จอมไตร ซีรีส์(ตาหวาน)*ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก*(END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: จอมไตร ซีรีส์(ตาหวาน)*ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก*(END)  (อ่าน 174934 ครั้ง)

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ความสับสน ความไม่พยายามหาทางออก ทำให้ยังคงวนเวียนอยู่กับความผิดของผู้อื่น
โดยไม่คิดหาทางออกให้กับปัญหาของตัวเอง สิ่งที่คุณปาม พูดและแสดงความคิดเห็นออกมา
คงทำให้ ตาหวาน ตาสว่างขึ้นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย  :mew5:
ส่วนหลานชายตัวน้อย ออกมาแสดงตัวตนของจอมไตร อย่างหมดเปือก  :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ จุ๊บจิ๊บ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ silw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มาลงชื่อกะบวกเป็ดจ้า

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:แม่ของภาคร้ายมากกกกกกกกกกอะ :katai1: :katai1: :katai1:

อยากกินไข่พะโล้ โปะ

  • บุคคลทั่วไป
ยังโกดตาหวานอยู่เชอะ!!!!!!
กล้ามาก...บอกไม่มีเวลาแต่ไปควงชะนีเนี่ยนะ?
เหอะ!!

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
คุณปามจะทำหน้าที่กามเทพสำเร็จรึป่าวหนอ   :m22:

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ตาหวานกับภาคเนี่ยปากแข็งทั้งคู่เลยซินะ

สงสัยจะต้องมีผู้ช่วยหลายคนน่าดูเลย ถึงจะเข้าใจกันได้ซักที

ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รักมากมาย ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก

Kray

  • บุคคลทั่วไป
ชอบคุณปามมาก  :mew2:

ตอนนี้ตาหวานกับภาคเราว่าความสัมพัมธ์ก็ดีขึ้นๆเรื่อยๆ
เพียงแต่เงียบเก่งทั้งคู่

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ลงทุนหน่อยสิ ตาหวานนนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aoaer

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

bow55

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้ว ไม่อยากเจอ TBC เลยอ่ะ
ตอนนี้สงสารภาคที่สุดแล้ว

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
หายไปนาน คึคึ :katai2-1:

อีกสามตอนก็จบแล้วค่ะ

ตอนที่ 11

วันเสาร์เป็นวันหยุดงานและภาคนิพนธ์ตั้งใจว่าจะไปอยู่กับแม่ทั้งวัน

แต่มีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายไปซักหน่อยคือ ปาฏิหาริย์ที่บอกว่าจะไปด้วย

ภาคนิพนธ์ไม่คิดว่าแม่อยากเจอปาฏิหาริย์ พอ ๆ กับที่คิดว่าปาฏิหาริย์ไม่คิดอยากเจอแม่ อย่างเมื่อคราวก่อนที่ไป ปาฏิหาริย์กับแม่ก็ไม่ได้พูดกันสักคำ

เหม่อมองประตูห้องน้ำที่มีเสียงฝักเบา ๆ แว่วออกมาอย่างไม่เข้าใจ

สองสามวันมานี้ปาฏิหาริย์ทำตัวดี เรียกว่าทำตัวดีกับภาคนิพนธ์มากจนน่าแปลกใจ ความเงียบที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาทั้งสองไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดอย่างที่เป็นในช่วงที่ผ่านมา

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ภาคนิพนธ์ก็ยังไม่กล้าคาดหวัง

เขายังจำได้ถึงความเจ็บยามที่โดนอีกฝ่าย ‘ทิ้ง’ เมื่อคราวที่แล้ว แม้จะไม่ได้โกรธเคือง แม้จะอยากอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยใจตัวเองให้คาดหวังสิ่งใด เพราะความเจ็บจากคราวที่แล้วยังคงย้ำเตือน

“คุณจะแวะซื้ออะไรไหม”

นี่ก็อีกเรื่องที่ภาคนิพนธ์ไม่เข้าใจ ปกติแล้วปาฏิหาริย์จะแทนภาคนิพนธ์ว่า ‘นาย’ และแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ แต่ช่วงนี้เป็น ‘คุณ’ กับ ‘ผม’ แม้มันจะดูสุภาพและเป็นทางการขึ้น แต่ก็ไม่ได้ฟังดูห่างไกล หากกลับอ่อนโยนจนน่าแปลกใจเสียด้วยซ้ำ

“ไม่ล่ะครับ โทรไปถามแล้วแม่ไม่ได้อยากได้อะไร”

ปาฏิหาริย์พยักหน้าก่อนจะเดินไปแต่งตัว

สำหรับปาฏิหาริย์ที่สองสามวันมานี้ทำตัวดีกับภาคนิพนธ์ ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจ หรือเสแสร้งแกล้งทำ แต่เพราะเจ้าตัวคิดได้แล้วว่าควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ความสับสนตึงเครียดอย่างหลาย ๆ วันที่ผ่านมาจึงลดลงตามไปด้วย แม้ภาคนิพนธ์จะยังดูงง ๆ กับสิ่งที่ปาฏิหาริย์แสดงออก แต่คิดว่าไม่นานภาคนิพนธ์คงจะเข้าใจและชินไปเอง

ปาฏิหาริย์อยากจะพูดอยากจะบอกให้ภาคนิพนธ์ทำตัวผ่อนคลายกว่านี้ อยากจะบอกให้อีกฝ่ายเลิกระแวงเพราะเขาไม่ได้คิดไม่ดี อยากให้เชื่อใจมั่นใจในกัน แต่ก็รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ที่เขาทำเอาไว้มันไม่ใช่ว่าจะลืมกันได้ง่าย ๆ เขาควรทำให้ภาคนิพนธ์เชื่อใจให้ได้เสียก่อนในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พูดออกไปคงไม่ต่างกับคำลวงสำหรับภาคนิพนธ์

ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ รับรู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ปาฏิหาริย์ก็ต้องพยายาม อย่างน้อย ๆ ก็ต้องพยายามให้ภาคนิพนธ์มั่นใจว่าสามารถเชื่อใจตัวเขาได้อย่างแท้จริง

................................

