Magica Café
Last Magic
บนสะพานไม้บ้านคุณตาคุณยาย อาร์ดิวเดินงงๆมาบนสะพาน เขาไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม เด็กหนุ่มลอดราวสะพานไปนั่งห้อยขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หิ่งห้อยตัวน้อยบินมาเกาะที่มือของเขา พาลทำให้คิดถึงการ์ฟขึ้นมา แต่มันกลับเป็นความรู้สึกเศร้าแปลกๆ เด็กหนุ่มถอนใจ ขยับลุกขึ้นจะกลับแต่ก็ต้องชะงักเมื่อการ์ฟเดินเข้ามาหา แสงระยิบระยับรอบกายชวนให้แสบตา อาร์ดิวหรี่ตามองคนที่เดินเข้ามาหาตนเองพร้อมรอยยิ้มนั่น
“ในที่สุดนายก็มา ฉันรอมานานแค่ไหนรู้ไหม?”
น้ำเสียงตัดพ้อจากการ์ฟ อาร์ดิวได้เพียงนิ่งฟังเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด นี่มันคืออะไร เขากำลังฝันหรือ?
“ฉันมาที่นี่ทุกวัน เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งนายจะกลับมาหากัน”
“คุณรอผมทำไม?” อาร์ดิวท้วงถาม ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
การ์ฟช้อนมือเรียวมากุม ก่อนยกขึ้นมาทาบทับบนอกข้างซ้าย มองอาร์ดิวที่มีท่าทีสับสนแล้วเอ่ยบอก
“ฉันรอนายอยู่ รอนานแล้ว... ฉันอยากจะบอกว่า..รักนายนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยบอกช่างน่าฟัง อาร์ดิวกะพริบตาปริบ อยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นเช่นนั้น บรรยากาศอ้อยอิ่งดูอ่อนหวานในความรู้สึก แต่เพียงไม่นานบรรยากาศอ่อนหวานเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม มัวหม่นราวพายุกำลังจะโหมเข้าใส่ อาร์ดิวหันมองรอบกายด้วยความตกใจ เมื่อหันกลับมามองการ์ฟกลับมีลมแรงผ่านวูบพาการ์ฟหายไปต่อหน้าต่อตา
“การ์ฟ… การ์ฟ!!” เด็กหนุ่มยืนเคว้งท่ามกลางความมืด ร้องเรียกคนที่หายไปต่อหน้าด้วยใจหวาดหวั่น
“การ์ฟ!!!”
ดวงตาเรียวเปิดขึ้น อาร์ดิวสะดุ้งตื่นจากความฝันทั้งหายใจหอบถี่ ในหูกลับได้ยินเพียงเสียงฟี่ๆดังลอดเครื่องช่วยหายใจ หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งยังเกิดความสงสัยขึ้นมาในขณะเดียวกัน เกิดอะไรขึ้น?
มือเรียวอยากยกกุมสร้อยที่เคยสวมติดคอไว้ตลอดเวลานั้น แต่มันกลับทำไม่ได้ เขาไม่มีแรงเลย
“การ์ฟ...”
ริมฝีปากบางพึมพำชื่อของอีกคนแต่เสียงกลับแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยิน ใบหน้าคุณแม่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เขามองเห็นไม่ชัดเจนนักแต่รู้ว่าท่านกำลังร้องไห้ คุณแม่ร้องให้ทำไมกัน?
“อาร์ดิว... อาร์ดิว ขอบคุณเหลือเกินที่ลูกกลับมา”
หูเขาได้ยินเสียงเพียงผะแผ่วแว่วมา สมองเขาประมวลผลไม่ทัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อะไรกัน...
เมื่อสติสตังกลับมาอาร์ดิวเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาล หลังเขาฟื้นขึ้นมาคุณหมอก็เข้ามาดูอาการและให้พักรักษาตัวจนเริ่มดีขึ้นตามลำดับ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขายังสับสนว่ามันเป็นเพียงความเพ้อฝันหรือความจริง เขากับการ์ฟมีช่วงเวลาดีๆแบบนั้นจริงๆใช่ไหม หรือแค่ฝันไปเท่านั้น เขาไม่รู้แล้ว แยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ แต่หัวใจเขามันร่ำร้องให้เชื่อว่าความรู้สึกที่มีให้การ์ฟคือเรื่องจริง
“แม่ครับ ผมอยู่ที่นี่นานหรือยัง? ตั้งแต่ตอนไหนกัน?”
อาร์ดิวเอ่ยถามคุณแม่ในวันหนึ่ง สีหน้าเด็กหนุ่มดูเหม่อลอย คุณแม่มองแล้วถอนใจยาว เข้ามานั่งเก้าอี้ข้างเตียงแล้วจับมือลูกชายไว้ อาร์ดิวค่อยหันมามองคุณแม่ช้าๆ แล้วเงยมองคุณพ่อที่ยืนอยู่ข้างกัน ทุกคนอยู่ที่นี่ คงขาดแต่ปอมปอมที่ไปเรียนหนังสือ
“ลูกคงจำอะไรไม่ได้สินะ” มือเรียวแสนอบอุ่นลูบศีรษะลูกชายเบาๆ “แม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่เมฆเข้าไปเห็นลูกนอนแน่นิ่งอยู่ในห้อง พวกเราเลยพาลูกมาที่โรงพยาบาล”
คำบอกเล่าของคุณแม่ทำให้อาร์ดิวคิดตาม เขาจำได้ จำได้ว่าเขาเคยเข้าโรงพยาบาลแล้วการ์ฟ... เรื่องที่การ์ฟไปตามเขากลับมาล่ะ มันคือความจริงหรือเปล่า แล้วเรื่องวิญญาณหนุ่มนั่นอีก เขาสับสนไปหมดแล้ว
“ถ้าจำไม่ได้ก็ค่อยๆคิด” เสียงคุณพ่อเตือนด้วยความห่วงใย อาร์ดิวมองท่านทั้งสองสลับกันไปมา ก่อนเอ่ยถามถึงเรื่องคาค้างใจ
“กะ...การ์ฟล่ะครับ เขา...”
คำถามของอาร์ดิวทำให้คุณพ่อคุณแม่มองหน้ากัน ก่อนที่คุณแม่จะเป็นคนอธิบายเรื่องทุกอย่างแก่เขาอีกครั้ง เพราะจะช่วยเขาการ์ฟถึงได้ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยง ให้พี่เมฆทำพิธีถอดจิตไปตามเขากลับมา สิ่งที่ได้ฟังจากคุณแม่ทำให้อาร์ดิวรู้ว่าที่เขาเห็นว่าการ์ฟไปช่วยนั้นมันคือความจริง แต่ที่เขาไม่รู้คือหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
“เราทำไม่สำเร็จ ทั้งลูกและการ์ฟถึงได้...”
คุณแม่ค้างคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นว่าอาร์ดิวนิ่งอึ้งไปแล้ว ทำไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ? เขาไม่อยากจะคิดต่อเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับการ์ฟบ้าง
“...การ์ฟเขาไม่สบายน่ะ”
ประโยคบอกเล่าจากคุณแม่ทำเอาใจอาร์ดิวหล่นวูบ เอ่ยถามท่านกลับเสียงแผ่วเหมือนหัวใจของเขาที่มันเต้นเบาลง “ไม่สบาย... อย่างนั้นหรือครับ...?”
คุณแม่พยักหน้า สีหน้าท่านเองก็ไม่สู้ดีนัก
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ?”
“อามนพากลับไปรักษาตัวที่บ้านที่ต่างจังหวัดแล้วล่ะครับ” คุณแม่มองลูกชายที่มีท่าทีสับสนด้วยความสงสาร มือเรียวสวยยังคงลูบศีรษะปลอบประโลมลูก
ภาพเหตุการณ์ที่อาร์ดิวเห็นก่อนฟื้นขึ้นมานั่นคือลางบอกเหตุหรือเปล่า คิดเพียงเท่านั้นใจเขาก็ร้อนรุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนจริงจนแยกไม่ออก
“แม่ครับ ผม...”
“ไปเถอะดิว อยากไปเยี่ยมการ์ฟใช่ไหม?”
“...........” เด็กหนุ่มพยักหน้า
“พ่อจะพาไปเอง”
คุณพ่อที่ฟังเงียบๆเอ่ยอาสา อาร์ดิวเงยหน้ามองท่าน กระบอกตาร้อนผ่าวราวน้ำตาจะไหล ทำไมใจเขาถึงเจ็บทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการ์ฟเป็นอะไร
หลังพักรักษาตัวจนอาการดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปรกติทุกอย่าง อาร์ดิวกับคุณพ่อก็ได้เดินทางมาที่บ้านของการ์ฟ ช่วงเวลาที่เขานอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลมันกินเวลาเกือบปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้แต่ในฝันของเขาที่มีร่วมกับการ์ฟก็เทียบเท่าเวลาทั้งหมดที่ผ่านไปในโลกของความเป็นจริง ช่วงเวลาร่วมปีนั้นเขาผูกพันกับการ์ฟมากแค่ไหน แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากับการ์ฟก็ยังคงห่างไกลกันอยู่ดี
อาร์ดิวเข้ามาในห้องของการ์ฟ เด็กหนุ่มมองคนบนเตียงที่ตอนนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจพยุงชีวิต ร่างกายซูบผอมจนใจหาย ผู้ใหญ่ที่ตามมาส่งออกไปข้างนอก ปล่อยให้ทั้งสองคนได้อยู่กันตามลำพัง คุณแม่ของการ์ฟอดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตาด้วยความสะเทือนใจเมื่อนึกถึงวันที่ได้รู้ว่าการ์ฟเป็นอะไรไป ท่านไม่โทษว่าเป็นความผิดของใครทั้งนั้น เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้เกิด และอาร์ดิวเองในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างจากการ์ฟเลยสักนิด
อาร์ดิวมองการ์ฟนิ่ง น้ำในตาไหลลงข้างแก้มจนตาพร่าไปหมด มือเรียวจับมือของการ์ฟมากุม สะอื้นฮักเมื่อเอ่ยถ้อยคำ
“ไหนคุณบอกว่ารอผมอยู่ไง ผมมาหาคุณแล้วทำไมคุณไม่ลืมตาขึ้นมามองหน้ากัน?”
หยาดน้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร แม้เขาจะร้องไห้แค่ไหนการ์ฟก็ไม่มีทางฟื้นคืน อาร์ดิวถอดสร้อยที่คล้องคอตนเองออก แล้วค่อยนำมันมาสวมให้การ์ฟแทน มองใบหน้าซีดเซียวนั้นยิ่งทำใจไม่ได้
“แม่บอกว่ามันจะช่วยขจัดสิ่งไม่ดี ไม่ให้มันมากล้ำกราย ผมให้คุณยืม ถ้าคุณฟื้นขึ้นมาคุณต้องเอามันมาคืนผมนะ”
น้ำตาของเขายังคงไหลไม่หยุด เด็กหนุ่มก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างเตียง เรื่องราวที่ผ่านมาถึงมันจะเป็นแค่ความฝันหรืออะไรก็ตาม แต่เขารักการ์ฟไปแล้ว... รักไปแล้วจริงๆ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง หลังทุกคนทานข้าวกันเสร็จอาร์ดิวก็เดินแยกออกมาจากบ้านของการ์ฟ เสียงพูดคุยของคนในบ้านยังดังแว่วมาตามก้าวเดินของเขา เด็กหนุ่มตรงไปที่สะพานเช่นในความฝันนั้น หยุดยืนอยู่จุดกึ่งกลางที่สามารถมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมได้อย่างชัดเจน ถอนใจหนักหน่วงกับความรู้สึกเศร้าในหัวใจ หิ่งห้อยตัวน้อยค่อยเปล่งแสงขึ้นมาท่ามกลางความมืด จากหนึ่งตัวเป็นหลายตัว บางตัวมันค่อยบินวนรอบกายเขา ก่อนจะค่อยบินลงมาเกาะที่มือ แววตาอาร์ดิวเปล่งประกายความคาดหวัง เหมือนในฝัน มันเหมือนในฝันของเขาเลย
หัวใจเด็กหนุ่มเต้นกระหน่ำ หันกลับไปอีกฝั่งด้วยใจระทึกไหวแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า รอยยิ้มตื่นเต้นดีใจบนใบหน้าค่อยเจื่อนลง ใบหน้าเรียวก้มต่ำ บ้าสิอาร์ดิว การ์ฟจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นั่นมันก็แค่ฝัน
“ตี๋”
“อือ”
ขานรับไปอย่างนั้นแล้วตี๋น้อยก็ชะงัก เงยขวับขึ้นมองคนเรียก ดวงตาเรียวเบิกโตเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงหน้า
“การ์ฟ!!” ร่างเพรียวโผเข้ากอดคนตรงหน้าด้วยความดีใจพร้อมเอ่ยถามเสียงรัว “คุณมาจริงๆด้วย ผมไม่ได้ฝันไปอีกใช่ไหม?”
“ฉันรอนายอยู่ รอที่จะลานาย”
“ไม่เอา ผมไม่ให้ไปไหนนะ ผมจะให้แม่ผูกเราไว้ด้วยกันใหม่ ให้คุณอยู่กับผมไปตลอดชีวิตเลย”
“มันทำได้ที่ไหนเล่า”
การ์ฟยิ้มบาง มองอาร์ดิวอย่างรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำเอาอีกคนพาลจะร้องไห้กับรอยยิ้มนั้น ถึงได้ร้องขออย่างเอาแต่ใจ
“ไม่เอา การ์ฟอย่าไปนะ”
ถ้าไปเขาจะร้องไห้จริงๆด้วย แขนเรียวกอดการ์ฟแน่น ไม่สนใจหรอกว่าการ์ฟจะคิดอย่างไรที่เขาทำแบบนี้ ขออย่างเดียวคือให้การ์ฟอยู่ อยู่กับเขาไปนานๆ นานกว่านี้ นานยิ่งกว่านี้
ภายในห้องนอนของการ์ฟ เครื่องวัดชีพจรค่อยเต้นช้าลงเรื่อยๆ ครอบครัวของการ์ฟกับคุณพ่อไปป์ยังคุยกันอยู่ข้างล่าง น้องเอิงวิ่งตึงตังลงมาสีหน้าตื่นตระหนก ล้มแล้วแทบไม่ต้องลุกกันเลยเพื่อมาบอกว่าเครื่องวัดชีพจรของพี่ชายหยุดทำงานไปแล้ว คุณแม่การ์ฟตกใจแทบสิ้นสติ สองคุณพ่อที่ตั้งตัวได้ก่อนใครรีบวิ่งขึ้นบ้านไป ขณะที่สั่งคนในบ้านให้ไปสตาร์ทรถรอ น้องเอิงโทรติดต่อโรงพยาบาล มือไม้สั่นไปหมดเพราะความลน
การ์ฟมองไปที่บ้านของตนเองแล้วหันกลับมามองคนที่กอดเขาเอาไว้แน่น ก่อนเอ่ยบอกช้าๆ
“ยังไงฉันก็ต้องไป ดูแลตัวเองด้วยนะ... ฉันรักนาย”
อาร์ดิวเงยมองคนพูดอึ้งๆ “การ์ฟ...”
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกความสนใจ อาร์ดิวมองหน้าการ์ฟก่อนรับโทรศัพท์
“ครับพ่อ”
“อาร์ดิว รีบกลับมาที่บ้านเร็ว หัวใจการ์ฟหยุดเต้น ตอนนี้เขาพาการ์ฟไปโรงพยาบาลแล้ว”
โทรศัพท์แทบร่วงหลุดจากมือ หันมองหน้าการ์ฟที่ยิ้มให้แล้วต่อว่าเสียงเครือ
“อย่ามายิ้มนะ คุณใจร้ายอ่ะ ทั้งที่กำลังจะทิ้งผมไปแท้ๆ”
“อย่าร้องไห้” น้ำเสียงปลอบประโลมจากการ์ฟยิ่งทำให้อีกคนน้ำตาไหล
“ผมจะไม่ร้อง ถ้าคุณช่วยปลอบ ผมจะไม่ร้อง ถ้าคุณยังอยู่ด้วยกันต่อไป”
อาร์ดิวทั้งอ้อนทั้งวอน แต่มันก็ไร้ผล เมื่ออีกคนเพียงแค่ยิ้มแล้วจางหายไปช้าๆ สองมือที่ไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า อาร์ดิวทรุดนั่งหมดแรง ร้องไห้อย่างหมดหวัง
เด็กหนุ่มมาถึงโรงพยาบาลด้วยหัวใจที่แสนหนักอึ้ง ขามันแทบก้าวไม่ออก ไม่อยากรับรู้ว่าที่สุดแล้วการ์ฟต้องจากไป คุณแม่ของการ์ฟหันมามองเขาด้วยน้ำตานองหน้า ท่านลุกจากที่นั่งแล้วตรงเข้ามาหา พร้อมบอกบางสิ่งให้เขารับรู้ อาร์ดิวนิ่งงัน ความพยายามที่จะเข้มแข็งมันพังทลายลงในวินาทีนั้น เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น คุณแม่ของการ์ฟเองก็กอดเขาแน่นแล้วร้องไห้ไปตามๆกัน
ภายในห้องหนึ่งของโรงพยาบาล ข้างเตียงผู้ป่วยเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง อาร์ดิวในชุดปลอดเชื้อยืนมองร่างไร้สติบนเตียงที่ถูกครอบด้วยเครื่องช่วยหายใจด้วยสีหน้าเศร้า บนคอของร่างนั้นยังมีสร้อยของเขาอยู่ คุณแม่ของการ์ฟคงขอร้องหมอให้การ์ฟได้ใส่มัน
“ขอบคุณที่กลับมา...”
เด็กหนุ่มพึมพำเสียงเบา น้ำตายังคงไหล ไม่ใช่เพราะความเสียใจแต่มันคือน้ำตาของความยินดี ยินดีที่การ์ฟไม่ได้จากเขาไป สายลมวูบหนึ่งที่ปัดผ่านแก้มทั้งที่อยู่ในห้องมิดชิดทำให้อาร์ดิวเหลียวมองหารอบกาย ก่อนจะหันกลับมามองร่างที่นอนนิ่งบนเตียง นั่นมันคงจะเป็นเสียงกระซิบปลอบโยนเขาไม่ให้ร้องไห้
‘ขอบคุณจริงๆที่กลับมา ผมสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้ถ้าคุณยังอยู่ด้วยกัน’ห้องทำกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล พื้นที่ภายในเปิดกว้างมองเห็นสวนสวย เพื่อไม่ให้คนป่วยที่เข้ารับการรักษากดดันจนเครียดไปกับการทำกายภาพในแต่ละครั้ง
ราวจับสำหรับพยุงเดิน การ์ฟค่อยก้าวไปข้างหน้าช้าๆโดยมีราวกั้นคอยทานน้ำหนัก มีนักกายภาพคอยดูแลใกล้ชิด เพราะไม่ได้ออกแรงมานานทำให้ร่างกายดูกระปลกกระเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง การเดินเหินจึงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับเขา สายตาคมมองตรงไปข้างหน้า แม้แข้งขาจะสั่นเพราะน้ำหนักตัวที่เทลงไปก็ไม่คิดจะท้อ เขาอยากหายเป็นปรกติในเร็ววัน ครอบครัวของเขาต่างก็ยินดีที่เขากลับมา ทุกคนคิดว่ามันคือปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากคนสองคน นึกถึงตรงนี้การ์ฟก็เหลือบมองข้างกายตน นอกจากจะมีนักกายภาพแล้วยังมีคนสำคัญอยู่อีกหนึ่งคน
“ค่อยๆเดินนะการ์ฟ ไม่ต้องรีบ”
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยนั้นทำให้คนป่วยอมยิ้ม พออีกคนเห็นว่าเขายิ้มก็ทำหน้าระแวงหน่อยๆ ระแวงเขาทำไมกัน เขาแค่ยิ้มนิดเดียวเอง
“ยิ้มอะไร?” ตี๋น้อยเอ่ยถามเมื่อคนป่วยยังยิ้มไม่หุบ
“ยิ้มไม่ได้เหรอ?” การ์ฟยียวนกวนกลับ
“ก็แล้วทำไมถึงยิ้ม?”
“ดีใจมั้ง”
“เรื่อง?”
การ์ฟมองสบดวงตาเรียวรีที่ยังคงมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปากก่อนว่า “ไม่บอก”
“อ้าว”
ตี๋น้อยลากเสียงอุทาน ก่อนจะผวาเข้าไปหาคนป่วยเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะล้มพับ เล่นเอาใจหายใจคว่ำจนเอ่ยดุออกไป
“เดินดีๆสิ เดี๋ยวล้มหัวแตกพยาบาลก็มาว่าเอาหรอก”
“ดุจัง” เสียงทุ้มที่ฟังดูแหบนิดๆ ทั้งสายตาที่มองสบมาในระยะใกล้มันดูวิบวับเสียจนหนุ่มตี๋อดเขินไม่ได้
“เดี๋ยวทิ่มตาบอด”
“หึๆ”
การ์ฟขำคนทำกลบเกลื่อน อาร์ดิวย่นจมูกใส่คนชอบแกล้ง ก่อนก้าวถอยออกไปให้นักกายภาพเข้ามาช่วยดูแลคนป่วยต่อ การ์ฟจึงค่อยหันไปทำตามที่นักกายภาพบอกอีกครั้ง
“พี่การ์ฟ~”
น้ำเสียงสดใสร้องทักมาตั้งแต่หน้าประตู เรียกสายตาการ์ฟและอาร์ดิวให้หันไปมอง ปอมปอมน้อยเปิดประตูเข้ามาหน้าระรื่น โดยมีชีวาเดินตามน้องเข้ามาหาการ์ฟและอาร์ดิวเช่นกัน
“อ้าว หวัดดี ตัวป่วน” การ์ฟยิ้มทักน้องเล็กหน้าแฉล้ม เขาว่าผมหัวเห็ดนี่มันน่าหมั่นเขี้ยวจริงๆนะ
“เห้อออ ทักทายกันแบบนี้เหรอ นี่ดีนะว่าป่วยอยู่อ่ะ” น้องบ่นงุ้งงิ้งไปตามประสา
“ทำไม ถ้าไม่ป่วยจะทำอะไรพี่?” การ์ฟเลิกคิ้วสูง มุมปากยกยิ้มกลั้นขำ
“จะต่อย! สักหมัด-สองหมัด!” กำปั้นเล็กทุบลงบนฝ่ามือของตนเอง สีหน้าหมายมั่นปั้นมือเอามากๆ
พี่ๆพากันหัวเราะขำ ชีวาโยกหัวน้อง มองการ์ฟแล้วจึงเอ่ยถาม “เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดี มีพยาบาลพิเศษดูแลดี”
“หึ” ชีวาทำเสียงขึ้นจมูก ดูมันไม่ค่อยจะดีใจจนออกนอกหน้าเท่าไหร่เลยนะ พูดถึงพยาบาลพิเศษเสียตาพราวขนาดนี้ ปิดบ้างอะไรบ้างก็ได้นะพวก “ไปรอที่ห้องได้ไหมวะ?”
“เขาล็อคไว้อ่ะ ไม่มีคนอยู่” เป็นอาร์ดิวที่เอ่ยตอบแทน
“อืม งั้นรอแถวนี้ละกัน อีกนานไหม?”
“คงไม่ เพราะฉันชักเหนื่อยแล้วเหมือนกัน”
“เค”
ทำเสียงรับรู้แล้วชีวาก็โอบไหล่กะปอมน้อยเดินออกจากห้องทำกายภาพไป พาน้องไปเดินแถวๆนี้รอสองคนนั้นก่อนก็ดี ของขายเยอะ ราคาถูกกว่าในเมืองหลวงเสียอีก
“ป๋า”
“หืม?”
“เห็นพี่การ์ฟกับดิวแบบนี้แล้วปอมอยากให้เราเป็นแบบพวกเขาจัง”
ชีวามองท่าทางเพ้อฝันของคนพูดแล้วยิ้มขำ “ยังไง ให้พี่เป็นเจ้าชายนิทราแล้วปอมปอมเป็นคนมาปลุกให้ตื่นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์น่ะเหรอ?”
“ใช่ที่ไหนเล่า” ปรายมองพี่ตาคว่ำ ไม่เข้าใจความรู้สึกหวานแหววของคนอื่นบ้างเล้ย ป๋าเนี่ย
“แต่ที่พี่การ์ฟกลับมาปอมก็เชื่อนะว่าเพราะเขาสองคนผูกพันกัน” ว่าแล้วหนุ่มน้อยก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับคำพูดตนเอง
“แล้วเราไม่ผูกพันกันตรงไหนหืม? ตัวแสบ” ชีวาย้อนถาม
“ผูกพัน แต่เราไม่หวานเท่าเขาอ่ะ”
“นั่นเรียกว่าหวานแล้วเหรอ พี่ว่าเขาไม่ค่อยจะคุยกันเท่าไหร่ด้วยซ้ำ”
“เพราะอย่างนั้นไงป๋า มันถึงได้ดูหวานแหวว แม้ไม่มีคำพูด” ยืนยันความคิดของตนเองอย่างเต็มที่
“จินตนาการบรรเจิดจริงๆแฟนพี่” ชีวาหัวเราะขำ ไอ้อาการลอยหน้าลอยตาทำปากยื่นนี่มันช่างหน้าหมั่นไส้ แต่ก็น่าเอ็นดูด้วยสิ
“ไม่ได้จินตนาการ เห็นตำตาเลยว่าบรรยากาศวิ้งๆมันลอยเต็มไปหมด” วาดแขนกว้างบรรยายฉากวิ้งๆที่ว่า
“จริงดิ ทำไมพี่ไม่เห็นอ่ะ?” ชีวาทำเป็นรับมุก
“ป๋าตาถั่ว”
“แรงว่ะ งอนแล้ว” แขนที่โอบไหล่ลดลงมากอดอก เบือนหน้าไปทางอื่นแสดงอาการงอนให้เห็น ปอมปอมตาโต วิ่งดักหน้าดักหลังเมื่อพี่ทำงอนตนเองแบบนั้น
“งื้อ ป๋าอย่างอนสิ หน้าที่งอนมันเป็นของปอมนะ” ช่างเป็นเหตุผลที่เข้าท่า
“เชอะ!” ชีวาสะบัดสะบิ้ง
“ไม่น่ารักเลยอ่ะ”
“เชอะ!” คนเป็นพี่ยังไม่เลิกเล่น
“ป๋าอ่า ปอมขำ” กะปอมน้อยกลั้นขำจนตัวสั่น ท่าทางสะบัดสะบิ้งมันไม่เข้ากับตัวโตๆแบบป๋าเลย
“ไม่ง้อแล้วยังขำอีกนะ”
ชีวาเข่นเขี้ยว ทำเสียงคำรามในคอก่อนพุ่งเข้าใส่ กะปอมน้อยที่ตั้งรับอยู่ก่อนแล้วออกวิ่งทันที ซอกแซกไปตามช่องว่างที่รถจอด จนพ้นออกมาที่หน้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาล พร้อมทั้งร้องโวยวายเมื่อพี่เข้ามาใกล้ในระยะประชิด
“ป๋า อย่าวิ่งไล่ปอม ปอมขาสั้นนนนน”
“5555555555555555”
กลับจากทำกายภาพการ์ฟก็ได้พักไม่นานเพราะถึงเวลาทานข้าว ปอมปอมนั่งมองพี่ชายดูแลคนป่วยเงียบๆ ขณะที่ชีวานั่งอยู่ข้างกันนั้นหาหนังสือในห้องพักมาอ่าน มีแต่ธรรมะเต็มไปหมด พอเงยหน้าจากหนังสือมามองปอมปอมก็ยกยิ้ม แววตาน้องมันฉายชัดเลยว่ากำลังคิดอะไรแปลกๆอยู่ พราวระยับจนปิดไม่มิดเชียว
“ต้องให้ป้อนถึงปาก กินเองไม่ได้ไง?” วางหนังสือบนโต๊ะใกล้ๆแล้วชีวาก็เอ่ยแซวคนป่วยที่ให้เพื่อนของตนตักข้าวป้อน
“กินได้ แต่อยากให้ป้อน นายจะทำไม?” ยักคิ้วกวนจนชีวาเบ้ปาก
“โห่ ไอ้สำออย”
“ชีวา” น้ำเสียงปรามจากอาตี๋น้อยดังมา
“ไม่ทันไรเข้าข้างกันซะแล้ว ปอมปอม พี่ตกกระป๋องจริงๆซะแล้วล่ะ"
ชีวาแสร้งตีหน้าเศร้า ขยับตัวลงนอนหนุนตักกะปอมน้อยที่มองสถานการณ์แล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว นอนซุกตักน้องแล้วชีวาก็ชะงักกับขาขาวๆ ปอมปอมใส่กางเกงขาสั้นประมาณเข่า พอนั่งแบบมันก็ร่นขึ้นมาเล็กน้อยพอให้ขาอ่อนโผล่มาให้เห็น ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจูบขาอ่อนน้อง
“ป๋า!!”
ปอมปอมเสียงดังด้วยความตกใจ ชีวาเงยขึ้นมายกคิ้วให้เฉย มองแก้มแดงๆของเจ้าหนูปอมปอมแล้วน่าแกล้งเป็นบ้า แต่นี่มันสาธารณะไปหน่อย จึงต้องหยุดความคิดไว้เพียงเท่านั้น
“อยากใส่สั้นเอง”
“มันเป็นแฟชั่นอ่ะ” น้องเง้างอด ใช้มือปิดขาตัวเองไว้ พี่นอนหนุนแบบนี้พอเอียงแก้มทีลมหายใจอุ่นๆก็รดต้นขา ขนลุกอ่ะ อึ๋ยยย
“มาหวานอะไรกันแถวนี้ กับข้าวมันยิ่งจืดๆอยู่ ไม่อยากเติมน้ำตาลขนาดนั้นหรอกนะ” เสียงแซวจากคนป่วยลอยลมมา ปอมปอมน้อยหน้าแดง ก่อนต่อว่าพี่ที่นอนยิ้มเฉย
“เห็นไหม โดนแซวเลย”
ชีวาอมยิ้ม ก่อนลุกขึ้นมานั่ง ยังไม่วายใช้ไหล่ชนไหล่กระแซะน้องอีก ปอมปอมเบี่ยงไหล่หนีงอนๆ พยาบาลเอายาหลังอาหารเข้ามาให้การ์ฟ ยิ้มให้หนุ่มๆทั้งหลายก่อนออกไปจากห้อง
อาร์ดิวยกถาดอาหารที่การ์ฟทานเสร็จไปวางที่อ่างล้างจานรอคนมาเก็บ ก่อนกลับมาเอายาให้คนป่วยกิน การ์ฟมองคนดูแลแล้วยิ้มบาง อาร์ดิวมาดูแลเขาทุกวันจนเขาเคยตัวเสียแล้วสิ
ห้องพักของการ์ฟ วันนี้เด็กหนุ่มชะเง้อมองประตูทางเข้าอยู่บ่อยๆจนคนเฝ้าสังเกตเห็นกันหมด คุณพ่อการ์ฟเหลือบมองลูกชายที่มีท่าทีกระสับกระส่ายทุกทีที่ลูกเผลอแล้วท่านก็ถอนใจ ก่อนลุกไปชงกาแฟดื่ม
“เขากลับไปแล้ว” ท่านเอ่ยลอยๆ ยกกาแฟขึ้นจิบชิมรสชาติ
“หือ?”
การ์ฟเลิกคิ้ว ทำเสียงเชิงถามในลำคอ คุณพ่อหันมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบเช่นทุกที “อาร์ดิวน่ะ กลับบ้านไปแล้ว”
“บ้าน?”
“ที่กรุงเทพฯน่ะ”
ท่านตอบเสียงเรียบราวไม่ใส่ใจ ก่อนถือถ้วยกาแฟเดินกลับไปที่โซฟาตัวเดิม เหลือบมองท่าทีของการ์ฟเพียงเล็กน้อย
การ์ฟที่ได้รู้ว่าคนที่เขารอมาทั้งวันกลับกรุงเทพฯไปแล้ว กลับไปโดยไม่บอกเขาสักนิดด้วย เด็กหนุ่มเผลอกำมือแน่น
“อยากใช้โทรศัพท์ไหม?”
เสียงคุณพ่อเอ่ยถาม การ์ฟหันไปมองท่านก่อนจะส่ายหน้า แต่คุณพ่อกลับเอามันมาวางให้ที่ข้างตัว
“เก็บไว้กับพ่อก็ไม่มีประโยชน์ เผื่ออยากใช้ขึ้นมา”
ท่านว่าอย่างนั้น การ์ฟเหล่มองมัน ก่อนทำไม่สนใจปล่อยมันไว้แบบนั้น วันต่อมาโทรศัพท์ก็อันตรธานหายไปแล้ว พอคุณพ่อถามการ์ฟก็บอกว่าเสียงมันดังหนวกหูเลยโยนไว้ในลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียง ทุกคนในบ้านพากันถอนใจ กลายเป็นคนใจน้อยไปเสียแล้วนายการ์ฟ
เสียงโทรศัพท์น้องเอิงดังขึ้น เด็กหญิงเดินเลี่ยงไปคุย เป็นอาร์ดิวที่โทรเข้ามาเพราะโทรหาการ์ฟไม่ติด
“น้องเอิง พี่ขอคุยกับการ์ฟหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ” น้องเอิงรับคำเสียงใส เดินกลับมาหาพี่ชายที่เตียง
“พี่การ์ฟ พี่อาร์ดิวจะ...”
“อย่ากวนได้ไหม พี่จะนอน” การ์ฟตัดบท ล้มตัวลงนอนหันหลังให้น้องสาว
“อ่า ก็พี่...”
“เอิง” การ์ฟทำเสียงดุ น้องเอิงหน้ามุ่ย บุ้ยปากใส่พี่ชาย
“ฮึ พี่การ์ฟ ใจร้ายที่สุดเลย!” ต่อว่าพี่ชายแล้วน้องเอิงก็หันมาคุยโทรศัพท์ “พี่อาร์ดิวคะ...”
“ไม่เป็นไรครับ พี่รู้แล้ว ขอบใจมากนะ”
“ค่ะ...” น้องเอิงตอบรับเสียงอ่อย สงสารพี่อาร์ดิว ลดโทรศัพท์ลงจากหูก่อนกดวางสาย หันกลับมามองพี่ชายที่ทำเป็นไม่รับรู้แล้วบ่นอุบอิบ
“พี่การ์ฟบ้า จะยุให้พี่อาร์ดิวงอนบ้าง คอยดูสิ”
วางสายจากน้องเอิงแล้วอาร์ดิวก็ถอนใจแล้วนั่งซึม พร้อมปลอบใจตนเองว่าการ์ฟคงอยากพักจริงๆ คนป่วยต้องพักเยอะๆ ส่วนเขาก็หันกลับมาอ่านหนังสือให้เยอะๆ
เด็กหนุ่มมองกองหนังสือที่วางซ้อนกันบนโต๊ะแล้วถอนใจอีกเฮือกใหญ่ ต้องผ่านมันไปให้ได้
+++++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ
