จอมไตร ซีรีส์(ตาหวาน)*ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก*(END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จอมไตร ซีรีส์(ตาหวาน)*ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก*(END)  (อ่าน 163640 ครั้ง)

ออฟไลน์ praseat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-4
ขอบคุณมากที่กรุณามาต่อใหทราบข่าวคราว....แต่ยิ่งอ่าน....ยิ่งช้ำใจ!!!!!

bow55

  • บุคคลทั่วไป
ย๊ากกกกก พ่นไฟ
ปวดหัวใจ ตาหวานนะตาหวาน
อย่ามาง้อละกันนนน

ออฟไลน์ Masochism

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ภาคสู้ๆ โบกธงเชียร์ขาดใจ  :mc4:

มาต่อไวๆน่ะค่ะ อยากอ่านมากๆ อิอิ

finray

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย...อ่านแล้วเศร้าจริงไรจริง

แต่อยากอ่านต่อเร็ว ๆ ค่ะ  จะรอนะ

ออฟไลน์ momoku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
ชอบความใจสู้ ของภาค และดีใจมากที่แม่สำนึกได้ซะที
คุณปารมีใจดี้ ใจดี ตีก้น ตาหวานแรง เพราะนิสัยไม่ดีเกินไปแล้ว !!!

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ภาคสู้ๆน้า ขอให้ปารมีหาทางช่วยสองแม่ลูกนี้ด้วยเถอะ

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
จาดที่เคยชอบตาหวาน ตอนนี้เกลียดมาก!!!!

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:สงสารภาคอะตาหวานใจร้ายที่สุด :m16: :m16:

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
เหอๆ  ก็นะ  ที่บ้านจอมไตรก็น่าจะมีความสุขดีหนิ
แต่ทำไม เด็กแต่ละคนทำตัวเหมือนไม่เคยมีพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ มาสั่งสอนแบบนี้ได้ก็ไม่รู้

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
อยากจะสมน้ำหน้านังพัลลภาแต่ก็สงสารภาค
หวังว่าปามคงจะเค้นความจริงจากตาหวานได้
แล้วจัดการให้มันถูกต้อง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
ถ้าตาหวานได้ปารมีเลี้ยงคนเดียวคงไม่มีนิสัยแบบนี้
ปารมีจัดการตาหวานให้รู้จักคิดไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นทีเถอะ

ออฟไลน์ aoaer

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :o12: :o12:   สงสารภาค   อิตา ตาหวานไปตายซะ  ชิ 

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
ฮื้อออออออออออ

ตาหวานแกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ไสหัวมาเดี๋ยวนี้!!!!!!!!!

มารับผิดชอบในสิ่งที่แกทำ เร็วๆเลย!!!!!!!

little_nok

  • บุคคลทั่วไป
ตาหวานทำอะไร ทำไมผลมันเป็นแบบนี้
ดราม่าจัดมาก ภาคสู้ชีวิตยังกับดาวพระศุกร์
ต้องอย่าให้ตาหวานมันง้อสำเร็จ
แต่ว่ามันจะง้อเหรอ ท่าทางจะยังไม่สำนึกมั้ง

ออฟไลน์ parn11

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อยากอ่านต่ออออออออออ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ถ้าภาคต้องตกเป็นของมานิช
ถ้าภาคต้องทำงานหนักจนเจ็บป่วย
อยากทราบว่าคุณตาหวานไม่รู้สึกอะไรเลยใช่ไหม
กับคนที่คุณเหยียบย่ำในวันที่เขาก็เดือดร้อนหนักอยู่แล้ว
คุณจะเอาอะไรมาไถ่บาปที่ทำ ภาคอาจจะไม่ถือโทษโกรธ แต่ฉันไม่...(อินจัด)

อยากกินไข่พะโล้ โปะ

  • บุคคลทั่วไป
อินจัดน้ำตาคลอเบ้า,

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

ออฟไลน์ naamsomm

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-2
ตามอ่านทันแล้ว
ตาหวานเคยเคะน้อยสมัยเด็ก
โตมาเป็นเมะหล่อล่ำใจร้ายไปซะได้
และใจร้ายมากๆเลยด้วย
สงสารภาค   ปามรู้เรื่องแล้วจะช่วยอะไรได้มั๊ยเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :m15: :m15:
สนุกมากๆ ครับ
อยากรู้ว่าตอนง้อ ภาคเนี้ย
ตาหวานจะง้อนานมั้ย
 :z1: :z1:

ออฟไลน์ tutu

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
รับก้อนอิฐไปอีกคันโต ๆ สำหรับตอนนี้
ปารมี คงกำลังหาคำตอบกับสิ่งที่ได้ยิน ..... คงไม่พ้นจากหลานชายตัวดี
เมื่ออะไร ๆ มันกระจ่างขึ้น  นายตาหวาน คราวนี้แหละ เพราะจอมไตรมีกฏของจอมไตรว่า ถ้าผิดคงต้องรับผิดชอบ
กับสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป  :z1:
+ 1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ จุ๊บจิ๊บ
ปล. หายไปนานเลยคราวนี้ มาต่อไว ๆ นะครับ

shenta

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุดก็อ่านทัน

ตาหวานโหดอะ แต่ก็ชอบ

 :z3:

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
ตาหวานชั่วจริงๆเลยอ่ะ
สงสารภาค

little_nok

  • บุคคลทั่วไป
น่าจะมีอะไรมากว่าความแค้นของเด็กๆ
ถ้าตาหวานทำถึงขนาดนี้ แสดงความอ่อนด้อยด้านวุฒิภาวะมากๆ
บ้านจอมไตร โดยเฉพาะคุณปาม ไม่น่าสอนลูกหลานเป็นแบบนี้

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
ลืมโพสมาสองตอนค่ะ  :-[

ตอนที่8


“นายอาจจะลืมตัวคิดว่าตัวเองเป็นเครื่องจักรอยู่นะตาหวาน”
เสียงจากห้องทำงานภายในบ้าน เป็นน้ำเสียงตำหนิเชิงหยอกเล่นของปฐพีฝาแฝดคนพี่ทำให้ปารมีชะงักเท้าที่จะเดินไปเข้าไปไว้

“ผมเปล่า”
คนพูดดูหงุดหงิดเกินความจำเป็นทำให้ปารมีแปลกใจไม่น้อย

“นายทำงานมากไป ตั้งแต่เรื่องนั้น”
ปฐวี ฝาแฝดอีกคนเอ่ยขึ้น

“ไม่ใช่!...ผมไม่เคยรู้สึกอะไรกับเรื่องนั้น!”

เสียงที่บ่งบอกว่า อีกฝ่ายตีได้ตรงจุด แต่อีกคนก็ยังปากแข็งไม่ยอมรับ

“เรื่องนั้นที่ว่า ใช่เรื่องลูกชายคุณพัลลภาหรือเปล่า”

ทั้งสามคนในห้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงปารมีดังขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย

แถมยังถามในเรื่องที่ปารมีไม่สมควรจะรู้อีกด้วย ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันเป็นคำถาม ก็รู้กันอยู่แค่สามคน หากปารมีรู้เรื่อง ก็ต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่ทั้งสามคนกลับส่ายหน้าให้กันเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้พูด

“ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ เอาเป็นว่าคุณปามรู้ก็แล้วกัน ว่าแต่ใครจะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้คุณปามฟังดีล่ะ”
เมื่อยังคงเงียบไม่ตอบ ปารมีจึงเดินไปนั่งที่โซฟา

“มานี้สิ คุณตาหวาน”

ปาฏิหาริย์ลุกขึ้นแต่โดยดี เดินไปนั่งลงยังโซฟาตัวเดียวกันกับปารมี

“คุณปามคิดว่าเคยเห็นเด็กคนนั้นเดินกับคุณในห้างนะ”
ปาฏิหาริย์ส่ายหัวอย่างไม่มีทางออก ทำไมเขาไม่เช็คให้ดีก่อนนะว่าปารมีจะไปไหนวันไหน ทำไมดันไปจ๊ะเอ๋กันได้พอดีขนาดนั้น ทั้งๆที่เป็นเพียงครั้งเดียวแท้ๆที่ปาฏิหาริย์พาภาคนิพนธ์ไปห้างสรรพสินค้า

“ผม.....”

“อย่าว่าตาหวานเลยครับคุณปาม”
สองพี่น้องฝาแฝดรีบออกตัวแทนปาฏิหาริย์ แต่ก็พูดได้เพียงเท่านั้นเพราะปารมีส่งสายตาดุๆมาให้

“ว่าไงคุณตาหวาน”

ปาฏิหาริย์ยังคงเงียบ .... เค้าไม่ได้ไม่กล้าเล่าให้ปารมีฟัง แม้จะหวั่นใจในสายตาอยู่มาก แต่ที่ไม่พูดเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง

ปารมีมองปาฏิหาริย์ที่ตะกุกตะกักไม่เหมือนช่วงเวลาปกติก็ถอนหายใจออกมา

“เอาเป็นว่าคุณตาหวานไปทำอะไรเค้าบ้าง”

“เอ่อ.....”

“อะไรกันนั่งทำหน้าเครียดกันเชียว”

ยังไม่ทันได้เล่าอะไร วสุธาที่เพิ่งกลับจากทำงานก็เดินเข้าซะก่อน

สองฝาแฝดผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรพ่อของพวกตนก็คงไม่ว่าอะไรนัก และก็คงช่วยเบรกปารมีได้บ้าง.....คงได้บ้าง....ไม่มากก็น้อยแหละนะ

“คุณดิน มาก็ดี มาฟังเรื่องลูกชายคนเล็กของคุณหน่อยแล้วกัน”

วสุธา มองหน้าฝาแฝดที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ แล้วเหลือบสายตาไปมองปาฏิหาริย์ผู้ถูกกล่าวถึงนั่งก้มหน้าราวกับรอการชำระความ เขานั่งลงข้างๆปารมี แล้วโอบกอดร่างปารมีไว้เป็นเชิงบอกว่าให้ใจเย็น

“ว่ามาสิคุณตาหวาน”

ปาฏิหาริย์สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เล่าเรื่อง ตั้งแต่ไปเจอภาคนิพนธ์ที่อเมริกา ตอนไปงานแต่งของธรณิน จนถึงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้

และแน่นอนว่าเหตุผลที่ปาฏิหาริย์ทำลงไป ไม่บอกปารมีก็รู้

“คุณทำเกินไปนะคุณตาหวาน”

ปารมีพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิชัดเจน

“เดี๋ยวก่อนสิปาม ที่ลูกทำน่ะ....”
“คุณดินไม่ต้องพูดเลยนะครับ”

ปารมีหันมาทำเสียงดุใส่วสุธา
“แต่ผมไม่เห็นว่าที่ลูกทำมันจะผิดเลยนะ”
“เฮ้อ........ตาต่อตาฟันต่อฟันสินะครับ”
ปารมีพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
ตัวเค้าเองอยู่ที่บ้านจอมไตรมากว่า 10 ปี เห็นวิธีการที่ผู้ชายบ้านนี้สอนลูกหลานแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงได้ทำธุรกิจได้ดีกันนัก ความเมตตาสงสารจะมีให้เฉพาะผู้ที่สมควรได้รับจริงๆ ลงโทษคนผิดโดยไม่ปราณี ใครที่คิดเป็นศัตรูกับคนเพียงคนเดียวของบ้านนี้ ก็ต้องเตรียมใจเป็นศัตรูกับทุกคนในบ้านได้เลย

ปารมีเห็นด้วยกับเรื่องที่สอนให้รักกันในครอบครัว แต่ว่าเรื่องการต่อสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และการชดใช้อย่างเท่าเทียม ในความคิดของพวกเขา แต่มันดูมากไปสำหรับคนอื่น เป็นสิ่งที่เถียงกันเสมอกับวสุธา

“แต่ผมคิดว่ามันเกินไป เด็กผู้ชายคนนั้นไม่ได้มารู้เห็นอะไรด้วยเลย แต่ต้องมารับกรรมไปเต็มๆ.....นี่ก็เห็นว่าถึงขนาดยอมไปหาพ่อเลี้ยงที่เกลียดนักเกลียดหนาเชียว คงหมดหนทางจริงๆ”

ปารมีพูดแล้วก็ลอบมองใบหน้าของปาฏิหาริย์ที่กระตุกขึ้นมาทันที เป็นปฏิกิริยาที่มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะสังเกตเห็น
“ก็ยังดีที่คุณพัลลภาเค้าไปพาออกมาทัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง”
คราวนี้ปาฏิหาริย์ลอบถอนหายใจเบาๆคล้ายโล่งอก ปารมีเห็นแล้วต้องแอบส่ายหน้า พร้อมหันไปมองหน้าวสุธา อีกฝ่ายเองก็คงสังเกตเห็นเหมือนกันเลยได้แต่พยักหน้ารับ

“ยังไงก็ตาม คราวนี้คุณปามโกรธจริงๆ เรื่องมันตั้งแต่สมัยไหน แก้แค้นไป เค้าแค้นมาไม่จบไม่สิ้น คุณปามไม่เอาหรอกนะ”

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ เค้าเกือบทำให้ครอบครัวเราแตกแยก เกือบทำลายครอบครัวเราเชียวนะครับ”

ปฐวีพูดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้

“เค้าแค่เกือบทำลายครอบครัวเรา แต่เราไปทำลายชีวิตเค้า ซึ่ง คนที่โดนทำลายชีวิตเต็มๆน่ะ เค้าไม่ได้ทำอะไรให้เราเลยใช่ไหม”

“..............”
“.............”
“..............”

“คุณปามไม่ได้บอกให้ไปแก้แค้นคุณพัลลภานะ ถ้าจะเอาคืนเล็กๆน้อยๆ คุณดินเองก็เคยทำไปแล้ว....ใช่รึเปล่าครับ?”

วสุธาจำต้องพยักหน้ารับ ตอนนั้นเค้าเองที่กดดันพัลลภาทุกทาง และเป็นต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้พัลลภากับนายมานิชแยกจากกันโดยเด็ดขาด....อย่างน้อยๆก็ทางพฤตินัยล่ะนะ

“ และการที่ไปหลอก แล้วหักหลังความเชื่อใจของคนอื่นน่ะ คุณปามเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าขออย่าได้ทำ”

“แต่ว่า.......”
“พอที ถ้ายังคิดกันไม่ได้ คุณปามก็ไม่มีอะไรจะพูด”

ปารมีว่าแล้วลุกขึ้น โดยไม่ฟังคำทัดทานจากใคร

วสุธาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ลูกๆเป็นเชิงว่าไม่สามารถช่วยได้

“ผมไม่เคยเห็นคุณปามโกรธขนาดนี้เลย”

ปฐวีแฝดคนพี่ถอนหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยใจ แม้ปารมีจะดุจะเตือนพวกเค้าตามประสาที่คนเป็นแม่(?)สมควรจะทำ แต่ว่าไม่มีครั้งไหนที่ปารมีจะโกรธมากขนาดนี้

“ปามไม่ชอบคนทรยศหักหลัง ตัวปามเองน่ะโดนแม่ทอดทิ้งหักหลังมาตั้งกี่ครั้ง ทั้งๆที่รักและไว้ใจแม่ตัวเองที่สุด”
วสุธาเฉลยเรื่องให้ฟังคร่าวๆ ชายหนุ่มทั้งสามคนเคยได้ยินเรื่องมาบ้างแล้ว ก็เข้าใจในทันที

“แล้วผมต้องทำยังไงต่อไปล่ะครับเนี่ย”

ปาฏิหาริย์กุมขมับ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรเพื่อให้ปารมีหายโกรธ

“เรื่องนั้น ลูกต้องคิดเองนะตาหวาน คุณปามของลูกสอนเสมอไม่ใช่หรือว่า เรียนผูกต้องรู้จักเรียนแก้น่ะ”

วสุธาพูดแบบนั้นพร้อมกับตบบ่าอย่างให้กำลังใจ แม้จะอยากช่วยลูกชายคนเล็กเพียงใด แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหากปารมีรู้ ต้องโกรธเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ๆ

...........................................
.......................................
...................................
...........................

TBC

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
ตอนที่ 9

ภาคนิพนธ์ถูไม้ม๊อบไปตามพื้นเช่นทุกวัน แม้วันนี้เค้าจะรู้สึกว่าไม้ที่ถืออยู่มันหนักกว่าเดิมก็ตาม ส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระนี้ออกไป ก็ไม้ม๊อปมันจะไปหนักกว่าทุกวันได้ยังไงล่ะ

เลิกคิดไร้สาระได้ก็จริง แต่พอไม่คิดเรื่องอะไรเลยความรู้สึกปวดตุบๆในหัวกลับเด่นชัดขึ้นมาแทน ภาคนิพนธ์หยุดเคลื่อนไหวพร้อมเดาะลิ้นด้วยความรำคาญใจ อาการแบบนี้เป็นมาหลายวันแล้ว และตัวเค้าเองก็รู้ว่ามันเกิดจากการนอนไม่พอ.....แต่ทำยังไงได้ล่ะเค้ายังจำเป็นต้องใช้เงินอยู่นี่

ร่างบางเริ่มถูไม้ออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไปโดนเท้าของคนที่มายืนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ขอโท......”

คำขอโทษถูกกลืนหายเข้าไปในคอทันทีที่ภาคนิพนธ์เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ปาฏิหาริย์มองใบหน้าซูบเซียวตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เค้าไม่ได้เห็นภาคนิพนธ์เลยตั้งแต่วันนั้น ตัวเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำเหมือนหลบหน้าไม่กล้าเจออีกฝ่ายด้วย แต่นั่นก็คือความจริง แค่คิดว่าต้องเจอภาคนิพนธ์ เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆมาแทงในอก หากแต่ตอนนี้สำหรับปาฏิหาริย์แล้วมันดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกอื่นอีก

“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

“แต่ผมไม่มี”

ภาคนิพนธ์หันหลังตั้งใจจะเดินหนีให้ห่างจากคนตรงหน้าทันที แต่ข้อมือแกร่งก็คว้าแขนร่างบางไว้ให้หยุดอยู่กับที่

“อ๊ะ....ปล่อยนะ”

“ฉันบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย นายอาจจะไม่ได้ยิน”

“ผมได้ยิน แล้วผมก็บอกคุณไปแล้วด้วยว่าผมไม่มี”

ภาคนิพนธ์ตอบกลับออกไป ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร..... ในที่สุด ปาฏิหาริย์เองที่เป็นคนทนไม่ไหว ยอมปล่อยมือจากร่างบาง

“ผมไม่อยากเจอหน้าคุณอีก คุณเองก็คงไม่อยากเจอผมเท่าไหร่ หวังว่าเราจะไม่ต้องเจอกันอีก”

ภาคนิพนธ์ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังเดินออกมา แม้ว่าขอบตาจะร้อนผ่าวเพราะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ภาคนิพนธ์ก็ท่องไว้ในใจ ว่าจะไม่ยอมร้องไห้ต่อหน้าปาฏิหาริย์เป็นอันขาด

แม้ว่าจะรู้สึกเวียนหัวแทบขาดใจ แต่ภาคนิพนธ์ก็ยังพยายามฝืนเดินให้ตรงทางโดยไม่โซเซ ปาฏิหาริย์มองร่างที่ไม่แม้แต่คิดจะหันกลับมาอย่างตัดใจ พอเอาเข้าจริงๆก็ไม่สามารถบังคับภาคนิพนธ์ให้รับฟังและทำตามเค้าได้ ทั้งที่คิดว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้อีกฝ่ายยอมให้ได้แท้ๆ ปาฏิหาริย์ยิ้มให้ตัวเองอย่างสมเพชก่อนจะหมุนตัวกลับไปทางที่ตนมา



ตุ๊บ.....



เสียงอะไรกระแทกพื้นไม่ไกลนักเรียกความสนใจของปาฏิหาริย์ได้อีกครั้ง และนั่นทำให้เค้าต้องรีบถลาเข้าไปทางต้นเสียงทันที

ร่างที่ยังเดินหนีเค้าอยู่เมื่อครู่กองอยู่ที่พื้นอย่างหมดสภาพ คนที่ยังต่อร้องต่อเถียงกับเค้าก่อนหน้านี้หมดสติไปเสียแล้ว ปาฏิหาริย์รีบอุ้มร่างบางขึ้นมาและตรงไปยังรถของตนทันที



...................................

“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่ผักผ่อนไม่พอ ผลการเอ็กซเรย์ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่มีตรงไหนแตกหัก แค่ฟกช้ำเท่านั้นครับ น้ำเกลือหมดก็กลับได้แล้วครับ”

หมอรายงานอาการของภาคนิพนธ์ที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงอย่างค่อนข้างหวาดหวั่นเล็กน้อย

ก็ท่าทางนิ่งขรึมของปาฏิหาริย์ที่แสดงออกมานั้นถึงจะนิ่งเฉย แต่รัศมีกดดันที่แผ่ไปทั่วบริเวณนี้ ทำให้คุณหมออดหวาดหวั่นไม่ได้ เพราะถึงจะอายุน้อยกว่าหมอเกือบสองรอบ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่ง แล้วก็หันไปมองคนไข้ของตนพลางนึกถึงตอนที่ปาฏิหาริย์อุ้มร่างคนที่นอนบนเตียงมาด้วยความเร่งรีบและบอกให้เรียกหมอมาตรวจโดยด่วนนั้น ทำเอาเจ้าหน้าที่ทั้งโรงพยาบาลแตกตื่นกันเป็นการใหญ่ นั่นพอจะบอกได้ดีถึงความสำคัญของคนไข้คนนี้

“ขอบคุณคุณหมอมากครับ”

ปาฏิหาริย์เอ่ยหลังจากเงียบไปนาน คุณหมอจึงได้โอกาสขอตัวออกไปทำงานต่อ

ร่างสูงมองร่างบนเตียงแล้วถอนหายใจออกมา ไม่มีใครรู้ได้ว่าการถอนหายใจครั้งนี้ของปาฏิหาริย์เป็นเพราะอะไร หรือมีความหมายว่าอย่างไร ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่ตัวปาฏิหาริย์เอง ก็อาจจะไม่เข้าใจตัวเองด้วยเช่นกัน



..............................



ภาคนิพนธ์ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องไม่คุ้นตาห้องหนึ่ง เค้าพยายามเรียบเรียงความคิดว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ไม่ว่าจะพยายามค้นในซอกความทรงจำใด ก็ไม่มีเลย ร่างบางลุกขึ้นช้าๆเพื่อไล่อาการมึนหัวเล็กๆออกไปให้หมด เป้าหมายคือชั้นวางหนังสือที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงที่เค้านอนนัก ที่นั่นมีกรอบรูปเล็กๆตั้งอยู่

ภาคนิพนธ์เอื้อมมือไปหยิบมาดูก่อนจะปล่อยมือทันทีราวกับเจอของร้อน



กรอบรูปหล่นลงพื้นแต่มันไม่แตก.. ใช่ ...ไม่แตก เพราะพื้นห้องนี้บุด้วยพรมอย่างดีทั้งห้อง แม้มันจะเดินได้นุ่มเท้าเพียงใด แต่ภาคนิพนธ์ก็ไม่อยากอยู่ที่ห้องนี้นานไปกว่านี้อีกแล้ว



“ตื่นแล้วหรือ”



เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง ใกล้ๆตัว ทำเอาภาคนิพนธ์สะดุ้งและกระเถิบหนีทันที ปาฏิหาริย์มองกิริยาของคนตรงหน้าด้วยอาการวางเฉย เพราะเค้ารู้อยู่แล้ว่าอาการของภาคนิพนธ์จะต้องเป็นแบบนี้ และเพราะเค้าเองที่ทำให้ร่างบางมีอาการแบบนี้เวลาที่อยู่กับเค้า



ร่างสูงก้มลงเก็บรูปครอบครัวที่หล่นลงพื้น และนำกลับมาวางที่เดิมอย่างเงียบเชียบ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา



ภาคนิพนธ์ยังคงสับสนมึนงงไม่เข้าใจ



ปาฏิหาริย์ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องเริ่มพูดยังไง ตรงไหน



“ที่นี่ที่ไหน”

ในที่สุด ก็ต้องมีฝั่งหนึ่งที่หมดความอดทนก่อน

“บ้านฉันเอง บ้านจอมไตร”

“ผมจะกลับ”

ทันทีที่รู้ว่าเป็นที่ไหน นี่คือสิ่งแรกที่ภาคนิพนธ์คิดได้ และพูดออกมา

“ฉันมีเรื่องต้องพูดกับนาย”

“แต่ผมไม่มี”

ประโยคเถียงกันเดิมๆก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้สินะ ปาฏิหาริย์คิดในใจอย่างสมเพชตัวเองที่ไม่สามารถพูดอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้ ทั้งๆที่เค้าสามารถเจรจาธุรกิจหลายล้านได้ตั้งแต่อยู่ม.ปลายแท้ๆ แต่ทำไมแค่พูดเรื่องสั้นๆกับคนตรงหน้ามันถึงได้ยากได้เย็นนัก

“เฮ้อ......ฉันว่านายน่าจะลองฟังดูก่อน”

ในทีสุด ปาฏิหาริย์ก็เริ่มพยายามอีกครั้ง

“.........”

“ฉันอยากให้นายกลับมาคบกับฉันอีกครั้ง”

“.................................”

“..................................”

“.....................................”

“.......................................”

“คุณต้องบ้าไปแล้วแน่”

หลังจากที่เงียบกันไปชั่วอึดใจ ในที่สุด ภาคนิพนธ์ก็พูดออกมา

“............”

ปาฏิหาริย์ไม่ตอบ แต่ใช่ แม้แต่เจ้าตัวก็คิดว่าตัวเองต้องบ้าไปแล้วแล้วแน่ๆ

“ตอนนี้นายกำลังลำบากใช่ไหม ฉันจะช่วยนาย แต่นายต้องกลับมาคบกับฉัน”

“................”

ภาคนิพนธ์มองปาฏิหาริย์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม จะช่วย ? ก็ที่เค้าลำบากอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะปาฏิหาริย์เองไม่ใช่หรือไง แล้วเค้าไม่คิดว่าคนที่ทิ้งเค้าไป และทำร้ายเค้าอย่างเลือดเย็นตรงหน้านี้จะอยากกลับมาคบกับเค้าจริงๆหรอก......หรือว่ามันจะเป็นไปได้....

“แม่นายมาหาคุณปามใช่ไหม นั่นทำให้คุณปามไม่พอใจฉันมาก”

เหตุผลสั้นๆที่พูดออกมาทำให้ภาคนิพนธ์หยุดความคิดใดๆไว้ รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้า เค้าไม่ได้เหยียดอะไรปาฏิหาริย์ แต่กำลังเยาะเย้ยตัวเองต่างหาก เยาะเย้ยที่ทั้งๆที่โดนคนตรงหน้านี้ทำร้ายมาเท่าไหร่ แต่ก็ยังไปเผลอใจคิดอะไรเข้าข้างตัวเองเมื่อปาฏิหาริย์มาขอให้คบด้วยอีกครั้งเมื่อครู่นี้ได้



“ผมไม่ตกลง”

“นายจะสบายขึ้น ฉันจะหางานที่เหมาะสมให้นายทำ และแน่นอนว่าหลังจากเลิกกันแล้ว จะไม่มีการสั่งแบนนายอีก”

“...............”

ที่ภาคนิพนธ์เงียบ ไม่ใช่เพราะว่ากำลังคิดตามข้อเสนอของปาฏิหาริย์ แต่ที่เงียบ เพราะว่ากำลังอึ้งกับสิ่งที่ออกจากปากผู้ชายคนนี้ คนที่ตนรัก ยังรักอยู่แม้เค้าจะทำร้ายตนเองมากมาย รักทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยสนใจใยดีตนเองเลย คนที่พูดจาราวกับดูถูกกัน ราวกับตัวเค้าสามารถนำไปทำอะไรก็ได้ ราวกับเค้าเป็นสิ่งของ หาซื้อได้ด้วยเงิน ด้วยหน้าที่การงาน ...........แต่ทั้งๆที่โดนดูถูกเหยียดหยามมากขนาดนี้ ทำไมนะ ทำไม ทำไมเค้าถึงยังรักอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง

ความเงียบเข้าครอบคลุม เมื่อปาฏิหาริย์ยังไม่ได้คำตอบ และภาคนิพนธ์ยังไม่สามารถจะคิดหาคำตอบได้ ความรู้สึกมันตีกันยุ่งไปหมด

“นายอาจจะอยากได้เวลาคิด แต่ช่วงนี้ขอให้อยู่ที่นี่ไปก่อน”

นั่นมันมัดมือชกกันไม่ใช่หรือไง

แม้จะอยากพูดอย่างนั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายเดินหนีออกไปแล้ว ภาคนิพนธ์จะทำอะไรได้ ... หรือไม่ก็ไม่อยากจะทำอะไร

ร่างสูงยืนพิงกำแพงข้างประตูหน้าห้องตนเองแล้วหลับตาอย่างคนอ่อนแรง ปาฏิหาริย์ไม่ได้เดินไปไหนไกลกว่าหน้าห้องเลย ใช่เขายืนรออยู่ตรงนี้ รอ...หากว่าภาคนิพนธ์ขัดข้อง ไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ปาฏิหาริย์ก็พร้อมจะพาอีกฝ่ายไปส่งในที่ๆอยากไป ... ถึงแม้จะอยากรั้งไว้และบังคับอย่างไร แต่ปาฏิหาริย์รู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอย่างนั้นได้เลย

สิ่งที่ทำให้ปาฏิหาริย์ตัดสินใจไปรับภาคนิพนธ์กลับมาคือการที่ได้พูดคุยกับวสุธาผู้เป็นพ่อซึ่งเข้ามาคุยกับปาฏิหาริย์เพียงลำพังเมื่อเช้านี้

................................

“บางครั้งคนเราก็รักทั้งที่คิดว่าตัวเองเกลียด และมันคงจะแย่ถ้าคิดว่าเกลียดจนทำให้อีกฝ่ายเกลียดเราไปด้วย ทั้งๆที่ที่จริง เรารักเขาต่างหาก”

ปาฏิหาริย์เข้าใจว่าวสุธาหมายความว่าอย่างไร ชายหนุ่มอ้าปากคล้ายจะค้านความคิดของผู้เป็นพ่อแต่วสุธาก็พูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปาก

“ ... พ่อเคยพลาดที่ใช้กำลังกับคุณปาม กว่าจะทำให้อะไรๆมันลงตัวมันต้องอาศัยทั้งความมั่นคง จริงใจ สถานการณ์ เวลา และคนอื่น โดยเฉพาะตาหวานหากไม่มีลูก พ่อกับคุณปามคงไม่มีทางมีวันนี้”

ปาฏิหาริย์รู้เรื่องของคุณพ่อ คุณปาม และตัวเองดีอยู่แล้วเพราะว่าพี่ๆกรอกหูให้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ทำไมวสุธาถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ลูกน่ะเป็นเด็กที่พิเศษกว่าใครในบ้าน ทุกคนจึงรักและตามใจมาก บางครั้งพ่อเองก็คิดว่ามันมากจนเกินไป ... แต่พ่อก็ว่าอะไรใครไม่ได้เพราะหากจะถามว่าใครที่ตามใจตาหวานมากที่สุด ก็คงเป็นพ่อเอง”

จริงอย่างที่สุด วสุธาและทุกคนในบ้านจอมไตรรักและเอาใจใส่ปาฏิหาริย์มาก ไม่ว่าจะอะไรหากอยากได้ก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งรีบหามาให้ทันที โดยเฉพาะวสุธาที่ไม่เคยขัดเลยไม่ว่าลูกชายคนนี้จะอยากทำอะไรหรืออยากได้อะไร จะมีก็เพียงปารมีคนเดียวที่ไม่ค่อยตามใจ หากแต่ปารมีแค่คนเดียวจะขัดคนทั้งบ้านได้อย่างไร

“เพราะอย่างนั้นไม่ว่าลูกอยากทำอะไรก็เลยไม่ค่อยมีใครทัดทาน จนลูกมั่นใจในความคิดตัวเองไปเสียหมด แต่คราวนี้พ่ออยากให้ลูกคิดดีๆ พ่อจะไม่เป็นคนตัดสินความรู้สึกของลูกหรอกนะว่ามันคืออะไร แต่ก่อนที่ลูกจะสรุปมันด้วยอคติ ความน่าจะเป็น แผนการ หรืออะไรก็ตาม พ่ออยากให้ลูกลองใช้หัวใจตัวเองตัดสินดูบ้าง แม้ลูกจะตัดสินไปแล้วพ่อก็อยากให้ลูกลองคิดดูใหม่ คิดอย่างรอบคอบไม่ใช่แค่สมองแต่ด้วยหัวใจ แล้วไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ลูกก็ยังเป็นลูก เป็นตาหวานของบ้านที่ทุกคนรักและตามใจเหมือนเดิม”

ปาฏิหาริย์มองใบหน้าของบิดาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มล้อเลียนในตอนท้าย แต่ทุกคำพูดนั้นแฝงเอาไว้ซึ่งความอบอุ่น เจ้าตัวอดดีใจไม่ได้ที่ได้เกิดมาและเติบโตในบ้านจอมไตรแห่งนี้ ชายหนุ่มคิดและคล้อยตามในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูด ... ที่จริงปาฏิหาริย์อาจจะกำลังรอให้ใครสักคนมาพูดแบบนี้กับตนก็ได้ ใครสักคนที่จะบอกกับปาฏิหาริย์ว่าปาฏิหาริย์สามารถที่จะคิดกับภาคนิพนธ์ยังไงก็ได้ ใครสักคนที่จะบอกว่าแม้ว่าจะหลงรักภาคนิพนธ์ยังไงครอบครัวก็ยังจะเป็นครอบครัว

หลายคนอาจจะมองว่าปาฏิหาริย์เลือดเย็นทำร้ายได้แม้แต่กับคนที่รักตนเองและดูเหมือนจะมีแค่ตนเท่านั้นที่ทำอย่างนั้นกับภาคนิพนธ์ได้

ปาฏิหาริย์เองก็อยากจะเป็นคนเลือดเย็นอย่างนั้น จะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไร เพราะสิ่งที่ทำไปถือว่าให้บทลงโทษแก่คนที่เคยทำร้ายครอบครัวของตน แม้จะต้องลากเอาคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วยก็ไม่เป็นไร เจ้าตัวพร้อมที่จะเป็นคนใจร้าย

แต่คนใจร้ายคนนี้กลับไม่ได้ไม่รู้สึกอะไรอย่างที่อยากจะให้เป็น ต้องคอยหลอกตัวเองและคนอื่นว่าไม่เป็นไร ต้องคอยหาอะไรทำเพื่อให้ลืมความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกส่วนลึกที่ไม่อยากเอื้อมมือไปแตะเพราะกลัวว่ามันจะเจ็บ จะเกิดแผล กลัวว่ามันจะมีอิทธิพลต่อตัวเองมากจนเกินไป กลัว ปาฏิหาริย์กลัวเหลือเกินว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะนำพาทำให้ครอบครัวแตกแยก ... สำหรับคนที่รักครอบครัวมากที่สุดอย่างปาฏิหาริย์แล้ว แม้จะมีความเสี่ยงเพียงน้อยนิดเขาก็ไม่มีทางจะทำให้มันเกิดโดยเด็ดขาด

“เมื่อลูกรักใคร เชื่อเถอะว่าทุกคนก็พร้อมจะรักกับลูกด้วย เพราะงั้นทำตามหัวใจตัวเองเรียกร้องบ้างก็ได้นะ”

ราวกับแสงไฟที่ถูกจุดขึ้นในค่ำคืนมืดมิด หนทางที่จะก้าวเดินปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ได้หยุดนิ่งเพราะมองไม่เห็นทางไป

“ค่อยๆคิดก็ได้ ลูกไม่จำเป็นต้องคิดมันให้ได้ตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องตัดสินมันในเวลานี้”

“แต่ผมก็ทำเรื่องแย่ๆลงไปแล้ว”

ราวกับพูดออกมาโดยยังไม่ทันคิด แม้จะบอกว่ามันไม่ผิดที่จะแก้แค้น แต่เมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องแย่ ก็แปลว่าเจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไหร่ที่ทำๆลงไป

“ถ้าลูกคิดว่ามันผิด ก็ต้องขอโทษและไถ่โทษ จริงไหม แล้วค่อยลองมองอย่างจริงจังว่าเขาสำคัญกับลูกหรือเปล่า”

“แล้วเขา...จะยอมกลับมาหรือครับคุณพ่อ”

วสุธาส่งรอยยิ้มให้กับลูกชายคนเล็กของตัวเอง ปาฏิหาริย์กังวลใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นเด็กเอาแต่ใจและมีแต่คนตามใจ รอบข้างมีแต่คนที่พร้อมจะให้ปาฏิหาริย์ด้วยกันทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ปาฏิหาริย์เชื่อมั่นในความคิดตัวเอง เพราะน้อยนักที่จะมีใครขัด และเพราะเชื่อมั่นจึงกลับลำได้ยาก ที่จริงปาฏิหาริย์อาจจะรอมานานแล้วก็ได้ที่จะให้มีใครสั่งหรือบอกให้ทำแบบนี้

ปาฏิหาริย์เชื่อมั่นจนทำลายความคิดตัวเองไม่ได้

และก็รอที่จะให้ใครมาแนะนำชี้ทาง

โชคดีที่ปาฏิหาริย์มีพ่อที่เข้าใจและตามใจ หากปาฏิหาริย์ต้องการให้วสุธาช่วยตัดสินใจ แม้ไม่ต้องเอ่ยปาก เจ้าตัวก็พร้อมจะเข้าช่วยเหลือ

“พ่อเชื่อว่าลูกมีวิธีอยู่แล้ว”

ตบบ่าให้กำลังใจลูกชายเบาๆ แม้จะอยากช่วยเหลือมากกว่านี้ แต่หากช่วยไปเสียหมด ลูกชายคนเล็กก็จะไม่ได้เรียนรู้ วสุธาออกมาจากห้องทำงานของลูกชายคนเล็ก ปล่อยให้เจ้าตัวได้นั่งคิดอะไรเงียบๆคนเดียว ... อย่างที่ปารมีบอก เรียนผูกเองก็ต้องรู้จักเรียนแก้เอง

........................................

ภาคนิพนธ์ดื้อจนสามารถออกมาเยี่ยมแม่ได้ในวันถัดมา ...

เมื่อวานนี้หลังจากนั้นภาคนิพนธ์ก็ไม่ได้เจอปาฏิหาริย์อีก มีคนยกข้าวมาให้ภาคนิพนธ์ในห้อง ภาคนิพนธ์จึงไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหน และเจ้าตัวก็หยิ่งเกินกว่าที่จะเอ่ยปากถามถึงเจ้าของห้อง

มาเจอปาฏิหาริย์อีกครั้งในตอนเช้า ดูเหมือนเจ้าตัวจะไปนอนที่ห้องอื่นแต่ชุดที่จะใช้คงอยู่ในห้องนี้ ร่างบางบอกกับปาฏิหาริย์ว่าจะไปหาแม่ แม้ตอนแรกจะโดนค้าน แต่เมื่อยืนยันหนักแน่นปาฏิหาริย์ก็ยอมมาส่งให้ที่โรงพยาบาล

เจ้าตัวไม่ได้ถามเอาคำตอบ แต่ภาคนิพนธ์ก็รู้ว่าปาฏิหาริย์กำลังรอคำตอบอยู่อย่างเงียบๆ

“เป็นอะไรไปหรือลูกภาค”

พัลลภาถามลูกชายเมื่อเห็นลูกยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ซึ่งผิดวิสัยที่ลูกชายจะทำ

“เขามาขอให้ผมช่วยคบกับเขาครับแม่ เพราะดูเหมือนเขาจะเดือดร้อนที่แม่ไปบ้านจอมไตรคราวนั้น”

ไม่ต้องเอ่ยชื่อพัลลภาก็รู้ว่าลูกชายพูดถึงใคร เธอวางมือจากการถักไหมพรมซึ่งเธอเริ่มทำเป็นงานอดิเรกตามคำแนะนำของแพทย์แล้วเงยหน้ามองลูกชายอย่างจริงจัง

“แล้วลูกตอบเขาไปว่ายังไง”

“ผมปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาบอกให้ผมมาคิดดูใหม่ แต่ผมคงปฏิเสธเขาอีกอยู่ดี”

พัลลภาถอนหายใจ ใบหน้าลูกชายแม้จะยังคงความนิ่ง แต่เธอรู้ว่าลูกชายเธอเจ็บมากเหลือเกิน ... และความเจ็บครั้งนี้ มันไม่ใช่เพราะใครเลย มันเป็นเพราะเธอเอง เพราะเรื่องแย่ๆที่เธอเคยทำเอาไว้ในอดีต

“ภาค มานั่งตรงนี้สิลูก”

เรียกพลางตบลงบนเตียงข้างตัวเอง เธอคิดว่า บางทีเธอควรเล่าเรื่องในอดีตให้ลูกชายเธอได้รู้ พัลลภาเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมันมาโดยตลอดเพราะกลัวว่าหากลูกชายเธอรู้อาจจะเกลียดเธอ ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะกลับมาดีนี้อาจจะเปลี่ยนไป แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว หากเธอไม่พูดภาคนิพนธ์ก็จะไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองต้องโดนทำร้าย หากคนที่เจ็บจากการกระทำเมื่อครั้งอดีตของเธอคือลูกชาย เธอคิดว่ามันก็สมควรที่จะให้ลูกชายเธอได้รู้

.....................................



“....ตกลง ผมจะยอมกลับไปคบกับคุณ”

ภาคนิพนธ์พูดขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมารับตัวเองในเย็นวันนั้น......ที่ตกลง...... ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขที่อีกฝ่ายให้มา ไม่ใช่เพราะเงินหรือเพราะอะไร แต่เพราะพัลลภาเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วภาคนิพนธ์ก็คิดว่าตัวเองต้องมีส่วนช่วยชดใช้ให้ครอบครัวนี้ด้วย ที่สำคัญภาคนิพนธ์รู้ตัวดีว่าไม่สามารถใจร้ายกับอีกฝ่ายได้ แม้จะเสียใจที่โดนหักหลัง แต่เมื่อรับรู้เรื่องราวความหลังแล้วความโกรธที่เคยมีกลับหมดไป แม้จะเจ็บแต่ภาคนิพนธ์คิดว่าตัวเองควรทำอะไรให้อีกฝ่ายบ้าง ... ถือว่าได้ชดใช้ความผิดในอดีตของผู้เป็นแม่ ... ถือว่าได้ทำอะไรบ้างให้คนที่ตนเองรัก แม้มันจะเจ็บและอาจจะต้องเจ็บมากขึ้น เจ้าตัวก็จะทน ... อีกอย่างก็ใช่ว่าภาคนิพนธ์จะไม่ได้อะไรจากการกระทำครั้งนี้ อย่างน้อยๆก็ได้กลับไปอยู่ข้างๆ ...คนโง่ที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รักตน แต่ก็ยังดีใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ ภาคนิพนธ์ได้แต่ด่าตัวเอง ว่า งี่เง่า งี่เง่า งี่เง่า อยู่ในใจ

คำตอบที่ได้รับทำเอาปาฏิหาริย์หลุดรอยยิ้มเบาบางออกมา รอยยิ้มที่ทำให้ภาคนิพนธ์ต้องหันหน้าหนี เพราะแม้มันจะเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ แต่สายตาของปาฏิหาริย์บอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวยินดีแค่ไหน ร่างบางเมินมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยคำถัดมา ... คำที่ทำให้รอยยิ้มและความยินดีของปาฏิหาริย์จางไป

“ผมจะต้องคบกับคุณนานแค่ไหน”

คำถามที่ปาฏิหาริย์หาคำตอบไม่ได้ ไม่ใช่สิ คำตอบมันไม่สามารถบอกออกไปได้ต่างหาก เมื่อเจ้าตัวตอบตัวเองได้ในทันทีเลยว่าเขาไม่อยากจำกัดเวลาที่จะคบกับอีกฝ่ายเลยสักนิด

“นายคิดว่า....นานเท่าไหร่ดีล่ะ”

เสียงแผ่วเบาไม่เข้ากับนิสัยเจ้าตัวแบบนี้ทำให้ภาคนิพนธ์สงสัยอารมณ์คนพูดเล็กน้อย แต่ก็ปัดความสงสัยนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

“ผมไม่รู้หรอก แต่คุณควรกำหนดให้แน่นอน”

เพื่อผมจะได้รู้ตัวตลอดเวลา และทำใจไว้เสมอ ภาคนิพนธ์ต่อประโยคในใจเพราะไม่คิดจะพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน อย่างน้อยๆก็จะได้รู้ตัวก่อน เมื่อต้องจากกันจริงๆ ภาคนิพนธ์ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองคงทำใจได้มากพอ

“หกเดือน...คงได้ใช่ไหม”

“ครับ ...หกเดือน”

“อืม”

ปาฏิหาริย์รับคำเสียงเบา เบาเกินกว่าปกติ เบาเกินไปสำหรับคนที่มั่นใจในตัวเองเสมออย่างปาฏิหาริย์ แต่ภาคนิพนธ์ไม่ได้สังเกตเห็น เพราะว่ากำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองเช่นกัน

“แล้วแม่นาย”

“ผมบอกแม่ไว้แล้ว”

ปาฏิหาริย์ก็ได้แต่พยักหน้า เค้าเองแม้จะไม่ค่อยชอบพัลลภาเท่าไหร่ ด้วยหลายๆเรื่อง แต่ถึงยังไงอีกฝ่ายก็เป็นแม่ของภาคนิพนธ์ ทำให้เค้าไม่อยากโกหกเธออีกครั้ง...........................

ทั้งสองคนจมอยู่กับความเงียบ มีเพียงเสียงแอร์และเพลงจากซีดีเบาๆเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างเมินมองกันไปคนละทาง หากแม้จะเหลียวมองกันสักนิด คงมองเห็นความทรมานใจของอีกฝ่ายได้ชัดเจน

.......................................................

“ลูกเป็นเด็กดี เข้มแข็ง และอ่อนโยน เหมือนคุณเลย อยากให้คุณได้เห็นจริงๆ”

พัลลภาพูดกับรูปของสามีตามกฏหมายคนแรกของเธอ คนที่ภาคนิพนธ์เรียกว่าพ่อ เธอน้ำตาคลอเล็กน้อยยามคิดถึงผู้ชายในรูป คนที่รักเธออย่างจริงใจแม้เธอจะทำผิดและทำให้เขาต้องเจ็บหลายต่อหลายครั้ง ผู้ชายที่รักลูกของเธอราวกับลูกของตนเอง และคงเป็นคนถ่ายทอดเอาความอ่อนโยนส่งมาให้ลูกชายเธอ

ยามเมื่อเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังจบ พัลลภาดีใจที่ภาคนิพนธ์ไม่โกรธหรือเกลียดตนไป ลูกชายของเธอบีบมือให้กำลังใจเธอเบาๆ ให้เธอรู้ว่าแม้จะเคยทำเรื่องเลวร้ายในอดีตมามากแค่ไหน แต่ลูกชายเธอก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอในเวลานี้

“ผมจะยอมกลับไปคบกับเขานะครับแม่”

“ลูกคิดดีแล้วหรือภาค”

พัลลภาถามลูกชายถามด้วยความเป็นห่วง ที่เล่าให้ฟังเพราะเธออยากให้ลูกชายเข้าใจว่าทำไมเรื่องร้ายๆถึงได้เกิดกับตนเอง แต่เธอไม่ได้ต้องการให้ลูกชายใช้ตัวเองชดใช้ความผิดแทนเธอ

“ครับ ผมคิดดีแล้ว”

ภาคนิพนธ์ย้ำเสียงหนักแน่น

ถึงจะไม่ค่อยได้คลุกคลีกันนักตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เพราะเป็นแม่ลูกกัน ทำไมพัลลภาจะดูไม่ออก

ประกายตาของลูกชายยามพูดถึงปาฏิหาริย์นั้น แม้จะดูเศร้าไปบ้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยความรัก ... รักและพร้อมจะเจ็บได้เพื่ออีกฝ่าย เหมือนที่พ่อของภาคนิพนธ์ยอมเจ็บเสมอเพื่อเธอ

เธอก็ได้แต่หวัง หวังว่าปาฏิหาริย์จะไม่ทำร้ายจิตใจภาคนิพนธ์อีก และหวังว่าภาคนิพนธ์จะไม่ทำร้ายหัวใจตัวเองด้วยเช่นกัน อย่าให้เหมือนเธอที่มาคิดได้เมื่อสายไป เมื่ออีกฝ่ายไม่อยู่ตรงนี้แล้ว มือเล็กๆจับกรอบรูปไว้อย่างทะนุถนอม

“ขอให้ลูกมีความสุขสักที คุณเองก็คอยช่วยลูกด้วยนะคะ”

..............................................


มีต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน แถมคราวก่อนยังเสียมารยาทกับคุณอีก”

ภาคนิพนธ์พูดกับปรามีด้วยความเกรงใจ เมื่อปาฏิหาริย์สั่งคนไปขนของจากห้องเช่าเล็กๆของเค้ามาไว้ที่บ้านจอมไตรจนหมด แถมยังมีข้าวของใหม่ๆที่ปาฏิหาริย์ซื้อมาเพิ่มอีก แน่นอนว่าเมื่อภาคนิพนธ์ไม่อยู่คนที่มาจัดของไว้ให้ก็คือปรามี

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กลับมาดีกันจริงๆหรือ ตาหวานคงไม่ได้ไปบังคับมาใช่ไหมครับนี่”

ภาคนิพนธ์ยิ้มแต่ไม่ยอมสบตาด้วย เจ้าตัวเสไปมองทางประตู พลางคิดอยากให้ปาฏิหาริย์โผล่มาเสียที

แต่เปล่าเลย ไม่มีแม้แต่เงาของร่างสูง ... เพราะงั้น เมื่อคนถามยังนิ่งรอฟังคำตอบ ภาคนิพนธ์จึงเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายพลางตอบอย่างหนักแน่น

“ไม่ได้บังคับหรอกครับ แต่เพราะ...รัก”

คำพูดบางเบาในช่วงท้ายประโยคเรียกรอยยิ้มพอใจจากปารมีได้เต็มใบหน้า คำพูดที่พูดออกมาว่ารักนั้น แม้จะเบาเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินเข้า แต่แววตาที่แสดงออกมาก็บอกปารมีได้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก และก่อนที่ปารมีจะได้ถามอะไรมากกว่านั้น คนตัวสูงที่ภาคนิพนธ์ภาวนาให้ช่วยมาขัดจังหวะเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาในห้องพอดี ... ถึงแม้จะมาช้าไปนิดสำหรับภาคนิพนธ์ก็เถอะ

“คุณปามครับ คุณพ่อถามว่าเนคไทสีฟ้าที่มีลายตัวอักษรอยู่ตรงไหนน่ะครับ”

ปาฏิหาริย์ถามปารมีตามที่วสุธาใช้ให้มา แล้วเลยมองเลยไปยังอีกคนในห้องซึ่งกำลังมองมาที่เขาอย่างค้อนๆ นั่นทำให้ปาฏิหาริย์ได้แต่งง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองได้ไปทำอะไรให้อีกฝ่ายเมื่อไหร่

“งั้นขอตัวก่อนนะ”

ปารมีบอกกับภาคนิพนธ์ด้วยรอยยิ้มแล้วรีบเดินออกไปเพราะคุณเจ้าของบ้านที่ดูเหมือนว่าตั้งแต่มีปารมีเข้ามาในชีวิต จะเป็นโรคหาอะไรไม่เจอตลอด แล้วก็ต้องเป็นปารมีที่หาให้เท่านั้น ทั้งๆที่บางครั้ง ปารมีไม่ใช่คนเก็บเสียหน่อย

“มีอะไรรึเปล่า”

ปาฏิหาริย์เอ่ยถามเมื่อปรามีเดินออกไปแล้ว

“เปล่าครับ”

ว่าแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับการจัดข้าวของต่อไป

ปาฏิหาริย์นั่งลงตรงขอบเตียง มองคนตรงหน้าจัดข้าวของด้วยความเพลินใจอย่างไม่รู้ตัว เค้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมร่างตรงหน้าถึงได้สะกดตาสะกดใจเค้านัก

“จะจ้องผมอีกนานไหมครับ”

ภาคนิพนธ์ที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ถามด้วยเสียงสะบัดๆราวกับกำลังไม่พอใจเต็มที่ทั้งๆที่ใบหน้าเนียนนั้นขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด

ปาฏิหาริย์อมยิ้ม เค้าชอบจัง บรรยากาศแบบนี้ เหมือนกลับไปเมื่อครั้งยังอยู่ที่คอนโดด้วยกัน

แม้จะหวั่นใจว่าภาคนิพนธ์อาจจะยังโกรธอยู่ แม้จะข้องใจในการตอบรับอย่างง่ายดายของภาคนิพนธ์ แต่ที่เจ้าตัวแสดงออกมาก็ทำเอาเค้าเบาใจได้ไปได้เยอะ ภาคนิพนธ์อาจจะยังมึนๆตึงๆใส่เค้า แต่ก็เฉพาะตอนที่นึกได้ แต่ตอนเผลอๆลืมๆ ภาคนิพนธ์ก็ทำตัวเหมือนเดิม เหมือนก่อนเกิดเรื่องไม่มีผิด

“ถ้าว่างมานั่งจ้องผม คุณมาช่วยจัดของจะดีกว่าไหมครับ”

ร่างบางต่อว่ากลายๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ทำตามที่พูด แค่อยากประชด แค่อยากให้ปาฏิหาริย์เลิกมอง แต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นจากที่นอน หยิบเอาของจากกล่องออกมาอย่างต้องการจะช่วยจริงๆ

แล้วภาคนิพนธ์ก็เริ่มสำนึกว่าไม่ควรไปประชดปาฏิหาริย์แบบนั้น

คนตัวโตเข้ามาช่วย แต่...มาช่วยให้ยุ่งซะมากกว่า

“คุณ ตั้งไว้ตรงนั้นมันเกะกะนะครับ”

“แต่ฉันว่าตั้งตรงนี้สวยดีออก”

“แต่มันเกะกะนะครับ”

ทั้งสองคนยังคงเถียงกันเรื่องการจัดห้องเล็กๆน้อยๆไปเรื่อยๆ ทำเอาปรามีที่เดินกลับมาเพื่อจะช่วยจัดของอดอมยิ้มไม่ได้ เจ้าตัวมองภาพทั้งสองคนเถียงกันก่อนจะค่อยๆเดินจากไปอย่างเงียบๆ ปรามีไม่รู้ว่าทำไมภาคนิพนธ์ถึงได้ยอมกลับมาดีกับปาฏิหาริย์ จะเพราะรักอย่างที่เจ้าตัวพูดออกมาจริงๆหรือไม่ แต่ไม่ว่ามันจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามเค้าก็คิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีของทั้งสองคน

.......................................................

“ทำไมต้องนอนเตียงเดียวกันด้วย”

ภาคนิพนธ์ถามเสียงสูงอย่างไม่ชอบใจ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้านอนแล้วเพิ่งนึกได้ว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเครื่องนอนที่ไหนอีก

“หืม....”

คนโดนถามหันหน้ามามองร่างบางที่อยู่ในชุดนอน แล้วก็รีบหันกลับมาเพราะกลัวว่าจะเผยรอยยิ้มออกไป ภาคนิพนธ์อยู่ในชุดนอนที่เขาเป็นคนซื้อให้ อันที่จริงปาฏิหาริย์สังเกตเห็นตั้งแต่ตอนเก็บของเมื่อกลางวันแล้วว่าภาคนิพนธ์ยังคงเก็บของที่ตนซื้อให้ไว้อยู่ไม่ได้ทิ้งไปอย่างที่ปาฏิหาริย์คิด แต่ดูแล้วระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันสิ่งของเหล่านั้นคงไม่เคยถูกนำมาใช้เลย เพราะมันยังคงดูใหม่และทั้งหมดเก็บรวมกันไว้ในกล่องที่ปิดสนิทมาตั้งแต่แรก

“นี่คุณ ผมถามคุณอยู่นะ”

พอไม่ได้รับคำตอบแล้วอีกฝ่ายเบือนหน้าหนีไปยิ้มๆ ภาคนิพนธ์ก็เข้าใจว่าปาฏิหาริย์อาจจะกำลังดูถูกว่าตนโวยวายเหมือนเด็กที่ต้องนอนเตียงเดียวกันทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับผู้ชายที่เคยมีอะไรๆกันมาก่อน จะระแวงมันก็ไม่ผิดใช่ไหม

“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า”

พูดเหมือนภาคนิพนธ์กลัว ... ซึ่งจริงๆเจ้าตัวก็กลัวอยู่มาก แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าคือภาคนิพนธ์คิดว่ามันน่าอายแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้

แต่ยังไม่ทันจะคิดออกว่าจะเอาอย่างไร ปาฏิหาริย์ก็เปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วเดินไปปิดโคมไฟใหญ่กลางห้องเสียแล้ว

“พอเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแต่เช้านะ”

แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนยังฝั่งซ้ายของเตียง ทำให้ภาคนิพนธ์ต้องเดินอ้อมเพื่อไปนอนยังอีกฝั่งของเตียงที่เป็นฝั่งว่าง ก็ไม่อยากคิดถึงหรอก แต่มันเป็นรูปแบบเดียวกันกับตอนอยู่ที่คอนโดเลยนี่สิ คนที่พยายามไม่คิดมันอดคิดไปถึงตอนนั้นไม่ได้

ส่วนคนที่เอ่ยปากว่าจะนอนแล้วเพราะต้องตื่นเช้านั้นก็หลับลงไปได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ ไออุ่นจากร่างกายคนข้างๆที่ส่งมาโดยที่เจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจนี้ทำเอาร่างสูงอยากจะพลิกตัวไปดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดนัก ใช่ว่าคิดเกินเลยไปไกล ปาฏิหาริย์ก็แค่รู้สึกว่าอยากจะสามารถแตะต้องอีกฝ่ายได้ตามใจตนต้องการเหมือนเมื่อก่อนก็เท่านั้น

ต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่กับความหลัง ทั้งๆที่ปัจจุบันก็มีคนที่ตนกำลังนึกถึงอยู่ข้างๆแท้ๆ

................................

TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด