ตอนที่ 48 The Sanctuary of February
“The Defensive Golem RELEASE”
เสียงประกาศกร้าวของเฟี๊ยตดังขึ้นเป็นคนแรก ในขณะที่ปันและแทนไม่จำเป็นต้องเรียกใช้การ์ด เพราะปันเองสะพายคทาไพลินอยู่ก่อนแล้ว ส่วนแทนก็ถือปืนไฟของตนอยู่ในมือ เฟี๊ยตเขวี้ยงการ์ดคู่ใจไปด้านหน้า มันระเบิดขึ้นน้อยๆ พร้อมกันกับที่ไพ่นั้นแปลสภาพกลายเป็นมวลทรายแตกออกจากกัน ก่อนจะตวัดกลับเข้ามารวมร่างกันอีกครั้งเป็นปีศาจทรายที่เขาคุ้นเคย
“พันธนาการทราย!” เขาชี้นิ้วสั่งโกเลมที่เพิ่งปรากฏกายขึ้น สมุนของเขาสลายร่างกลายเป็นมวลทรายปริมาณมหาศาล ก่อนจะพุ่งตรงเข้ายึดตรึงร่างของศัตรูทั้งสาม ทรายเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นเกลียวราวกับเชือกขนาดใหญ่ปรี่ตรงเข้าไปรัดรึงตามแขนขาของอริเหล่านั้น โดยหมายให้พวกมันเป็นเป้านิ่งจากการโจมตีจากพวกเขา
ยังไม่ทันที่คำสั่งของเขาจะสัมฤทธิ์ผลดี ทหารแกร่งทั้งสามนายก็โรมรันอย่างไม่ยอมแพ้ พวกมันเขวี้ยงอาวุธตรงมาที่พวกเขา หอก ดาบ และลูกธนูพุ่งตรงแหวกอากาศหมายมั่นจะห้ำหั่นชีวิตของผู้บุกรุกทั้งสามอย่างรวดเร็ว เฟี๊ยตจะสั่งให้เชือกทรายเหล่านั้นกลับมาเป็นกำแพงป้องกันก็ช้าไปเสียแล้ว ชายหนุ่มทำได้แต่รวบรวมจิตไปที่เท้าเตรียมตัวจะกระโดดหลบหนีตามสันชาตญาน
“Barrier!” ก่อนที่คมอาวุธเหล่านั้นจะจู่โจมมาถึงพวกเขาได้ เสียงจากปันตะโกนดังขึ้น พร้อมกันกับที่ผืนน้ำขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นกางกั้นพวกเขาจากการโจมตีนั่น ทันทีที่สรรพาวุธเคลื่อนที่มากระทบกับกำแพงน้ำมหึมา ความเร็วของมันช้าลงอย่างรู้สึกได้ จนสุดท้ายพวกมันก็สูญเสียพลังความร้ายกาจ ตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่างอย่างไร้อำนาจการต่อกร
ชั่วอึดใจนั้นเอง ทรายของเฟี๊ยตได้ตรึงเหล่าคู่ต่อสู้สำเร็จ จนพวกมันหมดหนทางจะหลบหนีได้ ปันที่เหมือนจะรอจังหวะอยู่ก่อนแล้วก็ได้กระแทกคทาบนพื้นอย่างหนักแน่นอีกครั้ง กำแพงน้ำที่เคยสูงกางกั้นสมรภูมิไว้ก็ไหลลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มผิวขาวจงใจเปิดช่องว่างให้เพื่อนคนสุดท้ายที่บัดนี้ยกปืนขึ้นรออยู่บนไหล่เรียบร้อยแล้ว
“Fire!” เสียงร้องสั่งดังพร้อมกับนิ้วที่เหนี่ยวไกออกไป 3 นัดถ้วน ลูกไฟขนาดเท่าลูกบอลพุ่งตรงเข้าสู่ทหารไม้ทั้ง 3 นั่น พวกมันพยายามสะบัดตัวออกจากทรายมากมายที่รวมตัวกันเป็นเกลียวมันพวกมันไว้อย่างแน่นหนา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจสู้แรงยึดเหนี่ยวของโกเลมของเฟี๊ยตได้
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับที่ลูกไฟทั้งสามสัมผัสต้องกับร่างของอริทั้งสามนั้น ลำตัวที่ประกอบขึ้นด้วยไม้ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วด้วยอำนาจของพระเพลิง นายทวารแห่งวิหารลึกลับพ่ายแพ้ให้กับทีมมายาภายในเวลาไม่ถึง 3 นาทีถ้วน การ์ดทั้งสามใบที่มาจากการเอาชนะมอนสเตอร์นั่นพุ่งเข้าสู่มือทั้งสามคน พวกเขาในบัดนี้รู้ใจกันมากจนแทบจะไม่ต้องตะโกนนัดแนะใดๆ ระหว่างการต่อสู้แล้ว ทีมมายาได้พิสูจน์ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากการต่อสู้นี่เอง
ชื่อ The Fighting Sap Wood (ทหารกระพี้ไม้) ประเภท FC (ไพ่ตัวตน) ระดับ 5 ความสามารถ ใช้ในการต่อสู้
ยังไม่ทันที่พวกเขาทั้งสามคนจะมีโอกาสได้เก็บการ์ดที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ลงสมุดสะสมนั้น ประตูยักษ์ที่พวกเขาหันหลังให้เพราะจำเป็นต้องหันไปต่อสู้กับเหล่านักรบไม้เมื่อครู่ก็เผยอออก แสดงให้เห็นแสงสีทองส่องอร่ามจากภายในที่ค่อยๆ เผยตัวออกมาทางรอยแยกแห่งประตูใหญ่นั้น พวกเขารีบหันไปมองยังทิศที่มาของแสงสว่างดังกล่าว บัดนี้ ประตูที่มีลวดลายประดับไปด้วยแมกไม้อันวิจิตรบรรจงนั่นเปิดออกจนสุด เผยออกให้เห็นทางเดินเชื่อมต่อเข้าไปข้างในวิหารลึกลับแห่งนั้น
ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนปรากฏทางเดินสั้นๆ ยาวไม่ถึงยี่สิบเมตรก่อนจะไปสิ้นสุดที่อุปสรรคเบื้องหน้า อะไรบางอย่างจำนวนมากมายที่มีขนาดสูงท่วมหัวพวกเขาเชื่อมต่อกันอัดแน่นทางเดินไปหมด พวกมันมีลักษณะคล้ายถุงน้ำขนาดใหญ่สีเหลืองสุกใสอร่ามจนเกือบค่อนไปทางทองที่ถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อที่มีลักษณะคล้ายพลาสติกบางบ้างหนาบ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป บางส่วนของพวกมันบางอันก็เชื่อมติดแนบไปจนดูเหมือนเนื้อเดียวกัน ในขณะที่พวกมันบางอันก็แยกออกจากกันโดยมีของเหลวลักษณะเหนียวข้นคั่นอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายและด้านขวาของอุโมงค์ที่เมื่อก่อนข้ามผ่านธรณีประตูนั้นเคยเป็นเปลือกไม้หนาตามที่เคยสันนิษฐานกันนั้น บัดนี้ เมื่อล่วงเข้าไปในเขตของประตูดังกล่าวก็กลายสภาพเป็นผนังแผ่นหนาที่ดูแข็งแรงเกินกว่าจะทะลุทะลวงผ่านไปได้ ลึกเข้าไปในกำแพงนั้นก็มีลักษณะคล้ายถุงน้ำเช่นที่เรียงทับซ้อนกันอยู่ตรงหน้านั้น เพียงแต่เยื่อที่หุ้มพวกมันมีลักษณะหนาเข้มจนดูคล้ายเปลือกหินที่ห่อหุ้มไว้ซึ่งดูมีลักษณะแข็งแรงมากราวกับจะบังคับให้ผู้บุกรุกต้องก้าวผ่านทางเดินอันประกอบด้วยเยื่อหุ้มบางๆ ด้านหน้าที่ถูกสร้างไว้เฉพาะอย่างนั้นนั่นเอง
“ผู้เล่น PharmaPhiat เป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแรกที่สามารถเข้าสู่วิหารกุมภาพันธ์ได้ ผู้เล่นได้รับไพ่ชื่อ Aura of Rutherford (ออร่าของรัทเทอร์ฟอร์ด) ไพ่สูงสุดลำดับที่ 95 เป็นรางวัลจากความสำเร็จดังกล่าว”
“ผู้เล่น Punnawutt เป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแรกที่สามารถเข้าสู่วิหารกุมภาพันธ์ได้ ผู้เล่นได้รับไพ่ชื่อ Aura of Rutherford (ออร่าของรัทเทอร์ฟอร์ด) ไพ่สูงสุดลำดับที่ 95 เป็นรางวัลจากความสำเร็จดังกล่าว”
“ผู้เล่น Tanawatt เป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแรกที่สามารถเข้าสู่วิหารกุมภาพันธ์ได้ ผู้เล่นได้รับไพ่ชื่อ Aura of Rutherford (ออร่าของรัทเทอร์ฟอร์ด) ไพ่สูงสุดลำดับที่ 95 เป็นรางวัลจากความสำเร็จดังกล่าว”
เมื่อทั้งสามคนก้าวขาข้ามผ่านบานประตูมหึมานั้นไป เสียงประกาศถึงความสำเร็จก็ดังขึ้นอย่างน่ายินดี มือทั้งสามเอื้อมมือขึ้นหยิบการ์ดสีทองที่ลอยอยู่เบื้องหน้านั้น และบรรจุลงในสมุดของแต่ละคนพร้อมกับการ์ดตัวตนที่ได้เมื่อครู่อีกใบด้วย
“ทีมแรกเลยหรอเนี่ย เท่ไม่หยอกแฮะ” แทนพูดขึ้นเป็นคนแรกหลังจากทั้งสามเงียบด้วยความตะลึงในความงามอย่างน่าพิศวงของสถานที่ตรงหน้าอยู่หลายอึดใจ
“ไบเบิ้ลเคยบอกไว้นะ แต่ลืมไปเลยแฮะ” เฟี๊ยตพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ว่าไบเบิ้ลเคยบอกเขาไว้เองว่า ผู้เล่นที่เคยเข้าไปสู่วิหารแห่งนี้ได้เท่ากับ 0 คน
“ได้การ์ดสูงสุดอีกใบแล้ว วิหารนี่จะมีให้เก็บสักกี่ใบกันเนี่ย น่าลุ้นแฮะ” ปันเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“เออ ปัน แทน สมุดมีช่องเก็บการ์ดกี่ช่องอ่า ของเราจะเต็มแล้วเนี่ย ไพ่ตัวตนมันเยอะอะ ไม่อยากคัดทิ้ง เสียดาย” เฟี๊ยตเอ่ยถามเพื่อนทั้งสอง ความจริงเขาว่าจะถามมาหลายรอบแล้ว แต่เพิ่งนึกออกนี่เอง
“ไว้เดี๋ยวออกจากวิหารได้ แวะที่เมืองกันหน่อยละกัน ร้านขายการ์ดจะมีบริการปรับขนาดสมุดอยู่นะ เสียเงินด้วย แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าเท่าไหร่ ไว้ลองไปถามดูๆ” ปันคลายความสงสัยให้เขา
“ปันกับแทนอัพขนาดกันแล้วหรือยังอ่า” เฟี๊ยตเอ่ยถามต่อ
“เรียบร้อยครับผ๊ม เรียบร้อยโรงเรียนปันครับ โดนมันบังคับให้ทำเป็นเพื่อนเรียบร้อย ฮ่าฮ่า” ปันทำหน้าค้อนคนตอบเล็กน้อยก่อนจะหันไปพึมพำอะไรอยู่คนเดียว
“เอาไงต่อดี” ชายเจ้าของคทาไพลินเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขานั่งพักกันและบรรจุอาหารกลางวันจากการ์ดสำเร็จรูปแบบง่ายๆ เรียบร้อยแล้ว เฟี๊ยตเพิ่งเข้าใจความสำคัญของการ์ดอาหารปรุงสำเร็จเอาก็เมื่อมาถึงช่วงเวลานี้เอง ตัวเขาเองตีความการเดินทางในเกมนี้ไปอย่างผิดถนัด โดยชายหนุ่มคาดหวังจะทำอาหารกินเองทุกมื้อเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ความเป็นจริงแล้ว การผจญภัยที่เหมือนจะเอาชีวิตแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนตลอดเวลาอย่างนี้ดูเหมือนจะไม่เปิดโอกาสให้เขามีแรงหรือสุนทรียภาพในการทำอาหารเท่าใดนัก ถ้าได้มีโอกาสเข้าเมืองอีกเมื่อไหร่ เขาคงจะต้องตุนการ์ดอาหารต่างๆ ไว้ให้มากกว่าเดิม
“ลุยดิ ถามได้ ว่าแต่ไอ้ที่อยู่ตรงหน้านี่มันอะไร จะได้วางแผนถูกว่าจะลุยอีท่าไหนดี” แทนเอ่ยพลางชี้ปืนไปที่เจ้าก้อนยักษ์ที่เรียกตัวกันทับถมทางเดินกันอย่างหนาแน่นไปตลอดทาง
“นั่นดิ อันตรายไหมเนี่ย ไม่มีทางอื่นเลย คงต้องฝ่าไปอย่างเดียว” ปันพูดขึ้นพลางกวาดตามองทางตรงหน้าตั้งแต่พื้นไปจนจรดเพดาน ไม่มีช่องว่างใดให้พวกเขาลัดเลาะไปได้เลย หนทางเดียวที่น่าจะพาให้ทีมมายาผ่านไปได้ น่าจะเป็นทะลุทะลวงเข้าไปกลางในทางเดินที่เต็มไปด้วยถุงใสขนาดยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำเหนียวข้นนั่น
“มีใครคุ้นๆ บ้างไหมอ่า รูปร่างหน้าตาอย่างนี้มันชวนให้คิดถึงวิชาชีวะที่เคยเรียนอยู่นะ” เฟี๊ยตพูดพลางจ้องสายตาไปยังจุดดำๆ ที่มีอยู่ในทุกถุงใสๆ นั่น เขาหรี่ตาลงอย่างพินิจพิเคราะห์กับวัตถุตรงหน้า พร้อมกับค่อยๆ เรียบเรียงความรู้ในสมองอย่างช้าๆ
“ขอบาย เพราะไม่ได้เรียนสายวิทย์หนะ ตอนม.ปลาย เรียนแค่วิทย์กาย” ชายผิวขาวออกตัว
“เรียน แต่อย่าถามว่าเคยตั้งใจเรียนหรือเปล่า ผลการเรียนมันชัดอยู่ ฮ่าฮ่า” ชายผิวเข้มแสดงตัวชัดเช่นกัน ว่าคงไม่มีส่วนช่วยใดๆ ในเรื่องนี้
“เซลล์ไง มีใครคิดไหมว่าไอ้ถุงเนี่ยคือเซลล์ ส่วนไอ้เยื่อนั่นน่าจะเป็นผนังเซลล์ไม่ก็เยื่อหุ้มเซลล์ จุดดำๆ คือนิวเคลียส และไอ้น้ำข้นๆ นี่คือของเหลวในช่องว่างระหว่างเซลล์ไง” เฟี๊ยตเฉลย
“ถามจริง คิดว่าจะรู้จักไหม ฮ่าฮ่า” แทนตอบอย่างติดตลก แสดงออกชัดเจนว่าไม่เข้าใจอะไรสักนิด เมื่อเฟี๊ยตหันไปทางปัน ก็เห็นการพยักหน้าน้อยๆ สนับสนุนแทนมาอีกราย
“parenchyma คือชื่อของมัน ถ้าเฟี๊ยตเดาไม่ผิดหละก็นะ”
จากผู้แต่ง : รู้สึกว่าตอนล่าสุดคนเม้นให้เยอะมากเลย อ่านแล้วรู้สึกดีมาก วันนี้เลยคึกแต่งเพิ่มได้อีกสามตอนแหนะ ใครไม่ค่อยเม้นต้องมาเม้นให้กันบ้างนะ ผมจะได้มีแรงแต่งมาให้อ่านกันทุกวันเลย อิอิ