ตอนที่ 41 Unwelcome Guests
เสียงเรียกอย่างร้อนรนนั่นปลุกเฟี๊ยตออกจากภวังค์ได้อย่างรวดเร็ว และเพียงแค่เขาลืมตาขึ้น เขาก็ได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่แทนว่ายืนโดดเด่นเป็นสง่ารออยู่ก่อนแล้ว โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องกวาดสายตามองหาแม้แต่นิดเดียว
ผู้มาเยือนทั้ง 3 ที่แทนพูดถึงมีลักษณะเป็นสัตว์ 4 เท้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นัก รูปร่างสันทัดภายนอกดูคล้ายคลึงกับเดรัจฉานอาชาชาติทุกประการ ต่างแต่เพียงบริเวณศีรษะของพวกมันมีเขาขนาดใหญ่ยื่นโผล่ออกมาจากบริเวณหน้าผากนั้น ลำคอของมันเหล่านั้นเชิดขึ้นราวกับว่ากำลังเหยียดหยามซึ่งมนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนต่ำต้อยราวกับเศษธุลีดิน ถ้าจะให้เขานิยามชื่อของสิ่งมีชีวิตทั้ง 3 นี้ เฟี๊ยตขอลงความเห็นว่าการเรียกพวกมันว่า ยูนิคอร์น น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่มีลักษณะราวกับถอดภาพออกมาจากสัตว์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์แฟนตาซีเกี่ยวกับเทพนิยายไม่มีผิด
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปจากภาพของม้ามีเขาที่ตัวเขาเองเคยเห็นในแผ่นฟิล์มนั้นก็คือ ลักษณะของร่างกายหรือที่เขาขอนิยามว่ากายหยาบของพวกมันทั้ง 3 ตัวนั้นแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตโดยธรรมชาติมาก เพราะร่างกายของพวกมันไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเอ็น และกระดูกอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับประกอบขึ้นด้วยสสารที่เหมือนได้ถูกประดิษฐ์โดยนักศิลปะชั้นเอกของโลกเสียมากกว่า
ตัวแรกทางด้านซ้ายนั้นประกอบขึ้นด้วยน้ำแข็งสีใสบริสุทธิ์ ราวกับมันเป็นผลงานการแกะสลักจากจิตรกรฝีมือเยี่ยมฉะนั้น ลำตัวของมันส่องประกายโดดเด่นเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ในยามบ่ายอ่อนๆ แบบนี้ ในขณะที่ตัวกลางมีลักษณะเหมือนถูกหล่อขึ้นจากของเหลวสีฟ้าอ่อนจนค่อนเกือบไปทางใส ร่างกายของมันราวกับเป็นภาชนะโปร่งใสที่บรรจุไว้ด้วยน้ำจนทำให้มองเห็นเป็นรูปสิ่งมีชีวิตที่มีเขานั่น และตัวสุดท้ายทางด้านขวาถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยสสารที่มีลักษณะเบาบางคล้ายอากาศที่เกาะกลุ่มรวมกันเป็นก้อนราวกับไอน้ำที่โพยพุ่งออกมาจากภาชนะที่บรรจุน้ำที่ร้อนจัดไว้อย่างใดอย่างนั้น หากมองด้วยสายตามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้ง 3 ตรงหน้านี้จัดเป็นประติมากรรมชิ้นสำคัญของโลกใบนี้ได้ทีเดียว เนื่องจากความสวยงามของสรรพางค์ที่ประกอบขึ้นด้วยวัตถุธาตุที่ดูเป็นเพชรน้ำเอกที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีจากธรรมชาติแล้วเหล่านั้น เพียงแต่ความงามตราตรึงใจของพวกมันได้ลดไปอย่างน่าใจหายทีเดียว เมื่อพวกเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า มันทั้ง 3 ในตอนนี้มีประสงค์ต่อคณะของเขาไกลจากคำว่าเจตนาดีไปมากโขทีเดียว
“มากันครบเลยนะ น้ำ ไอน้ำ น้ำแข็ง อย่างนี้ค่อยน่าสนุกหน่อย!” เพื่อนผิวเข้มของเขาพูดขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มที่ค่อนไปทางเย้ยหยันเสียมากกว่า เฟี๊ยตเองเรียกได้ว่ามีประสบการณ์การต่อสู้น่าจะน้อยที่สุดในกลุ่ม จึงทำให้ยังไม่ค่อยจะประสีประสาเท่าไหร่นัก แต่เมื่อหันไปสังเกตสีหน้าของเพื่อนร่วมทีมทั้งสองแล้ว ก็อนุมานได้ว่าสถานการณ์ที่กำลังเจออยู่ตรงหน้านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
“เฟี๊ยต ระวังตัวนะ ดูจากท่าทางแล้ว เจ้านี่โหดไม่ใช่เล่น” ปันเอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
แต่ก่อนที่เขาทั้งสามจะลงมืออะไรลงไป เจ้าตัวซ้ายที่ลักษณะเหมือนน้ำแข็งแกะสลักนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังควบคุมอะไรบางอย่างอยู่ และทันใดนั้นเอง พื้นที่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสามคนที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่กันเป็นสามเหลี่ยมก็ได้ปรากฏก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ราวกับภูเขาน้ำแข็งขนาดย่อมๆ แทรกตัวขึ้นมาจากผืนดินกั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสามคน และยังคงขยายขนาดสูงขึ้นเรื่อยๆ จนบัดนี้ตัดขาดพวกเขาออกจากกันโดยสิ้นเชิง แวบสุดท้ายในคลองจักษุที่เขามองเห็นคือเจ้าตัวกลางกระโจนไปทางที่แทนยืนอยู่ และเมื่อเขาหันมาทางฝั่งของตนเอง ก็พบว่าเจ้าตัวที่ประกอบขึ้นด้วยกลุ่มก้อนของไอน้ำนั้นบัดนี้ได้ยืนประจันหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว ถ้าให้เขาเดา เจ้าตัวการของภูเขาน้ำแข็งนี่น่าจะอยู่ในลานประลองกับชายผิวขาวเพื่อนของเขาอยู่อีกด้านอย่างไม่น่าผิดพลาด
“The Defensive Golem RELEASE” เสียงของเขาประกาศกร้าวดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏขึ้นของมวลทรายขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นเป็นโกเลมยักษ์ผู้อยู่ใต้อาณัติบัญชาของเขา
เจ้าไออัศวะยืนมองเขาด้วยท่าทีที่แสนยโสโอหัง มันชูคอขึ้นสูงอวดแผงคอสีสะอาดนั้น พลางกดสายตาลงมองเขาอย่างดูหมิ่น ราวกับว่าเขาเป็นแค่มดปลวกไร้ค่าราคาก็ไม่ปาน
“กระสุนทราย!” จิตใจของเขาในตอนนี้ร้อนรุ่มไปทั้งอก เพราะความอยากจะเอาชนะเจ้าศัตรูตรงหน้านี้ให้ลงได้ ด้วยความหมั่นไส้ในท่าทีที่แสนจะเย่อหยิ่งนั่น
ยังไม่ทันที่เม็ดทรายที่เรียงตัวเป็นลูกกระสุนเหล่านั้นจะพุ่งเข้าทะลุทะลวงร่างกายที่โปร่งไปด้วยอากาศนั่น กระสุนเหล่านั้นก็ถูกกระแสลมที่เต็มไปด้วยละอองไอน้ำที่เจ้าสี่ขานั่นพ่นออกมาปะทะเข้าไว้ได้ ทันที่ที่เม็ดทรายเหล่านั้นสัมผัสไอน้ำร้อนก็จับตัวเกาะติดกันเป็นก้อนเหมือนทรายที่เปียกน้ำจนสูญเสียความร่วนไปจนหมดสิ้น เจ้าโกเลมของเขาพยายามสั่งการให้กระสุนเหล่าลอยพุ่งเข้าโจมตีต่อ แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสไอน้ำดังกล่าวได้ ตกลงเกลื่อนกลาดเต็มพื้นดินอย่างหมดสภาพ
“คุกทราย!” เขายังคงสั่งการต่ออย่างไม่ยอมแพ้ อมนุษย์คู่ใจของเขาเร่งส่งทรายปริมาณมากเข้าล้อมรอบร่างของเจ้ายูนิคอร์นนั่น แต่ทันทีที่ผืนทรายเข้าปะทะกับร่างที่ประกอบขึ้นด้วยไอน้ำ ทรายปริมาณมากมายนั้นก็กลายสภาพไปโดยเกาะกันเหนียวและหมดสภาพตกลงไปแน่นิ่งอยู่บนพื้น และไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร ทันทีที่ทรายของเขาสัมผัสเข้ากับไอน้ำของเจ้ามอนสเตอร์นั่น ฝ่ายของชายหนุ่มก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ทุกครั้งไป
จากมวลทรายปริมาณมหาศาลที่เคยเป็นบริวารของเขา บัดนี้กลับเหลืออยู่เพียงไม่มาก ด้วยเสื่อมสภาพตกลงกระจัดกระจายไปตามพื้นเพราะโดนเล่นงานจากกระแสไอน้ำเหล่านั้นนั่นเอง
ศัตรูของเขาไม่เปิดโอกาสให้เขาตั้งตัวทันแม้แต่น้อย มันเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันอ้าปากขึ้น ก็เกิดปรากฏการณ์ที่ไอน้ำมารวมตัวกันเป็นก้อนกลมอัดแน่นราวกับลูกกระสุนตรงเบื้องหน้าของมัน ปริมาณแก็สรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนมีลักษณะหนาทึบ
มันสะบัดหัวลงเล็กน้อย พร้อมกับที่ลูกกระสุนแก็สนั่นพุ่งตรงสู่ตัวของชายหนุ่มอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่นี้แทบจะกลายเป็นเป้านิ่งให้เลือกโจมตีได้อย่างง่ายดาย ด้วยทั้งทางด้านซ้าย ขวา และหลังถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งสูงใหญ่ ที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางโค่นมันลงได้ พื้นที่เปิดโล่งเพียงด้านเดียวที่เหลืออยู่คือด้านหน้าของตัวเขาซึ่งบัดนี้เป็นทิศทางที่ลูกกระสุนดังกล่าวกำลังพุ่งตรงมาหาเขาอย่างที่เรียกได้ว่าไม่มีหนทางจะหลบเลี่ยงได้เลย!
“กำแพงทราย!” เขาจำเป็นต้องรวบรวมทรายกองสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อป้องกันตนในขณะนี้ ทรายที่เหลืออยู่รวมตัวกลายเป็นโล่ป้องกันภัยของเขา และอย่างคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ปราการด่านสุดท้ายไม่อาจต้านทานอำนาจของหมู่ไอน้ำนั่นได้ ไพ่แห่งทรายที่เขาเคยภูมิใจเป็นหนักหนา บัดนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับพลานุภาพของศัตรูตรงหน้าเขาอย่างหมดรูป ขณะนี้เฟี๊ยตตกเข้าสู่ตาจนอย่างถึงขีดสุด เพราะก้อนพลังดังกล่าวเมื่อปะทะกับกำแพงทรายของเขาแล้ว มันได้หายไปไม่ เพียงแต่ลดขนาดเล็กน้อยและยังวิ่งเข้ามาจู่โจมเขาอย่างแน่วแน่เหมือนเดิม
เขาตั้งใจจะสั่งการสมุดเพื่อเรียกการ์ดใหม่ออกมาต่อสู้ แต่ดูเหมือนว่ามันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะลูกกระสุนดังกล่าวได้อยู่ห่างจากเขาไปถึง 3 เมตรแล้วในชั่วอึดใจนี้
เขาตัดสินใจครั้งสุดท้ายรวบรวมจิตไปอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างก่อนจะย่อตัวเพื่อกระโดดเทคตัวหลบจากอันตรายร้ายที่หมายคุกคามเขาอยู่นั่น
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ชายหนุ่มนักปรุงยาถึงกับล้มตัวลงบนพื้นพลางกุมไหล่ขวาไว้ด้วยความเจ็บปวด ด้วยถูกลูกบอลไอน้ำนั่นแถกไปตามแขนข้างขวาจะตอนนี้ร้อนแดงจนเป็นสีเข้มราวกับจะกลายเป็นเนื้อสุกให้จงได้ เขาคำนวณความเร็วของเจ้าอาวุธนั่นพลาดไปถนัด จังหวะกระโดดของเขาจึงคลาดจากที่ควรจะเป็นไปนัก ถึงแม้ว่าจะหลบไปได้ไม่ให้โดนจังๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแค่ลูกไอน้ำนั้นเฉียดผิวไปไม่มากก็สร้างความเจ็บปวดร้อนทรมานให้เขาได้อย่างมหาศาล เฟี๊ยตใช้มือซ้ายจิกลงบนหัวไหล่ขวาเพื่อสร้างความเจ็บปวดเบี่ยงเบนความสนใจจากแผลที่เกิดจากการโดนความร้อนที่ลามเป็นทางยาวบนแขนขวาของเขาในขณะนี้
สติและสมาธิของเขาในตอนนี้จดจ่ออยู่ที่ความเจ็บปวดเกินกว่าจะสนใจเรียกการ์ดใดๆ ออกมาป้องกันตัวได้ เพียงชั่วอึดใจที่เขาสำนึกถึงอันตรายที่ยังคงไม่จบสิ้น และคืนความรู้สึกตัวกลับมาสู่ความเป็นจริงได้ เขาก็พบว่าเจ้าพญามัจจุราชสี่ขานั่นในบัดนี้ได้อาศัยจังหวะที่เขาล้มลงเคลื่อนที่มาอยู่ตรงหน้าเขาห่างไปเพียงไม่ถึง 5 เมตรแล้ว ตรงปากของมันมีก้อนไอน้ำขนาดใหญ่กว่าลูกที่แล้วกำลังรวมตัวอัดแน่นเตรียมจะปลิดชีพเขาลงให้จงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงเวลานั้น เขารู้สึกเหมือนกับว่าประตูแห่งความตายได้ถูกแง้มเปิดขึ้นรอต้อนรับมรณกาลเขาที่กำลังจะมาถึงในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือไปหยิบสมุดการ์ดคู่ใจของตน แต่ดูเหมือนว่ามันจะช้าเกินไปเสียแล้ว เจ้าลูกพลังนั่นกำลังเคลื่อนที่จากอสุรกายตรงหน้าเขาพุ่งเข้ามาหมายจะจู่โจมบริเวณกลางแผ่นอกของชายหนุ่มอย่างที่เขาไม่เหลือหนทางที่จะหนีรอด
เฟี๊ยตเคยสงสัยมาตลอดว่า ความเจ็บปวดที่มากพอจะทำให้คนตายได้นี่มันจะต้องเจ็บปวดมากขนาดไหน?
บางที เขาอาจจะกำลังจะได้รู้คำตอบในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้เอง...
จากผู้แต่ง : ทำไมผมรู้สึกเหมือนคนอ่านน้อยลง เอ๊ะ หรือผมคิดไปเอง ห้าห้า
สงสัยจะเบื่อในความไวปานรถด่วน (ที่เป็นชื่อหนอน) ของนิยายผม อิอิ
ไม่เป็นไรฮะ น้อยแต่รักกันจริง คือก็โอออออออออ 555
รักกันจริงเมนท์หน่อยเร็ว ฮิ้วววววววววววว
