ตอนที่ 31
“มึงจะดื้ออะไรนักเนี่ย” ผมกอดอกสะบัดหน้าหนีไอ้คนที่พูดว่าผม ผมแค่ไม่พูดตอบโต้กับมันแค่นั้นเอง
ตั้งแต่ผมโดนกระชากตัวขึ้นรถมาก็เกือบๆครึ่งชั่วโมงแล้วครับ ไม่ว่าไอ้คนขับมันจะถามอะไรผมก็เงียบ จะด่าผมก็เงียบ ก็ผมไม่อยากคุยกับมันอ่ะจะทำไม
เอี๊ยดด!
ผมตกใจเมื่อจู่ๆมันก็หักรถเข้ามาจอดข้างทาง แต่ด้วยความอื้อดึงของผมถึงแม้จะกลัวแต่ก็จะไม่มีวันร้องออกมา
“หันมาคุยกันก่อน” มันถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดบอกผม
ผมเม้มปากเน้นถ้าถึงกับถอนหายใจแล้วมาวุ่นวายกับผมทำไมวะครับ
“ใคร จำไม่ได้ ไม่ต้องคุย” ผมตอบเสียงเหวี่ยง รู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลแต่มันก็สมควรโดนแล้วไม่ใช่เหรอครับกับการหายไปตลอดสามอาทิตย์ของมัน
ใช่ พี่เขียน
จู่ๆมันก็มาลากตัวผมขึ้นรถตามใจชอบ อยากจะทำอะไรก็ทำนิสัยมันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่มันคิดบ้างหรือเปล่าว่าตลอดเวลาที่มันหายไปผมคิดถึงและเป็นห่วงมันมากแค่ไหน หรือมันคิดว่าความรู้สึกของผมจะทำร้ายเท่าไหร่ก็ได้งั้นหรือ
พอตอนนี้จู่ๆก็กลับมา แล้วจะให้ผมอภัยง่ายๆน่ะเหรอไม่มีทาง ผมไม่สนหรอกว่าเหตุผลของมันคืออะไรแต่ผมมีเหตุผลของผมพอที่จะไม่พูดคุยหรือตอบโต้มัน
“ถ้าจำไม่ได้เดี๋ยวกูเตือนความจำมึงให้ดีไหมว่าเราเป็นอะไรกัน!” มันพูด
“ดื้อ เอาแต่ใจ ไม่ฟังเหตุผล” มันว่าเสียงดังขึ้นเหมือนว่าก็มีอารมณ์อยู่เหมือนกัน ผมปรี๊ดแตกทำไมคำพูดมันเหมือนกล่าวหาว่าผมเป็นคนผิด ทั้งๆที่เรื่องนี้มันเองนั่นแหละที่หายหน้าไป
“งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งกับกู” ผมว่าตาแดงๆร้อนๆเหมือนจะร้องไห้
ห้ามนะ หยุดนะ
ผมบอกตัวเองในใจเงียบๆ สั่งน้ำตาไม่ให้ไหลเดี๋ยวมันจะเยาะเย้ยเอาได้
“เฮ้อ” มันพิงเบาะรถหลับตาเหมือนเหนื่อยใจนั่นก็ยิ่งทำให้ผมเสียใจ
รำคาญกูแล้วใช่ไหม
อยากทิ้งกูแล้วใช่ไหม
ไม่รักกูแล้วใช่ไหม....
คำถามพวกนี้วิ่งวนไปมาในสมองผมจนทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ปึก ปัก!!
