Magica Cafe'
Magic (21)“เกิดอะไรขึ้น?”
ชีวาหันไปตามเสียงทัก อาร์ดิวที่เพิ่งแยกกันกลับบ้านกับการ์ฟเดินเข้ามาหา ทันเห็นหลังปอมปอมไวๆ พอเดินเข้ามาใกล้ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ปรกติ
ชีวามองอาร์ดิวแล้วถอนใจ หันหลังพิงราวสะพาน สายตาคมมองบรรยากาศยามค่ำคืน แสงจากหิ่งห้อยที่บินลอยมาทายทักไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีแม้แต่น้อย เมื่อไม่มีใครอีกอยู่ด้วยกันในตอนนี้
“ฉันคิดว่าฉันตัดใจจากนายได้แล้วจริงๆนะ”
น้ำเสียงเหนื่อยล้าจากเพื่อนทำให้อาร์ดิวคิ้วขมวด “มีอะไรเหรอ?”
“ทำไมน้องไม่เชื่อฉันวะ ทั้งเรื่องของนายแล้วก็...”
“?” ตี๋น้อยช้อนสายตามองเพื่อนที่ค้างคำพูดไว้แล้วยังคงเหม่อมองไปไกล
“เรื่องเพื่อนที่มหา’ลัย” ชีวาบอกเช่นนั้น
“ตอนที่ยังโกรธปอมปอมไม่ฟังใครหรอก ต้องรอให้ใจเย็นสักพักค่อยคุยกันใหม่” บอกเพราะรู้จักนิสัยของน้องดี
“น้องไม่เชื่อใจฉันเลย” ชีวายังคงตัดพ้อ
อาร์ดิวมองเพื่อนนิ่ง สีหน้าเด็กหนุ่มจริงจังเมื่อเอ่ยคำ “นายมีความลับกับเขาหรือเปล่าล่ะ? มีอะไรที่นายยังไม่บอกปอมปอมหรือเปล่า หรือมีเรื่องอะไรที่นายคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสำหรับนาย นายเลยไม่คิดจะพูดหรือบอกปอมปอม มีไหม?”
“ฉันลืมไปได้ยังไงว่านายมีนิมิต” แค่นหัวเราะ อาร์ดิวส่ายหน้าเบา
“ไม่หรอก เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้นิมิต ถ้านายรู้จักปอมปอมดีพอ”
ชีวาชะงักกับคำพูดของเพื่อน กะพริบตาถี่แล้วแหงนเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่ง อาร์ดิวยืนเงียบอยู่ข้างๆ สักพักทั้งสองคนจึงพากันกลับบ้านคุณตาคุณยาย
หลังอาบน้ำเสร็จ ก่อนจะเข้านอนชีวาจึงเปิดโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ตั้งแต่บ่ายหลังจากแม่บอกว่าใครโทรมาหา พอเปิดเครื่องก็ยังมีข้อความเตือนสายที่ไม่ได้รับเป็นเบอร์ของไวน์อีก ชีวาถอนใจ ก่อนกดโทรหาเจ้าของเบอร์
“วากลับไปค่อยคุยกันนะไวน์ วามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยเหมือนกัน”
ชีวาบอกกับอีกฝ่ายเสียงเครียด ก่อนจะวางสาย รู้สึกปวดหัวตุบๆขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มทอดถอนใจ กุมศีรษะแสนหนักอึ้งแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มองฝ้าเพดานนิ่งทั้งที่มันไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด ในหัวยังปวดตุบจนแทบระเบิด
อากาศในช่วงเช้าที่ยังไม่ร้อนมาก ครอบครัวชีวาและครอบครัวสองพี่น้องปอปลาออกไปเที่ยวกัน พอตกบ่ายก็พักทานข้าวกันที่ริมน้ำ อากาศเย็นสบายจากสายลมที่พัดพาจากท้องน้ำเข้ามาหาเพิ่มอรรถรสในการทานอาหารได้ดียิ่งขึ้น
ร้านค้ารอบบริเวณขายของหลายอย่าง ทั้งของกินของฝากมากมาย ทั้งยังมีของเล่นที่หายากแล้วในสมัยนี้ให้เก็บสะสมกันอีกด้วย เด็กๆพากันเดินเที่ยวดูของหลังทานข้าวเสร็จ สองพี่น้องจูงมือกันแวะร้านนั้นออกร้านนี้โดยมีสองหนุ่มเดินตามไปมันทุกร้าน
“การ์ฟ”
อาร์ดิวหันมาเรียกคนที่เดินตามมาช้าๆนั่นให้รีบตามเข้ามาหน้าร้านขายเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋ม คนถูกเรียกก้าวเร็วๆเข้าไปหา เมื่อการ์ฟเข้ามายืนข้างๆตี๋น้อยจึงหันมาแล้วแบมือให้ดู
“อะไร?” การ์ฟเลิกคิ้วถามยิ้มๆ
“ดูดีๆสิ มีหิ่งห้อยในนี้ด้วยอ่ะ” น้ำเสียงและสีหน้าคนพูดดูตื่นเต้น
“จริงเหรอ?”
การ์ฟจ้องมองของในมืออาร์ดิว มันเป็นขวดโหลอันเล็กจิ๋ว ในขวดสีใสมีหิ่งห้อยตัวจิ๋วยิ่งกว่าอยู่ข้างใน แสงวิบวับจากกากเพชรที่ใส่เอาไว้ในขวดส่งให้เหมือนมันส่องแสงได้ การ์ฟเงยขึ้นมองตี๋น้อยที่อมยิ้มอยู่
“อยากได้ป่ะ?”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามมีนัยยะ ตี๋น้อยพยักหน้าหงึกแล้วยิ้มตาปิด
“ผมจะซื้อ”
บอกไปแบบนั้นแต่อีกคนกลับหยิบขวดหิ่งห้อยจากมือเขาไปยื่นให้คนขายหน้าตาเฉย
“เอาอย่างนี้สองอันครับ ขอสร้อยคอสองเส้นด้วย”
“การ์ฟ ของผม”
ตี๋น้อยเอ่ยทักท้วง การ์ฟหันมาหาแล้วบอกเสียงเรียบ
“รู้แล้ว”
ฟังอย่างนั้นแล้วอาร์ดิวก็คิ้วขมวด ไม่เห็นเข้าใจ รู้แล้วแต่มาซื้อตัดหน้าเขาทำไม อันอื่นมีเยอะแยะ
“พี่ครับ อันเมื่อกี้อันละเท่าไหร่ครับ”
เอ่ยถามคนขายที่กำลังประกอบขวดหิ่งห้อยกับห่วงเพื่อทำเป็นจี้ห้อยคอตามที่การ์ฟต้องการ คนขายบอกราคามา ตี๋น้อยจึงเปิดกระเป๋าจะเอาตังค์ออกมาจ่าย การ์ฟรีบกดมือที่กำลังหยิบเงินออกมาเอาไว้ ทำให้ดวงตาเรียวตวัดมอง
“บอกแล้วไงว่ารู้แล้ว”
“แล้วไงอ่ะ”
อาร์ตี๋ย้อน การ์ฟถอนใจเฮือกก่อนบอกจุดประสงค์ “จะซื้อให้”
“ไม่เอา!” คำปฏิเสธทันทีนั้นทำให้คนใจดีจะซื้อของให้เริ่มหน้าตึง เอ่ยถามกลับเสียงขุ่น
“ทำไม?”
ตี๋น้อยคิ้วขมวด “จะมาซื้อให้ทำไมล่ะ ผมซื้อเองก็ได้”
“อยากซื้อให้ จบป่ะ?”
อยากซื้อของให้เขาแต่ก็ยังกวนเขาไม่เลิก อาร์ดิวมองหน้า สีหน้าหนุ่มตี๋ยังดื้อรั้น การ์ฟจึงต้องเปลี่ยนวิธีพูดใหม่
“อยากให้จริงๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกอ่อนลง ไม่มีแววกวนอีก ทำให้อาร์ดิวเองลดความแข็งข้อ ยอมเก็บกระเป๋าเงินของตนเอง มองคนขายเอาของใส่ถุงลายน่ารักให้ การ์ฟเองก็มองตี๋น้อยยิ้มๆ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มอีกคนเบาๆ พอเจ้าของเขาหันมาคนทำก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
อาร์ดิวหันกลับ มือเรียวยกขึ้นจับแก้มตัวเอง อมยิ้มเขิน
ปอมปอมที่ยังไม่เจอของถูกใจเดินแยกออกไปอีกร้านหนึ่ง ชีวาเดินตามน้องไปเรื่อยๆ ไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่มา พอน้องดูของจนเบื่อแล้วก็มาทางสระน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมากลางลานกว้างของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ รอบนอกเป็นแม่น้ำธรรมชาติที่ไหลผ่าน ด้านในยังเป็นสระน้ำอีก หากมองจากที่สูงจะเป็นว่ามันเป็นวงกลมซ้อนกัน ทั้งแม่น้ำด้านนอกและสระน้ำที่สร้างขึ้นด้านใน
ชีวาก้าวให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อมาเดินข้างน้อง หางตาน้องปรายมามองแต่ไม่พูดอะไร ทั้งคู่เดินข้างกันไปเงียบๆ เสียงนักท่องเที่ยวคนอื่นๆพูดคุยกันบ้าง ถ่ายรูปกันบ้างเป็นที่เฮฮา เวลานี้พ่อแม่ของทั้งคู่คงไปไหว้พระอีกแน่ เพราะเห็นว่าที่นี่มีพระพุทธรูปในถ้ำหินด้วย พวกท่านคงไม่พลาดไปสักการะ
ลมพัดเย็นๆจากผืนน้ำพัดพามา ปอมปอมหยุดเดินอยู่ตรงเนินหญ้าริมสระ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วค่อยผ่อนมันออกมาช้าๆพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่หนุ่มน้อยจะหันมาหาชีวาแล้วยิ้มให้
ชีวาชะงักเมื่ออยู่ๆน้องก็ยิ้มให้ตนเอง ก่อนที่เขาจะยิ้มให้น้องกลับไปบ้าง เกือบค่อนวันน้องเพิ่งยิ้มให้เขาก็ตอนนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเศร้าใจบอกไม่ถูก
“ป๋า...”
“...........”
เพียงน้องเอ่ยเรียกก็เหมือนสิ่งรอบกายจะเงียบเสียงลงไปเสียสนิท ราวสรรพสิ่งไม่เคลื่อนไหว ส่งผลให้สิ่งที่ได้ยินมันดังก้องจนสะเทือนไปทั้งใจ
“เราเลิกกันเถอะ”
ชีวานิ่งงัน รอยยิ้มนั่นมันติดตา บอกเลิกเขาด้วยรอยยิ้มแบบนั้นได้อย่างไร ในใจเด็กหนุ่มบีบรัด ความผิดของเขามันมากมายเสียจนต้องทำแบบนี้กับเขาเชียวหรือ แต่ถึงอย่างนั้น ถึงจะประท้วงไปแต่ก็ไร้ประโยชน์ เมื่อน้องไปแล้ว เดินจากเขาไปอย่างใจร้ายที่สุด
ชีวาก้มหน้านิ่ง ไหล่กว้างสั่นไหวน้อยๆ ก่อนเสียงสะอื้นแผ่วจะดังลอด มือใหญ่กุมอกซ้าย รู้สึกร้าวรานไปทั้งหัวใจ
“ป๋า...”
เสียงเรียกแผ่วเบาในความรู้สึกไม่ได้ทำให้ใจเขาหันเหไปหาได้สักนิด ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้ยินเสียงนี้
“ป๋า ป๋าเป็นอะไร?”
เป็นอะไรอย่างนั้นหรือ คำถามนี้เขาควรตอบไหม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ เด็กน้อยหน้าซื่อ
“ป๋าได้ยินปอมไหม?”
เสียงที่เหมือนได้ยินอยู่ไกลลิบกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มลอยเด่นให้เห็นเต็มตา แต่เวลานี้ตาของเขาพร่าไปด้วยหยาดน้ำตาจนมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็มั่นใจว่าเป็นน้องแน่ๆ น้องกลับมาแล้ว กลับมาอย่างนั้นหรือ? ชีวามองภาพตรงหน้านิ่ง เมื่อครู่น้องแค่ล้อเล่นสินะ ที่บอกเลิกเขาเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นสินะ ช่างเป็นเรื่องตลกร้าย แต่เขาก็ดีใจที่มันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
แขนแกร่งคว้ากอดน้องแน่น ปอมปอมน้อยตัวแข็งทื่อ ชีวาหัวเราะในลำคอกับท่าทีนั้น ตกใจหรือ? ตกใจที่เขาโผเข้ากอดสินะเด็กแสบ ก่อนรอยยิ้มจะเปิดกว้างมากขึ้นเมื่อมือเรียวลูบหลังเขา นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกตบหัวแล้วลูบหลังน่ะ แต่เขาไม่โกรธหรอก ไม่เลย
“ป๋า ร้องไห้ทำไม ไข้ขึ้นจนเพ้อเหรอ?”
ใครเป็นไข้ เขาไม่ได้ป่วย ถ้าจะป่วยก็คงเป็นใจของเขานี่ล่ะ ที่ถูกน้องเล่นแรงแบบนี้ ชีวาผละออกมา มองดวงตาแป๋วแหววของเด็กแสบ
“พี่เปล่าเพ้อสักหน่อย...”
เสียงที่เอ่ยบอกน้องช่างแหบแห้ง ชีวากระแอมเบาๆ หัวคิ้วเข้มขมวด เสียงใครวะ?
“หรือเพราะป๋านอนนานไป ตื่นมาเลยสะลึมสะลือแบบนี้” หนุ่มน้อยสันนิษฐาน คิ้วชีวาขมวดปมมากขึ้น มองดูรอบกายที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกลิบลับ
“ปอมปอม?” เอ่ยเรียกน้องงงๆ
“หือ?”
เด็กน้อยหน้าซื่อเลิกคิ้วมองพี่เชิงถาม ความปวดแล่นริ้วจนชีวาต้องกุมหัว มือใหญ่สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง มีแผ่นอะไรไม่รู้แปะอยู่บนหน้าผากของเขา
“ป๋าเป็นไข้ วันนี้เลยไม่ได้ไปเที่ยวกับคนอื่นเลย”
เมื่อน้องบอกมาแบบนั้นชีวาจึงคิดตาม เมื่อวานก่อนจะนอนเขารู้สึกปวดหัว คิดโน่นคิดนี่แล้วเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ สติสตังของเด็กหนุ่มเริ่มกลับมาทีละน้อย
“ปอมปอมไปเที่ยวกลับมาแล้วเหรอ?”
“ปอมไม่ได้ไป อยู่เฝ้าป๋าเนี่ย... ป๋าร้องไห้ด้วย” ท้ายประโยคบอกเสียงอ่อย สีหน้าจ๋อยเพราะสงสารพี่
“ปอมปอม...”
“ครับ?”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่วยฟังพี่อธิบายสักนิดนะ อย่าเพิ่งบอกลาพี่ไป”
คงเพราะอาการไข้ถึงทำให้เขาเพ้อขนาดนี้ มือเรียวปาดเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะกอดปลอบ
“ป๋าอย่าร้องไห้อีกนะ ปอมใจไม่ดีเลย”
แขนเล็กๆ แต่ทำให้อุ่นไปทั้งใจ ชีวากอดน้องตอบ หอมไหล่เล็กแล้ววางคางเกยก่าย
“ไม่ร้องหรอก ไม่ร้องแล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างขอบคุณ ขอบคุณที่เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นเพียงความฝัน ขอบคุณจริงๆ
เช้าวันต่อมา หลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งยังได้รับการดูแลจากพยาบาลหนุ่มน้อย อาการไข้ของชีวาก็ดีขึ้น คุณแม่ที่กลับมาจากไปเที่ยวเพราะปอมปอมอาสาดูแลพี่เอง เมื่อเห็นการดูแลเอาใจใส่จนลูกชายของท่านอาการดีขึ้นก็พอจะวางใจได้บ้าง เพราะเมื่อวานบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูกดดันมากกว่านี้
ปอมปอมไปวิ่งออกกำลังกายกับเด็กๆในยามเช้า ชีวาที่เพิ่งสร่างไข้วิ่งเหยาะๆตามน้องไปเรื่อยๆ จนพากันมาหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับโรงเรียนของเด็กๆ ชีวาอยู่ใกล้น้องแต่ไม่ได้คุยอะไรกัน เมื่อวานพอจะจำได้อยู่ว่าน้องคอยดูแลดีแค่ไหน แต่เมื่อน้องไม่พูดด้วยเขาเลยไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
เลย์มองทั้งสองคนแล้วส่ายหน้า ต้องให้ถึงมือไอ้เลย์เสียแล้วกระมัง หนุ่มน้อยทำเดินเข้าไปใกล้พี่ปอมปอมแล้วชนเข้าเต็มแรงจนปอมปอมเซไปหาชีวา แขนแข็งแรงรับน้องไว้อัตโนมัติ
“อุ๊ยตาย ขอโทษที เลย์ไม่เห็น”
ท่าทางทะลึ่งทะเล้น จีบปากจีบคอทำเสียงเล็กเสียงน้อยนั้นไม่มีใครอยากเชื่อหรอกว่าเลย์ไม่เห็น คนยืนอยู่ทั้งคน แถมยังมาอุ๊ยตงอุ๊ยตายด้วย เด็กเกรียนๆอย่างเลย์มาพูดแบบนี้แล้วมันน่าเตะมากกว่า
พอรู้สึกตัวปอมปอมก็ขยับยุกยิก ชีวาค่อยปล่อยน้องจากอ้อมแขน หนุ่มน้อยขยับห่างพี่อีกนิด ขณะที่เด็กๆลูกสมุนทำเป็นมองไม่เห็น มองนกมองไม้ไปเรื่อย
“หายโกรธพี่ยัง?”
“............” ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ
“ไม่พูดด้วยพี่เสียใจนะ”
ต่อให้ตัดพ้อน้องก็ยังคงเงียบกริบ ชีวามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กดื้อที่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเขา มือใหญ่คว้ามือน้องมาจับไว้ทั้งสองข้าง มองน้องที่เบือนสายตาหนี
“ขอโทษในเรื่องที่พี่ไม่ได้บอกปอมปอม เพราะพี่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พี่สามารถจัดการมันด้วยตัวเองได้ ไม่คิดว่าจะทำให้ปอมปอมกังวลใจ”
เด็กหนุ่มง้องอนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ปอมปอมน้อยถอนใจ หันมาเผชิญหน้าพี่
“ปอมเอาแต่ใจเอง ปอมคงยังเด็กเกินไป คิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างดี แต่ไม่เลย ปอมไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่าง ป๋าคงเหนื่อยที่ปอมเป็นแบบนี้ใช่ไหม?”
“อาจมีบ้างที่เราข้าใจไม่ตรงกัน แต่พี่ไม่เคยรู้สึกว่าการได้รักปอมปอมมันเป็นเรื่องที่หนักหนาหรือเหนื่อยตรงไหน”
“............”
“ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งได้ไหม พี่จะจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อยเอง”
สายตาเว้าวอนส่งให้น้องจากความรู้สึกที่มี ปอมปอมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับช้าๆ ชีวายิ้มกับโอกาสที่ได้รับ เกือบดึงน้องมากอดแล้ว ถ้าไม่เห็นเจ้าพวกแสบทำคอยื่นคอยาวเสียก่อน
ปอมปอมอมยิ้มขำ ก่อนเดินไปหาเลย์ ตบเข้ากลางหลังลูกพี่ลูกน้องของตนเองที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ เลย์สะดุ้งโหยง สูดปาก ขณะที่คนอื่นถอยกรูด
“วิ่งกลับบ้านแข่งกันป่ะเลย์?” หนุ่มน้อยยักคิ้วท้า
“จัดไป” เลย์ยังหน้าเบ้เพราะเจ็บหลัง แต่ก็รับคำท้านั้นอย่างไม่มีถอย “แล้วถ้าใครชนะจะได้อะไร?”
คำถามนั้นทำให้ปอมปอมกลอกตามองสูง ทำท่าคิดแป๊บนึงก่อนบอก “อะไรก็ได้ แล้วแต่คนชนะเลย เพราะพี่มั่นใจว่าพี่ไม่แพ้แน่”
“เดี๋ยวก็รู้ เตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้เลยพี่ปอมปอม”
ว่าแล้วเลย์ตัวแสบก็ออกวิ่งทันที ปอมปอมอ้าปากหวอ ตาโต แล้วออกวิ่งตามสุดชีวิตทั้งร้องโหวกเหวก
“ว๊ากกก ขี้โกงอ่ะ ออกตัวก่อน เลย์ขี้โกง~”
เด็กๆพากันวิ่งเฮโลตามไป ชีวามองแล้วก็หัวเราะ ถอนใจเบาด้วยความโล่งอกโล่งใจ ก่อนออกวิ่งตามน้องไป ขาเขายาวไม่ต้องเร่งมากก็ไปถึง ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมากที่สุดคือเคลียร์ตัวเองให้กระจ่างใสเสียทีได้แล้ว ก่อนที่จะเสียน้องไปจริงๆ
กลับมาบ้านปอมปอมก็ค้นของฝากที่เมื่อวานครอบครัวตนเองกับครอบครัวชีวาไปเที่ยวแล้วซื้อมาฝากคนเฝ้าไข้อย่างเขาออกมาทาน ถือของกินเดินมาหาคุณตาที่หน้าบ้าน คุณตาเปิดสอนงานจักสานจำพวกตะกร้าและเครื่องใช้ไม้สอยให้นักเรียน เวลามีโครงงานมักมีชื่อคุณตาเป็นผู้สอนเสมอ เด็กๆมักจะมาขอให้ช่วย ท่านก็ช่วยด้วยความเต็มใจ ในเวลานี้ลูกหลานไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว กิจการงานต่างๆลูกชายก็บริหารไปได้ดี ท่านที่อยู่บ้านเฉยๆก็ทำอะไรเล็กๆน้อยๆ คุณยายท่านก็เป็นประเภทแม่ศรีเรือน ทำขนมนมเนยแจกเพื่อนบ้านอยู่เรื่อยๆ
“คุณตาคร้าบ ทำอะไรอยู่?”
หนุ่มน้อยนั่งลงบนแคร่ไม้ที่คุณตากำลังนั่งสานอะไรสักอย่าง ตอกเส้นบางวางเรียงอยู่ข้างกายท่าน
“ตะกร้าน่ะ ทำให้ยายเขา จะได้ใส่ข้าวของเวลาไปวัด”
ปอมปอมน้อยพยักหน้าหงึกหงักกับคำอธิบายของคุณตา นั่งดูท่านทำงานอย่างสนอกสนใจ แต่ถ้าให้ทำปอมทำไม่เป็นนะ
เมื่อวันหยุดพักผ่อนของทั้งเด็กและผู้ใหญ่หมดลงก็ได้เวลาเตรียมตัวกลับบ้านกัน ก่อนกลับคุณตาคุณยายก็มีของเล็กๆน้อยๆให้หลานๆ อาร์ดิวคลานเข่าเข้าไปรับถุงผ้าใบเล็กจากคุณยาย ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ท่านทั้งสองมองเขาแล้วยิ้มบาง
“ขอให้หลานผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ด้วยดี แม้ชะตามันจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่แรงศรัทธาที่มีมันจะทำให้หลานปลอดภัย”
คำพูดที่ได้ยินกันเพียงสามคนทำให้ตี๋น้อยย่นหัวคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณตาพูด จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกอย่างนั้นหรือ?
“อาร์ดิวอายุครบสิบแปดแล้วสินะ” คุณยายเอ่ยถามเสียงอารี
“ครับ”
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะ เด็กสมัยนี้โตไวกันจริงๆนะตา”
คุณยายหันไปขอแนวร่วม คุณตาหัวเราะ ทำให้บรรยากาศแปลกๆเมื่อครู่คลายลง อาร์ดิวอมยิ้ม กราบขอบคุณท่านก่อนคลานออกไป ให้ปอมปอมเข้าไปหาคุณตากับคุณยายบ้าง
“คุณไม่กลับด้วยกันเหรอ?”
หลังจากขนข้าวของขึ้นรถเสร็จอาร์ดิวจึงปลีกตัวมาคุยกับพนักงานช่วยยกของ น้ำเย็นๆในแก้วถูกส่งให้การ์ฟรับไปดื่ม
“ยังหรอก ปิดเทอมทั้งทีอยากทำตัวมีประโยชน์บ้าง”
มุมปากเด็กหนุ่มยกยิ้ม ตี๋น้อยยิ้มตาม ก่อนรับแก้วน้ำคืนแล้วบอกลา
“งั้นผมไปแล้วนะ เจอกันที่กรุงเทพฯ” ยิ้มให้เพื่อนสนิทที่อยากเลื่อนสถานะแล้วตี๋น้อยก็หมุนกายกลับ
“ตี๋”
“?” หันกลับมาเลิกคิ้วมองคนเรียก
“เปล่า”
คำปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มแห้งทำให้ตี๋น้อยงง อะไรของเขา?
“เอาวะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว” บอกกับตัวเองเมื่อมองตามหลังอาร์ดิว ก่อนจะก้าวตามไปส่งตี๋น้อยที่รถด้วย
“ปอมปอมไม่ลืมอะไรนะลูก?” คุณแม่รวิเอ่ยถามลูกชายคนเล็กเมื่อตัวผอมๆนั้นจะก้าวขึ้นรถก่อนใคร
“ไม่ครับ ทุกอย่างเตรียมพร้อม”
ตะเบ๊ะให้ด้วยความมั่นใจ กวักมือไหวๆเรียกป๋าชีวาให้รีบขึ้นมา ขณะที่ตนเองนำไปก่อนแล้ว เมื่อพร้อมกันแล้วทุกคนจึงลาผู้อาวุโสที่ออกมาส่งก่อนขึ้นรถกลับกรุงเทพฯกัน
“ลานะคะ” คุณแม่รวิหันไปลาครอบครัวการ์ฟที่มารอส่ง
“เดินทางปลอดภัยค่ะ ไว้ไปส่งเจ้าการ์ฟแล้วจะแวะไปหาค่ะ”
“ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ”
ทั้งสองครอบครัวยิ้มให้กัน ก่อนที่ประตูรถตู้จะปิดลงแล้วรถจึงค่อยเคลื่อนตัวออกไป น้องเอิงโบกมือลาพี่ๆ นานๆเธอจะได้เจอพี่ๆสักที อยากกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯเหมือนกัน แต่ก็กลัวคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงอีก อยู่ใกล้ๆพวกท่านก็ดีเหมือนกัน อ้อนได้ตลอด ไม่ต้องทนคิดถึงกันนานๆ
“มองตามตาละห้อย แม่เพิ่งรู้ว่าเราแสดงอาการแบบนี้เป็น”
เสียงคุณแม่เอ่ยล้อพ่อลูกชายตัวดี เรียกสายตาจากคุณพ่อและน้องเอิงให้มองมาที่การ์ฟเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มทำหน้าเหรอหรา แต่ไม่เนียนเอาเสียเลย
“อะไรกันครับ มาแซวกันเองซะงั้น” หัวเราะน้อยๆกับท่าทีส่งค้อนแต่พองามของคุณแม่ กอดเอวท่านแล้วพากันเดินกลับบ้าน พอหันมามองคุณพ่อที่ยังนิ่งเฉยการ์ฟจึงเอ่ยขึ้นมา
“ดูพ่อไม่ตื่นเต้นเลย”
“ตื่นเต้นเรื่องอะไร?” น้ำเสียงเรียบนิ่งพอๆกับสีหน้าเลยทีเดียว
“เรื่องผม... เป็นเกย์”
“น้าแกก็เป็น”
“หา? นี่ตกลงรับได้หรือครับ?” สิ่งที่คุณพ่อย้อนมาทำให้การ์ฟอุทานเสียงหลง รู้เรื่องน้าเทสต์เสียด้วย แต่ไม่ว่าอะไรนี่มันแปลกไหมนะ?
“รับไม่ได้หรอก แต่ต้องยอม” ท่านบอกแล้วถอนใจยาว
“ทำไมครับ?” คนเป็นลูกเอ่ยถามอย่างข้องใจ ที่บอกว่าต้องยอมหมายถึงอะไร?
“ไม่รู้แกรู้หรือยัง แกกับอาร์ดิวลูกลุงไปป์น่ะ...” สายตาคุณพ่อมองมา การ์ฟพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่ท่านจะพูด
“อ๋อ ถ้าเรื่องที่คุณป้ารวิผูกดวงเราสองคนไว้ด้วยกัน ผมรู้แล้วครับ เพราะอย่างนั้นเหรอ พ่อถึงได้ต้องยอมรับ?”
“จะบอกให้นะ ถ้าไม่ทำพิธีตัด แกกับลูกลุงไปป์ไม่มีทางหนีกันพ้นหรอก”
“ซึ่งผมก็ไม่คิดจะตัดแน่นอน” การ์ฟเสริม
“อย่ามาตอกย้ำสิวะ ไอ้ลูกคนนี้”
คุณพ่อถอนฉุน รู้หรอกว่ามันเป็นมาอย่างไร แต่ทำใจรับปุบปับมันไม่ได้ เรื่องนี้รู้มานานแล้ว เรื่องที่ว่าลูกของตนกับลูกชายของผู้มีพระคุณนั้นมีดวงผูกกันอยู่ทำให้หลีกลี้หนีกันยาก แต่ท่านก็ทำปล่อยผ่านเลยไปได้ตั้งหลายปีเพราะไม่คิดว่าทั้งคู่จะได้เจอกันแล้วผูกสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อนธรรมดา แต่ในวันนี้คงหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้อีก
“อาร์ดิวก็เป็นเด็กเรียบร้อยออก แม่ชอบนะ พูดจาสุภาพ มีสัมมาคารวะ น่ารักดี” คุณแม่เอ่ยชมหนุ่มตี๋ พ่อลูกชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับถูกชมเสียเอง
“แหนะ เห็นไหม แม่ยังชอบเลยอ่ะ”
“เอิงก็ชอบ” น้องเอิงเอ่ยเสริม สนับสนุนพี่อาร์ดิวเต็มที่ ส่วนพี่ชายแค่ตัวแถม
“เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย”
คุณพ่อว่าเคืองๆ ถูกโจมตีอยู่คนเดียว อีกสามคนพากันอมยิ้ม น้องเอิงกอดแขนคุณพ่อ เอียงศีรษะซบออดอ้อนเอาใจ สองพ่อลูกเลยคุยเล่นหัวเราะคิกคักกันไปตามทาง สะพานไม้เชื่อมต่อทอดไปยังอีกฝั่งที่เป็นบ้านของการ์ฟ เมื่อเดินมาถึงกึ่งกลางสะพานเด็กหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองต้นไม้ใหญ่ริมน้ำอีกฟากฝั่งหนึ่ง ก่อนยิ้มออกมาบางเบา
“ยิ้มหวาน มีความหลังอะไรกับต้นไม้นั่นหรือไงพ่อหนุ่ม?”
ลืมไปได้อย่างไรว่าคุณแม่ตาดี การ์ฟหัวเราะในลำคอ กระชับเอวคุณแม่พาเดินไปด้วยกัน ไม่ได้ตอบอะไร เก็บไว้ให้เขากับ ‘เพื่อนสนิท’ รู้กันสองคนก็พอ
บนรถตู้ที่มุ่งตรงสู่กรุงเทพมหานคร ชีวาจับมือน้องเล็กที่นอนหลับพิงตนเองอยู่ นั่งรถนานๆแล้วน้องคงเพลีย เวลาก็เริ่มเข้าสู่พลบค่ำแล้วด้วย คงจอดทานข้าวกันที่ไหนสักที่ก่อนไปต่อ มือใหญ่เกี่ยวผมนิ่มที่เริ่มยาวทัดหูให้น้อง มองแล้วก็อมยิ้ม ก่อนเอนหัวลงนอนชนหัวน้องพอดีแล้วหลับตาลง
เสียงข้อความเข้าเครื่องอาร์ดิวทำให้ชีวาหรี่ตาขึ้นมา เห็นเพื่อนเปิดดูข้อความแล้วยิ้มเขินอยู่คนเดียว ชีวาอมยิ้ม อาร์ดิวมีความสุข เขาเองก็มีความสุข ไม่ใช่เพราะยังตัดใจไม่ได้ เพราะอาร์ดิวคือเพื่อนคนสำคัญและเป็นพี่ชายของคนที่เขารักต่างหาก รักในวัยเยาว์มันผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้ต่างหากคือความจริง คนที่อยู่ข้างกายเขาตอนนี้ต่างหากที่สำคัญ
อาร์ดิวที่เปิดดูข้อความแล้วก็พิมพ์ข้อความตอบกลับ ไม่นานข้อความจากการ์ฟก็ส่งกลับมาอีก คราวนี้ทำเอาอายม้วน บอกกับโทรศัพท์เบาๆว่าบ้า ก่อนเก็บเข้ากระเป๋าตนเอง
เด็กหนุ่มนั่งพิงเบาะ มองออกนอกหน้าต่างรถ ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แสงไฟจากข้างทางมีประปราย แม้ไม่เหมือนแสงหิ่งห้อยในคืนนั้น แต่กลับทำให้เขานึกถึงมันขึ้นมา มือเรียวแตะกลีบปากตนเองแล้วเม้มแน่นเมื่อนึกถึงรอยจูบของใครบางคน...
TBCขอบคุณทุกๆคนที่ยังอยู่ด้วยกันค่ะ จัดบวกกันไปโดยถ้วนหน้า
เก็บตก
ข้อความใหม่จาก การ์ฟ : ถึงไหนแล้ว?
อาร์ดิว : ถึง...(ชื่อจังหวัด)
ข้อความตอบกลับจาก การ์ฟ : เปล่า ไม่ได้หมายถึงนาย ฉันหมายถึง...
.
.
.
.
.
.
.
แหนะ รู้นะว่าเลื่อนลงมาดู
.
.
.
.
ที่ถามว่าถึงไหนแล้วฉันหมายถึง...
.
.
.
.
ใจของฉันน่ะ...
.
.
.
.
.
ใกล้ถึงใจนายหรือยัง?
me : ฮิ้วววววววววว (อายอ่ะ การ์ฟฟฟฟ >/////< )