หายไปนาน คึคึ
อีกสามตอนก็จบแล้วค่ะ
ตอนที่ 11
วันเสาร์เป็นวันหยุดงานและภาคนิพนธ์ตั้งใจว่าจะไปอยู่กับแม่ทั้งวัน
แต่มีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายไปซักหน่อยคือ ปาฏิหาริย์ที่บอกว่าจะไปด้วย
ภาคนิพนธ์ไม่คิดว่าแม่อยากเจอปาฏิหาริย์ พอ ๆ กับที่คิดว่าปาฏิหาริย์ไม่คิดอยากเจอแม่ อย่างเมื่อคราวก่อนที่ไป ปาฏิหาริย์กับแม่ก็ไม่ได้พูดกันสักคำ
เหม่อมองประตูห้องน้ำที่มีเสียงฝักเบา ๆ แว่วออกมาอย่างไม่เข้าใจ
สองสามวันมานี้ปาฏิหาริย์ทำตัวดี เรียกว่าทำตัวดีกับภาคนิพนธ์มากจนน่าแปลกใจ ความเงียบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาทั้งสองไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างที่เป็นในช่วงที่ผ่านมา
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ภาคนิพนธ์ก็ยังไม่กล้าคาดหวัง
เขายังจำได้ถึงความเจ็บยามที่โดนอีกฝ่าย ‘ทิ้ง’ เมื่อคราวที่แล้ว แม้จะไม่ได้โกรธเคือง แม้จะอยากอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยใจตัวเองให้คาดหวังสิ่งใด เพราะความเจ็บจากคราวที่แล้วยังคงย้ำเตือน
“คุณจะแวะซื้ออะไรไหม”
นี่ก็อีกเรื่องที่ภาคนิพนธ์ไม่เข้าใจ ปกติแล้วปาฏิหาริย์จะแทนภาคนิพนธ์ว่า ‘นาย’ และแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ แต่ช่วงนี้เป็น ‘คุณ’ กับ ‘ผม’ แม้มันจะดูสุภาพและเป็นทางการขึ้น แต่ก็ไม่ได้ฟังดูห่างไกล หากกลับอ่อนโยนจนน่าแปลกใจเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ล่ะครับ โทรไปถามแล้วแม่ไม่ได้อยากได้อะไร”
ปาฏิหาริย์พยักหน้าก่อนจะเดินไปแต่งตัว
สำหรับปาฏิหาริย์ที่สองสามวันมานี้ทำตัวดีกับภาคนิพนธ์ ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจ หรือเสแสร้งแกล้งทำ แต่เพราะเจ้าตัวคิดได้แล้วว่าควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ความสับสนตึงเครียดอย่างหลาย ๆ วันที่ผ่านมาจึงลดลงตามไปด้วย แม้ภาคนิพนธ์จะยังดูงง ๆ กับสิ่งที่ปาฏิหาริย์แสดงออก แต่คิดว่าไม่นานภาคนิพนธ์คงจะเข้าใจและชินไปเอง
ปาฏิหาริย์อยากจะพูดอยากจะบอกให้ภาคนิพนธ์ทำตัวผ่อนคลายกว่านี้ อยากจะบอกให้อีกฝ่ายเลิกระแวงเพราะเขาไม่ได้คิดไม่ดี อยากให้เชื่อใจมั่นใจในกัน แต่ก็รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ที่เขาทำเอาไว้มันไม่ใช่ว่าจะลืมกันได้ง่าย ๆ เขาควรทำให้ภาคนิพนธ์เชื่อใจให้ได้เสียก่อนในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พูดออกไปคงไม่ต่างกับคำลวงสำหรับภาคนิพนธ์
ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ รับรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ปาฏิหาริย์ก็ต้องพยายาม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องพยายามให้ภาคนิพนธ์มั่นใจว่าสามารถเชื่อใจตัวเขาได้อย่างแท้จริง
................................
พัลลภาค่อนข้างแปลกใจที่เห็นร่างสูงใหญ่อีกร่างเดินตามลูกชายตัวเองเข้ามา เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมา ไม่คิดแต่เธอก็หวังให้มาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ที่เธอไม่คิดว่าปาฏิหาริย์จะมาเพราะเธอรู้ว่าการกลับมาคบกันของทั้งคู่เป็นแค่ข้อตกลง คล้าย ๆ การทำธุรกิจ ซื้อไปขายมา
ปาฏิหาริย์ต้องการให้ภาคนิพนธ์ไปแสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อลดการขัดแย้งในบ้าน
ภาคนิพนธ์ต้องการเงินและงานที่ดี
การมาเยี่ยมเธอไม่ใช่สิ่งจำเป็น และไม่ได้ส่งผลดีอะไรให้ปาฏิหาริย์ ด้วยเหตุนี้เธอจึงหวังให้เขามา เพราะการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลง มันไม่ได้ให้ผลประโยชน์อะไร เหมือนการกระทำที่สูญเปล่าสำหรับปาฏิหาริย์...ถ้าเขาไม่เห็นลูกชายเธอมีความสำคัญเลยสักนิดน่ะนะ แต่การที่เขามานี้มันคล้ายจะบอกว่า บางทีภาคนิพนธ์อาจจะสำคัญและเขาอาจจะจริงใจกับลูกชายของเธอ
เธอเงยหน้ามองคนที่ยกมือขึ้นสวัสดีเธออย่างค้นหา อีกฝ่ายก็สบสายตาเธอด้วยความจริงจัง ไม่หลบเลี่ยง และไม่ใช่ด้วยรอยยิ้มที่เธอคิดได้แล้วว่าเขาคงเสแสร้งเอาอย่างในตอนแรก ๆ
“ภาคไปซื้อของให้แม่หน่อยสิ แม่ลืมโทรบอกลูกก่อนหน้านี้”
พัลลภาหยิบกระดาษขึ้นมาจดรายชื่อข้าวของ จำเป็นจริงบ้างไม่จำเป็นบ้าง แต่ก็จดเยอะมากพอที่จะให้ลูกชายเธอไปซื้อจนกว่าเธอกับปาฏิหาริย์จะคุยกันเสร็จ
“เดี๋ยวผมมานะคุณ”
ภาคนิพนธ์มองปาฏิหาริย์สลับกับแม่อย่างไม่ค่อยสบายใจ ถ้าเลือกได้ไม่อยากปล่อยทั้งสองคนไว้ด้วยกัน แต่ของที่แม่จดมาบางอย่างเป็นของใช้สำหรับผู้หญิงซึ่งเขาว่ามันดูจะเสียมารยาทหากให้ปาฏิหาริย์ออกไปซื้อด้วยกัน สุดท้ายภาคนิพนธ์ก็จำใจเดินออกไปจากห้องคนเดียว
“..............”
“...................”
ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่หลายนาทีก่อนที่พัลลภาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน
“คุณมาถึงนี่ต้องการอะไรหรือเปล่า”
ถามว่าเธอโกรธไหมเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชาย เธอก็ยอมรับว่าโกรธอีกฝ่าย แต่เธอโกรธแล้วได้อะไร มีแต่จะทำให้ลูกชายเธอหมดความสุขไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียด้วยซ้ำ
“ผมอยากมาขอโทษ”
ครั้งสุดท้ายที่พบและพูดคุยกันระหว่างทั้งสองคน เป็นการพูดคุยที่ไม่ดีนัก
ปาฏิหาริย์ที่มาบอกว่าหลอกลูกชายเธอ ตั้งใจจะหักหลังลูกชายเธอ เพราะสิ่งที่เธอเคยทำในอดีต มันเป็นการพบกันที่พัลลภาอยากจะลบมันทิ้งทุกครั้งที่นึกถึง แต่มันทำไม่ได้
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขอโทษแล้วก็จบไป”
เธอพูดแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ปาฏิหาริย์ก็นั่งเงียบฟังในสิ่งที่เธอจะพูดต่อ
“แต่คุณก็ยังมาขอโทษ ต่างกับฉันที่ไม่เคยขอโทษเลย”
พัลลภาทำผิดกับปารมีไว้มาก แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้สึกผิด มีแต่ความโกรธแค้นว่าสิ่งที่ตัวเองวางไว้ไม่เป็นไปตามแผน จนกระทั่งเกิดเรื่องกับลูกชายตัวเอง เธอถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปมันช่างร้ายกาจ
และมันคงร้ายกาจมากไปกว่านี้หากแผนนั้นไม่ผิดพลาด
บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอรู้สึกสบายใจทีเดียวที่ปารมีไม่เป็นอะไร
“ถ้าหากไม่รักภาคก็ขอให้คุณจากไปเสีย แต่หากรัก ช่วยดีกับเขาให้มาก ๆ ช่วยดูแลเขาดี ๆ และขอร้องว่าอย่าทำร้ายเขาอีก”
ปาฏิหาริย์สบสายตากับเธอแววตาที่ส่อความรู้สึกอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ผมจะดูแลเขาอย่างดี และจะไม่ทำร้ายเขา”
เพียงเท่านี้พัลลภาก็ยิ้มออกมาได้
แม้ไม่ได้พูดว่ารักลูกชายเธอออกมาตรง ๆ แต่สิ่งที่ปาฏิหาริย์เลือก คือสิ่งที่เธอขอให้เขาทำหากเขารักลูกชายเธอ เพราะอย่างนั้น ถึงเขาจะไม่พูดคำว่ารักก็ไม่เป็นไร
.............................
ภาคนิพนธ์กลับมาก็เจอแม่และปาฏิหาริย์นั่งดูโทรทัศน์อยู่ ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน แต่ไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเพราะแม่ยังยิ้มให้ภาคนิพนธ์อยู่
“คุณดื่มอันนี้ไหม”
อันนี้ที่ว่าคือชาเขียวที่ภาคนิพนธ์ซื้อติดมือมาด้วย ปาฏิหาริย์พยักหน้าแล้วหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ ข่าวการตรวจจับการเลี่ยงภาษีและการฟอกเงินทำให้เขาต้องหันกลับมามองสองแม่ลูกที่กำลังนั่งคุยกันเบา ๆ ถึงไม่ได้ออกชื่อแต่เขาเชื่อว่าหนึ่งในคนที่จะถูกตรวจสอบคือนายมานิชไม่ผิดแน่
“ไปโทรศัพท์นะ”
เข้าบอกกับภาคนิพนธ์ก่อนจะออกมาโทรศัพท์ไปถึงทนายความ
“ต้องรีบจัดการเรื่องนี้ไห้เสร็จก่อนทางนั้นจะหนีไป”
จากข่าววงในปาฏิหาริย์ค่อนข้างแน่ใจว่านายมานิชไม่มีทางดิ้นหลุด และหนทางที่เขาจะทำก็คือเดินทางหนีไปนอกประเทศก่อนหมายจับจะออก แล้วถึงตอนนั้นหากเรื่องของพัลลภายังค้างคาอยู่มันก็จะไม่จบไม่สิ้นกันเสียที
........................................
ดูเหมือนปาฏิหาริย์จะอารมณ์ดี ภาคนิพนธ์มองคนที่ขับรถแล้วคิดอย่างนั้น เพราะถึงจะไม่ได้ถึงขนาดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ก็ฮัมเพลงและร้องคลอไปเบา ๆ กับเครื่องเล่น แถมยังเคาะนิ้วบนพวงมาลัยตามไปด้วยอีกต่างหาก
“มองอะไรคุณ”
พอจ้องมาก ๆ เข้าก็เป็นธรรมดาที่คนโดนจ้องจะรู้สึกตัว ปาฏิหาริย์หันมาถามภาคนิพนธ์ยิ้ม ๆ แต่เพราะต้องขับรถอยู่ จึงไม่ได้หันมาสบตาอย่างเต็มที่
“ปะ...เปล่า”
ภาคนิพนธ์ที่ไม่ทันคิดว่าตัวเองจะจ้องเพลินขนาดนี้รีบเบือนหน้าหนีออกไปมองทางอื่น
“หึ”
เสียงหัวเราะในลำคอทำให้ภาคนิพนธ์ต้องหันกลับมา แต่ปาฏิหาริย์ก็แค่ยิ้มมุมปากแล้วมองทางไปเรื่อย ๆ
“คุณคุยอะไรกับแม่ผม”
พอเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีมาก ๆ ภาคนิพนธ์ก็ชักจะไม่ไว้ใจ เริ่มห่วงว่าปาฏิหาริย์ไปทำอะไรแม่อีกหรือเปล่า
คงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ไปพูดว่าอะไรร้าย ๆ ใส่แม่เจ้าตัวถึงได้มาอารมณ์ดีแบบนี้หรอกนะ
ไม่สิ
ถ้าเป็นแบบนั้นแม่ต้องเครียดสิ แต่แม่เองก็ท่าทางอารมณ์ดีอยู่เหมือนกัน
ภาคนิพนธ์สั่นหัวพลางนึกต่อว่ามันเป็นเพราะอะไร
หรือว่าปาฏิหาริย์จะไปหลอกอะไรแม่อีก แม่ถึงได้อารมณ์ดี และปาฏิหาริย์ก็อารมณ์ดี
ยิ่งคิดภาคนิพนธ์ก็ยิ่งมองไปในทางร้าย ๆ
“นี่คุณคิดอะไร ทำไมขมวดคิ้วซะแบบนั้นล่ะ”
ช่วงติดไฟแดง ปาฏิหาริย์หันกลับมามองภาคนิพนธ์ แล้วทันได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยออกปากถาม ภาคนิพนธ์เห็นช่องจะไขข้อข้องใจเลยหันมาจ้องหน้าคนตัวโตกว่าด้วยความจริงจัง
“คุณคุยอะไรกับแม่ผม”
คนโดนถามเลิกคิ้วแล้วอมยิ้ม แต่ไม่ยอมตอบ
“คงไม่ได้ไปหลอกอะไรแม่อีกนะ”
คราวนี้รอยยิ้มเจื่อนลงไป ภาคนิพนธ์ลืมตัวพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ต่างประเทศ ปาฏิหาริย์เริ่มเข้าใจภาคนิพนธ์มากขึ้น ภาคนิพนธ์ถามเพราะข้องใจเขา และไม่ไว้ใจ ซึ่งมันก็สมควรแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเคยทำมา
แม้จะเข้าใจแต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี อันที่จริงจะบอกว่าเขาน้อยใจก็ไม่ผิดนัก
“ผมไม่ได้ไปหลอกอะไรแม่คุณหรอกน่า”
น้ำเสียงที่หมดวี่แววล้อเล่นทำให้ภาคนิพนธ์รู้ตัวว่าที่ถามไปนั้นทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียพอควร
“ผมก็แค่ถาม”
“ใช่คุณก็แค่ถาม”
ถามคำถามที่แสดงถึงความไม่ไว้ใจ
ปาฏิหาริย์อยากจะพูดต่อให้หมด แต่ก็คิดว่าเก็บไว้ไม่พูดออกไปจะดีกว่า เพราะหากโดนย้อนมาว่าที่ไม่สามารถไว้ใจได้ มันเป็นเพราะการกระทำของเขาเองไม่ใช่หรือ ปาฏิหาริย์คงรู้สึกแย่ไปกว่านี้
“คุณก็บอกผมมาสิว่าคุยอะไรกับแม่”
“แม่คุณแค่ฝากผมดูแลคุณ”
“หา!”
คำตอบที่ได้ยินนั้นภาคนิพนธ์บอกได้เต็มปากเลยว่าไม่เชื่อ ด้วยคิดว่าแม่กับปาฏิหาริย์ไม่มีทางญาติดีกันได้ แล้วมันจะไปมีการฝากให้ดูแลอย่างนั้นได้อย่างไร
“เอ๊ะ! ทำไมต้องทำหน้าไม่เชื่อถือแบบนั้นด้วย ผมพูดความจริงนะ”
“เป็นคุณ คุณจะเชื่อเหรอ แม่ผมเนี่ยนะฝากให้คุณดูแลผม ไม่มีทาง”
ปาฏิหาริย์ยักไหล่ก่อนตอบ
“เชื่อสิ ถ้าเป็นคุณปามล่ะก็คงทำแบบเดียวกับแม่คุณนี่แหละ”
ปาฏิหาริย์พูดอย่างคนที่รู้จักคนที่เลี้ยงตัวเองมาเป็นอย่างดี
ในขณะที่ภาคนิพนธ์เงียบไปเพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้ว เขาเองไม่ได้รู้จักแม่ดีขนาดนั้น แล้วยิ่งแม่ในตอนปัจจุบันจะคิดอะไรนั้นภาคนิพนธ์ก็เดาไม่ค่อยออก
“ทำไมต้องมาดูแลผมด้วย ผมโตแล้วนะ อายุมากกว่าคุณด้วย”
พูดพลางหันไปค้อนให้คนข้าง ๆ อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง แค่เห็นว่าภาคนิพนธ์เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ความหงุดหงิดที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมด
“แล้วไม่ใช่คนอายุน้อยกว่าคนนี้หรือไงที่ไปเจอคุณเป็นลมน่ะ หึ!”
ภาคนิพนธ์เลยหันไปค้อนอีกรอบ อยากจะเถียงนักว่าก็ไม่ใช่เพราะคนที่อายุน้อยกว่านี้หรือไงที่กดดันจนเขาต้องไปทำงานหามรุ่งหามค่ำจนน็อคน่ะ แต่บรรยากาศกำลังดี ๆ หากพูดเรื่องนี้ออกไปบรรยากาศแย่ ๆ คงมาเยือนอีกรอบเป็นแน่
หกเดือน...เวลาแค่ไม่นานนี้สมควรจะทำตัวให้มีความสุขมากกว่ามัวแต่ทะเลาะหรือมึนตึงใส่กัน ภาคนิพนธ์บอกตัวเองว่าควรเก็บเกี่ยวความสุขไว้กับตัว เพื่อว่าสักวันหนึ่ง เมื่อต้องอยู่คนเดียว ยังจะมีช่วงเวลาที่ดีอยู่ในความทรงจำ อย่างน้อย ๆ ก็คงจะรู้สึกดีเมื่อนึกถึงคนที่รัก ... แต่ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น ภาคนิพนธ์ก็ยังกลัว กลัวว่าปาฏิหาริย์จะมาหลอกกันอีก
“ผมดูแลตัวเองได้”
ปาฏิหาริย์พยักหน้า
“ผมรู้”
ใช่เขารู้ ภาคนิพนธ์อยู่คนเดียว ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบม.ปลาย แถมก่อนหน้านี้ที่เขากดดันจนไม่มีงานดี ๆ ทำ ภาคนิพนธ์ก็ยังอยู่ได้ ภาคนิพนธ์เอาตัวรอด และดูแลตัวเองได้ แต่ปัญหาคือ ทำได้แต่ไม่ค่อยทำ ภาคนิพนธ์มักปล่อยปละละเลยเรื่องของตัวเองไป โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องอื่นต้องใส่ใจมากกว่า ลืมดูแลตัวเองหรือบางครั้งก็จงใจละเลย
เขายังจำภาพที่เห็นภาคนิพนธ์นอนกองอยู่ที่พื้นวันนั้นได้ติดตา
ยังจำความรู้สึกเจียนคลั่งด้วยความเป็นห่วงได้ชัด
เขาไม่อยากคิดว่าวันนั้นหากเขาไม่ได้ไปหาภาคนิพนธ์ หากไม่มีใครเห็นว่าภาคนิพนธ์หมดสติอยู่ตรงนั้น แล้วภาคนิพนธ์จะต้องนอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน อาจจะทำให้อาการหนักมากขึ้นกว่านั้นก็ได้
ถึงวันนั้นหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแต่เขาก็ใจเสียอยู่ดี
ปาฏิหาริย์ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก และบอกกับตัวเองแล้วว่ามันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก!
“ผมรู้ .... แต่ก็ยังอยากดูแล”
ปาฏิหาริย์เอ่ยแผ่วเบา แต่เพราะอยู่แค่ในรถ และเพลงก็เปิดไม่ดัง ภาคนิพนธ์จึงได้ยินชัดเจน
ที่พูดเบา ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ปาฏิหาริย์รู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดได้เต็มปากนัก...เมื่อยังไม่สามารถทำให้ภาคนิพนธ์เชื่อใจได้เลย ภาคนิพนธ์เองได้ยินก็จริง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่เมินมองไปทางอื่นเท่านั้น
หากบรรยากาศรอบ ๆ ตัวภาคนิพนธ์กลับผ่อนคลายลงกว่าที่เคย
ปาฏิหาริย์ยิ้มให้ตัวเอง
ทีล่ะนิด ทีล่ะนิด
ขอแค่ระยะห่างค่อย ๆ ลดลง ถึงจะทีล่ะนิด...ก็ไม่เป็นไร
.............................................
TBC