จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จะขอเก็บไว้ในความทรงจำ  (อ่าน 136371 ครั้ง)

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
ตอนพิเศษ ๑ คืนเลี้ยงอำลา

ผ่านไปนานพอสมควร ตั้ม ยังนอนไม่หลับเพราะความแปลกที่

ตั้ม เลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงต้นคอ เพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศ พลางขยับตัวจากท่านอนหงาย เป็นท่านอนตะแคงหันหน้าไปทางผนังห้อง แล้วขยับตัวเอาหน้าผากไปแตะกับผนังห้องตามความเคยชิน สักพักก็มีเสียงเหมือนมีคนลุกจากที่นอน คนคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ๆกลุ่มเพื่อนที่นอนอยู่บนพื้น แล้วสะกิด วัฒน์ ที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้น ทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆ จากนั้น วัฒน์ ก็เดินไปนอนลงที่เตียง ส่วนคนคนนั้นนอนลงแทนที่ วัฒน์ แล้วขยับตัวมานอนบนหมอนใบเดียวกันกับ ตั้ม  คนนั้นซุกตัวเข้ามาในผ้าห่ม พลางเอาแขนข้างหนึ่งโอบกอด จากทางด้านหลัง เอามือมาจับมือ ตั้ม ไว้ ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้ศรีษะ แล้วโอบกอดลำคอ
“วัฒน์ ทำอะไรอ๊ะ” ตั้ม พูดเบาๆอย่างตกใจ เพราะคิดว่า วัฒน์ ไม่น่าที่จะทำอะไรแบบนี้
“ตั้ม” เสียงที่เรียกชื่อ ทำเอา ตั้ม แทบหยุดหายใจ

 ... นึก ...

เมื่อเห็น ตั้ม เงียบไป นึก จึงใช้แขนที่โอบเอวอยู่รั้งตัว ตั้ม เข้าหา จนแผ่นหลังแนบติดกับแผ่นอก เปลี่ยนเอามือที่จับไว้ ไปไว้ในมือที่โอบคออยู่ มือที่โอบเอวเลื่อนมาจับที่แก้ม สักพักนิ้วโป้งบนแก้มของ ตั้ม ก็เริ่มขยับลูบวนไปมา แล้วเลื่อนมาลูบวนที่ริมฝีปาก ใบหน้าของ นึก ที่ซุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ ตั้ม รู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆที่เป่ารด ตัวของ ตั้ม เริ่มสั่นเทา ลมหายใจเริ่มติดขัด
“ไม่ต้องกลัวนะ ตั้ม เราไม่ทำอะไรหรอก แต่เราขออยู่แบบนี้จนเช้าได้มั๊ย” นึก กระซิบเบาๆที่หู
ตั้ม ไม่ได้ตอบ ได้แต่บีบมือของ นึก ที่กุมมือตัวเองอยู่อย่างแผ่วเบา

“ตั้ม” นึก เรียกเบาๆอีกครั้ง หลังจากที่โอบกอดอยู่นาน
“หือ” ตั้ม ตอบเบาๆในลำคอ
“ขึ้นไปดูดาวกันนะ” นึกชวน “ขึ้นไปห้องโถงชั้นบนกัน” นึกหมายถึงห้องโถงกว้างบนชั้น ๕ ของตึกแถวที่เป็นบ้าน นึก สถานที่ที่ี่พวกเราจัดปาร์ตี้เล็กๆกันเมื่อตอนเย็น
“...........................”
“นะ ตั้ม ไปดูดาวแล้วนั่งคุยกัน” นึก บอกอีกครั้ง
เมื่อ ตั้ม ไม่ตอบ นึกก็คลายมือจากอ้อมกอด ดึงตัว ตั้ม ให้ลุกขึ้นยืน มือหนึ่งถือผ้าห่ม อีกมือจูงมือ ตั้ม ให้เดินตาม แล้วเปิดประตูออกจากห้องไป

พอมาถึงชั้น ๕ นึกเปิดไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเลื่อนโซฟาตัวยาวให้ไปใกล้ๆหน้าต่าง พลางกวักมือเรียก ตั้ม ให้เข้าไปหา
“มานั่งดูดาวกันตรงนี้ดีกว่านะ อย่าออกไปข้างนอกเลย ดึกๆมันอันตราย” แล้ว นึก ก็นั่งลงบนโซฟา หันหน้าไปมอง ตั้ม
ตั้ม จึงเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟา ห่างจาก นึก พอสมควร นึก จึงขยับตัวเข้ามาไป แล้วเอามือมาโอบไหล่ ตั้ม ไว้ เอื้อมมืออีกข้างมาจับมือ ตั้ม บีบเบาๆ ตั้ม ก็ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง

“ตั้ม” นึก เริ่มพูด หลังจากที่เรานิ่งเงียบกันไปสักพักหนึ่ง “บ้านเราน่ะมีเชื้อจีน เราเป็นลูกชายคนโต แล้วเรา....เรา” นึกเริ่มตะกุกตะกัก แล้วก็นิ่งเงียบไป
“คนจีนน่ะ ลูกชายคนโตต้องแต่งงาน สืบสกุล” ตั้ม พูดหลังจากที่รอประโยคต่อมาของ นึก อยู่พักใหญ่ พลางเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง “ดาวไม่มีเลยนะ ไฟในเมืองกลบหมดเลย”
“อื้อ” นึก รับคำแต่ไม่รู้ว่าตอบรับเรื่องไหน แล้วหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างบ้าง พลางเอามือลูบแขน ตั้ม
“ตั้ม” นึกเรียกอีก หลังจากเงียบไปสักครู่ “ตั้ม รักเรามั๊ย” นึกถามพลางเอาศรีษะไปอิงกับศรีษะ ตั้ม
“...............” ตั้ม ไม่ตอบ
“ตั้ม รักเราบ้างมั๊ย” นึกถามอีก
“นึกล่ะ” ตั้ม ไม่ตอบแต่ถามกลับเบาๆ
“เรา...” นึก อ้ำอึ้ง ต่างคนต่างเงียบไปนาน
“นึก” ตั้ม เรียกบ้าง
“หือ” นึก รับคำเบาๆ
“ลำบากใจก็ไม่ต้องตอบหรอก แต่เราขออะไรอย่างนึงนะ” ตั้ม พูดพลางขยับตัวออกห่าง นึก จึงคลายวงแขนที่โอบรอบคอออกมา เหลือแต่อีกมือหนึ่ง ที่ยังจับแขน ตั้ม อยู่ไม่ยอมปล่อย
“หลังจากคืนนี้ นึก อย่าทำแบบนี้อีก ได้มั๊ย” ตั้ม บอกพลางยิ้มเศร้าๆ “นะ นึก ให้มันจบแค่คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ เราเป็นเพื่อนกัน”
“แต่ ตั้ม ยังไม่ตอบเราเลยนะว่า...” นึก ยังต้องการคำตอบ
“เก็บมันไว้ดีกว่านะ” ตั้ม พูดแทรกขึ้นมา “เท่าที่ผ่านมา เราคิดว่า นึก รู้ว่าเรารู้สึกยังไง เราไม่เคยโกหกตัวเอง เราไม่เคยทำอะไรตรงข้ามกับที่ใจเราคิด เราคิดยังไง เราก็ทำอย่างนั้น เราปิดบังความรู้สึกตัวเองไม่เป็น แต่ถ้าให้เราพูดมันออกมา มันอาจทำให้ นึก ลำบากใจยิ่งกว่านี้ พวกเราเก็บมันไว้ในใจดีกว่านะ” ตั้ม ตอบช้าๆอย่างชัดถ้อยชัดคำ

นึกมองหน้า ตั้ม นิ่ง มองเห็นน้ำตาที่เริ่มก่อตัวอยู่ในดวงตาของ ตั้ม ค่อยๆไหลลงมาตามแก้ม นึก ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ ลูบแก้ม ตั้ม เบาๆพลางขยับใบหน้าเข้าไปหาใบหน้าของ ตั้ม อย่างช้าๆ  แต่ ตั้ม ก็ลุกจากโซฟา หยิบผ้าห่มข้างตัวมาถือไว้ พลางหันตัวเดินช้าๆลงบันได กลับไปยังห้องนอน

