดีใจมากไปหน่อย แต่ไม่บอกหรอกนะ เดี๋ยวได้ใจ หึหึ

                (ทำอะไรอยู่)

                "ไม่ได้ทำไร นอนเฉยๆ"

                (ถึงบ้านนานแล้วเหรอ)

                "ก็สักพักแล้ว"

                (อืมม...)

                เสียงหวานตอบรับ และเงียบหายไปสักพัก ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะอยากจะรู้เหมือนกันว่าซินจะทำยังไงนะ ที่โทรมาหากันนี่ มีอะไรที่อยากจะพูดอยากจะบอกหรือเปล่า

                (นัท) อยู่ดีๆซินก็เรียกชื่อผมขึ้นมาซะเฉยๆ

                "ครับ"

                (วันนี้ โกรธหรือเปล่า)

                >////< จะง้อเค้าล่ะเค้าสิตัววว หึหึ ลืมเรื่องเครียดไปแล้วครับ ณ ขณะนี้

                "โกรธเรื่องอะไรล่ะ" แอบใส่เสียงน้อยใจไปนิดๆ เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจ ตอแหลล้วนๆเลยครับ

                (เรื่องที่นัทงี่เง่าจนเกือบทำให้เราเดือดร้อนไง)

                เอ่อ... ไม่น่าจะใช่ง้อแล้วล่ะครับแบบนี้ อะไรกันเนี่ย สถานการณ์พลิกผันเร็วเกินไปอ่ะ

                "ขอโทษครับ ทีหลังจะไม่ทำอีก" ในเมื่อผมผิด ผมก็ต้องขอโทษ ถูกต้องแล้วใช่มั้ยครับ อีกอย่าง ถ้าอีกคนคือซิน ถึงผมไม่ผิด ผมก็ยินดีที่จะขอโทษนะ ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และมันจะทำให้เราคืนดีกัน

                (ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกทีอ่ะ คราวนั้นก็บอกว่าจะไม่ทำอีก แล้วดูสิเนี่ย วันนี้เป็นไง)

                "ก็มันไปเอง ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆนะ"

                (...แต่วันนี้เราก็ขอโทษนะ)

                แต่วันนี้เราก็ขอโทษนะ แต่วันนี้เราก็ขอโทษนะ แต่วันนี้เราก็ขอโทษนะ แต่วันนี้เราก็ขอโทษนะ...

                =[]= ช็อกตายไปแล้วเรียบร้อยครับ ตามปอเต็กตึ๊งมาเก็บศพผมด้วย...

                ซินขอโทษผมด้วยอ่ะ! หูฝาดไปหรือเปล่านะเมื่อกี้นี้ ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงใบหูกันเลยทีเดียว อ๊ายย อารมณ์สาวน้อยเข้าครอบงำชั่วขณะ อยากจะบิดไปบิดมาให้ได้อารมณ์ประมาณว่าโดนสารภาพรัก

                (ฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย)

                "ฟังอยู่สิ กำลังดีใจ ><"

                (เว่อร์)

                "ไม่เว่อร์ นานๆทีคนน่ารักจะทำตัวน่ารัก"

                (ด่าเราหรือเปล่าเนี่ย) จากเสียงใสๆ เปลี่ยนไปเป็นขุ่นเลยครับ ฮ่าๆ

                "ใครจะว่าน้องซินลงล่ะครับ แหม่ น่ารักซะขนาดนั้น หนุ่มๆแวะมาหยอดขนมจีบกันไม่ขาดสายเลยนะครับ อย่านึกนะว่าพี่ไม่เห็น"

                (ลามปามแล้วนัท เดี๋ยวเหอะๆ)

                "ฮ่าๆๆ คิดถึงจังเลยซิน อยากกอดอีกแล้วอ่ะ"

                (หลับฝันเอาคืนนี้แล้วกัน)

                "ไม่เอาหรอก จะไปกอดของจริงพรุ่งนี้"

                (หึ!) เสียงขำของซินทำให้ผมยิ้มตาม ถึงแม้จะเป็นเสียงขำแบบชวนขนหัวลุกก็เถอะนะ

                ให้ตายสิ เป็นแบบนี้ทุกทีเลย เจอเรื่องแย่ๆมาแค่ไหน แต่พอได้ยินเสียงซินมันก็หายไปหมดทุกที แบบนี้มันจะทำให้ผมนิสัยเสียนะ เพราะถ้าแค่มีซินอยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่รู้ว่าจะทำให้รักกันไปจนถึงไหน แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว รักจนไม่อยากให้หายไปไหน อยากให้อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไปเลย...

                ถ้าไม่มีซินตอนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ยังไง

                "ซิน"

                (ว่าไง)

                "พรุ่งนี้เจอกันนะ"

                (...อืม พรุ่งนี้เจอกัน)

                พรุ่งนี้ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีได้อีกกี่วัน... 




TBC.
...

มาม่ามั้ยตอนนี้ ไม่มาม่าหรอกเน้อะะะะ
ฮ่าๆๆ

ทุกคนยังอยู่กันมั้ยยย คิดถึงงง หายไปหลายวัน ขอโทษนะคะ :( เค้ามีสอบ
ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ >< สำหรับคนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ก็ขอบคุณมากๆเลยค่า
ดีใจน้าที่ยังอยู่ด้วยกัน ^^ รักทุกคนเลย

ส่วนเรื่องแยกวงนั้นขอเป็นน้องดาวโลกสวยได้มั้ยคะ :( ไม่อยากคิดว่าเค้าจะแยกกัน ยังไงก็จะรอต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจให้พี่ๆทั้งสองคนเสมอ <3

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ มีความสุขที่ได้อ่านทุกๆเม้นเลยน้า
เจอกันตอนหน้าเด้อ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 เปลี่ยน [27/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-09-2013 22:47:36
ในนิยายอย่าแยกกันเลยนะ
ป้าแก่แถวนี้รับไม่ได้
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 เปลี่ยน [27/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 30-09-2013 00:20:07
ขอแบบโลกสวยต่อไปนะคะ :monkeysad:

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 เปลี่ยน [27/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-09-2013 00:47:00
 o22
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน18 เปลี่ยน [27/09/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 02-10-2013 16:09:55
รู้สึกสงสารพี่นัทที่สุดเลยยยยยย!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน19 ป่วย [03/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 03-10-2013 21:30:23
19

((ป่วย))

           

            เป็นเพราะว่าความรักกับสิ่งที่จำเป็นต้องเลือกมันต่างกัน และเมื่อมีทางแยก ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่ถูกเลือก และสิ่งที่ต้องถูกทิ้ง หน้าที่ของความเป็นลูกที่ดี กับการเป็นคนรักที่มั่นคง อย่างไหนคือสิ่งที่ผมควรจะทำ ..ผมรักซิน แต่ผมก็รักครอบครัวเหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไง  ผมไม่มีทางทิ้งซินแน่ๆ และดูเหมือนว่าครอบครัวที่น่ารักของผมจะรู้ทันถึงเรื่องนั้น...

            ถึงได้จัดการล็อกห้อง และขังผมเอาไว้ในนี้ ปิดทางเข้าออกของห้องนี้ทั้งหมดทุกทาง เหลือไว้แค่ช่องเล็กๆตรงประตูเพื่อให้แม่ส่งข้าวส่งน้ำให้ผมเท่านั้น นี่ยังดีนะที่ไม่ได้ใส่โซ่ล่ามผมเอาไว้กับขาเตียงเหมือนอย่างในหนังด้วย

            ขอบตาดำคล้ำเพราะคิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน สภาพอิดโรยเกินกว่าที่จะลุกจากเตียงไปไหนได้อีก

            โทรศัพท์ถูกยึด ทั้งคอมพิวเตอร์และโน็ตบุ๊คหรือสรรพสิ่งอะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้ผมสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ถูกขนออกไปจนหมด

            ไม่เหลืออะไรเลย...

            ..........

            นี่ใช่มั้ยคือสิ่งที่ทุกคนคิดว่าผมจะเป็น...?

            ว่าเข้าไปนั่น!!! นี่มันไม่ใช่ยุดโลกมืดนะครับ!! พ่อแม่ผมไม่ใช่คนมืดหม่น และใจร้ายขนาดนั้น!!!

            ฮ่าๆๆๆ ใจหายวูบกันเลยล่ะสิน่ะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เรียกขวัญกลับมาก่อนนะครับ อย่าเพิ่งคิดเตลิดไปไกล... ><

            ไม่มีทางที่ไอ้นัทจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอนครับ ไม่จำเป็นต้องเลือกหรือตัดอะไรทิ้งไป! ผมจะเก็บรักษาคนที่ผมรักทุกคนเอาไว้ ไม่ต้องทิ้งใครไปทั้งนั้น

            ผมจะเป็นทั้งคนรักที่ดี และลูกที่กตัญญูพร้อมๆกัน

            ผมทำได้แน่ๆ ผมมั่นใจ

            ดังนั้นวันนี้ ไม่ต้องรอให้ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ผมก็รีบชิ่งออกมาจากบ้านเสียก่อนที่พ่อหรือแม่จะตื่นขึ้นมาจัดการกับชีวิตผม ผมโตแล้ว ขอผมจัดการชีวิตของตัวเองก็แล้วกัน

            ทันทีที่โผล่หัวออกมาจากรั้วบ้านได้ก็เผ่นแน่บทันที สตาร์ทรถได้ก็เหยียบเต็มที่ วันนี้จะได้เจอซินสักที เจอเรื่องแย่ๆมาเยอะแล้ว ขอกอดแน่นๆสักทีเถอะ

            วันนี้นักร้องของผมมีงานตอนเย็น เป็นแขกรับเชิญเล่นไลฟ์คอนเสิร์ตของศิลปินวงหนึ่ง งานมีตอนเย็นครับ แต่โผล่ไปหาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเนี่ยแหละ แถมไม่ได้โทรไปบอกก่อนด้วย แล้วแบบนี้จะได้เข้าบ้านเขามั้ยล่ะเนี่ย

            สาธุ! ขอให้ป๊าซินยังไม่ตื่นด้วยเถิ้ดดด ไอ้นัทจะได้เข้าบ้านง่ายๆหน่อยนะครับ ไหนๆก็เจอเรื่องร้ายๆมาเยอะ วันนี้ขอให้โชคเข้าข้างผู้ชายคนนี้บ้างเถอะครับบบ

            แต่...เทวดาฟ้าดินไม่ได้ฟังคำขอร้องของผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะทันที่ที่จอดรถหน้าบ้าน คุณป๊าก็เดินออกมาทักทายกันในทันที

            เล่นเอาเหงื่อตกไปเลยครับ ไม่นึกว่าจะได้เผชิญหน้ากันไวขนาดนี้

            ...หึหึ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนนนนนนน TT

            "มาทำอะไรแต่เช้า" สีหน้าตอนทักทายนี่ยิ้มแป้นแล้นเลยนะครับ แถมน้ำเสียงนี่ก็เป็นมิตรกันสุดๆไปเลย

            ...ทุกคนเชื่อมั้ยล่ะครับ หึหึ

            "สวัสดีครับป๊า เอ่อ..คือ วันนี้ซินมีงาน ผมก็เลย..."

            "งานมันมีตอนเย็นไม่ใช่หรือไง"

            ทำไมป๊าต้องรู้ทุกเรื่องด้วยล่ะครับ!! T^T

            "เอ่อ...คือ..."

            "ช่างเหอะๆ วันนี้ฉันกับม้าจะออกไปข้างนอก มาก็ดี ฝากซินด้วยแล้วกัน"

            พูดจบป๊าก็เดินผ่านผมไปอย่างไม่ใยดี ทิ้งผมให้ยืนค้าง อ้าปากหวออยู่ตรงนั้น ไม่ไล่...แถมยังสนับสนุน? หรือเปล่า...? ไม่รู้แหละ ไอ้คำว่าฝากซินด้วยแล้วกัน นี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้เต็มๆอ่ะ

            "อ้าวนัท มาแต่เช้าเลยลูก"

            "สวัสดีครับม้า"

            "สวัสดีจ้ะ" ม้าที่เพิ่งจะเดินออกมาจากบ้านยกมือรับไว้ผมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แตกต่างกับป๊าราวฟ้ากับดิน

            "ซินน่าจะยังไม่ตื่นนะเนี่ยตอนนี้... เอาไงดีล่ะ ป๊ากับม้าก็ต้องออกไปข้างนอกซะด้วยสิ นัทขึ้นไปปลุกซินเองได้มั้ยลูก"

            "อ๋อ ไม่เป็นไรครับม้า เดี๋ยวผมไปเรียกเขาเอง ม้าไปทำธุระเถอะครับ"

            "จ้ะ งั้นม้าไปก่อนนะ วันนี้ม้าฝากซินด้วยนะลูก เมื่อวานนี้ก็บ่นๆเหมือนจะไม่สบายด้วย ฝากดูแลด้วยนะจ๊ะ"

            "อ๋อ... ครับ เดี๋ยวผมดูแลให้ ม้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ"

            "จ้ะ ม้าไปก่อนนะลูก เดี๋ยวจะสาย"

            "ครับ"

            ทางสะดวก.... หึหึ

            แต่ซินไม่สบายเหรอเนี่ย เมื่อวานก็คุยกันนะ ไม่เห็นพูดอะไรเลยนี่นา ไม่สบายแบบนี้ต้องโดนฉีดยาสักเข็มแล้วมั้ง...^^ สาบานว่าไม่ได้คิดเป็นอื่นจริงๆครับ...

            พอยืนส่งป๊ากับม้าขับรถไปจนลับตาก็รีบเข้าบ้านทันที ไม่ต้องแวะห้องไหน ตรงดิ่งไปที่ห้องซินเลยครับ ในห้องเงียบสนิทแบบนี้ ยังไม่ตื่นจริงๆนั่นแหละ นี่ก็เพิ่งจะเกือบๆหกโมงเอง คิดดูเถอะ ว่าผมรีบออกมาจากบ้านขนาดไหน

            ก๊อก ก๊อก

            "ซิน"

            "...." เงียบ ไร้สัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

             ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            "ซิน ได้ยินมั้ย"

            "...." หรือว่าสัญญาณจะล่ม... ไม่ใช่ละ

            "ซิน! ซิน!! เปิดประตูให้หน่อย!" นี่ถ้าไม่เกรงใจงัดห้องไปแล้วนะครับ อย่าให้ต้องแสดงฝีมือ ขับรถเหยียบกุญแจทะลุล้อยังทำมาแล้ว (เอ๊ะ ยังไง ><)

            ได้ยินกุกกักๆดังมาจากให้ห้องเบาๆ ทำให้ผมหยุดและรอฟังเสียงจากด้านใน

            ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับใบหน้ายุ่งๆแบบแมวเพิ่งตื่นนอนก็โผล่ออกมา ตาที่เคยกลมโตหยีมองผมอย่างงัวเงีย

            "มาได้ไงเนี่ย" เสียงแหบๆถามขึ้นก่อนจะปิดปากหาววอด

            "ขับรถมาสิ คงไม่เดินจนมาถึงนี่หรอกมั้ง"

            "แล้วมาทำไมแต่เช้า เข้ามาได้ไงจนถึงนี่เนี่ย อย่าบอกนะว่างัดบ้านเรา เดี๋ยวก็แจ้งตำรวจจับซะหรอก"

            "ถ้าทำแบบนั้นไม่ต้องรอตำรวจหรอก เจอป๊าซินก็ตายตั้งแต่บ้านประตูบ้านแล้วมั้ง"

            "รู้แล้วยังจะมา"

            "ก็หัวใจมันเรียกร้อง"

            "โห ตาสว่างเลยว่ะ ไม่ใช่อะไรนะ จะอ้วก..."

            "หึหึ"

            ผมก้าวเข้าหาร่างบาง และรั้งเขาเข้ามากอดแนบอก ยิ่งเห็นว่าอยู่ตรงหน้า ความคิดถึงมันยิ่งมากขึ้น อยากกอด อยากจูบ อยากทุกอย่างจริงๆครับ ไม่ได้จะทะลึ่งนะ แต่ที่พูดไปทั้งหมดนี่ก็เพราะว่าผมคิดถึงเขาจริงๆ คนรั้นตัวรุมๆซะด้วยสิ สงสัยว่าจะไม่สบายจริงๆ

            "ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวป๊าก็มาเห็นหรอก" คนตัวบางดิ้นดุ๊กดิ๊ก และบ่นเสียงอู้อี้ตามมา

            "ป๊าไม่เห็นหรอก ออกไปข้างนอกแล้ว"

            "รู้ได้ไง"

            "ก็เจอกันแล้ว ป๊าเปิดประตูให้เองกับมือเลยเนี่ย"

            "โม้แล้ว" ซินดันไหล่ทั้งสองข้างเพื่อมองหน้าผมชัดๆทันที

            "ไม่ได้โม้ ไม่เชื่อโทรถามดิ พนันกัน คนแพ้โดนทำโทษด้วยนะ"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบเล่นการพนัน" ซินเบ้ปากนิดๆและเดินนำเข้าไปในห้อง

            "ป๊อด"

            "โมเดิ้นด็อก?"

            ... โห มุกล้ำลึกมากครับ ถ้าสมองไม่ทันจริงๆนี่นึกตามไม่ออกนะครับบอกเลย มุกของนักร้องใช่มั้ยครับเนี่ย

            "หึหึ" ผมขำน้อยๆเมื่อซินหันมามองค้อนผมที่ไม่ยอมรับมุกเขา เด็กน้อยเอ๊ยยย เดี๋ยวก็ฟัดให้หายป่วยซะหรอกแบบนี้

            ซินเดินไปสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มตามเดิม อะไรอ่ะ.. จะนอนต่อเหรอ

            "จะนอนต่อเหรอซิน"

            "อือ ยังเช้าอยู่เลย ปวดหัวด้วย" ผมเดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งลงตรงฝั่งที่ซินนอน เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากมนเบาๆ

            "ตัวอุ่นๆ เมื่อวานไม่สบายทำไมไม่ยอมบอก" และเพราะความหมันเขี้ยว ก็เลยบีบจมูกรั้นๆนั่นไปเสียหนึ่งที

            "ก็ตอนคุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไหร่นี่"

            "กินยารึยัง"

            "กินแล้ว ก่อนนอน"

            "หนาวมั้ย"

            "นิดนึง"

            "อยากได้คนกอดรึเปล่า"

            ".////."

            ไม่ตอบแต่ทำหน้าแดงแบบนี้คืออะไรครับ!!! เดี๋ยวก็ฉีดยาให้จริงๆซะหรอก

            "มีให้กอดแล้ว" เสียงหวานตอบอ้อมแอ้มทำเอาคิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที ใครวะ!! ใครมันกล้ามากอดซินของผม

            และไม่ต้องรอช้าเพราะเจ้าตัวมันแสดงตัวออกมาในทันที โดยการโผล่หัวออกมาจากใต้ผ้าห่มซินทีละน้อยๆ ตะบบผ้าห่มดุ๊กดิ๊กและโผล่ออกมาทั้งตัว ไอ้ผู้ชายคนนี้มันได้มานอนกับซินได้ยังไงเนี่ยยยย แถมมานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันด้วยนะ หน็อยแน่....!!

            ผมเอื้อมมือไปคว้าหนังหลังคอมันขึ้นมาทันที และโยนมันลงไปด้านล่างอย่างไร้เยี่อใย เรียกเสียงข่มขู่จากมันได้มากมายมหาศาลเลยครับ

            "นัท!! ทำไมจับทองแบบนั้นเล่า! เดี๋ยวเหอะ" เหวี่ยงตัวนู้น แต่ไอ้ตัวนี้ดันโกรธครับ แหม... รักกันจริงๆนะ

            "ก็มันมานอนข้างซิน ตัวผู้ซะด้วยนะ เดี๋ยวพ่อจับปิ้งซะหรอก"

            "จะบ้าเหรอ"

            "ไม่บ้าหรอก หวง"

            "นั่นทองนะ ลูกรักเรา"

            "ไม่สนอ่ะ ถ้าเป็นแสงดาวจะไม่ว่าเลย"

            "ทำไม..."

            "ก็แสงดาวตัวเมีย"

            "บ้ารึเปล่าเนี่ยนัท หึงแมว ...แต่เสียใจ ดาวดาวก็ผู้ชายเหมือนกัน"

            “เฮ้ย ถามจริง?”

            “อือ”

            “โห บ้านนี้นี่มันไม่ปลอดภัย”

            “หึงไร้สาระไปป่ะเนี่ย”

            "ไม่ไร้สาระอ่ะ หึงหมดแหละ คนเนี้ย" พูดจบผมก็ดันคนป่วยให้กระเถิบไปนิด ล้มตัวลงนอนด้านข้างซิน สอดแขนเข้าไปให้หัวทุ้ยๆหนุน และดึงเขาเข้ามากอดไว้ ลูกแมวน้อยเองก็ซุกเข้าหาแผ่นอกผมเช่นกัน

            อ้อนขนาดนี้เนี่ย ต้องการอะไรจากผมหรือเปล่าครับ... ^^






            แรงยุกยิกจากคนด้านข้างทำให้ผมต้องหยีตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจมากนัก ก็เมื่อเช้าตื่นเช้ามากจนเกินไป ก็เลยอยากจะขอนอนยาวๆต่ออีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนอยู่ข้างกันจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นซะแล้ว

            สัมผัสนุ่มนิ่มจากคนด้านข้างทำให้วาดแขนออกไปหวังจะกอดกัน แต่กลับได้กรงเล็บแหลมๆตอบกลับมาแทน ซินเล็บแหลมขนาดนี้เลยเหรอ...

            เฮ้ย ผมว่ามันไม่ใช่และ

            ผมยันตัวลุกขึ้นหันมามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ และพบว่าไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้างๆผมกลับไม่ใช่ซิน แต่เป็น... แสงดาวของคุณซินเขาและครับ มาได้ไงเนี่ย แล้วไอ้ตัวดีหายไปไหน ตื่นแล้วทำไมไม่ยอมเรียกกันบ้าง ไหนบ่นว่าปวดหัวไงน่ะ

            “เจ้านายแกไปไหนฮะ” ผมยื่นมือไปผลักหัวไอ้เหมียวที่มานั่งเลียแข้งเลียขาตัวเองอยู่ข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

            “แล้วใครเขาตั้งชื่อให้ เป็นตุ๊ดรึไงฮะ ชื่อแสงดาวนี่มันชื่อผู้หญิงชัดๆเลย ถามจริง ไปไหนมาไหนไม่อายบ้างเหรอชื่อนี้เนี่ย” ดีดหูมันไปอีกทีอย่างหมันไส้ รักนักรักหนาใช่มั้ยไอ้ตัวนี้เนี่ย หึหึ เจ้าของไม่อยู่ เสร็จแน่ๆ...

            มือเล็กๆสองข้างยกขึ้นตะปบผมในทันที แต่ขอโทษ เล็บไม่ได้เก็บนะครับ ถ้าหลบไม่ทันนี่ได้เลือดเลยนะ จับหักคอโยนออกนอกหน้าต่างไปซะดีมั้ยเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าคุณเจ้าของเขาจะฆ่าตายเอาซะก่อนนะ

            ผมลุกขึ้นบิดตัวยืดเส้นยืดสายไปมา หันไปมองเห็นแสงดาวโดดลงมาจากเตียง เดินเชิดไปรออยู่ตรงหน้าประตูห้อง อารมณ์ประมาณว่า 'เปิดประตูสิ ฉันจะได้ออกไป'

            นิสัยเหมือนใครเนี่ย... ไม่ต้องสืบเลยจริงๆ

            ทันที่ผมเปิดประตูมันก็วิ่งผลุบหายออกไปเลย พอผมเดินลงมาด้านล่างก็ได้กลิ่นหอมๆลอยออกมาจากห้องครัว นี่อย่าบอกนะว่าคนป่วยตื่นลงมาทำอาหารเช้าให้ผมกิน...?

            หิมะตกที่กรุงเทพเหรอ

            หรือว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก

            หรือว่าคนป่วยอาการหนักจนบุคคลิกเปลี่ยนไป

            พอและ ไม่ต้องเดาให้มากความ ไปหาเลยละกัน

            เดินเข้ามาในครัวก็เจอร่างบางคุ้นตายืนจับนู่นหยิบนี่ง่วนอยู่ในครัว มือเรียวจับตะหลิวผัดๆอยู่ในกระทะ แค่ได้กลิ่นก็ไม่ต้องเดาแล้วครับว่าเขาทำอะไร เมนูเก่งของเขานั่นแหละครับ สปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศ

            ผมยาวสวยถูกมัดรวบเป็นหางม้า ยาวจนถึงกลางหลัง ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผมสวยนี่เขาวัดกันยัง ผมรู้แค่ว่าผมซินสวย...^^ เอวบางๆนั่นอีก ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน ไอ้หุ่นแบบนี้ ลมพัดสองสามทีไม่รู้จะปลิวมั้ยนั่นน่ะ สาวๆนี่เขาลดแล้วลดอีก คุณซินไม่เห็นต้องทำอะไร จะกินแค่ไหนก็เห็นตัวเท่านี้ตลอด แต่ไอ้ปากบางๆนั่นก็บ่นจังว่าอ้วนอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ไม่ว่าจะอ้วนหรือไม่อ้วน ซินของผมก็น่ากอดเสมอ

            แฟนใครเนี่ย

            ...น่ารักจัง

            "เล่นอะไรเนี่ย"

            เสียงงุบงิบจากคนที่ผมเพิ่งจะเดินเข้าไปกอดเขาทางด้านหลังบ่นขึ้นเบาๆ ไอร้อนจากคนป่วยส่งผ่านมายังผม ซินตัวร้อนเหมือนกันนะเนี่ย

            "ตื่นมาทำไมแต่เช้า"

            "สิบโมงกว่า ไม่เช้าแล้วมั้ง"

            "เช้าสิ ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ ตัวร้อนๆด้วย ทำไมไม่นอนพัก"

            "แล้วเช้านี้จะกินอะไร เราไม่ทำให้แล้วใครจะทำ"

            "ก็ฉันไง เดี๋ยวทำให้กิน รับรองว่าจะติดใจ"

            "ถ้าคุณนัทจะทำกลับข้าว เกรงว่าครัวบ้านเราจะพังนะครับ"

            "โห ดูถูกกันสุดๆอ่ะ"

            "ก็ดูถูกแล้วไง"

            "แต่หูฝาดป่ะเนี่ย คุณซินกำลังจะทำข้าวเช้าให้กระผมกิน" และด้วยความหมันเขี้ยวก็เลยขโมยหอมแก้มเขาไปที เลยโดนด้ามตะหลิวกลับมาเป็นการตอบแทน

            "ไม่กินก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ" คนตัวเล็กดิ้นยุกยิกทำให้ผมต้องปล่อยเขาออกเพื่อให้เขาทำงานได้สะดวกขึ้น และถอยมายืนมองใกล้ๆแทน

            "ไม่กินได้ยังไง ฝีมือซิน ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว อร่อยขึ้นมั่งรึเปล่าเนี่ย"

            "อร่อยสู้ฝีมือสาวๆไม่ได้หรอกมั้ง"

            "นอกจากแม่ก็มีสาวซินคนเดียวนี่แหละที่ได้กินอ่ะ" ไม่ต้องเป็นหมอดูก็รู้ได้ล่วงหน้าครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

            ตะหลิวลอย... เคยเห็นมั้ยครับ โชคดีนะที่รับไว้ทัน ไม่งั้นกระจายเต็มห้องครัวแน่ๆครับไอ้เศษซอสที่ติดตะหลิวอยู่นี่

            "ทะลึ่งและนัท ไปรอข้างนอกนู่นไป เกะกะว่ะ"

            "ไม่เอาหรอก ข้างนอกไม่มีซิน ในนี้น่าอยู่กว่าเยอะ"

            "เหม็นขี้ฟัน"

            หึหึ ไอ้ที่ไล่กันนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เขินชัวร์ๆ ผมมองคนแก้มอมชมพูหยิบนู่นหยิบนี่ไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยเขาหยิบของส่งให้ ช่วยบ้างป่วนบ้างจนสปาเก็ตตี้แบบฉบับของคุณซินเขาเสร็จนั่นแหละ ถึงได้พากันออกมานั่งกินกันที่ห้องนั่งเล่น กินเสร็จก็ให้คนป่วยกินยา แล้วก็นั่งเอกเขนกดูหนังกันไปเรื่อยเปื่อย

            จนซินลุกขึ้นนั่นแหละ ผมถึงได้ถอนสายตาหันมามองเขา

            "ไปไหน"

            "อาบน้ำ เหนียวตัว"

            "ป่วย อาบน้ำได้เหรอ"

            "อ้าว แล้วจะให้เราตัวเหม็นไปทั้งวันรึไง ไม่เอาหรอก"

            "เช็ดตัวก็พอแล้วมั้ง"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่ถนัด" ผมรั้งแขนซินที่กำลังจะเดินหนีไปเอาไว้ก่อน ซินจึงหันมามองอย่างงๆ

            ความคิดดีๆเริ่มบรรเจิดอีกแล้วครับ... ^^

            "ฉันเช็ดให้"

            ไม่ต้องรอคำตอบ ผมลุกขึ้นจากโซฟาเดินจูงมือคนตัวเล็กตามขึ้นมาบนห้องโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แถมยังเดินตามมาเงียบๆแต่โดยดีอีกต่างหาก เป็นใจเกินไปแล้ว!

            "นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวไปเอาน้ำอุ่นมาก่อน"

            พาซินเดินมานั่งที่เตียง ผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำเพื่อลองน้ำอุ่นกับหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปเช็ดตัวให้เขา เดินกลับมาก็เห็นคนหน้าบางก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองผมอยู่

               เขิน ...แต่ไม่ปฏิเสธนะครับ ^^

            "จะนอนหรือจะนั่งเช็ดดีอ่ะ"

            "ไม่เอาไม่นอน!" ลูกแมวตัวน้อยส่ายหัวพรืดใหญ่เลย หึหึ เวลาแบบนี้มันน่าแกล้งจริงๆครับ ลืมคราบนางฟ้ามาเฟียไปได้เลย

            "นั่งแล้วจะเช็ดถนัดเหรอซิน"

            "เราเช็ดเอง"

            "อย่าดื้อ บอกว่าจะทำให้ก็คือทำให้สิ นอนนิ่งๆ เดี๋ยวเสร็จเอง"

            "สาบานมาว่าไม่ได้คิดเรื่องอื่น" ตากลมโตหรี่มองผมอย่างไม่ไว้ใจ

            "ไม่ได้คิดไรเลย จริงจริ๊งง" เสียงไม่สูงนะครับ ไม่เล๊ย

            "น่าเชื่อถือมากจริงๆ"

            "ถอดเสื้อเร็วคนเก่ง เดี๋ยวเช็ดตัวให้" มือก็ซักผ้าบิดผ้าไป ปากก็ยิ้มไม่หุบ ฮิฮิ เปล่านะครับ ผมไม่ได้ออกหน้าออกตาจนเกินไปสักนิดเลยนะเนี่ย นี่ธรรมดาเลยจริงๆ

            "ไม่ต้องถอดหรอก!"

            "เอ้า ไม่ถอดแล้วจะเช็ดยังไงล่ะ"

            "เช็ดทั้งๆที่ใส่อยู่แบบนี้แหละ เช็ดทับเสื้อไปเลย!"

            "ตลกแล้ว! แบบนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าเช็ดตัวหรอก เขาเรียกว่าเช็ดเสื้อ" งอแงแล้วมั้ยล่ะ คนเก่งของผม

            "ก็เราไม่อยากถอดนี่"

            "อายอะไรครับเห็นมาหมดแล้วทั้งตัวเนี่ย"

            "อย่าพูด!!" มือเรียวยื่นมาปิดปากผมด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะอะไรกันแน่นะครับ

            "อะไออ่ะ"

            "ไม่ต้องพูด จะทำอะไรก็รีบทำ"

            ฮั่นแน่... ความหมายสองแง่สองง่ามอีกแล้วนะครับเนี่ย หึหึ

            "ไม่ต้องมาทำหน้าลามก เราหมายถึงเช็ดตัวอย่างเดียว" สวยสวยชักมือกลับไปกอดอก แถมอมลมจนแก้มป่องอีกต่างหาก มันน่าหยิกซะให้ยืดจริงๆ

            "รู้แล้วน่า ไม่รังแกคนป่วยหรอก"

            "ไวๆเลย"

            "เอ๊ะ พูดจาชวนให้คิดอีกแล้วนะเราน่ะ"

            "ก็ในหัวมันมีแต่เรื่องแบบนี้เนี่ย!! ไม่ต้องช้งไม่ต้องเช็ดมันแล้ว เราไปอาบน้ำเองดีกว่า!!"

            "โอ๋ๆ ล่อเล่นๆ ไม่แกล้งแล้วครับ เช็ดเฉยๆครับ ไม่ทำอย่างอื่นหรอก ...ถ้าซินไม่สมยอมอ่ะนะ ...อะอะ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว" ผมยกสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้เมื่อซินรีบลุกขึ้นยืนอย่างหาเรื่อง นี่ขนาดคนป่วยนะเนี่ย ยังจะมีแรงทำร้ายร่างกายกันอีกอ่ะ

            "นั่งก็นั่ง แต่ต้องเลิกเสื้อขึ้นนะ ไม่งั้นเช็ดไม่ได้จริงๆ"

            "อือ"

            ผมกระเถิบขึ้นไปนั่งบนเตียงด้านหลังซิน ดึงเสื้อยืดตัวบางขึ้นสูง เพื่อที่จะเช็ดตัวเขาได้ง่ายขึ้น ทันทีที่เห็นผิวขาวๆนี่ ไอ้ที่บอกว่าจะไม่รังแกคนป่วยนี่ลืมไปเลยครับ อารมณ์หมาป่าอยากขย้ำลูกแกะเข้าครอบงำ แต่แรงสั่นน้อยๆจากคนตัวบางทำให้ผมต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ซินกำลังหนาว ให้เปิดเสื้อทิ้งไว้แบบนี้นานๆแล้วจะยิ่งป่วยหนักไปกว่าเดิม เริ่มเช็ดแล้วเลิกเล่นดีกว่าครับ

            ผมเช็ดผ้าที่บิดน้ำอุ่นหมาดๆไปบนหลังบางของซิน เขาเองก็นั่งเฉยๆให้ผมเช็ดไปเรื่อยๆจนทั่วหลัง แต่มันเช็ดทั้งหมดไม่ได้อ่ะ ถ้าไม่ถอดเสื้อ

            "ซิน ถ้าไม่ถอดเสื้อแล้วมันเช็ดไม่ได้จริงๆนะ ไม่อย่างงั้นมันจะเช็ดไม่ทั่วอ่ะ ต้องถอดเสื้อนะ"

            "...."

            "แป๊บเดียวน่า อย่าดื้อสิ จะได้เสร็จไวๆ แล้วก็นอนพักผ่อน เย็นนี้จะได้มีแรงทำงาน" ได้ยินแบบนั้นคนดื้อก็เริ่มถอดเสื้อตัวเอง แต่ก็ชะงักไปและหันมามองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจอีกครั้ง

            "ถ้าไม่เชื่อใจกันขนาดนั้นจะให้หลับตาเช็ดให้ก็ได้เอ้า ใช่สิ คำพูดฉันสำหรับนายมันคงไม่น่าฟังนักหรอกเน้อะ" ตอแหลลงตับอีกแล้วครับผม

            คนสวยถอนหายใจอย่างเซ็งๆ และถอดเสื้อออกในที่สุด

            ปฏิบัติการลุลวง! -..- ขาวมากจริงๆแหละครับ

            ผมค่อยๆบรรจงเช็ดลงไปบนผิวเนื้อนิ่มเบาๆ กลัวจะไปทำให้ผิวขาวๆนี่เป็นรอยแดง ไล้ตั้งแต่พุงเรียบไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง... ร่างบางสะดุ้งนิดๆเมื่อผืนผ้าแตะเข้ากับจุดไวต่อสัมผัสเล็กๆของเขา ริมฝีปากบางเม้นเข้าหากัน คิ้วเรียวขมวดมุ่น

            แล้วแบบนี้ ไอ้นัทมันจะทนยังไงไหววะครับ...

            ...แบบนี้มันทรมานตัวเองชัดๆเลย

            "เช็ดตรงนั้นพอแล้วมั้ง" เสียงเบาๆจากซินทำให้ผมได้สติและรีบชักมือกลับ ไม่ไหวๆ แบบนี้เดี๋ยวได้รังแกคนป่วยขึ้นมาจริงๆแน่

            "เราว่าแค่นี้พอแล้วแหละ"

            "ข้างล่างยังไม่ได้เช็ดเลยนะ"

            " - - "

            " *-* "

            "เดี๋ยวเราไปเช็ดในห้องน้ำเอง" พูดจบซินก็ลุกขึ้นเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที เล่นเอาผมอยากจะวิ่งตามเข้าไปด้วยเลย ถ้าไม่ติดว่าป่วยอยู่ และเย็นนี้มีงานนะครับ ไม่รอดจริงๆ ถ้าจะยั่วกันแบบไม่รู้ตัวขนาดนั้น

            นี่ก็เดือนร้อนไอ้นัทต้องมานั่งระงับอารมณ์ตัวเองกันยกใหญ่ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆจริงๆเลย   

            อ้าวๆ หวังอะไรกันครับ ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่รังแกคนป่วยอ่ะ ^^

            ผมส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหลือบสายตาหันไปเห็นโทรศัพท์ที่กำลังมีสายเรียกเข้ามาพอดี จึงลุกเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ก็ต้องชะงักไปนิดกับชื่อคนที่โทรเข้ามา

            'พ่อ'

            ............       





TBC.
.....
ขัดใจใครรึเปล่าน้ออออ
แต่ทำร้ายคนป่วยไม่ลง >..<
ฮ่าๆๆ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ

พบกันตอนหน้าน้าาา 
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน19 ป่วย [03/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-10-2013 23:13:09
ทำร้ายคนป่วยไม่ลง งั้นก็อย่าทำร้ายคนอ่านด้วยน๊า
เค้าไม่อยากซดมาม่าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน19 ป่วย [03/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 04-10-2013 15:03:28
ซินน่ารักจังเลยนัทอ่ะหื่นตลอด!!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน20 ครอบครัว [04/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 04-10-2013 16:57:51
20

((ครอบครัว))


 

            งานวันนี้จัดขึ้นที่ย่านวัยรุ่นใจกลางเมืองหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าสยามนั่นแหละครับ กว่าจะบังคับให้คนป่วยกินยาแล้วนอนพักก็ยากเอาเรื่องเหมือนกัน ดื้อจะอ่านหนังสือท่าเดียว แล้วดูสิเนี่ย อาการยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย จะพาไปหาหมอก่อนก็ไม่ยอมไป

            มันน่านักเชียว...

            "หายปวดหัวยังซิน"

            "ยังปวดอยู่นิดๆ"

            "นอนพักบนรถอีกสักแป๊บดีมั้ย เดี๋ยวค่อยลงไปก็ได้"

            "ไม่เอาอ่ะ นี่ก็ใกล้เวลางานเริ่มแล้วด้วย"

            ผมขมวดคิ้วมองคนด้านข้างอย่างไม่ชอบใจ คนอะไรทำไมช่างรั้นนัก ป่วยก็ต้องพักสิ เป็นนักร้องก็ใช่ว่าจะพักไม่ได้สักหน่อย ตัวเองยังแทบแย่แล้วยังจะไปห่วงคนอื่นอีก

            'แฟนคลับเรามารอเยอะแยะ จะให้เขามาเก้อเพราะเราไม่ขึ้นเวทีได้ยังไง' นี่คือเหตุผลของเขาครับ รักกันมากก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ก็อยากให้รักตัวเองด้วย เดี๋ยวจะแย่เอา

            อีกอย่างคือ ผมเป็นห่วง...

            "ไป ไปได้แล้ว เดี๋ยวไปเคลียคิวกับพี่ๆเขาอีก" คนตัวบางเร่งทำให้ผมต้องลงจากรถเพื่ออ้อมไปเปิดประตูรถให้เขา

            งานวันนี้แฟนคลับแห่กันมามากมายมหาศาลเช่นเคย มีทั้งแฟนคลับศิลปินเจ้าของไลฟ์ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแฟนคลับซิน ยกโขยงกันมาจนป้ายไฟซินจะมากกว่าเจ้าของไลฟ์ตัวจริงอยู่แล้ว

            ก้าวออกมาจากโรงจอดรถได้ไม่ทันไร แสงแฟลชก็สาดกันให้วิบวับทันที ข่าวไวจริงๆนะครับ ไม่รู้ว่าไปมองเห็นกันได้ยังไงถึงได้พากันมาไวขนาดนี้ ผมก้าวขึ้นไปบังซินเอาไว้เหมือนอย่างเคย ปล่อยได้เขาได้ถ่ายรูปกันสักพัก แล้วจึงขอตัวพาซินไปสแตนบายที่หลังเวทีก่อน เดี๋ยวเอาไว้เจอกันบนเวทีอีกที แฟนคลับก็ว่าง่ายยอมถอยเปิดทางให้แต่โดยดี

            ผมพาซินเดินไปพร้อมๆกับแฟนคลับอีกเป็นโขยงที่วิ่งตามกันมา จนเข้าเขตห้ามเข้านั่นแหละ ถึงได้กลับมาเดินอย่างสะดวกอีกครั้ง ผมจึงหันกลับไปมองคนป่วยด้วยความเป็นห่วง

            "ไหวมั้ย"

            "ไหวๆ"

            ไหวทั้งปี...

            ตอนนั้นเอง ก่อนที่จะได้เข้าไปที่หลังเวทีจริงๆ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนคุยกันอยู่ตรงที่ไกลๆทำให้ผมหยุดก้าวขาลง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีมากๆวิ่งเข้ามากระแทกหน้าผมอย่างจัง ก็จากที่มองเห็นไกลๆนั่นมัน...

            พ่อผมไม่ใช่เหรอ...? ไหนจะยังไอ้กัสอีก และที่สำคัญ โอลีฟกับคุณโอ๊ตก็อยู่ด้วย ตัวละครสำคัญอยู่กันครบเลยนะครับ นี่ถ้ารวมผมกับซินเข้าไปด้วยอีกก็จะกลายเป็นละครดราม่าขึ้นมาทันที

            แต่ประเด็นคือพ่อมาที่นี่ทำไม?

            เมื่อสายๆพ่อโทรหาผม แต่ผมตัดสินใจที่จะไม่รับ ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อโทรมาทำไม การไม่รับสายน่าจะดีที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าพ่อจะตามมาถึงนี่...

            "มีอะไรหรือเปล่านัท" เสียงถามจากคนด้านหลังทำให้ผมกระชับมือเขาที่จับเอาไว้อยู่แน่นยิ่งขึ้น และเมื่อซินเห็นว่าผมกำลังมองอะไรอยู่ เขาจึงเบนสายตาไปทางนั้นด้วยเช่นกัน ทันทีที่เขาเห็นสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ มือเรียวก็รีบบิดออกจากมือผมทันที

            ...แต่ผมไม่ยอมปล่อย

            ทำไมจะต้องปล่อย มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา ไหนๆจะรู้แล้ว ก็รู้กันให้หมดไปเลย ที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในระยะที่แฟนคลับจะมองเห็นได้ จะมีก็แต่คนภายในเท่านั้นที่เดินกันไปมา ผมบีบกระชับมือซินให้แน่นขึ้น และพาเขาเดินออกไปพร้อมๆกัน สายตาของทุกคนหันมามองทางนี้ทันทีเมื่อเห็นเรา

            "มากันแล้วเหรอ" เป็นคุณโอ๊ตที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเราก่อนที่จะเดินไปถึงที่ตรงนั้น

            "มีอะไรกันหรอ" ซินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ผมนี่แย่จริงๆ ทำไมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้นะ ซินก็ป่วย ไม่อยากให้ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆตอนนี้เลย

            "เอ่อ คือ..."

            "มากันแล้วเหรอ มาตรงนี้หน่อยสิ" คุณโอ๊ตที่อ้ำอึ้งๆเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างต้องหยุดไป เพราะเสียงของพ่อผมดังขึ้นมาซะก่อน แบบนี้ ไม่ดีแน่ๆครับ

            คุณโอ๊ตจึงจำต้องเดินนำหน้าเรากลับไปตรงที่ทุกคนยืนอยู่อย่างไม่เต็มใจนัก ผมกับซินเองก็เช่นกัน โอลีฟส่งยิ้มทักทายมาให้ผม ผมจึงยิ้มตอบกลับไปนิดๆ ผิดกับไอ้กัสที่มองมาทางผมกับซินอย่างไม่สบายใจ

            ว่าแต่โอลีฟมาทำอะไรที่นี่เนี่ย เกี่ยวอะไรกับงานด้วย อันที่จริงไม่ต้องมาให้ดราม่ามันซับซ้อนยิ่งขึ้นก็ได้มั้ง - - แค่พ่อคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว

            "ไง ฉันโทรหาแกเมื่อเช้า ไม่รับสายนะ" พ่อหันมาเล่นงานผมก่อนคนแรก ในที่นี้คงไม่มีใครกล้าขัดผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ เวลาเล่นพ่อก็เฮฮานะครับ แต่ถ้าเวลาจริงจังนี่ก็จะกลายเป็นคนละคน ไม่อย่างนั้นคงจัดการกับพวกตัวแสบที่โรงฝึกไม่ได้

            "ผมยุ่งๆ"

            "คงยุ่งมากเลยสินะ ถึงได้หายไปจากบ้านแต่เช้าตรู่"

            ความตรึงเครียดแผ่รัศมีเข้าครอบคลุมบริเวณนี้ทันที ทางทีมงานที่เดินผ่านไปมาก็มองมาทางนี้อย่างสนใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมากนัก ผมยืนมองหน้าพ่อนิ่งๆอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

            ทำไมพ่อถึงไม่เข้าใจ...

            แรงบีบฝ่ามือจากคนด้านข้างทำให้ผมใจเย็นลงนิดนึง แต่ผมเองก็รู้ว่าเขาก็กำลังเครียดอยู่ไม่แพ้กัน ไม่ต่างจากทุกๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้

            "เอ่อ..คือว่า... เดี๋ยวโอลีฟต้องเข้าไปด้านในแล้วล่ะค่ะ เพราะต้องไปเตรียมตัวก่อน เดี๋ยวจะต้องขึ้นเวทีก่อนใครเลย ก็เลยว่าจะไปทบทวนสคลิปก่อนอีกสักรอบ" น้ำเสียงร่าเริงสดใสจากโอลีฟที่พยายามจะทำให้บรรยากาศตอนนี้มันดีขึ้น ทำให้พ่อถอนสายตาจากผมเพื่อหันไปมองเธอ

            "อ้อจริงด้วย โอลีฟเป็นพิธีกรงานวันนี้นี่นะ ยังไงลุงขอโทษด้วยนะที่บอดี้การ์ดคนนี้เถลไถลไปหน่อย ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไปทำหน้าที่ของแก" พ่อหันไปพูดกับโอลีฟยิ้มๆ ก่อนที่น้ำเสียงเย็นเยียบจะหันมาสาดใส่ผมในตอนสุดท้าย

            อะไร?

            "ผมก็ทำหน้าที่ผมอยู่" ผมตอบกลับไปแบบนั้น ผมเป็นบอดี้การ์ดของซิน ดูแลซินก็ถูกแล้ว

            "หน้าที่แกคือดูแลโอลีฟไม่ใช่เหรอ"

            "ผมเป็นบอดี้การ์ดของซิน ไม่ใช่คนอื่น"

            "ฉันบอกแกไปแล้วนะ เรื่องหน้าที่ใหม่"

            "ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รับ!"

            "นัท! จะพูดอะไร ระวังคำพูดแกด้วยนะ" คำพูดพ่อเตือนสติ ทำให้ผมคิดได้ว่าตัวเองพูดแรงเกินไป จึงจำต้องหยุดพูดลงแค่นั้น ยังไงตอนนี้โอลีฟก็ยืนอยู่ด้วย จะพูดอะไรก็ต้องคิดถึงจิตใจเธอบ้าง

            ในตอนที่ผมกำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง มือบางอีกข้างของซินก็แตะลงบนหลังมือผมที่จับมือเขาอยู่เบาๆ ผมจึงหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ใบหน้าสวยยิ้มให้ผมนิดๆก่อนจะเอ่ยพูด

            "นัทไปทำงานของนัทเถอะ เราเองก็จะไปทำงานของเราเหมือนกัน ปล่อยเราก่อนเถอะนะ"

            ทำไมถึงยังจะยิ้มอยู่อีก นี่เรากำลังจะถูกจับพรากจากกันอีกแล้วนะ

            "ทำไม..."

            "คุณซินพูดถูกแล้ว งานกำลังจะเริ่ม อย่าทำให้ฉันต้องขายหน้ามากไปกว่านี้เลย กลับมาทำงานของแก แล้วปล่อยมือคุณซินเขาได้แล้ว" ผมตวัดสายตากลับมามองพ่ออีกครั้ง

            "ผม.."

            "ไปเถอะ" น้ำเสียงอ่อนแรงจากคนด้านข้างทำให้ผมจำใจต้องกลืนถ้อยคำที่มันอัดอั้นตันใจอยู่ลงไป และคลายแรงจับมือออกในที่สุด มือเรียวบิดออกไปอย่างง่ายดาย ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้ผมนิดๆ หันไปยกมือไหว้ลาพ่อผมและเดินเข้างานไป ตามด้วยคุณโอ๊ต และไอ้กัส...

            ผมมองตามภาพนั้นไปด้วยความรู้สึกยังไงผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ คนที่ควรจะตามซินไปคือผม ไม่ใช่ไอ้กัส

            พ่อหยิบยื่นซินให้ผมเองกับมือ แล้วอยู่ๆจะมาพรากไปแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ!!

            "แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ"

            "ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาพูดกัน พาโอลีฟเข้าไปข้างในแล้ว" คำว่า 'หน้าที่' ทำให้ผมต้องพาโอลีฟเข้าไปด้านในอย่างไม่เต็มใจ

            หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ผมทำหน้าที่ของผมมาอย่างดีจนถึงตอนนี้ ผมยอมเป็นลูกที่ดี ทำทุกๆอย่างตามที่พ่อขอ แล้วทำไมพ่อถึงไม่ยอมฟังความคิดเห็นของผมบ้าง!

            "นัท" เสียงเรียกจากโอลีฟทำให้ผมต้องดึงตัวเองออกมาจากความคิด และเงยหน้าขึ้นมองเธอ

            "เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงใสๆจากเธอทำให้ผมต้องส่ายหน้าช้าๆ

            "เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก"

            "นัทไม่อยากทำงานกับโอลีฟเหรอ โอลีฟทำให้นัทลำบากใจหรือเปล่าคะ"

            "เปล่าครับเปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก"

            "แล้วนัทกับคุณซิน..."

            ผมหยุดมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เพื่อรอให้เธอพูดประโยคต่อไปให้จบ แต่ทางทีมงานก็เข้ามาเรียกเธอไปขึ้นเวทีซะก่อน ประโยคจึงจบลงแค่นั้น ผมจึงทำแค่เดินตามเธอไปที่ด้านข้างเวที

            โอลีฟขึ้นเวทีไปแล้ว เพื่อทำหน้าที่พิธีกรของเธอต่อไป ผมจึงยืนอยู่ตรงนี้จมกับความคิดของตัวเอง ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับคนอีกฝากฝั่งหนึ่งของเวที ซินของผมกำลังนั่งรอเวลาขึ้นเวทีอยู่ที่ข้างเวทีเช่นกัน เพียงแต่เราอยู่กันคนละฝั่ง ด้านข้างเขามีกัสยืนขนาบข้างอยู่ สีหน้าซินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

            ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่านะ

            เจ็บคอมั้ย... จะร้องเพลงไหวหรือเปล่า

            ทีมงานจะเตรียมน้ำอุ่นมาให้เขาดื่มหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ากินน้ำเย็นไปแล้วหรอกนะ

            ใส่เสื้อบางขนาดนั้นจะหนาวมั้ย บอกให้เอาเสื้อคลุมทับอีกชั้นก็ไม่เชื่อ

            แล้วทำไม ผมถึงมายืนตรงนี้... ทำไมไม่ไปยืนข้างๆเขา

            อ๊ะ ลุกขึ้นแล้ว กำลังจะเดินไปขึ้นเวทีแล้วด้วย จะสะดุดล้มที่ข้างเวทีแบบคราวก่อนอีกมั้ยนะ ไอ้กัสมัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เดินไปดูซินใกล้ๆ เฮ้ย ไอ้อ้วนนั่นใครวะ มายืนบังซินของผมทำไมเนี่ย มองไม่เห็นนะเว้ย หลบไปๆ

            ผมยืนชะเง้อชะแง้เพื่อที่จะมองซินให้เห็น ก่อนจะต้องถอนหายใจโล่งอกอีกเมื่ออีกฝ่ายขึ้นไปบนเวทีอย่างปลอดภัย ใบหน้าหวานแต่งแต้มไปรอยยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสที่เขามีเสมอเมื่อทำในสิ่งที่เขารัก แต่ใครจะรู้ว่าดวงตาสวยนั่นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย ซินกำลังไม่สบายใจ

            เหมือนกันกับผมตอนนี้ เราทั้งสองต่างก็กำลังกลัว... กลัวว่าวันเวลาที่ต้องจากกันจะหวนกลับมาอีกครั้ง

            เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะครั้งนี้เราทั้งสองคนไม่ได้อยากปล่อยมือออกจากกันเลย เรากำลังรั้งอีกฝ่ายเอาไว้จนสุดกำลัง

            "นัท!" เสียงเรียกจากโอลีฟทำให้ผมตกใจอีกครั้ง

            "เป็นอะไร โอลีฟเรียกตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ เหม่อบ่อยจังเลย"

            "อ้าว ลงมาจากเวทีแล้วเหรอครับ"

            "ลงมาแล้วสิคะ ศิลปินขึ้นร้องไปตั้งนานแล้ว โอลีฟเรียกก็ไม่ได้ยิน เป็นอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย"

            "ขอโทษครับ พอดีมีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย"

            "เรื่องซินรึเปล่าคะ" คำถามจากโอลีฟทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นี่เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ

            "อะไรนะครับ"

            "โอลีฟถามว่านัทคิดเรื่องซินอยู่เหรอคะ"

            "ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้ายังไงตอนนี้กลับไปนั่งพักก่อนเถอะครับ" พูดจบผมก็เดินนำหน้าเธอออกมาเลย ไม่อยากจะพูดจาร้ายกาจเพื่อทำร้ายจิตใจเธอหรอกนะครับ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอรู้เรื่องผมกับซินมากน้อยแค่ไหน แต่มันใช่เรื่องที่จะเอามาพูด เอามาถามกันเหรอครับ

            โอลีฟที่เดินตามมานั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางทีมงานเตรียมเอาไว้ให้ และท้าวแขนมองหน้าผมอย่างขัดใจนิดๆ

            "นัทกับซิน เป็นอะไรกันเหรอคะ" ผมชะงักไปทันทีกับคำถามของเธอ ถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่ค่อยมีคนมากเท่าไหร่ แต่เสียงของเธอก็ไม่ได้เบาจนคนอื่นไม่ได้ยินนะครับ

            "...." ผมเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินคำถามที่เธอถามละกัน

            "เป็นแฟนกันเหรอ"

            "ไม่เกี่ยวกับซินหรอกครับ อย่าเอาเขาเข้ามายุ่งด้วยเลย"

            "แล้วเมื่อกี้ก่อนเข้างาน..."

            "ผมกับซินจะเป็นอะไรกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะต้องมายุ่งไม่ใช่เหรอครับ"

            พูดออกไปจนได้... ตอนนี้เรื่องแย่ๆในสมองมีมากพอแล้วนะครับ ไม่อยากจะต้องมานั่งคิดเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นอีก แล้วอารมณ์ก็พร้อมที่จะปลดปล่อยเต็มที่ อย่าทำให้ต้องเสียมารยาทไปมากกว่านี้เลย

            "คนอื่นที่นัทพูดถึงนี่หมายถึงโอลีฟ แฟนคลับของซิน ...หรือว่าผู้สื่อข่าวกันคะ" ผมหันมองหน้าโอลีฟอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดออกมา

            ที่พูดมานั่น หมายความว่ายังไงครับ

            รอยยิ้มที่สดใส แปลเปลี่ยนไปจนผมตกใจ... ผู้หญิงคนนี้นี่มันยังไงกัน

            "หมายความว่ายังไง"

            "เปล่าค่ะ ไม่ได้หมายความว่ายังไง ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าคนอื่นที่นัทพูดเนี่ย หมายถึงใคร"

            "ต้องการอะไร"

            "โอลีฟจะต้องการอะไรจากนัทล่ะคะ โอลีฟไม่ได้ต้องการอะไรหรอก คนที่ต้องการคือ...พ่อของนัทมากกว่า..."

            พ่อ... พ่อทำไม พ่อมีแผนอะไร

            โอ๊ย แค่นี้ก็ปวดหัวจะบ้าตายอยู่แล้วนะ!!

            "เอาไว้ลองกลับไปถามคุณพ่อของนัทเองดีกว่า เอาเป็นว่า ต่อจากนี้เราต้องทำงานร่วมกัน เรามาทำดีต่อกันไว้จะดีกว่านะคะ" เล็บสวยจากนิ้วมือเรียวยกขึ้นไล้แขนผมเบาๆ พร้อมๆกันกับที่เจ้าตัวส่งสายตาวิบวับมาให้

            ผมก้าวถอยหลังหนีออกมาทันที

            บางทีคนหน้าตาสวยๆ ก็ไม่ได้ 'สวย' อย่างที่เราคิดจริงๆสินะครับ

            "หึหึ" ผมหันหน้าหนีเสียงหัวเราะที่ไม่น่าฟังนั้นอย่างอยากจะหนีไปให้ไกล

            ผู้หญิงคนนี้น่ากลัว!

 

            หลังจากการทำงานด้วยความทรมานใจในวันนี้จบลง พอเห็นว่าป๊าซินมารับซินกลับบ้านไปกับตาตัวเองแล้ว ผมก็ตรงกลับบ้านทันที ไม่ได้ไปส่งโอลีฟที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเองก็ขับรถมาเอง ขับกลับเองก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ผมตัดบทเธอแค่นั้นและเดินหนีออกมาเลย ไม่รู้ว่าจะโทรไปฟ้องอะไรพ่อผมหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ เพราะวันนี้ผมเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับพ่อเหมือนกัน! หนีมาพอแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง

            ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็เจอกับพ่อนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ราวกับว่ากำลังรอผมอยู่เช่นกัน

            "ทำไมไม่ไปส่งโอลีฟที่บ้าน"

            นั่นไง... เดาเอาไว้ไม่มีผิดเลยครับ

            "เขาขับรถมาเองนี่"

            "อย่างนั้นแกก็ควรจะขับรถเขาไปส่ง แล้วค่อยกลับมาเอารถตัวเอง"

            "ไม่อยากต้องย้อนกลับไปกลับมา"

            "แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้ามาพูดว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ดีแล้วอีกเหรอ"

            "พ่อ!"

            "ในเมื่อฉันเปลี่ยนนายจ้างใหม่ให้แกแล้ว แกก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าแกจะอยากทำ หรือไม่อยากทำก็ตาม ถ้าเผื่อว่าระหว่างทาง โอลีฟเกิดถูกดักปล้น หรือถูกพวกโรคจิตล่อล่วงไปแกจะทำยังไง"

            "...."

            "ซินฉันให้กัสเป็นคนดูแล ส่วนแกก็แค่ไปดูแลโอลีฟ ก็แค่นั้น ฉันเคยเปลี่ยนนายแจ้งให้แกบ่อยไป ตอนนี้ก็แค่กลับไปทำแบบเดิม"

            "แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่นั้น! พ่อเปลี่ยนงานโดยที่ไม่มีเหตุผล ตอนนี้ไอ้กัสมันอาจจะปิดเทอมอยู่ แล้วถ้ามันเปิดเทอม ใครจะดูแลซิน!"

            "เด็กในโรงฝึกก็ยังมีอีกตั้งเยอะแยะ ฉันค่อยคัดเลือกเอาตอนนั้นก็ได้"

            "พ่อไม่เหตุผลเลย! นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ เคยถามความสมัครผมบ้างมั้ย"

            "แล้วทีแกอยากทำอะไร แกเคยเห็นหัวคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้างมั้ย! แม่แกต้องเสียใจแค่ไหนที่ต้องมารับรู้ว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองชอบผู้ชาย!!"

            สองมือของผมกำเข้าหาหันจนแน่น ทั้งตัวมันชาวาบไปหมด แทบจะไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว

            "ผมผิดตรงไหน การที่ผมจะรักใครสักคน..."

            "มันจะไม่ผิดเลย ถ้าแกจะรักคนที่เหมาะที่ควร"

            "แล้วซินไม่เหมาะไม่ควรตรงไหนกัน"

            "ตรงที่ทั้งแกทั้งเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ไง"

            แล้วยังไง ใครบอกเหรอ ใครเป็นคนกำหนดว่าผู้ชายรักกันไม่ได้ ใครกันบอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม ก็ถ้าความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม แล้วทำไมจะต้องเอากฎเอาเกณฑ์อะไรมาขว้างกั้นมันด้วย แค่ผมมีความรัก แค่ผมอยากที่จะรัก และดูแลใครสักคน ผิดด้วยเหรอที่คนคนนั้นเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนผม

            แค่ผมอยากรักซิน ผมผิดอะไร

            "แล้วถ้าแม่ไม่ใช่คนที่เหมาะที่ควร พ่อจะรักแม่มั้ย"

            "อย่ามาพูดจาเหลวไหล ฉันกับแม่แกนี่เหมาะกันดีที่สุดแล้ว"

            "ผมแค่สมมติ ว่าถ้าวันหนึ่งพ่อของพ่อ เดินมาบอกพ่อว่า แม่ไม่เหมาะกับพ่อ ตอนนั้นพ่อจะเลิกกับแม่มั้ย ถ้าการที่พ่อจะรักใครสักคน รักมาก จนยกให้เขาเป็นทั้งหมดของชีวิต แต่กลับมีคนมาบอกว่าพ่อรักเขาไม่ได้ เพราะไม่เหมาะสมกัน พ่อจะยอมเลิกรักคนคนมั้ย... จะยอมตัดใจ และปล่อยมือแม่หรือเปล่า..." 

            "นั่นมันไม่เหมือนกัน"

            "ทำไมจะไม่เหมือนกัน เพราะผมเองก็รักซิน ในแบบเดียวกันกับที่พ่อรักแม่"

            ไม่รู้ว่าผมเลิกตะโกนใส่พ่อ และใช้น้ำเสียงอ้อนวอนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่า ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่อยากปล่อยมือนั้น กว่าจะมาถึงตอนนี้ กว่าจะรักกันได้มากเท่านี้ ผมต้องอดทน ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน กว่าที่แผลเก่าของเราจะหายไป แล้วนี่ จะมีคนเอามีดมากรีดซ้ำลงแผลเดิมอีกเหรอ 

             "ผมแค่อยากรู้ว่า การที่เราจะรักใครสักคน แล้วอยู่ๆมีคนเดินเข้ามาบอกว่าเลิกรักเขาซะ ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะทำได้ง่ายๆงั้นเหรอ ลองนึกสิ ว่าถ้ามีใครมาพรากแม่ไป พ่อจะยอมมั้ย พ่อจะยอมอยู่เฉยๆให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมั้ย พ่อจะยอมให้หัวใจพ่อถูกกระชากออกไปมั้ย"

            พ่อไม่ตอบ ทำเพียงแค่นั่งมองโต๊ะวางเปล่าอยู่เท่านั้น ผมรู้ว่าพ่อเข้าใจ พ่อต้องเข้าใจทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่ตอนนี้พ่อยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นเอง

            "ผมอยากให้พ่อเข้าใจผมบ้าง ผมยอมทำตามที่พ่อขอมาทุกอย่าง ตอนนี้ลูกชายคนนี้ขออะไรจากพ่อบ้างได้มั้ย ความรักของผม ขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอง..."

            "ไม่ได้"

            คำตอบเสียงเรียบของพ่อได้กรีดเข้าไปในหัวใจของผมเรียบร้อยแล้ว... น้ำเสียงเย็นชาจากคนที่ผมคิดว่าน่าจะเข้าใจผมที่สุด เจ็บจนไม่รู้จะพูดยังไง เข้าใจมั้ยครับ พูดทุกอย่างออกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟัง เหมือนพูดให้คนที่ปิดหูปิดตาหนีเราฟัง ยังไงเขาก็ไม่มีวันเข้าใจ

            "กลับขึ้นห้องไปได้แล้ว พรุ่งนี้แกต้องทำงานแต่เช้า ฉันให้แม่แกเอาตารางงานของโอลีฟไปวางไว้ให้ในห้องของแกเรียบร้อยแล้ว ศึกษาให้ดี และทำหน้าที่ของแกตอนนี้ให้ดีที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่แกต้องทำ"

            "ผมไม่ทำ"

            พ่อเหลือบสายตาขึ้นมามองผมอีกครั้ง

            "ผมจะไม่เป็นบอดี้การ์ดของใครทั้งนั้น ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ซิน!"

            "นัท!!"

            "ผมทำตามที่พ่อขอมามากพอแล้ว! ก็ถ้าในเมื่อพ่อไม่เข้าใจ! ก็อย่าหวังว่าผมจะเข้าใจพ่อเหมือนกัน!!" พูดจบผมก็เดินออกจากที่ตรงนั้นทันที ตรงดิ่งมาที่บันไดเพื่อจะขึ้นตัวเอง

            "ไอ้นัท!!!" เสียงพ่อตะโกนลั่นตามมา แต่ผมไม่ได้สนใจที่จะหยุดฟัง

            พอกันที พูดกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ไหนๆก็กลายเป็นลูกที่เลวไปแล้ว ก็เลวให้มันสุดๆไปเลยแล้วกัน!

            แต่พอเดินมาจนถึงบันไดกลับต้องชะงักเพราะผ่ามือของใครบางคนคว้าแขนผมเอาไว้ก่อน แรงสั่นจากฝ่ามือนั้นทำให้ผมชะงักลงทันที

            แม่...

            แม่ผมมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้

            "ยังไม่นอนอีกเหรอครับ" ผมเอ่ยถามท่านเสียงเบา แม่มายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว...

            "ยังจ่ะ... เหนื่อยมั้ยลูก ทานอะไรหรือยัง" น้ำเสียงสั่นเครือจากผู้หญิงตรงหน้านี้ถามผมด้วยความห่วงใย ฝ่ามือสั่นเทาลูบหัวผมด้วยความรัก ใบหน้าที่เคยสดใสและใจดีของแม่ตอนนี้ ...เต็มไปด้วยน้ำตา

            นี่แม่ แอบมายืนร้องไห้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ...งั้นแสดงว่า ได้ยินหมดเลยสินะที่ผมคุยกับพ่อ

            "แม่..."

            "ลูกชายของแม่ ถ้าเหนื่อยก็นอนพักซะนะ เดี๋ยวแม่จะเอานมอุ่นๆขึ้นไปให้จ้ะ..." แม่พูดเท่านั้นก่อนจะผละออกไป

            น้ำตาลูกผู้ชายของผมคลอหน่วยขึ้นมาในทันที มันรู้สึกจุกในอกไปหมด ความรู้สึกผิดแล่นวาบไปทั่วตัว ที่แม่ต้องร้องไห้แบบนี้ก็เพราะผม เป็นผมเองที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ผมมันเป็นลูกที่เลวมากใช่มั้ย ที่ทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา 

            แต่ไม่ว่ายังไง แม่ก็ยังห่วงผม รักผมเหมือนอย่างเดิม...

            แต่แม่ครับ ผมเองก็รักซินมาก เกินกว่าที่จะยอมปล่อยเขาไปเหมือนกัน... แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่ผมจะไม่ยอม





TBC.
....
มาแล้วค่าาา

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
พบกันตอนหน้าค่า ^^

               
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน20 ครอบครัว [04/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 04-10-2013 19:09:41
สงสารนัททททททททททททททททททททท งือออออคุณพ่อช่วยเข้าใจพี่นัทหน่อยได้ไหม
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน20 ครอบครัว [04/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-10-2013 22:13:07
อ่านแล้วเลยน้ำตาซึม
ยากจังน๊า ทำไมคุณพ่อไม่เข้าใจ เห้อ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน20 ครอบครัว [04/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 06-10-2013 09:53:56
พ่อไม่เข้าใจนัทอ้ะ  :m7: :m7:

คำผิดเยอะจัง :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 07-10-2013 21:37:03
21

((รั้น))


            แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านม่านที่ถูกปิดทึบจนภายในห้องมืดสนิท เห็นเป็นลำแสงจางๆ มีไรฝุ่นนับหมื่นนับแสนล่องลอยอยู่ในนั้น ไม่อยากลุก ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ร่างกายมันหนักไปทุกส่วน แค่จะกระดิกตัวยังไม่อยากเลย

            เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เป็นเพราะว่านอนตาค้างอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อคืน 

            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนไม่หลับ? หรือหลับไม่ลง?

            แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆที่วันนี้พ่อบอกว่าผมมีงาน แต่ป่านนี้แล้วก็ไม่เห็นมาเรียก จากความร้อนของแดดที่ส่องเข้ามา นี่ก็น่าจะสายมากๆแล้ว

            หรือว่ายังจะพอเมตตากันอยู่บ้าง...

            แต่แล้วเสียงเคาะประตูเบาๆกลับดังขึ้นเหมือนจะอยากแกล้งกันซะอย่างนั้น

            ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากพบใครตอนนี้ ขอผมอยู่ในโลกของผมคนเดียวแบบนี้ไปอีกสักพักได้มั้ย อย่างน้อย ให้ได้วาดภาพในจินตนาการที่มีความสุขก็ยังดี

            รอยยิ้มของซิน...

            ภาพกลีบปากบางแย้มรอยยิ้มกับใบหน้าสวย พาให้มุมปากผมยกขึ้นได้อีกนิด เสียงใสๆของเจ้าตัวที่คอยงุ้งงิ้งอยู่ใกล้ๆ

            คิดถึงอีกแล้วสิ

            .....

            "นัท" เสียงเรียกเบาๆจากด้านนอกทำให้ผมต้องดึงสติตัวเองกลับมาใหม่ เสียงแม่...

            "ตื่นหรือยังลูก แม่เอาข้าวต้มร้อนๆมาให้" น้ำเสียงของแม่ทำให้ผมจำต้องลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก โลกเอียงไปทันทีที่ผมลุกขึ้นนั่ง จำต้องหลับตาลงสักพักเพื่อปรับสภาพที่ลุกขึ้นกะทันหันเกินไป ขมับทั้งสองข้างปวดหนึบไปหมด

            หึหึ แค่ไม่ได้นอนคืนเดียว เป็นถึงขนาดนี้เลยหรือไง อ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอผม

            เมื่อสายตาเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเพื่อให้แม่เข้ามาด้านใน

            แม่ที่ยืนถือถาดข้าวต้มอยู่หน้าห้องยิ้มให้ผมนิดๆและเดินเข้ามาด้านใน

            "ทำไมไม่เปิดม่านเนี่ยลูกชายคนนี้ ห้องมืดเชียว มองเห็นเหรอเนี่ย ...หรือว่ายังไม่ตื่นฮึ พ่อลูกชาย"

            ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยิ้มนิดๆให้กับแม่ที่เปิดม่านจนภายในห้องสว่างจ้า เพื่อตอบรับคำถามนั้นเท่านั้น

            แสงสว่างที่ทำให้แม่มองเห็นหน้าผมได้ชัดๆ ทำให้แม่หุบรอยยิ้มลงไปทันที

            "...หรือว่ายังไม่ได้นอน" แม่วางถาดข้าวต้มลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินมาตรงหน้าผม ยกมือขึ้นแตะแก้มผมเบาๆ

            "ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอลูก"

            ยังมีแค่เพียงรอยยิ้มที่ตอบกลับไปเท่านั้น แม่อาจจะกำลังยิ้มแย้มสดใส แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่นอนไม่หลับ เพราะแม่เองก็ดูอิดโรยไปเหมือนกัน แม่ที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของผม...

            เพราะลูกคนนี้ใช่มั้ย ทำให้แม่กลายเป็นแบบนี้

            "มานี่มา มาทานข้าวดีกว่า แม่ทำมาให้ร้อนๆ เดี๋ยวมันจะเย็นชืดไปซะก่อน" น้ำใสๆที่เริ่มคลอหน่วยในดวงตาแม่ขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้แม่รีบผละจากผม และเปลี่ยนมาคว้าแขนผมลากไปที่เตียงแทน

            "ทานข้าวดีกว่าลูก" แม่พูดพร้อมกับยกถาดมาวางเอาไว้ให้ตรงหน้าผมบนเตียง

            มันหอมนะครับ และฝีมือแม่ มันก็ต้องอร่อยแน่ๆอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากจะกินอะไรจริงๆ

            มันรู้สึกอิ่มอย่างที่ไม่เคยอิ่มมาก่อนเลย

            "ทานสิจ้ะ" แม่คะยั้นคะยอเพิ่มเมื่อเห็นว่าผมทำเพียงแค่จ้องมองชามข้าวอยู่อย่างนั้น โดนที่ไม่มีท่าทีว่าจะตักกินแม้แต่น้อย

            "ผมยังไม่ค่อยหิว เอาไว้ก่อนได้มั้ย"

            แม่ถอนหายใจเบาๆเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แล้วจึงยกถาดออกไปวางไว้ที่เดิม และกระเถิบเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น ฝ่ามือที่แสนจะอบอุ่นยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ

            ตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาผมทะเลาะกับพ่อ หรือว่ามีเรื่องให้ต้องเถียงกันทีไร แม่ก็จะคอยขึ้นมาปลอบผมบนห้องอยู่แบบนี้บ่อยๆ แม่จะคอยบอกผมว่า

            ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เพราะว่ายังไงแม่ก็รักลูก และอยู่ข้างลูกนะ

            ก็เพราะว่าแม่ใจดีแบบนี้ไง ผมถึงได้เสียนิสัยอยู่บ่อยๆ

            ...แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ แม่จะยังอยู่ข้างผมอยู่มั้ย

            แม่ไม่ได้พูดอะไรเลย นอกว่าจากลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น สายตาที่แม่มองมาก็เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเหมือนอย่างเคย จนเป็นผมที่คว้ามือแม่มาจับเอาไว้

            "แม่ครับ ผม..."

            "เอ้อ! จริงสิ แม่ว่าแม่อุ่นกับข้าวทิ้งเอาไว้นี่นา นี่ก็นานแล้วด้วย เดี๋ยวขอแม่ลงไปดูหน่อยดีกว่า" ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร แม่ก็กลับตัดบทขึ้นมาซะก่อน แม่บีบมือผมนิดๆ ก่อนจะปล่อยมือผมและลุกขึ้นยืน

            ผมยังคงนิ่ง และนั่งอยู่อย่างนั้นในขณะที่แม่เดินออกไป

            แม่ไม่ได้อุ่นกับข้าวหรือว่าอะไรทิ้งเอาไว้หรอก เพียงแต่ แม่ยังไม่พร้อมสำหรับอะไรที่ผมจะพูดกับท่านต่างหาก

            แม่ที่เคยเข้าใจผมเสมอ สำหรับเรื่องนี้มันคงจะหนักและยากเกินไป คงจะต้องให้เวลากับท่านสักพัก เพื่อว่าท่านจะเข้าใจ

            หวังว่าอย่างนั้นน่ะนะ

            หึหึ...

            เกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ทั้งๆที่ม่านก็เปิดแล้ว แสงสว่างก็มีมากพอแล้ว แต่ในใจตอนนี้มันกลับมืดไปหมด มองหาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ หรือว่าเรื่องของผมกับซินมันจะเป็นไปไม่ได้จริงๆนะ..

            ไม่... ไม่มีทาง ต่อให้ไม่มีทางยังไง ผมจะต้องทำให้มันเป็นไปได้แน่ๆ ถ้ามันไม่มีประตูทางออก ผมก็จะพังกำแพงและสร้างทางออกขึ้นมาเอง

            เจ๋งมั้ยล่ะ... แต่แรงตอนนี้แค่จะหยิบพลั่วหยิบจอบยังไม่ไหวเลยครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ต้องหากำลังใจเพิ่มแรงก่อนแล้วกัน

            ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเครียดมั้ยนะ ไม่อยากให้เครียดเลยจริงๆ ยิ่งป่วยๆอยู่ด้วย แถมยังชอบหักโหมทำงานอยู่อีก เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยจะมี ป่านนี้ไม่ใช่ว่ามัวแต่นั่งอ่านหนังสือยู่หรอกนะ

            ไวเท่าความคิด มือมันคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาซินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที อีกฝ่ายก็รับสายซะแล้ว

            (ฮัลโหล) น้ำเสียงอิดโรยจากอีกฝ่ายทำเอาใจที่มันไม่ดีอยู่แล้วแป้วไปในทันที เป็นอะไรไป...

            "ซิน เป็นอะไร ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น" ไม่ต้องพูดทักทายกันให้เสียเวลา แค่นี้ก็เป็นห่วงจะแย่แล้ว

            (เป็นอะไร ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่)

            "อย่ามาโกหก เสียงแบบนี้ไม่เป็นไรได้ไง"

            (นัทแหละ เป็นไร เสียงเพลียๆนะ) อ้าวโดนย้อนซะงั้นเลยครับ

            "เปล่า...ไม่ได้เป็นไร เพิ่งตื่น..."

            (โอเค ต่างคนต่างโกหก เจ๊ากันไปนะ)

            เฮ้ย... ได้ไงวะ รู้ทันกันตลอดนะครับ แถมยังมายอมรับหน้าตาเฉยอีกแหนะว่าโกหก คนแบบนี้ก็มี...

            มีดิ...ก็ซินไงครับ หนึ่งเดียวในโลกของผมคนนี้ไง ^^

            "ไม่เอาดิซิน ไม่โกหก บอกความจริงมาเลย"

            (เอ้า ทีตัวเองยังโกหก แล้วมาว่าคนอื่นเขาได้เหรอ)

            "โธ่..." ก็ไม่อยากให้เครียด เอาเรื่องผมไปเล่าให้ซินฟังเดี๋ยวก็ได้คิดมากกันไปใหญ่ ไอ้ที่ว่าจะหายๆ ก็ไม่หายป่วยกันพอดีสิ

            (ไม่ต้องโธ่)

            "ไม่โธ่ก็ได้ครับ ว่าแต่ซินเป็นอะไร ยังไม่หายป่วยอีกเหรอ ฉันไปรับไปหาหมอมั้ย"

            (มาได้เหรอ) คำตอบที่เป็นคำถามกลับมานั้น ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นอะไร

            ซินรู้... แน่นอนอยู่แล้วที่ซินต้องรู้ มีแต่ผมที่หลอกตัวเองต่างหากที่คิดว่าเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้

            "ได้สิ ทำไมจะไม่ได้"

            (ไม่ต้องหรอก ลำบากเปล่าๆ)

            "ลำบากแค่นี้ เพื่อแฟนพี่ทำได้ครับ"

            (หึ ปากดีนะ แต่เห็นกับเรื่องแย่ๆที่เจอ ยอมยกให้เป็นพี่วันนึง) เสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสาย ทำให้ผมยิ้มเต็มแก้มอีกครั้ง ถึงจะไม่ได้ยิ้มที่มีความสุขมากจริงๆ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มเพราะซิน...

            "งั้นน้องซินก็ต้องบอกพี่นัทมาได้แล้ว ว่าเป็นอะไรครับ ทำไมเสียงดูเนือยๆ แหบๆ แถมดูเหมือนไม่มีแรงด้วย ไปทำอะไรมาครับ"

            (รู้ดีขนาดนี้นี่แอบซ่อนอยู่ใต้พรมเช็ดเท้าเราหรือเปล่าเนี่ย)

            "แหม หาที่ดีๆให้กันหน่อยก็ไม่ได้นะ แต่ไม่เป็นไร ใต้พรมเช็ดเท้าก็เอานะตอนนี้"

            (หึหึ)

            "เป็นอะไร..."

            (นอนไม่ค่อยหลับ ปวดหัว เจ็บคอนิดนึง)

            "ฟังจากเสียงไม่นิดแล้วนะ กินข้าวกินยารึยัง"

            (ยัง)

            "แล้วทำไมไม่กิน"

            (แล้วนัทล่ะ กินข้าว พักผ่อนบ้างรึยัง) โดนย้อนเข้าให้ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ หันไปมองข้าวต้มของแม่อย่างรู้สึกผิดทันที อารมณ์เข้าใจความเป็นห่วงกระแทกหน้าอย่างจังเลย

            "ยัง..."

            (อืม ก็คงความรู้สึกเดียวกันมั้ง)

            "แต่ซินป่วยอยู่ ควรจะกินข้าวกินยาแล้วนอนพักนะ ไม่งั้นก็ไม่หายพอดีสิ เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ไหวหรอก"

            (ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน นัทไม่ป่วยก็เหมือนป่วย แย่หน่อยตรงที่ป่วยของนัทอาการหนักกว่าเรา)

            เข้าเป้าทุกเม็ดครับสำหรับคนนี้ ไม่เคยไม่รู้เลยจริงๆ

            "พูดเหมือนเห็น นี่แอบมานอนใต้ผ้าห่มฉันหรือเปล่าเนี่ย"

            (แหม เลือกที่ให้เราซะล่อแหลมเชียวนะ) เสียงหัวเราะเบาๆของเขาที่ตามมาด้วยการไอทำเอาอยากจะขับรถออกไปหาซะตอนนี้จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าจะขับรถไปชนคนอื่นเขาน่ะสิ ตายคนเดียวไม่ว่า จะไปพาคนอื่นเข้าตายด้วยนี่สิ

            "ไหวมั้ย"

            (ถามตัวเองดีกว่าว่าไหวมั้ย)

            "ไหวดิ ถ้ายังอยู่ข้างๆกัน"

            (งั้นก็สบายใจได้เลย เพราะถ้าไม่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนแล้ว)

            แค่นี้แหละครับที่อยากได้ยิน แค่นี้ก็ทำเอาแค่พลั่วแค่จอบนี่จิ๊บๆไปเลย ต่อให้ต้องแบกปืนใหญ่เพื่อพังกำแพงก็ยังไหว เพราะถ้ายังมีกันและกันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไร

            ...ถ้าข้างๆนัทยังมีซิน

            และข้างๆซินยังมีนัท...

            ต่อให้ต้องรั้งกันไว้จนมือหักนิ้วหลุด ผมก็จะทำ






            หลังจากที่วางสายจากซินก็ลากสังขารตัวเองมานั่งกินข้าวต้มของแม่ แต่ก็กินไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละครับ เพราะร่างกายยังรับไม่ไหวจริงๆ พอได้มีอะไรลองท้องแล้ว หลังจากนั้นก็หลับเป็นตาย ไม่รู้เลยว่านอนอย่างนั้นไปกี่ชั่วโมงเพราะตื่นมาอีกทีฟ้าก็สว่างอีกครั้งหนึ่งแล้ว

            นี่ผมหลับข้ามวันเลยเหรอวะ งงตัวเอง ลุกขึ้นมาได้อาการมึนหัวก็วิ่งเข้าเล่นงานทันที คงเพราะว่านอนนานเกินไปนั่นแหละ หางตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่วางแอ้งแม้งอยู่ที่หัวเตียงก็คว้ามากดๆดู

            ห้าสายที่ไม่ได้รับ ชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมประหลาดใจ

            โอลีฟ โทรหาผมทำไม สายที่โทรเข้ามาล่าสุดคือตอนสองทุ่ม แล้วผมควรจะโทรกลับดีมั้ย?

            ไม่ควร... ไม่ใช่ว่าเกรงใจที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มหรือบ่ายสามโมงผมก็จะไม่โทรกลับ ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมไม่ใช่เหรอ ไม่จำเป็นที่ต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น

            แต่คนที่ผมใส่ใจนี่สิ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะตื่นหรือยัง อยากจะโทรหา อยากจะได้ยินเสียง แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวน ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบ้างน่าจะดีกว่า เพราะผมก็ดูท่าว่าจะเจอศึกหนักอีกแล้ว

            เสียงเคาะประตูที่มาปลุกกันแต่เช้าแบบนี้ และวิธีการเคาะแบบนี้ ไม่น่าจะใช่แม่ คงจะเป็นพ่อ...

            วันแห่งการเห็นใจได้ผ่านพ้นไปแล้วสินะ หลังจากยืนถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านก็จำใจต้องเดินไปเปิดประตู เป็นพ่อจริงๆแหละครับ

            "อาบน้ำแต่งตัวซะ เก้าโมงไปรับโอลีฟเข้าบริษัทด้วย" คำบอกกล่าวจากพ่อทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึกๆอย่างใจเย็น ก่อนจะพยักหน้ายอมรับน้อยๆ พ่อยืนนิ่งมองหน้าผมอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้น

            "ทำไมเมื่อคืนไม่ลงมากินข้าว" หน้าที่ก้มอยู่เงยขึ้นมองหน้าผู้เป็นพ่อทันที

            "ไม่สบายนิดหน่อย"

            "แล้วหายดีหรือยัง"

            "ดีขึ้นแล้วครับ"

            "งั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัวซะ แม่แกทำอาหารเช้าเอาไว้ให้แล้ว รออยู่..."

            รออยู่... พ่อ...รอผมอยู่? รอที่จะทานข้าวเช้าด้วยกัน? ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย นี่พ่อไม่ได้โกรธผมอยู่หรอกเหรอ

            "ผม..."

            "รีบไปแต่งเนื้อแต่งตัวซะ" พูดจบพ่อก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ที่ประตูอย่างนั้น ก่อนที่จะสลัดความงงนั้นทิ้งไป ก็ไม่ว่ายังไง พ่อ ก็ยังเป็นพ่อของผมอยู่ไม่ใช่เหรอ...

            หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ก็วิ่งลงมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนขาดอาหารมาสามอาทิตย์ หิวจนคาดว่าจะกินหมูได้สามตัว นี่ผมกินข้าวครั้งสุดท้ายไปตอนไหนเนี่ย จำได้ลางๆว่ากินข้าวต้มของแม่ไปนิดหน่อย ตอนนี้รู้ซึ้งเลยครับว่าอาหารของแม่อร่อยแค่ไหน

            ลงมาก็เจอพ่อกับแม่นั่งรออยู่แล้ว

            "ว่าไงพ่อคุณ นอนข้ามวันข้ามคืนเลยรึไงเรา หิวโซมาเลยล่ะสิ"

            "มากอ่ะครับ"

            "หิวก็ทานเลยจ่ะ พ่อเขารอนานแล้ว" แม่กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง พ่อเองก็วางหนังสือพิมพ์ลงเพื่อที่จะทานข้าวเช้าด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก บรรยากาศเก่าๆที่แสนจะคุ้นเคย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้

            ความอบอุ่นของครอบครัว...

            ผมจัดการกับข้าวต้มในชามด้วยเวลาอันรวดเร็ว จะขอเบิ้ลต่ออีกก็กลัวว่าจะจุกเอาซะก่อน เลยต้องพักไว้แค่นั้น ในระหว่างที่นั่งรอเวลาออกจากบ้าน ก็เลยคว้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่านเล่น ในตอนที่ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์มา พ่อที่กำลังจิบกาแฟก็หยุดชะงักแก้วลงทันที
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 07-10-2013 21:37:41
ส่วนผม ความรู้สึกดีๆที่มีเมื่อกี้พังทลายลงทันทีเมื่อเห็นข่าวหน้าบันเทิงในหนังสือพิมพ์

            'ภาพหลุด 'โอลีฟ' กับ 'บอดี้การ์ด' สุดหล่อ สาวสวยชื่อดังยอมรับสนิทเกินหน้าที่' พาดหัวข่าวในกรอบหน้าบันเทิงพร้อมกับรูปที่มองยังไงมันก็เป็นมุมกล้องชัดๆ

            ทั้งรูปที่ผมกันโอลีฟจากแฟนๆที่ถ่ายออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังโอบกันอยู่ รูปที่ยืนอยู่กับคนเยอะแยะก็ตัดออกมาให้เหมือนว่าอยู่กันสองคน ไหนจะยังรูปตอนที่โอลีฟยื่นมือมาเขี่ยแขนผมนั่นอีก

            นี่มันบ้าชัดๆ!!!

            แถมข้อความที่เขียนพาดพิงถึงซินนี่มัน...

            'บอดี้การ์ดหนุ่มคนนี้ ไม่ต้องงงว่าเคยคุ้นหน้าคุ้นตากันที่ไหน ก็คนที่เคยถ่ายโฟโต้บุ๊คคู่กับนักร้องดัง ซิน ทศพร นักร้องหน้าสวยของเรานั่นเอง ที่ช่วงนึงเคยมีข่าวว่าเขากุ๊กกิ๊กกัน แถมยังเคยเป็นบอดี้การ์ดให้กันมาก่อน เรื่องนี้มันชักจะยังไงๆ แล้วทำไมถึงได้มามีภาพหลุดกับ โอลีฟ สาวสวยสะท้านวงการได้ เรามาหาคำตอบกัน'

            หลังจากนั้นเนื้อข่าวก็ตัดไปที่การให้สัมภาษณ์ของโอลีฟ คำตอบของเธอพี่ผมอ่านไปเรื่อยๆ ทำให้หนังสือพิมพ์ต้องยับยู่ยี่จากแรงที่ผมขยำมันด้วยความไม่พอใจ อะไรคือสนิทกันเกินหน้าที่! ผมกับโอลีฟไปสนิทกันถึงขนาดที่ว่าไปกินข้าวดูหนังด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่! นี่มันมากไปแล้วนะ ให้ข่าวเกินจริงแบบนี้ได้ยังไง!!

            ไหนจะยังคำตอบของคำถามสุดท้ายนี่อีก!

            'ได้ข้าวมาว่าก่อนหน้านี้นัทมีข่าวเป็นคู่จิ้นกับซิน โอลีฟคิดว่ายังไงที่เขามามีข่าวกับเราต่อแบบนี้ คิดว่าจะเป็นการสร้างข่าวเพื่อกลบกระแสคู่เกย์หรือเปล่า โอลีฟตอบว่า 'อันนี้โอลีฟก็ไม่ทราบนะคะว่ายังไง แต่พี่เขาก็น่ารักดีนะคะ โอลีฟก็เคยเห็นโฟโต้บุ๊คเล่มนั้นผ่านๆตามาบ้าง ก็น่ารักดีค่ะ เอาเป็นว่าโอลีฟไม่ขอพูดอะไรดีกว่า ยังไงไปถามคู่จิ้นเขากันเองดีกว่าเน้อะ โอลีฟขอตอบคำถามในส่วนขอโอลีฟแล้วกันนะคะ''

            ผมกระแทกหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย นี่ใช่มั้ย สาเหตุที่โทรมา แล้วนี่พ่อก็เห็นแล้วด้วยใช่มั้ย แล้วยังจะให้ผมไปทำงานกับคนคนนี้อีกหรือไง!

            "นี่ก็ใกล้จะเก้าโมงแล้ว ออกไปรับโอลีฟได้แล้วล่ะ เขารอแกอยู่"

            "พ่อ มาถึงขึ้นนี้แล้วพ่อยัง..."

            "ไปทำงานของแกได้แล้ว" เสียงตัดบทจากพ่อทำเอาความอบอุ่นที่เคยมีหายไปจนหมด กลับเข้าสู่สถานการณ์แบบเดิมอีกแล้วใช่มั้ย

            "ไปทำงานเถอะนะลูก ถือซะว่าแม่ขอแล้วกัน" มือแม่ที่เอื้อมมาจับมือผม ทำให้อารมณ์ร้อนที่ก่อขึ้นเย็นลงไปได้บ้าง แต่การที่แม่พูดแบบนี้ ก็เดาได้ไม่ยากแล้วว่าครั้งนี้ แม่เลือกอยู่ข้างใคร...

            และเมื่อตัดสินใจทุกอย่างได้ ผมก็รีบออกมาจากบ้านทันที โดยที่มีแม่กับพ่อมองตามหลังมา พ่อไม่ได้ตามมากำชับอะไรผมอีก ทันทีที่ก้าวเข้าในรถมือสองข้างของผมกำพวงมาลัยเอาไว้แน่น นี่ใช่มั้ยที่พ่อต้องการ นี่ใช่มั้ยคือเรื่องที่โอลีฟพูดถึงในวันนั้น ที่เป็นข่าวออกมาทั้งหมดนี่ เพื่อให้ผมออกห่างจากซินใช่มั้ย!

            จริงสิ... ซิน

            จะเห็นข่าวหรือยังนะ ซินจะไม่เชื่ออย่างที่ข่าวเขียนใช่มั้ย จะไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย สัญญากันแล้วไงว่าถ้ามีอะไรจะถามกันก่อน ผมกับซินก็คุยกันตลอด ซินก็ต้องรู้สิว่าผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวโอลีฟได้กัน

            เพราะความร้อนใจทำให้รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอีกฝ่ายทันที แต่ไม่ว่าจะโทรเท่าไหร่ๆอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ผมโทรออกอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าซินจะรับเลย

            หรือว่าจะยังไม่ตื่น แต่นี่มันจะเก้าโมงแล้วนะ ไม่มีทางเลยที่คนอย่างซินจะตื่นสายขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์

            หรือว่าจะโกรธจริงๆ

            แต่ว่าซินไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลขนาดนั้น แล้วกำลังทำอะไรอยู่?

            ผมหลับตาทั้งสองข้างลง พยายามนึกตารางงานของซินให้ออก เท่าที่รู้ วันนี้ซินไม่มีงานที่ไหน ดังนั้นไม่น่าจะยุ่งถึงขนาดที่จะไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ หรือว่าจะอยู่กับป๊า ป๊าอาจจะเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ก็เลยห้ามซินไม่ให้รับโทรศัพท์ผม แบบนั้นหรือเปล่านะ จะใช่แบบนั้นมั้ย หรือว่าจะยังไม่ตื่นจริงๆ ปิดเสียงไว้เลยไม่ได้ยินหรือเปล่านะ

            โอ๊ย! คิดจนหัวแทบแตกให้ตายยังไงก็ไม่มีทางรู้ ถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง!

            ผมสตาร์ทรถด้วยความรวดเร็ว และออกรถมาทันที ผมจะไปทำตามหน้าที่...

            ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือการดูแลซิน ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าไม่ใช่ซิน ผมก็ไม่มีทางไปเป็นบอดี้การ์ดให้ใคร!

            ขับรถออกมาได้ไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านซินจนได้ กดกริ่งอยู่นานก็ไม่มีใครออกมาเปิดบ้านให้สักที แบบนี้ชักจะแปลกๆแล้วนะครับ แถมบ้านยังปิดเงียบเชียบอีกต่างหาก หรือว่าจะไม่มีคนอยู่ ผมตัดสินใจโทรหาซินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เลือกที่จะโทรเข้าเบอร์บ้านแทน แต่กลับไม่มีใครรับสายเลย ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าไม่มีคนอยู่บ้านจริงๆ

            แล้วหายไปไหนกัน...

            ผมยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จะทำยังไง จนหันไปเห็นรถคันคุ้นตาที่กำลังขับตรงมาทางนี้พอดี รถป๊าซินนั่นเอง ทันทีที่รถจอดผมก็รีบเดินตรงเข้าไปหาทันที

            "อ้าวนัท มาแต่เช้าเลยลูก" เป็นม้าที่เดินลงมาจากรถและทักผมขึ้นมาก่อน

            "สวัสดีครับม้า คือผมมาหาซิน แต่โทรหาเขาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับ ยืนกดกริ่งตั้งนานแล้วก็ไม่มีคนออกมาเปิด กำลังเป็นห่วงอยู่พอดีเลย"

            "อ้าว นัทไม่รู้เรื่องเหรอ" คำถามจากม้าทำให้ผมต้องประหลาดใจ ไม่รู้อะไร...?

            "ไม่รู้เรื่องอะไรครับ"

            "ก็เรื่องที่ซินเข้าโรงพยาบาล"

            "ซินเข้าโรงพยาบาล!"

            ได้ยังไง เป็นอะไร เป็นมากมั้ย ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่อง ป่วยถึงขนาดกับต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ เพราะผมใช่มั้ย นี่ผมมัวทำบ้าอะไรอยู่วะ คนรักไม่สบายมากขนาดนี้ทำไมไม่รู้เรื่องอะไรเลย!

            "จ้ะ ไม่สบายหนักเลย เมื่อคืนนี้ตัวร้อนจี๋ บังคับให้ไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ต้องหามไปส่งโรงพยาบาลกันเมื่อคืนนี่แหละ นี่ม้าก็จะกลับมาเอาเสื้อผ้าไปนอนเป็นเพื่อน"

            "แล้วตอนนี้ซินอยู่ไหนครับ โรงพยาบาลอะไร"

            "โรงพยาบาล.... จ้ะ ...แต่เอ้ะ ป๊านี่ก็ยังไง ไม่ยอมลงจากรถมาทักทายนัทเลย ดูท่าทางจะอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า ตั้งแต่อ่านหนังสือพิมพ์นั่นแหละมั้ง ไม่รู้ไปเจอข่าวอะไรเข้าน้า..." เสียงบ่นจากม้าทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัว

            ป๊าซินรู้เรื่องแล้วจริงๆ แต่ดูท่าทางว่าม้าจะยังไม่รู้เรื่อง นี่ผมจะโดนเกลียดรอบสองหรือเปล่านะ และดูท่าทางว่าคราวนี้จะรุนแรงกว่าเดิมซะด้วยสิ

            หลังจากที่ม้าบอกชื่อโรงพยาบาลและเลขห้องที่ซินพักเสร็จก็ขอตัวเข้าบ้านไป ผมจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งของรถเพื่อทักทายป๊าซิน ที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ

            เมื่อเห็นว่าผมเดินมาหา ป๊าจึงลดกระจกรถลงครึ่งนึง

            "สวัสดีครับป๊า"

            "ฉันเห็นข่าวแล้ว" ป๊าไม่ได้ทักทายกลับ แต่พุ่งตรงเข้ามาที่ประเด็นนี้เลย

            "ครับ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น..."

            "มีนักข่าวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ฉันให้ทางโรงพยาบาลเขากันเอาไว้ให้แล้ว สั่งเอาไว้ว่าห้ามเยี่ยม"

            "นักข่าวเหรอครับ!"

            "ซินรู้เรื่องข่าวแล้ว..." ป๊าพูดเท่านั้นและตวัดสายตามาทางผม สายตาที่ทำเอาขนท้ายทอยลุกชัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินกับสายตาแบบนี้สักที

            "ฉันไม่อยากให้ลูกฉันอาการแย่ยิ่งไปกว่าเดิม รีบไปซะ หาอะไรปิดหน้าปิดตาด้วย อย่าให้ใครจำได้ล่ะ บอกพยาบาลว่าเป็นนาย เข้าจะให้เข้าเยี่ยม" ป๊าพูดรวดเดียวจบ ก่อนจะปิดกระจกขึ้นไปอย่างเดิม ทำเอาสมองน้อยๆของผมประมวลผมแทบไม่ทัน

            ป๊าบอกให้ผมรีบไป ไปไหน... ไปหาซินเหรอ

            เอ๊ะ แบบนี้ก็แปลว่าไม่เกลียดกันน่ะสิ แบบนี้ก็แปลว่ายังไฟเขียวอยู่สินะครับ! ^^

            อย่างน้อย ในเรื่องร้ายๆ ขอให้มีเรื่องดีๆบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี... ขอบคุณครับป๊า ที่เข้าใจ

            ไม่ต้องรอช้า ผมรีบขับรถไปหาซินทันที เหยียบคันเร่งแบบไม่กลัวตายกันเลย และเมื่อถึงที่หมาย ก็ไม่ลืมที่จะคว้าหมวกที่ติดอยู่บนรถขึ้นมาใส่เพื่อพรางตัวอย่างที่ป๊าบอก เดินเข้าโรงพยาบาลมาก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ จนขึ้นมาถึงชั้นผู้ป่วยในที่ซินพักรักษาตัวอยู่นั้นแหละครับ โผล่ออกมาจากลิฟต์นี่ดึงหมวกปิดหน้าแทบไม่ทัน พอก้าวออกจากลิฟต์ได้ก็หาที่หลบมุมทันที

            เคยได้ยินมั้ยครับ ยิ่งอยากปกปิดยิ่งมีพิรุธ คนสติดีที่ไหนเขาใส่หมวกเดินในโรงพยาบาลกัน นักข่าวก็มีไม่มากนักหรอกครับ ก็แค่สี่ห้าคน แค่ถ้าสี่ห้าคนนั้นเกิดเห็นหน้าผมและจำได้ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน เมื่อวานเพิ่งจะมีข่าวกับโอลีฟ วันนี้กลับดอดมาหาซิน ไม่ใช่ข่าวที่ดีแน่ๆครับ

            แล้วผมควรจะทำยังไงดี...

            พอดีกับที่สายตาหันไปเห็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ของชั้นนี้พอดี เลยรีบเดินตรงเข้าไป

            "เอ่อ ขอโทษครับ ผมมาเยี่ยมไข้"

            "ขอทราบชื่อผู้ป่วยด้วยค่ะ"

            "ซินครับ ทศพร"

            "อ๋อคุณซิน แต่ว่าทางคุณหมอสั่งไว้ว่าห้ามเยี่ยม..."

            "ผมนัทครับ" พูดจบผมก็รีบถอดหมวกให้คุณพยาบาลดู ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเธอจะรู้จักผมได้ยังไง แต่ป๊าซินบอกให้ทำแบบนี้ ก็ทำตามที่ป๊าซินบอกนั่นแหละครับ

            "คุณนัท..." ผิดคลาดครับ ที่เธอกลับรู้จักผมจริงๆ แถมไอ้ท่าทางช็อคแบบนี้มันอะไรกัน

            "คุณนัทมาเยี่ยมคุณซินใช่มั้ยคะ คุณพ่อของคุณซินบอกทางเราเอาไว้แล้วว่าถ้าคุณมาให้เข้าเยี่ยมได้ เชิญทางนี้เลยค่ะ" พูดไปยิ้มกริ่มไปแบบนี้คืออะไรครับ

            อย่าบอกนะว่าพยาบาลโรงพยาบาลนี้เป็นสาววาย

            แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าเธอเป็นสาววายจริงๆ ก็คงช่วยผมได้เยอะเลย

            และที่ที่เธอพาผมมาก็คือห้องเก็บผ้าปูเตียง... เอ่อ พามาทำไมครับ ผมมาหาซินนะ

            เอ๊ะ หรือว่าผมโดยล่อลวงเข้าให้ซะแล้ว ...ขามันก้าวถอยหลังไปเองทันทีโดยอัตโนมัติ ผู้หญิงสมัยนี้ยิ่งน่ากลัวอยู่นะครับ เมื่อเห็นดังนั้นคุณพยาบาลจึงหันมายิ้มกว้างให้ผม

            "ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้พาคุณนัทมาทำอะไรไม่ดีหรอก แต่ถ้าจะเข้าเยี่ยมคุณซินโดยไม่ให้นักฆ่าเห็น เราต้องทำอะไรนิดหน่อย"

            แล้วไอ้อะไรนิดหน่อยที่ว่านี่มันอะไรล่ะครับ - -

......

            ผ่านไปห้านาที ผมก็สามารถเดินผ่านบรรดานักข่าวได้แบบไม่ต้องกลัวสิ่งใดเลย แถมยังไม่มีใครวิ่งเข้าใส่ผมเพื่อถ่ายรูปอีกต่างหาก ก็เพราะว่าตอนนี้ผมได้สลัดมาทบอดี้การ์ดทิ้งไปจนหมดแล้วน่ะสิครับ เหลือเพียงคุณหมอใส่ชุดกราว สวมแว่นสายตาหนาเตอะเพียงเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็ผ่านฉลุย เข้าห้องซินได้ง่ายๆแล้วครับ

            คุณพยาบาลที่เดินตามเข้ามาส่งผม ยิ้มกว้างส่งมาให้ผมอีกครั้ง และเดินออกจากห้องไป ผมจึงผงกหัวให้เธอนิดๆเพื่อเป็นการขอบคุณ และเดินเข้าห้องมาหาซิน

            มองจากตรงนี้ เห็นคนป่วยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ผมถอดแว่นตาและเสื้อกราวออกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ และค่อยๆเดินไปหา เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบางบอกว่าเขากำลังหลับสนิท ใบหน้าซีดเซียวจากเขาทำเอาแทบอยากจะต่อยหน้าตัวเองแรงๆ

            นี่ผมปล่อยให้ซินเป็นมากขนาดนี้ได้ยังไง เพราะผมใช่มั้ย...

            ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากคนตัวบางบนเตียงมากขึ้น ผมยกมือปัดปรอยผมออกจากแก้มใสที่เคยอมชมพู แต่ตอนนี้กับซีดเผือด

            ตัวยังร้อนอยู่เลย เสียงหายใจฝืดฝาดเบาๆที่แสดงว่าเขาหายใจไม่ค่อยสะดวก ซินของผม ไม่สบายมากจริงๆ ผมเลื่อนมือลงมาจับแก้มใสอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เขาตื่น แต่คนป่วยกลับขยับตัวอิงหน้าแนบกับฝ่ามือผมทันที และนอนทับเอาไว้ซะอย่างนั้น...

            ดูเอาเถอะ ขนาดว่าหลับไม่รู้ตัวยังจะอ้อนกันได้อีกนะ ผมยิ้มให้กับการกระทำของลูกแมวขี้อ้อนนิดๆ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบบนหน้าพากมนนั่นเบาๆ

            ถ้าผมป่วยแทนเขาได้ก็คงดี... ไม่อยากให้ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้เลย จริงๆนะ

            ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย และปล่อยให้ซินหนุนนอนมือผม และนั่งมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น


            อย่างน้อยแค่ในฝัน ก็ขอให้ซินของผม หลับฝันดี       


TBC.
....
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะค้าาา
พบกันตอนหน้าเด้อ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-10-2013 23:25:28
ปวดใจจริงๆ
ดีที่ป๊าซินเข้าใจ
ไม่งั้นคงยุ่งหนักกว่านี้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 07-10-2013 23:36:24
ป๊าน่ารักมากอ่ะที่เข้าใจ o13

ส่วนโอลีฟ เริ่มเยอะแล้วนะ  :fire:

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 07-10-2013 23:55:04
ตัวชูโรงคือ พ่อนัท แม่นัท และ โอลีฟ  :katai2-1:

อุปศักดิ์ก่อให้รักบังเกิด
จงมั่นใจเถิด ฉันเองจะไม่ไปไหน
สิ่งต่างๆ ให้มันแล้วไปเถิด ให้รักบังเกิด
ท่ามกลางเรื่องราวที่วุ่นวาย

 :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน21 รั้น [07/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 08-10-2013 15:41:54
ไม่ชอบโอลีฟ!!!ที่สุด
สงสารซินกับนัทจัง
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน22 รั้ง [08/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 08-10-2013 21:34:52
22

((รั้ง))


            ไม่รู้ว่านั่งมองคนตรงหน้าหลับอยู่นานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเขากำลังฝันเห็นอะไรอยู่กันนะ คิ้วเรียวถึงได้ขมวดเข้าหากันแบบนี้ ทำให้อดยื่นมืออีกข้างไปคลึงหว่างคิ้วนั้นเบาๆไม่ได้ คิ้วเรียวถึงค่อยๆคลายออกจากกัน ใบหน้าตอนหลับแบบนี้มันไร้พิษสงจริงๆ มาดนางพญาคนเก่งหายไปหมดเลย

            ผมขยับตัวเข้าใกล้เตียงคนไข้อีกนิด แนบหน้าลงกับหมอนใบนุ่มที่ซินหนุนอยู่ในองศาที่หน้าเราตรงกันพอดี ลมหายใจร้อนผะผ่าวจากเขากระทบหน้าผมเบาๆ ว่ากันว่าถ้าแพร่เชื้อให้คนอื่นแล้วตัวเองจะหาย มันจริงมั้ยครับ

            งั้นผมควรดูดเชื้อหวัดมาจากซินดีมั้ยนะ ^^

            จมูกโด่งเป็นสัน กับปากบางสวยที่อยู่ตรงหน้า ทำให้อดใจไม่ได้ยกมือขึ้นลูบไล้แผ่วเบา กลีบปากนี้ที่เคยมีสีสันสดใส แต่กลับต้องมาซีดเซียวลงแบบนี้เพราะผม ริมฝีปากที่เคยนุ่มนิ่มกลับแห้งผาก

            แต่สัมผัสจากมือเพียงแค่อย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับความคิดถึง

            คนหลับยาก พอจะหลับก็หลับลึกเชียวนะ ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้โดนเอาเปรียบแน่ๆเลยซิน

            ไวเท่าความคิด ใบหน้ามันเคลื่อนเข้าหาคนป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หลับตาพริ้มลิ้มชิมรสหวานจากคนป่วยเสียแล้ว เพียงแค่แตะริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ลุกรานแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของเขา

            แต่แล้วคนที่คิดว่าหลับ กลับขยับปากเผยอออกน้อยๆอย่างเชิญชวน ทำให้อดยิ้มไม่ได้จริงๆ ริมฝีปากที่เคยแห้งผากกลับชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากความหวานที่เราพากเพียรมอบให้กัน

            ฟันคมขบลงบนริมฝีปากล่างผมอย่างหมันเขี้ยว ทำให้อดใจไม่ไหวบดจูบลงไปหนักหน่วงอย่างลืมตัวว่าอีกฝ่ายกำลังป่วย ปลายลิ้นตวัดรัดรึงลิ้นเล็กที่เกี่ยวกระหวัดตอบกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกันกับพี่มือร้อนของคนป่วยยกขึ้นคล้องคอกัน

            น่ารักเกินไปแล้ว...

            เสื้อคนป่วยก็ดันสั้นเกินไปทำให้มือไม้มันอยู่ไม่สุก เลื้อยเข้าไปใต้เสื้อผืนบางลากไล้วนเล่นอยู่ที่หน้าท้องแบนราบของซิน ในขณะที่ริมฝีปากเรายังไม่ขยับห่างออกจากกันเลย

            สำหรับความคิดถึงที่มีอยู่ตอนนี้ มากแค่ไหนก็ไม่พอ...

            ยังคงบดเบียดเข้าหากันอย่างนั้น อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนอีกฝ่ายเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น และเลื่อนมือมาบีบต้นแขนผมเบาๆอย่างขออากาศหายใจ ทำให้ต้องจูบย้ำลงบนกลีบปากล่างนั้นอย่างเสียดาย และถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ไม่ได้ถอยตัวห่างออกมา เลือกที่จะวางหน้าผากลงบนหน้าผากมนของเขา ให้ปลายจมูกเราชนกัน   

            "รังแกคนป่วย นิสัยไม่ดี"

            เสียงบ่นอ้อมแอ้มจากคนป่วยประท้วงขึ้นเบาๆ

            "ก็เห็นนอนเฉยๆไม่ได้ว่าอะไร จูบตอบกลับมาง่ายๆแบบนี้นี่ ถ้าไม่ใช่ฉันขึ้นมาจะทำยังไง"

            "ก็เพราะมั่นใจว่าใช่ไง ถึงได้ยอม"

            "หึหึ... ขี้โกง พูดจาน่ารักแบบนี้ในตอนที่กอดไม่ได้ได้ไง"

            "เคยเลือกสถานที่ด้วยเหรอ"

            "พูดจาแบบนี้นี่เข้าห้องน้ำด้วยกันเลยมั้ย"

            "แต่ในห้องน้ำไม่มีเตียงนะ"

            "เดี๋ยวจะโดน"

            คำพูดหยอกล้อจากเขาที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้ยิ้มได้เสมอ จนเผลอกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางนี่อีกครั้งอย่างหมันเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนป่วยได้เหมือนกัน

            "มาตั้งแต่เมื่อไหร่"

            ซินถามขึ้นเมื่อผมกลับมานั่งตัวตรงที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกครั้ง แต่ก็ยังปล่อยให้เขาหนุนมืออยู่อย่างนั้นโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะปล่อยมือผมคืน

            "ตั้งแต่เห็นใครบางคนกรนคร่อกๆนั่นแหละ"

            "อย่ามามั่ว เราไม่กรนมั่งเหอะ"

            "ตัวเองหลับ แล้วจะรู้ได้ไง"

            "รู้"

            "เถียงเก่งแบบนี้หายแล้วสินะ"

            "จะให้กลับไปทำงานวันนี้ก็ยังไหว"

            "เก่งๆ เก่งเหลือเกินนะครับคุณศิลปิน"

            ซินนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาผมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะตรงหัวคิ้วผมเบาๆ เห็นคนป่วยยื่นแขนมาไกล จึงต้องโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อที่เขาจะไม่ลำบาก ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำไปไมเนี่ย หรือมีอะไรติดอยู่

            "รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย ว่าขมวดคิ้วตลอดเวลาเลย" คำเฉลยจากซิน ทำเอาต้องเลิกคิ้วอยางประหลาดใจ ผมเนี่ยนะขมวดคิ้ว ตอนไหน

            "จะยิ้มก็ยิ้มสิ แงะเอาตรงนี้ออกจากกันด้วย" ไม่ได้พูดเปล่านะครับ ดึงขนคิ้วผมหลุดออกไปเป็นแถบๆ เล่นเอาร้องแทบไม่เป็นภาษา

            "เจ็บนะเนี่ย! ดึงขนคิ้วทำไมอ่ะ แหว่งขึ้นมาเดี๋ยวก็หมดหล่อกันพอดี"

            "อ่ะ หายแล้ว เลิกขมวดคิ้วแล้วเห็นมั้ย"         

            จนมาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเกร็งคิ้วมาตลอดเวลาเลย เคยเป็นมั้ยครับ อยู่ดีๆมันก็รู้สึกว่าโล่งหัวแปลกๆ ในตอนที่เราผ่อนคลาย เพราะก่อนหน้านั้นเราเผลอขมวดคิ้วไปโดยไม่รู้น่ะสิ นี่ผมขมวดคิ้วมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงว่าสิ หัวมันหนักแปลกๆ

            สังเกตกันทุกอย่างเลยสินะ ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่รักยังไงไหวล่ะครับ

            ถ้าไม่มีซิน ผมจะอยู่ได้ยังไง...

            "ขอบคุณนะ"

            "อย่ามาซึ้ง จะอ้วก"

            หมดมู้ด - -  อย่างสิ้นเชิง

            เอาคำชมเมื่อกี้คืนมา พอตื่นมาเขี้ยวเล็กก็เริ่มโผล่ออกมาทันที นอนต่อไปเป็นลูกแมวตัวน้อยอีกสักพักได้มั้ยเนี่ย

            "แล้วเข้ามาได้ไง ป๊าบอกว่านักข่าวเต็มเลยข้างนอกห้อง อย่าบอกนะว่าฝ่าฝูงนักข่าวเข้ามา"

            "ใช่แล้ว เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยเลย แต่รับรองได้ว่าไม่มีใครรู้แน่ๆ ว่าคนที่เข้ามาเป็นนัท"

            "ยังไง"

            "มีผู้ช่วยนิดหน่อย"

            "ใคร"

            "ไม่บอก"

            "ไม่บอกก็ไม่อยากรู้"

            ครับ การยั่วความอยากรู้อยากเห็นของซินจบลงเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าเขาจะอยากรู้มากเหลือเกิน - -

            "เดี๋ยวก่อนนะ เราว่าเรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน" แต่แล้วซินที่ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรได้ รีบยกหัวขึ้นและดึงมือผมออกจากหมอนในทันที และหันหน้าหนีไปทางอื่น

            อะไรอ่ะ... อยู่ๆเปลี่ยนโหมดซะงั้น

            "เรื่องอะไรซิน"

            "ไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "ฮะ?"

            "เราถามว่าไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "ใครไปกินข้าว... อ้อ! เรื่องข่าวอะนะ เชื่อด้วยเหรอซิน เราก็คุยกันตลอด ฉันไปไหนนายก็ต้องรู้สิ"

            "ใครจะไปรู้ล่ะ ก็ข่าวเขาว่าอย่างนั้น แถมยังมีพาดพิงถึงเราด้วยนะ"

            เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ทำเอาความโกรธแล่นเข้ามาอีกรอบ ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงซินในทางที่ไม่ดี ไม่แปลกเลยที่นักข่าวจะแห่กันมาขนาดนี้ คนที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างซินก็คงไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา อันที่จริง ผมน่าจะออกไปปกป้องซินสิถึงจะถูก

            "งั้นให้ฉันออกไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตอนนี้เลยมั้ย จะให้บอกว่าเราคบกันอยู่ก็ได้"

            "ไม่ได้นะ" คนที่หันหน้าหนีรีบสะบัดหน้ากลับมาทันที

            "ทำไมล่ะ เรื่องมันจะได้จบๆไป ผู้หญิงคนนั้นจะได้หน้าหงายไปเลยไง"

            "เก่งมากเลย รังแกผู้หญิงเนี่ย บอกนักข่าวแบบนั้นไม่ได้นะนัท เดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี"

            "ทำไมล่ะ คนเชียร์ให้เรารักกันมีเยอะแยะไป ไม่เชื่อลองไปอ่านในเน็ตสิ แฟนคลับนายออกมาต่อว่าโอลีฟกันตั้งเยอะ"

            "เรื่องบางเรื่องให้มันคลุมเครืออยู่แบบนั้นน่าจะดีกว่า"

            "ทำไมอ่ะ ก็ในเมื่อ..."

            "นัท... วงการนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องจริงเสมอไปหรอกนะ อะไรหลบได้ก็หลบ อะไรหลีกได้ก็ควรจะหลีก ถ้ามันจะทำให้เราไม่เดือดร้อน การที่คนของนัทออกมาให้ข่าวแบบนี้ นั่นมันก็อยู่ที่ตัวของเขาเอง เขาอยากจะให้คนอื่นมองเขาว่าเป็นยังไงมันก็เรื่องของเขา เราไม่อยากสนใจ"

            "โอลีฟไม่ใช่คนของฉันนะ นายต่างหากคนของฉัน"

            คนป่วยไม่ตอบ แต่เบ่ปากส่งมาให้แทน มันน่าจับกดซะให้เข็ดจริงๆ - -

            " ...แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ คนอื่นจะคิดว่านายผิดนะ"

            "ในเมื่อเราไม่ผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง ดูอย่างตอนนี้ แฟนคลับเราก็ช่วยกันการให้แล้วไม่ใช่เหรอ"

            "แล้วนักข่าวข้างนอกนั่นล่ะ จะเอายังไง"

            "ปล่อยให้รอไปอีกสักพัก เดี๋ยวก็เลิกเฝ้ากันเองแหละ แล้วนี่ทำไมเราจะต้องมาเป็นฝ่ายอธิบายด้วยเนี่ย เราโกรธอยู่นะ"

            "โกรธโอลีฟใช่มั้ยล่ะ ใช่ ฉันก็โกรธมากเลยตอนเห็นข่าว ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ"

            "เปล่า โกรธนายนั่นแหละ"

            "อ้าว ทำไมโกรธฉันล่ะ"

            "รูปในหนังสือพิมพ์มีโอบเอวกันด้วยนี่"

            "มีที่ไหน ไม่เคยโอบเลย!"

            "ไม่โอบได้ไง หน้าตาเคลิ้มออกซะขนาดนั้นอ่ะ"

            "ตลกและซิน อย่ามาใส่ร้าย"

            "ใส่ร้ายที่ไหน ดูเอาเองเลย!" พูดจบก็หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะข้างเตียงมาโปะใส่หน้าผมเต็มๆ รูปพวกนี้นี่เห็นหมดแล้วล่ะครับเมื่อเช้า แต่...เอ๊ะๆ อาการแบบนี้นี่มันยังไง... ^^

            "หึงเหรอซิน"

            ถามออกไปเพราะหวังจะหยอกเขาล้วนๆแหละครับ และเตรียมตัวรับการโจมตีหลังจากนั้นเอาไว้แล้วด้วย แต่แล้วก็ต้องตกใจแทบตกเก้าอี้กับคำพูดที่อีกฝ่ายกระแทกเสียงตอบกลับมา

            "ก็เอออ่ะดิ! แฟนทั้งคนนะเว่ย ไม่หึงได้เหรอ!"

            โอ้ยยยย ใครอัดเสียงเมื่อกี้ทันบ้างมั้ยครับ ถ้าใครอัดทันช่วยไรท์ใส่แผ่นซีดีส่งมาให้ผมที่บ้านที จะเก็บเอาไว้ฟังก่อนนอนทุกคืนเลย ก็เล่นยอมรับออกมาเต็มปากเต็มคำซะขนาดนั้น โอกาสแบบนี้หาได้ยากนะครับ

            "โห ไม่เอา ไม่หึงนะครับ มุมกล้องล้วนๆอ่ะ ซินก็เห็น"

            "ไม่ต้องพูดเลย ชอบล่ะสิ ได้ทำงานใกล้ๆผู้หญิงสวยๆ"

            "สวยแค่ไหนก็สู้ซินไม่ได้สักคน"

            "ไม่ต้องมาปากดี"

            "ดีไม่ดี ลองชิมอีกสักทีมั้ยล่ะ"

            "พูดจาเอาแต่ได้ตลอด เข้าตัวตลอด"

            "คนเรามันก็ต้องมีกันบ้าง"

            "เหรอ... หึ!"

            "ไม่โกรธนะครับ ไม่เข้าใจผิดนะ นัทรู้ว่าซินเข้าใจ ซินของนัทเป็นคนมีเหตุผลจะตายไป" พูดไปก็เอาหัวไปถูๆไถๆหน้าท้องคนป่วยเบาๆ แถมกอดเขาไปด้วย

            ทำให้คนบ้าจี้ขำคิกคักๆ ดิ้นไปมา

            ยิ้มออกแล้ว... เห็นมั้ย :)

            "ไอ้นัท อย่าจั๊กจี๋! ผิดกติกา!" เสียงร้องโวยวายจากคนป่วย ทำเอาคนอยากแกล้งยิ่งจี้ไปที่เอวบางมากยิ่งขึ้น คราวนี้ดิ้นพลาดๆเลยครับ

            เมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มหอบหายใจ ก็เลยยอมหยุด เดี๋ยวอาการจะกำเริบขึ้นมาซะก่อน ตากลมโตมองค้อนกันมาอีกวงใหญ่ พร้อมกับชี้หน้าผมไปด้วย

            ฮ่าๆๆ สู้ไม่ได้แล้วใช้สายตาเป็นอาวุธนะครับ

            ในตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น และเมื่อประตูห้องเปิดออก ป๊ากับม้าซินก็เดินเข้ามา ทำเอาคนที่เพิ่งจะรังแกลูกเขาเอาไว้เหงื่อตกอย่างร้อนตัว รีบมยกมือไหว้ป๊ากับม้าแทบไม่ทัน

            "สวัสดีครับป๊าม้า"

            "สวัสดีจ้ะลูก ไงคนป่วย สีหน้าสดใสขึ้นเยอะเลยนะจ้ะ สงสัยจะได้ยาดี" โดนม้าแซวเข้าให้แล้วครับ ฮ่าๆๆ

            "ใช่ที่ไหน นัทแกล้งซินนะม้า ป๊าจัดการเลย" ไหงพูดกับม้า แล้วหันไปฟ้องป๊าอย่างนั้นล่ะครับที่รัก

            ไอ้คนมีความผิดติดตัวก็ได้แต่ยืนยิ้ม ขนท้ายทอยลุกอยู่อย่างนั้น

            เดี๋ยวเถอะ ป๊าเผลอเมื่อไหร่แล้วจะเจอดี คาดโทษเอาไว้ก่อนเลย

            พอป๊ากับม้าเขามา ไอ้ผมจะไปนั่งแหย่ลูกชายเขาต่อก็ใช่ที่ เลยต้องมานั่งทำตัวเป็นคนดีปอกผลไม้ให้คนป่วยกินอยู่ข้างเตียง ม้าก็น่ารักเหลือเกิน ซื้อผลไม้มาซะเต็มตะกล้าเลย แถมด้วยขนมอีกสารพัด นี่คงกะว่าจะขุนลูกชายให้อ้วนเป็นหมูไปเลยสินะ

            แถมไอ้ตัวดีก็เอาใหญ่ เดี๋ยวร้องจะกินแอ๊ปเปิ้ล เดี๋ยวร้องจะกินส้ม พอปอกส้มจะกินสาลี่ พอปอกสาลี่จะกินองุ่น ดูเอาเถอะนะครับ

            “เอ้า กินเข้าไปผลไม้น่ะ จะได้ไม่ป่วยบ่อยๆ” ผมพูดพลางจ่อแอ้ปเปิ้ลไปที่ปากคนป่วย แต่เจ้าตัวกลับเบ้หน้าและหันหนีซะอย่างนั้น

            “ไม่เอา เบื่อแอ้ปเปิ้ล”

            “ส้มก็ไม่เอา สาลี่ก็ไม่เอา องุ่นก็ไม่เอา แอ้ปเปิ้ลก็ไม่เอา แล้วจะเอาอะไรครับ เอานัทมั้ย...” แรกๆก็พูดเสียงปกติ แต่คำหลังนี่แอบยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ หึหึ...

            ไม่เคยกลัวตายหรอกครับ กลัวอด... >..<

            คนป่วยผงะถอยหลังไปติดหัวเตียงทันทีที่ได้ยิน แถมยังมือไวตะปบหัวดันกันแถบหงายหลัง ทำเอาคว้าเตียงคนไข้เอาไว้แทบไม่ทัน เสียงร้องโวยวายของผมเรียกให้ป๊าที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาด้านข้างเงยหน้าขึ้นมามอง ไอ้ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป ป๊าจึงส่ายหน้าช้าๆ และก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ส่วนม้าที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเอาผลไม้เข้าไปล้างก็หัวเราะขึ้นเบาๆ

            เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วล่ะครับ... จะว่าอึดอัดมั้ย ก็ไม่นะ เพราะป๊ากับม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร

            ออกจะดีด้วยซ้ำไป เพราะได้ทำอะไรอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่บ้าง

            แต่มันทำอะไรลำบากอ่ะ - - ถึงป๊าจะไม่ได้ว่า แต่ก็แอบส่งสายตามาเป็นระยะนะครับ ทำเอาขนลุกกันเป็นช่วงๆ

             “พูดบ้าอะไร ป๊ากับม้าก็อยู่นะ” คนป่วยที่ดูท่าทางว่าจะหายป่วยแล้วกระซิบลอดไรฟันมาเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน

            “เอ้า ก็ถามจริงๆ ไอ้นู่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่กิน แล้วจะกินอะไรครับ”

            “ก็อิ่มแล้ว จะให้กินไปถึงไหน ท้องแตกตายกันพอดี”

            “กินเข้าไปเยอะๆ จะได้อ้วนๆกับเขามั้ง ผอมจะตายอยู่แล้ว”

            “นั่นสิลูก ยิ่งป่วยๆแบบนี้ยิ่งซูบลงไปเยอะเลย ทานเยอะๆ จะได้หายไวๆ” ม้าเดินเอาผลไม้ที่ล้างแล้วมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม และเดินเลยไปลูบหัวซินเบาๆ

            “ซินกินเข้าไปตั้งเยอะแล้วม้า ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยอ่ะ” ไอ้คนป่วยก็บ่นง้องแง้งไปเรื่อย แม่ลูกเขาก็ออดอ้อนกันไป โดยที่มีผมนั่งมองดูอยู่ใกล้ๆ ลูกแมวน้อยเขากำลังอ้อนม่าม้าเขาอยู่ น่ารักเชียวครับ ไอ้ผมก็มองไปยิ้มไป

            ปากบางที่เคยซีดเซียวมีเลือดฝาดขึ้นมานิดๆแล้ว แก้มซีดก็เริ่มมีสีเปร่งปรั่งขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้แล้วก็สบายใจ ทำให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

            รอยยิ้มนี้ที่ผมเฝ้าปกป้องมาโดยตลอด และผมสัญญาว่าจะดูแลรักษารอยยิ้มสวยๆนั้นให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป

            “แล้วนัทล่ะลูก หิวหรือยัง”

            “ยังครับม้า แอบแย่งขนมคนป่วยกินไปเยอะแล้ว ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ”

            ผมยิ้มตอบกลับม้าที่หันมาถาม ตามด้วยอีกคนที่ชะโงกออกมาจากด้านหลังม้า

            “นิสัยไม่ดี แย่งขนมคนป่วย ป๊าจัดการเลย”

            เอ๊ะไอ้นี่... แน่จริงฟ้องม้าสิวะครับ! ป๊าเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ ไปกวนเขาทำไม... จดบัญชีไว้ก่อนเถอะ อยู่สองต่อสองเมื่อไหร่ล่ะก็...

            หึหึ ดูท่าทางว่าจะหายแล้วด้วยนี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการรังแกคนป่วยแล้วล่ะ

            ยิ่งไอ้ท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันแบบนี้มันยิ่งน่านัก

            “เอ้อป๊า นัดร้านต้นไม้เอาไว้ตอนกี่โมงนะ”

            “บอกเขาไว้ว่าจะเข้าไปเที่ยงๆ นี่กี่โมงแล้วล่ะ”

            “สิบเอ็ดโมงแล้วครับ” ผมที่นั่งฟังป๊ากับคุยกันอยู่รีบตอบออกไปอย่างหวังดี (ประสงค์ร้ายชัดๆ)

            “อ้าว สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอ งั้นรีบไปกันดีกว่ามั้ยป๊า เดี๋ยวที่ร้านเขาจะรอ”

            “ไปไหนอ่ะม้า” ไอ้ตัวดีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาถามขึ้น

            “ไปร้านต้นไม้จ้ะ ป๊านัดเขาไว้ว่าจะไปดูต้นจำปี จะเอามาปลูกหลังบ้าน”

            “อ้าว แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนซิน”

            “ก็นัทไงลูก ใช่มั้ยจ๊ะ”

            “ครับม้า เดี๋ยวผมดูแลให้เอง รับรองได้เลยครับ” ในเมื่อม้ายื่นโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ รีบตอบม้าที่หันมาถามด้วยรอยยิ้มกว้างทันที

            “จ้ะ เดี๋ยวเย็นๆป๊ากับม้าจะกลับเข้ามาใหม่ ไปกันเถอะป๊า” แล้วหลังจากนั้นพ่อแม่ลูกเขาก็ล่ำลากันอีกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน22 รั้ง [08/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 08-10-2013 21:35:34
            ทีนี้ล่ะครับ!!

            ผมเดินมาส่งป๊ากับม้าที่หน้าประตู หันหลังกลับมาอีกทีก็เห็นคนป่วยนอนมุดเข้าใต้ผ้าห่มไปเรียบร้อยแล้ว หึหึ แต่ว่าแค่นั้นจะหลบพ้นรึไงหนูน้อย

            “ไม่ต้องหนีเลยนะ”

            “อะไรเล่า! เราจะนอน” คนป่วยเริ่มประท้วงง้องแง้งเมื่อผมเดินไปดึงห่มผ้าห่มเขาออก

            “มานอนอะไรตอนนี้ เพิ่งจะตื่นไม่ใช่รึไง”

            “มั่ว ตื่นมาตั้งแต่เช้า คนป่วยเขาก็ต้องนอนเยอะๆสิ”

            “งั้นนอนด้วยดิ”

            พูดจบก็ไม่ต้องรอให้อีกคนได้โวยวาย โดดทีเดียวขึ้นเตียงคนไข้ได้ทันที ไอ้เจ้าของเตียงก็ร้องโวยวายจะดันผมออก แต่มีหรือที่แรงคนป่วยตัวนิดเดียวจะมาสู้ผมได้ และหลังจากที่สงครามย่อมๆจบลง ผู้ชนะก็คือผมเองครับ ^^

            ด้วยความสามารถที่เหนือชั้นกว่า ทำให้สามารถมานั่งซ้อนหลังคนป่วยอยู่บนเตียงจนได้

            “ไอ้บ้านัท ขึ้นมาทำไม เดี๋ยวพยาบาลเข้ามาได้ตกใจ เรื่องใหญ่กันพอดี”

            “ก็ไม่เห็นเป็นไร”

            เพราะด้วยความรอบคอบ ผมล็อคประตูเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ  ^^

            “ไม่เป็นไรบ้านนายสิ ป๊าม้าไม่อยู่แล้วเอาใหญ่เลยนะ”

            “ใครกันแน่ ป๊าม้าอยู่แล้วเอาใหญ่เลยนะ เป็นไง ป๊ากับม้าไปแล้วนี่ เก่งต่อสิครับ”

            “ไม่ต้องพูดมาก ลงไปเลย... เห้ย! อย่าจับตรงนั้น!”

             ก็คนป่วยน่าฟัดขนาดนี้ ผมอยากกอด อยากจับตรงนั้นอยากจับตรงนี้มันผิดด้วยเหรอครับ แถมคนป่วยยังมาดิ้นดุ้กดิ้กๆอยู่ในอ้อมกอดกันแบบนี้จะไปอดใจไหวได้ยังไง

            “อยู่นิ่งๆให้กอดหน่อยนะซิน ไม่ได้กอดตั้งนานแล้ว คิดถึง...”

            น้ำเสียงนุ่มที่ใช้สำหรับสถานการณ์นี้เท่านั้นถูกส่งออกไปข้างหูคนดื้อรั้นเบาๆ ทำให้อาการดิ้นหยุดลง ผมจึงกระชับอ้อมกอดกอดคนตัวบางตรงหน้าให้มากยิ่งขึ้น ยื่นคางเกยบ่าเล็กสูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาวที่ห่างหายไปนานด้วยความคิดถึง ซินนิสัยไม่ดี ชอบทำให้รักจนไม่รู้ว่าจะรักยังไงแล้ว

            “ข้ออ้างลวนลามเรามากกว่ามั้ง”

            “รู้ทันแต่ก็ยอมเน้อะ”

            “....”

            คนรู้ทันไม่ตอบ แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ครับว่ากำลังทำหน้าแบบไหน ...กำลังยิ้มแบบไหนอยู่

            “ทนหน่อยนะซิน เรื่องบ้าๆพวกนี้”

            “หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก”

            “เก่งจังเลยนะครับ”

            ปากก็พูดคุยกันไป แต่จิตใจนี่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว กลิ่นยาจากโรงพยาบาลไม่สามารถกลบกลิ่นหอมๆจากตัวซินได้จริงๆครับ ยิ่งใกล้มากเท่านี้ สัมผัสกันอยู่แบบนี้...

            เสื้อโรงพยาบาลที่บางเกินกว่าจะสามารถปกปิดอะไรได้ ยิ่งเวลาที่กอดเอวบางแน่นอยู่อย่างตอนนี้ก็ราวกับไม่มีมันอยู่เลย ทำให้สามารถสัมผัสไอร้อนจากผิวเนื้อคนป่วยได้อย่างชัดเจน

            มือบางของซินเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์ที่เสียงเตือนดังขึ้นมาดู และทิ้งตัวพิงหัวลงบนไหล่ผม กดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย ไอ้คนได้ใจมือก็เริ่มอยู่ไม่สุก จากที่อยู่ด้านนอกเสื้อ ก็เริ่มซุกไซ้เลื่อนเข้าไปด้านใน แตะหน้าท้องราบของคนป่วยเบาๆ และเขี่ยเล่นไปมาอยู่อย่างนั้น มืออีกข้างปัดผมด้านที่บดบังลำคอขาวไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรำคาญใจ

            และแตะจูบแผ่วเบาลงไปบนลำคอระหง ให้อีกฝ่ายได้ย่นคอหนี แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

            “ไอจีเด้งทั้งวันจริงๆนะเนี่ย โพสบอกอีกสักทีดีมั้ยว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เสียงบ่นของคนป่วยดังขึ้นโดยที่ผมไม่ได้สนใจฟัง ไม่รู้ว่าถามผมหรือเปล่า หรือว่าแค่รำพึงรำพันคนเดียว เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องที่อยากทำมากกว่าซะแล้วสิ

            บนเตียงคนป่วยนี่... จะเป็นไรมั้ยนะ

            ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็ล็อคประตูไปแล้ว...

            บนเตียงคนป่วยนี่... จะเป็นไรมั้ยนะ

            ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็ล็อคประตูไปแล้ว...

            จากจูบเปลี่ยนเป็นแตะปลายลิ้นไล้คอขาวนวล เรียกเสียงร้องโวยวายจากคนตัวเล็กได้ในทันที

            “อ๊ะ ทำบ้าอะไรเนี่ยนัท! นี่มันโรงพยาบาลนะ!!”

            “อือ...”

            ไม่สนใจแล้วครับ โรงพยาบาลก็โรงพยาบาลเถอะ ไม่มีใครเห็นสักหน่อย ก็อยู่กันแค่สองคน จริงมั้ย…?

            มือเลื่อนจากหน้าท้องขาวลงต่ำไปลงเรื่อยๆ จนถึงขอบกางเกงคนป่วยที่มัดเชือกเอาไว้หลวมๆ กระตุกแค่ทีเดียวก็หลุดแล้วครับ แต่ก่อนที่จะได้เลื่อนลงต่ำไปมากกว่านั้น มือบางของอีกฝ่ายก็คว้าตะปบเอาไว้ซะก่อน

            “น่านะ... เดี๋ยวนัททำให้”

            “แต่นี่มันโรงพยาบาล... อ๊ะ!” เสียงหวานที่กำลังเอ่ยห้ามกันขาดห้วงไปเมื่อผมกดจูบหนักหน่วงลงบนลำคอระหง ขบแม่มกัดเบาๆอย่างนึกหมันเขี้ยว เลื่อนไล้ริมฝีปากขึ้นไปงับติงหูเล็ก ลากลิ้นวนเป่าลมเบาเข้าหูให้อีกคนขนลุกเกรียว

            ไม่ไหวจะทนแล้วจริงๆ

            “อือ...” เสียงหวานบางเบาจากคนป่วย กระชากสติสตังที่มีอยู่น้อยนิดให้หลุดลอยออกไป

            มือเรียวที่รั่งกันไว้เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนผมบิดข้อมือเบาๆก็ลุดออกจากกำปั้นเล็กๆนั้นแล้ว เคลื่อนมือลงต่ำเข้าไปภายใต้กางเกงผ้าเนื้อบางเบาของโรงพยาบาลที่เป็นใจกันซะเหลือเกิน

            “อ๊ะ” ซินผวาเฮือกเมื่อผมลากนิ้วผ่านกางเกงซับในตัวน้อยซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายที่กั้นกลางระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่กำลังต้องการ ซินเองก็ไม่ต่างกัน

            แล้วยังจะมาห้ามกันอีก...

            มือผมเลื่อนเข้ากอดกุมส่วนอ่อนไหวของซินทั้งสองข้างจากด้านหลัง ขยับลูบไล้ขึ้นลงเบาๆอย่างเอาใจ ทำเอาอีกฝ่ายที่ถูกกระทำดิ้นพล่านเมื่อถูกสัมผัส

            “...ย...อย่า...” เสียงปฏิเสธอ้อมแอ้มจากคนขี้อาย ทำให้ผมเร่งจังหวะการขยับมือขึ้นอีกนิด คนป่วยจึงต้องจิกมือทั้งสองข้างลงบนเตียงเพื่อระบายอารมณ์ โทรศัพท์ที่กดเล่นอยู่เมื่อกี้นี้ถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว

            ผมละมือข้างหนึ่งออกจากส่วนอ่อนไหวของซิน เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เปิดไหลขาวมนและก้มตามลงไปไล้ปรายลิ้นชิมรสทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อออกมา กดจูบฝากฝังรอยแสดงความเป็นเจ้าของลงไปในพื้นที่ที่คิดว่าจะไม่มีใครมองเห็นได้ ...นอกจากผม

            “อ๊ะ!” ใบหน้าหวานแหงนขึ้น มือเกาะคว้าแขนผมเอาไว้แน่น เมื่อผมเร่งจังหวะมากขึ้นกว่าเก่า และขยับปลายนิ้วไล้ขึ้นตั้งแต่โคนจรดปลาย กดนิ้วย้ำๆซ้ำอยู่ที่ส่วนหัว จนอีกฝ่ายจิกเล็บลงบนแขนผมแน่น รู้สึกได้ถึงอาการแสบนิดๆที่ตามมา ก่อนที่ผมจะละมือออกจากส่วนนั้นของซิน ดันตัวลุกขึ้นเพื่อคร่อมอีกฝ่ายลงบนเตียงคนไข้

            ...ที่กำลังจะกลายเป็นมากกว่านั้น

            “พอแล้ว!” ซินร้องห้ามขึ้นอย่างตกใจ เมื่อโดนดันลงจนหลังติดเตียงนุ่ม ใบหน้าสวยแดงซ่านไปด้วยความอาย ก่อนจะหันหนีไปทางอื่นเมื่อผมส่งยิ้มกริ่มไปให้

            “อยากให้ฉันหยุดเหรอ” แต่ยังมิวายก้มลงตามไปกระซิบที่ข้างหูคนป่วย และงับใบหูสีชมพูนั้นอย่างหมันเขี้ยว มือที่ละจากแท่งร้อนกลับเข้าไปกรอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วของซิน

            “อือ... ย...หยุด... อยากให้...หยุด” เสียงห้ามกระท่อนกระแท่นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากผมได้ทันที ก็ถ้าจะห้ามกันได้เด็ดขาดขนาดนี้นะครับ

            “จริงเหรอ อยากให้ฉันหยุดจริงเหรอ”

            มือลากไล้วนเวียนผ่านแท่งร้อนของซินอย่างหยอกเย้า ก็ถ้าอยากให้หยุด แล้วจะตอบสนองกันขนาดนี้ทำไม ยั่วกันชัดเลยๆนะซิน...

            เสื้อคนป่วยถูดถอดออกโยนไปมั่วๆข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ตามด้วยริมฝีปากที่ก้มตามลงไปไม่ห่าง ลากปลายจมูกผ่านลำบากขาวระหง เลื่อนต่ำลงมายั่งตุ่มไตสีชมพูหวานที่ไร้สิ่งใดปิดบัง อกสวยแอ่นรับปลายลิ้นสากที่ลากวนสลับกันทั้งสองข้างอย่างพึงพอใจ

            “อื้อ~~”

            ไหนบอกอยากให้หยุดไงครับ

            เลื่อนริมฝีปากต่ำลงเรื่อยๆ ผ่านสะดือสวย และต่ำลงไปยิ่งกว่านั้น ก่อนที่ริมฝีปากผมจะเข้าครอบครองส่วนล้ำลึกของคนป่วยเข้าไปจนมิด

            สองมือของซินจิกผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ ผมลากไล้ปรายลิ้นหยอกล้อกับส่วนบนของซินเบาๆ จนเจ้าตัวเบี่ยงตัวหลบอย่างทนไม่ไหว แต่มีหรือที่ผมจะยอมให้หนี สองมือขว้าขาของซินทั้งสองข้างตั้งขึ้น และล็อกไว้อยู่อย่างนั้น ปรนเปรอสัมผัสวาบหวามให้คนป่วยจนดิ้นพล่านไปรอบเตียง

            “อื้อ...!!~"

            คนหน้าบางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวว่าเสียงน่าอายจะดังมากไปกว่านี้ แถมยังหันหน้าหนีไม่มองกัน

            ยิ่งเห็นแบบนี้ ยิ่งอยากแกล้ง

            นึกได้แบบนั้นก็เร่งจังหวะดูดกลืนจุดอ่อนไหวของซินด้วยจังหวะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นจนอีกฝ่ายตัวสั่นระริก และเมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มทนไม่ไหว ผมก็ทุกอย่างลงเท่านั้น ตวัดปลายลิ้นครั้งสุดท้ายลากผ่านส่วนปลายอย่างอ้อยอิ่ง ทำเอาคนที่กำลังจะไปถึงจุดสิ้นสุดแต่กลับต้องค้างอยู่อย่างนั้น สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่อย่างขัดใจ

            ผมยกตัวขึ้นสูง และเลื่อนไปมองหน้าซินใกล้ๆด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

            "ถ้าอยากให้หยุด งั้นหยุดเท่านี้ก็ได้" ตอแหลล้วนๆครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไอ้เจ้านัทน้อยมันปวดหนึบไปหมดแล้วจริงๆ ถ้าไม่ได้จริงๆก็ต้องขืนใจกันแล้วล่ะ

            คนสวยกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ก่อนที่เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น...

            ด้วยความเร็วที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ซินเบี่ยงตัวลุกขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายกดผมลงกับเตียง... อุแม่เจ้า...

            หรือว่าไอ้นัทจะฝันไป

            "ขี้โกง เรื่องอะไรให้เราถอดเสื้อผ้าอยู่คนเดียว" ไม่พูดเปล่า มือสวยเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อผมและกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง เมื่อเสื้อถอดออกไปได้สำเร็จก็เลื่อนไปปลดกระดุมกางเกงผมออกทันที

            ไอ้ผมที่มัวแต่ตกตะลึงค้างก็นอนนิ่งยอมให้ซินเปลืองผ้าอยู่อย่างนั้น มารู้ตัวอีกที คนสวยก็แนบริมฝีปากลงมาประกบจูบกันแล้ว

            "ช่วยหน่อยนะ... ไม่ไหวแล้วจริงๆ" เสียงกระซิบแหบพร่าที่พาเอาสติกระเจิดกระเจิง

            ผมจึงถอนจูบออกทันที จับเอวบางให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถสอดใส่ได้สะดวกขึ้น ก่อนจะกระทั้นกายไปจนสุด ทำเอาคนป่วยสะดุ้งจนตัวเกร็ง มือบางทั้งสองข้างดันไหล่ผมเอาไว้เพื่อพยุงตัว

            "อ๊ะ... อื้อ จ..เจ็บ..."

            เสียงร้องจากกลีบปากสวยทำให้ผมต้องขยับเอวเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย และเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆตามแรงปารถนา ความจริงอยากจะรุนแรงมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ก็ทนแทบจะไม่ไหว แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ทัน จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป เอวบางของซินเองก็เริ่มขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ผมนำทางเขาไปอย่างรู้งาน จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว กดเอวอีกฝ่ายและกระแทกเข้าไปหนักหน่วงยิ่งขึ้น

            ภายในห้องผู้ป่วยบนเตียงคนไข้นี้ อุณหภูมิร้อนขึ้นจนผิดหูผิดตา เมื่อคนสองผลัดกันรักจนอากาศแทบลุกเป็นไฟ เสียงหอบหายใจที่สอดประสานของทั้งสองคน หยาดเหงื่อหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เสียงบอกรัก ครางเรียกชื่อหวานคล้ายทำนองจังหวะเสียงเพลงครั้งแล้วครั้งเล่า

            "อ๊ะ นัท... เรา...ไม่ไหว แล้ว... อื้อ! อ๊า~~" ใบหน้าหวานชุ่มเหงื่อแหงนขึ้นอย่างพอใจ ร่างบางไหวโยกไปตามแรงจากด้านล่าง

            ซินที่แสนสวยเซ็กซี่คนนี้ ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่หาเจอ

            ความปารถนามากมายที่สั่งสมจนทนไม่ไหว ทำให้ต้องรีบกระทั้นกายเข้าไปถี่ขึ้น ความสุขสมพุ่งเข้าใส่พาให้ล่องลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ความสุขที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด และปลดปล่อยถะถังออกมาภายในกายซิน โดยที่เขาเองก็ตามผมมาติดๆเช่นกัน

            คนตัวบางหอบตัวโยน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนอกผมอย่างหมดแรง

            "ฉันรักนายนะซิน" ผมพูดเพียงแค่นั้น และจูบซับลงบนหน้าผากมนของคนบนอกอย่างรักใคร่ โดยที่ซินไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับเบาๆ

            "เหนื่อยเหรอ"

            "อือ..."

            "เหนื่อยตรงไหน ฉันทำคนเดียวชัดๆ"

            "เลิกพูดไปเลย"

            "หึหึ"

            ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังมีลูกแมวน้อยนอนอยู่บนอก แต่แล้วคนตัวบางกลับต้องผวาเฮือกเมื่อนัทน้อยของผมขยับข้างในตัวเขา ...ก็ยังไม่ได้เอาออกนี่ครับ

            พอคนตัวบางขยับทำท่าจะเอาออก ผมก็รีบกอดเขาเอาไว้แน่น

            "ทำบ้าอะไรเนี่ย อื้อ..." เสียงหวานบ่นอู้อี้เพราะผมดันเขาแบนอกเอาไว้ แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหวานมายั่วกันอีก

            "เอาออกตอนนี้ก็เลอะเตียงน่ะสิ เดี๋ยวเขาก็รู้กันพอดีกว่าเราทำอะไรกัน"

            ซินหยุดดิ้นลงทันทีเมื่อได้ยินเหตุผลนี้จากผม

            "เดี๋ยวฉันพาไปห้องน้ำ อย่าดิ้นนะ โอเคมั้ย ไม่งั้นได้ล้มกันไปทั้งคู่แน่ๆ" ลูกแมวน้อยพยักหน้ารับเบาๆอย่างว่าง่าย

            เพราะว่าไม่มีแรงเหลือจะสู้แล้วน่ะสิ

            ผมจึงลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆที่อุ้มเขาเหมือนเด็กน้อยอยู่อย่างนั้น และที่สำคัญ ร่างกายเรายังเชื่อมกันอยู่ กว่าจะเดินมาถึงห้องน้ำ ไอ้อะไรที่มันหลับใหลไปก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนคนที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ปลอดภัยก็รีบโวยวายทันที

            แต่ไม่ทันแล้วครับ ประตูห้องน้ำปิดลงแล้ว ตามด้วยล็อคกลอนอย่างแน่นหนา...

            หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ .... เดากันเอานะ ^^

TBC.
....
มาแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะช่วยแก้หน่วงกันได้บ้างมั้ย :)
ยังไงก็อยากเห็นทุกคนยิ้มนะคะ ศิลปินของเราก็คงจะเหมือนกัน ^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ น่ารักมากๆเลย 
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน22 รั้ง [08/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-10-2013 23:26:36
ได้อ่านตอนนี้แล้วใจชื้นขึ้นเป็นกอง ^^
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน22 รั้ง [08/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 09-10-2013 03:40:18
นั่นมันโรงพยาบาลนะนัทและซินหื่นนนนนนนนอ่ะทั้งสองเลยยย คิคิ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน22 รั้ง [08/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-10-2013 16:22:34
เค๊ารักกันมากขึ้นอ่ะ พี่นัทซิน ชอบมากกกก

รักคู่นี้ ขอบคุณนะคะขอบคุณที่แต่งให้อ่านมากๆเลย รักคุณจัง

 :กอด1:  :L2:  :L1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน23 เพราะผม...? [11/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 11-10-2013 19:59:07
23

((เพราะผม...?))


            หลังจากที่รังแกคนป่วยคนพอใจ และล้างเนื้อล้างตัวจนเรียบร้อย ก็พากลับมานอนที่เตียงจนหลับไปได้สักพัก นั่งมองคนสวยหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ขนาดหลับยังจะอุตส่าห์ยิ้มอีกนะครับ ไม่รู้ว่าฝันดีอะไรนักหนา แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าในฝันนั้นต้องมีผมแน่ๆ ^^ ไม่ได้เข้าข้างตัวเองเลยจริงๆนะ เพราะมีแค่ไม่กี่คนหรอก ที่ทำให้คนโลกส่วนตัวสูงคนนี้ยิ้มได้

            คนตัวบางพลิกตัวหันหน้าหนีแสงมาทางผม ก่อนที่จะปรือตาขึ้นมาช้าๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่น มือยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ แถมด้วยการอ้าปากหาวเป็นการปิดท้ายการตื่นนอน

            ลูกแมวขี้อ้อนขัดๆเลย

            "ยังไม่กลับอีกเหรอ"

            "ตื่นมาก็ไล่เลยนะ"

            ปากสวยเบะออก ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง บ่ายสี่โมงกว่าแล้ว

            "แล้วนี่งานการไม่ทำเหรอ เดี๋ยวคนของนายก็ไปว่าเราเสียๆหายกับนักข่าวอีกหรอก"

            "ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่คนของฉัน" เป็นเพราะว่าไม่ชอบสถานะที่ซินยัดเยียดให้ ทำเอาเผลอขึ้นเสียงใส่ไปซะแล้ว

            ปากบางเม้มเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกและตีหน้ายักษ์ใส่กัน

            "เสียงดังใส่เราทำไม"

            "แล้วจะบอกว่าเขาเป็นคนของฉันทำไมล่ะ บอกว่าไม่ใช่ๆ ทีหลังถ้าพูดอีกนะ จะจูบให้ปากบวมเลย"

            "โอ้โห เป็นการขู่ที่หน้ากลัวมากนะ" คนโมโหเผลอหยุดยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

            "หึหึ หิวมั้ย ตั้งแต่ตอนกลางวันที่พยาบาลเอาข้าวเอายามาให้ก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจาก..."

            "หยุดพูดไปเลยไอ้นัท นิสัยไม่ดี"

            "อะไร นอกจากน้ำ คิดอะไรเนี่ย"

            "น้ำบ้าอะไรวะ!"

            "ก็น้ำเปล่าไง! อะไรซิน คิดอะไร ทะลึ่ง!"

            "ใครกันแน่ทะลึ่ง! อย่ามาว่าเรานะ!!" คนป่วยชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง คว้าหมอนที่หนุนอยู่เมื่อสักครู่มาฟาดใส่ผมเต็มๆ มีเหรอครับที่ผมจะยอม ยกแขนขึ้นป้อง และคว้าหมอนดึงมาจากมือบาง ยื้อยุดฉุดกันไปมา จนคนป่วยหมดแรง เสียหลักล้มตึงลงกับเตียง ไอ้ผมที่รอจังหวะอยู่แล้วก็ทิ้งตัวตามลงไปทันที

            กะว่ายังไงท่านี้ต้องเหมือนกับฉากสวีทแบบละครหลังข่าวแน่ๆอ่ะ แต่ไม่ครับ เพราะแมวตัวนี้ดุกว่านางเองในละครเป็นไหนๆ

            อุ้งเท้าน้อยๆของคุณแมวเธอตะปบเข้าหน้าผมเต็มๆก่อนที่จะได้จุ้บตรงไหนทั้งนั้น แถมไม่เก็บเล็บด้วยนะครับ

            "อย่าจิกนะ เดี๋ยวทิ่มตาบอดขึ้นมาจะทำยังไง" ผมพูดด้วยเสียงอู้อี้ทั้งที่ๆมีมือซินแปะอยู่บนหน้าแบบนั้น

            "ถอยออกไปเลย วันนี้ได้กำไรไปมากพอแล้ว"

            "กำไรอะไรเล่า ทำไมคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ฮะ"

            "พอๆ เราเสียเปรียบ"

            "เสียเปรียบตรงไหน ได้กันทั้งสองฝ่ายชัดๆ ...โอ๊ย!!" โดนบีบจมูกเข้าให้แล้ว ไม่มีออมแรงกันเลยนะ ซิลิโคนเบี้ยวขึ้นมาจะว่าไง - -

            "ถอยออกไปเลย"

            "ถอยแน่ๆ แต่ต้องเอามือออกไปก่อน"

            "จะทำไม"

            "ไม่ทำไมหรอกน่า หรือว่ากลัว เดี๋ยวนี้ขี้ป๊อดนะเราน่ะ"

            "ว่าใคร เดี๋ยวจะโดน"

            "งั้นปล่อยมือก่อนนะครับ ขอดูหน้าคนหายป่วยแล้วใกล้ๆหน่อย"

            "ไม่ต้องมาอ้อน มุกนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว"

            "โธ่เอ๊ย ก็ถ้ารังเกียจกันขนาดนี้ ไม่ทำอะไรแล้วก็ได้"

            พูดจบถอยออกมานั่งที่เดิม พร้อมกับตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อเรียกร้องความสนใจ สองมือยกขึ้นกอดอก หันหน้าหนีไปอีกทาง

            "นัท"

            ไม่ตอบ...

            "นัท..."

            ไม่ตอบหรอก งอน!

            "นัท!"

            "ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันมันก็แค่คนที่จ้องจะเอาเปรียบนายเท่านั้นแหละ นอนพักเถอะ ไม่กวนแล้ว" รางวัลสุพรรณหงส์ปีนี้เป็นของผมนะครับ!

            "น้อยใจอะไรเนี่ย ไม่ใช่เรื่องเลย"

            "เปล่า ไม่ได้น้อยใจ นายนอนเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว"

            เสียงถอนหายใจเบาๆจากคนบนเตียง พร้อมกับเสียงยวบเพราะซินกำลังลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง คนสวยนั่งหันหน้ามาทางผม หย่อนขาสองข้างลงข้างเตียง แอบเห็นจากทางหางตาว่าเขากำลังมองมาทางนี้ แต่ก็ทำเป็นมองออกไปชมนกชมไม้นอกหน้าต่างอย่างน้อยใจ

            จนกระทั่งมือเรียวสวยสองข้างเอื้อมมาประครองหน้าผมเพื่อหันไปหาเขา จึงทำให้เราได้สบตากัน 

            "ขี้งอนเป็นตุ๊ดไปได้" ซินพูดขึ้น ทั้งๆที่ประครองหน้าผมทั้งสองข้างอยู่อย่างนั้น

            "ไม่ได้งอน"

            "งั้นก็น้อยใจ?"

            "...นิดนึง" ตอแหลล้วนๆ

            "เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ"

            "ช่างมันเถอะ" พูดจบกันหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้มือสวยกลับเกร็งไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ขยับหน้าหนีได้อีก

            "แค่จูบก็พอใช่มั้ย" เสียงหวานถามกันด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

            อะไร๊!! อย่ามาเสนอตัวแบบเขินๆอย่างนี้ได้มั้ย เดี๋ยวตะบะแตกหลุดยิ้มขึ้นมาตอนนี้แผนก็พังหมดพอดีสิครับคนสวย!! อุตส่าห์เก๊กหน้าจนเมื่อยมาตั้งนานแล้วเนี่ย

            ผมเลือกที่จะไม่ตอบ และปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่อยากจะทำโดยไม่พูดอะไร

            ใบหน้าสวยเคลื่อนเขามาใกล้ๆ อย่างช้าๆ แก้มขาวใสอมชมพูอย่างน่ารักน่าหยิก บทจะหวานขึ้นมาก็แทบสำลักความสุขกันเลยทีเดียวนะครับ ใครไม่มาเป็นไอ้นัทนี่ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอิจฉาแค่ไหน ><

            ซินหลับตาลงช้าๆก่อนจะแตะริมฝีปากลงมาเบาๆ สัมผัสนุ่มนวลราวกับขนนก ลมหายใจอุ่นจากคนตรงหน้าพาให้หัวใจหลุดลอยไป ผมงับริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กเบาๆอย่างหมันเขี้ยว ก่อนจะสอดแทรกปลายลิ้มเข้าไปลิ้มชิมรสหวานที่ซินเป็นคนหยิบยื่นมอบให้ ลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดตอบรับกลับมาอย่างเอาใจ

            ดูเอาเถอะว่าวิธีการง้อของเขามันน่ารักแค่ไหนกัน

            แบบนี้มันน่างอนวันละหลายๆรอบ

            "อือ..." เสียงหวานคางประท้วงเมื่อมือผมเริ่มซุกซนไปทั่ว มือเรียวที่เลื่อนมาคล้องคอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้รู้บีบคอผมเบาๆ ทำให้ต้องหยุดมือที่ไล้เอวคอดด้านในอยู่ลง ก่อนจะฝังจูบเน้นย้ำครั้งสุดท้าย และถอยออกตามแรงดันจากมือเล็ก แต่ก็ยังไม่วายหอมแก้มใสนั่นไปอีกฟอดใหญ่

            ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนเอาแต่ได้ แต่เพราะว่าอยากจะกอด อยากจะจูบ ในตอนที่ยังสามารถทำได้ เท่านั้นเอง

            "พอแล้ว เดี๋ยวป๊ากับม้ากลับมาเห็นเข้าหรอก"

            "แค่นี้ก็พอแล้วครับ"

            "ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ"

            "ยิ้มดิ ก็แฟนน่ารัก"

            "ไม่ต้องมาพูดเลย ทีเมื่อกี้ยังมางอนเป็นเด็กๆ"

            คนหน้าบางก้มหน้างุดๆหลบสายตา เห็นแบบนี้แล้วอยากจะกอดแรงๆอีกสักที แต่ก็กลัวว่าคนหายป่วยจะกลับมาป่วยอีกรอบน่ะสิ

            "พอแล้วซิน อย่าทำแบบนี้" น้ำเสียงเคร่งเครียดจากผม เรียกให้ซินเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมชัดๆทันที

            "อะไรอ่ะ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ"

            "แค่นี้ก็รักจะตายแล้ว ทำตัวน่ารักไปไหนเนี่ย" พูดจบก็หยิกแก้มนิ่มๆทั้งสองข้างเบาๆอย่างหมันเขี้ยว

            "โอ๊ย... เจ็บ เจ๊บบบบ" และก็ได้รับการถอนผมเป็นกระจุกให้แสบหนังหัวเล่นๆเป็นการตอบแทน

            รักกันรุนแรงจริงๆ... - -

 

            นั่งคุยเล่นกันไปอีกสักพักใหญ่ๆ คุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการอีกครั้ง เช็คนู่นเช็คนี่จนมั่นใจว่าหายแล้ว คืนนี้คุณหมอยังอยากจะให้นอนโรงพยาบาลอีกสักคืน แต่ถ้าอยากจะกลับบ้านเลยก็อนุญาตให้กลับได้ พอคุณหมอและพยาบาลเดินออกไป คนป่วยก็ร้องจะกลับบ้านทันที

            "นอนต่ออีกสักคืนดีกว่ามั้ย รอดูอาการ เพื่อว่าไข้จะขึ้นอีก"

            "ไม่ขึ้นแล้ว เราเบื่อโรงพยาบาล อยากกลับบ้าน"

            "อย่างอแง"

            "ไม่ได้งอแง อยากกลับบ้าน คิดถึงดาวดาว คิดถึงทอง"

            "คิดถึงแมว?"

            "อือ"

            "งั้นก็นอนนี่ไปเลยอีกคืน"

            "เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไง..."

            ในตอนที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซะก่อน พร้อมกันกับที่ป๊ากับม้าซินเดินเข้ามา

            "เอ้าๆ เถียงอะไรกันจ้ะ เสียงดังเชียว" ม้าที่เดินเข้ามาก่อนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม สองมือเต็มไปด้วยถุงขนมกับผลไม้เต็มไปหมด

            "หมอเขาให้ซินกลับบ้านได้แล้วม้า แต่นัทไม่ยอมให้กลับ"

            "ก็อยู่ดูอาการก่อนอีกสักคืน" ผมพูดปรามคนป่วยที่ชักจะดื้อเกินไปแล้ว โดยมีสายตาไม่พอใจมองค้อนมาให้อีกหนึ่งที

            "แต่ซินอยากกลับบ้าน อยู่โรงพยาบาลน่าเบื่อจะตายไป นะม้า ให้ซินกลับนะ"

            "อยู่อีกสักคืนก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ลูก เผื่อตอนกลางคืนเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไง" คุณป๊าเข้าข้างโผมมม >< แอบหันไปยิ้มสะใจให้ซินเล็กๆ

            "ไม่เอาอ่ะ ซินอยากกลับบ้าน"

            "เอ้า ลูกคนนี้ งอแงเป็นเด็กไปได้"

            เห็นมั้ย ม้ายังพูดเหมือนผมเลย ซินหันมามองผมตาเขียวปั้ดทันทีเมื่อผมเผลอหลุดขำออกไป

            "นะป๊า ให้ซินกลับบ้านเถอะ ซินหายป่วยแล้วจริงๆ นะๆ" ป๊ามองซินที่เขย่าแขนป๊าไปมาอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ

            "เอ้าตามใจ อยากกลับก็กลับ เดี๋ยวป๊าไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายก่อนละกัน" ป๊าลูบหัวซินอย่ารักใคร่เอ็นดู และเดินออกจากห้องไป ม้าเองก็ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะไปเก็บของให้ซินเพื่อกลับบ้าน

            ก็เพราะว่าเอาใจกันทั้งบ้านแบบนี้ไง...

            ยังจะมีหน้าหันมายักคิ้วเยาะเย้ยกันอีกนะ

            เอาเถอะ วันนี้ยกให้ เพราะผมได้กำไรมาเยอะแล้วครับ หึหึ

 

            เป็นไปอย่างที่ซินบอกจริงๆ ในเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจะได้ข่าวอะไร บรรดานักข่าวที่มาออกันตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้หายกันไปหมดแล้ว คงถอยทัพกลับไปตั้งหลักใหม่ ผมที่โผล่หัวออกมา เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้วจึงเดินออกมา ตามด้วยซินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และป๊ากับม้าที่เดินตามหลัง

            นักร้องของผมใส่แว่นกันแดด เพื่อบดบังใบหน้า เดินตามหลังผมมาติดๆ สายตาผมสอดส่ายไปทั่วตามนิสัยของบอดี้การ์ดที่ต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้คนเบื้องหลัง

            ก่อนที่แสงบางอย่างจะแว๊บเข้ามาทางหางตา ทำให้ต้องหันไปมองอย่างสงสัย มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่พบกับสิ่งผิดปกติอะไร

            "มีอะไรเหรอ" เสียงถามอย่างสงสัยดังขึ้นจากด้านหลัง

            "เปล่าหรอก ไม่มีอะไร" ผมตอบกลับไปแค่นั้น และเดินนำไปที่ลานจอดรถ

            หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติอะไรเกิดขึ้นอีก เราทั้งหมดตรงกลับบ้านซินทันที โดยที่ป๊ากับม้าขับรถนำไปก่อน ตามด้วยผมกับซินที่ขับตามไปทีหลัง เพราะผมเอารถมา จึงต้องแยกกันกลับ ผมเลยลากซินมานั่งด้วยซะเลย

            ขับรถไป ก็แอบชำเลืองมองคนด้านข้างไป ซินชี้ชวนดูนั่นดูนี่ระหว่างทางไปเรื่อย จนถึงบ้านเขานั่นแหละ การขับรถโดยที่มีคนรักนั่งข้างๆนี่มันดีจริงๆนะ ต่อให้ฝนตก รถติดแค่ไหน ก็ไม่ทำให้บรรยากาศบนท้องถนนมันน่าเบื่อเลย เรื่องนู้นเรื่องนี้ที่สรรหามาพูดคุยกัน ทำให้ระยะทางที่ว่าไกล ถูกย่นลงจนเหลือใกล้นิดเดียว

            เขาว่ากันว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ

            แต่ความทุกข์กลับยืดเวลานั้นออกไป หนึ่งนาทีคล้ายกับหนึ่งปี ...จริงมั้ย?

            ขออย่าให้ช่วงเวลาอย่างนั้น หวนกลับมาอีกครั้งเลย




            พอกลับมาถึงบ้าน ไอ้ตัวดีก็เดินทัวร์รอบบ้าน ตามหาแมวที่สุดแสนจะคิดถึงของเขานั่นแหละครับ ไอ้ผมก็นั่งเล่นรออยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ม้าเข้าไปเตรียมอาหารอยู่ในครัว ส่วนป๊าก็เดินหายไปได้สักพักแล้ว กำลังมองนู่นมองนี่เพลินๆ ซินก็เดินกลับเข้ามาพอดี ไม่ได้มาคนเดียวนะครับ มีลูกน้องเดินตามมาติดๆ

            "แหม คิดถึงกันจริงนะ"

            "ไม่ได้เจอกันก็ต้องคิดถึงกันสิ แปลกตรงไหน"

            "จ้ะๆ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            ซินเดินมานั่งลงข้างๆผม โดยมีเจ้าแสงดาวโดดขึ้นบนตักตามมาติดๆ นั่งหลับตาพริ้มให้เจ้าของเขาเกาคางเล่น

            บางทีก็อิจฉาแมวนะครับ - -

            ว่าแล้วก็ยื่นมือไปผลักหัวเล็กๆนั้นอย่างหมันไส้ เลยโดนแมวตัวใหญ่ตีเพี๊ยะเข้าให้

            "นิสัยเสีย แกล้งคนอื่น"         

            "คนอื่นที่ไหน แมว!"

            "นิสัยไม่ดี"

            อะไรวะ - - มันน่าน้อยใจมั้ยเนี่ย ฮึ!

            "แล้วไม่กลับบ้านกลับช่อง เย็นป่านนี้แล้วนะ"

            เพราะซินพูดทำให้หันมองออกไปด้านนอก ฟ้ามืดแล้วจริงๆ โทรศัพท์ก็โยนทิ้งเอาไว้ในรถไม่ได้สนใจ ไม่รู้กลับบ้านไปจะเจออะไรมั่ง หนีงานมาแบบนี้พ่อจะฉีกอกผมมั้ยเนี่ย หรือว่าคืนนี้จะนอนนี่ดี

            คิดได้แบบนี้จึงยิ้มกริ่มหันไปมองซิน แต่นั่นใครครับ นั่นซินนะ มีเหรอที่จะไม่รู้
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน23 เพราะผม...? [11/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 11-10-2013 19:59:38
            "ไม่ต้องแม้แต่จะคิด กลับบ้านตัวเองไปนู่น ไม่อนุญาต" โดนปฏิเสธทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากเลยครับ

            "ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ"

            "ไม่พูดก็รู้ว่าคิดอะไร ยิ่งทำหน้าอกุศลแบบนั้นยิ่งเดาไม่ยากหรอก"

            "อกุศลที่ไหนเล่า"

            "ไม่ต้องบ่น"

            ปากก็พูดไป มือก็เกาหัวเกาคางให้แสงดาวอยู่ แต่หัวกลับเอนมาซบกันซะอย่างนั้น ผมก็เลยเอนหัวไปซบเขากลับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไรนะ มาชวนหวานกันกลางบ้านแบบนี้ ปกติแตะนิดแตะหน่อยยังไม่ได้เลย กลัวป๊าจะเห็น

            "เป็นไรเนี่ย"

            "เหนื่อย"

            "ไปนอนพักข้างบนมั้ย"

            "ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวม้าก็เรียกกินข้าวแล้ว จะอยู่กินข้าวด้วยกันมั้ย หรือว่าจะกลับเลย"

            "อยากให้อยู่หรือว่าอยากให้กลับล่ะ"

            "...."

            "ถ้าอยากให้อยู่ก็จะอยู่ แต่ถ้าอยากให้กลับก็จะกลับ"

            "...."

            เงียบ ทำซึนไม่ตอบนะครับ

            "ไม่ตอบนี่คืออะไร อยากให้กลับเหรอ" ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงไหล่ออกจากหัวทุย ตะแคงข้างท้าวแขนกับพนักพิงโซฟาหันหน้าเข้าหาเขา

            ใบหน้าหวานหันมามองกัน ก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะแก้มผมเบาๆ

            "อยากให้อยู่ แต่ไม่อยากให้มีปัญหากับที่บ้าน"

            "คิดมากไปได้น่าซิน"

            "ไม่ได้คิดมาก แต่เพราะเราคิดว่าจะทำให้นัทเดือนร้อน"

            ผมถอนหายใจหนักๆเสียทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมมือเรียวที่จับแก้มผมอยู่ 

            "ไม่เดือดร้อนหรอก พ่อไม่ฆ่าฉันตายหรอกน่า"

            "ไม่ฆ่าให้ตาย แต่ก็ทำให้ไม่สบายใจได้เหมือนกัน"

            รู้ทันไปหมดทุกเรื่อง

            "ไม่เป็นไรหรอกน่า"

            "กลับบ้านเถอะ เราไม่เป็นไรแล้ว"

            รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ พร้อมกับที่เจ้าตัวเขาลุกขึ้นยืน และยื่นมือมาให้จับ เพื่อที่จะฉุดในลุกตามเขาไป ผมจึงเอื้อมมือไปจับมือบางนั้น และลุกขึ้นตามแรงดึง

            หลังจากที่เดินไปลาม้าในครัว และแวะไปสวัสดีป๊าที่ห้อง ซินก็เดินออกมาส่งผมที่รถ

            "กลับดีๆล่ะ"

            "รู้แล้วครับ"

            "อย่าเซถลาไปหารถใครเขากลางถนนด้วย"

            "คร้าบบ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วโทรหานะ"

            "อื้ม"

            "ไม่หอมแก้มหน่อยเหรอ"

            "นี่หน้าบ้านรึเปล่านัท เลือกสถานที่มั่งเหอะ"

            "ในรถนี่ ยื่นหน้ามาใกล้ๆก็ไม่มีใครเห็นแล้ว"

            "ไม่เอา"

            "น่านะ"

            "ไม่เอา"

            "ซินอ่ะ ใจร้าย"

            "อย่าพูดมาก วันนี้ได้ไปเยอะแล้ว"

            "ตลอด หวงตัวตลอด งั้นกลับแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะครับ"

            "อื้ม ขับรถดีๆนะ"

            ผมยิ้มรับ ก่อนจะส่งจูบไปให้เขาหนึ่งที ซินก็ทำท่าคว้าจูบผมไว้ก่อนจะโยนไปด้านหลังอย่างไร้เยื่อใย หึหึ

            ทันทีที่กระจกรถปิดลง และตัวรถเคลื่อนออกมา รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าก็ค่อยๆหายไป วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน พ่อคงส่งไอ้กัสหรือใครสักคนไปทำแทนผมแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าฝั่งโอลีฟเธอจะโวยวายอะไรหรือเปล่านะ

            ขับรถมาไม่นานก็ถึง พอก้าวขาเข้ามาในบ้าน ก็เจอกับพ่อแม่ และไอ้กัสนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สีหน้าของแต่ละคนเดาไม่ยากเลยครับว่ากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหนกัน

            พ่อรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา ผมยกมือขึ้นไหว้ แต่พ่อกลับหันหน้าหนี และเดินออกจากห้องไป ทำให้ผมยกมือค้างอยู่อย่างนั้น

            "นัท ไปไหนมาลูก" ผมลดมือลงและเดินไปนั่งด้านข้างแม่

            "ไปหาซินมาครับ"

            ผมตอบกลับไปตรงๆ แม่นั่งนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

            "วันนี้ ใครทำงาน ...แทนผมครับ"

            แม่ที่ฟังคำถามนั้นจบถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตอบ

            "กัสลูก กัสไปแทนนัท"

            ผมจึงหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นนี้ด้วย จะว่าไปก็ไม่ได้คุยกับมันมานานแล้วเหมือนกันนะ ทั้งเรื่องนั้น...ด้วย

            "ฝั่งนั้นเขาว่าอะไรบ้างมั้ย"

            "ก็โวยวายว่าทำไมเป็นผม แต่เพราะว่างานเร่ง ก็เลยพูดอะไรมากไม่ค่อยได้"

            "นักข่าวถามอะไรมั้ย"

            "ถาม"

            "ถามถึงฉันหรือเปล่า"

            "ถาม"

            แล้วคำตอบจะเป็นยังก็ไม่ต้องเดาเลย พรุ่งนี้ได้เป็นข่าวอีกแน่ แต่ขอแค่อย่างเดียว อย่าให้ซินมามีเอี่ยวในข่าวด้วยเป็นพอ ให้ผมแย่คนเดียว

            "ทานข้าวมาหรือยังลูก"

            คำถามจากแม่ทำให้ผมยิ้มออก อย่างน้อย แม่ก็ยังอยู่ข้างๆคอยเป็นห่วงผม 

            "ยังเลย หิวมากที่สุดอ่ะ"

            แม่หลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ความอบอุ่นจากแม่ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีให้ผมเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะทำให้ท่านเสียใจแค่ไหนก็ตาม

            "งั้นรอแป๊บนึงนะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปเตรียมอะไรให้ทาน กัสล่ะ ทานด้วยกันเลยมั้ย"

            "คุณป้านี่น่ารักที่สุดเลยครับ ของผมนี่ขอเยอะๆเลยนะ"

            ไอ้นี่ก็ยังไม่วายประจบเหมือนเดิม เห็นมันยิ้มทะเล้นแบบนี้ได้ผมก็สบายใจ เพราะหน้าอย่างมันเหมาะกับการยิ้มมากกว่า จะให้มันทำหน้าเศร้านี่ไม่เหมาะจริงๆ

            แม่ลุกออกไปจากห้องแล้ว จึงเหลือแค่กัสกับผมสองคนในห้องนั่งเล่นเท่านั้น รอยยิ้มมันหายไป ก่อนที่คิ้วเข้มนั่นจะขมวดเข้ามากัน

            "พี่ทำแบบนี้ทำไมวะ ไม่รู้หรือไงว่าจะทำให้พี่ซินเดือดร้อน"

            "ทำอะไร"

            "ก็ทิ้งงานไปแบบนี้"

            "แล้วเกี่ยวอะไรกับซินด้วย"

            "ทำไมจะไม่เกี่ยว คราวที่แล้วโอลีฟให้ข่าวไปว่ายังไงล่ะ แล้วคราวนี้พี่มาหายไปแบบนี้อีก นักข่าวเขาก็เห็นว่าผมไปแทนพี่ เขาก็ถามหาพี่กันใหญ่ แล้วคิดว่าโอลีฟจะตอบไปว่ายังไงล่ะ คิดว่าเธอจะตอบแบบเข้าข้างพวกพี่รึไง"

            "ผู้หญิงคนนั้นตอบไปว่ายังไง"

            "บอกว่าไม่รู้ ให้ตามดูข่าวกันเอาเอง พรุ่งนี้อาจมีอะไรดีๆให้ดู"

            "อะไรดีๆ"

            "ผมจะไปรู้ได้ไง ไม่ใช่ยายผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย"

            "แล้วมีใครพูดถึงซินมั้ย"

            "มี มีคนถามว่าพี่หายไป พอดีกับที่พี่ซินป่วยแบบนี้ แอบแวะไปหากันหรือเปล่า"

            มือผมกำแน่นอย่างรู้คำตอบที่โอลีฟจะตอบในทันที ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจอยู่แล้ว

            "เขาบอกว่าให้รอดูวันพรุ่งนี้ จะมีอะไรดีๆให้ดู แล้วก็บอกด้วยว่าไม่อยากพูดอะไรมาก ตอนนี้กำลังเสียใจ"

            "เสียใจ เสียใจอะไรวะ"

            "ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้นิสัยไม่ดี ขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจ ทำงานด้วยปวดหัวจะตาย" ไอ้แสบทำหน้ายุ่งแถมด้วยการบ่นออกมายาวพรืด ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมคงจะหลุดขำมันไปนานแล้ว ก็มันบอกเองว่าอยากทำงานนักหนา พอได้ทำแล้วกลับมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

            "เขาพูดแนวๆว่าพี่นอกใจเขา ไปหาพี่ซิน"

            "จะนอกใจได้ไง ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย"

            "ไม่รู้โว้ย! พี่นั่นแหละ อยู่ดีๆก็หายไป วุ่นวายกันหมด ทำไมทำอะไรไม่รู้จักคิดก่อนวะ เป็นไง สุดท้ายใครเดือดร้อน"

            แล้วทำไมผมต้องมานั่งฟังไอ้เด็กนี่มันบ่นด้วยวะ และที่สำคัญ จะต้องมานั่งรู้สึกผิดไปกับคำพูดของมันทำไม

            ผม... ทำผิดเหรอ เป็นห่วงซินที่ผมผิดเหรอวะ

            แล้วเรื่องดีๆที่โอลีฟพูดถึงนั้นมันเรื่องบ้าอะไร

            "แล้วพ่อว่าไงบ้าง"

            นึกไปถึงอีกคนที่เดินหนีออกไปก่อนที่จะพูดอะไรกันก็ต้องหนักใจ เมื่อไหร่จะเข้าใจนะ ต้องทำยังพ่อถึงจะยอมเข้าใจเรื่องนี้สักที ในเมื่อตอนนี้ผมรักใครไม่ได้แล้วจริงๆ ...นอกจากซิน

            "ก็ไม่ว่าไง ด่าพี่นัทยับเลย แต่ไม่ยอมจะด่าต่อหน้าแฮะ เดินหนีไปเฉยเลย"

            "คงไม่อยากจะพูดกับฉันล่ะมั้ง"

            "แล้วทำตัวน่าพูดด้วยมั้ยล่ะ นี่ก็ไม่อยากพูดด้วยหรอกนะ ถ้าไม่จำเป็น"

            แหม่ะ พูดจาน่าถีบมากเลยครับ ณ จุดนี้

            "ฉันมีอะไรจะถาม" ปรับน้ำเสียงกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

            "อะไร"

            "นายบอกพ่อฉันหรือเปล่า เรื่องฉันกับซิน"

            มือที่กำลังกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ชะงักไปในทันที ก่อนจะวางรีโมทลงบนโต๊ะเสียงดัง สีหน้าที่หันมามองเปลี่ยนเป็นโหมดหาเรื่อง

            "ทำไมถึงคิดว่าจะบอก"

            "ก็ไม่รู้ เลยถาม"

            "แล้วทำไมถึงคิดว่าจะบอก"

            "ก็ไม่รู้ไงวะ!"

            "เฮอะ! ทำไม ในสายตาพี่ผมมันดูเลวขนาดนั้นเลยรึไง"

            "ก็ไม่ใช่แบบนั้น..."

            "แล้วไง แต่ก็คิดว่าผมเป็นคนบอกลุงใช่มั้ย"

            "ก็บอกว่าไม่รู้ไงวะ!! บอกหรือเปล่าก็พูดมาสิ ไม่ต้องมาโยกโย้!"

            "เออผมบอก! แค่นี้ใช่ป่ะที่อยากได้ยิน พอใจยัง! แม่ง... ไม่เคยรู้อะไรเลยรึไง"

            ไอ้กัสลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง ก่อนจะบ่นงึมงำในประโยคสุดท้าย และผลุนผลันวิ่งออกจากบ้านไป น้ำเสียงและสีหน้าแบบนั้น ประชดชัวร์ๆ แล้วสรุปว่าใช่มันหรือเปล่าที่บอก งั้นถ้าไม่ใช่มัน แล้วพ่อรู้เรื่องผมกับซินได้ยังไง หรือว่าเห็น...

            "มีเรื่องอะไรกันลูก เสียงดังไปถึงในครัว" แม่เดินออกมาถามด้วยความแปลกใจทั้งๆที่ยังถือทับพีตักข้าวอยู่ในมือ

            "เปล่าครับ ไม่มีอะไร"

            "แล้วกัสล่ะ น้องไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงแว่วๆอยู่เลย"

            "กลับไปแล้วครับ"

            "อ้าว ไหนว่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกัน"

            ผมส่ายหัวช้าๆอย่างไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง แม่ถอนหายใจนิดๆและเดินเข้ามาหาผม มือข้างที่ว่างอยู่แตะลงบนแก้มผม ข้างเดียวกันกับที่ซินจับวันนี้เลย ความอบอุ่นจากมือที่แตกต่างกัน แต่เต็มไปด้วยความรักจากทั้งคู่ ผมโชคดีมากใช่มั้ยครับ ที่มีทั้งสองคนอยู่แบบนี้

            "ให้เวลารักษาทุกๆอย่างนะลูก ตอนนี้เวลาแค่นี้อาจจะยังไม่พอ ให้เวลากับทุกๆคน ...รวมทั้งแม่ด้วย"

            ผมหลับตาลง พยักหน้ารับเบาๆ ซึมซับเอาความรู้สึกทั้งหมดที่ส่งผ่านมือแสนอบอุ่นนี้มาให้

            แม่เดินกลับเข้าครัวไปแล้ว แต่ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น คิดทบทวนเรื่องต่างๆที่ทำลงไป ไอ้กัส...มันโกรธผมแน่ๆ อันที่จริงก็ไม่ควรไปตะคอกถามมันแบบนั้นเลย มันอาจจะไม่ใช่คนพูดก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมี 'เรื่องนั้น' เข้ามาเกี่ยว

            แต่มันเองก็กวนโอ๊ยไม่ใช่รึไง - -

            ไม่ขอโทษหรอกเว้ย

            ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเซ็งๆ คว้าโทรศัพท์มากดส่งข้อความหาซิน

            เรื่องวันพรุ่งนี้ ขออย่าให้มีอะไรไม่ดีเลยนะ ถ้ามี ก็ขอให้เป็นเรื่องของผมคนเดียว ขออย่าให้เป็นซินเลย เพราะถ้าใช่ คนที่ทำให้ซินเดือดร้อนครั้งนี้ก็จะเป็นผมเอง

            หรือว่าสำหรับคนสองคน ...แค่ความรักมันไม่พอจริงๆ

            ข้อความถูกส่งออกไป พร้อมกับใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            ขอแค่ให้ซินสบายดี...


            'นัทถึงบ้านแล้วนะซิน ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแน่ๆ 'รอวันที่เราจะได้ยืนข้างกันอีกครั้งนะ' ใจนัทอยู่กับซิน ฝากดูแลด้วยนะครับ'             


TBC.
....
ยังๆ มันยังไม่มา
แต่ตอนหน้า มันจะมามั้ย
ไม่บอกหรอก ฮ่าๆๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะค้าา
พบกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน23 เพราะผม...? [11/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-10-2013 20:26:16
ง่ะะะะะะะะะะะะะะ
เริ่มต้นมาแบบหวานมาว๊ากกกกกกก
อ้อนกันน่ารักสุดๆ
แต่ตอนท้ายนี่มันอะรายยยย ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน23 เพราะผม...? [11/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 11-10-2013 20:29:00
เกลียดยัยโอลีฟโปริโออ่ะหึ่ยยยยย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 12-10-2013 21:40:51
24

((เป็นข่าว))



            เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกทำให้ต้องหรี่ตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย นอนคุยอยู่กับซินสักพักก็เผลอหลับไป เหลือบไปมองนาฬิกานี่ก็เพิ่งจะแปดโมงกว่า ใครมาเสียงดังอยู่ข้างนอกเนี่ย พลิกตัวไปมาแต่ก็ยังหนีเสียงพวกนั้นไม่ได้สักที สุดท้ายจึงจำต้องลุกขึ้นมาอย่างเหลืออด

            ใครวะ!? แม่งว่างกันนักใช่มั้ย เดี๋ยวจะวิ่งไล่เตะมันเรียงตัวซะเลย

            ผมเดินลงบันไดมาด้วยสภาพหัวฟู ฟันก็ยังไม่ได้แปรง กะว่าถ้าจัดการพวกโหวกเหวกเสร็จก็จะขึ้นไปนอนต่อ แต่แล้วก็ต้องแปลกเมื่อเห็นว่าชั้นล่างมีคนยืนออกันอยู่ห้าหกคน สามคนในนั้นคือ พ่อกับแม่ผม แล้วก็ไอ้กัส ส่วนที่เหลือเป็นเด็กในโรงฝึก

            แล้วมาทำอะไรกันในนี้

            เป็นไอ้กัสที่หันมาเห็นผมก่อนคนแรก หน้าตาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ทันทีที่เห็น

            อะไรของมัน หรือยังนอยด์เรื่องเมื่อวาน โทษผมไม่ได้นะ เพราะมันเองก็กวนตีน

            "มีเรื่องอะไรกัน เสียงเอะอะโวยวายไปถึงข้างบน"

            "อ้าวตานัท ตื่นแล้วเหรอลูก ทานอะไรก่อนมั้ย ไปๆ เข้าครัวไปกับแม่ดีกว่า" ผมมองแม่ที่ทำท่าจะลากผมเข้าไปในครัวอย่างงงๆ แต่แล้วเราทั้งสองคนก็ต้องหยุดลงซะก่อน เพราะพ่อห้ามเอาไว้

            "ไม่ต้องไป ให้มันเห็นเองว่าผลของการกระทำที่มันทำไว้เป็นยังไง ไปล้างหน้าล้างตาซะ นักข่าวอยู่ข้างนอก"

            "อะไรนะ"

            นักข่าวอยู่ข้างนอก? นักข่าวที่ไหน มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าโรงฝึกเราดังใหญ่แล้ว

            "ไปล้างหน้าล้างตา" เพราะสายตาและคำพูดของพ่อ ทำให้ผมต้องรีบขึ้นจัดการตัวเองให้เรียบร้อย หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วก็ลงมา เด็กในโรงฝึกออกไปแล้ว ตอนนี้ที่ห้องนั่งเล่นจึงมีแค่พ่อแม่และไอ้กัส พ่อลุกขึ้นยืน ยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้ผมทันทีที่เห็นว่าผมเดินเข้ามา ผมจึงรับมาและก้มลงดูอย่างไม่เข้าใจ

            แต่แล้วภาพในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิงก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที ข่าวกรอบใหญ่ที่สุดในหน้าบันเทิงวันนี้ เป็นรูปผมกับซินที่โรงพยาบาล... ผมเดินด้านหน้ากับซินที่ตามหลังมา ไหนจะยังรูปที่ซินเอื้อมมาจับผมจากทางด้านหลัง มองยังไงก็มุมกล้องชัดๆเลย แถมถ่ายมาแค่สองคน ไม่ได้ติดป๊ากับม้าซินมาด้วยแต่อย่างใด พร้อมกับพาดหัวข่าวตัวโตๆที่ว่า

            'งงแตก การ์ดหนุ่มเนื้อหอม ทำ 'หนุ่มสวย' กับ 'สาวสวย' แย่งกันชุลมุน'

            นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!

            ผมเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างเพื่ออ่านเนื้อหาอย่างละเอียด

            'งงกันมั้ยล่ะ ชายสองหญิงหนึ่ง แต่ไม่ได้แย่งผู้หญิงกันนะจ๊ะ แย่งผู้ชาย... สรุปเอ๊ะยังไง วันนั้นยังเห็นควงสาวสวยโอลีฟไปทานข้าว มาวันนี้กลับไปกระหนุงกระหนิงอยู่กับหนุ่มหน้าสวยเสียงเพราะอย่างซินไปซะได้ ข่าวร้อนแซบทั้งวงการ ลือกันให้สนั่นว่าคุณนักร้องหน้าสวยไปแย่งคุณบอดี้การ์ดมาจากอกสาวโอลีฟ ทางด้านฝ่ายดาราสาวคนสวยก็ออกมาตีหน้าเศร้าบอกปฏิเสธไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากยังทำใจไม่ได้ หลังจากที่ตนออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องที่กำลังคุยๆอยู่กับพ่อบอดี้การ์ดหนุ่ม แต่อีกฝ่ายกลับแอบดอดไปหาเจ้านายคนเก่าซะอย่างนั้น เดือดร้อนให้ต้องส่งบอดี้การ์ดคนอื่นมาทำงานแทน จะยังไงก็แล้วแต่ ข่าวนี้กลับยิ่งกระพือเรื่องที่ว่าหนุ่มซินไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็น ไหนจะยังข่าวคู่จิ้นคู่เกย์ที่ผ่านๆมา เอ๊ะๆ หนุ่มเซอร์ผมยาวคนนี้ แอ๊บแตกหรือเปล่านะ สรุปว่าเรื่องมันเป็นยังไง ต้องรอติดตามกันต่อไปนะจ๊ะ แซบเว่อร์...'

            ผมลดหน้าหนังสือพิมพ์ลงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

            ฝีมือใคร!? ยายโอลีฟบ้าบอนั่นใช่มั้ย! แล้วทำไมจะต้องมายุ่งกับซิน! มีปัญหาก็ลงที่ผมคนเดียวสิวะ ลากซินมาเกี่ยวด้วยทำไม ผมขยำหนังสือพิมพ์ขว้างทิ้งลงบนพื้นอย่างทนไม่ไหว ยังไงก็ต้องออกไปจัดการเรื่องนี้ให้มันรู้เรื่อง!

            ไอ้กัสรีบคว้าแขนผมที่กำลังจะเดินเอาไปด้านนอก และรั้งเอาไว้ไม่ให้ผมขยับตัวไปไหนได้

            "จะไปไหน ออกไปก็โดนนักข่าวรุม"

            "รุมก็รุม จะได้ให้มันรู้เรื่องกันไปเลย โอลีฟบ้านั่น ไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย อยากถามอะไรฉันจะตอบให้หมด เอาให้หน้าหงายกันไปข้าง"   

            "แล้วพี่ซินอะ คนอื่นจะมองว่าพี่ซินเป็นคนยังไง เดี๋ยวมันก็ยิ้งย้ำว่าพี่ซินไปแย่งพี่มาจริงๆหรอก"

            "ซินไม่ได้แย่ง! นี่มันเรื่องเข้าใจผิด"

            "แล้วนักข่าวเขาจะรู้ด้วยมั้ย พี่ใจเย็นก่อนดิวะ"

            "เย็นยังไงไหว นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว อยากรู้นักใช่มั้ยว่าฉันคบใคร เดี๋ยวจะออกไปป่าวประกาศให้รู้กันเดี๋ยวเนี้ยะ!"

            "เฮ้ยพี่! สนโลกมั่งดิวะ"

            "กูสนโลกแล้วโลกสนกูมั้ย ชีวิตส่วนตัวกูป่ะวะ"

            "ปล่อยมันไปกัส มันอยากบ้าก็ให้มันบ้าไป อยากสร้างความวุ่นวายก็ให้มันแก้เอง" เสียงจากพ่อทำให้ไอ้กัสเงียบไป แต่ยังคงไม่ปล่อยแขนผม ส่วนผมก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆอย่างสงบสติอารมณ์ตัวเอง

            ซินเห็นข่าวแล้วหรือยัง แล้วหน้าบ้านซินจะเป็นอย่างหน้าบ้านผมตอนนี้มั้ย จะเป็นไรหรือเปล่านะ

            "ใจเย็นๆนะลูก ค่อยๆคิด อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม แม่ว่าตอนนี้เราอยู่เงียบๆก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกเขาก็กลับไปเอง"

            แม่เดินเขามาเกลี่ยกล่อมผมอีกคน มือแม่ลูบแขนผมไปมาอย่างปลอบประโลม ทำให้อารมณ์ที่ร้อนอยู่ เย็นลงไปบ้าง สุดท้ายจึงเดินตามแม่ไปนั่งที่โซฟา

            "พวกนักข่าวมากันตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "มาตั้งแต่เช้าเลย แม่ลงมาก็เจอแล้ว เห็นทำท่าจะเดินเข้าไปโรงฝึกก็เลยไปเรียกพ่อเขาให้มาห้ามเอาไว้ก่อน นี่ก็ให้เด็กๆปิดประตูโรงฝึกไปแล้ว" แม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างผมเป็นคนตอบคำถาม

            "เขามาเพราะข่าวผมกับซินเหรอ"

            "ถ้าไม่เป็นเพราะข่าวแกแล้วจะเรื่องอะไรล่ะ" พ่อตอบขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ทำให้แม่ต้องถอนหายใจออกมา

            "คุณเองก็ใจเย็นๆ ลูกก็คงไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้"

            "ก็เพราะว่าเข้าข้างกันอย่างนี้ไง มันถึงได้เป็นแบบนี้ ห้ามก็แล้ว! เตือนก็แล้ว! มันเคยฟังบ้างมั้ย ทำอะไรเห็นหัวพ่อกับแม่บ้างหรือเปล่า"

            เอาอีกแล้ว เรืองนี้อีกแล้วหรือไง! ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับพ่อตอนนี้หรอกนะ

            ซินเอง น่าจะกำลังลำบากอยู่เหมือนกัน ผมต้องไปดูเขาก่อน!

            ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำให้แม่รีบคว้าแขนผมเอาไว้

            "จะไปไหนลูก"

            "ผมจะไปดูซิน เขาคงกำลังไม่สบายใจ เพิ่งจะหายป่วยมาด้วย"

            "ลูกจะไปได้ยังไง นักข่าวเต็มไปหมด แล้วถ้ายิ่งลูกไปหาเขา ข่าวมันจะยิ่งไปกันใหญ่"

            โอ๊ยยยยย! ทำไมมันทำอะไรไม่ได้เลยวะ จะกระดิกตัวไปทางไหนไม่ได้เลยหรือไง ผมเองไม่ใช่ดาราดังอะไรสักหน่อย เป็นแค่บอดี้การ์ดนะเว้ย แค่บอดี้การ์ด จะมาสนใจอะไรผมนักหนาวะ กะอีแค่คนเขาจะรักกันเนี่ย มันต้องวุ่นวายกับชีวิตพวกผมขนาดนี้เลยหรือไง มันเรื่องส่วนตัวรึเปล่าวะ!?

            "เออ ผมว่าพี่อยู่นี่แหละ อยู่เฉยๆก่อน ให้เรื่องมันเงียบก่อนดีกว่า"

            "เรื่องมันก็เงียบไปแล้วไง ยายโอลีฟนั่นแหละที่เป็นคนทำให้มันใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง"

            "ดีแต่โทษคนอื่น เคยคิดบ้างมั้ยว่ามันเป็นความผิดของแกเอง" ผมหันไปมองพ่อที่พูดอย่างนั้นอย่างไม่เข้าใจ

            "เป็นแกเองไม่ใช่เหรอที่บุกไปหาซิน ทำให้นักข่าวเขาถ่ายรูปแกได้ แล้วก็เป็นแกเองไม่ใช่เหรอ ที่ทิ้งงานไปวุ่นวายอยู่รอบๆซินทั้งๆที่แกไม่ใช่บอดี้การ์ดเขาแล้ว"

            "ก็ผมรักเขา!"

            "หึ... แล้วความรักของแกตอนนี้มันเป็นยังไง มีใครยิ้มสบายใจกับความรักของแกมั้ย แล้วซินของแก ตอนนี้เขายิ้มมีความสุขอยู่รึเปล่าล่ะ"

            คำถามของพ่อแทงลึกเข้าไปในใจผมทันที อยากจะเถียงด้วยคำพูดมากมายแต่กลับเถียงไม่ออก ถ้าผมไม่โดดงานไปหาซิน เรื่องวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ถ้าผมยอมไปทำงานกับโอลีฟแต่โดยดี ผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่โจมตีซิน ใช่มั้ย...?

            แต่ซินป่วย ผมเป็นห่วง ผมอยากไปหา ผมผิดเหรอ

            คนที่ผมรักทั้งคนกำลังไม่สบาย ผมไปเยี่ยมเขา ผมผิดรึไง

            "ลองคิดดูให้ดี ตอนนี้เป็นแกไม่ใช่รึไงที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ถ้ายอมทำตามที่ฉันบอกแต่แรก ทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนี้ แล้วจะยังมัวโทษคนอื่นเขาอยู่อีกมั้ย"

            "พ่อก็ต้องพูดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะพ่อไม่อยากให้ผมกับซินคบกัน"

            "ก็แล้วการที่แกคบกับซินมันเป็นผลดีกับใครรึเปล่าล่ะ เห็นบ้างมั้ยเรื่องมันเป็นยังไงเพราะฝีมือแก!"

            "ก็ถ้าพ่อไม่เอาโอลีฟเข้ามายุ่งเรื่องมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก!!"

            "ไอ้นัท!!!"

            "พอแล้ว! ทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ เถียงกันตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ กัสพานัทขึ้นห้องไป ทำอารมณ์ให้เย็นกว่านี้ก่อนค่อยคุยกัน" แม่ตัดบทขึ้นมาก่อนที่ผมกับพ่อจะทะเลาะกันมากไปกว่านี้ ไอ้กัสจึงลุกขึ้น ลากผมขึ้นบันไดมา ได้ยินเสียงแม่พูดให้พ่อใจเย็นดังแว่วขึ้นมาบ้าง แต่ผมไม่ได้สนใจ

            ทันทีที่ถึงห้อง ก็ทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงทันที ส่วนไอ้กัสก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าคอมเท้าแขนสองข้างกับพนักพิงเก้าอี้มองหน้าผม

            ผมหันไปเห็นโทรศัพท์อยู่บนเตียงจึงคว้ามากดโทรออก ต้องคุยกับซินก่อน ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง เสียงรอสายดังอยู่สักพักก่อนที่จะตัดไป ทำให้ผมต้องลดโทรศัพท์ลงดู ซินตัดสายทิ้ง... ผมลองโทรกลับไปใหม่อีกหลายครั้ง แต่ผลก็ออกมาอย่างเดิม ทำให้ต้องถอนใจและเหวี่ยงโทรศัพท์ไปไกลๆ

            โธ่เว้ย... ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

            "พี่ซินไม่รับหรอก วันนี้เขาโดนผู้ใหญ่เรียกไปคุยแต่เช้า" ไอ้กัสพูดขึ้นพร้อมกับยืดหลังนั่งตัวตรง

            "รู้ได้ไง"

            "พี่โอ๊ตโทรมาบอก ที่จริงวันนี้พี่ซินมีงาน ผมต้องไปรับตอนสิบโมง แต่พี่โอ๊ตโทรมาบอกว่างานยกเลิกไปแล้ว พี่ซินโดนเรียกตัวด่วนให้เข้าไปที่ค่าย"

            "แล้วซินเป็นยังไงบ้าง โดนว่าเรื่องอะไรมั้ย"

            "ไม่รู้"

            "แล้วทำไมไม่รู้วะ"

            "เอ้า! จะรู้ได้ไงวะ ไม่ได้ไปด้วย อย่าพาลดิ!"

            "แล้วทำไมไม่ไปรับซิน ใครไปส่งเขาที่ค่าย"

            "ป๊าเขา"

            แสดงว่าทั้งป๊าทั้งม้าก็รู้เรื่องแล้ว ไม่รู้สิแปลก ลงข่าวกันซะขนาดนี้ หวังว่าซินคงจะไม่โดนพวกผู้ใหญ่ว่าอะไรหรอกนะ ทั้งๆที่เมื่อวานนี้ยิ้มออกแล้วแท้ๆเลย

            "แล้วหน้าบานซินเป็นแบบนี้ด้วยมั้ย" ผมพยักหน้าไปทางหน้าบ้าน

            "ไม่อะ ที่ค่ายเรียกไปแต่เช้ามากๆ พวกนักข่าวคงยังไม่ทันมา"

            หวังว่าคงไม่โดนใครพูดจาทำร้ายจิตใจเข้าหรอกนะซิน ถ้าจะมีอะไรให้มาด่าคนคนเดียวพอ ไม่อยากให้รายนั้นต้องไม่สบายใจเลย ยิ่งเป็นคนที่คิดมากแล้วชอบเก็บเอาไว้คนเดียวอยู่ด้วย

            "ถ้าอยากไปหาพี่ซิน เดี๋ยวจะหาทางช่วยให้ แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้" ผมหันไปมองไอ้กัสที่กำลังค้นโต๊ะคอมผมเล่นอยู่ จะว่าไป มันก็ช่วยผมมาตั้งหลายครั้ง แต่ผมกลับพูดไม่ดีกับมันไปเยอะเลย มันเองก็เกิดเรื่องแย่ๆจากผมไปเหมือนกันนี่นะ

            "ขอบใจนะ"

            ไอ้กัสชะงักไปนิดที่ได้คำพูดขอบใจจากผม หายากจริงๆที่จะมานั่งพูดคุยกันดีๆแบบนี้ ผมรู้นะว่ามันเองก็คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของมันที่จะมาเดือนร้อนไปด้วยเลย มันควรจะสะใจด้วยซ้ำที่ความรักของผมกับซินเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมจะรีบแช่งมันเลิกกันไวๆไปเลย แต่นี่มันกลับมาช่วย

            เพราะอะไรกันนะ...

            "ช่วงนี้ฉันอาจจะพูดกับนายไม่ดี อยากให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ มันมีเรื่องมากมายจริงๆ บางทีก็อารมณ์เสียแล้วพาลไปบ้าง แต่ถึงยังไง นายก็ยังเป็นน้องชายที่ฉันรักนะ ขอโทษในหลายๆเรื่อง แล้วก็ขอบใจมากจริงๆ"

            "น้องชาย...สินะ"

            "กัส"

            "ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะถ้าเรื่องมันจบไปยังไงผมต้องทวงบุญคุณแน่ๆ" ใบหน้าทะเล้นกลับมาอีกครั้ง แต่ทำไมผมจะไม่เห็นแววตาเหงาๆนั่น เพราะมันโดดเด่นยิงกว่าร้อยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจยังไงล่ะ

            ขอโทษนะกัส พี่ให้นายเป็นได้แค่น้องชายจริงๆ   

            ผมเอนหลังลงบนบนเตียงอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไปหาซินก็ไม่ได้ โทรหาก็ไม่รับ แล้วตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี ควรที่จะอยู่เฉยๆแล้วให้เรื่องทุกเรื่องผ่านไปอย่างนั้นเหรอ จะทำแบบนั้นได้ยังไง

            หรือว่าผมควรจะเชื่อใจซิน ซินของผมเป็นคนเก่ง ไม่ว่ายังไงเขาก็จะผ่านเรื่องนี้ไปได้สิ เขาต้องจักการกับข่าวพวกนี้ได้อยู่แล้ว ตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่ง เดี๋ยวสักพักคงจะติดต่อกลับมาเอง เดี๋ยวก็คงจะได้ยินน้ำเสียงใสๆของซินแล้ว แค่นั้นแหละ ที่ผมต้อง แค่รู้ว่าเขาจะไม่เป็นอะไร

            แล้วนี่ ผมควรจะจัดการกับโอลีฟยังไงดี... คิดได้แบบนั้นก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายในการโทร

            รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็รับ

            (แหม นึกว่าจะไม่โทรหากันซะแล้ว)

            "ทำไมให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแบบนั้น"

            (แบบไหน ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่ทำเศร้า แล้วพูดปัดๆไปว่าไม่อยากตอบ)

            "นั่นแหละ ทำแบบนั้นทำไม!"

            (ทำไมไม่ลองถามคุณพ่อนัทดูล่ะ)

            "พ่อมาเกี่ยวอะไรด้วย"

            (ก็พ่อนัทไม่ใช่เหรอ ที่มาขอร้องเราให้ทำให้นัทกับซินเลิกกัน)

            "อะไรนะ!!!"

            พ่อ... พ่อเป็นคนบอกให้โอลีฟทำแบบนี้เหรอ! พ่อเนี่ยนะ พ่อของผมเนี่ยนะ...?

            "อย่ามาโกหก"

            (ฉันไม่ได้โกหกนะ พ่อนัทพูดแบบนี้จริงๆ ฉันเห็นว่ามันน่าสนุกดีก็เลยลองดู ฮะๆ แล้วมันก็สนุกดีจริงๆด้วย นัทเองก็หล่อขนาดนี้ ได้มาเป็นแฟนก็ไม่ได้เสียหายอะไร)

            ผู้หญิงคนนี้มัน...

            "ถ้างั้น เรื่องข่าวนี่ พ่อก็เป็นคนบอกให้ทำงั้นเหรอ"

            (เปล่าๆ ท่านไม่ได้บอกหรอกว่าให้ทำวิธีไหน ท่านแค่บอกว่าทำยังไงก็ได้ให้นัทหลงรักฉัน แต่แย่หน่อยที่นัทสุดหล่อหลงพ่อนักร้องคนนั้นซะหัวปักหัวปำ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีเล่ห์มีกลกันบ้าง)

            ผมดึงโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะตัดสายทิ้งทันที ไม่อยากได้ยินเสียงของผู้หญิงน่าเกลียดคนนี้อีกต่อไป จะว่าผมปากจัดก็ได้นะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเกลียดผู้หญิงคนไหนเท่าผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ

            พูดออกมาได้ ไม่อายปาก นี่พ่ออยากให้ผมได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟนหรือยังไง

            "กัส นายรู้เรื่องโอลีฟจากพ่อบ้างมั้ย พ่อได้พูดอะไรบ้างหรือเปล่า"

            "ก็พูด"

            "พูดว่าอะไร"

            "จะให้โอลีฟแยกพี่ออกจากพี่ซิน"

            ไอ้กัสมันรู้เหรอ!?

            "แล้วทำไมไม่บอกฉันวะ

            "ก็นึกว่าจะดูออก ไม่นึกว่าจะโง่"

            ไอ้เด็กห่านี่...

            "ลามปามแล้วมึง... แล้วพ่อเป็นไง พอใจกับผลงานของโอลีฟมั้ย ฉันกับซินกลายเป็นแบบนี้แล้วนี่ หึ"

            "เปล่า ตอนที่คุณลุงเห็นข่าวก็ช็อกไปเหมือนกัน ไม่นึกว่าโอลีฟจะใช้วิธีนี้ ลุงก็โกรธนะ ถึงได้ห้ามพี่ไม่ให้ไปหาพี่ซินไง เพราะรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่พี่ก็ไม่เชื่อ"

            ถ้างั้น นี่ก็สรุปว่าเป็นเพราะผมคนเดียวเลยใช่มั้ยที่เรื่องมันกลายเป็นวุ่นวายขนาดนี้ เป็นผมใช่มั้ยที่ทำให้แผนของโอลีฟสำเร็จ...

            "เพราะฉันเหรอ"

            "ก็เออดิ มาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ"

            มันน่าเจ็บใจมั้ย ที่ทั้งหมดเป็นเพราะผมเองล้วนๆ ผมวิ่งไปตามเกมของโอลีฟทุกอย่างเลย!

            "แต่คุณลุงก็พอใจนะ เพราะตอนนี้พี่กับพี่ซินก็พบกันลำบากแล้ว"

            "หึ ไม่มีทาง ไม่ว่ายังไงฉันหาทางไปหาซินได้แน่ เรื่องนี้แยกฉันกับซินไม่ได้หรอก ไม่มีทาง"

            ไอ้กัสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆกับความดื้อรั้นของผมเท่านั้น

            ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ ความรักของผมกับซิน ใครจะมาแยกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 12-10-2013 21:41:28
            สรุปว่าวันนี้ทั้งวันก็ต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่แต่ในบ้าน ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น พวกนักข่าวก็ทนทายาท ปักหลักกันอยู่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน แดดจะร้อนฝนจะตกแค่ไหนก็ไม่หวั่น ได้เงินเดือนกันเดือนละเท่าไหร่วะเนี่ย เล่นเอาก้าวขาออกจากบ้านกันไม่ได้เลย           
นอกจากกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วโทรศัพท์ไม่ห่างจากตัวผมเลย ยังคงนั่งรอโทรศัพท์จากซินอยู่ทั้งวัน แต่จนป่านนี้ ตะวันตกดินไปแล้ว นักข่าวก็กลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้ว ซินของผมก็ยังไม่โทรกลับมา โทรหาก็ไม่รับ เงียบหายไปเลย

            เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง

            นี่ผมควรทำไงดี... ถ้าผมไปหาซินที่บ้านตอนนี้ ซินจะเดือดร้อนอีกมั้ยนะ

            แต่เพราะประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ ทำให้ต้องยับยั่งชั่งใจ ถ้าผมไป เรื่องมันก็จะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นรอซินติดต่อกลับมาน่าจะดีกว่า

            แต่อีกคน กลับเงียบหายไปเลย

            จนวันหนึ่งผ่านพ้นไป กลายเป็นอีกวัน ซินก็ยังไม่รับโทรทัศน์... หนักเข้าก็กลายเป็นว่าปิดเครื่องหนีกันไปเลย

            ทำไมกลายเป็นแบบนี้...?

            "โอ๊ยยย มันจะทนไม่ไหวแล้วนะ"

            ไอ้กัสที่กำลังนั่งดูหนังอยู่ในห้องผมสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆผมก็ตะโกนขึ้นมาซะเฉยๆ ก็คนมันเบื่อ! ไปไหนก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอะไรแล้วโว้ยย คิดถึงซินนน

            "อะไรวะ!! คนกำลังดูหนัง ร้องโวยวายตกใจหมด"

            "กูจะไปหาซิน!" พูดจบผมก็ลุกพรวดพลาดขึ้นมาทันที ไอ้กัสเหล่ตามามองนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปดูหนังต่ออย่างไม่ใส่ใจ

            "เออ ไปดิ จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้อีกรอบ"

            แม่ง... สุดท้ายก็ต้องกระแทกตัวลงบนเตียงตามเดิม เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วครับ ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนี้มาหลายรอบแล้ว วันนี้วันที่สองหลังจากที่มีข่าวออกมา แต่อย่าหวังว่าพวกนักข่าวจะเลิกรานะครับ ยังคงพากันมาอุ่นหนาฝาคลั่งเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าวันนี้จะน้อยกว่าเมื่อวาน แต่มันก็ทำให้ผมออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี และถึงแม้ว่าจะไม่มีที่หน้าบ้าน ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครแอบตามผมอยู่หรือเปล่า

            ชีวิตแลดูเริ่มไม่ค่อยปลอดภัยมากขึ้นทุกวัน นี่ผมต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคอยดูแลความปลอดภัยด้วยมั้ยเนี่ย - -   

            แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าไอ้กัสมาทำอะไรในห้องนอนผมเพราะ เพราะถ้าไม่มีมันป่านนี้ผมก็คงจะบ้าไปแล้ว พ่อก็ไม่คุยด้วย ออกไปไหนก็ไม่ได้ ที่สำคัญ ซินเองก็หายไปเลย ติดต่อไม่ได้ โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ

            เข้าขั้นวิกฤติแล้วชีวิตผมเนี่ย

            "ซินไม่มีงานเหรอวะ เอ็งถึงได้มีเวลามานั่งดูหนังอยู่เนี่ย งานการไม่ไปทำ"

            "เอ้า เอาไงแน่วะ เดี๋ยวก็บอกให้มาอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวก็ไล่"

            ก็ถ้ามันไปทำงานแล้วเจอซิน ผมก็มีโอกาสได้คุยกับซินผ่านมันได้ใช่มั้ยล่ะ แผนสูงมั้ยล่ะผม แต่นี่มันไม่ไป แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าซินเป็นยังไงบ้าง ถึงผมไม่เจอ ให้มันไปเจอแล้วกลับมาเล่าให้ฟังก็ยังดี แต่นี่มันไม่ไปไหวเลย มัวมาคลุกอยู่กับผมเนี่ย

            "ซินไม่มีงานเลยเหรอ"

            "ไม่มี ถึงมีก็ยกเลิกไปหมดแล้ว"

            "หนักขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "อืม"

            "ซินติดต่อมาบ้างมั้ย"

            "ไม่อ่ะ มีแต่พี่โอ๊ตโทรมา"

            "เขาว่าไง"

            "ก็บอกว่าไม่มีงาน! ไม่ต้องไปรับ! เหมือนอย่างที่บอกไปแล้วสามร้อยล้านรอบ จะให้ต้องพูดอีกกี่ครั้งเนี่ยฮะ! คนจะดูหนังโว้ยย"

            ไอ้กัสลุกขึ้นโวยวายอย่างไม่พอใจ ก็คนมันร้อนใจ! มันอึดอัดอะ ใครจะเข้าใจผมบ้างมั้ยเนี่ย!

            "อยากดูหนังไม่กลับไปดูที่บ้านวะ ที่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนนี่ก็อยากให้ช่วยปรับทุกข์ แต่นี่สนใจแต่โทรทัศน์ แล้วใครแม่งบอกว่าจะช่วยวะ"

            "นี่ก็ช่วยจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว! ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยนี่ไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่จะเสีย แม่งรักก็รัก แล้วยังจะต้องมาช่วยแก้ปัญหาเรื่องหัวใจให้อีก แค่นี้มันยังเจ็บไม่พออีกเหรอวะ เคยคิดถึงหัวอกของคนอื่นเข้าบ้างมั้ย ก็รู้ว่าไม่สบายใจ แต่คิดมากเป็นอยู่คนเดียวหรือไง มีเรื่องไม่สบายใจอยู่คนเดียวหรือไง!!"

            "...."

            "พี่รักพี่ซิน พี่ซินก็รักพี่แล้วยังจะกลัวอะไรอีกวะ หัดรอบ้างดิ พี่ซินเขาก็อาจจะกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ก็ได้ ไม่ใช่เอะอะโวยวายอะไรก็ใจร้อน จะเอาอย่างใจให้ได้ทุกอย่างมันไม่ได้หรอกนะเว้ย ใครหน้าไหนมันบอกวะว่าถ้ายังรักกันก็ไม่ต้องกลัว"

            ไอ้ผมที่กำลังจะอ้าปากเถียงก็ทำได้แค่เพียงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

            "คิดว่าที่บอกรักไปนั่น ลืมไปหมดแล้วหรือไง ทำให้ขนาดนี้แล้วจะเอาอะไรอีก..."

            สายตาตัดพ้อที่ส่งมาให้ ทำเอาคำพูดที่เตรียมเอาไว้หายไปหมด ก็เห็นว่ามันกลับมาไร้สาระอย่างเดิมได้แล้วก็นึกว่าจะลืม... แต่บางทีผมก็ลืมนึกไปว่าเรื่องแบบนี้มันลืมกันไม่ได้ง่ายๆจริงเหรอ สำหรับผม ไม่ว่าจะกี่ปีๆก็ยังไม่ลืม ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นหน้า ทั้งๆที่ไม่ได้ยินเสียง

            แต่นี่... มันเห็นผมทุกวัน พูดคุยกับผมทุกวันเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมันจะลืมได้ยังไง

            ผมใจร้ายกับมันเกินไปหรือเปล่านะ

            “กัส...”

            “ช่างมันเหอะ ที่พูดนี่ก็ไม่ได้ต้องการจะเรียกร้องอะไร แค่อยากให้ใจเย็นๆ รอไปอีกสักหน่อย เดี๋ยวข่าวมันก็ซาไปเอง”

            “ขอบใจนะ”

            ผมพูดบอกมันไปเท่านั้น มันเองก็เพียงแค่มองตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน เพียงแต่สายตาที่ส่งมานั้น มันบอกทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

            มันทำได้ยังไง ถ้าเป็นผม ถ้าผมต้องทนเห็นซินไปรักกับคนอื่นแบบนี้ ผมทนไม่ได้แน่ๆ ยิ่งจะให้มาช่วยอะไรแบบนี้ผมยิ่งไม่มีทางทำ สิ่งที่ผมจะทำก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้มันคนนั้นกับซินเลิกกัน ไม่มีทางช่วยแบบนี้แน่ๆ แล้วมันทำไปทำไม...

            ไอ้กัสถอนสายตากลับไปมองโทรทัศน์อีกครั้ง มีเพียงผมที่ยังคงมองใบหน้าหงอยเหงานั้นอยู่ กี่ครั้งแล้วนะที่ผมทำร้ายรอยยิ้มแสนสดใสของเด็กคนนี้ ทำร้ายมันซ้ำๆด้วยมือของผมเอง

 

            ผ่านไปอีกวัน...

            วันที่สามแล้วที่ขาดการติดต่อจากซิน วันนี้ไอ้กัสก็ยังคงมานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่ห้องผมเหมือนเดิม ยิ้มหัวเราะหน้าระรื่นเหมือนเดิม...

            แต่ผมนี่กำลังจะตาย

            สภาวะร่างกายขาดซิน โรคนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ อาการก็จะเป็นๆหายๆ เดี๋ยวซึมเศร้า เดี๋ยวเหม่อลอย ผุดลุกผุดนั่งวิ่งไปรับโทรศัพท์วันละหลายๆรอบ แต่ก็แห้วกลับมาตามเดิม ละเมอพูดคนเดียว ส่งผลให้ไอ้กัสเริ่มหวาดระแวงผมไปอีกคน

            “พี่นัท ผมว่าพี่เริ่มอาการหนักแล้วว่ะ ออกไปเดินเล่นนอกบ้านมั่งดีมั้ย นักข่าวก็ไม่มีแล้ว ออกไปข้างนอกบ้างเหอะ สภาพแม่งเริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว”

            ผมละสายตาจากโทรศัพท์หันไปมองมันอย่างไม่สบอารมณ์ โทรหาซินจนโทรศัพท์จะพังอยู่แล้วเนี่ย เกือบจะเขวี้ยงทิ้งไปแล้วหลายรอบ แต่ติดตรงที่จะไม่มีโทรศัพท์โทรหาซินนี่สิ เลยเขวี้ยงไม่ลง

            ตั้งท่าจะอ้าปากด่ามันอีกรอบ ลืมความรู้สึกผิดเมื่อวานไปซะสนิท แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดว่าอะไร เสียงโทรศัพท์ไอ้แสบก็ดังขึ้นมาซะก่อน มันเลยหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ ไอ้ผมก็หวังจนเลิกหวังไปแล้วครับว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับซิน

            “ครับพี่โอ๊ต”

            เท่านั้นแหละ อะไรที่ถืออยู่ในมือตอนนั้นสลัดทิ้งมันทั้งหมด แค่ได้ยินเสียงไอ้กัสมันเรียกคุณโอ๊ตเท่านั้นแหละ ผมเดินเข้าไปคว้าโทรศัพท์จากมือกัสมาคุยเองทันที

            “คุณโอ๊ต ซินล่ะครับ ซินอยู่นั่นมั้ย”

            (ฮะ...) ปลายสายชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเสียงผมแทนที่จะเป็นเสียงไอ้กัส

            “นี่ผมนัทเองนะ ซินอยู่ด้วยหรือเปล่า เขาเป็นอะไรมากมั้ย ผมโทรหาเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่รับสายเลย เกิดอะไรขึ้นครับ”

            (นัทเหรอ เดี๋ยวๆ ใจเย็นก่อนนะ ซินไม่ได้อยู่ตรงนี้)

            “แล้วเขาอยู่ไหน”

            (เขาก็อยู่บ้านเขาสิ)

            “แล้วทำไมเขาไม่รับโทรศัพท์”

            (เพราะว่าไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับนายไง)

            “อะไรนะ!?”

            อะไร ใคร ใครไม่อนุญาต

            (ทางผู้ใหญ่ขอร้องไม่ได้ซินติดต่อกับนาย ห้ามพบ ห้ามเจอ ห้ามติดต่อ)

            “เฮ้ย ได้ไงอ่ะ เรื่องส่วนตัวขนาดนี้ห้ามกันได้ด้วยเหรอ”

            มันจะมากเกินไปหรือเปล่า ก็ไหนตอนแรกบอกว่าไม่เป็นอะไรไง แล้วทำไมตอนนี้...

            (ได้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะกับซิน ที่เชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่ทุกอย่าง)

            ใช่ ซินที่เชื่อคำพูดผู้ใหญ่ทุกอย่าง เป็นคนขี้เกรงใจ บอกปฏิเสธใครไม่เป็น ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ ทั้งๆที่ขัดกับความต้องการของตัวเองก็จะทำ ซินคนนี้ที่ตัดผมทิ้งอย่างง่ายดาย...

            แต่ไม่ใช่...ซินของผม!! ซินคนนี้ไม่ใช่ซินของผมอย่างแน่นอน เราสัญญากันแล้ว ว่าจะไม่ตัดสินใจแทนกัน มีอะไรต้องคุยกันก่อน ไม่ใช่ว่าจะตัดกันทิ้งไปเฉยๆเหมือนเมื่อครั้งนั้น ไม่มีทางให้เรื่องเข้าใจผิดกันไร้สาระมาทำลายช่วงเวลามีค่าที่เราสั่งสมร่วมกันมาแน่ๆ

            เขาต้องกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่สิ... เพื่อเรื่องของเรา

            “ซินโดนว่าอะไรบ้างมั้ยครับ”

            (ก็พอสมควร แต่ไม่มากเท่าไหร่หรอก เพราะปกติแล้วซินไม่ค่อยมีเรื่องมีราวกับใครอยู่แล้ว ทางนี้ก็แค่รออยู่เงียบๆให้ข่าวมันซาลงไป เดี๋ยวคนก็ลืม)

            “ทำยังไงผมถึงจะติดต่อเขาได้ครับ”

            (เฮ้อ... นัท ช่วงนี้ข่าวกำลังหนัก นักข่าวก็บุกมาที่ค่ายแทบทุกวัน ดีหน่อยที่วันนี้ซาๆลงไปบ้าง ซินเองจะขยับตัวไปทางไหนก็ลำบาก นายเองก็อย่าเพิ่งทำอะไรเลย รออยู่เฉยๆไปก่อน)

            “ทำไมมีแต่คนให้ผมรอ ใครจะรู้บ้างมั้ยว่าการรอมันไม่ได้สนุกเลยนะ มันมีแต่จะร้อนใจ อย่างน้อยให้ได้คุยกับซินบ้าง แค่ให้ได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร”

            (เฮ้ยยย นี่ฉันโทรมาคุยกับกัสนะเว้ยย ไม่ใช่โทรมาคุยกับนาย ให้ฉันได้คุยธุระของฉันก่อนได้มั้ยเนี่ย เปลืองค่าโทรศัพท์กูป่ะวะ)

            เสียงคุณโอ๊ตโวยวายทำให้ผมต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก็เล่นตะโกนออกมาเสียงดังขนาดนั้น แก้วหูขาดกันพอดี

            “จะคุยอะไรกับไอ้กัสบอกผมก็ได้ เดี๋ยวผมบอกมันให้เอง”

            (บ๊ะ! ไอ้นี่!)

            “มีอะไรว่ามาเลยครับ”

            (พรุ่งนี้ซินมีงาน)

            “งานอะไร! ให้ผมไปมั้ย ช่วงนี้ผมว่าง”

            (พูดไม่คิดนะครับ มาให้นักข่าวเขาแตกตื่นกันน่ะสิ อยู่บ้านไปนั่นแหละ! แล้วเอากัสมาคุย เร็วๆ เป็นการเป็นงานได้แล้ว ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าฉันจะช่วยเรื่องซิน)

            ยื่นโทรศัพท์คืนให้ไอ้กัสแทบไม่ทัน ไม่วุ่นวายก็ได้วะ!

            ไอ้กัสก็รับโทรศัพท์ไปอย่างงงๆ

            ผมนั่งฟังกัสคุยกับคุณโอ๊ตอยู่ในระยะประชิด เลยพอจะรู้เรื่องคราวๆที่พวกเขาคุยกันได้บ้างว่าพรุ่งนี้จะมีงานเล่นไลฟ์คอนเสิร์ตที่ร้านตอนกลางคืนร้านหนึ่ง ในกรุงเทพนี่แหละ เป็นงานปิด เพราะฉะนั้นนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้างาน

            อย่างนี้ผมก็ไปได้น่ะสิ!

            หูผึ่งเลยครับงานนี้...

            พอไอ้กัสวางโทรศัพท์ไปผมก็เข้าจู่โจมทันที

            “ฉันไปเอง!”

            “เฮ้ย ได้ไง งานผม”

            “งานกูพอ มึงสิมาแย่งงานกูไป”

            “ไปถามคุณลุงเหอะ ขืนให้พี่ไป งานเข้าอีกแน่”

            “ทำไมวะ นักข่าวก็ไม่มีไม่ใช่หรือไง”

            “นักข่าวไม่มี แล้วคนในงานเข้าไม่พกโทรศัพท์กันรึไง”

            “แค่ให้คนในงานไม่รู้ว่าเป็นฉัน แค่นั้นก็พอใช่มั้ย”

            ไอ้กัสหรี่ตามองมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ของผม หึหึ เอาสิครับ ให้มันรู้ไปว่าจะหาทางพบกันไม่ได้จริงๆ ในเมื่อบอกไปแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้ ยังไงก็จะไม่ยอม ซินมีวิธีของซิน ผมก็มีวิธีของผมเหมือนกัน พบกับครึ่งทางนะซิน เล่นเงียบหายไปเลยแบบนี้ โทษผมไม่ได้นะครับที่รัก
             


TBC.
....
มาแล้วค่าา
เห็นคนด่าโอลีฟกันเยอะเลยย จะบอกว่านางยังร้ายกว่านี้ได้อีกนะ! ><
ยังมีคนอ่านอยู่มั้ยคะ จากสถานการณ์ไม่สู้ดีในตอนนี้ ยังไม่ได้ทิ้งเค้าใช่มั้ย :'(
ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกันนะคะ อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณมากๆจริงๆค่า :)
พบกับกันตอนหน้านะคะรีดเดอร์ที่น่ารักทุกคน ^^
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-10-2013 23:36:48
 :sad4: :o12: :o12: :hao5: :hao5:

ฮือออออออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 12-10-2013 23:50:56
เค๊าก็ยังไม่ทิ้งนะตัว เค๊ายังรักตัว ยังรัก พี่นัททซินอยู่นะ :L1: :L2: :กอด1:

แอบสงสารน้องกัสจัง ช่างเป็นคนดี เก่งอ่ะ อดทนเห็นพี่นัทรักพี่ซินได้ :m15:

ตอนหน้ามาต่อนะคะ พี่นัทคิดจะทำอะไรละเนี่ย ปลอมตัว? หึหึ :hao6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mauve ที่ 13-10-2013 00:01:45
ขอตอนต่อไปอย่างด่วนค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน24 เป็นข่าว [12/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 13-10-2013 11:01:12
นัทสู้สู้!!!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 14-10-2013 15:55:15
25

((สุดท้าย))



            และด้วยความช่วยเหลือจากกัสและคุณโอ๊ตอีกนิดหน่อย ก็ทำให้วันนี้ผมมาอยู่ในงานของซินได้สำเร็จ แต่คุณโอ๊ตนี่กว่าจะช่วยก็หูชาอยู่เหมือนกันนะครับ เทศหนากันซะยาวเหยียดเรื่องการควบคุมตัวเอง และการระวังตัวให้มากกว่านี้และไม่ต้องงงว่าออกมาจากบ้านได้ยังไง เพราะผมสืบมาแล้วเรียบร้อยว่าพ่อจะออกไปทำธุระตอนไหน ก็อาศัยช่วงนั้นนั่นแหละรีบออกมา

            อย่าหาว่าผมไม่เข็ดหรืออย่างนู้นอน่างนี้เลยนะ แต่มันนานมากเกินไปแล้วจริงๆ นับรวมๆแล้วก็สี่วันที่ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงกันเลย หลายคนอาจจะมองว่ามันน้อย ทีเมื่อตอนเลิกกันคราวนั้นเป็นปีๆยังทนได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ อีกอย่างข่าวก็เริ่มซาไปบ้างแล้ว มันก็น่าจะไม่มีอะไร

            วันนี้ขอสวมบทบอดี้การ์ดที่เหมือนบอดี้การ์ดแบบสุดๆไปเลยสักหนึ่งวัน นึกภาพตามนะครับ ชายใส่ชุดดำทะมึนทึน มีทั้งหนวดทั้งเคราเฟิ้ม ใส่แว่นกันแดดสีดำมืดสนิท ปัดผมเป๋ๆไปด้านหลัง เอาน้ำมันลูบซะเงางับเลยล่ะ อย่างเท่! ไม่เคยสมเป็นบอดี้การ์ดเท่าวันนี้มาก่อนเลยครับ

            แอบอายตัวเองเหมือนกันตอนส่องกระจก - - แต่เอาวะ เพื่อซิน แค่นี้จิ๊บจ๊อยมาก

            ไม่มีนักข่าวในงานจริงๆนั่นแหละครับ ออกแนวเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆที่จัดกันเฉพาะคนรู้จักซะมากกว่า จากที่มองๆดูน่าจะเป็นงานวันเกิดของใครสักคนที่คงจะมีเงินพอปิดผับหรูเผื่อจัดงาน แต่เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจเพราะไม่เกี่ยวกับอะไรกับผม คนที่เกี่ยวกับผมน่ะ เดินมานู่นแล้ว...

            ซินที่ไม่ได้เจอมาสี่วัน ผอมลงอีกแล้วหรือเปล่านะ แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ ใส่เสื้อบางแบบนั้นไปเพื่อใครกันครับ จะเห็นไปถึงไหนถึงไหนแล้ว เสื้อคลุมน่ะหายไปไหน ทำไมไม่รู้จักใส่ แถมยังจะรวบผมขึ้นโชว์คอขาวระหงนั่นอีก มากไปแล้วนะซิน

            ผมเดินเข้าไปใกล้คนตัวบางที่เพิ่งจะเดินเข้ามาทางหลังร้าน หน้าที่ผมวันนี้ก็คือบอดี้การ์ดเหมือนอย่างทุกทีแหละครับ เพียงแค่เป็นบอดี้การ์ดที่นายจ้างเขาไม่ได้ได้จ้าง แต่จ้างตัวเองมาเอง งงมั้ยครับ ผมก็งง - -

            “เดี๋ยวเข้าไปนั่งรอในห้องก่อน อยากกินอะไรมั้ย” เสียงคุณโอ๊ตคุยกับซินระหว่างเดินดังมาให้ได้ยิน มองไปข้างหลังเห็นไอกัสเดินตามอยู่ต้อยๆ ผมจึงรีบเดินเข้าไปสมทบทันที ซินเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างแปลกใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไรพร้อมกับเดินตรงไปที่ห้องรับรองหลังร้าน ที่ทางร้านจัดเอาไว้ให้

            สงสัยจะจำไม่ได้

            หึหึ นั่นแหละ ที่ผมอยากให้เป็นล่ะ

            คนสวยของผมนั่งลงบนเก้าอี้ ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ผมยืนมองการกระทำเหล่านั้นอยู่นิ่งๆ โทรศัพท์ยังอยู่ที่ตัว ไม่ได้ไปไหน แต่ไม่ยอมรับสายผมมาสี่วัน ทำได้ยังไงนะซิน ใจร้ายมากนะ

            ด้วยความที่อยากรู้ว่าเขาทำยังไงเลยแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเข้าหาเขาซะเลย เพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะทำอย่างไร

            ซินที่กำลังสไลด์โทรศัพท์เล่นอยู่ชะงักไปนิดเมื่อมีสายโทรเข้า แต่เพราะว่าเจ้าตัวปิดเสียงเอาไว้ จึงไม่ได้มีเสียงดังรบกวนออกมา ซินถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองซ้ายทีขวาที และก้มลงมองโทรศัพท์ตามเดิม ทำท่าเลื่อนนิ้วไปจะกดรับ แต่สุดท้ายก็ตัดใจกดตัดสายผมทิ้ง

            อื้อหือ... ต่อหน้าต่อตากันเลยทีเดียว

            ผมจึงเปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความส่งไปหาเขาแทน

            ‘ถ้าไม่รับสาย จะฆ่าตัวตายแล้วนะซิน’ พิมพ์เสร็จก็ส่งออกไป ดูสิว่าจะทำหน้ายังไง

            ไม่นานโทรศัพท์ในมือเรียวก็สั่นเตือนข้อความเข้า ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมเห็นชัดขนาดนี้ ก็ยืนเฝ้าเขาอยู่ไม่ห่างเนี่ยแหละ โดยที่คุณโอ๊ตบอกซินไปว่า เพราะช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดี เลยต้องจ้างบอดี้การ์ดเพิ่มอีกคน

            เมื่อเปิดอ่านข้อความของผมแล้ว ซินก็ขำพรืดออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากแล้วแกล้งทำเป็นกระแอมไอเพื่อปกปิดอาการขำอย่างไร้สาเหตุ

            มันน่าขำตรงไหน! นั่นผมจริงจังนะ!

            ‘จะเอาหัวหม่งเสาเดี๋ยวเนี้ยะ’ ส่งไปอีกรอบ ก็ยังคงขำคิกคักเหมือนเดิม

            ให้ตายสิ มันควรจะโกรธใช่มั้ยเนี่ย หายหน้าหายตาไปกี่วัน ขาดการติดต่ออีกต่างหาก แล้วยังจะมีหน้ามายิ้มหัวเราะอยู่ได้อีก มันน่าน้อยใจใช่มั้ย แล้วไอ้การมายืนยิ้มตามเขาอยู่แบบนี้มันใช่เรื่องหรือเปล่าเนี่ยไอ้นัท!

            ก็เป็นซะอย่างเนี้ย จะโกรธก็โกรธให้มันจริงจังสักหน่อยสิโว้ยยยย

            แต่ให้ตายเถอะ เจอรอยยิ้มน่ารักแบบนั้นเข้าไปใครจะโกรธลง

            แต่แล้วรอยยิ้มสดใสนั่นกลับค่อยๆเลือนหายไป เหมือนว่าเจ้าตัวจะนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ มือเรียวกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ยัดมันลงในกระเป๋าสะพายที่ถือติดตัวมาด้วย เป็นอันรู้ว่า จะตัดขาดการติดต่อจากโทรศัพท์นับจากนี้ คนสวยของผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและสบตาเข้ากับผมที่กำลังมองเขาอยู่พอดี แต่เขาอาจจะไม่เห็นว่าผมกำลังมองเขาอยู่ เพราะแว่นตาดำที่ใส่ปกปิดใบหน้าอยู่นี่แหละ

            คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน ในขณะนั่งจ้องผมอยู่นั่นเอง คุณโอ๊ตก็เดินเข้ามาคุยด้วยซะก่อน ซักซ้อมคิวตอนขึ้นเล่นนั่นแหละครับ และอีกสักพักก็มีคนมาตามซินไปขึ้นเวที ผมก็เดินตามเขาไป

            ไอ้กัสเดินมากระแทกไหล่ผมเบาๆ พูดกระซิบขึ้นให้ได้ยินกันแค่สอง

            “จ้องจนตาจะถลนขนาดนั้นเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันพอดี”

            “ตาดีเหลือเกิน มองทะลุแว่นฉันได้หรือไง”

            “มีก็เหมือนไม่มี เล่นไม่หันหน้าไปทางไหนเลยนี่”

            “เงียบๆแล้วทำงานของแกไป ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

            “จะไม่ยุ่งหรอก ถ้าไม่ทำงานวุ่นวาย”

            ผมเหล่ตามองมันใต้แว่นกันแดด ก่อนจะตบหัวมันไปอีกที พูดเหมือนกูเป็นเด็กหนีตามมึงมาเที่ยวเลยนะครับแหม...

            ซินก็ร้องเพลงตามคิวของเขาไป แขกในงานก็มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นพวกดารานักร้องที่เห็นตามโทรทัศน์ หรือสื่อต่างๆ มีคนที่เดินขึ้นมาร้องเพลงกับซินด้วยเหมือนกัน คงเป็นคนคุ้นเคยกันนั่นแหละครับ เห็นแตะหลัง โอบไหล่ทักทายกันอยู่

            ไอ้คนที่ยืนดูอยู่ข้างเวทีนี่ก็ตาร้อนเป็นไฟแว่นแทบจะละลายแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นบอดีการ์ดแปลกหน้าอยู่นะ...

            ไม่นานนักร้องของผมก็เดินลงมาจากเวที... ได้เวลาของผมแล้วครับ ^^

            “เดี๋ยวเราจะไปเข้าห้องน้ำ ไปรอที่ห้องก่อนเลยก็ได้”

            ซินพูดขึ้นมาในขณะที่เรากำลังจะเดินกลับเข้าห้องเดิม แบบนี้ก็เข้าทางผมเลยสิครับ ผมนี่สะกิดไอ้กัสยิกๆเลย

            “ไม่ได้หรอกครับ ให้พี่ซินไปคนเดียวไม่ได้ อันตราย” ทำดีมากน้องรัก

            “ก็แค่ไปห้องน้ำ”

            “ให้บอดี้การ์ดไปด้วยดีกว่า ถ้าพี่ซินเป็นอะไรขึ้นมาไอ้พี่นัทมันฆ่าผมตายแน่”

            พาดพิงถึงผมนะครับ - -

            ซินหยุดเดินลงทันทีเมื่อกัสพูดถึงผมขึ้นมา ก่อนจะค่อยหันกลับมาหากัส ผมยืนเยื้องๆอยู่ด้านหลังกัสอีกทีครับ เพราะฉะนั้นปลอดภัย

            “นัทเป็นยังไงบ้าง”

            “ก็....”

            ตอบดีๆนะมึง กูฟังอยู่นะเว้ย!

            “ช่วงนี้ก็ย่ำแย่ ข้าวปลาไม่ค่อยกิน นอนก็ไม่ค่อยหลับ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไหนเลยครับ วันๆเฝ้าอยู่แต่โทรศัพท์ นั่งโทรหาพี่ซินทั้งวันเลย”

            ทำดีมากไอ้แสบ! เรียกคะแนนสงสารเยอะๆเลย

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงหวานพึมพำขึ้นเบาๆ น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงแบบนี้ยิ่งอยากจะดึงเข้ามากอดให้หายคิดถึง

            “พี่ซินไม่คิดถึงพี่นัทบ้างเหรอครับ ไม่อยากเจอพี่นัทบ้างเหรอ”

            โอ้โห เล่นบทนี้ได้ดีเกินคาดเลยว่ะไอ้กัสเอ๊ย

            “....” คนสวยไม่ตอบอะไร เพียงแค่ถอนหายใจออกมาแผ่วๆเท่านั้น

            “พี่นัทมันเป็นห่วงมีพี่ซินมากๆเลยนะ เห็นแล้วสงสารอ่ะ เหมือนหมาหงอยยังไงไม่รู้”

            อ้าว แอบหลอกด่ากูซะงั้นวะ

            “อืม ขอบใจนะที่คอยเอาเรื่องนัทมาเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ได้กัสก็คงไม่รู้ว่านัทเป็นยังไงบ้าง เอาเป็นว่าตอนนี้พี่รับรู้แล้วว่านัทเป็นยังไง บอกเขาให้ทนอีกหน่อยแล้วกัน”

            “จะต้องให้ทนไปอีกถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ แค่นี้พี่นัทก็จะแย่อยู่แล้วนะ”

            “เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง”

            “พี่ก็เอาแค่คิดแบบนี้แหละ ไม่คิดบ้างล่ะว่าพี่นัทเขาจะรู้สึกยังไง เขารักเขาแคร์พี่มากนะ อย่าคิดแต่มุมของตัวเองสิ”

            เฮ้ย... ไหงกลายเป็นมันมายืนต่อว่าซินอยู่อย่างนี้ล่ะวะ ไม่ใช่แล้วนะ

            “เอ่อ... คุณซินอยากเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน เชิญทางนี้ดีกว่าครับ” ดัดเสียงพูดออกไปอย่างเต็มที่ พร้อมกับที่ดึงแขนเรียวลากไปทางห้องน้ำ

            และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะช็อคกับคำพูดของไอ้กัสอยู่ ถึงได้ไม่ยอมสะบัดมือผมทิ้ง ปกติคนแปลกหน้ามาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้ได้ที่ไหนกันครับ แปลว่าสติหลุดไปแล้วจริงๆ

            จนมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วนั่นแหละ ซินถึงได้เงยหน้ามามองผมอย่างแปลกใจ ก่อนจะดึงแขนออกจากมือผม คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันทันที

            “เราเดินเองได้ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ” ซินพูดเสียงเรียบอย่างไม่พอใจ พร้อมกับที่ตากลมเหลือบมองขึ้นมาอย่างตำหนิ

            “รออยู่ตรงนี้” พูดจบซินก็เดินเข้าห้องน้ำไป แต่มีหรือที่ผมจะฟัง ก็รอจังหวะนี้อยู่นี่ครับ ในตอนที่ซินหันหลังให้นั้นเอง ผมก็รีบดันร่างบางเข้าไปในห้องน้ำชาย ตรงส่วนที่เป็นห้องชักโครกเบียดตัวตามเข้าไปก่อนจะปิดประตูล็อคกลอนเสร็จสรรพ

            คนตัวบางตั้งท่าจะโวยวายขึ้นมาทันที ดีที่เอามือปิดปากเขาเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเกิดใครได้ยินขึ้นมา เรื่องใหญ่จริงๆแน่ครับงานนี้

            “อื้อ!! อ๋อยเอาอะ!! อำอ้าอะไอ!!!” ฤทธิ์เยอะจริงๆนะครับคนนี้

            “ชู่ว อย่าเสียงดังสิซิน” ผมที่กอดเขาจากทางด้านหลังกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ ซินหยุดดิ้นลงไปทันที

            “ใครบอกให้ใส่เสื้อผ้าบางๆแบบนี้ หื้ม...” พูดไปพร้อมกับที่ลากมือไล้ผ่านชายเสื้อบางเบาไปตามเอวคอดนั่น สัมผัสแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงเนื้ออุ่นๆที่อยู่ภายใต้เสื้อตัวนี้แล้ว บางแค่ไหนก็คิดดูสิ

            “แล้วใครบอกให้ใส่เสื้อคอกว้างแล้วมัดผมขึ้นแบบนี้ฮะซิน” ไร้ริมฝีปากเลื่อนไปตามลำคอขาวก่อนจะกดฝึงจูบลงไปเต็มแรงอย่างหมันเขี้ยว คนตัวเล็กในอ้อมแขนดิ้นยุกยิกไปมา แต่ก็เลิกร้องเสียงดังไปแล้ว ผมจึงลดมือลง

            ซินรีบหันหน้ามาเผชิญกับผมทันที มือเล็กยกขึ้นคว้าแว่นผมถอดออก ก่อนที่ตากลมโตจะเบิกโพลงกว้างอย่างตกใจ

            “มาได้ยังไง!”

            “....” ไม่ตอบครับ ตีหน้าขรึมไว้ก่อน

            “แล้วดูติดหนวดเข้าสิ น่าเกลียดอ่ะ”

            “อ้าว...”

            “ฮะๆๆๆ”

            ยังจะมีหน้ามาขำอีกแหน่ะ! คนเขาโกรธอยู่นะเนี่ย

            “ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าจะลงทุนทำถึงขนาดนี้”

            “ถ้าไม่ทำแบบนี้จะได้เจอกันมั้ยล่ะ” ยังคงเก๊กเสียงขรึมอยู่ครับ

            “ไม่เชื่อใจเราหรือไง นี่ข่าวก็เริ่มซาลงไปแล้ว อีกเดี๋ยวคนก็ลืม เท่านั้นเรื่องก็จบ”

            “เมื่อไหร่ล่ะ หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หรือว่าหนึ่งปี”

            “นี่ก็เว่อร์ไป ไม่นานขนาดนั้นหรอก”

            “อย่างน้อยก็น่าจะติดต่อมาบ้างสิ”

            “คุยกันก็ยิ่งอยากเจอ สู้ไม่คุยไปเลยดีกว่า”

            “ความรู้สึกนายคนเดียวทั้งนั้น เคยถามฉันบ้างมั้ยว่ามันใช่อย่างนั้นหรือเปล่า”

            “เป็นอะไรเนี่ย”

            ซินขมวดคิ้วถามอย่างเริ่มจะไม่พอใจบ้างแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อมาพบเขานะ มาเพื่อจะได้เห็นว่าเขาเองก็ดีใจที่ได้พบผมเหมือนกัน ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันนี่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยหรือไง มีแต่ผมคนเดียวเหรอที่จะเป็นบ้าตายอยู่แบบนี้

            “นึกอยากจะไม่คุยก็ไม่ได้คุยได้ง่ายๆเลยเหรอซิน นึกอยากจะหายไปตอนไหนก็ทำได้ง่ายๆเลยสินะ”

            “นัท...”

            “ก็ไหนว่ามีอะไรจะบอกกันก่อน แล้วนี่อะไร อย่างน้อยก็บอกสิว่าผู้ใหญ่ห้ามเราเจอกัน โอเค แบบนั้นฉันไม่ไปเจอนายก็ได้ แต่อย่างน้อยพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้างไม่ได้เหรอ”

            “ก็ทางผู้ใหญ่เขาไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้”

            “เขาบอกอะไรนายก็เชื่อทุกอย่างเลยเหรอ ถ้าเขาบอกให้นายเลิกกับฉันนายก็จะเลิกงั้นสิ”

            “นัท!! ทำไมพูดจาไม่รู้เรื่อง”

            “ใครกันแน่พูดจาไม่รู้เรื่อง”

            ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ที่มานี่ก็เพราะว่าอยากจะกอดให้หายคิดถึงนะ อยากจะเห็นรอยยิ้มน่ารักของเขามากกว่า ไม่ได้ต้องการมาทะเลาะกันแบบนี้เลย ใบหน้าหวานบึ้งตึงก่อนจะยกมือทั้งสองข้างดันผมไปด้านหลังอย่างแรง ทำให้เซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่เพราะความแคบของห้องน้ำทำให้เราห่างกันไม่ได้มากนัก

            “กลับไปเลยไป ถ้าจะมาแล้วเป็นแบบนี้ก็กลับไปเลย”

            “อยากให้กลับใช่มั้ย” สาบานได้ว่าไม่ได้อยากใช้น้ำเสียงใจร้ายแบบนี้เลย แต่การที่ผมทำแบบนี้ ทุกๆอย่างก็เพื่อเรา

            แค่เพราะผู้ชายคนหนึ่ง อยากเจอคนที่เขารัก อยากจะมองเห็นให้ชัดๆว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร ตื่นเช้าด้วยความตื่นเต้น นั่งเฝ้าว่าเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะออกจากบ้าน ทำอะไรแปลกๆที่ไม่เคยทำ ลงทุนเอาน้ำมันรูปผมจนมันเยิ้ม ติดหนวดทำตัวทุเรศๆ แต่ถ้าการที่เขาทำแบบนั้น แล้วมันทำให้อีกคนรำคาญ เขาก็ควรจะไปใช่มั้ย

            ก็ไล่กันซะขนาดนั้นแล้ว จะอยู่ก็หน้าด้านเต็มที...

            ผมเดินเบียดซินเพื่อจะออกมาที่ประตู ทิ้งเขาเอาไว้เบื้องหลัง มือเอื้อมไปหวังจะปลดล็อกกลอนประตู แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น แขนกลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน โดยมือเล็กจากคนอีกคน มือเรียวที่เอื้อมมารั้งกันจับแขนผมเอาไว้แน่น

            มืออีกข้างที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูชะงักค้างกลางอากาศทันที

            เพราะเสียงแผ่วเบาที่ดังตามหลังมา

            “อยากให้กอด...”   
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 14-10-2013 15:56:12

            “ยังไม่อยากให้ไป”

            พอได้ยินเสียงหงอยๆของเด็กน้อยด้านหลังก็พาให้ขาก้าวไม่ออก ก็ไหนว่าไล่กันแล้วไง เมื่อกี้ยังบอกให้กลับไปอยู่เลยไม่ใช่เหรอ

            “เราก็แค่อยากจะให้รออีกนิด เรื่องทั้งหมดมันกำลังแย่เรารู้ เราเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แต่เพราะว่าช่วงนี้ข่าวมันกำลังแรง...”

            เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังมาจากเบื้องหลังเมื่อคนพูดหยุดเงียบไป ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง

            “โอเค มันเป็นความผิดเราเอง เราคิดน้อยไป ไม่ทันคิดว่านัทจะกังวลใจมากแค่ไหน อันที่จริง... แค่รับโทรศัพท์ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ยังไงพวกผู้ใหญ่ที่ค่ายก็คงไม่รู้ว่าเราคุยกันหรือเปล่า...” เสียงพูดอ้อมแอ้มจากคนสำนึกผิดทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปหาเขา บิดแขนออกจากมือเล็กและยืนจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น

            “ก็รู้นี่”

            “นัท...” ดวงตาสวยเริ่มรื้นขึ้นด้วยน้ำใสๆ พาเอาหัวใจผมกระตุกวูบ อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปวางแหมะลงบนหัวกลมๆนั่นก่อนจะลูบไปมาเบาๆ

            “งอแงอีกแล้ว”

            “ไม่ได้งอแงสักหน่อย”

            “แล้วนี่อะไร” ปากบอกไม่ได้งอแง แล้วไอ้ที่มันไหลออกมาจากหางตาที่อะไร น้ำลายรึไง? เห็นอยู่ทนโท่แล้วจะยังมาปากแข็งอีก

            “เหงื่อ”

            “เหงื่อบ้าอะไรออกมาจากลูกกะตา”

            “นิสัยเสีย” ไม่พูดเปล่า ยังเอามือมาผลักกันจนหลังกระแทกประตูเข้าให้อีก

            “อะไรอีกอ่ะ”

            “ใครบอกให้หันหลังกลับไปง่ายๆแบบนั้นเล่า”

            “อ้าว แล้วผมทำอะไรผิดล่ะครับ ก็คุณซินไล่ ไอ้ผมมันเป็นแค่บอดี้การ์ด จะทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่งล่ะครับ”

            คนสวยเบะปากทันที ก่อนน้ำตาจะเอ่อขึ้นมาอีกรอบ อ้าวเฮ้ย... ผมทำอะไรผิดอีกอ่ะ คนที่ควรนอยด์ควรน้อยใจมันต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอครับ แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ

            “ทำไมชอบพูดแบบนี้นักวะ อยากเป็นนักใช่มั้ยไอ้บอดี้การ์ดน่ะ เออ! เป็นไปเลย! แฟนเฟินไม่ต้องเป็นมันแล้ว! อยากไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป ไอ้บ้า!!”

            อ้าวเป็นงั้นไป เห็นซินโวยวาย ทุ้บผมอั๊กๆไป น้ำตาไหลไป เฮ้ย... จะว่าไงดีล่ะ มันจะสงสารก็สงสาร แต่ทำไมผมขำวะ อาจเป็นเพราะว่านานๆทีจะเห็นคุณซินขี้ซึนหลุดเก๊กแบบนี้นี่ครับ แมวน้อยของผมวันนี้อาละวาดเสียแล้ว

            ผมยกสองมือขึ้นรวบมือซินเอาไว้ด้วยกัน หยุดการประทุษร้ายร่างกายเอาไว้ก่อนที่จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง

            “อยากให้ไปตายจริงดิ” อารมณ์นี้ก็ยังอยากจะกวนตีนกันนะครับ

            “เออ!!”

            “งั้นขอตายในอกซินละกัน”

            “ไม่ต้องมาพูดดีเลย ไอ้คนนิสัยเสีย แม่ง... ปล่อยเลยนะ ปล่อยเราเลย!”

            “อย่าเสียดังสิซิน เดี๋ยวคนข้างนอกก็ได้ยินหรอก”

            คนเสียงดังเงียบลงไปทันที แต่ใบหน้านี่หงิกงอง้ำเชียวนะครับ ปากยื่นๆแบบนี้มันน่ากัดให้ขาดซะจริงๆ

            “ไหน เมื่อกี้ใครบอกว่าอยากให้กอดไง” คนโกรธหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที

            “....” ก้มหน้าหนีงุดๆไม่ยอมตอบ

            “ไม่เอาแล้ว ไม่ทะเลาะกันแล้วนะซิน ที่มาหานี่ไม่ได้อยากทะเลาะเลยนะ” พูดไปก็เช็ดคราบน้ำตาข้างแก้มใสไปด้วย ไม่ได้เห็นซินร้องไห้แบบนี้นานแล้ว คงเพราะว่าครั้งนี้รู้สึกแย่มากจริงๆ ไหนจะยังสถานการณ์ย่ำแย่ในตอนนี้อีก เขาเองก็คงกดดันมากเหมือนกัน

            “ก็นัทจะพูดแบบนั้นทำไม เราไม่ชอบเลยนะ งานก็ส่วนงานสิ แฟนก็ส่วนแฟน อย่าเอาเรื่องนี้มาประชดประชันกันได้มั้ย เราไม่ชอบเลย”

            “ขอโทษครับ”

            คนสวยยังคงเบะปากออกนิดๆ แต่น้ำตาก็หยุดไหลไปแล้ว ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

            “เราเองก็ขอโทษเหมือนกัน ไม่ได้อยากให้นัทกลับ แล้วก็ไม่ได้อยากให้นัทตายด้วย...” น้ำเสียงแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ เหมือนเด็กน้อยจริงๆเลยครับ

            ผมยิ้มนิดๆก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามากอด ไอ้ตัวดีก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามไม่ได้ว่าอะไร แถมยังเอาหัวทุยมาถูๆไถๆกันอีกต่างหาก อ้อนเกินไปแล้ว...

            “รู้แล้ว”

            “ขอโทษนะ ที่ไม่รับโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะหนีเหมือนเมื่อตอนนั้นนะ” ซินเงยหน้าขึ้นมามองผมหน้าตาตื่น

            “ครับ เชื่อแล้ว ก็รู้แหละว่าไม่ได้จะหนีกันไปไหน แต่ก็ไม่อยากให้ทำแบบนี้ อยากให้คิดถึงใจกันบ้าง”

            “ขอโทษ”

            “โอเค พอแล้ว ไม่ต้องขอโทษแล้ว ไม่ทะเลาะแล้วนะ ไหน.. ไม่ได้เจอหน้าตั้งสี่วัน ขอมองหน้าแฟนให้ชัดๆหน่อยครับ”

            ตากลมสวยเงยมองหน้ากัน เห็นตาใสๆต้องมาปรอยไปด้วยน้ำตาแบบนี้แล้วมันใจไม่ดีเลย ชอบเห็นซินเวลายิ้มน่ารักมากกว่า หรือไม่ก็ตอนตีสีหน้าซึนๆ แบบนั้นก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ แต่ไม่ชอบเวลาแบบนี้เลย ซินตอนนี้ที่ดูราวกับจะแตกหักออกซะง่ายๆ ซินคนเก่งของผมหายไปไหนแล้วนะ

            “น้ำลายไหลออกมาจากตาอีกแล้วเนี่ย ไม่เอาๆ พอแล้ว”

            “ไอ้นัทบ้า น้ำลายที่ไหนเล่า!”

            “อ้าว ก็ไหนบอกว่าไม่ได้ร้องไห้ไง”

            “ก็ไม่ได้ร้อง...มันไหลออกมาเอง”

            “ครับๆ ไม่ได้ร้องก็ไม่ได้ร้อง” ปากก็พูด มือก็เช็คคราบน้ำตาให้เขาไปด้วย ก่อนจะลากไล้นิ้วมือลงมาที่ริมฝีปากแดงเบาๆ ลูกแมวน้อยไล้ปากเขากับมือผมไปมา

            อย่าๆ... อย่ามาให้ท่ากันด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวจะเสร็จในห้องน้ำโดยที่ไม่รู้ตัวครับซิน

            “นัท...”

            “ครับ”

            ดวงตากลมเลื่อนขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะก้มหลบลงไปด้วยท่าทางเขินๆ

            “...อยากให้จูบ”

            โอ้ยยยยยยย พลังทำลายล้างขั้นสุด! ไปเอาท่าทางเชิญชวนแบบนี้มากจากไหนนน ใคร! ใครมันสอนซินของผมให้พูดจาแบบนี้! มาเอารางวัล!!! มีแสนให้แสน มีล้านให้ล้านเลยครับ

            โอ้ยตาย... จะเป็นลม

            ในเมื่ออยากให้จูบแต่ก้มหน้างุดๆแบบนี้จะไปจูบได้ยังไงกันล่ะครับ หึหึ ในหัวเริ่มคิดเรื่องบรรเจิดได้อีกแล้ว

            ในเมื่ออยากให้จูบก็จะจูบครับ ผมเป็นคนตามใจแฟนอยู่แล้ว

            คิดได้แบบนั้นก็เชยคางคนขี้อายขึ้นมาให้มองหน้ากันให้ชัดๆ แก้มใสแดงแปร๊ดมากกว่าทุกที คงเป็นเพราะว่าครั้งนี้เป็นฝ่ายเอ่ยขอกันเองน่ะสิ

            ผมโน้มไปหน้าลงใกล้เขามากยิ่งขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อนสัมผัสผะผาวยามเมื่อเราอยู่ห่างกันเพียงแค่นี้ ซินหลับตาลงพริ้ม รอรับสัมผัสจากผม ก่อนที่ผมจะแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา และถอนริมฝีปากออกมา

            ซินที่หลับตาออยู่สักพักแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นจึงลืมตาขึ้นมาอย่างงุนงง ยิ่งเจอผมยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ตรงหน้า คิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่น จะอะไรซะอีกล่ะ นอกซะจากผมอยากจะแกล้งลูกแมวขี้ซึนตัวนี้น่ะสิ

            ทำไมล่ะ อยากให้จูบ ก็จูบไปแล้วนั่นไง...

            เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำหน้ายุ่ง ผมจึงแกล้งถามออกไปอย่างงุนงง

            “เป็นอะไรซิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ จูบของนัทไม่ลึกซึ้งพอเหรอ”

            “นี่คือจูบแล้วเหรอ” คนโดนขัดใจถามขึ้นมาอย่างงงๆ

            “อ้าว มันไม่ใช่จูบเหรอ”

            “มันก็ใช่... แต่ไม่เหมือนอย่างทุกทีนี่นา”

            “แล้วทุกทีมันเป็นยังไงครับ”

            “แกล้งเราป่ะเนี่ย”

            “ไม่ได้แกล๊งงง เปล่าเลยยย” เปล่าเลย แต่น้ำเสียงนี่ไปแล้วครับ ตอแหลนำหน้าไปแล้ว

            คนสวยขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจิ้ปากอย่างหงุดหงิด เอาแล้วครับ เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เป็นอารมณ์โมโหนะ ไม่ใช่อารมณ์โรแมนติกแต่อย่างใด ไอ้คนแกล้งอย่างผมก็ได้แต่ขำกึกๆอยู่ในใจเท่านั้น รอดูปฏิกิริยาต่อไป

            “แล้วทุกทีนัททำยังละซิน ทำให้ดูหน่อย....”

            ยังไม่ทันขาดคำที่จะให้เขาทำให้ดู มือบางก็เอื้อมมากระชากคอเสื้อกัน ดึงลงต่ำก่อนจะประกบปากจูบลงมาอย่างรวดเร็ว

            ช็อคซีนีม่า!!!

            เหวอแดกกันไปเลย บทจะแรงก็มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกันเลยครับคนคนนี้

            เรียวลิ้นเล็กสอดแทรกเข้ามาอย่าขัดๆเขินๆ เกี่ยวกระหวัดรัดรึงไล่ต้อนผมจนจนมุม แต่เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย ท่าทีกล้าๆกลัวๆแบบนี้คงต้องสอนกันชุดใหญ่ซะหน่อยแล้ว

            ผมค่อยๆขยับตัวเบาๆเพื่อดันซินให้เป็นฝ่ายหันหลังชนประตู บดเบียบดริมฝีปากเข้าหา ดูดเม้นปากแดงสวยย้ำๆเพื่อให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน มือสองข้างลากไล้เอวบางภายใต้เสื้อเชิต ก่อนจะละมือข้างหนึ่งขึ้นประคองใบหน้าสวยให้แหงนรับจูบได้ถนัดขึ้น บดเบียดลำตัวเข้ากับหน้าขาซินเพื่อให้เขารับรู้ความต้องการทั้งหมดที่มี

            ลากไล้ริมฝีปากผ่านคางมนลงมายังลำคอขาวที่บัดนี้ไร้กลุ่มผมบดบังเมื่อเจ้าตัวมัดรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ซุกไซร้ดอมดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของซิน ไม่สนใจเสียงเล็กที่ดังคัดค้านกันอย่างไม่จริงจังนัก

            “นัท...นี่มันห้องน้ำนะ”

            ห้องน้ำแล้วยังไง กลางห้องคนป่วยในโรงพยาบาลยังเคยมาแล้ว...

            เสียงห้ามกลายเป็นเสียงครางแผ่นเบาอย่างพึงใจเมื่อผมหยอกล้อกับใบหูขาว เป่าลมรดรินเบาๆให้ขนกายคนในอ้อมกอดลุกซู่

            “อื้อ... นัท...”

            อากาศอบอ้าว พาเอาเหงื่อชื้นตามไรผม แต่ใครจะสนเช็ดมันตอนนี้กันล่ะ

            “นัท!”

            สองมือเล็กจับไหล่ผมดันออกก่อนจะเรียกขึ้นเสียงดัง ทำให้ผมจำต้องถอยออกมาจากซอกคอขาวที่ฝากฝังรอยแสดงความเป็นเจ้าของลงไปเรียบร้อยแล้ว ให้มันรู้ซะบ้างว่าตอขาวๆกับไหปลาร้าสวยๆนี่ผมเห็นได้แค่คนเดียว สติกระเจิดกระเจิงถูกรวบรวมกลับมาอีกครั้ง พาตัวเองมายืนจ้องหน้าคนห้ามที่เป็นคนเริ่มเอง

            “นี่มันห้องน้ำนะ แล้วเราก็อยู่ระหว่างทำงาน”

            “นายขึ้นร้องไปแล้วไม่ใช่หรือไง เสร็จงานนายแล้วนี่”

            “ร้องเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ควรหายเงียบไปเลยอย่างนี้”

            “กลับเลยก็ได้นี่”

            “ก็ได้...”

            “แล้วจะกลัวอะไร”

            “ก็...ในนี้มันแคบ”

            “แปลว่าถ้าไม่แคบ ก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

            คนสวยก้มหน้างุดไม่ยอมสบตากัน ผมจึงต้องเอื้อมมือไปเชยคางคนขี้อายให้เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าแดงซ่านเงยขึ้นแต่ไม่ยอมสบตามองผม มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังคงจะเขินไม่เลิกลา น่าหมันเขี้ยวซะจริงๆ

            “วันนี้...” เสียงเบาพูดขึ้น แต่เพราะคนพูดงึมงำอยู่ในลำคอทำให้ผมได้ยินไม่ชัด

            “ว่าอะไรนะซิน พูดดังๆหน่อยไม่ได้.../วันนี้ป๊ากับม้าไม่อยู่ไปนอนบ้านเรามั้ย” ก่อนที่ผมจะได้พูดจนจบประโยคกลับต้องหยุดชะงักลงเพราะซินพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน แถมเป็นการแทรกที่พูดรวดเดียวจบอย่างรวดเร็วจนแทบจับใจความไม่ได้

            แต่บังเอิญว่าผมหูดีครับ ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ ^^

            แก้มแทบแตกอยู่แล้วไอ้นัทเอ๊ยยยยย

            ใครก็ได้บอกทีวิธีการหุบยิ้มมันเป็นยังไง ก็ไหนใครบอกว่าผู้ใหญ่เขาสั่งห้ามเราเจอกันไงครับ แล้วมาชวนเค้าไปนอนบ้านแบบนี้ คิดไรกับเค้าป่ะเนี่ยตัวเองงง >.,<

            ผมหัวเราะออกมาสองสามที ก่อนจะยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูเขา

            “เชิญชวนกันขนาดนี้ ปฏิเสธไหวเหรอ...”

            หูซินนี่แดงเถือกเลยครับ ^^

            “พอเลย ออกไปข้างนอกได้แล้ว” คนซึนพูดขึ้นพร้อมกับดึงผมด้านหลังท้ายทอยผมออก พาให้ใบหน้าผมต้องถอยตามไปด้วย

            “โอ๊ย... อะไรเนี่ย” ก่อนคนใจร้ายจะก้มลงมองมือตัวเอง มันแพล่บเลยครับ ฮ่าๆๆ น้ำมันใส่ผมออกฤทธิ์ซะแล้ว “โหยดูดิ คอเราคางเราเปื้อนไปหมดเลยอ่ะ อะไรของนัทเนี่ย”

            “ฮ่าๆๆ น้ำมันจัดทรงไง จะได้หล่อๆ”

            “หล่อบ้าอะไรเนี่ย เลอะเราหมดแล้ว” พูดไปก็เช็ดมือเช็ดคอตัวเองไปป้อยๆ โธ่ๆ สงสารเลย

            “ป่ะๆ ออกไปล้างข้างนอก” แต่ก่อนที่มือจะได้เปิดประตูห้องน้ำกลับต้องชะงักลงก่อน “เดี๋ยวๆ”

            “อะไรอีกอ่ะ”

            “เอาผมลงก่อน แกะยางมัดผมออก”

            “ทำไม มันร้อน”

            “ตามใจนะ อยากร้อน หรือว่าอยากโชว์” ผมยกมือขึ้นแตะคอตัวเองในตำแหน่งที่ผมทิ้งร่องรอยไว้กับซิน

            คนสวยรีบหันหลังส่องประตูที่เป็นสีเงินสะท้อนได้เหมือนกระจก ก่อนจะตาโตหันมาทุบผมดังอั้ก

            จุกสิครับ...

            “ใครบอกให้ทำรอยตรงนี้! ใครเห็นเข้าจะทำยังไง”

            “ไม่อยากให้ใครเห็นก็ปล่อยผมลงสิครับ”

            ซินจิ้ปากอย่างขัดใจก่อนจะยอมปล่อยผมลงในที่สุด เห็นมั้ย ง่ายดายเพียงแค่นี้ ไม่ต้องเสียเวลาเถียงกันให้เมื่อยเลย :)

            เมื่อปล่อยผมลงเสร็จแล้วมือเล็กก็ปลดล็อคกลอนห้องน้ำ และเดินออกไปตามด้วยผมที่ตามหลังมาติดๆ และในตอนนั้นเอง สิ่งที่รออยู่ด้านนอกห้องน้ำกลับทำให้ขาเรียวยาวชะงักลงทันที แสงแฟลชนับสิบสาดส่องมายังเราสองคนอย่างรวดเร็ว มากมายจนคนตรงหน้าหยีตาหนีแสงนั้น ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังก้าวไปด้านหน้าและบังเขาเอาไว้เบื้องหลัง มองไปรอบๆอย่างตกใจ

            นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ก็ไหนว่าเป็นงานปิด แล้วกองทัพนักข่าวมากมายมหาศาลนี่มันอะไรกัน!!!

            หางตาเหลือบไปเห็นโอลีฟยืนกอดอกอยู่ด้านหลังบรรดานักข่าว บนใบหน้าแย้มรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือโบกทักทายมาให้ และหันหลังถอยกลับออกจากห้องน้ำไป...

 

 TBC.
.....

นางมาอีกแล้ว...

**ใกล้จะจบไปทุกทีแล้วน้าา ใครอยากได้รูปเล่มบ้างมั้ยเอ่ย ถ้าเปิดจองจะมีคนสนใจมั้ยคะ
Eucalyp SN << แวะไปพูดคุยกันได้ที่เพจนี้นะคะ เพจของแยมเอง :)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ :)
พบกันเร็วๆนี้!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-10-2013 19:44:01
ยัยโอลีฟฟฟฟฟฟ
ไม่สวยแล้วยังนิสัยเสียอีก
ชิ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 14-10-2013 21:59:05
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: เอายัยนี่ไปเก็บบบบ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: tw.choco ที่ 15-10-2013 01:53:09
ตักตบนางด่วนๆ :m31:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 15-10-2013 06:08:28
งือออออออออข่าวดังแน่สู้ๆนะซิน ยัยโอลีฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน25 สุดท้าย [14/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 20-10-2013 17:30:37
หลังจากสาดแสงกันเข้าไปแบบไม่ยั้ง เอ่อออออ


คนแต่งก็ยังไม่มาเลย :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 21-10-2013 12:01:32
26

((เพราะฉันรักนาย))


            เพราะว่ารักมากจนยากจะยั้งใจ ทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก จนไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะทำร้ายใครไปบ้าง รั้งมือคู่นั้นเอาไว้จนสุดแขน ยื้อยุดเอาไว้จนสุดแรง และสุดท้ายเมื่อเชือกมันตึงจนเกินไป ในตอนที่มันขาด มันจึงสะท้อนแรงทั้งหมดที่มีกลับคืนมา กลับกลายเป็นว่า... ไกลยิ่งกว่าเดิม

            หลังจากที่โดนโอลีฟตลบหลังในวันนั้น ไม่นานนักคุณโอ๊ตก็บุกเข้ามาพาตัวซินหลบออกไป ส่วนผมก็โดนไอ้กัสลากออกมาอีกทาง แยกกันตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้แม้แต่เสียงผ่านโทรศัพท์ก็ยังไม่ได้ยิน

            เพราะครั้งนี้เป็นผมเองที่เลือกจะไม่โทรไป เลือกที่จะหยุดสักที กับความวุ่นวายทั้งหมดที่ผมเป็นคนทำ

            เช้าวันนี้ผมตื่นเร็วกว่าทุกที แต่งตัวด้วยชุดบอดี้การ์ดเหมือนอย่างทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวอีกแล้ว คุณโอ๊ตโทรมาบอกว่าต้นสังกัดของซินตามตัวผมให้เข้าพบ และไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็แล้วแต่ คุณโอ๊ตก็กำชับนักหนาว่าให้ใจเย็นๆ เพราะครั้งนี้ ทั้งซินและคุณโอ๊ตไม่สามารถเข้าไปร่วมฟังด้วยได้

            หลังจากแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้ว ยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอยู่สักพักก็ต้องเดินออกมา เพราะอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่นัดไว้แล้ว

            ลงมาชั้นล่างก็ไม่พบใครอยู่ในห้องนั่งเล่นเลย แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครในตอนนี้เหมือนกัน แต่เมื่อเดินออกมาจากบ้านก็พบไอ้กัสยืนพิงรถรอผมอยู่ สีหน้าแสดงแววกังวลทันทีเมื่อเห็นผมเดินออกมา

            “ยังไม่เปิดเทอมอีกหรือไง”

            “ยัง”

            ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเปิดประตูรถออก แต่ก่อนที่จะได้ขึ้นรถ ไอ้กัสกลับยื่นมือมารั้งแขนผมเอาไว้เสียก่อน

            “พี่โอเคมั้ย”

            เมื่อได้ฟังคำถามก็อดที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆไม่ได้ อารมณ์นี้ถ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรก็คงจะตอแหลเกินไป แต่เพราะว่ามันเป็นเรื่องของผม ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนคิดมากตามไปด้วย

            “ฉันจัดการได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” พูดไปก็เอื้อมมือไปตบบ่ามันเบาๆ แต่เฮ้ย... หน้าที่มันกลับกันไปหน่อยมั้ยเนี่ย ผมสิที่ควรจะเป็นคนถูกปลอบใจ มันจึงส่งยิ้มมาให้นิดๆเมื่อผมปิดประตูลง

            และไม่นานก็มาถึงหน้าตึกค่ายเพลงดังจนได้ ทำไมนะ เวลาไม่อยากมา เส้นทางกลับใกล้ เวลารีบแทบตาย เหยียบเท่าไหร่ๆก็ไม่ถึงสักที ...หึ

            รอลิฟต์อยู่ไม่นานก็ขึ้นมาจนถึงชั้นที่หมาย ก้าวแต่ละก้าวที่เดิน มันช่างหนักเหลือเกิน เป็นเพราะไม่อยากรู้ ไม่อยากรับฟังเรื่องที่คาดเดาเอาไว้แล้วในวันนี้ สิ่งที่คิดเอาไว้ กับสิ่งที่จะต้องเจอจริงๆมันคนละเรื่องกันนี่นา ถึงจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้

            ยืนทำสมาธิอยู่หน้าห้องสักพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า มีคนนั่งรอผมอยู่แล้ว คนเดิมกับเมื่อตอนที่เข้ามาพร้อมกับซินตอนนั้น

            “อ้าว มาแล้วเหรอ นั่งลงสิ” เมื่อกล่าวทักทายทุกคนเสร็จ ผมจึงนั่งลงตามคำเชิญ

            “เข้าเรื่องเลยล่ะกันนะ ฉันขอให้นายเลิกยุ่งกับศิลปินของฉันจะได้มั้ย” ประโยคนี้กะเอาไว้อยู่แล้วว่าจะได้ยิน แต่ก็ไม่คิดว่าจะตรงไปตรงมาขนาดนี้

            “ผม...”

            “นายก็น่าจะเห็นแล้วว่าสถานการณ์มันแย่แค่ไหน เรื่องคราวนี้ไม่ใช่แค่ข่าวลอยๆหรือเรื่องจิ้นอย่างที่บรรดาแฟนคลับเขาชอบทำกันแล้วนะ เพราะนี่มันชัดเจน” คำว่าชัดเจนถูกเน้นย้ำให้ได้ยินตามความหมายของมัน ใช่...เพราะครั้งนี้ทั้งภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน มันอธิบายตัวมันเองได้ทั้งหมดแล้ว ชัดเจนจนไม่ต้องจิ้นกันอีกให้เสียเวลา

            “มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยนะสำหรับทางค่าย อย่าหาว่าเราใจร้ายเลยนะ ยังไงเราก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุดให้ศิลปินของเราอยู่แล้ว แล้วการที่มีนายมาคอยวนเวียนใกล้ๆศิลปินของเราแบบนี้ มันไม่เป็นผลดีกับเขาสักเท่าไหร่ มันก็จริงที่เดี๋ยวนี้เขาออกมาเปิดเผยกันเยอะ แต่ทางเราก็ไม่ได้มีนโยบายให้นักร้องกลายเป็นเกย์หรอกนะ”

            “จะเรียกว่าเราเป็นอะไรก็แล้วแต่ ช่างหัวมัน แต่มันผิดมากนักเหรอครับที่เราจะรักกัน”

            “มันก็ไม่ผิดหรอกที่จะรักกัน แต่มันผิด ที่ตอนนี้ซินอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรทุกคนจะจับตามองเขาอยู่เสมอ ถ้ามันเป็นเรื่องดีก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องร้ายๆ คนที่รอเหยียบซ้ำอยู่มันก็มีเยอะนะ นายเอง ถ้ารักซินจริง นายจะทนได้มั้ยเรื่องที่ใครต่อใครหาว่าซินแย่งนายมาจากคนอื่น เป็นผู้ชายแท้ๆแต่กลับไปแย่งนายมาจากผู้หญิง คนอื่นจะมองซินว่าเป็นยังไง”

            “ซินไม่ได้แย่ง! ทุกอย่างเป็นเพราะฝีมือของผู้หญิงคนนั้น ทุกๆอย่างเลย ทั้งเรื่องนักข่าว ทั้งคำสัมภาษณ์จอมปลอมนั่นด้วย ผมไม่เคยเป็นอะไรกับเธอ!”

            “อะไรที่พูดตอนนี้ ไม่ว่ามันจริงหรือไม่ ฟังยังไงมันก็คือคำแก้ตัว คนที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอกว่ามักเป็นฝ่ายถูกเสมอ ยอมรับได้มั้ยล่ะถ้าซินของนายจะโดนสังคมประนาม คนรักก็มี แต่เขาจะกลายเป็นศิลปินที่มีกลุ่มแอนตี้ ไปไหนก็ต้องคอยระวังตัว”

            “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

            “ที่คิดแบบนั้นเพราะนายยังไม่รู้จักวงการนี้ดีพอ ชื่อเสียงสร้างคนได้ มันก็ทำลายคนได้เหมือนกัน”

            “แล้วพวกคุณจะทำยังไง จะบอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นการเข้าใจผิด บังเอิญซินคิดว่าในห้องน้ำไม่มีคนเลยเข้าไป หรือว่าบังเอิญซินสายตาสั้นมองไม่เห็นผมที่อยู่ในห้องน้ำ หรือยังไง ผมเป็นพี่ชายที่พลัดหลงกันมาตั้งแต่ยังเด็กๆเหรอ หรือว่าผมเป็นตุ๊ด”

            “ก็แค่คืนนายให้ผู้หญิงคนนั้น ให้เขาแถลงข่าวว่าเขากับนายรักกันดี เรื่องทั้งหมดเป็นแค่การเข้าใจผิด”

            “ง่ายไปมั้งคุณ แล้วภาพเมื่อคืนนี้ล่ะ”

            “เวลาผ่านไป ผู้คนก็จะลืมภาพเหล่านั้นเอง”

            “เนี่ยเหรอทางออกที่ดี ฟังยังไงก็คือวิธีแก้ปัญหาแบบชุ่ยๆเท่านั้นเอง”

            “แล้วนายจะมาเข้าใจอะไร!! พวกเราทุ่มเทกับซินไปตั้งเท่าไหร่ ลงเงินลงแรงไปแค่ไหนกว่าจะมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วอยู่ๆจะให้นายที่เป็นใครไม่รู้มาทำให้เรื่องราวทั้งหมดที่เราทุ่มเทกันมาสูญเปล่าเหรอ ทั้งชื่อเสียง ทั้งงานเพลง รางวัลทุกๆอย่างของซิน นายรู้มั้ยว่าความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวสามารถลบเลือนเรื่องราวพวกนั้นได้ทั้งหมด ชื่อเสียงที่สั่งสมมาต้องพังครืนภายในคืนเดียว!!!” คนที่เงียบนั่งฟังอยู่นานลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังใส่ผม ทำไมคนพวกนี้คิดถึงแต่ตัวเองวะ!!

            “ห่วงแต่ชื่อเสียงของตัวเองรึไง”

            “นาย!!!”

            “พอแล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันคุยเอง” คนดูมีอายุที่พูดกับผมในทีแรกขัดขึ้น อีกคนจึงถอนหายใจฮึดฮัดและเดินออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้ในห้องจึงเหลือแค่สองคน

            “ชื่อนัทใช่มั้ย”

            “ครับ”

            “รักซินมากสินะ”

            “ครับ รักมาก”

            “อืม ดูไม่ยากหรอก ทั้งท่าทางและแววตาแบบนี้” คำพูดใจดีกับรอยยิ้มที่ส่งมา พาให้อารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟเริ่มเย็นลงมาบ้าง พูดกันแบบนี้แต่แรกก็ดีสิ

            “ถ้ารักมาก ก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆนะนัท”

            !!!

            “ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำอย่างนี้ แต่เพราะว่าฉันทำงานในวงการนี้มานาน เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับใครหรอกนะ ข่าวประปรายที่ผ่านๆมาฉันเองก็รับรู้ทั้งหมด แต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไปเพราะมันเป็นแค่คำพูดของฝ่ายนั้นฝ่ายเดียว แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ฉันนับถือในความพยายามของนายนะ ในแต่ละครั้งที่พยายามจะพบซิน ฉันเข้าใจ เพราะฉันเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่รักใครสักคนมากๆแบบนี้เหมือนกัน และก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา แต่...ในเมื่อมันมาถึงจุดที่ควรจะหยุดได้แล้ว นายก็ควรที่จะหยุด ถ้ามันไม่มีทางไปต่อ รั้นที่จะก้าวต่อไปก็มีแต่จะเจ็บทั้งคู่นะ”

            “จะเจ็บยังไง ในเมื่อเราสองคนรักกัน”

            “ฉันได้ยินเรื่องของพ่อนายมาบ้างแล้ว”

            รู้... รู้ได้ยังไง นั่นมันเรื่องในครอบครัวผมนะ!

            “อย่าหาว่าฉันก้าวก่ายเลยนะ แต่เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับความเป็นไปของศิลปินฉัน ฉันจึงจำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง พ่อนายไม่ชอบซินใช่มั้ย ไม่ชอบที่จะให้นายกับซินรักกัน”

            “วันนี้ไม่ชอบ แต่สักวันผมจะทำให้ท่านยอมรับให้ได้”

            “ความมุ่งมั่นของนายมันน่ายกย่องมาก แต่นายกำลังจะใช้มันในทางที่ผิด ถึงแม้ว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะจบไป แต่ยังไงสักวันเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอีก พ่อนายก็คงจะหาเรื่องอื่นมาทำให้นายกับซินแยกกัน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้น แล้วนายคิดว่าใครกันล่ะที่น่าสงสารที่สุด”

            “....”

            “ก็ซินไม่ใช่หรือไง”

            คำตอบนี้ยากจะยอมรับ แต่มันก็คือเรื่องจริง

            “นายควรที่จะพอได้แล้ว ปล่อยมือซินได้แล้วนะ แล้วกลับไปหาคนที่เป็นไปได้สำหรับนาย ในเมื่ออดีตมันเป็นไปไม่ได้ ปัจจุบันมันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน...”

            !!!

            คนคนนี้รู้มากแค่ไหนกัน รู้เรื่องในอดีตของผมกับซินด้วยหรือไง

            “ถ้านายรักซินมากพอ นายก็ควรที่จะปล่อยมือเขาไป”

            ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป ปล่อยมือเขาไป...

            ตั้งแต่ออกมาจากห้องนั้น คำๆนี้ก็วนเวียนอยู่ในหัว สลัดเท่าไหร่ก็ไม่ออกสักที ถ้านายรักซินมากพอ นายก็ควรที่จะปล่อยมือเขาไป ผมรักซิน เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย แต่ในเมื่อรัก แล้วทำไมถึงต้องปล่อยมือ... นี่มันวิธีการคิดแบบไหนกัน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

            แต่เมื่อก้าวออกจากตึก ก็พบกับคุณโอ๊ตที่กำลังจะวิ่งเข้าตึกมาพอดี

            “อ้าวนัท!”

            “อ้าวคุณโอ๊ต สวัสดีครับ”

            “คุยกับพวกผู้ใหญ่เสร็จแล้วเหรอ”

            “...ครับ”

            คุณโอ๊ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตบลงมาบนไหล่ผมดังป๊าบ ก็เจ็บนะ แต่ไม่มีอารมณ์โวยวาย ร่างกายมันชินชาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเล้าแล้วตอนนี้

            “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย มากับฉันหน่อยสิ”

            สุดท้าย ผมกับคุณโอ๊ตก็มานั่งดื่มกาแฟกันอยู่ที่ร้านใกล้ๆตึก มาเพื่อนั่งถอนหายใจเฮือกๆใส่กัน - -

            “ผู้ใหญ่บอกให้เลิกคบกันล่ะสิ”

            “ครับ”

            บรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง เมื่อคุณโอ๊ตไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็ปล่อยใจลอยไปกับกลิ่นกาแฟหอมๆในร้าน สุดท้ายแล้วผมควรที่จะทำยังไงดีนะ ทำไมมันยากแบบนี้... กับอีแค่คนสองคนจะรักกัน มันผิดตรงที่เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่อย่างนั้นรึไง

            “ผมผิดเหรอที่รักซิน” สุดท้ายเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องถามคนอื่นแล้วล่ะ

            “เฮ้อ... มันก็ไม่ผิดหรอกที่รัก แต่ในสถานการณ์นี้ มันผิดคน”

            “ผมรักซินไม่ได้เหรอ”

            “ถ้าซินเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป เดินตามท้องถนนได้โดยที่ไม่มีใครรู้จัก นั่นก็อาจจะได้”

            “อย่าพูดถึงเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้สิ แค่นี้ก็หดหู่จะแย่แล้วนะ”

            “ก็แล้วจะให้พูดยังไงล่ะวะ ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าซินออกไปไหนไม่ได้เลย แค่จะก้าวขาออกจากบ้านยังไม่ได้ ไม่ต้องหวังเรื่องงานเลย”

            “...เพราะผมใช่มั้ย”

            “แล้วจะเพราะใครล่ะ โอลีฟนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้านายไม่ดันทุลัง ข่าวมันก็จะค่อยๆเงียบหายไปเอง ตอนนี้ก็คงจะยากแล้วแหละ”

            ไม่มีคำปลอบใจใดๆทั้งสิ้น แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะครับ มันทำให้ได้รู้ว่าผมควรที่จะทำยังไง

            “แค่ผมเลิกยุ่งกับซิน ทุกอย่างก็จบแล้วใช่มั้ย ซินไม่ต้องเดือนร้อน ไม่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆ”

            “ถ้าในสถานการณ์นี้ล่ะก็ ...ใช่”

            เป็นคำตอบที่ไม่อยากได้ยิน แต่มันก็คือเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ

            อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ รั้งไว้ก็ไม่มีประโยชน์...

            เข้าใจความรู้สึกซินเมื่อตอนนั้นก็ครั้งนี้นี่เอง ตอนนั้นซินจะทรมานเหมือนกับผมตอนนี้มั้ยนะ เจ็บมากจนเหมือนหัวใจมันหายไปแบบนี้รึเปล่า ตอนนั้นผมเองก็เจ็บนะ แต่มันคนละความรู้กัน เพราะคนที่ถูกทิ้ง กับคนที่เป็นฝ่ายทิ้ง ความรู้สึกมันต่างกัน เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่าซินเจ็บมากแค่ไหน

            เพราะต้องทิ้ง ในขณะที่ยังรักหมดใจ ต้องปล่อยมือไป ทั้งๆที่คงจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกัน

            ตอนนั้นซินทำได้ยังไงกันนะ ตัดใจได้ยังไง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องเป็นคนที่ทำแบบนี้ เป็นคนที่เป็นฝ่ายปล่อยมือ แบบนี้ใช่มั้ย เพราะรัก ถึงต้องปล่อย

            สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับ

            สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้

            ทั้งๆที่ปากดีมากตลอดเลยนี่นา

            ผมคงเก่งได้แค่นี้จริงๆ...
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 21-10-2013 12:02:00
            หลังจากที่คุยกับคุณโอ๊ตเสร็จ เมื่อไม่รู้ว่าจะไปไหน สุดท้ายก็มาโผล่ที่นี่อีกเช่นเคย ที่ที่เมื่อสองปีที่แล้วผมมักจะมา เมื่อไม่มีที่จะไป ที่ที่แค่มองเห็นได้ก็มีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นเขา แค่รู้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นี่ก็ยังดี ที่ที่เขาน่าจะยิ้มอย่างสบายใจได้ทุกวัน ...โดยที่ไม่มีผม

            บ้านหลังนี้ ที่ต่อจากนี้ผมคงไม่ได้มาเหยียบมันอีก

            ผมจอดรถเอาไว้ซอยข้างๆ เพราะการมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอ

            แค่มาเพื่อจะบอกลา...เท่านั้นเอง

            ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นที่ผม เรื่องวุ่นวายต่างๆมากมายที่มันเกิดขึ้น เพราะผมคนเดียว ซินเอง เป็นแค่คนที่อยู่เฉยๆ มีแค่ผมที่วิ่งเข้าไป ลากคนนู้นคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เรื่องมันยิ่งวุ่นวาย แต่คนที่อยู่กับที่อย่างซิน กลับต้องเป็นฝ่ายรับผลกระทบแย่ๆไปทั้งหมด เพียงเพราะผมคนเดียว

            เท่านี้เพียงพอแล้วใช่มั้ย ที่จะต้องไป

            ตอนที่คุยกับคุณโอ๊ตทำไมมันไม่รู้สึกเหมือนตอนนี้นะ ตอนนั้นมันหน่วงๆ ชาๆ แต่ตอนนี้แค่หายใจยังเจ็บเลย ไม่ใช่เจ็บทางด้านร่างกาย แต่มันเจ็บจากข้างใน เจ็บที่ครั้งนี้ไม่รู้จะรักษาจากตรงไหนดี เลือดออกตรงไหนนะ ใครเห็นบ้างมั้ยครับ ช่วยผมหาแผลทีสิ ผมจะได้ทายาถูกที่ไง หาแผลไม่เจอแบบนี้ ผมคงรักษามันไม่ได้สักที

            คนในบ้านตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ เขาจะสบายดีมั้ย...?

            จะบ้าหรือไง เจอเรื่องแบบนี้เข้าไปจะสบายใจได้ยังไงล่ะ

            แล้วถ้าอย่างนั้น เขาจะมีแผลแบบผมมั้ย ... ถ้าผมไป

            ใครจะรักษาแผลให้ซิน

            แต่แล้วเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังจะออกมาด้านนอก ขาผมมันก็รีบพาตัวเองหลบไปด้านข้างทันที หลบอยู่ตรงรั้วบ้านด้านข้างของซิน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาของคนตัวบางเดินออกมาด้านนอก ทำให้ต้องยืนแนบสนิทกับรั้วมากยิ่งขึ้น โชคดีที่กำแพงปูนมันยื่นออกมาบังผมเอาไว้

            “นัท...”

            เสียงเรียกจากเขาทำให้ต้องหลับตาลงอย่างลำบากใจ อยากยกมือสองข้างขึ้นปิดหูตัวเอง ไม่อยากได้ยิน... ไม่อยากได้ยินเสียงนี้ที่คอยเรียกชื่อกัน ขาอยากก้าวออกไปหาเขาใจแทบขาด แต่กลับต้องห้ามใจตัวเองเอาไว้

            ไม่ได้... อย่าออกไปนะ

            ถ้านายออกไป เรื่องราวมันก็จะไม่จบไม่สิ้นสักที

            ได้แต่บอกตัวเองอยู่อย่างนั้น กล่อมตัวเองอยู่อย่างนั้น

            จนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบมันขึ้นมา เป็นคนที่ยืนอยู่ห่างกันเพียงแค่รั้วกั้นคนนี้นี่เอง

            เขาเห็นผมเหรอ เลือกยืนในที่ที่คิดว่าจะมองไม่เห็นแล้วนะ เลือกที่จะหลบอยู่ในเงามืดท่ามกลางแสงสว่างแล้ว ทั้งๆที่กะว่าจะมาโดยที่ไม่ได้เห็นหน้า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมคงถอยไปได้ง่ายกว่านี้

            ผมควรจะดีใจใช่มั้ยที่ซินโทรมา ทุกครั้งที่เห็นชื่อนี้เป็นสายโทรเข้า ผมไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรอนานเลย รีบคว้ามารับจนโทรศัพท์แทบหลุดมือทุกครั้ง

            แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ตลอดเวลาที่เครื่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่มันสั่น ใจผมมันก็ไหวตามไปด้วย อยากรับสายแทบขาดใจ อยากได้ยินเสียงใสๆถามหาผม เรียกชื่อผม กัดกันด้วยคำพูดแรงๆ แต่ทั้งหมดนั้นมันก็แสดงว่าเขารักผมเหมือนกัน        อยากก้าวออกไปจากตรงนี้ บอกเขาว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ไม่มีผมแล้วต้องอย่าร้องไห้ งอแงบ่อยๆไม่ได้แล้วนะ ได้บอดี้การ์ดคนใหม่ก็อย่าเอาแต่ใจให้มากนัก เดี๋ยวเขาจะเบื่อแล้วหนีหายไปซะก่อน อยากบอกกับเขาว่าอย่าไปไหนคนเดียว เวลากินข้าวก็อย่ากลัวอ้วน กอดแต่ละทีเจอแต่กระดูกแล้วนะ อย่าตากฝน เพราะแก้มใสๆนั่นไม่เหมาะจะซีดเป็นสีเทาหรอก มันควรจะแดงอมชมพูเพราะเขินผมมากกว่า

            อย่าป่วยบ่อยนะ อย่าหักโหม เพราะฉันคงไม่ได้โทรไปบอกให้นอนเร็วๆ

            อย่าร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว เพราะฉันคงเช็ดน้ำตาให้ไม่ได้แล้ว

            อย่าเหงานะซิน

            อย่าเสียใจ

            ให้ฉันร้องไห้ ให้ฉันเสียใจแทนนายเอง

            ยิ้มให้มาก

            ยิ้มเผื่อในส่วนของฉันด้วย...

            หยดน้ำหยดเล็ก ล่วงหล่นลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ผมกำลังก้มมองอยู่ตอนนี้ มาจากไหนกันนะ ฝนตกแล้วเหรอ ทำไมตัวผมไม่เปียกล่ะ ทำไมเสื้อผ้าผมมันไม่เปียก งั้นหยดน้ำพวกนี้มันมาจากไหนกัน ทำไมตาผมมันพร่าแบบนี้ ทำไมมองอะไรไม่ชัด แม้กระทั้งซินที่อยู่ห่างไปแค่นี้ ผมยังมองไม่เห็นเลย

            หายใจลำบากขึ้นทุกที เหมือนกับว่าร่างกายมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเสียให้ได้ หัวใจผมกระเด็นหายไปไหนแล้ว ส่วนหัวใจของซิน ...ฉันคืนให้นาย

            เอาไว้มอบให้คนที่คู่ควรเถอะนะ หวังว่าใครคนนั้นเขาจะดูแลนายได้ดีมากกว่าที่ฉันเคยทำ

            แค่คิด ก็เจ็บแทบขาดใจ

            แรงสั่นจากโทรศัพท์หยุดไปแล้ว พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าเดินเข้าบ้านไป แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยืนอยู่ตรงนี้ จ้องมองโทรศัพท์ที่ดับไปด้วยความว่างเปล่า ในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องทำให้ได้

            เพราะทุกๆอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อซิน

            หวังว่านายจะเข้าใจมันนะ

            ครั้งนี้ ขอโทษด้วยที่ฉันเป็นคนผิดสัญญา เลือกที่จะไปทั้งๆที่เป็นคนพูดว่ามีอะไรต้องคุยกัน แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจสิ่งที่นายทำในตอนนั้น การหายไปแบบนี้มันอาจจะดีกว่า ให้ผู้ชายคนนี้หายไป เหมือนอย่างที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก

            ลาก่อนนะซิน

            ลาก่อน ความรักของผม

 

            ผมกลับบ้านมาด้วยสภาพไหนก็ไม่รู้ รู้แต่แม่กับพ่อที่นั่งรออยู่มองตามมาตาไม่กระพริบ แต่ไม่มีใครพูดอะไร ผมลากสังขารตัวเองขึ้นมาบนห้องโดยที่ไม่ได้ทักทายใครสักคน ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรเลย อยากจะนอน หลับตาลงและหนีเรื่องนี้ไปให้พ้นๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบเจอกับมันอีกเลย

            ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นลิ้นชักเล็กบนโต๊ะข้างเตียงที่ปิดเอาไว้ไม่สนิท อะไรบางอย่างที่วางอยู่บนนั้นมันสะดุดตา ทำให้ต้องเอื้อมหยิบมันมาดูใกล้ๆ พาลให้ฝนอยากจะตกลงมาในห้องนอนอีกครั้ง

            แหวนกะลามะพร้าวอันนั้น ที่ซื้อที่ตรัง กะไว้ว่าจะให้เขา แต่ยังไม่มีโอกาสเลย...

            นานจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

            ผมนี่ไม่เอาไหนจริงๆ ทั้งๆที่ตอนซื้อตั้งใจจะให้เขาแท้ๆ แต่กลับปล่อยปละละเลย แล้วเป็นยังไงล่ะ พระเจ้าเลยลงโทษให้ไม่มีโอกาสได้ให้เขาอีก

            ไม่มีอีกแล้ว ....ไม่มีซินอีกแล้ว

            มือที่ถือแหวนวงนี้อยู่สั่นไหว แรงจะประคองมันไว้แทบไม่มี แหวนวงแค่นี้ ทำไมหนักนักนะ...

            ตาผมมันพร่าอีกแล้วสิ

            ฝนตกอีกแล้วล่ะครับ...

            ไม่ ...ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่น้ำฝน

            แต่มันคือน้ำตาผมเอง น้ำตาของลูกผู้ชายคนนี้ที่กำลังจะเสียรักไปอีกครั้ง

            แต่ครั้งนี้กลับเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะคนที่ปล่อยมือคือผมเอง

            ความทรงจำมากมายวิ่งวนเข้ามาในหัว ภาพรอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะ กลิ่นหอมจางๆที่จนตอนนี้ผมก็ยังจำมันได้ ไม่มีวันไหนที่จะลืมเลือน ผมจะเก็บทุกทุกอย่างไว้ จะไม่ลืมแม้สักอย่างเดียว ถึงแม้ว่ามันจะทรมาน ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ลืมไม่ได้

            ผมจะลืมได้ยังไง เพราะทั้งหมดนั่นคือความสุขเดียวที่ผมมี

            จะเก็บมันไว้ และค่อยๆดึงมันขึ้นมาในแต่ละวัน เพื่อที่จะยิ้มได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นยิ้มทั้งน้ำตาก็ดีกว่าไม่มีรอยยิ้มเลย

            มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภาพซิน ได้ยินแต่เสียงของซิน

            แล้วจะให้ลืมได้ยังไง

            แหวนร่วงหลุดมือไป พร้อมกับมือสองข้างที่ยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง กลั้นเสียงที่แสดงถึงความอ่อนแอที่ผมไม่อยากให้ใครได้ยิน

            เสียงเคาะประตูเบาๆทำให้ต้องลดมือลง หายใจเข้าลึกๆตั้งสติเพื่อตอบออกไป

            “ครับ”

            “แม่เองนะลูก ขอแม่เข้าไปได้มั้ย”

            แม่... จะให้แม่มาเห็นลูกชายในสภาพนี้ได้ยังไง เดี๋ยวจะพาลไม่สบายใจไปด้วยน่ะสิ ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจกับผมอีกแล้วนะ แค่ผมคนเดียวก็พอ

            “นัทอยากพักผ่อนครับแม่ ขอนัทงีบหน่อย”

            เสียงจากด้านนอกเงียบไปพร้อมกับผมที่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง

            ทำให้แม่ไม่สบายใจอีกแล้ว...

            แรงสั่นบนเตียงทำให้เดาได้ว่ามีสายเข้า แต่พอหันไปมองกลับต้องชะงักมือไว้ เพราะคนที่โทรมา

            คงจะรู้เรื่องจากคุณโอ๊ตแล้ว และก็คงจะโทรมาบอกให้ผมใจเย็นๆอีกตามเคย ป่านนี้คงหงุดหงิดแย่แล้วล่ะที่ผมไม่รับโทรศัพท์ นึกหน้าแมวขี้โมโหออกเลย คิ้วคงขมวดกันยุ่งแล้วล่ะสิ ปากบางนั่นก็คงบ่นขมุบขมิบว่าผมอยู่แน่ๆ

            คุณป๊าเองก็คงจะดีใจ ที่สุดท้ายผมก็ไปพ้นๆได้สักที งานนี้ก็มีคนแฮปปี้เหมือนกันนี่ มีอีกคนนะ ก็พ่อผมไง สุดท้ายแผนพ่อก็สำเร็จแล้ว พ่อดีใจมั้ยครับ

            ดีใจมั้ยที่ลูกชายคนนี้หัวใจสลายไม่เหลือชิ้นดี

            แบบนี้ใช่มั้ยที่พ่อต้องการ

            ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับทิ้งตัวลงบนที่นอน มองเพดานห้องสีขาวว่างเปล่าอย่างล่องลอย

            โทรศัพท์ยังคงสั่นอยู่เรื่อยๆ จนสักพักมันก็เงียบไป คงโมโหจนไม่อยากจะโทรต่อแล้วล่ะ ป่านนี้เควี่ยงโทรศัพท์ทิ้งไปหรือยังก็ไม่รู้

            ให้ตายสิ... คิดถึงอีกแล้ว

            ฉันคิดถึงนายได้ แต่นายอย่าคิดถึงฉันนะซิน เพราะเวลาคิดถึงใครแล้วเจอกันไม่ได้ มันทรมานมากเลย นายต้องลืมเรื่องฉันซะ เกลียดฉันไปเลยก็ยิ่งดีที่ฉันทำให้นายเสียใจ

            อย่าเจ็บมากนักนะ เพราะฉันคงทนไม่ได้

            เสียใจให้ฉันแค่วันสองวันก็พอ

            แล้วก็กลับไปยิ้มเหมือนเดิม ฉันจะรอดูนายผ่านโทรทัศน์ ฟังเสียงนายผ่านวิทยุ มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เมื่อก่อนตอนที่เราต้องห่างกันฉันก็ทำแบบนั้น เคยโทรไปขอเพลงนายที่คลื่นวิทยุด้วยนะ เคยโทรไปเพื่อจะคุยกับนายผ่ายรายการเพลง แต่ก็โทรไม่เคยทันคนอื่นเลย แต่ถึงจะโทรติดก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี

            แค่อยากได้ยินเสียง เสียงของนายที่พูดกับฉันแค่คนเดียว

            คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกัน ติดอยู่ตรงตอนนี้ขำไม่ออกนี่สิ ก็เลยไม่รู้ว่าจะขำยังไง

            โทรศัพท์สั่นอีกแล้ว... อะไรกัน วันนี้นายตื้อฉันมากกว่าทุกทีนะ ปกติสามสายนี่ก็เกินพอแล้วจริงๆสำหรับความอดทนของคุณซิน แล้ววันนี้อะไรที่ทำให้คุณซินอดทนมากกว่าทุกทีนะ

            อย่าสิ...

            อย่าทำแบบนี้สิ ฉันกำลังตัดใจจากนายนะ แบบนี้ใจร้ายเกินไปแล้ว นายโทรหาฉันแบบนี้แล้วฉันจะตัดใจได้ยังไง

            จะปิดเครื่องหนีกันก็ไม่กล้า เพราะฉันมันขี้โกง มันอยากเห็น อยากรู้ว่านายเองก็รักฉันมากเหมือนกัน ความเห็นแก่ตัวในใจฉันมันยังอยากรับรู้ถึงความรักของนาย อยากรั้งความรู้สึกนี้ไปอีกสักพัก ความรู้สึกที่ยังมีนายอยู่ข้างกันแบบนี้ นายที่แคร์ฉันแบบนี้

            เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนัท... คิดแบบนี้เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว

            ทุกสิ่งทุกอย่างตีรวนมั่วไปหมดในหัวสมอง คนคนเดียวคิดอะไรมากมายขนาดนี้ในคราวเดียวได้ด้วยหรือไง หรือว่ากำลังจะเป็นบ้า ผมกำลังจะเสียสติ?

            พอแล้ว เลิกโทรได้แล้วนะ ถ้านายยังขืนโทรมาแบบนี้ ฉันก็ต้องปิดเครื่องหนีนายแล้วนะ

            ในตอนนั้นที่คว้าโทรศัพท์มาด้วยมือที่แสนไร้เรี่ยวแรง หวังจะปิดเครื่องหนีเรื่องนี้ให้มันพ้นๆไปซะ สายโทรเข้ากลับวางไป กลายเป็นข้อความหนึ่งที่ถูกส่งมาแทน

            มือสั่นเทาเลื่อนเปิดอ่านข้อความนั้น กระพริบตาถี่ๆไล่น้ำใสที่มันบดบังตาออกไป อ่านข้อความที่มันบาดลึกลงไปในใจในทุกๆคำ

            ‘นัทอยู่ไหน มาหาเราหรือเปล่า’ ข้อความแรกผ่านไป พร้อมกับข้อความที่สองตามมาติดๆ

            ‘นัทกำลังจะทำอะไร อย่าไปไหนนะ ...อย่าไปจากเรา’

            และข้อความสุดท้าย ที่ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้ง

            ‘...เรารักกันไม่ใช่เหรอ’


            ใช่... เพราะเรารักกัน ฉันถึงต้องทำแบบนี้ไง   


TBC.
....
ตอนนี้อาจจะไม่ยาวมาก เป็นยังไงกันบ้างคะ
คนแต่งชอบตอนนี้นะ ไม่รู้ทำไม :)
หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

มาช้า ขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน่ารักๆที่อ่านแล้วมีกำลังใจเสมอ
ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกันทุกตอน
ใกล้จบเข้าไปทุกทีแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้อ่านแล้วคงคิดถึงมากๆแน่เลย :)
ไม่เป็นไรเน้อะ ไว้พบกันใหม่

คืนนี้หลับฝันดีนะคะทุกคน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 21-10-2013 15:48:04
โอ๊ยเจ็บปวด ฮื้อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 21-10-2013 17:29:39
เอ่ออ มันไม่มีคำผิดหรอกจ้า แต่เค้าใช้นักเขียนกับนักอ่านแบบไทยๆ  :mew1: :mew1:

นัทงอแงทำไม ไม่ร้องนะหนูน้อย  :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 21-10-2013 18:08:56
นัทอย่าทำแบบนี้กับซินสงสารซินแก้ปัขหาไปด้วยกันให้ได้  นัทสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 21-10-2013 20:50:43
ลูกนัทจ๋า...แม่ก็ฝนตกในบ้านเหมือนกันเลย...
ต้องไปเอาคืนยายโอลีฟเมียป๊อปอายซะ.......
คนแบบนี้อย่าปล่อยให้ลอยนวล....เพื่อหนูซิน.... :ling1: :ling1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 21-10-2013 21:15:26
ฮืออออออออๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป ฉันอินมาก  :hao5:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน26 เพราะฉันรัก [21/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-10-2013 22:08:25
ฮือออออ สงสารทั้งคู่
ใกล้จบแล้วหรอ หวังว่าจะแฮปปี้น๊าา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 ...? 50% [23/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 24-10-2013 23:32:34
27

((...?))


            เสียงเอะอะโวยดังลั่นโรงฝึก เมื่อบรรดาบอดี้การ์ดฝึกหัดทั้งหลายกำลังฝึกซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น ทั้งเสียงเตะ เสียงทุ่ม เสียงวิ่งดังครื้นเครง เสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็นระยะ ไอ้แสบมันก็วิ่งป่วนทั่วโรงฝึกไปหมด ผมที่นั่งดูอยู่ก็อดยิ้มตามมันไม่ได้จริงๆ แต่ก็ยิ้มได้แค่แป๊บเดียวแหละครับ

            อิจฉามันนะ เห็นมันวิ่งร่าเริงได้แบบนั้น เอาแรงมาจากไหนนักหนา มันเก็บความสุขเอาไว้ที่ไหนเยอะแยะ ถึงได้มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะได้ทุกวัน

            "พี่นัทททท" ยังพูดไม่ทันขาดคำก็วิ่งหูตั้งมาทางนี้ซะแล้ว ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าผ้าเช็ดเหงื่อที่วางอยู่ข้างตัว เขวี้ยงใส่หน้ามันไปซะ เข้าเป้าเต็มๆ

            "แหยะ! เหม็น เหงื่อตัวเองมาเขวี้ยงใส่หน้าคนอื่นเขาทำไมวะ"

            "วิ่งหน้าตั้งมาอะ มีไร"

            "เปล่า จะชวนไปซ้อม"

            "ไม่เอา ขี้เกียจ" พูดจบก็เอนหลังพิงพนักเกาอี้ที่นั่งอยู่ในท่าที่สบายมากขึ้น

            "ไม่คิดจะออกกำลังกายบ้างเลยรึไง เห็นมาอยู่นี่ก็เอาแต่นั่งดูคนนู้นทีคนนี้ที งานการก็ไม่ทำ เอาแต่กินกับนอน เดี๋ยวก็อ้วนตายหรอก แล้วหนวดน่ะ โกนมั่งเหอะว่ะ ยาวจนจะเป็นโจรแล้ว"

            เสียงไอ้คนด้านข้างมันพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจจะฟัง อย่างที่มันพูดแหละครับ ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ไม่ได้ไปทำงานกับใครอีกเลย แค่จะยกขาขึ้นเตะ หรือว่ายกมือขึ้นต่อยก็ไม่อยากทำทั้งนั้น ในเมื่อไม่มีใครให้ต้องดูแลอีกแล้ว เพราะฉะนั้นจะฝึกไปทำไมอีกล่ะ

            นี่ก็ผ่านมาจะครบอาทิตย์แล้ว ข่าวเริ่มซาลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีหนังสือพิมพ์บางฉบับ หรือรายการบางรายการที่ยังคงกัดกันไม่เลิกรา เขียนเหน็บแนมกันอยู่เรื่อยๆ ส่วนซิน เขาเองก็ไม่ได้ออกงานที่ไหนเลยเหมือนกัน ทางค่ายเลิกจ้างบอดี้การ์ดจากโรงฝึกนี้ไปแล้ว ตอนนี้ไอ้กัสก็เลยว่างงาน มีเวลามาวิ่งเล่นป่วนผมได้ทั้งวัน

            โทรศัพท์เครื่องนั้น ผมไม่ได้เปิดมันอีกเลย หลังจากได้รับข้อความสุดท้ายจากซิน ในเมื่อตอนนี้ไม่จำเป็นต้องติดต่อใครแล้วนี่ครับ แบบนี้ดีออกจะตาย ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์ด้วย

            หึ.. ก็ได้แต่หาเรื่องหลอกตัวเองไปวันๆ

            ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง

            ช่วงนี้ไม่เห็นซินออกงานที่ไหนเลย ผ่านโทรทัศน์ก็ไม่เห็น ผ่านวิทยุก็ไม่ได้ยิน แล้วแบบนี้จะรู้ข่าวคราวเขาได้ยังไง จะหายเศร้ารึยังนะ คิดถึงเสียงใสๆของเขาจังเลย

            "พี่นัท" ผมหันไปตามเสียงเรียกของไอ้แสบด้านข้าง เห็นมันทำท่าพยักพเยิดไปหน้าโรงฝึกจึงต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ

            คนของค่ายเพลงซิน...

            มาทำไม?

            ทำท่าทางชะเง้อชะแง้เข้ามาโรงฝึก เมื่อหันมาเห็นผมเข้าก็รีบกวักมือเรียก มาหาผม? อะไรอีกล่ะ ผมก็เลือกที่จะถอยออกมาแล้วนี่ไง แล้วยังจะต้องการอะไรอีก

            "ใครอ่ะ"

            ผมไม่ได้ตอบคำถามไอ้กัส แต่ลุกขึ้นเดินออกไปนอกโรงฝึกแทน ซึ่งมันก็รู้กาลเทศะดีจึงไม่ได้เดินตามออกมา

            "มาหาใครครับ"

            "มาหาคุณนั่นแหละ ทางค่ายพยายามติดต่อมาหาคุณหลายครั้ง แต่ติดต่อไม่ได้สักที ก็เลยส่งผมมาแทน"

            ผมมองท่าทางของอีกฝ่ายที่คงมีเรื่องพูดมากมายเกินกว่าจะยืนคุยกันตรงนี้ได้ เลยตัดสินใจเดินนำพาเขาเข้ามานั่งคุยในบ้าน เจอเข้ากับแม่ที่นั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกพอดี

            "อ้าวนัท เพื่อนมาเหรอจ้ะ"

            "ไม่ใช่ครับแม่ คนจากค่ายเพลง..."

            แม่ที่กำลังจะยิ้มทักทายชะงักไปนิด มองหน้าแขกอย่างไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา

            "งั้นตามสบายนะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปยกน้ำกับขนมมาให้"

            "ไม่เป็นไรครับแม่ เขาคงรีบมารีบไป" ไม่ได้ตั้งใจจะไล่กันทางอ้อมนะครับ เพียงแค่อยากให้เขารู้เฉยๆว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้เขาอยู่ที่นี่นานนักหรอก

            "จ้ะ..." แม่พยักหน้าเข้าใจ และเดินออกไปที่หลังบ้าน วันนี้พ่อออกไปทำธุระข้างนอก ไม่อย่างนั้นพ่อก็คงได้นั่งฟังอยู่ด้วยกันนี่แหละ เพราะสิ่งที่คนคนนี้พูด น่าจะเป็นสิ่งที่พ่ออยากได้ยิน

            "บ้านน่าอยู่นะครับ" เมื่อแม่เดินออกไป อีกฝ่ายก็พูดขึ้นอย่างชวนคุย แต่ผมไม่ได้อยากคุยเล่นกับเขาตอนนี้ มีอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อม       

            "มีธุระอะไรครับ"

            "เอ่อ...." เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทีอยากจะคุยเรื่องบ้าน ท่าทางเป็นการเป็นงานจึงถูกแสดงออกมาทันที "ค่ายจะจัดงานแถลงข่าวครับ ทางเราได้เจรจากับคุณโอลีฟแล้ว ฝ่ายนั้นยินยอมมาร่วมงานแถลงข่าวด้วย ถ้าคุณยอมรับว่าคุณกับเธอคบกัน แล้วเธอจะช่วยแก้ต่างเรื่องคุณซินให้ ว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆ"

            อะไรนะ... จะให้บอกว่าผมคบกับโอลีฟจริงๆเหรอ ผมถอยออกมาให้แล้วไง อยากจะทำอะไรกันต่อก็ทำไปสิ มายุ่งกับผมอีกทำไมวะ แล้วแค่พูดแค่นั้นเรื่องมันก็จะจบง่ายๆเลยหรือไง

            "ง่ายเน้อะ"

            "ค...ครับ? อะไรนะ"

            "ไม่มีอะไร ว่าต่อไปสิ"

            วงการนี้มันมีแค่นี้สินะ โกหกกันไปโกหกกันมา อะไรดีก็พูดไป อะไรร้ายก็โยนให้คนอื่นเขาไปซะ เอะอะอะไรก็เข้าใจผิด เข้าใจผิดทั้งปีทั้งชาติ คลิปหลุดออกมาก็ว่าคนหน้าเหมือน นี่เขาคิดว่าประชาชนที่เสพข่าวเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง

            "เอ่อ... ตอนนี้คุณก็น่าจะรู้ว่าคุณซินค่อนข้างเงียบ เพราะมีข่าวทำให้งานหลายๆงานถูกยกเลิกไป ถ้าคุณอยากจะช่วย คุณก็ควรเข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้"

            "แค่นั้นแล้วทุกอย่างจะจบเหรอ หนังสือพิมพ์จะเลิกเขียนข่าวกัดซินมั้ย ใครๆจะเลิกหาว่าซินเป็นคนไม่ดีรึเปล่า แล้วผู้หญิงคนนั้นจะยอมเลิกราไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับซินอีกใช่มั้ย"

            "อย่างน้อย คุณซินก็จะกลับมาเริ่มงานได้อีกครั้ง เมื่อทุกอย่างกลายเป็นแค่การเข้าใจผิด การตอบคำถามในครั้งต่อๆไปก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องคุณโอลีฟ คุณนัทกับเธอต้องเป็นฝ่ายไปพูดคุยกันเอง"

            "ปัดความรับผิดชอบกันซึ่งๆหน้าเลยสินะ"

            "ผมมีหน้าที่แค่ถ่ายทอดคำพูดของทางผู้ใหญ่เท่านั้น"

            "แล้วหมดคำพูดของคุณรึยัง"

            "ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านฝากเน้นย้ำมา"

            "...." ผมนิ่งเพื่อที่จะรอฟังคำพูดนั้น

            "ขอบคุณมากที่ยอมถอยออกมา หวังว่าซินเองก็จะ 'รับรู้' ว่านาย 'รักเขามากพอ' และฉันก็หวังว่านายจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด อันนี้คือคำพูดที่เขาอยากจะให้คุณรับรู้ ผมไม่รู้ความหมายมันหรอก แต่คุณน่าจะรู้ดี และเพื่อผลดีของทุกๆฝ่าย ผมคิดว่าคุณควรจะทำตามคำแนะนำของเรา หมดธุระของผมแล้ว ขอบคุณมากครับที่อยู่ฟังจนจบ ผมคงต้องขอตัวก่อน" แขกลุกขึ้นและเดินออกไป โดยที่ผมไม่ได้ไปส่ง มาเองถึงนี่ได้ ก็คงจะกลับเองได้เหมือนกัน

            หึ หัวหมอจริงนะครับค่ายนี้ ไม่ได้มาเอง แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งคนอื่นมาขู่ผมจนถึงนี่ 

            หวังว่าซินเองก็จะ 'รับรู้' ว่านาย 'รักเขามากพอ' นี่ก็คงจะหมายความว่า ซินคงจะยอมรับในสิ่งที่ผมตัดสินใจอย่างนั้นสิ เอาความรู้สึกของคนอื่นมาเป็นเครื่องประกันความมั่นคงของตัวเองแบบนี้ ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง

            ซินต้องทนอยู่ในสังคมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน แต่ก็เพื่อความฝันของเขานี่นะ ความฝันของซินที่ผมกำลังจะทำมันพัง ถ้าการแถลงข่าวจะเป็นสิ่งที่รักษาความฝันของซินไว้

            ผมก็ยินดี

            มีเพียงแค่นี้ที่ผมจะทำให้เขาได้ เพราะยื่นมือเข้าไปใกล้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

            เฮ้อ...

            เงยหน้าพาดลงบนขอบโซฟา หลับตาลงช้าๆ นึกถึงใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมที่คอยมองค้อนกัน ภาพที่มองเห็นในหัว พาให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มที่หายไปเริ่มกลับมาทีละนิด

            มีแต่วิธีนี้แหละ ที่ฉันจะได้พบนาย

            เพียงแค่หลับตา...

            แต่สุดท้ายเมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพนายก็หายไป พร้อมกันรอยยิ้มของฉันด้วย

            ให้ตายสิซิน ...คิดถึงนายอีกแล้ว

            เสียงฝีเท้าแผ่วๆเดินเข้ามาใกล้ แต่ผมเลือกที่จะหลับตาอยู่อย่างนั้น ยังไม่อยากให้ภาพของซินหายไป ไม่อยากให้ใครเห็นแววตาอ่อนแรงของผมตอนนี้

            แรงยวบลงบนโซฟาด้านข้าง พร้อมกับสัมผัสอุ่นบนฝ่ามือ

            แม่...

            "หัวใจลูกชายแม่ หายไปไหนแล้วนะ"

            "...."

            "แม่ขอโทษนะลูก สำหรับทุกๆอย่าง ขอโทษแทนพ่อเขาด้วย นัทรู้ใช่มั้ย...ว่าพ่อเขาไม่ได้ตั้งใจ พ่อก็แค่อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าเอง โดยที่ลืมไปว่าจริงๆแล้ว...ลูกต้องการอะไร"

            แรงบีบเบาๆที่ฝ่ามือ ทำให้ต้องข่มตาหลับเอาไว้

            "แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นแบบนี้เลย ถ้าเป็นไปได้ แม่ก็อยากเห็นรอยยิ้มของลูกอย่างเดิม ไม่ใช่รอยยิ้มที่ไม่มีความสุขแบบนี้ รอยยิ้มที่แค่ฝืนยิ้มไปวันๆ แม่อยู่ข้างลูกเสมอ รู้ใช่มั้ย... นัท กลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของแม่ไวๆนะ"

            ความอบอุ่นจางหายไป เมื่อแม่ลุกขึ้นและเดินออกไป แม่รู้ว่าผมไม่ได้หลับ เช่นเดียวกันกับผมที่รู้เหมือนกันว่าแม่กำลังร้องไห้

            ร้องไห้เพราะลูกคนนี้อีกแล้ว

            แม่จะรู้มั้ย ว่าลูกชายคนนี้ก็อยากจะยิ้มให้แม่เหมือนกัน แต่มันยากเหลือเกิน

            ทำไมมันยากจังครับแม่กับการที่จะตัดใจจากใครสักคน แค่มองเขาจากที่ไกลๆโดยที่ไม่เจ็บไม่ได้เหรอ แค่เห็นเขามีความสุข เห็นรอยยิ้มของเขา ผมก็ควรจะมีความสุขแล้วใช่มั้ย งั้นแม่บอกผมทีว่าผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ผมจะได้กลับไปเป็นลูกชายของแม่คนเดิม

            เสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาในบ้าน ทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างปกติอีกครั้ง เพราะรู้ว่าใครเป็นคนเดินเข้ามา

            "เมื่อกี้ฉันเดินสวนกับผู้ชายคนนึง เดินผ่านไปไม่มองหน้าฉันสักนิด เพื่อนแกเหรอ"

            "คนจากค่ายเพลง" ผมตอบพ่อออกไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง

            "มาทำอะไร" เดี๋ยวนี้เรากลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ เพียงแต่การคุยกันในแต่ละครั้ง ไร้อารมณ์สิ้นดี

            "เอารายละเอียดงานแถลงข่าวมาให้"

            "แถลงข่าว? ข่าวอะไร"

            "ข่าวผมกับโอลีฟ...กับซิน"

            พ่อนั่งนิ่งคิดอะไรเงียบๆไปสักพัก ผมจึงลุกขึ้นยืน

            "ทุกๆอย่างกำลังจะเป็นไปอย่างที่พ่อต้องการแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมกับซินเราคงไม่ได้เจอกันอีก แต่กับโอลีฟ ผมคบกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้ผมคงทำให้พ่อไม่ได้ แต่อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ไปเจอซินอีก เพราะฉะนั้นพ่อก็เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นเถอะครับ พ่อก็น่าจะเห็นแล้วว่าเธอเป็นยังไง"

            "แล้วแกจะแถลงข่าวว่ายังไง"

            "ก็แค่บอกว่าผมคบกับโอลีฟ หลังจากนั้นก็ให้โอลีฟจัดการต่อ ไม่อยากหรอกครับ น่าจะงานถนัดของเธอ"

            "...ซินล่ะ"

            "ซินไม่ได้มาแถลงข่าวด้วย มีแค่ผมกับโอลีฟ"

            ในเมื่อพ่อเงียบ และไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมก็เลยตั้งท่าจะเดินออกมาจากที่ตรงนั้น กลับขึ้นไปอยู่บนห้อง อยู่กับตัวเองเงียบๆคนเดียว

            "ไอ้กัสบอกว่าแกไม่ยอมฝึกเลย" แต่ก้าวขาออกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง "แก...เป็นยังไงบ้าง"

            แล้วผมควรจะตอบว่าอย่างไรดีครับ...?

            ผมสบายดี มีความสุขมากครับ ...อย่างนี้เหรอ

            หึ ขอยิ้มให้กับความมืดมนให้ชีวิตเสียหน่อย

            "ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อว่าผมจะเป็นยังไง ตอนนี้ทุกๆอย่างเป็นอย่างที่พ่อต้องการแล้ว ลูกชายคนนี้ของพ่อ ...ยอมทุกอย่างแล้วครับ" ผมหันไปมองหน้าพ่อช้าๆ ท่านเองก็กำลังมองมาเหมือนกัน

            "เพราะว่าผมรักเขามาก ผมถึงต้องปล่อยเขาไป เจ็บให้ตายยังไงผมก็จะทน แต่ผมก็อยากให้พ่อรู้...ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ถ้าวันไหนที่พ่อต้องเสียแม่ไป พ่อก็คงจะเข้าใจ ...เข้าใจผมบ้างสักนิดก็ยังดี"

            ผมถอนสายตาหันกลับมามองด้านหน้า เห็นแม่ยืนกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้น ในมือถือโทรศัพท์เอาไว้ แม่เดินตรงมาช้าๆ หยุดลงตรงหน้าผม และคว้าผมเข้าไปกอด อ้อมกอดของแม่ทำให้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่อดทนอดกลั้นอยู่มันพังทลายลง

            ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ผมทำอะไรผิด ชาติที่แล้วผมทำบาปทำกรรมอะไรเอาไว้ ผมยินดีชดใช้ให้ทุกอย่างเลย ยกเว้นแบบนี้ ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย ผมไม่ได้อยากปล่อยซินไป ไม่อยากเลย

            "ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร" เสียงปลอบโยนของแม่ ยิ่งทำให้ความอ่อนแอที่มีมากมายหลั่งไหลออกมา

            "ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขากลับมา อดทนทำทุกวิถีทาง ค่อยๆกะเทาะกำแพงหนาที่เขาสร้างไว้ จนสุดท้ายมันก็พังทลายไปจนหมด ผมได้เขาคืนมาแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังจะเสียเขาไปอีกแล้ว เพราะผมเอง เพราะผมทุกอย่างเลย อันที่จริง เฝ้ามองเขาใกล้ๆตั้งแต่แรกก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวกลับไปหาเขาอีกเลย ไม่น่าต้องทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้"

            ฝ่ามือที่ลูบหัวผมอยู่สั่นเทา ผมไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่ลูกชายคนนี้อยากกลับไปเป็นเด็กน้อยของแม่อีกครั้ง อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วมีใครอยู่ข้างๆผมบ้าง และสุดท้ายแล้วอ้อมกอดนี้ก็ยังมีให้ผมเสมอ เพราะฉะนั้นแม่เข้าใจผมได้มั้ย แค่แม่คนเดียวก็พอ

            แม่ถอนหายใจออกมาช้าๆ ผมจึงคล้ายอ้อมกอดออกและถอยออกมายืนที่เดิม เห็นแม่กำลังหันไปมองพ่ออยู่ พ่อที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม่จึงหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง มือนุ่มนิ่มของแม่ยกขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ

            "นัทขึ้นไปบนห้องก่อนนะลูก แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อเขาหน่อย"

            ผมหันไปมองพ่อที่ไม่ได้มองมาทางเรา ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นห้องมา ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตัดขาดจากโลกภายนอก ปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อจมอยู่กับภาพความทรงจำสีจาง ที่มีแค่ผมกับซิน

                     

พบกันอีก 50%
.............................................................................
:) เอามาเสิร์ฟแล้วววว
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ และทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกัน
พบกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 ...? 50% [23/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 25-10-2013 15:31:07
มันเป็นหน่วงๆขอให้พ่อนัทเข้าใจนัทด้วย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 ...? 50% [23/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-10-2013 17:49:35
น้ำตาไหลเลย
ฮืออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 เข้าใจ 100% [27/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 27-10-2013 21:38:43
27

((เข้าใจ))


-แม่-

            เพราะว่าเฝ้ามองเขามาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่ารักเขามาก และมีเขาแค่คนเดียว ความฝันความหวังทุกสิ่งทุกอย่างจึงฝากฝังเอาไว้ที่เขา อยากให้เขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีชีวิตที่ดี อยากกอดเขาไว้ ประคองเขา ส่งไปจนถึงฝั่ง ฝั่งที่วาดฝันว่าเขาจะได้พบเจอ จนบางทีก็ลืมไปว่า ลูกเองก็มีชีวิตของเขาเหมือนกัน

            ไม่เคยเห็นลูกเป็นแบบนี้มาก่อนเลย 'เมื่อตอนนั้น' ก็คล้ายๆจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม

            คนเป็นแม่ ลูกผมยาวขึ้นแม้จะนิดเดียวก็มองออก อะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไป แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน ทำไมจะไม่รู้ เพราะว่าสายตาคู่นี้ไม่เคยมองไปที่ไหนเลย

            แล้วตอนนี้ ต้องมาเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ เพราะเรา... เพราะความคาดหวังของเราที่ทำร้ายเขาตรงๆ

            อยากเห็นเขามีคนรักที่ดี อุ้มชูค้ำจุนกันไปจนกลายเป็นครอบครัวที่มีความสุข มีหลานตัวเล็กๆวิ่งเล่นรอบบ้าน อยากเป็นคุณย่าอุ้มหลานพาออกไปเดินเที่ยวเล่น อวดกับคนนู้นคนนี้ว่าหลานน่ารักแค่ไหน พูดคุยกับคนข้างบ้านว่าลูกสะใภ้น่ารักทำงานเก่ง คงจะมีความสุขไม่น้อยเมื่อถึงวันนั้น

            คิดอย่างนั้นจนมองข้ามความสุขของลูกไป เผลอทำร้ายเขาโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ประคบประหงมเขามา แต่กลับเป็นฝ่ายทำร้ายเขาด้วยมือตัวเอง

            ตกใจมากจริงๆในตอนแรก นี่เราพลาดอะไรไปตอนไหน เราดูแลเขาไม่ดีเหรอ ทำไมเขาเป็นแบบนี้ ทำไมเขารักผู้ชาย... ทำไมเขาไม่เหมือนคนอื่น แล้วหลานล่ะ ความรักแบบนี้จะยืดยาวไปได้แค่ไหน มันจะเป็นไปได้เหรอ แล้วแบบนั้นลูกจะมีความสุขมั้ย ผู้คนรอบข้างอีกล่ะ เขาจะมองลูกเรายังไง

            กลุ้มใจไปมากมาย ทั้งๆที่มันก็แค่ ลูกเรามีความรัก

            ความรักธรรมดาทั่วไปที่ใครๆก็มี เพียงแต่รักครั้งนี้ของเขาเกิดขึ้นกับผู้ชายด้วยกัน

            แล้วมันผิดที่ตรงไหน ในเมื่อเขารักกันจริงๆ

            "พ่อ" เอ่ยเรียกคนรักของตัวเองที่มีสภาพไม่ได้แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าพ่อจะเป็นเอามากกว่า เพราะนัทเป็นลูกชายของพ่อเพียงคนเดียว ลูกชายที่เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่ดีเองกับมือ

            "ครั้งนี้ ปล่อยลูกไปได้มั้ย..."

            เห็นพ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ จึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คว้ามือหนานั่นมากุมไว้

            "แม่รู้ว่าพ่อไม่สบายใจ แม่เองก็เหมือนกัน แต่พ่อดูลูกสิ ลูกเป็นแบบนี้ พ่อไม่สงสารลูกเหรอ" เมื่ออีกคนไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่มองไปทางอื่นเท่านั้น ทำให้ต้องบีบฝ่ามือที่จับอยู่เบาๆ

            "ลูกเสียใจ เราเองก็เสียใจ แม่ไม่อยากเห็นลูกเป็นแบบนี้ ปกติแล้วลูกไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ง่ายๆนะพ่อ ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนี้เลย วันๆหมกตัวอยู่แต่ในห้อง เดินไปโรงฝึกแป๊บๆเดี๋ยวก็กลับขึ้นห้องไปอีกแล้ว หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นลูกออกไปไหนเลย พ่อเห็นรอยยิ้มที่ลูกยิ้มมั้ย..."

            "พ่อรู้...แม่พ่อรู้"

            "พ่อรู้ แล้วทำไมพ่อยังห้ามลูก ยังบังคับลูกล่ะ"

            "ก็...มันผู้ชายด้วยกันทั้งคู่! จะรักกันได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก"

            "ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะพ่อ ทีเรายังรักกันได้เลย"

            "มันเหมือนกันที่ไหนล่ะแม่ แม่เป็นกระเทยรึไง"

            "แล้วถ้าแม่เป็นกระเทยพ่อจะไม่รักเหรอ" เริ่มยั้วแล้วนะ

            "ก็แม่ไม่ใช่กระเทย... ถึงใช่พ่อก็รักแม่อยู่แล้ว โธ่..."

            "เห็นมั้ย เพราะฉะนั้นลูกจะรักผู้ชายแล้วมันผิดตรงไหน"

            "...."

            หึหึ เถียงไม่ออกเลยทีนี้ ไม้แข็งก็ต้องเจอไม้แข็งเนี่ยแหละ ดูซิว่าใครจะแข็งกว่ากัน

            "ตอนแรกแม่ก็ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ แม่ทำใจยอมรับได้ยังไง ที่ต้องเห็นมันเป็นเกย์!"

            "เป็นเกย์แล้วนัทเป็นลูกเรามั้ยพ่อ! ยังไงลูกก็เป็นลูกเรา แม่ทำใจไม่ได้ หัวใจลูกแม่หายไปไหน ความสุขของลูกแม่หายไปไหน เห็นลูกใช้ชีวิตอมทุกข์ไปวันๆ แม่ทำใจไม่ได้! พ่อรักลูกแม่เองก็รู้ เพราะแม่ก็รัก แม่ถึงอยากให้พ่อเข้าใจ"

            แววตาเจ็บปวดของพ่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะพ่อเองก็ไม่ได้อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนี้พ่อกำลังรักลูกผิดทาง

            "ใช่ ตอนแรกแม่ก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่แม่ทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ไม่ไหว แม่ไม่อยากเห็นลูกร้องไห้ ใช้ชีวิตไปวันๆ เห็นลูกไม่มีความสุขแล้วแม่จะมีความสุขได้ยังไง แม่ไม่อยากมีหลานก็ได้ ไม่ต้องมีลูกสะใภ้น่ารักก็ได้ แม่ขอแค่ลูกมีความสุข ลูกยิ้ม ลูกหัวเราะได้ในทุกๆวัน แค่นั้นแม่ก็มีความสุขแล้ว หรือว่าพ่ออยากเห็นลูกเสียใจ"

            "...." ไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อพ่อกำลังตีรวนกับความคิดของตัวเอง

            "พ่อเองก็รักแม่มากไม่ใช่เหรอ น่าจะเข้าใจลูกสิ หรือว่าไม่ได้รัก!?"

            "รักสิแม่ พ่อจะไม่รักแม่ได้ยังไง" สุดท้ายเสียงก็อ่อนลงจนได้นะพ่อ ให้มันรู้ไปสิว่าจะมาแข็งกว่าแม่!

            "ถ้าพ่อต้องปล่อยมือแม่ไปในสักวัน พ่อจะทนได้มั้ย สมมติว่าถ้าแม่ตาย จะไม่มีวันได้เจอกันอีก ไม่มีวันได้ยินเสียงแม่อีกแล้ว คิดถึงให้ตายยังไงก็ไม่มีทางได้เจอ พ่อจะเสียใจมั้ย"

            "แม่! อย่าพูดแบบนี้ ตายเตยอะไรกัน พ่ออยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีแม่อยู่ข้างๆ" ไม่พูดเปล่า เมื่อพ่อวาดแขนมากอดแม่เอาไว้ทั้งตัว

            "เห็นมั้ย ลูกเราก็เหมือนกัน ถึงซินไม่ตาย แต่ก็ไม่มีทางได้เจอ มันแย่ยิ่งกว่าอีกไม่ใช่เหรอ ทั้งๆที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ ยืนอยู่บนผืนดินเดียวกัน มองทองฟ้าเดียวกัน วันไหนสักวันอาจจะเดินสวนกันบ้างก็ได้ แต่... ทักทายกันไม่ได้ พูดคุยกันไม่ได้ถึงแม้ว่าจะเจอ ก็ต้องฝืนใจเดินผ่านไป ทำเหมือนว่าไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้จักกัน ทั้งๆที่ความจริงแล้วรู้จักกันดี แบบไหนเจ็บกว่ากันพ่อ"

            "ความรักแบบนี้มันไม่ถาวร"

            "พ่อรู้ได้ยังไง พ่อเห็นอนาคตลูกเหรอ เขาก็รักกันดีไม่ใช่หรือไง ถ้าเราไม่ได้เข้าไปยุ่ง..."

            "แต่ที่เราทำก็เพราะว่าเราหวังดีกับมันนะ"

            "เราหวังดีมากเกินไปหรือเปล่า ความหวังดีของเราทำร้ายลูกหรือเปล่าพ่อ ดูลูกเราตอนนี้สิ ลูกมีความสุขกับความหวังดีของเรามั้ย ลูกยอมทิ้งดนตรีก็เพื่อเรา พ่อเองก็รู้ว่าลูกเรารักกีต้าร์มากแค่ไหน แต่เขายอมทิ้งมันเพื่อโรงฝึก ลูกยอมทิ้งความฝันของลูก ทิ้งทุกอย่างของเขาในตอนนั้นก็เพื่อเรา แล้วเราตอนนี้จะทิ้งทิฐิเพื่อลูกไม่ได้เลยเหรอ ลองเปิดโอกาสให้ลูกสักครั้ง เปิดใจยอมรับในตัวลูก ให้เขาได้ลองทำตามใจของตัวเองบ้าง เราเป็นพ่อแม่ เราเลี้ยงตัวเขาได้ แต่เราเลี้ยงใจเขาไม่ได้นะพ่อ เราบังคับเขาให้เป็นทุกอย่างที่เราอยากให้เขาเป็นไม่ได้นะ เพราะเมื่อวันนึงที่เขาไม่มีเรา เขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขาเอง"

            "...."

            "นัทไม่ใช่น้องนัทที่วิ่งเล่นรถเข็นรอบบ้านเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ไม่ใช่น้องนัทที่หกล้มเมื่อไหร่ก็วิ่งร้องไห้มาหาเรา ลูกโตแล้ว โตพอที่จะตัดสินชีวิตตัวเองได้แล้ว เราแค่ถอยออกมา เฝ้าดูเขาอยู่ห่างๆก็พอ ถ้าเขาพลาดเราค่อยเข้าไปปลอบเขา เฝ้ามองเขาลุกขึ้น พ่อเข้าใจที่แม่พูดมั้ย"

            "...."

            "ถ้าเรารักเขา เราก็ต้องปล่อยเขาไป.... ไม่ว่าเขาจะรักใคร เราก็จะรักคนที่เขารัก อีกอย่างน้องซินก็น่ารักดี"

            "อะไร... น้องซินไหน"

            "ก็แฟนตานัทไง น้องซินน่ะ เขาน่ารักดีนะ พ่อเคยเห็นเขาใกล้ๆหรือยัง"

            "ก็เคยแล้ว แต่แม่เคยเห็นเขารึไง" ใบหน้าสงสัยหันมามองทันที

            "ไม่เคยเห็น แต่เอาเป็นว่าเขาน่ารักแล้วกัน แล้วว่ายังไงเรื่องลูก เลิกทำตัวเป็นพ่อใจร้ายได้รึยัง"

            "ก็ไม่ได้อยากเป็นพ่อใจร้าย...."

            "แล้วไอ้ที่ทำไปทั้งหมดนั่นเขาเรียกว่าอะไร"

            "ก็เป็นห่วงมัน..."

            "ไม่ต้องมาทำอ้อมแอ้มเลยนะ เป็นลูกผู้ชายจะพูดอะไรก็พูดให้มันดังๆ"

            "รู้แล้วน่าแม่นี่... อย่าดุนักสิ เห็นใจดีนักหนาไม่ใช่หรือไงตอนอยู่ต่อหน้าลูกน่ะ"

            "ลูกน่ารักก็ต้องใจดีสิ แต่เวลาอยู่กับพ่อไม่ดุแล้วจะกำราบได้หรือไง"

            "พูดไปนั่น ปลอบหน่อยสิ เสียใจอยู่นะเนี่ย" อื้อหือ แก่ปูนนี้แล้วจะอ้อนอีกนะ แต่เอาเถอะ เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อเองก็เสียใจไม่แพ้กัน พ่อเป็นคนหยิบยื่นโอลีฟเข้ามา ทำให้เรื่องราวมันบานปลายไปจนถึงขั้นนี้ พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายลูก แต่เพราะความผิดหวังทำให้มองไม่เห็น ปิดใจที่จะยอมรับ จนสุดท้ายกลายเป็นไม่ยอมมองหน้ากัน

            ทุกครั้งที่เห็นว่าพ่อไปยืนอยู่หน้าห้องนัท ยืนมองบานประตูสีขาวอย่างเงียบงัน ไร้คำพูดใด ในเวลาที่นัทเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้อง ความรู้สึกผิดเกาะกุมใจ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี เพราะทุกอย่างมันมาถึงจุดหนึ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ลูกเสียทุกอย่างไปแล้ว ด้วยมือของพ่อเอง

            "พ่อเองก็เสียใจ ถ้าเป็นไปได้ก็จะไม่ลากโอลีฟเข้ามายุ่งเลย เห็นว่าสวยน่ารัก อีกอย่างพ่อมันก็ซี้กันอยู่ ไม่นึกว่าจะทำถึงขั้นนี้ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นข่าวใหญ่โต"

            ทำเพียงนิ่งและรับฟังสิ่งที่อัดอั้นตันใจพ่ออยู่เท่านั้น

            "ไม่นึกว่าความรักแบบนี้จะเป็นเรื่องจริงจัง นึกว่าเวลาผ่านไปมันจะลืมไปเอง นึกว่ามันจะถอดใจไปง่ายๆ แต่ยิ่งเห็นมันในสภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไง ทุกอย่างเพราะพ่อเป็นคนทำ พ่อยื่นซินให้นัท แล้วพ่อก็พรากเขาไป ทุกอย่างทำลงไปเพราะความคิดเห็นของตัวเองล้วนๆ ไม่ได้สนใจความรู้สึกลูกเลย ...พ่อผิดไปจริงๆ"

            "ในเมื่อรู้ตัวว่าผิด แล้วพร้อมจะขอโทษหรือยัง" พ่อคล้ายอ้อมกอดออก ก่อนจะถอยออกไปเพื่อมองหน้าแม่ได้ถนัด

            "แต่ตอนนี้มันก็กำลังจะแถลงข่าวแล้ว ลูกเลือกที่จะถอยออกมาแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ทันแล้วแม่"

            "ทุกอย่างแก้ไขได้เสมอ ถ้าเราไม่เลือกที่จะปิดกั้นหนทางนั้นเอง"

            "แล้วพ่อควรที่จะทำยังไง"

            "แค่เคารพ และยอมรับในการตัดสินใจของลูกก็พอแล้ว ส่งยิ้มให้เขาในวันที่เขาดีใจ โอบกอดเขาไว้ในยามที่เขาทุกข์ อยู่เคียงข้างเขาในวันที่ไม่มีใคร เพราะถ้าเราปฏิเสธเขาไปอีกคน ชีวิตนี้เขาจะไม่เหลือใครเลย มันคงรู้สึกแย่นะพ่อ ที่โลกนี้ไม่มีใครเข้าใจเราเลยสักคน แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเอง"

             "นั่นสินะ..."

            ความเงียบแผ่ปกคลุมห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกที เพราะมันเต็มไปด้วยความเข้าใจ...


            ปัญหาทางนี้ ผ่านไปได้ด้วยดีแล้วนะลูก ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสองคนว่าจะให้เรื่องนี้มันเป็นยังไงต่อไป อยากจะให้มันจบแบบไหน ขึ้นอยู่กับใจของลูกทั้งสองคนแล้วนะ 

                     

TBC
...
ตอนนี้สั้นไปสักหน่อย เพราะแต่งยากมากจริงๆ
ไม่รู้ว่าจะออกมาดีมั้ย แต่พยายามทุกตัวอักษรแล้วค่ะ
ฝากด้วยน้า ติชมกันได้เลย

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ และทุกคนที่แวะเวียนมาอ่านกัน
พบกันตอนหน้าค่า
คืนนี้หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 เข้าใจ 100% [27/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-10-2013 22:52:45
ถึงพ่อจะเข้าใจแต่มันจะสายไปรึป่าวอ้ะ
เห้ออออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 เข้าใจ 100% [27/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 28-10-2013 19:26:11
พ่อกับแม่เข้าใจนัทแล้วววว
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ค่ายเพลงกับยัยโอลีฟที่จะแถลงข่าว!!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 เข้าใจ 100% [27/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 30-10-2013 18:33:02
ขึ้นอยู่กับคน 2 คนจริง ๆ ที่จะจับมือกันไว้
เพื่อจะก้าวไปด้วยกัน  หรือจะปล่อยมือที่
เคยจับกันให้ห่างออกไป...... :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน27 เข้าใจ 100% [27/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 30-10-2013 19:31:21
คุณแม่คะ  ถ้าจะวีนใส่คุณพ่อแล้วผลมันออกมาแบบนี้

ทำไมไม่รีบเข้าใจลูกกกกกกกกก

นัทงอแงเลย ตะสิโตนนนนนนนน  :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 30-10-2013 23:33:42
28

((แถลงข่าว))



            และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ผมไม่อยากให้มันมาถึงมากที่สุด วันที่ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไป วันที่จะทำให้ผมกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว วันที่ผมจะปล่อยมือจากซิน วันแถลงข่าวของผมกับโอลีฟ

            หลังจากตื่นมาแต่งตัวจนเรียบร้อย ผมก็นั่งอยู่บนปลายเตียงอย่างนี้มาได้สักพักแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะไปเลย ไม่มีความตื่นเต้นสักนิด ในใจลึกๆมันแอบอดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันนี้ผมได้ไปแถลงข่าวกับซิน ป่านนี้ผมคงบินไปรับเขาที่บ้านแล้ว คงดี๊ด๊าอารมณ์ดีไม่ต้องมานั่งอมทุกข์แบบนี้ แต่ก็คิดได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

            อะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ยังคงเป็นไปไม่ได้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์

            หลังจากถอนหายใจอย่างถอนรากถอนโคนจนเสร็จ เหลือบไปมองนาฬิกาเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงจำต้องลุกขึ้น

            ทำทุกๆอย่างให้มันเสร็จซะ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม กลับมาเป็นไอ้นัทคนเดิมที่ไม่มีใคร ดูแลโรงฝึกแทนพ่อ ไร้ความฝัน...ไร้ความรัก

            วันนี้บ้านเงียบผิดปกติ พ่อกับแม่ไปไหนกันนะ หรือว่าจะหลบหน้าผม?

            ช่างเถอะ ไม่ได้อยากรับรู้อะไรแล้วตอนนี้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีขอให้ฟ้ามืดแล้วไม่ได้หรือไง อยากให้เวลาผ่านไปไวๆจัง

            ตลอดระยะทางที่ขับรถผ่านมา ทำไมอะไรมันก็เชื่องช้าไปหมด หรือใครกดปุ่มสโลว์เอาไว้ ไฟแดงนานกว่าทุกที คันเร่งนี่มันก็ช่างหนักเหลือเกิน หรือว่ามันรู้ว่าผมไม่อยากให้มันไปถึงเลย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่แล้วภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ผมมองตามไปตาไม่กระพริบ

            แผ่นหลังบางกับเส้นผมเป็นลอนยาวสลวยนั่นที่เดินอยู่ข้างถนนตอนนี้ ซินหรือเปล่า ใช่ซินมั้ย มาทำอะไรตรงนี้! แล้วนั่นกำลังจะไปไหน

            และเพราะความสงสัยทำให้มองตามเขาไปเหลียวหลัง จนลืมไปตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงแตรดังลั่น หันกลับมาก็พบว่าตัวเองฝ่าไฟแดงออกมาเรียบร้อยแล้ว รถทางด้านขวากำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว หูสองข้างอื้ออึงไปหมด สติกระจัดกระจาย มือไม้เกร็งแข็ง

            ฉิบหาย... คำนี้เท่านั้นที่นึกออก         

            เมื่อมองยังไงก็คงไปไม่พ้น จึงตัดสินใจเหยียบเบรกในวินาทีสุดท้าย เสียงล้อบดกับถนนดังลั่น พร้อมกับเสียงแตรจากทั่วทุกสารทิศ ผมกำพวงมาลัยแน่น หลับตาปี๋ นาทีนี้หน้าพ่อหน้าแม่ลอยขึ้นมาทันที แล้วโรงฝึกจะทำยังไง ใครจะดูแลต่อจากพ่อ พ่อแม่มีเราแค่คนเดียว พวกท่านจะทำยังไง ใครจะดูแลแม่

            ...ซิน

            'ซินรักนัทนะ' เสียงหวานล่องลอยมากับสายลม จากที่ไหนสักแห่งในห้วงนึกคิด เพียงแค่นั้น ความกลัวต่างๆก็พลันหมดสิ้นไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง

            'ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน ...ซิน'

            หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดนิ่งลง เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงใด

            เขาว่ากันว่า ความตายบางเบาราวกับขนนก... แล้วนี่ ผมตายหรือไง?

            แต่แล้วเสียงเคาะกระจกทางด้านฝั่งคนขับก็เรียกให้สติผมคืนกลับมา ก่อนจะค่อยๆหรี่ตาขึ้นมาทีละนิด มองเห็นผู้คนมากมายกำลังมุงรถผมอยู่

            ยัง... ผมยังไม่ตาย?

            รถยังไม่ได้ชน เพราะทั้งผมและเขาเบรกทัน

            อกไอ้นัทจะแตกกกกกกกกกกกกกกก!!! ไม่เคยตกใจเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต! ชีวิตนี้ไม่เคยเข้าใกล้นาทีเฉียดตายเท่านี้มาก่อนเลยโว้ยยย

            มือที่กำพวงมาลัยอยู่สั่นเครือ นี่ผมทำบ้าอะไรอยู่วะ เกือบตายไปแล้วไง

            ....ซิน! เมื่อกี้ผมเห็นซิน! คิดได้ดังนั้นก็รีบเปิดประตูลงมาจากรถทันที หันมองไปทางที่ผมเห็นเขาในครั้งแรก พบคนที่ผมคิดว่าเป็นซินยืนอยู่ริมขอบถนน กำลังมองมาทางนี้อย่างสนใจ

            ไม่.... ไม่ใช่ซิน ก็แค่ผู้หญิงคนนึงที่มองดูเหมือนซินเท่านั้นเอง ไม่ใช่...

            หึ... นี่ผมกำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆใช่มั้ยวะ หน้ามืดตามัวขนาดจำซินไม่ได้เลยหรือไง

            "คุณ.. คุณ" แรงเขย่าแขนทำให้ผมหันกลับมามองข้างตัว พบคู่กรณีที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กน่าตาน่ารักคนหนึ่งยืนอยู่

            "ครับ?"

            "คุณเป็นอะไรมั้ย อยู่ดีๆฝ่าไฟแดงออกมาทำไม" เมื่อตั้งสติได้จึงหันมองสภาพแวดล้อมรอบตัว หลายคนลงมาจากรถเพื่อมองดูเหตุการณ์ และเพราะรถผมขวางทางอยู่ ทำให้การจราจรไปต่อไม่ได้ กลิ่นไหม้จากการที่ล้อบดกับถนนตลบอบอวลไปหมด หลายคนเริ่มก่นด่าสาปแช่งผมแล้วครับ

            "เอ่อ ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมากมั้ย รถคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ผมผิดเอง ...พอดีกำลังคิดอะไรเพลินๆ"

            "ทำแบบนี้ไม่ดีนะคุณ กำลังขับรถอยู่ก็ต้องมองถนนสิ ไม่มีสติแบบนี้ชนคนอื่นเขาจะทำยังไง ตายคนเดียวไม่ว่า จะพาคนอื่นข้าตายไปด้วย ยังดีนะที่ฉันเหยียบเบรกทัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ตายทั้งคู่"

            "ขอโทษครับ แล้วคุณต้องการค่าเสียหายเท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้ ตอนนี้ผมรีบ" ก้มมองนาฬิกา เวลาเริ่มกระชั้นเข้ามาแล้ว

            "ค่าเสียหายน่ะฉันไม่ได้อยากได้หรอก ฉันกับรถไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากจะมาตักเตือนสักหน่อยเท่านั้นแหละ โตแล้วนะคุณ"

            อื้อหือ หน้าตาน่ารักมากนะครับ ท่าทางเมื่อสาวหัวนอกซะด้วย แต่นิสัยเหมือนแม่ผมเลย จะว่าเธอก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะครั้งนี้ผมผิดเต็มๆ ไม่นานหลังจากนั้นตำรวจก็เข้ามาเคลียร์ คู่กรณีผมไม่เอาเรื่อง เพราะเขาเองก็รีบไปทำงานเหมือนกัน แต่ผมนี่ต้องไปจ่ายค่าปรับที่สน. เนื่องในข้อหาขับรถโดยประมาท ฝ่าไฟแดง หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ต้องรีบไปบริษัททันที คราวนี้สติมาเต็ม ไม่วอกแวกข้างทางแล้วครับ

            วันนี้ผมเกือบตาย แล้ววันต่อๆไป ผมจะตายมั้ยนะ

            ผมจะตายมั้ยถ้าไม่มีซินอยู่ข้างๆ....

            จอดรถยังไม่ทันไร โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา ผมจึงกดรับก่อนที่จะก้าวลงจากรถ ตอนนี้ต้องเปิดโทรศัพท์แล้วล่ะครับสำหรับงานนี้ แต่มันก็ไม่มีข้อความจากซินส่งมาอีกเลย โทรศัพท์เองก็ไม่มี

            "ครับ"

            (คุณนัทมาถึงบริษัทรึยังคะ นี่ก็ใกล้เวลามากแล้วด้วย)

            "ครับถึงแล้ว ผมกำลังจอดรถ"

            (รบกวนรีบมานิดนึงนะคะ เพราะคุณโอลีพมาถึงแล้ว)

            "ครับ กำลังรีบไป" ปลายสายวางไป ผมจึงหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเรียกแรงฮึดให้ตัวเอง

            เอาวะ! เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง แล้วมันก็จะจบ

            วันนี้ผมเข้าบริษัทจากทางด้านหลัง เพราะด้านหน้านักข่าวต้องดักอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ ผมไม่อยากที่จะต้องพบเจอพวกเขาตอนนี้ ขอตอบคำถามแค่ในที่แถลงข่าวก็พอ เพราะยังไงคำตอบที่ผมต้องตอบก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น นอกนั้นเป็นหน้าที่ของโอลีฟ

            "นัท!" ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องเตรียมตัว โอลีฟก็รีบถลาเข้ามาหาผมทันที มีผู้ใหญ่ของทางค่ายสองสามคนอยู่ในนี้ด้วย ผมจึงบิดมือโอลีฟออกจากแขน ก่อนจะกล่าวทักทายทุกคน

            "ทำไมมาช้าจังเลย ทุกคนรออยู่นะ"

            "พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย"

            "อุบัติเหตุอะไรเหรอคะ!" ผมดึงแขนตัวกลับมา หลังจากโอลีฟคว้าเอาไปควงรอบสอง

            "ขับรถฝ่าไฟแดงน่ะ คิดอะไรเพลินๆ"

            "อุ้ยตายจริง! แล้วเป็นอะไรมากมั้ยคะ!" แอบลอบถอนหายใจกับท่าทางตกใจจนเว่อของคุณเธอ ก่อนจะบิดแขนออกรอบที่สาม และเดินห่างออกมาจากเธอ

            "เป็นอะไรมากหรือเปล่าน่ะ" ผู้ใหญ่จากทางค่ายที่พูดคุยกับผมเรื่องซินในครั้งนั้นถามขึ้น

            "ไม่เป็นอะไรหรอกครับ เหยียบเบรกได้ทัน พอดีต้องแวะไปจ่ายค่าปรับที่สน.เลยทำให้มาช้า ขอโทษที่ต้องให้ทุกคนรอครับ"

            "อืม ไม่เป็นไรหรอก ไม่เจ็บตรงไหนก็ดีแล้ว นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาดี นั่งพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกัน"

            "ครับ"

            ผมนั่งลงตามคำเชิญ โดยมีโอลีฟเดินมานั่งข้างๆด้วย โอ๊ย! อะไรของผู้หญิงคนนี้วะ ต้องการอะไรจากสังคม! ต้องการอะไรจากผู้ชายคนนี้นักหนาวะครับ!

            "เป็นอะไรตรงไหนมั่งมั้ยคะ โอลีฟใจหายหมดเลย"

            "ก็ยังไม่ได้ตายหรอกครับ" ตอบออกไปด้วยความรำคาญ ทำเอาสาวเจ้าหน้าเสียไปนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่วายมาเกาะแกะผมอีก เพียงแต่ครั้งนี้พูดกระซิบรอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน

            "พูดดีๆกับโอลีฟหน่อยนะคะ เพราะครั้งนี้ ซินจะรอด...หรือไม่รอด ขึ้นอยู่กับโอลีฟนะคะ"

            ผมหันหน้ามองผู้หญิงคนนี้อย่างทึ่งจนสุดจะทึ่งทันที ไม่อยากจะเชื่อ! นี่คือคนที่ผมจะต้องบอกคนอื่นว่าเขาคือคนที่ผมรักเหรอวะครับ ใครก็แล้วแต่นะที่ได้ผู้หญิงคนนี้ไปเป็นแฟนจริงๆ ผมว่าไอ้คนนั้นแม่งโคตรโชคร้ายที่สุดในโลกอ่ะ

            ผมสลัดแขนเธอออกอีกครั้งอย่างไร้เยื่อใย และหันหน้าหนีมาอีกทาง

            "นัทคะ!" คราวนี้เสียงดังอย่างไม่สนใจใครเลยครับ ผมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นโรคจิตว่ะ หรือว่าทางบ้านเลี้ยงมาให้เป็นแบบนี้ ขาดความอบอุ่นหรือไง

            ทุกคนในห้องหันมามองตามเสียงของโอลีฟ ทุกคนในที่นี้รู้ว่าเรื่องที่เรากำลังจะทำมันจอมปลอม เพราะฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นแฟนเธอตอนนี้ ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินไปแล้วกัน

            "หึ! อย่านึกว่าที่ฉันยอมทำแบบนี้แล้วจะมาเมินใส่ฉันได้นะ อย่าลืมสิว่าทุกๆอย่างขึ้นอยู่กับคำให้สัมภาษณ์ของฉัน หรืออยากจะให้ฉันใส่ร้ายป้ายสีซินของนายมากกว่านี้" นางมารร้ายออกโรงเต็มที่แล้วครับ หลายคนมองอ้าปากค้าง คงเป็นเพราะไม่คิดว่ารูปร่างหน้าตาแบบนี้ จะมียักษ์ร้ายซ่อนอยู่ภายใน

            "เอ่อ... คุณโอลีฟใจเย็นๆนะคะ คือ..." ทีมงานพยายามเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่โอลีฟกลับเมินเขาไป และเดินมายืนตรงหน้าผมแทน

            "ต้องการแบบไหนคะนัท"

            เล่นเอาผู้ชายคนนี้ไปไม่เป็นเลยครับ ไม่เคยเจอคนประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผมว่าผมเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงมากนะ และไม่เคยว่าร้ายผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นจึงจำต้องกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ไม่ได้ๆ ชกหน้าผู้หญิงไม่ได้นะนัท....

            "ว่าไงคะ หรือจะให้โอลีฟออกไปบอกนักข่าวด้านนอกว่าซินแย่งนัทไปจากโอลีฟ แย่งไปหน้าด้านๆ" คำว่าหน้าด้านๆนี่กระชากความอดทนของผมจนขาดสะบั้น คาดว่าทุกคนในห้องนี้เองก็คงจะช็อกเหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร พวกผู้ใหญ่นี่กุมขมับกันไปแล้ว

            "แค่บีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสารนิดหน่อย คิดว่านักข่าวเขาจะเชื่อใครล่ะคะ ผู้หญิงบอบบางที่น่าสงสาร กับผู้ชายที่ไม่เคยออกมาให้ข่าวอะไรเลย"

            ผมจำเป็นต้องกำมือจิกนิ้วลงไปเพื่อระงับอารมณ์ แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรเลยครับ เมื่ออีกฝ่ายจงใจราดน้ำมันลงบนกองไฟซะขนาดนั้นแล้ว

            "ทีนี้จะทำยังไงดีคะ"

            "ผมไม่รู้นะว่าคุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรโอลีฟ ไม่ว่าคุณจะอยากเอาชนะซินหรือว่าใคร ผมขอบอกเลยว่าไม่มีทาง ที่ผมยอมทำทุกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมยอมแพ้คุณ แต่ผมทำทุกอย่างเพื่อซิน ผมไม่อยากให้เขาต้องมาเดือนร้อนเพราะความอยากเอาชนะเหมือนเด็กนิสัยเสียของคุณ อยากให้รู้เอาไว้ว่าผมไม่ได้นึกพิศวาสคุณแม้แต่น้อย ถ้าไม่มีเรื่องนี้เข้ามาผมไม่มีทางอยากเข้าใกล้คุณเด็ดขาด ผู้หญิงที่สวยแต่หน้าแต่จิตใจกลับมืดบอดแบบคุณ ไม่มีใครเขาอยากเข้ามาพัวพันด้วยหรอกนะ"

            ในห้องเงียบกริบเมื่อผมพูดประโยคยาวแสนยาวนั่นจบลง พยายามเลือกใช้คำที่สุภาพที่สุดแล้ว เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นลูกเพื่อนพ่อผม และเธอเป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในโลกที่ผมอยากจะทำดีด้วยก็เถอะ

            โอลีฟกำมือทั้งสองข้างแน่น เตรียมจะกรี๊ดเต็มที่ ผมจึงชิงพูดกับเธอซะก่อน

            "แล้วถ้าคุณอยากจะกรี๊ดก็เชิญเลย ถ้าอยากให้นักข้าวด้านนอกนั่นแตกตื่นเพราะเสียงกรี๊ดของคุณ ที่นี้จะได้รู้กันไปว่านางเอกแสนสวยในจอโทรทัศน์ ความจริงแล้วเป็นคนยังไง"

            ปากสวยเม้มเข้าหากันแน่นอย่างพยายามห้ามตัวเอง ก่อนที่เธอจะกระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ

            "แล้วอยากจะให้สัมภาษณ์ยังไงก็แล้วแต่เลย ถ้าคุณอยากให้งานนี้พังก็แล้วแต่คุณ เพราะไม่ใช่ผมกับซินหรอกที่จะมีข่าวเสียๆหายๆ คุณเองก็เหมือนกัน แล้วที่นี้มาดูกันว่าใครจะดับก่อนใคร"

            ผู้หญิงใจร้ายอ้าปากหวออย่างตกตะลึง คงไม่คิดว่าผมจะพูดกับเธอแบบนี้ เพราะผมเองก็ตกใจตัวเองเหมือนกัน

            ครั้งแรกครับ กับการด่าผู้หญิงแล้วซะใจมากเท่านี้ โคตรแมนเลยกู....

            "พอได้รึยัง นี่ก็เลยเวลามานิดหน่อยแล้ว ออกไปกันได้แล้วล่ะ" เสียงผู้ใหญ่คนเดิมพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจเต็มที เป็นไงล่ะครับ รู้ฤทธิ์ของผู้หญิงคนนี้กันแล้วหรือยัง คิดผิดแล้วล่ะที่คิดจะเล่นกับเธอ

            พวกผู้ใหญ่เดินออกไปกันก่อน ส่วนผมกับโอลีฟจะตามออกไปทีหลัง รู้สึกดีใจมากครับที่พูดแบบนั้นออกไป เพราะเธอไม่เข้ามาเกาะแกะผมอีกเลย ผมจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่ทีมงานจะพาผมกับโอลีฟเดินออกไป

            ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องแถลงข่าว เสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชมากมายต้องกระทบตาทันที แต่ด้วยความที่ทำงานกับสิ่งเหล่านี้มานานสายตาจึงเริ่มชิน ไม่จำเป็นต้องกระพริบตาหลบเหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว หลังจากที่ได้ระเบิดอารมณ์ออกไปบ้างก็ช่วยให้ดีขึ้นมาอีกนิด แต่ตอนนี้ ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มกลับมาอีกแล้วครับ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผมจะต้องตอบออกไป

            ตอนนี้ซินจะอยู่ที่ไหนนะ กำลังทำอะไรอยู่ รู้เรื่องที่ผมจะทำในวันนี้แล้วใช่มั้ย เขาจะเห็นด้วยและเข้าใจในสิ่งที่ผมทำใช่มั้ย เขาจะรู้ใช่มั้ยว่าที่ทำลงไปก็เพื่อเขา

            เพื่อให้เขาได้มีที่บนทางแห่งความฝันของเขาต่อไป

            นายต้องมีความสุขให้มากนะซิน...

            นักข่าวที่มาวันนี้มากมายมหาศาลครับ มากกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ที่นั่งผมกับโอลีฟอยู่บนเวทีด้านหน้าห้อง เวทีเป็นพื้นที่ยกสูงขึ้นจากพื้นไม่มากนัก ส่วนบรรดานักข่าวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านล่าง ด้านหน้าเป็นส่วนของนักข่าวที่จะถามคำถาม ส่วนด้านหลังเป็นที่ยืนของตากล้อง ผมจะดังก็งานนี้ล่ะครับ ขนกันมาหมดทุกสำนักจริงๆ

            ส่วนบรรดาผู้ใหญ่นั่งอยู่บนโซฟาด้านข้างติดพนังหันหน้าออกมาทางพวกเรา ผมกับโอลีฟนั่งอยู่ด้านข้างกัน โดยมีทีมงานอีกคนนั่งอยู่ด้วย

            "เอาล่ะครับพี่น้องนักข่าวทุกคน ในเมื่อได้เวลาแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ขอบอกกฏิกาในการแถลงข่าวก่อนนะครับ คนไหนอยากจะถามยกมือขึ้น และขอให้ผมได้เชิญท่านก่อน ค่อยถามคำถามนะครับ และคำถามที่จะถาม ขอให้อยู่ในขอบเขตการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยนะครับ เริ่มได้เลยครับ"

            จบคำพูดทีมงาน นักข่าวก็ยกมือกันให้พรึบพรับทันที

            "เชิญคุณนักข่าวเสื้อฟ้าครับ"

            "เรื่องที่ว่าคุณซินแย่งคุณนัทมาจากคุณโอลีฟ จริงหรือเปล่าค่ะ"

            คำถามแรกก็เข้าเป้าเลยครับ โอลีฟหันมามองหน้าผมยิ้มๆตามบท ผมจึงจำต้องยิ้มฝืนๆตอบกลับไป

            "คือเรื่องนี้โอลีฟอยากจะอธิบายให้พี่ๆนักข่าวทุกคนเข้าใจนะคะ ว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเฉยๆค่ะ จริงๆแล้วพี่ซินไม่ได้แย่งพี่นัทไปจากโอลีฟหรอกนะคะ" ผมกลายเป็นพี่นัทไปแล้วครับ หึ... ไหลลื่นเก่งมากจริงๆ

            "คำถามต่อไปครับ" นี่ก็ไวมาก ไม่ต้องรอให้อธิบายเพิ่มเลย "เชิญคุณเสื้อขาวครับ"

            "แล้วที่มีข่าวออกมาว่าคุณโอลีฟจงใจโจมตีคุณซินล่ะคะ ก็ไหนว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด"

            "จริงๆแล้วโอลีฟไม่ได้โจมตีพี่ซินเลยนะคะ ทุกคนตีความหมายกันแรงไปนิดนึง คำว่าโจมตีนี่รุนแรงมากนะคะสำหรับโอลีฟ โอลีฟเองก็เป็นแฟนเพลงพี่เขาคนนึง ติดตามผลงานพี่เขามานานมากแล้วค่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโจมตีพี่เขาเลย โอลีฟเคยเจอพี่ซินครั้งสองครั้งนะคะ ก็ทักทายกันปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยค่ะ พี่ซินน่ารักเป็นกันเองมาก สามารถร่วมงานกันได้ปกติค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย"

            "เชิญคุณเสื้อขาวด้านซ้ายครับ"

            "ขอถามคุณนัทบ้างนะคะ" ทันทีที่มือชื่อผมอยู่ในบทสนทนา ทำเอามือที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำเข้าหากันแน่น ถึงตาผมแล้วล่ะครับ ถึงคำตอบที่เตรียมไว้จะจำได้ขึ้นใจแล้วก็จริง แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะต้องตอบออกไป ไม่รู้ว่าเขาจะถามผมว่าอะไรนะ "คุณนัทกับคุณซินมีความสัมพันธ์แบบไหนกันอยู่คะ"

            คำถามนี้...มาจนได้สินะ คำตอบสวยหรูมีอยู่ในหัวแล้วครับ แต่มันยากตรงที่ต้องเปล่งปากพูดนี่แหละ ไม่อยากพูดว่าไม่รัก ไม่อยากพูดว่าไม่ได้คิดอะไร ไม่อยากพูดว่าผมกับซินเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่อยากพูดเลย... แต่เพราะว่าทุกคนกำลังรอคำตอบจากผมอยู่ คำตอบที่จะทำให้ทุกเรื่องมันจบไป ต่อให้ไม่อยากพูดแค่ไหนก็ต้องพูด 

            กลั้นใจอ้าปากเตรียมจะตอบ แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไปนั้น กลับมีเสียงของใครอีกคนตอบแทรกขึ้นมาเสียก่อน

            "เราคบกันอยู่...."   



พบกันอีก 50%
.....
โครม!! เสียงคนอ่านล้มโต๊ะ
ก่นด่าสาปแช่งได้แต่อย่าตามมาเผาบ้านเค้านะ ><
โอลีฟนางออกโรงอีกแล้ว แต่เฮียช่วยจัดการไปหน่อยนึง คงช่วยให้สะใจได้บ้างไม่มากก็น้อยน้า

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน่ารักๆนะคะ
พบกันตอนหน้าค่า           
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 30-10-2013 23:48:23
โอลีฟเป็นตัวร้ายที่มันส์มาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ถ้าไม่มีนาง เรื่องจะไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ :hao7: :hao7:

แอร๊ยยย เปิดตัวซินแล้ววว

คำผิด
สะใจ ไม่ใช่ ซะใจ จ้าา
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-10-2013 00:24:20
เสียงนางฟ้ารึปล่าวววววววว
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 31-10-2013 01:19:27
โอลีฟเป็นตัวร้ายที่มันส์มาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ถ้าไม่มีนาง เรื่องจะไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ :hao7: :hao7:

แอร๊ยยย เปิดตัวซินแล้ววว

คำผิด
สะใจ ไม่ใช่ ซะใจ จ้าา

ขอบคุณมากค่าา><
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: matilda.taon ที่ 31-10-2013 05:12:58
 :hao7: :katai5: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 31-10-2013 05:28:11
ค้างงงงงงงงงงงงงง
ซินใช่มั๊ยเสียงซินใช่มั๊ย!!!!!!!
รอตอนต่อไป!!
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 31-10-2013 06:53:16
โอยยยยยยยยย ค้าง พี่ซินจ๋า พี่ซินมาแล้วใช่มั๊ย?

รักคู่นี้จริงๆ โอยยลุ้น :a5: :katai1: :serius2:

 :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว 50% [30/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 31-10-2013 14:21:36
กรี๊ดดดดดดด มันค้างงงงง ไม่ดราม่าแล้วได้มั๊ยอ่า น้ำตาจะท่วม  :hao5:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว100% [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 02-11-2013 22:29:46
28

((แถลงข่าว))


            "เราคบกันอยู่ครับ"

            เสียงที่ดังมาจากด้านหลังห้องทำให้ทุกสายตาหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งผมด้วย ในเมื่อเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...เขา

            เสียงนี้ที่แสนคิดถึง

            เสียงนี้ที่เฝ้าฝันถึงมาตลอด

            เสียงนี้ที่อยากได้ยินแทบตายแต่ก็จำใจต้องห่าง

            ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยแหวกบรรดาช่างภาพเข้ามา ก่อนจะเดินมาทางนี้ ตามด้วยพี่โอ๊ตที่ตามหลังมาติดๆ ใบหน้าหวานซูบซีดกว่าที่เคย ดวงตากลมที่เคยฉายแววสดใสก็เต็มไปด้วยความกังวล ไม่มีแววร่าเริงอยู่เลย ได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่านะ คิดมากใช่มั้ย ร้องไห้เพราะฉันใช่มั้ย นาย...สบายดีหรือเปล่าซิน

            ผมค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆเมื่อซินมาหยุดลงตรงหน้าผมพอดี เสียงฮือฮาดังไปทั่วห้องเมื่ออยู่ๆซินก็ปรากฎตัว ทางบรรดาผู้ใหญ่เองก็ลุกขึ้นยืนอย่างตกใจเช่นกัน

            แต่เมื่อกี้เขาว่าไงนะ ใคร...คบใคร

            “คุณซินคะคุณซิน!! จริงหรือเปล่าคะที่ว่าคุณทั้งสองคนคบกัน!!” เสียงดังอื้ออึงขึ้นมาทันทีเมื่อทุกคนลุกฮือขึ้นมา ช่างภาพก็กรูกันเข้ามาเพื่อจะถ่ายรูป บรรยากาศโกลาหลวุ่นวายไปหมด แต่ผมไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยนอกจากซินที่กำลังยืนมองหน้าผมอยู่ตรงนี้ เขาเองก็ไม่ได้สนใจจะหันไปมองนักข่าวคนไหนเลยเช่นกัน

            สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และไม่เข้าใจ ปากบางเผยอปากขึ้นนิดๆเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็หยุดไปซะเฉยๆ เม้มปากเข้าหากันก่อนที่ซินจะหันหน้าหนีผมไปทางอื่น ผมเองก็มีอะไรหลายๆอย่างอยากจะบอกเขา

            แต่เดี๋ยว... ซินมาที่นี่ทำไม

            แล้วเมื่อกี้ได้ยินแว่วๆว่าอะไรนะ เราคบกัน ใครคบใครครับ บอกตรงๆตอนนี้สมองไอ้นัทงอกสุดๆ คิดอะไรไม่ทันแล้วจริงๆ

            “ทุกคนอยู่ในความสงบก่อนนะครับ! เรากลับเข้าสู่งานแถลงข่าวกันต่อนะ พี่น้องนักข่าวกลับเข้าที่นั่งตัวเองก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีการตอบคำถามเกิดขึ้นเด็ดขาด” คุณโอ๊ตตะโกนขึ้นเสียงดัง ทำให้เสียงอื้ออึงโดยรอบซาลงไปบ้าง หลายคนกลับไปนั่งที่ของตัวเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่กำลังอ้อยอิ่งยืนถ่ายรูปกันอยู่

            “นี่มันเรื่องอะไรกันซิน” ทางผู้ใหญ่ของบริษัทเดินเข้ามาถามซินทันที น้ำเสียงบ่งบอกชัดว่าสถานการณ์ตรึงเครียดถึงขีดสุดแล้ว

            “เรื่องนี้ขอซินจัดการเองนะครับ ไม่ว่ามันจะมีผลออกมายังไง ขอให้ซินเป็นคนตัดสินใจเอง ถ้าทุกอย่างมันจะจบซินก็จะยอมรับ แต่ซินมั่นใจว่าทุกๆคนและทุกๆฝ่ายมีเหตุผลมากพอ”

            “อะไรนะ แต่เรื่องนี้มัน”

            “ถ้าอนาคตซินจะดับเพราะซินมีคนรักก็ให้มันรู้ไป”

            ถึงกับพูดไม่ออกกันไปเลยทีเดียว ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งผม.... ผมยืนนิ่ง มองซินก้าวขึ้นมาบนเวที นั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางทีมงานจัดมาให้อีกตัว นี่มันอะไรกันครับ ซินกำลังจะทำอะไร

            แต่... ทุกคนลืมใครไปคนหนึ่งหรือเปล่า คนที่ตอนนี้ใบ้กินไปแล้วเรียบร้อย ยืนตัวสั่นนิ่งเงียบอยู่ข้างๆผมนี่เอง ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ กำลังกลั้นใจไม่ให้ตัวเองกรี๊ดออกมาอยู่ ดูจากท่าทางสติใกล้แตกเต็มทีแล้วครับ เดาได้จากตาที่จ้องซินอยู่กำลังจะถลนออกมาแล้ว แต่เจ้าตัวเขาก็นั่งไขว่ห้างหน้านิ่งไม่ได้สนใจ ผมเองจึงจำต้องนั่งลงตามเดิม

            “เอาล่ะครับ คราวนี้เชิญถามคำถามต่อได้เลย” ตอนนี้คุณโอ๊ตกลายเป็นคนควบคุมงานแทนทีมงานคนเก่าแล้ว

            “จริงหรือเปล่าคะที่ว่าคุณซินกับคุณนัทคบกันอยู่”

            “จริงครับ/ไม่จริงค่ะ!!” เสียงเนิบช้าเป็นของซิน กับเสียงที่แทบจะกรีดร้องอยู่แล้วเป็นของโอลีฟ เล่นเอานักข่าวมึนตึ้บเมื่อทั้งสองคนตอบไม่เหมือนกัน หลายคนเริ่มมองหน้ากันเอง ส่วนผมเหรอ....

            มองซินจนตาจะถลนออกมาอีกคนแล้วครับ เมื่อกี้ซินบอกว่าผมกับเขาคบกันเหรอ ซินบอกทุกคนว่าผมกับเขาคบกัน!! นั่นนักข่าวนะ ไหนจะกล้องพวกนั้นอีก เก็บภาพกันอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำเลยนะ จะมาบอกทีหลังว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดไม่ได้แล้วนะ! ทำไมซินบอกแบบนั้น

            “สรุปยังไงกันแน่คะ เรื่องนี้มันยังไงกันแน่ สรุปว่าคุณนัทกำลังคบกับใครอยู่คะ”

            ทุกสายตาหันมามองทางผมทันที กรรมมาลงที่กูแล้วครับ... แล้วผมควรจะตอบว่ายังไงล่ะ สรุปว่าสคริปที่จำมาทั้งหมดนั่นโยนทิ้งไปเลยใช่มั้ย ผมหันมองคนข้างตัว ฝั่งซินนะครับไม่ใช่ฝั่งโอลีฟ แต่เขาไม่ได้มองผม กำลังทอดสายตาออกไปทางนักข่าว แต่ผมรู้ว่าเขาเองก็รอฟังคำตอบของผมอยู่เหมือนกัน

            “ผมกับซิน.....”

            “เราคบกันอยู่ครับ” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบ คู่กรณีของผมเขาก็ต่อให้ เรียกเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง กล้องนี่กดกันรัวเลยครับ

            “ทำไมพี่ซินพูดแบบนั้นล่ะคะ โอลีฟต่างหากที่เป็นแฟนพี่นัท” เอาแล้ว นางร้ายเริ่มออกโรงอีกแล้ว คราวนี้มาพร้อมน้ำตาคลอหน่วย ไปเรียกมาตอนไหนวะน่ะ! เมื่อกี้ยังสติหลุดอยู่เลย

            แต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มเลวร้ายแล้วครับเมื่อคนสองคนพูดไม่เหมือนกัน ไอ้ผมที่เป็นคนกลางก็ได้แต่นิ่งเงียบ แล้วนี่ผมควรจะตอบว่ายังไงดีวะครับ ห่วงซินก็ห่วง แต่เขามาตอบแบบนี้ แล้วผมควรจะทำยังไงดี...

            “ยังไงกันแน่คะเนี่ย พวกพี่งงไปหมดแล้ว สรุปว่าใครคบใครกันแน่คะ”

            “ซินกับนัทเรารู้จักกันมานานมากแล้วครับ ก่อนที่ซินจะเข้าวงการซะอีก ตอนนั้นเราทำเพลงด้วยกัน ตั้งใจว่าจะออกอัลบั้มด้วยกัน แต่นัทเขาต้องกลับไปดูแลกิจการที่บ้านต่อ เรื่องนั้นก็เลยต้องล้มเลิกไป เราก็ห่างๆกันมาช่วงนึง จนตอนนี้ที่นัทมาเป็นบอดี้การ์ดของผม เราก็เลยเริ่มคุยๆกันใหม่อีกครั้งครับ”

            “สรุปแล้วนัทคบกับซินใช่มั้ยคะ แล้วอย่างนี้ทั้งสองคนก็เป็นคู่เกย์กันอย่างที่มีข่าวจิ้นกันจริงๆใช่มั้ย”

            “เราก็ไม่อยากให้ทุกคนใช้คำจำกัดความไหนเรียกเราทั้งสองคนหรอกนะครับ เอาเป็นว่าเราสองคนรักครับ”

            “ไม่จริง! นายจะมาพูดแบบนี้ไม่ได้นะ นายน่ะ แย่งเขาไปจากฉัน!” สติหลุดไปแล้วเรียบร้อยครับโอลีฟ

            “เอ่อ....” นักข่าวที่ถือไมค์ถามอยู่ถึงกับพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว

            “ฉันต่างหากที่เป็นแฟนเขา นัทไม่มีทางชอบผู้ชายอย่างนายหรอก หัดละอายซะบ้างนะ!”

            “ใครกันแน่ที่ต้องละอาย รู้ตัวดีอยู่แก่ใจแล้วยังจะทำแบบนี้อีก” ได้เห็นซินสู้คนก็วันนี้แหละครับ เพียงแต่ซินเลือกที่จะใช้น้ำเสียงเรียบเฉย แทนที่จะวิ่งเต้นไปตามโอลีฟ

            “นัทคะ! บอกไปสิคะ บอกทุกคนเขาไปว่านี่มันเรื่องเข้าใจผิด!” นี่ก็จะให้เข้าใจผิดอย่างเดียวเลย มันมาถึงขั้นนี้แล้วนะ ยังจะเข้าใจผิดอะไรกันอีก

            ผมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด

            “ผมกับซิน เราคบกันอยู่จริงๆครับ”

            “อะไรนะ!!” เสียงถามอย่างไม่พอใจดังมาจากทางโอลีฟ ผู้ใหญ่ที่นั่งฟังเราอยู่เองก็มองมาทางผมอย่างตกใจเช่นกัน อย่าหาว่าผมกลืนน้ำลายตัวเองเลยนะครับ แต่ที่ซินลงทุนมาถึงที่นี่ ยอมประกาศออกสื่อขนาดนี้ก็เพื่อเรา ทั้งๆที่ผมคิดว่าเขาจะเลือกความฝันของเขา แต่เขากลับเลือกผม...

            แล้วจะให้ผมนิ่งเฉยได้ยังไง จะให้มองข้ามสิ่งที่เขาทำเพื่อเราขนาดนี้เลยเหรอครับ

            ผมเองตอนนี้ก็กำลังช็อกมากเหมือนกัน เรื่องนี้มันเกินกว่าที่คาดไว้มากจนเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปตอนนี้ มาจากความรู้สึกล้วนๆ

            “ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ย นัทพูดบ้าอะไรเนี่ย มันไม่ใช่แบบนี้”

            “มาถึงขั้นนี้แล้วคุณจะยังต้องการอะไรอีก พูดความจริงได้แล้วโอลีฟ” ผมหันไปพูดกับเธอตรงๆอย่างเหลืออด บางทีเธอก็น่าจะเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้บ้างนะ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะเอาแต่ความต้องการของตัวเอง โลกนี้ไม่ได้หมุนโคจรรอบตัวเธอหรอกนะ

            “ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ ทำไมทำกับโอลีฟแบบนี้” ในเมื่ออารมณ์โวยวายใช้ไม่ได้ผล น้ำตาจึงถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้มันมากกว่าเดิม ถึงขนาดไหลออกมาเลยทีเดียว เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกละรอกเมื่อโอลีฟเริ่มต้นร้องไห้

            “น้ำตาไม่ได้ช่วยลบล้างความผิดได้หรอกนะ” ซินพูดขึ้นอีกครั้งพลางเหลือบมองไปทางโอลีฟอย่างไม่พอใจ ผมไม่เคยเห็นซินเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ เพราะปกติซินจะเป็นคนเงียบๆ ใครจะร้ายมา ซินก็จะเงียบตอบ จนฝ่ายนั้นเงียบหายไปเอง ไม่มีเลยสักครั้งที่จะลุกขึ้นมาตอบโต้แบบนี้

            “ทุกคนดูสิคะ ดูพวกเขาทำร้ายหัวใจของโอลีฟ”

            นี่มันกลายเป็นมหากาพย์ดราม่าอะไรกันไปแล้ว นี่มันงานแถลงข่าวไม่ใช่หรือไง ทุกอย่างมันควรจะจบสิ ไม่ใช่วุ่นวายแบบนี้ และก่อนที่เรื่องมันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ประตูห้องแถลงข่าวก็เปิดขึ้นอีกครั้ง สองคนที่ก้าวเข้ามาทำเอาผมต้องรีบยืนเพื่อมองให้ถนัดตาทันที หลายคนมองตามสายตาผมไป แต่ไม่มีใครรู้จักสองคนนั้นนอกจากผม

            พ่อกับแม่...

            มาทำอะไร?

            “พอได้แล้วล่ะโอลีฟ ลุงขอให้เราหยุดแค่นี้เถอะ” เสียงพ่อพูดขึ้น ทำให้กล้องหลายตัวเบนไปทางนั้น โอลีฟที่นั่งอยู่ข้างผมลุกขึ้นยืนอย่างตกใจทันที   

            “คุณลุง”

            “พอได้แล้วล่ะ ให้ทุกอย่างมันจบเถอะ ลุงยอมแพ้แล้ว”

            “ไม่ได้นะคะ คุณลุงจะยอมแพ้อย่างนี้ไม่ได้ ถ้าคุณลุงยอม! โอลีฟก็แพ้ด้วยนะ! โอลีฟไม่ยอม!!” ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปว่าสิ่งที่พูดออกมานั้น ทุกคนในห้องนี้ก็กำลังฟังอยู่ด้วย

            “ยอมแพ้อะไรกันเหรอคะ” นักข่าวที่อยู่ใกล้พ่อผมที่สุดยื่นไมค์เข้าไปใกล้ท่านทันที

            พ่อหันมามองทางผม ส่งยิ้มมาให้นิดๆ ก่อนจะหันกลับไปตอบ

            “เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะผมเอง ผมเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน ไม่เข้าใจความรู้สึกของลูก ไม่ยอมรับการตัดสินใจของเขา เผลอทำร้ายเขาไปโดยไม่รู้ตัว”

            “พ่อ....” เมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อกำลังพูดออกมา ทำเอาผมชาดิกไปทั้งตัว นี่พ่อเข้าใจผมแล้วเหรอ ทำไม...           

            “คุณเป็นคุณพ่อของคุณนัทเหรอคะ” นักข่าวก็ยังคงทิ่มไมค์ใส่หน้าพ่อผมอยู่

            “ใช่ ผมเป็นพ่อเขาเอง”

            “แล้วเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงคะ ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ยคะ”

            “ไม่นะ ไม่ๆๆๆ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ! แบบนี้มันไม่สนุกเลยนะ!” แทนที่พ่อจะได้ตอบ กลับมีเสียงโอลีฟแทรกขึ้นมาแทน “คุณลุงจะลากหนูเข้ามาแล้วถีบหัวส่งแบบนี้ไม่ได้นะ หนูลงทุนเอาชื่อเสียงของหนูเข้าแลกเพื่อลูกชายของคุณลุงนะคะ!! คุณลุงมาพูดแบบนี้ก็ไม่สวยสิ”

            “อะไรกันคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” นี่ก็เสียงนักข่าว

            “โอ๊ย เอายาดมให้ฉันที” นี่ก็เสียงผู้ใหญ่ของทางค่าย

            ปั่นป่วนกันไปหมดแล้วครับ แต่ตอนนี้สมองผมคลี่คลายเรียบร้อยแล้ว.... ถ้าในเมื่อพ่อยอมรับ ก็ไม่มีใครคิดที่จะทำร้ายซินอีก นั่นแปลว่าผมคบกันซินได้ใช่มั้ย เราคบกันออกสื่อได้แล้วจริงๆใช่มั้ยครับ

            “ทุกคน ช่วยฟังทางนี้หน่อยได้มั้ยครับ” ถึงตาพระเอกอย่างผมออกโรงบ้างแล้ว

            ทุกสายตาหันมาทางผมรวมทั้งซินด้วย สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความสงสัย มือเรียวคว้าแขนผมดึงให้นั่งลงตามเดิม แต่ผมขืนไว้ เอื้อมมืออีกข้างวางลงบนมือข้างนั้น บีบเบาๆเพื่อให้เขามั่นใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะยอมปล่อยมือข้างนั้นออก

            “ผมกับซิน เราคบกันอยู่จริงๆครับ ส่วนโอลีฟ.... ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เธอคิดและพูดบอกทุกคนออกไป มันคือเรื่องที่เธอคิดและพูดเองคนเดียว ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย ผมรักซิน และก็รักซินแค่คนเดียว ไม่เคยมองใครที่ไหนอีก ส่วนภาพและข่าวของผมกับโอลีฟที่มีออกไปล้วนแล้วแต่เป็นงานทั้งสิ้น ในฐานะบอดี้การ์ดผมจำเป็นต้องดูแลนายจ้างให้ดีที่สุด อาจจะมีบ้างบางครั้งที่จำเป็นต้องใกล้ชิด แต่นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง ผมไม่เคยคิดเกินเลยกับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากนายจ้างแล้ว ผมไม่เคยคิดกับเธอในฐานะไหนอีกเลย”

            “แล้วข่าวที่ว่าไปทานข้าวดูหนังด้วยกันล่ะคะ” นักข่าวก็ยังคงถามต่อไป

            “นอกจากทำงาน ผมก็ไม่มีเวลากระดิกตัวไปทำอย่างอื่นแล้วครับ ผมไปรับไปส่งเขาในฐานะบอดี้การ์ด นอกเหนือจากนั้นแล้วผมไม่เคยไปไหนมาไหนกับเขาสองต่อสองเลยสักครั้งเดียว”

            “นัท!”

            “พอได้แล้วโอลีฟ! ทุกสิ่งทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมดก็เพราะคุณ แค่นี้ยังอับอายไม่พออีกหรือไง จะป่าวประกาศความร้ายกาจของคุณให้ผู้คนเขารู้กันไปถึงไหน ลองมองไปรอบๆดูสิว่าทุกคนเขามองคุณยังไง ชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่าให้มันต้องมาพังลงเพราะความเอาแต่ใจบ้าๆของคุณเลยนะ ตลอดเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น ซินไม่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าร้ายคุณเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่คุณ! ที่เอาแต่พูดเรื่องโกหกจอมปลอมใส่ร้ายเขา พอได้หรือยัง... ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”

            ปากสวยแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น มองไปรอบตัวอย่างไม่พอใจ แต่สายตาหลายคู่ที่มองเธออยู่นั้นก็ทำให้เธอต้องหลบหน้าไม่กล้าสบสายตาใคร ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นเพราะเธอทำตัวของเธอเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำลงไปมันเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของผมได้ดี

            ตลอดเวลาซินไม่ได้ลุกขึ้นโวยวายเลยสักครั้ง มีแต่โอลีฟที่โหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียว

            “ให้มันจบสักทีเถอะนะ อย่าให้คนอื่นต้องมองคุณแย่ไปกว่านี้เลย นั่นก็เพื่อตัวคุณเองนะ”

            โอลีฟมองมาทางผมอย่างชั่งใจ ก่อนจะหันมองรอบห้องอีกครั้ง สายตาของทุกคนคราวนี้ชัดเจนกว่าครั้งแรก ทุกสายตาทิ่งแทงไปยังเธอ เพราะสิ่งที่เห็นและได้ยินมันชัดเจนจนไม่มีใครต้องมาอธิบายเพิ่มอีกแล้ว เจ้าตัวกระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินหนีออกจากห้องนี้ไป           

            “อ้าว! เดี๋ยวสิคะคุณโอลีฟ! การแถลงข่าวยังไม่จบเลย อย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนสิคะ สรุปแล้วเรื่องทั้งหมดคุณเป็นคนกุขึ้นมาเองใช่มั้ยคะ”

            “โอ๊ยย อย่ามายุ่งกับฉัน!” เสียงโอลีฟโวยวายขึ้นมาเมื่อโดยนักข่าวตีวงล้อมเธอเอาไว้ “อย่ามายุ่งกับฉันนะ ถอยออกไปให้หมด! ฉันจะไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น” แล้วเธอก็โดนนักข่าวบางส่วนไล่ต้อนออกจากห้องไปโดยที่ไม่มีบอดี้การ์ดข้างกายสักคน

            ทีนี้ในห้องจึงเหลือแค่ ผม ซิน คุณโอ๊ต พวกผู้ใหญ่ในค่ายและนักข่าวอีกบางส่วนเท่านั้น เสียงถอนหายใจเฮือกดังมาจากคุณโอ๊ตอย่างโล่งอกไปเปราะหนึ่ง นี่เรื่องจบแล้วใช่มั้ยครับ เรื่องบ้าบอทั้งหมดนี่มันจบลงแล้วใช่มั้ย...

            ยัง ผมตอบให้เลย เพราะพวกผู้ใหญ่ทางค่ายกำลังพูดคุยกันเสียงเบาอย่างเคร่งเครียด นักข่าวที่เหลืออยู่ก็กำลังรอฟังอยู่เช่นกัน

            “เอ่อ... เอาเป็นว่าทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นงานแถลงข่าววันนี้ถือว่าจบลงเพียงเท่านี้นะครับ ขอเชิญพี่น้องนักข่าวทุกคนกลับกันได้แล้วครับ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์สละเวลามากันในวันนี้ ขอบคุณมากๆครับ”

            “เอ่อ....”

            “พอแล้วนะครับ วันนี้ขอให้ศิลปินของเรากลับไปพักผ่อนด้วยนะ ถ้ายังไงช่วยกรุณาเขียนข่าวเกี่ยวกับพวกเราดีๆด้วยนะครับ” คุณโอ๊ตรีบเอ่ยปฏิเสธก่อนที่จะมีคำถามไหนโพล่งขึ้นมาอีก

            “ถ้าอย่างนั้นรบกวนขอถ่ายรูปคุณซินกับคุณนัทคู่กันหน่อยนะคะ” เพราะคำขอนั้นทำให้ซินต้องลุกขึ้นยืนข้างผม ใบหน้าหวานแย้มรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมเองเมื่อไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไหน จึงตีหน้านิ่งเอาไว้ก่อน หลังจากที่ถ่ายรูปกันจนนักข่าวพอใจ คุณโอ๊ตก็เชิญทุกคนออกไป จนภายในห้องเหลือแต่พวกเรากับผู้ใหญ่เท่านั้น ความตรึงเครียดเริ่มกลับมาอีกครั้ง

            “อธิบายมาให้หมด ทั้งสองคน” คำถามพุ่งตรงมาที่คุณโอ๊ตและซินทันที

            “เรื่องนี้พี่โอ๊ตไม่เกี่ยวหรอกครับ ซินคิดเองทั้งหมดแล้วก็ไปขอให้พี่เขาช่วย ถ้ามีใครต้องรับผิดชอบก็ขอให้เป็นซินคนเดียว”

            “ทำแบบนี้ทำไมซิน เรื่องทุกอย่างมันกำลังจะลงตัวอยู่แล้วนะ”

            “มันไม่มีทางลงตัวหรอกครับ เพราะทุกอย่างที่ทุกคนกำลังจะทำในวันนี้ ไม่มีใครปรึกษาซินเลย ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของซินโดยตรง”

            “แต่ทุกคนที่นี่ทำทุกอย่างก็เพื่อซินนะ”

            “ทำเพื่อซิน แล้วถามซินบ้างมั้ย ซินอยากทำเพลงก็จริง ซินรักแฟนคลับซินมากนั่นก็จริง อยากจะทำเพลงให้ทุกคนได้ฟัง แต่ถ้าทุกคนยอมรับในสิ่งที่ซินเป็นไม่ได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ทุกวันนี้ซินทำตามความฝันของตัวเองจนสามารถพูดได้ว่ามันสำเร็จลุล่วงไปหมดแล้ว ซินมีเพลง มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ทุกคนร้องเพลงตามซินได้ ทุกคนมีความสุขที่ได้ร่วมร้องเพงไปด้วยกัน แค่นี้ก็เกินกว่าฝันแล้ว ซินรับผิดชอบความฝันของตัวเองได้สำเร็จ ถ้าทุกอย่างมันจะต้องจบลงเพราะทุกคนรับตัวตนของซินไม่ได้ ซินก็จะยอมรับ ไม่เปนไร ซินถือว่าซินทำทั้งหมดมาดีที่สุดแล้ว”

            “จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย จะให้ข่าวมันออกไปแบบนี้”
            “ในเมื่อมันเป็นความจริง มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นครับ”

            “ถ้าอย่างนั้นซินก็ต้องยอมรับผลที่ตามด้วยแล้วกัน ทางค่ายจะไม่ตามแก้ข่าวหรือแก้ตัวอะไรให้อีกแล้วนะ เราทุ่มให้คุณไปมากก็จริง แต่หลายๆอย่างที่คุณคืนให้เรามามันก็มากเหมือนกัน ครั้งนี้เราจะยอมรับการตัดสินใจของคุณ” เสียงถอนหายใจเฮือกดังมาจากทางคุณโอ๊ตทันทีที่ได้ยินประโยคหลัง ก่อนจะสะดุดไปเมื่อได้ยินคำต่อมา

            “แต่....” ณ ขณะนี้ เกลียดคำนี้มากจริงๆครับ

            “ยกเลิกอัลบั้มใหม่ เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด งดการโปรโมททุกช่องทาง จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายออกมาในทางที่ดี นี่คือสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบสำหรับสิ่งที่คุณทำลงไป”

            “ครับ ผมยอมรับ”

            “งั้นวันนี้ก็พอเท่านี้”

            ผู้ใหญ่ท่านนั้นหันมามองหน้าผมนิดๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จบแล้วใช่มั้ย! ทุกอย่างๆเลย ทั้งเรื่องพ่อแม่ผม และเรื่องค่าย จบแล้วใช่มั้ย ...เออแล้วว่าแต่พ่อกับแม่ผมหายไปไหนแล้ว ช่างเถอะ กลับมาสนใจคนที่อยู่ข้างกันตอนนี้ก่อนดีกว่า คิดว่าเราน่าจะมีเรื่องคุยกันมากมายทีเดียว โดยเฉพาะผม กับสิ่งที่ผมเลือกจะทำลงไป

            “ซิน....”

            แต่เขากลับไม่รอฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ร่างบางหันหลังหนีเดินตรงออกจากห้องไปทันทีก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร ซินต้องโกรธมากอยู่แล้วครับ เพราะถ้าเป็นผมก็โกรธเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทำแบบนี้ ใครจะคิดว่าเขาเลือกจะทิ้งความฝันเพื่อผม.... ขามันแข็ง ไม่กล้าที่จะตามเขาออกไปจริงๆ ผมมันโง่เองที่คิดเองเออเองไปคนเดียว ดูถูกความรักของซินที่มีให้ ทำทุกอย่างลงไปโดยพลการ เขาจะโกรธจะเกลียดก็ไม่แปลก

            “เอ้าเฮ้ย! เฉยอยู่ทำไม ไม่รีบตามไปวะ” เสียงคุณโอ๊ตที่อยู่ในห้องเรียกสติผมให้กลับคืนมา

            “ผมควรจะตามไปเหรอ...?”

            “อ้าวไอ้ห่า! พูดแบบนี้ขอกูถีบสักทีได้มั้ยครับ นี่กูยอมเอาเงินเดือนอันน้อยนิดของกูเป็นประกันเพื่อพวกมึงสองตัวเลยนะเนี่ยย กูเนี่ยซวยสุด!! ตกงานขึ้นมากูไม่ได้อะไรเลยนะ ความฝงความฝันอะไรก็ไม่ใช่ ปากท้องตัวเองกูก็ต้องเลี้ยง ปวดหัวกระบาลจะแยกเพื่อความรักของพวกมึงสองคนเนี่ย ไปเลยนะ... มึงรีบไปเลย ง้อมันให้ได้ด้วย ให้สมกับที่กูต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง!” แหมพี่ ที่งี้มายาวยืดเลยนะครับ

            “ผมควรใส่เสื้อเกราะไปมั้ย”

            “กลัวตายทำห่าไร เป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่ไง๊ ไปเลยไป เอามันกลับไปส่งบ้านด้วย”

            อดขำออกมาไม่ได้จริงๆเมื่อเห็นท่าทางของคุณโอ๊ต แต่ก็ต้องขอบคุณเขามากๆครับที่ช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย ขอบคุณที่เข้าใจเราทั้งสองคน ผมเองซะอีกที่เกือบจะต้องปล่อยมือซินไปเสียแล้ว หันหลังเตรียมเดินออกจากห้อง แต่ตุณโอ๊ตกลับรั้งผมเอาไว้อีกครั้ง

            “ซินน่ะ.... เป็นคนที่เข้าถึงยาก สร้างกำแพงเอาไว้รอบตัวเสมอ ยากนะที่ใครจะพังกำแพงนั้นเข้าไป ฉันเองบางวันมันก็ยอมให้ฉันเข้าไป บ้างวันมันก็ไล่ฉันออกมา ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา ฉันไม่เคยเห็นมันกระวนกระวายเรื่องใครมากเท่าเรื่องนายเลย มันเป็นเอามากนะตอนที่นายเลือกจะทิ้งมัน ฉันเองก็ขอโทษด้วยที่ตอนแรกสนับสนุนให้ทำแบบนั้น จนมันโทรมาหาฉัน คุยกันไปคุยกันมาจนมันร้องไห้ บอกตรงๆไม่เคยเห็นซินเป็นแบบนี้มากก่อนเลย มันรักนายมากนะ มันแคร์นายมากจริงๆ มือที่จับกันเอาไว้อยู่น่ะจับให้แน่นๆ อย่าปล่อยกันไปไหนอีก กว่าโลกจะเหวี่ยงคนที่ใช่มาให้ มันยากเย็นแค่ไหนนายน่าจะรู้ ....ดีแค่ไหนแล้วที่วันนี้ได้เจอ”

            ผมหันกลับมามองพี่แกช้าๆ ยิ้มตอบรอยยิ้มที่มอบมาให้

            “ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากจริงๆ”

            “ไปได้แล้ว ก่อนที่หัวใจนายจะหนีหายไปซะก่อน” ได้ยินแบบนั้นผมจึงรีบหันหลังกลับวิ่งตามซินออกไปทันที

            รอฉันก่อนนะซิน ฉันกำลังไปทวงหัวใจนายคืนแล้ว

            ความรักของฉัน อย่าเพิ่งหนีหายไปไหนนะ   



พบกันกับตอนส่งท้ายตอนหน้านะคะ :)
.....
แท่นแท๊นนน เสียงคนคนนี้นี่เองงง
เป็นยังไงกันบ้างหนอ ตอนหน้าจบแล้วนะคะ T^T

ขอบคุณทุกคนมากจริงๆที่อ่านกันมาจนถึงตอนนี้
ขอบคุณคอมเม้นน่ารักๆที่อ่านไปขำไป ^^ มีความสุขมากจริงๆค่ะ
รักทุกคนเลยนะคะ ถึงแม้ว่าเราจะเคยคุยกันบ้าง หรือไม่เคยคุยกันเลย

แต่ไม่เป็นไรเพราะเราได้รู้จักกันแล้ว ผ่านตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันเป็นข้อความส่งผ่านถึงกัน
ขอบคุณมากจริงๆค่ะ ไม่มีทุกคน คุณการ์ดของเราคงมาไม่ถึงวันนี้
ปล.ปาดน้ำตา ดราม่าทำไม ยังไม่จบสักหน่อย ฮ่าๆๆๆ

พบกันใหม่ในตอนสุดท้ายนะคะ
ด้วยรัก.     
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว100% [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-11-2013 23:55:17
คุณนักร้องน่ารักที่สุด
อ่านแล้วเรายิ้มอ้ะตอนนี้
ว่าจะจบแล้วหรอออออ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว100% [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 03-11-2013 07:20:24
เย้!!!!!!!!!!!!!!!สุดท้ายก็แฮปปี้!!คุณพ่อคุณแม่ก็ยอมรับแล้ว ยัยโอลีฟก็โดนรุม เหลือแต่ซินที่งอนนัทง้อซินให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard ||ตอน28 แถลงข่าว100% [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 03-11-2013 13:39:13
รักหนูซินที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดด....
มันต้องแบบนี้ซิ...คนของเรานี่นา
แต่อยาก.. :z6:...เจ้านัทมากที่ซู๊ดดดด..
เหมือนกัน...มันจะเอ๋อไปถึงไหน......
ต้องให้หนูซินงอนนาน ๆ มั๊ยนี่?...

หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 08-11-2013 21:16:31
29

(( นิรันดร์ (ไม่มีวันสิ้นสุด) ))


 

            หลังจากที่เคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย ก็รีบลงมาข้างล่างทันที โผล่ออกมาจากลิฟต์ก็เห็นหลังบางไวๆเดินออกไปด้านนอกแล้ว ใส่เกียร์วิ่งสี่คูณร้อยตามออกไปหาทันที แต่ลิฟต์กับประตูทางออกมันไกลกันเกินไป จะทันมั้ยนะ ซินจะกลับยังไง ไปกับใครนะ

            “ซิน ซิน! รอก่อน!” ได้ยินฉันมั้ย ถ้าได้ยิน...ได้โปรดหยุดรอฉันที

            วิ่งออกมาด้านนอกก็เห็นร่างบางโบกแท็กซี่แล้วเรียบร้อย เตรียมตัวจะขึ้นไป

            “ซิน!! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป! ซิน…” ผมมั่นใจว่าเขาได้ยิน แต่เขาเลือกที่จะไม่ฟัง โธ่เว้ย! ขึ้นรถไปแล้ว

            ขับรถตามไปดักหน้ายังทัน! คิดได้แบบนั้นจึงรีบวิ่งกลับไปที่รถทันที โชคดีที่วันนี้จอดรถไว้ด้านนอก ทันทีที่สตาร์ทรถได้ก็เหยียบเต็มที่เลยครับ ไม่รออะไรทั้งสิ้น ขอให้ทันทีเถอะ...

            หลังจากปาดซ้ายปาดขวาให้ผู้คนบนท้องถนนด่าพ่อผมเล่นๆก็เจอแท็กซี่สีเขียวเหลืองอยู่ห่างไปไม่ไกล รีบขับตามไปจี้ตูดเขาไว้ และอาศัยช่วงที่รถน้อยขับปาดหน้าเขาและจอดรถลงทันที สาธุ...ขอให้อย่าเจอแท็กซี่ขาโหดเลยด้วยเถิ้ดดด เดี๋ยวนี้ข่าวยิงกันตายเพราะเรื่องขับรถปาดหน้ากันบ่อยซะด้วย

            เสียงแตรดังลั่นถนนเมื่ออยู่ๆรถแท็กซี่ก็เหยียบเบรคอย่างกระทันหัน รถที่ตามหลังอยู่จึงต้องจอดตามไปด้วย ทีนี้มหกรรมการบีบแตรก็เกิดขึ้น ผมรีบก้าวลงจากรถทันที คนขับแท็กซี่เองก็เหมือนกัน

            “เห้ย! ขับรถแบบนี้ก็สวยสิวะ อยากมีปัญหารึไงไอ้น้อง”

            “ผมไม่ได้อยากมีปัญหากับพี่หรอกครับ แต่ขอคุยกับผู้โดยสารพี่หน่อย” พูดจบก็ไม่รอช้า ตรงเข้าไปเปิดประตูรถแท็กซี่ทันที ซินที่มองมาอย่างงงๆก่อนจะเบิกตากว้างตกใจทันทีที่เห็นผม

            “ลงมาซิน”

            “ทำบ้าอะไรเนี่ย!”

            “ลงมาก่อนนะ ไปกับฉัน”

            “ไม่...” ใบหน้าหวานเรียบตึงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น งานใหญ่จริงๆแหละคราวนี้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาเขาลงมาจากรถก่อนล่ะครับ

            “ซิน...” ก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไร เจ้าของแท็กซี่ก็เข้ามาคว้าแขนผมออกห่างจากผู้โดยสารของเขาซะก่อน

            “เห้ย ทำบ้าอะไรอยู่ได้วะเนี่ย เห็นบ้างมั้ยว่ารถมันติด! ถอยรถออกไปได้แล้ว เสียเวลาทำมาหากิน!! หรือว่าอยากจะมีเรื่อง”

            “เอายังไงซิน ถ้านายไม่ลงมาฉันก็จะจอดรถอยู่อย่างนี้ ให้คนอื่นเขาเดือดร้อนอยู่แบบนี้แหละ”

            “ทำบ้าอะไรวะนัท!! ทำแบบนี้ทำไม”

            “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

            “แต่เราไม่มี!! ไปซะ!”

            “งั้นก็จอดรถอยู่แบบนี้”

            เสียงบีบแตรก็ยังคงดังอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับเสียงสรรเสริญมาเป็นระยะๆ คนขับแท็กซี่ก็เริ่มหัวเสียมากแล้วด้วย อีกไม่นานจะมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นแล้วครับ ซินสบถออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะยอมลงมาจากรถอย่างเสียไม่ได้ หยิบเงินยื่นให้คนขับแท็กซี่และเดินผ่านผมไปเพื่อขึ้นรถผมด้านหน้า ผมจึงรีบวิ่งตามเขาไป

            “จะไปง้อกันที่ไหนก็ไปเลยไป! แม่ง...เสียเวลาทำมาหากิน ว่าแต่หน้าคุ้นๆนะ” เสียงพี่แท็กซี่ดังงึมงำๆตามหลังมาแต่ผมไม่ได้สนใจ รีบกลับขึ้นรถตัวเองและขับออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

            “ใช่เรื่องป่ะ!ทำแบบนี้ ดีเขาไม่ลงมาต่อยหน้าเอา”

            “ให้เจ็บตัวแลกกับนายยอมมาขึ้นรถฉัน ฉันก็ยอม”

            ซินเลือกที่จะเงียบและหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ได้นั่งอยู่ข้างผมหรอกนะครับ นั่งไขว่ห้างหน้านิ่งอยู่เบาะด้านหลัง

            “ซิน คุยกันดีๆก่อนได้มั้ย ....ฉันขอโทษ”

            “.......” กะอยู่แล้วแหละครับว่าเขาต้องเลือกที่จะเงียบ เพราะสิ่งที่ผมทำลงไปมันผิดมากจริงๆ อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ดีกว่า รอให้จอดรถได้พูดกันตรงๆต่อหน้าน่าจะดีกว่านี้ เพราะฉะนั้นผมถึงได้ตัดสินใจขับรถไปอย่างเงียบๆ มีที่ที่จะไปอยู่ในหัวแล้วครับ และเขาเองก็น่าจะจำเส้นทางนี้ได้ดี

            สวนสาธารณะที่เรามาด้วยกันประจำ ตอนนี้ซินกำลังเดินทิ้งห่างนำผมไปไกลแล้ว ผมที่เดินตามหลังไปเงียบๆกำลังคิดทบทวนกับสิ่งที่จะต้องพูดกับเขาในวันนี้ เขาจะยอมอภัยให้ผมมั้ย...

            แต่ซินบอกนักข่าวไปว่าเราคบกัน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกลับไปคบกันได้อยู่แล้ว

            หรือว่าที่ซินพูดไปเพื่อจะหักหน้าโอลีฟ และให้ทุกอย่างมันจบอย่างที่ควรจะจบ แล้วค่อยมาประกาศที่หลังว่าเราเลิกกันแล้ว

            ขาเรียวหยุดชะงักลงเมื่อเดินมาถึงเก้าอี้ที่เรามักจะชอบนั่งด้วยกัน เป็นเพราะมันอยู่ใต้เงาไม้พอดี และที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก แถมลมยังพัดผ่านตลอดเวลา

            “ซิน...” ผมเรียกชื่อเขาออกไป เจ้าของชื่อเขาจึงหันกลับมามองหน้าผมนิดๆก่อนจะนั่งลง

            “มีอะไรก็ว่ามา เราไม่ได้มีเวลามากนัก อยากกลับไปพักผ่อน” น้ำเสียงเหินห่างถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง

            “โกรธเหรอ” เป็นคำถามโง่ๆใช่มั้ยครับ แต่นั่นก็เพราะว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

            “........”

            “ฉันรู้ว่าฉันผิด ทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ยอมปรึกษา ไม่สนใจความรู้สึกนาย ....ฉันขอโทษ”

            “........”

            “อย่าเงียบแบบนี้ได้มั้ยซิน จะด่าจะว่าฉันยังไงก็ได้ แค่อย่าเงียบแบบนี้สิ ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ที่ทำลงไปทั้งหมดนี่ก็เพื่ออนาคตของนายนะ ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อนเพราะฉัน ไม่อยากให้ชื่อเสียงของนายต้องมาป่นปี้เพราะฉัน ตลอดเวลาฉันทำให้นายต้องเจอเรื่องแย่ๆมาโดยตลอด ถ้าไม่มีฉัน...นายก็คงจะดีกว่านี้”

            “ใครเป็นคนบอก”

            “อะไรนะ”

            “ใครเป็นคนบอกแบบนั้น” ดวงตาคมตวัดมามองกันอย่างไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ใครเป็นคนบอกว่าถ้านายถอยไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ผู้ใหญ่เหรอ? คนรอบข้างเหรอ? แล้วคนพวกนั้นใช่ฉันมั้ย ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างมาจากปากฉันหรือไงถึงได้ตัดสินใจเอาเอง!”

            “ซิน”

            “เป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าถ้ามีอะไรจะต้องคุยกันก่อน เป็นคนบอกเองกับปากไม่ใช่เหรอว่าอย่าตัดสินใจแทนกัน! เป็นคนพูดไม่ใช่หรือไงว่าให้เชื่อใจ!! แล้วทำไมทำแบบนี้!!! ทำไมไม่เชื่อใจ ทำเหมือนไม่รู้จัก ทำเหมือนไม่รู้ใจฉันว่าคิดยังไง! ไหนบอกว่าเข้าใจ คนถูกทิ้งมันรู้สึกยังไง...เข้าใจไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้ทำ!!!”

            “มันไม่ใช่แบบนั้นนะซิน”

            “หรือคิดว่าเราไม่มีหัวใจ! คิดอยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา คิดว่าอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ! แล้วเอาความรู้สึกเราไปทิ้งไว้ที่ไหน! ไหนว่ารักไหนว่าแคร์ ไหนว่าสำคัญ!! นายทำกับคนสำคัญของนายอย่างนี้เหรอนัท.... ทิ้งขว้างกันอย่างนี้เหรอ”

            “ซิน... ฉันไม่ได้ทิ้งขว้างนะ ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดเลย” เสียงหวานที่ติดจะสั่นทำเอาหัวใจกระตุกวูบไปในทันที อย่าร้องนะซิน... อย่าร้องเพื่อผู้ชายไม่เอาไหนคนนี้เลย โกรธฉัน ด่าฉันสิ ไม่เอาแบบนี้...

            “รู้บ้างมั้ยว่าเรารู้สึกยังไง.... กังวลใจแทบตายว่านายจะทำอะไร เป็นยังไงบ้าง ติดต่อก็ไม่ได้ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ปิดโทรศัพท์หนี เราออกจากบ้านไม่ได้ ไปดูนายที่บ้านไม่ได้ เราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรอ!! รออยู่เฉยๆโดยที่ไม่รู้อะไร รอให้นายมาบอก รอให้นายมาถาม....แต่นายก็ไม่มา จนเรารู้ว่านายกำลังจะทำอะไร รู้จากปากคนอื่น รู้จากคำบอกเล่าของคนอื่นที่ไม่ใช่นาย คิดบ้างมั้ยว่าเราจะรู้สึกยังไง! เสียใจแค่ไหนเคยรู้บ้างมั้ย!!”

            “ซิน...” ยิ่งเดินเข้าไปหา เขาก็ยิ่งถอยห่างออกไป ดวงตาสวยคลอหน่วยไปด้วยน้ำใส ผมพูดอะไรมากกว่านี้ได้อีกมั้ย ทำไมมันถึงจุกอกไปหมด เจ็บ... ผมเองก็เจ็บเหมือนกัน “ขอโทษ...” มีแค่คำนี้จริงๆ

            “ไหนบอกว่าแค่อยู่ข้างกันทุกๆอย่างก็จะผ่านไป ไหนบอกว่าจะไม่ปล่อยมือ ไหนบอกว่าจะมีแค่เรา แล้วทำไมยอมเชื่อคำพูดของคนอื่นมากกว่า ในวันที่อ่อนล้านายหายไปไหน ....ทำไมถึงทิ้งเราไปในวันที่เราต้องการนายมากที่สุด” น้ำหยดใสไหลรินจากดวงตากลม เพียงแค่หยดเล็กหยดเดียวที่ทำให้ผมเจ็บร้าวไปทั้งใจ ผมทำบ้าอะไรลงไปวะ... ทำร้ายซินลงได้ยังไง

            “ขอโทษซิน...ฉันขอโทษ” พยายามจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เขา แต่มือเล็กกลับปัดออกไปซะก่อน

            “ในเมื่อคิดที่จะทิ้งกันแล้ว อยากจะไสหัวไปไหนก็ไป ไปเลย! ไม่ต้องใส่ใจเรื่องให้สัมภาษณ์วันนี้ เราก็แค่อยากให้เรื่องบ้าๆมันจบ เรื่องจริงยังไงมันก็ต้องปรากฎในสักวันอยู่แล้ว ทำแบบนี้โอลีฟจะได้เลิกยุ่งกับเราสักที”

            “ไม่ซิน... ฉันไม่ได้อยากจะไป ฉันไม่ได้อยากจะไป....”

            “ไปซะ ไปให้ไกลๆ”

            “ไม่เอา” ผมปฏิเสธพร้อมกับเดินเข้าไปคว้าเขามากอดเอาไว้ทั้งตัว ท่ามกลางสวยสวนและเสียงนกร้องสดใส บรรยากาศเก่าๆที่มันควรจะเต็มไปด้วยความสุข แต่ ณ เวลานี้มันไม่ใช่ ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมทำร้ายหัวใจของเราได้ลง ผมเองน่าจะเข้าใจดีที่สุดว่าการถูกทิ้งมันเป็นยังไง มันทรมานมากแค่ไหน กับการที่ถูกกีดกั้นในทุกๆทาง แล้วทำไมผมถึงทำกับซินได้ลงคอ...

            “ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างๆซิน จะคอยดูแลไปตลอด สัญญา...ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ปล่อยมือจากนายอีกแล้ว อภัยให้ฉันนะ ยกโทษให้ผู้ชายโง่ๆคนนี้ได้มั้ย ขอโอกาสให้ฉันอีกสักครั้ง ฉันสัญญาว่าจะดูแลนายให้ดี” ร่างบางในอ้อมแขนสั่นน้อยๆจากแรงสะอื้น ยิ่งทำให้ผมกอดเขาแน่นขึ้น เพราะกลัวว่าเขาจะหายไป

            อีกแล้ว ผมทำเขาร้องไห้อีกแล้ว ทำไมวะ! ทำไมผมถึงได้โง่แบบนี้ ทำไมต้องเป็นผมทุกทีที่ทำทุกอย่างพังลงไปหมด ทำไม!!!

            “เราเสียใจ”

            “ฉันรู้.....ฉันรู้ ฉันขอโทษ”

            “เรานึกว่าเราสำคัญที่สุด เรานึกว่านัทจะมา เราเฝ้ารอในทุกๆวัน โทรศัพท์อยู่ข้างตัวไม่เคยห่างเลย เพราะนัทไม่เคยยอมแพ้ เพราะนัทสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือ เราตื่นเช้าเพราะกลัวว่าถ้านัทมาแล้วเราจะไม่เห็น นอนดึกเพราะกลัวว่าถ้านัทมาแล้วจะไม่เจอ แต่ก็ไม่มี ทุกอย่างเงียบหาย ราวกับว่าจะจากไปจริงๆ เราไม่เชื่อพี่โอ๊ตว่านายจะไป ไม่อยากจะเชื่อ...แต่นายก็ไม่มา”

            เป็นผมเองที่ผิดสัญญา เป็นผมในทุกๆอย่างเลย แต่ผมไม่อยากเสียเขาไป ขอโอกาสสุดท้ายได้มั้ย ผมสัญญาว่าผมจะทำมันให้ดี ใครก็ได้ช่วยผมที อย่าให้เขาไป ผมไม่อยากให้เขาไป... 

            “ฉันเองก็เสียใจ ไม่ได้อยากทิ้งไปจริงๆนะ แต่เพราะข่าว เพราะอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ฉันกลัว กลัวว่านายจะไม่ได้ร้องเพลงอย่างที่นายรัก กลัวว่าใบหน้าสวยต้องหม่นหมอง กลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงของนายอีก ฉันอยากให้นายมีความสุขนะซิน...”

            “แล้วเราจะมีความสุขได้ยังไงถ้าไม่มีนัท! อยากให้เรามีความสุขแบบไหน เป็นตัวเราหรือไงถึงได้รู้ดีนัก ทั้งๆที่เราบอกว่าเรารัก ...ก็ยังจะไป”

            “ซิน”

            “เราเกลียด....”

            “ไม่เอานะซิน ไม่เอา ขอร้อง อย่าเกลียดฉัน อย่าไล่ฉันไปไหนเลยนะ ฉันอยู่ไม่ได้....”

            “เราเกลียดตัวเอง... ที่ให้อภัยนัทได้ทุกที” เสียงสั่นเครือปนเสียงสะอื้นทำให้ผมต้องคลายอ้อมแขนออกเพื่อจะฟังสิ่งที่ซินพูดได้ชัดๆ ดวงตากลมสวยแดงช้ำจากการร้องไห้ สองข้างแก้มเต็มไปด้วยน้ำตา

            “ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่นัททำให้เราเสียใจ ทำไมถึงยังรักอยู่ ทำไมไม่อยากให้ไปไหน ทำไมถึงยังอยากให้อยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่คอยมองหา แค่รู้ว่ายังอยู่ข้างๆก็อุ่นใจ ต่อให้เจอเรื่องร้ายๆแค่ไหนก็ยิ้มให้กันเสมอ นิสัยไม่ดี... กระเทาะกำแพงเราจนพังไม่มีชิ้นดี แล้วแบบนี้เราจะเอาอะไรป้องกันตัวเอง”

            ซินของผม เปราะบางถึงขนาดนี้เลยหรือไง

            "ขอโทษ ไม่ไปไหนแล้ว จะไม่ไปไหนอีกแล้ว อยู่ตรงนี้แล้วนะ นัทอยู่ตรงหน้าซินแล้ว เห็นใช่มั้ย มองเห็นนัทมั้ย อย่าร้องเลยนะคนดี ฉันจะไม่ไปไหนอีกแล้ว จะอยู่ดูแลหัวใจนาย ...หัวใจของนายขอฉันคืนได้มั้ย เอามาฝากไว้กับฉัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลมันให้ดี"

            พูดไปพร้อมกับเช็ดน้ำตาจากแก้มใสไปด้วย ดวงตาสวยที่บัดนี้แดงช้ำมองตอบกลับมา ก่อนที่น้ำหยดใสจะไหลลงมาอีกครั้ง

            "หัวใจเรา มันไม่ได้อยู่ที่เราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใครบางคนขโมยมันไป แล้วเรายังไม่ได้รับคืน"

            "ซิน..."

            "เพราะเราคิดว่าเขาจะดูแลมันได้ดี แต่อยู่ดีๆเขาก็ทิ้งขว้างมันไปซะเฉยๆ"

            “ไม่... ไม่ได้ทิ้ง ฉันไม่ได้ทิ้ง”

            “ไม่ได้ทิ้ง แล้วมาทวงอะไรจากเรา”

            “ก็....”

            “มันอยู่ที่นายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก ....คนนิสัยไม่ดี” รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าสวยอีกครั้ง ทั้งๆที่ดวงตาใสยังคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา พาเอาไอ้คนนิสัยไม่ดีอย่างผมมองภาพด้านหน้าพร่ามัวไปด้วยอีกคน

             เขาว่ากันว่า น้ำตาไม่ได้แปลว่าเสียใจเสมอไป แต่มันยังแสดงถึงการมีความสุขอย่างสุดหัวใจด้วยเช่นกัน เหมือนอย่างตอนนี้ ที่เรากำลังยิ้มให้กันตรงนี้ ท่ามกลางสวนสวยและนกตัวน้อยที่ร้องเพลงปลอบประโลมให้เรา สายลมบางเบาพัดพาความเจ็บปวดให้ผ่านพ้นไป

            ท้องฟ้ามืดหม่นกลับมาสดใสอีกครั้ง 

            ยิ้มทั้งน้ำตาเป็นยังไง เพิ่งเข้าใจก็วันนี้นี่เองครับ

            "ขอบคุณนะซิน ขอบคุณจริงๆ"

            สองมือยกขึ้นประคองใบหน้าสวยเอาไว้ ก้มลงแนบหน้าผากลงไปใกล้ชิดกัน สัมผัสอุ่นวาบพาให้ใจที่หนาวเหน็บเริ่มอุ่นขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวใจที่เต้นแค่ให้ผ่านไปวันๆเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ซินคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตผมจริงๆ...

            “นัทรักซินนะ รู้ใช่มั้ย”

            “อือ”

            “รักมาก”

            “รู้แล้ว”

            “รักมากที่สุดในโลก”

            “ทุเรศ แล้วเอาพ่อเอาแม่ไปไว้ที่ไหน” มือเรียวยกขึ้นดันหน้าผมออกห่างจากหมั่นไส้ กลีบปากสวยแย้มรอยยิ้มหวานที่ผมแสนจะคิดถึง กลับมาแล้ว... ซินคนเก่ากลับมาแล้ว

            “อย่าเพิ่งขัดได้มั้ยเนี่ย คนกำลังหวาน”

            “ไม่ได้อยากหวานด้วยเลย โทษหนักนะคุณคราวนี้ รับโทษกันยาวนะครับ ไม่ประหารชีวิตก็ดีแล้ว

            “ยอมรับโทษไปจนตายเลย ถ้าคนทำโทษคือซิน”

            “ปากดี.... เก่งให้ตลอดแล้วกัน”

            “แน่นอนอยู่แล้วครับผม”

            “หึ”

            ในที่สุดผมก็ได้เขากลับคืนมา ขอบคุณมากนะครับ ใครก็แล้วแต่ที่ส่งเขามา ให้ผมได้มีเขาเข้ามาในชีวิต ทำให้ผู้ชายคนนี้ที่ไม่เอาไหนเรียนรู้ที่จะได้รักใครสักคน เรียนรู้ที่จะดีพอเพื่อเขา ชีวิตที่ผ่านไปวันๆกลับมามีค่าอีกครั้ง การตื่นขึ้นในทุกๆเช้าไม่ได้ไร้ค่าอีกต่อไป เพียงเพราะมีซินอยู่ข้างๆกัน ไม่ว่าจะอะไรผมยอมแลกได้เสมอ เพียงเพื่อรอยยิ้มของซิน

            “แต่เดี๋ยวนะ” คนสวยปาดน้ำตาออกจากสองข้างแก้มจนหมด สูดน้ำมูกสองสามครั้งเพื่อตั้งสติ ก่อนจะยกสองมือขึ้นกอดอก สายตาคาดโทษมาอีกแล้วครับ เรื่องอะไรกันอีกล่ะนี่

            “อะไร”

            “ขามา มายังไง”

            “มาไหน”

            “มาที่บริษัท”

            “ก็ขับรถมาสิ”

            “ขับรถมายังไง”

            “ก็ขับรถมาปกติ”

            “แน่ใจนะว่ามาปกติ” น้ำเสียงกดต่ำพร้อมกับสายตาจ้องจับผิดกันแบบนี้ แสดงว่าต้องไปรู้อะไรมาอีกแน่ๆ ผมทำอะไรมาวะครับ ก็ขับรถมาดีๆไม่ใช่หรือไง ไม่ได้แวะบ้านใครที่ไหน....

            อ้อ.... หรือว่า....

            “ก็.....”

            “ก็?” ไม่ชอบสายตาไล่ต้อนกันแบบนี้เลยจริงๆนะ มันเหมือนรู้ทันกันไปซะหมดทุกเรื่องจริงๆ

            “ก็ มีอุบัติเหตุนิดหน่อย”

            “นิดหน่อยเหรอ! แน่ใจเหรอว่านิดหน่อย”

            “ก็.....”

            “ไม่ต้องมาก็! ทำไมขับรถไม่รู้จักระวังนัท เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

            “สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่”

            “อย่ามาพูดอย่างนี้นะ!” กำปั้นเล็กสองกำปั้นทุบลงมาบนอกผมเต็มแรง ไอ้คนที่ไม่ได้ตั้งตัวอย่างผมก็จุกไปสิครับ

            “แล้วถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าขับรถเร็ว จะรีบไปไหนฮะ คิดว่าจะไม่ได้มาหารึไงแม่โอลีฟนั่นน่ะ อยากจะรีบตายไปถึงไหน หรือว่าอยากจะรีบหนีไปจากเรา! ถ้าเกิดว่ารถเบรคไม่ทัน... ถ้าเกิดว่านัทมาไม่ถึง....ถ้าเกิด....”

            ยิ่งกำปั้นนั้นทุบลงมาแรงมากเท่าไหร่ ยิ่งสั่นไปถึงใจผมมากเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าซินไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร อาจจะเป็นทีมงานสักคนที่เล่าให้ฟัง หรือไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่

            แต่ว่า.... ซินเป็นห่วงผมมากขนาดนี้เลยเหรอ ผมทำให้เขากังวลใจมากขนาดนั้นเลยหรือไง ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากไปใช่มั้ยว่าเขาก็ให้ความสำคัญกับผมมากที่สุดเหมือนกัน

            อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นผมที่พยายามปรับเข้าหาเขามาโดยตลอด เป็นผมที่วิ่งไล่ตามแสงไฟแสนสวยของซิน ไขว่ขว้า ปกป้อง ประคับประคองแสงสีสวยนั้นไว้ไม่ให้หายไปไหน จนบางครั้งผมก็ลืมไปว่าแสงไฟแสนสวยนั้นก็ส่องแสงมายังผมเสมอเช่นกัน ความอบอุ่นนั้นไม่เคยห่างหายไปไหนเลย ยังคงอยู่ใกล้ๆ และเมื่อไหร่ที่ผมเหนื่อยล้าจนไปต่อไปไหว แสงไฟนั้นก็ยังคงหยุดรอ และประคับประคองผมลุกขึ้น

            หรือในบางครั้งที่ผมเดินไปยืนอยู่หน้าแสงไฟนั้น ปกป้องเขาจากสิ่งมัวหมองด้านหน้า ปัดป้องสิ่งเหล่านั้นทิ้งไป เพื่อให้ทางที่เราจะจับมือกันไปนั้นราบรื่น

            เราต่างคนต่างประคับประคองกันและกันมาจนถึงทุกวันนี้

            .....เราทั้งสองคน.....

            แล้วผมนี่มัวคิด มัวสงสัยอะไรเขา

            ในเมื่อซินรักผมมากขนาดนี้

            “ถ้าเราไม่ได้เจอกันอีกจะทำยังไง” น้ำเสียงน้อยใจถามขึ้นพร้อมกับน้ำใสที่คลอหน่วยในดวงตากลมอีกครั้ง

            “เจอสิซิน ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว”

            “แล้วถ้าไม่ได้เจอ”

            “ตายไปยังไงก็ต้องเป็นผีมาหานายอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก”

            เพี๊ยะ!!!

            ชาวาบ.... ทุกส่วนในร่างกายหยุดทำงานไปในทันที คำพูดเล่นที่คิดไว้หายไปจนหมดสิ้น

            ไม่เคยเลยสักครั้ง ไม่เลยสักครั้งเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ซิน .....ตบหน้าผม

            ตบลงมาเต็มแรงจนทำให้ใบหน้าของผู้ชายตัวใหญ่กว่าคนนี้หันไปตามแรงมือ

            ผมผิด ผิดที่ล้อเล่นไม่ดูเวล่ำเวลา

            “พูดแบบนี้คิดหรือยัง” น้ำเสียงเรียบนิ่งกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับสายตาที่แสดงออกว่าไม่พอใจ

            “หรือสักแต่ว่าพูด นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดได้งั้นเหรอ”

            “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่...”

            “หรือคิดว่าเราไม่ได้เป็นห่วง หรือคิดว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไร หรือคิดว่าถ้านัทเป็นอะไรไปแล้วเราจะไปหาใครมาแทนที่นัทได้”

            “ไม่ใช่แบบนั้นนะซิน”

            “แล้วยังไง!”

            “ไม่ยอมให้ใครมาแทนที่ฉันได้ทั้งนั้น ฉันนี่แหละที่จะดูแลนายเอง ฉันผิดที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ยอมมองสัญญาณไฟจราจรให้ดี ต่อไปนี้จะระวังให้มากกว่านี้ จะยอมตายได้ยังไงเล่า แบบนั้นแล้วใครจะเป็นบอดี้การ์ดให้นายล่ะ สัญญาเอาไว้แล้วนี่ว่าจะดูแล ยังไงฉันก็ไม่ยอมตายง่ายๆหรอกน่า”

            “แค่คำพูดนั่นน่ะ มันไม่พอหรอกนะ”

            “ไม่ต้องเชื่อคำพูดฉันก็ได้ ขอแค่นายอยู่ข้างๆฉัน ฉันจะทำให้นายรู้เองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดมันคือเรื่องจริง อยู่ข้างๆฉันนะ”

            “หึ”

            “อยู่ข้างๆนัทนะซิน”

            “.......”

            “นะครับ” พูดไปพร้อมกับกอดเอวบ้างเอาไว้ด้วย ประกอบกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆให้เขาถอยหนีไปด้านหลัง แต่จะไปไหนได้ไกลครับ ก็อยู่ในอกกันนี่แหละ จมูกโด่งสวยย่นอย่างนึกหมั่นไส้

            ผมคิดว่างั้นนะ ^^

            “พอแล้วน่า ไม่ต้องพูดแล้ว ก็เคยบอกไปแล้วไง ....ว่าถ้าไม่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่จำไว้ด้วยแล้วกันว่าตัวเองพูดว่าอะไร”

            จะจำไปจนวันตายเลยครับ จะเอาวันนี้ย้ำเตือนในทุกๆวันว่าวันนึงที่ผมกำลังจะเสียเขาไป แต่สุดท้ายเขาก็ยังให้โอกาสผู้ชายไม่เอาไหนคนนี้ และจะทำทุกวันต่อจากนี้ให้ดีที่สุด ให้สมกับโอกาสครั้งนี้ที่เขามอบให้ ไม่ว่ายังไงใจผมก็จะมีแค่ซินคนเดียว แค่นักร้องของผมคนนี้แค่คนเดียว

            “เจ็บมั้ย” มือสวยยื่นขึ้นแตะข้างแก้มผมที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยมือเขาไปแล้วเรียบร้อย

            “นิดหน่อย”

            “จะได้ซ้ำอีกที” ไม่พูดเปล่านะครับ ง้างมือเตรียมจะทำจริงๆซะด้วย ทำเอาผมรีบตะครุบมือเล็กของเขาเอาไว้แทบไม่ทัน

            “ไม่เอาแล้วๆๆ เจ็บครับเจ็บ”

            “ทีหลังก็อย่าพูดอีกนะว่าจะตาย”

            “รู้แล้ว ไม่ยอมตายง่ายๆหรอก ....ฉันรักนายนะ”

            “ได้ยินแล้วน่า พูดอะไรกันบ่อยๆ”

            “ฉันรักนาย” คนสวยหรี่ตาแดงๆมองผมก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากกันไว้ ที่ไม่อยากได้ยินนี่เพราะเขินหรือเพราะอะไรกันแน่ครับ อยากรู้ซะแล้วสิ

            “ฉันรักนาย” พูดมันทั้งๆที่โดนปิดปากอยู่นี่แหละ เพราะรอยยิ้มที่กว้างขึ้นในทุกครั้งที่ผมบอกออกไป มันทำให้อยากพูดไปเรื่อยๆ อยากจะรู้นักว่ารอยยิ้มนั้นจะกว้างได้มากเท่าไหร่ด้วยคำพูดของผม

            “ฉัน....”

            “ฉันก็รักนายเหมือนกัน”

            คราวนี้เป็นผมเองที่ต้องยิ้มแก้มแทบแตก เพียงเพราะคำบอกรักของซินแค่คำเดียว

            “ซินก็รักนัทเหมือนกัน”

            แค่นี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจริงๆ ด้วยแรงดึดดูดของโลก แรงดึงดูดแห่งรัก หรือไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่น มันทำให้ใบหน้าเราเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ท่ามกลางต้นไม้และนกตัวน้อยรายล้อมรอบตัวเป็นพยาน สัมผัสแห่งรักที่เราพากเพียรมอบให้กัน รสจูบหอมหวานนุ่มนวลมากกว่าทุกที เพราะครั้งนี้ ณ ที่แห่งนี้ ....ความรักของเรากลับมาประสานกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว

            นับตั้งแต่นี้ไป รักกันให้มากขึ้นทุกๆวันนะซิน

            ค่อยๆรักกัน ให้มันมากกว่านี้

            ให้มันดีกว่านิรันดร์

            …..

            เพราะคำว่านิรันดร์ มันไม่มีวันสิ้นสุด



THE END.
...

จบแล้ววววววว T^T จบแล้วค่ะ จบจริงๆ

ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ร่วมเดินทางกันมาจนถึงตอนนี้
มีความสุขมากจริงๆค่ะ ตลอดระยะเวลาที่แต่งก็มีท้อบ้างฮึดบ้าง
แต่เพราะได้กำลังใจจากทุกคน แยมถึงแต่งได้จบ

ขอบคุณมากๆนะคะที่อยู่ด้วยกัน ถ้ามีผิดพลาดไปตรงไหนแยมต้องขอโทษด้วยนะคะ
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แต่งฟิค -/\-
ดีใจที่ได้พบเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเพราะฟิคเรื่องนี้ เป็นมิตรภาพที่ดีมากๆเลยค่ะ
เรื่องนี้จบแล้วก็ยังไม่ได้หายไปไหนน้า ใครคิดถึงก็แวะไปอ่านคุณนักฆ่านะคะ >.< 555 ขายของๆ

สุดท้ายนี้รักทุกคนมากๆนะคะ รักมากจริงๆ แล้วพบกันใหม่นะคะ
ขอบคุณค่ะ :)
แยม.

******เปิดจองรวมเล่ม คุณบอดี้การ์ดแล้วจ้าาาา  ใครสนใจ >> คลิก http://my.dek-d.com/eucalyp/writer/viewlongc.php?id=943531&chapter=33 (http://my.dek-d.com/eucalyp/writer/viewlongc.php?id=943531&chapter=33) << เลยย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 10-11-2013 14:21:00
เย้!!!!!!!!!!ดีกันแล้ววววววววว ซินน่ารักที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: shijino ที่ 10-11-2013 14:55:39
จบแล้ว ลุ้นซะเหนื่อยเลย  :mew2:
ปล. รักน้องซิน  :o8:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 10-11-2013 18:26:39
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

จบแล้วววว  :mew1:

จะไม่มีตอนพิเศษหน่อยเหรอออออออ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-11-2013 18:42:22
ในที่สุดก็แฮปปี้ เย้ๆ
อยากได้ตอนพิเศษเหมือนกันอ้ะๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 12-11-2013 11:34:39
ฟิคเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากจริงๆ ตอนจบก็มีหลายอารมณ์ ชอบมากๆๆๆๆๆ  :กอด1:  :katai2-1: o18
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 12-11-2013 15:23:15
 ขอบคุณน้องแยมนะ รอติดตามเรื่องใหม่นะ
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || ตอน 29 The end. [8/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: tw.choco ที่ 12-11-2013 17:27:43
น่าร๊ากกกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจองรวมเล่ม [Ex.หน้าปก]
เริ่มหัวข้อโดย: Eucalyp ที่ 12-12-2013 15:15:07
เปิดจอง My Bodyguard ค่า


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1506639_10152141038212059_1787683925_n.jpg)


รายละเอียดหนังสือ


หนังสือ              ขนาด A5

จำนวน               1 เล่ม

หน้าปก              พิมพ์ 4 สี เคลือบด้าน

เนื้อกระดาษ        กระดาษถนอมสายตา

จำนวนหน้า           ประมาณ 350 หน้า

ตอนพิเศษ           3 ตอน

          - กาลครั้งหนึ่งความรัก

          - เชียงใหม่

          - เถียงกันทำไม


ราคา          360    (รวมค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน)

**พร้อมที่คั่น 1 อัน**

ระยะเวลาเปิดจอง ตั้งแต่วันนี้   ถึง   31 ธันวาคม 2556


 

วิธีสั่งจอง

สั่งจองได้ทาง Email : black-devil_deathอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

ระบุหัวข้อว่า 'สั่งจอง My Bodyguard'

1. ชื่อผู้จอง

2. จำนวน…..เล่ม

แล้วเดี๋ยวแยมจะส่งรายละเอียดการโอนเงินให้ไปทางเมล์นะคะ

ใครที่ไม่ได้รับเมล์ตอบกลับภายในสองวัน รบกวนส่งกลับมาใหม่อีกรอบนะคะ


ขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ 
แยม.
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 06-01-2016 16:18:24
สนุกมากค่ะ มีทุกอารมณ์ ในที่สุดก็อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Anong2013 ที่ 25-01-2016 02:18:45
อ่านตอนจบร้องไห้หนักมาก   สุดท้ายก็รักกันอย่างมีความสุข

สะใจแม่ดาราคนนั้น. เกียดพ่อของนัทเอาแต่ใจตัวเอง

ขอบคุณนักเขียนนะค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 29-01-2016 16:28:44
สนุกมากเรื่อง ครบรสเลย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 13-05-2016 16:15:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: