หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14  (อ่าน 392311 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
เข้ามาดันเรื่องนี้  อิอิ

เป็นเรื่องที่เคยอ่านแล้ว  ขอบอกว่าสนุกมากๆ  ชอบเรื่องนี้เหมือนกัน
ครบรสเลย ทั้งซาดิสม์ กดดัน สำนวนดีเลย

เป็นกำลังใจให้พี่ทิพน้า  สู้ๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 10

ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัวอีกแล้ว นอกจากความจริงที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปหา

ผมวิ่งตามทอมขึ้นไป โดยไม่แม้แต่จะคิดระวังเสียงฝีเท้า

และเสียงขวดแก้วที่แตกกระจายกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของใครบางคนก็ช่วยเร่งฝีเท้าผมให้ไวยิ่งขึ้น

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องนอนพี่เหยา รู้สึกโล่งใจที่เสียงคร่ำครวญนั้น ไม่ใช่เสียงของพี่เหยา โล่งใจที่ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกว่าพี่เหยาโดนทำร้าย

ตรงกันข้าม เสียงร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งพึมพำ บางครั้งด่าทออย่างเกรี้ยวกราดนั้นเป็นของทอม และมันทำให้ผมสับสน

มันหมายความว่ายังไง?...ทำไมทอมร้องไห้คร่ำครวญให้กับสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำให้เกิด?

ทอมเสแสร้งแกล้งทำ?...ไม่ใช่!...ผมรู้ เสียงร้องไห้นั้นเป็นของจริง...เหมือนน้ำตาของผม หรือของพี่เหยา...

ถ้าอย่างนั้นแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันหมายความว่ายังไง?...

ผมยืนนิ่งอยู่กับความสงสัย...ฟังเสียงคร่ำครวญที่บางครั้งเฝ้าพึมพำ บางครั้งตะโกนเหมือนคลุ้มคลั่งของทอม...ฟังเสียงพี่เหยาที่เฝ้าพูดเฝ้าปลอบอย่างอ่อนโยน...

มันหมายความว่ายังไง?...ผมถามตัวเองอีกครั้ง จ่มจ่อมอยู่กับความสับสน และรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตะหนกของพี่เหยา

ครั้งแรกผมเกือบวิ่งเข้าไปในห้องเพราะคิดว่าทอมทำร้ายพี่เหยา แต่มันไม่ใช่... เสียงเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายใน เสียงทอมที่ยังกราดเกรี้ยว และเสียงพี่เหยาที่กลายเป็นสะอื้นไห้ แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด

ผมตกใจเมื่อประตูถูกกระชากให้เปิดออกอย่างแรง พร้อมกับร่างพี่เหยาที่วิ่งออกมาและผงะถอยจนเซ เมื่อเกือบชนเข้ากับผมที่ยืนอยู่หน้าห้อง

ตาพี่เหยาแดงจนช้ำ น้ำตายังอาบอยู่ข้าง2แก้ม แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบถลาเข้าไปคว้าตัวพี่เหยาไว้คือคราบเลือดสีแดงสดที่เปียกชุ่มอยู่บนเสื้อพี่เหยา

พี่เหยาเอามือปิดปากผมไว้ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร ผมจึงเพิ่งสังเกตเห็นเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บน 2ฝ่ามือของพี่เหยา

พี่เหยาดึงแขนผมให้วิ่งตามลงมาชั้นล่าง

“เอกกลับเข้ามาทำไม?”พี่เหยาถามน้ำเสียงยังปนสะอื้น น้ำตายังไหลอาบ2ข้างแก้ม

แต่ผมไม่ตอบ ตายังจับจ้องบนเสื้อที่ชุ่มเลือด

“ไม่ใช่...เลือด...ของทอม...พี่ต้องเอายา!”พี่เหยาอธิบายตะกุกตะกัก ก่อนคิดได้และผละจากผมไปที่ตู้ มือที่ควานหายาในลิ้นชักนั้นสั่นเทา เหมือนริมฝีปากที่สั่นระริก

“เลือดทอม?”ผมทวนคำอย่างงวยงง

“เอกกลับไปก่อนนะ”พี่เหยาบอกผมหลังจากหยิบกล่องยาและทำท่าจะวิ่งผ่านผมกลับขึ้นไป แต่ผมรั้งแขนพี่เหยาไว้

“ผมไม่เข้าใจ!”ผมพูด มองดูพี่เหยาที่หันมามองดูผม ก่อนมองขึ้นไปที่ห้องชั้นบน...ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตานั้นเต็มไปด้วยรอยกังวล หากแต่มิใช่กังวลด้วยหวาดกลัวเหมือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เป็นความกังวลปะปนกับความเป็นห่วงเป็นใย...พี่เหยากำลังเป็นห่วงคนที่ทำร้ายตัวเอง คนที่ทำร้ายผม คนที่ทำร้ายโลกของเราจนไม่เหลือดี

“เอกกลับไปก่อน...”พี่เหยายังพร่ำพูดคำเดิม ตายังเหลือบแลไปข้างบน...เป็นทอม ทอมเท่านั้นที่อยู่ในห้วงความคิดพี่เหยาเวลานี้...แล้วผมล่ะ?

ผมมองดูพี่เหยาที่ไม่สนใจมองดูผมแม้แต่นิดเดียว...ถ้าผมยังรั้งไว้ พี่เหยาคงผลักผม ดิ้นรนจากการเหนี่ยวรั้งของผม กลับขึ้นไปหาทอม ขึ้นไปหาคนที่ทำร้ายผม...มันเป็นความเจ็บปวด เจ็บอย่างที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน

“เอกกลับไปก่อนนะ”พี่เหยายังย้ำคำเดิม ผิดก็แต่น้ำเสียง แม้มิใช่ตวาด แต่ผมรู้พี่เหยาคงอยากเหลือเกินที่จะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอย่างนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเพื่อถนอมน้ำใจผม หรือเพราะกลัวทอมจะได้ยินกันแน่...

“มันบอกพี่ว่ามันไม่รู้เรื่องใช่ไหม?...”ผมถาม มือยังบีบต้นแขนพี่เหยาไว้แน่น

“ค่อยคุยกันทีหลัง!”เสียงพี่เหยาแข็งขึ้นอีกนิด ผิดกันลับกับเสียงปลอบโยนที่มีให้ทอม...คนที่ทำลายผมจนไม่เหลือความเป็นคน

“พี่เชื่อมันว่ามันไม่รู้เรื่อง!”แต่ผมไม่สนใจ ผมอยากบอกความจริงกับพี่เหยา บอกให้พี่เหยารู้ว่าใครกันที่ รออยู่นอกบ้าน รอดูความเจ็บปวดของเรา

“เปล่า!”พี่เหยาตอบในที่สุด

“หมายความว่าไง?”

“ทอมไม่คิดว่ามันจะรุนแรงอย่างนั้น ทอมไม่ตั้งใจ...”อีกครั้งที่พี่เหยาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ราวกับสิ่งที่พูดเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมควรจะยอมรับได้ หากแต่ผมยอมรับมันไม่ได้

“แล้วพี่ก็เชื่อมัน?”ผมถาม ก่อนที่จะต้องตอบคำถามของตัวเอง...ผมจำภาพที่ทอมยกโทรศัพท์ขึ้นโทรครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อพบว่าไม่มีใครรับสายได้ จำภาพที่ทอมวิ่งข้ามถนนโดยไม่สนใจรถที่กำลังแล่นมาว่าจะจอดหรือเปล่า จำภาพใบหน้าและดวงตาของทอมที่ฉายรอยกังวลได้...แต่แล้วไงล่ะ? ถึงทอมไม่ตั้งใจให้มันรุนแรงขนาดนี้ แต่ทั้งหมดก็เพราะทอมทำให้มันเกิด!

แม้จะคิดอย่างนั้น แต่โลกมันกลับค่อยๆโคลงไปมาในความรู้สึก...ความรู้สึกชนะมันเบาจนไม่เหลือน้ำหนัก...ผมอยากเอาชนะทอม จึงทิ้งพี่เหยาไว้ แม้จะไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ หากแต่เมื่อคิดว่าตัวเองชนะ ความเจ็บปวดของพี่เหยากลับไม่อยู่ในห้วงความคิดผมสักนิด...ตรงข้าม...ทอมยอมรับความพ่ายแพ้...ไม่ประวิงเวลาเพื่อต่อรองชัยชนะแม้สักนิด ทันทีที่รู้ว่าพี่เหยาถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง และแม้ยังไม่รู้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นแค่ไหน แต่ ทอมก็ยังวิ่งกลับเข้าไปหาพี่เหยาด้วยสีหน้าและดวงตาที่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแต่ความกังวล...ตรงข้ามกับผมที่ดื่มด่ำอยู่กับชัยชนะจนไม่เห็นภาพความจริงตรงหน้า...แล้วจะให้ผมกล้ายอมรับในสิ่งที่พี่เหยาพูดได้อย่างไร...มันยากจะยอมรับ เพราะมันยากจะบอกว่า ระหว่างผมกับทอม ใครกันที่เมินเฉยกับความเจ็บปวดของพี่เหยามากกว่ากัน?

ผมอยากผลักพี่เหยาให้ล้มลงที่โซฟา เหนี่ยวรั้งพี่เหยาไว้ อยากใช้คำพูดที่เกรี้ยวกราด บอกให้พี่เหยารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร...แต่ทุกอย่างก็แค่ภาพในความคิด เพราะในความเป็นจริงผมทำได้แค่...หมดแรง... มือที่รั้งพี่เหยาไว้มันหล่นหลู่ลงข้างตัวไม่เหลือแรง เสียงที่เล็ดลอดออกจากปาก มันเบาจนผมไม่แน่ใจว่าพี่เหยาจะได้ยินหรือเปล่า

“อย่าขึ้นไป...”ผมพูด แต่คงเบาจนพี่เหยาไม่ได้ยิน เพราะพี่เหยาหันหลังจากผมไปทันทีที่หลุดจากการเกาะรั้งของผม

“อย่า...”ผมพูดไม่ดังไปกว่าเดิม แต่พูดได้เท่านั้นก่อนที่จะสะอื้นออกมา

พี่เหยาแค่ชะงักเท้า...เท่านั้นจริงๆ... แล้วก็วิ่งขึ้นไป

“...ผมเกลียดมัน!...”คราวนี้ผมพูดเสียงดัง ดังเท่ากับความรู้สึกโกรธเกลียดทั้งหมด

“ผมเกลียดมัน เกลียดพี่ด้วย ได้ยินไหม?!...ถ้า...ถ้าผมขอโทษพี่อีก...ขอร้อง! อย่ายกโทษให้ผมอีก!ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก!”ผมตะโกนไล่หลังพี่เหยา ที่กำลังจะลับตาไปโดยไม่สนใจเสียงสะอื้นไห้หรือคำต่อว่า ต่อขานของผมแม้สักนิด

ผมยืนเกาะราวบันไดอยู่ตรงนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้ และเมื่อไหร่ไม่รู้ที่ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา

เสียงกราดเกรี้ยวและคร่ำครวญของทอมยังดังมาเป็นระยะ เช่นเดียวกับเสียงสะอื้นไห้และเฝ้าปลอบประโลมของพี่เหยา

ผมต้องยอมรับว่า...เสียงคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของทอมนั้นเป็นของจริง

น้ำตาของทอมเป็นของจริง...

ความเจ็บปวดของทอมเป็นของจริง เหมือนความเจ็บปวดของผม...เหมือนน้ำตาของผม จะต่างกันก็เพียงน้ำตาของทอมมีความหมายต่อพี่เหยามากกว่าน้ำตาของผมเท่านั้น...

ผมนั่งฟังเสียงร่ำไห้ของทอมที่มีพี่เหยาคอยปลอบโยน และฟังเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองที่กำลังร้องไห้อยู่คนเดียว...

เป็นครั้งแรกที่ได้คิด...

ตลอดมาผมบอกตัวเอง...ไม่มีทอมคงจะดี

แต่วันนี้ผมนึกสงสัย

สำหรับพี่เหยา...ระหว่างผมกับทอม...ใครกันที่ไม่ควรมีตัวตน...

ความสุขในเวลาที่มีพี่เหยาอยู่ในอ้อมกอด ในวันที่แสงโคมเต็มท้องฟ้า ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงวัน แต่กลับแทบไม่หลงเหลืออะไรในความรู้สึก เช่นเดียวกับความทุกข์ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ผมคิดว่ามันคงฝังอยู่ในใจผมทุกวินาทีจนวันตาย มาตอนนี้มันเบาบางราวผ่านไปแล้วเป็นชาติ

ผมคิดอะไรไม่ออกอีก กว่าจะรู้ตัว ก็เมื่อสายลมปะทะใบหน้า ผมบิดแฮนด์มอเตอร์ไซด์เร่งความเร็วจนสุด ทุกครั้งที่อยากลบภาพพี่เหยากับทอมออกจากหัว ผมไม่สนใจไฟแดง ไม่สนใจรถที่วิ่งสวน ไม่สนใจอะไรเลย ทุกอย่างมันผ่านเข้ามาแค่ทางสายตา หากแต่ไม่ได้ผ่านเข้าสู่ห้วงความคิดของผมเลย

ผมเบรคและหักรถหลบเสาคอนกรีตได้แบบเฉียดฉิว พร้อมๆกับเสียงเบรคล้อดังลั่นของรถปิคอัพที่จอดอยู่ตรงหน้า ห่างผมแค่ไม่ถึงสองฝ่ามือ และพร้อมๆกับสายตาของผมที่ไปหยุดอยู่ที่ไอ้วิทย์ ที่ยืนมองผมอยู่ไม่ไกลนัก

เสียงตะโกนด่าจากเจ้าของรถปิคอัพ ดังอยู่แว่วๆแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

ผมเพิ่งรู้ว่าได้พาตัวเองมาหาไอ้วิทย์ รถพี่เหยายังจอดไว้ที่ลานจอดรถใต้หอเหมือนเดิม

ไอ้วิทย์มันมองดูผม และผมก็มองดูมันที่เดินผ่านผมไป

“ขอโทษครับ...”มันตะโกนบอกเจ้าของรถปิคอัพที่ยังจอดคาอยู่ที่ทางออก ก่อนก้มลงยกมอเตอร์ไซด์ของผมที่กองทิ้งอยู่กับพื้นขึ้นและจูงหลบเข้ามาให้พ้นทางรถ

มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองรอยเล็บบนหน้าผม ก่อนยกมือขึ้นเกาหัว อย่างคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“ปวดหัว!”มันพูด ก่อนยกมือขึ้นกอดคอและลากผมขึ้นไปบนห้องมัน

“ถามได้หรือเปล่าวะ?”มันถามขึ้นหลังจากพาผมมานั่งเงียบอยู่ในห้องมันนานสองนาน และผมส่ายหัว เพราะไม่รู้ หากต้องตอบ ผมควรจะเริ่มจากตรงไหน เพราะแม้แต่ตัวผมเองยังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสับสนกับความคิดตัวเอง

“แต่มึงไม่ได้ไปปล้ำใครมาใช่ไหม?”มันพูด มองลายทางเล็บบนหน้าผม

อีกครั้งที่ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง

“เฮ้ย!”มันพูดได้แค่นั้น ก่อนดึงมือผมไปดู

เลือดที่หยุดไหลไปแล้ว มันคงกลับมาไหลอีกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และแห้งกรังอยู่บนปลายเล็บ

มันลุกขึ้นเดินหายไปในห้องน้ำ ก่อนเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กชื้นน้ำ

มันทำเหมือนพี่เหยาทำ...ค่อยๆเช็ดเลือดให้ผมทีละนิ้ว...ทีละนิ้ว...แล้วน้ำตาผมก็ค่อยๆไหลออกมา

“มึงไม่ต้องซึ้งใจขนาดนั้นก็ได้...”มันพูด คงนึกอยากให้ผมขำ แต่ผมก็ทำได้แค่กระตุกปากจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก

ถ้าถามว่าใครที่ทำให้ผมร้องไห้มากที่สุดในชีวิต...คำตอบคือพี่เหยา

ถ้าถามว่าใครคือคนที่ทำให้ผมเกลียดและดูถูกตัวเองที่สุดในชีวิต...คำตอบก็คือพี่เหยา

แล้วทำไมผมถึงดิ้นรน อยากเป็นเจ้าของ อยากถือครอง คนที่ไม่เคยให้อะไรแก่ผมเลย นอกจากความเกลียดชังและดูแคลนตัวเอง...ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า วันนี้ เวลานี้ ใจผมยังดิ้นรนอยากครอบครอง เมื่อรู้ว่าสิ้นหวัง...มันทรมานเหลือเกิน

และยิ่งทรมาน เมื่อคิดได้ว่า อาจจะด้วยเหตุผลข้อเดียวกันที่แม้ยังไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่ว่านี้คืออะไร แต่มันคงเป็นเหตุผลข้อเดียวกันที่บอกว่า ทำไม...พี่เหยาเลือกทอม...ทอม คนที่ผมคิดว่า ทำลายพี่เหยามากกว่าใครๆ ทอม คนที่อาจทำให้พี่เหยาร้องไห้มากกว่าใคร...

พี่เหยายังเลือกทอม เหมือนที่ใจผมยังดิ้นรน อยากครอบครองพี่เหยา...แม้ทรมาน แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้...

ผมนอนร้องไห้ อยู่บนที่นอนไอ้วิทย์ โดยที่มันนั่งถอนหายใจอยู่ที่พื้นเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

“เฮ้ย! ไม่อายฟ้าอายดิน ก็อายกูสักนิดเถอะว่ะ!”นานครั้งมันก็พูดอะไรที่คิดว่าชวนขำออกมาอีก แต่ผมก็ไม่สนใจมัน

“มึงเคยคุยกับพี่โอ๋ อีกไหม?”อยู่ๆผมก็นึกถึงพี่โอ๋ ทั้งที่นับจากวันนั้นที่เกิดเรื่อง ชื่อนี้ไม่เคยหลุดจากปากพวกผมอีกเลย

“เฮ้ย!อยู่ดีๆทำไมมึงถามถึงเขาวะ?”มันถามเสียงตื่นๆ ก่อนกระโดดขึ้นมานั่งกับผมบนเตียง

“ทำไมถามไม่ได้?”ผมงงๆกับท่าทางของมัน

“ก็ พี่เขาตายแล้ว...”มันพูดเสียงค่อยอย่างกับกลัวใครได้ยิน



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“มึงไม่เห็นเคยบอกกู!”แต่ผมย้อนถามมันเสียงดังเพราะไม่ชอบใจนักที่มันเพิ่งบอกผม เพราะแม้ว่าหลังจากเกิดเรื่องในครั้งนั้นแล้ว พวกผมจะไม่เคยคุยกับพี่โอ๋อีก แต่ก็เคยเจอ เคยเห็นกันบ้าง เพราะพี่โอ๋ก็ยังพักอยู่ที่หอไอ้วิทย์เหมือนเดิม

พี่โอ๋ไม่ใช่อันธพาลแบบในหนัง ที่พอเจอหน้าต้องท้าตี ท้าต่อยอย่างไร้เหตุผล เราแค่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกันเท่านั้น

“ก็บอกอยู่นี่ไง!”ไอ้วิทย์แย้ง

“ก็เสือกเพิ่งบอก!”ผมไม่ชอบใจ เพราะแม้ว่าจะมีเรื่องกับพี่โอ๋ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งหมด เป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม ถึงจะเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ผมก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ผมจึงรู้สึกแย่ เมื่อรู้ว่า คนๆหนึ่งจากโลกนี้ไปโดยที่ผมไม่รู้เลยสักนิด

“ก็...พี่เขาเพิ่ง...เมื่อไม่กี่วันนี่เอง...”มันพูดเสียงค่อยยิ่งขึ้นไปอีก

“รถปิคอัพที่เกือบชนมึงตาย ก็มาขนของพี่เขากลับไปบ้านไง...”

“พี่เขาเป็นไร...?”ผมถามเสียงค่อยพอกับมัน ตาก็เริ่มเหลือบแลหากุญแจรถที่ตัวเองโยนไว้ไหนไม่รู้

“ก็ ได้ยินว่า ขี่รถ แบบมึงเมื่อกี้ไง!”มันกระซิบตอบ

“มึงไม่กลัวเหรอวะ?”ผมยังกระซิบถาม คว้ากุญแจรถ ที่เห็นว่าถูกโยนไว้บนหัวเตียง ก่อนกระโจนลงจากที่เตียง

“กลัวสิวะ กำลังจะไปหามึงที่บ้านก็พอดีมึงมา!”มันพูด ก่อนกระโจนไปหยิบเป้ ที่ผมเพิ่งนึกได้ว่าเห็นมันสะพายอยู่ที่หลังตอนเจอมัน และเดาว่าในนั้นคงมีเสื้อผ้าของมันเตรียมพร้อมจะไปมุดหัวอยู่ที่บ้านผมจนกว่าจะหายกลัว

แล้วผมกับมันก็กระโจนออกจากห้อง วิ่งแข่งกันลงบันได ชั่วเวลาแค่แป๊บเดียว เราก็นั่งหัวเราะกันอยู่บนมอเตอร์ไซด์ ผมนึกขำตัวเอง... ผมหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่น้ำตายังไม่แห้งด้วยซ้ำ...

แม่มองหน้าผม หรือจะให้ถูก คือมองรอยทางเล็บบนหน้าผม สลับกับมองหน้าไอ้วิทย์

ผมนึกอยากบอกแม่ว่า ไม่ใช่รอยเล็บไอ้วิทย์ เพราะผมไม่ได้ปล้ำมัน แต่ก็เก็บคำไว้ เพราะแม่ไม่น่าจะขำ ทั้งจริงๆแล้ว ผมเองก็ยังไม่ค่อยมีอารมณ์จะขำเช่นกัน

แม่ขมวดคิ้ว เมื่อผมไม่ให้คำตอบอะไรแก่ข้อสงสัยของแม่ ผมเดาว่า แม่น่าจะอยากถามผมอย่างที่ไอ้วิทย์ถาม แต่คงเลือกหาคำพูดเหมาะๆไม่ทัน

“แม่มึงสงสัยว่ามึงไปปล้ำใครมาแหงๆเลยกูว่า...”ไอ้วิทย์กระซิบบอก ระหว่างเดินตามหลังผมขึ้นบันได

ไม่นานไอ้รงค์กับไอ้ชัยก็มาสมทบด้วยท่าทางตื่นๆ เพราะไอ้วิทย์มันโทรไปตามแล้วเปรยๆไว้แค่...ไอ้เอกมันแย่แล้ว

ผมรู้ว่าไอ้วิทย์ไม่ได้หมายความตามนั้น เพราะสภาพของผมก็กลับมาเป็นปกติ น้ำตาก็แห้งไปนานแล้ว แม้เรื่องของพี่เหยายังไม่หายไปจากใจแต่ไม่หนักอึ้งจนผมแทบล้มอย่างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

แต่สภาพของผมคงจะยังดูแย่อยู่ในสายตาของพวกมันอยู่ดี เพราะพอไอ้รงค์มาถึง มันก็ถามเหมือนไอ้วิทย์

“ไปปล้ำใครมาวะ?”

ผมชูมือให้มันดูแทนคำตอบ

“ใครปล้ำมึงวะ?”ไอ้รงค์เปลี่ยนคำถามเมื่อเห็นสภาพเล็บมือผม

ส่วนไอ้ชัย มันไม่ได้ถามเหมือนไอ้รงค์กับไอ้วิทย์ เพราะมันโดนแม่ของผมดึงตัวไว้ร่วมครึ่งชั่วโมง ซักฟอกหาสาเหตุที่มันก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรสักกะนิด

มันมองผมตาค้างเมื่อผมลงไปช่วยลากมันขึ้นมาจากการซักฟอกของแม่

“แล้วเสือกเรียกกูมาทำไมวะ?”ไอ้ชัยโวย เมื่อรู้เรื่องของพี่โอ๋

“อ้าว ก็กูเป็นห่วง!”ไอ้วิทย์ว่า

“ไม่ต้องพูดเลยมึง...หยุดพูดไปเลย คนตาย สามวันยังไม่รู้ตัวว่าตายนะโว๊ย อย่าปากหมา”ไอ้ชัยด่า ตามองไปรอบห้อง

“เจ็ดวัน!”ไอ้รงค์แย้ง

“สี่สิบเก้าวัน!”และผมแย้งออกมาพร้อมกับไอ้วิทย์

“สามวันนั่นเก็บรอยเท้า!”ไอ้วิทย์เสริมอีกที

“อะไรวะ เก็บรอยเท้า?”ไอ้รงค์ถาม ก่อนที่ผมจะทันอ้าปากถาม

“คุยห่าอะไรกันวะ? ไม่มีเรื่องอื่นคุยแล้วหรือไง?”แต่ไอ้ชัยพูดขัดอย่างเดือดๆ

ถ้าตอนเป็นเด็ก ไอ้วิทย์แก่แดดเล่าเรื่องทะลึ่งตึงตังอ้างเป็นประสบการณ์จริงบ่อยแค่ไหน ไอ้ชัยก็เป็นคนที่เอาเรื่องที่มันเจอผีมาเล่าบ่อยเท่านั้น

พวกผมเคยไปบ้านมัน แต่ไม่มีใครยอมค้าง เพราะผีที่มันเจอ ล้วนแต่เจอที่บ้านมันเองทั้งนั้น

“กลัวก็กลับบ้านไปเลยมึง!”ไอ้วิทย์ไล่ส่ง แถมยิ้มเยาะ

ไอ้รงค์ขยับปากจะพูด แต่ก็แกล้งหยุดพูดซะอย่างนั้น

“จะพูดอะไรวะ?”ไอ้ชัยเค้นคอถามแต่ไอ้รงค์ส่ายหัวไม่ยอมพูด

“พูดมาเลยมึง!”ไอ้ชัยไม่ยอม

“ก็จะบอกว่า ขี่รถกลับบ้าน ระวังใครซ้อนหลัง...ยิ่งตามไปบ้านมึง เจอพรรคพวกแล้วไม่ยอมกลับล่ะยุ่งเลย...”ไอ้รงค์ยอมพูดในที่สุด

“ไอ้สัตว์!”ไอ้ชัยด่าก่อนกระโดดขึ้นเตียง โดยมีพวกผมที่เหลือกระโดดขึ้นไปตาม

เตียงนอนขนาดแค่สามฟุต กับผู้ชายตัวโตๆสี่คนที่มุดเบียดกันอยู่ในผ้าห่มผืนไม่ใหญ่นัก เลยจบลงที่ไอ้รงค์ถูกเบียดจนตกเตียง เราหัวเราะกันเสียงดัง แล้วแม่ก็เคาะประตูให้เบาเสียง ให้รู้จักเกรงใจบ้านอื่นบ้าง เราเลยนอนหอบ ทั้งยังหัวเราะแบบให้เบาที่สุด พลางมองดูไอ้รงค์คลานกลับขึ้นมาบนเตียง

“เฮ้ย เอก!”อยู่ๆไอ้ชัยก็เรียกชื่อผมอย่างจริงจัง

“ฮือ?”ผมส่งเสียงรับแค่ในคอ ยังเหนื่อยไม่หายจากการหัวเราะ

“ไอ้วิทย์มันมีเรื่องจะถามมึง แต่มันลืม?”ไอ้ชัยเกริ่น

“มึงเป็นเลขามันหรือไงเลยถามแทน?”ผมแขวะให้ทั้งที่ในใจนึกกลัว ว่ามันจะถามสิ่งที่ผมอยากปกปิด

“เปล่า ก็มันไม่กล้าถามกูเลยจะถามแทน”ไอ้ชัยยังทำเสียงจริงจัง

“ไอ้วิทย์เนี่ยนะไม่กล้า?”ผมย้อนถาม และไอ้รงค์หัวเราะเห็นด้วยกับคำพูดผม

“เออ! อย่าชักใบให้เรือเสียสิวะ!”