พัลลภาค่อนข้างแปลกใจที่เห็นร่างสูงใหญ่อีกร่างเดินตามลูกชายตัวเองเข้ามา เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมา ไม่คิดแต่เธอก็หวังให้มาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ที่เธอไม่คิดว่าปาฏิหาริย์จะมาเพราะเธอรู้ว่าการกลับมาคบกันของทั้งคู่เป็นแค่ข้อตกลง คล้าย ๆ การทำธุรกิจ ซื้อไปขายมา

ปาฏิหาริย์ต้องการให้ภาคนิพนธ์ไปแสดงตัวว่าเป็นคนรักเพื่อลดการขัดแย้งในบ้าน

ภาคนิพนธ์ต้องการเงินและงานที่ดี

การมาเยี่ยมเธอไม่ใช่สิ่งจำเป็น และไม่ได้ส่งผลดีอะไรให้ปาฏิหาริย์ ด้วยเหตุนี้เธอจึงหวังให้เขามา เพราะการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลง มันไม่ได้ให้ผลประโยชน์อะไร เหมือนการกระทำที่สูญเปล่าสำหรับปาฏิหาริย์...ถ้าเขาไม่เห็นลูกชายเธอมีความสำคัญเลยสักนิดน่ะนะ แต่การที่เขามานี้มันคล้ายจะบอกว่า บางทีภาคนิพนธ์อาจจะสำคัญและเขาอาจจะจริงใจกับลูกชายของเธอ

เธอเงยหน้ามองคนที่ยกมือขึ้นสวัสดีเธออย่างค้นหา อีกฝ่ายก็สบสายตาเธอด้วยความจริงจัง ไม่หลบเลี่ยง และไม่ใช่ด้วยรอยยิ้มที่เธอคิดได้แล้วว่าเขาคงเสแสร้งเอาอย่างในตอนแรก ๆ

“ภาคไปซื้อของให้แม่หน่อยสิ แม่ลืมโทรบอกลูกก่อนหน้านี้”

พัลลภาหยิบกระดาษขึ้นมาจดรายชื่อข้าวของ จำเป็นจริงบ้างไม่จำเป็นบ้าง แต่ก็จดเยอะมากพอที่จะให้ลูกชายเธอไปซื้อจนกว่าเธอกับปาฏิหาริย์จะคุยกันเสร็จ

“เดี๋ยวผมมานะคุณ”

ภาคนิพนธ์มองปาฏิหาริย์สลับกับแม่อย่างไม่ค่อยสบายใจ ถ้าเลือกได้ไม่อยากปล่อยทั้งสองคนไว้ด้วยกัน แต่ของที่แม่จดมาบางอย่างเป็นของใช้สำหรับผู้หญิงซึ่งเขาว่ามันดูจะเสียมารยาทหากให้ปาฏิหาริย์ออกไปซื้อด้วยกัน สุดท้ายภาคนิพนธ์ก็จำใจเดินออกไปจากห้องคนเดียว

“..............”

“...................”

ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่หลายนาทีก่อนที่พัลลภาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน

“คุณมาถึงนี่ต้องการอะไรหรือเปล่า”

ถามว่าเธอโกรธไหมเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกชาย เธอก็ยอมรับว่าโกรธอีกฝ่าย แต่เธอโกรธแล้วได้อะไร มีแต่จะทำให้ลูกชายเธอหมดความสุขไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียด้วยซ้ำ

“ผมอยากมาขอโทษ”

ครั้งสุดท้ายที่พบและพูดคุยกันระหว่างทั้งสองคน เป็นการพูดคุยที่ไม่ดีนัก

ปาฏิหาริย์ที่มาบอกว่าหลอกลูกชายเธอ ตั้งใจจะหักหลังลูกชายเธอ เพราะสิ่งที่เธอเคยทำในอดีต มันเป็นการพบกันที่พัลลภาอยากจะลบมันทิ้งทุกครั้งที่นึกถึง แต่มันทำไม่ได้

“มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขอโทษแล้วก็จบไป”

เธอพูดแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ปาฏิหาริย์ก็นั่งเงียบฟังในสิ่งที่เธอจะพูดต่อ

“แต่คุณก็ยังมาขอโทษ ต่างกับฉันที่ไม่เคยขอโทษเลย”

พัลลภาทำผิดกับปารมีไว้มาก แต่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยรู้สึกผิด มีแต่ความโกรธแค้นว่าสิ่งที่ตัวเองวางไว้ไม่เป็นไปตามแผน จนกระทั่งเกิดเรื่องกับลูกชายตัวเอง เธอถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปมันช่างร้ายกาจ

และมันคงร้ายกาจมากไปกว่านี้หากแผนนั้นไม่ผิดพลาด

บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอรู้สึกสบายใจทีเดียวที่ปารมีไม่เป็นอะไร

“ถ้าหากไม่รักภาคก็ขอให้คุณจากไปเสีย แต่หากรัก ช่วยดีกับเขาให้มาก ๆ ช่วยดูแลเขาดี ๆ และขอร้องว่าอย่าทำร้ายเขาอีก”

ปาฏิหาริย์สบสายตากับเธอแววตาที่ส่อความรู้สึกอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ผมจะดูแลเขาอย่างดี และจะไม่ทำร้ายเขา”

เพียงเท่านี้พัลลภาก็ยิ้มออกมาได้

แม้ไม่ได้พูดว่ารักลูกชายเธอออกมาตรง ๆ แต่สิ่งที่ปาฏิหาริย์เลือก คือสิ่งที่เธอขอให้เขาทำหากเขารักลูกชายเธอ เพราะอย่างนั้น ถึงเขาจะไม่พูดคำว่ารักก็ไม่เป็นไร

.............................

ภาคนิพนธ์กลับมาก็เจอแม่และปาฏิหาริย์นั่งดูโทรทัศน์อยู่ ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน แต่ไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเพราะแม่ยังยิ้มให้ภาคนิพนธ์อยู่

“คุณดื่มอันนี้ไหม”

อันนี้ที่ว่าคือชาเขียวที่ภาคนิพนธ์ซื้อติดมือมาด้วย ปาฏิหาริย์พยักหน้าแล้วหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ ข่าวการตรวจจับการเลี่ยงภาษีและการฟอกเงินทำให้เขาต้องหันกลับมามองสองแม่ลูกที่กำลังนั่งคุยกันเบา ๆ ถึงไม่ได้ออกชื่อแต่เขาเชื่อว่าหนึ่งในคนที่จะถูกตรวจสอบคือนายมานิชไม่ผิดแน่

“ไปโทรศัพท์นะ”

เข้าบอกกับภาคนิพนธ์ก่อนจะออกมาโทรศัพท์ไปถึงทนายความ

“ต้องรีบจัดการเรื่องนี้ไห้เสร็จก่อนทางนั้นจะหนีไป”

จากข่าววงในปาฏิหาริย์ค่อนข้างแน่ใจว่านายมานิชไม่มีทางดิ้นหลุด และหนทางที่เขาจะทำก็คือเดินทางหนีไปนอกประเทศก่อนหมายจับจะออก แล้วถึงตอนนั้นหากเรื่องของพัลลภายังค้างคาอยู่มันก็จะไม่จบไม่สิ้นกันเสียที

........................................

ดูเหมือนปาฏิหาริย์จะอารมณ์ดี ภาคนิพนธ์มองคนที่ขับรถแล้วคิดอย่างนั้น เพราะถึงจะไม่ได้ถึงขนาดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ก็ฮัมเพลงและร้องคลอไปเบา ๆ กับเครื่องเล่น แถมยังเคาะนิ้วบนพวงมาลัยตามไปด้วยอีกต่างหาก

“มองอะไรคุณ”

พอจ้องมาก ๆ เข้าก็เป็นธรรมดาที่คนโดนจ้องจะรู้สึกตัว ปาฏิหาริย์หันมาถามภาคนิพนธ์ยิ้ม ๆ แต่เพราะต้องขับรถอยู่ จึงไม่ได้หันมาสบตาอย่างเต็มที่

“ปะ...เปล่า”

ภาคนิพนธ์ที่ไม่ทันคิดว่าตัวเองจะจ้องเพลินขนาดนี้รีบเบือนหน้าหนีออกไปมองทางอื่น

“หึ”

เสียงหัวเราะในลำคอทำให้ภาคนิพนธ์ต้องหันกลับมา แต่ปาฏิหาริย์ก็แค่ยิ้มมุมปากแล้วมองทางไปเรื่อย ๆ

“คุณคุยอะไรกับแม่ผม”

พอเห็นอีกฝ่ายอารมณ์ดีมาก ๆ ภาคนิพนธ์ก็ชักจะไม่ไว้ใจ เริ่มห่วงว่าปาฏิหาริย์ไปทำอะไรแม่อีกหรือเปล่า

คงไม่ใช่ปาฏิหาริย์ไปพูดว่าอะไรร้าย ๆ ใส่แม่เจ้าตัวถึงได้มาอารมณ์ดีแบบนี้หรอกนะ

ไม่สิ

ถ้าเป็นแบบนั้นแม่ต้องเครียดสิ แต่แม่เองก็ท่าทางอารมณ์ดีอยู่เหมือนกัน

ภาคนิพนธ์สั่นหัวพลางนึกต่อว่ามันเป็นเพราะอะไร

หรือว่าปาฏิหาริย์จะไปหลอกอะไรแม่อีก แม่ถึงได้อารมณ์ดี และปาฏิหาริย์ก็อารมณ์ดี

ยิ่งคิดภาคนิพนธ์ก็ยิ่งมองไปในทางร้าย ๆ

“นี่คุณคิดอะไร ทำไมขมวดคิ้วซะแบบนั้นล่ะ”

ช่วงติดไฟแดง ปาฏิหาริย์หันกลับมามองภาคนิพนธ์ แล้วทันได้เห็นอีกฝ่ายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยออกปากถาม ภาคนิพนธ์เห็นช่องจะไขข้อข้องใจเลยหันมาจ้องหน้าคนตัวโตกว่าด้วยความจริงจัง

“คุณคุยอะไรกับแม่ผม”

คนโดนถามเลิกคิ้วแล้วอมยิ้ม แต่ไม่ยอมตอบ

“คงไม่ได้ไปหลอกอะไรแม่อีกนะ”

คราวนี้รอยยิ้มเจื่อนลงไป ภาคนิพนธ์ลืมตัวพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปอีกแล้ว

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ต่างประเทศ ปาฏิหาริย์เริ่มเข้าใจภาคนิพนธ์มากขึ้น ภาคนิพนธ์ถามเพราะข้องใจเขา และไม่ไว้ใจ ซึ่งมันก็สมควรแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเคยทำมา

แม้จะเข้าใจแต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี อันที่จริงจะบอกว่าเขาน้อยใจก็ไม่ผิดนัก

“ผมไม่ได้ไปหลอกอะไรแม่คุณหรอกน่า”

น้ำเสียงที่หมดวี่แววล้อเล่นทำให้ภาคนิพนธ์รู้ตัวว่าที่ถามไปนั้นทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียพอควร

“ผมก็แค่ถาม”

“ใช่คุณก็แค่ถาม”

ถามคำถามที่แสดงถึงความไม่ไว้ใจ

ปาฏิหาริย์อยากจะพูดต่อให้หมด แต่ก็คิดว่าเก็บไว้ไม่พูดออกไปจะดีกว่า เพราะหากโดนย้อนมาว่าที่ไม่สามารถไว้ใจได้ มันเป็นเพราะการกระทำของเขาเองไม่ใช่หรือ ปาฏิหาริย์คงรู้สึกแย่ไปกว่านี้

“คุณก็บอกผมมาสิว่าคุยอะไรกับแม่”

“แม่คุณแค่ฝากผมดูแลคุณ”

“หา!”

คำตอบที่ได้ยินนั้นภาคนิพนธ์บอกได้เต็มปากเลยว่าไม่เชื่อ ด้วยคิดว่าแม่กับปาฏิหาริย์ไม่มีทางญาติดีกันได้ แล้วมันจะไปมีการฝากให้ดูแลอย่างนั้นได้อย่างไร

“เอ๊ะ! ทำไมต้องทำหน้าไม่เชื่อถือแบบนั้นด้วย ผมพูดความจริงนะ”

“เป็นคุณ คุณจะเชื่อเหรอ แม่ผมเนี่ยนะฝากให้คุณดูแลผม ไม่มีทาง”

ปาฏิหาริย์ยักไหล่ก่อนตอบ
“เชื่อสิ ถ้าเป็นคุณปามล่ะก็คงทำแบบเดียวกับแม่คุณนี่แหละ”

ปาฏิหาริย์พูดอย่างคนที่รู้จักคนที่เลี้ยงตัวเองมาเป็นอย่างดี

ในขณะที่ภาคนิพนธ์เงียบไปเพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้ว เขาเองไม่ได้รู้จักแม่ดีขนาดนั้น แล้วยิ่งแม่ในตอนปัจจุบันจะคิดอะไรนั้นภาคนิพนธ์ก็เดาไม่ค่อยออก

“ทำไมต้องมาดูแลผมด้วย ผมโตแล้วนะ อายุมากกว่าคุณด้วย”

พูดพลางหันไปค้อนให้คนข้าง ๆ อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง แค่เห็นว่าภาคนิพนธ์เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ความหงุดหงิดที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไปจนหมด

“แล้วไม่ใช่คนอายุน้อยกว่าคนนี้หรือไงที่ไปเจอคุณเป็นลมน่ะ หึ!”

ภาคนิพนธ์เลยหันไปค้อนอีกรอบ อยากจะเถียงนักว่าก็ไม่ใช่เพราะคนที่อายุน้อยกว่านี้หรือไงที่กดดันจนเขาต้องไปทำงานหามรุ่งหามค่ำจนน็อคน่ะ แต่บรรยากาศกำลังดี ๆ หากพูดเรื่องนี้ออกไปบรรยากาศแย่ ๆ คงมาเยือนอีกรอบเป็นแน่

หกเดือน...เวลาแค่ไม่นานนี้สมควรจะทำตัวให้มีความสุขมากกว่ามัวแต่ทะเลาะหรือมึนตึงใส่กัน ภาคนิพนธ์บอกตัวเองว่าควรเก็บเกี่ยวความสุขไว้กับตัว เพื่อว่าสักวันหนึ่ง เมื่อต้องอยู่คนเดียว ยังจะมีช่วงเวลาที่ดีอยู่ในความทรงจำ อย่างน้อย ๆ ก็คงจะรู้สึกดีเมื่อนึกถึงคนที่รัก ... แต่ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น ภาคนิพนธ์ก็ยังกลัว กลัวว่าปาฏิหาริย์จะมาหลอกกันอีก

“ผมดูแลตัวเองได้”

ปาฏิหาริย์พยักหน้า

“ผมรู้”

ใช่เขารู้ ภาคนิพนธ์อยู่คนเดียว ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เรียนจบม.ปลาย แถมก่อนหน้านี้ที่เขากดดันจนไม่มีงานดี ๆ ทำ ภาคนิพนธ์ก็ยังอยู่ได้ ภาคนิพนธ์เอาตัวรอด และดูแลตัวเองได้ แต่ปัญหาคือ ทำได้แต่ไม่ค่อยทำ ภาคนิพนธ์มักปล่อยปละละเลยเรื่องของตัวเองไป โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องอื่นต้องใส่ใจมากกว่า ลืมดูแลตัวเองหรือบางครั้งก็จงใจละเลย

เขายังจำภาพที่เห็นภาคนิพนธ์นอนกองอยู่ที่พื้นวันนั้นได้ติดตา

ยังจำความรู้สึกเจียนคลั่งด้วยความเป็นห่วงได้ชัด

เขาไม่อยากคิดว่าวันนั้นหากเขาไม่ได้ไปหาภาคนิพนธ์ หากไม่มีใครเห็นว่าภาคนิพนธ์หมดสติอยู่ตรงนั้น แล้วภาคนิพนธ์จะต้องนอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน อาจจะทำให้อาการหนักมากขึ้นกว่านั้นก็ได้

ถึงวันนั้นหมอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแต่เขาก็ใจเสียอยู่ดี

ปาฏิหาริย์ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก และบอกกับตัวเองแล้วว่ามันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก!

“ผมรู้ .... แต่ก็ยังอยากดูแล”

ปาฏิหาริย์เอ่ยแผ่วเบา แต่เพราะอยู่แค่ในรถ และเพลงก็เปิดไม่ดัง ภาคนิพนธ์จึงได้ยินชัดเจน

ที่พูดเบา ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ปาฏิหาริย์รู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดได้เต็มปากนัก...เมื่อยังไม่สามารถทำให้ภาคนิพนธ์เชื่อใจได้เลย ภาคนิพนธ์เองได้ยินก็จริง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่เมินมองไปทางอื่นเท่านั้น

หากบรรยากาศรอบ ๆ ตัวภาคนิพนธ์กลับผ่อนคลายลงกว่าที่เคย

ปาฏิหาริย์ยิ้มให้ตัวเอง

ทีล่ะนิด ทีล่ะนิด

ขอแค่ระยะห่างค่อย ๆ ลดลง ถึงจะทีล่ะนิด...ก็ไม่เป็นไร

.............................................


TBC

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
อย่างน้อยในตอนนี้  มีการเปิดใจให้กันและกัน ไม่ต้องคิดระแวงอีกฝ่าย  :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ จุ๊บจิ๊บ  :กอด1:

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ในที่สุด ตาหวานก้อทำอะไรสักที
เย้~~~~~~!!!! ^^

bow55

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2

ออฟไลน์ rabbit-orange

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1555
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ตาหวานน่ารักขึ้นเยอะอ่ะ ภาคจะรู้เมื่อไรน้าาาาาา

ออฟไลน์ yaninjinna

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
ไม่รู้สิ รู้สึกยังไม่สาสมกับที่พ่อพระเอกเคยทำ
อยากให้ตาหวานได้บทเรียนที่เจ็บกว่านี้
ให้ภาคกลับไปอยู่เมืองนอกดีมะ??
หมันไส้ตาหวาน เช๊อะ :z6:

ออฟไลน์ ต่ายน้อย

  • กระต่ายน้อยลอยคอ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 816
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-3
    • http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27719.0
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดีขึ้นกว่าเดิมมาก แอบหวานเบาๆ

ออฟไลน์ thanza1970

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รักเขา แ่ต่ไม่กล้า เมื่อไหร่จะพบความสุข

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
พูดกันตรงๆ ก็ไม่ได้นะคู่นี้ จะได้เข้าใจกันเร็วขึ้น
อย่างว่าใครจะไปกล้าไว้ใจง่ายๆ อีก เพราะเคยโดนหลอกมาแล้วหนิ

ออฟไลน์ JUPJIB

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +218/-0
ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ตอนที่ 12

จอมไตรในรุ่นของวสุธาแบ่งงานกันค่อนข้างชัดเจนว่าใครควบคุมดูแลกิจการในส่วนไหน

โดยมากแล้วแต่ล่ะคนจะรับผิดชอบงานในทางที่ตัวเองถนัดหรือทำได้ดี บางส่วนที่เหมือนจะคาบเกี่ยวกันก็จะแบ่งกันไปเลยว่าใครดูแลที่ไหน แน่นอนว่าก็เข้าไปช่วยกันบ้าง สามารถทำงานแทนหรือตัดสินใจแทนกันได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำเพราะแต่ล่ะคนมักจะรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองอย่างเต็มที่ อาจจะมีปรึกษากันบ้างแต่การตัดสินใจเด็ดขาดก็อยู่ที่คนที่ดูแลโดยตรง

ส่วนถ้าถามว่าใครเป็นเจ้าของกิจการแต่ล่ะที่ ก็ตอบได้เลยว่าทุกคน

หุ้นในบริษัททุกแห่งหากคิดเป็น 100 เปอร์เซ็น

พี่น้องในจอมไตรแต่ล่ะคนจะถือหุ้นคนล่ะ 15 เปอร์เซ็น และทุกบริษัทก็จะมีส่วนของหมอเออีก 5 เปอร์เซ็น

นอกนั้นจะเปิดขายให้บุคคลภายนอก ซึ่งต่อให้มีคนกว้านซื้อจนถือครองหุ้นที่เหลือทั้งหมดก็ยังไม่สามารถเข้ามายึดครองบริษัทได้

เรื่องนี้มีคนเคยลองทำมาแล้วในตอนที่พ่อของพวกวสุธาเพิ่งเสีย ช่วงที่ไม้เพิ่งเข้ามาอยู่กับพี่ ๆ ในบ้านจอมไตร ตอนนั้นพวกเขายังเรียนไม่จบกันซักคน และดินก็เพิ่งเข้าไปบริหารงานในบริษัทอย่างเต็มตัว

หากแต่ความพยายามนั้นไม่เป็นผล ของ ๆ จอมไตรถึงยังไงก็จะยังเป็นของจอมไตรวันยังค่ำ เพราะจอมไตรจะไม่มีวันยอมเสียของ ๆ ตัวเองไปโดยไม่เต็มใจ

ส่วนธุรกิจที่แต่ล่ะคนนำเงินส่วนตัวของตัวเองไปลงทุน อย่างบริษัทของไม้ที่เปิดทำกับกลอนหรือร้านอาหารที่วสุธาเปิดให้ปารมี ก็เป็นของส่วนตัวของแต่ล่ะคนจะไม่ข้องเกี่ยวกัน จะโอนให้ใคร จะขายทิ้งไม่ทำต่อ หรือจะเอาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทก็ตามแต่ใจแต่ล่ะคน

พอมาในรุ่นของปฐพี ตอนแรกการแบ่งงานไม่ชัดเจนเท่ากับรุ่นของพ่อและอา อาจจะเพราะยังไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบกันเต็มตัว ยังไปแค่เรียนรู้งานหรือช่วยแบ่งเบาพ่อและอา ๆ เท่านั้น แม้อาแต่ล่ะคนเหมือนจะวางตัวไว้แล้วว่าจะให้หลานคนไหนดูแลงานในส่วนของตน ซึ่งจะดูได้จากการพาหลานคนนั้นไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่บ่อย ๆ

จนเมื่อหลาน ๆ เรียนจบเหล่าคุณอาก็มัดมือชกด้วยการโอนหุ้นคนล่ะ 10 เปอร์เซ็นให้หลาน แล้วยกหน้าที่การจัดการงานเกือบทั้งหมดให้ เรียกว่าแทบจะยกเก้าอี้ท่านประธานในแต่ล่ะบริษัทให้เลยก็ไม่ผิดนัก แม้จะยังไม่ได้ยกให้จริง ๆ ก็เถอะ เพราะทุกคนทราบดีว่า เด็กจบใหม่ความน่าเชื่อถือยังน้อย จึงยังคงไปทำงาน ยังคงเป็นประธานบริษัท แต่โอนงานส่วนใหญ่ให้หลานชายเป็นคนตัดสินใจ

ปาฏิหาริย์นั้นเข้ามาช่วยงานในส่วนของไม้ ซึ่งหากเทียบกับส่วนอื่น ๆ แล้ว งานในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย ไม้จึงมักต้องไปช่วยงานวสุธาซึ่งดูแลบริษัทใหญ่ ที่จริงอมฤตเองก็เป็นอีกคนที่เข้ามาช่วยทางนี้ ส่วนเวหากับอนลมาช่วยไม่บ่อยนักเพราะงานของสองคนนั้นค่อนข้างเยอะ ด้วยเหตุนี้ปาฏิหาริย์เองก็ต้องไปช่วยปฐพีซึ่งดูแลงานที่บริษัทใหญ่ด้วยเช่นกัน เขาจึงทำงานในหลายที่ บางทีก็ต้องเดินทางหลาย ๆ ครั้งในแต่ล่ะวัน

ภาคนิพนธ์เพิ่งรู้ว่าปาฏิหาริย์ต้องทำงานหนักขนาดไหน ทั้งที่อายุเพียงเท่านี้ บางคนอาจจะมองว่างานบริหารเป็นงานสบาย แต่ภาคนิพนธ์ของบอกเลยว่ามันไม่ใช่ ในเมื่อการที่คุณเพียงแค่ลงชื่อในเอกสารก็สามารถกำหนดชีวิตคนได้เป็นร้อยเป็นพัน การตัดสินใจในแต่ล่ะครั้งมันจึงต้องคิดให้ดี ๆ คิดอย่างถี่ถ้วน

ตัวเขาเองเมื่อก่อนก็คิดว่าคงสบาย แต่พอได้มาเป็นผู้ช่วยของปาฏิหาริย์ถึงได้รู้ งานเอกสารจากหลาย ๆ ที่ต้องตรวจอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะนอกจากจะป้องกันการผิดพลาดจากความไม่ตั้งใจแล้ว ยังต้องระวังไม่ให้มีการผิดพลาดโดยความตั้งใจเกิดขึ้นด้วย การจะอ่านเอกสารผ่าน ๆ แล้วลงชื่ออย่างเดียวอย่างที่เคยเห็นในละคร จึงไม่สามารถทำได้

ปาฏิหาริย์ทำงานเยอะมาก บางวันเจ้าตัวแทบลืมกินข้าวกลางวัน แล้วก็อาจจะพาลไปถึงข้าวเย็น ยังดีที่ถ้าภาคนิพนธ์เตือน ปาฏิหาริย์ก็จะยอมหยุดมือ

ส่วนตัวภาคนิพนธ์นั้นกลับไม่ได้ทำงานหนักเท่าไหร่นัก เพราะแม้จะทำงานที่เรียกว่าผู้ช่วยของปาฏิหาริย์ แต่ปาฏิหาริย์ก็มีผู้ช่วยคนอื่นอยู่แล้ว และภาคนิพนธ์ก็ทำงานน้อยกว่าพวกเขาที่อยู่ประจำในแต่ล่ะบริษัท เรียกว่าภาคนิพนธ์คอยช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการดูตารางนัดหมายแล้วเตือนให้ปาฏิหาริย์ไปตามนัด การพิมพ์จดหมายที่ต้องการเร่งด่วน หรือการหอบเอกสารไปมา เป็นต้น

พอเห็นปาฏิหาริย์ทำงานอย่างจริงจัง ภาคนิพนธ์ก็อดจะชื่นชมไม่ได้ ปาฏิหาริย์ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง การตัดสินใจก็ค่อนข้างเด็ดขาด ในกรณีที่เกิดปัญหาเจ้าตัวก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้แทบจะทันที ปาฏิหาริย์จึงดูน่าเชื่อถือมากเวลาทำงานแม้จะอายุยังน้อยก็ตาม

คนที่ทำงานคงไม่มีใครคิดออกเลยว่าเวลาอยู่กับบ้าน ปาฏิหาริย์คนนั้นจะกลายเป็นเด็กน้อยขึ้นมาได้

ภาคนิพนธ์เองตอนที่เห็นครั้งแรกก็ยอมรับว่ายังไม่อยากเชื่อ ด้วยเวลาที่อยู่ด้วยกันปาฏิหาริย์มักจะทำตัวเป็นผู้นำ ทั้งที่อายุน้อยกว่าแล้วก็ชอบทำหน้าเคร่งขรึม แต่ตอนที่ปาฏิหาริย์อยู่กับครอบครัว เจ้าตัวก็กลายร่างเป็นน้องคนเล็กในทันที

ถ้าถามว่าชอบแบบไหนมากกว่า ภาคนิพนธ์คงตอบว่าชอบปาฏิหาริย์ที่อยู่กับครอบครัวมากกว่า แต่ก็ชื่นชมปาฏิหาริย์ที่ทำงานอย่างตั้งใจจริงจังไม่แพ้กัน

ครืด~ ครืด~

เสียงโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นดึงภาคนิพนธ์ให้หลุดจากห้วงความคิด เงยหน้ามองคนที่หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นดูเบอร์ ก่อนจะเหลือบมองมาทางนี้เล็กน้อยแล้วกดรับ

“ว่าไง”

ปาฏิหาริย์พูดแค่นั้นและรับฟังเสียงในโทรศัพท์อย่างเงียบ ๆ ส่งเสียง อืม ตอบรับเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันดูแปลก ๆ แต่ก็ภาคนิพนธ์ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก เพราะงานบางส่วนของปาฏิหาริย์ภาคนิพนธ์เองก็ไม่ได้ไปรู้เรื่องด้วย

“ตามดูต่อไปแล้วเร่งหาหลักฐานแล้วกัน”

เสียงเข้มสั่งก่อนวางสาย หลังจากนั้นก็ก้มหน้าทำงานตามเดิม

.........................................

โทรศัพท์ที่โทรเข้ามานั้นไม่ใช่เรื่องานอย่างที่ภาคนิพนธ์เข้าใจ

ปาฏิหาริย์ให้คนคอยติดตามการเคลื่อนไหวของนายมานิช และโทรศัพท์สายนั้นก็เป็นสายที่โทรเข้ามารายงานว่านายมานิชให้คนสืบเรื่องของภาคนิพนธ์ตลอด และคงจะได้ยินเรื่องที่ปาฏิหาริย์กลับมาดีกับภาคนิพนธ์แล้ว

“ทางนายมานิชนั่นคงต้องเอาเรื่องหย่าของพัลลภามาต่อรองอะไรกับลูกแน่ ๆ ”

“ใช่ทั้งเรื่องโกงการประมูล เรื่องหนีภาษี คงคิดจะต่อรองให้ช่วยเรื่องคดี และอาจจะถึงขั้นให้ช่วยหนีออกนอกประเทศ”

ในวันที่อยู่กันค่อนข้างพร้อมหน้าอย่างวันอาทิตย์ปาฏิหาริย์ก็เลือกเวลาที่ปกติจะคุยกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบริษัท ปรึกษากับบิดา อา ๆ และพี่ ๆ เรื่องของภาคนิพนธ์

ถึงแม้จะสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ทั้งหมด แต่ปาฏิหาริย์ก็อยากรอบคอบที่สุด ด้วยนายมานิชไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา เจ้าตัวเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าไม่ค่อยเลือกวิธีการในการให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ถ้ามันแค่ทางธุรกิจทางการเงินก็ไม่เท่าไหร่ แต่ที่ปาฏิหาริย์กังวลคือความปลอดภัยของภาคนิพนธ์และแม่มากกว่า

“ถึงมันจะเป็นทางที่ง่ายที่สุด แต่ผมไม่คิดจะช่วยคนแบบนั้นหรอก”

ปาฏิหาริย์กล่าวอย่างหนักแน่น

การทำตามข้อเสนอหากนายมานิชเสนอมาย่อมง่ายที่สุด และคงสามารถจบเรื่องได้รวดเร็วที่สุด

แต่ปาฏิหาริย์ไม่คิดจะรับข้อเสนออะไรของฝ่ายนั้นแม้แต่น้อย

ด้วยนายมานิชไม่จ่ายเงินภาษีที่สมควรจะจ่ายให้กับประเทศ แล้วยังโกงการประมูลการก่อสร้างทั้งการก่อสร้างบ้านตามโครงการของรัฐ การสร้างสถานีอนามัย การสร้างสถานีตำรวจ และยังมีที่เล็ก ๆ น้อย ๆ อีก โดยนายมานิชจะร่วมประมูลงานเหล่านั้น เมื่อมีคู่แข่งก็มักจะข่มขู่ให้อีกฝ่ายถอนตัว จนตัวเองไม่มีคู่แข่ง เมื่อได้งานก็รับเงินแต่ไม่ยอมก่อสร้างตามสัญญา

การโกงของนายมานิชทำให้คนเดือดร้อนมากมาย แล้วมันไม่ใช่การโกงเงินของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เรียกว่าเป็นการโกงเงินของประเทศเลยก็ว่าได้

ซึ่งมันขัดกับหลักการของจอมไตรอย่างที่สุด

บ้านจอมไตรสอนลูกเสมอว่าเราทำธุรกิจ อาจจะมีซิกแซ็กอะไรบ้างเพื่อความสะดวก หรือเพื่อความคล่องตัวในการประกอบการ แต่เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องเสมอ เพื่อเวลามีการตรวจสอบเราก็ไม่ต้องกังวล เวลามีคนถามเราก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ พูดด้วยความมั่นใจได้ว่า บริษัทเราโปร่งใสแน่นอน

แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ปาฏิหาริย์ไม่คิดจะช่วยนายมานิชคือ สิ่งที่นายมานิชเคยทำกับภาคนิพนธ์ แม้เขาจะทราบความจริงแล้วว่า ที่นายมานิชทำนั้นคงเป็นแค่การลวนลามภายนอกอย่างกอด จูบ ลูบ คลำ ไม่ได้ถึงขั้นมีอะไร ๆ กันอย่างที่ปาฏิหาริย์เข้าใจในทีแรก

แต่แค่การกอด จูบ ลูบ คลำ มันก็มากพอที่จะทำให้ปาฏิหาริย์ไม่พอใจแล้ว

และมันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยเลยสำหรับภาคนิพนธ์

ตอนที่ภาคนิพนธ์โดนลวนลาม เจ้าตัวยังเด็กอยู่มาก ความคิดความอ่าน ความเข้าใจในโลก ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตยังน้อยนิดนัก ภูมิต้านทานต่อเรื่องร้าย ๆ จึงน้อยตามไปด้วย และคนที่ลวนลามตนเองยังเป็นคนที่อยู่ในบ้าน อยู่ในฐานะพ่อ ถึงจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ถึงจะไม่ได้เรียกว่าพ่อ ถึงจะไม่เคยทำหน้าที่ของพ่อเลย แต่ก็ยังอยู่ในฐานะของพ่ออยู่ดี

จิตใจของเด็กชายซึ่งยังเยาว์วัยที่สมควรจะได้แจ่มใส ร่าเริง กลับต้องหวาดกลัว และหวั่นผวาแค่ไหนปาฏิหาริย์ไม่อาจคาดเดา แต่รู้ว่ามันต้องส่งผลต่อจิตใจของภาคนิพนธ์มาก และปาฏิหาริย์ก็แน่ใจว่ามันไม่ได้หายไปไหน มันยังคงส่งผลต่อจิตใจของภาคนิพนธ์มาจนทุกวันนี้ เพราะมันค่อนข้างจะเห็นได้ชัด

แม้ภาคนิพนธ์จะพยายามเก็บอาการ แม้ภาคนิพนธ์จะพยายามทำเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไร

แต่เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่พูดถึงนายมานิช ภาคนิพนธ์จะเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าจะนิ่งสนิท และริมฝีปากเม้มแน่น หากสังเกตดูจะรู้ว่ามือของเจ้าตัวสั่นน้อย ๆ

คนอื่นไม่รู้ว่าภาคนิพนธ์รู้ตัวหรือไม่ แต่คนรอบ ๆ ตัวภาคนิพนธ์ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี

และนี่คือเหตุผลสำคัญ

 “ผมจะให้ผู้ชายคนนั้นได้ชดใช้ ไม่ให้ลอยนวลไปได้หรอก ถึงจะไม่สามารถลงโทษจากความผิดที่ทำไว้กับภาคได้ แต่ความผิดส่วนที่สามารถจับมาลงโทษได้ก็ต้องให้ได้รับโทษอย่างสาสม”

นายมานิชที่ทำให้ภาคนิพนธ์มีแผลฝั่งใจนั้นปาฏิหาริย์จะไม่มีวันให้อภัย...แม้ว่าเขาเองก็ได้สร้างบาดแผลในใจให้ภาคนิพนธ์ไม่ต่างกันก็เถอะ....

.............................................

มานิชวางเอกสารในมือลงบนโต๊ะแรง ๆ ด้วยความไม่พอใจ รายงานเรื่องของภาคนิพนธ์ที่ให้คนไปสืบทำให้อารมณ์ไม่ดีนัก

“ทั้งที่คิดว่ากำลังจะจนตรอกอยู่แล้วเชียว”

ว่าแล้วก็กำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น

ทั้งแขนที่หักซึ่งยังไม่สมานตัว แล้วตอนนี้ยังมีแผลที่หัวซึ่งเย็บมาหลายเข็ม เขาจะไม่มีทางยอมเจ็บตัวฟรี ต้องให้สองแม่ลูกนั่นชดใช้อย่างสาสม ที่จริงต้องรวมปาฏิหาริย์ไปด้วย แต่ตอนนี้เขากำลังจะฟ้องหย่าและยังโดนเพ่งเล็งเรื่องอื่น ๆ จึงยังไม่สามารถจัดการอะไร ๆ ได้ถนัดนัก

“พวกตรวจภาษีบ้า ๆ นั่นด้วย”

สบถอย่างแค้นใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงแสยะยิ้ม

ทำไมเขาไม่ใช่ประโยชน์จากภาคนิพนธ์กับพัลลภาล่ะ

เท่าที่เขาคิด เมื่อสองคนนั้นกลับมาดีกัน ก็แปลว่าไอ้เด็กปาฏิหาริย์นั่นติดใจภาคนิพนธ์อยู่มาก

“เด็กนั่นจอมไตรเชียวนะ”

และแล้ว รอยยิ้มอย่างหมาดหมายก็ปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า

.....................................


“คุณว่าสีขาวกับสีดำอันไหนสวยกว่ากัน”

เพราะใกล้เทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่แล้ว วันหยุดนี้ปาฏิหาริย์เลยชวนภาคนิพนธ์มาซื้อของขวัญให้คนที่บ้าน

“คุณจะซื้อให้ใครล่ะครับ”

“อาน้ำ”

ปาฏิหาริย์ตอบโดยที่ยังไม่ล่ะสายตาจากแก้วมัคซึ่งพิมพ์ลายเรียบ ๆ สองใบนั้น แล้วทำท่าคิดมาก เลือกไม่ถูกจริง ๆ

“ทำไมไม่ซื้อสองใบครับ”

ปาฏิหาริย์หันมามองแล้วยิ้มให้

“ผมก็ตั้งใจซื้อทั้งสองใบนั่นแหละ”

“อ้าว”

คนตัวโตกว่ายิ้ม ๆ กับท่าทางที่เหมือนจะบอกว่าแล้วถามทำไมของภาคนิพนธ์

“ของอาเอกับอาน้ำคนล่ะใบ ตอนแรกว่าจะซื้อสีเหมือนกันไปให้ คิดอีกทีซื้อคนล่ะสีไปให้ก็ดี”

สรุปเจ้าตัวเลยเลือกสองใบห่อของขวัญรวมกัน แล้วก็ลากภาคนิพนธ์ไปซื้ออย่างอื่น ซึ่งส่วนมาดูเหมือนปาฏิหาริย์จะเล็งไว้แล้วว่าจะซื้ออะไรให้ใคร

ที่ซื้อไปมีหนังสือ พวงกุญแจ สมุดภาพ ซึ่งปาฏิหาริย์ก็บอกให้ฟังทุกชิ้นว่าอันไหนให้ใคร แต่ของเล่นนี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสำหรับน้องเอิร์ธ

ที่ภาคนิพนธ์แปลกใจมากคือ ของทุกชิ้นราคาไม่เกิน 500 บาทซักชิ้น มันดูราคาถูกเกินไปหากจะบอกว่าซื้อให้เป็นของขวัญของใครในจอมไตร พอถามไปอย่างที่สงสัย ปาฏิหาริย์เลยบอกว่าปีใหม่นั้นไม่ถือเป็นเทศกาลสำคัญของที่บ้าน แต่ก็มีการซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กัน


“ถ้าซื้อของแพง วันสำคัญอย่างวันเกิด หรือวันครบรอบต่าง ๆ ก็ต้องซื้อของที่ดีกว่า แพงกว่าให้ คุณพ่อเลยบอกว่าให้เลือกของที่ราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอ เพราะความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ราคา มันอยู่ที่ว่าเราได้ให้ และเขาได้รับ”

“งั้นผมซื้อให้แม่ด้วยดีกว่า”

แล้วก็นึกได้ว่าแม่กำลังเริ่มทำงานฝีมือ ภาคนิพนธ์เลยซื้อหนังสือการถักโครเชต์กับชุดถักโครเชต์ชุดใหญ่มาหนึ่งชุด ตอนแรกภาคนิพนธ์จะซื้อชุดเล็กและจะจ่ายเอง แต่ปาฏิหาริย์บอกว่าจะจ่ายให้เพราะภาคนิพนธ์จ่ายค่าหนังสือไปแล้ว เถียงกันไปมาสุดท้ายเลยได้ชุดใหญ่แล้วออกกันคนล่ะครึ่งแทน

“สรุปแล้วของแม่ผมแพงสุดเลยนะเนี่ย”

ภาคนิพนธ์บ่นอย่างไม่จริงจังนัก ส่วนตาหวานก็แค่ยักไหล่ เมื่อกี้ภาคนิพนธ์ไม่ได้อยู่ด้วยทุกครั้งตอนจ่ายเงิน เจ้าตัวเลยไม่รู้ว่า ไอ้ที่แพงที่สุดน่ะ ของเล่นของน้องเอิร์ธต่างหาก

..........................................

นายมานิชยิ้มเมื่ออ่านเอกสารที่เขียนขอยื่นฟ้องหย่า ถึงจะบอกเรื่องนี้กับพัลลภาไปนานแล้วแต่ก็เพิ่งเริ่มดำเนินการเพราะในตอนแรกยังรั้งรอท่าทีของภาคนิพนธ์

แต่ตอนนี้การฟ้องร้องเรื่องหย่าจะเป็นทางสำคัญที่จะทำให้รอดพ้นจากการถูกฟ้องในเรื่องฉ้อโกงและหนีภาษี

อย่างน้อย ๆ นายมานิชก็มั่นใจอย่างนั้น

“ส่งเรื่องยื่นฟ้องเลย แล้วก็หาทางแจ้งกับทางนั้นเร็ว ๆ ล่ะ แจ้งที่คนลูกนะ ไม่ต้องแจ้งที่คนแม่แล้ว เสียเวลา”

สั่งการเสร็จก็ลุกเดินออกจากสำนักงานทนายความทันที

ทนายความเองก็ต่อโทรศัพท์แจ้งเรื่องการฟ้องกับคู่กรณีของนายมานิชทันทีเช่นกัน แต่มันจะไม่ตรงกับที่สั่งก็ตรงที่ คนที่ทนายความต่อสายถึงคือปาฏิหาริย์ไม่ใช่ภาคนิพนธ์

................................


TBC

ออฟไลน์ pilar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-14
เอ? หรือว่าทนายของนายมานิชก็เป็นคนของตาหวาน???

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
ตาหวานอ้อนเยอะๆสิ ภาคจะได้ใจอ่อนนนน  :ling1: :ling1: :mew2:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
สงสัยงานนี้ต้องขอบคุณคุณทนายนะ ที่ต่อสายถึงผิดคน :laugh:

bow55

  • บุคคลทั่วไป
เด่วก็ใจอ่อน อิอิ
มานิชนี่เลวไปนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด