มาแว้วววววววววววววววววว
มาแบบลุ้นๆ
55555555555
ตอนที่ 22เหลือเวลาอีก 30 นาที ตอนนี้เกิดการโกลาหลขนาดย่อมๆ หรือเปล่าวะ?? ดูเหมือนสัญญาณเตือนภัยจะดังขึ้นไปทั่วทั้งเกาะแล้ว และก็เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดเริ่มต้นของสัญญาณมาจากบ้านพักของคุณฟราน เอาง่ายๆคือมาจากห้องใต้หลังคาที่ผมขโมยรูปมานั่นแหละ
ผมคงเป็นได้แค่สายลับหางอึ่งอย่างที่ว่าจริงๆแล้วครับ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ว่า ‘เจ้าชายแห่งดวงดาว’ ไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่า...แค่เพียงตรวจสอบนิดหน่อยก็จะรู้ทันทีว่าเซ็นเซอร์ของรูปภาพถูกตัดสัญญาณโดยฝีมือของมนุษย์
ตอนนี้ผมอยู่ในชุดดำน้ำแล้ว กำลังหลบคนพวกนั้นอยู่ คนที่เข้ามาที่บ้านพักของคุณฟรานเป็นหัวหน้าที่ดูแลเกาะแห่งนี้ ด้วยรูปร่างใหญ่โตและผิวสีเข้มๆของเขา ประกอบกับแววตาดุดดัน แค่นั้นผมก็กลัวจนขนลุกขนพองแล้วล่ะครับ
พอ ‘หัวหน้าแม็ค’ ก้าวเข้าไปในบ้านปุ๊บผมก็หลบออกไปจากที่ซ่อนทันที บริเวณนี้ผมรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ด้วย ผมจึงค่อยๆหลบมุมกล้องนั้นซะ ผมสวมชุดดำน้ำสีดำเลยอำพลางตัวได้ง่าย
“ผมว่าคุณอย่าดิ้นลนหนีจะดีกว่านะครับ”
..........เชี่ย!!!....................เสียงไอ้หัวหน้าแม็ค!!!.......
มันเห็นกูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ กูเห็นกับตาว่ามึงเพิ่งเข้าไปในบ้านพัก แล้วมึงมองเห็นกูได้ยังไงวะ
ผมสังเกตว่าตอนนี้ไอ้หัวหน้าแม็คมันยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นใต้หลังคา ผมมั่นใจว่ามันเห็นผม เพราะเราสบตากันอยู่น่ะสิ แม้ผมเป็นเพียงสายลับหางอึ่งแต่ผมก็ไม่รอช้า ต้องหาทางฆ่าเวลา 30 นาทีนี้ก่อน รู้สึกว่ามันจะนานเกินไปด้วยซ้ำ ผมอยากวิ่งไปขับเรือหนีเลยซะเดี๋ยวนี้ แต่ผมไม่มีกุญแจน่ะสิ และแต่ละคนที่ออกลาดตระเวนก็ไม่ซ้ำกัน และผมก็ไม่มีเวลาไปตามสืบด้วยว่าเที่ยวต่อไปเป็นเวรของใคร เลยต้องอาศัยจังหวะแย่งกุญแจอย่างเดียว ผมจึงต้องกำจัดสองบอดี้การ์ดก่อนไง อ้อ...ไอ้การเอาสายไฟมาประจุกันเพื่อสตาร์ทเครื่องน่ะ บอกก่อนว่าถ้าไม่เคยทำ มันเสียเวลา จากที่จะหนีรอด ดันไม่รอดซะ
30 นาทีกับการหนีเอาตัวรอดเนี่ย เป็นอะไรที่ยาวนานมากครับ เพราะเพียงผมตัดสินใจวิ่งตัดสนามหญ้าด้านหลังไปยังภูเขา เพื่อที่จะออกไปสู่แนวป่า ไอ้หัวหน้าแม็คก็กระโดดลงมาจากชั้นสามซึ่งเป็นชั้นใต้หลังคาลงมายืนห่างจากผมประมาณ 5 เมตรแล้ว แวบเดียวที่หางตาผมมองเห็นอันตรายดังกล่าวที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ผมก็วิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ด้วยความที่ตัวผมเบา (ดีที่ช่วงนี้ไม่มีกิจกรรมเนื้อแนบเนื้อ มิเช่นนั้นคงเจ็บบั้นท้ายพิลึก) และได้รับการฝึกศิลปะป้องกันตัวมาตั้งแต่เด็ก พุ่มไม้ที่ปลุกตามสนามหญ้าจึงไม่ใช่อุปสรรค์ของผมแต่อย่างใด
......................................การตามล่า!!.....ได้เริ่มขึ้นแล้ว!!.........................................
“สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ ”
ผมข้ามพุ่มไม้น้อยใหญ่เหล่านั้น และวิ่งตัดสนามหญ้าไปจนถึงภูเขาลูกเล็กอย่างว่องไว แต่ก็กินเวลาไปถึง 5 นาที และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าไอ้หัวหน้าแม็คไล่ตามมาติดๆ เช่นกัน แต่ด้วยที่มันต้องหันไปสั่งงานลูกน้องไปด้วย จึงทำให้มันเสียเวลาไปหลายวินาที
ผมหลบมาทางชายป่า รู้อยู่แล้วว่าผมต้องเข้าป่าไปเจอเสือสิงห์กระทิงแรดแน่ๆ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เหลือเวลาอีก 25 นาที หอสังเกตการณ์ช่วยผมได้มาก แม้ผมไม่มีแผนที่อยู่ในมือแต่ผมก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงจุดไหน ถ้าผมวิ่งตัดผ่านหอสังเกตการณ์ออกไปที่ท่าเรือ ผมจะใช้เวลาโดยประมาณ 15-20 นาที ซึ่งเป็นทางที่ลัดที่สุดแล้ว ถ้าเป็นเส้นทางอื่น ผมคงไม่มีเวลาเป็นแน่
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ไม่รอช้า ก้าวเท้าวิ่งตรงไปที่หอสังเกตการณ์ทันที ตอนนี้พวกเขาคงจะยังไม่รู้ว่าผมจะหนีออกจากเกาะยังไง เพราะผมดันวิ่งเข้าป่า พวกเขาคงคิดว่าผมวิ่งมาเพื่อเอาตัวรอด
“เชี่ย!!!” ผมชะงักทันที
ผมสบถออกมาเบาๆ เพราะผมเข้ามาอยู่ในดงหมีน่ะสิ กูต้องแกล้งตายหรือเปล่าวะ และผมมั่นใจว่าหมีสีดำตัวใหญ่นั่นมันรู้ตัวแล้ว ตอนนี้ผมกำลังยืนประจังหน้ากับหมีสีดำตัวใหญ่ ระยะห่างระหว่างผมกับมันประมาณ 2 เมตรได้ หมีตัวใหญ่จ้องมองมาที่ผมนิ่งๆ เรากำลังทำสงครามทางสายตากันอยู่ เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีก่อนหมีตัวนั้นจะแยกเขี้ยว ยกมือขึ้น และกระโจนเข้ามาหาผม ใช่....ผมไปกวนมัน และมันก็คงจะโกรธผมเป็นเอามาก
“แง่งงงงง!!!”
‘สวบ สวบ’
‘กร๊วดดด ปึด’
“อั๊ก!!!”
เจ็บ!!!........
“ซิ๊ดดดดดดดด”
ผมหลบมาได้อย่างหวุดหวิด แต่กรงเล็บของมันจ้วงลงไปที่แผ่นหลังของผมทันที เล่นเอาได้เลือดและเศษชุดดำน้ำไปเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ชุดดำน้ำ หลังของผมคงจะหายไปทั้งแถบแน่ๆ มันเป็นช่วงจังหวะที่ผมต้องรีบก้มตัวหลบและพุ่งไปใช้หมัดกระแทกไปที่กลางลำตัวของมันอย่างแรง เราล้มกลิ้งด้วยกันทั้งคู่ไปคนละทิศคนละทาง แต่หมีก็คือหมี
มันลุกขึ้นต้วมเตี้ยมมายืนสี่ขาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้มันยืนสองขาอยู่ ส่วนผมก็ไม่ต่างกัน ดีนะที่กระเป๋ารูปไม่ได้รับความเสียหายอะไรด้วย แสงจันทร์สาดส่องช่วยให้เรามองเห็นซึ่งกันและกันได้อย่างชัดเจน หน้าตาของมันแสดงถึงความโกรธอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม มันก็คงจะเจ็บไม่น้อย เพราะผมลงมือไปโดนจุดอ่อนของมัน ผมตั้งท่าเตรียมพร้อมและคิดว่าตัวเองจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่จะฆ่าก็ไม่ได้ มันก็แค่สัตว์ที่กำลังตกใจเท่านั้น ผมค่อยๆขยับตัว แสบหลังชะมัด
ผมใช้สายตาสาดส่องไปทั่วบริเวณอย่างระมัดระวัง อย่างที่บอกต้นไม้บริเวณนี้ค่อนข้างสูงใหญ่ จุดที่เราต่อสู้กันนั้น เป็นพื้นที่โล่งๆหน่อย ผมค่อยๆก้าวถอยหลังเพื่อมาที่ใต้ร่มไม้ ไอ้หมียักษ์ดูเหมือนมันจะระวังตัวมากขึ้นด้วยแม้มันจะต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณก็ตาม มันจ้องเขม่นมาที่ผม ดวงตาดุดันของมันกำลังแสดงถึงความโกรธกริ้ว
“แฮ่กๆๆ ฟู่ฟฟฟ ซิ๊ดดดดด”
ผมพยายามผ่อนลมหายใจที่ยังหอบอยู่ของตนเอง อีกทั้งยังรู้สึกแสบๆที่ด้านหลังด้วย พร้อมกับความรู้สึกเย็นเล็กน้อยที่บาดแผลนั้น
“สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ”
“โกบี้!!!”
เสียงมาพร้อมกับตัว อ้อ...ไอ้หมีมันชื่อโกบี้ แต่ไอ้คนเรียกเป็นใครผมก็จำไม่ได้ พวกมันทำงานได้รวดเร็วจริงๆ ไอ้คนนั้นมันคงตามผมมาติดๆล่ะ แล้วไอ้หัวหน้าแม็คไปไหน อย่าไปสนใจ
“โกบี้....ใจเย็นๆๆ” ทุกอย่างเงียบสงบลง
ไอ้หมีโกบี้ มันหันไปหาคนที่เรียกชื่อมันแล้ว ไอ้คนพูดมันใช้มือโบกขึ้นลงเบาๆ ประกอบคำปลอบนั้น พร้อมกับขยับตัวค่อยก้าวเข้าไปหาหมีตัวใหญ่ช้าๆ เหมือนจะทำให้เจ้าหมีมันสงบลงเล็กน้อย คนนั้นจึงหันมาพูดกับผมเบาๆ
“คุณหลบไปซะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง มันโกรธที่คุณกวนเวลานอนมันเท่านั้น”
ชิ!! คิดว่ากูอย่ากวนนักหรือไง และกูก็กำลังจะชิ่งอยู่นี่แหละ
ผมไม่รอช้าค่อยๆก้าวถอยหลังเบาๆ พอเข้ามาอยู่ใต้ร่มไม้ที่ปกคลุมไปด้วยความมืดแล้ว ผมก็หันหลังวิ่งออกมาจากที่แห่งนั้นทันที เอาตัวรอดเป็นยอดกรีน....ซะเมื่อไหร่ล่ะ ผมมั่นใจว่าไอ้คนนั้นต้องปลอดภัย เพราะไอ้หมีดำมันเชื่อฟังคนนั้นน่ะสิ
....................................................
“ห่าเอ้ย!! แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
ดูเหมือนเส้นทางที่ผมวิ่งมานี้จะออกห่างจากหอสังเกตการณ์ซะแล้ว ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูเหลือเวลาอีก 20 นาทีเท่านั้น ตอนนี้ผมยืนอยู่บนเส้นทางของรถราง อ่า...ใช่ รถราง ถ้าใช้รถราง ผมน่าจะไปทัน แต่........!!!......
“ช่างแม่งดิวะ รู้ก็รู้ไป” ผมสบทออกมาอย่างใจร้อนรน
เพราะรถรางทุกคันจะมี GPS ติดตั้งอยู่ พวกเขาอาจจะรู้ แต่ก็อาจจะไม่รู้เหมือนกัน เพราะพวกมันก็คงจะใช้รถรางตามล่าตัวผมอยู่ด้วยแน่นอน
หลังจากปะทะกับหมีดำตัวนั้น ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงโซนสัตว์ใหญ่ก็เลยทำให้ผมออกห่างมาจากหอสังเกตการณ์ จากที่ผมยืนอยู่นั้นถ้าเดินไปตามทางรถรางจะถึงที่จอดรถราง เหมือนผมกำลังวิ่งวนเป็นครึ่งวงกลมเลย เพราะถ้าผมไปตามทางเพื่อไปเอารถรางนั้นผมก็จะไปปะทะกับที่พักคนงาน
‘ครืนนนนนนนนนนนนน’
อ่ะ!!! เสียงรถราง
ผมรีบหลบอย่างรวดเร็ว
“ฟู่ฟฟฟ ดีนะที่มันมาคนเดียว” ผมพ่นลมหายใจและปลอบใจตัวเองเบาๆ แต่ฝีมือมัน ผมก็คงจะประมาทไม่ได้
มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และผมก็ตัดสินใจเดินออกไปยืนตรงกลางรางรถ มันจอดนิ่งทันที ก่อนมันจะเปิดประตูและเดินออกมา
“คุณกรีนกรุณากลับไปพบบอสกับผมด้วยครับ”
.................มัน..........มัน................มันโค้งอย่างสุภาพ แล้วก็พูดกับผมง่ายๆแบบนี้เลยครับ
‘กูกำลังถูกตามล่าอยู่ไม่ใช่หรอวะ?? พวกมึงล่ากูได้นุ่มนวลมากกกกก’
“.................. ถ้าฉันไป นายก็ต้องอยู่ที่นี่” ผมพยายามสงบใจก่อนจะตอบมันไป
“คงไม่ได้ครับ”
“....ชิ!!.....เออๆ ฉันก็ไม่อยากออกแรงแล้วตอนนี้” ผมทำท่ายอมแพ้ก่อนจะเดินตรงไปขึ้นรถ
‘แกร๊ก ฟิ้วววววววววว’
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะเสียงดังอย่างพี่ชายพอใจ (เป็นต่อ)
ไม่เสียเลือดเสียเนื้อครับ เพราะผมคาดอยู่แล้วล่ะ ว่าผมต้องได้เข้าไปนั่งก่อน ตามคำเชิญของมันผมจึงรีบกดล็อครถรางแล้วเคลื่อนตัวซะ รถรางนี้สามารถวิ่งได้ทั้งสองทางครับ แต่ถ้าผมจะหยุดคิดซักนิดว่าความร้อนรนของผมจะต้องนำความโครตซวยมาให้ ผมคงจะ........................
ผมขับรถรางมาอย่างเร็ว จนมาใกล้จะถึงบริเวณชายหาดแล้ว จากตรงนี้ไปที่ท่าเรือก็ไกลอยู่นะ ถึงจะไม่ได้อยู่กันคนละฟากก็เถอะ แน่นอนว่าป่านนี้พวกมันคงรู้กันแล้วว่าผมอยู่ที่ไหน และพวกเขาคงล่วงรู้แผนการของผมแล้ว
‘กึก!!!’ อย่างที่คิด ผมเบรกหัวทิ่มเลย กำลังจะโพล่ออกไปที่ชายหาดเท่านั้น ผมก็เห็นมีคนยืนอยู่บริเวณชายหาดแล้ว
เอาแล้วไงๆ ผมจอดรถรางทิ้งไว้ตรงชายป่า แล้วค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามแนวชายป่านั้น โดยอาศัยเงาต้นไม้เป็นกำบัง
“เฮ้ย!! เจอมั้ยวะ” คนมาใหม่ตะโกนถามคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว คงจะหมายถึงผมแน่ๆ
“ไม่เจอครับ”
“ไปไหนวะ!! ครับ...ครับ รับทราบครับ” คนมาทีหลังสบถกับตัวเอง ก่อนจะยกวิทยุขึ้นมารับคำสั่งอะไรสักอย่างนี่แหละ จากนั้นมันก็หันมาสั่งอีกคนทันที
“มึงไปตามทางรถรางเลย คุณกรีนเอารถรางไป” เชี่ยละ!! ไวชะมัด แต่ผมก็ไม่มีเวลามาคิดแผนใหม่แล้ว เอาไงเอากัน
“เออๆ” อีกคนตอบก่อนจะเดินแกมวิ่งไปตามทางรถราง
ผมรีบหลบไปหลังต้นไม้ และเป็นไปดังคาด เพียงเวลาไม่ถึงสองนาที
“พี่พงษ์ๆ มีรถรางจอดอยู่นี่คันนึง!!”
“อะไรนะ!! ตั้งแต่เมื่อไหร่!!”
คนชื่อพงษ์พูดก่อนจะวิ่งไปทางนั้น ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นหลบออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว เสียงลมทะเลช่วยกลบเสียงเครื่องยนต์ของรถรางและเสียงฝีเท้าของผมในขนาดนี้ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะพ้นมาจากบริเวณนั้น ผมก็ได้ยินเสียงสบถที่จับใจความไม่ได้ดังมาอีกระลอก
จากทางนี้ไปจะต้องผ่านอุโมงค์ด้วย เนื่องจากมันเป็นโขดหินขนาดใหญ่เหมือนภูเขาที่ยื่นออกไปทางทะเลและไม่มีชายหาด จะว่าเป็นหน้าผาก็ได้ แต่พอพ้นจากอุโมงค์ไปประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงท่าเรือแล้ว
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เชี่ยเอ้ย!!! เหลืออีกไม่ถึงสิบนาที คงไม่ทันแน่ๆ ยิ่งถ้าวิ่งด้วยสองขาแบบนี้ แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยงแล้ว ผมตัดสินใจวิ่งไปที่ปากอุโมงค์ทันที
“กรุณาหยุดเถอะครับคุณกรีน!!”
ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของคนชื่อพงษ์ มันสองคนกำลังวิ่งมาทางนี้ พร้อมกับเสียงเรียกให้ผมหยุด ผมหยุดวิ่งก่อนจะหันกลับไปมอง พอมันสองคนเห็นผมหยุดวิ่ง พวกมันสองคนก็หยุดวิ่งบ้าง
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” ผมหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เรายืนห่างจากกันประมาณเกือบสิบเมตรได้ และผมก็คงจะไม่ให้มันสองคนเข้ามาใกล้กว่านี้แน่
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก” พวกมันสองคนก็หอบด้วยความเหนื่อยพอกัน
“.................”
“.................”
“เสียใจด้วยคุณพงษ์” หลังจากเราเงียบพักหายใจกันสักพัก ผมก็ตอบนายพงษ์นั่น ก่อนจะก้าวขาวิ่งเข้าไปในอุโมง
นาฬิกาที่ผมสวมอยู่เป็นนาฬิกาที่ใช้ใส่ดำน้ำ และมันมีไฟฉายด้วย ความยาวของอุโมงนี้ยาวออกไปประมาณ 200 เมตรได้ ผมเคยผ่านเข้ามาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันแรกที่คุณฟรานพาทัวร์ ผ่านโขดหินที่ทำหน้าที่เหมือนทางเข้านั่นเข้ามาก็พบกับที่น้ำขังขนาดใหญ่ (เหมือนสระน้ำ) โดยทางรถรางจะเชื่อมจากฝั่งนี้ไปอีกฝั่งหนึ่งเหมือนสะพาน จะว่าไปรอบๆที่น้ำขังนี้ก็มีทางเดินเล็กๆที่ติดกับขอบหินล้อมรอบด้วย ข้างในนี้ถ้าบอกว่าเป็นถ้ำผมจะเชื่อเลย เพียงแต่ไม่มีปากถ้ำเท่านั้น อย่างที่ผมบอกถ้ามองจากด้านนอกเข้ามาเหมือนหน้าผา ถ้ามันมีทางเข้าก็เป็นถ้ำได้เลย
จังหวะที่ผมกำลังเดินอย่างระมัดระวังอยู่บนสะพานทางรถรางกลางน้ำนั้น ก็ปรากฏว่ามีคนเดินเข้ามาที่ทางเข้าของอุโมงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นฝั่งที่ผมกำลังจะข้ามไป...........
.............................หัวหน้าแม็ค!!!.........................................
TBC
ทักทายทักทาย
ว่าจะให้จบไปในตอนเดียว แต่มันจบไม่ได้ 5555555
เอาน่ากำลังมันท์เลย
เม้นต์เยอะๆนะ จะได้รีบเอามาลงให้ต่อ uri