“กูว่าเรือมึงสตาร์ทไม่ติดตั้งแต่ต้นแล้ว”ไอ้รงค์ยังขัดคอ คราวนี้เป็นไอ้วิทย์ที่หัวเราะเห็นด้วย

“เรือใบบ้านมึงต้องสตาร์ท ไม่ใช่เรือหางยาวนะโว๊ย!”ถึงจะหัวเดียวแต่ไอ้ชัยก็ไม่ยอมแพ้

“อ้าว...แล้วมันแล่นได้ไง กูไม่เห็นมีคนแจว”ไอ้รงค์ว่า แล้วเราก็หัวเราะกัน

“ตกลงจะให้กูถามหรือเปล่าวะ?”ไอ้ชัยตะโกนถามแข่งกับเสียงหัวเราะของพวกผม ก็พอดีแม่เคาะประตูอีกครั้ง

“ต้องให้พ่อกับแม่นอนสะดุ้งหรือไง ถึงจะยอมเงียบกัน?”เสียงแม่ดุ

“ทำไมพ่อกับแม่มึงถึงต้องสะดุ้งวะ?”ไอ้รงค์กระซิบถาม เหมือนกลัวแม่ผมจะได้ยิน

“ก็ด่าพ่อ ล่อแม่ไงเล่า!...แล้วตกลงกูถามได้ยังวะ?”ไอ้ชัยตอบ แล้ววกกลับเรื่องเดิมที่ผมกลัวจนได้

“เออ ถามมาเลย”แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับหรือปฎิเสธ ไอ้รงค์ก็รับแทนหน้าตาเฉย

“ไอ้วิทย์มันอยากรู้ว่า...”ไอ้ชัยมันกลับมาทำหน้าตาจริงจัง ถอนหายใจคล้ายเรื่องที่จะเอ่ยถามนั้นยากเย็นที่จะพูด

“เอ่อ...แบบว่า... เรื่องที่มึงร้องไห้ บอกพวกกูได้หรือเปล่าวะ... มันอยากรู้ว่าเป็นความลับหรือเปล่า?”หน้าตามันยังจริงจัง แต่แค่นั้นผมก็รู้ว่ามันทำตลกหน้าตายอีกตามเคย

“ไอ้สัตว์!”ผมประเคนคำด่าให้มันเต็มปากเต็มคำพร้อมเอาเท้ายันมันตกเตียงดังโครมใหญ่ ก่อนที่จะนอนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปกับพวกมันอีกระลอก

“เอก!...วิทย์!...ชัย!...ต้องให้แม่พูดกี่ครั้ง!”เสียงแม่ดุ ดังมาจากหน้าห้องอีกครั้ง ตามด้วยเสียงทุบประตูที่เริ่มบอกว่าความอดทนของแม่เริ่มจะหมดลงแล้ว

“แม่มึงรู้ว่ะ ว่ากู...”ไอ้รงค์ทำหน้าภูมิใจที่แม่ไม่เอ่ยชื่อมัน แต่ยังไม่ทันพูดจบ เสียงแม่ก็กำราบมาอีกคำรบหนึ่ง

“รงค์ด้วยอีกคน!...ถ้ายังเสียงดังจะไล่ไปนอนนอกบ้านให้หมด!”

อาจเพราะแม่เห็นพวกมันมาแต่เด็ก ซ้ำแม่ยังเป็นครู แม่เลยกล้าดุพวกมันได้คล่องปาก พอๆกับดุลูกตัวเอง และพวกมันก็โดนดุ โดนซัก โดนฟอก จนเคยชินเกินกว่าจะตื่นตะหนกเช่นกัน ดังนั้นคำขู่ของแม่ เลยทำได้แค่ให้พวกมันรวมทั้งผม ปิดปากแอบหัวเราะกันตัวโยน

มันคล้ายกันกับตอนเป็นเด็ก ตอนที่แม่ยังต้องจัดกระเป๋าให้เวลาไปเข้าค่ายลูกเสือ...ตอนเป็นเด็ก ที่ในหัวยังมีเรื่องกังวลอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง เห็นอะไรเราก็หัวเราะกันอย่างไม่เห็นอะไรจริงจัง

“พวกมึงว่าพี่โอ๋บอกพี่นัท เรื่องพี่เหยาหรือเปล่า?”พอหัวเราะจนเต็มอิ่มแล้ว ผมก็ถามขึ้นอย่าง ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ไม่!...พี่นัทไม่เห็นเหมือนรู้อะไรเลย”ไอ้ชัยตอบมั่นใจ ก่อนคลานกลับขึ้นมาบนเตียง

“กูเหมือนรู้อะไร หรือเปล่าล่ะ?”ไอ้รงค์ย้อนถาม

“มึงว่าพี่โอ๋บอก?”

“ไม่...ก็เวลาพี่นัทไปที่หอไอ้วิทย์ พี่เขาก็ยังคุยกัน...ถ้าใครพูดถึงเพื่อนกูแบบนั้น จริงไม่จริง กูก็คงต่อยคว่ำ! เลิกคบว่ะ!”ไอ้รงค์อธิบาย

“กูรักมึงว่ะ”ไอ้วิทย์ว่า ทำท่าซึ้งชวนคลื่นไส้

“ไม่ต้อง!...กูไม่ได้หมายถึงพวกมึง!”แต่ไอ้รงค์ไม่ซึ้งด้วย

“แล้วมึงล่ะ?”ผมถามไอ้วิทย์ มันคือคนที่สนิทกับพี่โอ๋ที่สุด

“ไม่!...ไม่ได้เอาใจพี่โอ๋นะ...”มันตอบพลางทำท่าหันหน้าไปบอกลมบอกแล้ง

“ไอ้เหี้ย!...หันไปบอกใครวะ...”ไอ้ชัยด่า ก่อนถีบไอ้วิทย์เต็มแรง แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง

“แต่ว่ากูรู้พี่เขาไม่พูดหรอก...”ไอ้วิทย์บอกอย่างมั่นใจ

“ร้อนโว๊ย!”ไอ้ชัยโวย ก่อนถลกผ้าห่มออก แล้วลากหมอนกลับลงไปนอนกับพื้นอย่างเดิม

“แล้วหลังจากวันนั้น มึงเคยคุยกับพี่เขาบ้างไหม?”ผมหันไปถามไอ้วิทย์ ที่กำลังพลิกตัวหลบตีนไอ้รงค์ที่คว้าหมอนกระโดดตามไอ้ชัยลงไปนอนที่พื้น

ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่โอ๋อีกแล้ว เพราะโดยลึกๆแล้ว ผมก็ไม่ได้โกรธเกลียดพี่เขาแล้ว เพราะอย่างที่บอกคือ ทั้งหมดคือผม ไม่ใช่พี่เขาที่เป็นต้นเหตุความบาดหมาง โดยเฉพาะไอ้วิทย์ที่รู้จักกับพี่เขามาแต่เด็ก ก็พลอยแตกคอกันไปเพราะผมเป็นต้นเหตุ

ไอ้วิทย์มันไม่ได้ตอบผมโดยทันที มันทำท่าคิดอยู่นาน ก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้น และผมที่นอนกลับหัวกลับหางกับมันเลยต้องพลอยลุกขึ้นมาด้วย เพราะจากท่าทีมัน ผมรู้ มันต้องการคุยกับผมอย่างจริงจัง

มันอ้าปากจะพูด แล้วก็หุบปากลงเหมือนเดิม ก่อนจะถอนหายใจ

“เอก...ในโลกนี้ ปัญหามีอยู่สองอย่าง”มันพูด ก่อนดึงมือผมทั้งสองข้างไปจับไว้

ถ้าเป็นครั้งอื่นผมคงหัวเราะ แล้วถีบมัน แต่ครั้งนี้ ผมรู้มันจริงจัง จริงจังเกินกว่าที่ผมจะกล้าเสแสร้งแกล้งชักใบ ให้กลายเป็นเรื่องล้อเล่น

“ปัญหาที่แก้ได้... มึงต้องแก้ ไม่ใช่หนี...”มันพูด มือขวาของมันห่อมือซ้ายของผมให้กำเข้า

“กับปัญหาที่แก้ไม่ได้...มึงต้องวาง ไม่ใช่กำไว้ให้หนักหัว!”มันจับมือขวาของผม บังคับให้วางแบลง

ผมก้มมองดูมือตัวเอง ที่ข้างหนึ่งถูกมือมันกำไว้แน่น และอีกข้างที่ถูกบังคับให้วางแบลง

ไอ้ชัยกับไอ้รงค์ ลุกขึ้นนอนตะแคงมองดูผมจากพื้น

ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพวกมัน

เป็นครั้งแรกที่ผมได้คิด...มีแต่ผมที่โตแต่ตัวแบบที่แม่ชอบบ่นชอบว่า ส่วนพวกไอ้วิทย์ มันโตกว่าผมทั้งความคิดและการกระทำ




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมรู้จักไอ้ชัยตั้งแต่ป.3 และเรียนห้องเดียวกับมันยันป.5 แต่พอป.6ก็แยกห้อง ซึ่งผมได้อยู่ห้องเดียวกับไอ้รงค์ ส่วนไอ้ชัยไปเรียนห้องเดียวกับไอ้วิทย์ จนม.1 ที่สอบย้ายโรงเรียนตามกันมานั่นแหละเราถึงได้อยู่มารวมเรียนอยู่ห้องเดียวกันหมดและเป็นเพื่อนกันนับจากนั้น

ร่วม 10 ปี ที่ผมได้รู้จักกับพวกมัน...แรกๆผมยังจำได้ว่า ตัวเองไม่ค่อยชอบหน้าไอ้วิทย์นัก เพราะมันขี้คุย พวกผมรู้ว่าที่ไอ้วิทย์มันพูดมันเล่า ต้องลบด้วยเก้าแล้วหารด้วย10อีกที แต่มันไม่ได้ขี้โกหก มันแค่โม้แค่คุย เพราะความคะนอง...ทั้งเหล้า บุหรี่ หนังสือโป๊ มันทำตัวเป็นรุ่นพี่สอนพวกผมหมด จนเมื่อไหร่ไม่รู้ ที่มันกลายเป็นคนที่พูดอะไรกลับกลายเป็นว่าพวกผมต้องฟัง กลายเป็นคนแรกที่พวกผมวิ่งหาเวลามีปัญหา

ไอ้รงค์ มันพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร...มันสนิทกับคนยาก เข้ากับคนไม่ค่อยเก่ง... พวกผมว่าไง มันก็ว่างั๊น คล้ายกลัวโดนทิ้งเพราะมันไม่ค่อยมีเพื่อนคนอื่น แต่วันหนึ่งผมก็รู้ว่าที่คิดน่ะผิด ผมจำได้ เมื่อไอ้วิทย์กับไอ้ชัยละล้าละลังตามผมกับพี่โอ๋มาหาพี่เหยา ไอ้รงค์มันพูด...กูมีธุระ...และไม่ลังเลที่จะหันหลังให้พวกผมโดยทันที...

ส่วนไอ้ชัย เมื่อก่อนมันเป็นคนคอยขัดคอให้วิทย์ ถึงเดี๋ยวนี้ พวกมันก็ยังพูดกันคำ ขัดกันคำ แต่ต้องยอมรับ เวลาเถียงอะไรกันจริงจังทีไร มันนี่แหละคอยวิ่งไกล่เกลี่ย...เพราะไอ้วิทย์มันเป็นพวกแรงเกิน ส่วนให้รงค์ก็นิ่งเกิน และผมวิ่งหนีปัญหาเสมอ จึงเป็นไอ้ชัยที่คอยเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยปัญหาเสมอ


เป็นครั้งแรกที่ผมได้คิด...พวกมันเปลี่ยนไปแล้วทุกคน มีแต่ผมที่ย่ำอยู่กลับที่ อยู่กับปัญหาที่...กำไว้ให้หนักหัว อย่างที่ไอ้วิทย์ว่า

“แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่โอ๋วะ?”ผมแกล้งถาม ทั้งที่รู้มันหมายถึงพี่เหยา ไม่ใช่พี่โอ๋

“ไอ้สัตว์!”ไอ้วิทย์ด่า ก่อนปล่อยมือผม แล้วล้มตัวนอนเหมือนเดิม ผมทำอย่างมัน แต่หันหน้าเข้ากำแพง ไม่อยากมองหน้าพวกมัน

ตอนนี้ผมรู้สึกแย่ แย่ และแย่

ตอนกลางวันพี่เหยาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน

และตอนนี้ พวกมันทำให้ผมสำนึกได้ว่าผมไม่เอาไหนจริงๆ

“ที่พูด ไม่ใช่อยากให้มึงรู้สึกแย่นะโว๊ย!”ไอ้วิทย์พูด พลางถีบผม

“เออ!กูรู้สึกดี!”ผมตอบ ไม่สนใจตีนมัน

“เฮ้ย!วันนี้ถีบฟรีว่ะ”เสียงไอ้ชัยพูด ก่อนเสียงพวกมันขยับตัว ผมเลยต้องรีบพลิกตัวกลับ พอดีทันพวกมันง้างเท้า

“เพื่อนเหี้ยอะไรวะ กูกลุ้มอยู่นะโว๊ย!”ผมโวยแต่ก็หัวเราะพร้อมยกแขนยกขากันลูกถีบพวกมัน แต่สองแขนสองขาของผมสู้หกแขนหกขาของพวกมันไม่ได้ ผมเลยถูกถีบจนติดกำแพง

เสียงประตูห้องนอนแม่เปิด เราจึงรีบเงียบเสียง ไม่มีใครกล้ากระดิกตัว จนแม่กลับเข้าห้องไปอีกครั้งนั้นแหละ เราจึงถอนหายใจออกมาพร้อมๆกัน

แล้วเราก็นอนคุยกันอีกสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องที่มีสาระและไร้สาระ

ระหว่างที่ปากคุยและได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองกับเพื่อนๆ บางครั้งใจผมก็ฉุกคิดว่า...จริงๆแล้วน้ำหนักของพี่เหยาในใจผมอาจจะเบาบางกว่าที่ผมคิดก็ได้ อย่างที่ไอ้วิทย์เคยว่า สิ่งที่ไม่ได้มาโดยง่าย มักถูกคิดว่ามีค่าเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ...

‘ลองพ่อแม่ไม่ห้าม รักเร็วแบบนี้ ไม่นานก็เลิก’ไอ้วิทย์เคยวิจารณ์ถึงบทสรุปความรักของโรมิโอกับจูเลียต วรรณกรรมอมตะที่ใครๆออกจะซาบซึ้ง แต่มันไม่ซึ้งด้วย

‘ไม่จริงเสมอไปสักหน่อย บางคู่คบกันไม่นานก็จริงจังจนแต่งงานกันก็มี’แฟนไอ้รงค์แย้ง อย่างร้อนตัวเพราะ หล่อนกับไอ้รงค์เจอหน้ากันแค่อาทิตย์เดียวก็ตกลงเป็นแฟนกันซะแล้ว

‘แต่งแล้วหย่าไม่ได้เหรอเจ๊?’ไอ้วิทย์ย้อนถาม

‘รงค์!’คราวนี้หล่อนหันไปหาไอ้รงค์

‘เอ้าขอความเห็นหน่อยรงค์มิโอ!’ไอ้วิทย์ก็หันไปหาไอ้รงค์ที่ทำหน้าเมื่อยบ้าง

‘ก็คุยกันเองสิวะ เกี่ยวไรกับกู’มันไม่กล้าหือกับแฟนเลยหันไปตอบไอ้วิทย์แทน

‘ก็แฟนมึงอ่ะ’ไอ้วิทย์ว่า

‘ก็แฟนเพื่อนมึงไง ไปคุยกันเอาเอง’ไอ้รงค์ตอบซะงั๊น

ผมไม่แน่ใจว่าการสนทนาจบลงที่แฟนไอ้รงค์งอนไอ้วิทย์หรืองอนไอ้รงค์กันแน่ แต่วันนี้ เมื่อผมยังหัวเราะได้กับพวกมันทั้งที่ความทุกข์ยังไม่ทันปิดประตูลา ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเห็นด้วยกับไอ้วิทย์...สิ่งที่ไม่ได้มาอย่างที่หวัง เรามักกระหายถึงมันเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ...เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมก็รู้สึกว่าใจตัวเองสงบขึ้น

“มึงเคยรู้หรือเปล่าว่าทำไมพี่เหยามาอยู่กับทอม?” ผมหันไปถามไอ้วิทย์ เมื่อต่างเงียบเสียงคุย

“ไม่...กูไม่เคยคุยกับพี่เหยาเรื่อง...”ไอ้วิทย์ตอบคล้ายนึกคำพูดไม่ออก

“แล้ว...”ผมอ้าปากจะถามแต่โดนไอ้รงค์ขัดขึ้น

“กูรู้แต่ว่า...มึงไม่รู้จักทอมเท่าที่พี่เหยารู้จัก เหมือนๆกับที่ไม่รู้จักพี่เหยา เท่าที่ทอมรู้จัก!”

คำพูดของไอ้รงค์เหมือนฝ่ามือที่ฟาดลงหน้าผมอย่างจัง คำพูดของมันช่วยตอกย้ำความคิดที่ว่า ผมเป็นคนนอกระหว่างพี่เหยาและทอม

น้ำตาของผมไม่มีความหมายเท่าน้ำตาของทอม

ความเจ็บปวดของผมไม่มีค่าอะไรกับพี่เหยาเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดของทอม

ไม่ต้องออกปากถามอีกว่า...ผมกับทอมตกเหว พี่จะช่วยใคร...เพราะผมรู้ พี่เหยาพร้อมจะปล่อยมือจากผม...เสมอ

ความเจ็บปวดยังเท่าเดิม แต่เมื่อมีพวกมันอยู่ด้วย ผมไม่แน่ใจผมเข้มแข็งจนไม่ร้องไห้ หรือขี้ขลาดจนไม่กล้าร้องไห้กันแน่

ระหว่างพี่เหยากับพวกมัน ถ้าต้องเลือกผมจะเลือกใคร...คำตอบดูจะยากเย็น เจ็บปวด และน่าละอายใจ แต่ผมรู้ ผมเลือกพวกมัน แล้วจะแปลกอะไรเมื่อพี่เหยาให้ความสำคัญกับทอมมากกว่าผม...ทอมคนที่เป็นส่วนหนึ่งของพี่เหยามาเกือบทั้งชีวิต กับผมที่เพิ่งผ่านเข้าไปในชีวิตเพียงเมื่อไม่นาน...

ผมคิดด้วยใจที่สงบอย่างน่าประหลาดและหลับไปอย่างไม่รู้ตัว จนเมื่อลืมตาตื่นในตอนเช้า ผมจึงบอกตัวเองได้ว่าผมคิดผิด เพราะเมื่อก่อนตาจะหลับ เมื่อสติเริ่มหลุดลอย สิ่งที่ผมคิดถึงเป็นสิ่งสุดท้ายคือพี่เหยา และเมื่อลืมตาตื่น สิ่งแรกที่นึกถึงคือ พี่เหยา...น้ำหนักของพี่เหยาในใจผมไม่ได้เบาบางอย่างที่ผมคิด เพียงแต่อารมณ์มันนิ่งสงบลงไม่พลุ่งพล่านอย่างเมื่อวานเท่านั้น ดังนั้นผมจึงบอกตัวเองว่า...พี่เหยา เป็นปัญหาที่ผมต้องวางอย่างที่ไอ้วิทย์บอก

สายๆ แม่ไอ้วิทย์ก็โทรตามให้กลับ

“กูต้องกลับแล้ว ต้องไปงานศพพี่โอ๋กับแม่ เดี๋ยวไปไม่ทันสวด คืนนี้สวดคืนสุดท้าย ”ไอ้วิทย์บอกหลังจากวางหูจากแม่มัน

“แล้วอยู่ส่งศพด้วยหรือเปล่า?”ไอ้รงค์ถาม เพราะรู้กันว่า แม่ไอ้วิทย์กับแม่พี่โอ๋เป็นเพื่อนสนิทกัน

“อยู่”

“กูไปด้วยได้หรือเปล่า?” ผมถามไอ้วิทย์ เมื่อมันยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋า และมันพยักหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองผม

“กูไปด้วยดีไหมวะ?”ไอ้ชัยลังเล

“เออ! คิดไป...กูกลับมาแล้วมึงค่อยบอกว่าจะไปหรือไม่ไป!”ไอ้วิทย์หันไปด่า แต่แค่นั้นเราก็รู้ มันอยากให้ไอ้ชัยไปด้วย

“กูไปด้วยไม่ได้นะ พรุ่งนี้แม่กูไม่อยู่”ไอ้รงค์บอก

“หยิบเสื้อให้กูด้วย กูลงไปโทรศัพท์แป๊บ!”ผมบอกพวกมัน ก่อนเดินออกจากห้องแล้วยื่นหน้ากลับเข้าไปใหม่

“เฮ้ย ไอ้ที่พูดกับคนตายนี่เขาว่าไงวะ?”ผมถาม

“อโหสิกรรม”ไอ้ชัยตอบ

“ขออโหสิกรรม”แต่ไอ้รงค์ตอบอีกอย่าง

“ตกลงขอหรือไม่ขอ?”ผมถาม แต่คำตอบที่ได้คือพวกมันเงียบ แปลว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน

“มึงจะโทรหาพี่เหยา?”ไอ้วิทย์ถาม

“เออ!”ผมตอบสั้นก่อนรีบดึงหัวกลับออกมา กลัวมันถามมากกว่านั้น

ผมโทรหาพี่เหยา...นานกว่าพี่เหยาจะรับสาย และเสียงที่ตอบรับคล้ายจะลังเล ผมรู้พี่เหยาคงกังวล...ใจหนึ่งผมอยากถาม...พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?...แต่อีกใจก็บอกให้ตัวเองเมินเฉย เพื่อหลบเลี่ยงความจริงที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวาน เพราะเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายพูด...พี่อย่ามายุ่งกับผมอีก...

ผมจึงเลือกที่จะไม่ถามและไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมเล่าให้พี่เหยาฟังเรื่องโอ๋ พี่เหยาฟังเงียบๆ และเงียบเสียงเมื่อผมบอก

“ผมจะไปงานศพพี่เค้า กับไอ้วิทย์”

“พี่มีอะไรจะฝากบอกพี่โอ๋หรือเปล่า”ผมถามเมื่อพี่เหยาเงียบ และละคำว่าขอหรือไม่ขออโหสิกรรมไว้เพราะไม่เคยปากนัก

“ก็ไม่มีอะไร”พี่เหยาตอบหลังจากหยุดคิด

“พี่ยกโทษให้พี่เขาหรือเปล่า...จะได้ไม่ติดค้างกัน”ผมพยายามคิดหาคำพูด

“ก็ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว”พี่เหยาบอกผม

“หมายความว่าไง?”ผมไม่เข้าใจ

“พี่เคยคุยกับเขาแล้ว”พี่เหยาบอก และสิ่งที่ได้ยินต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิด

“พี่เคยเจอเขาที่หอวิทย์...เขาขอโทษพี่แล้ว...เขาว่าเขาไม่เคยบอกอะไรพี่นัท”พี่เหยาบอกเล่าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ทิ้งให้ผมยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นนานจนแม่ต้องถามว่าเป็นอะไร

ผมไม่เข้าใจ...ผมอยู่ตรงไหน ทำอะไร เมื่อสิ่งรอบๆตัวมันเปลี่ยนแปลง มันผ่านเลยไป...พี่โอ๋เคยขอโทษพี่เหยาแล้ว?...แล้วผมล่ะ?ผมที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด มัวทำอะไรอยู่?...

ผมกลับขึ้นไปที่ห้องนอน นึกลังเลว่าจะเล่าให้พวกมันฟัง เรื่องที่ได้ยินจากพี่เหยาดีหรือเปล่า...และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเล่า เพราะรู้สึกว่า หากปกปิดไว้ มันเหมือนผมทรยศทั้งพี่โอ๋ ทั้งไอ้วิทย์

ไอ้วิทย์มันนิ่งไปหลังจากที่ฟังผมพูด ก่อนที่จะหัวเราะอย่างแกนๆ และเดินออกไปจากห้องไม่พูดไม่จา

ผมได้ยินเสียงประตูห้องน้ำ เปิด และปิด...

ผมรู้...มันกำลังร้องไห้...ร้องไห้เหมือนวันที่มันทะเลาะกับพี่โอ๋ เหมือนตอนที่มันมาซุกหน้าร้องไห้อยู่ในห้องผม...วันนั้นผมสงสัย ทำไมมันต้องร้อง มันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่วันนี้ผมรู้ มันคงร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ที่ถูกทำลายลงเพราะผมเป็นต้นเหตุ

มันยกโทษให้ผม แต่ไม่เคยยกโทษให้พี่โอ๋...ผมเคยคิดว่ามันเลือกผมที่เป็นเพื่อน แต่จริงๆไม่ใช่...แม้เวลานั้นเราจะเด็กเกินกว่ารู้จักคำว่าศรัทธา แต่ความจริงคือ มันไม่อาจยกโทษให้พี่โอ๋ เพราะมันสูญเสียศรัทธา...สูญเสียความนับถือ ...คำที่ทั้งผมและมันยังเด็กเกินกว่าจะรู้จักด้วยซ้ำในเวลานั้น...

หากย้อนกลับไป พี่โอ๋ในวันนั้นไม่ต่างจากพวกผมในวันนี้นัก พี่โอ๋ไม่ได้โตหรือเป็นผู้ใหญ่เท่าที่พวกผมเห็นด้วยความรู้สึกในตอนนั้น...ไม่ได้เติบโตเท่าที่พวกผมเห็นด้วยความรู้สึกของคนที่เด็กกว่า พี่โอ๋ทำผิดและถูกอย่างที่ผมทำ... มีสำนึกผิดถูกอยู่บนความคึกคะนอง...สิ่งที่ทำลงไปอาจเพียงแค่รักษาหน้าจากความคาดหวังจากเด็กแก่แดดแก่ลมอย่างพวกผม...ชั่วเวลาน้อยนิดที่ผมหยิบยื่นให้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร จากความคาดหวังของพวกผม...พี่โอ๋แค่เลือกทางผิด...

ผมรู้ไอ้วิทย์กำลังร้องไห้ ให้กับความจริงที่มันรู้ช้าจนเกินไป...น้ำตาของมันในวันนี้คงปนเปื้อนกับความดีใจ...เพราะอย่างน้อยมันรู้...มันสามารถยกโทษให้พี่โอ๋ได้แล้วอย่างแท้จริง เพราะมันได้ศรัทธาในตัวพี่โอ๋คืนมา...

ตลอดทางที่นั่งรถไปด้วยกัน ไอ้วิทย์มันนั่งเงียบ มันพูดกับไอ้ชัยบ้าง แต่ไม่ยอมพูดกับผม มันคงนึกโกรธผม เพราะผมเป็นสาเหตุทั้งหมด

ที่งานศพ...ผมพบความหมายของคำว่าสูญเสียอย่างแท้จริง

เมื่อรู้ว่าพี่โอ๋ตาย...ผมตกใจและเสียใจ...แต่ก็ห่างไกลจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้

พี่โอ๋เป็นคนแรก...ที่ทำให้ผมรู้จักกับความตาย

แม่พี่โอ๋ไม่ได้ร้องไห้เหมือนปริ่มจะขาดใจอย่างที่เคยเห็นในหนังหรืออย่างที่ผมคิดไว้ว่าจะได้เห็น...ตรงข้ามใบหน้าของแม่พี่โอ๋ซีดเซียว ไม่มีน้ำตา ไม่มีสีเลือด ไม่มีชีวิต...

ผมนึกถึงการกระทำของตัวเองที่ทำไปเมื่อวาน เมื่อขี่มอเตอร์ไซด์อย่างคนไม่มีสติ

ผมมองเห็นพ่อและแม่นั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยใบหน้าแบบเดียวกัน...

ทำไมผมทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า...ผมสำนึกในสิ่งหนึ่ง ก็เพียงเพื่อทำผิดในอีกสิ่งเสมอ...

ถ้าผมสัญญากับตัวเองในวันนี้ว่าจะไม่ทำอีก...พรุ่งนี้ผมจะทำผิดอย่างอื่นอีก เพื่อสำนึกผิดในวันถัดไป...

ไอ้ชัยตบหลังไอ้วิทย์เบาๆ ผมถึงสังเกตเห็นว่าไอ้วิทย์ร้องไห้...ผมบอกตัวเองว่านั่นคืออีกหนึ่งผลลัพธ์ของความผิดของผม

คืนนั้นผมกับไอ้ชัยไปนอนค้างที่บ้านพี่โอ๋กับแม่ไอ้วิทย์ ส่วนไอ้วิทย์มันขออยู่เป็นเพื่อนศพ

ผมนอนลืมตาตื่นทั้งคืน...คิดถึงพี่เหยา...คิดถึงทอม...คิดถึงพี่โอ๋ ไอ้วิทย์และตัวเอง

ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมยังอยากครอบครองพี่เหยาอยู่หรือเปล่า คำตอบคือใช่

ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ผมยังชิงชังทอมอยู่หรือเปล่า คำตอบยังคือใช่

และผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า... แล้วทำไมใจมันไม่ทุรนทุรายจะเป็นจะตายอย่างเมื่อวันก่อน...

คำตอบที่ได้ในวันนั้นไม่แน่ชัดนัก... ผมไม่อาจตอบได้ว่าเพราะการจากไปของพี่โอ๋ เพราะความจริงที่รู้จากพี่เหยา หรือ เพราะหน้าไร้ชีวิตของแม่พี่โอ๋หรือเพราะน้ำตาของไอ้วิทย์...

ในวันนั้นผมสัมผัสได้ถึงคำตอบ แต่ก็บอกตัวเองไม่ได้แน่ชัด แต่วันนี้เมื่อผ่านโลกมานานกว่าวันนั้น ผมรู้คำตอบที่ค้นพบในวันนั้น...ไม่ว่าจะการจากไปของพี่โอ๋ หรือความจริงที่รู้จากพี่เหยา ไม่ว่าจะเพราะใบหน้าไร้ชีวิตของแม่พี่โอ๋หรือน้ำตาของไอ้วิทย์ อาจรวมถึงน้ำตาของทอมหรือเสียงสะอื้นไห้ของพี่เหยา...ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบ เพราะชีวิตไม่ได้เป็นแค่ของผม และผมไม่อาจมีชีวิตอยู่แค่เพื่อคนๆเดียว เพราะความจริงไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมรู้หรือมองเห็น และผมไม่อาจมีชีวิตจมปลักอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและต้องการ...ผมผลักโลกที่เคยหมุนโดยเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางให้ไกลห่างออกไปและพบว่าความเจ็บปวดมันห่างไกลออกไปในระยะทางใกล้เคียงกัน...




--------------------


จบตอน 10

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
 o7 o13 o7 o13 o7 o13

แด่พี่ทิพย์ กับ คุณภัคD >>>>>>>>  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะอ่านจบ  :try2: ซีนอารมณ์เยอะจัง    :เฮ้อ:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
สาธุ!

ขอบคุณทิพจริงๆ

สอง

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดมาได้
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เสียวสันหลังอยู่ลึกๆ ว่าถ้าพลาดไป คงไม่สามารถจะผลักความเจ็บปวดออกไปในระยะห่างได้เลย

คงเป็นข้อเตือนใจหลายๆคน เมื่อถือมันไว้แล้วทุกข์ ก็ปล่อยมันลงซะ
บางทีอาจจะมองเห็นหนทางที่ควรจะเดิน
 :o12: :o12: :o12:

Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
หนึ่งในนิยายที่ดีที่สุดที่เคยอ่านเลยคับ o13

เป็นกำลังใจให้นะคับ


อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
แอบเจาะไข่ คุณน้องรี ฯบน  อิอิ  :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 11

หลังจากกลับจากงานศพพี่โอ๋ ไอ้วิทย์มันก็ซึมอยู่วันสองวัน แล้วก็กลับมาเป็นปกติ

ส่วนผม แม้จะคิดว่าตัวเองทำใจได้เรื่องพี่เหยา แต่สุดท้ายผมก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ผมหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ลงมาช่วยย่าขายของเพราะไม่อยากเจอพี่เหยา และหลีกเลี่ยงที่จะไปมหาวิทยาลัยไอ้วิทย์ เฝ้าแต่บอกไอ้ชัยว่าพรุ่งนี้และพรุ่งนี้ จนเวลาผ่านไปร่วมสองอาทิตย์ ไอ้ชัยถึงลากผมไปกับมันได้สำเร็จ

ก่อนไป ผมคาดว่าคงจะเจอพี่เหยาอยู่กับไอ้วิทย์ แต่ผมคิดผิด พี่เหยาไม่ได้อยู่ที่โต๊ะกับมัน

“เดี๋ยวนี้พี่เขาฟิตจัด หมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด”ไอ้วิทย์บอกโดยที่ผมไม่ต้องอ้าปากถาม

ผมยังจำคำที่ตัวเองพูดกับพี่เหยาได้...อย่ายกโทษให้ผม อย่ามายุ่งกับผมอีก...พี่เหยาทำอย่างที่ผมบอก พี่เหยาคงรู้ผมหลบหน้าพี่เหยา

“ห้องสมุดมหาลัยมึงต้องใช้บัตรหรือเปล่าวะ?”ผมถามไอ้วิทย์ แต่คำตอบที่ได้คือนิ่งคิด และท่าทางมันจะคิดไม่ออก

“ไอ้เหี้ย!ห้องสมุดมีพระหรือไงวะ ถึงไม่เคยเข้า?...เอาบัตรมึงมา!”เมื่อมันตอบไม่ได้ ผมเลยคิดว่าควรเอาไปเผื่อไว้

“มึงนี่เอง แฝดน้องกูที่ตามหามาทั้งชาติ! เหมือนชิบ!”มันประชด แต่ก็หยิบบัตรนักศึกษาของมันโยนให้แต่โดยดี

ในห้องสมุด ผมมองหาพี่เหยาได้ไม่ง่ายนัก อาจเพราะใกล้สอบหลายคนจึงตั้งหน้าตั้งตามาอ่านหนังสือ...หรือพี่เหยาไม่ได้ตั้งใจหลบหน้า...ผมชักไม่แน่ใจเมื่อเห็นจำนวนนักศึกษาที่ต่างก้มหน้าขะมักเขม้นกับหนังสือตรงหน้า

ผมอยากให้พี่เหยานั่งเหม่อ นั่งหมดอาลัยตายอยาก หรือให้พูดตรงๆคือนั่งคิดถึงผม แต่พี่เหยาที่ผมเห็นก็เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆคือตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ

ผมบอกตัวเองว่าพี่เหยาเป็นแบบนี้มานานแล้ว พี่เหยาแยกแยะสิ่งที่ต้องทน ต้องทำ และต้องวางได้เด็ดขาดเสมอ

ผมเคยถามตัวเองว่า ถ้าต้องเป็นอย่างพี่เหยา ผมจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ผมจะทำตัวเป็นเด็กดี ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสืออย่างนี้ได้หรือเปล่า คำตอบไม่ยากนัก เกรดศูนย์ เกรดร. หรือการซ้ำชั้น ในอดีตของผม บอกอย่างแจ่มแจ้งว่าชีวิตผมคงลงเหวไปนานแล้วถ้าต้องเป็นอย่างพี่เหยา เพราะเพียงแค่ที่ผ่านมา หากไม่มีพวกไอ้วิทย์ ผมก็คงเอาตัวไม่รอด

ใจหนึ่งผมจึงนับถือพี่เหยา แต่อีกใจต้องยอมรับว่าผมน้อยใจ เพราะสิ่งที่พี่เหยาปล่อยวางได้สนิทใจคือเรื่องของผม...

ภาพพี่เหยาที่นั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจจึงทำให้ใจผมขุ่นมัว สองอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้จะบอกว่าทำใจยอมรับได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดคิดได้ ผมยังเฝ้าคิดถึงพี่เหยา ยังอยากครอบครอง ยังนึกชิงชังทอม ผมทำได้เพียงควบคุมให้ทุกความรู้สึกเป็นไปอย่างเงียบสงบ หากแต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ว่างหรือแม้บางครั้งที่ลืมตัว ในใจผมคิดถึงก็แต่พี่เหยา

ผมลังเลว่าจะเข้าไปทักดีหรือเดินกลับออกมาเงียบๆ แต่ก็พบว่าตัวเองละสายตาไปจากพี่เหยาไม่ได้

แก้มพี่เหยายังแดงเพราะอากาศของเชียงใหม่ยังหนาวเย็น...ผมอยากเหลือเกินที่จะสัมผัสแก้มเย็นๆนั่น อยากสัมผัสปากแดงๆของพี่เหยาที่กำลังขบหัวปากกาเล่นอยู่...อยากสัมผัสและอยากกอดพี่เหยาไว้...อยากได้ยินเสียงพี่เหยาหัวเราะ...อยากให้พี่เหยาเงยหน้าขึ้นมองดูผม...และยิ้ม

นักศึกษาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับพี่เหยาเก็บของและลุกไป ผมรีบเดินเข้าไปนั่งแทนที่อย่างลืมตัว

พี่เหยาทำท่าแค่รับรู้ว่ามีคนมานั่งอยู่ตรงข้าม และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไม่มีทีท่าสนใจอะไรอีก

ผมมองดูเปลือกตาพี่เหยาที่หลูบลงอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ และจำได้ถึงแววตาพี่เหยาเวลาที่จ้องมองผมและหัวเราะ

ผมมองดูขวัญผมกลางกะหม่อมของพี่เหยา... มองดูผมเส้นเล็กๆและจำได้ว่ามันอ่อนนุ่มแค่ไหน กลิ่นหอมจางๆยังนึกติดที่ปลายจมูก บ่อยครั้งที่ผมเคยก้มลงจูบเมื่อพี่เหยานั่งอิงซบอยู่กับไหล่ผม...

ผมมองดูนิ้วมือขาวๆที่พี่เหยายกขึ้นถูริมฝีปากตัวเองเวลาใช้ความคิด นึกถึงเวลาที่พี่เหยาลูบไล้เบาๆที่แก้มและริมฝีปากผม

ผมมองดูข้อมือขาวๆที่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆแล้ว...มองดูลำคอเรื่อยเลยไปที่กระดูกไห้ปลาร้าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตา

...คิดถึงเหลือเกิน...อยากกอด อยากให้เป็นของผม...ผมฟังเสียงหัวใจตัวเองบอก เมื่อมองพี่เหยาที่นั่งอยู่ตรงหน้า

และเมื่อความรู้สึกทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบสงบ ผมก็พบว่าตัวเองยังจำได้ดีถึงความสุขเมื่อได้กอดพี่เหยาไว้ จำได้ถึงความอบอุ่นจากตัวพี่เหยาในคืนที่ท้องฟ้าของเชียงใหม่เต็มไปด้วยแสงโคม พอๆกับที่จดจำได้ดีถึงเสียงของความสิ้นหวังในวันที่เหมือนโลกกำลังจะพังทลายลง เหมือนแสงโคมที่เพิ่งหมดไปจากท้องฟ้าเมืองเชียงใหม่

ถ้าพี่เหยาไม่ยกโทษให้ทอม ถ้าพี่เหยาไม่เพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของผม บางทีความชิงชังในความขลาดกลัวของตัวเองของผมอาจจะรุนแรงยิ่งกว่านี้ แต่เมื่อรู้สึกว่าโดนทอมทำร้าย โดนพี่เหยาทรยศต่อความเจ็บปวดของผม ผมก็ยกโทษให้กับตัวเองได้ง่ายดายขึ้น

พี่เหยายกข้อมือขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือราคาแพง...ผมรู้พี่เหยามีเรียนในคาบเรียนต่อไป

ตราบเมื่อพี่เหยาเก็บหนังสือ เก็บปากกาเสร็จนั่นแหละ พี่เหยาถึงเพิ่งสังเกตเห็นการมีอยู่ของผม

พี่เหยามองผมอย่างชั่งใจ คล้ายไม่แน่ใจว่าควรยิ้ม ควรทัก หรือควรทำอย่างไร

มันน่าเศร้าเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในอ้อมแขนผม เคยหัวเราะ เคยกระซิบเรียกชื่อผม...เวลาแค่สองอาทิตย์ เรากลับทำคล้ายจะเข้าหน้ากันไม่ติด

“ไปกินข้าวกับผมมั๊ย?”ผมเป็นฝ่ายชวน เมื่อพี่เหยาเอาแต่จ้องหน้าผม

“พี่มีเรียน...”พี่เหยาตอบคำถามที่ผมรู้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ

ผมรู้ว่าเรื่องเรียนสำคัญกับพี่เหยา แต่เมื่อเราไม่ได้เจอหน้ากันร่วมสองอาทิตย์ พี่เหยาเลือกที่จะเรียนตามเวลา มากกว่าที่จะรักษาเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่กับผม

ผมนึกถึงที่ตัวเองทำตัวเหลวไหลแอบดร๊อปเรียน เพียงเพื่อให้ได้มีเวลาอยู่กับพี่เหยา... ผมไม่เคยบอกพี่เหยาถึงสิ่งที่ผมทำ มันไม่จำเป็นที่พี่เหยาจะต้องรับรู้ ว่าผมยอมเสียอะไรไปเท่าไหร่ให้ได้มาซึ่งเวลาที่จะอยู่กับพี่เหยา และผมก็ไม่ได้เรียกร้องหรือแม้แต่หวังให้พี่เหยาทำในสิ่งเดียวกัน...เพียงแต่วันนี้ เวลานี้ เวลาเรียนแค่ชั่วโมงดูจะมีค่ามากมายเหลือเกินสำหรับพี่เหยา มีค่ามากกว่าผมที่หายหัวไปจากพี่เหยาเป็นอาทิตย์

ผมโกรธ...แต่ที่มากกว่าโกรธคือน้อยใจ...และที่รู้สึกมากกว่าน้อยใจ...คือความรู้สึกว่างเปล่า...

พี่เหยาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเสมอ...

ผมเดินออกมาจากห้องสมุดพร้อมพี่เหยา และแยกกันที่หน้าห้องสมุด ไม่ได้กลับไปสมทบไอ้วิทย์ นึกรู้ว่าเรียนเสร็จ พี่เหยาก็คงตรงกลับบ้านเลย เพราะหมดคาบเรียนของพี่เหยาในวันนี้แล้ว

ผมหมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนแต่หัววัน นอนอยู่บนเตียงแต่ไม่หลับ เฝ้าคิดและคิดถึงพี่เหยา...อีกด้านของผนังตึก พี่เหยาคงกำลังอยู่กับทอม...ผมหลับตาพยายามลบภาพที่อยู่ในหัว...

...ภาพพี่เหยาที่อยู่ในอ้อมแขนของทอม...

...ภาพผิวเนื้อขาวที่ถูกลูบไล้ด้วยมือของทอม...

...ภาพร่างเปล่าเปลือยที่กำลังถูกทอมครอบครอง...

...และภาพริมฝีปากแดงที่คงพร่ำเรียกชื่อของทอม... ไม่ใช่ผม

แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา...เมื่อพบว่า ให้พยายามอย่างไร ก็ไม่อาจลบภาพเหล่านั้นไปจากหัวได้

ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผมเกลียดและชิงชังใครที่สุด ตัวเอง...ทอม หรือพี่เหยา...

ยิ่งน้ำตามันไหลออกมามากมายเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกถึงความเกลียดชังในใจตัวเองมากมายเท่านั้น

...พี่มีเรียน...เสียงพี่เหยายังชัดอยู่ที่หู

...พี่มีเรียน...เสียงพี่เหยาดังอยู่ที่ริมหูจนผมหลับและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า เสียงนั้นก็ยังชัดเจน

บ่ายวันต่อมา ผมซ้อนท้ายไอ้ชัยไปที่มหาวิทยาลัยไอ้วิทย์เหมือนเคย และไม่คิดว่าจะเจอพี่เหยาเพราะคาบเรียนพี่เหยาหมดไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว

“พี่เหยาอยู่ที่ห้องสมุด”แต่ไอ้วิทย์มันบอก ตั้งแต่ผมยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง และผมก็แค่พยักหน้ารับรู้ พยายยามทำเพิกเฉยต่อสิ่งที่มันบอก

แต่สุดท้ายผมก็ทนนั่งอยู่ได้แค่ชั่วครู่ ก่อนพาใจที่ยังห่อหี่ยวของตัวเองไปมองหาพี่เหยาในห้องสมุด แต่วันนี้แค่ผมก้าวเท้าไปยังไม่ทันถึงโต๊ะที่พี่เหยานั่ง พี่เหยาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมและยิ้ม

ผมเดินเข้าไปหา มองดูพี่เหยาที่เตรียมเก็บหนังสือและปากกา

...ทำไมพี่เหยาไม่ทำแบบนี้เมื่อวานนะ?...ผมถามตัวเอง นึกสงสัยว่าถ้าเมื่อวานพี่เหยามีท่าทีแบบนี้ ผมจะดีใจแค่ไหน...แต่สำหรับวันนี้ ผมนึกชิงชังกับท่าทีของพี่เหยา

“กะไม่พลาดเอสักตัวเลยเหรอพี่?”ผมทัก และไม่สนใจรอคำตอบ ทำทีเป็นมองไปรอบๆ

“ไปก่อนนะ ผมนัดเพื่อนไว้!”ผมบอก เมื่อพี่เหยาขยับปากจะพูดอะไรสักอย่าง

ผมมองดูริมฝีปากที่รอยยิ้มค่อยๆจางไปของพี่เหยา มองดูพี่เหยาที่พยักหน้ารับคำผม และค่อยๆดึงปลอกปากกาในมือออกอีกครั้ง...สะใจดีเหลือเกิน! ผมรู้สึกอย่างนั้น

ผมหันหลังเดินออกมาไม่สนใจพี่เหยาอีก อยากหันกลับไปมอง นึกอยากรู้ว่าพี่เหยาจะมองตามผมมาหรือกลับไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ

ผมเดินออกจากห้องสมุดอย่างยิ้มย่อง พอใจในความสะใจที่ได้รับ...แล้วก็ต้องยอมรับ ในความสะใจมีความเสียใจปะปนอยู่ด้วย...

ผมชอบรอยยิ้มที่ปนเปื้อนความผิดหวังนั้นจริงๆหรือ?...

สุดท้ายผมก็เดินกลับเข้าไป พี่เหยากลับไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกครั้ง แต่ก็เงยหน้าขึ้นทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้

คราวนี้พี่เหยาไม่ยิ้ม แต่มองผมคล้ายเตรียมพร้อมว่าผมจะกรีดมีดเล่มไหนลงไปอีก

“นึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียนแล้วนี่ ใช่ไหม?”ผมแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว และพี่เหยาพยักหน้ารับ ตายังจ้องมองผมอย่างระแวงสงสัย

“งั๊นไปกินข้าวกันนะ?”ผมชวน แกล้งไม่สนใจแววตาสงสัยนั้น




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“แล้วเพื่อนเอกล่ะ?”พี่เหยาถาม มองดูผมที่ถือวิสาสะเก็บหนังสือ และดึงปากกาจากมือมาเก็บให้

“ช่างมันเหอะ...ก็นึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียนแล้วนี่”ผมโกหก และยักไหล่แบบไม่เห็นความสำคัญ

มันเป็นคำโกหกของคำโกหก เพราะจริงๆผมไม่ได้นัดใครไว้เลย...ผมอาจเลือกบอกพี่เหยาได้ว่า ไม่เจอเพื่อน หรือเพื่อนเลื่อนนัด หรือแม้แต่ ผมเลื่อนนัดโดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผล...แต่ผมเลือกที่จะบอก เลื่อนนัด เพราะนึกได้ว่าพี่ไม่มีเรียน...

ไม่ใช่เพราะอยากให้พี่เหยารู้ว่าผมให้ความสำคัญกับพี่เหยามากแค่ไหน แต่เพราะอยากให้พี่เหยารู้ว่าพี่เหยาสำคัญสำหรับผมแค่ไหน เหนืออื่นใด ผมชอบรอยยิ้มของพี่เหยาในขณะนี้ ขณะที่มองดูผมเก็บหนังสือและปากกาให้ มากกว่ารอยยิ้มผิดหวังเมื่อผมหันหลังเดินจากมา

ตอนนั้นผมยอมรับ...ผมทนไม่ได้ กับความผิดหวังหรือโศกเศร้าของพี่เหยา...ไม่อยากเห็นน้ำตาของพี่เหยาอีก...ไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของพี่เหยา ไม่ว่าความเจ็บปวดนั้นจะมาจากมือผม หรือมือใคร

“ผมถือให้”ผมบอกเมื่อพี่เหยายื่นมือมารับหนังสือของตัวเองคืน

“วิทย์อยู่ที่โต๊ะ”พี่เหยาบอก ไม่แน่ใจว่าเพียงบอกกล่าวหรือตั้งใจชวนให้เรียกพวกมันไปกินข้าวด้วยกัน

“ช่างมัน...ไปกันสองคนเหอะ”ผมบอกและพี่เหยายิ้มรับ

มันเหมือนผ่านไปนานแสนนานที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวกับพี่เหยาสองคนแบบนี้

แม้เราจะหาเรื่องมาคุยกันได้เรียบเรื่อยอย่างเคย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในความเรียบเรื่อย เราต่างพยายามซุกซ่อนความกระอักกระอ่วนใจไว้ หลักฐานคือเราไม่กล้าเตะต้องพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาๆอย่างเรื่องที่เราทำอะไรบ้างระหว่าง2อาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งไม่เจอหน้ากันเลย หรือแม้แต่เรื่องเรียน ราวกับว่าเรากลัวว่าเรื่องธรรมดาๆเหล่านั้นมันจะเชื่อมโยงไปถึงบาดแผลที่ทิ้งรอยไว้ในใจเรา

“เมื่อวานพี่มีpresentงาน เลยโดดไม่ได้”พี่เหยาพูดออกมาในที่สุด ดูก็รู้ว่ารอหาโอกาสพูดอยู่ เพราะอยู่ดีๆพี่เหยาก็พูด ทั้งที่เราเพิ่งจบเรื่องของหนังที่กำลังรอเข้าฉายอาทิตย์หน้า

“น่าจะบอกตั้งแต่เมื่อวาน ปล่อยให้ผมเสียน้ำตาไปตั้งหลายปี๊บ!”ผมพูดติดตลก แต่ดูพี่เหยาจะติดใจกับคำพูดผมจริงๆ ทั้งที่ผมอยากให้มันฟังดูล้อเล่น ถึงแม้มันจะเป็นความจริง

“ผมล้อเล่น ทำหน้ายังกับผมพูดจริง!”ผมรีบแก้ตัว เมื่อพี่เหยามองหน้าผมอย่างไม่สบายใจนัก และผมต้องหลบตาเมื่อพี่เหยายังจ้องหน้าผมนิ่งอย่างไม่เชื่อในคำโกหกของผม

...ใช่แล้ว พี่เหยารู้จักผมดีกว่าใครๆ...ผมบอกตัวเอง นึกละอายใจที่พูดออกไปเพราะผมไม่อยากให้พี่เหยารู้เลยว่าผมอ่อนแอแค่ไหน

“ผมไม่ได้ร้องจริงๆนะ!”ผมพูดไม่สบตา หวังเพียงริบหรี่ว่าพี่เหยาจะเชื่อ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่!”พี่เหยาพูด เพียงเท่านั้นผมก็ต้องยอมรับว่า...พี่เหยารู้จักผมดีจริงๆ... ดีเกินไปจนรู้ว่าผมอายแค่ไหนที่จะต้องยอมรับว่าตัวเองร้องไห้

ความสัมพันธ์ที่ครั้งหนึ่ง เคยมีกันและกันอยู่ในอ้อมกอด วันนี้เราต่างทิ้งระยะห่างเหลือแค่เพียงมองเห็นกัน...

คนละด้านหนึ่งของโต๊ะกินข้าว กลับกลายเป็นระยะทางที่ใกล้ที่สุดที่เรามีให้กันได้...

...ไม่เห็นหน้าก็ทุกข์ แต่เห็นหน้าก็ทุกข์พอกัน...คือความรู้สึกระหว่างผมกับพี่เหยาในช่วงเวลาหลังจากความสุขในคืนวันลอยกระทง

ทุกครั้งที่เจอหน้า มันเป็นความสุขที่เคลือบแฝงมากับความทุกข์ว่าเดี๋ยวก็ต้องปล่อยมือจาก...เป็นความสุขที่ดิ้นไม่หลุดจากความระแวงระวัง กลัวจะเกิดเหตุการณ์ใดซ้ำรอยความเลวร้ายนั้นอีก...เป็นความสุขที่จมอยู่กับความทุรนทุรายว่าทำไม ไม่ใช่ผมที่เป็นเจ้าของ...และทุกครั้ง ก็จบลงด้วยน้ำตาที่ยากจะบอกว่าเพราะน้อยใจหรือแค้นเคือง เมื่อในหัวมีแต่ภาพของทอมและพี่เหยา ทุกคืน และทุกคืน...

เมื่อเจอหน้าก็ทั้งทุกข์และสุข... เมื่อปล่อยมือจาก ก็เหลือแต่ความรู้สึกของความสูญเสียและ สิ้นหวังไว้ในใจ หากแต่จะตัดใจไม่พบไม่เจอให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ก็ต้องยอมรับว่า...คิดถึงจนทนไม่ได้

มองย้อนไปจากวันนี้ ผมนึกขันตัวเอง...เรื่องราวเกินกว่าครึ่งที่สมองต้องทำงานหนัก ไม่น่าจะใช่เรื่องเรียน แต่ดูจะเป็นเรื่องของพี่เหยาเสียมากกว่า...

พี่เหยาเป็นเหมือนโจทย์ที่แก้ไม่ตก ปล่อยวางก็ไม่ได้...ความสัมพันธ์ของผมและพี่เหยาเป็นเหมือนภาษาที่ผมไม่รู้จัก อ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ เมื่อวางอยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแค่มอง และ เหนืออื่นใด เหมือนวิชาศิลปะ ที่ความเพียรไม่เคยช่วยอะไร พยายามเท่าใด ไขว่คว้าเท่าใด ก็ทำได้แค่...เสียเวลาเปล่า...

หลังจากที่ทนอยู่กับความรู้สึก...ไม่เจอหน้าก็ทุกข์ แต่เจอหน้าก็ทุกข์พอกัน อยู่นาน ผมก็ตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับความรู้สึกที่ว่านั้น เพราะผมเบื่อเหลือเกินกับความผิดหวัง สิ้นหวัง หวงแหนอย่างไร้ประโยชน์และชิงชังอย่างไร้ทางตอบโต้ ที่มันตามติดกลับมาอยู่กับผมตลอดเวลานับจากแยกเท้าจากพี่เหยา

ความคิดถึงดูจะทรมานน้อยกว่า...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่ต้องปล่อยมือจากพี่เหยา โดยเฉพาะนึกรู้ว่า เมื่อปล่อยมือแล้ว...คือมือของทอมที่ได้เป็นเจ้าของและ ได้ครอบครอง...

แต่หากจะให้ตัดใจไม่เจอหน้าเลย...ผมยอมรับว่าคิดถึงและยิ่งกว่านั้น ผมกลัวสีหน้าผิดหวังของพี่เหยา กลัวว่าพี่เหยาจะคิดว่าผมเพิกเฉยหรือละทิ้ง...ถึงพี่เหยาไม่เคยแสดงออกให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าอะไรขนาดนั้นก็ตามที...ดังนั้นเมื่อเลือกได้ ผมก็เลือกเก็บความเสียใจและสิ้นหวังไว้กับตัวเองมากกว่าหยิบยื่นมันให้พี่เหยา...

ผมคิดทบทวนว่าควรจะจัดการเรื่องพี่เหยาและความรู้สึกเหล่านี้ยังไงดี...

และในที่สุดผมก็กำหนดตารางเวลา

ตารางเวลาที่พี่เหยาเฝ้าสอนให้ทำแต่เด็ก เมื่อครั้งที่พี่เหยายังชอบมานอนซุกตัวหลับสบายอยู่ที่ห้องผม

‘เอกจะได้รู้ว่า จะต้องทำอะไรบ้าง!’ พี่เหยาบอกเมื่อครั้งแรกเริ่มที่สอนให้ผมทำตารางเวลา

‘แล้วต้องทำอะไรบ้างล่ะ?’ ผมย้อนถาม

‘ก็...เรื่องของตัวเองยังไม่รู้อีกหรือไงว่าแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง?’ พี่เหยากึ่งถามกึ่งดุ

‘ก็...ตื่นนอน ไปโรงเรียน กลับบ้านแล้วก็นอนไง!’ ผมพยายามนึก

‘แล้วอ่านหนังสือล่ะ?... ทำการบ้านด้วย?’ พี่เหยาแย้ง เอาไม้บรรทัดเคาะหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าให้ดู

‘ถ้ารู้แล้วพี่จะถามทำไม?’ ผมย้อน

‘ไม่ได้ถามให้ตอบ...ถามให้คิด...ไม่เข้าใจหรือไงนะ?’ คราวนี้พี่เหยาเปลี่ยนเอาไม้บรรทัดมาเคาะที่หัวผมแทน ก่อนลงมือตีตารางเวลาให้ผม เมื่อคิดว่าแค่การอธิบายเฉยๆคงไปไม่ถึงไหน

‘เอ้า! เขียนไปว่าตื่นตอนกี่โมง พี่เหยาพูดพลางส่งตารางที่ตีเส้นไว้แล้วให้ผม

‘ไม่รู้!’ ผมตอบ

‘แปลว่าอะไร ไม่รู้?’

‘ก็แม่ปลุกกี่โมง ก็ตื่นตอนนั้นแหละ พี่อยากรู้ พี่ก็ไปถามแม่เองสิ!’

‘ไร้ความรับผิดชอบเป็นบ้าเลย!...’ พี่เหยาบ่นก่อนลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงไปเอง

‘ต่อไปตื่นตีห้า!’ พี่เหยาสั่ง

‘ตื่นทำไมตีห้า ตื่นเจ็ดโมงก็ทันแล้ว!’ ผมแย้ง ดึงตารางคืนมาและเอายางลบ ลบที่พี่เหยาเขียนออก

‘ก็ไหนว่าไม่รู้ไงว่าตื่นกี่โมง?...เขียนไปเลย!’ พี่เหยาพูดอย่างได้ที

ผมเขียนอยู่ไม่นานก็ส่งคืน

‘ก็เหมือนกันทุกวัน...ตื่น...ไปเรียน...อ่านหนังสือทำการบ้าน...อาบน้ำแล้วก็นอน อ๋อ กินข้าวเย็นด้วย...เขียนทำไม แค่นี้ถ้าจำไม่ได้ก็โง่...’ พูดได้แค่นั้น ไม้บรรทัดในมือพี่เหยาก็เคาะลงที่หัวผมอีก

‘ก็เขียนด้วยสิว่าวันไหนอ่านอะไร จะได้กำหนดถูก’

‘อ้าว!’ ผมร้อง

‘อ้าวอะไร?’ พี่เหยากอดอก รอฟัง รอตอบโต้ และเหนืออื่นใด รอจังหวะเอาไม้บรรทัดเคาะหัวผมอีกครั้ง

‘ก็แล้วแต่พี่สิ พี่เป็นคนสอนนี่!’ ผมพูดความจริง และคราวนี้ผมชนะ เพราะพี่เหยานิ่งไปเหมือนจะเพิ่งนึกได้และคงกำลังคิดว่าจะตอบโต้ผมยังไงไม่ให้เสียหน้าดี แต่คงคิดไม่ออกเพราะพี่เหยานิ่งอยู่นาน

‘ดี!งั๊นต่อไปเอกกำหนดมา พี่จะสอนตามนั้น’ ในที่สุดพี่เหยาก็คิดวิธีแก้หน้าออก

‘ต้องครบทุกวิชานะ!’พี่เหยาสำทับอีกทีเหมือนรู้ว่าผมคงจะเขียนแต่วิชาโปรดอย่างวิชาเลข ผมเลยต้องยั้งมืออย่างนึกเสียใจเพราะจริงอย่างที่พี่เหยาคิด ผมกะเขียนแต่เลข เลข แล้วก็เลข

ผมเขียนแบบไม่เสียเวลาคิดเท่าไหร่ นึกวิชาไหนได้ก็เขียนไปแบบส่งๆ จะมาคิดหนักก็วันเสาร์ วันอาทิตย์

‘วันเสาร์ทบทวนทุกวิชาหลักๆ อย่างทำโจทย์อะไรประมาณนั้น.... ส่วนวันอาทิตย์ก็เตรียมตัวสำหรับสัปดาห์หน้าสิ’พี่เหยาแนะ เมื่อเห็นผมลังเล แต่ผมทำจมูกย่นเมื่อได้ยิน

‘อ่านหนังสือวันเสาร์ อาทิตย์เนี่ยนะ? ไม่เอาหรอก อ่านให้โง่สิ!’ผมค้าน

‘ไม่อ่านสิจะโง่!’ พี่เหยาไม่ยอมแพ้เหมือนเคย

‘อ่านก็ได้ อ่านตอนเช้าๆ...’ผมรีบแก้คำอย่างเอาใจและ มองพี่เหยาอย่างชั่งใจว่าจะถามสิ่งที่กำลังคิดดีหรือเปล่า

‘ถ้าเขียนลงไปแล้ว แล้วไม่ทำตามล่ะ?’ผมแกล้งถาม

‘ก็ไร้ความรับผิดชอบไง’พี่เหยาตอบโดยไม่ต้องคิด

‘แปลว่ายังไงก็ต้องทำ!?’ผมถามย้ำ

‘ก็ใช่!’พี่เหยาตอบหนักแน่น และผมรีบก้มหน้าก้มตาเขียนเมื่อได้รับคำตอบ

‘อะไร?’ พี่เหยาถามอย่างระแวง ก่อนจะพยายามแย่งกระดาษในมือผมไปดู แต่ผมยื้อไว้ไม่ให้ และพยายามเขียนต่อให้เสร็จ แต่สุดท้ายพี่เหยาก็แย่งไปได้ แต่ได้แค่ครึ่งแผ่น ส่วนอีกครึ่งแผ่นยังค้างอยู่ในมือผม

‘อ่านตอนเช้าๆไง... แล้วพี่...’ผมพูดเสียงอ่อยเมื่อพี่เหยาไล่ตาอ่านสิ่งที่ผมเขียน

‘ดูหนัง อ่านการ์ตูน กินไอติม ไปน้ำตก เล่นเกมส์ ดูหนัง...’พี่เหยาอ่านรวดเดียวจบ ก่อนเงยหน้ามามองผมอย่างเบื่อหน่ายเต็มแก่

‘ก็...พี่บอกว่าเขียนแล้วต้องทำ...’ ผมทวงคำเสียงอ่อย




--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
‘ก็ใครว่าอะไรล่ะ?’

‘จริงนะ?’ผมถามตีปีกดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าพี่เหยาจะยอมผมง่ายขนาดนี้

‘ก็ตามใจเอกสิ วันเสาร์ อาทิตย์พี่ไม่ต้องสอนอยู่แล้วนี่ อยากทำอะไร อยากไปไหนก็ตามใจสิ ได้ทั้งนั้น’ พี่เหยาตอบและยิ้ม

‘จริงนะ?’ ผมยังตีปีกดีใจ

‘อือ...ไปคนเดียวนะ!’ พี่เหยาว่างั๊น และคราวนี้ยักคิ้ว ยิ้มสะใจ

‘ได้ไง?’

‘ทำไมไม่ได้ล่ะ?’พี่เหยาถาม พลางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

‘ทีนี้ละเขียนซะเร็ว คิดแล้วคิดอีก ทีให้เขียนตารางอ่านหนังสือล่ะเขียนส่ง!’ พี่เหยาบ่น

‘ใครว่าเขียนส่ง!’ผมเถียง

‘งั๊นบอกมา วันพุธอ่านอะไร?’พี่เหยาถาม

‘เร็ว ไม่เขียนส่งต้องจำได้สิ ตอบได้จะพาไปดูหนังก็ได้!’พี่เหยาถามยิ้มเยาะ พร้อมมีข้อเสนอ เพราะแน่ใจว่ายังไงผมก็จำไม่ได้

‘ภาษาอังกฤษ’ ผมเดา และบังเอิญถูก

‘วันศุกร์ล่ะ?’พี่เหยาถามอีกครั้งหลังจากอึ้งไปที่ผมตอบถูก

‘ก็ตอบถูกแล้วไง! พี่ไม่รักษาคำพูด เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า’ผมไม่ยอม

‘อะไรเล่า?’

‘ก็อะไรล่ะ คนอะไรไม่รักษาคำพูด!’

‘ไหน หลักฐาน?’ พี่เหยาถามด้วยคำถามชินปาก ที่ถามทุกครั้งเมื่อรู้ว่าตัวเองแพ้แต่ไม่ยอมแพ้ และผมรู้เถียงไปก็เท่านั้น เพราะยังไงก็ไม่เคยชนะ

สุดท้ายพี่เหยาก็สอนให้ผมทำตารางเวลาไม่สำเร็จ แต่ถึงอย่างไร พอวันเสาร์อาทิตย์มาถึง พี่เหยาก็พาผมไปดูหนัง กินไอติมอย่างที่ชอบอยู่ดี

ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องตารางเวลาอีก ไม่เคยสนใจทำ ทั้งพี่เหยาก็เลิกใส่ใจจะสอนให้ทำอีก แต่กลับจำได้ดี ถึงวันที่พี่เหยานั่งจ้ำจี้จ้ำไชสอนให้ทำ

ตารางเวลาที่ไม่เคยคิดจะทำ วันนี้ผมเริ่มทำ และหากให้ตั้งชื่อ ตารางเวลานี้ก็ชื่อว่า...พี่เหยา

แต่ละสัปดาห์ ผมลงเวลาเรียนที่ขาดไม่ได้ หลังจากนั้น ผมเขียนชื่อ..พี่เหยา ลงไปสองครั้ง...

เห็นหน้าสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง...ก็พอ...ผมบอกตัวเอง

ผมไม่เคยทำตารางเวลา...เพราะทุกครั้งคิดว่า อยากทำอะไรก็ทำ

ผมไม่เคยทำตารางเวลา เพราะคิดว่า หลงลืมอะไรไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร

หากแต่แค่คิดว่า จะเจอหน้าพี่เหยาสักอาทิตย์ละ 2 วันกลับกลายเป็นเรื่องยากเย็น เพราะถ้าไปซ้ำซากเวลาเดิม...ผมกังวลกลัว พี่เหยาจะจับได้ และไปตามแต่เวลาที่ตัวเองสะดวก...ผมกลับกลัว มันจะกลายเป็นวันซ้ำๆโดยไม่ตั้งใจ...เดี๋ยวพี่เหยาจะรู้...ดังนั้นแค่คิดจะไปหาพี่เหยาสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผมกลับตั้งอก ตั้งใจทำตารางเวลา

เริ่มอาทิตย์ใหม่ก็ทำใหม่ ผมไม่กล้าแม้แต่ลบหรือทิ้งตารางเวลาอันเก่า เพราะกลัวจะลืมว่าครั้งก่อนๆไปวันไหน...ผมกลัว วันจะซ้ำๆ... เดี๋ยวพี่เหยาจะรู้

ทำตารางแต่ละอาทิตย์ ผมกังวล พลิกดูอันเก่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก นึกระแวง...เดี๋ยวพี่เหยาจะจับได้

ในช่วงเวลานั้น ผมกลัวความคิดถึงเวลาไม่ได้เห็นหน้า แต่ก็กลัวเวลาที่ต้องปล่อยมือจากเสียมากกว่า...แต่สิ่งที่กลัวที่สุดกลับเป็น...กลัวพี่เหยาจะเสียใจ...

พี่เหยายังใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสมุด รอเวลาที่ผมไปหา เพื่อรอฟังคำแก้ตัวของผมว่าทำไม ผมมาหาพี่เหยาได้น้อยครั้งลง

เราพูดคุยกันธรรมดา ไม่เคยมีเรื่องของความปรารถนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่ใช่ว่าความปรารถนาในรสสัมผัสของพี่เหยาจะหมดไปจากใจผม หากแต่บทลงโทษของทอม มันทำให้ผมขยาดกลัว

และเมื่อผมเป็นฝ่ายก้าวถอย ผมกลับเริ่มรู้สึกว่าพี่เหยากลายเป็นฝ่ายที่จะก้าวรุกเข้ามาหา

“แวะไหม?”พี่เหยาเอ่ยถามในวันหนึ่ง วันที่ผมติดรถพี่เหยากลับบ้าน...วันที่รู้สึกว่า ร่างกายเราสัมผัสโดนกันบ่อยครั้งโดยอดคิดไม่ได้ว่า พี่เหยาตั้งใจหรือไม่...วันที่ผมนึกรู้ ทอมไม่อยู่บ้าน...

“พรุ่งนี้มีงานต้องส่ง...”ผมตอบไปแบบนั้น ทั้งที่ความปรารถนาเต้นเร่าๆอยู่ภายใน และพี่เหยาก็แค่ยิ้มรับ

พี่เหยาถามผมอีกสองครั้งหรือสามครั้ง และผมก็ตอบแบบเดิมทุกครั้ง แล้วพี่เหยาก็เลิกถาม

พี่เหยายังยิ้ม แต่ไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อน และคนที่ทำให้พี่เหยาหัวเราะได้อย่างเก่าก็ดูเหมือนจะมีแค่พี่เก้าและพี่นัท ที่ยังมาวนเวียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ก็น้อยครั้งลง

“ไปลากคอมันก่อน!”พี่เก้าที่มาถึงมหาวิทยาลัยหลังผมแป๊บเดียวบอก เมื่อมองไม่เห็นพี่เหยาอยู่ที่โต๊ะ และเดินลุกจากไปพร้อมพี่นัท ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมพี่เหยา ที่เดินหัวเราะมาแต่ไกล

“ไอ้วิทย์ว่าพี่กำลังขอทุนไปเรียนต่อ?”ไอ้ชัยถามพี่นัทที่กำลังหย่อนก้นนั่ง

“พี่เก้าบอก”ไอ้วิทย์รีบบอก เมื่อพี่นัทส่งสายตาคล้ายจะถามว่ารู้มาจากไหน

“เออ!”พี่นัทรับ คราวนี้ส่งสายตาเอาเรื่องไปที่พี่เก้าที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่แทน

“แล้วเมื่อไหร่รู้ผลล่ะพี่?”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น!”พี่นัทตอบ

“ทุนของที่ไหนพี่?”ไอ้ชัยถามอย่างสนใจ แต่ไม่สนใจท่าทีไม่อยากตอบของพี่นัท

“ท.พ.ท.ม.ม”คราวนี้พี่เก้าชิงตอบ และเมื่อไอ้ชัยทำหน้าสงสัย พี่เหยาเลยเป็นคนเฉลยข้อสงสัยให้

“ทุนพ่อทุนแม่มัน!”

“เออ!... ไอ้เก้าก็กำลังขอทุนต.ม.เหมือนกัน!”

“ก็กลัวมึงเหงา เลยจะไปเป็นเพื่อน”

“ต.ม.มีทุนด้วยเหรอพี่...พี่จะไปพม่าเหรอ?”ไอ้ชัยถามซื่อ มันเข้าใจถึงต.ม. ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ผมกับไอ้วิทย์กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน

“ทุนเตี่ย ทุนแม่มันน่ะสิ!”พี่เหยาเฉลยและหัวเราะเหมือนเคย

“โธ่! นี่ผมจริงจังนะพี่!”ไอ้ชัยหน้ามุ่ย

“จริงจังทำไมวะ? เพิ่งอยู่ปีสอง...อ๋อ หรือว่ากะโดนไทร์”พี่เก้าถามก่อนหยิบขนมใส่ปาก

“เปล่า!...ก็เตรียมๆไว้”

“อือ...แต่ถ้ามึงสนใจเตี่ย แม่กูก็ให้ทุน!”

“จริงดิพี่?”

“อือ...ไม่ต้องใช้หลักฐานการศึกษา...ไม่ต้องใช้...เขาใช้อะไรกันอีกวะ?”พี่เก้าหันไปถามพี่นัท

“ถ้าจะเล่นมุขแล้วเล่นไม่รอด มึงก็ไม่ต้องเล่น!”แต่พี่นัทตอบไม่ตรงคำถาม

“แปลว่ามันก็ไม่รู้เหมือนกัน!”พี่เหยาก้มหน้าก้มตาพูดอุบอิบหน้าตาย มือก็หยิบๆสมุดบนโต๊ะมาเปิดๆดู

“กูได้ยินนะไอ้เหยา!”พี่นัทหันไปพูดกับพี่เหยา

“รู้!...ก็ไม่มีใครคิดว่ามึงหูหนวกหรอก!”แต่เป็นพี่เก้าช่วยโต้กลับแทน ก่อนหันไปพูดกับไอ้ชัยต่อ

“กระดาษใบเดียวเท่านั้นที่มึงต้องใช้!”พี่เก้าพูดพลางเอื้อมมือดึงกระดาษที่พี่เหยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังถืออ่านอยู่ในมือมาโบกไปโบกมา

“เอามา!”พี่เหยาพูด จะดึงกระดาษคืน แต่พี่เก้าไม่ให้

“อะไรพี่?”ส่วนไอ้ชัยมันไม่สนใจทั้งพี่เหยา ทั้งกระดาษในมือพี่เก้า มันสนใจก็แต่คำตอบ

“เอาคืนมา!”พี่เหยาพูดซ้ำ ก่อนชะโงกตัวข้ามโต๊ะไปจะแย่งกระดาษคืน แต่พี่เก้าเบี่ยงตัวหลบ ไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ ผมที่นั่งใกล้กว่าเลยเป็นคนดึงคืนให้ แต่ยังไม่ทันดูว่าเป็นกระดาษอะไร พี่เหยาก็กระชากมันไปจากมือ แถมส่งสายตาขุ่นๆให้ผม อย่างกับผมเป็นคนแย่งมันไป

“อ้าว! มาหงุดหงิดใส่ผมได้ไง พาลนี่!”ผมพูดไม่จริงจังนัก พลางมองดูพี่เหยาสอดกระดาษเก็บไว้ในหนังสือ แต่ยังไม่วายส่งสายตามาให้ผมเหมือนจะถาม...พาลแล้วจะทำไม และพี่เหยาก็ยิ่งทำหน้าตึงใส่ เมื่อผมหัวเราะออกมากับท่าทางของพี่เหยา

“เอ้า! ไม่หัวเราะก็ได้!”ผมกลั้นหัวเราะ บอกพี่เหยา ก่อนหันกลับมาสนใจบทสนทนาของไอ้ชัยกับพี่เก้าต่อ แต่ดูจะช้าไปเมื่อได้ยินแต่เสียงไอ้ชัยโวย

“โว๊ย...เบื่อมุขคนแก่...ฟังแล้ว ไม่ขำ...ไม่ขำ... วัยรุ่นไม่ขำ เข้าใจป่ะพี่?”และถึงไอ้ชัยมันจะว่ามันไม่ขำ แต่ปากมันก็หัวเราะตาม

“ตกลงกระดาษอะไรวะ?”ผมหันไปถามไอ้ชัย

“ไม่ต้องไปสนใจ มุขคนแก่ ฟังให้ตายก็ไม่ขำ!”ไอ้ชัยตอบ

“ก็อะไรเล่า?”ผมถามย้ำ เพราะเมื่อฟังมาแต่ต้น ก็อยากจะฟังจนจบว่าพี่เก้าจะมาไม้ไหน แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ ก็ต้องเลิกสนใจ เพราะพี่เหยาเก็บของ หยิบหนังสือลุกขึ้นไม่พูดไม่จา

“ห้องสมุด!”พี่เหยาตอบเมื่อพี่นัทถามว่าจะไปไหน พูดจบก็เดินลิ่วไม่ฟังเสียงทัดท้านของพี่เก้า พี่นัท

“เป็นห่าอะไรของมันวะ?”พี่เก้าบ่น ส่วนพี่นัทส่ายหัว แล้วก็เลิกสนใจ ส่วนผมรีบลุก วิ่งตามพี่เหยาไป



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“พี่โกรธอะไร?”ผมถาม

“เปล่า...”พี่เหยาตอบแต่ยังทำหน้าตึง

“โกรธใครบอกได้นะ เดี๋ยวผมไปจัดการให้!”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ เลิกเซ้าซี้ได้ไหม!”

“งั๊นไปกินข้าวกัน”

“นี่มันเพิ่งสิบโมง!”พี่เหยาแย้ง

“ก็นั่งกินน้ำ รอมื้อเที่ยงไง!”ผมยังไม่ยอมแพ้

“พี่มีเรียนตอนสิบเอ็ดโมง”พี่เหยาก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน

“พี่มีเรียนบ่ายต่างหาก”ผมเถียง ตารางเรียนของพี่เหยาผมจำได้ขึ้นใจพอๆกับตารางเรียนของตัวเอง

“มีmake up class!”พี่เหยาบอก

“งั๊นโดดสิ...หรือพี่มีpresentงาน โดดไม่ได้อีก”ผมแกล้งถามดักคอ แต่พี่เหยาก็คือพี่เหยา

“ไม่มีpresent ไม่เช็คชื่อ ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้...แต่จะเรียน”พี่เหยาพูดช้าและชัดถ้อยชัดคำ

และเมื่อพี่เหยาพูดแบบนี้ผมก็จนใจ ผมพยายามคิดว่าพี่เหยาโกรธอะไร แต่ก็คิดไม่ออก สิ่งเดียวที่คิดได้และพูดออกไปคือ...

“โกรธพี่เก้าแล้วมาพาลผม!”

พี่เหยาขยับปากเหมือนจะพูด แต่ก็ทำแค่ถอนหายใจ...

“นะ? ไปกินข้าวกับผม”ผมยังดึงดัน ในใจคิดอยากพูด...คิดถึงแทบแย่ ให้ผมเห็นหน้าแป๊บเดียวได้ไง...แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะนึกรู้ คำพูดเหล่านี้ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างผมกับพี่เหยา

สุดท้ายผมก็ต้องพกความผิดหวังกลับใปหาพวกไอ้วิทย์ที่โต๊ะ เพราะนอกจากพี่เหยาจะไม่ยอมไปกินข้าวกับผมแล้ว พี่เหยายังทำหน้าหงิกเป็นตีนไก่ เมื่อผมยืนยันจะตามไปห้องสมุดด้วย

“มันเป็นไรของมัน?”พี่เก้าถามเมื่อผมพกหน้าเหี่ยวๆกลับมาที่โต๊ะ

“ใครจะไปรู้...เพื่อนพี่ พี่ไม่รู้ แล้วผมจะรู้เหรอ!”ผมตอบ ยังนึกเคืองว่าน่าจะเป็นเพราะพี่เก้า ทำให้ผมได้เห็นหน้าพี่เหยาแค่แป๊บเดียว

“อ้าว...คนข้างบ้านของมึงนะ!”พี่เก้าเถียง แต่ผมไม่ชอบใจนัก...ผมไม่รู้ว่า นอกจาก ‘เด็กข้างบ้าน’อย่างที่พี่เหยาเคยเรียก ผมเป็นอะไรได้มากกว่านั้นบ้างหรือเปล่า

“ช่างหัวมันเหอะ เดี๋ยวก็หายของมันเอง!”พี่นัทตัดบท ซึ่งผมก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรจะทำได้ไปมากกว่าที่พี่นัทว่า ว่าช่างเถิด...เพียงแต่มันไม่เป็นอย่างที่พี่นัทพูดไปซะทั้งหมด เพราะแม้เมื่อตกเย็น...อาการของพี่เหยาก็ไม่ได้หายไปอย่างพี่นัทว่า

เย็นนั้น เมื่อผมกลับถึงบ้าน รถพี่เหยาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ผมลังเลว่าจะกดกริ่งเรียกพี่เหยาลงมาดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้า สุดท้ายเลยไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าร้าน คอยมองภาพสะท้อนจากกระจกตู้น้ำอัดลม เผื่อพี่เหยาจะลงมา

จนฟ้าเริ่มมืด ผมจึงมองเห็นรถทอมแล่นเข้ามาจอด พร้อมๆกับรถของแม่และพ่อที่แล่นตามกันมา

จากกระจกตู้น้ำอัดลม ผมเห็นพ่อ และแม่เดินลงจากรถ ก่อนจะหยุดยืนคุยกับทอมที่มีถุงใบใหญ่อยู่ในมือ และพี่เหยาก็เดินลงมาจากรถของทอมเช่นกัน

แม้จะยังขยาดและชิงชังทอม แต่เมื่อนึกถึงพี่เหยาเมื่อตอนกลางวันแล้ว ผมก็ห้ามตัวเองให้เดินออกไปสมทบกับพวกเขาไม่ได้

พี่เหยาเงยหน้ามองดูผมอย่างไม่ยินดียินร้าย ซึ่งบ่งบอกว่า อารมณ์พี่เหยาคงยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ทอมก็หันไปพูดบางสิ่งบางอย่างกับพี่เหยา และพี่เหยาพยักหน้ารับก่อนรับของในมือทอมและเดินกลับเข้าบ้าน

“ผมช่วยถือ!”ผมพูด แม้ถุงใบใหญ่ในมือพี่เหยาจะดูไม่หนักนัก แต่มันก็เป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้คุยกับพี่เหยา แต่โอกาสนั้นก็หลุดลอย เมื่อทอมยกมือห้ามผมไว้ คล้ายจะบอกว่า ไม่เป็นไร

ตัวพี่เหยาเองก็ไม่มีทีท่าจะสนใจผม ไขประตูและเดินหายไปภายในบ้านที่ยังปิดไฟมืด

เมื่อพี่เหยากลับเข้าบ้านไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะยืนอยู่ต่ออีก ผมจึงแยกตัวจะเดินกลับบ้านของตัวเอง โดยไม่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรกับทอมสักคำเดียว แต่ยังไม่ทันก้าวเท้า ผมก็ต้องตกใจเพราะเสียงที่ดังมาจากภายในบ้านของทอมที่ไฟยังคงปิดมืด

เสียงกระแทกของอะไรสักอย่าง ไม่ดังหากแต่ก็ไม่เบาพอที่จะสร้างความเบาใจให้แก่คนฟังได้

ผมรีบกระโจนไปตามที่มาของเสียง แต่ก็พบว่าตัวเองช้ากว่าทอม

ภายในบ้านยังมืด อาศัยก็แต่แสงไฟจากข้างนอกทำให้เห็นเงาร่างของพี่เหยายืนนิ่งอยู่กลางบ้าน

เสียงทอมเอะอะถาม แต่คำตอบของพี่เหยาคือความเงียบอยู่เช่นเดิม

...น้ำ...ผมบอกตัวเองเมื่อเหยียบย่ำเท้าลงบนพื้นที่เปียกแฉะ

ในขณะที่ผมเพ่งตาไปในความมืด ผมเห็นทอมเดินผ่านพี่เหยาเข้าไปข้างใน บ่อยครั้งที่ทอมอุทาน อย่างตกใจ ก่อนยกเท้าขึ้นดู คล้ายเหยียบย่ำอะไรสักอย่าง แต่เมื่อผมก้มมอง ก็ไม่สามารถเห็นอะไรนอกจากความมืด จะพอเห็นก็เพียงอะไรเล็กๆที่ดีดตัวขึ้นจากพื้น พร้อมเสียงน้ำกระจายเบาๆ

และทุกอย่างก็กระจ่างชัด เมื่อสวิทช์ไฟถูกเปิด...

พื้นที่นองไปด้วยน้ำอย่างที่ผมคิด...และปลาทองตัวเล็กๆที่ดิ้นรนดีดตัวขึ้นจากพื้น ก่อนทิ้งตัวกลับลงไปทำให้น้ำแตกกระจาย

มันคงเจ็บ เพราะน้ำที่ผมว่านองอยู่นั้น จริงๆก็คงตื้นไม่พ้นแม้ผิวพื้น ร่างของพวกมันจึงสัมผัสได้ก็แต่ความแข็งของพื้นปูน

ในขณะที่ผมมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็น จนทำอะไรไม่ถูก ทอมก้มลงใช้มือหนาใหญ่ของตัวเองช้อนปลาทองตัวเล็กๆเหล่านั้นขึ้นและวิ่งหายเข้าไปด้านหลังบ้าน อันเป็นตำแหน่งของห้องครัว

ผมรีบก้มลงจะทำตาม และเพิ่งเห็นปลามังกรตัวไม่ใหญ่นักสองตัว กำลังดิ้นรนอยู่ไม่ต่างจากปลาทองอันคงจะเป็นอาหารมื้อโอชาของมันในเร็ววันนี้

ผมได้ยินเสียงน้ำจากด้านหลัง ก่อนที่ทอมจะกลับมาและทำอย่างเดิม คือใช้มือหนาใหญ่ช้อนปลาทองตัวเล็กๆขึ้น มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมมองดูปลามังกรราคาแพงสองตัว ที่ไม่ได้รับความสนใจจากทอมเท่าปลาเหยื่อราคาถูกเลย

ตลอดเวลาพี่เหยาทำเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ผมอยู่ด้านหลังจึงมองไม่เห็นว่าพี่เหยามีสีหน้าอย่างไร

ปลาทองตัวเล็กๆ ดีดตัวขึ้นและตกลงที่ใกล้ๆเท้าพี่เหยา...พี่เหยาก้มลงมองและขยับยกเท้า ผมเย็นวาบไปทั้งตัวเพราะนึกกลัวสิ่งที่จะตามมา เกือบส่งเสียงร้องห้ามออกไปก็พอดี เสียงแม่ที่พึ่งเดินเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้องอย่างตกใจ

แม่ร้องอย่างตกใจพลางเหลียวมองไปรอบ และร่างพี่เหยาก็ไหวนิดๆก่อนจะหันหน้ามามองดูแม่ พ่อและผมที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น

ทอมวิ่งกลับออกมาอีกครั้ง และทำอย่างเดิมคือคุกเข่าลง พยายามช้อนปลาทองตัวเล็กๆให้ได้มากที่สุด แต่แม่เข้าไปห้ามไว้ พร้อมบอกให้ไปยกถังที่ป่านนี้น่าจะรองน้ำไว้ได้พอสมควรแล้วออกมาแทน และทอมก็ทำตาม

แม่มองดูพี่เหยาที มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าที และมองดูผมคล้ายหาคำตอบ

ผมมองตามสายตาแม่ จึงเพิ่งสังเกตเห็นผนังบ้านที่เปียกน้ำ ...มันสูงเกินกว่าที่น้ำจะกระเด็นจากพื้น...มันสูงจนคล้ายถุงพลาสติกใบโตที่ตอนนี้กองอยู่บนพื้นถูกฟาดให้แตกกระจายจากผนังนั้นเอง

ทอมอุ้มถังใบไม่โตนัก ออกมาจากหลังบ้าน และชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นอาการนิ่งงันของแม่และของผม

พ่อเดินเข้าไปรับถังน้ำจากมือทอม ตั้งลงบนพื้นและบอกให้ผมกับแม่ช่วยช้อนปลาทองตัวเล็กๆขึ้นจากพื้น

ผมทำตาม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองพี่เหยา

พี่เหยามองดูผมอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย และละสายตาไปเมื่อทอมกระซิบบอกอะไรบางอย่าง

ผมเห็นตาของทอมแดงกล่ำ ...ไม่ใช่เพราะความโกรธหากแต่เพราะเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ และสายตาของพี่เหยาที่แหงนเงยหน้ามองตอบทอมนั้น เจ็บปวด เย็นชา หากแต่ก็ฉายแววตาท้าทายคล้ายสะใจ

ริมฝีปากของทอมสั่นระริก ก่อนที่จะบอกอะไรแก่พี่เหยาอีกครั้งและพี่เหยาก็เดินขึ้นไปชั้นบน โดยไม่พูดอะไรและไม่หันกลับมามองใครเลย

ผมสังเกตเห็นแม่ยังชำเลืองมองตามพี่เหยาไป และเห็นพ่อที่ขมวดคิ้วมุ่น

ทอมก้มหน้าก้มตาช้อนปลาทองตัวเล็กๆให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้โดยไม่พูดไม่จา แต่ผมเห็นตาของทอมยังแดงกล่ำ... และอาจเพราะแสงสะท้อนของเงาไฟ..บางครั้งผมจึงเห็นคล้ายหยดน้ำคลออยู่บนเบ้าตาที่ฝืนเก็บกลั้นไว้จนแดงกล่ำของทอม...

ปลาทองบางตัวนอนแน่นิ่ง เหมือนปลามังกรสองตัวที่นอนไม่ไหวติ่งอยู่บนพื้น

ทอมพูดขอบอกขอบใจ และพ่อพูดรับสองสามคำก่อนผลักผมและแม่ที่ดูจะยังงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ออกเดินกลับบ้านของเราเอง

มื้อเย็นวันนั้น แม่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา นานครั้งก็ถอนหายใจ ทำท่าคล้ายจะพูดแล้วก็เงียบ เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร และทุกครั้งที่แม่ทำอย่างนั้น พ่อจะมองผมและยิ้ม

“เด็กเงียบๆ นี่เวลาโมโหขึ้นมาแล้วเอาเรื่องน่าดู...”ในที่สุดแม่ก็พูดออกมา

“ทำไม? เอกไปทำอะไรอีก?”ย่าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หันมาคาดคั้นคำตอบกับผมทันทีหลังจากสงสัยอยู่นานกับท่าทีของแม่

“แม่ก็! บอกว่าเด็กเงียบๆ... ถ้าหลานแม่เงียบ ก็พอดีใบ้กินกันทั้งโลก!”พ่อหันมาแขวะผมตามเคย ผมอ้าปากจะเถียงแต่เห็นแม่นั่งหัวเราะอย่างชอบใจเต็มที เลยเงียบเสียเพราะอย่างไร ผมก็อยากให้แม่เลิกคิดเรื่องพี่เหยาเสียที

คืนนั้นผมนอนคิดอยู่นาน

คิดถึงปลามังกรสองตัวที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

คิดถึงปลามังกรสองตัวที่ว่ายวนอยู่ในตู้ ที่คงคลุ้งด้วยกลิ่นเบียร์ ปลามังกรสองตัวที่ผมนึกสงสัยว่าใช่สองตัวที่ทอมเคยยกถุงให้ดูครั้งเป็นเด็กหรือเปล่า ทั้งยังสงสัยว่าเบียร์จะมีผลต่อมันหรือเปล่า...

ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจในคำตอบ...ปลาสองตัวนั้นไม่ใช่สองตัวที่เคยเห็นตอนเด็ก และแม้ฟองเบียร์ไม่อาจทำอันตรายมันได้ แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่ามันคงไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วยสาเหตุที่ผมไม่กล้าแม้จะคิด

ผมคิดถึงปลาทองตัวเล็กๆที่ดีดตัวลงไปนอนดิ้นอยู่แทบเท้าพี่เหยา...นึกถึงเท้าพี่เหยาที่ขยับยก...ผมไม่กล้าคิดว่าถ้าแม่เข้ามาช้ากว่านั้น พี่เหยาจะทำอย่างไรกับปลาตัวนั้น...

ผมนึกรู้คำตอบ แต่ก็ปฎิเสธที่จะนึกถึงมัน...

ป่านนี้พี่เหยาจะเป็นยังไง?...ทอมจะทำอะไรพี่เหยาหรือเปล่า? ผมนึกกลัว แต่ก็นึกรู้อีกเหมือนกันว่าพี่เหยาจะปลอดภัยแน่นอน เพราะตาที่แดงกล่ำของทอม...เพราะเสียงร้องไห้คร่ำครวญของทอมในวันนั้น...

วันนี้ผมได้รู้....ทั้ง ผม พี่เหยา และทอม...ต่างก็เจ็บปวดเพราะการกระทำของตัวเอง...ต่างก็เจ็บปวดเพราะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่ขัดขืน...เพราะเราต่างมีสิ่งที่ต่างก็รู้ตัวว่าฝืนยื้อยุด ทั้งที่รู้ว่ามันมีแต่ความเจ็บปวด

...สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเริ่มต้น คือ ยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่...ผมนึกถึงสิ่งที่พี่เหยาเคยพูดและวันนี้ผมเข้าใจ

ทั้งผม ทอม และพี่เหยา ต่างปล่อยให้ทุกอย่างเริ่มต้น โดยไม่มีใครกล้าพอที่จะยุติมัน...ผลสรุปที่ได้คือน้ำตา ที่ยากจะบอกได้ว่า ใครกันแน่ที่เจ็บปวดที่สุด...



--------------------
จบตอน 11

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ # 12

หลังจากวันนั้น ตารางเวลาของผมก็แทบจะไร้ประโยชน์...พี่เหยาไม่ไปนั่งที่ห้องสมุดเหมือนเคย ไม่มาซื้อของที่ร้านผมทั้งเวลาที่ผมอยู่และไม่อยู่

บ่อยครั้งที่ผมยกหูโทรศัพท์นึกอยากโทรเข้ามือถือพี่เหยาซึ่งไม่เคยโทรเลยหลังจากวันลอยกระทง แต่ก็ไม่กล้าโทร

ไอ้วิทย์เองก็บอกไม่ได้ว่าพี่เหยาไปเก็บตัวเสียที่ไหนเวลาที่ไม่มีชั่วโมงเรียน

สุดท้ายผมต้องไปตามดักเจอพี่เหยาถึงหน้าห้องเรียน

“พี่หายไปไหน ผมไปหาที่ห้องสมุดก็ไม่เจอ”ผมถามทันทีที่พี่เหยาเดินออกมาจากห้อง ไม่สนใจสีหน้าบึงตึงของพี่เหยาเมื่อเห็นผม สนใจก็เพียงแต่มองหาว่ามีร่องรอยการถูกทำร้ายที่ไหนบ้างหรือเปล่า และโล่งใจที่ไม่เห็นร่องรอยใดๆที่แสดงว่าทอมทำร้ายพี่เหยา

“มองอะไร?”พี่เหยาถาม และขยับตัวด้วยทีท่าไม่พอใจนักที่โดนผมมองอย่างนั้น

“เปล่า...แค่อยากรู้ว่าพี่เป็นไงบ้าง?”ผมเปลี่ยนคำถามเมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนพี่เหยามองหน้า อย่างที่มักทำเสมอ เวลาที่ต้องการค้นหาว่าอะไรแน่ คือสิ่งที่ผมต้องการ และในที่สุดพี่เหยาก็ถอนหายใจ ใบหน้าก็ค่อยคลายตึงลงมาหน่อย

“อาทิตย์ที่แล้วพี่หายไปไหน หายไปทั้งอาทิตย์!”ใจผมชื้นขึ้นเมื่อหน้าพี่เหยาเลิกตึง

“สองวัน!”พี่เหยาพูด ไม่มองหน้าผม

“อะไรสองวัน?”ผมไม่เข้าใจ

“เอกมาแค่สองวันเท่านั้น... จะมาพูดรวมอะไรทั้งอาทิตย์!”

“อ้าวแปลว่าพี่เห็นผมสิ!”

“เปล่า...ก็เห็นหลังๆว่างแค่อาทิตย์ละสองวัน”

“...จริงดิ? ไม่รู้สิ... ต้องนับด้วยเหรอพี่?”ผมตอบไม่เต็มเสียง กลัวพี่เหยาจะจับได้ว่าผมตั้งใจมาเห็นหน้าพี่เหยาแค่อาทิตย์ละสองวัน

...วันหลังต้องสับเปลี่ยนอาทิตย์ละวันบ้าง สองวันบ้าง...ผมคิด

...แต่ถ้าอาทิตย์ไหน มาวันเดียว ก็ไม่ได้เจอตั้งนานน่ะสิ!...ผมแย้งตัวเองในใจเพราะแค่อาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่เห็นหน้าพี่เหยาทั้งอาทิตย์ ผมก็อยากเห็นหน้าแทบแย่

“พี่กินข้าวยัง?”ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง....”พี่เหยาตอบ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยชวน พี่เหยาก็เลือกที่จะตัดโอกาสผม

“แต่ไม่หิว ไปนะ!”พูดจบ พี่เหยาก็เดินไป ทิ้งผมไว้ซะอย่างงั๊น

ผมรู้และจำได้ว่าพี่เหยาเป็นคนเอาใจยากแค่ไหน พี่เหยาที่ดูเป็นพวกว่านอนสอนง่ายในสายตาผู้ใหญ่ ดูเป็นพวกหัวอ่อนๆ แต่กับผมแล้ว บางทีผมต้องเอาใจจนเหนื่อย

“เดี๋ยวสิพี่!”ผมเรียก ก่อนวิ่งตาม แต่พี่เหยาไม่สนใจ

“พี่คุยกับผมแป๊บได้เปล่า?”ผมถามกึ่งกระซิบกึ่งตะโกนถามพี่เหยาที่เดินนำลิ่วๆไม่สนใจ และดูเหมือนคนรอบๆข้างเริ่มที่จะหันมาสนใจมองกันบ้างแล้ว

“พี่โกรธอะไรผมอยู่หรือเปล่า?”ผมถาม แต่คำตอบเหมือนเดิมคือพี่เหยาไม่สนใจ

“พี่งอนอะไรเนี่ย?”คราวนี้ผมแกล้งตะโกนถามเสียงดังขึ้น และได้ผลพี่เหยาหยุดเท้าทันที แต่ผมไม่ทันระวังว่าพี่เหยาจะหยุด จึงชนเข้าไปเต็มแรง ผมรีบเอื้อมมือจะไปดึงพี่เหยาที่ทำท่าจะล้มไปข้างหน้าไว้ ผลที่ได้คือล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นทั้งคู่ โดยที่ผมล้มทับพี่เหยาลงไปทั้งตัว

มันทำให้ผมนึกถึงคืนวันลอยกระทง วันที่เราลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นภายใต้เสื้อกันหนาวตัวเดียวกัน ต่างกันที่วันนั้นมันเต็มไปด้วยความสุข เราต่างหัวเราะให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่วันนี้ วันที่เวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่เดือน มันกลับไม่เหลือเสียงหัวเราะ จะเหลือก็แต่ความกระอักกระอ่วนใจเท่านั้น

ผมจำได้ วันนั้นผมประวิงเวลา กอดพี่เหยาไว้ไม่ปล่อย หากแต่วันนี้ผมทำราวกับโดนของร้อน รีบผละลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปช่วยพยุงพี่เหยาให้ลุกขึ้น ไม่กล้าแม้เอ่ยปากถามว่า...พี่เจ็บไหม...ทำได้ก็แค่ยืนมองพี่เหยาที่ค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น สายตาพี่เหยาที่หันมามองผมนั้นมีแต่ร่องรอยความผิดหวังและเสียใจ ส่วนผมทำได้แต่ยืนมองพี่เหยาที่เดินจากไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

เจอหน้าก็มีแต่สร้างความเจ็บปวดให้แก่กัน แต่ถ้าไม่เห็นหน้า ก็ต้องยอมรับว่าคิดถึงจนจะทนแทบไม่ไหว...มันน่าขันที่คำว่า...คิดถึง...กลายเป็นคำสำหรับคนสองคน ที่บ้านอยู่ใกล้กันแค่ผนังกั้น คล้ายอยากเห็นหน้ากันเมื่อใดก็ไม่น่าใช่เรื่องยาก หากแต่ในโลกที่เหมือนจะมีแต่ความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ไกลกันจนไม่อาจสัมผัสถึงกันได้ หรือพูดให้ถูกคือ...ไม่กล้าสัมผัสกัน

ดังนั้นโลกแห่งจริง สุดท้ายแล้ว ก็เป็นเพียงโลกที่เราสร้างขึ้นด้วยความขลาดกลัวเท่านั้น...กลัวโดนละทิ้ง...กลัวถูกปฎิเสธ...กลัวผิดหวัง...กลัวถูกทรยศ เหนืออื่นใด คือกลัวที่จะรู้ว่า ตัวเองไม่เป็นที่ต้องการ

หากมองจากวันนี้ ขณะนี้...ถ้าวันนั้นผมมีความกล้าที่จะเผชิญหน้าต่อความกลัวเหล่านั้น...ไม่เข็ดขยาดต่อรสชาติของความรู้สึกพ่ายแพ้...ถ้าผมมีความกล้าที่จะยื่นมือออกไป...แม้มันอาจต้องใช้เวลา แต่ที่สุดแล้วพี่เหยาอาจจะกล้าพอที่จะเอื้อมมือรับสิ่งที่ผมหยิบยื่นให้เช่นกัน.... หากแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่สร้างจากความหวาดกลัว เราต่างทำเพียงยืนมองกันและกัน...ต่างตั้งความหวัง แต่ไม่มีใครกล้าเอื้อมมือออกมาก่อน...สิ่งที่ได้ก็คือการจมดิ่งลงกับความเจ็บปวดจากการผิดหวังทุกวัน...หรืออาจจะทุกวินาที... รอก็แต่ว่าเมื่อไหร่ความผิดหวังจะโถมทับ จนเราไม่มีแม้แต่แรงกำลังจะหายใจ...ผมหรือพี่เหยา ใครจะหมดกำลังแรงไปก่อนกัน.......

เย็นวันนั้นผมรวบรวมความกล้าโทรหาพี่เหยา นานกว่าพี่เหยาจะมีความกล้าพอที่จะรับสายผม

“พี่เป็นไรหรือเปล่า?”ผมถามหลังจากเราต่างคนต่างเงียบอยู่นาน

“ไม่เป็นไร...”พี่เหยาตอบ

ทั้งที่ในหัวผมมีเรื่องที่อยากพูด อยากบอกพี่เหยามากมาย แต่สุดท้ายผมพูดได้แค่

“...งั๊นแค่นี้นะ...”ผมพูด ทั้งที่เพิ่งยกหูคุยได้แค่ไม่ถึงนาทีหากไม่นับความเงียบก่อนที่จะกล้าพูดอะไรออกมา และพี่เหยาเงียบไม่ตอบอะไร แต่ก็ยังไม่ยอมวางสาย

“ฮัลโหล...”

“...ถ้าจะพูดแค่นี้ วันหลังไม่ต้องโทรมาก็ได้นะ...”พี่เหยาพูดเสียงเรียบๆก่อนตัดสายไป

ผมพยายามคิดว่าพี่เหยาพูดเล่นหน้าตายอย่างทุกที แต่นึกรู้ว่าถ้าพี่เหยาพูดเล่น มิแคล้วพี่เหยาต้องต่อท้ายประโยคด้วย...เสียดายตังค์ หรือเปลืองค่าโทรศัพท์...ผมจึงรู้ว่า พี่เหยาไม่ได้พูดเล่น

ผมถึงรู้ตัว ผมทำลายความกล้าของพี่เหยาไปอีกแล้ว

หลังจากวันนั้น ผมยังไปหาพี่เหยาที่มหาวิทยาลัย ตามตารางเวลาที่ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อย่างที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต แต่ก็เหมือนเดิม พี่เหยาหลบหน้าและหลบตา

การเจอหน้ากลายเป็นเรื่องของความบังเอิญ แม้บางครั้งจะพบว่าเป็นความตั้งใจของไอ้วิทย์ที่ตั้งใจรั้งพี่เหยาไว้ให้

“อ้าว ไหนมึงว่าวันนี้มีสอบ ไม่มาไง?”ไอ้วิทย์อ้าปากถามทันที ที่เห็นผมเดินเข้ามา แต่ผมไม่สนใจมัน สนใจก็แต่พี่เหยาที่นั่งอยู่กับมันที่โต๊ะ ใจหนึ่งผมยอมรับว่าดีใจ แต่อีกใจก็ยอมรับว่าเริ่มขุ่นๆ...พี่เหยาเลือกที่จะไม่เจอหน้าผม แต่กลับมานั่งสบายอยู่กับไอ้วิทย์ที่โต๊ะในวันที่คิดว่าผมไม่มา...

“สอบมึงล่ะ?”มันถามย้ำ เมื่อผมไม่ตอบ

“สอบล่ะ?”ผมหันไปถามไอ้ชัยแทน ไม่ได้งงหรือจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าไอ้วิทย์พูดอะไร เพราะลิ้นไก่มันกับผมยาวพอที่จะมองเห็นของกันและกัน และแม้รู้ว่ามันตั้งใจรั้งพี่เหยาไว้ให้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ

“เสือกโยนให้กู!”ไอ้ชัยกระซิบด่าผมเบาๆก่อนหันไปบอกไอ้วิทย์

“เลื่อนไงวะ จะมีอะไรได้อีก?”

“เออ! ขอโทษที่ถามอะไรโง่ๆ ทำให้มึงต้องเปลืองน้ำลายตอบ!... มาก็ดี กูกำลังจะไปกินข้าว...ช้าอีกนิด ไม่เจอกูแล้วนะเนี่ย ใช่เปล่าพี่?”มันหันไปถามพี่เหยา ที่ทำหน้าตาเบื่อหน่ายกับละครที่เหมือนจะเนียนแต่ไม่เนียนของมัน แต่พี่เหยาก็ยอมไปนั่งกินข้าวกับพวกผมแต่โดยดี เพียงแต่ตอนสั่งอาหารพี่เหยาปล่อยให้พวกผมสั่งก่อน ตัวเองสั่งทีหลังแต่กลับสั่ง

“อะไรก็ได้ ที่ได้ก่อนเพื่อน...”

“แล้วถ้าเป็นพวกไข่ พี่จะกินได้เหรอ?”ผมเตือนเบาๆ หลังจากอึ้งไปนาน และแม่ค้าก็อึ้งพอกัน เพราะยังปักหลักมั่นรอรับรายการอยู่ที่โต๊ะ

“ก็เอาเหมือนที่กะทะถัดไปกำลังจะทำไง อะไรก็ได้ ทำเผื่อด้วย... ไม่ใช่ไข่นี่ ผมเห็น”พี่เหยาไม่สนใจผม แต่หันไปแนะแม่ค้า ที่พยักหน้า เข้าใจแบบงงๆแทน

“แล้วถ้าเป็นผัดเนื้อล่ะพี่?”ผมยังไม่ยอมแพ้

“มึงก็กินแทนไง!”ไอ้วิทย์ตอบ แบบที่พี่เหยาคงตอบหากเป็นเมื่อก่อน แต่วันนี้พี่เหยาไม่สนใจผมสักนิด...

ถ้าพี่เหยาส่งสายตามาบอกว่า...เลิกยุ่งซะทีได้หรือเปล่า...ผมก็ยังจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่เมื่อพี่เหยาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ...มันเจ็บปวด และนึกกลัว กลัวระยะห่างที่ดูจะไกลขึ้นและไกลขึ้นไปทุกที จนเหมือนช่วงเวลาหนึ่ง คือ...เป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันและกัน

และอาหารจานก่อนเพื่อนของพี่เหยาก็ไม่ใช่ไข่ หรือผัดเนื้ออย่างที่ผมนึกกังวล และพอมันมาวางอยู่ตรงหน้า พี่เหยาก็ตักเอาๆไม่สนใจใคร

“โหพี่!...ถ้าไม่คิดจะรอก็แกล้งชวนนิดก็ได้...”ไอ้วิทย์แกล้งแขวะ และพี่เหยาก็แค่หัวเราะและกินต่อ

ผมนึกอยากถาม...ถ้าเป็นผมพูด พี่จะหัวเราะหรือเปล่า?...แต่ไม่ต้องถามผมก็รู้คำตอบ

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็หมดอารมณ์คุย หมดอารมณ์กิน ข้าวตรงหน้าที่เพิ่งถูกยกมา ฝืดคอไปโดยปริยาย

“เป็นห่าไรวะ?...นี่ถ้านั่งหน้าร้าน โดนเชิญออกแน่มึง!”ไอ้วิทย์ถามด้วยท่าทางปกติของมัน แต่ผมกลับขวางตา ขวางหูผม

“อย่าเสือก!”ผมตอบไปด้วยอารมณ์ มากกว่าด้วยเหตุผลหรือแม้แต่จะยั้งคิดสักนิด

มันคงง่ายกว่าถ้าพี่เหยาไม่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย เราคงพูด หรือด่ากันได้สะดวกปากกว่านั้น แต่เมื่อพี่เหยานั่งอยู่ด้วย ไอ้วิทย์เลยได้แต่ถอนใจ ส่วนไอ้ชัยก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่แย่ที่สุดคือ พี่เหยาวางช้อนลงทั้งที่ข้าวในจานยังเหลืออยู่นิดหน่อย

“ฝากจ่ายด้วยนะ”พี่เหยาบอกไอ้วิทย์ ก่อนวางเงินค่าข้าวไว้ให้



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ไอ้วิทย์ขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็แค่พยักหน้ารับ แล้วพี่เหยาก็เดินไป ไม่พูดอะไรกับผมสักคำเดียว

“กูเสือกอยู่อย่างเดียว... เสือกยอมเป็นเพื่อนมึงไง!”ไอ้วิทย์พูด เมื่อพี่เหยาคล้อยหลังไปแล้ว

“ไอ้ที่ควรพูด เสือกไม่พูด!”มันด่า และผมได้แต่เงียบ เพราะมันพูดถูกอีกตามเคย แล้วพอผมเงียบ มันก็เลยทำได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ ผมเดาว่ามันคงเบื่อเกินว่าจะขยับปากด่าผมแล้ว

พอผิดหวังจากพี่เหยา และรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีไปกับไอ้วิทย์ แทนที่จะเลือกอ้าปากขอโทษ ผมก็เลือกที่จะทำตัวหายหัวไปอีกเหมือนเคย แบบที่ผมถนัดคือหนีหน้า เพราะผมไปหา พี่เหยาก็คงหลบหน้าผมเหมือนเคย ไอ้ที่เคยคิดว่าไปเพื่อพี่เหยา ไปเพราะกลัวพี่เหยาจะคิดว่าผมละทิ้งหนีหน้า ตอนนี้ผมตะหนักดีแล้วว่า...ผมหลงตัวเองไปเอง ตีค่าตัวเองสูงเกินไป ผมไปก็เพราะผมอยากไป อยากเจอ เป็นการทำเพื่อตัวเองฝ่ายเดียวเท่านั้น...สายตาพี่เหยาที่มองผมอย่างเจ็บปวด ผิดหวัง...ผมคิดไปเองทั้งสิ้น เพราะจริงๆแล้วสำหรับพี่เหยา ผมไม่มีค่าอะไรเลย ...ไม่มีค่าเท่าทอม เท่าไอ้วิทย์ หรือเท่าใคร

ไอ้ชัยเอ่ยปากชวนผมหลายครั้ง แต่คำเดียวที่ผมบอกคือ...ไม่

สำหรับมัน ผมไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาเอ่ยอ้าง หรือเสแสร้ง ผมบอกมันได้เต็มปากว่า...กูไม่อยากไป

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยไปให้กับความรู้สึกคิดถึงที่มันเกาะกุมใจอยู่ตลอดเวลา

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยไปให้กับความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า

ผมบอกว่ามันคือความเข็มแข็ง เพราะผมสามารถทนอยู่ได้ ทั้งที่มันทรมาน

ผมบอกว่ามันคือความเข็มแข็ง เพราะวันนี้ผมไม่เอาความเจ็บปวดและสิ้นหวังของตัวเองไปทำร้ายคนอื่น

หากแต่ลึกๆในใจมันก็รู้ตัวอยู่ดีว่า...ตัวเองขี้ขลาด เอาแต่หนี

แม้ใจหนึ่งจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้หนี ผมเพียงทำตามที่พี่เหยาต้องการ คือหายหัวไปซะให้พ้นหน้า

แต่อีกใจผมกลับค่อยๆยอมรับว่า ผมขลาดกลัวมาแต่เริ่มต้น

ความเข็ดขยาดและขลาดกลัว มันกลายเป็นเนื้อเดียวกับหัวใจของผม นับแต่วันที่ผมเก็บกลืนเสียงร้องไห้ของตัวเองอยู่ในความมืดมิดในห้องพี่เหยา...นับตั้งแต่วินาทีที่ผมรู้ว่า พี่เหยาเลือกทอม ไม่ใช่ผม

ผมเสแสร้งทำตัวเป็นปกติ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่

ผมเสแสร้งทำเป็นลืมว่าตัวเองพูดอะไรกับพี่เหยาไว้...ต่อไปอย่ามายุ่งกับผมอีก...ประโยคที่ตัวเองพูด และจำได้ดีแต่ก็แกล้งลืม และเมื่อพี่เหยาถอยห่างออกไปอย่างที่ผมร้องขอ ผมกลับเป็นฝ่ายรุกก้าวเข้าไปหา หากแต่เมื่อพี่เหยาขยับเข้ามา ผมก็ถอยเสียเองและยิ่งกว่าถอยคือ ผมกลับผลักพี่เหยาออกไป..

ผมพยายามทำตามสิ่งที่ใจตัวเองปรารถนา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถข้ามพ้นความหวาดกลัว ผมเสแสร้งแกล้งลืมความเหนื่อยใจ แต่เมื่อต้องยอมรับว่า...ผมเหนื่อย...เหนื่อยกับความสัมพันธ์เช่นนี้...แล้วพี่เหยาล่ะ? พี่เหยาที่เป็นฝ่ายถูกฉุดให้ก้าวตามแต่แล้วก็ถูกผลักให้ถอยกลับไปยืนที่เดิม จะไม่เหนื่อยกับการกระทำของผมหรืออย่างไร?

ไอ้ที่คิดว่าต่อไปจะเข้มแข็ง ...สุดท้ายความเข้มแข็งในความหมายของผมก็คือการหายหัว

ไอ้วิทย์ไม่ได้ติดต่อมาหาผม เหมือนไอ้ชัยที่พักหลังมันก็คงเบื่อที่จะฟังคำปฎิเสธของผมเช่นกัน

แล้วสิ่งที่พิสูจน์ว่าผมอ่อนแอ เอาแต่หนี ก็คือโทรศัพท์จากพี่เหยา

ผมยอมรับว่าดีใจ ที่สุดท้ายพี่เหยาก็ยังแคร์ผม

“เอกทะเลาะกับวิทย์เหรอ?”พี่เหยาถาม

ผมอยากถามพี่เหยาว่า...หายโกรธผมแล้วเหรอ? แล้วพี่ห่วงว่าผมทะเลาะกับใคร หรือห่วงที่ผมทะเลาะกับไอ้วิทย์...แต่ก็ตอบออกไปได้แค่

“เปล่า...”

“ช่วงนี้เอกไม่เห็นมาที่มหาวิทยาลัย?”

ผมนึกอยากถามพี่เหยาว่า...ไปให้พี่ทำเมินผม แล้วไปหัวเราะกับไอ้วิทย์เหรอ...นึกอยากถามพี่เหยาว่า ถ้าไป แล้วพี่จะเมินผมอีกไหม?...แต่ก็พูดออกไปได้แค่

“ช่วงนี้มันยุ่งๆ”

“ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเรียนใช่ไหม?”พี่เหยาถาม แต่ผมรู้ว่าพี่เหยาหมายความว่า...ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวไปทำให้การเรียนมีปัญหาอีกใช่หรือเปล่า...

“เปล่า...”ผมตอบ

“ก็ดีแล้ว...พรุ่งนี้วิทย์ชวนไปงานไม้ดอก เอกไปไหม?”พี่เหยาถาม ผมถึงเพิ่งนึกได้

นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปงานไม้ดอกไม้ประดับ เพราะงานมีแต่เช้า ดังนั้นเมื่อเริ่มโตพอที่จะปฎิเสธแม่ได้ ผมก็ไม่ไปอีก...

แต่ผมก็จำได้ว่าผมเคยชวนพี่เหยาไว้ว่าจะไปด้วยกัน...ผมไม่ได้บอกพี่เหยาว่า ตอนนั้นปากผมชวนพี่เหยาว่า...ไปงานไม้ดอกด้วยกัน...แต่ใจผมกลับคิดไปไกลกว่านั้น...ใจผมคิดว่า...ต่อไปไม่ว่าจะ สงกรานต์หรือวันไหนๆ หรือแม้ไม่ต้องเป็นวันพิเศษอะไรเลย ผมก็จะกอดพี่เหยาเอาไว้ จะทำให้พี่เหยายิ้ม ทำให้พี่เหยาหัวเราะทุกๆวัน...จะพาพี่เหยาไปในที่ๆทอมไม่เคยพาไป...แต่ความสุขมันกลับสั้นจนผมตักตวงมันไว้ไม่ได้แม้แต่ความหวัง...

ในความเป็นจริง เมื่อพี่เหยาเอ่ยถาม...เอกไปด้วยกันไหม? ผมกลับสงสัย ถ้าผมไป พี่คงไม่ไปใช่ไหม? เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงตอบไปได้แค่

“ผมนัดเพื่อนไว้...”

บทสนทนาหลังจากนั้นดูเลื่อนลอย เราต่างพยายามตั้งคำถาม เพื่อพยายามให้คำตอบ ตราบเมื่อรู้สึกว่า การเสแสร้งควรยุติลงเสียที เราจึงตัดสินใจยุติการสนทนา

วันจันทร์หลังจากนั้น ผมยอมตามไอ้ชัยไปหาไอ้วิทย์ พี่เหยาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเช่นเคย แม้ไม่มีชั่วโมงเรียน...ผมผิดหวัง แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อยพี่เหยาไม่ได้นั่งอยู่กับไอ้วิทย์

“หายหัวไปเลยนะมึง นึกว่าต้องให้กูยกขันหมากไปขอ!”ไอ้วิทย์พูดตอนเงยหน้ามาเจอผม

ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน ไม่ได้บอกมันว่า...พอดียุ่งๆ...เหมือนที่ตอบพี่เหยา เพราะรู้ว่า มันรู้ว่าผมไม่ได้ยุ่งอะไร และรู้เช่นกันว่า พี่เหยาเองก็รู้เหมือนๆมัน ว่าผมไม่ได้ยุ่ง

“นั่งสิครับ! เดี๋ยวพี่เหยาก็มา เอางานไปส่งอาจารย์”มันแขวะเมื่อผมยังยืนนิ่ง และคำบอกกล่าวของมันก็ทำให้ผมผิดหวัง...พอผมไม่มา พี่เหยาก็กลับมานั่งกับมันจริงๆ แล้วผมจะมาทำไม?...

“งานไม้ดอกเป็นไง?”ผมถามอย่างพยายามให้ปกติ อยากฟัง อยากรู้ ว่ามันและพี่เหยามีความสุขแค่ไหนกัน เมื่อไม่มีผม

“สวย... เหมือนทุกปี!”มันตอบ

“พูดเหมือนทุกปีมึงไป!”ไอ้ชัยขัด

“เออ! ก็ปีนี้ก็ไม่ได้ไปไง... ถึงบอกได้ไงว่าสวยเหมือนทุกปี!”

“อ้าว ไหนว่ามึงชวนพี่เหยาไป?”

“เออ แต่พี่เหยาไม่ไป...”มันตอบไม่ทุกข์ร้อน แต่คนที่ร้อนใจกลับกลายเป็นผมเอง

แน่นอนว่าตอนนั้น ไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกดีมากไปกว่าคำตอบของมัน...แม้เพิ่งบอกตัวเองไปว่า ตัวเองไม่มีค่า ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับพี่เหยา แต่เมื่อไอ้วิทย์บอกว่า พี่เหยาไม่ไป ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า...เพราะผมไม่ไป อดคิดไม่ได้ว่า...หรือโทรศัพท์วันนั้น พี่เหยาตั้งใจจะทวงถามสิ่งที่ผมเอ่ยปากชวน แต่ผมกลับบอก... นัดเพื่อนไว้... ผมกลับทำราวตัวเองลืมที่เอ่ยชวน...คิดได้ดังนั้น ผมก็ร้อนใจ กลัวพี่เหยาจะโกรธหรือเสียใจอีก...

“พี่เก้า... พี่นัทโทรหามึงบ้างเปล่า เรื่องไปเรียนต่อถึงไหนแล้ว?”ไอ้ชัยถามไอ้วิทย์

“ไปเดือนมิถุนา...ชวนพี่เหยาไปด้วยแต่พี่เหยาไม่ไป”ไอ้วิทย์ตอบ ผมเพิ่งนึกได้ว่า เดือนหน้าพี่เหยาก็เรียนจบแล้ว และคงกลับไปช่วยงานที่บ้านอย่างที่เคยบอกผมไว้...กลับไปอยู่ในโลกที่ไม่มีผม แต่ยังคงมีทอมอยู่ข้างๆ

“พี่เหยาเรียนจบแล้วกลับบ้านใช่ไหม?”ไอ้วิทย์เงยหน้าจากสมุดขึ้นมาถามในสิ่งที่ผมกำลังคิด

“พี่เขาไม่ได้บอกมึงเหรอ?”แต่ผมถามแทนคำตอบ ไม่ตั้งใจยั่วหรือกวนโมโหมัน แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้

“บอกดิ! กูถึงถามมึงไง เผื่อมึงไม่รู้!”มันกวนกลับมาบ้าง แต่ผมรู้มันไม่ได้โกรธอะไรผม หรือพูดให้ถูกคือ ยังไม่โกรธ

“จะประชดกันอีกนานไหมวะ?”ไอ้ชัยรีบตัดบท ไม่รู้เพราะกลัวไอ้วิทย์โกรธ หรือเพราะกลัวเดี๋ยวผมทำตัวหายหัวอีก

“กูจำไม่ได้ว่ารู้มาจากใคร...แต่มั่นใจว่าไม่ใช่พี่เหยา... ว่าพี่เหยาจะกลับบ้านเมื่อเรียนจบแล้ว กูมั่นใจว่ามึงต้องเป็นหนึ่งในจำนวนคนไม่กี่คนที่พี่เหยาคุยเรื่องส่วนตัวด้วย กูเลย...”ไอ้วิทย์เริ่มคำถามใหม่โดยการแกล้งเกริ่นเสียยาว

“ไอ้สัตว์!”แต่ผมตอบสั้น ด้วยคำด่าที่มันรู้ว่าไม่จริงจัง

ยังไม่ทันที่มันจะอ้าปากด่าตอบ ก็พอดีเห็นพี่เหยาเดินมา

“เรียบร้อยแล้วเหรอพี่?”ไอ้วิทย์ถาม

“อือ...”พี่เหยาตอบเท่านั้น แล้วนั่งลงพร้อมวางหนังสือพิมพ์ที่ถือติดมือมาลงบนโต๊ะ ไม่มีทีท่าแปลกใจอะไรที่เห็นผม หรือจริงๆก็คือพยายามทำให้ทุกอย่างดูปกติ

“นี่ไม่ได้ตั้งใจวางให้ผมเห็นใช่เปล่าพี่? ไหนหนังที่พี่เปรยๆ”ไอ้วิทย์ถามก่อนดึงหนังสือพิมพ์ในมือพี่เหยาไปเปิดดู คำว่า...เปรยๆ...ของมันเน้นย้ำอย่างตั้งใจ

“ช่วงนี้พี่เขา...เปรย...บ่อย!”มันเปิดหนังสือไปพูดไป ไม่สนใจพี่เหยาที่มองมันเหมือนอยากให้มันหยุดพูดสักทีและ คำว่า...เปรย...ของมันก็ยังตั้งใจเน้นตั้งใจย้ำอย่างเดิม

“เมื่อวันศุกร์ ก็เปรยๆว่า วันอาทิตย์นี้ มีงานไม้ดอก กูก็บอกว่าอือ...ก็เปรยอยู่นั่นแหละ...งานไม้ดอก งานไม้ดอก...กูก็อือแล้ว อืออีก...จนต้องถาม ไปไหม?...ก็เปลี่ยนเรื่องเปรยอีก ใครไปบ้าง...กูก็บอกยังไม่รู้...ก็เปรย เปร๊ย เปรย...เปรยไม่หยุด กูเลยบอกจะชวนไอ้รงค์ ไอ้ชัย ให้พี่เขาไปชวนพี่นัท พี่เก้า ...เขาก็ยังเปรยว่าเช้าๆจะยอมตื่นกันเหรอ...กูเลยแถมไอ้เอกให้อีกคน...นั่นแหละถึงหยุดเปรย!”ไอ้วิทย์มันยังก้มหน้าก้มตาดู ตารางหนัง ปากมันก็พูดไม่หยุด ไม่สนใจตาขวางๆของพี่เหยา และคำว่า ‘เปรย’ของมันก็ยังคงตั้งใจเน้นย้ำทุกคำ

“เข้าตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่พี่!”มันเงยหน้าถาม แต่ไม่รอฟังคำตอบก็หันมาถามผมแทน



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
“พี่เขาเปรยๆว่าหนังที่อยากดูเข้าแล้ว เฮ้ยเอก...ชวนพี่เขาไปดูกันดีเปล่า!” มาถึงตอนนี้แก้มขาวๆของพี่เหยาเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

“มึงไม่อยากดูก็ไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวกูไปดูกับพี่เขาสองคน”ผมพูด สิ่งที่ได้ยินจากไอ้วิทย์ ทำให้ผมได้ใจขึ้นอีกโข

“ได้ไง พี่เขาเปรยกับกูไว้”ไอ้วิทย์ขัด

“ก็ถ้าวิทย์ไม่อยากดู ก็ไม่ต้องไปก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไร!”พี่เหยาบอก ผมไม่แน่ใจว่าพี่เหยาแค่แกล้งพูดหรือเปล่า...หากแต่ใจผมมันพองขึ้น นึกบอกแต่ว่า..พี่เหยาอยากไปกับผมแค่สองคน!

“อ้าว ได้ไงพี่? เปรยจนหูผมชา มาทิ้งกันง่ายๆได้ไง...ต้องรับผิดชอบนา!”

“ ก็ไม่อยากดู จะไปทำไม!”

พี่เหยากับไอ้วิทย์ยังเถียงกันอยู่อีกนาน ไอ้ชัยโทรไปชวนไอ้รงค์ก่อนที่จะรู้ผลของการทุ่มเถียงกันด้วยซ้ำ ส่วนผมก็เลิกหวังว่าจะได้ไปกับพี่เหยาสองคน เพราะต่างรู้กันอยู่ว่า...เถียงกันไปอย่างนั้นเอง เดี๋ยวก็ไปด้วยกันหมด...

แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...

ไอ้รงค์รออยู่ที่โรงหนัง แต่ไม่ใช่แค่กับแฟนมันสองคน ยังมีเพื่อนของแฟนมันอีกสามคนด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นผมรู้จักถึงขั้นค่อนข้างจะสนิทสนม

“เอก!”เพื่อนของแฟนมันคนหนึ่งร้องทัก ตั้งแต่ผมยังไม่สังเกตเห็นหล่อน และเพียงได้ยินเสียงผมก็แทบจะหันหลังกลับ แต่ก็ช้าไป เพราะพอสิ้นเสียง ตัวหล่อนก็โผล่มายืนอยู่หน้าผมซะแล้ว

และยังไม่ทันที่ใครจะแนะนำตัวกันอย่างไร แฟนไอ้รงค์มันก็เดินเข้าไปหาไอ้วิทย์กับพี่เหยาแล้วกระซิบ

“แฟนเอก!”แฟนไอ้รงค์กระซิบเบาหรือเปล่าผมไม่รู้ รู้แต่ผมได้ยิน ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ยิน เพราะหล่อนทำท่าเหมือนจะเขินๆ แต่ก็แสร้งทำเป็นคุยกับผมเป็นปกติเหมือนไม่ได้ยิน ส่วนเพื่อนหล่อนอีกสองคนก็หัวเราะกันคิกคัก กระซิบกระซาบอะไรกันก็สุดจะเดา

ผมเลยทำตัวไม่ถูก...ถ้าแฟนไอ้รงค์มันพูดดัง ผมก็ปฎิเสธได้สะดวก แต่ถ้าปฎิเสธหล่อนจะอายหรือเปล่า...ผมรู้ การถูกปฎิเสธ มันน่าอายแค่ไหน...

...เดี๋ยวค่อยบอกพี่เหยาว่าไม่ใช่...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ก็นึกสงสัยอีกพี่เหยาอาจจะไม่สนใจก็ได้ ก็จนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าผมกับพี่เหยา มีความสัมพันธ์กันอย่างไร...เรามีความสัมพันธ์ทางกายกัน เติมเต็มความปรารถนาให้กัน...เรามีความสัมพันธ์ทางใจกัน...แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าที่มีต่อคนอื่นๆ..

พี่เหยามีผม...มีทอมที่พี่เหยาให้ความสำคัญมากกว่าผม...และอาจมีใครอีกหลายๆคน ที่อาจไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ทางกายด้วยเท่านั้นก็ได้ ใครจะรู้...ผมอาจเป็นหนึ่งในหลายๆคนนั้น...แคร์เท่าที่จะแคร์คนๆหนึ่งที่รู้จัก... อาจจะเท่านั้น

ดังนั้นการที่ผมจะมีใคร หรือมีแฟนสักคน มันอาจไม่มีผลอะไร กับพี่เหยาก็ได้ เหมือนที่พี่เหยาก็มีทอม...ตราบที่เรายังรักษาความสัมพันธ์เช่นเดิมไว้ได้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

ผมหันไปมองพี่เหยา ที่ไม่มีปฎิกิริยาอะไรเลยกับสิ่งที่ได้ยิน...

ใจหนึ่งโล่งใจ หากแต่อีกใจก็น้อยใจ...

ในโรงหนัง โดยความตั้งใจที่ไม่ใช่ของผม...ผมนั่งข้างหล่อน และอาจจะโดยความตั้งใจของพี่เหยา พี่เหยานั่งห่างออกไป ข้างไอ้วิทย์

หนังสนุกหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ทุกครั้งที่หันไปมองพี่เหยา พี่เหยานั่งนิ่งๆ ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากหนังที่ดู

นานครั้งผมเห็นจากหางตาว่าไอ้วิทย์เอี้ยวตัวไปกระซิบคุยกับพี่เหยา และทุกครั้งผมห้ามตัวเองไม่ให้หันไปมองไม่ได้

ผมภาวนาให้หนังจบไวๆ

นึกรำคาญทุกเสียงกระซิบของผู้หญิงที่นั่งข้างๆที่พยายามจะชักชวนผมคุย นึกรำคาญทุกครั้งที่ชำเลืองเห็นไอ้วิทย์ขยับตัวคุยกับพี่เหยา สุดท้ายผมก็รำคาญทั้งพระเอก นางเอกที่พี่เหยาเอาแต่นั่งจ้อง ไม่สนใจผม

มันไม่ใช่หนังที่ผมอยากดู... แต่อยากดูเพราะพี่เหยาอยากดูและผมอยากมากับพี่เหยา...แต่ไม่ใช่แบบนี้

แล้วผมก็ทนความอึดอัดและเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นไม่ไหว

“เอก!”ผมได้ยินหล่อนเรียกผม แต่ผมไม่สนใจ สลัดแม้แต่มือหล่อนที่รั้งแขนผมไว้และลุกเดินจ้ำอ้าวออกมา หลังหนังเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่

ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกลับบ้านเลยดี หรือนั่งรออยู่แถวๆนั้นดี...ไม่ได้หวังว่าพี่เหยาจะตามออกมา เพราะมันคงดูแปลกๆ พี่เหยาไม่ทำอย่างนั้นแน่ เพราะเป็นผม ก็อาจไม่ทำเหมือนกัน! และยิ่งกว่านั้น ผมหวังเหลือเกินว่าหล่อนจะไม่เดินตามออกมา...มันดูไม่แปลก หากแต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากให้เกิด

ผมนึกไม่ออกว่าเดี๋ยวจะให้เหตุผลอะไรที่ตัวเองเดินออกมาทั้งอย่างนั้น

...หรือกลับเลยดี?...ผมคิด จะได้ไม่ต้องคิดหาเหตุผลให้ปวดหัว

...ทำไมผมต้องหาเหตุผลล่ะ?...อีกครั้งที่ผมถามตัวเอง

เพื่อนผม ทั้งไอ้วิทย์ ไอ้ชัยรวมทั้งไอ้รงค์ รู้แน่นอนว่าผมหงุดหงิดเรื่องอะไร มันไม่ถามให้เมื่อยปากหรอก ผมรู้...

พี่เหยา?..ผมมีเหตุผลให้อยู่แล้ว ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องบอกพี่เหยาเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหล่อน...

ผู้หญิงคนนั้น?...แทนที่จะนึกหาเหตุผลว่าทำไมผมต้องคิดหาเหตุผลมาบอกหล่อน ผมกลับนึกหงุดหงิด...น่าจะบอกปัดไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว อายก็อายไป...ไม่เห็นผมจะต้องแคร์!

แต่ไม่ว่าผมจะคิดอย่างไร...พี่เหยาก็เดินตามผมออกมา แม้ไม่ใช่ในทันที หากแต่ก็ไม่นานพอให้ผมเสียใจ...

หากไม่มีทอม...ไม่มีสักเรื่องที่พี่เหยาทำร้ายน้ำใจผม...ใช่ เพียงแต่ต้อง...ไม่มีทอม..เท่านั้น

พี่เหยาเดินเข้ามาหาผมเงียบๆ เหมือนที่ผมนั่งมองพี่เหยาเดินเข้ามาเงียบๆ

ผมนึกสงสัย พี่เหยาจะแกล้งถามอะไร...จะพูดว่ายังไง...ผมนึกไม่ออก?

“เขาไม่ใช่แฟนผมนะ!”แล้วผมก็เป็นฝ่ายพูด พูดในสิ่งที่คิดตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในโรงหนังที่น่าอึดอัดนั่น พูดเมื่อพี่เหยาเดินเข้ามาใกล้ๆ...พูดโดยไม่สนใจว่าพี่เหยาจะพูดอะไรกับผม...พูดเพราะผมแค่อยากบอกพี่เหยาว่า...หล่อนไม่ใช่แฟนผม...

แม้เราจะมีความสัมพันธ์กันนับครั้งไม่ถ้วน...สัมผัสริมฝีปากกันจนไม่อาจนับครั้งได้...หลอมรวมร่างกายป็นหนึ่งเดียวกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นอนอยู่ในอ้อมกอดกันไม่รู้กี่ค่ำคืน แม้จะพร่ำกระซิบเรียกชื่อกันและกันมากมายเท่าใด...ไม่ว่าใจเราจะเต็มตื้นด้วยความอบอุ่น หรือดิ่งลึกอยู่ในอารมณ์ปรารถนา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะพูดคำว่ารัก...อาจเพราะไม่กล้า...ไม่รู้...หรือยอมรับโดยดุษฎีว่าไม่มีสิทธิ์...

และหากไม่นับรวมวันที่ผมกอดพี่เหยาไว้ภายใต้เสื้อหนาวตัวเดียวกัน ภายใต้แสงโคมที่ทำให้ท้องฟ้าเชียงใหม่สว่างไสว ภายใต้ลมหนาวที่ไม่อาจแตะต้องผิวเนื้อเรา วันที่ผมคลอเพลงเบาๆข้างแก้มเย็นๆของพี่เหยา...จะรักพี่ไม่มีหน่าย...บ่อยากเป็นน้องชายแล้วล่ะ...

และแม้ว่าผมเคยบอกว่า ระหว่างผมกับพี่เหยา มันยากที่จะบอก ความรักของเราเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่

แต่วันนี้ เมื่อผมบอก...เขาไม่ใช่แฟนผมนะ...มันใกล้เคียงกับคำบอกรักมากที่สุด เท่าที่เราเคยพูดแก่กัน

มันไม่ใช่ความรู้สึกของผมแค่ฝ่ายเดียว เพราะพี่เหยารับรู้คำพูดของผม ด้วยแก้มที่แดงขึ้นเล็กน้อย และเราต่างรับรู้มันด้วยความเงียบภายในโรงหนังของหนังรอบต่อไป...แค่สองคน

มันเป็นความสุข...ที่เหมือนทุกครั้งคือ...คลุมเครือ...

เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยาเป็นเช่นนั้นเสมอ...

ความสุขที่ตัดไม่ขาด หากแต่ขยาดที่จะรับมันไว้เต็มหัวใจ...

และความทุกข์ที่ขลาดกลัว หากแต่ก็มัวเมากับมันจนถอนตัวไม่ได้...

ความสัมพันธ์ของผมกับพี่เหยาเป็นเช่นนั้น...ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอาจเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต...และอาจจะตลอดไป...

...ความสัมพันธ์ที่ปล่อยมือไปก็ไม่ได้...

...เฝ้ามองพี่เหยาและทอมทุกวันๆ...

...เฝ้าแต่ถาม เฝ้าแต่คิด...พวกเขาทำอะไรกันอยู่?...

...นึกเห็น ทั้งที่ไม่เห็น...

...นึกได้ยิน ทั้งที่ไม่ได้ยิน...

...ปลดปล่อยตัวเอง ด้วยภาพร่างที่ทำได้ เพียงแค่จดจำ...

...แล้วก็ร้องไห้ ให้กับความอับจนหนทางของตัวเอง...

...แต่สุดท้าย ก็ยังตัดใจปล่อยมือไปไม่ได้...

...เหนื่อย...ผมบอกตัวเองได้เท่านั้น

...ต้องทำยังไง...ผมถามตัวเองอยู่ทุกวัน

...ไม่รู้...ผมได้ยินหัวใจที่หมดแรงลงทุกวันๆ ตอบ

...ปล่อยไปวันๆ...ผมบอกตัวเอง และนึกถึงที่พี่เหยาบอก

สิ่งที่ยากกว่าการเริ่มต้น คือยุติสิ่งที่ดำเนินอยู่...ผมเข้าใจแล้วและ ผมยอมรับมัน ด้วยใจที่เหนื่อยจวนเจียนจะหมดแรงของตัวเอง

อีกไม่นานพี่เหยา ก็จะเรียนจบและกลับบ้าน...ผมรู้แต่ที่ไม่รู้ว่าคือ... หลังจากนั้นจะเป็นยังไง?

ผมเคยถาม

“เรียนจบแล้วพี่จะกลับมาเชียงใหม่บ้างหรือเปล่า?” พี่เหยาตอบแค่ว่า

“...ไม่รู้สิ...”พี่เหยาเลือกที่จะไม่โกหก และผมรับฟังด้วยความสงบ อารมณ์ไม่ได้พลุ่งพล่านหรือเดือดดาลอย่างที่ควรเป็น และไม่ใช่เพราะผมไม่รู้สึก รู้สาอะไร หากแต่อย่างที่บอกคือ...เหนื่อยใจ...

ความสัมพันธ์เราอาจจะจบแค่นั้น โดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายจบมันลง



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ผมไม่แน่ใจว่าจะทนได้ไหม...แต่ความเหนื่อยก็ทำให้ผมรอคอยมันอย่างใจจดจ่อ...

ยิ่งใกล้วัน...ผมยิ่งแยกไม่ออกระหว่างความหวังและสิ้นหวัง...แยกไม่ออกระหว่างการนับวันรอ หรือ หวาดกลัววันที่กำลังจะมาถึง...

ตลอดมา ผมรู้ว่าความสุขทำให้เวลาผ่านไปรวดเร็ว ตรงข้ามกับความทุกข์ที่เวลามักผ่านไปช้าๆ...เมื่อรอคอยสิ่งใดอย่างใจจดจ่อ วันเวลามักเดินช้า จนสิ่งที่เฝ้ารอมาไม่ถึงเสียที หากแต่ตรงกันข้าม เมื่ออยากเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ เวลามักเดินเร็ว จนเราตั้งตัวไม่ทัน

และแม้จะเฝ้าหลอกตัวเองว่า ผมหวาดกลัววันที่กำลังมาถึง พอๆกับนับวันรอมัน หากแต่ก็ต้องยอมรับว่าที่สุดแล้ว มันมีเพียงความหวาดกลัว เพราะเพียงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง วันที่พี่เหยากำลังจะหันหลังจากไปก็มาถึง...รวดเร็ว จนไม่ทันนับวันรอ และผิดหวัง เมื่อคำกล่าวลาของพี่เหยาคือรอยยิ้มยินดี...

ผมจำได้ ทอมพาพี่เหยาเข้ามาบอกพ่อและแม่ว่า พี่เหยาสอบเสร็จแล้วและจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วัน

...ผมผิดหวัง...เมื่อพี่เหยาที่ยืนอยู่กับทอม มองผม และยิ้มอย่างที่ผมไม่ได้เห็นมานาน

..ผมผิดหวัง...เพราะพี่เหยากำลังทิ้งผมไว้ข้างหลังด้วยรอยยิ้มยินดี

มันไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดคิด ...ผมรู้เสมอมาว่าพี่เหยา รอวันเวลาที่จะกลับบ้าน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้รับรู้พร้อมรอยยิ้มยินดีของพี่เหยา ราวกับวันเวลาที่มีร่วมกันมากับผมไร้ค่าจนไม่แม้จะนึกเสียดาย

มันไม่ใช่สิ่งเกินคาดคิด...วันหนึ่งพี่เหยาจะกลับไปอยู่ในโลกที่มีแต่ทอม หากแต่ไม่มีผม...เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้รับรู้พร้อมสีหน้าดีใจของพี่เหยาแบบนี้

เมื่อมีทอม..พี่เหยาทำให้ผมรู้สึกไร้ค่าอีกเช่นเคย

ผมไม่ได้คิดอะไร...หรืออย่างน้อยก็พยายามบอกให้ตัวเองอย่าคิดอะไร...อย่าอิจฉา... อย่าน้อยใจ...

ดังนั้นผมจึงปฎิเสธ เมื่อพี่เหยาคล้ายว่าจะมีเรื่องคุยกับผม...

พี่เหยามาหาผมที่ร้านอีกหลายครั้ง แต่ผมหาเหตุผลข้างๆคูๆ หนีหน้าพี่เหยาเสมอ...

ผมทนไม่ได้กับสีหน้าและดวงตาที่เหมือนจะเก็บกักความดีใจเอาไว้ไม่ได้ของพี่เหยา...

ผมรู้แล้ว...มันสิ้นหวัง ไม่ใช่มีหวัง...พี่เหยากำลังจะกลับไป...กลับไปในที่ๆไม่มีผม...และผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับมัน...

จบแล้ว...ผมตัดสินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในที่สุด

ไม่ว่าผมจะคิด หรือรู้สึกอย่างไร...มันจบแล้ว

ในอีกไม่กี่วัน ทุกอย่างจะจบลงอย่างสมบูรณ์...

พี่เหยายังเฝ้าเพียรพยายามจะคุยกับผม แต่ผมไม่ยอมเปิดโอกาส หากแต่ก็น่าขัน ผมกลับเปิดโอกาสให้ทอม เมื่อทอมเดินเข้ามา...

อาจเพราะผมอยากรู้ ทอมจะทำลายผมได้มากมายไปกว่านี้อีกหรือเปล่า...

อาจเพราะผมอยากรู้ ถ้าทอมทำได้...ผมจะเจ็บปวดมากไปกว่านี้ได้อีกหรือเปล่า...

อาจเพราะผมอยากรู้ ถ้ามันเจ็บปวดไปกว่านี้ มันจะเจ็บจนลบล้างความเจ็บปวดที่กำลังจะสูญเสียพี่เหยาไปได้หรือเปล่า...

ถ้าอยากทำลาย ผมก็จะให้ทำ...ถ้าอยากทำให้ผมเจ็บปวด ผมก็เจ็บปวด...ให้สาสมกับความยุติธรรมที่ไม่เคยมีให้กับผม...

ด้วยเหตุผลทั้งหมด ผมจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะและรอคอยอย่างสงบเมื่อเห็นทอมเดินเข้ามา

ทอมยิ้ม เหมือนฝรั่งใจดี ที่เคยหยิบยื่นเงินค่าขนมให้ผม...

ทอมยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ผมชิงชังสุดหัวใจ...

ทอมยิ้ม ขณะพูดถึงสิ่งน่ารังเกียจ...

ทอมยิ้ม ทั้งที่ปากกำลังชักชวนให้ผมกระทำสิ่งที่น่าคลื่นไส้...

ทิ้งทวน...ไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำนี้

ทิ้งทวน...ข้อเสนอสุดท้ายที่ทอมอุตส่าห์ใจดี มอบมันให้ก่อนที่ร่างกายของพี่เหยาจะกลายเป็นแค่ความทรงจำสำหรับผม

ผมไม่เคยเข้าใจทอม ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมไม่เคยเข้าใจ...

น้ำตาของทอม เมื่อเห็นพี่เหยาเจ็บปวดเป็นของจริง...เหมือนความเป็นห่วงเป็นใยที่ผมเห็น มันไม่ใช่สิ่งเสแสร้ง...

แต่ทอมก็ยังทำให้พี่เหยาเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า...ผมไม่เข้าใจ

ถ้าผมรักใครสักคน...ผมคงอยากเป็นเจ้าของคนๆนั้นเพียงลำพัง..

...เพียงแค่ผมมีสิทธิ์ ผมจะไม่ยอมให้ใครได้แตะต้องพี่เหยา...

...ถ้าพี่เหยาหยิบยื่นโอกาสนั้นให้แก่ผม...ผมรู้...ผมจะถนอมพี่เหยาให้ยิ่งกว่าที่เคยถนอมทุกๆอย่าง...

...แก้มเย็นๆของพี่เหยา...ผิวเนื้อขาวที่แตะนิดก็แดงเป็นรอยมือ...ไหล่ผอมบางที่ผมอยากเหลือเกินที่จะปกป้อง...รอยยิ้ม...เสียงหัวเราะ...ดวงตาที่จับจ้องผม...ทุกสิ่งและทุกอย่างของพี่เหยา ทั้งร่างกายและจิตใจ...ถ้าเพียงแต่เป็นของผม...ผมจะถนอมให้ยิ่งกว่าที่เคยถนอมอะไรมาทุกๆอย่าง

...แต่เมื่อผมไม่มีสิทธิ์ ผมจึงทำได้เพียงเงียบฟังสิ่งที่ทอมกำลังพูด คล้ายจะตั้งใจฟัง แต่ในหัวมันขาวโพลน

ทิ้งทวน...คำสั้นๆที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาอธิบายสิ่งที่ทอมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มใจดี

ทิ้งทวน กับร่างกายที่ผมพยายามดิ้นรนอยากเป็นเจ้าของ

ทิ้งทวน กับร่างกายของคนที่ทรยศความเจ็บปวดของผม

ผมไม่รู้ว่าจะสงสาร หรือ สะใจ กับสิ่งที่กำลังรับรู้หรือรับฟังอยู่ตรงหน้า

พี่เหยาทรยศและเมินเฉยต่อความเจ็บปวดของผม เพื่อถูกทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนที่ตัวเองเพียรเฝ้าหาเหตุผลมาเอ่ยอ้างเพื่อยกโทษให้เช่นกัน

แม้ผมจะคิดถึงร่างกายและรสสัมผัสของพี่เหยามากมายเท่าไหร่

และความสัมพันธ์ของเราคงไม่มีวันยาวนานไปกว่าพรุ่งนี้

แม้ทอมจะรับปากเป็นมั่นเหมาะว่า พี่เหยาจะไม่มีทางรู้ว่าเป็นผม

และแม้ผมจะชิงชังในรอยยิ้มยินดีของพี่เหยามากมายเท่าไหร่

ผมก็บอกตัวเองว่า...ผมจะไม่ทรยศพี่เหยาอีกแล้ว

เมื่อผมไม่ยินดีและยินร้ายต่อคำชวน ทอมยังคงยิ้มใจดี...หากแต่ยื่นข้อเสนอที่น่าชิงชังยิ่งขึ้นไปอีก...ทอมบอกว่า...หากไม่ใช่ผม ก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่พร้อมจะรับข้อเสนอนี้...

สุดท้ายผมจึงเดินตามทอมขึ้นไปด้วยความรู้สึกสับสน

ผมไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุด ผมจะช่วยอะไร พี่เหยาได้

สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่เหยามันไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับพี่เหยา...ผมรู้

หากแต่ อย่าให้ผมต้องรับรู้...

เพราะหากเมื่อต้องรับรู้...ผมทนไม่ได้ที่จะให้มันเกิดขึ้นและเป็นไป

ผมเดินตามทอมขึ้นไปในที่ๆเคยคุ้น...

ยิ่งใกล้ ผมยิ่งตั้งคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไป?

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าผมหรือพี่เหยาจะเจ็บปวดเพียงใด และแม้บางครั้งพี่เหยาจะแสดงทีท่าต่อต้าน หากแต่ท้ายที่สุด พี่เหยาแสดงออกเด่นชัดว่า...เลือกที่จะยืนข้างเดียวกับทอม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงจนหนทาง และความคิด...วันนี้ผมจะทำสิ่งใดได้? พี่เหยาต้องการให้ผมทำเช่นใด? ผมไม่รู้เลย...สิ่งเดียวที่รู้คือ ไม่อยากให้ใครแตะต้องร่างกายนั้น...ร่างกายของพี่เหยา...

แล้วทอมก็เปิดประตู...พร้อมกับที่โลกของผมหยุดหมุน....ไปตลอดกาล...

พี่เหยานอนอยู่บนเตียงนอนตัวใหญ่ บนผ้าปูที่นอนที่ทำให้ผิวพี่เหยา ขาวเสียยิ่งกว่าขาว

ผมมองดูลำคอขาวที่กำลังถูกฟ้อนเฟ้นด้วยใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครา จนเป็นรอยแดง

ผมมองดูร่างกายที่นึกอยากถนอมและถือครอง หากแต่บัดนี้กำลังถูกทาบทับ ครอบครองอย่างไม่นึกถนอมสักนิดด้วยคนแปลกหน้าและแปลกถิ่น

และมันเจ็บปวด เมื่อสิ่งที่มองเห็นนั้น ...ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงอาการขัดขืนหรือต่อต้าน...

ร่างเปล่าเปลือยของพี่เหยา ขยับตอบรับสัมผัสที่รุนแรงนั้นด้วยความรุนแรงเท่าเทียมกัน

ริมฝีปากที่เคยกระซิบเรียกชื่อผม...แม้เวลานี้ไม่ได้กระซิบพร่ำเรียกชื่อใคร หากแต่ก็เฝ้าร่ำร้อง เรียกหาสัมผัสที่ล้ำลึกและรุนแรงยิ่งขึ้น

ครั้งหนึ่งผมเคยสงสัย...บทรักของทอมกับพี่เหยาเมื่อไม่มีผมเป็นอย่างไร...วันนี้ผมได้เห็น และยิ่งเจ็บปวด เมื่อคนที่เห็น ไม่ใช่ทอม...

สิ่งที่เคยนึกเห็น และคิดได้ยิน เคยคิดว่าเจ็บปวด หากแต่เมื่อทุกสิ่งปรากฏจริงที่ตรงหน้า

คำว่าเจ็บปวด ดูจะเล็กน้อยเสียเหลือเกิน....

ผมได้ยินเสียงทอมหัวเราะที่ริมหู รู้สึกถึงฝ่ามือหนาของทอมที่กำลังปลุกเร้าร่างกายผม และรู้สึกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ของตัวเอง

ทอมผลักผมให้เดินไปข้างหน้า หากแต่ผมขัดขืนและปักหลักยืนอยู่ที่เดิม...ในขณะที่ตายังจับจ้องทุกสัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวที่ตรงหน้า

ผมจะไม่ทำร้ายพี่เหยาอีกแล้ว...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น พร้อมกับผลักไสมือของทอมให้ออกไปจากตัวผม

ผมพยายามบอกตัวเองว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแม้เจ็บปวด หากแต่ร่างกายผมยังทรยศถูกปลุกเร้าด้วยอารมณ์ปรารถนาขึ้นมาได้ แล้วทำไมพี่เหยาจะไม่เป็นไปด้วยเหตุผลดุจเดียวกัน...

ผมบอกตัวเองว่า ทุกการเคลื่อนไหวของแรงอารมณ์ปรารถนาที่ได้เห็นนั้นล้วนแล้วแต่ทรยศต่อความรู้สึกนึกคิดอันมีตัวตนของพี่เหยาทั้งสิ้น

เมื่ออารมณ์ปรารถนาสิ้นสุด มันจะเหลือแต่คราบน้ำตา...หลงเหลือก็แต่ความชิงชังในตัวตนของตัวเอง

มันไม่มีประโยชน์ที่ผมจะยืนอยู่ตรงนี้อีกต่อไป...ผมบอกตัวเอง และขยับถอย

หากแต่ทันทีที่ผมขยับถอย ทอมก็ก้าวมายืนดักอยู่ด้านหลัง หัวเราะและพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ และผมสัมผัสได้...เสียงหัวเราะของทอมมันดังกว่าที่ควรจะเป็น

มันเป็นการขัดขืนครั้งแรกของพี่เหยาที่ผมได้เห็น เมื่อพี่เหยาหันมาตามเสียงทอม และเห็นผม...

พี่เหยาดิ้นรน ขยับหนี หากแต่ทุกอย่างไร้ผล เมื่อร่างที่ใหญ่หนากว่ายังตามติดและโถมแรงเข้าใส่ราวกับจะขยี้ให้แหลกสลายลงไปณ.ตรงนั้น

ผมมองดูดวงตาพี่เหยา ที่กำลังจับจ้องมองมาที่ผม อย่างที่นึกรู้ว่า ทุกสิ่งที่ผมคิดมาแต่ต้น ผิดโดยสิ้นเชิง

ทิ้งทวน...คำจำกัดความสั้นๆที่ผมนึกสงสัยว่า ทอมไม่รู้เลยหรือว่ามันจะทำลายผมกับพี่เหยาขนาดไหน หากแต่เวลานี้ เวลาที่ผมกับพี่เหยากำลังจับจ้องกันและกัน ผมตะหนักแล้วว่าทอมรู้...หากแต่เป็นผมต่างหากที่รู้ช้าไป

ก่อนที่จะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมเพียงคิดว่า...สำหรับผม...ผมไม่อยากให้ใครได้แตะต้องพี่เหยาอีก หากทอมต้องการใครอีกสักคน ขอเป็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

หากแต่เมื่อดวงตาเราจับจ้องกัน ผมรู้ ผมคิดผิด...

สำหรับพี่เหยา...จะเป็นใครก็ได้... ในโลกนี้จะเป็นใครก็ได้จริงๆ แต่คนเดียวที่ต้องไม่ใช่...คือผม

ผมจำเสียงแห่งความสิ้นหวังในวันที่แสงโคมเพิ่งดับไปจากท้องฟ้าของเมืองเชียงใหม่ได้

เสียงความเคลื่อนไหว เสียงความเงียบของความเจ็บปวด...แต่เสียงเดียวที่ไม่ได้ยินคือเสียงของพี่เหยา...

ผมรู้ พี่เหยาไม่อยากให้ผมเห็น...ไม่อยากให้ได้ยิน...

ในความเป็นจริง โลกของผมกับพี่เหยามันแตกสลายไปนานแล้ว...

หากแต่วันนี้ มันไม่เหลือแม้เศษเถ้า...ย่อยยับจนเหลือเพียงอากาศธาตุ



--------------------

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
สายตาพี่เหยาที่จ้องมองผม ทำให้ผมเพิ่งเข้าใจ....

มีดเล่มเดียวกัน กรีดรอยลึกได้ไม่เท่ากัน...

มีดในมือผม มันกรีดทิ้งรอยได้เจ็บลึกกว่ามีดในมือทอม...

โลกมันสิ้นสลายไม่เหลือแม้เศษซาก....

ดวงตาพี่เหยาที่จ้องมองมามันบอกว่า...ไม่มีอีกแล้ว กับคำว่า ไม่เป็นไร....

น้ำตาที่ค่อยๆรินไหลจากดวงตาพี่เหยามันบอกว่า...ทุกอย่างจบลงแล้ว จริงๆ...

ดูเหมือนทอมจะหัวเราะและพูดอะไรบางอย่างกับผม...

พี่เหยานอนนิ่งราวกับไร้ชีวิต ปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ หากแต่ก็ยังจับจ้องมาที่ผม ตราบจนผ้าผืนบาง หากแต่หนาพอที่จะซ่อนโลกแห่งความจริงไว้ได้มิดถูกปิดทับลงบนดวงตา...แต่ผมรู้...พี่เหยายังจับจ้องมาที่ผม...

ทอมดึงผมออกมาจากห้อง พร้อมใครอีกคนที่ก้าวสวนผ่านผมเข้าไป

คนแปลกหน้าที่ผมไม่เคยเห็น หากแต่ไม่ใช่ฝรั่งตัวสูงใหญ่อย่างเพื่อนทอม...ดูธรรมดาๆเหมือนอย่างผม...เท่านั้นเอง

ผมหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้ทอมทั้งฉุดทั้งลาก ไปตามทิศทางที่ต้องการ ตราบจนเมื่อพบว่าตัวเองถูกทิ้งให้ยืนอยู่เพียงลำพัง...ทอมล็อคกุญแจ และเดินจากไปในความเงียบภายในบ้าน...

แล้วผมก็ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนจนสุดเสียง....ไม่ใช่ผม!

...มันไม่ใช่ผม!...ผมตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังเพียงให้เสียงตะโกนของตัวเองผ่านไปถึงพี่เหยา

...มันไม่ใช่ผม!...ผมตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเสียงแหบแห้ง จนย่าออกมาดู จนใครๆแถวนั้นพากันออกมายืนมอง แต่ก็ยังคงตะโกนอยู่อย่างนั้น

...ไม่ใช่ผม!...ผมยังคงตะโกน แม้ในคอจะแสบจนปวดร้าวไปหมด แม้จะเห็นแม่ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆด้วยใบหน้าแดงกล่ำ และตื่นตะหนก

ผมยังตะโกนเท่าที่เสียงจะมี จนพ่อทั้งปลอบทั้งฉุดผมให้กลับเข้าไปในบ้านได้สำเร็จ แต่ผมก็ยังพร่ำพูด...มันไม่ใช่ผม!...

โลกมันสลายจนไม่เหลือแม้เศษซากแล้วจริงๆ...

ผมยังได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้...

และก็รู้ว่าพี่เหยากำลังร้องไห้ในที่ๆมือผมเอื้อมไปไม่ถึง...

แต่ในที่ๆมือผมเอื้อมถึง ทั้งพ่อ แม่และย่า กำลังร้องไห้ ผมกลับไม่สามารถบอกกล่าวหรืออธิบายสิ่งใดๆได้เลย

“เอก เป็นอะไร บอกแม่สิลูก?”แม่เฝ้าถามผมด้วยประโยคเดิมๆซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มือที่สั่นเทาของแม่ ลูบหน้า ลูบหัวผมราวกับจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากตัวผม

แต่ไม่ว่าแม่จะถามผมสักกี่ร้อยกี่พันครั้ง คำตอบของผมก็มีแต่เสียงสะอื้นไห้...กับคำพูดซ้ำๆ...ไม่ใช่ผม

ผมรู้มันหนักหนาสาหัสสำหรับพ่อและแม่ รวมถึงย่า เพราะนานเหลือเกินแล้ว ที่ผมไม่เคยร้องไห้ให้พวกท่านเห็น...

นานกว่าผมจะคลุมสติตัวเองให้เลิกพร่ำพูด...มันไม่ใช่ผม...

นานกว่าผมจะเก็บกลืนน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ได้...

พ่อ แม่ และย่า ยังนั่งอยู่กับผมไม่ไปไหน...ไม่วางตา

ผมทำให้คนที่ผมรัก และรักผม ทุกข์ใจอีกเช่นเคย...

“ผมไม่เป็นไร...”ในที่สุดผมก็พูดออกมา

แม่คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พ่อตบไหล่แม่เบาๆคล้ายจะปราม และแม่ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“เอกหิวไหมลูก?”แม่ถามทั้งที่ยังสะอื้น

“ผมปวดหัว ผมจะไปนอน”ผมส่ายหัวก่อนจะบอกแม่ได้แค่นั้น

ไม่มีใครรั้งผมไว้ เพราะคงรู้ว่านั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับผม

ผมนอนไม่หลับ ...ทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตามันไหล หากแต่ก็พยายามเก็บกลืนเสียงสะอื้นไห้ไว้ กลัวพ่อกับแม่จะได้ยิน นับเวลารอว่าเมื่อไหร่จะเช้า...ผมกลัว กลัวจะไม่ได้เจอพี่เหยาอีก...กลัว กลัวว่าพี่เหยาจะจากไปโดยที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร...กลัว กลัวว่าพี่เหยาจะเกลียดชังผมไปจนตลอดชีวิต

จนได้ยินเสียงประตูบ้านปิด ได้ยินเสียงพ่อและแม่ปิดประตูห้องนอน...

ผมรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูและกลับลงไปที่ชั้นล่าง...คอยเงี่ยหูฟังเสียงประตูบ้านทอม...แต่ทุกอย่างก็เงียบสนิท

ผมนั่งรออยู่ในความเงียบ รออยู่อย่างนั้น รอจนเห็นว่าฟ้าข้างนอกเริ่มสว่าง รอจนจับสำเนียงเสียงที่ดังมาจากบ้านทอมได้...

ผมเปิดลิ้นชัก ควานหากุญแจบ้าน และลนลานไขประตูออกไป...

รถทอมจอดรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ทอมกำลังยกกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่นักขึ้นรถ...และพี่เหยายืนอยู่ตรงนั้น

ทอมหันมามองดูผมตั้งแต่ผมยังลนลานไขกุญแจบ้าน หากแต่พี่เหยายืนหันหลังนิ่งไม่สนใจ...

ทอมพูดอะไรบางอย่างกับพี่เหยาและหัวเราะ หากแต่พี่เหยาก็ยังยืนหันหลังให้ผมนิ่งไม่ไหวติ่ง

“พี่...”ผมเรียกได้แค่นั้น เมื่อก้าวผ่านพ้นประตู และถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกของแม่ที่ดังมาจากข้างหลัง

“เอก!...”แม่ยังอยู่ในชุดนอน เหมือนพ่อ และย่า ที่ดูเหมือนจะต่างรู้สึกตัวตื่นคอยระแวงระไวผมกันอยู่ทั้งคืน

“จะกลับแล้วเหรอเหยา?”พ่อทักพี่เหยา ที่จำใจต้องหันหน้ามา รับคำทักของพ่อ

ตาของพี่เหยาแดงช้ำ...ผมรู้ ไม่ต่างไปจากดวงตาของผม

“แล้วจะกลับมาเชียงใหม่อีกเมื่อไหร่ล่ะ?”พ่อถาม

“ไม่...ไม่ทราบครับ”พี่เหยาตอบ ในขณะที่ทอมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู คล้ายจะบอกว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว

ผมรู้...เวลาไม่มีมากพอสำหรับผมและพี่เหยา ทอมไม่มีทางเปิดโอกาสให้ผมได้พูดกับพี่เหยาตามลำพัง และแม้ผมจะพูดกับพี่เหยาโดยไม่ต้องสนใจทอมก็ได้ หากแต่ทั้งแม่ พ่อ และย่าก็คงไม่มีทางหันหลังกลับเข้าบ้านโดยทิ้งผมไว้ตรงนั้นแน่นอน ดังนั้นจึงไม่เหลือโอกาสใดให้ผมได้พูดกับพี่เหยาเลย

ทอมพูดอะไรสักอย่างคล้ายบอกพี่เหยาว่าต้องไปแล้ว

ผมตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนสิ่งที่ต้องการลงไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และวิ่งกลับออกมา

พี่เหยากำลังจะกลับขึ้นรถแล้ว เมื่อผมกลับออกมา

“พี่!”ผมตะโกนเรียก ผมรู้ พี่เหยาต้องรอ เพราะพ่อกับแม่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่เปิดอ่านดูนะ!”ผมบอกพี่เหยา ก่อนยัดกระดาษแผ่นเล็กใส่มือพี่เหยาโดยไม่ให้ทอมเห็น

กระดาษแผ่นเล็กๆที่คงไม่ใหญ่พอให้เขียนอะไรมากมายลงไป หากแต่มีพื้นที่มากพอให้เขียนe-mail addressและpasswordลงไป

e-mail address ที่เป็นชื่อจริงและวันเดือนปีเกิดของพี่เหยา

และpasswordที่เป็นชื่อของผม

ผมรู้หากผ่านวันนี้ไป ผมจะไม่มีวันติดต่อพี่เหยาได้อีก ไม่ว่าทางใด...พี่เหยาจะไม่มีวันกลับมาอีก ไม่มีวันรับโทรศัพท์ของผมอีกต่อไป...ขอเพียงให้พี่เหยาเปิดอ่านสิ่งที่ผมอยากจะบอกพี่เหยาเพียงเท่านั้น ผมขอเพียงเท่านั้นจริงๆ...

พี่เหยารับมันไว้ แต่ก็ไม่ได้ยกขึ้นมาดู

“ยังไม่ได้เปิด แต่เดี๋ยวผมจะไปเปิด พี่ต้องเปิดอ่านนะ!”ผมบอก และพี่เหยาแค่จ้องมองผมนิ่งนานและไม่ตอบอะไรเลย

ใจจริง เมื่อมีโอกาส ผมอยากพูดกับพี่เหยาให้มากกว่านั้น หรือแค่ประโยคสั้นๆว่า...คนๆนั้นไม่ใช่ผม...แต่เมื่อรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า พ่อ แม่และย่า คอยจับตาดู และเงี่ยหูคอยฟังผมอยู่ตลอดเวลา ผมจึงพูดได้เท่านั้น

ทอมส่งภาษามาเรียกพี่เหยาอีกครั้ง พร้อมๆกับที่พ่อเดินมาดึงศอกผมให้ถอยออกมา...

...แล้วทอมก็พาพี่เหยาจากไป...

ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร...ผมจะเขียนบอกความจริงพี่เหยาทุกอย่างและพี่เหยาจะเข้าใจ...พี่เหยาจะไม่โกรธผม จะไม่มองผมอย่างชิงชัง...และจะบอกผมว่า...ไม่เป็นไร...

พ่อ แม่และย่า กลับเข้าไปในบ้านแล้ว แต่ผมยังยืนมองดูถนนที่ว่างเปล่า...

ที่ท้ายกระดาษ ผมเขียนบอกพี่เหยาไว้ว่า...ไม่ใช่ผม...เพราะผมกลัวพี่เหยาจะโกรธจนไม่ยอมเปิดอ่านเมล์ พี่เหยาจะเข้าใจประโยคสั้นๆนั้นหรือเปล่า ผมสงสัย...แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะรีบไปที่มหาวิทยาลัย จะไปลงทะเบียนเปิดเมล์ที่เขียนให้พี่เหยา แล้วผมก็จะเขียนบอกพี่เหยาทุกๆอย่าง แล้วพี่เหยาก็จะเข้าใจ...ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนที่ทันเห็นอะไรบางสิ่งที่สะดุดตาเหลือเกิน...

บนถนนที่ว่างเปล่า...เศษกระดาษสีขาวกำลังปลิวไปตามแรงลม...

...ไม่ใช่...ผมบอกตัวเอง แต่ก็นึกรู้ว่า...ใช่...ก่อนที่วิ่งตามไปเก็บมันขึ้นมาดู

กระดาษแผ่นเล็กๆที่ผมยัดใส่มือพี่เหยา...มันไม่ได้โดนขยำจนยับย่น หากแต่ผ่านมือผมไปเช่นไร มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ราวกับไม่เคยผ่านมือใคร ไม่เคยผ่านมือพี่เหยา...ไม่ผ่านผิวเนื้อและสัมผัสเข้าไปถึงความรู้สึกใดๆของพี่เหยาเลย...

พี่เหยาจากไปแล้วจริงๆ...

จากไปสู่โลกที่ไม่มีผม และทิ้งผมเอาไว้ ในโลกที่ไม่มีพี่เหยา...

ผมยังจำวันแรกที่พี่เหยามายืนอยู่ตรงหน้าผมได้...ภาพพี่เหยาในวันนั้นไม่ชัดเจนนัก จำได้ก็แค่เงาร่างบางๆเหมือนน้ำหนักของพี่เหยาที่ยังบางเบาเหลือเกินในใจผม วันนี้ไม่ต่างกัน...ทุกอย่างพร่าเลือน จนเลือนราง ต่างกันเพียงเพราะวันนี้ น้ำตามันรินไหลอย่างสิ้นหวัง...พี่เหยาไม่ให้อภัยผมอีกแล้วจริงๆ...



--------------------
จบตอน 12

พรุ่งนี้ไม่ได้มาลงนะคะ เพราะต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด วันนี้ลงให้ 2 ตอนละกัน
ส่วนวันเสาร์รอลุ้นอีกที ว่าเน็ตที่บ้านนอกจะใช้ได้รึเปล่า อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2008 19:07:32 โดย THIP »

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เสียน้ำตาอีกแล้ว  :o12: :o12: บีบหัวใจเหลือเกิน

ของคุณภัคD แรงได้ใจจริงๆๆ
  o13 o13 o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Mono_Koro

  • บุคคลทั่วไป
เนื้อหายังสะท้านทรวงเหมือนเดิม

อ่าเเล้วปวดใจจริงๆ :m15: :m15: :m15:


(ของเค้าดีจริง o13)

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
ทิพอะ

ทำไมทิพทำกับสองแบบนี้

สองเครียดนะเนี้ย

สรุปแล้วเรื่องนี้สองจะสงสารใครดีนะ

ทอม....ที่รักเหยา แต่แสดงออกแบบแปลกๆ และยังมีความลับดำมืดบางอย่างที่สองยังไม่รู้เกี่ยวกับทอม  ทอมที่เดิมเกมส์ต่างๆ เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของเอกและเหยาที่ทอมรู้ดีว่าตัวเองคือผู้พ่ายแพ้

เหยา....ที่รักเอกเหลือเกินแต่ถูกกดเอาไว้ด้วยความกลัว กลัวความไม่แน่นอนพอในสิ่งที่เอกหยิบยื่นมาให้  เหยาที่เหมือนคนที่ยื่ยอยู่ในคามมืดมาตลอด  แต่ภายในใจปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหาใครสักคนมาพาเหยาออกไป  และใครคนนั้นก็คือเอก,    เหยาที่ผูกพันและอยากหลีกหนีจากทอม และเริ่มแสดงออกให้ทอมได้เห็นว่าเหยาเลือกเอก,  เหยาที่ถูกผลักไปตามแรงเหวี่ยงของคนรอบข้าง,  เหยาที่ให้อภัยและรอคอยเอกเสมอ

เอก....ที่รักเหยา  แต่ไม่ได้มากไปกว่ารักตัวเอง  เอกที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองแม้แต่การได้รักเหยาก็ตามที  แม้ว่าจะรักเหยามากเพียงไรก็ตาม...เอกก้ยังคงทำร้ายเหยาอยู่ตลอดเวลาด้วยการปล่อยให้เหยาอยู่กับการรอคอยและความไม่แน่นอน


ทิพฝากบอกคนแต่งด้วยนะว่า....สองชอบเรื่องนี้มากจริงๆ  มากพอที่จะอ่านและไม่ข้ามผ่านสายตาไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว

ฝากขอบคุณคนแต่งด้วยที่แต่งๆ นิยายดีๆ อย่างนี้มาให้สองอ่าน

ขอบคุณทิพด้วยที่หานิยายดีๆ แบบนี้มาฝากกัน

nithiwz

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งอ่านจบ page ที่ 1-2

ตอนแรกอ่านสบายๆ หลังๆ มาโคตรเครียดเลยครับ
ตอนที่เอกเข้าไปในบ้านทอมตอนแรก  แล้วทำอะไรพี่เหยา  ก่อนจะชวนพี่โอ๋ไอ้วิทย์ไปด้วยอะไรนั่นน่ะ
บอกว่าตอนนั้น  คิดว่าเอกเป็นคนที่น่ารังเกียจมากๆ เลย   แบบว่าไม่มีอภัยให้ได้เลยแหละ

ผมชอบที่วิทย์พูดและแสดงออกมามากๆ  "กูไม่ได้เหี้-เหมือนมึงนิ"  ชอบจริงๆ
ผมคิดว่าเอกไม่น่าจะได้รับการให้อภัยจากพี่เหยาสักเท่าไหร่เลย

แต่หลังๆ มาดีขึ้น   เริ่มเห็นถึงสิ่งที่เอกพยายามช่วยพี่เหยาและพยายามไถ่โทษที่ทำผิด

อ่านแล้ว...มันไม่ได้แค่ให้เราสนุก หรือ คิดมากไปตามเรื่อง
แต่เรื่องนี้เหมือนเป็นไกด์บุ๊คไปในตัวจริงๆ  มีข้อคิดสำคัญๆ แฝงในเรื่องด้วย  อ่านแล้วมันสะเทือนใจจริงๆ

พรุ่งนี้จะมาติดตาม page 3-4 ต่อน้าคร้าบ

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
อ่านเป็นรอบที่ 2 แล้วครับ เพื่อซึมซับความงามของวรรณกรรมเรื่องนี้ ถึงแม้อ่านไปจะบีบหัวใจแต่ก็มีความสุข

ถึงตอนนี้ อาจจะบอกได้ว่า

" การที่เหยายังเลือกที่จะอยู่กับทอม เลือกที่จะรักทอม ก็เพราะเหยาไม่เคยให้อภัยในสิ่งที่ ทอมทำตะหาก  ทอมต้องรู้ว่าเหยา รัก เอก มากแค่ไหน  และในทางกลับกัน ทอมก็รู้ว่าเอกก็รักเหยา 

แต่ที่เหยาไม่กลับมาหาเอก ก็เพราะเหยาไม่ให้อภัยทอม ไม่อยากให้ทอมหลุดผมกับความชั่วที่ทอมทำ เหยาอยู่เพื่อให้ทอม เจ็บปวด  เพราะถ้าเหยาเจ็บปวด ทอมจะเจ็บปวดยิ่งกว่า เหยาจึงเลือกที่จะอยู่กับทอมต่อไป "


" เอก กับ เหยา นี้แหละ คือความทรงจำที่งดงามที่สุด "

ปล.ตอนจบไม่เศร้าแน่หนาพี่ทิพย์  เพราะถ้าเศร้า ผมคงจิตตก ไปนานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณ คุณภัคD

เป็นกำลังใจให้พี่ทิพย์ต่อไปครับ  :L2: :L2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
แล้วอาจารย์คิดว่า ทอมรักเหยาปะ?

สองยังมองทอมไม่ออกในหลายๆ อย่าง 

อยากรู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ปล. เข้ามาทั้งๆ ที่รู้ดีว่าวันนี้ทิพไม่มาต่อ  แต่คิดถึงเรื่องนีพอๆ กับที่คิดถึงทิพอะ

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
ถึงเจ้สอคนสวย ครับ

จากการวิเคราะห์ โดยใช้ทฤษฏีด้านเคมี ที่เล่าเรียนมา

"ผมว่าทอมก็ รักเหยานะ แต่ความรักที่ทอม มีให้เหยา ก็เพียงทอมอยากจะไถ่ความชั่วที่ทอมสร้างไว้กับเหยา เท่านั้นเอง ทอมคงรู้สึกผิด

อย่างตอนที่เอกเห็นดวงตาทอม แดงกล่ำตอนที่เห็นเหยาถูกทำร้าย เป็นสายตาที่มีแต่ความปวดร้าว เพราะงั้นถ้าทอมไม่รักเหยา ความรู้สึกปวดร้าวที่เห็นเหยาถูกทำร้าย คงไม่เกิดขึ้นกับทอมหลอกครับ

และทอมเองก็ไม่ได้เดินเกมส์เดินเพื่อทำลายความสัมพันธ์ ของ เหยา กับเอกหลอกมั้งครับ แต่เป็นที่เหยาเองเลือกที่จะอยู่กับทอม  เพื่อที่จะทำร้ายทอม  ทำร้ายทอม พร้อมกับทำร้ายตัวเองด้วย "

วรรณกรรมเรื่องนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ ที่สามารถสร้างตัวละคร ให้มีชีวิต ให้มีความรู้สึกได้  ทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมได้ ชนิดที่บีบหัวใจเหลือเกิน

ปล.เจ้สอง ครับ อันนี้เป็นแค่การวิเคราะห์ส่วนตัวหนา ผมอาจจะวิเคราะห์ผิดไปก็ได้ ไว้ลงตอนจบเมื่อไหร่ เดี๋ยวเรามาเม้าท์ กันอีกทีดีกว่า  อิอิ

hustsu

  • บุคคลทั่วไป
เคยอ่านที่อื่น แต่เห็นว่ายังลงไม่จบ

จะคอยตามอ่านนะคับ

อ่านรีบบีบหัวใจเป็นบ้าเลย  :sad2:

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
อ่านกี่รอบก็ยังเครียด  ขอบคุณที่นำผลงานดีๆของคุณภัคDมาลงนะคะ

เวลาอ่านต้องหายาดมยาลมยาหม่องมาใกล้ตัว

มันเครียดดดดดด


เเต่ของเขาดีจริงค่ะ นับถือคุณภัคDจริงๆ o13

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :L2:  มาให้กำลังใจคนโพสต์ค่ะ
อ่านเรื่องนี้กี่รอบก็ทำเราอินได้ทุกรอบ
ตอนอ่านครั้งแรก คุณภัคDลงถึงตอนนี้ แล้วหายไปหลายเดือนเลย
เรากะเพื่อนเครียดไปเลย ลุ้นสุดตัวว่าจะจบยังไง    :เฮ้อ:
ดีนะเนี่ย ที่คุณทิพย์เอามาลงตอนที่คุณภัคD แต่งจบแล้ว
ไม่งั้นถ้าต้องรอเป็นเดือน มีหวังคนแถวนี้ลงแดงหลายคนเลย     :laugh:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
ถึงจารย์สีฟ้า

เหยาเลือกที่จะอยู่กะทอมจริงหรอ  หรือว่าเหยาไม่มีที่ไป

สองกลับคิดว่าที่เหยายินดีที่จะได้เรียนจบ  เพราะจะได้ไปพ้นจากทอมและสามารถคบกับเอกได้อย่างใจนึก

แต่ที่สองคิดว่าแน่ๆ ก็คือ  เหยารู้ว่าทอมรักตน  แล้วก็รู้ว่าไม่ว่ายังไงทอมก้ไม่มีทางโกรธตน(ซึ่งสำแดงฤทธิ์เดชได้น่ากลัวเหมือนกันนะ เช่น จะกระทืบปลาทองตัวเล็กๆ)

โอ้ย เครียดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

คนเขียนอยู่ไหน  มาเแลยด่วน  ทำไมมันวิเคราะห์ได้หลายแง่หลายง่ามจัง


เออ  แล้วตอนที่ เหยาโกรธเอก จนปาถุงปลาใส่ฝาผนัง (ช่วงที่จะมาเปรยกับวิทย์ เพื่อจะชวนเอกไปงานดอกไม้(ที่เอกทำพลาดทำให้เหยาไม่แน่ใจในคำพูดของเอกในเวลาต่อๆ มา)และดูหนัง)

จารย์สีฟ้า  พอจะทราบไหมว่า เหยาโกรธเอกเรื่องอะไร  สองอ่านแล้ววิเคราะห์ไม่เจอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด