“มาซื้อกล้วยทอดครับ ร้านนี้อร่อยใช้ได้”
อาณกรขำไม่ออกกับมุกตลกของหมอหนุ่ม ชายหนุ่มร่างเล็กฝืนยิ้มให้ไป สิ่งที่ติดค้างไว้เมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาไม่อาจอยู่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้นาน เขามันเป็นคนชอบชิ่งจริงๆ อย่างที่ว่านั่นแหล่ะ
“เอ่อ เดี๋ยวผมมาดูวันหลังดีกว่าครับ”
ทว่าแผนการลอบหนีของเขามีอันต้องหยุดลงเพราะมือที่คิดว่าอยู่ห่างหลายช่วงตัวยื่นมากระชับต้นแขนเขาไว้ได้เสียก่อน อาณกรช้อนตามองเจ้าของฝ่ามือที่กำรอบท่อนแขนของตัวเองรู้สึกถึงน้ำลายที่เหนียวขึ้นมาทันที
“จะรีบไปไหนล่ะครับ เจ้าของเขากำลังช่วยหาให้ ใช่ไหมครับ” ประโยคหลังคิมหันต์หันไปถามเจ้าของร้านที่ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้กระจก
“จ้า ได้แล้วๆ เอากี่ตัวจ๊ะ” เจ้าของร้านสาวใหญ่ตอบรับพลางถามกลับ
อาณกรแทบจะนึกไม่ออกว่าต้องการใช้น็อตในการซ่อมจักรยานกี่ตัว เลยตอบไปส่งๆ ว่าสิบตัว ไม่ถึงนาที่น็อตขนาดที่ต้องการนอนนิ่งในถุงพลาสติก เจ๊เจ้าของร้านฉีกยิ้มกว้างรอรับเงินจากเขา ทว่าเขาไม่อาจล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงได้เพราะแขนถูกยึดเอาไว้ ครั้นจะเอ่ยปากขอให้เจ้าของมือช่วยปลดลงหน่อยเงินพอดีกับราคาของก็ถูกยื่นให้เสียแล้ว
“ไม่ต้องทอนนะครับ” นายแพทย์หนุ่มยิ้มสวยๆ ให้เจ้าของร้านไป เขาไม่รู้หรอกว่ามันหวานจับจิตแค่ไหนแต่เจ๊นั่นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วกำชับว่าให้มาอุดหนุนบ่อยๆ
เขาถูกคนตัวสูงกว่าลายเซ็นลากออกจากร้านค้าวัสดุ แล้วมาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงแทน คิมหันต์ยังไม่ยอมล่อยให้เขาเป็นอิสระคงกลัวว่าแค่คลายมือเขาจะวิ่งหนีหายไปอีก อยากจะบอกกับคุณหมอเหลือเกินว่าลูกไม้ของเขาไม่ได้ตื้นขนาดนั้นหรอกแค่หลอกให้หลงกลนิดหน่อยแล้วค่อยชิ่งหนีเหมือนเมื่อคราวที่แล้ว
อาณกรแสร้งนิ่วหน้าประหนึ่งว่าเจ็บเพราะแรงบีบ “ปล่อยผมได้แล้ว ผมไม่หนีไปไหนหรอก”
คิ้วหนาที่ทอดยาวจนถึงหางตายกสูง ก่อนจะเหลือบตามองมือตัวเองที่กุมอยู่รอบต้นแขนเรียว มันเรียวจริงๆ เพราะจับมาพักใหญ่แล้วเขายังไม่รู้สึกถึงกล้ามเนื้อเลยสักนิด อดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อหนุ่มบ้านไร่คนนี้ทำงานไร่ประสาอะไรถึงไม่มีกล้ามกับเขาเลย ผิดกับนายเสือที่ตัวใหญ่หยั่งกับยักษ์ปักหลั่น แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้ออกแรงมากขนาดที่จะทำให้เจ็บได้ หมอหนุ่มยกยิ้มเยาะ นี่คงเป็นแผนการเอาตัวรอดของคนเจ้าเล่ห์อีกแล้ว เขาเลยเลื่อนมือลงมาที่ข้อมือเล็กแทน ต้นแขนที่ว่าเรียวแล้วข้อมือกลับเล็กยิ่งกว่าจนนิ้วของเขากำเลยรอบด้วยซ้ำ คุณอาของพิกเร็ตเผลอขืนตัวโดยอัตโนมัติ
“เอ่อ ผมต้องรีบไปรับพิกเร็ตโรงเรียนจะเลิกแล้ว”
“ทำไมเลิกเร็วจัง”
“เอ่อ เด็กอนุบาลจะเลิกเร็วกว่าเด็กโตครับ เลิกตอนบ่ายสามโมง”
เขาไม่ได้ถามอะไรเพียงแต่มองหาความผิดปกติในดวงตาสวยหวานของอีกฝ่าย คราวนี้ดูท่าจะเป็นความจริงเพราะอาณกรไม่หลบตา
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน”
“ทำไมต้องไปด้วยกัน” คุณอาตัวเล็กร้องเสียงหลง พยายามบิดมือให้หลุดจากอุ้งมือของเขา
“เพราะผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณไง ลืมไปแล้วหรือไงว่าเรายังคุยกันไม่จบ”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“กลัวหรือไง”
“ห๊ะ! คุณว่าอะไรนะ”
คิมหันต์ยกยิ้มที่มุมปากอาจจะไม่หวานหยดเท่าที่ยิ้มให้กับเจ๊เจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างแต่ก็มีเสน่ห์เสียจนคนมองหัวใจกระตุกได้ ใบหน้าหล่อเหลาคมสันแต่ขาวสะอาดก้มต่ำลงมาจนสัมผัสถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่แตะโดนผิวแก้ม
“ผมถามว่าคุณกลัวผมหรือไง”
อาณกรผินหน้าหนี ไม่ได้รังเกียจแต่รู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายมาจ้องหน้าใกล้ๆ ริมฝีปากแดงเรื่อเม้มจนเป็นเส้นตรงคล้ายไม่พอใจ
“ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วย” คนตัวเล็กกว่าเป็นเท่าตัวถามเสียงเขียว
“ถ้าไม่กลัวจะหนีผมทำไม” คุณหมอหนุ่มยังไม่ยอมเลิกเล่นเกมจ้องตา เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ขณะที่อีกฝ่ายถอยหนี จนในที่สุดคนเสียเปรียบก็ถอยไปชนกันต้นไม้เข้าให้ หมดทางหนีไปโดยปริยาย จึงทำได้แค่เอียงหน้าจนแทบจะชิดกับหัวไหล่เท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังหันมาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“ผมไม่ได้กลัว แค่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกันอีกเพราะผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“แต่ผมมีนะ” คิมหันต์หัวเราะในคอ เขาเห็นแก้มเนียนๆ ขึ้นริ้วสีแดง ไม่รู้หรอกว่าแก้มที่ซับสีเลือดนี่มาจากความโกรธหรือความอาย แต่เป็นเพราะการท้าทายเล็กๆ น้อยๆ ของเขา “แค่คุณบอกผมว่าหมอมะรุมออกไปไหนมาก็เท่านั้นเอง”
“ก็ผมบอกให้คุณไปถามเองไงล่ะ!” ตาเขียวๆ ตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์แต่พอเห็นว่าจมูกของเขาอยู่ห่างจากแก้มตัวเองไม่กี่เซ็นก็ต้องเอียงหน้าหนีไปอีกหลายองศา
“แต่ผมอยากถามคุณ ถ้าไม่อยากให้คนเข้าใจว่าผมกับคุณกำลังจะจูบกันใต้ต้นมะม่วงก็รีบบอกมาซะดีๆ”
ตาหวานหันมองสรรพสิ่งรอบตัว นอกจากเขากับไอ้คุณหมอบ้านี่แล้ว ยังมีเด็กในร้านค้าวัสดุอีกสองสามคนที่กำลังมองมาพวกเขาด้วยความสนใจแกมอยากรู้ เปลือกตาบางกระพริบถี่ๆ หน้าร้อนวูบวาบไปหมด สภาพในตอนนี้มันก็ชวนให้คิดไปในทางนั้นอยู่หรอก มือเรียวยกขึ้นแล้วออกแรงผลักไปที่อกกว้างเต็มแรงปกติแล้วอาณกร ณ ไร่เคียงฟ้าถึงจะตัวเล็กแต่แรงไม่น้อยไปด้วยมักจะไม่ผิดหวังกับเรี่ยวแรงของตัวเอง แต่วันนี้ร่างสูงที่อยู่ใกล้จนแทบจะนับขนตาได้เพียงแค่เซไปเล็กน้อยเท่านั้น เขาผิดหวังในพละกำลังของตัวเองจริงๆ
คิมหันต์อาศัยจังหวะนั้นรวบมือทั้งสองข้างของเจ้าแผนการเอาไว้ ออกแรงดึงจนร่างเล็กเข้ามาประชิดอก เขาอมยิ้มกับสีหน้าเลิกลั่กของอีกฝ่าย
“จะ จะทำอะไรน่ะ ปล่อยผมนะหมอคีย์!”
อาณกรพลิกตัวไปมาเพื่อให้ร่างกายห่างจากคนตัวสูงมากที่สุด ทว่าคนชอบแกล้งไม่ยอมให้ความร่วมมือเพิ่มแรงดึงมากขึ้นจนส่วนหน้าของร่างกายแนบชิดกัน ใบหน้าห่างแค่คืบเท่านั้น
“จะบอกผมหรือยังว่าคืนนั้นคุณกับหมอมะรุมออกไปที่ไหนกันมา” เสียงทุ้มดังชิดกับใบหู หมอหนุ่มอดสูดเอากลิ่นคล้ายกับดอกไม้ปนกับกลิ่นเด็กไว้ไม่ได้ คิดว่ากลิ่นเด็กน่าจะติดมาจากพิกเร็ตเพราะคุณอาตัวเล็กสนิทกับหลานชายมากพอดู
“ผมบอกคุณไม่ได้ อื้อ” ขนในกายพากันลุก เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ มันเป่ารดแถวต้นคอ
“แน่ใจนะว่าจะไม่บอก หืม” ไม่เพียงแค่พูดเปล่าแต่ปลายจมูกโด่งยังค่อยๆ จรดเข้าใกล้ผิวแก้มมากขึ้นอีกด้วย แม้ว่าเจ้าของใบหน้าเนียนที่ตอนนี้แดงจัดยิ่งกว่าลูกตำลึงจะพยายามเบี่ยงหนีแค่ไหนแต่ก็ไปไหนได้ไม่ไกลเลย เขาแกล้งแตะจมูกที่ข้างแก้มใกล้กับแนวขากรรไกร เพียงเท่านั้นคนปากแข็งก็หลุดออกมาเป็นชุด
“คืนนั้นผมเป็นคนพาหมอมะรุมไปที่ไร่เคียงฟ้าเอง ผมชอบหมอมะรุม พอใจหรือยัง!”
“ว่าไงนะ!” คิมหันต์ถอยใบหน้ากลับมาที่เดิมแต่ยังไม่ปล่อยร่างที่เล็กกว่าเป็นอิสระ ซ้ำยังจับแน่นกว่าเดิมอีกด้วย “คุณพูดว่าอะไร ไหนพูดใหม่ซิ”
“ผมชอบหมอมะรุม ก็เลย..ก็เลยพาเขาไปสารภาพรัก”
“โกหก ผมไม่เชื่อคุณ” ตาคมหรี่ลงอย่างจับผิด
อาณกรเชิดหน้าขึ้นมองไปที่นัยน์ตาสีดำ “ตามใจคุณซิ ที่ผมไม่อยากบอกคุณเพราะกลัวคุณรู้ว่าผมชอบผู้ชายเหมือนกัน”
คิมหันต์ปล่อยอาณกรให้เป็นอิสระ แต่สายตายังไม่คลาดเคลื่อนไปไหนเพราะเขายังไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าตัวพูด อาณกรเจ้าเล่ห์เกินกว่าจะปักษ์ใจเชื่อได้ในครั้งแรกที่ได้ฟัง
“คุณเนี่ยนะ ชอบหมอมะรุม”
“ทำไมจะชอบไม่ได้” อาณกรสูดเอาลมหายใจเข้าปอดยาวเหยียด คำพูดที่ได้ยินดินพล่ามเมื่อหลายวันก่อนย้อนกลับมาเกือบทั้งหมด “กะ ก็หมอมะรุมทำงานก็เก่ง งานบ้านก็คงทำเป็นละมั้ง แถมหน้าตาก็น่ารัก” เขาเลือกที่จะตัดประโยคท้ายทิ้งไป เพราะมันคงไม่สมจริงเท่าไรหากลอกคำพูดของดินมาทั้งหมด
ตาหวานจ้องตอบโต้อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายพอจะเชื่อถือในเหตุผลบ้าบอของตัวเองขึ้นมาบ้าง แต่จะว่าไปเขาก็ไม่ได้โกหกเสียทีเดียว เพราะหมอมะรุมทำงานเก่ง หน้าตาก็น่ารักแต่ที่เขาโกหกร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือเขาไม่ได้รักหมอมะรุมฉันท์คนรัก หัวใจดวงนี้มันสามิภักดิ์ให้กับรุ่นพี่หนุ่มไปแล้ว
“คุณพูดจริงๆ หรือ”
อาณกรพยักหน้ารัว พยายามไม่หลบตาเพราะกลัวจะโดนจับได้ว่ากำลังโกหกซ้ำซ้อนอีกแล้ว
คิมหันต์ถอนหายใจเสียงดังยกมือขึ้นเสยผม ก่อนจะสอดมือลงในกระเป๋ากางเกงพลางถอยห่างออกมาเล็กน้อย
“แล้วคุณชอบหมอ เอ่อ..มะรุมตั้งแต่เมื่อไร”
มันไม่ใช่การคิดไปเองแน่ๆ น้ำเสียงที่คิมหันต์ใช้กับเขามันสงบนิ่งจนไปถึงตึงเครียด อาณกรปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น รีบค้นหาข้อมูลความน่าจะเป็นในหัวสมองให้เร็วที่สุด แล้วภาพที่คิมหันต์เอาวรทย์ขี่คอเมื่อวันที่ไปเล่นน้ำตกก็ผุดขึ้น
“เอ่อ...ตอนที่หมอมะรุมล้ม ผมว่าเขาน่าปกป้องดี”
“น่าปกป้อง คุณเนี่ยนะจะทำได้ ตัวไม่ได้ห่างกันเลย” คนพูดปรายตามองผู้ชายตัวเล็กที่ทั้งส่วนสูงและความหนาของร่างกายแทบจะไม่แตกต่างกับคนที่บอกว่าชอบเลยสักนิด แต่วรทย์จะดูบางกว่าเล็กน้อยเพราะคงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไร
“ทำไมล่ะ จะชอบใครสักคนต้องสนใจด้วยเหรอว่าเขารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ความรักน่ะนะมันไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนหรอกแล้วมันก็ไม่เลือกเกิดด้วย สำหรับถ้าหากรักใครแล้วต่อเขาคนนั้นพิกลพิการง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างไรผมก็จะรักเขา”
คิมหันต์นิ่งไปชั่วอึดใจเมื่อได้ยินนิยามความรักของอาณกร มันจริงทุกอย่าง ความรักไม่มีรูปร่างแล้วไม่เลือกด้วยว่าจะเกิดกับใคร มันช่างคล้ายกับเขาเหลือเกิน ผ่านโลกมายี่สิบหกปีมีผู้หญิงผ่านเข้ามาก็มากแต่เขากลับไม่เคยคิดจะจริงจังกับใคร อ้างเหตุผลให้กับตัวเองว่าเป็นเพราะหน้าที่การงานทำให้ไม่มีเวลาให้ความรัก แต่อะไรๆ มันไม่แน่ไม่นอน ดูเหมือนว่าความรักที่เขาปฏิเสธมาตลอดมันกำลังมาเยือนซ้ำยังเกิดกับเพศเดียวกันด้วย จะว่าไปเขากับอาณกรเองก็ไม่ต่างกันเท่าไรเพราะพึงพอใจในตัววรทย์เหมือนกัน คุณหมอหนุ่มร่างสูงผ่อนลมหายใจเหยียดยาวปรับหัวใจให้กลับมาเต้นในจังหวะปกติหลังจากเมื่อครู่มันเต้นรัวเพราะคำตอบที่ได้จากอาณกรมันเกินความคาดหมายไปมากทีเดียว
“จริงอย่างที่คุณว่า แต่ผมขอบอกคุณไว้อย่างนึงนะ” ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้คลาดเคลื่อนจากผู้ชายตัวเล็ก “ผมเองก็ชอบหมอมะรุมเหมือนกัน แล้วก็พร้อมที่จะปกป้องเขามากกว่าคุณ ฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เราคือศัตรูกัน หรือจะเรียกให้ดูดีหน่อยก็ต้องบอกว่าเราคือคู่แข่ง อ้อ! มีอีกอย่างที่คุณควรรู้ไว้ ไม่ใช่แค่เราสองคนที่ชอบหมอมะรุมยังมีหมอที่ชื่อภาคภูมิทำงานอยู่ที่เดียวกันกับผมอีกคน หมอนั่นมันแสดงออกชัดเจนว่าสนใจมะรุม”
“ภาคภูมิ หมอภูมิน่ะเหรอ”
“ทำไม คุณหรือจักเขาหรือ” คิ้วหนาเลิ่กสูง
แต่อาณกรกลับไม่ยอมตอบคำถาม เสหลบตามองไปทางอื่นแทน “สรุปว่าคุณรู้แล้วว่านะว่าผมเป็นคนพาหมอมะรุมไปเอง แต่ผมยังไมได้บอกว่าชอบเขาหรอกแค่อยากเจอหน้าเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะเดี๋ยวไปรับพิกเร็ตไม่ทัน”
แต่ยังไม่ทันที่จะขยับเท้าไปไหนข้อมือเล็กก็ถูกดึงเอาไว้อีกครั้ง ถึงจะแน่นหนาเท่าแต่ก็มากพอที่จะรั้งร่างเขาเอาไว้ได้ ตาหวานมองมือขาวที่กำรอบข้อมือตัวเองก่อนจะวกสายตาขึ้นมองเจ้าของมือ “มีอะไรอีกหรือครับ”
“ผมไม่ยอมแพ้คุณแน่ๆ”
อาณกรค้อมหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มคล้ายจะท้าทายกัน “ตามสบายครับถ้าคิดว่าสู้ผมได้”
คู่แข่งตัวเล็กบิดมือหนีหลุดจนได้ ส่งยิ้มให้เขาก่อนหมุนตัวเดินห่างออกไป คิมหันต์มองตามร่างเล็กไปทุกคำพูดและคำสารภาพของอาณกรยังก้องอยู่ในหู แม้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้แต่ในโลกนี้ทุกสิ่งล้วนไม่แน่นอน และอย่างที่อาณกรพูด ความรักมันไม่เลือกหรอกว่าจะเกิดกับใคร หมอหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก ลองดูซักตั้งก็น่าสนุกดีเหมือนกันชักอยากจะรู้ว่าคนอย่างอาณกรจะมีดีอะไรอีกนอกจากจะหนีเก่ง...
...................
น็อตตัวที่สี่ถูกส่งให้ช่างซ่อมชั่วคราว ไขๆ หมุนๆ ไม่กี่ทีแฮนด์จักรยานที่หายไปเหมือนคนแก่ไม่มีฟันหน้าก็กลับมาตั้งตระหง่านอย่างองอาจเหมือนเดิม มือหนาเปื้อนจารบีและน้ำมันเครื่องยกขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากโดยไม่รู้ว่าคราบดำๆ พวกนั้นจะเปื้อนหน้าตัวเองปื้นใหญ่
“เสร็จแล้วครับคุณออย”
เจ้าของชื่อพยักหน้าพลางอมยิ้มกับใบหน้ากระดำกระด่างกับช่างซ่อมจักรยาน มือเรียวดึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวไว้จนชินขึ้นมาเช็ดรอยดำๆ แถวหน้าผากลากยาวมาถึงข้างแก้มให้ และเพราะรอยพวกนั้นมันเลยช่วยกลบใบหน้าที่เข้มขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากความอ่อนโยนของคนตัวเล็ก
“สมกับเป็นช่างจริงๆ หน้าดำหมดเลย” อาณกรพูดยิ้มๆ มองดูใบหน้าที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาบ้างของปืน อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราเขาเลยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ดูคราบสีดำบนเนื้อผ้า “ก่อนอาบน้ำเอาน้ำมันมะกอกถูอีกทีก็แล้วกัน เปื้อนไปครึ่งหน้าเลย”
ปืนมองมือขาวแล้วเลยขึ้นไปถึงท่อนแขนเล็ก นึกเสียดายที่แขนขาวๆ ถูกบดบังด้วยแขนเสื้อที่พับขึ้นจนถึงข้อศอก ตาคมไม่มองเลยไปจนถึงใบหน้าเนียน หัวใจเขาเต้นกระหน่ำจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมานอกอก อาณกรอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เองเขาอยากจะยื่นไปสัมผัสผิวแก้วขาวแต่เพราะตระหนักถึงฐานะอันต่ำต้อยของตัวเองเลยทำได้แค่กล่าวขอบคุณในน้ำใจของยอดดวงใจเบาๆ
อาณกรหัวเราะยกมือขึ้นตบที่หัวไหล่หนา “ฉันต่างหากต้องขอบคุณนายปืน ถ้าไม่ได้นายปืนฉันคงต้องซื้อจักรยานใหม่แน่นอน”
“แต่ผมเป็นคนทำมันพัง”
“แล้วนายก็ได้แผลด้วยใช่ไหมล่ะ เรื่องนี้นายมีแต่เสียกับเสีย เสียเลือดกับเสียแรงมาซ่อมจักรยานให้ฉัน ดังนั้นคนที่ต้องขอบคุณต้องเป็นฉันต่างหาก”
“แต่...”
หัวคิ้วสวยขมวดเล็กๆ บอกถึงอาการไม่พอใจที่เขามีข้อแม้ “ไม่ต้องแต่ ฉันยังไม่ได้ตอบแทนอะไรนายเลย เอาอย่างนี้วันนี้มากินข้าวที่บ้านนะเดี๋ยวฉันทำลาดหน้าเลี้ยง เห็นดินว่านายชอบกินลาดหน้า เอาเส้นใหญ่หรือหมี่กรอบ”
“มะ..ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ” เขารีบปฏิเสธ นึกอยากจะตบปากพล่อยๆ ของไอ้ดินจริงๆ ไม่รู้ว่ามันขายอะไรเขากับอาณกรไปบ้างแล้ว
“ห้ามปฏิเสธ ฉันให้เมี่ยงไปซื้อเส้นใหญ่กับเส้นหมี่แล้ว”
เขากำลังจะอ้าปากค้านทว่าเสียงเล็กๆ ของพิกเร็ตเรียกความสนใจไปได้เสียก่อน เขามองภาพอาณกรโอบกอดเด็กชายตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหา พลางถามถึงการบ้านพิกเร็ตพยักหน้ารัวบอกว่าเสร็จแล้ว
“วันมะรืนจะวันเกิดพ่อเสือแล้วหนูอยากทำของขวัญให้พ่อ”
“จริงหรือ? ทำไมเร็วจัง”
“จริงจ้ะ พ่อเสือเกิดวันที่ 1 พฤศจิกายน หนูจำได้ เอาปากกาสีๆ วงกลมไว้ในปฏิทินด้วย” เด็กชายพิกเร็ตตอบฉะฉานด้วยใบหน้าจริงจัง
“แต่อาจำได้ว่ามันวันที่ 18 สิงหานี่นา”
“ไม่ใช่ๆ” พิกเร็ตสั่นหัวจนผมสีน้ำตาลอ่อนปลิว “วันที่ 18 สิงหา วันเกิดอาออยต่างหาก”
อาณกรยิ้มให้หลานชายรั้งตัวน้อยมากอดไว้ ชื่นใจที่พิกเร็ตจำวันเกิดทั้งของพ่อเสือและเขาได้ แม้เพิ่งจะห้าขวบแต่กลับใส่ใจกับวันเกิดของผู้ใหญ่ ผู้เป็นอายกมือลูบหัวทุยเบาๆ
“แล้วพิกเร็ตอยากทำอะไรให้พ่อ ปีที่แล้วอุตส่าห์ทำการ์ดให้แต่พ่อเสือก็เมาทำเหล้าหกใส่การ์ดขาดหมด”
เจ้าตัวน้อยหน้าสลดไปเล็กน้อย แต่เพียงแค่พริบตาก็กลับมาสดใสเช่นเดิม “แต่ปีนี้พ่อเสือไม่เมาแล้ว หนูอยากปั้นตุ๊กตาให้พ่อ”
“ปั้นตุ๊กตา! ปั้นเป็นหรือไงเราน่ะ”
“เป็นซิ วันก่อนครูอุ้มสอนปั้นดินน้ำมันหนูได้คะแนนเยอะที่สุดในห้องด้วยนะ”
“แล้วจะปั้นตัวอะไร” อาณกรถามต่อ เอียงคอมองเจ้าตัวดีที่ยกนิ้วขึ้นนับ
“ปั้นครอบครัวฮะ มีพ่อเสือ อาออย กิ่งแก้ว น้าดำ น้าปืน พี่เมี่ยง แล้วก็หนู อ้อ!พี่มะรุมด้วย”
“แล้วอาล่ะครับ ไม่เห็นมีอาภูมิเลย”
..............................
ณ จุดๆ นี้ต้องบอกเลยว่านายปืนมีคู่นะคะ แต่ไม่บอกว่าคู่กับใคร เอิ๊กกกกและไอ้ีพี่เสือ หล่อได้ใจมากค่ะ