หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ โดย ภัคD เพิ่มตอนพิเศษในรวมเล่ม P.14  (อ่าน 392280 ครั้ง)

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
‘ ไม่แน่จริงนี่ !’  ผมพูดมองดูพี่เหยาที่ยังนั่งหัวเราะ และเมื่อพี่เหยาหัวเราะ ดูสีหน้าสีตาของพี่เหยาก็ดูดีขึ้น ไม่ดูเพลียอย่างเมื่อครู่ที่ผ่านมา

‘ แล้วตกลงพี่ว่าไง ?’  ผมถามอีกครั้งเพราะเมื่อครู่ผมยังไม่ได้คำตอบ

‘ ตกลงอะไรล่ะ ?’ พี่เหยาถามยังไม่หยุดหัวเราะ
‘ ก็ที่เคยคุยกันไว้ ไอ้วิทย์ก็คงลงไปอยู่จันกับไอ้รงค์ ไอ้ชัยก็คงไปช่วยพี่เก่ง ส่วนที่เชียงใหม่ก็เหลือแค่ผม...’ ผมพูดได้เท่านั้น สิ่งที่อยากจะร้องถาม...พี่ขึ้นมาช่วยผมที่เชียงใหม่นะ ?...นั้นกลืนหายไปในคอ เพราะผมรู้เพียงผมเกริ่นแค่นั้นพี่เหยาน่าจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการเอ่ยปาก หากแต่เมื่อผมพูดได้เท่านั้น รอยหัวเราะของพี่เหยาก็จางหายเหลือแต่ก็เพียงร่องรอยความลำบากใจที่ไม่ได้เก็บซ่อนปิดบังคล้ายไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินในสิ่งที่ผมกำลังร้องถาม

เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของพี่เหยา ผมจึงต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป พูดอะไรไม่ออกอีก...

‘ เอ้าเหยา กาแฟ !’  พี่เก่งพูดก่อนส่งกาแฟให้พี่เหยา

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพี่เก่งเปิดประตูรถเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะผมเอาแต่ครุ่นคิดถึงสีหน้าที่คล้ายจะแทนคำปฏิเสธของพี่เหยา

และหลังจากนั้น ผมก็ไม่มีโอกาสคุยอะไรกับพี่เหยาอีก บางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะพี่เก่งเกาะหนึบอยู่กับผมและพี่เหยาไม่ปล่อย หรือพี่เหยาเองต่างหากจงใจให้เป็นอย่างนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับผมเพียงลำพัง

ดังนั้นเมื่อพี่เหยากอดผมอยู่อย่างนี้...ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ผมคงคิดไปเอง...ผมบอกตัวเองอย่างนั้นเมื่อพี่เหยาลูบไล้ ปลุกเร้าผมด้วยฝ่ามืออุ่นๆ และลมหายใจร้อน ๆ...ในหัวผมก็ว่างเปล่า ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจริงๆนอกจากสัมผัสที่มากยิ่งขึ้น

“ เดี๋ยว !” ครั้งนี้ผมรีบร้องห้าม เมื่อพี่เหยาล้วงฝ่ามือลึกเข้าสัมผัสความแข็งขันของผมชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อ และพี่เหยาก็แค่หัวเราะก่อนเค้นคลึงเพิ่มน้ำหนักของแรงมือ

ไม่ใช่ว่าผมไม่ปรารถนา หากแต่สิ่งที่พี่เหยากำลังทำ มันทำให้แขนขาผมอ่อนแรงไปหมด มือที่ถือจานไว้เต็มสองมือสั่นระริกจนนึกอยากโยนมันทิ้ง และผมก็อยู่ไกลจากโต๊ะเกินกว่าที่จะวางมันลงได้

“ คิดถึงเอกจัง...” พี่เหยากระซิบเบา ๆ ที่ริมหูก่อนเป่าลมหายใจร้อนๆที่กรุ่นกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ ลงไปอีกครั้ง...และผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของตัวเองเมื่ออยู่ ๆ พี่เหยาก็ละสัมผัสจากตัวผม หากแต่เพียงไม่นานเท่านั้นพี่เหยาก็กลับมายืนอยู่ที่ตรงหน้าและโอบแขนไว้รอบเอวผมเช่นเดิม

“ คิดถึงพี่ไหม ?” พี่เหยาถาม แหงนเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเราอยู่ห่างกันแค่นิด แค่ผมก้มลงก็คงแตะสัมผัสกันถึง หากแต่เมื่อผมทำอย่างที่ใจคิดหมายจะสัมผัสริมฝีปากแดง ๆนั่น พี่เหยากลับเบี่ยงหน้าหนี ยิ่งผมตามติด พี่เหยาก็ยิ่งเบี่ยงตัวหลบ ในขณะที่สองแขนก็ยังโอบเอวผมไว้ไม่ปล่อย

“ บอกก่อนว่าคิดถึงหรือเปล่า แล้วจะยอมให้จูบ ” พี่เหยาพูดทั้งหัวเราะ

“ บอกไปแล้วไงตั้งแต่ตอนกลางวัน !” ผมพูดและยังพยายามตามติดไม่ลดละ

“ไม่เห็นได้ยิน... ”

“ พี่เก่งยืนตั้งไกลยังได้ยิน พี่จะไม่ได้ยินได้ยังไง ?! ” ผมถามและพี่เหยาแกล้งทำหน้าตึงเหมือนเวลาที่โดนขัดใจ

“เป็นลูกไก่ในกำมือแล้วยังไม่รู้ตัว ถามดี ๆ ไม่ตอบ...”พี่เหยาพูดอย่างหมายมาด

“...อะ...อะไร ?” ผมร้องถามอย่างไม่เข้าใจนัก หากแต่แค่แป๊บพี่เหยาก็บอกคำตอบให้ผมเข้าใจ

“พี่ !” ผมร้องอย่างตกใจ เมื่อสองแขนของพี่เหยาไม่ได้โอบกอดรอบเอวของผมอีกต่อไปแล้ว หากแต่พี่เหยาค่อย ๆ ลากไล้จากแผ่นหลังของผมมายังด้านหน้าและก็เลื่อนต่ำลง ๆ เรื่อย ๆ

“ พี่ ! อย่า !” ผมร้องห้ามเสียงสั่น เมื่อพี่เหยาล้วงมือลึก สัมผัสความแข็งขืนของผมอีกครั้ง

“ ลูกไก่ในกำมือ !” พี่เหยาพูดอย่างเค้นเขี้ยว และย้ำสิ่งที่พูดด้วยการบีบเค้นฝ่ามือ ผมพยายามขยับตัวถอยหนี แต่มือพี่เหยาก็ยังตามติดไม่ยอมปล่อย

“ ใครว่าแค่ลูกไก่ ถ้าแค่ลูกไก่ พี่คงไม่...โอ๊ย !” ผมพูดอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง หากแต่พูดได้เท่านั้น พี่เหยาก็บีบมือแรงจนผมร้องเสียงหลง

“ แล้วเคยได้ยินไหม จะบีบก็ตาย จะคายก็...รอด !” พี่เหยาร้องถาม แต่ไม่ทันที่ผมจะตอบหรือแม้แต่คิดอะไร ในหัวมันก็ว่างเปล่า ทุกประสาทสัมผัส ทุกสติยั้งคิดดูคล้ายจะไปรวมอยู่ที่ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยา

ผมก้มลงมองพี่เหยาที่ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นึกอยากร้องห้ามหากแต่ก็ต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อสะกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้  ตาของผมพร่า นึกมองเห็นก็แต่ริมฝีปากแดง ๆ ของพี่เหยาที่กำลังครอบครองความร้อนรุ่มของผมอยู่  หูของผมอื้อนึกได้ยินก็แต่เสียงการทำงานของเรียวลิ้นของพี่เหยา และมือของผมก็สั่นระริกจนจานในโตที่ถืออยู่เต็มสองมือนั้นสั่นไปตามมือ

ความปรารถนามันรุมเร้าจนผมไม่สนใจจะหยุดยั้งพี่เหยาอีกต่อไป และในจังหวะที่พี่เหยาขยับคลายริมฝีปากตัวเองผมก็ขยับสะโพกแรงอย่างลืมตัว อาการขยักขะย้อนที่เกิดขึ้นในลำคอของพี่เหยามันเกือบทำให้ผมทนไม่ไหว ถ้าหากไม่มีเสียงพี่เก่งขัดขึ้นเสียก่อน

“ เหยา !” เสียงพี่เก่งเรียกพี่เหยาดังมาจากนอกประตู ผมรีบหันหนี ทันมองเห็นก็แต่พี่เหยาที่รีบขยับตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับที่ใช้มือเช็ดรอยเปียกชื้นที่ปากแดง ๆ ของตัวเอง

“ ทำอะไรวะ เข้ามาหาของกินแค่นี้นานเป็นชาติ !” เสียงพี่เก่งร้องถามและครั้งนี้ดังอยู่แค่ด้านหลังผม

“ คุยกับเอกอยู่...” พี่เหยาตอบ

“ อ้าว ! มานี่ช่วยถือ !” ผมได้ยินเสียงพี่เก่งพูดและครั้งนี้น่าจะพูดกับผม

“ไม่ต้อง !” ผมปฏิเสธเสียงดังกว่าที่ตั้งใจ เพราะตกใจกลัวพี่เก่งจะเดินเข้ามาและมองเห็นว่าผมแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก และก็เป็นพี่เหยาที่เอื้อมมือมารับจานในมือผมไปและน่าจะส่งต่อให้พี่เก่ง แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่เก่งและพี่เหยาเดินออกไป ส่วนผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแกล้งถอนหายใจเสียงดัง ๆ หวังให้พี่เหยาได้ยิน

หลังจากนั้น สติผมก็แทบไม่อยู่กับตัว ผมฟังทุกคนคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง พยายมหัวเราะเมื่อเห็นทุกคนหัวเราะ และพยักหน้าเมื่อคล้ายจะมีคำถามส่งมาที่ผม

“ เป็นไรของมึงวะ ?” บ่อยครั้งที่ไอ้วิทย์ร้องถาม และผมนึกอยากตอบ...กูนึกถึงคืนนี้อยู่ !...แต่ผมก็กัดฟันไว้ไม่ให้ตอบ ทั้งนึกอยากบอกพวกมันให้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันสักทีแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะเห็นพี่เหยายังนั่งหัวเราะสนุกอยู่กับการพูดคุย โดยไม่มีทีท่าจะรับรู้หรือใส่ใจว่าทำอะไรกับผมเอาไว้ ยกเว้นก็แต่บางครั้งที่พี่เหยายิ้มขำมองมาทางผมเมื่อพวกมันถาม...เป็นไรของมึงวะ ?...

 นานกว่าผมจะสงบจิตสงบใจตัวเองลงไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ และนานกว่าพวกมันจะตัดสินใจสลายวงเหล้า

ทั้งที่วันนื้เรากะคุยกันเรื่องงานแต่สุดท้าย ดูเหมือนจะคุยกันก็แต่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป เรื่องงานนั้นแทบไม่ได้แตะต้องเลย

“ พี่ไปเชียงรายแล้วจะกลับมาเชียงใหม่อีกหรือเปล่า หรือกลับกรุงเทพเลย?” ไอ้วิทย์ถามพี่เหยาตอนที่พากันเดินกลับออกมาจากสวนส้ม เตรียมแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน

“ ทำไม มีอะไร ?”

“ ก็จะได้อยู่คุยกันก่อน วันนี้ไม่ได้คุยอะไรกันสักอย่าง !”

“ เพิ่งรู้ตัว ?” ผมแขวะ เพราะจริง ๆ วันนี้ก่อนและหลังอารมณ์จะกระเจิดกระเจิงไปเพราะพี่เหยา ผมพยายามเปิดประเด็นเรื่องงานก็หลายรอบแต่ก็ไปไม่รอดสักรอบโดนพาไปเรื่องอื่นหมด

ไม่ใช่ว่าผมบ้างาน แต่ผมแค่อยากรู้ว่าแผนการที่วางเอาไว้ ที่ว่าที่เชียงใหม่จะเป็นผมกับพี่เหยาดูแล...ผมอยากรู้พี่เหยาต้องการแบบนั้นหรือเปล่า เพราะแค่วันนี้ผมออกปาก สีหน้าของพี่เหยาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องการ...
“ อ้าว !...วันนี้จะคุยกันเรื่องงานเหรอ ? นึกว่าเลี้ยงส่งรงค์ ” พี่เหยาว่าเพราะแค่อีกสองวันไอ้รงค์ก็จะเก็บกระเป๋าลงไปอยู่ที่เมืองจันแล้ว

“ อ้าว...นึกว่าเลี้ยงรับกู ” พี่เก่งพูดบ้างด้วยท่าทางน้อยใจหน่อย ๆ

“ ไปโว้ยเหยา ไม่มีใครให้ความสำคัญก็กลับดีกว่า ” พี่เก่งพูดพลางเอามือกอดคอพี่เหยาจะพาเดินแต่พี่เหยาขืนตัวไว้

“ ไปไหน ?” และเป็นผมที่ร้องถาม

“ ก็กลับบ้านนอน ” พี่เก่งตอบแค่นั้น ผมเลยเพิ่งนึกได้ บ้านที่พี่เก่งพูดคงไม่ได้หมายถึงบ้านของตัวพี่เก่งเอง แต่น่าจะหมายถึงบ้านพี่เหยาซึ่งก็คือคอนโดฯของทอม...จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อพี่เก่งเป็นเพื่อนพี่เหยา ก็ต้องไปพักกับพี่เหยาไม่มีอะไรแปลก เพียงแต่เมื่อมันมีอะไรมากกว่านั้น ผมและพี่เหยาจึงหันมามองหน้ากันเหมือนจะเพิ่งนึกได้

“ ค้างบ้านผมก็ได้พี่ ” ไอ้ชัยรีบออกตัว แต่พี่เก่งส่ายหัว

“ บ้านมึงเนี่ยนะ ? ไม่เอากูกลัว !” พี่เก่งบอกพลางมองไปรอบ ๆ บ้านไม้สักหลังใหญ่ของไอ้ชัยที่แม้พวกผมจะคบกับมันมาแต่เล็กจนโต จนตอนนี้ก็เคยหลวมตัวมาค้างบ้านมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งแรกที่ยังไม่เคยเห็นบ้านมัน

“ กลัวอะไร ?” ไอ้ชัยถามอย่างกับไม่รู้

“ กลัวแม่มึงมั้ง !”

“ งั้นสบายใจ หายห่วงเลยพี่ วันนี้แม่ไม่อยู่...”

“ เฮ้ย ! แล้วที่กูเจอเมื่อเย็น ?! ” พี่เก่งถามหน้าตื่นและไอ้ชัยหัวเราะขำ


“ ไอ้เหี้ยหลอกกู !” พี่เก่งด่า
“ไปนอนบ้านผมพี่ เดี๋ยวผมพูดเรื่องงานคร่าว ๆ ให้ฟังก่อน อยู่กันหลาย ๆคน คุยกันไม่ได้เรื่องทุกที ”ไอ้วิทย์เอ่ยปากชวนด้วยสีหน้าจริงจังโดยมีเรื่องงานมาอ้าง

“ ก็ดีว่ะ ” พี่เก่งเห็นชอบ ผมเลยโล่งอกแต่ก็แค่ไม่กี่วินาทีเพราะพี่เก่งหันมาถามพี่เหยา

“ แล้วมึงขับกลับคนเดียวไหวเปล่าวะ ?” พี่เก่งหันมาถามพี่เหยาอย่างเป็นห่วง เพราะวันนี้พี่เหยาก็ดื่มไปไม่น้อยแก้วเช่นกัน
“ ใครว่ากลับคนเดียว ผมกลับด้วย !” ผมรีบออกตัวอย่างไม่ทันคิดอะไร

“ กูเมาหรือพวกมึงเมาวะ ?” พี่เก่งถามด้วยสีหน้างง ๆ  ผมเลยเพิ่งนึกได้ว่าบ้านผมน่ะเลยบ้านไอ้วิทย์ไปนิด ส่วนพี่เหยาก็ไม่ได้อยู่ข้างบ้านผมแล้ว เวลาที่พี่เหยามาเชียงใหม่ พี่เหยาจะไปพักที่คอนโดฯ ของทอมซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองไปอีกคนละทาง...แน่นอนว่าเฉพาะแต่เวลาทอมไม่อยู่ที่เชียงใหม่เท่านั้น...ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจทอมหรือพี่เหยา  ผมรู้...เราต่างรู้ ความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวระหว่างทอมกับพี่เหยานั้นจบลงไปนานแล้ว มันจบลงไปแล้วจริง ๆ...แต่บางครั้งความหึงหวงก็ไม่ได้มีความหมายอยู่แค่ที่ความไม่ไว้วางใจ...แม้จะวางใจมากมายเท่าไหร่หากแต่ความหึงหวงก็ยังคงอยู่...เราห้ามความรู้สึกนั้นไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ และพี่เหยาก็เป็นห่วงความรู้สึกของผมมากพอที่จะวางระยะห่างระหว่างตัวเองและทอม แม้ผมจะไม่เคยเอ่ยปากขอร้องเลยก็ตามที

“ ทำไมมึงไปค้างกับไอ้เหยาวะ ?” พี่เก่งถามอย่างงง ๆ เมื่อยังไม่ได้คำตอบ ถ้าผมเป็นพี่เก่งผมเองก็คงสงสัยเช่นกัน...เมื่อพี่เก่งที่เป็นเพื่อนและไม่มีที่พักในเชียงใหม่ออกปากจะไปพักกับพี่เหยา ทุกคนกลับออกปากชักชวนให้ไปค้างบ้านตัวเอง แต่ผมที่มีบ้านอยู่เชียงใหม่แถมไกลกันคนละฝั่งตัวเมืองกลับจะไปกับพี่เหยาซะงั้น

และครั้งนี้ไอ้วิทย์กับไอ้ชัยก็ส่ายหัวให้ผมคล้ายจะบอกว่าไม่รู้จะช่วยยังไงดี...

“ ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ !” และเป็นพี่เหยาที่ตอบข้อสงสัยของพี่เก่ง...ฟังคล้ายจะเป็นคำถาม หากแต่สีหน้าและน้ำเสียงของพี่เหยามันเหมือนจะถามพี่เก่งซะมากกว่าว่า...แล้วมึงมีปัญหาอะไร !?...

“ เออ นั่นดิ...มึงไม่ได้เอารถมานี่หว่า ” พี่เก่งพูดดูยังมึน ๆงง ๆสับสนในชีวิตตัวเองยังไงอยู่ แถมยังมีคำตอบให้ตัวเอง...คำตอบที่เป็นจริงแต่ผมและพี่เหยากลับเป็นฝ่ายลืมกันเสียเอง

“ กูอยากมีเพื่อนอย่างนี้บ้างว่ะ หลอกง่ายดีชิบ !” ไอ้วิทย์หันไปกระซิบกับไอ้รงค์ค่อย ๆ หากแต่พอให้พวกผมได้ยิน จะไม่ได้ยินก็แต่พี่เก่งที่พอหมดข้อข้องใจก็เดินนำหน้าออกจากบ้านไปก่อน

“ พี่ขับให้ ” พี่เหยาบอกผมเมื่อเดินมาถึงรถ
   
“ ผมขับเอง ” ผมบอกพลางเปิดประตูรถด้านคนนั่งให้พี่เหยา แต่พี่เหยาก็ยังยืนยันในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยการแบมือและกระดิกนิ้วชี้ ผมเลยต้องหย่อนกุญแจรถลงในมือพี่เหยาอย่างคล้ายจะว่าง่าย เพราะผมนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพวงมาลัยรถอยู่ในมือผมแล้วเกิดพี่เหยานึกสนุกเล่นซนขึ้นมาอีก คราวนี้คงไม่มีใครมาขัดจังหวะได้อีก ไม่ใช่ว่าผมไม่นึกปรารถนาในตัวพี่เหยา หากแต่เมื่อนาน ๆ เจอกันที ผมก็นึกอยากนอนกอดพี่เหยาบนเตียงนุ่ม ๆ เพื่อที่จะได้ใช้ทุกหยาดหยดของเวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ให้มันจบไปอย่างพร่าเลือนซะมากกว่า
   
“ ได้อยู่กันแค่สองคนสักที !” ผมพูดและถอนใจเฮือกใหญ่หลังจากเข้ามานั่งอยู่ในรถ และพี่เหยาก็ยิ้ม
   
“ นาน ๆ จะเจอกันที ยังอุตส่าห์เอาก้างมาด้วยอีกนะ !”
   “ มันติดคอเอาไม่ออก พยายามแกะมาสองวันแล้ว !” พี่เหยาพูดและหัวเราะ
   
“ ท่าทางพี่เขาเครียดจัง...” ผมตั้งข้อสังเกตที่เห็นจริง ๆ เพราะวันนี้พี่เก่งดูเครียดกว่าที่เคยเห็น
   
“ อือ มันเบื่องานที่บ้านมันจะแย่  งานรับเหมาก่อสร้างก็รู้ ๆ อยู่ว่ามีแต่ใต้โต๊ะทั้งนั้น เดี๋ยวชาวบ้าน เดี๋ยวนักการเมือง ...นี่มันดีใจจนปีกกาง พอรู้ว่าโปรเจ็คที่คุยกันไว้จะเริ่มทำกันสักที ” พี่เหยาบอกและยังคงยิ้มขำ
   
“ อีกตั้งปี กว่าจะเริ่มกันจริง ๆ” ผมบอกถึงข้อเท็จจริง
   
ผมไม่รู้ว่าพี่เหยาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตลอดเวลาที่ได้กลับเข้ามานั่งอยูในรถกันตามลำพังนั้น  ผมนั่งหันหลังพิงประตูรถและจับจ้องมองพี่เหยาอยู่ตลอดเวลา
   
ฟ้าข้างนอกมืดสนิท ไม่ต่างจากภายในรถนัก แสงไฟจากถนนที่ส่องเข้ามาในรถนั้นก็ส่องเข้ามาตัดสลับกับความมืดเป็นระยะๆ และเพราะเป็นถนนนอกตัวเมือง บางครั้งบนถนนจึงเหลือแต่ความมืด ไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามาสักนิด จะมีก็แค่ไฟจากคอนโซลรถเท่านั้น
   
และแม้จะว่ามืดแค่ไหน หากแต่ผมก็นึกมองเห็นทุกอากัปกิริยาของพี่เหยาชัดเจน นึกเห็นปากแดงๆที่ขยับหัวเราะ นึกเห็นสีหน้าสีตาของพี่เหยาเวลาที่หัวเราะ
   
วันนี้พี่เหยาดูจะอารมณ์ดีกว่าเคย ถ้าไม่นับรวมความลำบากใจเมื่อผมเอ่ยปากร้องชวนให้ขึ้นมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ และเมื่อได้กลับเข้ามาอยู่ภายในรถที่ดูคล้ายจะมีแค่ผมกับพี่เหยา มีแค่ความมืดที่ดูคล้ายทุกอย่างจะสงบเงียบมีก็แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่เหยาเวลาพูดเล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ลืมสีหน้าลำบากใจของพี่เหยาเสียสนิทจนกล้าเอ่ยปากเรื่องเดิมขึ้นมาอีกครั้ง
   
“ ถ้าไอ้วิทย์ลงไปอยู่จัน ไอ้ชัยไปอยู่อุดร พี่ขึ้นมาช่วยผมที่เชียงใหม่นะ ?”ผมร้องถาม และคำตอบก็คือความเงียบที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน แม้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจนนักด้วยสายตา หากแต่ผมเห็นสีหน้าลำบากใจของพี่เหยาได้ชัดเจนในความคิด
   

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
“ ทำไมล่ะ พี่ไม่อยากมาอยู่กับผมเหรอ ?” ผมพยายามถามเรียบเรื่อย ไม่รบเร้า ไม่ดึงดัน เพราะไม่อยากทำลายความสงบเงียบที่ยังโรยตัวอยู่รอบ ๆ ตัว
   
“ไม่รู้สิ...กลัวเอกเบื่อ...” นานกว่าพี่เหยาจะตอบ

“ เบื่ออะไร ?”

“....คาราโอเกะมั้ง !”
“ อ๋อ...รู้น่าว่าพี่หมายถึงอะไร ไม่เบื่อหรอกทั้งแก้มสาว ทั้งสตอเบอรรี่...”อะไรไม่รู้ทำให้ผมเฉไฉออกนอกเรื่องไปซะเอง อาจเพราะผมเริ่มเห็นร่องรอยความหม่นหมองที่จะเกิดขึ้นและผมยังอยากรักษาความสุข ความสบายใจเอาไว้ผมจึงเลือกที่จะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องซะเอง

“ เอ้ย ไม่ใช่ !...ทั้งแก้มสาว ทั้งแก้มพี่ ”

“เอ้ย...ทั้งแก้มสาว ทั้งสตอเบอรี่”

“ นี่พูดเล่นหรือพูดจริง...หรือว่าเมา ?” พี่เหยาถามเสียงคล้ายจะดุหากแต่กลับหัวเราะ

“ แค่พูดผิด  แต่หอมไม่ผิดแก้มน่า...” ผมพูด พร้อมขยับตัวไปใกล้

“ เอก พี่ขับรถอยู่นะ !” พี่เหยาร้องเตือนและขยับยกศอกขึ้นมากันท่าผมไว้

“ ทีเมื่อกี้ผมก็ถือจาน...พี่ว่าอะไรนะ ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลาย ...จะคายก็รอดใช่ไหม ?” ผมแกล้งพูด แกล้งถามพลางแกล้งไต่มือไปตามต้นขาของพี่เหยาช้า ๆ

“...สตอเบอรรี่ หอมเหมือนแก้มพี่....” ผมแกล้งฮัมเพลงเบา ๆ ก่อนโน้มตัวหมายจูบแก้มแดง ๆ ของพี่เหยา แต่พี่เหยาเบี่ยงตัวหนี ผมขยับตัวตามติดจนตัวพี่เหยาถูดเบียดจนชิดอยู่กับประตูรถหมดทางขยับหนีไปมากกว่านั้น แต่ผมก็ยังไม่ทันทำตามที่ใจคิดเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน

“ เฮ้ย ! มันมืดก็จริง แต่แค่เงาน่ะ กูมองเห็นนะโว้ย !” เสียงไอ้วิทย์ดังมาตามสาย ผมเลยเพิ่งนึกได้ว่า รถไอ้วิทย์ยังขับตามมาข้างหลังและที่นำอยู่ข้างหน้าคือรถไอ้รงค์

“ ดีนะมึง พี่เก่งเขาหลับไปแล้ว !” มันบอกให้คงนึกรู้ว่าผมกำลังกังวลถึงพี่เก่ง

“ มีอะไร ?” พี่เหยาถามเมื่อผมวางสาย

“ เปล่า มันโทรมาถามว่ากระเป๋าตังค์มันอยู่ที่ผมหรือเปล่า...”ผมโกหก และพูดได้เท่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ ไอ้เหี้ย มึงทำไรของมึงเนี่ย เกรงใจลูกกะตากูหน่อย !” เป็นเสียงของไอ้รงค์ที่ด่ามาตามสาย

“...ไอ้รงค์...” ผมบอกพี่เหยาที่หันหน้ามามองคล้ายจะถาม

“...ก็ไอ้วิทย์โทรถามมันเรื่องกระเป๋าตังค์ มันก็โทรมาถามผมอีกที...” ผมโกหกก่อนถอนหายใจและพยายามเพ่งตามองออกไปนอกรถ ดูถนนหนทางว่าเมื่อไหร่จะถึงทางแยกที่จะได้แยกย้ายกันไป หากแต่ทุกอย่างก็มืด ข้างทางมีก็แต่ต้นไม้

“ พี่เหนื่อยหรือเปล่า...เปลี่ยนผมขับก็ได้นะ ” ผมหันกลับมาถามพี่เหยา ใจหนึง่นึกเป็นห่วง อีกใจก็นึกอยากเป็นคนเหยียบคันเร่ง จะได้เหยียบให้จมมิด จะได้กลับถึงบ้านเร็ว ๆ 

“ ไม่เป็นไร ”
   
“ ผมขับให้ ” ผมร้องขอแทบจะอ้อนวอน
   
“ ทำไม ?”
   
“ อยากกลับถึงบ้านไว ๆ” ผมสารภาพพร้อมถอนใจยาว ส่วนใจก็คิดไปไหนถึงไหนแล้ว

“ อยากกอดพี่...”

“ แล้วก็อยากจูบ...อยากเยอะแยะไปหมด ” ผมสารภาพหมดเปลือก และพี่เหยาก็หัวเราะ
   
“ งั้นพี่ขับเอง... ขืนเอกขับ เดี๋ยวไม่ถึง !” พี่เหยาบอก ผมก็เลยได้แค่ถอนหายใจ
   
ผมกลับไปนั่งอยู่กับความเงียบอีกครั้ง ได้ยินก็แต่เสียงกลืนน้ำลายของตัวเองเป็นระยะ
   
“ เมื่อก่อนผมก็ว่าบ้านไอ้ชัยไม่ไกลขนาดนี้นะ...” ผมพูดก่อนกดปุ่มเลื่อนกระจกรถลง ยื่นแขนออกไปโบกมือให้ไอ้รงค์ที่เปิดสัญญาณไฟให้รู้ว่ามันกำลังจะแยกเลี้ยวไปอีกทาง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้เป็นของพี่เหยา ภาษาที่พี่เหยาใช้พูดคุยโต้ตอบกับอีกคนที่ปลายสายนั้น ทำให้รู้ว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัวของพี่เหยาเอง หากแต่ดึกจนเลยดื่นขนาดนี้ ผมเลยเดาได้ว่าน่าจะเป็นฟง และก็เป็นเช่นที่ผมคิด หากแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

“ ฟงโทรมาจะให้แวะไปรับ...เปลี่ยนใจจะกลับไปนอนคอนโด ฯ” พี่เหยาหันมาบอกเมื่อตัดสายไปแล้ว

ฟงมาเชียงใหม่ล่วงหน้าก่อนพี่เหยาได้หลายวันแล้วโดยขับรถมาเอง  และวันนี้ ในครั้งแรกฟงบอกว่าจะออกไปกับเพื่อนและค้างกับเพื่อนเลยแล้วพรุ่งนี้จึงค่อยมาแวะรับพี่เหยาและไปเชียงรายเพื่อทำธุระด้วยกัน แต่ตอนนี้หลังวางสายพี่เหยาบอกว่า ฟงเปลี่ยนใจ จะกลับมานอนคอนโด ฯ... ผมนึกมองเห็นก้างปลาชิ้นใหญ่ ติดหนึบอยู่ในลำคอ

“ แล้วพี่ว่าไง ?” ผมเอ่ยถามเสียงเอื่อย ๆ รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเฉย ๆ ที่การเจอกันแค่ชั่ววันของผมกับพี่เหยาดูคล้ายจะยุ่งยากเสียเหลือเกินเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรายังคงเป็นความลับต่อครอบครัวและก็ในหมู่เพื่อน ๆ ของพี่เหยา

“ ก็บอกว่าให้มันกลับเอง คืนนี้พี่ไม่กลับ ” พี่เหยาตอบ แม้เห็นเพียงเงาร่างสลัวในความมืด หากแต่ผมก็นึกรู้ว่าพี่เหยากำลังยิ้มเอาใจ

“ ...งั้น คืนนี้นอนไหนดี ?...”ผมถามด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

“... ถึงในเมืองแล้วค่อยคิด ” พี่เหยาตอบหลังเงียบคิดไปแป๊บ

“ ทำไมล่ะ ?...แวะนอนตามรีสอร์ทดีกว่าพี่ ?” ผมเสนอ นึกเห็นภาพตัวเองตื่นมาตอนเช้า ๆ อากาศดี ๆ แล้วก็นอนกอดพี่เหยาเอาไว้

“ ไม่เอา...ในเมืองเหอะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะสาย ” พี่เหยาบอกและผมก็ตามใจ เพราะไม่ว่าจะที่ไหน ขอแค่ให้ผมได้มีเวลาอยู่ตามลำพังกับพี่เหยาบ้าง ผมก็พอใจแล้ว

แต่ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ดังขึ้นที่เครื่องของผม  และเป็นฟงอีกเช่นเคย

“ พี่เอก บอกจึเหยาที หว่อลืมเอากุญแจมา...เข้าห้องไม่ได้ ” เสียงฟงที่ดังมาตามสายนั้นฟังดูแทบจะเป็นการอ้อนวอน ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบรับ

“ ใคร ?” ครั้งนี้เป็นฝ่ายพี่เหยาถาม และพี่เหยาคงแปลกใจเพราะผมพูดแค่ไม่กี่คำก่อนตัดสาย แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งถอนหายใจ

“ ฟง...” ผมบอกก่อนถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเบื่อหน่ายเต็มที ภาพที่จะได้นอนกอดพี่เหยาเอาไว้ทั้งคืน ลืมตาตื่นมาตอนเช้า ๆ ด้วยกันหายวับไปกับตาอีกหน

“ ฟงบอกว่าไม่มีกุญแจ เข้าห้องไม่ได้  ” ผมขยายความให้พี่เหยาเข้าใจด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังสักนิดว่ารู้สึกรำคาญใจแค่ไหน

“ ขอโทษ...” พี่เหยาพูดแล้วจับขาผมบีบเบา ๆ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนหายใจ

“ ก็ไปนอนคุยกันก็ได้...” พี่เหยาพูดเสียงเบา มือก็บีบขาผมอย่างเอาใจ

“ นอนคุยกัน?...พี่ครับ ...ผมไม่เจอพี่ตั้งเดือนกว่า พี่นอนอยู่ข้างๆ แล้วได้แค่นอนคุยกัน...ฆ่ากันเลยดีกว่าไหมครับ ?” ผมร้องถามด้วยเสียงที่รู้ว่าตัวเองหงุดหงิด และสิ่งที่พูดแม้จะเป็นสิ่งที่คิดหากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น อีกอย่างที่ผมนึกอยากพูดออกไปก็คือ...จะให้คุยอะไร ในเมื่อสิ่งที่ผมอยากคุย พี่เหยาก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนสองครั้ง สองคราแล้วว่าไม่เห็นด้วย...

“ งั้นจะแวะที่อื่นหรือเปล่า ?”พี่เหยาถามเสียงแข็งขึ้นบ้าง มือที่เอื้อมมาบีบขาผมอย่างปลอบเอาใจก็ถูกดึงกลับไป
   
“ แวะไหน ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงยังไม่ดีนักเช่นกัน
   
“ ก็ม่านรูดหรือไม่ก็ข้างทางนี่แหละ !” พี่เหยาตอบ
   
“...ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...” ผมพยายามพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง แม้ในใจยังคุกรุ่นแต่ผมก็รู้ว่า ที่ผมกำลังโกรธน่ะ พี่เหยาไม่ใช่ต้นเหตุเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะโทษว่าอะไรเป็นต้นเหตุของทั้งหมด อาจต้องโทษไปถึงที่ทั้งผมกับพี่เหยาเกิดมาเป็นผู้ชายเลยกระมัง อะไรต่ออะไรจึงไม่ง่ายอย่างที่ควรจะเป็น แม้เวลานี้ที่ผมเอ่ยปากขอโทษ และเอื้อมมือไปกุมมือพี่เหยาไว้และหมายใจจะยกขึ้นมาจูบ หากแต่ผมก็นึกได้ว่า พี่เก่งอาจไม่ได้กำลังหลับอยู่เหมือนอย่างเมื่อครู่และผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจากรถไอ้วิทย์ จะมองเห็นในสิ่งที่ผมกำลังคิดจะทำหรือเปล่า สุดท้ายผมก็เลยทำได้แค่จับมือพี่เหยามากุมไว้เฉย ๆ
   
“ ผม...คิดถึงพี่...อยากกอดก็ทำไม่ได้...แค่อยากจูบมือพี่ ก็ยังทำไม่ได้...ทำไมมันต้องขับจี้อยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ !” ผมบอก เริ่มต้นแค่อยากให้พี่เหยาเข้าใจ หากแต่ลงท้ายผมก็พูดด้วยนึกโมโหไอ้วิทย์ขึ้นมาเสียเฉย ๆ
   
“ แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะ ?” พี่เหยาร้องถาม หลังจากเงียบไปคงด้วยไม่เข้าใจที่ผมพูด
   
“ ก็มันขับจี้หลังอยู่อย่างนี้ ทำอะไรมันก็มองเห็น...ถึงจะแค่เงาก็เหอะ อย่างเมื่...” ผมพูดเกือบถึงเรื่องเมื่อครู่ที่ไอ้วิทย์กับไอ้รงค์โทรมา หากแต่ก็กัดลิ้นตัวเองไว้ได้ทัน เพราะถ้าพี่เหยารู้ พี่เหยาต้องโกรธแน่ ดีก็แต่ที่พี่เก่งหลับไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นคงต้องอธิบายกันยาว
   
“ผมขอโทษ...ไม่โกรธผมนะ ?”
   
“ ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว...” พี่เหยาตอบ นี่แหละพี่เหยา ไม่ใช่ไม่โกรธ หากแต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว แปลว่าพี่เหยาจะบอกให้รู้ว่า เมื้อครู่นี้โกรธจริง ๆ นะ...
   
“ แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าแวะที่อื่นก่อน...พี่พูดจริงหรือเปล่า ?” ผมแกล้งถาม หากแต่เมื่อพี่เหยาหันมามอง ขยับปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง ผมก็รีบบอก
   
“ ผมล้อเล่น !” ผมบอกและพี่เหยาหัวเราะ ก่อนจะยิ่งหัวเราะเมื่อผมพูดต่อ
   
“ ที่จอดรถคอนโดดีกว่า ตื่นเต้นดี !”
   
“ หัวเราะอะไร นี่ผมพูดจริงนะ !” ผมแกล้งย้ำ แต่พี่เหยาก็ยังหัวเราะขำเพราะรู้ว่าผมพูดเล่น
   
“ แล้วฟงเป็นไงบ้าง ?” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด เมื่อเรื่องที่ตัวเองถือเอามาพูดล้อเล่นนั้น มันชักทำให้เกิดจินตนาการไปถึงไหน ๆ ผมก็ต้องบอกให้ตัวเองสงบจิต สงบใจเลิกคิดเลิกฝัน เพราะอย่างไรวันนี้ก้างชิ้นใหญ่ก็กำลังนั่งรออยู่ที่หน้าประตู
   
“ อะไรคือเป็นไงบ้าง ?”
   
“ ก็หยก...” ผมถาม เพราะแม้ไอ้รงค์กับแฟนมันจะคบกันมาเกือบ ๆ จะสิบปีแล้ว แต่ก็ดูจะไร้วี่ไร้แววว่า ไอ้รงค์มันจะยอมแต่ง ส่วนหนึ่งผมรู้ เพราะมันไม่อยากย้ายไปอยู่จัน บ้านแฟนมัน แต่เมื่อแฟนมันเป็นลูกคนเดียว ในขณะที่ไอ้รงค์มันมีพี่มีน้อง จึงช่วยไม่ได้ที่มันต้องเป็นฝ่ายย้ายตัวเองไป แล้วอยู่ ๆ มันก็มาบอกว่า มันจะแต่งงานเดือนหน้า และผมจำได้ครั้งหนึ่งฟงเคยจีบแฟนไอ้รงค์ ถึงจะนานมาหลายปีแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ... การที่จะเลิกรักใครสักคนหนึ่งนั้น ต้องใช้เวลายาวนานสักแค่ไหน เพราะสำหรับผม ดูคล้ายว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองรักพี่เหยาน้อยลงเลย เกือบห้าปีแล้วที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าพี่เหยาคือคนรักของผม แต่ไม่มีสักวันที่ผมจะรู้สึกว่าความรักของผมมันน้อยลง
   
“ ตั้งกี่ปีแล้วเอก ?!”พี่เหยาตอบในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ผมคิด ...ตอบคล้ายความรักสามารถเลือนหายไปได้ตามวันเวลา
   
“ ตั้งกี่ปีแล้ว...ผมก็ยังรักพี่อยู่เหมือนเดิมนี่นา...”ผมพูดในสิ่งที่คิด ทั้งอยากย้ำให้พี่เหยารู้ เพราะเมื่อพี่เหยาทำท่าคล้ายจะลำบากใจต่อคำร้องขอของผมมาหลายครั้งหลายครา ผมก็อยากย้ำให้พี่เหยารู้...รู้ว่าผมรักพี่เหยา
   
“ ก็ของฟงแค่จีบ...”
   
“ ถ้าไม่รักแล้วจะจีบเหรอ ?”
   
“ เอกก็เคยมีแฟน...เลิกรักเขาหรือยังล่ะ ?” พี่เหยาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไร้ร่องรอยการประชดประชัน หรือแม้แต่การเอาชนะข้อถกเถียง
   
“ ยัง...ก็ไม่เคยรักนี่...รักแต่พี่...”อีกครั้งที่ผมย้ำ...ย้ำให้พี่เหยารู้ และคำตอบที่ได้ก็มีแต่เสียงถอนหายใจเพียงเบาๆ เท่านั้น
   “ ผมบอกว่ารักพี่ไปตั้งหลายครั้ง จะไม่พูดกลับสักครั้งเลยเหรอ ?”
   
“พูดทำไมล่ะ ?” อีกครั้งที่เสียงพี่เหยาเรียบเรื่อย ไร้ความรู้สึก
   
“ น่าอิจฉาไอ้รงค์ มีแฟนก็ได้อยู่ด้วยกัน ...” ทั้งที่รู้ว่าควรหยุดพูด ควรเลี่ยงที่จะพูดถึงสิ่งที่นำมาซึ่งข้อขุ่นข้องหมองใจ หากแต่ผมก็ยังพูดออกมา และพี่เหยาก็ยังคงทำเพียงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ จะมีก็แต่ความเร็วของรถเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่ามันเพิ่มขึ้น
   “...ได้แต่งงานกัน...แล้ว...” ผมยังพูดในสิ่งที่ยากจะบอกว่าอยากพูดจริงหรือเปล่า และครั้งนี้ดูคล้ายพี่เหยาจะเลิกทน
   
“ นี่จะบีบให้ทะเลาะด้วยให้ได้เลยใช่ไหม ?!”พี่เหยาถามขัดขึ้นเสียงแข็ง
   
“ เอกเพิ่งพูดขอโทษไปเมื่อ 2 นาทีที่แล้วเท่านั้นนะ !”และพี่เหยาขัดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมขยับปากจะพูดคำว่า..ขอโทษ
   
เมื่อพี่เหยาพูดอย่างนั้น ผมจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากเอื้อมมือไปกุมมือของพี่เหยาที่จับอยู่บนพวงมาลัย ดูพี่เหยาจะโกรธเพราะพี่เหยาทำท่าคล้ายจะสะบัดมือออกให้พ้นจากการกอบกุมของผมหากแต่ผมยังรั้นกุมมือพี่เหยาไว้ไม่ยอมปล่อย สุดท้ายพี่เหยาจึงเลิกยื้อยุด ปล่อยให้ผมกอบกุมมือของพี่เหยาเอาไว้
   
ผมรู้...พี่เหยาไม่ถือโทษโกรธอะไรผมมากนัก เพราะพี่เหยารู้วันนี้ผมผิดหวังมาทั้งวัน...ผิดหวังมาทุกเรื่อง

วันนี้ แม้แต่ตัวผมเองยังสับสนในอารมณ์ที่หลากหลายของตัวเอง...ผมดีใจที่ได้เจอพี่เหยา หากแต่ก็ผิดหวังเพราะดูคล้ายจะไม่มีเวลาที่ใช้ร่วมกันตามลำพังเลย...ผมดีใจเพราะคิดว่าถึงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน หากแต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะสีหน้าหน้าลำบากใจของพี่เหยาก็เหมือนคำปฏิเสธ...ผมไม่อาจบังคับให้ใจตัวเองสงบลง ยอมรับความผิดหวังอยู่เงียบๆได้ พอ ๆ กับที่อยากพยายามจะประคับประคองความสุขอันน้อยนิดที่พอมีอยู่  ทุกบทสนทนา ทุกการกระทำที่พยายามเริ่มต้นขึ้นเพื่อยื้อยุดความสุข มันจึงดูมักจะถูกลากลู่เข้าสู่ข้อกังขาเดิมๆ...ผมไม่ได้อยากบีบให้ทะเลาะ หากแต่ผมอยากให้พี่เหยาพูดออกมาต่างหากว่า อะไรคือเหตุผลของทีท่าลำบากใจเมื่อผมร้องขอให้มาอยู่ด้วยกัน

เมื่อจุดเริ่มต้นของการสนทนา มักจบลงด้วยการบีบให้ทะเลาะอย่างที่พี่เหยาว่า ผมจึงเลือกที่จะนั่งอยู่เงียบ ๆ  นั่งมองดูความเงียบนอกหน้าต่าง

แม้เมื่อได้ยินเสียงบีบแตรจากด้านหลัง ผมจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่เหยาได้แยกเลี้ยวมาอีกทางแล้วและไอ้วิทย์บีบแตรให้เพื่อส่งสัญญาณกล่าวลา

ถนนด้านนอกยังมืด  ไม่มีไอ้รงค์ขับรถนำอยู่ข้างหน้าและไม่มีไอ้วิทย์คอยขับจี้อยู่ด้านหลัง มีแค่ผมกับพี่เหยาเท่านั้น หากแต่ผมก็ยังเลือกจะนั่งอยู่เงียบ พยายามดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับความสุข หากแต่ให้พยายามยังไง ใจของผมมันก็คอยแต่ตั้งคำถาม...ทำไมพี่เหยาไม่อยากที่จะมาอยู่กับผม...ทำไมการจะได้อยู่ด้วยกันกับใครสักคนที่เรารักมันช่างยากเย็น...


ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
ตลอดเวลาพี่เหยาก็เลือกที่จะอยู่กับความเงียบเช่นกัน และผมก็รู้ว่าพี่เหยาเองก็กำลังครุ่นคิด หากแต่ก็ไม่รู้ว่า...คืออะไรที่พี่เหยากำลังคิด

วันนี้ที่ผมคิดว่าดูพี่เหยาจะอารมณ์ดีกว่าเคย...ที่พี่เหยาพูดและยิ้มอย่างเอาใจ ...ทั้งยังมาแกล้งหยอกเย้าผมเล่นที่ในครัวที่บ้านไอ้ชัย และบอกผมว่าคิดถึง ผมเริ่มสงสัย พี่เหยาเพียงแค่หวังทำไปเพื่อเอาใจผมหรือเปล่า...พี่เหยามีความสุขจริงอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า
ผมยอมรับรู้สิ่งรอบตัวอีกทีก็เมื่อพี่เหยาหักเลี้ยวรถเข้าสู่ที่จอดรถของคอนโด ฯ

“ ตรงนั้นว่าง” ผมชี้มือบอกพี่เหยาถึงที่ว่างใกล้ประตูทางเข้า หากแต่พี่เหยาก็ขับเลยผ่านไม่สนใจ

พี่เหยาขับผ่านเลยซองจอดรถที่ว่างอยู่ไปอีกหลายที่ ขับวนขึ้นไปอีกชั้นก่อนขับตรงเข้าสู่ส่วนที่ปลอดคนหากแต่ไม่ถึงกับโล่งไม่มีรถจอด และแทนที่พี่เหยาจะถอยหลังเข้าจอดอย่างที่เคย พี่เหยากลับเลือกที่จะจอดโดยเอาหน้าเข้าอย่างที่พี่เหยาไม่ค่อยจะถนัดนัก

ไม่ต้องเอ่ยปากพูดจากัน ผมก็รู้ว่าพี่เหยากำลังคิดอะไร
   
“...เอาจริงสิ ?!” ผมถาม  มองพี่เหยาที่กำลังขยับตัวข้ามจากที่นั่งฝั่งคนขับมาคร่อมทับบนตัวผม
   
“ หรือไม่เอา ?” พี่เหยากระซิบถามที่ริมหู พลางเอื้อมมือปรับขยับเบาะที่ผมนั่งให้เลื่อนไปด้านหลังจนสุด
   
...พี่เหยาเพียงจะเอาใจ ? ...ผมคิดสงสัย หากแต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของพี่เหยาที่ดูจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผม ผมก็บอกให้ตัวเองเลิกคิด เลิกสงสัย
   
“ ทำไม หรือแอบไปนอกใจ ?” พี่เหยายังกระซิบถามที่ข้างหู และผมก็ทำได้แค่หัวเราะเบา ๆ เพราะพี่เหยาไม่เพียงแต่กระซิบ หากแต่พี่เหยายังไล้ปลายลิ้นเบาๆ ลงที่ปลายติ่งหู ที่ที่พี่เหยาก็รู้ว่ามันไวสัมผัสแค่ไหน
   
“ วิทย์บอกว่ามีสาว ๆ มาติดเอกเพียบ...” พี่เหยาพูดคล้ายตั้งคำถาม หากแต่ก็แค่คล้าย ผมจึงไม่ได้ตอบ ทั้งรู้ว่าพี่เหยาเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเช่นกัน

“ จะไม่แก้ตัวเลยเหรอ ?” แต่พี่เหยาก็ยังถาม...ยังกระซิบถามที่ริมหูก่อนขบเบา ๆ
   
“ แก้ตัวทำไม สาวติดผม ไม่ใช่ผมติดสาวนี่ !” ผมพูดความจริงและพี่เหยาก็หัวเราะ 
   
มันเป็นจริงอย่างที่พี่เหยาว่า ถึงผมจะคบกับพี่เหยามาได้ร่วมห้าปีแล้ว แต่สำหรับคนอื่น ๆ สถานภาพของผมก็คือยังว่าง มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะมีใครต่อใครแวะเวียนกันเข้ามา บางคนรักอิสระและเปิดโอกาสให้ผมฉกฉวยโอกาสที่จะนอกใจอย่างที่พี่เหยาว่า และผมก็โตพอที่จะมองเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นของธรรมดา หากแต่ผมก็ไม่เคยหยิบฉวยโอกาสเหล่านั้น ไม่ใช่ไม่กล้า ไม่ใช่เห็นว่าเป็นสิ่งผิด หากแต่ผมกลัว...กลัวพี่เหยาจะเสียใจ ถ้าผมอยากให้พี่เหยาเป็นของผมแค่คนเดียว ถ้าผมอยากเป็นเจ้าของพี่เหยาคนเดียว ทำไมพี่เหยาจะไม่รู้สึกแบบเดียวกัน...แม้ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ แต่ผมก็เชื่อว่า...เมื่อเรารักใครสักคน เมื่อใครสักคนรักเรา ความรู้สึกย่อมไม่แตกต่างกัน...แต่ทำไมพี่เหยาคล้ายจะไม่อยากอยู่ร่วมกับผม...สุดท้ายผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิม

“ แล้วฟงล่ะ ?” ผมถาม พยายามเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนสิ่งที่กลับมาหมกมุ่นให้คิด และเลือกที่จะถามถึงฟงที่ป่านนี้คงนั่งแก่วอยู่ที่หน้าห้อง แต่คำตอบของพี่เหยาคือรอยฟันที่ขบลงที่ปลายติ่งหู คล้ายจะปรามให้ผมเลิกคิดสนใจคนอื่นได้แล้ว

ลมหายใจร้อน ๆ ของพี่เหยาที่เป่ารดที่ปลายติ่งหู กับรอยเจ็บเล็กๆที่ถูกขบกัดและปลายเรียวลิ้นที่พี่เหยาแกล้งหยอกเย้ามันทำให้ขนผมลุกชูชันไปทั้งตัว ความปรารถนาที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและถูกบังคับให้ดับลงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้มันก็ตื่นตัวขึ้นจนคล้ายจะทนไม่ไหวอีกครั้ง...จนในหัวมันว่างเปล่า ความรู้สึกนึกคิดหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือการหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่เหยา

ผมไม่มีโอกาสพูดอะไรได้อีก เพราะพี่เหยาปิดปากผมด้วยริมฝีปากแดงๆของตัวเองโดยที่ไม่ยอมให้ผมตั้งตัวแม้แต่น้อย...

สัมผัสจากริมฝีปากปากและปลายลิ้นพี่เหยานั้น ไม่ได้นุ่มนวล อ่อนโยนเลยสักนิด มันมีแต่ดึงดัน เอาแต่ใจ   และผมก็ได้ยินเสียงครางเบา ๆ ในลำคอของพี่เหยาเมื่อผมเริ่มต้นที่จะโต้ตอบด้วยรสสัมผัสแบบเดียวกัน...สองมือของผมบีบสัมผัสเอวบาง ๆ ของพี่เหยาไว้ และบ่อยครั้งที่ความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเผลอไผลเพิ่มแรงมือบีบขย้ำลงไปอย่างลืมตัว

เมื่อนึกถึงผิวขาว ๆ ที่ป่านนี้คงเป็นรอยแดงเพราะแรงมือของผม ผมก็นึกอยากจะลิ้มรสความหวานของผิวเนื้อนั้นด้วยปลายลิ้น หากแต่เมื่อผมพยายามจะละริมฝีปากจากริมฝีปากของพี่เหยา  พี่เหยาก็จะตามทวงสัมผัสคืน สองมือพี่เหยาประคองใบหน้าผมไว้ใม่ยอมให้ขยับหนีไปไหน และเมื่อผมยังรั้น ผมของผมก็ถูกดึงคล้ายบังคับให้แหงนเงยขึ้นตอบรับสัมผัสที่มีแต่ความเอาแต่ใจของปลายลิ้นและริมฝีปากของพี่เหยา และสะโพกของพี่เหยาก็เริ่มขยับบดเบียดกับความแข็งขืนของผม

ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว...ผมรู้ว่า เมื่อพี่เหยาเริ่มต้นเช่นนี้ สัมผัสแบบไหนที่พี่เหยาต้องการให้ผมตอบสนอง พี่เหยาไม่ต้องการการถูกสัมผัสที่อ่อนโยน ไม่ต้องการการถูกปกป้องหรือแม้แต่ถูกสัมผัสอย่างถนอมมือ...

“ไปเบาะหลังดีกว่า...” ผมกระซิบชวน แต่ดูคล้ายพี่เหยาไม่ใส่จะฟัง

ในขณะที่ร่างกายส่วนล่างถูกปลุกเร้าด้วยการบดเบียดจากสะโพกของพี่เหยา ร่างกายส่วนบนนั้นผมรู้สึกถึงลมหายใจร้อน ๆสลับกับการหยอกเย้าอันหนักหน่วงของปลายลิ้นที่พี่เหยาเริ่มลากไล้จากลำคอและเลื่อนต่ำลงช้า ๆ หากแต่เน้นย้ำแรงทุกสัมผัส  ปลายนิ้วของพี่เหยาสัมผัสถูกผิวเนื้อของผมเพียงเล็กน้อยในเวลาที่พี่เหยาปลดกระดุมเสื้อของผมออกทีละเม็ด ๆ

ผิวเนื้อที่เพิ่งได้สัมผัสกับไอเย็นของอากาศกลับถูกแทนที่ด้วยสัมผัสร้อน ๆจากปลายลิ้นของพี่เหยานั้น มันทำให้ขนของผมลุกชูชันไปทั้งตัว
เมื่อกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก พี่เหยากลับเปลี่ยนท่าที ค่อย ๆ ลูบไล้ฝ่ามือไปทั่วผิวท้อง ทำคล้ายจะเลื่อนต่ำลงหากแต่อ้อยอิ่งรอท่า พี่เหยาจับจ้องผมและหัวเราะคล้ายขำ มองดูผมที่กำลังรอคอยให้พี่เหยาสัมผัสความแข็งขืนชนิดผิวเนื้อต่อผิวเนื้อด้วยใจจดจ่อ

พี่เหยาไม่ปล่อยให้ผมรอคอยอยู่นานนัก  ความแข็งขืนของผมก็ถูกกอบกุมไว้ด้วยฝ่ามือร้อน ๆของพี่เหยา ... ในขณะที่ปลายนิ้วของพี่เหยาเริ่มขยับ พี่เหยาก็ยิ่งเพิ่มแรงอารมณ์ให้กับผมด้วยลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดลงที่ต้นคออีกครั้ง

ริมฝีปากเราสัมผัสกันและกันอีกครั้งเมื่อพี่เหยาเพิ่มจังหวะของแรงมือ เหมือนปลายลิ้นของพี่เหยาที่ดึงดันรุกไล่ปลายลิ้นผมจนผมแทบจะเก็บกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่

“ เดี๋ยว พี่..พอก่อน...” ผมได้ยินตัวเองพยายามพูดด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นเมื่อพยายามเบี่ยงหลบจากริมฝีปากของพี่เหยา ในขณะที่มือหนึ่งก็จับที่ข้อมือบาง ๆ ของพี่เหยาไว้คล้ายร้องขอให้พี่เหยาหยุดมือ เพราะผมไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงรวดเร็วนักถึงมันจะเป็นเพียงครั้งแรกและผมก็แน่ใจว่า ทั้งผมและพี่เหยาคงไม่ยอมให้มันจบลงเพียงแค่ครั้งเดียว หากแต่พี่เหยากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ผมร้องขอ...พี่เหยาเร่งเร้าจังหวะของปลายนิ้วให้เร็วขึ้น แล้วความอดทนของผมก็ถึงขีดสุดเมื่อพี่เหยาขบเข้าที่ปลายติ่งหูของผมและแกล้งกระซิบแผ่ว...น่านะ แล้วเดี๋ยวพี่จะให้เอาคืน...

“ พี่แกล้งผม...แป๊บเดียวเอง ” ผมแกล้งครวญอย่างนึกเสียดาย ความสุขที่จบไปอย่างรวดเร็ว

“ ไม่ได้แกล้ง...เขาเรียกว่าคิดถึงต่างหาก !” พี่เหยาพูดทั้งหัวเราะ  ปลายนิ้วยังขยับอยู่ต่อเนื่อง ต่างกันก็เพียงคราวนี้มันไม่ได้มีเพียงความร้อนจากมือของพี่เหยาเท่านั้น หากแต่มือของพี่เหยายังโชกชุ่มด้วยหลักฐานแห่งความสุขที่ผมเพิ่งปลดปล่อยออกมา ผมรู้ว่าพี่เหยากำลังเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง และพี่เหยาก็เพียงแต่จะบอกผมว่า เวลานี้ พี่เหยาเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน

“ การลงทุนมันมีสองอย่าง....การลงทุนระยะยาวแล้วก็สั้น...” พี่เหยายังพูด ยังหัวเราะ มือของพี่เหยาก็ยังคงเร่งขยับปลุกเร้าอารมณ์ของผม

“ ระยะสั้น ถึงผลตอบแทนมันจะน้อยไปนิด...แต่พี่ก็ชอบนะ เพราะมันหมุนเวียนเอามาใช้ใหม่ได้หลาย...หลายครั้ง...เห็นไหม ?” พี่เหยาถาม พลางไล้ปลายนิ้วเบา ๆ  ไปบนส่วนที่ร้อนรุ่มของผมซึ่งกำลังขยายตัวขึ้นมาอีกครั้งคล้ายช่วยยืนยันคำพูดของพี่เหยา

“ งั้น...ก็ถึงทีผมเอาคืนแล้วสิ ?” ผมถามและพี่เหยาตอบรับโดยการหัวเราะเบา ๆ ก่อนโน้มตัวประทับริมฝีปากลงที่ริมฝปากผม และเริ่มหยอกเย้าผมด้วยปลายลิ้นอีกครั้ง

ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นหมายจะปลดเปลื้องกางเกงพี่เหยาออก หากแต่พี่เหยาขืนตัวไว้ และผมรู้ว่าการขัดขืนนั้นไม่จริงจังนัก พี่เหยาเพียงส่งสัญญาณบอกให้ผมรู้ว่า ในเวลานี้ สัมผัสแบบไหนที่พี่เหยาต้องการ  ผมจึงเพิ่มแรงกำลังมือ หากแต่ครั้งนี้ไม่ได้หวังเพียงขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นเท่านั้น แม้ที่จะคับแคบหากแต่ผมก็ฝืนบังคับพลิกให้พี่เหยามานอนอยู่เบื้องล่างและผมเป็นฝ่ายคร่อมทับอยู่เหนือตัวพี่เหยา โดยที่ตลอดเวลานั้น แขนสองข้างของพี่เหยายังคงกอดรัดรอบคอผมเอาไว้ เหมือนปลายเรียวลิ้นของพี่เหยาที่ยังดึงดันรุกไล่ปลายลิ้นผมอยู่ไม่ลดละ

ผมยกสะโพกพี่เหยาขึ้น ปลดเปลื้องกางเกงผ้าเนื้อดีออกพร้อมๆกับที่ลูบไล้ไปทั่วเรียวขาขาว

“ เอาล่ะ...ที่นี้ก็ถึงเวลามาดูกันว่า ของผมน่ะ มันลูกไก่อย่างที่พี่ว่าหรือเปล่า!” ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงหมายมาดเมื่อใช้สองมือขยับแยกเรียวขาพี่เหยาออก

ตลอดเวลาที่ผมแกล้งหยอกเย้าพี่เหยาด้วยคำพูด พี่เหยาไม่โต้ตอบสักคำ ผมได้ยินก็เพียงจังหวะลมหายใจที่แสดงออกถึงอารมณ์ปรารถนาของพี่เหยา เช่นเดียวกับปลายนิ้วที่พี่เหยาลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกของผม และสะโพกของพี่เหยาก็ขยับยกคล้ายร่ำร้องหาสิ่งที่ผมกำลังจะหยิบยื่นให้

ผมรั้งมือพี่เหยาเอาไว้ เมื่อพี่เหยาจะขยับล๊อคปรับเบาะให้เอนนอนลงเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

และหลังจากที่แกล้งอ้อยอิ่งอยู่กับการหยอกเย้าอยู่นาน ผมก็ทำตามที่พี่เหยาปรารถนา ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาขึ้นอีกครั้งดึงรั้งมันเข้าหาตัวพร้อม ๆ กับที่ส่งกายผ่านเข้าสู่ความร้อนในตัวพี่เหยา ไม่อ่อนโยน ไม่นุ่มนวล  ตรงกันข้ามมันดูมุทะลุ ดุดัน เพราะนั่นคือสัมผัสที่พี่เหยาต้องการในเวลานี้ หลักฐานคือร่างกายพี่เหยาที่ผวาขึ้นรับการรุกรานในครั้งนี้และเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแดงๆที่เผยอขึ้น... ผมไม่รอให้พี่เหยาตั้งตัว  ส่งกายขยับผ่านเข้าสู่ความรุ่มร้อนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความรวดเร็วและรุนแรง

พี่เหยาผวาขึ้นสุดตัวเมื่อผมขยับล็อคปรับเบาะให้เอนลงโดยไม่ให้พี่เหยารู้ตัว  และเพราะรองรับน้ำหนักตัวของผมและพี่เหยาอยู่ เบาะจึงเอนลงคล้ายกระแทก และทุกจังหวะของการกระแทกและกระทั้นที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนั้นก็ถูกส่งผ่านไปยังพี่เหยา มันทำให้ เสียงที่เล็ดลอดออกจากลำคอของพี่เหยานั้นคล้ายเจ็บปวดหากแต่ก็แฝงร่องรอยความพึงพอใจไว้อย่างยิ่งยวดเช่นกัน ...

ผมยังส่งกายผ่านต่อเนื่องด้วยจังหวะที่ไม่ยอมผ่อนแรงลงแม้แต่นิด...ยิ่งรู้สึกถึงปลายเล็บของพี่เหยาที่จิกลงบนผิวเนื้อเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วแรงขึ้นเท่านั้น

ตราบเมื่อพี่เหยาไม่สามารถเก็บกักเสียงแห่งความพึงพอใจไว้ได้ในลำคอ สองมือของพี่เหยา เกร็งขยุ้มคอเสื้อของผมและเหนี่ยวรั้งตัวขึ้น ผมจึงโอบแขนขยับยกสะโพกของพี่เหยาขึ้นให้ทุกจังหวะการรุกล้ำเสียดสัมผัสกับจุดไวความรู้สึกที่ภายใน ผมโน้มตัวลงสัมผัสริมฝีปากพี่เหยาอีกครั้งเมื่อพี่เหยาเกร็งกระตุกไปทั้งตัว ผิวเนื้อที่ผมโอบกระชับไว้นั้นก็สั่นระริกไหว ปลายเรียวลิ้นของพี่เหยาไม่ได้โต้ตอบสัมผัสจากปลายลิ้นผมเลยสักนิด มันก็เหมือนส่วนอื่น ๆ ทั่วร่างกายของพี่เหยาที่กระตุกเกร็ง และผมก็กลืนกินทุกเสียง ทุกลมหายใจร้อน ๆที่พรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากระริกไหวนั้นจนหมด

แม้ความถี่กระชั้นของลมหายใจของพี่เหยาจะลดลง ปลายเรียวลิ้นเริ่มตอบสนองผม สองมือที่กำคอเสื้อผมไว้แน่นก็คลายแรงลงจนที่สุดพี่เหยาก็ปล่อยมือ ทิ้งตัวลงบนเบาะอีกครั้ง หากแต่ผมก็ยังตามติดทวงความหวานจากริมฝีปากแดงๆนั้นอยู่ สองมือผมยังโอบกระชับขยับยกสะโพกพี่เหยาไว้และยังส่งกายผ่านเร็วและแรงเฉกเช่นเดิม ไม่ผ่อนปรนลงสักนิดแม้จะสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยอ่อนจากลมหายใจของพี่เหยา ตรงกันข้ามความรุนแรงที่เกิดขึ้น ความเหนื่อยอ่อนของพี่เหยาที่ปรากฏให้เห็น มันกลับยิ่งยั่วยุให้ผมอยากบดขยี้พี่เหยาลงที่ตรงนั้น...ผมจึงยิ่งเพิ่มแรงกาย โถมแรงกำลังทั้งหมดที่มีเข้าใส่ หวังสัมผัสความลึกล้ำภายในตัวพี่เหยาให้ได้มากที่สุด แต่ให้เท่าไร ผมก็กลับไม่พอใจในความลึกล้ำที่กำลังครอบครองอยู่

“ เอก...พี่เจ็บ...” พี่เหยากระซิบเสียงแผ่วเมื่อโอบสองแขนรอบคอผมไว้...และผมรู้ในถ้อยคำนั้น มันมีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งนั้นหวังยั่วยุสติผมให้ขาดสะบั้นลง ยิ่งกว่านั้นร่างกายพี่เหยาก็เริ่มตอบสนองผมอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เมื่อพี่เหยาตั้งใจยั่วยุ มันจึงไม่หลงเหลือการรั้งรอใด ๆ อีกต่อไป ผมขยับยกสะโพกพี่เหยาให้สูงขึ้น  วางเรียวขาขาวพาดลงที่บนบ่าหมายใจไม่ให้พี่เหยาได้มีโอกาสขยับถอยหนีได้ตามใจ และครั้งนี้เมื่อขยับกายผ่านอีกครั้ง ผมก็ขยับยกสะโพกตัวเองขึ้น และผมก็แทบจะทนไม่ไหวเมื่อพี่เหยาส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่ทันเก็บกลั้น ผมดึงแขนของพี่เหยาที่โอบรอบคอผมอยู่ออกและฝืนบังคับจับรวบลงที่ตรงหน้า เช่นเดียวกับริมฝีปากแดง ที่ผมโน้มลงบดเบียดไม่เหลือที่ว่างให้มีเสียงใดได้มีโอกาสเล็ดลอดออกมาอีก

สองแขนของพี่เหยาบิดเกร็งพยายามเรียกร้องคืนอิสระให้กับตัวเอง หากแต่ผมก็ยังฝืนบังคับจับไว้ดึงร่างพี่เหยาให้สอดรับกับจังหวะการกระแทกกระทั้นที่มิได้ผ่อนปรนแรงลงแม้แต่นิด ตรงข้ามผมโถมทุกแรงกำลังที่มีเข้าใส่ หวังบดขยี้ หวังความลึกล้ำ หวังจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุด...หากแต่ให้ลึกล้ำเท่าไร ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าเพียงพอ...

บ่อยครั้งที่ผมเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากปลดปล่อยทุกหยาดหยดความปรารถนาที่มีสู่ความรุ่มร้อนภายในตัวพี่เหยา หากแต่ผมก็พยายามเก็บกลั้นไว้  ตราบจนเมื่อพี่เหยาพร้อม ผมจึงตามใจความปรารถนา สัมผัสความสุขทั้งหมดทั้งมวลพร้อมๆ กันกับพี่เหยา

ในลานจอดรถที่ไม่มีใครอยู่เลยนั้น มันเงียบจนน่าจะมีก็แต่ผมกับพี่เหยา และพี่เหยาก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ระหว่างที่เดินไปยังลิฟท์ พี่เหยาจึงเกี่ยวแขนคล้องกอดแขนผมและเอนซบลงที่หัวไหล่ของผม
   
“ สมองปลอดโปร่ง...ค่อยคิดอะไรออกหน่อย !” ผมพูดและพี่เหยาก็หัวเราะ
   
“ ก็จริงนี่ ก่อนหน้านี้ใครแหวกเข้ามาดูในหัวผม ต้องว่าผมเป็นตัวลามกแน่... แต่ผมว่า น่าจะพอกันแหละ ?!” ผมพูดและขยับยกไหล่ที่พี่เหยาอิงซบอยู่เป็นเชิงถามและพี่เหยาก็ยิ่งหัวเราะ

   “ หัวเราะอย่างนี้ แปลว่าจริง ?”

   “ มีใครบอกเคยบอกไหมว่าเอกพูดมาก !...ไม่โรแมนติกเลย เวลาแบบนี้เขาต้องเงียบ ๆ” พี่เหยาพูดพลางกระชับแขนที่กอดผมอยู่คล้ายจะบอกให้ผมหยุดขยับแขนเสียที

   “ ก็พี่ไงบอก! จำไม่ได้เหรอเมื่อก่อนมานั่งอ่านหนังสือห้องผม ผมพูดคำก็ว่าผมพูดมาก...ส่วนเรื่องไม่โรแมนติกนี่...พี่ชอบคนทำตาเยิ้ม ๆ เหรอ ?” ผมถามแกล้งทำตาเยิ้มใส่ และพี่เหยาก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อแหงนเงยหน้าขึ้นมามอง

   “ แล้วที่พูดอยู่เนี่ย พี่โรแมนติกมากเลยนะ !” ผมพูด ขยับแขนนึกอยากยกขึ้นโอบพี่เหยาที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด หากแต่พี่เหยากลับยื้อไว้ กอดแขนผมไว้ไม่ยอมปล่อย

   มันคงดีไม่น้อย ถ้าเราจะเดินกอดกันและกันเช่นนี้ได้ในทุกที และทุกเวลาที่เราต้องการ ไม่ใช่เพียงในที่ ที่ลับตาคนเช่นนี้

   ภายในลิทฟ์ ผมมองดูเงาตัวเองกับพี่เหยาที่สะท้อนอยู่ที่ประตูลิฟท์ พี่เหยายังสอดแขนคล้องแขนผมอยู่ นานครั้งผมก็ก้มจูบพี่เหยาที่หน้าผาก และพี่เหยาก็ยิ้มรับ

   เราต่างเริ่มอยู่ในความเงียบ ที่คงไม่ใช่ความโรแมนติก ตัวเลขบอกลำดับชั้นที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นตัวบ่งบอกว่า เวลาที่เราจะได้ยืนกอดกันและกันอยู่นี้กำลังจะจบลงในอีกไม่นาน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราจะยืนกอดกันอย่างนี้ไม่ได้อีก และในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราก็ต้องแยกย้ายกันไปอีก ผมจะมีโอกาสก็แต่ฟังเสียงพี่เหยาผ่านทางสายโทรศัพท์เท่านั้น

   ผมมองดูพี่เหยาจากภาพเงาที่สะท้อนจากประตูลิฟท์ และพี่เหยาก็กำลังจ้องมองตอบผมกลับมาเช่นเดียวกัน...ปากแดง ๆ ของพี่เหยาขยับยิ้มเมื่อผมก้มลงจูบพี่เหยาที่กระหม่อม

   ...ทั้งที่พี่เหยาก็ดูมีควาสุขดีเมื่ออยู่กับผม เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพี่เหยาไม่ได้เจือปนด้วยร่องรอยความเศร้าแม้แต่น้อย แล้วทำไมดูคล้ายพี่เหยาจะหลีกเลี่ยงที่จะมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่กับผม...ผมเริ่มกลับมาคิดอีกครั้ง เมื่อเวลาที่จะได้ยืนกอดพี่เหยาอยู่นี้เหลือน้อยลงทุกที

   แต่แรกเริ่ม พี่เหยาก็ดูกระตือรื้อร้นดีกับธุรกิจที่จับมือร่วมกันทำ เรื่องขยายสาขาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันถูกวางไว้แต่แรกเริ่มตั้งแต่พี่เก่งออกปากชักชวนเรื่องสาขาทางภาคอีสาน ตั้งแต่เรารู้ว่าสักวันไอ้รงค์ต้องย้ายตัวเองไปอยู่บ้านแฟนมันที่เมืองจัน และด้วยจำนวนคนที่จับคู่กันอย่างลงตัวที่จะเป็หัวเรือคอยดูแลจัดการแต่ละสาขาในสามจังหวัดนั้น พี่เหยาน่าจะรู้ว่าวันหนึ่งพี่เหยาต้องลงมาช่วยอย่างเต็มตัว...พี่เหยาน่าจะตกลงปลงใจไว้แต่แรกแล้วว่าวันหนึ่งพี่เหยาต้องส่งผ่านงานที่บ้านให้ฟงหรือพี่คิม...หากแต่วันนี้ดูพี่เหยาคล้ายจะไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด

“ ก่อนมา พ่อพี่พูดถึงเอกทั้งวันเลยนะ...ป๊าบอกว่าเอกเก่ง อายุเพิ่งเท่านี้ทำได้ตั้งขนาดนี้ ” แล้วพี่เหยาก็พูดขึ้นทั้งยิ้มขำ ที่เมื่อครู่ใช้แขนเพียงข้างหนึ่งเกี่ยวคล้องแขนผมไว้ พี่เหยาก็โอบกอดไว้ทั้งสองแขน
 

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
“ จริงสิ  !?”  ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องถามออกไป หากแต่จริง ๆ มันไม่ใช่การร้องถามเพื่อเอาคำตอบ เพราะความจริงแล้วมันเป็นแค่การอุทานออกมาด้วยความดีใจ และแม้ไม่ต้องเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนจากประตูลิฟท์ ผมก็รู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มจนหน้าน่าจะบานเท่ากระด้งเลยกระมัง

หากเรามีใครสักคนที่เรารัก คงไม่มีอะไรจะน่าภาคภูมิใจเท่าการที่ทำให้คนที่เรารักภูมิใจ

ยิ่งสำหรับผมด้วยแล้ว อดีตที่ผ่าน ๆ มา มันทำให้ผมกังขาอยู่เสมอ อะไรทำให้พี่เหยาเลือกที่จะรักผม...และเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ บางคราบบางคราผมจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล ยิ่งท่าทีของพี่เหยาวันนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งกังวลใจ

ตอนนี้เมื่อพี่เหยาพูด...ป๊าบอกว่าเอกเก่ง...ผมจึงอดไม่ได้ที่จะดีใจ

เวลานี้ที่พี่เหยากอดผมไว้ด้วยสองแขน...ผมมองเห็นความภาคภูมิใจในดวงตาของพี่เหยาที่จับจ้องมองผม เห็นมันในรอยยิ้มของพี่เหยา ... แล้วจะไม่ให้ผมดีใจได้อย่างไร

“ ป๊ายังบอกเลยว่าเสียดายที่เอกอายุน้อยไปนิด...” พี่เหยาพูดและหัวเราะออกมาคล้ายกำลังนึกคิดอะไรอยู่

   “ ทำไม ?” ผมถามและอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นพี่เหยาหัวเราะอย่างนั้น

   “ ก็ท่าทางป๊าอยากจะได้เอกเป็นลูกเขยน่ะสิ  ” พี่เหยาพูดยังหัวเราะขำ สองมือที่เกาะเกี่ยวผมไว้ ก็ยิ่งกระชับแน่น คล้ายบ่งบอกความเป็นเจ้าของ

   “ ก็เป็นอยู่แล้วนี่ ป๊าพี่ไม่รู้เอง !” ผมบอกและพี่เหยาหัวเราะ และผมก็อดใจไม่ได้ที่จะก้มลงจูบปากแดง ๆ ที่กำลังหัวเราะอยู่นั้นอีกครั้ง

   เมื่อละริมฝีปากจาก พี่เหยาก็ยังมองผมและยิ้ม ...  แล้วอะไรที่ทำให้พี่เหยาลังเล ...ผมนึกถามตัวเองแต่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นเดิม

   เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิด ความกังวลเดิม ๆ อีกครั้ง ผมก็เผลอตัวถอนหายใจออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งที่ปากยังไม่หยุดขยับยิ้มเสียทีเดียว

   ตัวเลขบอกลำดับชั้นมันก็บอกว่าเวลาเหลือน้อยลง ๆ เรื่อย ๆ

   “ คิดอะไร ?” พี่เหยาร้องถาม ยังมีรอยยิ้มอยู่บนปากแดง ๆ เช่นเดิม หากแต่เพียงสักพัก ดวงตาของพี่เหยาที่มองดูผม มันก็คล้ายจะบอกว่า พี่เหยารู้แล้วว่าอะไรที่ผมกำลังคิด รอยยิ้มที่ปากแดง ๆ ของพี่เหยามันก็เริ่มที่จะจางไป

   “...คิดว่า...” อีกครั้งที่ผมถอนหายใจออกมา เพราะนึกไม่ออกว่าจะโกหกว่าอะไรดี ไม่อยากพูดความจริง ยังอยากให้พี่เหยายิ้ม อยากให้พี่เหยาหัวเราะ

   พี่เหยาไม่ต้องการคำตอบที่แท้จริง...ผมรู้ เพราะสีหน้าและดวงตาของพี่เหยามันบอกผมว่าอย่างนั้น
   “คิดว่า...ทำไมเสียงลิฟท์มันดังจัง...” ผมหาคำตอบได้ในที่สุด และพี่เหยาเพียงพยักหน้ารับ

   ผมรู้ว่าพี่เหยารู้ว่าผมหลบเลี่ยงที่จะตอบ เหมือนที่ผมรู้ว่า พี่เหยารู้ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร...

   แล้วพี่เหยาก็คลายแขนที่กอดเกี่ยวแขนผมออกเมื่อประตูลิฟท์เลื่อนเปิดออกช้า ๆ ... หมดเวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพังแล้ว...ผมบอกตัวเอง

   ผมปล่อยให้พี่เหยาเป็นฝ่ายเดินนำออกไป ส่วนผมก็เดินตามและครุ่นคิดพยายามหาคำตอบให้ตัวเองอีกครั้งว่าทำไมพี่เหยาถึงไม่อยากที่จะมาอยู่กับผม

   ฟงเรียนจบแล้ว พี่คิมก็เรียนจบแล้ว และต่างก็กลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวแม้ไม่ใช่สาขาวิชาที่เรียนมา

   ...แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ? ...ผมคิดและตอบตัวเองไม่ได้

   “ เอก !” พี่เหยาเรียกเพราะ ในขณะที่พี่เหยาเดินลัดเลี้ยวไปอีกทาง ผมกลับหมกหมุ่นอยู่กับการครุ่นคิดและยังเดินตรงไปข้างหน้า

   ดูคล้ายพี่เหยาจะกัดริมฝีปากตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะเผลอตัวร้องถามผมว่า...คิดอะไร?...และผมนึกรู้ว่าถ้าพี่เหยาร้องถามออกมา ครั้งนี้เสียงพี่เหยาคงแฝงรอยดุ คิ้วที่ขมวดอยู่ของพี่เหยามันบอกผมอย่างนั้น

   ฟงรออยู่ที่หน้าประตูห้อง หากแต่ไม่ใช่ในสภาพที่ผมคิด

   น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางสายโทรศัพท์นั้น ไม่ได้บอกสักนิดถึงอาการมึนเมา หากแต่สภาพฟงที่มองเห็นในเวลานี้กลับนั่งพิงประตูหลับ คอพับคออ่อน

   กลิ่นเหล้าไม่แรงนัก หากแต่พี่เหยาใช้เท้ายกเตะเท่าไหร่ฟงก็ไม่ตื่น

   “ อย่างนี้ เตะยังไงก็ไม่ตื่นมั้งพี่ ” ผมบอก หลังจากยืนมองดูพี่เหยาเตะฟง

   “ เมาขนาดนี้แล้วมันขับรถกลับมายังไง !” พี่เหยาบ่นพึม ก่อนแตะเข้าให้แรง ๆ อีกที

   “ไม่ได้เอารถไปมั้งพี่ ถึงบอกให้แวะรับ ”

   “ แล้วเพื่อนมันไปไหน พามาส่งแล้วทิ้งไว้อย่างนี้เนี่ยนะ !” พี่เหยาพูดพลางเลี้ยวมองซ้ายขวาอย่างกับหวังเจอเพื่อนฟงยืนอยู่

   “ ขึ้นรถกลับมาเองมั้ง ” ผมออกความเห็น

   “ เมาอย่างนี้แล้วยังให้กลับเองเนี่ยนะ !” พี่เหยาก็ยังขัดความเห็นผมเช่นเดิม

   “ไม่รู้สิ...ฟงตื่นแล้วพี่ค่อยถามแล้วกัน ” ผมตัดบท

   “ เมาอย่างนี้ มันคงจำอะไรได้หรอก นี่ถ้าป๊าเห็นนะ !” พี่เหยาพูดและถอนหายใจก่อนทำท่าจะยกเท้าขึ้นแตะฟงอีกที หากแต่ครั้งนี้ผมยกแขนกันไว้ซะก่อน

    “ พี่เปิดประตูก่อน เดี๋ยวผมเอาฟงไปเอง...” ผมบอก เพราะขืนช้ากว่านี้ผมว่าพรุ่งนี้ตื่นมาฟงคงมีรอยช้ำเต็มตัวแน่

“ นี่ถ้าพี่มาคนเดียว โดนมันทับตาย ” ผมบอกเมื่อเอาแขนฟงพาดบ่าผมและพยุงให้ลุกยืน ตอนเจอกันครั้งแรกฟงก็สูงเลยหน้าผมไปแล้ว  หากแต่ตอนนั้นยังผอม ไม่ได้ทั้งสูง ทั้งใหญ่ขนาดนี้   ที่ผมกำลังยืนหิ้วปีกฟงอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้สบาย ๆ

“ ก็ปล่อยมันนอนหน้าห้อง !” พี่เหยาบอกก่อนหันมาตบหัวฟงเข้าอีกที และผมต้องรีบยกมือขึ้นป้องไว้เพราะพี่เหยาทำท่าจะตบเข้าอีกหน

“ ทำไม เดี๋ยวนี้ฟงเกเรเหรอ ?” ผมถาม เพราะดูจากท่าทีของพี่เหยาแล้ว ไม่น่าจะใช่ครั้งแรกที่ฟงเป็นแบบนี้ และพี่เหยาก็ขยับปากคล้ายจะตอบหากแต่ก็เปลี่ยนใจ ทำเพียงเปิดประตูกว้างและเบี่ยงหลบให้ผมพาฟงเข้าไปก่อน

“ หลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ปล่อยให้นอนที่โซฟาดีไหม ?” ผมถามความเห็นหากแต่ไม่รอคำตอบ ผมก็พยุงฟงให้ล้มตัวนอนลงบนโซฟาตัวใหญ่

“ ดี น้ำก็ไม่อาบ ปล่อยให้นอนตรงนี้แหละ !”

“ อือ...ในห้องจะได้มีแต่พี่กับผม...” ผมก้มลงกระซิบแผ่ว เพราะเมื่อฟงเมาหลับไม่รู้เรื่องอย่างนี้ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจอีกต่อไป หากแต่ดูพี่เหยาจะสน เพราะพี่เหยามองหน้าผมก่อนหันไปมองฟงและหันกลับมามองผมอีกครั้งพร้อมส่ายหัว

“...นะ ?” ผมร้องขอก่อนโอบแขนรอบเอวพี่เหยาและดึงรั้งพี่เหยาเข้ามากอด

“ นะครับ?...ไม่เจอกันตั้งนาน ยังไม่หายคิดถึงเลย...” ผมรบเร้าและพี่เหยาก็ยอมตามใจในที่สุด

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า รสสัมผัสที่เพิ่งจบไปเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมานั้น มันเป็นรสสัมผัสที่ดึงดัน รุนแรงเอาแต่ใจ สนองตอบก็แต่อารมณ์ปรารถนาภายในใจที่ถูกเก็บกักเอาไว้เพราะไม่ได้พบหน้ากันนานกว่าเดือน หากแต่รสสัมผัสในเวลานี้นั้นตรงกันข้าม มันนุ่มนวล เชื่องช้า คล้ายพยายามจะจดจำทุกร่องรอยการสัมผัส เพื่อจะได้คิดถึงมันได้อย่างชัดเจนในช่วงเวลาที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันและต้องจมจ่อมอยู่กับความคิดถึงอีกครั้ง

แม้จะยังไม่อิ่มเอมในรสสัมผัส  และแม้พี่เหยาจะไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม หากแต่ผมก็บอกให้ตัวเองพอ ให้พี่เหยาได้พักบ้าง

ผมนอนโดยโอบสองแขนกระชับกอดพี่เหยาไว้จากด้านหลังและบ่อยครั้งที่โน้มจูบพี่เหยาเบา ๆ บนปลิวผมเส้นเล็ก ๆ  บนแก้มแดง ๆ  บนต้นคอและไหล่ขาวๆ...และทุกครั้งที่ผมทำอย่างนั้น พี่เหยาก็จะกระชับมือที่กอบกุมมือผมอยู่ แม้ไม่เห็นหน้า หากแต่ผมก็รู้ว่าพี่เหยากำลังยิ้ม

“ พี่คิดอะไรอยู่ ?” ผมถาม แม้พี่เหยาจะนอนนิ่งไม่ขยับไหว แต่ผมรู้ว่าพี่เหยายังไม่หลับ

“ เปล่า...” พี่เหยาตอบเบา ๆ ลูบมือบนแขนของผม ผมจึงกระชับแขนกอดพี่เหยาให้แน่นขึ้น

“ จะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว...” พี่เหยาพูดพลางหัวเราะ หากแต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนหรือหลีกหนีจากอ้อมแขนผมสักนิด

“ ก็คิดถึงนี่นา...อยากนอนกอดพี่แบบนี้ทุกคืนจัง  ”

“ ไม่ต้องพูดเลย รู้น่าว่าคุยอะไรกับวิทย์  ”

“ คุยอะไร ?” ผมถามก่อนจะนึกได้

“ อ๋อ ที่บอกว่าเสียไอ้รงค์ไปเป็นเขยเมืองจันก็ต้องเอาพี่มาเป็นสะใภ้คนเมืองแทน ไม่ให้เสียดุลการค้าน่ะเหรอ ?” ผมพูด และหัวเราะ เมื่อพี่เหยาขยับศอกกระทุ้งเข้าให้ที่ท้อง

“ มันพูดเล่นแต่ผมคิดจริงนะ !”

“ พอเลย ! นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ?”พี่เหยาตัดบทคล้ายจะเลี่ยงอีกเช่นเคย

“ พี่นอนเหอะ ...ผมไม่กวนแล้ว ” ผมบอก เมื่อพี่เหยาแสดงออกเด่นชัดว่าไม่ต้องการพูด ผมก็บอกตัวเองให้ยุติบทสนทนาเสียก่อน โน้มตัวจูบพี่เหยาเบาๆอีกครั้งพร้อมคลายอ้อมแขนออก ปล่อยให้พี่เหยานอนพัก..
.
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แม้ง่วงหากแต่ก็ฝืนทนเอาไว้ เพราะผมไม่อยากหลับตาลง...ไม่อยากปล่อยสติให้หลุดลอย ยังอยากรู้สึกถึงสัมผัสที่มีพี่เหยานอนอยู่ในอ้อมแขน...นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่พี่เหยาค่อยขยับตัวเบาคล้ายจะกลัวผมตื่น

“ ไปไหน ?” ผมถาม กระชับอ้อมแขนอีกครั้ง รั้งพี่เหยาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น

“ ยังไม่หลับอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ทำงานไม่ไหวหรอก...”

“ พี่จะไปไหน ?”

“ไปล็อคห้อง...เมื่อกี้ยังไม่ได้ล็อค เดี๋ยวเกิดฟงตื่นก่อน ”

“ เมาขนาดนั้น ไม่ตื่นง่าย ๆ หรอก ” ผมบอก พลางเหนี่ยวแขนรั้งให้พี่เหยานอนลงอีกครั้ง  หากแต่ดูพี่เหยายังกังวล

“ พี่นอนเหอะ เดี๋ยวผมไปล็อคเอง ” ผมบอกก่อนลุกขึ้นเดินไปล็อคประตูห้อง และเมื่อหันกลับมาผมก็ต้องชะงัก เพราะสายตาของพี่เหยาที่นั่งจับจ้องผมอยู่
 
มันเป็นดวงตาที่สัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่ยากเย็นนัก หากแต่ปนเปกับริ้วรอยความกังวลที่เด่นชัดพอ ๆ กัน ... และการถูกจับจ้องเช่นนั้น มันก็เพิ่มความกังวลให้กับผมอย่างมิอาจห้ามได้

“ พี่นอนไม่หลับเหรอ ?” ผมถามพร้อมกับถามตัวเองในใจว่าอะไรทำให้พี่เหยาจ้องมองผมอย่างนั้น

“ เปล่า...เอกล่ะ ?” พี่เหยาส่ายหน้า ตาก็ยังจับจ้องผมที่ล้มตัวนอนลงข้าง ๆ

“ เปล่า...” ผมตอบดึงแขนพี่เหยาเบา ๆ ให้ล้มตัวลงนอน

“ ผมไม่อยากหลับ...หลับแป๊บเดียวก็เช้าแล้ว เสียดายเวลา...อยากกอดพี่อยู่อย่างนี้มากกว่า ” ผมบอกและโอบแขนกระชับดึงพี่เหยาเข้ามากอดไว้อีกครั้ง...

มันเป็นความจริง...เพราะเมื่อนึกรู้ว่า อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงพี่เหยาก็ต้องไป...ผมก็ไม่อยากให้เวลาเช้ามาถึง ... ไม่อยากหลับ เพราะกลัวว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วจนเกินไป

“ นอนไม่หลับผมร้องเพลงกล่อมเอามั๊ย ? ...” ผมถาม และไม่รอคำตอบ ผมก็ฮัมเพลงเบา ๆ ในคอไม่สนใจเสียงหัวเราะของพี่เหยา

“ เชิญเลยมาแอ๋วเชียงใหม่ มาเป็นขวัญใจของผม...คนเมือง ” ผมฮัมเพลงเดิม ๆ ... ไม่ได้หวังชักนำให้กลับมาสู่บทสนทนาเดิม ๆ  หากแต่ผมร้องมันออกมา เพราะใจผมนึกถึงก็แต่เรื่องนี้เท่านั้น

“ ถ้ากอดทุกคืน เอกไม่เบื่อเหรอ ?” พี่เหยาถามเบา

“ เบื่ออะไร ?” ผมถามกลับ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพี่เหยาหมายถึงอะไร หากแต่ผมไม่เข้าใจ อะไรทำให้พี่เหยาคิดถามอย่างนั้น
“ ก็...”

“ ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้เหรอพี่...คนรักนะ ไม่ใช่...”

“ไม่ใช่อะไร ?”

“ไม่รู้สิ...นึกไม่ออก ...แต่พ่อผมยังไม่เบื่อแม่...ป๊าพี่ก็ไม่เห็นเบื่อหม๊า...”

“ นั่นมันครอบครัว อยู่ด้วยกัน มีลูกด้วยกัน...เป็นครอบครัว เบื่อยังไงก็ต้องอยู่ ”

“ มันต่างกันตรงไหนล่ะพี่  ?”

“ แล้วมันไม่ต่างกันตรงไหนล่ะ ?”

“ ก็....ไอ้ที่มีลูกกันเป็นโขยง อยู่ด้วยกันจนหัวหงอกแล้วหย่ากันมีออกถมไป...ครอบครัวมันไม่ได้หมายถึงแค่ต้องมีลูกที่ไหนล่ะ ! เอาว่าถ้ารักมันก็ไม่เบื่อหรอก ... ”

“ แล้ว...เกิดวันไหนถ้าไม่รักขึ้นมาล่ะ ?”

“ ใครไม่รักใคร?...ผมเนี่ยนะไม่รักพี่ พี่มากกว่ามั้ง ?”

“ ไม่รู้สิ...”

“ อ้าว !”

“ ก็พูดทำไมล่ะ ?”

“ พี่รู้ไหม...ถ้าพี่เป็นผู้หญิง ถ้าเราแต่งงานกันได้...วันนี้ผมขอพี่แต่งงานมาร้อยรอบแล้ว  แล้วพี่ก็ปฏิเสธผมครบร้อยเหมือนกัน...” ผมพูดด้วยเสียงที่แข็งขึ้น อาจเพราะวันนี้ผิดหวังมามากพอ ผมจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป

ภัคD

  • บุคคลทั่วไป
“ เปล่า !...ไม่ใช่...”

“ ไม่ใช่ยังไง ?...วิธีการปฏิเสธมีตั้งเยอะ...พี่จะบอกว่าต้องช่วยที่บ้านก็ได้...ทิ้งงานที่บ้านไม่ได้ก็ได้...แต่ที่พี่พูด พี่ถาม  มันเหมือนแค่พี่ไม่อยาก...”

“ ไว้จะสั่งทำตุ๊กตายางส่งมาให้ !” พี่เหยาตอบกลับมาด้วยเสียงที่เริ่มแข็งเช่นเดียวกัน

“ ดี...เอาแบบไม่ขี้โมโห ไม่เอาแต่ใจด้วยนะ...เบื่อ !”

“ งั้นก็ไปหาคนอื่นแล้วกัน ”

“ ก็กำลังหาอยู่ !”

“ ช่างเหอะ ! ไม่อยากก็ไม่อยาก ...นอนเหอะ  ผมง่วงแล้ว ” ผมตัดบท เมื่อเห็นว่าการถกเถียงกันเช่นนี้ มันดูจะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

“ เอก...”

“ นอนเหอะ !”

“ ผมง่วงแล้ว ” ผมบอกอีกครั้งเมื่อพี่เหยาขยับตัวคล้ายยังอยากจะพูดอะไร และโดยไม่ตั้งใจ เมื่อพูดเสร็จ ผมคลายอ้อมแขนที่กอดพี่เหยาไว้และขยับตัวหันหลังให้พี่เหยา

ผมไม่ได้หลับอย่างที่บอกพี่เหยาว่าผมง่วง หากแต่ยังคงนอนครุ่นคิด และคงหมกหมุ่นอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงพี่เหยาขยับตัว ได้ยินอีกครั้งก็เมื่อเสียงประตูห้องโดนปลดล็อค

“ ไปไหน ?” ผมถามหากแต่คราวนี้พี่เหยาไม่ตอบ

“ เขยิบหน่อย !” ผมได้ยินเสียงพี่เหยาดังลอดมาจากอีกฝั่งของประตู

“ บอกให้เขยิบ !” เสียงพี่เหยาแข็งขึ้นอีกนิด ก่อนจะตามด้วยเสียงดังตุ๊บใหญ่ ไม่ต้องเห็นด้วยตาผมก็นึกรู้ได้ว่าป่านนี้ฟงคงหล่นลงมานอนอยู่บนพื้นแล้ว

“ พี่กลับเข้าไปนอนในห้องเหอะ !” ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินออกมาบอกพี่เหยาก่อนเดินกลับเข้าห้องและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่

ผมรู้ว่าพี่เหยาไม่ได้เดินตามเข้ามา และรู้ว่าพี่เหยาคงรู้ว่าผมจะทำอะไร พี่เหยาคงนั่งอยู่ที่เดิม เพียงนั่งมองเงียบ ๆ แม้ผมจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป

ผมถามตัวเองว่า ผมกำลังจะทำอะไร...

ผมมีสิทธิ์ที่จะร้องขอพี่เหยา แล้วทำไมพี่เหยาจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรย่อมเป็นสิทธิ์ของพี่เหยา...

ผมหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้น หากแต่เพียงแค่การเริ่มต้น ผมก็ทำให้พี่เหยาเห็นแล้วว่า มันคล้ายจะเป็นข้อขัดแย้งและจบลงที่การหันหลังให้กันอย่างไร้เหตุผล แล้วผมจะกล่าวโทษอะไรพี่เหยาได้ที่พี่เหยามมองผมด้วยสายตาสับสนและหวาดกลัว

...เอกจะไม่เบื่อเหรอ ?...คำถามที่พี่เหยาถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อผมเริ่มต้นเอ่ยปากร้องขอ มันไม่ใช่หน้าที่ของผมหรืออย่างไรที่จะตอบคำถามนั้นของพี่เหยาให้ได้ ทำให้พี่เหยามั่นใจให้ได้  และหากทำไม่ได้ คนที่บกพร่องคงจะเป็นผม และผมก็ไม่มีสิทธิ์จะกล่าวโทษอะไรพี่เหยาได้เลย

ผมเปิดประตูห้องออกไปอีกครั้ง และพี่เหยาก็นั่งอยู่อย่างที่ผมคิด พี่เหยาจับจ้องมองดูผมโดยไม่พูดอะไรเลย...หากแต่ผมก็เห็นรอยผิดหวังในดวงตาที่กำลังจับจ้องมองดูผมอยู่

“ ผมขอโทษ...มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย...พี่กลับเข้าไปในห้องเถอะนะ ”  ผมบอกพี่เหยาเบา ๆ เมื่อทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ 

“ นะครับ ?...” ผมถามอีกครั้งเมื่อพี่เหยายังนั่งนิ่ง ตาก็ยังจับจ้องที่ผม

“ นะครับ ?...เข้าไปคุยกันในห้อง เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย แต่ถ้าพี่ไม่อยากคุย ก็ไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องแต่เช้านี่...”

ผมรู้ในใจของพี่เหยาคงมีบาดแผลอยู่มากมาย บางเรื่องผมรู้ หากแต่คงมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้และอาจไม่มีวันได้รู้

คงมีมากมายอีกหลายเรื่องที่พี่เหยาเลือกที่จะเก็บมันไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ รวมทั้งผม

ดังนั้นเมื่อหวังจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน...ผมต้องยอมรับและเข้าใจ แม้จะปราศจากซึ่งการรับรู้ใด ๆ เลย...

ผมรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เหยา...มันเป็นความความสัมพันธ์ที่ไร้ซึ่งหลักยึดเหนี่ยว หากวันหนึ่งความรู้สึกจืดจาง เราจะไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ทางกฎหมาย ไม่มีสังคมเป็นพยาน ร่วมอวยพรและไม่มีวันมีสายเลือดสืบสานความสัมพันธ์ระหว่างเรา...หากเราจะอยู่ด้วยกันจนถึงลมหายใจสุดท้ายของกันและกันนั้นย่อมเนื่องด้วยความรักที่เรามีต่อกันเท่านั้นจริง ๆ

...สำหรับตัวผม ผมรู้ผมไม่มีวันรักพี่เหยาน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่มีวันเลยจริง ๆ หากแต่สำหรับพี่เหยา ดูคล้ายหลาย ๆ อย่างที่เคยผ่านมาในชีวิต ทั้งที่ผมรู้ ที่ยังไม่รู้และอาจจะไม่มีวันล่วงรู้เลยนั้น มันทำให้พี่เหยาหวาดกลัว

...ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้นะเอก...สิ่งที่พี่เหยาเฝ้าพูด มันไม่ได้บอกผมอยู่หรืออย่างไรว่าพี่เหยากลัว กลัวความไม่มั่นคง มันไม่ได้บอกหรืออย่างไรว่าพี่เหยาก็หวังถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานมิใช่เพียงฉาบฉวย พอหมดรักก็หันหลังจาก

เพราะพี่เหยาหวังในสิ่งเดียวกัน เพราะพี่เหยาผ่านเจออะไรมาหลาย ๆ อย่าง พี่เหยาจึงหวาดหวั่นและขลาดกลัว...มันเป็นหน้าที่ของผม ที่จะต้องทำให้พี่เหยาเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างเราให้ได้...ทำให้พี่เหยาเชื่อมั่นในตัวผม ว่าความรักของผมจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนอย่างแน่นอน... ถ้าผมทำไม่ได้ มันย่อมเป็นความบกพร่องในตัวผม ไม่ใช่ความผิดของพี่เหยาเลย...ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธหรือไม่พอใจ ตรงข้ามอย่างน้อยผมควรจะยินดี เพราะความหวาดหวั่นของพี่เหยานั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าพี่เหยาเองก็จริงจังเพียงไรในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันนี้...

“ กลับเข้าไปในห้องนะครับ ?” อีกครั้งที่ผมพูดและครั้งนี้ผมจับแขนพี่เหยาเบา ๆ ค่อย ๆ ดึงให้พี่เหยาลุกขึ้นเดินตามผม เพราะผมรู้ในเวลาอย่างนี้ หากรอให้พี่เหยาตัดสินใจด้วยตัวเอง พี่เหยาจะเลือกนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

“...เอกรู้หรือเปล่า ของอย่างนี้มันเบื่อกันได้...”  พี่เหยาพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ ของแบบไหน ?” ผมถาม

“ ก็ถ้าอยู่ด้วยกันทุก ๆ วัน...วันนี้ไม่เบื่อ พรุ่งนี้ก็อาจเบื่อ...”

“ ทำไมพี่คิดอย่างนั้น ?” ผมถาม หากแต่พี่เหยาไม่ตอบ

“พี่...” ผมอยากจะบอกพี่เหยาว่ามันแตกต่างระหว่างผมและคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพี่เหยา ... คนที่เสพติดรสชาติของสัมผัส  ลุ่มหลงดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์ปรารถนา แสวงหาก็แต่ความแปลกใหม่ ...มันแตกต่าง เพราะผมไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านั้น...ผ่านมาไม่ว่าจะกี่ปีต่อกี่ปี คนเดียวที่ผมต้องการก็คือพี่เหยา...มันไม่ใช่ความหมายของความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายรวมถึงทั้งหัวใจ ทั้งความรู้สึก แม้กระทั่งชีวิตที่เหลืออยู่ของกันและกัน...ผมต้องการมันทั้งหมดหากแต่ผมก็ไม่อาจพูดออกไปได้ เพราะผมรู้  คำพูดนั้นจะทำร้ายพี่เหยา...คำพูดเหล่านั้นล้วนเกี่ยวพันกับบาดแผลในอดีต

“ มันต่างกัน...เพราะผมรักพี่...” ในที่สุดผมก็พูด...พูดเท่าที่จะพูดได้

“ ผมไม่ได้รักแค่ผิวขาว ๆ ของพี่ ” ผมพูดพลางไล้ปลายนิ้วไปบนแขนขาวๆ ของพี่เหยา

“ ไม่ได้รักแค่ปากแดง ๆ” ผมพูดก่อนจูบเบา ๆ ที่ปากแดงๆ ของพี่เหยา

“ ถ้าพี่กลัวผมเบื่อ แล้วเมื่อไหร่ละพี่ถึงจะรู้ว่า ผมไม่มีวันเบื่อ...พี่ก็รู้ อย่างเดียวในโลกที่หยุดเปลี่ยนแปลงก็คือคนตาย...”

“ หรือพี่จะรอให้ถึงวันนั้น แล้วพี่ถึงจะเชื่อว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยน?...เชื่อว่าผมไม่มีวันเบื่อ...เชื่อว่าผมรักพี่ ?”
 “ ผมไม่รู้ว่าพูดยังไง ถึงจะทำให้พี่เชื่อได้...แต่...” ผมพูดได้เท่านั้นเพราะอับจนในคำพูดจริง ๆ...ความเชื่อมั่นไม่เคยเกิดขึ้นเพราะคำพูด หากแต่การกระทำต่างหากที่ทำให้มันเกิด และเรื่องราวระหว่างผมกับพี่เหยาที่ผ่านมามันก็ทำให้ความเชื่อมั่นเหล่านั้นสั่นคลอน

“ ผมขอพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วผมจะไม่พูดถึงมันอีก...” ผมบอกก่อนก้มจูบพี่เหยาเบา ๆ ที่แก้ม เพราะผมรู้ว่า คำพูดที่กำลังจะพูดออกไปนั้นมันล้วนจะทำให้พี่เหยาเจ็บปวด ผมจึงก้มลงจูบพี่เหยา หวังเพียงปลอบประโลม หวังให้พี่เหยารู้ ว่าแม้สิ่งที่ผมเลือกจะพูดนั้นโหดร้าย หากแต่แท้จริง ผมต้องการถนอมพี่เหยาไว้แค่ไหน

“ ผมรู้ เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่พูดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว...”

“ ผมขอพูดแค่ครั้งเดียว นะครับ มันสำคัญสำหรับผม...พี่สำคัญสำหรับผม...” ผมพูดปลอบและก้มจูบเบา ๆ ที่ดวงตาที่เริ่มลื่นด้วยน้ำตาของพี่เหยา เพราะคล้ายพี่เหยาก็เริ่มรู้ อะไรคือสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

“ เรื่องที่ผ่านมามันเลวร้าย ตอนนั้นผมคิดก็แต่ว่าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแค่ความฝันพอลืมตาตื่นมันก็จบ...อยากให้พี่หายไปจากชีวิตของผม  อย่ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตผม...”ผมหยุดพูดเมื่อพี่เหยาก้มหน้าและเริ่มสะอื้นไห้ออกมา

“ ตอนนั้นมันเลวร้าย ผมเลวจนไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนอยู่ได้ยังไง ” ผมพูดและใช้มือเช็ดน้ำตาให้พี่เหยาเบา ๆ

“ พี่ขอโทษ...” พี่เหยาพูดปนสะอื้นและก้มหน้าหลูบหลบ ผมจึงก้มจูบพี่เหยาอีกครั้งก่อนประคองใบหน้าให้พี่เหยาแหงนเงยขึ้นมองดูผมอีกหน และน้ำตาที่ไหลอาบแก้มพี่เหยาอยู่ มันก็ทำให้ผมเกือบใจอ่อน ล้มเลิกความตั้งใจที่จะพูด แต่ผมก็บอกให้ตัวเองพูด

“ แต่นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน...จนถึงตอนนี้...มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ผมดีใจที่มันเกิดขึ้น ให้มันเลวร้ายกว่านั้นก็ช่าง...หรือจะเป็นยังไงผมก็ไม่แคร์ ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ มีพี่อยู่กับผมอย่างนี้...”

“ได้เป็นเจ้าของพี่อย่างนี้ ให้มันเลวร้ายยิ่งกว่าที่ผ่านมา ผมก็อยากให้มันเกิด...ดีใจที่มันเกิดขึ้น ไม่เสียใจเลยสักนิด ขอแค่มีวันนี้ก็พอ...”

“...พี่ก็เหมือนกัน...” พี่เหยาบอก และพยายามที่จะยิ้มทั้งที่น้ำตายังเต็มสองข้างแก้ม

“...ผมไม่เหมือนคนพวกนั้น...ผมรักพี่...ความรักของผมอาจจะเห็นแก่ตัว...แต่ผมอยากเป็นเจ้าของพี่...อยากเป็นเจ้าของพี่ทั้งชีวิต...มีสิทธิ์ในชีวิตของกันและกัน...ได้ไหมครับ ?...” ผมร้องขอ แต่ครั้งนี้คำตอบของพี่เหยายังคงเป็นน้ำตา แต่พี่เหยาก็กอดผมไว้
“...เมื่อก่อนตอนที่เครียดมาก ๆ  ป๊าพี่ทะเลาะกับหม๊าเป็นประจำ บางครั้งก็พูดในสิ่งที่...ไม่น่าพูด...” พี่เหยาพูดขึ้น ทั้งที่ยังกอดผมไว้แน่น และผมเข้าใจเพราะผมยังจดจำได้เสมอ บางครั้งคนเรามิได้ทำร้ายแต่เพียงคนที่เกลียดชัง หากแต่ด้วยบางครั้งแรงอารมณ์ของความโกรธ เราก็ทำร้ายคนที่เรารัก มิใช่เพียงแค่ร่างกายหากแต่ด้วยคำพูด ความเจ็บปวดใช่จะน้อยกว่ากัน

   ผมยังจำได้ ที่ผ่านมา ผมทำร้ายพี่เหยามามากมายแค่ไหน ผมจำถ้อยคำหยาบคายของตัวเองที่พูดกับพี่เหยาได้ดี จำได้ถึงครั้งที่พูดจาดูถูกทั้งที่ผมหมายมาด หวังพบเจอเพื่อเอ่ยปากขอโทษ หากแต่ที่สุดแล้ว ผมกลับเลือกใช้คำที่รุนแรงหยาบคายเพียงเพราะความโมโหที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ แล้วจะผิดอะไรหากพี่เหยาจะหวาดกลัวว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ยิ่งกว่านั้น ในวันที่ผมเอ่ยอ้างว่ารัก ว่าอยากครอบครอง ผมยังทำร้ายพี่เหยาได้ขนาดนั้น หากวันหนึ่งหมดรัก มันจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเท่าไหร่กัน

และกับคนที่ถูกทำร้าย ใช่ว่าจะมีเรี่ยวแรงกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งเสมอไป...ตัวพี่เหยาเองก็เช่นกัน พี่เหยาคงรู้ตัว หากโดนทำร้ายอีกแม้สักครั้ง พี่เหยาอาจไม่เหลือแรงกำลังจะหยัดยืน พี่เหยาจึงกลัว จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง หวังเพียงปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองต้องถูกทำร้ายอีกครั้ง

“...ผมเคยสัญญากับพี่ไว้...ผมจะรักพี่ ไม่ทำให้พี่ต้องเสียใจอีก...ผ่านมาแล้วห้าปี ผมเคยผิดสัญญากับพี่สักครั้งหรือเปล่า ?” ผมทวงถามพลางพยายามคลายวงแขนของพี่เหยาที่ยังโอบกอดผมไว้อยู่ออก พยายามให้พี่เหยายอมจับจ้องมองดูผม และไม่จำเป็นต้องรั้งรอคำตอบ เพราะผมย่อมรู้คำตอบอยู่แก่ใจ

“ ห้าปีที่ผ่านมาเป็นยังไง...อีกห้าปีต่อไปผมก็จะยังเหมือนเดิม...จะอีกกี่สิบปีข้างหน้า ผมก็จะยังเหมือนเดิม...ผมสัญญา ”ผมให้สัญญากับพี่เหยาอีกครั้ง และคงจะยืนยันคำสัญญาอยู่เช่นนั้นจนกว่าพี่เหยาจะยอมเชื่อ หากแต่ผมก็ยังไม่ทันจะบอกย้ำในในคำสัญญานั้น พี่เหยาก็พูด

“...เอกบอกว่า...จะไม่ขัดใจด้วย ?!” พี่เหยาทวงถามถึงคำสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ พี่เหยาทวงถามทั้งที่ตายังแดง ทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มสองข้างแก้ม

“ครับ !...”ผมรับคำและหัวเราะ และครั้งนี้ผมก็เป็นฝ่ายรวบดึงพี่เหยามากอดไว้ซะเอง

“...ผมสัญญา จะรักพี่...จะไม่ทำให้พี่เสียใจ...จะตามใจพี่ทุกอย่าง ไม่ขัดใจพี่” ผมย้ำในสิ่งที่เคยสัญญาและจดจำได้ดีเสมออีกครั้ง

“ อยากให้ผมสัญญาอะไรอีกหรือเปล่า ?” ผมถามและพี่เหยาส่ายหน้าหากแต่ก็ยังดูคล้ายจะลังเล

“ อะไรครับ ?”ผมถามแต่พี่เหยาก็ยังส่ายหน้าและดวงตาของพี่เหยาก็ยังฉายรอยลังเลเช่นเดิม

“...พูดมาเถอะ ผมอยากรู้พี่คิดอะไร...”

“ ห้าม...”พี่เหยาพูดเท่านั้นแล้วก็กัดริมฝีปากตัวเองไว้

“ ห้ามอะไร ?”

“ เปล่า...”

“...ห้ามอะไรครับ ?...ห้ามนอกใจใช่ไหม ?” ผมถาม มันง่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และพี่เหยาก็ทำท่าคล้ายจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ

“ ไม่หรอก !...นี่เจอพี่เดือนละหน ทนแทบตาย !” ผมบอกและพี่เหยาก็หัวเราะ แม้จะแค่เล็กน้อย หากแต่พี่เหยาก็หัวเราะออกมาได้แล้ว

“ บอกแล้วไง อะไรที่ทำให้พี่เสียใจ...ผมจะไม่ทำ !” ผมรับปากแน่นหนัก เพราะรู้และมั่นใจ นั่นคือสิ่งที่ผมจะทำได้จริง

จริง ๆ ผมยังมีอีกบางสิ่งที่ไม่ได้บอกพี่เหยา ... ผมไม่ได้บอกพี่เหยาว่า เมื่อยืนอยู่ ณ. วันนี้ บางครั้งผมนึกขอบคุณสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้าย ความสัมพันธ์เราอาจไม่ขยับเกินกว่าความเป็นพี่ เป็นน้อง...ถ้าไม่มีเรื่องเลวร้าย พี่เหยาอาจจะไม่เลือกที่จะรักคนอย่างผม ... และทุกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น มันคอยเตือนผมเสมอว่า พี่เหยาผ่านเจออะไรมา ถูกทำร้ายมามากมายแค่ไหน...ไม่มีใครรู้เลย มีก็แค่ผมที่รู้...มีก็แค่ผมเท่านั้นที่รู้ มันจึงคอยย้ำเตือนผมเสมอว่า ผมต้องถนอมพี่เหยาไว้มากมายเพียงใด
 
“ มาอยู่ด้วยกันนะครับ ... ผมสัญญา อะไรที่ทำให้พี่เสียใจ ผมจะไม่ทำ...”อีกครั้งที่ผมร้องขอ และครั้งนี้พี่เหยาก็ยิ้มรับ แม้ยังมีน้ำตา หากแต่มันก็มีความหมายแตกต่างจากน้ำตาที่รินไหลในเมื่อครู่ที่ผ่านมา...รอยยิ้มของพี่เหยามันบอกผมอย่างนั้น ... รอยยิ้มที่ผมนึกหวงแหน รอยยิ้มที่ผมสัญญาไว้กับตัวเองว่าจะปกป้อง...ผมสัญญาไว้กับตัวเองเช่นนั้นจริง ๆ... และรู้ว่าจะไม่มีวันผิดสัญญา...

จบ ... หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ

ปล. เพลงที่เอกร้องตอนแรก ชื่อเพลง หนุ่มเชียงใหม่ ...ชอบมากกก ฟังแล้วนึกถึงเอก+พี่เหยา ...ลองหาฟังดูนะค่า

pahpai

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจที่เหยาและเอกมีความสุข

ขอบคุณคุณภัก D ที่เอามาลงให้ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ตอนพิเศษที่คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ ขอบคุณ คุณภัคD ที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่าน

ออฟไลน์ CoMa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
ดีใจอ่ะมีตอนพิเศษ คิดถึงพี่เหยากับเอกสุดๆ><
เป็นเรื่องที่ประทับและอยู่ในความทรงจำเสมอ^____^
Reprint รอบนี้ต้องซื้อให้ได้!!!

azure™

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแบบหน้าเคร่งเครียดมาทั้งเรื่อง เพิ่งมายิ้มได้ตอนสุดท้าย แฮะๆ
ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆเรื่องนี้มาให้อ่านคับ ^^

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






tw.smile

  • บุคคลทั่วไป
,, อ่านจบก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ยังเป็นเรื่องที่อ่านแล้วเค้นอารมณ์ออกมาได้มากมาย
ยังยิ้ม ยังมีความสุข ยังร้องไห้ไปพร้อมกับพี่เหยาได้เหมือนเดิม
อ่านไปก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ เหตุผล ความรู้สึกของตัวละครเหมือนๆเดิม (ถึงแม้ว่าตอนนี้จะแอบเข้าใจบ้างเบาๆก็ตามที)

อ่านแล้วไม่อยากให้เรื่องนี้จบ
ตอนอ่านก็ไม่อยากอ่าน แต่ให้หยุดก็หยุดไม่ได้

ขอลงชื่อล่วงหน้า Reprint เลยค่ะ
: D

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ลุ้นซะเหนื่อยเลย
ความรักอย่างเดียวไม่พอจริง ๆ
ต้องเข้าใจและอดทนด้วย

ออฟไลน์ StillLoveThem

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +295/-10
....อ่านจบแล้ว และน่าจะเป็นรอบที่ 2  เพราะจำได้ลางๆๆ สมองพี่มันคงเลือกที่จะไม่จำเรื่องร้ายๆตอนแรกๆๆ และเลือกจำเรื่องที่มีความสุขในตอนท้าย เลยนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว แล้วทำไมไม่มีเม้นพี่วะ สงสัยตอนนั้นแอบอ่านยังไม่ได้สมัครสมาชิกแน่เลย ปี 2008 เนี่ย เอิ๊กๆไม่ว่ากันเนอะ เพราะซุ่มแอบอ่านอยู่นานเหมือนกัน
....และก็เป็นตอนพิเศษล่าสุดที่น้องคนแต่งเอามาลงเมื่อไม่กี่วันนี้เองที่ทำให้พี่ได้อ่านรอบที่ 2 เมื่อเห็นกระทู้
....เป็นนักเขียนที่เก่งมากๆๆ ถ้าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นตอนแรกๆเพราะความเลวของเอก และทอม แต่สุดท้ายพี่เหยาได้รับความรักมากมาย รวมถึง่ความซื่อสัตย์จากเอกด้วยพี่ว่ามันคุ้มเกินคุ้ม
....อ่านแรกๆสงสารในความโชคร้ายของพี่เหยาในตอนแรกๆๆ แต่ก็ยินดีและอิจฉาในความโชคดีของพี่เหยาในตอนท้ายๆที่เจอคนรักจริงอย่างเอก
....ขอบคุณที่จบมันแบบ happyending ถ้าจบร้ายๆแบบตอนแรก พี่คงเป็นอีกคนที่เกือบกระอักความทุกข์ ความเศร้าตายเหมือนกับคนอื่น
....ว่าเด็กๆดูละครเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง แล้วมันอินเกินเหตุ แต่พอมาดูตัวเอง พี่ก็เป็นเหมือนเด็กๆเลยอ่านเรื่องนี้แล้วก็อินไปกับนิยาย สุขเศร้า ไปตามบทละครที่น้องเขียน ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องดีๆๆไให้อ่าน แล้วเรื่องเด็กชายตะวัน กับพี่ชายข้างบ้านมันอยู่ตรงไหนว่าต้องไปหาอ่านก่อนนะ
:laugh:

Regina_1

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณ คุณภัคDที่ไม่ทำร้ายจิตใจคนอ่านนะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับแฮปฯเอ็นด์...เฮือก กกก -กว่าจะจบ เอาซะลำคอตีบตันไปหมด-
ขอบคุณคุณทิพย์ที่นำออริเรื่องนี้มาให้รู้จักนะคะ _/|\_
-เห็นเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะอ่านสักที และในที่สุดมิชชั่นพี่เหยาก้อคอมพลีทแล้ว...เย้!!!-

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
อ่านอีกรอบ รอบที่สามสี่เเล้วมั้ง อยากได้หนังสือเร็ว ๆ

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2545
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
เอาหล่ะ จะเม้นแล้วนะ  :laugh:

เรื่องนี้นะเป็นเรื่องที่ทำให้ผมทรมานมากๆ เพราะผมปวดหัว เครียด และ...ร้องไห้ไป 1 เดือนเต็มๆ

มันเป็นดราม่าที่หนักหน่วงมากๆ แม้ผมจะชอบนิยายประเภทนี้ แต่ก็ใช่ว่าอ่านถึงอะไรที่หนักๆและจะตบเข่าดีใจ

และแน่นอนผมยอมรับอย่างหน้าด้านๆว่าร้องมันตลอดเรื่องอ่ะ

อ่านเรื่องนี้จบมาน่าจะปีกว่าแล้วหรือ 2 ปีแล้วผมไม่แน่ใจ เรื่องนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำ

ในฐานะที่เป็นนิยายที่โศกที่สุดเท่าที่ผมเคยได้สัมผัส และภายใต้จิตสำนึก บางครั้งผมมองว่ามันไม่ใช่นิยาย

เรื่องนี้ยังคงเป็นทั้งกำลังใจให้ผมว่าเรื่องของผมคงไม่เลวร้ายและไม่มีวันเลวร้ายได้เท่านี้

และยังเป็นภูมคุ้มกันเวลาผมอ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ว่าต่อให้ตัวละครในเรื่องนั้นๆเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน

ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะเท่าเรื่องนี้ ไม่มีเลยจริงๆ

ในวันนี้ดีใจนะครับที่ได้กลับมาอ่านตอนพิเศษนี้ มันคลายปมทุกอย่างแล้วหล่ะนะ

ดีใจที่วันนี้ได้มองตัวละครนึงที่ดูเหมือนจะไม่รู็จักโตสักที ในวันนี้ตัวละครนี้โตแล้ว เลือกที่จะรักตัวละครอีกตัว

เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึก เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ และปกป้องดูแลกันและกัน

ตอนแรกกลัวที่จะอ่าน ตอนนี้อยากบอกว่าดีใจที่ได้อ่านครับ

ขอบคุณมากครับ  :pig4:

ออฟไลน์ sapphire_yaoi

  • Because A True Love Never Die
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ประทับใจตอนพิเศษมาก ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงดีขอบคุณคุณภัคD มากนะคะที่สร้างเอกกับพี่เหยามาชอบมากจริงๆไม่เคยผิดหวังกับเรื่องนี้เลยซักตอน สุดยอดมาก! o13

ออฟไลน์ PPdiary92

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 181
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-9
ขอเม้นหน่อยนะคะ
อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเม้นเลย
หลังจากที่เพิ่งสมัครบอร์ด เราอ่านรวดเดียวจบ วันเดียว เราอยากจะบอกว่า
คุณเขียนได้ยอดเยี่ยมมาก เนื้อเรื่องที่เราอ่าน มันทำให้เรารู้สึกหน่วงๆ
จะเจ็บแบบ เจ็บแบบทรมาร สงสารเหยา โกธรเหยา
เกลียดทอม และไม่มีคำว่าสงสารเลย
กับเอกเราสงสาร เราไม่เข้าใจ เรารู้สึกสับสนเหมือนกับที่เอกก็คงจะสับสน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องนี้เราสงสารเหยาและเข้าใจเหยาที่สุด
คนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเพราะเป็นลูกคนโตของครอบครัวจีน ไม่มีใครผิด และไม่มีใครถูก
สุดท้าย ขอบคุณคนที่เอามาลงให้อ่าน ขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ JokerKaorihh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พี่เหยายังคงเรียกน้ำตาจากเราได้เหมือนเดิม พี่เหยายิ้มเราก็ยิ้ม

เป็นเรื่องที่ชอบมาก อ่านบ่อยมาก ตอนที่ได้อ่านแรกๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมาเกือบสี่รอบ

จริงๆไม่ใช่นิยายแนวที่ปอชอบอ่านเลยสักนิด แต่อ่านแล้วก็หยุดไม่ได้ตลอดเลย

อ่านตอนพิเศษแล้วอิ่มเอมใจ ในที่สุดก็ยอมมาอยู่ด้วยกันแล้วเนอะ! *แต่จริงๆยังอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ*

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ leknoey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-2
รอหนังสืออยู่นะคะ อยากได้เร็วๆ จัง :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 12990

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ก่อนอื่นต้องออกตัวว่า  แค่ชื่อเรื่อง  ก็ไปแล้ว ชั่งใจอยู่นานจะอ่านดีไหม แต่ก็ได้ยินเค้าเล่ามาว่า อืม  เป็นมุมมองความรักแบบที่นิยายหลาย ๆ เรื่องหรือส่วนมากเลยไม่ค่อยได้อ้างถึง  คืออ่านไปตอนสองตอนแรกประทับใจเลยตรงภาษาที่เป็นวรรณกรรมอย่างที่นักอ่านรุ่นพี่หลาย ๆ คนได้ออกตัวชมกันอย่างนั้น ซึ่งผมก็ว่าเช่นนั่น  ทำให้เรื่องน่าอ่านยิ่งขึ้น  มันก็ติดตรงที่ตอนแรกว่าผมจะอ่านต่อไปดีไหม  ทำไมมันเศร้า ๆ จังแต่ก็พอรู้แล้วว่าเรื่องนี้หน่วงมาก ๆ แต่เมื่อเข้ามาอ่านก็คือต้องอ่านให้จบ  พออ่านไปมีความรู้สึกว่า ยาวไปไหน  แต่ละตอนเยอะมากเริ่มท้อ  แต่เนื้อหาเริ่มทวีความรุนแรงจากพายุโซนร้อนเป็นไต้ฝุ่นในตอนเดียวกัน  ต้องบอกว่าหากเปลี่ยนเป็นการเล่าในมุมมองของเหยาเรื่องอาจจะไม่ออกมาลักษณะนี้ก็ได้  อาจจะเศร้าจนแบบไม่เป็นอันต้องทำไรเลย  คือแรก ๆ แอบงงว่าเอกเคะ  แน่ ๆ แต่อ่านไปถึงเข้าใจขึ้นมา  เออน่ะ  เมะละดีแล้เพราะเหยาเคะ  คือต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเรื่องนี้ไม่เหมือนนิยายที่เคยอ่าน ๆ มาเป็นร้อย คือ ไม่ได้บ่งบอกว่าพระเอกจะต้องดีเลิศ นายเอกจะต้องมีมุมเงียบ ๆ ที่ไม่มีคนเข้าใจ  หากแต่เนื้อเรื่องตัวละครที่วางไว้นั้นลงตัวเสียยิ่งกว่าอะไรแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื้อเรื่องยังเป็นเหมือนชีวิตมนุษย์ที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ทั่วไป  ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่พร้อมสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว  หากแต่เรื่องนี้คนเขียนนำเสนอที่นักอ่านน้อยประสบการณ์อย่างผมคาดไม่ถึงว่าเรื่องอะไรที่จะเกิดขึ้นในลำดับต่อไป  เดาทางได้ยากมาก  และในความคิดเห็นส่วนตัวในเรื่องนี้นะครับ ผมไม่รู้สึกสงสารใครเลยจริง ๆ แปลกจัง  เพราะรู้สึกว่าแต่ละคนก็ทำตัวของตัวเองกันทั้งนั้น  ทำอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรมเหมือนต่างฝ่ายต่างรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย ซึ่งผลก็คือไม่มีทางออกสำหรับคำถามนั้น  แต่ผมก็ชอบตรงที่มันมีบทสรุปของทุกปัญหาได้  ในเวลาต่อมาเพราะทำให้รู้ว่าไม่ค้างคา  แต่เป็นเรื่องของเวลาที่ทำให้เป็นเช่นนั้น  ผมยอมรับเลยว่าเรื่องนี้ผู้เขียน เขียนได้อารมณ์ของนิยายอย่างแท้จริง เพราะเข้ากับชีวิตจริง ๆ ของใครหลายคนหากแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในลักษณะที่คล้ายคลึง  แต่บทสรุปอาจจะต่างแค่นั้นเอง  ต้องชื่นชมทั้งคุณภักดีและคุณทิพย์นะครับที่สร้างความบันเทิงในเล้านี้  ทำให้หลายคนดราม่าเหลือ เช่น ผมนี่ละ และแน่นอนว่าผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชมอยู่ห่าง ๆ และให้กำลังใจคุณภักดี ผลิตผลงานออกมาอีกในเร็ววัน และสิ่งดี ๆ เหล่านี้สมควรที่นักอ่านทุกคนควรได้อ่าน  ผมก็เป็นคนนึงที่จะช่วยโปรโมทนิยายเรื่องนี้ไปเรื่อย เพื่อให้นักอ่านได้พบเจอกับผลงานอันเป็น เพชรแห่งวรรณกรรม 



ขอบคุณที่เสียสละเวลาโพสให้อ่านครับ

ออฟไลน์ skynotebook

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
นึกว่าตอนพิเศษนี้จะไม่เสียน้ำตาซะอีก แต่ก็ต้องมาร้องไห้จนได้
ร้องเพราะความซึ้งและสงสารเรื่องที่ทั้งพี่เหยาแลเอกเจอเรื่องร้ายแรงมามากมาย
ตอนแรกก็งงว่าทำไมพี่เหยาไม่ยอมมาอยู่กับเอก ที่แท้เพราะเรื่องในอดีตที่ไม่ดีนี้เอง
แต่ตอนนี้พี่เหยารับปากว่าจะมาอยู่แล้วดีใจที่สุดเลย :mc4:

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
แวะมา ว่าเอกจะกินเจ ไหมปีนี้

na-au

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาอ่านรอบสอง พร้อมเพิ่มตอนพิเศษด้วย

ก็ยังมีน้ำตาอีกแล้วคู่นี้  :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ benz-sirilada

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่บีบคั้นอารมณ์มากเสียน้ำตามากมายแต่สุดท้ายก็ happyending
 ขอบคุณคุณภัค D ที่แต่งเรื่องดี ๆมาให้อ่านกันนะค่ะ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอมาลงชื่อไว้ก่อนครับ
.
.
.
ในที่สุดก็อ่านจบ
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่ให้มาครับ
ขอบคุณสำหรับความสนุกที่มอบให้
และ....ขอบคุณสำหรับการสร้างสรรตัวละครแต่ละตัวที่ทำให้รู้สึกถึง
เลือด เนี้อและจิตใจเหมือนเราได้เข้าไปอยู่กับพวกเขา

ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2012 15:14:01 โดย ordkrub »

ออฟไลน์ evz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
พออ่านเรื่องนี้จบแล้วรู้สึกยินดีกับเอกแล้วก็พี่เหยามากจริงๆที่ท้ายสุดแล้วก็ผ่านอะไรร้ายมาได้จนได้มาอยู่ด้วยกันตอนนี้
เพราะหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันหนักมากจริงๆ คนเขียนเขียนได้ดีมากๆค่ะ อ่านแล้วมันหดหู่มันทำให้อารมณ์ดิ่งลงๆเหมือนโดนโยนทิ้งลงเหว รู้สึกสิ้นหวังและหดหู่ไปตามตัวละครจนร้องไห้ไม่ออกเลย อ่านไปแล้วต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ เพราะทำใจอ่านต่อเนื่องไม่ได้จริงๆ มันค่อนข้างหนักหนาต่อความรู้สึกมาก ทั้งเรื่องตัวละครที่หนูเข้าใจมากที่สุดคงจะเป็นเอกเพราะเอกดำเนินเรื่องทุกอย่าง รับรู้ทุกความคิดของเอก คนเขียนเขียนได้สุดยอดมากๆเลยค่ะ ถ่ายถอดออกมาเหมือนเอกเป็นคนที่เราสัมผัสได้จริง มีความรู้สึกนึกคิดทั้งเรื่องดีและร้ายอย่างที่มนุษย์คนนึงจะเป็นยิ่งทำให้อินตามสุดๆเลยค่ะ เอกนี่ทำให้หนูทั้งเกลียดทั้งสงสารปนสมน้ำหน้าเลย บ่อยครั้งที่เอกชอบโมโหแล้วทำอะไรไม่คิดมันทำให้หนูนึกเกลียดเอกมาก แต่พอเอกสำนึกได้แล้วก็สงสารเอกมากแต่ก็แอบสมน้ำหน้าด้วย เหอๆ
พี่เหยาเป็นตัวละครที่หนูสงสารมากที่สุดเพราะในมุมมองของหนูถึงจะไม่รู้ที่มาที่ไปทั้งหมดแต่พี่เหยาก็เป็นผู้ถูกกระทำจากคนที่ทั้งรัก นับถือ เคารพ และศรัทธาอย่างทอม จากคนที่เป็นเหมือนน้องชายอย่างเอก พี่เหยาคงจะเจ็บปวดน่าดู สงสารพี่เหยาแต่หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่เหยาเท่าไหร่ อยากรู้เรื่องผ่านมุมมองพี่เหยาบ้าง อยากรู้ด้วยว่าพี่เหยาเริ่มชอบเอกตั้งแต่ตอนไหน เพราะถึงเอกจะทำไม่ดีกับพี่เหยาในบางทีแต่พี่เหยาก็ยอม และให้อภัย เพราะอะไรถึงชอบเอกได้ ดูจากสิ่งที่เอกกระทำต่อพี่เหยาแล้วไม่มีอะไรให้น่าชอบเอกเลยนะพี่ เหอๆ อยากเข้าใจบางอย่างผ่านมุมพี่เหยาบ้าง รวมถึงเรื่องที่ทำไมต้องใช้ยากับเอกด้วย อันนี้แอบงงจริงๆ
ส่วนทอมนี่ไม่อยากเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงคิดทำ คิดอะไรยังไงอยู่ตอนทำ แต่ถ้าเป็นเพราะอาการโรคจิต ก็อโหสิกรรมล่ะ เพราะพี่เหยาก็บอกเองว่าทอมนั้นจะเจ็บยิ่งกว่า
สุดท้ายถึงไม่ได้รู้ผ่านมุมของพี่เหยาและทอม แต่ทุกอย่างก็มีที่มาที่ไปมีบทสรุปที่ลงตัว ทำให้สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้อยู่ด้วยกัน แค่นี้ก็ดีใจกับทั้งคู่แล้วค่ะ
ขอบคุณคุณภัค Dคนเขียนมากๆเลยค่ะที่เขียนนิยายที่ทำให้เราโศกและอินไปกับเรื่องได้มากขนาด ทำเอานอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปคืนนึงเต็มๆเลยค่ะ อารมณ์จากเรื่องมันส่งผลจริงๆค่ะ นับถือคนเขียนเลย  o13
ขอบคุณคุณทิพย์มากๆค่ะ ที่นำนิยายเรื่องนี้มาโพสต์ ทำให้ได้อ่านนิยายที่อินมากๆเรื่องนึงเลยค่ะ

ออฟไลน์ Saantos

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

อ่านเม้นของคนอื่นๆแล้ว

ไม่กล้าอ่านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

กลัวร้องให้ กลัวเครียด กลัวนอยด์ แต่ก็อยากอ่าน (เอ๊ะ!!อีนี่จะเอายังไง)
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:



ออฟไลน์ kny

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1800
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-15

zerea

  • บุคคลทั่วไป
หลายอารมณ์มากเลยเรื่องนี้
แต่ก็ดีใจนะที่พี่เหยาก็เลือกเอกในที่สุด :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด