ตอนที่ 47 Entrance
“เมื่อกี้แทนยืนอยู่ตรงไหนนะปัน ชี้ให้ดูหน่อย” เฟี๊ยตเอ่ยหลังจากที่เดินวนไปรอบๆ ต้นไม้เจ้าปัญหานั่น ปันในขณะนี้ดูควบคุมสติได้ดีจนแทบจะดูเป็นปรกติ จะมีก็เพียงแต่แววตานั้นที่แสดงออกถึงความเครียดออกมาอย่างปิดไม่มิด ชายหนุ่มเดินไปที่อีกฝั่งหนึ่งของต้นไม้ พร้อมชี้จุดที่แทนหายตัวไปเมื่อครู่นี้
เฟี๊ยตลูบมือไปตามต้นไม้นั่นอย่างครุ่นคิด ตัวเขาเองไม่เชื่อว่าแทนได้ตายไปแล้ว แทนน่าจะหายตัวไปมากกว่า มิหนำซ้ำ แทนอาจจะเข้าไปอยู่ในวิหารแล้วก็ได้ ต้นไม้นี่อาจจะมีกลไกบางอย่างที่จะนำผู้เล่นเข้าไปสู่ในวิหารได้โดยการหายตัวไปแบบเมื่อครู่นี้
“ปัน เป็นไปได้หรือเปล่าที่แทนจะหายตัวไปเพราะกลไกอะไรสักอย่างที่จะพาพวกเราเข้าสู่วิหาร” เฟี๊ยตเอ่ยขอความคิดเห็นจากเพื่อนอีกคนที่กำลังคิดไม่ตกอยู่ไม่ต่างกัน
“คิดๆ อยู่เหมือนกัน นี่อาจจะเป็นกลไกพาเข้าสู่วิหารก็ได้ หรืออีกแง่หนึ่งอาจจะเป็นกับดักป้องกันผู้บุกรุกก็ได้ ใครจะรู้” ปันพูดอีกแง่หนึ่งที่ตัวเขาเองก็ลืมมองไปอย่างสนิทใจ
“ปันๆ มาดูนี่ดิ” เฟี๊ยตเอ่ยเรียกปัน เมื่อเขาเองพบอะไรอย่างหนึ่งที่น่าสนใจอยู่บนต้นสนดังกล่าวบริเวณที่แทนหายไป ปันเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมกันกับที่เขาชี้ให้ดูไปที่ปุ่มเล็กๆ ปุ่มหนึ่งที่ติดอยู่บนเปลือกไม้ของต้นไม้เจ้าปัญหานั่น
“ตาไม้หรือเปล่า เฟี๊ยต” ปันเอ่ยขึ้นหลังจากพิจารณาปุ่มที่เกิดจากเปลือกไม้ที่นูนขึ้นและโค้งเว้าลงตรงใจกลางของตำแหน่งดังกล่าว
“คิดว่าใช่นะ แต่ปันคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่า มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทางเข้าไปสู่ต้นไม้นี่ได้” เฟี๊ยตตัดสินใจบอกข้อสันนิษฐานของตนออกไป
“เป็นไปได้ ว่าแต่เราจะลองดูบ้างไหม” ปันพูดพลางชี้ไปที่ตาไม้ที่ว่า
“พวกเรามีทางเลือกด้วยหรอ ปัน ฮ่าฮ่า มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างมากก็แค่เริ่มเกมใหม่น่า แต่พวกเราไม่น่าดวงกุดกันถึงขนาดนั้นหรอก” เฟี๊ยตพูดขึ้นอย่างพยายามให้ดูเป็นเรื่องง่ายๆ พลางยกมือขึ้นจ่อไปที่ตำแหน่งที่พวกเขาเดาว่าเป็นทางเข้าออกของวิหารนั่น นิ้วของเขาแตะลงที่ตาไม้พร้อมกับนิ้วของปันอย่างรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว
พรึ่บบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
เขาทั้งสองคนหายไปจากบริเวณดังกล่าวราวกับมายากลฉะนั้น ลักษณะไม่ต่างจากการหายตัวไปของแทนแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ว่า ปันและเฟี๊ยตเตรียมใจอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่มีท่าทีตกใจเหมือนแทนแต่อย่างใด
ชั่วไม่ถึงวินาทีเฟี๊ยตและปันก็มาปรากฏตัวอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง มันมีลักษณะราวกับอุโมงค์ขนาดใหญ่ บรรยากาศโดยรอบดูทึมๆ และอับชื้นอยู่ไม่น้อย ผนังกำแพงโดยรอบมีสีน้ำตาลเข้ม เกาะตัวเป็นแผ่นโดยมีรอยแตกแยกอยู่ทั่วไปราวกับเป็นเปลือกไม้อย่างใดอย่างนั้น ทางดังกล่าวลาดลึกเข้าไปภายในเป็นลำดับ แสงสว่างที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้เขาทั้งสองคนมองเห็นพื้นที่ด้านหน้าได้ไม่ไกลนัก ปันในขณะนี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเชื่อมั่นกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ว่าแทนต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ แต่อาจจะอยู่ลึกเข้าไปในทางเดินมืดนี่ตามลำดับ ถ้าปราการข้างหน้าไม่ได้มีอุปสรรคอันตรายใดรอคอยอยู่หละก็นะ
เขาทั้งสองคนค่อยๆ รุกคืบเข้าไปภายในอย่างระมัดระวัง เฟี๊ยตเรียกการ์ดอุปกรณ์สำหรับนักเดินทางเพื่อนำไฟฉายมาใช้ ยิ่งลึกเข้าไป ลึกเข้าไป หนทางยิ่งอุดมไปด้วยความชื้นอย่างรู้สึกได้ ผนังที่เคยมีลักษณะคล้ายเปลือกไม้ที่แตกลายด้วยความแห้งแล้ง บัดนี้เริ่มเจือไปด้วยความชุ่มชื้นตามลำดับ บรรยากาศที่มืดมนและวังเวงต่างกับป่าสนภายนอกอย่างยิ่งนั้น ทำให้ผู้มาเยือนใจคอไม่ดีเลย
ลับขอบทางชันตอนหนึ่งหลังจากที่เขาทั้งสองเดินมาเป็นเวลาไม่ถึง 3 นาที สายตาของปันก็ปะทะเข้ากับดวงไฟดวงหนึ่งที่ตัวเขาเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเข้าไปอย่างเร่งรีบ เฟี๊ยตรีบเดินตามไปอย่างไม่เข้าใจอะไรมากนัก จนกระทั่งพ้นขอบมุมทางโค้งช่วงหนึ่งของอุโมงค์นั่นเอง
“แทน!” เสียงของปันดังขึ้นเมื่อพบชายหนุ่มผู้มีความสำคัญยิ่งของตนนั่งถือปืนรออยู่ที่บริเวณนั้น ดวงไฟดังกล่าวเป็นพลังจากการ์ดของแทนนั่นเอง
“อ๊าว มากันแล้วหรอ” เสียงของแทนเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีกระแสความทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งสิ้น ชายผิวเข้มไม่มีความคิดแม้แต่น้อยว่าเพื่อนทั้งสองจะเป็นห่วงมากขนาดไหน
“แทน เรียบร้อยดีใช่ไหม” เฟี๊ยตเอ่ยถามขึ้นอย่างต้องการความมั่นใจ
“เรียบร้อยดิ อย่างแทน ใครจะมาทำอะไรได้ ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน
แต่ก่อนที่เฟี๊ยตจะได้พูดอะไรออกไป ปันก็พุ่งตรงเข้าไปตรงที่เพื่อนของตนยืนอยู่ พร้อมกระชากคอเสื้อของเพื่อนที่ทำให้ตนเป็นห่วงอย่างฉุนเฉียว
“ไอ้แทน มึงไม่คิดเลยหรอว่าที่มึงหายไปเนี่ย มันจะทำให้คนอื่นเป็นห่วง เสือกมานั่งตีหน้าระรื่นอยู่นี่อีก สำนึกอ่ะ มีไหม!” สีหน้าของปันตอนนี้แดงก่ำไปด้วยโทสะ ง้างมือขึ้นทำท่าเหมือนจะต่อยเพื่อนรักให้ได้
“ไอ้ปัน มึงเป็นห่าอะไรเนี่ย ใจเย็นๆ ดิวะ กูแค่หายมาแปบเดียว เห็นว่าเรื่องแค่นี้ เดี๋ยวพวกมึงก็คงตามมา มึงจะมาโกรธกูทำหอกอะไรเนี่ย” แทนสะบัดเสื้อออกจากอุ้งมือของเพื่อน ก่อนจะโต้คืนด้วยน้ำเสียงที่เริ่มมีอารมณ์แล้วนิดๆ เฟี๊ยตก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งคู่มากขึ้น เผื่อมีเหตุการณ์รุนแรง เขาจะได้ห้ามศึกได้ทัน
“กูจะไปรู้ไหมว่ามึงเจอทางเข้า อยู่ดีๆ ก็หายไป กูก็นึกว่าจะตายห่าเอาอะดิ มีอะไรทำไมไม่บอกกันวะ ทำไมต้องปล่อยให้กูเห็นห่วงเป็นบ้าเป็นหลังอย่างงี้ด้วย”
“ไอ้ปัน มึงคิดดูให้ดีดีก่อน การ์ดโทรศัพท์ก็อยู่ที่มึง แล้วกูจะโทรหามึงได้ยังไง มึงไม่โทรมา กูก็นึกว่ามึงเดาสถานการณ์ออกเลยไม่อยากเปลืองตังค์” แทนพยามจะพูดจาอย่างมีเหตุผล ทั้งๆ ที่น้ำเสียงก็ฉายชัดว่ามีอารมณ์อยู่ไม่ต่างกัน
“แล้วทำไมมึงไม่ออกไปส่งข่าวก่อน มึงจะเดินเข้ามาทำไม ทำไมมึงไม่คิดถึงความรู้สึกคนอื่นบ้าง” เสียงของปันยังคงความฉุนเฉียวอยู่อย่างนั้น
“ไอ้ปัน กูถูกมึงผลักล้มลง รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่ กูจะรู้ไหมว่าทางไหนมันทางออก กูเสี่ยงเดินเข้ามาทางนี้จนสุด กูก็รู้ว่ามันผิดทาง กูเห็นมึงไม่โทรมาก็นึกว่ามึงคงจะตามเข้ามาแล้ว นี่มันแค่สิบนาทีเอง กูกะว่านั่งรออีกแปบ ถ้าพวกมึงไม่มากันกูก็จะย้อนกลับออกไป ไอ้ปัน มึงฟังเหตุผลกูบ้างสิวะ ปรกติมึงไม่ใช่คนใจร้อนอย่างงี้หนิ วันนี้ มึงเป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ย”
“เออ กูมันบ้าเอง กูมันบ้าเองที่เป็นห่วงมึงนี่แหละไอ้แทน!”
ชายหนุ่มผิวขาวสะบัดพร้อมเดินออกไปอย่างโกรธจัด แทนที่ตอนนี้ก็ดูอารมณ์ร้อนไม่ต่างกันทำท่าจะเดินตามไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เฟี๊ยตเดินออกมาสกัดหน้าพลางจับไหล่ไว้ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้
“แทน ใจเย็นๆ ปันเป็นห่วงแทนมาก เราเข้าใจทั้งปันและแทนนะ ตอนนี้แทนใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวเราเคลียร์กับปันให้เอง โอเคนะ” เฟี๊ยตพูดพลางบีบไหล่แทนเบาๆ เป็นการเรียกสติ ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยักไหล่อย่างง่ายๆ และเดินกลับไปนั่งที่เดิม
“ปัน ใจเย็นๆ ก่อน แทนก็มีเหตุผลนะ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอก ดีแล้วไม่ใช่หรอที่แทนไม่ได้เป็นอะไร ปันอย่างคิดมากดิ” เฟี๊ยตเอ่ยปากขึ้นหลังจากเดินมาถึงตัวชายหนุ่มที่แยกออกมายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
“เฟี๊ยต มึงคิดดูดิ มันทำอย่างงี้ได้ไงวะ กูเป็นห่วงแทบบ้า แต่แม่งมานั่งกระดิกตีนสบายใจเฉิบอยู่อย่างนี้” ปันหันกลับมาตอบด้วยอารมณ์ที่ยังครุกรุ่นอยู่ไม่หาย
“ปัน แทนมันไม่รู้ว่าพวกเราเป็นห่วง เราเองก็ลืมโทรหามันด้วย มันก็เลยนึกว่าปรกติดี ปัน มึงควรจะดีใจสิที่มึงเจอแทน แทนยังมีชีวิตอยู่ มึงได้ยินไหม มึงต้องดีใจ มึงจะโกรธมันทำไม” เฟี๊ยตจงใจพูดช้าๆ ชัดๆ ให้ปันได้หยุดโมโหและคิดตามคำพูดของเขา
ปันทำท่าอึกอักเหมือนจะพูดอะไรออกมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไปเสีย เพื่อนผิวขาวของเขายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจยาว และเดินกลับไปยังเพื่อนสนิทของตน
“แทน เมื่อกี้กูขอโทษละกัน กูคงอารมณ์ร้อนไปหน่อย” ปันเอ่ยกับแทนที่นั่งอยู่
“ไม่หน่อยอะ จะต่อยกูอยู่แล้ว ไอ้ห่า เกิดถ้ามึงต่อยกู แล้วหน้าหล่อๆ กูเสียโฉมไปทำไง เดี๋ยวโมเดลลิ่งที่ติดต่อกูไปเล่นหนังเขาปฏิเสธกู กูจะเอาตังค์ที่ไหนกิน” แทนที่ดูจะปรับอารมณ์ได้อยู่ก่อนแล้วดึงบทสนทนาไปในเรื่องตลกให้สถานการณ์ที่ดูหนักหน่วงนี้เบาบางลงในที่สุด
“ใครเขาจะไปจ้างมึงง ฮ่าฮ่า” ปันเอ่ยพลางหัวเราะอย่างสบายใจที่เพื่อนรักดูจะไม่ถือโทษโกรธตน
“พวกเราลืมอะไรกันไปหรือเปล่า มีใครคิดเหมือนกันไหมว่า ไอ้กำแพงยักษ์นี่หน้าตาเป็นประตูไม่มีผิดเพี้ยน” เฟี๊ยตเอ่ยขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พลางชี้ไปยังกำแพงกั้นทางเดินที่มีลวดลายเป็นรูปต้นไม้เกี่ยวพันกันไปมาราวกับถูกสลักไว้ด้วยช่างฝีมือเอก ผนังทั้งด้านนั้นทึบไปหมดราวกับเป็นทางตันสุดของอุโมงค์แห่งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนคิดตรงกันหมดว่านี่จะเป็นประตูทางเข้ามากกว่านั่นก็คือ ท่อนไม้ตอนหนึ่งที่ยืนออกจากผนังนั่นราวกับว่าเป็นที่จับสำหรับเปิดปิดของประตูลึกลับบานนี้
“นั่งมองมาสักพักละ กำลังรอคนสนับสนุนอยู่เลย” แทนตอบมาอย่างเห็นด้วย
“งั้นบุกกันเลยไหม” เฟี๊ยตถามความแน่ชัดมาอีกครั้ง
“จัดไปอย่าให้เสีย!” ปันเอ่ยขึ้น พร้อมกันกับที่ที่มือของชายทั้งสามคนแห่งทีมมายาออกแรงผลักประตูยักษ์นั้นให้เคลื่อนเปิดออก
ทันทีที่ประตูนั่นเคลื่อนขยับไปเพียงนิดเดียว พื้นอุโมงค์ด้านหลังห่างออกไปประมาณ 5 เมตรจากพวกเขาทั้งสามคนก็ดังลั่นขึ้นราวกับมีวัตถุอะไรสักอย่างหนึ่งกำลังจะงอกขึ้นมา เพียงชั่วอึดใจเดียว พื้นผิวบริเวณดังกล่าวก็แตกออกราวกับที่ทุกคนคาดคิด ลักษณะอย่างหนึ่งคล้ายรากไม้ผุดขึ้นมาตวัดตัวผูกกันเป็นปมขนาดใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ พองตัวออกให้เห็นเปลือกหุ้มวัตถุขนาดใหญ่ 3 อันที่มีหน้าตาคล้ายฝักถั่วขนาดพอจะบรรจุมนุษย์เข้าไปได้อย่างไม่ยากเย็น มันค่อยๆ พองตัวออกจนปริแตกออกในที่สุด
ทหารแกร่ง 3 นายขนาดสูงร่วม 2 เมตรปรากฏกายออกมาจากฝักถั่วทั้ง 3 นั่น ร่างของพวกมันดูแกร่งกร้าวราวกับประกอบขึ้นด้วยท่อนไม้ขนาดยักษ์ที่แกะสลักให้กลายเป็นนักรบที่มีชีวิตฉะนั้น ร่างทางซ้ายถือหอกขนาดใหญ่ ร่างตรงกลางถือดาบยาวหนา ร่างทางขวาง้างคันธนูเตรียมตัวต่อสู้ และแน่นอน พวกมันหันศาตราวุธมาทางพวกเขาทั้งสามคนอย่างประกาศศึก
ทีมมายาปะทะเข้ากับนายทวารแห่งวิหารกุมภาพันธ์เสียแล้ว!
จากผู้แต่ง : ทำไมรู้สึกช่วงนี้เงียบๆ คนอ่านน้อยๆ เอ๊ะ หรือคิดไปเอง ห้าห้า ขอคอมเมนท์หน่อยน้า
