ร้ายที่ 4
ผมรู้สึกปวดหัวหนึบๆ ทั่วทั้งร่างของผมมันก็ทั้งเจ็บทั้งปวดด้วยเหมือนกัน . . อา . . ผมจำได้แล้ว สงครามบ้าๆหน้าตึกศิลปกรรม วุ่นวายชิบหายอย่างกับหนังสงคราม แต่แล้วทำไม . . ผมถึงได้นอนอยู่อย่างนี้ได้ มันมีเหตุการณ์อะไรที่ดำเนินต่อจากตรงนั้นอีกไหม . .
แล้วไอ้ที่หนักๆอยู่บนท้องผมนี่มันอะไรกัน ? ผมลืมตาขึ้นมา ยกศีรษะที่โคตรหนักขึ้นมาดู . .
“ไอ้เชี่ยธี!!!”
มันนอนทับตัวผมอยู่ . . ไม่ใช่ทับอย่างนั้นครับ แบบกากบาทน่ะ ไม่ใช่แบบตัวพิมพ์เล็กของอักษรแอล
“หะ! เจ้านาย มึงฟื้นแล้ว!!!!” ไอ้ธีเอ๊ย . . โซฟาก็มีทำไมไม่นอน แต่เอ๋! . . ที่นี่มันโรงพยาบาลนี่นา . . เห้ย เกิดอะไรขึ้นกับผม “แป๊บนะ โทรบอกไอ้ธัญแป๊บ”
“เดี๋ยว!” ผมค่อยๆลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก . . จับศีรษะของตัวเอง มีผ้าพันแผลพันอยู่ นี่เป็นสาเหตุของอาการปวดหัวสินะ “เกิดอะไรขึ้นกับกู”
ธีนิ่งชะงักค้าง เริ่มทำหน้าไม่ถูก
“กูถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู” ที่ขาผมมันชาจนไม่ค่อยรู้สึก หรือว่า!!! “กูขาขาดเหรอ!!!!”
“เอ่อ คิดได้นะไอ้นาย” ธีวางโทรศัพท์ลงแล้วมองหน้าผมเหมือนหนักใจอะไรบางอย่าง “มึงหัวแตกน่ะ”
“ก็แค่หัวแตก ไอ้เชี่ยนี่ ทำหน้าเหมือนกูตกลงไปในคลองแสนแสบมายังไงยังงั้น”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ยังไม่ได้จะว่าอะไร ไอ้คนเคาะมันก็เดินเข้ามาในห้องแล้วครับ ไอ้ธัญ . . ในชุดคนป่วยเหมือนผม มันยักไหล่ให้ผม แต่ก็ดูดีใจนิดๆที่ผมไม่เป็นอะไร มันห่วงผมยิ่งกว่าตัวมันอีก เป็นเรื่องที่ผมรู้มานาน “มึงเสียงดังไปถึงห้องกู กูก็เลยมา”
“ที่จริงไอ้ธัญมันก็เจ็บไม่หนักเท่ามึงหรอก แต่ม๊าอยากให้มันอยู่ใกล้หมอ เผื่อมีผลกระทบกับกระดูกกระเดี้ยว”
“แต่ว่า แม่ง . . เจ็บใจนัก” ผมอยากจะเอากำปั้นทุบหมอนหนอนชาเขียวที่วางอยู่ข้างๆนี่จริงๆ ว่าแต่อิหนอนนี่มึงมาจากไหนกัน . . นักเลงอย่างเจ้านายต้องมีของแบ๊วๆอย่างงี้อยู่ข้างๆงั้นเหรอเนี่ย ผมเขี่ยแม่งออกไปจากเตียงด้วยเท้าอย่างหงุดหงิด “ไอ้เหี้ยมังกร . . แม่งหมาหมู่ถึงขนาดที่ว่าต้องเรียกคนทั้งมอมาตีกูเลยรึไง”
“. . .” ไอ้แฝดที่หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะไม่พูดอะไรต่อ ทำไมวะ ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอ โธ่เอ๊ย เจอถึงขนาดนี้ทำไมพวกแม่งไม่เจ็บใจกันเลยวะ “กูจะจัดการมันอีกทีแน่ . . แล้วเมื่อไหร่ล่ะวะกูถึงจะหาย โธ่เว้ย!!!!!”
“มีเรื่องที่มึงสมควรจะรู้ไว้นะนาย”ธัญพูดออกมาในที่สุด ไอ้ธีเบือนหน้าหลบไปทางอื่น และธัญเองมันก็ดูเหมือนกับว่าจะแค่นเอาคำพูดออกมาแต่ละทีได้นั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน
“ก็ว่ามาดิ ช้าอยู่นั่นแหละ” ผมหน้าไม่สบอารมณ์
“อยู่ที่มอมึงไม่ใช่ที่หนึ่งอีกต่อไปแล้ว”
“หวะ ว่าไงนะ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ไอ้พวกที่มารุมตีแก๊งเราหลังจากนั้นน่ะ ชายโฉดมันไม่ได้เป็นคนเรียกมาหรอกนะ . .” ธัญพูด “ไอ้พวกนั้นน่ะมาแก้แค้นมึง หลังจากที่มึงรุมยำพวกมันเละไปหมดกี่แก๊งไม่รู้ต่อกี่แก๊ง และถ้าพวกมันจะให้ความเคารพและยำเกรงล่ะก็ . . พวกแม่งสมัครใจที่จะปฏิบัติต่อไอ้มังกรมากกว่ามึง”
“อะ . . ไอ้เหี้ย!!!!!!!!!!”
เพล้ง! แจกันที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเตียงแตกเพล้งเพราะผมโยนแก้วน้ำข้างเตียงไปใส่มันอย่างโคตรโมโห
“พวกมันกล้าดียังไง . . กล้าดียังไง” เหมือนโดนเหยียบหน้าด้วยหลายสิบตีน ในทีเดียว หน้าผมชาไปหมด ตัวแข็งทื่อ เพราะช็อค อึ้ง และก็อึ้ง . . เกิดมาก็เพิ่งเคยโดนเขี่ยจากการเป็นที่หนึ่ง ครั้งนี้ . . เป็นครั้งแรกจริงๆ
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่แก๊งเงียบอย่างที่ไอ้เนิร์ดพูดก็ได้” ธีใช้หัวคิด ซึ่งนานๆทีแม่งเพิ่งจะเคยใช้ “ลับหลังพวกเราพวกมันอาจจะไปสั่งสอนหลายแก๊งในมอให้มาอยู่ได้อาณัติของมันล่ะมั้ง”
“แบบนี้แม่งตุ๊ดสัดๆ ถ้าอยากจะเป็นที่หนึ่งแม่งก็ต้องมาล้มที่หนึ่งที่มีมาแต่เดิมก่อนดิวะ!!!” ผมว่าผมพูดถูกนะ . . ความมั่นใจในตัวเองของผมมีล้นเหลือใครอยากซื้อต่อติดต่อหลังไมค์ได้เลย . . “และไอ้มังกรมันจะล้มกูได้ยังไง ในเมื่อแม่งไม่ทำร้ายกูสักแอะ กูไม่เข้าใจ!!!” ใช่ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด มันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน ?!!!! “ธัญ มึงคิดว่าไง”
“ก็คง . . แปลก” ธัญตอบ “มันเคยรู้จักกับมึงมาก่อนรึเปล่า”
คำถามนี้ทำเอาผมอึ้ง . . แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรอก เพราะหน้าแม่งฝรั่งขนาดนั้น ผมจะไปรู้จักมักจี่กับมันได้ไง เพราะตั้งแต่เด็กจนโต ผมจำได้แต่หน้าของพ่อ พี่ขุน และก็ไอ้แฝด - - “ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นวะ ไม่มีทาง พวกมึงก็อยู่กับกูตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ตั้งแต่เด็ก กูไม่รู้จักมัน!!!!”
“มันทำอย่างกับว่ามันเคยมีความหลังกับมึงยังไงยังงั้น” ธัญเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่มี ไม่มีโว้ยยย ถึงจะมีก็ไม่อยากให้มี กูเกลียดมัน!!!!”
เพล้ง! คราวนี้กระจกแถวๆโต๊ะฝั่งตรงข้ามเตียงแตก ด้วยการที่ผมโยนแก้วอีกใบไปใส่อย่างระบายอารมณ์ หายใจหอบอย่างร้อนรุ่ม หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด ไอ้มังกร . . มึงเป็นใคร มึงต้องการอะไรจากกู . . !!!!!!!!
สองร้ายในหนึ่งรัก *
หลังจากนั้นประมาณสองวัน ผมก็ออกจากโรงพยาบาล ทั้งๆที่หมอบอกว่าควรจะนอนพักที่โรงพยาบาลอีกสักหน่อย หึ . . จะให้ผมอยู่เฉยได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งจะโดนแย่งตำแหน่งไปอย่างหน้าตาเฉย คนอย่างไอ้เจ้านายอ่ะนะ ฆ่าได้ หยามไม่ได้ มันชิงไป ผมก็จะชิงกลับคืนมาให้ได้ คอยดูสิ!
“มองเหี้ยไร หลบไป!” ผมตวาดใส่กลุ่มนักศึกษาผู้หญิงที่เดินกันมาเป็นกลุ่ม เมื่อสิ้นคำของผมพวกเธอร้องกรี๊ดแล้วก็แตกฮือกันออกไปอย่างกับนกกระจอกแตกรัง . .
น่าเบื่อ = = และก็น่าอารมณ์เสียโคตร ก็ตั้งแต่ที่ผมก้าวลงมาจากเมอซิเดสสปอร์ตคันงามของผม เท่านั้นแหละ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาที่ผมพร้อมกับเสียงซุบซิบนินทา ผมเชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับผ้าพันแผลที่มือกับพลาสเตอร์ยาที่แปะอยู่บนหน้าผากของผมแน่ๆ ก็ไอ้สองอย่างนี้มันแปะอยู่บนหน้าผมจนกลายเป็นเครื่องประดับติดตัวชิ้นหนึ่ง คนอื่นน่าจะเคยชินแล้วมั้ง
การเป็นเป้าสายตาเป็นเรื่องที่ผมโคตรเคยชิน . . แต่วันนี้แม่งมันมีมากไปป่าววะ
“ชีทวันนี้เว้ยนาย” ธีส่งกระดาษเอสี่ที่โดนแมกมาหนาพอสมควรให้ผม . . ไอ้แฝดไปร้านซีรอกซ์มาเมื่อสักครู่ ทิ้งให้ผมเป็นเป้าสายตาอยู่คนเดียว . . ตอนนี้โดนกันหมด . . ค่อยเท่าเทียมหน่อย “คนมองเหี้ยอะไรกันนักหนา”
“ไม่ต้องสงสัย ก็เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นแหละ” ธัญพูด น้ำเสียงเคร่งขรึม “ช่วงนี้มึงระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะนาย”
“ทำไมวะ” ผมชักสีหน้า
“กูได้ยินข่าวไม่ค่อยสู้ดีมาเมื่อตะกี้”
“อะไร”
“พวกที่มันแค้นมึงน่ะ จะฉวยโอกาสตอนที่มึงอ่อนแอมาแก้แค้นมึงน่ะสิ”
“เชี่ยธัญ!!! กูไม่ได้อ่อนแอ!!!” ยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิด “ไอ้พวกแม่งมา ใครอยากทำไรกูก็ปล่อยให้พวกแม่งมาจัดการกูได้เลย ถ้าคิดว่าทำได้!!!”
“ก็มีคนทำไปแล้วนี่หว่า” มีใครบางคนตะโกนสวนผมขึ้นมา . .
ผมหันขวับไปมองผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่ในช่วงเวลาเที่ยงๆแบบนี้ เชี่ยแม่ง ใครตะโกนมาวะ อยากตายรึไง “ไอ้สัดไหนพูด ออกมานี่ดิ๊!!!!”
ทุกคนต่างพากันทำหน้าเลิ่กลั่ก และก็คิดว่าควรนำตัวเองไปให้ไกลจากผมคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“อย่าเก่งแต่ปากดิวะ ออกมา!!!!”
เกลียดจริงๆพวกกล้าพูด แต่ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองพูดเนี่ย . . โธ่เว้ย = = คงจะเกลียดกูกันมากล่ะสิท่า . .
“กะ กูเป็นคนพูดเอง”
หึ ในที่สุดก็กล้าแสดงตัวสักที ผมตวัดสายตาหันกลับไปมองต้นเสียงเมื่อสักครู่ แต่ก็ต้องก้มหน้าลงเมื่อรู้ว่าไอ้คนพูดมันตัวเล็กกว่า แถมยังดูเนิร์ดโคตร ผอมกะหร่องอย่างกับอะไร ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรมากมาย ซัดทีเดียวปลิว . . นี่พูดเลย
“มึง . .น่ะเหรอ” ขออึ้งอีกสักทีได้มั้ยกับคนที่โคตรกล้าหาญของเราในวันนี้ . .
“เออ” อ้าว ไอ้เชี่ยนี่แม่ง วอนซะแล้ว ผมกำลังจะเสยหมัดใส่คางมันแล้ว ถ้าไอ้เชี่ยธีกับธัญไม่ห้ามเอาไว้ซะก่อน
“ปากดีนักนะมึง! ไอ้สัด ธี ธัญ ปล่อยกู!!!!”
“มึง . . มันทำตัวเป็นเด็ก . . วางกล้ามไปทั่ว . . หมะ มึงรู้มั้ยว่าคนทั้งมหาลัยเค้าเกลียดมึงขนาดไหน ไอ้ควาย”
โอ้ว มาย ก้อด . .
ตำแหน่งกูตกนิดตกหน่อยนี่แม่งมีคนปากกล้ากับกูขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย!!!!! สุดจะทนแล้วว้อย!!! ผมสลัดมือของไอ้แฝดทั้งสองคนจนหลุด เสยคางไอ้เตี้ยเนิร์ดปากดีนั้นจนล้มลงไปกอง . . รอบข้างส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ . . ราวกับทุกคนกำลังจะร่วมกันประณามความไร้เหตุผลของผมในครั้งนี้
กูไม่ได้ไร้เหตุผลว้อย!!!! ก็มันด่ากู . . ทั้งๆที่ไม่ค่อยมีใครกล้าด่า . . พ่อกูยังไม่ด่ากูเลยนะ!!!!!!!!!
แน่นอนหมัดของผมยังทรงพลัง ไอ้เนิร์ดซ่าส์นั่นน้ำตาเล็ดพร้อมกับเลือดที่ไหลกลบปาก . . หึ . . ต่อยแว่นแม่งด้วยเลยดีมั้ย . . เอาให้หน้าแม่งยับไปเลย . . จะได้ไม่กล้ามาปากดีกับคนอย่างผมอีก
“มีใครข้องใจอะไรอีกมั้ย . .” ผมมองไปรอบๆแล้วถามด้วยน้ำเสียงอันดัง . .
แม้ทุกคนจะจิกสายตามาทางผม แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่ใจทำอะไรต่อ . . ลองกล้าดูสิ . . ผมในตอนนี้ดีแต่ใช้กำลังเท่านั้นแหละ เหตุผลก็ไม่ค่อยอยากจะมีเท่าไหร่นักหรอก
“ขึ้นเรียนเว้ย”
อาจารย์สอนน่าเบื่อโคตร . .
ผมคงไม่เหมาะกับการขยันหมั่นเพียรตั้งใจเรียนสินะ . . ผมวางเท้าลงบนโต๊ะ . . เล่นเกมส์ในมือถือของตัวเองอย่างไม่แคร์สายตาประชาชีใดๆบนโลกใบนี้ . . ไอ้ธีหลับ . . ส่วนไอ้ธัญ ก็ตามเคยอ่ะครับ ตั้งใจเรียนที่สุด คนเดียว ตลอดกาล . .
เพิ่งจะรู้ว่าไอ้เนิร์ดซ่าส์นั่นมันลงเรียนวิชานี้ด้วย . . มันไม่กล้ามองหน้าผมเลย . . หรืออาจจะมีมองมานะ แต่แม่งก็หันกลับไป เหมือนเด็กที่เข็ดหลาบแล้วไม่กล้าทำอีกประมาณนั้น . . ผมชูกำปั้นขู่มัน . . มันนี่สะดุ้งสุดตัวแล้วก็ขออนุญาตอาจารย์ไปเข้าห้องน้ำ = = แม่งโคตรเด็ก โคตรงี่เง่า
“เชี่ยนั่นแม่งกล้าเนอะ” ธีชวนผมคุย อ้าวมึงตื่นแล้วเหรอสัด “ไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนกล้าทำอย่างนั้นกับมึงด้วย”
“คงมีใครหนุนหลังมันอยู่นั่นแหละ” ผมตอบทั้งๆที่เล่นเกมส์อยู่ “หนีไม่พ้นไอ้พวกที่อยากแก้แค้นกู . . หรือไม่ก็ . . “ . . ชายโฉดห่าเหว ศัตรูเบอร์หนึ่งที่มาแรงทางโค้ง เบียดแก๊งไว้วายุตกลงไปซะแล้ว . .
“คงไม่มั้ง” ธีสั่นหน้าไม่เห็นด้วย “ไอ้พวกนั้นมันเป็นแก๊งเงียบๆนี่”
“ตอนนี้ถ้าเงียบก็เหี้ยแล้ว!” ผมร้องจนอาจารย์สอนสะดุด แต่โคตรไม่แคร์เลย ขอบอก “คนทั้งมอหันไปยำเกรงไอ้เชี่ยมังกรกันหมด . . แม่ง = = เงียบส้นตีนอะไร ที่แท้ก็อยากล้มกู”
“จู่ๆก็มา . . แล้วจู่ๆก็พุ่งขึ้นเป็นที่หนึ่งเลย . .ได้ไงกัน”
“ก็พวกมันเล่นเอาทุกแก๊งในมอมาช่วยในวันที่สู้กันหน้าตึกสินกำอ่ะดิ! ถ้ากูตัวต่อตัวกับมันนะ ป่านนี้ แม่ง แพ้ แพ้กูไปนานแล้วเหอะ!!!”
ชาตินี้จะได้ตัวต่อตัวกับมันมั้ยยังไม่รู้เลย . . เพราะนอกจากสีหน้าที่มองมากับสายตาที่แม่งเกลียดผมเข้าไส้ นอกนั้นมันก็ไม่เคยทำร้ายผมแม้แต่นิดเดียว . .
คิดแล้วก็ตลก . . มันเป็นใคร . . ต้องการอะไรจากผมรึเปล่า . . ทำไมต้องไม่ทำร้ายผม . . ผมคือเพื่อนของมันตั้งแต่สมัยเด็กเหรอ . . ก็ไม่ . . ลูกของเจ้านายพ่อเหรอ . . ก็ไม่(สิ่งที่พ่อคุมมีลูกน้องฝรั่งซะที่ไหนล่ะ) . . มันเกลียดผม . . แต่มันไม่ทำร้ายผม . . อย่างนั้นเหรอวะ แม่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
แต่ผมก็เกลียดมันอยู่ดี = =
ในที่สุดก็เรียนเสร็จซักที . . ผมนี่เดินตึงตังออกไปคนแรก บอกพวกเกะกะเปิดทางให้ผมเดิน อยากรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เผื่อเจอชายโฉดด้วย ผมจะได้เข้าไปหาเรื่องแม่ง . . ดีไม่ดีอาจจะได้ตำแหน่งราชากลับคืนวันนี้เลย . .
ความคิดผมโคตรเด็ก มันจะเป็นไปได้ยังงายยยยยยยยยยยยยย . .
“เออเว้ย รอแป๊บ . . ไปขอสมุดเล็คเชอร์จากเอมอรก่อน” ธัญพูดขึ้น ตอนที่พวกเราอยู่หน้าตึกคณะ ผมหยุดกึก รอมัน ส่วนไอ้ธี เมื่อได้ยินชื่อเอมอรก็ส่งเสียงล้อเลียน
“จีบติดแล้วอ่อวะ! สัดดดดด ไม่ยอมบอกกู”
อ้าวชิบแล้ว เพื่อนจีบใครทำไมกูไม่รู้ ทำไมกูแย่อย่างงี้ฟะเนี่ย คือถ้าไอ้ธัญมันมั่วไม่เลือกอย่างไอ้ธีนี่ผมไม่สนใจหรอกครับ แต่มันเป็นประเภทรักเดียวใจเดียวไง ผมก็เลยต้องรู้ไว้ แต่นี่ไม่รู้เลยสักกะติ๊ด โธ่ มัวแต่สนใจเรื่องของตัวเอง = =
“ไม่ได้จีบ” ธัญพูดทิ้งท้ายว่างั้นก่อนจะวิ่งไปหากลุ่มเด็กสาวเพื่อนร่วมคณะ
“เชี่ยธัญตอแหล อย่าไปฟังมัน” ไอ้ธีทำท่าเหมือนพวกขี้เม้าไม่มีผิด “วันๆเห็นนั่งเฝ้าแต่โทรศัพท์ หรือไม่ก็จู่ๆก็หยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นให้เค้าฟังซะงั้น เท่มั้ยล่ะ แฝดกู”
“แล้วคนไหนวะ เอมอร” อยากจะรู้ว่าใครมันสามารถสั่นคลอนหัวใจมือขวาของผมได้ . .
ในขณะที่ผมชะเง้อคออยู่นั่นเอง . . จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นมา . .
“เฮ้ย ระวัง!”
ระวัง ระวังเหี้ยไรวะ ยอมรับว่าผมเอ๋อ แต่ไอ้ธีดูเหมือนจะมีสัญชาตญาณดีมันถอยหลังกรูดออกไปโดยอัตโนมัติ ทิ้งให้ผมยืนแข็งทื่อ ไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น
เพล้ง!
ถ้าไม่มีคนมาผลักผมออกไป . . กระถางต้นไม้ที่โคตรใหญ่ใบนั้นอาจจะหล่นลงมากลางหัวผม . . หรือไม่ก็เฉียดๆ . . ซึ่งแม่งก็อันตรายทุกทาง
อึ้ง . . อึ้งโคตร
อึ้งที่หนึ่งคือมีคนคิดจะทำร้ายผม . .ด้วยวิธีที่โคตรจะลอบกัดและห่วยแตกที่สุดในโลก(ถามจริงมึงไปจำจากไหนมา?) และอึ้งที่สองคือ . . คนที่มาช่วยผมเอาไว้ . .
เสือกจะเป็นเด็กคณะศิลปกรรม ที่ตั้งอยู่โคตรไกลจากตึกคณะบริหาร . .
ไอ้มังกร . .
คนสุดท้ายที่ผมคิดว่ามันจะมาช่วยผม . .
“เลวเอ๊ย”
มันพูดไว้แค่นั้น . . ก่อนที่จะมองขึ้นไปอย่างแค้นเคือง
“O_O” นี่คือหน้าตาของผม
“ทำตาโตเหี้ยอะไร . . เกือบตายอยู่แล้ว . . ยังจะตีหน้าระรื่นอยู่ได้”
“อะ ไอ้สัด” ผมด่ามันนะ แต่ดูคล้ายๆว่ามันจะเป็นการรำพึงมากกว่า = =
“โง่” อ้าว โดนด่าอีกแล้วกู ไอ้เหี้ยมังกร . . ชกแม่งเลยดีมั้ยเนี่ย!!!!!!!!!!!
ไม่ทันที่ผมจะได้ชก ไอ้มังกรมันก็วิ่งขึ้นไปบนตึกแล้ว ทำชิ่งเหรอวะ หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย!!!!!!!!!!!!!!!!!
“ไอ้สัดมังกร!!!! หยุด!!!!”
ฉลาดอีกนะ เลือกที่จะขึ้นลิฟต์และก็กดปิดลิฟต์อย่างรวดเร็ว . .
แต่นี่มันตึกคณะกู มันถิ่นกู ..
“จะไปไหนสัด”
ผมแทรกตัวเข้าไป และก็กดปิดลิฟต์อย่างรวดเร็ว
“ประมาณชั้นห้า”
ยอมรับว่างง . . “ไปทำไมวะ”
“ก็ไอ้คนที่ทำร้ายมึงมันอยู่ชั้นห้า โง่จริงๆเลย”
วันนี้แม่งเจอแต่คนปากเสียว่ะ!!!!!!!!! แต่ช่างมันก่อน!!!! ไอ้เหี้ยที่ลอบทำร้ายผม มันจะต้องชดใช้!!!!! “มันอยู่ไหน!!!! กูจะฆ่ามัน!!!!”
“บอกไปแล้วเมื่อกี้ ว่าอยู่ประมาณชั้นห้า”
คำพูดของมันทำให้ผมหันขวับไปมอง แล้วก็เกิดอาการสตั๊นไปประมาณห้าวิ . . จริงของมันว่ะ
รู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าไปครึ่ง . . ดีทีไอ้มังกรมันเป็นพวกเย็นชาเหลือรับประทาน จึงมีใบหน้านิ่งและก็เย็นอยู่อย่างนั้น
“มันทำร้ายกู เดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมก็ไม่ได้พูดดีกับมันเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ถือว่าดีขึ้นนิดๆ เพราะมันช่วยผมไว้ . . บุญคุณนี้ล้นกระบาล ผมยังไม่ลืม
“ไม่ต้อง”
“อ้าว . .”
“กูจัดการเอง”
กิ๊ง . . ลิฟต์เปิด
มังกรเดินออกไปข้างนอก . . หันกลับมามองหน้าผม
“มือยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ”
O_O
ลิฟต์ปิด = =
อึ้ง . . รับประทาน
ที่มังกรมันทำทั้งหมดนั่นคือคิตตี้อะไรวะครับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ผมไม่เข้าใจ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!