“ไอ้คนนิสัยเลว ไอ้ชั่ว ฮืออออ” ผมทุบหน้ามันไปสองทีเต็มๆเบ้าตามันหลบไม่ทันครับเพราะหลับตาอยู่ แต่พอผมจะทุบครั้งที่สามมันก็จับมือผมไว้ทันเสียก่อน
“เจ็บนะ!! เป็นอะไร” มันตะโกนลั่นรถ
“มึงเบื่อกู!” ผมตะโกนกลับใส่หน้ามันเต็มแรง
“ใครบอกมึง เพ้อเจ้อ” มันรวบผมเข้าไปกอด ผมดิ้นเล่นตัวเล็กน้อยก่อนจะยอมนิ่งให้มันกอดอย่างนั้น
ความอบอุ่นที่ผมไม่ได้สัมผัสมาสามอาทิตย์ทำให้ผมปฏิเสธอ้อมกอดของมันไม่ลง ถึงแม้จะหยิ่งแต่ก็ไม่เถียงว่าอยากได้แขนสองข้างของมันมาโอบรัดตัวผมไว้
“แค่มึงยอมฟังกู หลังจากนั้นมึงจะทำอะไรกูจะไม่ห้ามเลย” มันกระซิบข้างหูเหมือนกำลังปลอบใจเด็ก ผมเม้มปากก่อนจะกดหน้าขึ้นลงช้าๆกับหน้าอกมัน
นั่งอย่างนั้นเกือบๆห้านาทีได้ มันก็ดันตัวผมออกแต่ยังไม่วายลวนลามผมด้วยการหอมแก้ม เห็นกูไม่ว่านี่เอาใหญ่เลยนะไอ้ห่านี่
มันขับรถพาผมไปที่ๆหนึ่ง ซึ่งผมไม่คุ้นสายตาเอาเสียเลย เส้นทางออกห่างจากกรุงเทพเล็กน้อย เป็นแถบชานเมืองถึงไม่ไกลแต่ก็กินเวลาพอสมควร ผมไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน อยากรู้นะแต่ไม่กล้าถามก็เลยนั่งเงียบเหมือนอมสากอยู่อย่างนี้
“ที่ไหนอ่ะ” ผมอดถามไม่ได้เมื่อมันมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
ผมนั่งมองผ่านกระจกรถพักเดียวก็มีคนมาเปิดประตูให้เพื่อให้พี่เขียนขับรถเข้าไปด้านใน ผมมองไปรอบๆอย่างสำรวจก็อมยิ้ม เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่มากแต่แต่งบ้านโคตรน่าอยู่
บ้านปูนสองชั้นขนาดเรียกว่าใหญ่สำหรับคนสี่ห้าคน แต่เล็กกว่าบ้านผมประมาณหนึ่ง สไตล์บ้านก็โมเดิร์นผสมความเรียบง่ายแบบโบราณเอาไว้ได้อย่างลงตัว
ผมคันปากอยากถามจะแย่ว่าบ้านใคร แต่เมื่อกี้หน้าแตกไปรอบละถามมันแต่ไม่เสือกตอบคอยดูนะผมจะไม่พูดกับมันอีกตลอดวันนี้
“ลงไปสิ” มันปลดเบลล์หันมาบอกผม ผมแสร้งตีมึนทำเป็นไม่ได้ยิน
“…………….”
“ฮึ่มมม” มันพ่นลมหายใจก่อนจะเอื้อมมือมาปลดเบลฝั่งผมให้
“ยุ่ง!!!” ผมแหกปากเหมือนว่าไม่พอใจ แต่จริงๆกำลังเล่นตัวอยู่
ปัง!
ผมปิดประตูรถหลังจากลงมายืนเรียบร้อย ผมมองไปรอบอย่างละเอียดอีกครั้ง มันสวยมากๆครับ
ดอกไม้ ต้นไม้ เต็มบ้านไปหมดใช่แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าบ้านสวนแต่ผมไม่ยักกะรู้ว่ามันมีคนรู้จักอยู่ที่บ้านสวนด้วย หรือว่าไม่ใช่บ้านมัน
“ไปไหน” ผมถามขึ้นตอนที่มันมาลากผมไปทางประตูเข้าบ้าน
“..............” มันไม่ตอบยิ้มอย่างเดียว หมั่นไส้โว้ยยยย
ผมเข้ามาด้านในก็สะดุดกึกเข้ากับรูปภาพขนาดใหญ่ ไม่รู้หรอกว่าเรียกว่าอะไรแต่เหมือนจะเป็นบนเฟรมผ้าใบขนาดเท่าคนยืน
ผมมองภาพรู้สึกชอบอย่างประหลาด เป็นภาพของคนสามคนโดยที่หนึ่งคนเป็นผู้หญิง อีกสองคนเป็นผู้ชายเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่งด้วยถ้าผมมองไม่ผิด
“สวยแฮะอย่างกับคนจริง” ผมเพ้อ
ตัวเองไม่เคยชอบวาดรูปหรืองานศิลปะ แต่กับภาพนี้ทำเอาผมทึ่งจนต้องมองอยู่นานสองนาน
“กูวาดเอง”
“ห๊ะ!” ผมหันขวับไม่อยากจะเชื่อหู ถ้ามันวาดเองจริงๆก็ไม่แปลกใจเลยที่ผมจะสะดุดตามอง เพราะมีแค่ภาพของพี่เขียนเท่านั้นที่ทำให้ผมมีใจรักงานศิลปะขึ้นมาได้
ของเขาแรงจริงๆ
“โม้”
“หึหึ มานี่เถอะ” มันไม่เถียงแต่ลากผมเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ผมถูกลากไปลากมาจนแขนจะยาวไม่เท่ากันอยู่แล้ว
แต่พอผมเดินตามมันเข้าไปผมก็ตกใจแทบหมดสติ เมื่อบุคคลที่อยู่ในห้องนั้นเป็นคนที่ไม่สมควรจะมาเจอผมกับพี่เขียนอยู่ด้วยกัน
“พี่วอดก้า!!!”
ผมแหกปากลั่นอย่างตกใจ รีบสะบัดแขนตัวเองออกจากการจับของพี่เขียน ตายห่า ตายโหง ตายทั้งคู่แน่ๆพี่วอดก้าเอากูตายแน่ๆ พ่อครับแม่ครับ เหนือไม่เอาข้าวต้มในงานศพคืนแรกนะครับ
“เอ่ออ ตัวเองมาได้ไงอ่ะ” ผมปั้นหน้าตอแหลไปนั่งข้างๆ พี่วอดก้านั่งไขว่ห้างมองหน้าผมนิ่งๆ เอากูใจแป้วเลย
“พี่ควรถามเรามากกว่าว่ามาได้ไง” มันถามกลับเสียงเย็นยะเยือก ผมนั่งตัวสั่นพับๆอยู่ข้างๆไม่รู้จะตอบยังไง
“เอ่ออออออออออ” กูลากยาวไว้ก่อนคิดคำตอบไม่ทัน
“ผมพาตัวไอ้เหนือมาเอง” ในขณะที่ผมหาคำตอบพี่เขียนอดีตไอดอลของผมก็เอ่ยตอบแทน ผมหันไปมองส่งสายตาหวานซึ้งปนหวาดผวาไปให้ ตายแน่ๆพี่เขียน ถึงกูจะยังโกรธที่มึงหายไปหลายอาทิตย์แต่กูก็ไม่ได้อยากให้มึงตายเพราะพี่ชายตัวเองนะ T.T
“มึง?” พี่วอดก้าถามหน้าตากวนตีนไม่น้อย
“ครับ” ไอ้นี่ก็ตอบรับแบบไม่กลัว
ผมมองทั้งสองคนสลับไปมาอยู่ๆก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายน้ำตาผมก็ไหลอย่างห้ามไม่อยู่NEXT 60%
นักเขียนขอเม้าาา
มาอีกแล้วค่าตอนนี้
นิยายเรื่องนี้เปิดรวมเล่มแล้วนะคะ
รายละเอียด ดูได้ที่นี่ค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37996.1380แนนรวมเร็วเพราะว่าเปิดพร้อมกับเว็บเด็กดีนะคะ
หรือติดตามกันได้ที่แฟนเพจค่ะ
https://www.facebook.com/nanznnyaoi