ตอนที่ 34
เหนือพาร์ท
“มึงว่ายังไงนะ” ผมเอานิ้วปั่นหูแรงๆอีกทีก่อนจะขอให้ไอ้ห่าแพะพูดให้ผมฟังใหม่อีกรอบ
ตอนนี้ผมลืมเรื่องเด็กพรีมไปแล้วครับเพราะมีมหัศจรรย์เรื่องใหม่ให้ผมสนใจมากกว่า ซึ่งจะพ้นใครไปไม่ได้ไอ้ห่าแพะนี่เองมันมานั่งเล่าและเพ้อเจ้อถึงน้องน้ำแข็งของมันให้ผมฟัง แต่เมื่อกี้นี้มีประโยคนึงของมันที่ทำให้ผมขนสั่นขนกระพรือจนต้องขอฟังให้แน่ใจอีกรอบ
“กูกะว่าจะเผด็จศึกน้องน้ำแข็งว่ะ” ช่างมันใจเหลือเกิน ผมอ้าปากค้างไม่น่าเชื่อว่าในหัวมันจะมีความคิดแบบนี้
“ถามจริง แพะมึงน่ากลัวมาก” ผมทำท่าถอยให้ห่างจากมัน มันก็ทำหน้าภูมิใจนึกว่าผมกำลังชมมันอยู่มั้ง
“กูเห็นพี่ริวกับพี่เขียนเป็นไอดอลลล” พูดแล้วทำไมต้องกระดกลิ้นตรงคำว่าดอลซะแรงขนาดนั้นด้วย อุบาท
“มึงอย่าทำตามในเรื่องเลวๆได้ไหมแพะ”
“แต่งเรื่องเลวๆที่มึงว่ามันก็สำเร็จใช่ไหมล่ะ” คำพูดมันแทงจึกเข้ามาในหัวใจของผม โอยกูจะบ้าตาย
“มึงอย่ามานอกเรื่อง แต่กูไม่เห็นด้วย เขาเป็นใครแล้วมึงเป็นใครขืนมึงไปล่วงละเมิดเขา พ่อแม่น้องเขาเอามึงตายแน่” เรื่องจริงครับ เคยได้ยินข่าวมาว่าบ้านน้องโคตรๆหวงลูก ขนาดว่ามาเรียนยังมีคนขับรถมาส่ง ตอนเย็นก็มีคนขับรถมาคอยรับ แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าน้องเขาเข้าถึงยากแค่ไหน ลำพังแค่มันเข้าไปคุยผมก็ว่ายากแล้วนะนี่คิดจะเคลมเด็กซะด้วย ถ้ามันทำจริงๆผมคงช่วยมันได้แค่อย่างเดียวล่ะครับ...จองวัด
“แล้วมึงจะให้กูทำไงวะ มึงรู้ไหมเหนือทุกวันนี้กูนอนหลับไม่เต็มอิ่ม มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำแข็งลอยอยู่เต็มไปหมด กูเหมือนคนกำลังขาดอากาศหายใจน่ะมึงรู้ไหม……………….” ปล่อยให้มันเพ้อไปครับ ผมได้แต่ยกมือกุมขมับนั่งฟังมันพล่ามต่อไปเรื่อยๆ เมื่อกี้หญิงโต๊ะข้างๆหันมามองด้วย ปกติครับน้องสาวเพื่อนพี่มันกำลังมีความรักโลกมักเป็นสีชมพูแบบนี้
“มึงก็เข้าไปคุยด้วยความจริงใจดิวะ อย่าไปทำตัวเลวๆแบบนี้ จะทำอะไรหัดดูบารมีของฝั่งตรงข้ามได้ ไม่งั้นมึงได้กลายเป็นแพะรับบาปแน่”
“มึงไม่เข้าใจกู” มันทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ ควายยยย
“กูว่าไม่มีใครเขาเข้าใจมึงทั้งนั้นแหละ เอางี้เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง” สมเพชก็สมเพช สงสารก็สงสารยังไงก็เพื่อน เอาวะช่วยๆมันหน่อย ผลออกมาจะรุ่งหรือร่วงก็ค่อยมาลุ้นกันอีกที
“ช่วยกูจริงอ่ะ” มันทำหน้าตาตอแหล กูว่าแล้วที่มันมานั่งเล่านั่งฝอยเพื่อต้องการให้ผมช่วยนี่เอง กูโง่เองที่ตามมึงไม่ทัน
“ไม่ช่วยได้ด้วยเหรอ กูไม่ช่วยมึงก็คะยั้นคะยอบีบคอกูอยู่ดี” ผมบอก มันหัวเราะลั่น
“มึงน่ารักมากเดี๋ยวกูบอกพี่เขียนให้บริการมึงให้ถึงใจเป็นรางวัลตอบแทน”
“ไอ้เขี่ยแพะ มึงไม่ต้องเสือก”
พรวดดด!
“มะ มึง” ผมเรียกมัน น้ำกระจายเต็มโต๊ะคือคนกำลังตกใจครับ เมื่อเห็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่กำลังเดินผ่านมาทางนี้
“อะไรวะ” มันยังไม่รู้เรื่อง
“ดูข้างหลังมึงดิ” ผมบอกมันก็ค่อยๆหันหน้าไปมอง ไม่รู้เพราะความน่ารักหรือความออร่าบริ้งๆของน้องน้ำแข็งนะครับถึงทำให้ไอ้แพะถึงกับมือไม้อ่อน
เพล้ง!
“ไอ้ห่าแพะ!” ผมเรียกมันรอดไรฟันหันมองด้านข้างคนมองมาที่พวกผมเต็มเลย
“โทษๆ กูไม่มีสติ” เออมันก็ยังรู้นะว่าตัวเองไม่มีสติ แค่เจอหน้ามึงยังทำแก้วหลุดมือแล้วคิดจะเผด็จศึกเขามึงไม่เป็นลมตั้งแต่ถอดเสื้อแล้วหรือไง
“ไปแล้วสมงสมอง” ผมพูด มันยังมองน้องเขาผ่านกระจกของร้านอย่างไม่วางตา ดูไปดูมาคล้ายโรคจิตเหมือนกันนะเนี่ย
“เขามาทำอะไรที่นี่วะมึง” แล้วกูจะรู้ไหมเนี่ย
“มึงไม่ไปถามเขาละ มาเดินห้างสงสัยมาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมั้ง”
“รถเขาเสียเหรอวะ ไม่บอกกูกูซ่อมเป็น” มันตอบผมแต่ไม่ได้มองหน้าผมเลยสักนิด แล้วดูมันตอบไอ้สัดแพะกูพูดประชดมึง โอยตาย! ผมจะเป็นบ้าหรือผมจะเป็นลมก่อนดี
“แพะกูว่ามึงเลิกมองเหอะ มึงเหมือนโรคจิตมากเลยมึงรู้ไหม” ผมมองทั้งคู่ทั้งไอ้แพะและน้องน้ำแข็งแล้วอะไรก็ไม่รู้เป็นใจให้น้องเขามายืนรอเพื่อนอยู่ใกล้ๆร้านที่ผมนั่งซะด้วย เพราะสักห้านาทีเพื่อนๆน้องเขาก็มา แล้วมีหรือที่เพื่อนผมมันจะพลาดสถานที่เป็นใจให้แอบดูซะขนาดนี้
ผมพูดเลยนะว่าถ้าน้องเขาเป็นขนมปังแล้วไอ้แพะเป็นปลาช่อนน้องเขาโดนตอดหมดแล้ว
“น่ารัก น่าใคร่” โอยตาย กูจะบ้าตาย
“แพะ พอเถอะ” ผมเอื้อมไปดึงชายเสื้อมันให้มันรู้สึกตัว จริงๆนะครับตอนนี้ไอ้แพะมันดูไม่มีสติจริงๆ ปกติมันก็ไม่ค่อยเต็มอยู่แล้วน้องน้ำแข็งทำให้มันเป็นหนักกว่าเดิมอีกเหรอเนี่ย
แต่จะว่าไปตั้งแต่คบกับมันมาผมไม่เคยเห็นใครที่ทำให้เพื่อนผมเกิดอาการหนักได้ขนาดนี้ จะมีก็ตอนเฟรชชี่ปีหนึ่งมันไปคบกับรุ่นพี่ปีสี่คณะเดียวกันนี่แหละครับ สาววิศวะแน่นอนครับลุยๆห้าวๆ มันบอกว่าชอบรู้สึกว่าคุยกันง่ายดี เหมือนว่าจะไปกันได้รอดนะครับมันก็ดูรักพี่เขามากด้วย แต่สุดท้ายยังไม่ทันจบเทอมก็มาบอกเลิก แล้วก็ตอกหน้าไอ้แพะกลับมาว่า
‘ปัญญาอ่อน’
ผมอึ้ง แพะอึ้ง ทุกคนอึ้งที่พี่เขาพูดแบบนั้นใส่หน้า ผมโมโหมากจนคิดอยากจะต่อยหน้าผู้หญิงแต่ไอ้แพะก็ห้ามไว้บอกว่าอย่าไปทำอะไรเค้า พี่คนนั้นเขาพูดต่อว่าตลอดสองเดือนที่คบกันเขาเหมือนคบเด็กสามขวบ ไร้สาระ ปัญญาอ่อน ไม่มีน้ำยา! ผมจำได้ว่าตอนนั้นโกรธมากแต่ไอ้แพะก็ยังยืนเฉยปล่อยให้เขาด่าจนหนำใจและเดินจากไป
‘มึงไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือไง’ นี่เป็นคำพูดแรกที่ผมถามมันหลังจากปล่อยพี่คนนั้นพูดจบและเดินไปจนลับตา
‘ไม่รู้ว่ะ แต่ก็คงจริงอย่างเขาว่ากูมันเป็นแบบนั้นจริงๆ’ มันพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่ผมเห็นนะ เห็นว่าตามันแดง คนอย่างมัน คนอย่างไอ้แพะไม่สมควรจะต้องร้องไห้ให้ผู้หญิงแบบนั้น
‘ทำไมมึงพูดแบบนี้ว่ะ มันไม่จริงซะหน่อย’
‘ช่างเถอะ กูขอบคุณเขานะที่ทำให้คนปัญญาอ่อนอย่างกูรู้จักคำว่ารัก’ มันพูดคำนั้นจบก็เดินจากไป
มันไม่มาเรียกเลยเต็มๆสองอาทิตย์จนอาจารย์คิดว่ามันดรอปเรียนไปแล้วแน่ๆ หลังจากวันที่สิบสี่ที่มันหายไปไม่ติดต่อใคร มันก็กลับมาพร้อมกับเป็นแพะคนเดิม ไม่สิผมรู้สึกว่ามันมากกว่าเดิมเยอะเลย เยอะจนล้นจนผมอยากจะกลับไปด่าพี่ผู้หญิงคนนั้นอีกสักรอบที่ทำให้ไอ้แพะมันเป็นแบบนี้
ผมมารู้ทีหลังตอนที่พี่คนนั้นเขาจบไปแล้วว่า ที่เขาด่าไอ้แพะรุนแรงแบบเพราะไอ้แพะมันไม่เหมือนผู้ชายทั่วไป มันไม่เที่ยวผับ มันไม่กินเหล้า มันดูไม่แมนเหมือนปกป้องใครไม่ได้ มันไม่เคยบอกใครว่าฐานะทางบ้านเป็นยังไง มันชอบบอกว่า บ้านมันเป็นชาวนาปลูกข้าว มันชอบไปเที่ยวสวนสนุกมากกว่าพาผู้หญิงเข้าโรงแรม มันไม่เคยแม้กระทั่งจับมือพี่เขาเลยด้วยซ้ำแต่ทั้งหมดนี้กลายเป็นว่าปัญญาอ่อนในสายตาของพี่เขา หึหึ ใครๆก็คิดว่ามันจนจะบอกอะไรให้นะไอ้แพะมันปลูกข้าวจริงๆนะครับ แต่มีเป็นพันไร่เลยนะแล้วก็ไม่ได้ทำเองจ้างเขาเกี่ยวเอา มีโรงสี ถึงเวลารับเงินอย่างเดียว รวยจะตาย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันมีแฟน และนี่ก็เป็นครั้งที่สองที่มันยอมรับตรงๆว่าชอบ แต่ผมดูทรงแล้วมันคงเล่นของสูงไปหน่อย ผมมองไม่เห็นอนาคตเลยครับว่าจะสมหวัง
“เหนือ มึงว่ากูเหมาะสมกับน้องเขาไหมวะ” จู่ๆมันก็ถาม นี่กูต้องโกหกเพื่อนเหรอวะเนี่ย ไม่อยากทำเลย
“มึงว่าไงล่ะ” ผมเลี่ยงๆ
“กิ่งทองใบหยกเชียวล่ะ” ผมว่าที่แพะมันเป็นแบบนี้เพราะมันเคยอกหักมาเชื่อผม มันไม่ผิดที่คิดแบบนี้ เชื่อผม
“แล้วแต่เลย”
“มึง”
“อะ...อะไร” ผมสะดุ้งเพราะจู่ๆมันก็หันมามองแถมจ้องผมตาไม่กะพริบอีก
“มึงสัญญาแล้วนะว่าจะช่วยกู” นี่ก็ย้ำจัง
“กูจะช่วยเท่าที่กูช่วยได้” ผมเริ่มไม่มั่นใจ
“กูรู้ว่ามึงช่วยกูได้” มันเอื้อมมาตบไหล่ผมปุๆ อย่ามั่นใจแพะอย่ามั่นใจ กูไม่ใช่โดเรมอนนะที่จะทำได้ทุกอย่าง
“โอเค” ผมตอบก่อนจะหันไปมองน้องๆกลุ่มนั้น จังหวะนึงถ้าผมตาไม่ฝาดผมเห็นนะว่าน้องน้ำแข็งเขาหันมามองทางนี้ เหมือนเขาเองก็จะรู้ว่าพวกผมนั่งมองเขาอยู่ แต่สายตาน้องเขาไม่ได้มองมาที่หน้าหล่อๆของผมซะด้วยสิ....
ผมหันกลับมามองเพื่อนแพะผู้หล่อเหลาของผม มันก้มลงดูดน้ำแก้วของผมแทนแก้วของมันที่ร่วงแตกอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าโดนใครเขามองมาเหมือนกัน
เอ๊ะๆ เดี๋ยวนะหรือบางทีเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้ยากจนเกินไปวะ
+++++++++++++++++++++++++++++++
RRRRRrrrrrrrrrr
“อืมมมมม” ผมรู้สึกเหมือนมีใครมาดึงขาให้ตกจากสวรรค์ กำลังนอนฝันถึงนางฟ้าเพลินๆก็มีเสียงแสบแก้วหูร้องลั่นจนปวดหัว
RRrrrrrrrrr
“เอออออ!!!! กูรู้แล้ววววว...อยู่ไหนวะ” มันควานหาทั่วหัวเตียงก่อนจะเจอมันวางอยู่ใกล้ๆหมอน
ติ๊ด!
“อะไร ใครอ่ะ” ผมเห็นแล้วล่ะว่าเบอร์ใครแต่อยากกวนประสาทเลยถามกลับไปแบบนั้น
“ทำไมยังไม่ตื่น” เสียงดูเกินความเป็นจริงแสดงว่าต้องมีอะไร
“ทำไม ห้าววว...ง่วงอ่ะ” ผมมุดตัวเองกลับเขาในผ้าห่มเหมือนเดิม ตาเริ่มสว่างเมื่อได้ยินเสียง แอวะเนอะแต่มันเป็นเรื่องจริงนี่ครับ นานๆจะได้คุยกันที
“กี่โมงแล้วมึงดูนาฬิกาหรือยัง” พอมันถามผมเลยต้องเงยขึ้นไปดูอย่างช่วยไม่ได้
“อีกสิบนาทีบ่ายสองโมง” โหววว ผมนอนเหมือนตายเหมือนกันนะเนี่ย แต่จริงๆแล้วผมเพิ่งได้นอนเมื่อตอนหกโมงเกือบๆเจ็ดโมงนี่เองนะครับ พอดีงานเยอะมากต้องรีบทำให้เสร็จ
“แล้ววันนี้วันอะไร” พี่เขียนมันกดเสียงให้ต่ำลงกว่าเดิม สัส! ขนดากกูลุกหมดแล้ว
“วันเสาร์ กูไม่มีเรียนนอนได้ไม่ได้โดดเรียนหรอกน่าไม่ต้องห่วง” ผมรีบแก้ตัวไม่รู้ทำไมได้ยินเสียงมันแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมา
“เหรอ งั้นกูคงจำวันผิด คิดว่าเป็นวันที่เรานัดกันออกมาดูหนัง งั้นแค่นี้นะมึงนอนไปเถอะ ติ๊ด!
ห๊ะ!
“ชะ...เชี่ยแล้ว” ผมสบถกับตัวเองเด้งตัวขึ้นนั่งอัตโนมัติ ใช่แล้วไอ้เหนือไอ้เหี้ยมึงลืมได้ไงวะเนี่ย โอยตายๆกูตายแน่ๆ แถมมันยังโกรธถึงขนาดตัดสายทิ้งไม่รอให้ผมแก้ตัวก่อนซะด้วย มีหวังโกรธกูยันลูกบวชแน่ๆ ฮรือออ ถึงว่าเสียงมึงน่ากลัวมากไอ้ห่าเขียน
“ปิดเครื่องหนีกู ไอ้ห่า” ผมโทรกลับไปมันปิดเครื่องงอนผมไปแล้ว เอาแล้วไง
ผมรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างไว ใช้เวลาไม่ให้เกินสามสิบนาทีผมต้องไปถึงที่ที่เรานัดกันไว้ ทันไม่ทันไม่รู้รู้แต่ว่ากูต้องไป กูต้องไป!!
“แฮ่กๆ” ผมกดโทรศัพท์หามันอีกครั้งก็ยังปิดเครื่องอยู่ ผมรีบวิ่งจากที่จอดรถขึ้นไปยังชั้นโรงหนังอย่างเร็วหอบช่างมัน เหนื่อยช่างมัน คนเยอะอย่าไปสนใจมัน วิ่ง เราต้องวิ่งขาผมมันสั่งมา
“อยู่ไหนวะเนี่ยพี่เขียน” ผมมองไปรอบๆไม่เห็นเงาหมาสักตัว สงสัยหนังคงเข้าโรงไปแล้ว มองนาฬิกาพบว่ามันเลยจากที่นัดกันเกือบๆชั่วโมงเป็นไปได้ว่ามันเข้าไปดูคนเดียวหรือไม่ก็กลับบ้านไปแล้ว
ตุบ!
ผมนั่งลงที่เก้าอี้ที่เขาจัดไว้ให้อย่างหมดแรง พิงพนักหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดสุดชีวิตเมื่อกี้วิ่งมาจนลืมเหนื่อย
“ไม่น่าเลยไอ้เหนือ” โทษตัวเองเป็นเพราะผมแท้ๆ ทั้งๆที่พี่มันก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ผมสักเท่าไหร่แถมนัดวันนี้ผมเองที่เป็นคนอ้อนวอนมันให้มา มันก็ยอมและก็เป็นผมอีกเช่นเดียวกันที่ลืมนัดทั้งๆที่มันเป็นนัดที่สำคัญมากๆ เป็นการมาเที่ยวครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนนี้ก็ว่าได้
ผมนั่งรอตรงนั้นไม่ลุกไปไหนคิดไว้ในใจว่ารอให้รอบหนังที่พี่มันน่าจะเข้าไปออกจากโรงเผื่อพี่มันเจอเราจะได้หายโกรธลงนิดนึง
ผมนั่งอยู่เกือบๆสี่สิบห้านาทีใกล้ได้เวลาหนังจบผมลองกดโทรไปหามันอีกรอบเผื่อว่าจะติด เชรด! แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดมันเปิดเครื่องแล้ว แต่ว่าทำไมมันไม่โทรกลับมาหาผมละเนี่ย หรือว่ายังอยู่ในโรง หรือว่าโกรธจนไม่อยากคุย
ติ๊ด!
“ครับ” มันรับว่ะเฮ้ย
“พี่เขียนมึงอยู่ไหน” ผมถามเพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มันเงียบจนผมว่ามันคงไม่ได้อยู่ในโรงหนังอย่างที่ผมคิด
“คอนโด” ห๊ะ!!!
“คอนโด! แล้วทำไมไม่บอกกู” ผมตะโกนเสียงดัง ลืมตัวไปหน่อยรีบเดินออกจากตรงนั้นเพราะพนักงานเริ่มมอง
“บอก....ให้กูบอกอะไร” มันย้อน ผมเริ่มโกรธบ้าง ทำไมมันถึงปล่อยให้ผมรอตั้งเกือบชั่วโมงแบบนี้ มิสคอลเข้าไปตั้งเยอะก็ไม่รู้จักโทรกลับมา
“ก็บอกว่ามึงกลับคอนโดไง กูจะได้ไม่ต้องมารอเก้อแบบนี้” ผมใส่ชุดใหญ่ รีบจ้ำอ้าวกลับไปที่รถตัวเองเพราะรู้สึกว่าตัวเองน้ำตากำลังจะไหล ตุ๊ดฉิบหายไอ้เหนือ
“รอด้วยเหรอ กูนึกว่ามึงนอนอยู่บ้าน” มันตอบกลับเสียงเรียบ
“ไอ้เหี้ย!!!” ผมด่าเต็มแรงพอดีกับที่ก้าวขึ้นมาบนรถตัวเองพอดี
“มึงด่ากูเพราะที่กูปล่อยให้มึงรอใช่ไหม” มันถามกลับมา
“ใช่!! เกือบชั่วโมงที่กูนั่งรอมึง มึงรู้ไหม!” ผมระเบิดตัวเองและระเบิดมันไปพร้อมๆกัน เสียงใจ น้อยใจ ยิ่งด่ามันก็ยิ่งเสียใจ วันแบบนี้จะมีอีกไหมก็ยังไม่รู้ ไม่ได้อยากทะเลาะ ไม่ได้อยากงี่เง่า แต่ก็ทำไม่ได้ มันทำให้ผมนิสัยเสีย
“แล้วเกือบสองชั่วโมงที่กูรอมึงล่ะเหนือ มึงจะให้กูด่ามึงว่าอะไร”
“…………………….” ผมเงียบ ไม่มีเสียงใดหลุดจากปากของผม นั่นสินะมีแต่ผมที่โวยวายใส่เต็มอยู่คนเดียวแล้วความรู้สึกของมันล่ะผมสนใจบ้างหรือเปล่า
“กูโกรธมากแต่กูไม่รู้จะพูดอะไร ไม่เหมือนมึงที่โกรธมากและต้องด่ากู”
“พี่เขียน” ผมเรียกเสียงแผ่ว รู้สึกผิดจริงๆจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่คบกับมันมา ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแฟนที่แย่แบบนี้เลย
“กูว่าบางทีเราต้องทบทวนใจตัวเองกันอีกครั้งว่ายังต้องการสิ่งเดียวกันอยู่หรือเปล่า” มันถอนหายใจก่อนจะพูดออกมาชัดเจนแต่ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันกำลังบอก
“หมายความว่าไง”
“กูเหนื่อย และกูรู้ว่ามึงก็เหนื่อย” มันตอบ ผมฟังไม่ค่อยได้ยินแล้วภาพตรงหน้ามันเริ่มเลือนๆลางๆเพราะน้ำตาที่มันไหลลงมาเหมือนน้ำตกเอราวัณ
“กูไม่เหนื่อย ฮึก..กูไม่เคยเหนื่อย มึงพูดแบบนี้มึงจะทิ้งกูเหรอ” ผมปล่อยโฮหมดก๊อกใส่เต็มที่
“กูพูดแบบนั้นหรือไง” ผมเกลียดเวลามันไม่ตอบแล้วชอบย้อนกลับ ผมหมั่นไส้จนอยากจะเอามีมากรีดหนังปากมันออกไปให้เป็ดแดกให้หมด
“อย่ามากวนตีนนะ”
“แล้วเรื่องนี้ใครเริ่มก่อน” มันย้อนเข้าผมเต็มๆ
“พี่เขียน กูขอโทษ” ผมพูดเป็นคำเดียวที่ผมนึกออกตอนนี้ เป็นคำเดียวที่ผมคิดว่าควรพูดมากที่สุดในเวลานี้
“กูไม่ยกโทษให้ แค่นี้นะ ติ๊ด!” ผมอ้าปากไม่คิดว่ามันจะตอบแบบนี้ ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปมันก่อนจะขว้างมันไปไว้เบาะข้างๆอย่างเหลือทน
“มึงวางหูใส่กูได้ไง ฮึกก...ฮือออ” ผมร้องไห้น้ำตาเต็มสองเบ้า รีบขับรถออกไปจากที่นี่จุดมุ่งหมายไม่ใช่บ้านผมแต่เป็นคอนโดมัน
ถ้าวันนี้คุยกันไม่รู้เรื่องไม่ผมก็มันต้องตายกันไปข้างนึง คอยดูสิ
TBC_____________________________