Magica Café
Magic (16)
ห้องพิเศษในโรงพยาบาลที่อาร์ดิวพักรักษาตัวอยู่ มิมิวกับพี่ชายของเธอมาเยี่ยม เพื่อนสนิททั้งสองคุยเล่นกัน การ์ฟนั่งอยู่ที่โซฟายาวติดหน้าต่างห้อง ส่วนพี่มีน พี่ชายของมิมิวนั่งอยู่อีกข้างของเตียง การ์ฟมองทั้งสามคนคุยกันแล้วถอนใจเบาๆก่อนลุกขึ้น อาร์ดิวหันมามองเขาทันทีที่เขาขยับลุก ทำให้อีกสองคนหันมามองด้วย
“ฉันจะลงไปข้างล่าง นายจะเอาอะไรไหม?” การ์ฟเอ่ยถามแก้เก้อ
อาร์ดิวส่ายหน้าแล้วยิ้มบอก “ไม่ครับ ขอบคุณ”
การ์ฟพยักหน้าแล้วจะเดินเลี่ยงไป มิมิวลุกขึ้นคว้ากระเป๋าคล้องแขนแล้วเดินมาหา
“มิวไปด้วยค่ะ”
การ์ฟเลิกคิ้วหันมามองมิมิว
“มิวคอแห้งอ่ะ เห็นข้างล่างมีร้านน้ำปั่นด้วย มิวอยากกิน” เด็กสาวยิ้มบอกก่อนหันมาหาอาร์ดิวกับพี่ชายตนเอง
“ดิวคุยกับพี่มีนไปก่อนนะ ไปค่ะ การ์ฟ”
เอ่ยชวนแล้วเดินนำไปก่อน การ์ฟมองอาร์ดิวแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินตามมิมิวไป เปิดประตูให้มิมิวเดินออกก่อนแล้วจึงงับปิด
“มิวกำลังหาจังหวะหลบฉากอยู่เลยนะเนี่ย” เด็กสาวเอ่ยบอกแล้วหัวเราะน้อยๆขณะที่ยืนรอลิฟท์อยู่ด้วยกัน การ์ฟไม่ได้พูดอะไร พอเงียบแล้วบรรยากาศแปลกๆระหว่างทั้งคู่ก็เกิดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
“การ์ฟมาดูแลอาร์ดิวทุกวันเลยหรือคะ?”
คำถามของมิมิวพาเอาใจการ์ฟกระตุก แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่แสดงอาการใดๆออกมาให้เห็น
“แค่มาเยี่ยมน่ะ พอดีวันนี้คุณแม่อาร์ดิวท่านมีธุระ การ์ฟเลยอยู่เป็นเพื่อนเขารอน้องปอมปอม”
“อ๋อ” มิมิวพยักหน้ารับรู้ หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างเงียบกันไป เมื่อลิฟท์มาถึงชั้นที่พวกเขายืนอยู่ทั้งคู่ก็แทบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความอึดอัดแบบนี้มันคืออะไร?
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องพัก พอมิมิวกับการ์ฟออกไปอาร์ดิวก็ดูจะไม่ค่อยพูด มีนที่มองสถานการณ์อยู่แต่แรกยกยิ้มบางแล้วเปรยขึ้นมา
“มันยากที่จะไม่รู้สึกอะไร”
“ครับ?” ตี๋น้อยหันมามองคนพูด เอียงคอเล็กๆเชิงถาม
“พี่ว่าสองคนนั้นคงยังรู้สึกดีๆต่อกันอยู่น่ะ” มีนขยายความไปอีกทาง
“ครับ” อาร์ดิวเพียงแต่ยิ้ม ไม่แสดงท่าทีให้พี่มีนจับได้ว่าตนเองกำลังกังวลใจเรื่องอะไรอยู่
มีนมองเพื่อนน้องสาวยิ้มๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดรับเมื่อมันสั่นเพราะมีสายเรียกเข้า
“เออ ว่าไง ถึงโรง’บาลแล้วเหรอ?... ชั้นเก้า ฝั่งตะวันออก ...เออ เดินมาถามที่เคาน์เตอร์พยาบาลอ่ะ ห้องห้านะ... จะให้ลงไปรับไหม?... โอเค รออยู่นี่นะ รีบขึ้นมา บาย”
มีนกดวางสายแล้วเงยมองอาร์ดิวที่มองตนเองอยู่ ก่อนเอ่ยบอกท่าทางเกรงใจ
“พอดีเพื่อนพี่มันเพิ่งกลับจากตีเทนนิสที่สนามใกล้ๆนี้น่ะ พี่กะว่าจะไปส่งมันที่บ้านเลยให้มันมาที่โรงพยาบาล เอ่อ...คงไม่เป็นการรบกวนอาร์ดิวใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อยู่กันหลายคนไม่เหงาดี” ตี๋น้อยยิ้มบอก
รออยู่ครู่เดียวเพื่อนที่มีนพูดถึงก็เข้าห้องมาทั้งชุดเล่นเทนนิสเต็มยศ มีกระเป๋าใส่ไม้เทนนิสสะพายมาด้วยอีก มีนมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความอึ้ง ไม่นึกว่าจะมาชุดนี้เลยให้ตาย
“ทำไมมึงไม่เปลี่ยนชุดก่อนค่อยมา?”
“กูกลัวมึงรอนาน”
“มึงนี่นะ ต่อให้มึงอาบน้ำอีกสามรอบกูก็รอได้ ไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้น”
“มันไม่สะอาด กูอยากกลับไปอาบที่ห้อง”
“มึงก็เลยมาทั้งอย่างนี้? เกรงใจน้องมันบ้างไหมเนี่ย นี่มันโรงพยาบาลนะ ซกมกจริงๆ”
พอโดนบ่นอย่างนั้นเจ้าตัวก็หันมามองอาร์ดิวที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงคนไข้ อาร์ดิวเพียงยิ้มให้ ไม่ได้ถือสาอะไรที่เพื่อนพี่มีนจะแต่งตัวอย่างไรมา
“สวัสดีครับ” เพื่อนพี่มีนเอ่ยทักทาย
“ครับ สวัสดีครับ”
“พี่ชื่อเก้า เป็นเพื่อนมีน” แนะนำตัวเองแล้วยิ้มตาปิด
“ครับ ผมอาร์ดิว เพื่อนน้องสาวพี่มีนครับ”
“อ้อ เพื่อนมิมิวนี่เอง แล้วเป็นไงบ้างครับ หายดียัง?”
เอ่ยถามพลางยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ส่งกระเป๋าให้มีนถือ มีนก็รับมางงๆก่อนวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนั่นแล้วย้ายไปนั่งที่โซฟายาวมองเพื่อนตนเองคุยกับอาร์ดิวแทน
“ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ สองสามวันคงได้กลับบ้าน”
“ดีใจด้วยนะ พี่เข้าใจเลยว่าการอยู่โรงพยาบาลมันน่าเบื่อแค่ไหน”
เก้ากระซิบกระซาบน้ำเสียงทะเล้น ก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะคุยกันราวรู้จักกันมานานมากแล้วอย่างนั้น มีนนั่งเอนหลังพิงโซฟาแล้วกอดอกมองยิ้มๆ สนิทกันไวจัง
พอการ์ฟกับมิมิวกลับมา ทั้งมีน เก้า และมิมิวจึงลากลับบ้าน เมื่อกลับกันไปหมดแล้วการ์ฟจึงเดินไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมไม่พูดไม่จา อาร์ดิวมองแล้วก็อึดอัด อะไรกัน พอกลับมาก็หน้าบึ้ง
“อยากกลับบ้านก็ได้นะการ์ฟ ผมอยู่คนเดียวได้” เอ่ยบอกด้วยความหวังดี แต่คนฟังคงตีความไปทางอื่น
“มาถึงก็ไล่เลยนะ”
“เปล่าไล่ ก็เห็นทำหน้าบูดบึ้งแบบนั้นผมก็กลัวว่าคุณจะเบื่อที่ต้องมานั่งเฝ้านานๆแบบนี้”
“พูดสักคำรึยัง?”
อาตี๋ชะงักกับน้ำเสียงเรียบเฉย เขาไม่ชอบเลยแบบนี้ ตี๋น้อยนอนลงตวัดผ้ามาห่มแล้วหันหลังให้คนเฝ้า ทั้งห้องเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่การ์ฟจะเอ่ยขึ้นมา
“อยากให้กลับฉันก็จะกลับล่ะ”
การ์ฟลุกจะเดินออกไป ไม่มีเสียงห้ามจากคนป่วยเลยสักนิด เด็กหนุ่มหยุดแล้วเหลียวกลับมามอง
“ไม่เอาดีกว่า รับปากแม่นายไว้แล้วนี่” ให้เหตุผลแบบนั้นแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม อาร์ดิวผุดลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันมาหาการ์ฟ
“การ์ฟ ผมมีเรื่องอยากถาม”
“ว่า?”
“คุณจำได้ไหมว่าน้องของวิญญาณตนนั้นน่ะพักอยู่ห้องไหน?”
“ไม่รู้สิ ตอนเข้าไปฉันก็ไปโผล่ในห้องแล้ว ไม่รู้หรอกว่าห้องไหน” การ์ฟทำท่านึกแล้วส่ายหน้า เพราะเขาก็ไม่เห็นเลขหน้าห้อง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยหรือเปล่าเพราะในห้องก็ใช่ว่าจะสว่าง
“ผมอยากไปเยี่ยมเธอจัง” ตี๋น้อยหน้าเศร้า นึกไปแล้วก็สงสารเธอ
“ถามพี่เมฆสิ”
“เออ จริงด้วย” สีหน้าอาร์ดิวดูมีความหวังขึ้นมาในพริบตา ก่อนจะหันซ้ายแลขวาหาอะไรสักอย่างจนการ์ฟสงสัย
“อะไร?”
ตี๋น้อยยิ้มแหย “ลืมไปว่าแม่ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ ขอยืมได้ไหมครับ แหะๆ”
การ์ฟยิ้มขำ ก่อนยื่นโทรศัพท์ของตนเองให้ตามคำขอ มองท่าทางดีใจของตี๋น้อยแล้วการ์ฟก็ยิ้มอีก มีหลายอารมณ์ดีนะตี๋
ก่อนกลับบ้านอาร์ดิวก็ได้ไปเยี่ยมน้องเขาสมใจ เพราะพี่เมฆเค้นถามวิญญาณหนุ่มมาให้ การพบกันคราวนี้น้องไม่ได้นอนนิ่งมีสายระโยงระยางอยู่แบบครั้งที่เขาเห็น น้องยังซูบผอมอยู่มาก แต่ก็พอมีแรงพยุงตัวนั่งได้แล้ว ทุกคนในบ้านเชื่อว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ และพอน้องรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนพี่ชายน้องก็ร้องไห้ คงรักกันมากจริงๆ
“ดิวสงสารน้องเขาจังครับแม่” อาร์ดิวเอ่ยขึ้นเมื่อคุณพ่อช่วยเข็นรถเข็นให้เขานั่งออกจากห้องน้องสาววิญญาณหนุ่มมา โดยมีคุณแม่และปอมปอมเดินมาข้างกัน
“เราก็ให้ได้เท่านี้ล่ะดิว ถ้ามันต้องแลกกับชีวิตดิวล่ะก็แม่ไม่ยอมแน่”
“แม่ครับ” ตี๋น้อยเรียกคุณแม่เมื่อท่านมีน้ำเสียงจริงจังขึงขัง
“ยังไงลูกก็กลับมาแล้วนะแม่ ความผิดพลาดของคนเราถ้าเขาพร้อมที่จะปรับปรุงและไม่ทำมันซ้ำอีกก็ควรอภัยให้เขานะ อย่าให้เป็นเวรเป็นกรรมติดตามกันไปเลย”
คุณพ่อเอ่ยแนะ เพราะดูเหมือนคุณแม่รวิจะฝังใจเจ็บไม่ยอมให้อภัยวิญญาณหนุ่มที่เกือบพรากอาร์ดิวไปจากท่าน คุณแม่ถอนใจ มันทำใจยากเหมือนกันกับการที่จะอภัยให้ผู้ที่ทำร้ายลูกชายตน แม้จะมีเหตุผลที่น่าสงสารเห็นใจมากแค่ไหน แต่การคร่าชีวิตผู้อื่นเพื่อความสุขสมหวังของตนเองถึงอย่างไรมันก็เห็นแก่ตัวที่สุด
พอกลับมาอยู่บ้าน คุณแม่ก็ได้จัดงานรับขวัญให้ลูกชายคนโต พากันไปทำบุญทั้งบ้านเพื่อเป็นศิริมงคลต่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของอาร์ดิวด้วย งานที่ร้านคุณแม่ก็ดูจนแน่ใจว่าลูกชายไม่เป็นอะไรแน่แล้วถึงยอมให้ไปทำได้
“พี่มุ่ย วันนี้ปอมจะไปที่ร้านด้วยนะครับ กลับค่ำๆอ่ะ พี่มุ่ยต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วน้า” เสียงแจ๋วๆของกะปอมน้อยดังมาแต่เช้า
“ตามสบายเลยค่ะน้องปอมปอม พี่อยู่ได้สบายมาก” พี่มุ่ย แม่บ้านสาวประจำบ้านสองพี่น้องปอปลาเอ่ยบอกลูกชายคนเล็กของบ้านที่สะพายกระเป๋าเป้เตรียมไปเรียนพิเศษในเช้านี้
“โถ พี่มุ่ยช่างเป็นหญิงแกร่ง”
“หา? มันฟังทะแม่งๆนะคะน้องปอมปอม”
หนุ่มน้อยหัวเราะคิก “ปอมไปเรียนแล้วครับ บ่ายๆจะไปที่ร้านแล้วกลับพร้อมดิวนะครับ”
“ค่า ไปดีมาดี ตั้งใจเรียนนะคะน้องปอม”
“ครับผม~”
พี่มุ่ยเปิดประตูให้ปอมปอมแล้วยืนรอจนหนุ่มน้อยขึ้นรถไปกับชีวาถึงได้ปิดประตูเข้าบ้านไป
ชีวาขับรถพาน้องไปโรงเรียนพิเศษ เดี๋ยวน้องก็เปิดภาคเรียนใหม่แล้วเขาก็คงหมดหน้าที่รับส่งน้อง เพราะเขาเองอีกไม่นานนี้ก็จะเปิดเรียนเหมือนกัน จะเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
“เดี๋ยวปอมก็เปิดเทอมแล้วอ่ะ จริงๆจะว่าไปปิดเทอมแบบนี้ปอมก็ยังไปโรงเรียน เท่ากับไม่ได้ปิดกับเขาเลยเนาะ” น้องชวนคุยเมื่อรถติดไฟแดงนานไปหน่อยแล้ว
“เรียนเยอะๆจะได้เป็นเด็กฉลาด ชาติจะได้เจริญไง” ชีวาหันมายิ้มบอก
“โห ยังโยงมาหากันได้นะป๋า”
ว่าแล้วก็หัวเราะ คนเป็นพี่เองก็หัวเราะในลำคอ มองสัญญาณไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วค่อยเคลื่อนรถตามกันไป ช่วงเช้าแบบนี้รถค่อนข้างติดทีเดียว
“เปิดเทอมมาก็จะไม่ได้เจอป๋าที่โรงเรียนแล้ว เฮ้อ”
“เจอที่บ้านยังไม่พออีกหรือไง?”
“มันไม่เหมือนกันนี่นา อยู่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งนาน แล้วแบบนี้ตอนพักเที่ยงใครจะจองโต๊ะให้ปอม ใครจะไปต่อคิวซื้อข้าวให้อีกล่ะ” น้องแกล้งบ่นงุ้งงิ้งไปตามเรื่อง
“ประโยชน์พี่มีแค่นี้ว่างั้น”
“ฮ่าๆๆๆ”
น้องหัวเราะก๊าก ขณะที่ชีวาอมยิ้มนิดๆ นั่นสินะ เขาเองก็ต้องไปเจออะไรใหม่ๆในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ไม่มีตัวป่วนอยู่ใกล้ๆแล้ว จะเจอกันก็แค่ที่บ้านหลังเลิกเรียน เพิ่งรู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมันมีค่าก็ตอนนี้ล่ะ
ก่อนเด็กๆจะเปิดภาคเรียนกันจริงๆคุณแม่ก็พากลับบ้านไปเยี่ยมคุณตากับคุณยาย ได้เล่าเรื่องอาร์ดิวไม่สบายเข้าโรงพยาบาลให้ท่านทั้งสองฟังด้วย คุณยายเลยให้คนมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์เข็ญให้หลานแล้วผูกข้อไม้ข้อมือทั้งปอมปอมและอาร์ดิว
ขากลับคุณพ่อก็พาไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าที่ท่านก็ชรามากแล้ว ครอบครัวคุณพ่อไปป์เป็นครอบครัวใหญ่ ลูกหลานเต็มบ้านไปหมด รอบบริเวณมีแต่ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น บ้านปู่ย่ากับตายายเรื่องลูกหลานเยอะนี่ไม่ต่างกันเลย
พอเปิดภาคเรียนมาทุกคนก็ราวกับต้องแยกย้ายกันไปเริ่มชีวิตสังคมใหม่ๆ ตาต้าที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือก็แชทมาคุยกันอยู่บ่อยๆ ชีวาที่สอบได้คนละมหาวิทยาลัยกับอาร์ดิวก็จำต้องแยกกันไป อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
หลังอาร์ดิวฟื้นขึ้นมาในครั้งนั้น การ์ฟก็เฝ้าตามติด เพราะการ์ฟเองก็เรียนที่เดียวกันทำให้ครอบครัวของตี๋น้อยฝากฝังให้ช่วยดูแล ดูทุกคนจะเป็นห่วงเขามากกว่าปรกติ
ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันนั้นยังมีมิมิวอีกคน เด็กสาวเรียนคณะเดียวกันกับการ์ฟ ขณะที่อาร์ดิวอยู่อีกคณะหนึ่งซึ่งเวลาเรียนไม่เคยตรงกันเลย มิมิวมักจะมีสารถีประจำตัวมาส่งทุกวันจนถูกเพื่อนแซวกันไม่เลิก แถมมันยังลามมาถึงเขาด้วยเพราะการ์ฟมักจะมาหาหลังเลิกเรียน แม้แต่วันนี้ก็ด้วย
“พ่อพระเอกของแกมาแล้วดิว”
เพื่อนสาวในกลุ่มเอ่ยล้อตั้งแต่เห็นการ์ฟเดินเข้ามาในระยะสายตา อาร์ดิวจำต้องหยุดเดินรอให้การ์ฟมาถึง เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนๆทำให้อาร์ดิวเขินแปลกๆ หนุ่มตี๋พยายามทำหน้านิ่งๆไว้ทั้งที่มันเกือบหลุดเขินอยู่รอมร่อ
“กลับกันหรือยัง?” พอเดินมาถึงก็เอ่ยถามราวกลัวเสียเวลา
“วันนี้คุณมีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ?” ตี๋น้อยเอียงคอถาม เขาจำได้ว่าคณะการ์ฟมีเรียนเช้านะวันนี้ ยังคิดอยู่ว่าต้องกลับคนเดียว
“อืม” การ์ฟรับคำสั้นๆ คิ้วตี๋น้อยขมวด ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“นี่มันบ่ายสี่โมงเย็น?”
“จะกลับรึยังล่ะ?”
ไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันเลยการ์ฟนี่ อาตี๋เริ่มหน้ามุ่ย หันมาบอกลาเพื่อนๆก่อนออกเดินนำการ์ฟไป
“จริงๆไม่ต้องตามผมแจขนาดนี้ก็ได้นะการ์ฟ” อดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องนี้
“รำคาญหรือไง?”
“ก็...เปล่า”
“ทนเอาหน่อย ฉันไม่อยากเห็นนายหายไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้นอีกนะ”
พอนึกถึงตอนที่ต้องไปตามอาร์ดิวกลับเข้าร่างแล้วดวงจิตของอีกคนเลือนรางเต็มทีนั้นเขาก็รู้สึกแย่แล้ว เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก
“คุณยึดติดกับเรื่องชะตาของเราที่มันผูกกันมากไปหรือเปล่า มันจะพลอยทำให้คุณไม่มีความสุขไปด้วยนะ”
หลังเหตุการณ์นั้นพวกเขาก็ได้รู้เรื่องอะไรหลายๆอย่างที่ถูกปิดเอาไว้ รวมทั้งเรื่องที่คุณแม่รวิทำพิธีผูกดวงทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกันนี่ก็ด้วย
“ฉันมีความสุขดี ไม่ได้รู้สึกว่าการอยู่ใกล้นายมันไม่มีความสุขหรอก” คนพูดยิ้มมุมปาก มันช่างดูกวนจนตี๋น้อยหน้าบูดกว่าเดิม
“พูดกันคนละเรื่องหรือไงเนี่ย”
“หึๆ”
การ์ฟเพียงหัวเราะในลำคอ ไม่ต่อความยาว มือใหญ่คว้ามืออาร์ดิวมากุมแล้วพาข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อรอรถ ขณะที่เดินข้ามไปการ์ฟรู้สึกว่ามีบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเขาทั้งคู่ เด็กหนุ่มหันกลับมาตวาดเสียงดัง
“อย่ามายุ่งกับเขา!!”
อาร์ดิวสะดุ้งเฮือก ทำหน้าเหรอหรา “คะ...ใครอ่ะการ์ฟ?”
“อย่าไปสนใจเลย”
“แต่...เขาอาจต้องการความช่วยเหลือ...”
“เห็นใจคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อนชอบนักเหรอ!?” การ์ฟเผลอเสียงดังด้วยความหงุดหงิด ชอบเป็นแบบนี้ล่ะเจ้าตี๋นี่
“ดุทำไมเล่า!”
ทางนี้ก็ไม่ยอมกัน ดีกันได้ไม่เท่าไหร่ทะเลาะกันอีกแล้ว ตี๋น้อยเดินตึงๆตามแรงดึงของการ์ฟไป การ์ฟถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้ตั้งใจเลย เพราะพี่เมฆแท้ๆ ทำอะไรกับเขาไม่รู้ถึงได้ยังเห็นอะไรแปลกๆแบบนี้อยู่ อาร์ดิวน่ะไม่เห็นหรอก ได้สร้อยเส้นใหม่จากคุณยายตอนกลับไปเยี่ยมท่านมาแล้วนี่ น่าจะหามาใส่สักเส้นนะเรา จากไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เขาเชื่อสนิทใจเลย
ร้าน Magica Café ในวันหยุดสุดสัปดาห์เมฆที่เพิ่งย้ายไปอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยที่ตนเองเรียนแวะมาที่ร้านในฐานะลูกค้า ปอมปอมเข้ามานั่งคุยด้วย ถือสิทธิ์ในความเป็นน้องชายไม่ใช่ลูกเจ้าของร้าน หนุ่มน้อยแอบกระซิบกับพี่เมฆว่าที่หอพักผีท่าจะเยอะเลยโดนพี่เมฆเขกหัว
“ทำไมอ่า พี่เมฆน่าจะชินได้แล้วนะ” มือเรียวลูบหัวตัวเองป้อยๆ เจ็บอ่ะ
“ต่อให้เห็นทุกวันมันก็ไม่ชินหรอกปอมปอม” เมฆส่ายหน้า ขำน้องเล็กที่จินตนาการไปเรื่อย
“แล้ว... พี่คนนั้นล่ะ?”
“อยากเจอเขาหรือไง?”
“หื่อ” ส่ายหน้ารัว ก่อนจะตาโตเท่าไข่ห่านเมื่ออยู่ๆเก้าอี้ข้างๆตนเองมีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นมานั่งยิ้มให้
“สวัสดีหนูน้อย”
วิญญาณหนุ่มที่กะปอมน้อยเพิ่งถามถึงส่งยิ้มมา ปอมปอมนั่งนิ่งอ้าปากค้าง ก่อนจะกะพริบตาปริบๆเรียกสติสตังตนเองกลับมา
“มาไม่เรียก” ผู้มาใหม่หันไปต่อว่าเมฆที่นั่งจิบกาแฟเฉย
“เรียกมาแล้วนายจะกินได้หรือไง?”
“อยากกินบ้างนี่หว่า”
“เดี๋ยวทำบุญไปให้”
“ทำบุญด้วยกาแฟนี่นะ?” เสียงสูงเอ่ยประชด
เมฆยิ้มน้อยๆแล้วว่า “แถมชาให้ด้วยก็ได้”
มือเรียวซีดขาวจะคว้าถ้วยกาแฟของเมฆมาดื่ม แต่มันกลับผ่านวูบแตะต้องไม่ได้สักนิด วิญญาณหนุ่มหลับตากัดฟันกรอดด้วยความขัดใจ
“บอกแล้ว เดี๋ยวทำบุญไปให้” เมฆยังตอกย้ำ
“ขอบใจ!” กระแทกเสียงใส่คนมีน้ำใจแล้วจะไป อยู่ทำไม กินอะไรก็ไม่ได้
“นี่”
หันกลับมามองเมฆที่เอ่ยเรียกสีหน้าหงุดหงิด
“ต้องบอกว่าทำให้ใครอ่ะ?”
วิญญาณหนุ่มกลอกตามองสูงด้วยความเซ็งอารมณ์แล้วว่า
“คินตา”
“หา อะไรนะ?”
“คินตา!”
“อ้อ”
เมฆพยักหน้ารับรู้ ร่างโปร่งแสงนั้นจึงค่อยจางหายไป ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ยกกาแฟขึ้นจิบแล้วพึมพำกับตนเอง
“ชื่อคินตาเหรอ หึๆ”
พอเงยขึ้นมาเห็นปอมปอมมองเป๋งก็ชะงักกึก กระแอมหน่อยๆก่อนยกกาแฟขึ้นดื่มกลบเกลื่อน ตาแป๋วๆทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน เห็นอาร์ดิวเดินหน้าบูดผ่านมา เมฆจึงเอ่ยถาม
“อ้าว? เป็นอะไรล่ะเรา?”
คนเป็นน้องส่ายหน้าแล้วเดินผ่านไป ปอมปอมน้อยมองตามพี่ชายแล้วเลิกคิ้วสูง หันกลับมามองอีกทางที่พี่เดินมาเห็นพี่การ์ฟอยู่ที่โต๊ะหนึ่งของร้าน มีสาวๆหนุ่มๆท่าทางจะเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเพราะดูท่ารู้จักกันดี แถมมาด้วยกันด้วยคงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมั้ง พี่เขาชะเง้อมองมาทางนี้ด้วย พอเห็นปอมปอมมองก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ ปอมปอมหันมามองพี่ชายก็เห็นยังหน้าบูด หนุ่มน้อยเกาหัวงงๆ เกิดอะไรขึ้นอ่า?
วันหยุดแบบนี้สองพี่น้องมาช่วยงานที่ร้านครึ่งวัน ช่วงบ่ายคุณแม่จะให้กลับบ้านไปทบทวนบทเรียนแล้วทำการบ้านให้เสร็จ ตี๋น้อยที่หน้างอมาตั้งครึ่งค่อนวันจึงออกจากร้านมาพร้อมน้องชายเพื่อกลับบ้านกัน ชะงักเท้าเมื่อเห็นการ์ฟยืนอยู่ไม่ไกล ปอมปอมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะเพิ่มเป็นสองก้าว สามก้าว แล้วหันกลับวิ่งเข้าร้านไป คนเป็นพี่จะเรียกตามก็ไม่ทัน จึงหันกลับมาหาการ์ฟที่เดินมาหยุดใกล้ๆ
“ขอคุยหน่อย”
“.........” ตี๋น้อยเงียบกริบ หันมองรอบกายด้วยความอึดอัด
“เป็นอะไร?” การ์ฟเอ่ยถามมา
“ชอบถามจังคำนี้”
“ถ้าไม่ห่วงจะถามไหม?”
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่คนฟังก็ยังหน้างออยู่ การ์ฟจึงถอนใจหนักๆให้ได้ยิน
“ตี๋...”
“ผมแค่หงุดหงิดตัวเอง”
“เรื่อง?”
“เรื่องส่วนตัว”
“อ้อ”
การ์ฟทำเสียงแบบนั้นแล้วเงียบไป อาร์ดิวยิ่งเงียบเพราะรู้ว่าตนเองพูดไม่ดี
“การ์ฟ...”
“ช่างเถอะ ฉันแส่เอง”
“ไม่ใช่นะ ไม่ได้จะว่าแบบนั้น”
“แคร์ทำไม ฉันมันคนอื่น”
“การ์ฟ...”
ไม่มีการฟังคำแก้ตัวเมื่อการ์ฟเดินห่างออกไป อาร์ดิวหน้าจ๋อย เดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อเรียกน้องชายกลับบ้าน ดูเหมือนสถานการณ์จะยิ่งแย่มากขึ้นไปอีก เพราะเขาแท้ๆ
++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