ต่อจากเดิมจ้าาาา
.
.
“สวัสดีครับ”
“มากันแล้ว ลูกชายลูกสะใภ้” ผมหลุดขำกับคำทักทายของแม่ ไอ้เหนือตวัดสายตาหันมามองผมแบบดุๆ แล้วก็หันกลับไปทางแม่ผมด้วยรอยยิ้มแห้ง ก็คงจะอายนั่นแหละครับที่ถูกเรียกว่าสะใภ้
พวกเราใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงบ้านของผม ทันทีที่เดินเข้าบ้านก็เจอคำทักทายที่แสนจะน่ารักแล้วผมก็ชอบใจมากๆด้วย แต่คงไม่ใช่ไอ้เหนือรายนั้นเขาไม่ชอบนะแต่พูดอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายคือแม่สามีไง หึหึ
“คิดถึงลูกสะใภ้จริงๆ”
“แม่ครับ.....” ไอ้เหนือเรียกเสียงงอนๆ แต่ทำเอาแม่ผมอารมณ์ดี
“อ่ะๆ แม่ไม่แกล้งเราแล้วก็ได้ ไปเถอะคุณพ่อรอทานข้าวอยู่”
พอก้าวเข้ามาภายในห้องอาหารก็เห็นประมุขใหญ่ของบ้านนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะก่อนแล้ว ในมือก็ถือหนังสือพิมพ์ไม่แน่ใจว่ากำลังอ่านอะไรทั้งๆ นี่ก็เย็นมากแล้ว พ่อผมเขาน่าจะอ่านจบไปตั้งแต่เมื่อเช้าทำไมตอนนี้ถึงยังอ่านอยู่
“อ้าวมาพอดี นี่พ่ออ่านหนังสือพิมพ์รอไปสามรอบละนะ” ชัดเจนเหมือนรู้ว่าผมสงสัยเรื่องอะไร
“สวัสดีครับพ่อ” มันเอ่ยอย่างคุ้นชิน
ตอนแรกมันก็บอกว่าเขินๆที่ต้องเรียกว่า ‘พ่อ’ กับ ‘แม่’ เหมือนตอกย้ำว่าตัวเองมาเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้จริงๆ ทำเอาผมหลุดขำตอนที่มันมาเล่าให้ฟัง แต่พอหลังๆคงจะชินและปรับตัวได้ เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเรียกแบบนี้อยู่ดี
“สะใภ้ใหญ่ นั่งๆ จะได้ทานข้าวกัน”
“โธ่....พ่อครับ” เห็นมันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้แล้วขำมากครับ ปกติเวลามันอยู่กับผมมันจะเถียงทุกคำที่ผมพูด แต่พอมาเป็นพ่อกับแม่ผมไงมันเลยไม่กล้าได้แต่ยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่แบบนี้
“ฮ่าๆ คุณก็ไปแกล้งลูก มานั่งๆ”
ผมนั่งลงทางด้านซ้ายมือของพ่อถัดไปคือไอ้เหนือ ส่วนอีกฝั่งก็คือแม่และขิม กับข้าวหลายอย่างถูกทยอยนำมาวางอย่างเป็นระเบียบพร้อมทั้งข้าวสวยก็ถูกตักลงจานอย่างพอดีๆ
“คุณดูสิ เวลาเหนือทำหน้าหงอยๆแบบนี้ก็น่ารักดีนะ ว่าไหมเขียน” เป้าหมายพุ่งมาทางผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ไอ้เหนือเองก็มองมาเหมือนรอคำตอบจากผมอยู่ พ่อผมเขาคงว่างหาเรื่องแซวเล่นฆ่าเวลารอสำรับตั้งเสร็จมั้งครับ
“ว่าไงลูกชายแม่ น้องน่ารักเนอะ” แม่ผมจัดเต็มตลอด
ผมมองไปทางไอ้เหนือเห็นมันมองเหมือนรอคอยคำตอบอย่างมีความหวัง สักพักก็หันหน้าหนีแล้วทำหน้าแดงหูแดงใส่
“ครับ มันน่ารัก”
“คิกๆ พี่เขียนโรแมนติกจังเลย” เสียงมาแล้วครับตัวแสบของบ้าน
“ชิ ไม่เห็นจะโรแมนติกเลยครับน้องขิม” มันกัดผม เมื่อกี้ไม่น่าชมมันเลยเนอะ แต่เห็นว่าทำไปเพราะอยากกลบเกลื่อนความเขินหรอกนะเลยยอมให้
“ไม่โรแมนซ์เลยพี่เขียนอ่ะ” หึหึ เด็กสมัยนี้ดัจริตเกินอายุจริงๆ
“เนอะๆ” นั่นเริ่มหาพรรคพวก
“เดี๋ยวจะโดนทั้งคู่” ผมว่ากลับ แต่สองคนนั้นเหมือนไม่สนใจแถมยังแลบลิ้นใส่หน้าอีกต่างหาก
“อ้าวๆ พอแล้วเด็กๆทานข้าวกันเถอะ” สิ้นเสียงของพ่อผมทุกคนก็เริ่มลงมือทานอาหารกัน
“เหนือเรียนวิศวะใช่ไหม” พ่อผมเขาถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารเงียบเกินไป
บ้านผมสบายๆครับไม่ค่อยถือเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารเท่าไหร่ขออย่างเดียวอย่าคุยเรื่องเครียดเดี๋ยวทำให้กินข้าวไม่ลง เพราะฉะนั้นการถามประวัติอนาคต ‘สมาชิกใหม่’ ถือว่าพูดคุยได้ไม่ผิดจากมารยาที่ดีเท่าไหร่นัก
“ใช่ครับ”
“ยากไหมลูก แล้วทำไมถึงเลือกเรียนด้านนี้ล่ะ” แม่ผมถามต่อจากคำถามของพ่อ โดยที่มือก็ตักของโปรดส่งให้พ่อทานเรื่อยๆอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ก็ยากนะครับแต่ผมชอบก็เลยมองว่ามันเป็นเรื่องสนุก อีกอย่างที่ผมเลือกเรียนด้านนี้เพราะผมชอบหุ่นยนต์ครับ ผมใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง” ผมนั่งฟังมันพูดอย่างตั้งใจ ผมรู้มานานแล้วว่ามันชอบหุ่นยนต์โดยเฉพาะอุลตราแมน มันจะคลั่งไคล้มากเป็นพิเศษเห็นว่าเป็นฮีโร่ในดวงใจตั้งแต่จำความได้
“ก็ดีนะ บ้านหลังนี้ไม่มีใครมีหัวมาทางด้านนี้หรอก ตระกูลนี้มีแต่จิตกรไม่ก็นักออกแบบ จะให้มานั่งเรียนอะไรนะ ฟิสิก แคลๆ อะไรนี่ก็คงไม่ไหว” แม่ผมเสริมต่ออย่างสนุกสนาน
“เอ่อ...เห็นว่าคุณปู่เป็นจิตกรชื่อดังของประเทศเลยเหรอครับ” มันถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
เรื่องนี้ผมไม่ได้เล่าให้มันฟังหรอกครับแต่เผอิญว่ามันดันคิดแผลงๆ เอาชื่อผมไปเสิร์ชในกูเกิ้ล ปรากฏว่านามสกุลของผมกลับทำให้ภาพของปู่รวมทั้งชื่อเสียงของปู่ผุดขึ้นเต็มหน้าจอกูเกิ้ล ตอนที่มันมาถามผมก็ได้แต่ตอบว่า
‘ตามข่าวแหละ’
ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้มันอยากมากมายเพราะมันอยากจะรู้จากปากผมเองมากกว่าอ่านจากข่าวในอินเตอร์เน็ต แต่ผมเป็นพวกพูดไม่เยอะและไม่อยากอวดมากด้วยว่าปู่ของผมเป็นใคร ผมก็เลยเลี่ยงคำถามของมันและไม่คิดว่ามันจะอยากรู้ถึงขั้นมาถามกลางวงทานข้าวแบบนี้
“ดังไหมคะ ให้คุณพ่อตอบดีกว่านะ” แม่ผมยิ้มบางๆแล้วพูดส่งต่อให้พ่อผม
“ปู่ของเขียนน่ะเหรอ”
“ครับ ผมเคยถามพี่เขียนแล้วแต่เขาไม่ยอมบอก” หันมาทำหน้ามุ่ยใส่ผมซะด้วยนะครับ เหมือนว่าเป็นความผิดร้ายแรง
“ทำไมล่ะ” คำถามนี้พ่อเขาหันมาทางผม นั่นหมายความว่าผมต้องเป็นคนตอบ
“ก็...ไม่รู้จะเริ่มยังไง” ผมตอบเลี่ยงๆ
“ชิ” แหนะ เสียงไม่พอใจดังมาจากคนข้างๆ
“เอาไว้วันนี้ให้เขียนพาไปห้องคุณปู่สิ” แล้วก็เป็นแม่ผมที่พูดต่อ ผมสะอึกนิดหน่อย นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปที่ห้องนั้น.....
ห้องของคุณปู่ที่รักของผม.....
“ได้เหรอฮะ ผมเกรงใจจัง” ถ้าไม่มองหน้าก็ฟังเหมือนว่าเกรงใจจริงๆอ่ะนะ แต่พอหันไปมองดวงตาของมันจะเห็นเลยว่ามันวิบวับดีใจแค่ไหน
“งั้นก็ไม่ต้องไป” ผมบอกมันซึ่งทำให้มันไม่พอใจ แต่ผมกลับชอบใจ
“ไม่เอา!”
“แม่ว่าถ้าอยากฟังเรื่องคุณปู่ เขียนน่าจะเล่าได้ดีกว่าคุณพ่ออีกนะ” แม่ผมพูดแล้วหันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม
ผมยกยิ้มมุมปากน้อยๆ คิดถึงเรื่องที่แม่พูดออกไป ในใจก็นึกถึงคนที่สอนเขาวาดรูปคนแรก สอนให้เขาจับดินสอ และสอนให้เขารักในภาพวาด....
“อ้าวทำไมล่ะฮะ หรือว่าพ่อไม่สนิทกับคุณปู่หรือฮะ” มันถามอย่างสงสัย
“ก็ไม่เชิง พ่อมันไม่ใช่จิตกรเต็มสายเลือดเหมือนหลานของเขา เขาก็เลยไม่สนใจพ่อน่ะ”
“โอเว่อร์” ผมเอ่ยดักคอพ่อตัวเอง ชอบพูดให้ตัวเองดูน่าสงสารนี่ล่ะพ่อผม
“ที่แท้ก็หลานรักนี่เอง” ไอ้เหนือมันพึมพำเบาๆ
“ไม่ใช่หลานรักธรรมดานะคะ หลานรักมากกกกกก” ตัวแสบพูดย้ำอีกประโยค ยิ่งทำให้ไอ้เหนือหันมามองเหมือนอยากรู้อยากเห็นระดับสิบ
“ยุ่งจริง” ผมว่าน้องตัวเอง
“เรื่องจริงต่างหาก” มีเถียงกลับ
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” ไอ้เหนือพูดขึ้นเหมือนสรุปใจความได้หมด จนผมต้องถามอย่างสงสัยว่ามันเข้าใจถูกจริงๆหรือเปล่า
“เป็นยังไง”
“ก็.......” พูดแล้วเว้นวรรคมันน่าถีบให้ตกเก้าอี้
“ก็.......” ขิมพูดทวนประโยคขึ้นอีกครั้ง
“ก็....เป็นเด็กเอาแต่ใจเพราะเป็นที่รักของปู่ จนทำให้นิสัยเสียมาถึงตอนโตกลายเป็นผู้ใหญ่ชอบเอาแต่ใจไง”
ความคิดแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น หึ!
“ฮ่าๆๆๆ พี่เหนือพูดถูกใจ”TBC________________
นักเขียนขอเม้า
ตอนนี้กับตอนหน้าไม่มีอะไรนะคะ
เพียงแต่อยากให้ทุกคนได้สัมผัส
กับจุดเริ่มต้นของคนที่ชื่อว่า เขียนสี...
จุดเริ่มต้นในการรักศิลปะของพระเอก
และความรักที่มีให้ปู่ของเขาก็เท่านั้น
อีก 3 ตอนจะจบแล้วนะคะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันจนถึงปลายทางด้วยนะ
^^