นึก ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ เดินกลับลงมา ตั้งใจจะขอแค่นอนกอด ตั้ม เหมือนเมื่อตอนก่อนจะออกจากห้องไป แต่ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะวัฒน์ กลับลงมานอนอยู่ที่ตรงนั้น เขาไม่กล้าเรียก วัฒน์ อีกเป็นครั้งที่สอง จึงกลับไปล้มตัวนอนลงบนเตียงเช่นเดิม
..................................................................
.............................
“ศิลปี ไม่เป็นอะไรนะ” วัฒน์ ถาม ตั้ม ขณะที่รอรถประจำทางเพื่อกลับบ้านในตอนสายๆ
“เรื่องอะไรเหรอ” ตั้ม ถามเบาๆ
“ก็เรื่อง เอ้อ... เรื่อง” วัฒน์ หันไปมองหน้า หมู ซึ่งทำหน้าลำบากใจเหมือนกัน
“ถ้าเรื่องเมื่อคืน ก็อย่างที่เพื่อนๆได้ยินน่ะแหละ มันจบไปแล้ว” ตั้ม บอกพลางยิ้มเจื่อนๆ
“รู้เหรอ ว่าพวกเราตามขึ้นไปน่ะ” หมู พูดอย่างตกใจ
“ทีแรกไม่แน่ใจ ตอนนี้รู้แน่แล้ว” ตั้ม ตอบ
“พวกเราเป็นห่วงน่ะ กลัวว่า ... กลัวว่า เอ้อ...” วัฒน์ ตะกุกตะกัก เพราะไม่รู้ว่าพูดไปแล้ว ตั้ม จะเข้าใจหรือเปล่า
“เรารู้ว่าเป็นห่วง ขอบใจนะ” ตั้ม ยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยน
“แล้วรู้ได้ไงอะ ว่าพวกเราตามขึ้นไป” หมู ถามด้วยความสงสัย “เราว่าไม่มีเสียงแล้วนะ”
“เราน่ะ นักดนตรีนะ ประสาทหูไว แล้วกลางคืนมันเงียบจะตาย พวกนายตั้ง ๔ คน เราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยก็แย่แล้ว” ตั้ม หัวเราะน้อยๆ “โดยเฉพาะที่รีบวิ่งกลับเข้าห้อง ตอนเราลงบันไดน่ะ เราว่าได้ยินกันทั้งบ้านแหละ ที่สำคัญนะ” ตั้ม หยุดพูดแล้วจ้องหน้า วัฒน์ “ก่อนเราออกจากห้องน่ะ วัฒน์ นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่เหรอ กลับลงมานอนที่เดิมตั้งกะตอนไหนอะ”
พูดจบ ตั้ม กับ หมู ก็หันไปหัวเราะให้กัน ส่วน วัฒน์ ได้แต่หน้าแดง อมยิ้ม พลางมองดูทั้งสองคนอย่างอ่อนโยน

“ถ้าพวกเราไม่ตามขึ้นไป ศิลปี จะทำแบบนั้นหรือเปล่า” หมู ถามพลางยิ้มกวนๆ ทำเอา วัฒน์ มองอย่างตกใจ
“อื้อ ต่อให้เวลาย้อนกลับไปตอนนั้นอีกกี่ครั้ง ต่อให้พวกนายไม่ได้ตามไป เราก็จะทำแบบนั้น ให้มันเป็นแค่ความทรงจำของความรู้สึกที่อยู่ในใจ ก็พอแล้ว” ตั้ม ตอบพลางเปลี่ยนสายตามองกลับไปทางบ้าน นึก แล้วหันกลับมาทางเพื่อนทั้งสอง พลางยิ้มให้

“พัฟ น่ะอยู่ตัวเดียวดีกว่า ” ตั้ม พูดออกมาลอยๆ ทำให้ วัฒน์ และ หมู มองหน้ากันด้วยความงุนงง


salapaw

  • บุคคลทั่วไป
 :m4: :m15: เก็บความทรงจำนี้ไว้ให้นานๆๆนะคะ

ยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า


ปล.ขอโทษที่ถาม  ตอนนี้พี่ตั้มอายุเท่าไรคะ  o13

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
 :เฮ้อ:โล่งอก ดีแล้วล่ะตั้ม ปอจะได้เป็นพระเอก อิอิ :m4:
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ :m1:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗๑ หนึ่งปีทีที่ผ่านไป

ที่วิทยาลัยแห่งนี้ในช่วงการเรียนคอร์สปรับพื้นฐาน ผมรู้สึกเหนื่อยมาก เพราะผมต้องใช้เวลาในการเดินทาง ไป-กลับ ร่วม ๕ หรือ ๖ ชั่วโมง และยังต้องใช้เวลาในการท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ อีกมากมาย จนผมปวดหัวทุกวัน
เมือถึงวันประกาศผลสอบเอนทรานซ์ ผมก็ไม่ได้ไปดูผล เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรผมก็คงสอบไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นอันดับใดก็ตาม แต่ผมก็โทรถามผลสอบของเพื่อนบางคน

ราญ สอบใหม่ - ทันตแพทย์
เต่า สิทธิ์ - แพทย์ศาสตร์
วัฒน์ - นิติศาสตร์
ชัย ศักดิ์ สมชาย หมู - เศรษฐศาสตร์
ธง - ศิลปกรรมศาสตร์
ตุ่ม นึก โอ ดม เชียร นึง ตี๋ ปุง พล นัส  ไมค์ รวมทั้ง ปอ และเพื่อนหลายๆคน ไม่ติดคณะที่เลือกไว้ หลายคนเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ บางคนก็สอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน บางคนก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ และมีบางคนตัดสินใจกลับไปช่วยงานที่บ้านที่อยู่ต่างจังหวัด โดยไม่คิดจะเรียนต่อ

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ติดต่อกับใครอีกเลย เพราะมัวแต่ยุ่งกับการเรียน จนกระทั่งเปิดภาคเรียน ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสภาพหลายๆอย่าง ของวิทยาลัยแห่งนี้ มาตั้งแต่ช่วงเรียนคอร์สปรับพื้นฐาน พูดง่ายๆคือผมปรับตัวไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อน ที่เปลี่ยนกลุ่มใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนวิชาเรียน ระบบการเรียนการสอน ที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด รวมถึงสภาพแออัด เนื่องจากนักศึกษาจำนวนมาก ในพื้นที่ค่อนข้างแคบของวิทยาลัย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวบ่อยๆ เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางคนมากมาย และปัญหาจากเสียงที่ค่อนข้างอึกทึกตามบริเวณต่างๆ ของวิทยาลัย ผลการสอบกลางภาคผมแย่มาก ผมจึงตัดสินใจที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่ แน่นอนผมจะต้องปรึกษากับทางบ้านก่อน คนแรกที่ผมต้องบอกให้รู้ และขออนุญาต ก็คือ พ่อ

“ตามใจสิลูก ไม่ไหวก็อย่าไปฝืนมัน ดีกว่าเรียนแล้วไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวจะพาลไม่จบเอา” พ่อพูดยิ้มๆ “อยากเข้าที่ไหนล่ะลูก”
“ตอนแรก ตั้มว่าจะเรียนดนตรี แต่ไม่มีที่ไหนมีเอกออร์แกนเลย ส่วนเอกเปียนโน ก็มีคนสอบกันเยอะ” ผมค่อยๆอธิบาย “ตั้ม เลยจะเรียนเกี่ยวกับ วรรณคดีไทย”
“ทำไมไม่เรียนพวก ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ ล่ะลูก มันน่าจะไปได้ดีกว่านะ” พ่อถาม
“ตั้ม ไม่ชอบอะพ่อ ตั้ม ชอบวรรณคดีไทยมากกว่า ตอนเรียนมัธยม ตั้ม ก็ทำได้ดีมากกว่าภาษาอังกฤษ” ผมให้เหตุผลตามที่ตัวเองรู้สึก
“นั่นสินะ พ่อก็ว่าอย่างนั้นแหละ ตั้งใจแล้วก็ทำให้ดีนะลูก” พ่อบอกผมที่นั่งอยู่บนพื้น ห่างออกมาจากเก้าอี้ที่พ่อนั่งอยู่
“อีกเรื่องค๊าบพ่อ” ผมหยุดพูดไปนิดหนึ่ง พลางมองหน้าพ่ออย่างเกรงใจ “ตั้ม อยากหยุดเรียนที่วิทยาลัยไปเลย เอาเวลามาทบทวนตำรา กับซ้อมดนตรีเพิ่ม ตอนนี้ที่สถาบันอยากได้คนช่วยงาน ตั้ม อยากไปช่วยงานซัก ๒-๓ เดือน ได้มั๊ยค๊าบ”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอลูก” พ่อหัวเราะ “เรื่องหยุดเรียนพ่อก็ว่าดี เพราะเรียนไปแล้วคะแนนไม่ดีขึ้น ก็เอาเวลามาท่องหนังสือเตรียมสอบดีกว่า เรื่องค่าหน่วยกิจน่ะ ช่างมันเถอะไม่ต้องไปเสียดายมัน ถือซะว่าเป็นค่าประสบการณ์ ให้เรารู้จักโลก รู้จักตัวเองมากขึ้น แต่พ่อไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องที่จะไปช่วยงานที่สถาบัน”
“ก็ถ้าเอาแต่ท่องหนังสือ มันน่าเบื่ออะค๊าบ ตั้ม เลยอยากไปช่วยที่สถาบัน หายเบื่อด้วย ได้ความรู้ด้วย” ผมอ้อมแอ้มบอกไป
“จะไปหาเพื่อนว่างั้นเถอะ” พ่อดักคอ ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ “เอาสิลูก ท่องหนังสืออยู่กับบ้านอย่างเดียว เหงาแย่ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ ก็ทำไป พ่อไม่ว่าอะไรหรอก อย่าเกเรแล้วกัน”
“ตั้ม ไม่เกเรหรอก ตั้ม จะตั้งใจเรียนค๊าบ แล้ว ตั้ม จะเอาให้ได้เกียรตินิยมเหมือนพี่สาวด้วย” ผมบอกพ่อเหมือนเป็นการให้สัญญา “เดี๋ยว ตั้ม ไปบอกแม่ก่อนนะค๊าบ”
......................................................................
...............................
ปฏิกิริยาจากแม่ก็คือการนิ่งเงียบ เหมือนเมื่อตอนที่ผมเคยขออนุญาตเล่นละครของโรงเรียน ผมจึงต้องเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวของผมไป

วันรุ่งขึ้นผมก็เริ่มหยุดการเรียนในวิทยาลัย อีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อถึงวันที่แม่ต้องให้เงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนกับผม ผมก็รู้คำตอบ นอกจากค่าใช้จ่ายประจำเดือนและค่าเรียนดนตรีแล้ว  ยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาด้วย
“แม่ค๊าบ แม่หยิบตังส์ให้ ตั้ม ผิดอะค๊าบ มันเกินมา” ผมบอกจำนวนเงินที่เกินกับแม่
“ต้องซื้อหนังสือแบบฝึกหัดมาทำไม่ใช่เหรอไง” แม่ตอบ
“ขอบคุณค๊าบ” ผมตอบหลังจากนิ่งไปสักครู่ แล้วจึงไหว้ขอบคุณแม่ พลางเอามือเช็ดน้ำตาที่เรี่มปริ่มออกมา
“แบ่งเวลาให้ดีล่ะ แล้วต้องสอบให้ได้ อย่าให้ชั้นขายหน้า” แม่พูดเหมือนไม่สนใจอะไร แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ที่ได้รับรู้ว่า แม่ยังห่วงใยผมอยู่
“แม่ค๊าบ” ผมตัดสินใจสักพัก แล้วพูดออกไป “ถ้า ป๊ะป๋า ยังอยู่ ป๊ะป๋าจะว่าอะไรมั๊ยค๊าบที่ ตั้ม ทำแบบนี้” พูดไปแล้วผมก็รู้สึกกลัว จนแทบหยุดหายใจ
...แม่จะตอบไหม
...แม่จะบอกอะไรผมมากกว่าคำตอบรึเปล่า

แม่หันมามองหน้าผมนิ่ง จนผมต้องก้มหน้า
“คนก็ไม่อยู่แล้ว แกจะพูดถึงทำไม” แม่พูดเบาๆ
“ก็ ตั้ม ตั้ม....” พูดได้แค่นั้นน้ำตาของผมก็เริ่มไหล “ตั้ม คิดถึง ป๊ะป๋า” ผมพูดแล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตา
“เฮ้อ...” แม่ถอนหายใจ “ถ้าแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ป๊ะป๋า ของแกก็คงดีใจ” แม่พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตั้ม ต้องสอบได้สิแม่ ตั้ม สัญญา” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
......................................................................
...............................
ช่วง ๓ เดือนแรก ผมไปสถาบันเกือบทุกวัน อาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่สถาบัน ให้ความเอ็นดูผมมาก มักจะนำโน้ตเพลงแปลกๆ มาให้ลองฝึกซ้อมเสมอ บางครั้งหากมีการสัมมนา อาจารย์จะเรียกผมให้ไปช่วยงานต่างๆในห้องสัมมนาด้วย เช่นเปิดเพลง เปลี่ยนเทปคลาสเซท หรือแม้กระทั่งเล่นออร์แกนไฟฟ้า ตามที่อาจารย์เขียนบนกระดาน ประกอบการอธิบายของท่าน ซึ่งทำให้ผมได้ประโยชน์ทางดนตรีมากมาย ยังมีอาจารย์อีกหลายท่าน ที่เดินผ่านมาเห็นผมซ้อมดนตรีอย่างจริงจัง มักจะเข้ามาให้คำแนะนำกับผมเสมอๆ ทำให้ทักษะทางดนตรีของผมในตอนนั้น พัฒนาอย่างรวดเร็วมาก

๓ เดือนผ่านไป ผมเริ่มไปสถาบันน้อยลง และ ๓ เดือนสุดท้ายก่อนการสอบ ผมหยุดไปที่สถาบัน รวมทั้งพักการเรียนดนตรีที่สถาบันเอาไว้ด้วย จนกระทั่งการสอบเสร็จสิ้น เมื่อไปที่สถาบันเพื่อนๆพากันเอะอะโวยวาย ถามโน่นถามนี่ พวกเราคุยกันด้วยความคิดถึง แล้วก็พากันซ้อมเพลงจนปวดมือ และเสียงแหบแห้งกันไปตามๆกัน

เมื่อถึงวันประกาศผล ถึงผมจะสอบไม่ติดในอันดับต้นๆที่ผมเลือกไว้ แต่อันดับที่ผมสอบได้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว เป็นสถาบันเดียวกับที่พี่สาวผมจบมาเสียด้วย และยังเป็นวิทยาเขตเดียวกันอีก เมื่อผมบอกกับทางบ้าน ทุกคนต่างก็ดีใจกัน แต่ก็มีเสียงบ่นอยู่บ้าง
“เลือกทำไมเนี่ย ภาษาและวรรณคดีไทย ทำไมไม่เลือก ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ” พี่สาวผมบ่น
“เอาน่า ไหนๆก็ได้แล้ว ตั้งใจเรียนนะ” พี่ชายผมพูดปลอบ เมื่อเห็นผมหน้าสลด
“เป็นรุ่นน้องพี่สาวเค้าแล้วนะลูก” คำพูดของพ่อ ทำให้พวกเราหัวเราะกันได้
......................................................................
...............................
“สอบได้แล้วก็ตั้งใจเรียนล่ะ” เป็นคำพูดสั้นๆของแม่ผม

แม่นั่งอยู่บนโซฟา ลูบคลำของบางอย่างอยู่ในมือ
“เอามือมานี่สิ”ผมขยับตัวไปใกล้ๆ พลางยื่นมือขวาให้แม่
“มือซ้ายสิลูก” แม่บอกเสียงอ่อนโยนขึ้น ผมจึงเปลี่ยนเป็นยื่นมือซ้ายให้แม่ด้วยความงุนงง

แม่บรรจงสวมแหวนที่แม่ลูบคลำอยู่เมื่อสักครู่ ลงไปที่นิ้วนางของผมอย่างช้าๆ แหวนทองขาว ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กๆหลายเม็ด เรียงเป็นแถว ๔ แถว ผมมองแหวนวงนั้นด้วยความตกตะลึง ตั้งแต่ผมเห็นมันอย่างชัดเจน เพราะผมจำได้ติดตาว่าแหวนวงนี้ เป็นแหวนที่คนคนหนึ่งสวมไว้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่

“พอดีเลยนะ แม่ไปตัดเรือนมา เพราะนิ้วเรามันเล็ก ชอบมั๊ย” แม่พูดพลางมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน แบบที่ผมไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
“แม่ แหวนวงนี้มัน...” ผมพูดไม่ออก น้ำตาเริ่มไหล ผมรีบเอามือป้ายน้ำตา พลางมองแหวนที่สวมอยู่ “แหวนของ ป๊ะป๋า ใช่มั๊ยแม่ ตั้ม จำได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“ป๊ะป๋า บอกว่าให้เก็บไว้ให้ลูก เมื่อลูกโตพอจะรักษามันได้แล้ว ตั้ม รักษาสัญญาเรื่องสอบกับแม่ได้ แม่ก็คิดว่าลูกคงจะรักษาแหวนวงนี้ได้” แม่พูดช้าๆ “รักษามันไว้ให้ดีนะลูก ถ้าจะให้ใคร ต้องให้กับคนที่ ตั้ม รักที่สุดนะลูกนะ”

คำถามบางอย่าง ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมเกือบจะถามออกไป แต่ภาพของครอบครัวตอนนี้ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง กำลังดำเนินไปในทางที่สงบ ทำไมผมต้องทำให้มันขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้ง  ถ้ามันจะเจ็บปวด ผมก็ขอเก็บไว้เพียงคนเดียวจะดีกว่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2008 21:33:30 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
:m4: :m15: เก็บความทรงจำนี้ไว้ให้นานๆๆนะคะ

ยังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า


ปล.ขอโทษที่ถาม  ตอนนี้พี่ตั้มอายุเท่าไรคะ  o13
หมายถึง ตั้ม กับ นึก ใช่ไหมครับ ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ  o18

ส่วนอายุ
... ห้ามถามอายุกับน้ำหนักผู้หญิง  :laugh3:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗๒ ย้ายวิทยาเขต

ผมกลายมาเป็นนักศึกษาปีที่ ๑  คณะมนุษยศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัย วิทยาเขตที่อยู่ติดกับ มหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดของประเทศ เนื่องจากเป็นวิทยาเขตเล็กๆ จึงมีจำนวนนักศึกษาไม่มากนัก ชีวิตช่วงนี้ของผมมีความสุขดี ผมสนิทสนมกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว จากการที่ผมผ่านการเรียนบางวิชามาแล้วในช่วงที่เรียนในวิทยาลัยเอกชนเมื่อปีก่อน ทำให้ผลการสอบวิชาภาษาอังกฤษ และวิชาวิชาคณิตศาสตร์ ของผม ได้คะแนนดีมาก โดยเฉพาะวิชาวิชาคณิตศาสตร์ ผมทำคะแนนได้เกินกว่า ๙๐% ในขณะที่เพื่อนๆในชั้นปี ทำคะแนนกันได้เพียง ๔๐%-๗๐% เท่านั้น ก็เลยโดนเขม่นไปพักหนึ่ง แต่ไม่นานเราก็สนิทกันเหมือนเดิม โดยผมยังคงทำหน้าที่ติวเพื่อนๆเหมือนสมัยที่เรียนชั้นมัธยม นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว ยังมีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นกับผมอีกมากมาย

จนภาคเรียนที่สองมาถึง หลังจากการสอบกลางภาคผ่านไป ก็มีการสอบวัดคะแนนเพื่อเลือกวิชาโท ของภาควิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งผมก็ต้องสอบด้วย ถึงแม้ว่าผมคิดไว้แล้วว่าผมจะเรียนวิชาโทสาขาวิชาอื่นก็ตาม เมื่อผลการสอบออกมา ก็มีประกาศจากทางมหาวิทยาลัยเรียกตัวผมไปพบหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษ ท่านพยายามพูดให้ผมย้ายวิชาเอก จากภาษาไทย เป็น ภาษาอังกฤษ แต่ต้องย้ายคณะ จากคณะมนุษยศาสตร์ เป็นคณะศึกษาศาสตร์ เพราะการย้ายวิชาเอกในคณะเดียวกันนั้นไม่สามารถทำได้ ผมเรียนท่านว่า ผมขอปรึกษากับทางบ้านก่อน แน่นอน ผมไม่ต้องการแบบนั้นเลย ไม่อย่างนั้นผมคงเรียนต่อในวิทยาลัยเอกชนแห่งเดิม ไม่มาสอบเอนทรานซ์ใหม่ในสาขาวิชานี้หรอก ผมลองปรึกษากับพี่รหัส และรุ่นพี่หลายคนที่ผมสนิทด้วย ทุกคนพากันแปลกใจกับข้อเสนอของอาจารย์ท่านนั้น หลายคนให้การสนับสนุน เพราะโอกาสแบบนี้เป็นที่ต้องการของหลายๆคน แต่มันกลับตกมาที่ผม ผมควรจะรับไว้

จากการปรึกษาเรื่องนี้เอง ทำให้ผมรู้เรื่องของการย้ายวิทยาเขต ซึ่งบางวิทยาเขตมีวิชาโท ที่ทำให้ผมต้องใจระทึก ... ภาควิชาดุริยางค์

เมื่อผมได้ข้อมูลมาเรียบร้อย ผมก็นำมาพิจารณาดูวิทยาเขตต่างๆ การย้ายวิทยาเขตในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องยาก แต่หากย้ายไปวิทยาเขตต่างจังหวัด จะเป็นการง่ายกว่า ผมจึงเลือกวิทยาเขตหนึ่งทางภาคตะวันออก ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯนักเป็นจุดหมาย ซึ่งต้องออกไปอยู่หอในวิทยาเขตนั้น แน่นอน ผมต้องปรึกษาทุกคนในบ้านก่อน ซึ่งทุกคนตามใจผมจนทำให้ผมแปลกใจ พี่สาวบอกว่า เป็นเพราะผมโตแล้ว อยากให้ลองรับผิดชอบตัวเองบ้าง แล้วความตั้งใจสอบเข้า กับผลการเรียนของภาคเรียนที่ผ่านมา ทำให้ทางบ้านรู้ว่า ผมตัดสินใจด้วยความต้องการเรียนจริงๆ

ส่วนสาเหตุจริงๆ ที่ทำให้ผมอยากย้ายวิทยาเขตนั้น จะเกิดจากอะไรก็ตาม  แต่ปล่อยให้มันอยู่ในใจผมเพียงคนเดียวคงจะดีกว่า

ผมเริ่มทำเรื่องขอย้ายวิทยาเขต แล้วผลการอนุมัติก็ออกมา เมื่อถึงช่วงปิดเทอม ผมก็เดินเรื่องเกี่ยวกับการย้ายทะเบียนนักศึกษา ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนหลายๆคน ที่ได้รู้จักกันในงานมีทติ้งระหว่างวิทยาเขต ตุ่ม เต่า พากันมาช่วยผมขนของ โดยที่ ราญ เป็นคนขับรถพาผมไปส่งที่หอพักของวิทยาเขตแห่งนั้น ช่วงนั้น ราญ เป็นนิสิตปี ๒ คณะแพทย์ศาสตร์ จากการสอบเอนทรานซ์ครั้งที่ ๓

ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นปีที่ ๒ นี้เอง แม่ได้ไปซื้อบ้านไว้อีกหลังหนึ่ง ห่างจากบ้านที่อยู่ในตอนนี้ไปประมาณ ๕ กิโลเมตร แม่ไปๆมาๆ ระหว่างสองบ้านอยู่นาน แล้วจึงย้ายไปอย่างถาวร และผมถูกขอร้องแกมบังคับให้ย้ายตามไปอยู่กับแม่ ในช่วงเทอมแรกของชั้นปีที่ ๔ ช่วงนี้เอง ที่ผมพบว่าของหลายอย่างของผมหายไป อะไรก็ไม่สำคัญเท่าอัลบั้มรูปหลายเล่ม ซึ่งรวบรวมรูปเมื่อสมัยที่ผมเรียนอยู่ในชั้นมัธยม หนังสือหายากที่ผมสะสมไว้ รวมทั้งสมุดจดหมายเลขโทรศัพท์เล่มใหญ่ ที่จดหมายเลขโทรศัพท์ทั้งหมดของเพื่อนๆไว้
 
ช่วงชีวิต ๓ ปีในวิทยาเขตแห่งนั้น ผมพบกับเรื่องราวต่างๆมากมาย ผมร่วมกิจกรรมต่างๆในชมรมนาฎศิลป์ ชมรมดนตรีไทย และชมรมศิลปการแสดง ผลการเรียนของผมเป็นที่พอใจของตัวผม และทางบ้าน ผมเข้ารับเกียรติบัตรในพิธีไหว้ครูทุกปี และจบออกมาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ ๒ เป็นเกียรตินิยมคนเดียวของภาควิชาภาษาไทย ทำให้ผมเด่นเป็นพิเศษในวันรับปริญญา เมื่อผมสอบเสร็จแล้ว ผมยังอยู่ช่วยงานของมหาวิทยาลัยต่ออีกจนหมดช่วงสงกรานต์ ผมกลับเข้าไปสถาบัน หลังจากที่หายไปตั้งแต่ช่วงปีใหม่ เมื่ออาจารย์หัวหน้าฝ่ายวิชาการพบผม ก็เรียกให้ผมเข้าไปคุยที่ห้องทำงาน กับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันท่านหนึ่ง พวกท่านต้องการให้ผมเป็นอาจารย์สอนภาควิชาคีย์บอร์ด ในสาขาแห่งหนึ่งของสถาบัน เนื่องจากจะมีอาจารย์ท่านหนึ่งในสาขานั้น ย้ายเข้ามาทำงานในส่วนวิชาการ ซึ่งผมก็ตอบตกลงไปด้วยความเต็มใจ และดีใจเป็นอย่างมาก

ผมเริ่มทำงานเป็นอาจารย์สอนออร์แกนไฟฟ้า ในสาขาของสถาบัน ที่อยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมที่ผมเคยเรียนอยู่ ผมมักจะเข้าไปกราบครูผู้มีพระคุณของผมเสมอในวันไหว้ครู ครูทุกท่านดีใจที่ได้เจอผม และดีใจที่ผมเรียนจบออกมาได้ทำงานด้านดนตรีที่ผมรัก ผมเริ่มติดต่อหาเพื่อนเก่าบางคนทางโทรศัพท์ ซึ่งผมต้องหูชาทุกครั้ง เพราะโดนต่อว่า ว่าหายตัวไปโดยไม่ติดต่อเพื่อนๆเลย  แต่ก็มีเพื่อนๆหลายคนเหมือนกัน ที่ผมไม่ต้องการติดต่อ บางคนผมก็ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ไป หรือโทรไปแล้วเป็นเวลาที่เพื่อนไม่อยู่บ้าน 

เป็นเพราะวันทำงานและวันหยุดของผม ตรงกันข้ามกับคนทั่วไป ทำให้ไม่ค่อยไปพบเพื่อนๆ ที่นัดเจอกันบ่อยๆ ในคืนวันศุกร์ หรือวันเสาร์-อาทิตย์


ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
ง่า.....ตั้มใจร้าย ค้างไว้อย่างเนี๊ย
เรื่องใกล้จะถึงตอนเริ่มต้นแล้วใช่มั๊ยคะ
หวังว่า ปอ จะไม่เป็นไรนะ หายไปเลย...
อยากอ่านต่อเร็วๆจัง....

ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
รอน้องตั้ม

ปล.เราก็ยังเชียร์ปอเหมือนเดิม

 :oni1: :oni2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ทำงานแล้วดีจังเลย



 :L2: :L1: :L2:

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
บทจะเร็วก็เร็วมาก อิอิ

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗๓ กลับมาพบกันอีก

“ไอ้ตั้ม ทางนี้เว๊ย” เสียง ดม ตะโกนเรียก ตั้มจึงเดินเข้าไปหา

วันนี้ ตั้ม มีนัดกินข้าวกลางวันกับ ดม ที่สาขาของร้านอาหารฝรั่งร้านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าอาหารจานหลักอร่อย และสลัดบาร์ที่มีผักแปลกๆมากมาย ซึ่งสามารถทานได้ไม่จำกัด รวมทั้งซุบต่างๆ ของหวาน และผลไม้ ก็เช่นกัน ทั้งสองคนสั่งอาหารจานหลัก แล้วไปตักซุป และสลัดมานั่งกิน พลางคุยเรื่องต่างๆกับ ดม ไปเรื่อยๆ ดม เล่าให้ ตั้ม ฟังว่าเพื่อนๆแต่ละคนยังเรียนอยู่ หรือทำงานแล้วที่ไหนบ้าง

“แล้ว ปอ ล่ะเป็นยังไงบ้าง” ตั้ม ถามถึงคนที่ตนคิดถึง
“ปอ มันเหลืออีกไม่กี่หน่วยก็จบแล้ว เมื่อก่อนมันขี้เกียจ แต่พักหลังมันขยันขึ้นเยอะ โดยเฉพาะปีการศึกษานี้ มันตั้งใจจะจบให้ได้” ดม ตอบ
“แบบนั้นก็ดีสิ เรียนให้จบไวๆ ที่บ้านจะได้ชื่นใจ แล้ว ปอ สบายดีใช่มั๊ยอะ” ตั้ม ถามพลางยิ้มน้อยๆ
“อื้อ มันสบายดี เอ็งไม่โทรไปหามันบ้างล่ะ” ดม ถาม
“โทรแล้ว แต่ไม่เจอตัว” ตั้ม ตอบด้วยสีหน้าหมองลง
“เหรอวะ แต่อย่างว่าหว่ะ ช่วงนี้มันขยันฉิบหาย ทั้งเรียน ทั้งทำงานพิเศษ สงสัยเก็บเงินเตรียมขอคนแต่งงาน” ดม พูดยิ้มๆ
“เหรอ” ตั้ม ยิ้มกว้าง  “ปอ มีแฟนแล้วเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหว่ะ” ดม ตอบแล้วนึกขำ ...มันจะมาขอมึงนั่นแหละ ตอนนี้มันขยันเรียนเพราะเอ็งเรียนจบแล้วไงวะ มันจะรีบเรียนให้จบ ขืนดองไว้ไม่ยอมจบซะที มันก็ขายหน้าเอ็งสิ ...
“เอ้อ ... แล้ว นึก ล่ะ” ตั้ม ถามขึ้น หลังจากที่กินอาหารจานหลักหมดจานแล้ว
“รายนั้น ถ้าเอ็งอยากรู้เดี๋ยวถามกันเองแล้วกัน เดินมานั่นแล้ว” ดม พูดยิ้มๆ
แล้ว ตั้ม ก็ต้องแปลกใจ ปนด้วยความตกใจเล็กน้อย เมื่อ นึก เดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้าม
“โทษทีที่ช้า รถติดน่าดู” นึก พูดพลางหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องเลยเอ็ง นัดเที่ยง มาซะเกือบบ่าย พวกกูกินกันเสร็จแล้ว” ดม หันไปเอ็ด
“เอาน่า ไหนๆก็มาแล้ว” นึกหยุดพูด หันไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มกับพนักงาน แล้วหันมาพูดกับ ดม ต่อ “มึงตักสลัดให้กูที เหนื่อยหว่ะรีบมา”
“ตั้ม แน่ะ ไปตักสลัดให้มันที” ดม หันไปบอกยิ้มๆ
“เอาอะไรมั่งล่ะ” ตั้ม ถามเบาๆ
“อะไรก็ตักมาเหอะ หิวแล้ว” นึก พูดเสียงดังเหมือนสั่ง
ตั้ม ลุกขึ้นไปที่สลัดบาร์ ตักผักหลายอย่าง อย่างละนิดอย่างละหน่อย พร้อมทั้งขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ตักน้ำสลัดข้นๆ ๒-๓ แบบ ลงไปที่ขอบจาน แทนที่จะราดลงไป แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ พลางวางจานลงตรงหน้า นึก
“ตักอะไรมาวะเนี่ย ของพวกนี้ใครจะกินลง” นึก โวยวาย ในขณะที่ ตั้ม หน้าซีดลง
“งั้นมึงไม่ต้องกิน” ดม ดึงเอาจานสลัดมา แล้วเอาส้อมจิ้มผักในจาน จิ้มน้ำสลัดส่งเข้าปาก
“ทำไรวะมึง” นึก หันไปโวยวายกับ ดม
“ก็มึงบอกกินไม่ลงไง จะเอาอะไรที่แดกลงก็ไปตักเอง จะได้ไม่ต้องบ่น” ดม ไม่ยอมแพ้ เอ็ดเอาบ้าง นึกจึงต้องลุกเดินไปที่สลัดบาร์ด้วยตัวเอง
“ดม เรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน” ตั้ม บอกพลางยื่นเงินให้จำนวนหนึ่ง “ค่าอาหารนะ ถ้ามีเงินทอนก็เก็บไว้ให้ด้วยแล้วกัน เจอกันคราวหน้าค่อยคืนเรา”
“เอางั้นเหรอวะ งั้นงานรับปริญญาอย่าลืมโทรบอกกูนะ” ดม พูดพลางรับเงินมาวางไว้ข้างๆจานสลัด
“อื้อ ไม่ลืมหรอก” ตั้ม พูดพลางหน้าสลดลง ... แต่งานรับปริญญาของพวกนายน่ะ ไม่มีใครบอกเราสักคน
“ฝากขอโทษนึกด้วยแล้วกันนะ เดี๋ยวเราเข้าชั้นสอนไม่ทันจริงๆ เราไปก่อนหล่ะ” ตั้ม พูดจบก็ลุกเดินออกไปจากร้าน
“อ้าว ตั้ม ไปไหนวะ เข้าห้องน้ำเหรอไง” นึก ถามขึ้นเมื่อเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
“กลับไปแล้ว” ดม พูดอย่างอารมณ์เสีย “มันฝากขอโทษเอ็งด้วย ที่ต้องกลับไปก่อน มันมีสอน” ดม พูดพลางจิ้มผักเข้าปาก... เป็นกูนะจะฝากด่า
“ทำไมรีบกลับวะ น่าจะอยู่คุยกันก่อน สักคำสองคำก็ยังดี ” นึก บ่น
“ยังมีหน้ามาถามอีก ปากมึงน่ะสิ เป็นกู กูก็เผ่น” ดม หันมาเอ็ดอีก
“กูไม่ได้ตั้งใจหว่ะ” นึก พูดอย่างสำนึกผิด
“กูรู้ว่ามึงเขิน แต่มึงไม่ควรพูดแบบนั้น” ดม ยังไม่หายโกรธ
“เขินเชี่ยมึงดิ” นึก เถียง “คราวหน้ากูจะระวังแล้วกัน” นึก พูดเสียงอ่อนลง
“งั้นคราวหน้ามึงอยากเจอมัน ก็นัดเองนะเว๊ย กูไม่เป็นองคตให้มึงแล้ว” ดม พูดอย่างเบื่อหน่าย
......................................................................
...............................
“ตั้ม เอาไปอันนี้ของพวกเรา” เต่าพูดพลางยื่นช่อกุหลาบช่อใหญ่ให้ผม
“ส่วนนี่” ตุ่ม ยื่นช่อลิลลี่ ที่มีดอกลิลลี่อยู่ ๓ ดอกให้ผม “ราญ กับ ชัย ฝากมาให้”
“ไม่น่าลำบากกันเลย แค่มาเราก็ดีใจจะแย่แล้ว” ผมรับมารวมกับช่อดอกไม้ที่อยู่ในอ้อมแขน จับวางไว้แนบอก

วันนี้เป็นวันรับปริญญาของผม เมื่อช่วงเช้าตอนรับปริญญา เพราะผมเป็นคนเดียวของภาควิชาที่ได้เกียรตินิยม ปกเสื้อครุยสีขาวของผม เด่นอยู่ท่ามกลางปกเสื้อครุยสีม่วง และสีเขียวของคณะอื่น ตั้งแต่ตอนตั้งแถวเข้าหอประชุม ยังดีที่คนที่คนที่อยู่ถัดจากผม เป็นเพื่อนที่เคยอยู่ชมรมเดียวกัน ทำให้ผมหายประหม่า จากการจ้องมองของคนรอบข้างไปได้มาก หลังจากที่ออกมาจากหอประชุม ผมก็เดินถ่ายรูปกับเพื่อนๆ ไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับ ตุ่ม และ เต่า ซึ่งยืนรออยู่แถวเตนท์ ที่จัดไว้สำหรับเป็นจุดนัดเจอของบัณฑิต กับญาติหรือเพื่อนๆ แล้วสักพักกลุ่มเพื่อนๆจากโรงเรียนมัธยม ก็ยกขบวนกันมาถึง

“ไอ้ลูกหมา เท่ห์เชียวนะเอ็ง ตัวโตขึ้นเยอะ สูงเกือบเท่าไอ้นึกมันแล้ว” โอ ทักทายเสียงดัง
“เอาไป นี้พวกกูบริจาคเงินซื้อให้ มัวแต่รอเค้าจัดช่อนี่แหละถึงได้มาช้า” ช่อดอกไม้ช่อใหญ่ ถูกส่งมาให้ผม ผมรับมาอย่างทุลักทุเล เพราะมีช่อดอกไม้จากรุ่นพี่และรุ่นน้อง อยู่เต็มอ้อมแขน 

ไม่ใช่เพียงแค่ขนาดและความสดชื่นของช่อดอกไม้เท่านั้น แต่การที่เพื่อนๆสิบกว่าคนนัดกันมาอย่างพร้อมเพรียงแบบนี้  มันทำให้ผมรู้ว่า เพื่อนๆตั้งใจแค่ไหนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับผมในวันนี้

“ขอบใจมากนะ ไม่น่าลำบากหิ้วมาเลย” ผมตื้นตัน ตาเริ่มแดง
“ศิลปี ยังไม่หายขี้แยอีกเหรอ วันนี้วันดี อย่าร้องเชียวนะ” วัฒน์ พูดหัวเราะๆ แล้วพวกเราพากันถ่ายรูปร่วมกันหลายใบ
“เอ้อ ปอ ล่ะทำไมไม่มา” ผมถามถึงคนที่ผมคิดถึงมาตลอด ในช่วงที่ผมเรียนอยู่ในวิทยาเขตต่างจังหวัด
“เอ้อ...” นึก อึกอัก ... เขาจะบอกได้ยังไง ว่าเขาลืมบอก ปอ
“มันติดธุระ” ดม รีบพูดต่อ
“เหรอ เสียดายจัง” ผมตอบพลางรู้สึกโหวงเหวงอยู่ในใจ

พวกเราจับกลุ่มคุยกันอยู่สักพัก เพื่อนๆก็แยกย้ายกันกลับ ส่วนผมยังอยู่ที่เดิม ไม่นานนักคนที่บ้านผมก็มาถึง ผมถ่ายรูปกับแม่ พี่ๆ และหลานๆหลายใบ ส่วนพ่อไม่ได้มาด้วย เพราะโรคเบาหวานทำให้พ่อต้องตัดขาข้างหนึ่งตั้งแต่ส่วนหัวเข่าลงมา การนั่งรถนานๆทำให้พ่อหงุดหงิด และพ่อที่เกษียณอายุราชการมาหลายปี เริ่มมีอายุมากแล้ว ช่วงนี้มักมีอาการหลงลืมบ่อยๆ และมักอารมณ์ไม่ดีโดยไม่มีสาเหตุเสมอ ... เมื่อเห็นผม

ผมจึงไม่มีรูปที่ถ่ายกับ พ่อ ในงานรับปริญญาเลยสักใบ
......................................................................
...............................
ผมยังนัดเจอกับเพื่อนๆอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งไม่เคยมี ปอ อยู่ด้วย ดม บอกว่าตอนนี้ ปอ กำลังเรียนหนัก เพราะตั้งใจจะให้จบภายในปีการศึกษานี้ ผมได้แต่ฝากบอกเพื่อนๆไปว่า ให้ ปอ พยายาม และให้บอกด้วยว่า ผมคิดถึง ปอ มาก


ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 :เฮ้อ:แล้วปอก็หายไป o7


 :L2: :L1: :L2:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
คิดถึงปอเหมียลกัลลลลลล

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงปอด้วยคน   :m13:
กะลังสงสัย  o2 ว่าวิทยาลัยที่น้องตั้มไปเรียนแค่เทอมเดียว จะเป็นที่ที่เราจบมาหล่ะ
ตอนเข้าไปเรียน ยังไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยเลย  วิทยาเขตที่บางนาก็ยังไม่ได้สร้าง
เอ่อ....เค้าเลยรู้กันหมดเรยยย ว่าเรารุ่นป้าแระ    :serius2:

สงสัยอีกอย่างนึง    :a11:
เพื่อนๆตั้ม ทำไมหาว่าน้องตั้มเป็นผู้หญิงหล่ะ   :m31:
ไม่เห็นเคยอ่านว่ามีตอนไหน น้องตั้มสาวแตกเลยนะ   :laugh:  แค่เรียบร้อยมั่กมากแค่นั้นเอง 
หรือเราพลาดไรไป   :m29:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
คิดถึงปอด้วยคน   :m13:
กะลังสงสัย  o2 ว่าวิทยาลัยที่น้องตั้มไปเรียนแค่เทอมเดียว จะเป็นที่ที่เราจบมาหล่ะ
ตอนเข้าไปเรียน ยังไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยเลย  วิทยาเขตที่บางนาก็ยังไม่ได้สร้าง
เอ่อ....เค้าเลยรู้กันหมดเรยยย ว่าเรารุ่นป้าแระ    :serius2:

สงสัยอีกอย่างนึง    :a11:
เพื่อนๆตั้ม ทำไมหาว่าน้องตั้มเป็นผู้หญิงหล่ะ   :m31:
ไม่เห็นเคยอ่านว่ามีตอนไหน น้องตั้มสาวแตกเลยนะ   :laugh:  แค่เรียบร้อยมั่กมากแค่นั้นเอง 
หรือเราพลาดไรไป   :m29:
ก็ไม่ได้สาวแตก แต่ผู้หญิงเลย บอกไม่ค่อยถูกอะครับ เวลาที่ไม่ได้ซนนี่ ให้ลองนึกภาพผู้หญิงร้อยมาลัยเข้าไว้   :-[ เพื่อนบางคนเรียก ตั้ม ว่า ...สุภาพบุรุษอ่อนโยน  :try2:
แล้วก็เสียงมังครับ แบบมันจะแหลมๆสูงๆ

ส่วน ปอ กำลังมุ่งมั่นกับการเรียนไงครับ ตั้ม ก็ส่งกำำลังใจผ่านเพื่อนๆไปตลอดแหละครับ

ลืมไปอีกเรื่องนึง วิทยาลัยที่ไปเรียนอยู่ึครึ่งเทอม คงที่นั้นแหละครับ แหะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2008 18:42:21 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
อืม

รับแซ่บเคอะ  อิอิ

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

คิดถึงปอแล้วน๊า   :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ สาวตัวกลม

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ตั้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เค้าคิดถึงปออออออออออออออออออออออออออ :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ RN

  • Global Moderator
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1650/-14
เข้ามาคิดถึงปอด้วยคนนนนนนน

 :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗๔ สังหรณ์

เช้าวันจันทร์ ที่ ๑ เมษายน ซึ่งเป็นวันหยุดงานตามปรกติของผม ( ผมทำงานพุธ-อาทิตย์ หยุดจันทร์-อังคาร) หลังจากทำกิจวัตรประจำวันช่วงเช้าเรียบร้อยแล้วผมก็อ่านหนังสือ ฟังเพลง พักผ่อนไปตามเรื่อง ปรกติผมก็อยู่บ้านพักผ่อนแบบนี้ ยกเว้นช่วงที่มีงานเยอะ ผมก็ต้องหอบงานมาทำต่อที่บ้านบ้าง มีบางวันที่ผมอาจจะออกไปเดินซื้อหนังสือ หรือของใช้ต่างๆตามห้างสรรพสินค้าบ้างเป็นครั้งคราว

เหตุการณ์ต่างๆก็ปรกติ แต่พอช่วงบ่ายๆ ก็เกิดอาการแปลกๆขึ้นกับตัวผม หัวใจเต้นแรงผิดปรกติ หัวหมุนๆ รู้สึกเหมือนมีคนมากระซิบเรียกอยู่ที่ข้างหู ตามมาด้วยความรู้สึกคิดถึง ปอ  อย่างรุนแรง ประมาณว่าต้องการจะพบให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย  แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราผมไม่รู้เลยว่า เค้าอยู่ที่ไหน จะติดต่อได้อย่างไร  จะโทรถามเพื่อนก็ลำบาก เพราะที่บ้านผมยังไม่มีโทรศัพท์ ตู้โทรศัพท์ใกล้บ้านที่สุดก็อยู่ห่างไป ๒ ป้ายรถเมล์  ผมก็เลยคิดว่า เดี๋ยววันพุธไปทำงาน จะลองโทรศัพท์ถามข่าวของ ปอ จากเพื่อนๆบางคนดู ผมรู้สึกหงุดหงิดทั้งวัน กับความรู้สึกคิดถึงอย่างรุนแรง โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ภายในใจผม

เช้าวันพุธ ผมไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานเล็กน้อย ผมเดินเข้าไปจัดของในห้องทำงาน สักครู่แม่บ้านก็เข้าบอกผมว่า มีโทรศัพท์ติดต่อผมมาหลายครั้งตั้งแต่วันจันทร์ และวันอังคาร แล้วสักพักหนึ่ง พี่ธุรการก็มาเรียกให้ผมออกไปรับโทรศัพท์

“สวัสดีครับ ศิลปี พูดครับ” ผมพูดลงไปในโทรศัพท์
“พี่ราญ เหรอ คิดถึงจังเลย” น้ำเสียงและสีหน้าผมเปลี่ยน จนพี่ธุรการอมยิ้ม
“วันนี้เหรอ เลิกงาน ๖ โมงเย็นอะ” ผมตอบไปเมื่อ ราญ ถามว่าผมเลิกงานกี่โมง “ได้ๆ เดี๋ยว ตั้ม รอ พี่ราญ หน้าโรงเรียนนะ” ผมยิ้มอย่างดีใจมากขึ้น เพราะ ราญ จะมารับผมตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมมัวแต่ดีใจ จนลืมถามว่า มารับไปไหน
“ชุดเหรอ” ผมขมวดคิ้ว เพราะ ราญ ถามว่าผมแต่งตัวอย่างไร “ก็เสื้อสีฟ้าอ่อน กางเกงดำอะ” ผมตอบไปในสาย “มีๆ ตั้มมีแจคเกตสีกรมท่า ให้ใส่ไปด้วยเหรอ ได้ๆ” แล้วผมก็วางหูโทรศัพท์ลง
“นั่นแน่ นัดกับใคร แฟนรึเปล่า” พี่ธุรการถามผมยิ้มๆ
“พี่ราญน่ะครับ ที่เคยมาหา ตั้ม ตอนมาทำงานใหม่ๆไงพี่ เดี๋ยวเย็นนี้จะมาหา” ผมตอบอย่างอารมณ์ดี
“อ๋อ ที่ว่าเรียนหมอใช่มั๊ย” พี่ธุรการถามหลังจากคิดอยู่สักครู่
“ใช่ครับ” ผมตอบยิ้มๆ แล้วก็เดินเข้าห้องทำงานไป
ความจริงตอนเย็นผมมีสอนพิเศษที่บ้านของเด็กนักเรียน แต่เมื่อ ราญ โทรมานัดแบบนี้ ตอนกลางวัน ผมจึงโทรศัพท์ ไปงดการเรียนการสอนกับผู้ปกครองของนักเรียน เพื่อที่จะได้ไปตามนัดในตอนเย็น

๖ โมงเย็นเศษๆ นักเรียนพากันกลับไปหมดแล้ว ผมเก็บของอย่างอารมณ์ดี พอเดินออกามาจากห้องทำงาน ก็เจอ ราญ นั่งรออยู่ที่เก้าอี้บริเวณหน้าห้อง เมื่อเห็นผม ก็ลุกเดินเข้ามาหา
“พี่ราญ คิดถึงจัง” ผมโผเข้าไปกอดเอวร่างที่สูงเกือบจะพอๆกันด้วยความคิดถึง
“ฮ่าๆๆ ไม่อายคนเหรอ โตป่านนี้แล้วนะ” ราญ พูดพลางเอามือขยี้หัวผมเบาๆ “พี่ชายว่าไปหาอะไรกินกันนิดนึงก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน”
“พี่ราญ จะพา ตั้ม ไปไหนเหรอ” ผมถามอย่างสงสัย
ราญไม่ตอบแต่ยิ้มน้อยๆให้ พลางจูงมือผมออกจากที่ทำงาน เราชวนกันไปกินก๋วยจั๊บร้านอร่อยแถวๆนั้น ระหว่างนั้นก็เราก็คุยเรื่อยๆ ถึงเรื่องงานของผม และการเรียนของ ราญ เสร็จแล้ว ราญ ก็พาผมไปขึ้นรถที่จอดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียน
“เดี๋ยวไปรับ ชัย กันก่อนนะ” ราญ บอกก่อนจะออกรถ
แล้ว ราญ ก็ขับรถไปรับ ชัย ที่ยืนรออยู่ระหว่างทางไม่ไกลจากที่ทำงานของผมนัก
“พี่ชัย” ผมหันหน้าไปทักพร้อมกับยิ้มกว้างให้ เมื่อ ชัย ขึ้นรถนั่งที่เบาะหลังเรียบร้อยแล้ว ชัย มองหน้าที่ยิ้มแย้มของผมอย่าง งงๆ
“เฮ้ย มึงยังไม่ได้บอกเหรอวะ” ชัย หันไปถาม ราญ
“ยัง ไม่รู้จะบอกยังไง นายบอกสิ” ราญ หันมาตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ
ทั้งสองคนหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ผมเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มีอะไรเหรอพี่ชาย พี่ชัย” ผมถามเบาๆด้วยความงุนงง
“รีบไปกันก่อนเถอะวะ เดี๋ยวไม่ทัน ไปถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชัย หันไปบอก ราญ พลางถอนหายใจ

แล้วรถก็แล่นไปด้วยความรีบเร่ง โดยที่ไม่มีใครคุยอะไรกันเลย


kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :a6: ไหงจบค้างไว้แค่นี้หล่ะน้องตั้มเอ๋ย
ยังมีต่ออีกซัก 3-4 ตอนใช่ป่าว   :m13:
แต่อีกใจก็ชักไม่อยากรู้แล้วอ่ะ มานต้องเป็นอย่างที่เราก็สังหรณ์ไว้เหมือนกันแน่ๆ   :serius2:
โธ่....ปอ   :o12:

meawmeaw

  • บุคคลทั่วไป
 :serius2:  อย่าให้เป็นอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ครั้งที่อ่านบทแรกเลย  :serius2:

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
 :serius2:คงไม่ใช่ปอนะ o7


 :L2: :L1: :L2:

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
 :m15: :o12: :sad2: ไม่อยากจะคิดเรื่องไม่ดี

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
๗๕ จากลา

ราญ ขับรถเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง เมื่อจอดรถแล้วพวกเราก็ลงจากรถ ผมมองคนทั้งสองด้วยความงุนงง ในขณะที่ทั้งสองคนมองผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ ทั้งสองคนจูงมือผมคนละข้างเดินเข้าไปในศาลาสวดศพศาลาหนึ่งในวัด ผมมองเห็นรูปคนคนหนึ่งที่คุ้นตา วางอยู่ข้างโลงศพ

“ป๊ะป๋า” ผมครางเบาๆ ทำไมรูป ป๊ะป๋า ตอนหนุ่มๆถึงได้มาอยู่ที่นี่
“ตั้ม ดูให้ดี ไม่ใช่ คุณอาหรอก” ชัย บอก ผมหันไปมองหน้า ชัย อย่าง งงๆ ไม่ทันได้คิดว่าทำไม ชัย ถึงเรียก ป๊ะป๋า ของผมว่า คุณอา
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ เพ่งมองรูปนั้นให้เต็มตา พอผมจำได้ว่าชายหนุ่มในรูปเป็นใคร ผมหันไปมอง ราญ และ ชัย ไม่กล้าที่จะอ่านชื่อที่เขียนอยู่ภายใต้รูปนั้น
“ปอ มันไปดีแล้ว ตั้ม” ราญ เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก้มหน้าบอกผม
เท่านั้นเอง น้ำตาของผมไหลพราก  ผมรู้สึกว่าหัวของผมหมุนไปหมด เข่าอ่อนจนแทบยืนไม่ได้
“เฮ้ย พามันไปนั่งก่อนดีกว่า” ชัย พูดแล้วทั้งสองคนก็พยุงผมไปนั่งที่เก้าอี้ ผมร้องไห้ไม่หยุด คนหลายคนหันมามองพวกเราด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาพวกเรา
“เพื่อน ปอ หรือค่ะ” เธอถามพวกเรา
“ครับ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียน ม.๑ น่ะครับ” ราญ หันไปตอบ ส่วน ชัย กำลังปลอบผมอยู่
“เหรอจ๊ะ ป้าเป็นแม่ ปอ เองจ๊ะ ปอ คงดีใจนะที่เพื่อนๆมากัน” พอรู้ว่าเป็นแม่ของ ปอ ผมก็เงยหน้ายกมือไหว้ทำความเคารพ
“อย่าร้องแบบนั้นสิลูก เดี๋ยว ปอ เสียใจ” แม่ปอ ปลอบผม
“อุบัติเหตุน่ะ ตั้ม” ชัย บอกผมช้าๆ “ตอนที่ ปอ ขับรถกลับจากชลบุรี รถบรรทุกแซงกันมาอีกฝั่งนึง ปอ หักหลบ รถเลยเสียหลักพุ่งลงข้างทาง”
“วันจันทร์ ใช่มั๊ย พี่ชัย วันจันทร์บ่าย” ผมพูดเสียงเครือ ทั้ง ราญ ชัย และแม่ปอ มองผมด้วยความแปลกใจ
“เมื่อวันจันทร์บ่ายโมงกว่าๆใช่มั๊ย” ผมถามอีกครั้ง
“ตั้ม รู้ได้ยังไง” ราญถาม
“ปอ....ปอ เค้ามาหา ตั้ม” พูดจบ ผมก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างไม่อายใคร แม่ของปอ แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ตั้ม ว่าอะไรนะ” ชัย ถามอย่างตกใจ
“ปอ มาหา ตั้ม” ผมพูดได้แค่นั้น ทุกคนมองหน้ากันด้วยความงุนงง
“ตั้ม ไม่เป็นไรนะ ตั้ม อย่าร้องเลย ปอ ไปดีแล้ว”
ทั้ง ราญ ทั้ง ชัย พากันปลอบผม แต่ผมก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ผมรู้แล้วว่าทำไมวันจันทร์ผมถึงเกิดอาการเหล่านั้น ที่แท้สำนึกสุดท้ายของ ปอ ส่งมาหาผมนี่เอง
“คนนี้ชื่ออะไรนะลูก” แม่ปอ ถามพลางมองมาที่ผม
“ตั้ม ครับ” ราญ ตอบ “ผมชื่อ ราญ ส่วนคนนี้ชื่อ ชัย”
“ตั้ม”แม่ปอ นิ่งคิดอะไรอยู่สักครู่ “ใช่ ตั้ม ที่เรียนกับ ปอ ตั้งแต่ ม.๑ หรือเปล่าลูก ชื่อจริงอะไรนะ ศิล ... ศิล อะไรสักอย่าง”
“ศิลปี ครับ” ชัย ตอบพลางมองด้วยความแปลกใจ แม่ ปอ พยักหน้าเล็กน้อย
“เดี๋ยวถ้าค่อยยังชั่วแล้วก็เข้าไปหา ปอ เค้าซะหน่อยนะลูก แล้วนี่จะอยู่กันจนสวดจบหรือเปล่า” แม่ปอ ถามอีก
“ครับ ก็ตั้งใจไว้แบบนั้นครับ” ราญ ตอบ
“งั้นอย่าเพิ่งรีบกลับกันนะลูก เดี๋ยวพระสวดเสร็จแล้ว แม่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
แล้วแม่ปอ ก็เดินไปดูแลความเรียบร้อยของงานต่อ เมื่อผมดีขึ้นแล้ว ราญ กับ ชัย ก็พาผมไปไหว้ศพ ปอ จากนั้นก็นั่งฟังพระสวด ระหว่างนั้น ผมเหมือนคนอยู่ในภวังค์ทุกอย่างมันดูเบลอๆไปหมด น้ำและอาหารที่ผมรับมาโดยไม่ค่อยรู้ตัวก็ไม่ได้แตะต้องเลยสักนิด ผมนั่งก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งพระสวดจบ พวกเราก็พากันไปลา ปอ บนศาลา แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ รอแม่ของ ปอ ที่กำลังร่ำลาแขกที่มาร่วมงาน

“ตั้ม ใช่มั๊ยลูก ไหนขอแม่ดูหน้าชัดๆหน่อยซิ” แม่ปอ พูดขึ้นเมื่อมานั่งใกล้ๆพวกเรา
ผมเงยหน้าขี้น แม่ปอ มองผมไปทั่วทั้งใบหน้าอย่างช้าๆ เหมือนจะพิจารณาให้ละเอียด แล้วมองสำรวจผมไปทั่วทั้งตัว จนผมต้องหน้าแดง เพราะรู้สึกเขินอาย จนต้องหลบสายตาลงมองที่พื้น
“ยิ่งดูยิ่งน่ารักเหมือนที่ ปอ พูดเลยนะลูก” แม่ปอ พูดช้าๆ “เห็นหนูเสียใจขนาดนั้น แม่ก็คิดว่าคงเป็นเพื่อนที่รักกันมากจริงๆ สมกับที่ ปอ เค้าพูดถึงหนูบ่อยๆ” พวกผมพากันนิ่งเงียบ
“ปอ น่ะเล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะแยะจนแม่รู้จักไปด้วยอีกคน บอกว่าหนูน่ะน่ารัก วิ่งซนเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ เวลาเรียบร้อยขึ้นมายังกับเด็กผู้หญิง เวลาอยู่นิ่งๆบางทีดูแล้วเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง ทั้งอ่อนโยน ทั้งใจดี แล้วก็อะไรอีกสารพัด แม่ฟังแล้วยัง งงๆ ว่าตกลงหนูเป็นเด็กยังไงกันแน่ พอมาเห็นตัวจริงนี่แหละ แม่ถึงได้รู้” แม่ปอ หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ปอ น่ะรักหนูมากเลยนะลูก” พูดจบ แม่ปอ ก็ถอนหายใจ ส่วนผมก้มหน้านิ่ง น้ำตาเริ่มไหลพรากอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
“วันเผามาอีกได้ไหมลูก มาส่ง ปอ เค้าครั้งสุดท้าย นะลูกนะ” แม่ปอ พูดพลางเอามือแตะบ่าผม
“ครับ” ผมรับปากไม่ค่อยเต็มเสียง เพราะกำลังร้องไห้อยู่
“พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปส่ง ตั้ม ด้วย” ราญ บอกกับ แม่ปอ จากนั้นพวกเราก็ไหว้ลา แล้วพากันขึ้นรถ

ราญ ขับรถไปส่งผมถึงบ้าน ผมเข้าบ้านด้วยสภาพไม่ค่อยดีนัก เมื่อแม่ถามว่าไปไหนมา ถึงได้มีคนมาส่ง ผมบอกแม่เพียงว่า ไปงานศพเพื่อน คืนนั้นผมร้องไห้ด้วยความเสียใจอีกหลายครั้ง

...ไอ้ลูกหมา ไม่ว่ามึงจะอยู่ที่ไหนกูจะตามไปหามึงนะ ... ปอ เคยบอกผมแบบนี้
... อื้อ เราจะรอ ปอ ต้องหาเราให้เจอนะ อย่าให้เรารอเก้อล่ะ ... ตอนนั้นผมเองก็ตอบกลับไป
... กูไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ว่ามึงไปอยู่ไหน กูจะตามไปจริงๆ ... วันนั้น ปอ ย้ำอย่างมั่นคง
... อื้อ ... ผมรับรู้พลางก้มหน้าลงซบกับไหล่ ปอ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ

ปอ รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับผมเมื่อวันนั้น
แต่วันนี้ ... ไม่มี ปอ อีกแล้ว

... มึงก็อย่าเล่นซ่อนหากับกูอีกนะ กูเหนื่อย ... เสียง ปอ ยังก้องอยู่ในหูของผม

หลายปีที่ผ่านมา ผมยอมรับว่า ผมหนีไปเพื่อจะซ่อนตัวจากอะไรบางอย่าง
และในวันข้างหน้า อาจมีเรื่องราวที่ผมทนไม่ได้ จนต้องหนีไปซ่อนตัวอีกครั้ง

หากมีวันนั้น ... ปอ ไม่ต้องเหนื่อยกับการตามหาผมต่อไปอีกแล้ว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2008 18:24:18 โดย บุหรง »

ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2

meawmeaw

  • บุคคลทั่วไป

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
 :m15: :m15:

อย่าจบเศร้าเด็ดขาด  นี่คือคำสั่ง อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด