[fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [fic Singular] ใจฉันอยู่ที่นาย my Bodyguard || เปิดจอง [12/12/56]  (อ่าน 54374 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
รู้สึกสงสารพี่นัทที่สุดเลยยยยยย!!

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
19

((ป่วย))

           

            เป็นเพราะว่าความรักกับสิ่งที่จำเป็นต้องเลือกมันต่างกัน และเมื่อมีทางแยก ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่ถูกเลือก และสิ่งที่ต้องถูกทิ้ง หน้าที่ของความเป็นลูกที่ดี กับการเป็นคนรักที่มั่นคง อย่างไหนคือสิ่งที่ผมควรจะทำ ..ผมรักซิน แต่ผมก็รักครอบครัวเหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไง  ผมไม่มีทางทิ้งซินแน่ๆ และดูเหมือนว่าครอบครัวที่น่ารักของผมจะรู้ทันถึงเรื่องนั้น...

            ถึงได้จัดการล็อกห้อง และขังผมเอาไว้ในนี้ ปิดทางเข้าออกของห้องนี้ทั้งหมดทุกทาง เหลือไว้แค่ช่องเล็กๆตรงประตูเพื่อให้แม่ส่งข้าวส่งน้ำให้ผมเท่านั้น นี่ยังดีนะที่ไม่ได้ใส่โซ่ล่ามผมเอาไว้กับขาเตียงเหมือนอย่างในหนังด้วย

            ขอบตาดำคล้ำเพราะคิดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน สภาพอิดโรยเกินกว่าที่จะลุกจากเตียงไปไหนได้อีก

            โทรศัพท์ถูกยึด ทั้งคอมพิวเตอร์และโน็ตบุ๊คหรือสรรพสิ่งอะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้ผมสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ถูกขนออกไปจนหมด

            ไม่เหลืออะไรเลย...

            ..........

            นี่ใช่มั้ยคือสิ่งที่ทุกคนคิดว่าผมจะเป็น...?

            ว่าเข้าไปนั่น!!! นี่มันไม่ใช่ยุดโลกมืดนะครับ!! พ่อแม่ผมไม่ใช่คนมืดหม่น และใจร้ายขนาดนั้น!!!

            ฮ่าๆๆๆ ใจหายวูบกันเลยล่ะสิน่ะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เรียกขวัญกลับมาก่อนนะครับ อย่าเพิ่งคิดเตลิดไปไกล... ><

            ไม่มีทางที่ไอ้นัทจะให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอนครับ ไม่จำเป็นต้องเลือกหรือตัดอะไรทิ้งไป! ผมจะเก็บรักษาคนที่ผมรักทุกคนเอาไว้ ไม่ต้องทิ้งใครไปทั้งนั้น

            ผมจะเป็นทั้งคนรักที่ดี และลูกที่กตัญญูพร้อมๆกัน

            ผมทำได้แน่ๆ ผมมั่นใจ

            ดังนั้นวันนี้ ไม่ต้องรอให้ตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า ผมก็รีบชิ่งออกมาจากบ้านเสียก่อนที่พ่อหรือแม่จะตื่นขึ้นมาจัดการกับชีวิตผม ผมโตแล้ว ขอผมจัดการชีวิตของตัวเองก็แล้วกัน

            ทันทีที่โผล่หัวออกมาจากรั้วบ้านได้ก็เผ่นแน่บทันที สตาร์ทรถได้ก็เหยียบเต็มที่ วันนี้จะได้เจอซินสักที เจอเรื่องแย่ๆมาเยอะแล้ว ขอกอดแน่นๆสักทีเถอะ

            วันนี้นักร้องของผมมีงานตอนเย็น เป็นแขกรับเชิญเล่นไลฟ์คอนเสิร์ตของศิลปินวงหนึ่ง งานมีตอนเย็นครับ แต่โผล่ไปหาตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเนี่ยแหละ แถมไม่ได้โทรไปบอกก่อนด้วย แล้วแบบนี้จะได้เข้าบ้านเขามั้ยล่ะเนี่ย

            สาธุ! ขอให้ป๊าซินยังไม่ตื่นด้วยเถิ้ดดด ไอ้นัทจะได้เข้าบ้านง่ายๆหน่อยนะครับ ไหนๆก็เจอเรื่องร้ายๆมาเยอะ วันนี้ขอให้โชคเข้าข้างผู้ชายคนนี้บ้างเถอะครับบบ

            แต่...เทวดาฟ้าดินไม่ได้ฟังคำขอร้องของผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะทันที่ที่จอดรถหน้าบ้าน คุณป๊าก็เดินออกมาทักทายกันในทันที

            เล่นเอาเหงื่อตกไปเลยครับ ไม่นึกว่าจะได้เผชิญหน้ากันไวขนาดนี้

            ...หึหึ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนนนนนนน TT

            "มาทำอะไรแต่เช้า" สีหน้าตอนทักทายนี่ยิ้มแป้นแล้นเลยนะครับ แถมน้ำเสียงนี่ก็เป็นมิตรกันสุดๆไปเลย

            ...ทุกคนเชื่อมั้ยล่ะครับ หึหึ

            "สวัสดีครับป๊า เอ่อ..คือ วันนี้ซินมีงาน ผมก็เลย..."

            "งานมันมีตอนเย็นไม่ใช่หรือไง"

            ทำไมป๊าต้องรู้ทุกเรื่องด้วยล่ะครับ!! T^T

            "เอ่อ...คือ..."

            "ช่างเหอะๆ วันนี้ฉันกับม้าจะออกไปข้างนอก มาก็ดี ฝากซินด้วยแล้วกัน"

            พูดจบป๊าก็เดินผ่านผมไปอย่างไม่ใยดี ทิ้งผมให้ยืนค้าง อ้าปากหวออยู่ตรงนั้น ไม่ไล่...แถมยังสนับสนุน? หรือเปล่า...? ไม่รู้แหละ ไอ้คำว่าฝากซินด้วยแล้วกัน นี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้เต็มๆอ่ะ

            "อ้าวนัท มาแต่เช้าเลยลูก"

            "สวัสดีครับม้า"

            "สวัสดีจ้ะ" ม้าที่เพิ่งจะเดินออกมาจากบ้านยกมือรับไว้ผมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย แตกต่างกับป๊าราวฟ้ากับดิน

            "ซินน่าจะยังไม่ตื่นนะเนี่ยตอนนี้... เอาไงดีล่ะ ป๊ากับม้าก็ต้องออกไปข้างนอกซะด้วยสิ นัทขึ้นไปปลุกซินเองได้มั้ยลูก"

            "อ๋อ ไม่เป็นไรครับม้า เดี๋ยวผมไปเรียกเขาเอง ม้าไปทำธุระเถอะครับ"

            "จ้ะ งั้นม้าไปก่อนนะ วันนี้ม้าฝากซินด้วยนะลูก เมื่อวานนี้ก็บ่นๆเหมือนจะไม่สบายด้วย ฝากดูแลด้วยนะจ๊ะ"

            "อ๋อ... ครับ เดี๋ยวผมดูแลให้ ม้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ"

            "จ้ะ ม้าไปก่อนนะลูก เดี๋ยวจะสาย"

            "ครับ"

            ทางสะดวก.... หึหึ

            แต่ซินไม่สบายเหรอเนี่ย เมื่อวานก็คุยกันนะ ไม่เห็นพูดอะไรเลยนี่นา ไม่สบายแบบนี้ต้องโดนฉีดยาสักเข็มแล้วมั้ง...^^ สาบานว่าไม่ได้คิดเป็นอื่นจริงๆครับ...

            พอยืนส่งป๊ากับม้าขับรถไปจนลับตาก็รีบเข้าบ้านทันที ไม่ต้องแวะห้องไหน ตรงดิ่งไปที่ห้องซินเลยครับ ในห้องเงียบสนิทแบบนี้ ยังไม่ตื่นจริงๆนั่นแหละ นี่ก็เพิ่งจะเกือบๆหกโมงเอง คิดดูเถอะ ว่าผมรีบออกมาจากบ้านขนาดไหน

            ก๊อก ก๊อก

            "ซิน"

            "...." เงียบ ไร้สัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

             ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            "ซิน ได้ยินมั้ย"

            "...." หรือว่าสัญญาณจะล่ม... ไม่ใช่ละ

            "ซิน! ซิน!! เปิดประตูให้หน่อย!" นี่ถ้าไม่เกรงใจงัดห้องไปแล้วนะครับ อย่าให้ต้องแสดงฝีมือ ขับรถเหยียบกุญแจทะลุล้อยังทำมาแล้ว (เอ๊ะ ยังไง ><)

            ได้ยินกุกกักๆดังมาจากให้ห้องเบาๆ ทำให้ผมหยุดและรอฟังเสียงจากด้านใน

            ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับใบหน้ายุ่งๆแบบแมวเพิ่งตื่นนอนก็โผล่ออกมา ตาที่เคยกลมโตหยีมองผมอย่างงัวเงีย

            "มาได้ไงเนี่ย" เสียงแหบๆถามขึ้นก่อนจะปิดปากหาววอด

            "ขับรถมาสิ คงไม่เดินจนมาถึงนี่หรอกมั้ง"

            "แล้วมาทำไมแต่เช้า เข้ามาได้ไงจนถึงนี่เนี่ย อย่าบอกนะว่างัดบ้านเรา เดี๋ยวก็แจ้งตำรวจจับซะหรอก"

            "ถ้าทำแบบนั้นไม่ต้องรอตำรวจหรอก เจอป๊าซินก็ตายตั้งแต่บ้านประตูบ้านแล้วมั้ง"

            "รู้แล้วยังจะมา"

            "ก็หัวใจมันเรียกร้อง"

            "โห ตาสว่างเลยว่ะ ไม่ใช่อะไรนะ จะอ้วก..."

            "หึหึ"

            ผมก้าวเข้าหาร่างบาง และรั้งเขาเข้ามากอดแนบอก ยิ่งเห็นว่าอยู่ตรงหน้า ความคิดถึงมันยิ่งมากขึ้น อยากกอด อยากจูบ อยากทุกอย่างจริงๆครับ ไม่ได้จะทะลึ่งนะ แต่ที่พูดไปทั้งหมดนี่ก็เพราะว่าผมคิดถึงเขาจริงๆ คนรั้นตัวรุมๆซะด้วยสิ สงสัยว่าจะไม่สบายจริงๆ

            "ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวป๊าก็มาเห็นหรอก" คนตัวบางดิ้นดุ๊กดิ๊ก และบ่นเสียงอู้อี้ตามมา

            "ป๊าไม่เห็นหรอก ออกไปข้างนอกแล้ว"

            "รู้ได้ไง"

            "ก็เจอกันแล้ว ป๊าเปิดประตูให้เองกับมือเลยเนี่ย"

            "โม้แล้ว" ซินดันไหล่ทั้งสองข้างเพื่อมองหน้าผมชัดๆทันที

            "ไม่ได้โม้ ไม่เชื่อโทรถามดิ พนันกัน คนแพ้โดนทำโทษด้วยนะ"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบเล่นการพนัน" ซินเบ้ปากนิดๆและเดินนำเข้าไปในห้อง

            "ป๊อด"

            "โมเดิ้นด็อก?"

            ... โห มุกล้ำลึกมากครับ ถ้าสมองไม่ทันจริงๆนี่นึกตามไม่ออกนะครับบอกเลย มุกของนักร้องใช่มั้ยครับเนี่ย

            "หึหึ" ผมขำน้อยๆเมื่อซินหันมามองค้อนผมที่ไม่ยอมรับมุกเขา เด็กน้อยเอ๊ยยย เดี๋ยวก็ฟัดให้หายป่วยซะหรอกแบบนี้

            ซินเดินไปสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มตามเดิม อะไรอ่ะ.. จะนอนต่อเหรอ

            "จะนอนต่อเหรอซิน"

            "อือ ยังเช้าอยู่เลย ปวดหัวด้วย" ผมเดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งลงตรงฝั่งที่ซินนอน เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากมนเบาๆ

            "ตัวอุ่นๆ เมื่อวานไม่สบายทำไมไม่ยอมบอก" และเพราะความหมันเขี้ยว ก็เลยบีบจมูกรั้นๆนั่นไปเสียหนึ่งที

            "ก็ตอนคุยโทรศัพท์ยังไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไหร่นี่"

            "กินยารึยัง"

            "กินแล้ว ก่อนนอน"

            "หนาวมั้ย"

            "นิดนึง"

            "อยากได้คนกอดรึเปล่า"

            ".////."

            ไม่ตอบแต่ทำหน้าแดงแบบนี้คืออะไรครับ!!! เดี๋ยวก็ฉีดยาให้จริงๆซะหรอก

            "มีให้กอดแล้ว" เสียงหวานตอบอ้อมแอ้มทำเอาคิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที ใครวะ!! ใครมันกล้ามากอดซินของผม

            และไม่ต้องรอช้าเพราะเจ้าตัวมันแสดงตัวออกมาในทันที โดยการโผล่หัวออกมาจากใต้ผ้าห่มซินทีละน้อยๆ ตะบบผ้าห่มดุ๊กดิ๊กและโผล่ออกมาทั้งตัว ไอ้ผู้ชายคนนี้มันได้มานอนกับซินได้ยังไงเนี่ยยยย แถมมานอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันด้วยนะ หน็อยแน่....!!

            ผมเอื้อมมือไปคว้าหนังหลังคอมันขึ้นมาทันที และโยนมันลงไปด้านล่างอย่างไร้เยี่อใย เรียกเสียงข่มขู่จากมันได้มากมายมหาศาลเลยครับ

            "นัท!! ทำไมจับทองแบบนั้นเล่า! เดี๋ยวเหอะ" เหวี่ยงตัวนู้น แต่ไอ้ตัวนี้ดันโกรธครับ แหม... รักกันจริงๆนะ

            "ก็มันมานอนข้างซิน ตัวผู้ซะด้วยนะ เดี๋ยวพ่อจับปิ้งซะหรอก"

            "จะบ้าเหรอ"

            "ไม่บ้าหรอก หวง"

            "นั่นทองนะ ลูกรักเรา"

            "ไม่สนอ่ะ ถ้าเป็นแสงดาวจะไม่ว่าเลย"

            "ทำไม..."

            "ก็แสงดาวตัวเมีย"

            "บ้ารึเปล่าเนี่ยนัท หึงแมว ...แต่เสียใจ ดาวดาวก็ผู้ชายเหมือนกัน"

            “เฮ้ย ถามจริง?”

            “อือ”

            “โห บ้านนี้นี่มันไม่ปลอดภัย”

            “หึงไร้สาระไปป่ะเนี่ย”

            "ไม่ไร้สาระอ่ะ หึงหมดแหละ คนเนี้ย" พูดจบผมก็ดันคนป่วยให้กระเถิบไปนิด ล้มตัวลงนอนด้านข้างซิน สอดแขนเข้าไปให้หัวทุ้ยๆหนุน และดึงเขาเข้ามากอดไว้ ลูกแมวน้อยเองก็ซุกเข้าหาแผ่นอกผมเช่นกัน

            อ้อนขนาดนี้เนี่ย ต้องการอะไรจากผมหรือเปล่าครับ... ^^






            แรงยุกยิกจากคนด้านข้างทำให้ผมต้องหยีตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจมากนัก ก็เมื่อเช้าตื่นเช้ามากจนเกินไป ก็เลยอยากจะขอนอนยาวๆต่ออีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าคนที่นอนอยู่ข้างกันจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นซะแล้ว

            สัมผัสนุ่มนิ่มจากคนด้านข้างทำให้วาดแขนออกไปหวังจะกอดกัน แต่กลับได้กรงเล็บแหลมๆตอบกลับมาแทน ซินเล็บแหลมขนาดนี้เลยเหรอ...

            เฮ้ย ผมว่ามันไม่ใช่และ

            ผมยันตัวลุกขึ้นหันมามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ และพบว่าไอ้ตัวที่นั่งอยู่ข้างๆผมกลับไม่ใช่ซิน แต่เป็น... แสงดาวของคุณซินเขาและครับ มาได้ไงเนี่ย แล้วไอ้ตัวดีหายไปไหน ตื่นแล้วทำไมไม่ยอมเรียกกันบ้าง ไหนบ่นว่าปวดหัวไงน่ะ

            “เจ้านายแกไปไหนฮะ” ผมยื่นมือไปผลักหัวไอ้เหมียวที่มานั่งเลียแข้งเลียขาตัวเองอยู่ข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

            “แล้วใครเขาตั้งชื่อให้ เป็นตุ๊ดรึไงฮะ ชื่อแสงดาวนี่มันชื่อผู้หญิงชัดๆเลย ถามจริง ไปไหนมาไหนไม่อายบ้างเหรอชื่อนี้เนี่ย” ดีดหูมันไปอีกทีอย่างหมันไส้ รักนักรักหนาใช่มั้ยไอ้ตัวนี้เนี่ย หึหึ เจ้าของไม่อยู่ เสร็จแน่ๆ...

            มือเล็กๆสองข้างยกขึ้นตะปบผมในทันที แต่ขอโทษ เล็บไม่ได้เก็บนะครับ ถ้าหลบไม่ทันนี่ได้เลือดเลยนะ จับหักคอโยนออกนอกหน้าต่างไปซะดีมั้ยเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าคุณเจ้าของเขาจะฆ่าตายเอาซะก่อนนะ

            ผมลุกขึ้นบิดตัวยืดเส้นยืดสายไปมา หันไปมองเห็นแสงดาวโดดลงมาจากเตียง เดินเชิดไปรออยู่ตรงหน้าประตูห้อง อารมณ์ประมาณว่า 'เปิดประตูสิ ฉันจะได้ออกไป'

            นิสัยเหมือนใครเนี่ย... ไม่ต้องสืบเลยจริงๆ

            ทันที่ผมเปิดประตูมันก็วิ่งผลุบหายออกไปเลย พอผมเดินลงมาด้านล่างก็ได้กลิ่นหอมๆลอยออกมาจากห้องครัว นี่อย่าบอกนะว่าคนป่วยตื่นลงมาทำอาหารเช้าให้ผมกิน...?

            หิมะตกที่กรุงเทพเหรอ

            หรือว่าพรุ่งนี้โลกจะแตก

            หรือว่าคนป่วยอาการหนักจนบุคคลิกเปลี่ยนไป

            พอและ ไม่ต้องเดาให้มากความ ไปหาเลยละกัน

            เดินเข้ามาในครัวก็เจอร่างบางคุ้นตายืนจับนู่นหยิบนี่ง่วนอยู่ในครัว มือเรียวจับตะหลิวผัดๆอยู่ในกระทะ แค่ได้กลิ่นก็ไม่ต้องเดาแล้วครับว่าเขาทำอะไร เมนูเก่งของเขานั่นแหละครับ สปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศ

            ผมยาวสวยถูกมัดรวบเป็นหางม้า ยาวจนถึงกลางหลัง ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผมสวยนี่เขาวัดกันยัง ผมรู้แค่ว่าผมซินสวย...^^ เอวบางๆนั่นอีก ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน ไอ้หุ่นแบบนี้ ลมพัดสองสามทีไม่รู้จะปลิวมั้ยนั่นน่ะ สาวๆนี่เขาลดแล้วลดอีก คุณซินไม่เห็นต้องทำอะไร จะกินแค่ไหนก็เห็นตัวเท่านี้ตลอด แต่ไอ้ปากบางๆนั่นก็บ่นจังว่าอ้วนอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ไม่ว่าจะอ้วนหรือไม่อ้วน ซินของผมก็น่ากอดเสมอ

            แฟนใครเนี่ย

            ...น่ารักจัง

            "เล่นอะไรเนี่ย"

            เสียงงุบงิบจากคนที่ผมเพิ่งจะเดินเข้าไปกอดเขาทางด้านหลังบ่นขึ้นเบาๆ ไอร้อนจากคนป่วยส่งผ่านมายังผม ซินตัวร้อนเหมือนกันนะเนี่ย

            "ตื่นมาทำไมแต่เช้า"

            "สิบโมงกว่า ไม่เช้าแล้วมั้ง"

            "เช้าสิ ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ ตัวร้อนๆด้วย ทำไมไม่นอนพัก"

            "แล้วเช้านี้จะกินอะไร เราไม่ทำให้แล้วใครจะทำ"

            "ก็ฉันไง เดี๋ยวทำให้กิน รับรองว่าจะติดใจ"

            "ถ้าคุณนัทจะทำกลับข้าว เกรงว่าครัวบ้านเราจะพังนะครับ"

            "โห ดูถูกกันสุดๆอ่ะ"

            "ก็ดูถูกแล้วไง"

            "แต่หูฝาดป่ะเนี่ย คุณซินกำลังจะทำข้าวเช้าให้กระผมกิน" และด้วยความหมันเขี้ยวก็เลยขโมยหอมแก้มเขาไปที เลยโดนด้ามตะหลิวกลับมาเป็นการตอบแทน

            "ไม่กินก็ได้นะ ไม่ได้บังคับ" คนตัวเล็กดิ้นยุกยิกทำให้ผมต้องปล่อยเขาออกเพื่อให้เขาทำงานได้สะดวกขึ้น และถอยมายืนมองใกล้ๆแทน

            "ไม่กินได้ยังไง ฝีมือซิน ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว อร่อยขึ้นมั่งรึเปล่าเนี่ย"

            "อร่อยสู้ฝีมือสาวๆไม่ได้หรอกมั้ง"

            "นอกจากแม่ก็มีสาวซินคนเดียวนี่แหละที่ได้กินอ่ะ" ไม่ต้องเป็นหมอดูก็รู้ได้ล่วงหน้าครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

            ตะหลิวลอย... เคยเห็นมั้ยครับ โชคดีนะที่รับไว้ทัน ไม่งั้นกระจายเต็มห้องครัวแน่ๆครับไอ้เศษซอสที่ติดตะหลิวอยู่นี่

            "ทะลึ่งและนัท ไปรอข้างนอกนู่นไป เกะกะว่ะ"

            "ไม่เอาหรอก ข้างนอกไม่มีซิน ในนี้น่าอยู่กว่าเยอะ"

            "เหม็นขี้ฟัน"

            หึหึ ไอ้ที่ไล่กันนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เขินชัวร์ๆ ผมมองคนแก้มอมชมพูหยิบนู่นหยิบนี่ไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยเขาหยิบของส่งให้ ช่วยบ้างป่วนบ้างจนสปาเก็ตตี้แบบฉบับของคุณซินเขาเสร็จนั่นแหละ ถึงได้พากันออกมานั่งกินกันที่ห้องนั่งเล่น กินเสร็จก็ให้คนป่วยกินยา แล้วก็นั่งเอกเขนกดูหนังกันไปเรื่อยเปื่อย

            จนซินลุกขึ้นนั่นแหละ ผมถึงได้ถอนสายตาหันมามองเขา

            "ไปไหน"

            "อาบน้ำ เหนียวตัว"

            "ป่วย อาบน้ำได้เหรอ"

            "อ้าว แล้วจะให้เราตัวเหม็นไปทั้งวันรึไง ไม่เอาหรอก"

            "เช็ดตัวก็พอแล้วมั้ง"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่ถนัด" ผมรั้งแขนซินที่กำลังจะเดินหนีไปเอาไว้ก่อน ซินจึงหันมามองอย่างงๆ

            ความคิดดีๆเริ่มบรรเจิดอีกแล้วครับ... ^^

            "ฉันเช็ดให้"

            ไม่ต้องรอคำตอบ ผมลุกขึ้นจากโซฟาเดินจูงมือคนตัวเล็กตามขึ้นมาบนห้องโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แถมยังเดินตามมาเงียบๆแต่โดยดีอีกต่างหาก เป็นใจเกินไปแล้ว!

            "นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวไปเอาน้ำอุ่นมาก่อน"

            พาซินเดินมานั่งที่เตียง ผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำเพื่อลองน้ำอุ่นกับหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปเช็ดตัวให้เขา เดินกลับมาก็เห็นคนหน้าบางก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองผมอยู่

               เขิน ...แต่ไม่ปฏิเสธนะครับ ^^

            "จะนอนหรือจะนั่งเช็ดดีอ่ะ"

            "ไม่เอาไม่นอน!" ลูกแมวตัวน้อยส่ายหัวพรืดใหญ่เลย หึหึ เวลาแบบนี้มันน่าแกล้งจริงๆครับ ลืมคราบนางฟ้ามาเฟียไปได้เลย

            "นั่งแล้วจะเช็ดถนัดเหรอซิน"

            "เราเช็ดเอง"

            "อย่าดื้อ บอกว่าจะทำให้ก็คือทำให้สิ นอนนิ่งๆ เดี๋ยวเสร็จเอง"

            "สาบานมาว่าไม่ได้คิดเรื่องอื่น" ตากลมโตหรี่มองผมอย่างไม่ไว้ใจ

            "ไม่ได้คิดไรเลย จริงจริ๊งง" เสียงไม่สูงนะครับ ไม่เล๊ย

            "น่าเชื่อถือมากจริงๆ"

            "ถอดเสื้อเร็วคนเก่ง เดี๋ยวเช็ดตัวให้" มือก็ซักผ้าบิดผ้าไป ปากก็ยิ้มไม่หุบ ฮิฮิ เปล่านะครับ ผมไม่ได้ออกหน้าออกตาจนเกินไปสักนิดเลยนะเนี่ย นี่ธรรมดาเลยจริงๆ

            "ไม่ต้องถอดหรอก!"

            "เอ้า ไม่ถอดแล้วจะเช็ดยังไงล่ะ"

            "เช็ดทั้งๆที่ใส่อยู่แบบนี้แหละ เช็ดทับเสื้อไปเลย!"

            "ตลกแล้ว! แบบนั้นเขาไม่ได้เรียกว่าเช็ดตัวหรอก เขาเรียกว่าเช็ดเสื้อ" งอแงแล้วมั้ยล่ะ คนเก่งของผม

            "ก็เราไม่อยากถอดนี่"

            "อายอะไรครับเห็นมาหมดแล้วทั้งตัวเนี่ย"

            "อย่าพูด!!" มือเรียวยื่นมาปิดปากผมด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าหวานแดงซ่านไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะอะไรกันแน่นะครับ

            "อะไออ่ะ"

            "ไม่ต้องพูด จะทำอะไรก็รีบทำ"

            ฮั่นแน่... ความหมายสองแง่สองง่ามอีกแล้วนะครับเนี่ย หึหึ

            "ไม่ต้องมาทำหน้าลามก เราหมายถึงเช็ดตัวอย่างเดียว" สวยสวยชักมือกลับไปกอดอก แถมอมลมจนแก้มป่องอีกต่างหาก มันน่าหยิกซะให้ยืดจริงๆ

            "รู้แล้วน่า ไม่รังแกคนป่วยหรอก"

            "ไวๆเลย"

            "เอ๊ะ พูดจาชวนให้คิดอีกแล้วนะเราน่ะ"

            "ก็ในหัวมันมีแต่เรื่องแบบนี้เนี่ย!! ไม่ต้องช้งไม่ต้องเช็ดมันแล้ว เราไปอาบน้ำเองดีกว่า!!"

            "โอ๋ๆ ล่อเล่นๆ ไม่แกล้งแล้วครับ เช็ดเฉยๆครับ ไม่ทำอย่างอื่นหรอก ...ถ้าซินไม่สมยอมอ่ะนะ ...อะอะ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว" ผมยกสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้เมื่อซินรีบลุกขึ้นยืนอย่างหาเรื่อง นี่ขนาดคนป่วยนะเนี่ย ยังจะมีแรงทำร้ายร่างกายกันอีกอ่ะ

            "นั่งก็นั่ง แต่ต้องเลิกเสื้อขึ้นนะ ไม่งั้นเช็ดไม่ได้จริงๆ"

            "อือ"

            ผมกระเถิบขึ้นไปนั่งบนเตียงด้านหลังซิน ดึงเสื้อยืดตัวบางขึ้นสูง เพื่อที่จะเช็ดตัวเขาได้ง่ายขึ้น ทันทีที่เห็นผิวขาวๆนี่ ไอ้ที่บอกว่าจะไม่รังแกคนป่วยนี่ลืมไปเลยครับ อารมณ์หมาป่าอยากขย้ำลูกแกะเข้าครอบงำ แต่แรงสั่นน้อยๆจากคนตัวบางทำให้ผมต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ซินกำลังหนาว ให้เปิดเสื้อทิ้งไว้แบบนี้นานๆแล้วจะยิ่งป่วยหนักไปกว่าเดิม เริ่มเช็ดแล้วเลิกเล่นดีกว่าครับ

            ผมเช็ดผ้าที่บิดน้ำอุ่นหมาดๆไปบนหลังบางของซิน เขาเองก็นั่งเฉยๆให้ผมเช็ดไปเรื่อยๆจนทั่วหลัง แต่มันเช็ดทั้งหมดไม่ได้อ่ะ ถ้าไม่ถอดเสื้อ

            "ซิน ถ้าไม่ถอดเสื้อแล้วมันเช็ดไม่ได้จริงๆนะ ไม่อย่างงั้นมันจะเช็ดไม่ทั่วอ่ะ ต้องถอดเสื้อนะ"

            "...."

            "แป๊บเดียวน่า อย่าดื้อสิ จะได้เสร็จไวๆ แล้วก็นอนพักผ่อน เย็นนี้จะได้มีแรงทำงาน" ได้ยินแบบนั้นคนดื้อก็เริ่มถอดเสื้อตัวเอง แต่ก็ชะงักไปและหันมามองหน้าผมอย่างไม่ไว้ใจอีกครั้ง

            "ถ้าไม่เชื่อใจกันขนาดนั้นจะให้หลับตาเช็ดให้ก็ได้เอ้า ใช่สิ คำพูดฉันสำหรับนายมันคงไม่น่าฟังนักหรอกเน้อะ" ตอแหลลงตับอีกแล้วครับผม

            คนสวยถอนหายใจอย่างเซ็งๆ และถอดเสื้อออกในที่สุด

            ปฏิบัติการลุลวง! -..- ขาวมากจริงๆแหละครับ

            ผมค่อยๆบรรจงเช็ดลงไปบนผิวเนื้อนิ่มเบาๆ กลัวจะไปทำให้ผิวขาวๆนี่เป็นรอยแดง ไล้ตั้งแต่พุงเรียบไล่ขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง... ร่างบางสะดุ้งนิดๆเมื่อผืนผ้าแตะเข้ากับจุดไวต่อสัมผัสเล็กๆของเขา ริมฝีปากบางเม้นเข้าหากัน คิ้วเรียวขมวดมุ่น

            แล้วแบบนี้ ไอ้นัทมันจะทนยังไงไหววะครับ...

            ...แบบนี้มันทรมานตัวเองชัดๆเลย

            "เช็ดตรงนั้นพอแล้วมั้ง" เสียงเบาๆจากซินทำให้ผมได้สติและรีบชักมือกลับ ไม่ไหวๆ แบบนี้เดี๋ยวได้รังแกคนป่วยขึ้นมาจริงๆแน่

            "เราว่าแค่นี้พอแล้วแหละ"

            "ข้างล่างยังไม่ได้เช็ดเลยนะ"

            " - - "

            " *-* "

            "เดี๋ยวเราไปเช็ดในห้องน้ำเอง" พูดจบซินก็ลุกขึ้นเดินหนีเข้าไปในห้องน้ำทันที เล่นเอาผมอยากจะวิ่งตามเข้าไปด้วยเลย ถ้าไม่ติดว่าป่วยอยู่ และเย็นนี้มีงานนะครับ ไม่รอดจริงๆ ถ้าจะยั่วกันแบบไม่รู้ตัวขนาดนั้น

            นี่ก็เดือนร้อนไอ้นัทต้องมานั่งระงับอารมณ์ตัวเองกันยกใหญ่ หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆจริงๆเลย   

            อ้าวๆ หวังอะไรกันครับ ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่รังแกคนป่วยอ่ะ ^^

            ผมส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหลือบสายตาหันไปเห็นโทรศัพท์ที่กำลังมีสายเรียกเข้ามาพอดี จึงลุกเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ก็ต้องชะงักไปนิดกับชื่อคนที่โทรเข้ามา

            'พ่อ'

            ............       





TBC.
.....
ขัดใจใครรึเปล่าน้ออออ
แต่ทำร้ายคนป่วยไม่ลง >..<
ฮ่าๆๆ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นเช่นเคยนะคะ

พบกันตอนหน้าน้าาา 

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ทำร้ายคนป่วยไม่ลง งั้นก็อย่าทำร้ายคนอ่านด้วยน๊า
เค้าไม่อยากซดมาม่าาาาาาาาา

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ซินน่ารักจังเลยนัทอ่ะหื่นตลอด!!!

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
20

((ครอบครัว))


 

            งานวันนี้จัดขึ้นที่ย่านวัยรุ่นใจกลางเมืองหรือที่เรียกกันง่ายๆว่าสยามนั่นแหละครับ กว่าจะบังคับให้คนป่วยกินยาแล้วนอนพักก็ยากเอาเรื่องเหมือนกัน ดื้อจะอ่านหนังสือท่าเดียว แล้วดูสิเนี่ย อาการยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่เลย จะพาไปหาหมอก่อนก็ไม่ยอมไป

            มันน่านักเชียว...

            "หายปวดหัวยังซิน"

            "ยังปวดอยู่นิดๆ"

            "นอนพักบนรถอีกสักแป๊บดีมั้ย เดี๋ยวค่อยลงไปก็ได้"

            "ไม่เอาอ่ะ นี่ก็ใกล้เวลางานเริ่มแล้วด้วย"

            ผมขมวดคิ้วมองคนด้านข้างอย่างไม่ชอบใจ คนอะไรทำไมช่างรั้นนัก ป่วยก็ต้องพักสิ เป็นนักร้องก็ใช่ว่าจะพักไม่ได้สักหน่อย ตัวเองยังแทบแย่แล้วยังจะไปห่วงคนอื่นอีก

            'แฟนคลับเรามารอเยอะแยะ จะให้เขามาเก้อเพราะเราไม่ขึ้นเวทีได้ยังไง' นี่คือเหตุผลของเขาครับ รักกันมากก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ก็อยากให้รักตัวเองด้วย เดี๋ยวจะแย่เอา

            อีกอย่างคือ ผมเป็นห่วง...

            "ไป ไปได้แล้ว เดี๋ยวไปเคลียคิวกับพี่ๆเขาอีก" คนตัวบางเร่งทำให้ผมต้องลงจากรถเพื่ออ้อมไปเปิดประตูรถให้เขา

            งานวันนี้แฟนคลับแห่กันมามากมายมหาศาลเช่นเคย มีทั้งแฟนคลับศิลปินเจ้าของไลฟ์ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแฟนคลับซิน ยกโขยงกันมาจนป้ายไฟซินจะมากกว่าเจ้าของไลฟ์ตัวจริงอยู่แล้ว

            ก้าวออกมาจากโรงจอดรถได้ไม่ทันไร แสงแฟลชก็สาดกันให้วิบวับทันที ข่าวไวจริงๆนะครับ ไม่รู้ว่าไปมองเห็นกันได้ยังไงถึงได้พากันมาไวขนาดนี้ ผมก้าวขึ้นไปบังซินเอาไว้เหมือนอย่างเคย ปล่อยได้เขาได้ถ่ายรูปกันสักพัก แล้วจึงขอตัวพาซินไปสแตนบายที่หลังเวทีก่อน เดี๋ยวเอาไว้เจอกันบนเวทีอีกที แฟนคลับก็ว่าง่ายยอมถอยเปิดทางให้แต่โดยดี

            ผมพาซินเดินไปพร้อมๆกับแฟนคลับอีกเป็นโขยงที่วิ่งตามกันมา จนเข้าเขตห้ามเข้านั่นแหละ ถึงได้กลับมาเดินอย่างสะดวกอีกครั้ง ผมจึงหันกลับไปมองคนป่วยด้วยความเป็นห่วง

            "ไหวมั้ย"

            "ไหวๆ"

            ไหวทั้งปี...

            ตอนนั้นเอง ก่อนที่จะได้เข้าไปที่หลังเวทีจริงๆ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนคุยกันอยู่ตรงที่ไกลๆทำให้ผมหยุดก้าวขาลง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีมากๆวิ่งเข้ามากระแทกหน้าผมอย่างจัง ก็จากที่มองเห็นไกลๆนั่นมัน...

            พ่อผมไม่ใช่เหรอ...? ไหนจะยังไอ้กัสอีก และที่สำคัญ โอลีฟกับคุณโอ๊ตก็อยู่ด้วย ตัวละครสำคัญอยู่กันครบเลยนะครับ นี่ถ้ารวมผมกับซินเข้าไปด้วยอีกก็จะกลายเป็นละครดราม่าขึ้นมาทันที

            แต่ประเด็นคือพ่อมาที่นี่ทำไม?

            เมื่อสายๆพ่อโทรหาผม แต่ผมตัดสินใจที่จะไม่รับ ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อโทรมาทำไม การไม่รับสายน่าจะดีที่สุด แต่ไม่นึกเลยว่าพ่อจะตามมาถึงนี่...

            "มีอะไรหรือเปล่านัท" เสียงถามจากคนด้านหลังทำให้ผมกระชับมือเขาที่จับเอาไว้อยู่แน่นยิ่งขึ้น และเมื่อซินเห็นว่าผมกำลังมองอะไรอยู่ เขาจึงเบนสายตาไปทางนั้นด้วยเช่นกัน ทันทีที่เขาเห็นสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ มือเรียวก็รีบบิดออกจากมือผมทันที

            ...แต่ผมไม่ยอมปล่อย

            ทำไมจะต้องปล่อย มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา ไหนๆจะรู้แล้ว ก็รู้กันให้หมดไปเลย ที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในระยะที่แฟนคลับจะมองเห็นได้ จะมีก็แต่คนภายในเท่านั้นที่เดินกันไปมา ผมบีบกระชับมือซินให้แน่นขึ้น และพาเขาเดินออกไปพร้อมๆกัน สายตาของทุกคนหันมามองทางนี้ทันทีเมื่อเห็นเรา

            "มากันแล้วเหรอ" เป็นคุณโอ๊ตที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเราก่อนที่จะเดินไปถึงที่ตรงนั้น

            "มีอะไรกันหรอ" ซินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ผมนี่แย่จริงๆ ทำไมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้นะ ซินก็ป่วย ไม่อยากให้ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆตอนนี้เลย

            "เอ่อ คือ..."

            "มากันแล้วเหรอ มาตรงนี้หน่อยสิ" คุณโอ๊ตที่อ้ำอึ้งๆเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างต้องหยุดไป เพราะเสียงของพ่อผมดังขึ้นมาซะก่อน แบบนี้ ไม่ดีแน่ๆครับ

            คุณโอ๊ตจึงจำต้องเดินนำหน้าเรากลับไปตรงที่ทุกคนยืนอยู่อย่างไม่เต็มใจนัก ผมกับซินเองก็เช่นกัน โอลีฟส่งยิ้มทักทายมาให้ผม ผมจึงยิ้มตอบกลับไปนิดๆ ผิดกับไอ้กัสที่มองมาทางผมกับซินอย่างไม่สบายใจ

            ว่าแต่โอลีฟมาทำอะไรที่นี่เนี่ย เกี่ยวอะไรกับงานด้วย อันที่จริงไม่ต้องมาให้ดราม่ามันซับซ้อนยิ่งขึ้นก็ได้มั้ง - - แค่พ่อคนเดียวก็ปวดหัวจะตายแล้ว

            "ไง ฉันโทรหาแกเมื่อเช้า ไม่รับสายนะ" พ่อหันมาเล่นงานผมก่อนคนแรก ในที่นี้คงไม่มีใครกล้าขัดผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ เวลาเล่นพ่อก็เฮฮานะครับ แต่ถ้าเวลาจริงจังนี่ก็จะกลายเป็นคนละคน ไม่อย่างนั้นคงจัดการกับพวกตัวแสบที่โรงฝึกไม่ได้

            "ผมยุ่งๆ"

            "คงยุ่งมากเลยสินะ ถึงได้หายไปจากบ้านแต่เช้าตรู่"

            ความตรึงเครียดแผ่รัศมีเข้าครอบคลุมบริเวณนี้ทันที ทางทีมงานที่เดินผ่านไปมาก็มองมาทางนี้อย่างสนใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมากนัก ผมยืนมองหน้าพ่อนิ่งๆอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป

            ทำไมพ่อถึงไม่เข้าใจ...

            แรงบีบฝ่ามือจากคนด้านข้างทำให้ผมใจเย็นลงนิดนึง แต่ผมเองก็รู้ว่าเขาก็กำลังเครียดอยู่ไม่แพ้กัน ไม่ต่างจากทุกๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้

            "เอ่อ..คือว่า... เดี๋ยวโอลีฟต้องเข้าไปด้านในแล้วล่ะค่ะ เพราะต้องไปเตรียมตัวก่อน เดี๋ยวจะต้องขึ้นเวทีก่อนใครเลย ก็เลยว่าจะไปทบทวนสคลิปก่อนอีกสักรอบ" น้ำเสียงร่าเริงสดใสจากโอลีฟที่พยายามจะทำให้บรรยากาศตอนนี้มันดีขึ้น ทำให้พ่อถอนสายตาจากผมเพื่อหันไปมองเธอ

            "อ้อจริงด้วย โอลีฟเป็นพิธีกรงานวันนี้นี่นะ ยังไงลุงขอโทษด้วยนะที่บอดี้การ์ดคนนี้เถลไถลไปหน่อย ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็ไปทำหน้าที่ของแก" พ่อหันไปพูดกับโอลีฟยิ้มๆ ก่อนที่น้ำเสียงเย็นเยียบจะหันมาสาดใส่ผมในตอนสุดท้าย

            อะไร?

            "ผมก็ทำหน้าที่ผมอยู่" ผมตอบกลับไปแบบนั้น ผมเป็นบอดี้การ์ดของซิน ดูแลซินก็ถูกแล้ว

            "หน้าที่แกคือดูแลโอลีฟไม่ใช่เหรอ"

            "ผมเป็นบอดี้การ์ดของซิน ไม่ใช่คนอื่น"

            "ฉันบอกแกไปแล้วนะ เรื่องหน้าที่ใหม่"

            "ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รับ!"

            "นัท! จะพูดอะไร ระวังคำพูดแกด้วยนะ" คำพูดพ่อเตือนสติ ทำให้ผมคิดได้ว่าตัวเองพูดแรงเกินไป จึงจำต้องหยุดพูดลงแค่นั้น ยังไงตอนนี้โอลีฟก็ยืนอยู่ด้วย จะพูดอะไรก็ต้องคิดถึงจิตใจเธอบ้าง

            ในตอนที่ผมกำลังหัวเสียอยู่นั้นเอง มือบางอีกข้างของซินก็แตะลงบนหลังมือผมที่จับมือเขาอยู่เบาๆ ผมจึงหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ใบหน้าสวยยิ้มให้ผมนิดๆก่อนจะเอ่ยพูด

            "นัทไปทำงานของนัทเถอะ เราเองก็จะไปทำงานของเราเหมือนกัน ปล่อยเราก่อนเถอะนะ"

            ทำไมถึงยังจะยิ้มอยู่อีก นี่เรากำลังจะถูกจับพรากจากกันอีกแล้วนะ

            "ทำไม..."

            "คุณซินพูดถูกแล้ว งานกำลังจะเริ่ม อย่าทำให้ฉันต้องขายหน้ามากไปกว่านี้เลย กลับมาทำงานของแก แล้วปล่อยมือคุณซินเขาได้แล้ว" ผมตวัดสายตากลับมามองพ่ออีกครั้ง

            "ผม.."

            "ไปเถอะ" น้ำเสียงอ่อนแรงจากคนด้านข้างทำให้ผมจำใจต้องกลืนถ้อยคำที่มันอัดอั้นตันใจอยู่ลงไป และคลายแรงจับมือออกในที่สุด มือเรียวบิดออกไปอย่างง่ายดาย ใบหน้าหวานส่งยิ้มให้ผมนิดๆ หันไปยกมือไหว้ลาพ่อผมและเดินเข้างานไป ตามด้วยคุณโอ๊ต และไอ้กัส...

            ผมมองตามภาพนั้นไปด้วยความรู้สึกยังไงผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน มันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ คนที่ควรจะตามซินไปคือผม ไม่ใช่ไอ้กัส

            พ่อหยิบยื่นซินให้ผมเองกับมือ แล้วอยู่ๆจะมาพรากไปแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ!!

            "แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ"

            "ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาพูดกัน พาโอลีฟเข้าไปข้างในแล้ว" คำว่า 'หน้าที่' ทำให้ผมต้องพาโอลีฟเข้าไปด้านในอย่างไม่เต็มใจ

            หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ผมทำหน้าที่ของผมมาอย่างดีจนถึงตอนนี้ ผมยอมเป็นลูกที่ดี ทำทุกๆอย่างตามที่พ่อขอ แล้วทำไมพ่อถึงไม่ยอมฟังความคิดเห็นของผมบ้าง!

            "นัท" เสียงเรียกจากโอลีฟทำให้ผมต้องดึงตัวเองออกมาจากความคิด และเงยหน้าขึ้นมองเธอ

            "เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงใสๆจากเธอทำให้ผมต้องส่ายหน้าช้าๆ

            "เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก"

            "นัทไม่อยากทำงานกับโอลีฟเหรอ โอลีฟทำให้นัทลำบากใจหรือเปล่าคะ"

            "เปล่าครับเปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก"

            "แล้วนัทกับคุณซิน..."

            ผมหยุดมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เพื่อรอให้เธอพูดประโยคต่อไปให้จบ แต่ทางทีมงานก็เข้ามาเรียกเธอไปขึ้นเวทีซะก่อน ประโยคจึงจบลงแค่นั้น ผมจึงทำแค่เดินตามเธอไปที่ด้านข้างเวที

            โอลีฟขึ้นเวทีไปแล้ว เพื่อทำหน้าที่พิธีกรของเธอต่อไป ผมจึงยืนอยู่ตรงนี้จมกับความคิดของตัวเอง ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับคนอีกฝากฝั่งหนึ่งของเวที ซินของผมกำลังนั่งรอเวลาขึ้นเวทีอยู่ที่ข้างเวทีเช่นกัน เพียงแต่เราอยู่กันคนละฝั่ง ด้านข้างเขามีกัสยืนขนาบข้างอยู่ สีหน้าซินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

            ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่านะ

            เจ็บคอมั้ย... จะร้องเพลงไหวหรือเปล่า

            ทีมงานจะเตรียมน้ำอุ่นมาให้เขาดื่มหรือเปล่า ไม่ใช่ว่ากินน้ำเย็นไปแล้วหรอกนะ

            ใส่เสื้อบางขนาดนั้นจะหนาวมั้ย บอกให้เอาเสื้อคลุมทับอีกชั้นก็ไม่เชื่อ

            แล้วทำไม ผมถึงมายืนตรงนี้... ทำไมไม่ไปยืนข้างๆเขา

            อ๊ะ ลุกขึ้นแล้ว กำลังจะเดินไปขึ้นเวทีแล้วด้วย จะสะดุดล้มที่ข้างเวทีแบบคราวก่อนอีกมั้ยนะ ไอ้กัสมัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เดินไปดูซินใกล้ๆ เฮ้ย ไอ้อ้วนนั่นใครวะ มายืนบังซินของผมทำไมเนี่ย มองไม่เห็นนะเว้ย หลบไปๆ

            ผมยืนชะเง้อชะแง้เพื่อที่จะมองซินให้เห็น ก่อนจะต้องถอนหายใจโล่งอกอีกเมื่ออีกฝ่ายขึ้นไปบนเวทีอย่างปลอดภัย ใบหน้าหวานแต่งแต้มไปรอยยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสที่เขามีเสมอเมื่อทำในสิ่งที่เขารัก แต่ใครจะรู้ว่าดวงตาสวยนั่นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย ซินกำลังไม่สบายใจ

            เหมือนกันกับผมตอนนี้ เราทั้งสองต่างก็กำลังกลัว... กลัวว่าวันเวลาที่ต้องจากกันจะหวนกลับมาอีกครั้ง

            เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะครั้งนี้เราทั้งสองคนไม่ได้อยากปล่อยมือออกจากกันเลย เรากำลังรั้งอีกฝ่ายเอาไว้จนสุดกำลัง

            "นัท!" เสียงเรียกจากโอลีฟทำให้ผมตกใจอีกครั้ง

            "เป็นอะไร โอลีฟเรียกตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ เหม่อบ่อยจังเลย"

            "อ้าว ลงมาจากเวทีแล้วเหรอครับ"

            "ลงมาแล้วสิคะ ศิลปินขึ้นร้องไปตั้งนานแล้ว โอลีฟเรียกก็ไม่ได้ยิน เป็นอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย"

            "ขอโทษครับ พอดีมีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย"

            "เรื่องซินรึเปล่าคะ" คำถามจากโอลีฟทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นี่เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ

            "อะไรนะครับ"

            "โอลีฟถามว่านัทคิดเรื่องซินอยู่เหรอคะ"

            "ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้ายังไงตอนนี้กลับไปนั่งพักก่อนเถอะครับ" พูดจบผมก็เดินนำหน้าเธอออกมาเลย ไม่อยากจะพูดจาร้ายกาจเพื่อทำร้ายจิตใจเธอหรอกนะครับ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอรู้เรื่องผมกับซินมากน้อยแค่ไหน แต่มันใช่เรื่องที่จะเอามาพูด เอามาถามกันเหรอครับ

            โอลีฟที่เดินตามมานั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางทีมงานเตรียมเอาไว้ให้ และท้าวแขนมองหน้าผมอย่างขัดใจนิดๆ

            "นัทกับซิน เป็นอะไรกันเหรอคะ" ผมชะงักไปทันทีกับคำถามของเธอ ถึงแม้ว่าแถวนี้จะไม่ค่อยมีคนมากเท่าไหร่ แต่เสียงของเธอก็ไม่ได้เบาจนคนอื่นไม่ได้ยินนะครับ

            "...." ผมเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยินคำถามที่เธอถามละกัน

            "เป็นแฟนกันเหรอ"

            "ไม่เกี่ยวกับซินหรอกครับ อย่าเอาเขาเข้ามายุ่งด้วยเลย"

            "แล้วเมื่อกี้ก่อนเข้างาน..."

            "ผมกับซินจะเป็นอะไรกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะต้องมายุ่งไม่ใช่เหรอครับ"

            พูดออกไปจนได้... ตอนนี้เรื่องแย่ๆในสมองมีมากพอแล้วนะครับ ไม่อยากจะต้องมานั่งคิดเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นอีก แล้วอารมณ์ก็พร้อมที่จะปลดปล่อยเต็มที่ อย่าทำให้ต้องเสียมารยาทไปมากกว่านี้เลย

            "คนอื่นที่นัทพูดถึงนี่หมายถึงโอลีฟ แฟนคลับของซิน ...หรือว่าผู้สื่อข่าวกันคะ" ผมหันมองหน้าโอลีฟอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดออกมา

            ที่พูดมานั่น หมายความว่ายังไงครับ

            รอยยิ้มที่สดใส แปลเปลี่ยนไปจนผมตกใจ... ผู้หญิงคนนี้นี่มันยังไงกัน

            "หมายความว่ายังไง"

            "เปล่าค่ะ ไม่ได้หมายความว่ายังไง ก็แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าคนอื่นที่นัทพูดเนี่ย หมายถึงใคร"

            "ต้องการอะไร"

            "โอลีฟจะต้องการอะไรจากนัทล่ะคะ โอลีฟไม่ได้ต้องการอะไรหรอก คนที่ต้องการคือ...พ่อของนัทมากกว่า..."

            พ่อ... พ่อทำไม พ่อมีแผนอะไร

            โอ๊ย แค่นี้ก็ปวดหัวจะบ้าตายอยู่แล้วนะ!!

            "เอาไว้ลองกลับไปถามคุณพ่อของนัทเองดีกว่า เอาเป็นว่า ต่อจากนี้เราต้องทำงานร่วมกัน เรามาทำดีต่อกันไว้จะดีกว่านะคะ" เล็บสวยจากนิ้วมือเรียวยกขึ้นไล้แขนผมเบาๆ พร้อมๆกันกับที่เจ้าตัวส่งสายตาวิบวับมาให้

            ผมก้าวถอยหลังหนีออกมาทันที

            บางทีคนหน้าตาสวยๆ ก็ไม่ได้ 'สวย' อย่างที่เราคิดจริงๆสินะครับ

            "หึหึ" ผมหันหน้าหนีเสียงหัวเราะที่ไม่น่าฟังนั้นอย่างอยากจะหนีไปให้ไกล

            ผู้หญิงคนนี้น่ากลัว!

 

            หลังจากการทำงานด้วยความทรมานใจในวันนี้จบลง พอเห็นว่าป๊าซินมารับซินกลับบ้านไปกับตาตัวเองแล้ว ผมก็ตรงกลับบ้านทันที ไม่ได้ไปส่งโอลีฟที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเองก็ขับรถมาเอง ขับกลับเองก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ผมตัดบทเธอแค่นั้นและเดินหนีออกมาเลย ไม่รู้ว่าจะโทรไปฟ้องอะไรพ่อผมหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ เพราะวันนี้ผมเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับพ่อเหมือนกัน! หนีมาพอแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง

            ทันทีที่กลับมาถึงบ้านก็เจอกับพ่อนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ราวกับว่ากำลังรอผมอยู่เช่นกัน

            "ทำไมไม่ไปส่งโอลีฟที่บ้าน"

            นั่นไง... เดาเอาไว้ไม่มีผิดเลยครับ

            "เขาขับรถมาเองนี่"

            "อย่างนั้นแกก็ควรจะขับรถเขาไปส่ง แล้วค่อยกลับมาเอารถตัวเอง"

            "ไม่อยากต้องย้อนกลับไปกลับมา"

            "แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้ามาพูดว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ดีแล้วอีกเหรอ"

            "พ่อ!"

            "ในเมื่อฉันเปลี่ยนนายจ้างใหม่ให้แกแล้ว แกก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าแกจะอยากทำ หรือไม่อยากทำก็ตาม ถ้าเผื่อว่าระหว่างทาง โอลีฟเกิดถูกดักปล้น หรือถูกพวกโรคจิตล่อล่วงไปแกจะทำยังไง"

            "...."

            "ซินฉันให้กัสเป็นคนดูแล ส่วนแกก็แค่ไปดูแลโอลีฟ ก็แค่นั้น ฉันเคยเปลี่ยนนายแจ้งให้แกบ่อยไป ตอนนี้ก็แค่กลับไปทำแบบเดิม"

            "แต่คราวนี้มันไม่ใช่แค่นั้น! พ่อเปลี่ยนงานโดยที่ไม่มีเหตุผล ตอนนี้ไอ้กัสมันอาจจะปิดเทอมอยู่ แล้วถ้ามันเปิดเทอม ใครจะดูแลซิน!"

            "เด็กในโรงฝึกก็ยังมีอีกตั้งเยอะแยะ ฉันค่อยคัดเลือกเอาตอนนั้นก็ได้"

            "พ่อไม่เหตุผลเลย! นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ เคยถามความสมัครผมบ้างมั้ย"

            "แล้วทีแกอยากทำอะไร แกเคยเห็นหัวคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้างมั้ย! แม่แกต้องเสียใจแค่ไหนที่ต้องมารับรู้ว่าลูกชายคนเดียวของตัวเองชอบผู้ชาย!!"

            สองมือของผมกำเข้าหาหันจนแน่น ทั้งตัวมันชาวาบไปหมด แทบจะไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว

            "ผมผิดตรงไหน การที่ผมจะรักใครสักคน..."

            "มันจะไม่ผิดเลย ถ้าแกจะรักคนที่เหมาะที่ควร"

            "แล้วซินไม่เหมาะไม่ควรตรงไหนกัน"

            "ตรงที่ทั้งแกทั้งเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ไง"

            แล้วยังไง ใครบอกเหรอ ใครเป็นคนกำหนดว่าผู้ชายรักกันไม่ได้ ใครกันบอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม ก็ถ้าความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม แล้วทำไมจะต้องเอากฎเอาเกณฑ์อะไรมาขว้างกั้นมันด้วย แค่ผมมีความรัก แค่ผมอยากที่จะรัก และดูแลใครสักคน ผิดด้วยเหรอที่คนคนนั้นเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนผม

            แค่ผมอยากรักซิน ผมผิดอะไร

            "แล้วถ้าแม่ไม่ใช่คนที่เหมาะที่ควร พ่อจะรักแม่มั้ย"

            "อย่ามาพูดจาเหลวไหล ฉันกับแม่แกนี่เหมาะกันดีที่สุดแล้ว"

            "ผมแค่สมมติ ว่าถ้าวันหนึ่งพ่อของพ่อ เดินมาบอกพ่อว่า แม่ไม่เหมาะกับพ่อ ตอนนั้นพ่อจะเลิกกับแม่มั้ย ถ้าการที่พ่อจะรักใครสักคน รักมาก จนยกให้เขาเป็นทั้งหมดของชีวิต แต่กลับมีคนมาบอกว่าพ่อรักเขาไม่ได้ เพราะไม่เหมาะสมกัน พ่อจะยอมเลิกรักคนคนมั้ย... จะยอมตัดใจ และปล่อยมือแม่หรือเปล่า..." 

            "นั่นมันไม่เหมือนกัน"

            "ทำไมจะไม่เหมือนกัน เพราะผมเองก็รักซิน ในแบบเดียวกันกับที่พ่อรักแม่"

            ไม่รู้ว่าผมเลิกตะโกนใส่พ่อ และใช้น้ำเสียงอ้อนวอนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่า ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่อยากปล่อยมือนั้น กว่าจะมาถึงตอนนี้ กว่าจะรักกันได้มากเท่านี้ ผมต้องอดทน ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน กว่าที่แผลเก่าของเราจะหายไป แล้วนี่ จะมีคนเอามีดมากรีดซ้ำลงแผลเดิมอีกเหรอ 

             "ผมแค่อยากรู้ว่า การที่เราจะรักใครสักคน แล้วอยู่ๆมีคนเดินเข้ามาบอกว่าเลิกรักเขาซะ ถ้าเป็นพ่อ พ่อจะทำได้ง่ายๆงั้นเหรอ ลองนึกสิ ว่าถ้ามีใครมาพรากแม่ไป พ่อจะยอมมั้ย พ่อจะยอมอยู่เฉยๆให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมั้ย พ่อจะยอมให้หัวใจพ่อถูกกระชากออกไปมั้ย"

            พ่อไม่ตอบ ทำเพียงแค่นั่งมองโต๊ะวางเปล่าอยู่เท่านั้น ผมรู้ว่าพ่อเข้าใจ พ่อต้องเข้าใจทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแค่ตอนนี้พ่อยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นเอง

            "ผมอยากให้พ่อเข้าใจผมบ้าง ผมยอมทำตามที่พ่อขอมาทุกอย่าง ตอนนี้ลูกชายคนนี้ขออะไรจากพ่อบ้างได้มั้ย ความรักของผม ขอให้ผมเป็นคนตัดสินใจเอง..."

            "ไม่ได้"

            คำตอบเสียงเรียบของพ่อได้กรีดเข้าไปในหัวใจของผมเรียบร้อยแล้ว... น้ำเสียงเย็นชาจากคนที่ผมคิดว่าน่าจะเข้าใจผมที่สุด เจ็บจนไม่รู้จะพูดยังไง เข้าใจมั้ยครับ พูดทุกอย่างออกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับฟัง เหมือนพูดให้คนที่ปิดหูปิดตาหนีเราฟัง ยังไงเขาก็ไม่มีวันเข้าใจ

            "กลับขึ้นห้องไปได้แล้ว พรุ่งนี้แกต้องทำงานแต่เช้า ฉันให้แม่แกเอาตารางงานของโอลีฟไปวางไว้ให้ในห้องของแกเรียบร้อยแล้ว ศึกษาให้ดี และทำหน้าที่ของแกตอนนี้ให้ดีที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่แกต้องทำ"

            "ผมไม่ทำ"

            พ่อเหลือบสายตาขึ้นมามองผมอีกครั้ง

            "ผมจะไม่เป็นบอดี้การ์ดของใครทั้งนั้น ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ซิน!"

            "นัท!!"

            "ผมทำตามที่พ่อขอมามากพอแล้ว! ก็ถ้าในเมื่อพ่อไม่เข้าใจ! ก็อย่าหวังว่าผมจะเข้าใจพ่อเหมือนกัน!!" พูดจบผมก็เดินออกจากที่ตรงนั้นทันที ตรงดิ่งมาที่บันไดเพื่อจะขึ้นตัวเอง

            "ไอ้นัท!!!" เสียงพ่อตะโกนลั่นตามมา แต่ผมไม่ได้สนใจที่จะหยุดฟัง

            พอกันที พูดกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ไหนๆก็กลายเป็นลูกที่เลวไปแล้ว ก็เลวให้มันสุดๆไปเลยแล้วกัน!

            แต่พอเดินมาจนถึงบันไดกลับต้องชะงักเพราะผ่ามือของใครบางคนคว้าแขนผมเอาไว้ก่อน แรงสั่นจากฝ่ามือนั้นทำให้ผมชะงักลงทันที

            แม่...

            แม่ผมมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้

            "ยังไม่นอนอีกเหรอครับ" ผมเอ่ยถามท่านเสียงเบา แม่มายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว...

            "ยังจ่ะ... เหนื่อยมั้ยลูก ทานอะไรหรือยัง" น้ำเสียงสั่นเครือจากผู้หญิงตรงหน้านี้ถามผมด้วยความห่วงใย ฝ่ามือสั่นเทาลูบหัวผมด้วยความรัก ใบหน้าที่เคยสดใสและใจดีของแม่ตอนนี้ ...เต็มไปด้วยน้ำตา

            นี่แม่ แอบมายืนร้องไห้ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ...งั้นแสดงว่า ได้ยินหมดเลยสินะที่ผมคุยกับพ่อ

            "แม่..."

            "ลูกชายของแม่ ถ้าเหนื่อยก็นอนพักซะนะ เดี๋ยวแม่จะเอานมอุ่นๆขึ้นไปให้จ้ะ..." แม่พูดเท่านั้นก่อนจะผละออกไป

            น้ำตาลูกผู้ชายของผมคลอหน่วยขึ้นมาในทันที มันรู้สึกจุกในอกไปหมด ความรู้สึกผิดแล่นวาบไปทั่วตัว ที่แม่ต้องร้องไห้แบบนี้ก็เพราะผม เป็นผมเองที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ผมมันเป็นลูกที่เลวมากใช่มั้ย ที่ทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา 

            แต่ไม่ว่ายังไง แม่ก็ยังห่วงผม รักผมเหมือนอย่างเดิม...

            แต่แม่ครับ ผมเองก็รักซินมาก เกินกว่าที่จะยอมปล่อยเขาไปเหมือนกัน... แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่ผมจะไม่ยอม





TBC.
....
มาแล้วค่าาา

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
พบกันตอนหน้าค่า ^^

               

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
สงสารนัททททททททททททททททททททท งือออออคุณพ่อช่วยเข้าใจพี่นัทหน่อยได้ไหม

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ่านแล้วเลยน้ำตาซึม
ยากจังน๊า ทำไมคุณพ่อไม่เข้าใจ เห้อ

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
พ่อไม่เข้าใจนัทอ้ะ  :m7: :m7:

คำผิดเยอะจัง :heaven :heaven

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
21

((รั้น))


            แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านม่านที่ถูกปิดทึบจนภายในห้องมืดสนิท เห็นเป็นลำแสงจางๆ มีไรฝุ่นนับหมื่นนับแสนล่องลอยอยู่ในนั้น ไม่อยากลุก ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ร่างกายมันหนักไปทุกส่วน แค่จะกระดิกตัวยังไม่อยากเลย

            เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เป็นเพราะว่านอนตาค้างอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อคืน 

            ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนไม่หลับ? หรือหลับไม่ลง?

            แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆที่วันนี้พ่อบอกว่าผมมีงาน แต่ป่านนี้แล้วก็ไม่เห็นมาเรียก จากความร้อนของแดดที่ส่องเข้ามา นี่ก็น่าจะสายมากๆแล้ว

            หรือว่ายังจะพอเมตตากันอยู่บ้าง...

            แต่แล้วเสียงเคาะประตูเบาๆกลับดังขึ้นเหมือนจะอยากแกล้งกันซะอย่างนั้น

            ผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เสียงเคาะประตูดังต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากพบใครตอนนี้ ขอผมอยู่ในโลกของผมคนเดียวแบบนี้ไปอีกสักพักได้มั้ย อย่างน้อย ให้ได้วาดภาพในจินตนาการที่มีความสุขก็ยังดี

            รอยยิ้มของซิน...

            ภาพกลีบปากบางแย้มรอยยิ้มกับใบหน้าสวย พาให้มุมปากผมยกขึ้นได้อีกนิด เสียงใสๆของเจ้าตัวที่คอยงุ้งงิ้งอยู่ใกล้ๆ

            คิดถึงอีกแล้วสิ

            .....

            "นัท" เสียงเรียกเบาๆจากด้านนอกทำให้ผมต้องดึงสติตัวเองกลับมาใหม่ เสียงแม่...

            "ตื่นหรือยังลูก แม่เอาข้าวต้มร้อนๆมาให้" น้ำเสียงของแม่ทำให้ผมจำต้องลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก โลกเอียงไปทันทีที่ผมลุกขึ้นนั่ง จำต้องหลับตาลงสักพักเพื่อปรับสภาพที่ลุกขึ้นกะทันหันเกินไป ขมับทั้งสองข้างปวดหนึบไปหมด

            หึหึ แค่ไม่ได้นอนคืนเดียว เป็นถึงขนาดนี้เลยหรือไง อ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอผม

            เมื่อสายตาเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเพื่อให้แม่เข้ามาด้านใน

            แม่ที่ยืนถือถาดข้าวต้มอยู่หน้าห้องยิ้มให้ผมนิดๆและเดินเข้ามาด้านใน

            "ทำไมไม่เปิดม่านเนี่ยลูกชายคนนี้ ห้องมืดเชียว มองเห็นเหรอเนี่ย ...หรือว่ายังไม่ตื่นฮึ พ่อลูกชาย"

            ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยิ้มนิดๆให้กับแม่ที่เปิดม่านจนภายในห้องสว่างจ้า เพื่อตอบรับคำถามนั้นเท่านั้น

            แสงสว่างที่ทำให้แม่มองเห็นหน้าผมได้ชัดๆ ทำให้แม่หุบรอยยิ้มลงไปทันที

            "...หรือว่ายังไม่ได้นอน" แม่วางถาดข้าวต้มลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนจะเดินมาตรงหน้าผม ยกมือขึ้นแตะแก้มผมเบาๆ

            "ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอลูก"

            ยังมีแค่เพียงรอยยิ้มที่ตอบกลับไปเท่านั้น แม่อาจจะกำลังยิ้มแย้มสดใส แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่นอนไม่หลับ เพราะแม่เองก็ดูอิดโรยไปเหมือนกัน แม่ที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสของผม...

            เพราะลูกคนนี้ใช่มั้ย ทำให้แม่กลายเป็นแบบนี้

            "มานี่มา มาทานข้าวดีกว่า แม่ทำมาให้ร้อนๆ เดี๋ยวมันจะเย็นชืดไปซะก่อน" น้ำใสๆที่เริ่มคลอหน่วยในดวงตาแม่ขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้แม่รีบผละจากผม และเปลี่ยนมาคว้าแขนผมลากไปที่เตียงแทน

            "ทานข้าวดีกว่าลูก" แม่พูดพร้อมกับยกถาดมาวางเอาไว้ให้ตรงหน้าผมบนเตียง

            มันหอมนะครับ และฝีมือแม่ มันก็ต้องอร่อยแน่ๆอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากจะกินอะไรจริงๆ

            มันรู้สึกอิ่มอย่างที่ไม่เคยอิ่มมาก่อนเลย

            "ทานสิจ้ะ" แม่คะยั้นคะยอเพิ่มเมื่อเห็นว่าผมทำเพียงแค่จ้องมองชามข้าวอยู่อย่างนั้น โดนที่ไม่มีท่าทีว่าจะตักกินแม้แต่น้อย

            "ผมยังไม่ค่อยหิว เอาไว้ก่อนได้มั้ย"

            แม่ถอนหายใจเบาๆเมื่อได้ยินคำตอบนั้น แล้วจึงยกถาดออกไปวางไว้ที่เดิม และกระเถิบเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น ฝ่ามือที่แสนจะอบอุ่นยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ

            ตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาผมทะเลาะกับพ่อ หรือว่ามีเรื่องให้ต้องเถียงกันทีไร แม่ก็จะคอยขึ้นมาปลอบผมบนห้องอยู่แบบนี้บ่อยๆ แม่จะคอยบอกผมว่า

            ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เพราะว่ายังไงแม่ก็รักลูก และอยู่ข้างลูกนะ

            ก็เพราะว่าแม่ใจดีแบบนี้ไง ผมถึงได้เสียนิสัยอยู่บ่อยๆ

            ...แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ แม่จะยังอยู่ข้างผมอยู่มั้ย

            แม่ไม่ได้พูดอะไรเลย นอกว่าจากลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น สายตาที่แม่มองมาก็เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเหมือนอย่างเคย จนเป็นผมที่คว้ามือแม่มาจับเอาไว้

            "แม่ครับ ผม..."

            "เอ้อ! จริงสิ แม่ว่าแม่อุ่นกับข้าวทิ้งเอาไว้นี่นา นี่ก็นานแล้วด้วย เดี๋ยวขอแม่ลงไปดูหน่อยดีกว่า" ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร แม่ก็กลับตัดบทขึ้นมาซะก่อน แม่บีบมือผมนิดๆ ก่อนจะปล่อยมือผมและลุกขึ้นยืน

            ผมยังคงนิ่ง และนั่งอยู่อย่างนั้นในขณะที่แม่เดินออกไป

            แม่ไม่ได้อุ่นกับข้าวหรือว่าอะไรทิ้งเอาไว้หรอก เพียงแต่ แม่ยังไม่พร้อมสำหรับอะไรที่ผมจะพูดกับท่านต่างหาก

            แม่ที่เคยเข้าใจผมเสมอ สำหรับเรื่องนี้มันคงจะหนักและยากเกินไป คงจะต้องให้เวลากับท่านสักพัก เพื่อว่าท่านจะเข้าใจ

            หวังว่าอย่างนั้นน่ะนะ

            หึหึ...

            เกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ทั้งๆที่ม่านก็เปิดแล้ว แสงสว่างก็มีมากพอแล้ว แต่ในใจตอนนี้มันกลับมืดไปหมด มองหาทางออกไม่เจอเลยจริงๆ หรือว่าเรื่องของผมกับซินมันจะเป็นไปไม่ได้จริงๆนะ..

            ไม่... ไม่มีทาง ต่อให้ไม่มีทางยังไง ผมจะต้องทำให้มันเป็นไปได้แน่ๆ ถ้ามันไม่มีประตูทางออก ผมก็จะพังกำแพงและสร้างทางออกขึ้นมาเอง

            เจ๋งมั้ยล่ะ... แต่แรงตอนนี้แค่จะหยิบพลั่วหยิบจอบยังไม่ไหวเลยครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ต้องหากำลังใจเพิ่มแรงก่อนแล้วกัน

            ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเครียดมั้ยนะ ไม่อยากให้เครียดเลยจริงๆ ยิ่งป่วยๆอยู่ด้วย แถมยังชอบหักโหมทำงานอยู่อีก เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยจะมี ป่านนี้ไม่ใช่ว่ามัวแต่นั่งอ่านหนังสือยู่หรอกนะ

            ไวเท่าความคิด มือมันคว้าโทรศัพท์มากดโทรหาซินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที อีกฝ่ายก็รับสายซะแล้ว

            (ฮัลโหล) น้ำเสียงอิดโรยจากอีกฝ่ายทำเอาใจที่มันไม่ดีอยู่แล้วแป้วไปในทันที เป็นอะไรไป...

            "ซิน เป็นอะไร ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น" ไม่ต้องพูดทักทายกันให้เสียเวลา แค่นี้ก็เป็นห่วงจะแย่แล้ว

            (เป็นอะไร ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่)

            "อย่ามาโกหก เสียงแบบนี้ไม่เป็นไรได้ไง"

            (นัทแหละ เป็นไร เสียงเพลียๆนะ) อ้าวโดนย้อนซะงั้นเลยครับ

            "เปล่า...ไม่ได้เป็นไร เพิ่งตื่น..."

            (โอเค ต่างคนต่างโกหก เจ๊ากันไปนะ)

            เฮ้ย... ได้ไงวะ รู้ทันกันตลอดนะครับ แถมยังมายอมรับหน้าตาเฉยอีกแหนะว่าโกหก คนแบบนี้ก็มี...

            มีดิ...ก็ซินไงครับ หนึ่งเดียวในโลกของผมคนนี้ไง ^^

            "ไม่เอาดิซิน ไม่โกหก บอกความจริงมาเลย"

            (เอ้า ทีตัวเองยังโกหก แล้วมาว่าคนอื่นเขาได้เหรอ)

            "โธ่..." ก็ไม่อยากให้เครียด เอาเรื่องผมไปเล่าให้ซินฟังเดี๋ยวก็ได้คิดมากกันไปใหญ่ ไอ้ที่ว่าจะหายๆ ก็ไม่หายป่วยกันพอดีสิ

            (ไม่ต้องโธ่)

            "ไม่โธ่ก็ได้ครับ ว่าแต่ซินเป็นอะไร ยังไม่หายป่วยอีกเหรอ ฉันไปรับไปหาหมอมั้ย"

            (มาได้เหรอ) คำตอบที่เป็นคำถามกลับมานั้น ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นอะไร

            ซินรู้... แน่นอนอยู่แล้วที่ซินต้องรู้ มีแต่ผมที่หลอกตัวเองต่างหากที่คิดว่าเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้

            "ได้สิ ทำไมจะไม่ได้"

            (ไม่ต้องหรอก ลำบากเปล่าๆ)

            "ลำบากแค่นี้ เพื่อแฟนพี่ทำได้ครับ"

            (หึ ปากดีนะ แต่เห็นกับเรื่องแย่ๆที่เจอ ยอมยกให้เป็นพี่วันนึง) เสียงหัวเราะเบาๆจากปลายสาย ทำให้ผมยิ้มเต็มแก้มอีกครั้ง ถึงจะไม่ได้ยิ้มที่มีความสุขมากจริงๆ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มเพราะซิน...

            "งั้นน้องซินก็ต้องบอกพี่นัทมาได้แล้ว ว่าเป็นอะไรครับ ทำไมเสียงดูเนือยๆ แหบๆ แถมดูเหมือนไม่มีแรงด้วย ไปทำอะไรมาครับ"

            (รู้ดีขนาดนี้นี่แอบซ่อนอยู่ใต้พรมเช็ดเท้าเราหรือเปล่าเนี่ย)

            "แหม หาที่ดีๆให้กันหน่อยก็ไม่ได้นะ แต่ไม่เป็นไร ใต้พรมเช็ดเท้าก็เอานะตอนนี้"

            (หึหึ)

            "เป็นอะไร..."

            (นอนไม่ค่อยหลับ ปวดหัว เจ็บคอนิดนึง)

            "ฟังจากเสียงไม่นิดแล้วนะ กินข้าวกินยารึยัง"

            (ยัง)

            "แล้วทำไมไม่กิน"

            (แล้วนัทล่ะ กินข้าว พักผ่อนบ้างรึยัง) โดนย้อนเข้าให้ ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียวครับ หันไปมองข้าวต้มของแม่อย่างรู้สึกผิดทันที อารมณ์เข้าใจความเป็นห่วงกระแทกหน้าอย่างจังเลย

            "ยัง..."

            (อืม ก็คงความรู้สึกเดียวกันมั้ง)

            "แต่ซินป่วยอยู่ ควรจะกินข้าวกินยาแล้วนอนพักนะ ไม่งั้นก็ไม่หายพอดีสิ เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ไหวหรอก"

            (ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน นัทไม่ป่วยก็เหมือนป่วย แย่หน่อยตรงที่ป่วยของนัทอาการหนักกว่าเรา)

            เข้าเป้าทุกเม็ดครับสำหรับคนนี้ ไม่เคยไม่รู้เลยจริงๆ

            "พูดเหมือนเห็น นี่แอบมานอนใต้ผ้าห่มฉันหรือเปล่าเนี่ย"

            (แหม เลือกที่ให้เราซะล่อแหลมเชียวนะ) เสียงหัวเราะเบาๆของเขาที่ตามมาด้วยการไอทำเอาอยากจะขับรถออกไปหาซะตอนนี้จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าจะขับรถไปชนคนอื่นเขาน่ะสิ ตายคนเดียวไม่ว่า จะไปพาคนอื่นเข้าตายด้วยนี่สิ

            "ไหวมั้ย"

            (ถามตัวเองดีกว่าว่าไหวมั้ย)

            "ไหวดิ ถ้ายังอยู่ข้างๆกัน"

            (งั้นก็สบายใจได้เลย เพราะถ้าไม่อยู่ตรงนี้ ก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหนแล้ว)

            แค่นี้แหละครับที่อยากได้ยิน แค่นี้ก็ทำเอาแค่พลั่วแค่จอบนี่จิ๊บๆไปเลย ต่อให้ต้องแบกปืนใหญ่เพื่อพังกำแพงก็ยังไหว เพราะถ้ายังมีกันและกันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวอะไร

            ...ถ้าข้างๆนัทยังมีซิน

            และข้างๆซินยังมีนัท...

            ต่อให้ต้องรั้งกันไว้จนมือหักนิ้วหลุด ผมก็จะทำ






            หลังจากที่วางสายจากซินก็ลากสังขารตัวเองมานั่งกินข้าวต้มของแม่ แต่ก็กินไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละครับ เพราะร่างกายยังรับไม่ไหวจริงๆ พอได้มีอะไรลองท้องแล้ว หลังจากนั้นก็หลับเป็นตาย ไม่รู้เลยว่านอนอย่างนั้นไปกี่ชั่วโมงเพราะตื่นมาอีกทีฟ้าก็สว่างอีกครั้งหนึ่งแล้ว

            นี่ผมหลับข้ามวันเลยเหรอวะ งงตัวเอง ลุกขึ้นมาได้อาการมึนหัวก็วิ่งเข้าเล่นงานทันที คงเพราะว่านอนนานเกินไปนั่นแหละ หางตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่วางแอ้งแม้งอยู่ที่หัวเตียงก็คว้ามากดๆดู

            ห้าสายที่ไม่ได้รับ ชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมประหลาดใจ

            โอลีฟ โทรหาผมทำไม สายที่โทรเข้ามาล่าสุดคือตอนสองทุ่ม แล้วผมควรจะโทรกลับดีมั้ย?

            ไม่ควร... ไม่ใช่ว่าเกรงใจที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มหรือบ่ายสามโมงผมก็จะไม่โทรกลับ ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมไม่ใช่เหรอ ไม่จำเป็นที่ต้องใส่ใจอะไรขนาดนั้น

            แต่คนที่ผมใส่ใจนี่สิ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะตื่นหรือยัง อยากจะโทรหา อยากจะได้ยินเสียง แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวน ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบ้างน่าจะดีกว่า เพราะผมก็ดูท่าว่าจะเจอศึกหนักอีกแล้ว

            เสียงเคาะประตูที่มาปลุกกันแต่เช้าแบบนี้ และวิธีการเคาะแบบนี้ ไม่น่าจะใช่แม่ คงจะเป็นพ่อ...

            วันแห่งการเห็นใจได้ผ่านพ้นไปแล้วสินะ หลังจากยืนถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านก็จำใจต้องเดินไปเปิดประตู เป็นพ่อจริงๆแหละครับ

            "อาบน้ำแต่งตัวซะ เก้าโมงไปรับโอลีฟเข้าบริษัทด้วย" คำบอกกล่าวจากพ่อทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึกๆอย่างใจเย็น ก่อนจะพยักหน้ายอมรับน้อยๆ พ่อยืนนิ่งมองหน้าผมอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้น

            "ทำไมเมื่อคืนไม่ลงมากินข้าว" หน้าที่ก้มอยู่เงยขึ้นมองหน้าผู้เป็นพ่อทันที

            "ไม่สบายนิดหน่อย"

            "แล้วหายดีหรือยัง"

            "ดีขึ้นแล้วครับ"

            "งั้นก็รีบอาบน้ำแต่งตัวซะ แม่แกทำอาหารเช้าเอาไว้ให้แล้ว รออยู่..."

            รออยู่... พ่อ...รอผมอยู่? รอที่จะทานข้าวเช้าด้วยกัน? ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย นี่พ่อไม่ได้โกรธผมอยู่หรอกเหรอ

            "ผม..."

            "รีบไปแต่งเนื้อแต่งตัวซะ" พูดจบพ่อก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ที่ประตูอย่างนั้น ก่อนที่จะสลัดความงงนั้นทิ้งไป ก็ไม่ว่ายังไง พ่อ ก็ยังเป็นพ่อของผมอยู่ไม่ใช่เหรอ...

            หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อย ก็วิ่งลงมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนขาดอาหารมาสามอาทิตย์ หิวจนคาดว่าจะกินหมูได้สามตัว นี่ผมกินข้าวครั้งสุดท้ายไปตอนไหนเนี่ย จำได้ลางๆว่ากินข้าวต้มของแม่ไปนิดหน่อย ตอนนี้รู้ซึ้งเลยครับว่าอาหารของแม่อร่อยแค่ไหน

            ลงมาก็เจอพ่อกับแม่นั่งรออยู่แล้ว

            "ว่าไงพ่อคุณ นอนข้ามวันข้ามคืนเลยรึไงเรา หิวโซมาเลยล่ะสิ"

            "มากอ่ะครับ"

            "หิวก็ทานเลยจ่ะ พ่อเขารอนานแล้ว" แม่กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง พ่อเองก็วางหนังสือพิมพ์ลงเพื่อที่จะทานข้าวเช้าด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก บรรยากาศเก่าๆที่แสนจะคุ้นเคย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้

            ความอบอุ่นของครอบครัว...

            ผมจัดการกับข้าวต้มในชามด้วยเวลาอันรวดเร็ว จะขอเบิ้ลต่ออีกก็กลัวว่าจะจุกเอาซะก่อน เลยต้องพักไว้แค่นั้น ในระหว่างที่นั่งรอเวลาออกจากบ้าน ก็เลยคว้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่านเล่น ในตอนที่ผมเอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์มา พ่อที่กำลังจิบกาแฟก็หยุดชะงักแก้วลงทันที

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
ส่วนผม ความรู้สึกดีๆที่มีเมื่อกี้พังทลายลงทันทีเมื่อเห็นข่าวหน้าบันเทิงในหนังสือพิมพ์

            'ภาพหลุด 'โอลีฟ' กับ 'บอดี้การ์ด' สุดหล่อ สาวสวยชื่อดังยอมรับสนิทเกินหน้าที่' พาดหัวข่าวในกรอบหน้าบันเทิงพร้อมกับรูปที่มองยังไงมันก็เป็นมุมกล้องชัดๆ

            ทั้งรูปที่ผมกันโอลีฟจากแฟนๆที่ถ่ายออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังโอบกันอยู่ รูปที่ยืนอยู่กับคนเยอะแยะก็ตัดออกมาให้เหมือนว่าอยู่กันสองคน ไหนจะยังรูปตอนที่โอลีฟยื่นมือมาเขี่ยแขนผมนั่นอีก

            นี่มันบ้าชัดๆ!!!

            แถมข้อความที่เขียนพาดพิงถึงซินนี่มัน...

            'บอดี้การ์ดหนุ่มคนนี้ ไม่ต้องงงว่าเคยคุ้นหน้าคุ้นตากันที่ไหน ก็คนที่เคยถ่ายโฟโต้บุ๊คคู่กับนักร้องดัง ซิน ทศพร นักร้องหน้าสวยของเรานั่นเอง ที่ช่วงนึงเคยมีข่าวว่าเขากุ๊กกิ๊กกัน แถมยังเคยเป็นบอดี้การ์ดให้กันมาก่อน เรื่องนี้มันชักจะยังไงๆ แล้วทำไมถึงได้มามีภาพหลุดกับ โอลีฟ สาวสวยสะท้านวงการได้ เรามาหาคำตอบกัน'

            หลังจากนั้นเนื้อข่าวก็ตัดไปที่การให้สัมภาษณ์ของโอลีฟ คำตอบของเธอพี่ผมอ่านไปเรื่อยๆ ทำให้หนังสือพิมพ์ต้องยับยู่ยี่จากแรงที่ผมขยำมันด้วยความไม่พอใจ อะไรคือสนิทกันเกินหน้าที่! ผมกับโอลีฟไปสนิทกันถึงขนาดที่ว่าไปกินข้าวดูหนังด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่! นี่มันมากไปแล้วนะ ให้ข่าวเกินจริงแบบนี้ได้ยังไง!!

            ไหนจะยังคำตอบของคำถามสุดท้ายนี่อีก!

            'ได้ข้าวมาว่าก่อนหน้านี้นัทมีข่าวเป็นคู่จิ้นกับซิน โอลีฟคิดว่ายังไงที่เขามามีข่าวกับเราต่อแบบนี้ คิดว่าจะเป็นการสร้างข่าวเพื่อกลบกระแสคู่เกย์หรือเปล่า โอลีฟตอบว่า 'อันนี้โอลีฟก็ไม่ทราบนะคะว่ายังไง แต่พี่เขาก็น่ารักดีนะคะ โอลีฟก็เคยเห็นโฟโต้บุ๊คเล่มนั้นผ่านๆตามาบ้าง ก็น่ารักดีค่ะ เอาเป็นว่าโอลีฟไม่ขอพูดอะไรดีกว่า ยังไงไปถามคู่จิ้นเขากันเองดีกว่าเน้อะ โอลีฟขอตอบคำถามในส่วนขอโอลีฟแล้วกันนะคะ''

            ผมกระแทกหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย นี่ใช่มั้ย สาเหตุที่โทรมา แล้วนี่พ่อก็เห็นแล้วด้วยใช่มั้ย แล้วยังจะให้ผมไปทำงานกับคนคนนี้อีกหรือไง!

            "นี่ก็ใกล้จะเก้าโมงแล้ว ออกไปรับโอลีฟได้แล้วล่ะ เขารอแกอยู่"

            "พ่อ มาถึงขึ้นนี้แล้วพ่อยัง..."

            "ไปทำงานของแกได้แล้ว" เสียงตัดบทจากพ่อทำเอาความอบอุ่นที่เคยมีหายไปจนหมด กลับเข้าสู่สถานการณ์แบบเดิมอีกแล้วใช่มั้ย

            "ไปทำงานเถอะนะลูก ถือซะว่าแม่ขอแล้วกัน" มือแม่ที่เอื้อมมาจับมือผม ทำให้อารมณ์ร้อนที่ก่อขึ้นเย็นลงไปได้บ้าง แต่การที่แม่พูดแบบนี้ ก็เดาได้ไม่ยากแล้วว่าครั้งนี้ แม่เลือกอยู่ข้างใคร...

            และเมื่อตัดสินใจทุกอย่างได้ ผมก็รีบออกมาจากบ้านทันที โดยที่มีแม่กับพ่อมองตามหลังมา พ่อไม่ได้ตามมากำชับอะไรผมอีก ทันทีที่ก้าวเข้าในรถมือสองข้างของผมกำพวงมาลัยเอาไว้แน่น นี่ใช่มั้ยที่พ่อต้องการ นี่ใช่มั้ยคือเรื่องที่โอลีฟพูดถึงในวันนั้น ที่เป็นข่าวออกมาทั้งหมดนี่ เพื่อให้ผมออกห่างจากซินใช่มั้ย!

            จริงสิ... ซิน

            จะเห็นข่าวหรือยังนะ ซินจะไม่เชื่ออย่างที่ข่าวเขียนใช่มั้ย จะไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย สัญญากันแล้วไงว่าถ้ามีอะไรจะถามกันก่อน ผมกับซินก็คุยกันตลอด ซินก็ต้องรู้สิว่าผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวโอลีฟได้กัน

            เพราะความร้อนใจทำให้รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอีกฝ่ายทันที แต่ไม่ว่าจะโทรเท่าไหร่ๆอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ผมโทรออกอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าซินจะรับเลย

            หรือว่าจะยังไม่ตื่น แต่นี่มันจะเก้าโมงแล้วนะ ไม่มีทางเลยที่คนอย่างซินจะตื่นสายขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์

            หรือว่าจะโกรธจริงๆ

            แต่ว่าซินไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลขนาดนั้น แล้วกำลังทำอะไรอยู่?

            ผมหลับตาทั้งสองข้างลง พยายามนึกตารางงานของซินให้ออก เท่าที่รู้ วันนี้ซินไม่มีงานที่ไหน ดังนั้นไม่น่าจะยุ่งถึงขนาดที่จะไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ หรือว่าจะอยู่กับป๊า ป๊าอาจจะเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ก็เลยห้ามซินไม่ให้รับโทรศัพท์ผม แบบนั้นหรือเปล่านะ จะใช่แบบนั้นมั้ย หรือว่าจะยังไม่ตื่นจริงๆ ปิดเสียงไว้เลยไม่ได้ยินหรือเปล่านะ

            โอ๊ย! คิดจนหัวแทบแตกให้ตายยังไงก็ไม่มีทางรู้ ถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง!

            ผมสตาร์ทรถด้วยความรวดเร็ว และออกรถมาทันที ผมจะไปทำตามหน้าที่...

            ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือการดูแลซิน ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าไม่ใช่ซิน ผมก็ไม่มีทางไปเป็นบอดี้การ์ดให้ใคร!

            ขับรถออกมาได้ไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านซินจนได้ กดกริ่งอยู่นานก็ไม่มีใครออกมาเปิดบ้านให้สักที แบบนี้ชักจะแปลกๆแล้วนะครับ แถมบ้านยังปิดเงียบเชียบอีกต่างหาก หรือว่าจะไม่มีคนอยู่ ผมตัดสินใจโทรหาซินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เลือกที่จะโทรเข้าเบอร์บ้านแทน แต่กลับไม่มีใครรับสายเลย ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าไม่มีคนอยู่บ้านจริงๆ

            แล้วหายไปไหนกัน...

            ผมยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จะทำยังไง จนหันไปเห็นรถคันคุ้นตาที่กำลังขับตรงมาทางนี้พอดี รถป๊าซินนั่นเอง ทันทีที่รถจอดผมก็รีบเดินตรงเข้าไปหาทันที

            "อ้าวนัท มาแต่เช้าเลยลูก" เป็นม้าที่เดินลงมาจากรถและทักผมขึ้นมาก่อน

            "สวัสดีครับม้า คือผมมาหาซิน แต่โทรหาเขาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับ ยืนกดกริ่งตั้งนานแล้วก็ไม่มีคนออกมาเปิด กำลังเป็นห่วงอยู่พอดีเลย"

            "อ้าว นัทไม่รู้เรื่องเหรอ" คำถามจากม้าทำให้ผมต้องประหลาดใจ ไม่รู้อะไร...?

            "ไม่รู้เรื่องอะไรครับ"

            "ก็เรื่องที่ซินเข้าโรงพยาบาล"

            "ซินเข้าโรงพยาบาล!"

            ได้ยังไง เป็นอะไร เป็นมากมั้ย ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่อง ป่วยถึงขนาดกับต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ เพราะผมใช่มั้ย นี่ผมมัวทำบ้าอะไรอยู่วะ คนรักไม่สบายมากขนาดนี้ทำไมไม่รู้เรื่องอะไรเลย!

            "จ้ะ ไม่สบายหนักเลย เมื่อคืนนี้ตัวร้อนจี๋ บังคับให้ไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ต้องหามไปส่งโรงพยาบาลกันเมื่อคืนนี่แหละ นี่ม้าก็จะกลับมาเอาเสื้อผ้าไปนอนเป็นเพื่อน"

            "แล้วตอนนี้ซินอยู่ไหนครับ โรงพยาบาลอะไร"

            "โรงพยาบาล.... จ้ะ ...แต่เอ้ะ ป๊านี่ก็ยังไง ไม่ยอมลงจากรถมาทักทายนัทเลย ดูท่าทางจะอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า ตั้งแต่อ่านหนังสือพิมพ์นั่นแหละมั้ง ไม่รู้ไปเจอข่าวอะไรเข้าน้า..." เสียงบ่นจากม้าทำให้ผมชาวาบไปทั้งตัว

            ป๊าซินรู้เรื่องแล้วจริงๆ แต่ดูท่าทางว่าม้าจะยังไม่รู้เรื่อง นี่ผมจะโดนเกลียดรอบสองหรือเปล่านะ และดูท่าทางว่าคราวนี้จะรุนแรงกว่าเดิมซะด้วยสิ

            หลังจากที่ม้าบอกชื่อโรงพยาบาลและเลขห้องที่ซินพักเสร็จก็ขอตัวเข้าบ้านไป ผมจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งของรถเพื่อทักทายป๊าซิน ที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ

            เมื่อเห็นว่าผมเดินมาหา ป๊าจึงลดกระจกรถลงครึ่งนึง

            "สวัสดีครับป๊า"

            "ฉันเห็นข่าวแล้ว" ป๊าไม่ได้ทักทายกลับ แต่พุ่งตรงเข้ามาที่ประเด็นนี้เลย

            "ครับ แต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น..."

            "มีนักข่าวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ฉันให้ทางโรงพยาบาลเขากันเอาไว้ให้แล้ว สั่งเอาไว้ว่าห้ามเยี่ยม"

            "นักข่าวเหรอครับ!"

            "ซินรู้เรื่องข่าวแล้ว..." ป๊าพูดเท่านั้นและตวัดสายตามาทางผม สายตาที่ทำเอาขนท้ายทอยลุกชัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่ชินกับสายตาแบบนี้สักที

            "ฉันไม่อยากให้ลูกฉันอาการแย่ยิ่งไปกว่าเดิม รีบไปซะ หาอะไรปิดหน้าปิดตาด้วย อย่าให้ใครจำได้ล่ะ บอกพยาบาลว่าเป็นนาย เข้าจะให้เข้าเยี่ยม" ป๊าพูดรวดเดียวจบ ก่อนจะปิดกระจกขึ้นไปอย่างเดิม ทำเอาสมองน้อยๆของผมประมวลผมแทบไม่ทัน

            ป๊าบอกให้ผมรีบไป ไปไหน... ไปหาซินเหรอ

            เอ๊ะ แบบนี้ก็แปลว่าไม่เกลียดกันน่ะสิ แบบนี้ก็แปลว่ายังไฟเขียวอยู่สินะครับ! ^^

            อย่างน้อย ในเรื่องร้ายๆ ขอให้มีเรื่องดีๆบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี... ขอบคุณครับป๊า ที่เข้าใจ

            ไม่ต้องรอช้า ผมรีบขับรถไปหาซินทันที เหยียบคันเร่งแบบไม่กลัวตายกันเลย และเมื่อถึงที่หมาย ก็ไม่ลืมที่จะคว้าหมวกที่ติดอยู่บนรถขึ้นมาใส่เพื่อพรางตัวอย่างที่ป๊าบอก เดินเข้าโรงพยาบาลมาก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ จนขึ้นมาถึงชั้นผู้ป่วยในที่ซินพักรักษาตัวอยู่นั้นแหละครับ โผล่ออกมาจากลิฟต์นี่ดึงหมวกปิดหน้าแทบไม่ทัน พอก้าวออกจากลิฟต์ได้ก็หาที่หลบมุมทันที

            เคยได้ยินมั้ยครับ ยิ่งอยากปกปิดยิ่งมีพิรุธ คนสติดีที่ไหนเขาใส่หมวกเดินในโรงพยาบาลกัน นักข่าวก็มีไม่มากนักหรอกครับ ก็แค่สี่ห้าคน แค่ถ้าสี่ห้าคนนั้นเกิดเห็นหน้าผมและจำได้ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน เมื่อวานเพิ่งจะมีข่าวกับโอลีฟ วันนี้กลับดอดมาหาซิน ไม่ใช่ข่าวที่ดีแน่ๆครับ

            แล้วผมควรจะทำยังไงดี...

            พอดีกับที่สายตาหันไปเห็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ของชั้นนี้พอดี เลยรีบเดินตรงเข้าไป

            "เอ่อ ขอโทษครับ ผมมาเยี่ยมไข้"

            "ขอทราบชื่อผู้ป่วยด้วยค่ะ"

            "ซินครับ ทศพร"

            "อ๋อคุณซิน แต่ว่าทางคุณหมอสั่งไว้ว่าห้ามเยี่ยม..."

            "ผมนัทครับ" พูดจบผมก็รีบถอดหมวกให้คุณพยาบาลดู ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเธอจะรู้จักผมได้ยังไง แต่ป๊าซินบอกให้ทำแบบนี้ ก็ทำตามที่ป๊าซินบอกนั่นแหละครับ

            "คุณนัท..." ผิดคลาดครับ ที่เธอกลับรู้จักผมจริงๆ แถมไอ้ท่าทางช็อคแบบนี้มันอะไรกัน

            "คุณนัทมาเยี่ยมคุณซินใช่มั้ยคะ คุณพ่อของคุณซินบอกทางเราเอาไว้แล้วว่าถ้าคุณมาให้เข้าเยี่ยมได้ เชิญทางนี้เลยค่ะ" พูดไปยิ้มกริ่มไปแบบนี้คืออะไรครับ

            อย่าบอกนะว่าพยาบาลโรงพยาบาลนี้เป็นสาววาย

            แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าเธอเป็นสาววายจริงๆ ก็คงช่วยผมได้เยอะเลย

            และที่ที่เธอพาผมมาก็คือห้องเก็บผ้าปูเตียง... เอ่อ พามาทำไมครับ ผมมาหาซินนะ

            เอ๊ะ หรือว่าผมโดยล่อลวงเข้าให้ซะแล้ว ...ขามันก้าวถอยหลังไปเองทันทีโดยอัตโนมัติ ผู้หญิงสมัยนี้ยิ่งน่ากลัวอยู่นะครับ เมื่อเห็นดังนั้นคุณพยาบาลจึงหันมายิ้มกว้างให้ผม

            "ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้พาคุณนัทมาทำอะไรไม่ดีหรอก แต่ถ้าจะเข้าเยี่ยมคุณซินโดยไม่ให้นักฆ่าเห็น เราต้องทำอะไรนิดหน่อย"

            แล้วไอ้อะไรนิดหน่อยที่ว่านี่มันอะไรล่ะครับ - -

......

            ผ่านไปห้านาที ผมก็สามารถเดินผ่านบรรดานักข่าวได้แบบไม่ต้องกลัวสิ่งใดเลย แถมยังไม่มีใครวิ่งเข้าใส่ผมเพื่อถ่ายรูปอีกต่างหาก ก็เพราะว่าตอนนี้ผมได้สลัดมาทบอดี้การ์ดทิ้งไปจนหมดแล้วน่ะสิครับ เหลือเพียงคุณหมอใส่ชุดกราว สวมแว่นสายตาหนาเตอะเพียงเท่านั้น เพียงแค่นี้ก็ผ่านฉลุย เข้าห้องซินได้ง่ายๆแล้วครับ

            คุณพยาบาลที่เดินตามเข้ามาส่งผม ยิ้มกว้างส่งมาให้ผมอีกครั้ง และเดินออกจากห้องไป ผมจึงผงกหัวให้เธอนิดๆเพื่อเป็นการขอบคุณ และเดินเข้าห้องมาหาซิน

            มองจากตรงนี้ เห็นคนป่วยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ผมถอดแว่นตาและเสื้อกราวออกวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ และค่อยๆเดินไปหา เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบางบอกว่าเขากำลังหลับสนิท ใบหน้าซีดเซียวจากเขาทำเอาแทบอยากจะต่อยหน้าตัวเองแรงๆ

            นี่ผมปล่อยให้ซินเป็นมากขนาดนี้ได้ยังไง เพราะผมใช่มั้ย...

            ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงไอร้อนจากคนตัวบางบนเตียงมากขึ้น ผมยกมือปัดปรอยผมออกจากแก้มใสที่เคยอมชมพู แต่ตอนนี้กับซีดเผือด

            ตัวยังร้อนอยู่เลย เสียงหายใจฝืดฝาดเบาๆที่แสดงว่าเขาหายใจไม่ค่อยสะดวก ซินของผม ไม่สบายมากจริงๆ ผมเลื่อนมือลงมาจับแก้มใสอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เขาตื่น แต่คนป่วยกลับขยับตัวอิงหน้าแนบกับฝ่ามือผมทันที และนอนทับเอาไว้ซะอย่างนั้น...

            ดูเอาเถอะ ขนาดว่าหลับไม่รู้ตัวยังจะอ้อนกันได้อีกนะ ผมยิ้มให้กับการกระทำของลูกแมวขี้อ้อนนิดๆ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบบนหน้าพากมนนั่นเบาๆ

            ถ้าผมป่วยแทนเขาได้ก็คงดี... ไม่อยากให้ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้เลย จริงๆนะ

            ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย และปล่อยให้ซินหนุนนอนมือผม และนั่งมองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น


            อย่างน้อยแค่ในฝัน ก็ขอให้ซินของผม หลับฝันดี       


TBC.
....
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะค้าาา
พบกันตอนหน้าเด้อ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ปวดใจจริงๆ
ดีที่ป๊าซินเข้าใจ
ไม่งั้นคงยุ่งหนักกว่านี้แน่ๆ

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
ป๊าน่ารักมากอ่ะที่เข้าใจ o13

ส่วนโอลีฟ เริ่มเยอะแล้วนะ  :fire:


ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
ตัวชูโรงคือ พ่อนัท แม่นัท และ โอลีฟ  :katai2-1:

อุปศักดิ์ก่อให้รักบังเกิด
จงมั่นใจเถิด ฉันเองจะไม่ไปไหน
สิ่งต่างๆ ให้มันแล้วไปเถิด ให้รักบังเกิด
ท่ามกลางเรื่องราวที่วุ่นวาย


 :m1: :m1:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ไม่ชอบโอลีฟ!!!ที่สุด
สงสารซินกับนัทจัง

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
22

((รั้ง))


            ไม่รู้ว่านั่งมองคนตรงหน้าหลับอยู่นานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเขากำลังฝันเห็นอะไรอยู่กันนะ คิ้วเรียวถึงได้ขมวดเข้าหากันแบบนี้ ทำให้อดยื่นมืออีกข้างไปคลึงหว่างคิ้วนั้นเบาๆไม่ได้ คิ้วเรียวถึงค่อยๆคลายออกจากกัน ใบหน้าตอนหลับแบบนี้มันไร้พิษสงจริงๆ มาดนางพญาคนเก่งหายไปหมดเลย

            ผมขยับตัวเข้าใกล้เตียงคนไข้อีกนิด แนบหน้าลงกับหมอนใบนุ่มที่ซินหนุนอยู่ในองศาที่หน้าเราตรงกันพอดี ลมหายใจร้อนผะผ่าวจากเขากระทบหน้าผมเบาๆ ว่ากันว่าถ้าแพร่เชื้อให้คนอื่นแล้วตัวเองจะหาย มันจริงมั้ยครับ

            งั้นผมควรดูดเชื้อหวัดมาจากซินดีมั้ยนะ ^^

            จมูกโด่งเป็นสัน กับปากบางสวยที่อยู่ตรงหน้า ทำให้อดใจไม่ได้ยกมือขึ้นลูบไล้แผ่วเบา กลีบปากนี้ที่เคยมีสีสันสดใส แต่กลับต้องมาซีดเซียวลงแบบนี้เพราะผม ริมฝีปากที่เคยนุ่มนิ่มกลับแห้งผาก

            แต่สัมผัสจากมือเพียงแค่อย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับความคิดถึง

            คนหลับยาก พอจะหลับก็หลับลึกเชียวนะ ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้โดนเอาเปรียบแน่ๆเลยซิน

            ไวเท่าความคิด ใบหน้ามันเคลื่อนเข้าหาคนป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หลับตาพริ้มลิ้มชิมรสหวานจากคนป่วยเสียแล้ว เพียงแค่แตะริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ลุกรานแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของเขา

            แต่แล้วคนที่คิดว่าหลับ กลับขยับปากเผยอออกน้อยๆอย่างเชิญชวน ทำให้อดยิ้มไม่ได้จริงๆ ริมฝีปากที่เคยแห้งผากกลับชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากความหวานที่เราพากเพียรมอบให้กัน

            ฟันคมขบลงบนริมฝีปากล่างผมอย่างหมันเขี้ยว ทำให้อดใจไม่ไหวบดจูบลงไปหนักหน่วงอย่างลืมตัวว่าอีกฝ่ายกำลังป่วย ปลายลิ้นตวัดรัดรึงลิ้นเล็กที่เกี่ยวกระหวัดตอบกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกันกับพี่มือร้อนของคนป่วยยกขึ้นคล้องคอกัน

            น่ารักเกินไปแล้ว...

            เสื้อคนป่วยก็ดันสั้นเกินไปทำให้มือไม้มันอยู่ไม่สุก เลื้อยเข้าไปใต้เสื้อผืนบางลากไล้วนเล่นอยู่ที่หน้าท้องแบนราบของซิน ในขณะที่ริมฝีปากเรายังไม่ขยับห่างออกจากกันเลย

            สำหรับความคิดถึงที่มีอยู่ตอนนี้ มากแค่ไหนก็ไม่พอ...

            ยังคงบดเบียดเข้าหากันอย่างนั้น อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนอีกฝ่ายเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น และเลื่อนมือมาบีบต้นแขนผมเบาๆอย่างขออากาศหายใจ ทำให้ต้องจูบย้ำลงบนกลีบปากล่างนั้นอย่างเสียดาย และถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ไม่ได้ถอยตัวห่างออกมา เลือกที่จะวางหน้าผากลงบนหน้าผากมนของเขา ให้ปลายจมูกเราชนกัน   

            "รังแกคนป่วย นิสัยไม่ดี"

            เสียงบ่นอ้อมแอ้มจากคนป่วยประท้วงขึ้นเบาๆ

            "ก็เห็นนอนเฉยๆไม่ได้ว่าอะไร จูบตอบกลับมาง่ายๆแบบนี้นี่ ถ้าไม่ใช่ฉันขึ้นมาจะทำยังไง"

            "ก็เพราะมั่นใจว่าใช่ไง ถึงได้ยอม"

            "หึหึ... ขี้โกง พูดจาน่ารักแบบนี้ในตอนที่กอดไม่ได้ได้ไง"

            "เคยเลือกสถานที่ด้วยเหรอ"

            "พูดจาแบบนี้นี่เข้าห้องน้ำด้วยกันเลยมั้ย"

            "แต่ในห้องน้ำไม่มีเตียงนะ"

            "เดี๋ยวจะโดน"

            คำพูดหยอกล้อจากเขาที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้ยิ้มได้เสมอ จนเผลอกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางนี่อีกครั้งอย่างหมันเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนป่วยได้เหมือนกัน

            "มาตั้งแต่เมื่อไหร่"

            ซินถามขึ้นเมื่อผมกลับมานั่งตัวตรงที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกครั้ง แต่ก็ยังปล่อยให้เขาหนุนมืออยู่อย่างนั้นโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะปล่อยมือผมคืน

            "ตั้งแต่เห็นใครบางคนกรนคร่อกๆนั่นแหละ"

            "อย่ามามั่ว เราไม่กรนมั่งเหอะ"

            "ตัวเองหลับ แล้วจะรู้ได้ไง"

            "รู้"

            "เถียงเก่งแบบนี้หายแล้วสินะ"

            "จะให้กลับไปทำงานวันนี้ก็ยังไหว"

            "เก่งๆ เก่งเหลือเกินนะครับคุณศิลปิน"

            ซินนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาผมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะตรงหัวคิ้วผมเบาๆ เห็นคนป่วยยื่นแขนมาไกล จึงต้องโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อที่เขาจะไม่ลำบาก ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำไปไมเนี่ย หรือมีอะไรติดอยู่

            "รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย ว่าขมวดคิ้วตลอดเวลาเลย" คำเฉลยจากซิน ทำเอาต้องเลิกคิ้วอยางประหลาดใจ ผมเนี่ยนะขมวดคิ้ว ตอนไหน

            "จะยิ้มก็ยิ้มสิ แงะเอาตรงนี้ออกจากกันด้วย" ไม่ได้พูดเปล่านะครับ ดึงขนคิ้วผมหลุดออกไปเป็นแถบๆ เล่นเอาร้องแทบไม่เป็นภาษา

            "เจ็บนะเนี่ย! ดึงขนคิ้วทำไมอ่ะ แหว่งขึ้นมาเดี๋ยวก็หมดหล่อกันพอดี"

            "อ่ะ หายแล้ว เลิกขมวดคิ้วแล้วเห็นมั้ย"         

            จนมาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเกร็งคิ้วมาตลอดเวลาเลย เคยเป็นมั้ยครับ อยู่ดีๆมันก็รู้สึกว่าโล่งหัวแปลกๆ ในตอนที่เราผ่อนคลาย เพราะก่อนหน้านั้นเราเผลอขมวดคิ้วไปโดยไม่รู้น่ะสิ นี่ผมขมวดคิ้วมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงว่าสิ หัวมันหนักแปลกๆ

            สังเกตกันทุกอย่างเลยสินะ ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่รักยังไงไหวล่ะครับ

            ถ้าไม่มีซิน ผมจะอยู่ได้ยังไง...

            "ขอบคุณนะ"

            "อย่ามาซึ้ง จะอ้วก"

            หมดมู้ด - -  อย่างสิ้นเชิง

            เอาคำชมเมื่อกี้คืนมา พอตื่นมาเขี้ยวเล็กก็เริ่มโผล่ออกมาทันที นอนต่อไปเป็นลูกแมวตัวน้อยอีกสักพักได้มั้ยเนี่ย

            "แล้วเข้ามาได้ไง ป๊าบอกว่านักข่าวเต็มเลยข้างนอกห้อง อย่าบอกนะว่าฝ่าฝูงนักข่าวเข้ามา"

            "ใช่แล้ว เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยเลย แต่รับรองได้ว่าไม่มีใครรู้แน่ๆ ว่าคนที่เข้ามาเป็นนัท"

            "ยังไง"

            "มีผู้ช่วยนิดหน่อย"

            "ใคร"

            "ไม่บอก"

            "ไม่บอกก็ไม่อยากรู้"

            ครับ การยั่วความอยากรู้อยากเห็นของซินจบลงเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าเขาจะอยากรู้มากเหลือเกิน - -

            "เดี๋ยวก่อนนะ เราว่าเรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน" แต่แล้วซินที่ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรได้ รีบยกหัวขึ้นและดึงมือผมออกจากหมอนในทันที และหันหน้าหนีไปทางอื่น

            อะไรอ่ะ... อยู่ๆเปลี่ยนโหมดซะงั้น

            "เรื่องอะไรซิน"

            "ไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "ฮะ?"

            "เราถามว่าไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "ใครไปกินข้าว... อ้อ! เรื่องข่าวอะนะ เชื่อด้วยเหรอซิน เราก็คุยกันตลอด ฉันไปไหนนายก็ต้องรู้สิ"

            "ใครจะไปรู้ล่ะ ก็ข่าวเขาว่าอย่างนั้น แถมยังมีพาดพิงถึงเราด้วยนะ"

            เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ทำเอาความโกรธแล่นเข้ามาอีกรอบ ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงซินในทางที่ไม่ดี ไม่แปลกเลยที่นักข่าวจะแห่กันมาขนาดนี้ คนที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างซินก็คงไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา อันที่จริง ผมน่าจะออกไปปกป้องซินสิถึงจะถูก

            "งั้นให้ฉันออกไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตอนนี้เลยมั้ย จะให้บอกว่าเราคบกันอยู่ก็ได้"

            "ไม่ได้นะ" คนที่หันหน้าหนีรีบสะบัดหน้ากลับมาทันที

            "ทำไมล่ะ เรื่องมันจะได้จบๆไป ผู้หญิงคนนั้นจะได้หน้าหงายไปเลยไง"

            "เก่งมากเลย รังแกผู้หญิงเนี่ย บอกนักข่าวแบบนั้นไม่ได้นะนัท เดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี"

            "ทำไมล่ะ คนเชียร์ให้เรารักกันมีเยอะแยะไป ไม่เชื่อลองไปอ่านในเน็ตสิ แฟนคลับนายออกมาต่อว่าโอลีฟกันตั้งเยอะ"

            "เรื่องบางเรื่องให้มันคลุมเครืออยู่แบบนั้นน่าจะดีกว่า"

            "ทำไมอ่ะ ก็ในเมื่อ..."

            "นัท... วงการนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องจริงเสมอไปหรอกนะ อะไรหลบได้ก็หลบ อะไรหลีกได้ก็ควรจะหลีก ถ้ามันจะทำให้เราไม่เดือดร้อน การที่คนของนัทออกมาให้ข่าวแบบนี้ นั่นมันก็อยู่ที่ตัวของเขาเอง เขาอยากจะให้คนอื่นมองเขาว่าเป็นยังไงมันก็เรื่องของเขา เราไม่อยากสนใจ"

            "โอลีฟไม่ใช่คนของฉันนะ นายต่างหากคนของฉัน"

            คนป่วยไม่ตอบ แต่เบ่ปากส่งมาให้แทน มันน่าจับกดซะให้เข็ดจริงๆ - -

            " ...แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ คนอื่นจะคิดว่านายผิดนะ"

            "ในเมื่อเราไม่ผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง ดูอย่างตอนนี้ แฟนคลับเราก็ช่วยกันการให้แล้วไม่ใช่เหรอ"

            "แล้วนักข่าวข้างนอกนั่นล่ะ จะเอายังไง"

            "ปล่อยให้รอไปอีกสักพัก เดี๋ยวก็เลิกเฝ้ากันเองแหละ แล้วนี่ทำไมเราจะต้องมาเป็นฝ่ายอธิบายด้วยเนี่ย เราโกรธอยู่นะ"

            "โกรธโอลีฟใช่มั้ยล่ะ ใช่ ฉันก็โกรธมากเลยตอนเห็นข่าว ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ"

            "เปล่า โกรธนายนั่นแหละ"

            "อ้าว ทำไมโกรธฉันล่ะ"

            "รูปในหนังสือพิมพ์มีโอบเอวกันด้วยนี่"

            "มีที่ไหน ไม่เคยโอบเลย!"

            "ไม่โอบได้ไง หน้าตาเคลิ้มออกซะขนาดนั้นอ่ะ"

            "ตลกและซิน อย่ามาใส่ร้าย"

            "ใส่ร้ายที่ไหน ดูเอาเองเลย!" พูดจบก็หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะข้างเตียงมาโปะใส่หน้าผมเต็มๆ รูปพวกนี้นี่เห็นหมดแล้วล่ะครับเมื่อเช้า แต่...เอ๊ะๆ อาการแบบนี้นี่มันยังไง... ^^

            "หึงเหรอซิน"

            ถามออกไปเพราะหวังจะหยอกเขาล้วนๆแหละครับ และเตรียมตัวรับการโจมตีหลังจากนั้นเอาไว้แล้วด้วย แต่แล้วก็ต้องตกใจแทบตกเก้าอี้กับคำพูดที่อีกฝ่ายกระแทกเสียงตอบกลับมา

            "ก็เอออ่ะดิ! แฟนทั้งคนนะเว่ย ไม่หึงได้เหรอ!"

            โอ้ยยยย ใครอัดเสียงเมื่อกี้ทันบ้างมั้ยครับ ถ้าใครอัดทันช่วยไรท์ใส่แผ่นซีดีส่งมาให้ผมที่บ้านที จะเก็บเอาไว้ฟังก่อนนอนทุกคืนเลย ก็เล่นยอมรับออกมาเต็มปากเต็มคำซะขนาดนั้น โอกาสแบบนี้หาได้ยากนะครับ

            "โห ไม่เอา ไม่หึงนะครับ มุมกล้องล้วนๆอ่ะ ซินก็เห็น"

            "ไม่ต้องพูดเลย ชอบล่ะสิ ได้ทำงานใกล้ๆผู้หญิงสวยๆ"

            "สวยแค่ไหนก็สู้ซินไม่ได้สักคน"

            "ไม่ต้องมาปากดี"

            "ดีไม่ดี ลองชิมอีกสักทีมั้ยล่ะ"

            "พูดจาเอาแต่ได้ตลอด เข้าตัวตลอด"

            "คนเรามันก็ต้องมีกันบ้าง"

            "เหรอ... หึ!"

            "ไม่โกรธนะครับ ไม่เข้าใจผิดนะ นัทรู้ว่าซินเข้าใจ ซินของนัทเป็นคนมีเหตุผลจะตายไป" พูดไปก็เอาหัวไปถูๆไถๆหน้าท้องคนป่วยเบาๆ แถมกอดเขาไปด้วย

            ทำให้คนบ้าจี้ขำคิกคักๆ ดิ้นไปมา

            ยิ้มออกแล้ว... เห็นมั้ย :)

            "ไอ้นัท อย่าจั๊กจี๋! ผิดกติกา!" เสียงร้องโวยวายจากคนป่วย ทำเอาคนอยากแกล้งยิ่งจี้ไปที่เอวบางมากยิ่งขึ้น คราวนี้ดิ้นพลาดๆเลยครับ

            เมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มหอบหายใจ ก็เลยยอมหยุด เดี๋ยวอาการจะกำเริบขึ้นมาซะก่อน ตากลมโตมองค้อนกันมาอีกวงใหญ่ พร้อมกับชี้หน้าผมไปด้วย

            ฮ่าๆๆ สู้ไม่ได้แล้วใช้สายตาเป็นอาวุธนะครับ

            ในตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น และเมื่อประตูห้องเปิดออก ป๊ากับม้าซินก็เดินเข้ามา ทำเอาคนที่เพิ่งจะรังแกลูกเขาเอาไว้เหงื่อตกอย่างร้อนตัว รีบมยกมือไหว้ป๊ากับม้าแทบไม่ทัน

            "สวัสดีครับป๊าม้า"

            "สวัสดีจ้ะลูก ไงคนป่วย สีหน้าสดใสขึ้นเยอะเลยนะจ้ะ สงสัยจะได้ยาดี" โดนม้าแซวเข้าให้แล้วครับ ฮ่าๆๆ

            "ใช่ที่ไหน นัทแกล้งซินนะม้า ป๊าจัดการเลย" ไหงพูดกับม้า แล้วหันไปฟ้องป๊าอย่างนั้นล่ะครับที่รัก

            ไอ้คนมีความผิดติดตัวก็ได้แต่ยืนยิ้ม ขนท้ายทอยลุกอยู่อย่างนั้น

            เดี๋ยวเถอะ ป๊าเผลอเมื่อไหร่แล้วจะเจอดี คาดโทษเอาไว้ก่อนเลย

            พอป๊ากับม้าเขามา ไอ้ผมจะไปนั่งแหย่ลูกชายเขาต่อก็ใช่ที่ เลยต้องมานั่งทำตัวเป็นคนดีปอกผลไม้ให้คนป่วยกินอยู่ข้างเตียง ม้าก็น่ารักเหลือเกิน ซื้อผลไม้มาซะเต็มตะกล้าเลย แถมด้วยขนมอีกสารพัด นี่คงกะว่าจะขุนลูกชายให้อ้วนเป็นหมูไปเลยสินะ

            แถมไอ้ตัวดีก็เอาใหญ่ เดี๋ยวร้องจะกินแอ๊ปเปิ้ล เดี๋ยวร้องจะกินส้ม พอปอกส้มจะกินสาลี่ พอปอกสาลี่จะกินองุ่น ดูเอาเถอะนะครับ

            “เอ้า กินเข้าไปผลไม้น่ะ จะได้ไม่ป่วยบ่อยๆ” ผมพูดพลางจ่อแอ้ปเปิ้ลไปที่ปากคนป่วย แต่เจ้าตัวกลับเบ้หน้าและหันหนีซะอย่างนั้น

            “ไม่เอา เบื่อแอ้ปเปิ้ล”

            “ส้มก็ไม่เอา สาลี่ก็ไม่เอา องุ่นก็ไม่เอา แอ้ปเปิ้ลก็ไม่เอา แล้วจะเอาอะไรครับ เอานัทมั้ย...” แรกๆก็พูดเสียงปกติ แต่คำหลังนี่แอบยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ หึหึ...

            ไม่เคยกลัวตายหรอกครับ กลัวอด... >..<

            คนป่วยผงะถอยหลังไปติดหัวเตียงทันทีที่ได้ยิน แถมยังมือไวตะปบหัวดันกันแถบหงายหลัง ทำเอาคว้าเตียงคนไข้เอาไว้แทบไม่ทัน เสียงร้องโวยวายของผมเรียกให้ป๊าที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาด้านข้างเงยหน้าขึ้นมามอง ไอ้ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป ป๊าจึงส่ายหน้าช้าๆ และก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ส่วนม้าที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเอาผลไม้เข้าไปล้างก็หัวเราะขึ้นเบาๆ

            เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วล่ะครับ... จะว่าอึดอัดมั้ย ก็ไม่นะ เพราะป๊ากับม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร

            ออกจะดีด้วยซ้ำไป เพราะได้ทำอะไรอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่บ้าง

            แต่มันทำอะไรลำบากอ่ะ - - ถึงป๊าจะไม่ได้ว่า แต่ก็แอบส่งสายตามาเป็นระยะนะครับ ทำเอาขนลุกกันเป็นช่วงๆ

             “พูดบ้าอะไร ป๊ากับม้าก็อยู่นะ” คนป่วยที่ดูท่าทางว่าจะหายป่วยแล้วกระซิบลอดไรฟันมาเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน

            “เอ้า ก็ถามจริงๆ ไอ้นู่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่กิน แล้วจะกินอะไรครับ”

            “ก็อิ่มแล้ว จะให้กินไปถึงไหน ท้องแตกตายกันพอดี”

            “กินเข้าไปเยอะๆ จะได้อ้วนๆกับเขามั้ง ผอมจะตายอยู่แล้ว”

            “นั่นสิลูก ยิ่งป่วยๆแบบนี้ยิ่งซูบลงไปเยอะเลย ทานเยอะๆ จะได้หายไวๆ” ม้าเดินเอาผลไม้ที่ล้างแล้วมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม และเดินเลยไปลูบหัวซินเบาๆ

            “ซินกินเข้าไปตั้งเยอะแล้วม้า ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยอ่ะ” ไอ้คนป่วยก็บ่นง้องแง้งไปเรื่อย แม่ลูกเขาก็ออดอ้อนกันไป โดยที่มีผมนั่งมองดูอยู่ใกล้ๆ ลูกแมวน้อยเขากำลังอ้อนม่าม้าเขาอยู่ น่ารักเชียวครับ ไอ้ผมก็มองไปยิ้มไป

            ปากบางที่เคยซีดเซียวมีเลือดฝาดขึ้นมานิดๆแล้ว แก้มซีดก็เริ่มมีสีเปร่งปรั่งขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้แล้วก็สบายใจ ทำให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

            รอยยิ้มนี้ที่ผมเฝ้าปกป้องมาโดยตลอด และผมสัญญาว่าจะดูแลรักษารอยยิ้มสวยๆนั้นให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป

            “แล้วนัทล่ะลูก หิวหรือยัง”

            “ยังครับม้า แอบแย่งขนมคนป่วยกินไปเยอะแล้ว ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ”

            ผมยิ้มตอบกลับม้าที่หันมาถาม ตามด้วยอีกคนที่ชะโงกออกมาจากด้านหลังม้า

            “นิสัยไม่ดี แย่งขนมคนป่วย ป๊าจัดการเลย”

            เอ๊ะไอ้นี่... แน่จริงฟ้องม้าสิวะครับ! ป๊าเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ ไปกวนเขาทำไม... จดบัญชีไว้ก่อนเถอะ อยู่สองต่อสองเมื่อไหร่ล่ะก็...

            หึหึ ดูท่าทางว่าจะหายแล้วด้วยนี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการรังแกคนป่วยแล้วล่ะ

            ยิ่งไอ้ท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันแบบนี้มันยิ่งน่านัก

            “เอ้อป๊า นัดร้านต้นไม้เอาไว้ตอนกี่โมงนะ”

            “บอกเขาไว้ว่าจะเข้าไปเที่ยงๆ นี่กี่โมงแล้วล่ะ”

            “สิบเอ็ดโมงแล้วครับ” ผมที่นั่งฟังป๊ากับคุยกันอยู่รีบตอบออกไปอย่างหวังดี (ประสงค์ร้ายชัดๆ)

            “อ้าว สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอ งั้นรีบไปกันดีกว่ามั้ยป๊า เดี๋ยวที่ร้านเขาจะรอ”

            “ไปไหนอ่ะม้า” ไอ้ตัวดีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาถามขึ้น

            “ไปร้านต้นไม้จ้ะ ป๊านัดเขาไว้ว่าจะไปดูต้นจำปี จะเอามาปลูกหลังบ้าน”

            “อ้าว แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนซิน”

            “ก็นัทไงลูก ใช่มั้ยจ๊ะ”

            “ครับม้า เดี๋ยวผมดูแลให้เอง รับรองได้เลยครับ” ในเมื่อม้ายื่นโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ รีบตอบม้าที่หันมาถามด้วยรอยยิ้มกว้างทันที

            “จ้ะ เดี๋ยวเย็นๆป๊ากับม้าจะกลับเข้ามาใหม่ ไปกันเถอะป๊า” แล้วหลังจากนั้นพ่อแม่ลูกเขาก็ล่ำลากันอีกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องไป

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
            ทีนี้ล่ะครับ!!

            ผมเดินมาส่งป๊ากับม้าที่หน้าประตู หันหลังกลับมาอีกทีก็เห็นคนป่วยนอนมุดเข้าใต้ผ้าห่มไปเรียบร้อยแล้ว หึหึ แต่ว่าแค่นั้นจะหลบพ้นรึไงหนูน้อย

            “ไม่ต้องหนีเลยนะ”

            “อะไรเล่า! เราจะนอน” คนป่วยเริ่มประท้วงง้องแง้งเมื่อผมเดินไปดึงห่มผ้าห่มเขาออก

            “มานอนอะไรตอนนี้ เพิ่งจะตื่นไม่ใช่รึไง”

            “มั่ว ตื่นมาตั้งแต่เช้า คนป่วยเขาก็ต้องนอนเยอะๆสิ”

            “งั้นนอนด้วยดิ”

            พูดจบก็ไม่ต้องรอให้อีกคนได้โวยวาย โดดทีเดียวขึ้นเตียงคนไข้ได้ทันที ไอ้เจ้าของเตียงก็ร้องโวยวายจะดันผมออก แต่มีหรือที่แรงคนป่วยตัวนิดเดียวจะมาสู้ผมได้ และหลังจากที่สงครามย่อมๆจบลง ผู้ชนะก็คือผมเองครับ ^^

            ด้วยความสามารถที่เหนือชั้นกว่า ทำให้สามารถมานั่งซ้อนหลังคนป่วยอยู่บนเตียงจนได้

            “ไอ้บ้านัท ขึ้นมาทำไม เดี๋ยวพยาบาลเข้ามาได้ตกใจ เรื่องใหญ่กันพอดี”

            “ก็ไม่เห็นเป็นไร”

            เพราะด้วยความรอบคอบ ผมล็อคประตูเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ  ^^

            “ไม่เป็นไรบ้านนายสิ ป๊าม้าไม่อยู่แล้วเอาใหญ่เลยนะ”

            “ใครกันแน่ ป๊าม้าอยู่แล้วเอาใหญ่เลยนะ เป็นไง ป๊ากับม้าไปแล้วนี่ เก่งต่อสิครับ”

            “ไม่ต้องพูดมาก ลงไปเลย... เห้ย! อย่าจับตรงนั้น!”

             ก็คนป่วยน่าฟัดขนาดนี้ ผมอยากกอด อยากจับตรงนั้นอยากจับตรงนี้มันผิดด้วยเหรอครับ แถมคนป่วยยังมาดิ้นดุ้กดิ้กๆอยู่ในอ้อมกอดกันแบบนี้จะไปอดใจไหวได้ยังไง

            “อยู่นิ่งๆให้กอดหน่อยนะซิน ไม่ได้กอดตั้งนานแล้ว คิดถึง...”

            น้ำเสียงนุ่มที่ใช้สำหรับสถานการณ์นี้เท่านั้นถูกส่งออกไปข้างหูคนดื้อรั้นเบาๆ ทำให้อาการดิ้นหยุดลง ผมจึงกระชับอ้อมกอดกอดคนตัวบางตรงหน้าให้มากยิ่งขึ้น ยื่นคางเกยบ่าเล็กสูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาวที่ห่างหายไปนานด้วยความคิดถึง ซินนิสัยไม่ดี ชอบทำให้รักจนไม่รู้ว่าจะรักยังไงแล้ว

            “ข้ออ้างลวนลามเรามากกว่ามั้ง”

            “รู้ทันแต่ก็ยอมเน้อะ”

            “....”

            คนรู้ทันไม่ตอบ แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ครับว่ากำลังทำหน้าแบบไหน ...กำลังยิ้มแบบไหนอยู่

            “ทนหน่อยนะซิน เรื่องบ้าๆพวกนี้”

            “หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก”

            “เก่งจังเลยนะครับ”

            ปากก็พูดคุยกันไป แต่จิตใจนี่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว กลิ่นยาจากโรงพยาบาลไม่สามารถกลบกลิ่นหอมๆจากตัวซินได้จริงๆครับ ยิ่งใกล้มากเท่านี้ สัมผัสกันอยู่แบบนี้...

            เสื้อโรงพยาบาลที่บางเกินกว่าจะสามารถปกปิดอะไรได้ ยิ่งเวลาที่กอดเอวบางแน่นอยู่อย่างตอนนี้ก็ราวกับไม่มีมันอยู่เลย ทำให้สามารถสัมผัสไอร้อนจากผิวเนื้อคนป่วยได้อย่างชัดเจน

            มือบางของซินเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์ที่เสียงเตือนดังขึ้นมาดู และทิ้งตัวพิงหัวลงบนไหล่ผม กดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อย ไอ้คนได้ใจมือก็เริ่มอยู่ไม่สุก จากที่อยู่ด้านนอกเสื้อ ก็เริ่มซุกไซ้เลื่อนเข้าไปด้านใน แตะหน้าท้องราบของคนป่วยเบาๆ และเขี่ยเล่นไปมาอยู่อย่างนั้น มืออีกข้างปัดผมด้านที่บดบังลำคอขาวไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างรำคาญใจ

            และแตะจูบแผ่วเบาลงไปบนลำคอระหง ให้อีกฝ่ายได้ย่นคอหนี แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

            “ไอจีเด้งทั้งวันจริงๆนะเนี่ย โพสบอกอีกสักทีดีมั้ยว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เสียงบ่นของคนป่วยดังขึ้นโดยที่ผมไม่ได้สนใจฟัง ไม่รู้ว่าถามผมหรือเปล่า หรือว่าแค่รำพึงรำพันคนเดียว เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องที่อยากทำมากกว่าซะแล้วสิ

            บนเตียงคนป่วยนี่... จะเป็นไรมั้ยนะ

            ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็ล็อคประตูไปแล้ว...

            บนเตียงคนป่วยนี่... จะเป็นไรมั้ยนะ

            ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ก็ล็อคประตูไปแล้ว...

            จากจูบเปลี่ยนเป็นแตะปลายลิ้นไล้คอขาวนวล เรียกเสียงร้องโวยวายจากคนตัวเล็กได้ในทันที

            “อ๊ะ ทำบ้าอะไรเนี่ยนัท! นี่มันโรงพยาบาลนะ!!”

            “อือ...”

            ไม่สนใจแล้วครับ โรงพยาบาลก็โรงพยาบาลเถอะ ไม่มีใครเห็นสักหน่อย ก็อยู่กันแค่สองคน จริงมั้ย…?

            มือเลื่อนจากหน้าท้องขาวลงต่ำไปลงเรื่อยๆ จนถึงขอบกางเกงคนป่วยที่มัดเชือกเอาไว้หลวมๆ กระตุกแค่ทีเดียวก็หลุดแล้วครับ แต่ก่อนที่จะได้เลื่อนลงต่ำไปมากกว่านั้น มือบางของอีกฝ่ายก็คว้าตะปบเอาไว้ซะก่อน

            “น่านะ... เดี๋ยวนัททำให้”

            “แต่นี่มันโรงพยาบาล... อ๊ะ!” เสียงหวานที่กำลังเอ่ยห้ามกันขาดห้วงไปเมื่อผมกดจูบหนักหน่วงลงบนลำคอระหง ขบแม่มกัดเบาๆอย่างนึกหมันเขี้ยว เลื่อนไล้ริมฝีปากขึ้นไปงับติงหูเล็ก ลากลิ้นวนเป่าลมเบาเข้าหูให้อีกคนขนลุกเกรียว

            ไม่ไหวจะทนแล้วจริงๆ

            “อือ...” เสียงหวานบางเบาจากคนป่วย กระชากสติสตังที่มีอยู่น้อยนิดให้หลุดลอยออกไป

            มือเรียวที่รั่งกันไว้เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนผมบิดข้อมือเบาๆก็ลุดออกจากกำปั้นเล็กๆนั้นแล้ว เคลื่อนมือลงต่ำเข้าไปภายใต้กางเกงผ้าเนื้อบางเบาของโรงพยาบาลที่เป็นใจกันซะเหลือเกิน

            “อ๊ะ” ซินผวาเฮือกเมื่อผมลากนิ้วผ่านกางเกงซับในตัวน้อยซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายที่กั้นกลางระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่กำลังต้องการ ซินเองก็ไม่ต่างกัน

            แล้วยังจะมาห้ามกันอีก...

            มือผมเลื่อนเข้ากอดกุมส่วนอ่อนไหวของซินทั้งสองข้างจากด้านหลัง ขยับลูบไล้ขึ้นลงเบาๆอย่างเอาใจ ทำเอาอีกฝ่ายที่ถูกกระทำดิ้นพล่านเมื่อถูกสัมผัส

            “...ย...อย่า...” เสียงปฏิเสธอ้อมแอ้มจากคนขี้อาย ทำให้ผมเร่งจังหวะการขยับมือขึ้นอีกนิด คนป่วยจึงต้องจิกมือทั้งสองข้างลงบนเตียงเพื่อระบายอารมณ์ โทรศัพท์ที่กดเล่นอยู่เมื่อกี้นี้ถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว

            ผมละมือข้างหนึ่งออกจากส่วนอ่อนไหวของซิน เลื่อนขึ้นปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เปิดไหลขาวมนและก้มตามลงไปไล้ปรายลิ้นชิมรสทั่วบริเวณที่โผล่พ้นเสื้อออกมา กดจูบฝากฝังรอยแสดงความเป็นเจ้าของลงไปในพื้นที่ที่คิดว่าจะไม่มีใครมองเห็นได้ ...นอกจากผม

            “อ๊ะ!” ใบหน้าหวานแหงนขึ้น มือเกาะคว้าแขนผมเอาไว้แน่น เมื่อผมเร่งจังหวะมากขึ้นกว่าเก่า และขยับปลายนิ้วไล้ขึ้นตั้งแต่โคนจรดปลาย กดนิ้วย้ำๆซ้ำอยู่ที่ส่วนหัว จนอีกฝ่ายจิกเล็บลงบนแขนผมแน่น รู้สึกได้ถึงอาการแสบนิดๆที่ตามมา ก่อนที่ผมจะละมือออกจากส่วนนั้นของซิน ดันตัวลุกขึ้นเพื่อคร่อมอีกฝ่ายลงบนเตียงคนไข้

            ...ที่กำลังจะกลายเป็นมากกว่านั้น

            “พอแล้ว!” ซินร้องห้ามขึ้นอย่างตกใจ เมื่อโดนดันลงจนหลังติดเตียงนุ่ม ใบหน้าสวยแดงซ่านไปด้วยความอาย ก่อนจะหันหนีไปทางอื่นเมื่อผมส่งยิ้มกริ่มไปให้

            “อยากให้ฉันหยุดเหรอ” แต่ยังมิวายก้มลงตามไปกระซิบที่ข้างหูคนป่วย และงับใบหูสีชมพูนั้นอย่างหมันเขี้ยว มือที่ละจากแท่งร้อนกลับเข้าไปกรอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ตื่นตัวเต็มที่แล้วของซิน

            “อือ... ย...หยุด... อยากให้...หยุด” เสียงห้ามกระท่อนกระแท่นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากผมได้ทันที ก็ถ้าจะห้ามกันได้เด็ดขาดขนาดนี้นะครับ

            “จริงเหรอ อยากให้ฉันหยุดจริงเหรอ”

            มือลากไล้วนเวียนผ่านแท่งร้อนของซินอย่างหยอกเย้า ก็ถ้าอยากให้หยุด แล้วจะตอบสนองกันขนาดนี้ทำไม ยั่วกันชัดเลยๆนะซิน...

            เสื้อคนป่วยถูดถอดออกโยนไปมั่วๆข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ตามด้วยริมฝีปากที่ก้มตามลงไปไม่ห่าง ลากปลายจมูกผ่านลำบากขาวระหง เลื่อนต่ำลงมายั่งตุ่มไตสีชมพูหวานที่ไร้สิ่งใดปิดบัง อกสวยแอ่นรับปลายลิ้นสากที่ลากวนสลับกันทั้งสองข้างอย่างพึงพอใจ

            “อื้อ~~”

            ไหนบอกอยากให้หยุดไงครับ

            เลื่อนริมฝีปากต่ำลงเรื่อยๆ ผ่านสะดือสวย และต่ำลงไปยิ่งกว่านั้น ก่อนที่ริมฝีปากผมจะเข้าครอบครองส่วนล้ำลึกของคนป่วยเข้าไปจนมิด

            สองมือของซินจิกผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ ผมลากไล้ปรายลิ้นหยอกล้อกับส่วนบนของซินเบาๆ จนเจ้าตัวเบี่ยงตัวหลบอย่างทนไม่ไหว แต่มีหรือที่ผมจะยอมให้หนี สองมือขว้าขาของซินทั้งสองข้างตั้งขึ้น และล็อกไว้อยู่อย่างนั้น ปรนเปรอสัมผัสวาบหวามให้คนป่วยจนดิ้นพล่านไปรอบเตียง

            “อื้อ...!!~"

            คนหน้าบางกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น เพราะกลัวว่าเสียงน่าอายจะดังมากไปกว่านี้ แถมยังหันหน้าหนีไม่มองกัน

            ยิ่งเห็นแบบนี้ ยิ่งอยากแกล้ง

            นึกได้แบบนั้นก็เร่งจังหวะดูดกลืนจุดอ่อนไหวของซินด้วยจังหวะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นจนอีกฝ่ายตัวสั่นระริก และเมื่อถึงจุดที่เขาเริ่มทนไม่ไหว ผมก็ทุกอย่างลงเท่านั้น ตวัดปลายลิ้นครั้งสุดท้ายลากผ่านส่วนปลายอย่างอ้อยอิ่ง ทำเอาคนที่กำลังจะไปถึงจุดสิ้นสุดแต่กลับต้องค้างอยู่อย่างนั้น สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่อย่างขัดใจ

            ผมยกตัวขึ้นสูง และเลื่อนไปมองหน้าซินใกล้ๆด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

            "ถ้าอยากให้หยุด งั้นหยุดเท่านี้ก็ได้" ตอแหลล้วนๆครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไอ้เจ้านัทน้อยมันปวดหนึบไปหมดแล้วจริงๆ ถ้าไม่ได้จริงๆก็ต้องขืนใจกันแล้วล่ะ

            คนสวยกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ก่อนที่เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น...

            ด้วยความเร็วที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ซินเบี่ยงตัวลุกขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายกดผมลงกับเตียง... อุแม่เจ้า...

            หรือว่าไอ้นัทจะฝันไป

            "ขี้โกง เรื่องอะไรให้เราถอดเสื้อผ้าอยู่คนเดียว" ไม่พูดเปล่า มือสวยเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อผมและกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง เมื่อเสื้อถอดออกไปได้สำเร็จก็เลื่อนไปปลดกระดุมกางเกงผมออกทันที

            ไอ้ผมที่มัวแต่ตกตะลึงค้างก็นอนนิ่งยอมให้ซินเปลืองผ้าอยู่อย่างนั้น มารู้ตัวอีกที คนสวยก็แนบริมฝีปากลงมาประกบจูบกันแล้ว

            "ช่วยหน่อยนะ... ไม่ไหวแล้วจริงๆ" เสียงกระซิบแหบพร่าที่พาเอาสติกระเจิดกระเจิง

            ผมจึงถอนจูบออกทันที จับเอวบางให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถสอดใส่ได้สะดวกขึ้น ก่อนจะกระทั้นกายไปจนสุด ทำเอาคนป่วยสะดุ้งจนตัวเกร็ง มือบางทั้งสองข้างดันไหล่ผมเอาไว้เพื่อพยุงตัว

            "อ๊ะ... อื้อ จ..เจ็บ..."

            เสียงร้องจากกลีบปากสวยทำให้ผมต้องขยับเอวเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย และเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆตามแรงปารถนา ความจริงอยากจะรุนแรงมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ก็ทนแทบจะไม่ไหว แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ทัน จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป เอวบางของซินเองก็เริ่มขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ผมนำทางเขาไปอย่างรู้งาน จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว กดเอวอีกฝ่ายและกระแทกเข้าไปหนักหน่วงยิ่งขึ้น

            ภายในห้องผู้ป่วยบนเตียงคนไข้นี้ อุณหภูมิร้อนขึ้นจนผิดหูผิดตา เมื่อคนสองผลัดกันรักจนอากาศแทบลุกเป็นไฟ เสียงหอบหายใจที่สอดประสานของทั้งสองคน หยาดเหงื่อหยดแล้วหยดเล่าที่ไหลหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เสียงบอกรัก ครางเรียกชื่อหวานคล้ายทำนองจังหวะเสียงเพลงครั้งแล้วครั้งเล่า

            "อ๊ะ นัท... เรา...ไม่ไหว แล้ว... อื้อ! อ๊า~~" ใบหน้าหวานชุ่มเหงื่อแหงนขึ้นอย่างพอใจ ร่างบางไหวโยกไปตามแรงจากด้านล่าง

            ซินที่แสนสวยเซ็กซี่คนนี้ ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่หาเจอ

            ความปารถนามากมายที่สั่งสมจนทนไม่ไหว ทำให้ต้องรีบกระทั้นกายเข้าไปถี่ขึ้น ความสุขสมพุ่งเข้าใส่พาให้ล่องลอยขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ความสุขที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด และปลดปล่อยถะถังออกมาภายในกายซิน โดยที่เขาเองก็ตามผมมาติดๆเช่นกัน

            คนตัวบางหอบตัวโยน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนอกผมอย่างหมดแรง

            "ฉันรักนายนะซิน" ผมพูดเพียงแค่นั้น และจูบซับลงบนหน้าผากมนของคนบนอกอย่างรักใคร่ โดยที่ซินไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับเบาๆ

            "เหนื่อยเหรอ"

            "อือ..."

            "เหนื่อยตรงไหน ฉันทำคนเดียวชัดๆ"

            "เลิกพูดไปเลย"

            "หึหึ"

            ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยที่ยังมีลูกแมวน้อยนอนอยู่บนอก แต่แล้วคนตัวบางกลับต้องผวาเฮือกเมื่อนัทน้อยของผมขยับข้างในตัวเขา ...ก็ยังไม่ได้เอาออกนี่ครับ

            พอคนตัวบางขยับทำท่าจะเอาออก ผมก็รีบกอดเขาเอาไว้แน่น

            "ทำบ้าอะไรเนี่ย อื้อ..." เสียงหวานบ่นอู้อี้เพราะผมดันเขาแบนอกเอาไว้ แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหวานมายั่วกันอีก

            "เอาออกตอนนี้ก็เลอะเตียงน่ะสิ เดี๋ยวเขาก็รู้กันพอดีกว่าเราทำอะไรกัน"

            ซินหยุดดิ้นลงทันทีเมื่อได้ยินเหตุผลนี้จากผม

            "เดี๋ยวฉันพาไปห้องน้ำ อย่าดิ้นนะ โอเคมั้ย ไม่งั้นได้ล้มกันไปทั้งคู่แน่ๆ" ลูกแมวน้อยพยักหน้ารับเบาๆอย่างว่าง่าย

            เพราะว่าไม่มีแรงเหลือจะสู้แล้วน่ะสิ

            ผมจึงลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆที่อุ้มเขาเหมือนเด็กน้อยอยู่อย่างนั้น และที่สำคัญ ร่างกายเรายังเชื่อมกันอยู่ กว่าจะเดินมาถึงห้องน้ำ ไอ้อะไรที่มันหลับใหลไปก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนคนที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะไม่ปลอดภัยก็รีบโวยวายทันที

            แต่ไม่ทันแล้วครับ ประตูห้องน้ำปิดลงแล้ว ตามด้วยล็อคกลอนอย่างแน่นหนา...

            หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ .... เดากันเอานะ ^^

TBC.
....
มาแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะช่วยแก้หน่วงกันได้บ้างมั้ย :)
ยังไงก็อยากเห็นทุกคนยิ้มนะคะ ศิลปินของเราก็คงจะเหมือนกัน ^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ น่ารักมากๆเลย 
พบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ได้อ่านตอนนี้แล้วใจชื้นขึ้นเป็นกอง ^^

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
นั่นมันโรงพยาบาลนะนัทและซินหื่นนนนนนนนอ่ะทั้งสองเลยยย คิคิ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เค๊ารักกันมากขึ้นอ่ะ พี่นัทซิน ชอบมากกกก

รักคู่นี้ ขอบคุณนะคะขอบคุณที่แต่งให้อ่านมากๆเลย รักคุณจัง

 :กอด1:  :L2:  :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
23

((เพราะผม...?))


            หลังจากที่รังแกคนป่วยคนพอใจ และล้างเนื้อล้างตัวจนเรียบร้อย ก็พากลับมานอนที่เตียงจนหลับไปได้สักพัก นั่งมองคนสวยหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ขนาดหลับยังจะอุตส่าห์ยิ้มอีกนะครับ ไม่รู้ว่าฝันดีอะไรนักหนา แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าในฝันนั้นต้องมีผมแน่ๆ ^^ ไม่ได้เข้าข้างตัวเองเลยจริงๆนะ เพราะมีแค่ไม่กี่คนหรอก ที่ทำให้คนโลกส่วนตัวสูงคนนี้ยิ้มได้

            คนตัวบางพลิกตัวหันหน้าหนีแสงมาทางผม ก่อนที่จะปรือตาขึ้นมาช้าๆ คิ้วเรียวขมวดมุ่น มือยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ แถมด้วยการอ้าปากหาวเป็นการปิดท้ายการตื่นนอน

            ลูกแมวขี้อ้อนขัดๆเลย

            "ยังไม่กลับอีกเหรอ"

            "ตื่นมาก็ไล่เลยนะ"

            ปากสวยเบะออก ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง บ่ายสี่โมงกว่าแล้ว

            "แล้วนี่งานการไม่ทำเหรอ เดี๋ยวคนของนายก็ไปว่าเราเสียๆหายกับนักข่าวอีกหรอก"

            "ก็บอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่คนของฉัน" เป็นเพราะว่าไม่ชอบสถานะที่ซินยัดเยียดให้ ทำเอาเผลอขึ้นเสียงใส่ไปซะแล้ว

            ปากบางเม้มเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกและตีหน้ายักษ์ใส่กัน

            "เสียงดังใส่เราทำไม"

            "แล้วจะบอกว่าเขาเป็นคนของฉันทำไมล่ะ บอกว่าไม่ใช่ๆ ทีหลังถ้าพูดอีกนะ จะจูบให้ปากบวมเลย"

            "โอ้โห เป็นการขู่ที่หน้ากลัวมากนะ" คนโมโหเผลอหยุดยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

            "หึหึ หิวมั้ย ตั้งแต่ตอนกลางวันที่พยาบาลเอาข้าวเอายามาให้ก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจาก..."

            "หยุดพูดไปเลยไอ้นัท นิสัยไม่ดี"

            "อะไร นอกจากน้ำ คิดอะไรเนี่ย"

            "น้ำบ้าอะไรวะ!"

            "ก็น้ำเปล่าไง! อะไรซิน คิดอะไร ทะลึ่ง!"

            "ใครกันแน่ทะลึ่ง! อย่ามาว่าเรานะ!!" คนป่วยชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง คว้าหมอนที่หนุนอยู่เมื่อสักครู่มาฟาดใส่ผมเต็มๆ มีเหรอครับที่ผมจะยอม ยกแขนขึ้นป้อง และคว้าหมอนดึงมาจากมือบาง ยื้อยุดฉุดกันไปมา จนคนป่วยหมดแรง เสียหลักล้มตึงลงกับเตียง ไอ้ผมที่รอจังหวะอยู่แล้วก็ทิ้งตัวตามลงไปทันที

            กะว่ายังไงท่านี้ต้องเหมือนกับฉากสวีทแบบละครหลังข่าวแน่ๆอ่ะ แต่ไม่ครับ เพราะแมวตัวนี้ดุกว่านางเองในละครเป็นไหนๆ

            อุ้งเท้าน้อยๆของคุณแมวเธอตะปบเข้าหน้าผมเต็มๆก่อนที่จะได้จุ้บตรงไหนทั้งนั้น แถมไม่เก็บเล็บด้วยนะครับ

            "อย่าจิกนะ เดี๋ยวทิ่มตาบอดขึ้นมาจะทำยังไง" ผมพูดด้วยเสียงอู้อี้ทั้งที่ๆมีมือซินแปะอยู่บนหน้าแบบนั้น

            "ถอยออกไปเลย วันนี้ได้กำไรไปมากพอแล้ว"

            "กำไรอะไรเล่า ทำไมคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ฮะ"

            "พอๆ เราเสียเปรียบ"

            "เสียเปรียบตรงไหน ได้กันทั้งสองฝ่ายชัดๆ ...โอ๊ย!!" โดนบีบจมูกเข้าให้แล้ว ไม่มีออมแรงกันเลยนะ ซิลิโคนเบี้ยวขึ้นมาจะว่าไง - -

            "ถอยออกไปเลย"

            "ถอยแน่ๆ แต่ต้องเอามือออกไปก่อน"

            "จะทำไม"

            "ไม่ทำไมหรอกน่า หรือว่ากลัว เดี๋ยวนี้ขี้ป๊อดนะเราน่ะ"

            "ว่าใคร เดี๋ยวจะโดน"

            "งั้นปล่อยมือก่อนนะครับ ขอดูหน้าคนหายป่วยแล้วใกล้ๆหน่อย"

            "ไม่ต้องมาอ้อน มุกนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว"

            "โธ่เอ๊ย ก็ถ้ารังเกียจกันขนาดนี้ ไม่ทำอะไรแล้วก็ได้"

            พูดจบถอยออกมานั่งที่เดิม พร้อมกับตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อเรียกร้องความสนใจ สองมือยกขึ้นกอดอก หันหน้าหนีไปอีกทาง

            "นัท"

            ไม่ตอบ...

            "นัท..."

            ไม่ตอบหรอก งอน!

            "นัท!"

            "ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันมันก็แค่คนที่จ้องจะเอาเปรียบนายเท่านั้นแหละ นอนพักเถอะ ไม่กวนแล้ว" รางวัลสุพรรณหงส์ปีนี้เป็นของผมนะครับ!

            "น้อยใจอะไรเนี่ย ไม่ใช่เรื่องเลย"

            "เปล่า ไม่ได้น้อยใจ นายนอนเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว"

            เสียงถอนหายใจเบาๆจากคนบนเตียง พร้อมกับเสียงยวบเพราะซินกำลังลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง คนสวยนั่งหันหน้ามาทางผม หย่อนขาสองข้างลงข้างเตียง แอบเห็นจากทางหางตาว่าเขากำลังมองมาทางนี้ แต่ก็ทำเป็นมองออกไปชมนกชมไม้นอกหน้าต่างอย่างน้อยใจ

            จนกระทั่งมือเรียวสวยสองข้างเอื้อมมาประครองหน้าผมเพื่อหันไปหาเขา จึงทำให้เราได้สบตากัน 

            "ขี้งอนเป็นตุ๊ดไปได้" ซินพูดขึ้น ทั้งๆที่ประครองหน้าผมทั้งสองข้างอยู่อย่างนั้น

            "ไม่ได้งอน"

            "งั้นก็น้อยใจ?"

            "...นิดนึง" ตอแหลล้วนๆ

            "เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ"

            "ช่างมันเถอะ" พูดจบกันหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้มือสวยกลับเกร็งไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ขยับหน้าหนีได้อีก

            "แค่จูบก็พอใช่มั้ย" เสียงหวานถามกันด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ

            อะไร๊!! อย่ามาเสนอตัวแบบเขินๆอย่างนี้ได้มั้ย เดี๋ยวตะบะแตกหลุดยิ้มขึ้นมาตอนนี้แผนก็พังหมดพอดีสิครับคนสวย!! อุตส่าห์เก๊กหน้าจนเมื่อยมาตั้งนานแล้วเนี่ย

            ผมเลือกที่จะไม่ตอบ และปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่อยากจะทำโดยไม่พูดอะไร

            ใบหน้าสวยเคลื่อนเขามาใกล้ๆ อย่างช้าๆ แก้มขาวใสอมชมพูอย่างน่ารักน่าหยิก บทจะหวานขึ้นมาก็แทบสำลักความสุขกันเลยทีเดียวนะครับ ใครไม่มาเป็นไอ้นัทนี่ไม่รู้หรอกว่ามันน่าอิจฉาแค่ไหน ><

            ซินหลับตาลงช้าๆก่อนจะแตะริมฝีปากลงมาเบาๆ สัมผัสนุ่มนวลราวกับขนนก ลมหายใจอุ่นจากคนตรงหน้าพาให้หัวใจหลุดลอยไป ผมงับริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กเบาๆอย่างหมันเขี้ยว ก่อนจะสอดแทรกปลายลิ้มเข้าไปลิ้มชิมรสหวานที่ซินเป็นคนหยิบยื่นมอบให้ ลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดตอบรับกลับมาอย่างเอาใจ

            ดูเอาเถอะว่าวิธีการง้อของเขามันน่ารักแค่ไหนกัน

            แบบนี้มันน่างอนวันละหลายๆรอบ

            "อือ..." เสียงหวานคางประท้วงเมื่อมือผมเริ่มซุกซนไปทั่ว มือเรียวที่เลื่อนมาคล้องคอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้รู้บีบคอผมเบาๆ ทำให้ต้องหยุดมือที่ไล้เอวคอดด้านในอยู่ลง ก่อนจะฝังจูบเน้นย้ำครั้งสุดท้าย และถอยออกตามแรงดันจากมือเล็ก แต่ก็ยังไม่วายหอมแก้มใสนั่นไปอีกฟอดใหญ่

            ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนเอาแต่ได้ แต่เพราะว่าอยากจะกอด อยากจะจูบ ในตอนที่ยังสามารถทำได้ เท่านั้นเอง

            "พอแล้ว เดี๋ยวป๊ากับม้ากลับมาเห็นเข้าหรอก"

            "แค่นี้ก็พอแล้วครับ"

            "ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ"

            "ยิ้มดิ ก็แฟนน่ารัก"

            "ไม่ต้องมาพูดเลย ทีเมื่อกี้ยังมางอนเป็นเด็กๆ"

            คนหน้าบางก้มหน้างุดๆหลบสายตา เห็นแบบนี้แล้วอยากจะกอดแรงๆอีกสักที แต่ก็กลัวว่าคนหายป่วยจะกลับมาป่วยอีกรอบน่ะสิ

            "พอแล้วซิน อย่าทำแบบนี้" น้ำเสียงเคร่งเครียดจากผม เรียกให้ซินเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมชัดๆทันที

            "อะไรอ่ะ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ"

            "แค่นี้ก็รักจะตายแล้ว ทำตัวน่ารักไปไหนเนี่ย" พูดจบก็หยิกแก้มนิ่มๆทั้งสองข้างเบาๆอย่างหมันเขี้ยว

            "โอ๊ย... เจ็บ เจ๊บบบบ" และก็ได้รับการถอนผมเป็นกระจุกให้แสบหนังหัวเล่นๆเป็นการตอบแทน

            รักกันรุนแรงจริงๆ... - -

 

            นั่งคุยเล่นกันไปอีกสักพักใหญ่ๆ คุณหมอก็เข้ามาตรวจอาการอีกครั้ง เช็คนู่นเช็คนี่จนมั่นใจว่าหายแล้ว คืนนี้คุณหมอยังอยากจะให้นอนโรงพยาบาลอีกสักคืน แต่ถ้าอยากจะกลับบ้านเลยก็อนุญาตให้กลับได้ พอคุณหมอและพยาบาลเดินออกไป คนป่วยก็ร้องจะกลับบ้านทันที

            "นอนต่ออีกสักคืนดีกว่ามั้ย รอดูอาการ เพื่อว่าไข้จะขึ้นอีก"

            "ไม่ขึ้นแล้ว เราเบื่อโรงพยาบาล อยากกลับบ้าน"

            "อย่างอแง"

            "ไม่ได้งอแง อยากกลับบ้าน คิดถึงดาวดาว คิดถึงทอง"

            "คิดถึงแมว?"

            "อือ"

            "งั้นก็นอนนี่ไปเลยอีกคืน"

            "เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไง..."

            ในตอนที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซะก่อน พร้อมกันกับที่ป๊ากับม้าซินเดินเข้ามา

            "เอ้าๆ เถียงอะไรกันจ้ะ เสียงดังเชียว" ม้าที่เดินเข้ามาก่อนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม สองมือเต็มไปด้วยถุงขนมกับผลไม้เต็มไปหมด

            "หมอเขาให้ซินกลับบ้านได้แล้วม้า แต่นัทไม่ยอมให้กลับ"

            "ก็อยู่ดูอาการก่อนอีกสักคืน" ผมพูดปรามคนป่วยที่ชักจะดื้อเกินไปแล้ว โดยมีสายตาไม่พอใจมองค้อนมาให้อีกหนึ่งที

            "แต่ซินอยากกลับบ้าน อยู่โรงพยาบาลน่าเบื่อจะตายไป นะม้า ให้ซินกลับนะ"

            "อยู่อีกสักคืนก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ลูก เผื่อตอนกลางคืนเป็นอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไง" คุณป๊าเข้าข้างโผมมม >< แอบหันไปยิ้มสะใจให้ซินเล็กๆ

            "ไม่เอาอ่ะ ซินอยากกลับบ้าน"

            "เอ้า ลูกคนนี้ งอแงเป็นเด็กไปได้"

            เห็นมั้ย ม้ายังพูดเหมือนผมเลย ซินหันมามองผมตาเขียวปั้ดทันทีเมื่อผมเผลอหลุดขำออกไป

            "นะป๊า ให้ซินกลับบ้านเถอะ ซินหายป่วยแล้วจริงๆ นะๆ" ป๊ามองซินที่เขย่าแขนป๊าไปมาอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ

            "เอ้าตามใจ อยากกลับก็กลับ เดี๋ยวป๊าไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายก่อนละกัน" ป๊าลูบหัวซินอย่ารักใคร่เอ็นดู และเดินออกจากห้องไป ม้าเองก็ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะไปเก็บของให้ซินเพื่อกลับบ้าน

            ก็เพราะว่าเอาใจกันทั้งบ้านแบบนี้ไง...

            ยังจะมีหน้าหันมายักคิ้วเยาะเย้ยกันอีกนะ

            เอาเถอะ วันนี้ยกให้ เพราะผมได้กำไรมาเยอะแล้วครับ หึหึ

 

            เป็นไปอย่างที่ซินบอกจริงๆ ในเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจะได้ข่าวอะไร บรรดานักข่าวที่มาออกันตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้หายกันไปหมดแล้ว คงถอยทัพกลับไปตั้งหลักใหม่ ผมที่โผล่หัวออกมา เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้วจึงเดินออกมา ตามด้วยซินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และป๊ากับม้าที่เดินตามหลัง

            นักร้องของผมใส่แว่นกันแดด เพื่อบดบังใบหน้า เดินตามหลังผมมาติดๆ สายตาผมสอดส่ายไปทั่วตามนิสัยของบอดี้การ์ดที่ต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้คนเบื้องหลัง

            ก่อนที่แสงบางอย่างจะแว๊บเข้ามาทางหางตา ทำให้ต้องหันไปมองอย่างสงสัย มองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่พบกับสิ่งผิดปกติอะไร

            "มีอะไรเหรอ" เสียงถามอย่างสงสัยดังขึ้นจากด้านหลัง

            "เปล่าหรอก ไม่มีอะไร" ผมตอบกลับไปแค่นั้น และเดินนำไปที่ลานจอดรถ

            หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติอะไรเกิดขึ้นอีก เราทั้งหมดตรงกลับบ้านซินทันที โดยที่ป๊ากับม้าขับรถนำไปก่อน ตามด้วยผมกับซินที่ขับตามไปทีหลัง เพราะผมเอารถมา จึงต้องแยกกันกลับ ผมเลยลากซินมานั่งด้วยซะเลย

            ขับรถไป ก็แอบชำเลืองมองคนด้านข้างไป ซินชี้ชวนดูนั่นดูนี่ระหว่างทางไปเรื่อย จนถึงบ้านเขานั่นแหละ การขับรถโดยที่มีคนรักนั่งข้างๆนี่มันดีจริงๆนะ ต่อให้ฝนตก รถติดแค่ไหน ก็ไม่ทำให้บรรยากาศบนท้องถนนมันน่าเบื่อเลย เรื่องนู้นเรื่องนี้ที่สรรหามาพูดคุยกัน ทำให้ระยะทางที่ว่าไกล ถูกย่นลงจนเหลือใกล้นิดเดียว

            เขาว่ากันว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ

            แต่ความทุกข์กลับยืดเวลานั้นออกไป หนึ่งนาทีคล้ายกับหนึ่งปี ...จริงมั้ย?

            ขออย่าให้ช่วงเวลาอย่างนั้น หวนกลับมาอีกครั้งเลย




            พอกลับมาถึงบ้าน ไอ้ตัวดีก็เดินทัวร์รอบบ้าน ตามหาแมวที่สุดแสนจะคิดถึงของเขานั่นแหละครับ ไอ้ผมก็นั่งเล่นรออยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ม้าเข้าไปเตรียมอาหารอยู่ในครัว ส่วนป๊าก็เดินหายไปได้สักพักแล้ว กำลังมองนู่นมองนี่เพลินๆ ซินก็เดินกลับเข้ามาพอดี ไม่ได้มาคนเดียวนะครับ มีลูกน้องเดินตามมาติดๆ

            "แหม คิดถึงกันจริงนะ"

            "ไม่ได้เจอกันก็ต้องคิดถึงกันสิ แปลกตรงไหน"

            "จ้ะๆ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            ซินเดินมานั่งลงข้างๆผม โดยมีเจ้าแสงดาวโดดขึ้นบนตักตามมาติดๆ นั่งหลับตาพริ้มให้เจ้าของเขาเกาคางเล่น

            บางทีก็อิจฉาแมวนะครับ - -

            ว่าแล้วก็ยื่นมือไปผลักหัวเล็กๆนั้นอย่างหมันไส้ เลยโดนแมวตัวใหญ่ตีเพี๊ยะเข้าให้

            "นิสัยเสีย แกล้งคนอื่น"         

            "คนอื่นที่ไหน แมว!"

            "นิสัยไม่ดี"

            อะไรวะ - - มันน่าน้อยใจมั้ยเนี่ย ฮึ!

            "แล้วไม่กลับบ้านกลับช่อง เย็นป่านนี้แล้วนะ"

            เพราะซินพูดทำให้หันมองออกไปด้านนอก ฟ้ามืดแล้วจริงๆ โทรศัพท์ก็โยนทิ้งเอาไว้ในรถไม่ได้สนใจ ไม่รู้กลับบ้านไปจะเจออะไรมั่ง หนีงานมาแบบนี้พ่อจะฉีกอกผมมั้ยเนี่ย หรือว่าคืนนี้จะนอนนี่ดี

            คิดได้แบบนี้จึงยิ้มกริ่มหันไปมองซิน แต่นั่นใครครับ นั่นซินนะ มีเหรอที่จะไม่รู้

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
            "ไม่ต้องแม้แต่จะคิด กลับบ้านตัวเองไปนู่น ไม่อนุญาต" โดนปฏิเสธทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากเลยครับ

            "ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ"

            "ไม่พูดก็รู้ว่าคิดอะไร ยิ่งทำหน้าอกุศลแบบนั้นยิ่งเดาไม่ยากหรอก"

            "อกุศลที่ไหนเล่า"

            "ไม่ต้องบ่น"

            ปากก็พูดไป มือก็เกาหัวเกาคางให้แสงดาวอยู่ แต่หัวกลับเอนมาซบกันซะอย่างนั้น ผมก็เลยเอนหัวไปซบเขากลับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไรนะ มาชวนหวานกันกลางบ้านแบบนี้ ปกติแตะนิดแตะหน่อยยังไม่ได้เลย กลัวป๊าจะเห็น

            "เป็นไรเนี่ย"

            "เหนื่อย"

            "ไปนอนพักข้างบนมั้ย"

            "ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวม้าก็เรียกกินข้าวแล้ว จะอยู่กินข้าวด้วยกันมั้ย หรือว่าจะกลับเลย"

            "อยากให้อยู่หรือว่าอยากให้กลับล่ะ"

            "...."

            "ถ้าอยากให้อยู่ก็จะอยู่ แต่ถ้าอยากให้กลับก็จะกลับ"

            "...."

            เงียบ ทำซึนไม่ตอบนะครับ

            "ไม่ตอบนี่คืออะไร อยากให้กลับเหรอ" ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงไหล่ออกจากหัวทุย ตะแคงข้างท้าวแขนกับพนักพิงโซฟาหันหน้าเข้าหาเขา

            ใบหน้าหวานหันมามองกัน ก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะแก้มผมเบาๆ

            "อยากให้อยู่ แต่ไม่อยากให้มีปัญหากับที่บ้าน"

            "คิดมากไปได้น่าซิน"

            "ไม่ได้คิดมาก แต่เพราะเราคิดว่าจะทำให้นัทเดือนร้อน"

            ผมถอนหายใจหนักๆเสียทีหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมมือเรียวที่จับแก้มผมอยู่ 

            "ไม่เดือดร้อนหรอก พ่อไม่ฆ่าฉันตายหรอกน่า"

            "ไม่ฆ่าให้ตาย แต่ก็ทำให้ไม่สบายใจได้เหมือนกัน"

            รู้ทันไปหมดทุกเรื่อง

            "ไม่เป็นไรหรอกน่า"

            "กลับบ้านเถอะ เราไม่เป็นไรแล้ว"

            รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ พร้อมกับที่เจ้าตัวเขาลุกขึ้นยืน และยื่นมือมาให้จับ เพื่อที่จะฉุดในลุกตามเขาไป ผมจึงเอื้อมมือไปจับมือบางนั้น และลุกขึ้นตามแรงดึง

            หลังจากที่เดินไปลาม้าในครัว และแวะไปสวัสดีป๊าที่ห้อง ซินก็เดินออกมาส่งผมที่รถ

            "กลับดีๆล่ะ"

            "รู้แล้วครับ"

            "อย่าเซถลาไปหารถใครเขากลางถนนด้วย"

            "คร้าบบ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วโทรหานะ"

            "อื้ม"

            "ไม่หอมแก้มหน่อยเหรอ"

            "นี่หน้าบ้านรึเปล่านัท เลือกสถานที่มั่งเหอะ"

            "ในรถนี่ ยื่นหน้ามาใกล้ๆก็ไม่มีใครเห็นแล้ว"

            "ไม่เอา"

            "น่านะ"

            "ไม่เอา"

            "ซินอ่ะ ใจร้าย"

            "อย่าพูดมาก วันนี้ได้ไปเยอะแล้ว"

            "ตลอด หวงตัวตลอด งั้นกลับแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะครับ"

            "อื้ม ขับรถดีๆนะ"

            ผมยิ้มรับ ก่อนจะส่งจูบไปให้เขาหนึ่งที ซินก็ทำท่าคว้าจูบผมไว้ก่อนจะโยนไปด้านหลังอย่างไร้เยื่อใย หึหึ

            ทันทีที่กระจกรถปิดลง และตัวรถเคลื่อนออกมา รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าก็ค่อยๆหายไป วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน พ่อคงส่งไอ้กัสหรือใครสักคนไปทำแทนผมแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าฝั่งโอลีฟเธอจะโวยวายอะไรหรือเปล่านะ

            ขับรถมาไม่นานก็ถึง พอก้าวขาเข้ามาในบ้าน ก็เจอกับพ่อแม่ และไอ้กัสนั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สีหน้าของแต่ละคนเดาไม่ยากเลยครับว่ากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหนกัน

            พ่อรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา ผมยกมือขึ้นไหว้ แต่พ่อกลับหันหน้าหนี และเดินออกจากห้องไป ทำให้ผมยกมือค้างอยู่อย่างนั้น

            "นัท ไปไหนมาลูก" ผมลดมือลงและเดินไปนั่งด้านข้างแม่

            "ไปหาซินมาครับ"

            ผมตอบกลับไปตรงๆ แม่นั่งนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

            "วันนี้ ใครทำงาน ...แทนผมครับ"

            แม่ที่ฟังคำถามนั้นจบถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตอบ

            "กัสลูก กัสไปแทนนัท"

            ผมจึงหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นนี้ด้วย จะว่าไปก็ไม่ได้คุยกับมันมานานแล้วเหมือนกันนะ ทั้งเรื่องนั้น...ด้วย

            "ฝั่งนั้นเขาว่าอะไรบ้างมั้ย"

            "ก็โวยวายว่าทำไมเป็นผม แต่เพราะว่างานเร่ง ก็เลยพูดอะไรมากไม่ค่อยได้"

            "นักข่าวถามอะไรมั้ย"

            "ถาม"

            "ถามถึงฉันหรือเปล่า"

            "ถาม"

            แล้วคำตอบจะเป็นยังก็ไม่ต้องเดาเลย พรุ่งนี้ได้เป็นข่าวอีกแน่ แต่ขอแค่อย่างเดียว อย่าให้ซินมามีเอี่ยวในข่าวด้วยเป็นพอ ให้ผมแย่คนเดียว

            "ทานข้าวมาหรือยังลูก"

            คำถามจากแม่ทำให้ผมยิ้มออก อย่างน้อย แม่ก็ยังอยู่ข้างๆคอยเป็นห่วงผม 

            "ยังเลย หิวมากที่สุดอ่ะ"

            แม่หลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ความอบอุ่นจากแม่ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีให้ผมเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะทำให้ท่านเสียใจแค่ไหนก็ตาม

            "งั้นรอแป๊บนึงนะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปเตรียมอะไรให้ทาน กัสล่ะ ทานด้วยกันเลยมั้ย"

            "คุณป้านี่น่ารักที่สุดเลยครับ ของผมนี่ขอเยอะๆเลยนะ"

            ไอ้นี่ก็ยังไม่วายประจบเหมือนเดิม เห็นมันยิ้มทะเล้นแบบนี้ได้ผมก็สบายใจ เพราะหน้าอย่างมันเหมาะกับการยิ้มมากกว่า จะให้มันทำหน้าเศร้านี่ไม่เหมาะจริงๆ

            แม่ลุกออกไปจากห้องแล้ว จึงเหลือแค่กัสกับผมสองคนในห้องนั่งเล่นเท่านั้น รอยยิ้มมันหายไป ก่อนที่คิ้วเข้มนั่นจะขมวดเข้ามากัน

            "พี่ทำแบบนี้ทำไมวะ ไม่รู้หรือไงว่าจะทำให้พี่ซินเดือดร้อน"

            "ทำอะไร"

            "ก็ทิ้งงานไปแบบนี้"

            "แล้วเกี่ยวอะไรกับซินด้วย"

            "ทำไมจะไม่เกี่ยว คราวที่แล้วโอลีฟให้ข่าวไปว่ายังไงล่ะ แล้วคราวนี้พี่มาหายไปแบบนี้อีก นักข่าวเขาก็เห็นว่าผมไปแทนพี่ เขาก็ถามหาพี่กันใหญ่ แล้วคิดว่าโอลีฟจะตอบไปว่ายังไงล่ะ คิดว่าเธอจะตอบแบบเข้าข้างพวกพี่รึไง"

            "ผู้หญิงคนนั้นตอบไปว่ายังไง"

            "บอกว่าไม่รู้ ให้ตามดูข่าวกันเอาเอง พรุ่งนี้อาจมีอะไรดีๆให้ดู"

            "อะไรดีๆ"

            "ผมจะไปรู้ได้ไง ไม่ใช่ยายผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย"

            "แล้วมีใครพูดถึงซินมั้ย"

            "มี มีคนถามว่าพี่หายไป พอดีกับที่พี่ซินป่วยแบบนี้ แอบแวะไปหากันหรือเปล่า"

            มือผมกำแน่นอย่างรู้คำตอบที่โอลีฟจะตอบในทันที ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจอยู่แล้ว

            "เขาบอกว่าให้รอดูวันพรุ่งนี้ จะมีอะไรดีๆให้ดู แล้วก็บอกด้วยว่าไม่อยากพูดอะไรมาก ตอนนี้กำลังเสียใจ"

            "เสียใจ เสียใจอะไรวะ"

            "ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนี้นิสัยไม่ดี ขี้เหวี่ยง เอาแต่ใจ ทำงานด้วยปวดหัวจะตาย" ไอ้แสบทำหน้ายุ่งแถมด้วยการบ่นออกมายาวพรืด ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติผมคงจะหลุดขำมันไปนานแล้ว ก็มันบอกเองว่าอยากทำงานนักหนา พอได้ทำแล้วกลับมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

            "เขาพูดแนวๆว่าพี่นอกใจเขา ไปหาพี่ซิน"

            "จะนอกใจได้ไง ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย"

            "ไม่รู้โว้ย! พี่นั่นแหละ อยู่ดีๆก็หายไป วุ่นวายกันหมด ทำไมทำอะไรไม่รู้จักคิดก่อนวะ เป็นไง สุดท้ายใครเดือดร้อน"

            แล้วทำไมผมต้องมานั่งฟังไอ้เด็กนี่มันบ่นด้วยวะ และที่สำคัญ จะต้องมานั่งรู้สึกผิดไปกับคำพูดของมันทำไม

            ผม... ทำผิดเหรอ เป็นห่วงซินที่ผมผิดเหรอวะ

            แล้วเรื่องดีๆที่โอลีฟพูดถึงนั้นมันเรื่องบ้าอะไร

            "แล้วพ่อว่าไงบ้าง"

            นึกไปถึงอีกคนที่เดินหนีออกไปก่อนที่จะพูดอะไรกันก็ต้องหนักใจ เมื่อไหร่จะเข้าใจนะ ต้องทำยังพ่อถึงจะยอมเข้าใจเรื่องนี้สักที ในเมื่อตอนนี้ผมรักใครไม่ได้แล้วจริงๆ ...นอกจากซิน

            "ก็ไม่ว่าไง ด่าพี่นัทยับเลย แต่ไม่ยอมจะด่าต่อหน้าแฮะ เดินหนีไปเฉยเลย"

            "คงไม่อยากจะพูดกับฉันล่ะมั้ง"

            "แล้วทำตัวน่าพูดด้วยมั้ยล่ะ นี่ก็ไม่อยากพูดด้วยหรอกนะ ถ้าไม่จำเป็น"

            แหม่ะ พูดจาน่าถีบมากเลยครับ ณ จุดนี้

            "ฉันมีอะไรจะถาม" ปรับน้ำเสียงกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

            "อะไร"

            "นายบอกพ่อฉันหรือเปล่า เรื่องฉันกับซิน"

            มือที่กำลังกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ชะงักไปในทันที ก่อนจะวางรีโมทลงบนโต๊ะเสียงดัง สีหน้าที่หันมามองเปลี่ยนเป็นโหมดหาเรื่อง

            "ทำไมถึงคิดว่าจะบอก"

            "ก็ไม่รู้ เลยถาม"

            "แล้วทำไมถึงคิดว่าจะบอก"

            "ก็ไม่รู้ไงวะ!"

            "เฮอะ! ทำไม ในสายตาพี่ผมมันดูเลวขนาดนั้นเลยรึไง"

            "ก็ไม่ใช่แบบนั้น..."

            "แล้วไง แต่ก็คิดว่าผมเป็นคนบอกลุงใช่มั้ย"

            "ก็บอกว่าไม่รู้ไงวะ!! บอกหรือเปล่าก็พูดมาสิ ไม่ต้องมาโยกโย้!"

            "เออผมบอก! แค่นี้ใช่ป่ะที่อยากได้ยิน พอใจยัง! แม่ง... ไม่เคยรู้อะไรเลยรึไง"

            ไอ้กัสลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง ก่อนจะบ่นงึมงำในประโยคสุดท้าย และผลุนผลันวิ่งออกจากบ้านไป น้ำเสียงและสีหน้าแบบนั้น ประชดชัวร์ๆ แล้วสรุปว่าใช่มันหรือเปล่าที่บอก งั้นถ้าไม่ใช่มัน แล้วพ่อรู้เรื่องผมกับซินได้ยังไง หรือว่าเห็น...

            "มีเรื่องอะไรกันลูก เสียงดังไปถึงในครัว" แม่เดินออกมาถามด้วยความแปลกใจทั้งๆที่ยังถือทับพีตักข้าวอยู่ในมือ

            "เปล่าครับ ไม่มีอะไร"

            "แล้วกัสล่ะ น้องไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงแว่วๆอยู่เลย"

            "กลับไปแล้วครับ"

            "อ้าว ไหนว่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกัน"

            ผมส่ายหัวช้าๆอย่างไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง แม่ถอนหายใจนิดๆและเดินเข้ามาหาผม มือข้างที่ว่างอยู่แตะลงบนแก้มผม ข้างเดียวกันกับที่ซินจับวันนี้เลย ความอบอุ่นจากมือที่แตกต่างกัน แต่เต็มไปด้วยความรักจากทั้งคู่ ผมโชคดีมากใช่มั้ยครับ ที่มีทั้งสองคนอยู่แบบนี้

            "ให้เวลารักษาทุกๆอย่างนะลูก ตอนนี้เวลาแค่นี้อาจจะยังไม่พอ ให้เวลากับทุกๆคน ...รวมทั้งแม่ด้วย"

            ผมหลับตาลง พยักหน้ารับเบาๆ ซึมซับเอาความรู้สึกทั้งหมดที่ส่งผ่านมือแสนอบอุ่นนี้มาให้

            แม่เดินกลับเข้าครัวไปแล้ว แต่ผมยังคงยืนอยู่ตรงนั้น คิดทบทวนเรื่องต่างๆที่ทำลงไป ไอ้กัส...มันโกรธผมแน่ๆ อันที่จริงก็ไม่ควรไปตะคอกถามมันแบบนั้นเลย มันอาจจะไม่ใช่คนพูดก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมี 'เรื่องนั้น' เข้ามาเกี่ยว

            แต่มันเองก็กวนโอ๊ยไม่ใช่รึไง - -

            ไม่ขอโทษหรอกเว้ย

            ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเซ็งๆ คว้าโทรศัพท์มากดส่งข้อความหาซิน

            เรื่องวันพรุ่งนี้ ขออย่าให้มีอะไรไม่ดีเลยนะ ถ้ามี ก็ขอให้เป็นเรื่องของผมคนเดียว ขออย่าให้เป็นซินเลย เพราะถ้าใช่ คนที่ทำให้ซินเดือดร้อนครั้งนี้ก็จะเป็นผมเอง

            หรือว่าสำหรับคนสองคน ...แค่ความรักมันไม่พอจริงๆ

            ข้อความถูกส่งออกไป พร้อมกับใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            ขอแค่ให้ซินสบายดี...


            'นัทถึงบ้านแล้วนะซิน ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแน่ๆ 'รอวันที่เราจะได้ยืนข้างกันอีกครั้งนะ' ใจนัทอยู่กับซิน ฝากดูแลด้วยนะครับ'             


TBC.
....
ยังๆ มันยังไม่มา
แต่ตอนหน้า มันจะมามั้ย
ไม่บอกหรอก ฮ่าๆๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะค้าา
พบกันตอนหน้าค่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ง่ะะะะะะะะะะะะะะ
เริ่มต้นมาแบบหวานมาว๊ากกกกกกก
อ้อนกันน่ารักสุดๆ
แต่ตอนท้ายนี่มันอะรายยยย ฮือออออออ

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เกลียดยัยโอลีฟโปริโออ่ะหึ่ยยยยย

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
24

((เป็นข่าว))



            เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกทำให้ต้องหรี่ตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย นอนคุยอยู่กับซินสักพักก็เผลอหลับไป เหลือบไปมองนาฬิกานี่ก็เพิ่งจะแปดโมงกว่า ใครมาเสียงดังอยู่ข้างนอกเนี่ย พลิกตัวไปมาแต่ก็ยังหนีเสียงพวกนั้นไม่ได้สักที สุดท้ายจึงจำต้องลุกขึ้นมาอย่างเหลืออด

            ใครวะ!? แม่งว่างกันนักใช่มั้ย เดี๋ยวจะวิ่งไล่เตะมันเรียงตัวซะเลย

            ผมเดินลงบันไดมาด้วยสภาพหัวฟู ฟันก็ยังไม่ได้แปรง กะว่าถ้าจัดการพวกโหวกเหวกเสร็จก็จะขึ้นไปนอนต่อ แต่แล้วก็ต้องแปลกเมื่อเห็นว่าชั้นล่างมีคนยืนออกันอยู่ห้าหกคน สามคนในนั้นคือ พ่อกับแม่ผม แล้วก็ไอ้กัส ส่วนที่เหลือเป็นเด็กในโรงฝึก

            แล้วมาทำอะไรกันในนี้

            เป็นไอ้กัสที่หันมาเห็นผมก่อนคนแรก หน้าตาบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ทันทีที่เห็น

            อะไรของมัน หรือยังนอยด์เรื่องเมื่อวาน โทษผมไม่ได้นะ เพราะมันเองก็กวนตีน

            "มีเรื่องอะไรกัน เสียงเอะอะโวยวายไปถึงข้างบน"

            "อ้าวตานัท ตื่นแล้วเหรอลูก ทานอะไรก่อนมั้ย ไปๆ เข้าครัวไปกับแม่ดีกว่า" ผมมองแม่ที่ทำท่าจะลากผมเข้าไปในครัวอย่างงงๆ แต่แล้วเราทั้งสองคนก็ต้องหยุดลงซะก่อน เพราะพ่อห้ามเอาไว้

            "ไม่ต้องไป ให้มันเห็นเองว่าผลของการกระทำที่มันทำไว้เป็นยังไง ไปล้างหน้าล้างตาซะ นักข่าวอยู่ข้างนอก"

            "อะไรนะ"

            นักข่าวอยู่ข้างนอก? นักข่าวที่ไหน มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าโรงฝึกเราดังใหญ่แล้ว

            "ไปล้างหน้าล้างตา" เพราะสายตาและคำพูดของพ่อ ทำให้ผมต้องรีบขึ้นจัดการตัวเองให้เรียบร้อย หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วก็ลงมา เด็กในโรงฝึกออกไปแล้ว ตอนนี้ที่ห้องนั่งเล่นจึงมีแค่พ่อแม่และไอ้กัส พ่อลุกขึ้นยืน ยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้ผมทันทีที่เห็นว่าผมเดินเข้ามา ผมจึงรับมาและก้มลงดูอย่างไม่เข้าใจ

            แต่แล้วภาพในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิงก็ทำให้ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างในทันที ข่าวกรอบใหญ่ที่สุดในหน้าบันเทิงวันนี้ เป็นรูปผมกับซินที่โรงพยาบาล... ผมเดินด้านหน้ากับซินที่ตามหลังมา ไหนจะยังรูปที่ซินเอื้อมมาจับผมจากทางด้านหลัง มองยังไงก็มุมกล้องชัดๆเลย แถมถ่ายมาแค่สองคน ไม่ได้ติดป๊ากับม้าซินมาด้วยแต่อย่างใด พร้อมกับพาดหัวข่าวตัวโตๆที่ว่า

            'งงแตก การ์ดหนุ่มเนื้อหอม ทำ 'หนุ่มสวย' กับ 'สาวสวย' แย่งกันชุลมุน'

            นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!

            ผมเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างเพื่ออ่านเนื้อหาอย่างละเอียด

            'งงกันมั้ยล่ะ ชายสองหญิงหนึ่ง แต่ไม่ได้แย่งผู้หญิงกันนะจ๊ะ แย่งผู้ชาย... สรุปเอ๊ะยังไง วันนั้นยังเห็นควงสาวสวยโอลีฟไปทานข้าว มาวันนี้กลับไปกระหนุงกระหนิงอยู่กับหนุ่มหน้าสวยเสียงเพราะอย่างซินไปซะได้ ข่าวร้อนแซบทั้งวงการ ลือกันให้สนั่นว่าคุณนักร้องหน้าสวยไปแย่งคุณบอดี้การ์ดมาจากอกสาวโอลีฟ ทางด้านฝ่ายดาราสาวคนสวยก็ออกมาตีหน้าเศร้าบอกปฏิเสธไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากยังทำใจไม่ได้ หลังจากที่ตนออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องที่กำลังคุยๆอยู่กับพ่อบอดี้การ์ดหนุ่ม แต่อีกฝ่ายกลับแอบดอดไปหาเจ้านายคนเก่าซะอย่างนั้น เดือดร้อนให้ต้องส่งบอดี้การ์ดคนอื่นมาทำงานแทน จะยังไงก็แล้วแต่ ข่าวนี้กลับยิ่งกระพือเรื่องที่ว่าหนุ่มซินไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็น ไหนจะยังข่าวคู่จิ้นคู่เกย์ที่ผ่านๆมา เอ๊ะๆ หนุ่มเซอร์ผมยาวคนนี้ แอ๊บแตกหรือเปล่านะ สรุปว่าเรื่องมันเป็นยังไง ต้องรอติดตามกันต่อไปนะจ๊ะ แซบเว่อร์...'

            ผมลดหน้าหนังสือพิมพ์ลงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

            ฝีมือใคร!? ยายโอลีฟบ้าบอนั่นใช่มั้ย! แล้วทำไมจะต้องมายุ่งกับซิน! มีปัญหาก็ลงที่ผมคนเดียวสิวะ ลากซินมาเกี่ยวด้วยทำไม ผมขยำหนังสือพิมพ์ขว้างทิ้งลงบนพื้นอย่างทนไม่ไหว ยังไงก็ต้องออกไปจัดการเรื่องนี้ให้มันรู้เรื่อง!

            ไอ้กัสรีบคว้าแขนผมที่กำลังจะเดินเอาไปด้านนอก และรั้งเอาไว้ไม่ให้ผมขยับตัวไปไหนได้

            "จะไปไหน ออกไปก็โดนนักข่าวรุม"

            "รุมก็รุม จะได้ให้มันรู้เรื่องกันไปเลย โอลีฟบ้านั่น ไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย อยากถามอะไรฉันจะตอบให้หมด เอาให้หน้าหงายกันไปข้าง"   

            "แล้วพี่ซินอะ คนอื่นจะมองว่าพี่ซินเป็นคนยังไง เดี๋ยวมันก็ยิ้งย้ำว่าพี่ซินไปแย่งพี่มาจริงๆหรอก"

            "ซินไม่ได้แย่ง! นี่มันเรื่องเข้าใจผิด"

            "แล้วนักข่าวเขาจะรู้ด้วยมั้ย พี่ใจเย็นก่อนดิวะ"

            "เย็นยังไงไหว นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว อยากรู้นักใช่มั้ยว่าฉันคบใคร เดี๋ยวจะออกไปป่าวประกาศให้รู้กันเดี๋ยวเนี้ยะ!"

            "เฮ้ยพี่! สนโลกมั่งดิวะ"

            "กูสนโลกแล้วโลกสนกูมั้ย ชีวิตส่วนตัวกูป่ะวะ"

            "ปล่อยมันไปกัส มันอยากบ้าก็ให้มันบ้าไป อยากสร้างความวุ่นวายก็ให้มันแก้เอง" เสียงจากพ่อทำให้ไอ้กัสเงียบไป แต่ยังคงไม่ปล่อยแขนผม ส่วนผมก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆอย่างสงบสติอารมณ์ตัวเอง

            ซินเห็นข่าวแล้วหรือยัง แล้วหน้าบ้านซินจะเป็นอย่างหน้าบ้านผมตอนนี้มั้ย จะเป็นไรหรือเปล่านะ

            "ใจเย็นๆนะลูก ค่อยๆคิด อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม แม่ว่าตอนนี้เราอยู่เงียบๆก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกเขาก็กลับไปเอง"

            แม่เดินเขามาเกลี่ยกล่อมผมอีกคน มือแม่ลูบแขนผมไปมาอย่างปลอบประโลม ทำให้อารมณ์ที่ร้อนอยู่ เย็นลงไปบ้าง สุดท้ายจึงเดินตามแม่ไปนั่งที่โซฟา

            "พวกนักข่าวมากันตั้งแต่เมื่อไหร่"

            "มาตั้งแต่เช้าเลย แม่ลงมาก็เจอแล้ว เห็นทำท่าจะเดินเข้าไปโรงฝึกก็เลยไปเรียกพ่อเขาให้มาห้ามเอาไว้ก่อน นี่ก็ให้เด็กๆปิดประตูโรงฝึกไปแล้ว" แม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างผมเป็นคนตอบคำถาม

            "เขามาเพราะข่าวผมกับซินเหรอ"

            "ถ้าไม่เป็นเพราะข่าวแกแล้วจะเรื่องอะไรล่ะ" พ่อตอบขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ทำให้แม่ต้องถอนหายใจออกมา

            "คุณเองก็ใจเย็นๆ ลูกก็คงไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้"

            "ก็เพราะว่าเข้าข้างกันอย่างนี้ไง มันถึงได้เป็นแบบนี้ ห้ามก็แล้ว! เตือนก็แล้ว! มันเคยฟังบ้างมั้ย ทำอะไรเห็นหัวพ่อกับแม่บ้างหรือเปล่า"

            เอาอีกแล้ว เรืองนี้อีกแล้วหรือไง! ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับพ่อตอนนี้หรอกนะ

            ซินเอง น่าจะกำลังลำบากอยู่เหมือนกัน ผมต้องไปดูเขาก่อน!

            ผมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำให้แม่รีบคว้าแขนผมเอาไว้

            "จะไปไหนลูก"

            "ผมจะไปดูซิน เขาคงกำลังไม่สบายใจ เพิ่งจะหายป่วยมาด้วย"

            "ลูกจะไปได้ยังไง นักข่าวเต็มไปหมด แล้วถ้ายิ่งลูกไปหาเขา ข่าวมันจะยิ่งไปกันใหญ่"

            โอ๊ยยยยย! ทำไมมันทำอะไรไม่ได้เลยวะ จะกระดิกตัวไปทางไหนไม่ได้เลยหรือไง ผมเองไม่ใช่ดาราดังอะไรสักหน่อย เป็นแค่บอดี้การ์ดนะเว้ย แค่บอดี้การ์ด จะมาสนใจอะไรผมนักหนาวะ กะอีแค่คนเขาจะรักกันเนี่ย มันต้องวุ่นวายกับชีวิตพวกผมขนาดนี้เลยหรือไง มันเรื่องส่วนตัวรึเปล่าวะ!?

            "เออ ผมว่าพี่อยู่นี่แหละ อยู่เฉยๆก่อน ให้เรื่องมันเงียบก่อนดีกว่า"

            "เรื่องมันก็เงียบไปแล้วไง ยายโอลีฟนั่นแหละที่เป็นคนทำให้มันใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง"

            "ดีแต่โทษคนอื่น เคยคิดบ้างมั้ยว่ามันเป็นความผิดของแกเอง" ผมหันไปมองพ่อที่พูดอย่างนั้นอย่างไม่เข้าใจ

            "เป็นแกเองไม่ใช่เหรอที่บุกไปหาซิน ทำให้นักข่าวเขาถ่ายรูปแกได้ แล้วก็เป็นแกเองไม่ใช่เหรอ ที่ทิ้งงานไปวุ่นวายอยู่รอบๆซินทั้งๆที่แกไม่ใช่บอดี้การ์ดเขาแล้ว"

            "ก็ผมรักเขา!"

            "หึ... แล้วความรักของแกตอนนี้มันเป็นยังไง มีใครยิ้มสบายใจกับความรักของแกมั้ย แล้วซินของแก ตอนนี้เขายิ้มมีความสุขอยู่รึเปล่าล่ะ"

            คำถามของพ่อแทงลึกเข้าไปในใจผมทันที อยากจะเถียงด้วยคำพูดมากมายแต่กลับเถียงไม่ออก ถ้าผมไม่โดดงานไปหาซิน เรื่องวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ถ้าผมยอมไปทำงานกับโอลีฟแต่โดยดี ผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่โจมตีซิน ใช่มั้ย...?

            แต่ซินป่วย ผมเป็นห่วง ผมอยากไปหา ผมผิดเหรอ

            คนที่ผมรักทั้งคนกำลังไม่สบาย ผมไปเยี่ยมเขา ผมผิดรึไง

            "ลองคิดดูให้ดี ตอนนี้เป็นแกไม่ใช่รึไงที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ถ้ายอมทำตามที่ฉันบอกแต่แรก ทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนี้ แล้วจะยังมัวโทษคนอื่นเขาอยู่อีกมั้ย"

            "พ่อก็ต้องพูดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะพ่อไม่อยากให้ผมกับซินคบกัน"

            "ก็แล้วการที่แกคบกับซินมันเป็นผลดีกับใครรึเปล่าล่ะ เห็นบ้างมั้ยเรื่องมันเป็นยังไงเพราะฝีมือแก!"

            "ก็ถ้าพ่อไม่เอาโอลีฟเข้ามายุ่งเรื่องมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก!!"

            "ไอ้นัท!!!"

            "พอแล้ว! ทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ เถียงกันตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ กัสพานัทขึ้นห้องไป ทำอารมณ์ให้เย็นกว่านี้ก่อนค่อยคุยกัน" แม่ตัดบทขึ้นมาก่อนที่ผมกับพ่อจะทะเลาะกันมากไปกว่านี้ ไอ้กัสจึงลุกขึ้น ลากผมขึ้นบันไดมา ได้ยินเสียงแม่พูดให้พ่อใจเย็นดังแว่วขึ้นมาบ้าง แต่ผมไม่ได้สนใจ

            ทันทีที่ถึงห้อง ก็ทิ้งตัวลงที่ปลายเตียงทันที ส่วนไอ้กัสก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าคอมเท้าแขนสองข้างกับพนักพิงเก้าอี้มองหน้าผม

            ผมหันไปเห็นโทรศัพท์อยู่บนเตียงจึงคว้ามากดโทรออก ต้องคุยกับซินก่อน ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง เสียงรอสายดังอยู่สักพักก่อนที่จะตัดไป ทำให้ผมต้องลดโทรศัพท์ลงดู ซินตัดสายทิ้ง... ผมลองโทรกลับไปใหม่อีกหลายครั้ง แต่ผลก็ออกมาอย่างเดิม ทำให้ต้องถอนใจและเหวี่ยงโทรศัพท์ไปไกลๆ

            โธ่เว้ย... ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

            "พี่ซินไม่รับหรอก วันนี้เขาโดนผู้ใหญ่เรียกไปคุยแต่เช้า" ไอ้กัสพูดขึ้นพร้อมกับยืดหลังนั่งตัวตรง

            "รู้ได้ไง"

            "พี่โอ๊ตโทรมาบอก ที่จริงวันนี้พี่ซินมีงาน ผมต้องไปรับตอนสิบโมง แต่พี่โอ๊ตโทรมาบอกว่างานยกเลิกไปแล้ว พี่ซินโดนเรียกตัวด่วนให้เข้าไปที่ค่าย"

            "แล้วซินเป็นยังไงบ้าง โดนว่าเรื่องอะไรมั้ย"

            "ไม่รู้"

            "แล้วทำไมไม่รู้วะ"

            "เอ้า! จะรู้ได้ไงวะ ไม่ได้ไปด้วย อย่าพาลดิ!"

            "แล้วทำไมไม่ไปรับซิน ใครไปส่งเขาที่ค่าย"

            "ป๊าเขา"

            แสดงว่าทั้งป๊าทั้งม้าก็รู้เรื่องแล้ว ไม่รู้สิแปลก ลงข่าวกันซะขนาดนี้ หวังว่าซินคงจะไม่โดนพวกผู้ใหญ่ว่าอะไรหรอกนะ ทั้งๆที่เมื่อวานนี้ยิ้มออกแล้วแท้ๆเลย

            "แล้วหน้าบานซินเป็นแบบนี้ด้วยมั้ย" ผมพยักหน้าไปทางหน้าบ้าน

            "ไม่อะ ที่ค่ายเรียกไปแต่เช้ามากๆ พวกนักข่าวคงยังไม่ทันมา"

            หวังว่าคงไม่โดนใครพูดจาทำร้ายจิตใจเข้าหรอกนะซิน ถ้าจะมีอะไรให้มาด่าคนคนเดียวพอ ไม่อยากให้รายนั้นต้องไม่สบายใจเลย ยิ่งเป็นคนที่คิดมากแล้วชอบเก็บเอาไว้คนเดียวอยู่ด้วย

            "ถ้าอยากไปหาพี่ซิน เดี๋ยวจะหาทางช่วยให้ แต่คงยังไม่ใช่ตอนนี้" ผมหันไปมองไอ้กัสที่กำลังค้นโต๊ะคอมผมเล่นอยู่ จะว่าไป มันก็ช่วยผมมาตั้งหลายครั้ง แต่ผมกลับพูดไม่ดีกับมันไปเยอะเลย มันเองก็เกิดเรื่องแย่ๆจากผมไปเหมือนกันนี่นะ

            "ขอบใจนะ"

            ไอ้กัสชะงักไปนิดที่ได้คำพูดขอบใจจากผม หายากจริงๆที่จะมานั่งพูดคุยกันดีๆแบบนี้ ผมรู้นะว่ามันเองก็คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของมันที่จะมาเดือนร้อนไปด้วยเลย มันควรจะสะใจด้วยซ้ำที่ความรักของผมกับซินเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมจะรีบแช่งมันเลิกกันไวๆไปเลย แต่นี่มันกลับมาช่วย

            เพราะอะไรกันนะ...

            "ช่วงนี้ฉันอาจจะพูดกับนายไม่ดี อยากให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ มันมีเรื่องมากมายจริงๆ บางทีก็อารมณ์เสียแล้วพาลไปบ้าง แต่ถึงยังไง นายก็ยังเป็นน้องชายที่ฉันรักนะ ขอโทษในหลายๆเรื่อง แล้วก็ขอบใจมากจริงๆ"

            "น้องชาย...สินะ"

            "กัส"

            "ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะถ้าเรื่องมันจบไปยังไงผมต้องทวงบุญคุณแน่ๆ" ใบหน้าทะเล้นกลับมาอีกครั้ง แต่ทำไมผมจะไม่เห็นแววตาเหงาๆนั่น เพราะมันโดดเด่นยิงกว่าร้อยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจยังไงล่ะ

            ขอโทษนะกัส พี่ให้นายเป็นได้แค่น้องชายจริงๆ   

            ผมเอนหลังลงบนบนเตียงอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไปหาซินก็ไม่ได้ โทรหาก็ไม่รับ แล้วตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี ควรที่จะอยู่เฉยๆแล้วให้เรื่องทุกเรื่องผ่านไปอย่างนั้นเหรอ จะทำแบบนั้นได้ยังไง

            หรือว่าผมควรจะเชื่อใจซิน ซินของผมเป็นคนเก่ง ไม่ว่ายังไงเขาก็จะผ่านเรื่องนี้ไปได้สิ เขาต้องจักการกับข่าวพวกนี้ได้อยู่แล้ว ตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่ง เดี๋ยวสักพักคงจะติดต่อกลับมาเอง เดี๋ยวก็คงจะได้ยินน้ำเสียงใสๆของซินแล้ว แค่นั้นแหละ ที่ผมต้อง แค่รู้ว่าเขาจะไม่เป็นอะไร

            แล้วนี่ ผมควรจะจัดการกับโอลีฟยังไงดี... คิดได้แบบนั้นก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายในการโทร

            รอสายอยู่ไม่นาน อีกฝ่ายก็รับ

            (แหม นึกว่าจะไม่โทรหากันซะแล้ว)

            "ทำไมให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแบบนั้น"

            (แบบไหน ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่ทำเศร้า แล้วพูดปัดๆไปว่าไม่อยากตอบ)

            "นั่นแหละ ทำแบบนั้นทำไม!"

            (ทำไมไม่ลองถามคุณพ่อนัทดูล่ะ)

            "พ่อมาเกี่ยวอะไรด้วย"

            (ก็พ่อนัทไม่ใช่เหรอ ที่มาขอร้องเราให้ทำให้นัทกับซินเลิกกัน)

            "อะไรนะ!!!"

            พ่อ... พ่อเป็นคนบอกให้โอลีฟทำแบบนี้เหรอ! พ่อเนี่ยนะ พ่อของผมเนี่ยนะ...?

            "อย่ามาโกหก"

            (ฉันไม่ได้โกหกนะ พ่อนัทพูดแบบนี้จริงๆ ฉันเห็นว่ามันน่าสนุกดีก็เลยลองดู ฮะๆ แล้วมันก็สนุกดีจริงๆด้วย นัทเองก็หล่อขนาดนี้ ได้มาเป็นแฟนก็ไม่ได้เสียหายอะไร)

            ผู้หญิงคนนี้มัน...

            "ถ้างั้น เรื่องข่าวนี่ พ่อก็เป็นคนบอกให้ทำงั้นเหรอ"

            (เปล่าๆ ท่านไม่ได้บอกหรอกว่าให้ทำวิธีไหน ท่านแค่บอกว่าทำยังไงก็ได้ให้นัทหลงรักฉัน แต่แย่หน่อยที่นัทสุดหล่อหลงพ่อนักร้องคนนั้นซะหัวปักหัวปำ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีเล่ห์มีกลกันบ้าง)

            ผมดึงโทรศัพท์ออกจากหูก่อนจะตัดสายทิ้งทันที ไม่อยากได้ยินเสียงของผู้หญิงน่าเกลียดคนนี้อีกต่อไป จะว่าผมปากจัดก็ได้นะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเกลียดผู้หญิงคนไหนเท่าผู้หญิงคนนี้เลยจริงๆ

            พูดออกมาได้ ไม่อายปาก นี่พ่ออยากให้ผมได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟนหรือยังไง

            "กัส นายรู้เรื่องโอลีฟจากพ่อบ้างมั้ย พ่อได้พูดอะไรบ้างหรือเปล่า"

            "ก็พูด"

            "พูดว่าอะไร"

            "จะให้โอลีฟแยกพี่ออกจากพี่ซิน"

            ไอ้กัสมันรู้เหรอ!?

            "แล้วทำไมไม่บอกฉันวะ

            "ก็นึกว่าจะดูออก ไม่นึกว่าจะโง่"

            ไอ้เด็กห่านี่...

            "ลามปามแล้วมึง... แล้วพ่อเป็นไง พอใจกับผลงานของโอลีฟมั้ย ฉันกับซินกลายเป็นแบบนี้แล้วนี่ หึ"

            "เปล่า ตอนที่คุณลุงเห็นข่าวก็ช็อกไปเหมือนกัน ไม่นึกว่าโอลีฟจะใช้วิธีนี้ ลุงก็โกรธนะ ถึงได้ห้ามพี่ไม่ให้ไปหาพี่ซินไง เพราะรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่พี่ก็ไม่เชื่อ"

            ถ้างั้น นี่ก็สรุปว่าเป็นเพราะผมคนเดียวเลยใช่มั้ยที่เรื่องมันกลายเป็นวุ่นวายขนาดนี้ เป็นผมใช่มั้ยที่ทำให้แผนของโอลีฟสำเร็จ...

            "เพราะฉันเหรอ"

            "ก็เออดิ มาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ"

            มันน่าเจ็บใจมั้ย ที่ทั้งหมดเป็นเพราะผมเองล้วนๆ ผมวิ่งไปตามเกมของโอลีฟทุกอย่างเลย!

            "แต่คุณลุงก็พอใจนะ เพราะตอนนี้พี่กับพี่ซินก็พบกันลำบากแล้ว"

            "หึ ไม่มีทาง ไม่ว่ายังไงฉันหาทางไปหาซินได้แน่ เรื่องนี้แยกฉันกับซินไม่ได้หรอก ไม่มีทาง"

            ไอ้กัสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆกับความดื้อรั้นของผมเท่านั้น

            ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ ความรักของผมกับซิน ใครจะมาแยกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น

Eucalyp

  • บุคคลทั่วไป
            สรุปว่าวันนี้ทั้งวันก็ต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่แต่ในบ้าน ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น พวกนักข่าวก็ทนทายาท ปักหลักกันอยู่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน แดดจะร้อนฝนจะตกแค่ไหนก็ไม่หวั่น ได้เงินเดือนกันเดือนละเท่าไหร่วะเนี่ย เล่นเอาก้าวขาออกจากบ้านกันไม่ได้เลย           
นอกจากกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วโทรศัพท์ไม่ห่างจากตัวผมเลย ยังคงนั่งรอโทรศัพท์จากซินอยู่ทั้งวัน แต่จนป่านนี้ ตะวันตกดินไปแล้ว นักข่าวก็กลับบ้านกลับช่องกันไปหมดแล้ว ซินของผมก็ยังไม่โทรกลับมา โทรหาก็ไม่รับ เงียบหายไปเลย

            เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง

            นี่ผมควรทำไงดี... ถ้าผมไปหาซินที่บ้านตอนนี้ ซินจะเดือดร้อนอีกมั้ยนะ

            แต่เพราะประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ ทำให้ต้องยับยั่งชั่งใจ ถ้าผมไป เรื่องมันก็จะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นรอซินติดต่อกลับมาน่าจะดีกว่า

            แต่อีกคน กลับเงียบหายไปเลย

            จนวันหนึ่งผ่านพ้นไป กลายเป็นอีกวัน ซินก็ยังไม่รับโทรทัศน์... หนักเข้าก็กลายเป็นว่าปิดเครื่องหนีกันไปเลย

            ทำไมกลายเป็นแบบนี้...?

            "โอ๊ยยย มันจะทนไม่ไหวแล้วนะ"

            ไอ้กัสที่กำลังนั่งดูหนังอยู่ในห้องผมสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆผมก็ตะโกนขึ้นมาซะเฉยๆ ก็คนมันเบื่อ! ไปไหนก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอะไรแล้วโว้ยย คิดถึงซินนน

            "อะไรวะ!! คนกำลังดูหนัง ร้องโวยวายตกใจหมด"

            "กูจะไปหาซิน!" พูดจบผมก็ลุกพรวดพลาดขึ้นมาทันที ไอ้กัสเหล่ตามามองนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปดูหนังต่ออย่างไม่ใส่ใจ

            "เออ ไปดิ จะได้ขึ้นหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้อีกรอบ"

            แม่ง... สุดท้ายก็ต้องกระแทกตัวลงบนเตียงตามเดิม เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วครับ ผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนี้มาหลายรอบแล้ว วันนี้วันที่สองหลังจากที่มีข่าวออกมา แต่อย่าหวังว่าพวกนักข่าวจะเลิกรานะครับ ยังคงพากันมาอุ่นหนาฝาคลั่งเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าวันนี้จะน้อยกว่าเมื่อวาน แต่มันก็ทำให้ผมออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี และถึงแม้ว่าจะไม่มีที่หน้าบ้าน ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครแอบตามผมอยู่หรือเปล่า

            ชีวิตแลดูเริ่มไม่ค่อยปลอดภัยมากขึ้นทุกวัน นี่ผมต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคอยดูแลความปลอดภัยด้วยมั้ยเนี่ย - -   

            แล้วก็ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าไอ้กัสมาทำอะไรในห้องนอนผมเพราะ เพราะถ้าไม่มีมันป่านนี้ผมก็คงจะบ้าไปแล้ว พ่อก็ไม่คุยด้วย ออกไปไหนก็ไม่ได้ ที่สำคัญ ซินเองก็หายไปเลย ติดต่อไม่ได้ โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ

            เข้าขั้นวิกฤติแล้วชีวิตผมเนี่ย

            "ซินไม่มีงานเหรอวะ เอ็งถึงได้มีเวลามานั่งดูหนังอยู่เนี่ย งานการไม่ไปทำ"

            "เอ้า เอาไงแน่วะ เดี๋ยวก็บอกให้มาอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวก็ไล่"

            ก็ถ้ามันไปทำงานแล้วเจอซิน ผมก็มีโอกาสได้คุยกับซินผ่านมันได้ใช่มั้ยล่ะ แผนสูงมั้ยล่ะผม แต่นี่มันไม่ไป แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าซินเป็นยังไงบ้าง ถึงผมไม่เจอ ให้มันไปเจอแล้วกลับมาเล่าให้ฟังก็ยังดี แต่นี่มันไม่ไปไหวเลย มัวมาคลุกอยู่กับผมเนี่ย

            "ซินไม่มีงานเลยเหรอ"

            "ไม่มี ถึงมีก็ยกเลิกไปหมดแล้ว"

            "หนักขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "อืม"

            "ซินติดต่อมาบ้างมั้ย"

            "ไม่อ่ะ มีแต่พี่โอ๊ตโทรมา"

            "เขาว่าไง"

            "ก็บอกว่าไม่มีงาน! ไม่ต้องไปรับ! เหมือนอย่างที่บอกไปแล้วสามร้อยล้านรอบ จะให้ต้องพูดอีกกี่ครั้งเนี่ยฮะ! คนจะดูหนังโว้ยย"

            ไอ้กัสลุกขึ้นโวยวายอย่างไม่พอใจ ก็คนมันร้อนใจ! มันอึดอัดอะ ใครจะเข้าใจผมบ้างมั้ยเนี่ย!

            "อยากดูหนังไม่กลับไปดูที่บ้านวะ ที่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนนี่ก็อยากให้ช่วยปรับทุกข์ แต่นี่สนใจแต่โทรทัศน์ แล้วใครแม่งบอกว่าจะช่วยวะ"

            "นี่ก็ช่วยจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว! ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยนี่ไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่จะเสีย แม่งรักก็รัก แล้วยังจะต้องมาช่วยแก้ปัญหาเรื่องหัวใจให้อีก แค่นี้มันยังเจ็บไม่พออีกเหรอวะ เคยคิดถึงหัวอกของคนอื่นเข้าบ้างมั้ย ก็รู้ว่าไม่สบายใจ แต่คิดมากเป็นอยู่คนเดียวหรือไง มีเรื่องไม่สบายใจอยู่คนเดียวหรือไง!!"

            "...."

            "พี่รักพี่ซิน พี่ซินก็รักพี่แล้วยังจะกลัวอะไรอีกวะ หัดรอบ้างดิ พี่ซินเขาก็อาจจะกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่ก็ได้ ไม่ใช่เอะอะโวยวายอะไรก็ใจร้อน จะเอาอย่างใจให้ได้ทุกอย่างมันไม่ได้หรอกนะเว้ย ใครหน้าไหนมันบอกวะว่าถ้ายังรักกันก็ไม่ต้องกลัว"

            ไอ้ผมที่กำลังจะอ้าปากเถียงก็ทำได้แค่เพียงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

            "คิดว่าที่บอกรักไปนั่น ลืมไปหมดแล้วหรือไง ทำให้ขนาดนี้แล้วจะเอาอะไรอีก..."

            สายตาตัดพ้อที่ส่งมาให้ ทำเอาคำพูดที่เตรียมเอาไว้หายไปหมด ก็เห็นว่ามันกลับมาไร้สาระอย่างเดิมได้แล้วก็นึกว่าจะลืม... แต่บางทีผมก็ลืมนึกไปว่าเรื่องแบบนี้มันลืมกันไม่ได้ง่ายๆจริงเหรอ สำหรับผม ไม่ว่าจะกี่ปีๆก็ยังไม่ลืม ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นหน้า ทั้งๆที่ไม่ได้ยินเสียง

            แต่นี่... มันเห็นผมทุกวัน พูดคุยกับผมทุกวันเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมันจะลืมได้ยังไง

            ผมใจร้ายกับมันเกินไปหรือเปล่านะ

            “กัส...”

            “ช่างมันเหอะ ที่พูดนี่ก็ไม่ได้ต้องการจะเรียกร้องอะไร แค่อยากให้ใจเย็นๆ รอไปอีกสักหน่อย เดี๋ยวข่าวมันก็ซาไปเอง”

            “ขอบใจนะ”

            ผมพูดบอกมันไปเท่านั้น มันเองก็เพียงแค่มองตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน เพียงแต่สายตาที่ส่งมานั้น มันบอกทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

            มันทำได้ยังไง ถ้าเป็นผม ถ้าผมต้องทนเห็นซินไปรักกับคนอื่นแบบนี้ ผมทนไม่ได้แน่ๆ ยิ่งจะให้มาช่วยอะไรแบบนี้ผมยิ่งไม่มีทางทำ สิ่งที่ผมจะทำก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้มันคนนั้นกับซินเลิกกัน ไม่มีทางช่วยแบบนี้แน่ๆ แล้วมันทำไปทำไม...

            ไอ้กัสถอนสายตากลับไปมองโทรทัศน์อีกครั้ง มีเพียงผมที่ยังคงมองใบหน้าหงอยเหงานั้นอยู่ กี่ครั้งแล้วนะที่ผมทำร้ายรอยยิ้มแสนสดใสของเด็กคนนี้ ทำร้ายมันซ้ำๆด้วยมือของผมเอง

 

            ผ่านไปอีกวัน...

            วันที่สามแล้วที่ขาดการติดต่อจากซิน วันนี้ไอ้กัสก็ยังคงมานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่ห้องผมเหมือนเดิม ยิ้มหัวเราะหน้าระรื่นเหมือนเดิม...

            แต่ผมนี่กำลังจะตาย

            สภาวะร่างกายขาดซิน โรคนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ อาการก็จะเป็นๆหายๆ เดี๋ยวซึมเศร้า เดี๋ยวเหม่อลอย ผุดลุกผุดนั่งวิ่งไปรับโทรศัพท์วันละหลายๆรอบ แต่ก็แห้วกลับมาตามเดิม ละเมอพูดคนเดียว ส่งผลให้ไอ้กัสเริ่มหวาดระแวงผมไปอีกคน

            “พี่นัท ผมว่าพี่เริ่มอาการหนักแล้วว่ะ ออกไปเดินเล่นนอกบ้านมั่งดีมั้ย นักข่าวก็ไม่มีแล้ว ออกไปข้างนอกบ้างเหอะ สภาพแม่งเริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว”

            ผมละสายตาจากโทรศัพท์หันไปมองมันอย่างไม่สบอารมณ์ โทรหาซินจนโทรศัพท์จะพังอยู่แล้วเนี่ย เกือบจะเขวี้ยงทิ้งไปแล้วหลายรอบ แต่ติดตรงที่จะไม่มีโทรศัพท์โทรหาซินนี่สิ เลยเขวี้ยงไม่ลง

            ตั้งท่าจะอ้าปากด่ามันอีกรอบ ลืมความรู้สึกผิดเมื่อวานไปซะสนิท แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดว่าอะไร เสียงโทรศัพท์ไอ้แสบก็ดังขึ้นมาซะก่อน มันเลยหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ ไอ้ผมก็หวังจนเลิกหวังไปแล้วครับว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับซิน

            “ครับพี่โอ๊ต”

            เท่านั้นแหละ อะไรที่ถืออยู่ในมือตอนนั้นสลัดทิ้งมันทั้งหมด แค่ได้ยินเสียงไอ้กัสมันเรียกคุณโอ๊ตเท่านั้นแหละ ผมเดินเข้าไปคว้าโทรศัพท์จากมือกัสมาคุยเองทันที

            “คุณโอ๊ต ซินล่ะครับ ซินอยู่นั่นมั้ย”

            (ฮะ...) ปลายสายชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเสียงผมแทนที่จะเป็นเสียงไอ้กัส

            “นี่ผมนัทเองนะ ซินอยู่ด้วยหรือเปล่า เขาเป็นอะไรมากมั้ย ผมโทรหาเขาเท่าไหร่เขาก็ไม่รับสายเลย เกิดอะไรขึ้นครับ”

            (นัทเหรอ เดี๋ยวๆ ใจเย็นก่อนนะ ซินไม่ได้อยู่ตรงนี้)

            “แล้วเขาอยู่ไหน”

            (เขาก็อยู่บ้านเขาสิ)

            “แล้วทำไมเขาไม่รับโทรศัพท์”

            (เพราะว่าไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับนายไง)

            “อะไรนะ!?”

            อะไร ใคร ใครไม่อนุญาต

            (ทางผู้ใหญ่ขอร้องไม่ได้ซินติดต่อกับนาย ห้ามพบ ห้ามเจอ ห้ามติดต่อ)

            “เฮ้ย ได้ไงอ่ะ เรื่องส่วนตัวขนาดนี้ห้ามกันได้ด้วยเหรอ”

            มันจะมากเกินไปหรือเปล่า ก็ไหนตอนแรกบอกว่าไม่เป็นอะไรไง แล้วทำไมตอนนี้...

            (ได้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะกับซิน ที่เชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่ทุกอย่าง)

            ใช่ ซินที่เชื่อคำพูดผู้ใหญ่ทุกอย่าง เป็นคนขี้เกรงใจ บอกปฏิเสธใครไม่เป็น ผู้ใหญ่ให้ทำอะไรก็ทำ ทั้งๆที่ขัดกับความต้องการของตัวเองก็จะทำ ซินคนนี้ที่ตัดผมทิ้งอย่างง่ายดาย...

            แต่ไม่ใช่...ซินของผม!! ซินคนนี้ไม่ใช่ซินของผมอย่างแน่นอน เราสัญญากันแล้ว ว่าจะไม่ตัดสินใจแทนกัน มีอะไรต้องคุยกันก่อน ไม่ใช่ว่าจะตัดกันทิ้งไปเฉยๆเหมือนเมื่อครั้งนั้น ไม่มีทางให้เรื่องเข้าใจผิดกันไร้สาระมาทำลายช่วงเวลามีค่าที่เราสั่งสมร่วมกันมาแน่ๆ

            เขาต้องกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่สิ... เพื่อเรื่องของเรา

            “ซินโดนว่าอะไรบ้างมั้ยครับ”

            (ก็พอสมควร แต่ไม่มากเท่าไหร่หรอก เพราะปกติแล้วซินไม่ค่อยมีเรื่องมีราวกับใครอยู่แล้ว ทางนี้ก็แค่รออยู่เงียบๆให้ข่าวมันซาลงไป เดี๋ยวคนก็ลืม)

            “ทำยังไงผมถึงจะติดต่อเขาได้ครับ”

            (เฮ้อ... นัท ช่วงนี้ข่าวกำลังหนัก นักข่าวก็บุกมาที่ค่ายแทบทุกวัน ดีหน่อยที่วันนี้ซาๆลงไปบ้าง ซินเองจะขยับตัวไปทางไหนก็ลำบาก นายเองก็อย่าเพิ่งทำอะไรเลย รออยู่เฉยๆไปก่อน)

            “ทำไมมีแต่คนให้ผมรอ ใครจะรู้บ้างมั้ยว่าการรอมันไม่ได้สนุกเลยนะ มันมีแต่จะร้อนใจ อย่างน้อยให้ได้คุยกับซินบ้าง แค่ให้ได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร”

            (เฮ้ยยย นี่ฉันโทรมาคุยกับกัสนะเว้ยย ไม่ใช่โทรมาคุยกับนาย ให้ฉันได้คุยธุระของฉันก่อนได้มั้ยเนี่ย เปลืองค่าโทรศัพท์กูป่ะวะ)

            เสียงคุณโอ๊ตโวยวายทำให้ผมต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก็เล่นตะโกนออกมาเสียงดังขนาดนั้น แก้วหูขาดกันพอดี

            “จะคุยอะไรกับไอ้กัสบอกผมก็ได้ เดี๋ยวผมบอกมันให้เอง”

            (บ๊ะ! ไอ้นี่!)

            “มีอะไรว่ามาเลยครับ”

            (พรุ่งนี้ซินมีงาน)

            “งานอะไร! ให้ผมไปมั้ย ช่วงนี้ผมว่าง”

            (พูดไม่คิดนะครับ มาให้นักข่าวเขาแตกตื่นกันน่ะสิ อยู่บ้านไปนั่นแหละ! แล้วเอากัสมาคุย เร็วๆ เป็นการเป็นงานได้แล้ว ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าฉันจะช่วยเรื่องซิน)

            ยื่นโทรศัพท์คืนให้ไอ้กัสแทบไม่ทัน ไม่วุ่นวายก็ได้วะ!

            ไอ้กัสก็รับโทรศัพท์ไปอย่างงงๆ

            ผมนั่งฟังกัสคุยกับคุณโอ๊ตอยู่ในระยะประชิด เลยพอจะรู้เรื่องคราวๆที่พวกเขาคุยกันได้บ้างว่าพรุ่งนี้จะมีงานเล่นไลฟ์คอนเสิร์ตที่ร้านตอนกลางคืนร้านหนึ่ง ในกรุงเทพนี่แหละ เป็นงานปิด เพราะฉะนั้นนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้างาน

            อย่างนี้ผมก็ไปได้น่ะสิ!

            หูผึ่งเลยครับงานนี้...

            พอไอ้กัสวางโทรศัพท์ไปผมก็เข้าจู่โจมทันที

            “ฉันไปเอง!”

            “เฮ้ย ได้ไง งานผม”

            “งานกูพอ มึงสิมาแย่งงานกูไป”

            “ไปถามคุณลุงเหอะ ขืนให้พี่ไป งานเข้าอีกแน่”

            “ทำไมวะ นักข่าวก็ไม่มีไม่ใช่หรือไง”

            “นักข่าวไม่มี แล้วคนในงานเข้าไม่พกโทรศัพท์กันรึไง”

            “แค่ให้คนในงานไม่รู้ว่าเป็นฉัน แค่นั้นก็พอใช่มั้ย”

            ไอ้กัสหรี่ตามองมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ของผม หึหึ เอาสิครับ ให้มันรู้ไปว่าจะหาทางพบกันไม่ได้จริงๆ ในเมื่อบอกไปแล้วว่าจะไม่ยอมแพ้ ยังไงก็จะไม่ยอม ซินมีวิธีของซิน ผมก็มีวิธีของผมเหมือนกัน พบกับครึ่งทางนะซิน เล่นเงียบหายไปเลยแบบนี้ โทษผมไม่ได้นะครับที่รัก
             


TBC.
....
มาแล้วค่าา
เห็นคนด่าโอลีฟกันเยอะเลยย จะบอกว่านางยังร้ายกว่านี้ได้อีกนะ! ><
ยังมีคนอ่านอยู่มั้ยคะ จากสถานการณ์ไม่สู้ดีในตอนนี้ ยังไม่ได้ทิ้งเค้าใช่มั้ย :'(
ขอบคุณที่ยังไม่ทิ้งกันนะคะ อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอบคุณมากๆจริงๆค่า :)
พบกับกันตอนหน้านะคะรีดเดอร์ที่น่ารักทุกคน ^^

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
 :sad4: :o12: :o12: :hao5: :hao5:

ฮือออออออออ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
เค๊าก็ยังไม่ทิ้งนะตัว เค๊ายังรักตัว ยังรัก พี่นัททซินอยู่นะ :L1: :L2: :กอด1:

แอบสงสารน้องกัสจัง ช่างเป็นคนดี เก่งอ่ะ อดทนเห็นพี่นัทรักพี่ซินได้ :m15:

ตอนหน้ามาต่อนะคะ พี่นัทคิดจะทำอะไรละเนี่ย ปลอมตัว? หึหึ :hao6:

Mauve

  • บุคคลทั่วไป
ขอตอนต่อไปอย่างด่วนค่ะ  :katai1:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
นัทสู้สู้!!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด