๖๗ เพลงนี้เพื่อใคร“ตั้ม วาเลนไทน์ ไปไหนวะ” โอ หันมาถามผมที่กำลังทำงานอยู่ ในช่วงพักกลางวัน
“วันไรอะ” ผมถามกลับทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้า
“วาเลนไทน์ไงเว๊ย” โอ เดินเข้ามาตะโกนข้างๆหูผม
“โอ๊ย ... หูระเบิดแล้ว” ผมโวยวาย พลางย่นจมูกมอง โอ “รู้แล้วอะว่า วาเลนไทน์ เราหมายความว่าตรงกับวันอะไร เสาร์หรืออาทิตย์”
“วันเสาร์ ว่าไง ไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่า” โอ ถามยิ้มๆ
“เสาร์เหรอ มีเล่นคอนเสริท” ผมตอบแล้วก้มหน้าทำงานต่อ
“เอาแต่เล่นดนตรี ไม่อ่านหนังสือสอบมั่งเหรอวะ” โอ ถามต่อ
“อ่านแล้ว เทอมก่อนหยุดไปเยอะ เลยอ่านล่วงหน้าไว้แล้ว” ผมตอบขณะที่ทำงานไปเรื่อยๆ
“อะไรนะ เอ็งอ่านตั้งแต่เทอมที่แล้วเหรอวะ” โอ ทำท่าตกใจ
“แปลกอะไรอะ” ผมเงยหน้าขึ้นมามอง โอ “พวกนายก็ไปเรียนพิเศษกันตั้งแต่ปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะอ่านกันมากกว่าเราอีกนะ”
“แล้วคอนเสริทคราวนี้ เอ็งร้องเพลงอะไรอีกรึเปล่าวะ” โอ เปลี่ยนเรื่อง
“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะร้องเพลงอะไรดี เพื่อนๆมันอยากให้ร้อง Lovin’ You อีก” ผมตอบอย่างเซ็งๆ
“ฮ่าๆๆ คราวนี้จะร้องให้ใครล่ะวะ” โอ ถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พลางยักคิ้วให้อย่างกวนๆ เมื่อผมเงยหน้าขี้นมา
“เราไม่รู้จะร้องให้ใคร” แววตาผมสลดลง “มันเค้วงๆยังไงไม่รู้” ... ใครจะรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีเรื่องที่บ้านอีก ...
“ถามจริงๆเหอะวะ มึงชอบมันตรงไหนวะ” โอ ถามพลางจ้องหน้าผม
“นายถามถึงใคร” ผมแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้
“เอ็งไม่ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง จะว่าไปมันก็น่ารักนะ” โอ พูดพลางลูบคาง “แล้วมันก็หล่อดี” โอมองผม แล้วหัวเราะเบาๆ “สมกับที่มีฉายาร่วมกับกูว่า คู่แฝดมหัศจรรย์ ” ประโยคสุดท้าย ทำเอาผมอดไม่ได้ ที่จะต้องหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ เพราะคนหนึ่งขาวอีกคนดำ คนหนึ่งสูงอีกคนเตี้ย คนหนึ่งผอมอีกคนค่อนข้างสันทัดจนเกือบอ้วน แต่มักเรียกตัวเองว่าคู่แฝด
“เอ็งก็ทำใจให้ได้แล้วกัน” เสียง โอ อ่อนโยนลง “ตอนนี้มันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว”
“อื้อ เราเข้าใจ ถึงจะยังไม่มี เราก็ต้องตัดใจอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” ผมตอบอย่างปลงๆ
“เอ็งก็ตั้งใจกับดนตรีที่เอ็งชอบก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวพวกกูจะไปเชียร์” โอ พูดยิ้มๆ
“จะไปดูกันเหรอ” ผมถามด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น
“เออ ดิ เดี๋ยวถ้าพวกสาวๆรู้ คงตามกันไปกรี๊ดเอ็งเหมือนเดิม ว่าแล้วหมั่นไส้เอ็งหว่ะ ขอซักหน่อยเหอะวะ ” โอ พูดแล้วก็เอามือมาขยึ้หัวผมแรงๆ พลางหยิกแก้มผม แล้วก็วิ่งออกไปคุยกับเพื่อนๆ ที่จับกลุ่มกันอยู่บริเวณหน้าห้อง
ผมตัดสินใจได้แล้วว่า ผมจะร้องเพลงอะไร ในคอนเสริทวาเลนไทน์ ที่ทางสถาบันจะจัดขึ้น ซึ่งมีคอนเสปว่า ... เพลงรัก ... มันคงจะไม่ผิดอะไร ถ้าผมจะตีความหมายของเพลงนั้นในแบบที่ผมคิด แล้วตอนเย็นเมื่อโรงเรียนเลิก ผมก็นั่งรถประจำทางไปสถาบัน เพื่อปรึกษากับอาจารย์ผู้สอน หลังจากที่ผมอธิบายถึงความคิดของผม อาจารย์ก็เห็นด้วย แล้วผมก็ฝึกซ้อมอยู่กับอาจารย์ จนเพลงเข้าที่ คืนนั้นผมก็โทรศัพท์บอกเพื่อนในวงบางคนที่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อนจะได้เตรียมตัวซ้อมก่อนจะมารวมวงกันในตอนเช้าวันเสาร์
....................................................................................
.................................
http://media.imeem.com/m/1XqglR_-bk/aus=false/เสียงดนตรีบรรเลงจนถึงท่อนทึ่ควรจะเป็นเนื้อเพลง แต่ ตั้ม ยังคงนิ่งเงียบ ทำให้เพื่อนๆในวงเริ่มมองหน้ากัน ก่อนที่จะตกลงใจทำอะไร ตั้ม ก็ส่งสัญญาณมือบอกว่าให้เล่นกันต่อ
“ผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ คงมีคนที่สำคัญอยู่ในใจกันทุกคน” ตั้ม เริ่มพูดพลางมองไปรอบๆ นักดนตรีบางคนเริ่มผิวปากเป็นทำนองเพลงไปเบาๆ ขณะที่ ตั้ม พูด
“คนคนนั้นอาจจะเป็น คนรัก คนในครอบครัว หรือเป็นเพื่อนของคุณ” ตั้มพูดพลางหันไปมองยังกลุ่มเพื่อนนิ่ง
“ผมไม่รู้ว่าใครจะมีความรู้สึก หรือคิดอย่างไรกับคนที่อยู่ในใจของคุณ แต่สำหรับคนที่อยู่ในใจผม ผมคงรู้สึกไม่ต่างจากเพลงนี้นัก” ตั้ม ยิ้มกว้างให้เพื่อนๆด้านล่างเวที แล้วก็เริ่มร้องเพลงขึ้นมา
You know I can't smile without you
I can't smile without you
I can't laugh and I can't sing
I'm finding it hard to do anything
You see I feel sad when you're sad
I feel glad when you're glad
If you only knew what I'm going through
I just can't smile without youตั้ม ร้องเพลงพลางมองไปยังคนดูรอบๆ แววตาและรอยยิ้มรวมทั้งเสียงของ ตั้ม ดูสดใส ร่าเริง ผิดกับเสียงเพลงต้นฉบับที่มีแต่ความอ่อนหวานของชายหนุ่มที่มีให้คนรัก บางครั้ง ตั้ม ก็หันไปยิ้มกับเพื่อนๆในวง
You came along just like a song
And brightened my day
Who would have believed that you were part of a dream
Now it all seems light years awayแล้วจู่ๆ ตั้ม ก็หยุดมองไปยังคนสองคนที่เพิ่งจะเดินมาถึงบริเวณนั้นแน่วนิ่ง ดวงตาเป็นประกายมากขึ้น เหมือนกับดีใจมากที่ได้เห็นคนทั้งสอง ตั้ม ร้องเพลง พลางผายมือไปยังคนทั้งสอง และเสียงเพลงของ ตั้ม เหมือนจะยิ่งเปี่ยมไปด้วยความสดใส
And now you know I can't smile without you
I can't smile without you
I can't laugh and I can't sing
I'm finding it hard to do anything
You see I feel sad when you're sad
I feel glad when you're glad
If you only knew what I'm going through
I just can't smile
Now some people say happiness takes so very long to find
Well, I'm finding it hard leaving your love behind me
And you see I can't smile without you
I can't smile without you
I can't laugh and I can't sing
I'm finding it hard to do anything
You see I feel glad when you're glad
I feel sad when you're sad
If you only knew what I'm going through
I just can't smile without youท่อนสุดท้ายของเพลง ตั้ม หันหน้าไปยังเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านล่างเวที พลางยิ้มกว้างให้ทุกคนด้วยความสดใส ตั้ม มองไปที่หน้าของเพื่อนทีละคน และไปหยุดที่ ปอ
... เพลงนี้เพื่อพวกนายนะ เพื่อนของเรา และ ปอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายนายทำให้เรายิ้มได้เสมอ ...
....................................................................................
..................................
“ไปหามันที่หลังเวทีดีมั๊ยวะ” เด็กหนุ่มรูปร่างสูง ผมทรงรองทรงสูง หันไปถามคนข้างๆ
“รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวจะคลาดกันเปล่าๆ” เด็กหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกันที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอบ
“งั้นมาพนันกันมั๊ยวะ” เด็กหนุ่มผมทรงรองทรงสูง ถาม
“เรื่องอะไร” เด็กหนุ่มอีกคน ถาม ดวงตาที่อยู่ใต้กรอบแว่น เป็นประกาย
“พนันกันว่า มันจะออกมาแล้วเดินไปหาเพื่อนๆมันก่อน หรือเดินมาหาพวกเราก่อน” เด็กหนุ่มผมรองทรงสูง พูด “ใครแพ้มื้อนี่จ่าย”
“เอางั้นเหรอ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทอแววขำขัน “งั้นให้นายทายก่อน”
“กูว่า มันต้องมาหาพวกเราก่อน” เด็กหนุ่มผมรองทรงสูง พูดพลางยิ้มเหมือนตัวเองชนะแน่ๆ
“หึ หึ” เด็กหนุ่มอีกคนหัวเราะเบาๆ “งั้นเราก็ต้องทายว่า ตั้ม จะไปหาเพื่อนๆก่อนน่ะสิ”
“ เออ คราวนึ้มึงแพ้แน่” เด็กหนุ่มผมรองทรงสูง พูดอย่างมั่นใจ
แต่รอยยิ้มอย่างเชื่อมั่นในอะไรสักอย่าง ของเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง เริ่มทำให้เขารู้สึกว่า เขาอาจจะแพ้อีกครั้งก็ได้
. ....................................................................................
.................................
ขณะพวกเรายืนอยู่ที่เดิม กำลังตกลงกันว่าจะไปไหนกันต่อดี ผมก็เหลือบไปเห็น ตั้ม วิ่งมาจากด้านเวทีแสดงคอนเสริท ซึ่งขณะนี้มีวงดนตรีวงอื่น ของสถาบัน ขึ้นไปแสดงต่อจางวงของ ตั้ม
“ว่างายพวกเรา” ตั้ม ทักทาย พลางหันไปยิ้มให้พวกสาวๆ “ไม่เจอกันนานเลยนิ”
“เฮ๊ย ตั้ม เดี๋ยวไปด้วยกันดิ หาขนมกินกัน” ดม ชวน
“ตั้ม เพลงเมื่อกี้ร้องให้ใครเอ่ย” สาวแว่นถามยิ้มๆ ก่อนที่ ตั้ม จะตอบอะไร
“ก็ร้องให้เพื่อนๆเรานี่ไงล่ะ” ตั้ม ยิ้มกว้าง “ทุกวันนี้เรายิ้มได้ก็เพราะมีเพื่อนๆนี่แหละ”
“แหมๆ แน่ใจเหรอว่ามีแต่เพื่อนน่ะ” สาวผมหยิกถามยิ้มๆ “เมื่อไหร่จะมีแฟนล่ะ”
“สงสัยคงอีกนาน แฟนเราคงยังไม่เกิดมั๊ง” ตั้ม ตอบยิ้มๆ แต่ประกายในดวงตาเหมือนจางลง
“งั้นคนพิเศษล่ะวะ” โอ ถามบ้าง
“คนพิเศษเหรอ” ตั้ม ยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง “ นั่นไง” ตั้ม หันหน้าพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่ม ๒ คน ที่ยืนห่างออกไปพอสมควร ทุกคนก็เลยหันไปมองตาม
เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทั้ง ๒ คน โบกมือให้ ตั้ม คนหนึ่งไว้ผมรองทรงสูง อีกคนหนึ่งผมยาวประบ่า ใส่แว่นสายตา ผิวค่อนข้างขาวตามเชื้อสายจีนที่มีอยู่ในตัว หน้าตาจัดว่าดีทั้งคู่
“ใครอะ ตั้ม หล่อทั้งคู่เลย” สาวหนึ่งถามอย่างตื่นเต้น
“คนพิเศษไง” ตั้ม หัวเราะ “เราคงไปต่อด้วยไม่ได้แล้วหล่ะ เราขอโทษนะ” ตั้ม พูดกับเพื่อนๆ
“เออ มึงรีบไปเหอะ พวกนั้นรอนานแล้ว” ผม พูดแล้วยิ้มให้
“ปอ ไปด้วยกันสิ” ตั้ม พูดชวนผม
“ไว้วันหลังเหอะ บอกมันด้วย ว่าเราคิดถึง แล้วก็ขอบใจมันเรื่องเก่าๆด้วย” ผม บอกปฏิเสธไป
“งั้นเราไปก่อนนะ เจอกันที่โรงเรียน บายทุกคน” ตั้ม โบกมือให้พวกผม แล้ววิ่งตรงไปหาคนทั้งสอง
พอ ตั้ม ไปถึงก็กระโดดกอดเด็กหนุ่มที่ใส่แว่นตา พูดอะไรกับทั้งสองคนอยู่สักครู่ ก็หันไปกอดเด็กหนุ่มผมรองทรงสูง คุยกันอีกสักพัก ทั้งสองคนก็จูงมือ ตั้ม คนละข้าง คนใส่แว่นหันมาโบกมือให้ผม ผมก็โบกมือตอบกลับไป
“ปอ รู้จักสองคนนั้นด้วยเหรอ” สาวๆถามผม
“อื้อ พวกนี้ก็รู้จัก” ผมพยักหน้าไปทางพวก เชียร และ นึง
“ใครอะ ท่าทางสนิทกับ ตั้ม น่าดูเลย”
“พี่ชายมัน” ผมตอบยิ้มๆ
“เหรอ มิน่าถึงไม่มีแฟนซะที” สาวๆพูดพลางหัวเราะ
“นั่นดิ รักป๊ะป๋าขนาดนั้น แล้วยังมีพี่ชายเท่ห์ๆแบบนี้นะ เป็นเราก็ไม่มองใครทั้งนั้นแหละ” สาวผมหยิกหยุดพูดนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อ “แล้วถ้าเรามีน้องแบบนี้ เราก็รักตายเหมือนกันแหละ” แล้วเธอก็หัวเราะร่วน ท่ามกลางเสียงแสดงความเห็นด้วยของเพื่อนๆของเธอ