-14-
High Hopes
http://www.youtube.com/v/Q6SiOnTLVfk?hl=en_US&version=3นิ้วของทะเลลูบไล้อยู่ที่แขนของผม ตรงร่อยรอยของใบมีดที่ฝากเอาไว้ ผมหลับตาเคลิ้มไปกับสัมผัสเบาๆ หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราไม่ได้พูดอะไรกันเหมือนต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิด เพราะเมื่อใช้อารมณ์ลงมือทำสิ่งใดไปแล้วก็มักจะมีความคิดตามมาหลังจากนั้นเสมอๆ ผมรู้ว่าผิดที่ทำแต่ก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันมันต้องเกิด ผมทำร้ายทะเลก็จริง แต่ผมไม่เสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นที่ผมรู้สึกคือดีใจ ผมอาจจะเลวที่คิดแบบนี้ แต่นั่นมันเป็นความจริงที่ผมรู้สึกและไม่อาจปฎิเสธให้เป็นอื่นได้จริงๆ
ทะเลนอนหันหลังโดยมีผมกอดเอาไว้ ผมโอบแขนเข้ากระชับมือของทะเลแล้วกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“เจ็บรึเปล่า" ทะเลเงียบไปสักพักจนผมเริ่มใจเสีย คิดว่าทะเลคงโกรธ ผมจึงกดจูบลงที่หลังคอแล้วคลอเคลียอยู่อย่างนั้นแทนคำขอโทษ
ทะเลหันกลับมามองหน้ายังเงียบไม่ได้ตอบอะไร ผมมองทะเลไล่เรื่อยลงมาจากใบหน้า ตามลำคอและตามตัว บางแห่งเป็นสีม่วงช้ำ บางแห่งเป็นรอยกัดช้ำเลือด มันมากกว่าที่ผมคิดจนทำให้รู้ว่าถามคำถามที่ดูโง่มากๆออกไป
ผมเริ่มรู้สึกเสียใจ...ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี ยิ่งทะเลไม่พูดผมก็เริ่มกลัว กลัวว่าจะรับไม่ได้กับสิ่งที่ผมเป็น กับสิ่งที่ผมทำ
“พี่บลูโกรธเลมากเลยเหรอ" ทะเลวาดแข่งโอบกอดผมแล้วถามขึ้น ทะเลกำลังตีความการกระทำของผมว่ามันคือความโกรธทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง มันเกิดขึ้นเพราะความโกรธก็จริงแต่สิ่งที่กระทำมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวผม
“พี่โกรธ...แต่...” ผมจะบอกทะเลยังไงดีให้ทะเลเข้าใจ เรื่องอดีตผมก็อยากให้มันเป็นอดีตอยู่อย่างนั้น แต่บางทีมันก็เป็นแบบนั้นไม่ได้ในเมื่ออดีตทำให้ผมเป็นผมอยู่ในขณะนี้ มันฝังรากลึกในการกระทำและความรู้สึกนึกคิด
“ขอโทษ...”ผมพูดได้แค่นี้ แค่นี้จริงๆในตอนนี้
“พี่ไม่ต้องขอโทษเลแล้ว เลแค่อยากรู้ว่าทำไมถึงโกรธขนาดนั้น"
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่าโกรธหรือไงที่เห็นเลไปไหนมาไหนกับก้าน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าก้านคิดยังไงกับเล"
“แต่เลไม่ได้คิดเหมือนก้าน ทำไมพี่บลูถึงไม่คิดว่าตรงนี้มันสำคัญกว่า"
ใช่ ตรงนี้มันสำคัญกว่าผมรู้ แต่จะไม่ให้คิดได้ยังไงในเมื่อรู้ว่าก้านกำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซ้ำยังเคยทำสำเร็จไปแล้วด้วยครั้งหนึ่ง
เหตุผลแค่นี้ของผมมันก็มีน้ำหนักเหมือนกัน ใช่ว่าผมอยากเป็นคนไร้เหตุผลหึงงี่เง่าถึงขนาดนั้น
ผมถอนใจ ไม่ได้บอกสิ่งที่คิดออกมาให้ทะเลฟังแล้วคว้าเอามือทะเลมาบีบเล่น ไม่มีบทสนทนาใดๆอีก แต่ในหัวความคิดกลับไหลไปเรื่อยๆ
ข้อมือของทะเลเป็นรอยชัดเจน แต่ที่ๆเหมือนจะชัดที่สุดคือตามลำคอ รอยมันเข้มมาก คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย ถ้าน้าวิทย์กับน้าเพลงเห็นเข้าจะทำยังไง ยังดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง ผมคงต้องพยายามเก็บทะเลไว้ในห้องก่อน ไม่ให้ใครเห็นเป็นดีที่สุด...
ผมวางแผนแล้วจัดการดูแลทะเลหลังจากนั้น พยายามไม่ให้น้าวิทย์ น้าเพลงสงสัย ให้ทะเลลงมาข้างล่างให้เห็นหน้าบ้างแต่ก็ไม่ให้เดินไปใกล้จนเกินไป พอถึงวันที่ไปเรียนรอยที่ข้อมือก็เริ่มบางแล้วแต่รอยที่คอก็ยังชัดเหมือนเดิม มันใหญ่มากจนพลาสเตอร์ก็ช่วยไม่ได้ ผมจึงคิดตัดสินใจพาทะเลโดดเรียนก่อนวันนึงโดยหวังว่าหลังจากวันนี้แล้วมันคงจะดีขึ้น
...
วันจันทร์เราออกจากบ้านมาตอนเช้าเหมือนปกติที่ไปโรงเรียน ผมเอาเสื้อผ้าของทะเลใส่กระเป๋าตัวเองมาด้วย เมื่อออกมาสักพักผมก็แวะปั๊มให้ทะเลเปลี่ยนชุดแล้วพาไปตลาด เรากินข้าวแล้วเดินอยู่แถวนั้นจนแดดของช่วงสายเริ่มแรงขึ้นผมจึงพาทะเลหลบร้อนมาเดินในห้างที่อยู่ใกล้ๆ
ทะเลมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาที่อยู่กับผม ผมอยู่กับทะเลมานานจนรู้ว่านั่นเป็นรอยยิ้มของความสุข และมันก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมยิ้มไปด้วย ความสุขเล็กๆของผมดำเนินไปเพียงไม่นานก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ ทะเลหยิบมันออกมาดูชื่อที่หน้าจอเหมือนชั่งใจก่อนจะกดตัดสาย ไม่ทันที่ทะเลจะเก็บเข้ากระเป๋ามันก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทะเลหันมามองหน้าผมอย่างลำบากใจ
“รับสิ" ผมบอก พาทะเลมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้น แล้วเดินปลีกตัวออกมา ไม่อยากจะเห็นท่าทางลำบากใจของทะเลอีก
“ว่าไง" ทะเลรับโทรศัพท์แล้วคว้ามือผมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน พอผมหันไปมองทะเลก็บีบมือผมแน่นแล้วพูดกับคนในสาย
“อยู่ข้างนอก"
“เปล่า"
“ไม่มีอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไป"
“เออน่า มึงเข้าเรียกเหอะ ไว้เจอกัน"
ทะเลตัดบทแค่นั้น เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเอียงคอมองผมอย่างครุ่นคิด
“อะไร" ผมถาม
“โกรธอีกรึเปล่า" ทะเลถามกลับ ผมถอนใจแล้วส่ายหน้า ไม่อยากให้ทะเลคิดมากถึงขนาดนั้น ยอมรับว่าก็ไม่ได้พอใจเพราะดูยังไงๆก้านมันก็ยังตามทะเลอยู่ไม่เลิกลาง่ายๆ แต่ผมก็ไม่อยากเอาอารมณ์มาลงกับทะเลอีก
ผมกอดคอทะเลเดินหาร้านเครื่องดนตรีกัน นึกขึ้นมาได้ว่าอยากได้ไม้กลองใหม่ เดินอยู่ไม่นานจนเจอร้าน เราต่างคนต่างดูของที่ตัวเองสนใจ ใช้เวลาอยู่ในนั้นเรื่อยๆไม่รีบร้อน ผมได้ไม้กลองใหม่มาคู่หนึ่งอย่างที่หวัง หันไปหาทะเลก็ยังคงสนใจแต่กีตาร์และดูท่าว่าคงอีกสักพักผมเลยดูของในร้านต่อเพื่อรอทะเล
ผมดูไปเรื่อยๆจนสะดุดอยู่ที่ปิคกีตาร์ มีอยู่อันหนึ่งที่สะดุดตาผม มันเป็นปิคสีฟ้าเหลือบๆธรรมดาๆแต่ทำให้นึกถึงสีของน้ำทะเล ผมหยิบขึ้นมาดูเพียงแค่ไม่ถึงนาทีก็ตัดสินใจซื้อมาเก็บเอาไว้ให้ทะเล
เราเดินกันในห้างนั้นจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เมื่อขาเราล้าเกินกว่าที่จะเดินต่อไปผมก็คิดว่าเราควรจะกลับกันได้แล้ว ผมชวนทะเลกลับทะเลก็พยักหน้าเพราะรู้ดีว่าวันนี้ผมมีเล่นที่ร้านตอนเย็น เราสองคนเดินลงมาชั้นล่างของห้างไม่ทันที่จะได้กลับออกไปก็มีเสียงๆหนึ่งเรียกทักผมขึ้นก่อน
“บลู...บลูใช่ไหม..."
เป็นเสียงผู้หญิง เสียงที่ทำให้ผมไม่นึกอยากหันไปมอง แต่รู้สึกตัวก็หันไปหาแล้วตามสัญชาตญาณ
ผมเห็นคนที่ไม่เจอมากว่าสิบปี แต่ผมก็ยังจำได้ จำผู้หญิงที่ให้กำเนิดผมได้
แม่มองผมด้วยแววตาเหมือนดีใจ ผู้หญิงตรงหน้าดูมีอายุขึ้นแต่ก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ชอบแต่งตัว รักสวยรักงามดูแลแต่ตัวเองจนไม่คิดแม้แต่จะสนใจลูก
ผมหันหลังให้ผู้หญิงคนนั้น เหมือนที่อยากหันหลังให้อดีตแล้วคว้ามือทะเลเดินออกมาไม่สนใจเสียงเรียกที่ตามมาอีก ทะเลมองผมคล้ายอยากจะถามแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
รู้สึกตัวอีกทีผมก็พาทะเลมาถึงที่ห้องซ้อมแล้ว ภาพในอดีตซ้อนทับปัจจุบันจนผมแทบไม่รู้ตัว แม้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าไปคิดถึงมันก็ยังห้ามไม่ได้ ในใจผมนึกสงสัยในแววตาของแม่ สงสัยว่าอะไรที่ทำให้แม่ดีใจเมื่อเจอผม ในเมื่อสำหรับผมมันมีแต่ความรู้สึกเลวร้ายในอดีต
ผมตัดผู้หญิงคนนี้ออกไปจากชีวิตตั้งนานแล้วและไม่เคยคิดจะกลับไปหาอีก ในเวลาที่ได้เจอกันอีกครั้งผมไม่มีอารมณ์ใดๆให้กับคนที่เป็นแม่ของผม ไม่ได้รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ใดๆที่ลึกซึ้งผูกพันธ์อีกต่อไป จะมีก็แต่การกล่าวโทษ...ผมโทษแม่ที่ทำให้ผมเป็นคนที่แตกหัก ไม่สมบูรณ์ทางจิตใจ...โทษที่เป็นคนทำให้ผมเป็นคนที่ไม่คู่ควรกับสิ่งที่ได้มา...
ผมพยายามปัดความคิดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้วมองทะเลที่นั่งอยู่ข้างๆ เราอยู่ในห้องซ้อมกันสองคนเพื่อรอป็อปกับร็อคสอนเสร็จจะได้ไปที่ร้านพร้อมๆกัน ทะเลหยิบกีตาร์ไฟฟ้าที่วางอยู่แถวนั้นมาเล่นเป็นทำนองเพลงที่ทะเลแต่ง ผมเห็นนิ้วเรียวๆของทะเลที่เกากีตาร์อยู่ทำให้นึกถึงปิคอันนั้นขึ้นมาได้ ผมหยิบปิคที่ซื้อมาเมื่อตอนบ่ายมายื่นให้ตรงหน้าทะเล
“สีฟ้า...เหมือนตาพี่บลูเลย" ทะเลจับพลิกดูไปมาแล้วบอกผม
ผมยิ้ม ในใจตอนที่ซื้อกลับคิดว่ามันสีเหมือนน้ำทะเล...
ทะเลยิ้มตอบผมจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง เป็นยิ้มเหมือนตอนเด็กๆเวลาดีใจเมื่อได้ของ มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงตรงลักยิ้มนั่น...
ไม่ทันที่ผมจะผละออกป็อปก็เปิดประตูเข้ามา พอเห็นเราทั้งสองป็อปก็ยิ้มให้ ดูเป็นยิ้มที่ฝืนๆ ป็อปทักทายปกติที่สุดแต่ผมเห็นสายตาจับจ้องอยู่ที่คอของทะเล ก่อนจะหันมาสบตาเข้ากับผมแล้วมองเมินไปที่อื่นไม่ได้หันมามองพวกเราอีก
เราทั้งสามตกอยู่ในความเงียบที่ให้ความรู้สึกอึดอัด บางทีทะเลก็เหลือบมองผม บางทีก็เหลือบมองป็อป ไม่มีใครคิดหาบทสนทนาที่เหมาะกับช่วงเวลานี้ได้เลย
ผมเอื้อมไปเอากีตาร์มาจากมือทะเลและเล่นมันเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดที่เป็นอยู่ ผมไม่ได้เล่นกีตาร์เก่งเหมือนอีกสองคนที่อยู่ในห้องแต่ก็แค่เล่นมันไปเรื่อยๆ สักพักป็อปก็หยิบกีตาร์ของตัวเองมาเล่นคลอกับผม ทะเลดูจะเหม่อไปเหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเองพลางมองปิคในมือ
จู่ๆผมก็รู้สึกหน่วงๆในอก มันเป็นความรู้สึกเศร้าลึก บอกไม่ได้ว่าอะไรหรือทำไมทำให้รู้สึกแบบนี้
ผมมองป็อปที่นั่งพิงผนังห้องตรงข้ามกับผมที่นั่งอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อเราสบตากัน สายตาของป็อปก็ยังไม่เปลี่ยนไป
นานแล้วที่ไม่ได้มองป็อปเต็มๆตา ครั้งสุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ช่วงเวลาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ผมพยายามรักษาระยะห่างเพื่อให้ป็อปตัดใจ นิสัยของป็อปผมรู้ดีว่ามันอ่อนไหวและเปราะบางกว่าที่เห็นภายนอก แม้บางครั้งจะเป็นห่วง อยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ผมก็ได้แต่ถามเอาจากร็อคหรือแค่มองอยู่ห่างๆ
แม้ผมจะอยากให้เพื่อนคนนี้ของผมมีความสุขแต่ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อผมให้เขาไม่ได้
“เลลงไปรอข้างล่างนะ" ทะเลบอกแล้วลุกออกไป ผมไม่ได้รั้งเอาไว้
หลังจากประตูปิดลงป็อปก็ลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆผมตำแหน่งเดียวกันที่ทะเลนั่งแล้วพูดกับผม
“กูคิดถึงมึง"
“ป็อป...”
“แค่บอกเฉยๆ"
“มึงไม่ควรจะคิดแบบนี้"
“กูไม่ได้บังคับให้มึงรู้สึกแบบเดียวกันสักหน่อย"
“มึงทำให้กูลำบากใจ ทำให้คิดว่ากูเป็นคนที่ทำให้มึงไม่มีความสุข" ป็อปส่ายหน้าตอบคำพูดของผม
“กูจะพูดให้มึงสบายใจก็ได้ว่ากูกำลังพยายามตัดใจจากมึงอยู่" ป็อปพูดแล้วยกมือขึ้นลูบแขนของตัวเองที่มีรอยสักอยู่ตรงนั้น เป็นรอยสักใหม่ที่ผมเพิ่งเห็น จริงอย่างที่ร็อคว่า ตอนนี้รอยสักมันแทบจะเต็มตัวป็อปแล้ว
ผมอดคิดไม่ได้ว่าป็อปกำลังเสพติดความเจ็บปวด และเหมือนกับว่าผมเป็นคนส่งต่อมัน ผมอยากให้ป็อปคิดทำจริงๆกับสิ่งที่พูด คิดตัดใจ เพราะผมรู้ดีว่าตัวผมไม่ได้มีค่าอะไรมากมายขนาดนั้น
“อยู่กับเลมีความสุขไหม" ผมยิ้มให้ป็อป ให้เขาตีความมันเอาเอง จริงๆแล้วจะความสุขหรือความทุกข์ผมไม่สามารถบอกกับใครได้ ถึงบอกไปใช่ว่าคนๆนั้นจะรู้และเข้าใจ ถ้าผมบอกว่าตัวผมมีความสุขในขณะที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะรับรู้...
เราอยู่ในห้องได้สักพักไม่นานหลังจากนั้นร็อคกับตูนก็เข้ามา เมื่อครบแล้วพวกเราจึงเริ่มเก็บของเพื่อไปที่ร้าน ทะเลดูเงียบไปเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกัน จากสายตาของทุกคนเหมือนกับว่ารับรู้ความความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงระหว่างผมกับทะเล มันไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดแต่สำหรับทะเลผมก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกแบบไหนกับท่าทางที่เงียบไปในตอนนี้
...
ในระหว่างที่รอขึ้นเล่นเรานั่งกันอยู่โต๊ะประจำหน้าร้าน บทสนทนาของพวกเราเป็นไปอย่างเรื่อยๆไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษ เมื่อมีคนเดินมาหยุดยืนที่โต๊ะของเราทุกคนจึงเงียบและจ้องมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาสงสัย
คนๆนั้นมองไปที่ป็อปแล้วยิ้มให้ ผมจึงเลื่อสายตาลงมาที่ป็อปที่มีแววตาตกใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไปแล้วทักขึ้น
“มาได้ไง"
“ก็ป็อปเคยบอกว่าเล่นที่นี่ เลยมาดู" เขาพูด มองไปรอบๆโต๊ะแล้วหยุดมองที่ผม
“ใช่ปาร์ครึเปล่า" ร็อคถามขึ้น ผู้ชายคนนั้นจึงพยักหน้า
“เฮ้ย ไม่เจอนานเลยว่ะ เป็นไงบ้าง"
ร็อคชวนเพื่อนเก่ามันนั่งด้วยกัน ผมฟังมันแนะนำแล้วบอกว่าเป็นเพื่อนสมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนเก่า ผู้ชายที่ชื่อปาร์คคนนี้ตัวค่อนข้างใหญ่พอๆกับผม สีหน้าของเขาไม่สะท้อนอารมณ์ใดๆนักแต่เป็นคนที่มีแววตาแพรวพราว เหมือนเป็นการบอกให้รู้ว่าเขากำลังรู้ในสิ่งที่เรากำลังคิด...ผมที่ยาวประมาณบ่าถูกรวบเอาไว้ทำให้เห็นรอยสักที่ท้ายทอย
ดูรวมๆแล้วเป็นคนที่ให้ความรู้สึกอันตรายอยู่หน่อยๆ
เมื่อร็อคถามว่าไปเจอกับป็อปที่ไหนมาก็เลยรู้ว่ารอยสักทั้งหมดของป็อปเป็นฝีมือของเพื่อนคนนี้ ป็อปเป็นลูกค้าประจำที่ร้านของพี่ชาย เขาว่าอย่างนั้น มันทำให้ผมนึกถึงรอยสักของป็อปบนแผ่นหลัง ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันสวย และผมก็ชอบรูปดอกกุหลาบสีฟ้าอันนั้นเป็นพิเศษ
เราคุยกันได้ไม่นานก็ต้องเข้ามาเตรียมตัว ผมให้ทะเลเข้ามานั่งข้างในที่เดิมเหมือนปกติ ปาร์คก็กลับไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน หลังจากเล่นเสร็จผมก็บอกลาเพื่อนและปลีกตัวพาทะเลกลับบ้านมาก่อนไม่ได้อยู่ต่อ
ผมกังวลใจไม่น้อยจากท่าทีเหม่อลอยตลอดเวลาของทะเล ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ผมจำรอยยิ้มเมื่อตอนกลางวันที่เราอยู่ด้วยกันได้ แปลกที่ว่าพอจะหมดวันก็เหมือนกับรอยยิ้มมันค่อยๆหายตามไปโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ ผมดึงทะเลมากอดเมื่อทะเลทิ้งตัวลงนอนบนฟูกข้างๆ ทะเลนอนนิ่งสงบในอ้อมกอดเหมือนว่ากำลังจะกลับ ผมจึงหลับตาลงบ้าง ยังไม่ได้ถามอะไรแม้ในใจจะอยากรู้
“พี่ป็อปยังรักพี่บลูอยู่..." จู่ๆทะเลก็พูดขึ้น ผมจึงคลายกอดออกเพื่อมองหน้าทะเล ดีใจที่ทะเลพูดออกมาก่อนโดยที่ผมไม่ต้องถาม
“...ทำไมถึงคิดแบบนั้น"
“เลไม่ได้คิด แต่เลรู้...พี่ป็อปจะเกลียดเลไหม...ถ้ารู้ว่าเรา...”
“รักกัน" ผมต่อให้ คำที่ทะเลอึกอักไม่กล้าพูดมันออกมา "ป็อปไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกลียดเล ถ้าจะเกลียดก็ต้องเกลียดพี่เพราะพี่เป็นคนทำร้ายเขา"
“เขาจะเกลียดพี่ได้ยังไงเล่า...”
“อย่าคิดมากเลย อีกไม่นานป็อปก็คงทำใจได้"ผมยกมือขึ้นเขี่ยผมที่ปรกหน้าทะเลไปด้านข้าง แล้วพูดให้คลายกังวล เพราะรู้ว่าป็อปคงไม่คิดกับทะเลแบบนั้น
“พี่บลู...คนอื่นเขารู้ไหมว่าเราเป็นอะไรกัน"
“ถ้าป็อปกับร็อคน่ะรู้เพราะพี่บอกเรื่องของเล แต่คนอื่นพี่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะรู้รึเปล่า"
“เลเริ่มกลัวว่าพ่อกับแม่จะรู้...เลไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะว่ายังไงถ้าเกิดรู้เรื่องของเราขึ้นมา"
ผมเงียบ ในใจก็นึกกังวลเหมือนกันกับเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิด ผมคิดมาตลอดถึงความผิดถูกจนเป็นหนึ่งเหตุผลที่หักห้ามตัวเองไว้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเหตุผลก็คือเหตุผล เอาชนะอารมณ์ความรู้สึกของผมไม่ได้อยู่ดี
“นอนเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย"
ตอนนี้ผมยังไม่อยากให้ทะเลคิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ มันยังเร็วเกินไปถ้าจะบอกให้น้าวิทย์กับน้าเพลงรับรู้แต่ผมคิดเอาไว้ว่ายังไงมันก็ต้องมีสักวันที่ผมจะบอกพวกเขา
แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
ยังไม่ใช่...เพราะผมเพิ่งจะได้ทะเลมา...และยังไม่พร้อมถ้าหากจะต้องเสียทะเลไป
...
จากวันนั้นเพียงไม่กี่วัน ผมก็เจอคนที่ไม่คิดจะเจออีกครั้งหนึ่ง การมาถึงครั้งนี้เป็นไปอย่างจงใจทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องการที่จะให้ผมมีความสุข เมื่อเห็นแม่อีกครั้งก็เหมือนเห็นเงาดำในอดีต มันไม่มีคำว่ายินดีเพราะไม่รู้สึกดีใจแม้สักนิดที่ได้พบ
เจ๊หนิงพาแม่มาหาผมด้วยสีหน้าลำบากใจ คงกังวลกับความรู้สึกของผมไม่น้อย ผมไม่มีความรู้สึกไม่พอใจเจ๊หนิงแต่รู้สึกไม่พอใจแม่เพราะผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม
แม่บอกว่าต้องการคุยกับผมเจ๊หนิงจึงเข้าไปหาน้าวิทย์ในบ้าน ทิ้งผมไว้ที่หน้าอู่กับแม่ เมื่อผมนั่งลงที่ม้าหิน แม่ก็นั่งลงตามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมไม่ได้ยิ้มตอบรอยยิ้มนั่นได้แต่นั่งเฉยๆรอให้แม่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“บลูสบายดีไหมลูก" ผมมองแม่ด้วยความฉงนใจในคำพูด แม่ไม่เคยจะพูดกับผมแบบนี้ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทั้งน้ำเสียงและคำพูด มันไม่ใช่เลย เหมือนไม่ใช่แม่ที่ผมเคยรู้จัก
“ครับ"
“แม่ดีใจที่ได้เจอบลู"
“......”
“...อยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง...มีความสุขไหม" ผมได้แต่ยิ้มหยันในคำพูด ไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามคำถามที่ผมอยากรู้
“แม่มาทำไม"
“แม่คิดถึงบลู...อยากมาหา..."
“......”
“บลูโตขึ้นจนแม่แทบจำไม่ได้...แม่คิดว่าจะไม่ได้เจอบลูอีกแล้ว" ผมมองผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า 'แม่' ทุกคำแทนที่คำว่า 'ฉัน' ที่พูดกับผมเมื่อก่อน ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรเลยว่าแม่ต้องการอะไรจากผม
เมื่อผมไม่ตอบอะไรเราจึงตกอยู่ในความเงียบ ผมไม่ตอบสนองอะไรจนแม่คงรู้สึกได้เลยไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในระหว่างนั้นทะเลก็กลับมาจากโรงเรียนเมื่อเห็นผมนั่งอยู่หน้าอู่จึงมองทั้งผมและแม่ด้วยความสงสัย ผมยิ้มให้บางๆเหมือนเป็นการบอกว่าไม่มีอะไรทะเลจึงเดินเข้าบ้านไป
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วแม่ก็กลับเถอะ" ผมเอ่ยปากไล่โดยไม่รู้สึกผิดสักนิด ไม่คิดอยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว
“แม่ไม่ได้อยู่กับพี่หญิงแล้ว...แม่แต่งงานเมื่อสี่ปีก่อน...แล้วบลูก็มีน้องชายด้วยนะ"
แม่รีบพูดเมื่อผมลุกขึ้น คำพูดของแม่หยุดขาของผมที่คิดจะเดินหนี รู้สึกแปลกใจที่ประโยคนั้นของแม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บร้าวได้ เพราะความสุขในน้ำเสียงของแม่ มันบอกชัดว่ากำลังอยู่ในครอบครัวที่ผมเคยฝันถึง ครอบครัวที่เคยนึกอยากให้แม่มีผู้ชายแค่คนเดียวแล้วรักผมเหมือนลูกเหมือนที่แม่คนอื่นรัก
ผมกำลังรับรู้ว่าสิ่งที่ผมเคยฝันทั้งหมด...เป็นของอีกหนึ่งเลือดเนื้อของแม่...เป็นของน้องชายผม
“ถ้าบลูอยากกลับไปอยู่กับแม่...”
“ผมไม่อยาก"
ผมพูดตัดบท ไม่อยากจะฟังอะไรต่อไป ผมไม่นึกว่าตัวเองจะรู้สึกอะไรกับคำพูดของแม่แต่ผมก็รู้สึก มันแปลกดีที่ผมจินตนาการครอบครัวใหม่ของแม่ที่อยู่กันอย่างมีความสุขแล้วก็ให้นึกชิงชังจากน้ำเสียงที่ดูรักใคร่ ทั้งที่กับผมทำอะไรไว้บ้างคิดว่าผมจะลืมไปแล้วกลับไปอยู่ด้วยหรือยังไง
“อย่ามาที่นี่อีก ผมอยากให้เราต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม หวังว่าแม่คงเข้าใจ" ผมบอกแล้วเดินเข้าบ้านมา ไม่สนใจอะไรอีก ผมเห็นน้าวิทย์ น้าเพลงและทะเลที่มองอยู่ห่างๆแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับใครทั้งสิ้น
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนอ่อนแอที่ยังมีความรู้สึกกับอดีต เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าแม่ผมก็ยังมีความรู้สึกเสี้ยวเล็กๆที่ผมโหยหา นานมาแล้วที่ผมอยากได้ความรักความใจดีของแม่อย่างที่แม่ให้ผมในตอนนี้ เมื่อรู้สึกว่ามันสายไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกสะเทือนจิตใจ
ผมยิ้มหยันๆให้กับความโชคร้ายของตัวเอง นึกเข้าใจคำว่าโชคชะตากำลังเล่นตลก
ทั้งที่จริงๆมันไม่ใช่เรื่องตลก แต่ผมก็ยิ้ม หัวเราะให้กับโชคชะตา...ไม่นึกอยากร้องไห้...
ช่างเถอะ
ผมพอใจกับปัจจุบันแล้ว
น้าวิทย์ น้าเพลงและทะเลเป็นครอบครัวของผม...ไม่ใช่แม่
และมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป...ผมคิดอยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป...
ใช่...ผมคิด ผมหวัง
แต่สุดท้ายคำว่าตลอดไปมันก็มีอยู่แค่ในความฝัน...
ยาก...ที่จะรักษาเอาไว้ได้...ในชีวิตจริง

Song Titles : High Hopes
Artist : Kodaline
