นาน ๆ ครั้ง พี่นิวถึงจะมีเวลาว่าง ว่างแบบที่เรียกว่าไม่ทำอะไรเลย ไม่มีคำว่า “งาน”
ไม่มีเสียงโทรศัพท์โทรตามตัว ไม่ต้องออกต่างจังหวัด
ปกติวันเสาร์อาทิตย์ พี่นิวก็ไม่เคยได้หยุดงาน เพราะเวลางานของเขาเหมือนจะ Roll Over อยู่ตลอดเวลา
เสร็จจากเรื่องนี้ ไปเรื่องนั้น เสร็จจากเรื่องนั้นก็ไปเรื่องโน้น
วัยหนุ่มของพี่นิวช่างเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัส ในความรู้สึกของผม
ไม่มีวันหยุดเหมือนใครเขา วันที่พี่นิวจะหยุดงานก็คือวันที่ไม่มีงานเร่งด่วน ไม่มีใครโทรตามตัว....
เท่าที่ผมเห็นนานแสนนานกว่าจะได้เจออย่างนั้นสักครั้ง แต่ก็ยังพอมีช่วงที่เขาหยุดยาว ๆ เป็นอาทิตย์
เพราะงานบางส่วนราบรื่นเสียจนวางมือได้ หรืองานบางส่วนเดินไปไม่ได้ เพราะปัจจัยจำเป็นบางอย่าง
ซึ่งมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเสียด้วย
ด้วยเหตุผลนั้น ผมกับพี่นิวจึงแทบจะไม่ได้ไปไหนไกล ๆ ช่วงยาว ๆกันเลย
เพราะผมเองก็มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ไปไหนไมได้ในวันหยุดยาว ๆ
(เป็นงานที่ไม่ต้องไปทำ แต่ต้อง stand by โทรศัพท์ตามแล้วไม่เจอตัว มาแก้ไขปัญหาไม่ทันตามเวลา ก็มีความผิดครับ)
วันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นวันแรงงาน บริษัทของพี่นิวหยุดตามกฎหมายแรงงานครับ
ส่วนผมยังได้หยุดชดเชยวันจันทร์อีกวันหนึ่งด้วย
คืนวันศุกร์ผมก็เล่นเอ็ม เข้าบอร์ดไปเรื่อยตามปกติ อยู่ ๆ พี่นิวก็พูดชวนขึ้นมา
“พรุ่งนี้เช้าไปทะเลกันดีไหม”
“เช้า? พี่นิวไม่ไปทำงานเหรอครับ”
“พรุ่งนี้ลูกน้องเขาหยุด พี่เลยไม่มีงานทำ”
“งั้นก็ไปครับ ดีจัง เราไม่ได้เที่ยวกันสองคนแบบนี้นานแล้วนะ”
ผมเข้านอนเร็วกว่าทุกคืน เพราะอยากจะตื่นแต่เช้า ไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นเลยยิ่งดี
แต่ถึงแม้จะไม่ทัน ขอแค่ได้เดินเล่นที่ชายหาด บนทรายนุ่ม ๆ ก็ยังดี
น้ำทะเลเย็น ๆ เพราะแดดเพิ่งจะส่อง จึงยังคงไอเย็นของค่ำคืนที่ผ่านมาไว้ได้
คลื่นลมไม่แรงนัก แค่พอพัดให้คลื่นพลิ้วเข้าซบหาดแผ่ว ๆ
ทรายสีทองสกปรกไปบ้าง เพราะขยะที่มากับทะเล แต่ที่ผมเห็นแล้วชวนให้หดหู่ก็คือ
สัตว์ตัวเล็กบ้างใหญ่บ้าง ที่เป็นวุ้นใส นอนกันเกลื่อนหาด อารมณ์ที่กำลังเบิกบานขาดตอนลงวูบหนึ่ง
“พี่นิวช่วยผมหน่อย”
“อะไร”
“จับมันไปปล่อยลงทะเลหน่อยนะครับ แดดแรง เดี๋ยวมันตาย”
“มันตายแล้ว”
พี่นิวใช้ฝักต้นโกงกางที่ระเกะระกะอยู่ใกล้ ๆ ลองเขี่ยเจ้าตัวที่นอนหงายท้อง
“ยัง....ดูตัวนี้ดิ มันยังหายใจอยู่เลย”
ผมก้มลงไปดูใกล้ ๆ ตัวที่อยู่ใกล้เท้า
“บ้าแล้วนู มันหายใจทางไหนก็ไม่รู้”
“เหอะน่า มันกระเพื่อมตัวน่ะ เห็นหรือเปล่า แดดจะเผามันตาย”
“แต่ตัวนั้นมันเป็นชิ้นส่วนแล้วนะ”
ผมว่าแมงกะพรุนพวกนี้มันก็ดูกะรุ่งกะริ่งเป็นปกติของมันอยู่แล้วนะ
“ถ้าพี่นิวมัวแต่ดู ๆ ๆ มันก็ได้ตายจริง ๆ เพราะแดดเผาแหละ ตกลงจะช่วยไหม
ถ้าไม่ก็ออกไปห่าง ๆ แล้วอย่าไปเผลอเหยียบมันนะ”
ผมเผลอทำเสียงเข้มออกไปอย่างลืมตัว แต่พี่นิวก็ไม่ได้ว่าอะไร
ผมเดินหาอะไรสักอย่างที่พอจะช้อนเจ้าสัตว์ขนาดไม่เกินฝ่ามือ เพื่อจะไปทิ้งในทะเล
ก็ไม่รู้ล่ะ ถ้ามันตายแล้วก็ฝังร่างไว้ในที่ที่มันเกิดแล้วกัน แต่ถ้ามันไม่ตาย อย่างน้อยมันก็ยังมีโอกาสรอด
ถ้ามันสู้แรงคลื่นไหวนะ
ผมคิดว่าเมื่อคืนนี้มีพายุเข้า มันคงว่ายน้ำจนเหนื่อย ก็เลยโดนคลื่นซัดมาเกยหาด
เพราะว่ายต่อไปไม่ไหว นอนพักมาพอแล้วก็น่าจะมีแรงนะ หรือว่าถ้ามันชะตาขาด
ก็กลับไปตายในทะเลแล้วกัน
ผมได้ฝากล่องโฟมใส่อาหารมาสองฝา สภาพไม่แข็งแรงหรอก แต่ก็ดีกว่าเอามือช้อนขึ้นมา
เพราะมันอาจจะคัน ผมอาจจะแพ้ ไหน ๆ จะช่วยมันผมก็ไม่อยากเดือดร้อนนี่ครับ
ผมกับพี่นิวกว่าจะได้เดินเล่นกันอย่างที่ตั้งใจ ก็เมื่อเจ้าแมงกะพรุนลงทะเลไปหมดแล้ว
“ก็ดีนะ จับมันลงทะเลไป เราจะได้ไม่เผลอเหยียบเข้า คันหรือเปล่าก็ไม่รู้น่ะ”
พี่นิวยืนรำพึงอยู่ข้าง ๆผม
“แต่ผมรู้สึกดีกว่านั้นนะครับ ไม่รู้มันเป็นสายพันธุ์หายากรึเปล่า นี่เท่ากับว่า
ผมช่วยดำรงเผ่าพันธุ์ของมันนะเนี่ย”
“อย่าพูดให้มันดูยิ่งใหญ่ได้ไหม”
พี่นิวพูดกลั้วหัวเราะ เอาปลายนิ้วผลักหน้าผากผมเบา ๆ
“เราน่ะมันใจอ่อนต่างหาก ต่อให้มันเป็นแมงกะพรุนมีพิษพี่ว่านูก็ช่วยมันอยู่ดีแหละ”
ก็ใช่ครับ....ใครจะทนดูมันนอนให้แดดเผาได้ลงคอ ทั้งที่มันนอนพะงาบ ๆ ให้เห็นตำตาแบบนี้ล่ะ
ทั่วทั้งหาดมีคนไม่มาก แต่มีคนเดินย่ำเท้าเปล่าลุยน้ำทะเลเหมือนเราสองสามคน ที่ผ่านไปผ่านมานาน ๆครั้ง
มีคนจูงวัวชนตัวใหญ่ เขาโง้งมาด้วย รอยตีนมันย่ำเป็นหลุมลึก ตอนที่มันเดินมาใกล้ผมก็ผวาอยู่ไม่น้อย
ถ้าเกิดมันพุ่งเข้าชนผม คงตายคาที่แน่ ๆ ลำพังคนจูงน่ะ ทั้งผอม ทั้งเตี้ยกว่าผม ในมือถือเชือกจูงวัวก็จริง
แต่ถ้ามันขัดขืน จะมีปัญญารั้งมันไว้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมกับพี่นิวรีบเดินหลีกออกนอกเส้นทาง
ก่อนที่มันจะหันมาเห็นเรา
ผมเดินลุยทะเลเล่นจนชายกางเกงที่ยาวแค่ปิดเข่า เปียกเกือบถึงต้นขา ทีแรกผมก็แค่เดินตรงชายคลื่น
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเพลิน ผมเผลอลงไปในทะเลเมื่อไรไม่รู้ตัว น้ำทะเลลึกแค่ครึ่งแข้งก็จริง
แต่เพราะคลื่นที่กระแทกเข้ามากระทบ น้ำก็กระเซ็นจนเปียกไปหมด ดีนะที่ผมเอากางเกงอีกตัวมาเปลี่ยน
แต่ความจริง ถ้าพี่นิวไม่ท้วงเรื่องกางเกงตัวแรกที่ผมใส่ ผมก็ไม่ต้องเอากางกางมาสำรองเพิ่มหรอก
....ไปเปลี่ยน….
…..ทำไมอ่า ผมจะเล่นน้ำ....
.....ลงไปเล่นในทะเลอะเหรอ....
.....เปล่าครับ แค่เดินชายหาดเอง....
.....งั้นไปใส่ตัวสีเทา....
.....มันยาวไป เดี๋ยวเปียก....
......เอาไปเผื่อเปลี่ยนอีกตัวแล้วกัน.....
......ตัวนี้มันเป็นไงอะพี่นิวก้อ....
......สั้นไป....
......ก็ผมจะเล่นน้ำ....
......พี่ถึงให้เอาไปเปลี่ยนอีกตัวไง.....ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป!!!
เชอะ ถือว่าขับรถพาผมไปเหรอ ทำมาเป็นออกคำสั่ง....แล้วผมก็เปียกจนได้เลยเห็นไหมเล่า
แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ทำอย่างที่พี่นิว “สั่ง” นั่นแหละ คือเอากางเกงมาเปลี่ยนอีกตัวหนึ่ง
หลังจากที่เดินเล่นน้ำจนเบื่อ แดดก็แผดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมจัดการล้างน้ำเค็มออกจากตัว
ด้วยน้ำจืดที่เตรียมมาในถังน้ำใบย่อม ชำระแค่พอให้หายเหนอะหนะ เพราะว่า โปรแกรมต่อไป
พี่นิวจะพาผมไปกินแต้เตี่ยมเจ้าอร่อยในตัวเมือง
ผมหยิบกางเกงที่เตรียมมาออกมาเปลี่ยน แล้วเก็บตัวที่เปียกใส่ถังพลาสติกท้ายรถ
พี่นิวกำลังนั่งรอผมอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นสน หันหน้าหาทะเล ท่าทางจะชมวิวเพลิน
จนไม่รับรู้ว่าผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลัง
“เสร็จแล้วครับ ไปกันได้หรือยัง”
พี่นิวหันมาทันที พร้อมกับขยับลุกขึ้น
“พี่เปลี่ยนใจแล้วล่ะนู เดี๋ยวไปหาซื้ออะไรมากินที่นี่ดีกว่า พี่อยากนั่งกินริมทะเล
นาน ๆ มาทีจะได้สูดอากาศให้อิ่มไปเลย”
ผมก็รับความคิดที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของพี่นิวได้อย่างทันท่วงที
คงเป็นเพราะผมเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่ตรงนี้ ยังไม่อิ่มกับธรรมชาติที่ผมชื่นชอบ
ก็เลยตอบตกลงไป
“นูรอที่นี่แล้วกัน จะเล่นน้ำต่อรอพี่ก็ได้นะ พี่ไปเดี๋ยวเดียวก็มา ยังอยากกินขนมจีบซาละเปาอยู่หรือเปล่า”
“ครับ ขนมครกเจ้าเดิมด้วยนะครับพี่นิว แล้วก็น้ำดื่มขวดนึง”
“ได้”
พี่นิวรับคำแล้วเดินจ้ำทรายแห้ง ๆ ไปที่รถ ขับออกไปอย่างนิ่มนวล
....ผมนี่ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ มีพี่นิวคนเดียว เหมือนมีทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งคู่รัก....
ผมอดยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองไม่ได้ ที่ผ่านมาถึงจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา
แต่ท้ายที่สุด เราก็ยังอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขพอควร ชีวิตนี้ผมคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ขอให้มีพี่นิวอยู่เคียงข้างผมตลอดไปเท่านั้นเป็นพอ
ผมหยิบกิ่งสนแห้ง ๆ บนพื้นทรายข้าง ๆ ตัวขึ้นมาถือไว้ แล้วเดินไปที่ริมหาดอีกครั้ง
ข้อความที่ผมลากลงไปบนทรายเปียก บอกความในใจของผมที่มีต่อพี่นิวอย่างมากมาย
ผมเขียนไปเรื่อย ๆ ตามความยาวหาด ตรงที่คลื่นจะซัดขึ้นมาไม่ถึง (ในตอนนี้)
ไม่มีใครเป็นพยานในคำจารึกเหล่านั้น ทั่วทั้งหาด มีเพียงผมที่ก้มหน้าก้มตาลากเส้นไปตามผืนทราย
กับอีกสองสามคน ที่อยู่ไกลออกไป
พี่นิวกลับมาหลังจากที่ผมหยุดพฤติกรรมเหล่านั้น แล้วกลับมานั่งที่ม้าหินตัวเดิม
อาหารเช้าสารพัดสารพัน ที่พี่นิวหอบหิ้วมา ล้วนแต่เป็นของชอบของผม....
เขาช่างจดจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องเตือน
หลังจากที่เราจัดการกับอาหารตรงหน้าจนแน่นท้องแล้ว พี่นิวก็ชวนผมไปเดินเล่นริมหาดอีกครั้ง
แต่ผมชักไม่อยากเล่นแล้วสิ ก็แดดมันออกจะร้อนแรงเสียขนาดนั้น ผมไม่ได้กลัวดำนะ
(เพราะขาวเป็นทุนอยู่แล้ว อิอิ) แต่อากาศร้อนมันไม่เคยปรานีใคร
เดินเล่นกลางแดดตอนแปดโมงครึ่งของฤดูร้อนมันไม่สนุกนะเอ๊อ...
“ไปเหอะ ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย ไปนั่งเล่นเฉย ๆ ก็ได้อ้ะ”
“แล้วพี่นิวจะออกไปทำไมป่านนี้ล่ะครับ เล่นน้ำเหรอ”
“อยากสัมผัสน้ำทะเล นาน ๆได้มาที คราวหน้าก็ไม่รู้ว่าพี่จะว่างเมื่อไร นะไปเหอะ”
ก็เพราะไอ้คำนี้กระมัง ที่ทำให้ผมกระบิดกระบวนเดินตามพี่นิวไปจนได้ แล้วก็ไม่เห็นเขาจะทำอะไร
นอกจากเดินลุยน้ำ (เหมือนที่ผมทำ) ก้มลงเอามือควานในน้ำทะเลที่ลึกแค่ครึ่งแข้ง
หยิบปูเสฉวน ขึ้นมาวางให้มันนอนหมอบบนหาด
(ปูเสฉวน มันจะเก็บตัวเองเข้าไปในเปลือกหอยทันทีที่ถูกรุกราน)
หยิบตัวเล็ก ตัวน้อยมาวางจนเต็มหาดไปหมด บางตัวพอมันตั้งหลักได้ก็เดินลงทะเลไปก็มี
พี่นิวก็ไปหามาวางใหม่ ผมได้ทางมะพร้าวแห้ง ๆ ที่ตกอยู่แถวนั้นมาปักลงกับทรายพอบังแดดได้บ้างนิดหน่อย
ก็เลยยังพอนั่งเป็นเพื่อนเขาไหว แต่พระเดชพระคุณเอ๊ย...แค่แปดโมงครึ่ง มันยังร้อนขนาดนี้
เที่ยงวันจะสักขนาดไหนน้อ...
สักพักพี่นิวก็กวักมือเรียกผมให้ไปดูอะไรในน้ำตรงที่เขายืนอยู่
“อะไรครับ....ไหนอะ”
ผมก้มตัวลงไปดูตรงผิวน้ำที่ระยับไปด้วยพรายฟองของคลื่นลูกเล็ก ๆ มันทำให้มองอะไรใต้ผิวน้ำไม่ถนัดนัก
และยังไม่ทันที่ผมจะก้มลงดูให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม ร่างกายของผมก็ถูกผลักให้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าในน้ำทะเล
ความเค็มแทรกซึมผ่านริมฝีปาก....ก็ไม่เท่าไร เคยชิมอยู่
น้ำทะเลกระเซ็นเข้าตา แสบนิดหน่อย แต่ไม่มากนักก็พอทน
จังหวะที่ผมหายใจออก ทำให้น้ำไม่เข้าจมูกไปด้วย....แต่.....
เสื้อผ้าผมเปียกหมด
กางเกงขาสั้นตัวที่ผมใส่เป้มาเป็นชุดสำรอง เปียกฉ่ำ จนนุ่งไม่ได้อีกแล้ว
เสื้อยืดสีอ่อน เปียกน้ำ บางจ๋อยจนเห็นเนื้อใน....ก็ไม่เป็นไรอีกแหละ
เพราะที่จริงแล้วผมก็ชอบเล่นน้ำทะเลอยู่เหมือนกัน แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อจะลงแหวกว่ายโต้คลื่น
แต่ได้นั่งแช่ลงในน้ำมันก็เย็นฉ่ำชื่นใจดี
แต่ผมงงกับพี่นิวมากเลย อารมณ์ไหนของเขาเนี่ย ถึงได้ตั้งใจทำให้ผมเปียก
ก็รู้อยู่ว่าผมเตรียมเสื้อผ้ามาแค่นี้ แล้วผมจะกลับบ้านยังไง สีหน้าของผมคงจะงงงันจนน่าหัวเราะ
พี่นิวถึงได้ขำออกมาก๊ากใหญ่
“ไง เปียกหมดแล้ว ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า”
“ไม่มีแล้ว ผมมีกางเกงมาตัวเดียว”
ผมตอนนี้ไม่ได้นึกโกรธอะไรเขาเลย เพราะจริง ๆแล้วก็อยากเปียก อยากเล่นน้ำอยู่หรอก
แต่ไม่มีเพื่อนเล่นด้วย มันก็ไม่สนุก เลยขอแค่เดินลุยน้ำก็พอไง
อารมณ์ตอนนี้มีแต่ความสงสัย ในพฤติกรรมของพี่นิวเป็นที่สุด ส่วนใหญ่ผมจะเดาได้
ว่าเขาคิดอะไร แต่ครั้งนี้ไม่
“พี่เตรียมให้แล้ว”
หือ?...ยังกะรู้ล่วงหน้า
“เหรอครับ เตรียมตอนไหนทำไมผมไม่เห็นอะ”
แล้วเราก็ตกลงจะไปอาบน้ำจืดกันที่ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเปิดอยู่เจ้าเดียวในเวลานี้
(ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการห้องน้ำจะเปิดให้ใช้ประมาณ สิบเอ็ดโมง) พี่นิวถือถุงพลาสติกสีฟ้าขุ่นไว้ในมือ
มองเห็นว่าข้างในมีเสื้อผ้าอยู่หลายชิ้น พอไปถึงห้องน้ำพี่นิวก็รื้อเสื้อยืดสีเขียวตุ่น ๆ
กับกางเกงขาสามส่วนมาให้ผม พร้อมกับน้องชายตัวน้อยสีนวล ๆ
“ไม่ใช่ของผมนี่”
ผมเอ่ยปากขึ้นแล้วก็รับมา สัมผัสดูก็รู้ว่ามันยังใหม่ ยกขึ้นจรดจมูกก็ได้กลิ่นผ้าใหม่
ปนมากับกลิ่นน้ำมันจากสีสกรีน
“ของนู พี่ซื้อมาให้”
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มออกไป จะว่าดีใจก็ไม่เชิง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาซื้อเสื้อผ้าให้ผม
แต่การที่ซื้อในเวลาอย่างนี้ สถานการณ์นี้ มันออกจะแปลกไปหน่อย
เราต่างคนต่างเข้าห้องอาบน้ำกันคนละห้อง ส่งสบู่กับแชมพูให้กันทางช่องเหนือผนังกั้นห้อง
อาบเสร็จแล้วผมก็ต้องรีดน้ำออกจากผิวทีละนิดจนตัวหมาดจึงจะสวมเสื้อผ้าได้
เพราะพี่นิวไม่ได้ซื้อผ้าขนหนูมาด้วย
(รอบคอบทุกอย่างกระทั่งซื้อกางเกงใน แต่ลืมผ้าขนหนูอะนะ พี่นิวของผม)
หลังจากออกมาแล้ว พี่นิวก็ยื่นมือมารับผ้าเปียกจากผมไปใส่ถุงที่ใส่เสื้อผ้าใหม่มา
เขาจ้องหน้าผมแล้วอมยิ้ม สำรวจเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่แล้วก็ยังยิ้มไม่หุบ แถมแอบจุ๊บแก้มผมตอนที่ผมเผลออีก
....อะไรของเขานะ จะอารมณ์ดีไปไหน
เดินมาถึงประตูทางออกจากห้องอาบน้ำ ผ่านถังขยะใบใหญ่ พี่นิวก็เปิดฝาถัง
แล้วหยิบกางเกงตัวเปียกที่ผมนุ่งมาลงในถัง ปิดฝา แล้วก็เดินลอยชายออกไป
ทิ้งให้ผมยืนหายงงอยู่ตรงนั้น
อ๋อ....อย่างนี้ใช่ไหม
ที่ทำผมเปียกไปทั้งตัว ก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหม
ทำทีเป็นอยากกินอาหารเช้าริมทะเล ที่แท้ก็แอบไปซื้อเสื้อผ้า
อารมณ์ขันปนโมโหนิด ๆ ทำให้ผมเดินตามหลังเขาไป ค่อย ๆ เร่งสปีดจนถึงตัวพี่นิว
แล้วก็กระโดดขึ้นขี่หลังโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้ยยยย....”
พี่นิวอุทาน ด้วยความตกใจ....ขนาดว่าตกใจ แต่ก็ช้อนใต้เข่าผมในจังหวะที่ผมหนีบเอวเขาพอดี
คนเฝ้าห้องน้ำคงหันมาเห็นเราสองคน เขาก็ตะโกนทักออกมาเสียงดัง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะตามมา
(หวังว่าเขาจะคิดว่า “ผู้ชาย” สองคนเล่นกันนะ)
“ตัวหนักจะตาย ลงไป”
ปากก็บอกว่าผมหนัก แต่เขาก็ยังล็อกขาผมไว้ทั้งสองข้างคงกลัวผมจะหย่อนตัวลงมา
แล้วดึงให้เขาหงายหลังลงไปด้วยกัน เพราะถ้าอยู่บ้านผมจะชอบล็อกคอเขาแล้วโน้มให้หงายหลังลงมา
เป็นท่าที่พี่นิวเสียเปรียบผมมาตลอด
“ไม่ลง”
“หนักนะ”
“ไม่รู้แหละ ผมไม่เดินแล้ว”
“ก็มันเรื่องอะไรมาขี่คอเล่า เดินเองไม่เป็นรึไง”
“ไม่อะ ไม่อยากเดิน”
“เกิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรขึ้นมา....หา”
“ก็ใครใช้ให้เอากางเกงผมไปทิ้งถังขยะเล่า”
“ถ้าไม่เอามันมาด้วย มันก็ไม่ต้องลงไปนอนในนั้นหรอก”
“ก็ผมชอบบบบบ”
“อ๋อ....ชอบโชว์”
“ชอบเพราะว่ามันใส่สบายตะหาก”
“ก็รู้ แต่ไม่ใช่จะเอามาใส่เดินฉายไปฉายมานอกบ้านนี่”
“ผมใส่เล่นน้ำเอง”
“ก็ได้เล่นสมใจแล้วไง”
คราวนี้ผมผละออกมาจากหลังพี่นิวลงมายืนตั้งหลักหาเรื่องอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
“ผมรู้นะว่าพี่นิวตั้งใจจะให้ผมเปียก”
“อืม ....ทำไมรู้ช้าจัง”
หนอย....ยังจะมายิ้ม ทำหน้าทะเล้น ยอมรับล่ะสิ ว่าวางแผนจะไปซื้อของกิน
แล้วก็เลยไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน
“ทำไมครับ”
“ไม่อยากให้ใส่กางเกงตัวนั้น”
“พี่นิวครับ มันไม่ได้สั้นมากมายอะไรเลย”
“แต่มันก็เหนือเข่าขึ้นไปตั้งครึ่ง”
“โหย....ใครเขาจะมาดู มันไม่ได้โป๊ ไม่ได้โชว์เนื้อหนังขนาดนั้น แล้วผมก็เป็นผู้ชาย
ทีผู้หญิงที่เขาตามแฟชั่นใส่สั้นไปถึงไหน ๆ ไม่เห็นจะมีใครเขาว่า ของผมไม่ได้สั้นขนาดนั้นซะหน่อย”
“แต่มัน....ล่อตา”
“ตรงหนายยยย...”
“ก็....ขาวอ่ะ”
“ก็จะให้ผมทำไงอะ ลูกจีนมันก็ขาวอย่างงี้แหละ ใคร ๆ เขาก็ขาวกันตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเลย”
“แต่พี่เดือดร้อนนี่”
“เดือดร้อนยังไง”
เราเดินกันไปพลาง เถียงกันไปพลาง จนมาถึงที่จอดรถ พี่นิวเปิดท้ายรถเก็บถุงใส่ผ้าเปียกไว้ในถังพลาสติก
ก่อนจะเดินไปทางที่นั่งคนขับ ส่วนผมก็เดินแยกออกมาด้านผู้โดยสาร
“หวงอะ ไม่อยากให้ใครดู”
เท่านั้นเอง....ไม่รู้ความอายมันมาจากไหน วิ่งปรู๊ดขึ้นหน้าผมจนรู้สึกว่าแก้มมันร้อน ๆ
แล้วก็ ตอนนี้หน้าผมมันคงแดงก่ำไปจนถึงใบหูแล้ว
“บ้า....ใครเขาอยากจะดูเล่า”
“พี่ไง”
ผมกัดริมฝีปากล่างบังคับไม่ให้ตัวเองต้องเผยอยิ้มออกมาอย่างยากเย็น...อยู่ด้วยกันมาจนป่านนี้
พี่นิวก็ยังจะมีคำพูดบางคำที่ทำให้ผมทั้งเขิน ทั้งอายได้อยู่เรื่อย ๆ
“บ้าแล้ว”
ผมเปิดประตูรถเตรียมจะขึ้นไปเขินต่อ แต่ไม่ทันคิดว่าพี่นิวยังไม่ปลดล็อก
สัญญาณกันขโมยก็ระเบิดเสียงดังสนั่นไปทั่วถนน เรียกสายตาคนขี่จักรยานออกกำลังกายที่กำลังผ่านมาให้พุ่งตรงมาที่เรา
พี่นิวรีบกดทันที พร้อมกับหัวเราะหน้าหงาย ขำจริงขำจัง กระทั่งสตาร์ทรถแล้วก็ยังมีเสียงกิ๊กกั๊กแถมท้ายได้อีก
“จะขำอีกนานไหมครับ ผมจะได้ขึ้นรถเมล์กลับบ้านเอง”
“ก็ขำนูอะ ทำไงได้”
“น่าขำตรงไหน”
“ตรงแก้มแดงน่าจูบ”
“หยุดเลย...”
ผมต้องรีบห้ามเพราะพี่นิวกำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ มันเขิน มันอายซะจนผมแทบจะม้วนเป็นก้นหอย
แล้วก็ยังจะแหย่อยู่ได้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พี่นิวผละจากพวงมาลัยรถ หันมาทางผมทั้งตัว
เตรียมจะรุกรานผมในรถ แววตาวาว ๆ ยังมีรอยยิ้มเพราะอารมณ์ขันตกค้าง ไม่รู้วันนี้โด๊ปยาอะไรเข้าไป
พี่นิวถึงได้ทำท่าหื่นได้ขนาดนี้
“อย่านะพี่นิว ริมถนนนะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”
“กระจกรถมืดจะตาย ไม่มาส่องใกล้ ๆ ใครจะเห็น”
มันก็จริงอยู่ แม้แต่ลานจอดรถก็เป็นลานซีเมนต์ตรงไหล่ถนน ด้านในเป็นกำแพงสูงของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง
ส่วนที่นอกถนนก็แทบจะไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลย เนื่องจากเป็นถนนสายริมทะเล
และยังเช้าเกินไป เรียกว่า แทบจะลับหูลับตาคนก็ว่าได้...แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่พี่นิวจะมาทำรุ่มร่ามกับผมนะ
“มันน่าเกลียดนี่นา”
“อยู่กันสองคน จะน่าเกลียดได้ยังไง ทำยังกะเราไม่เคย....”
“แต่ไม่ใช่ที่แบบนี้น้า...”
ผมพยายามค้านสุดฤทธิ์ ถึงเราจะมีอะไรกัน แต่มันไม่ใช่สถานที่แบบนี้นี่นา
เพราะเราสองคนจะระมัดระวังเรื่องแบบนี้เสมอ ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกนอกบ้าน
ก็เพราะกลัวใครจะจับตามอง แล้วล่วงรู้สถานะระหว่างเรานี่แหละ
แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่นิวถึงพยายามจะทำอะไรที่มันเสี่ยงแบบนี้
“ปล่อยครับพี่นิว”
“ไม่เอา ให้พี่หอมหน่อยนะครับ”
“ไม่เอา จะทำอะไรก็ไปทำที่บ้านสิ ผมไม่ชอบนะ”
“ก็อยากหอมตอนนี้นี่นา”
“แค่หอมนะ”
ผมตัดใจตามใจเขา เพราะคิดว่าจะได้จบ ๆ ไป
“ฮื่อ”
แล้วผมก็นั่งนิ่ง ๆ ให้เขาทำตามอำเภอใจ หอมแก้มก็แล้ว ทั้งซ้าย ทั้งขวา
เลื่อนมาที่กกหูอีก....เอาเข้าไป....จูบขากรรไกร....ไต่มาที่คาง....นั่น จะไม่ยอมหยุดง่าย ๆ แล้วใช่ไหม
“พี่นิวพอแล้ว”
ผมเริ่มควบคุมเสียงไม่ให้สั่นไม่ได้
“อีกนิดนะครับ”
ปากก็พูดพึมพำไป จูบริมฝีปากผมไป อดไม่ได้ผมก็....จูบตอบไป....นิดเดียวเองนะ
แต่แค่นี้ พี่นิวจะหาว่าผมให้ความร่วมมือไม่ได้นะ....ไอ้ที่จะส่งมือเข้ามาล้วงเสื้อผมนี่มันนอกเหนือข้อตกลง
ผมพยายามเรียกสติคืนมาก่อนที่เราสองคนจะเตลิดไปไกลกว่านี้
“พี่นิวอย่านะ ริมถนนนะครับ ผม...”
เสียงผมขาดหายจากการที่เขาจูบปิดปาก จูบของพี่นิวคราวนี้ร้อนแรงกว่าเดิม ทำนองเอาจริง
ผมต้องฝืนอารมณ์ที่เขาพยายามเร่งเร้าอย่างสุดฤทธิ์ ด้วยการยกมือไปขยำเส้นผมหนานุ่มมือของพี่นิว
แล้วจิกสุดแรง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ระคายเนื้อหนังพี่นิวเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังกับว่าเป็นแรงกระตุ้นอารมณ์
ให้เขาแสดงออกอย่างรุนแรงขึ้น พี่นิวบีบคางผมแรงขึ้นจนผมเจ็บ พร้อมกับพยายามจะบดจูบลงมาอีก
ผมก็ยิ่งจิกผมเขาแรงขึ้นไปอีก
“นู....”
เสียงพี่นิวตะโกนใส่หูดังจนผมตกใจ ลืมตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าที่ลอยอยู่ข้างหน้าผม
ส่งสายตามาอย่างเป็นกังวล เป็นห่วง ไม่ใช่แววตาหื่นกระหายเหมือนเมื่อครู่
แสงแดดส่องมาทางหน้าต่างข้างรถแรงจนแสบผิว...เอ๊ะ...นี่มันที่ไหน
ผมมองไปข้างทาง ก็เห็นเป็นร้านขายต้นไม้ริมทางที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ประตูทางเข้าปิดอยู่
แสดงว่าเจ้าของยังไม่เปิดร้าน
“ตะกี้....”
ผมมองรอบ ๆ ตัวอย่างงง ๆ ผมว่าตะกี้เรายังอยู่กันที่ลานจอดรถริมทะเลอยู่เลย แล้วยังไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้
“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอครับ”
“ฝันร้าย?”
ผมเริ่มลำดับความทีละเหตุการณ์ ก็นึกได้ว่า ตอนนั้นพี่นิวแกล้งโน้มใบหน้ามาใกล้ผม ทำท่าจะจูบ
แล้วก็เปลี่ยนเป็นหอมแก้มหนัก ๆ จากนั้นก็ออกรถ แล้วหลังจากนั้น ผมก็คงจะผล็อยหลับระหว่างทางนั่นเอง
“เปล่าครับ ไม่ได้ฝันร้าย”
“แล้วเป็นอะไร”
“ก็ฝันนั่นแหละ แต่ก็...ไม่ได้ร้ายเท่าไร”
“แต่พี่เห็นนูกระสับกระส่าย แล้วกำมือแน่นเลย”
“อ้อ....เหรอครับ”
“พี่กลัวจะไม่สบาย เพราะว่าโดนทั้งน้ำ ทั้งแดด”
“แหม...ผมไม่ได้กระหม่อมบางขนาดนั้นซะหน่อยพี่นิวอะ”
“ก็พี่เป็นห่วง จับตัวนูก็ร้อนผ่าว ๆ นึกว่าจะเป็นไข้ ก็เลยหรี่แอร์ แต่นูก็ยังกระสับกระส่าย
พี่ไม่รู้จะทำยังไงเลยจอดรถเข้าข้างทางปลุกนูขึ้นมานี่ไง แล้วเป็นไงมั่ง ปวดหัวไหม”
พี่นิวคลำหน้าผาก เอามืออังใต้คอ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่ได้เจ็บไข้อะไร
แต่ผมจะบอกเขาได้ยังไง ว่าผมฝัน.....
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย พี่จะได้พาไปคลินิกก่อนเข้าบ้าน ไปหายามากิน
ไม่งั้นเป็นหนักขึ้นมา วันอังคารไปทำงานไม่ไหวแน่”
ครับ ผมต้องไปทำงานวันอังคารให้ได้ ถ้าไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะวันหยุดติดกันหลายวันแบบนี้
เปิดทำการขึ้นมางานคงยุ่ง ลูกค้าคงเยอะ แถมยังเป็นวันต้นเดือน ซึ่งเป็นวันที่ธุรกิจการเงินหมุนสะพัด
พนักงานขาดไปเสียคนหนึ่ง ที่เหลือก็ต้องแบกรับงานหนักขึ้น พี่นิวเขารู้ความจริงข้อนี้ดี
“ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นไข้ แค่เพลียแดด แล้วก็ง่วงเฉย ๆ”
“แน่นะ”
พี่นิวยังไม่วางใจ จับเนื้อจับตัวผม ลูบคลำไปตามแขน พลิกฝ่ามือผมไปอังเพื่อจะวัดอุณหภูมิ
แต่พี่นิวครับ....อย่าลูบนักได้ไหม ไม่รู้เสียบ้างเลยว่าผมเพิ่งผ่านอะไรมา ถึงมันจะเป็นแค่เพียงความฝันก็เถอะ
แต่มันก็เหมือนจริงเสียจน ผมตกใจตื่นมาก็ยังอินกับเหตุการณ์อยู่เลย
กว่าจะตั้งสติได้ แล้วนี่พี่นิวจะทำอะไรผม...จะทำความฝันให้เป็นความจริงที่ริมถนนใหญ่แบบนี้เลยหรือไง
ผมปัดมือพี่นิวเบา ๆ แล้วหันหน้าออกนอกหน้าต่าง พร้อมกับบอกให้พี่นิวออกรถ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่กลัวนูไม่สบาย...แล้วนั่นทำไมหน้าแดง”
พี่นิวจับแก้มผมให้หันมาทางเขา เพื่อจะมองให้ถนัด
“หน้าแดงอย่างกับจะเป็นไข้แน่ะนู นี่บอกมานะ ไม่สบายหรือเปล่า ดูสิพี่ว่านูตัวรุม ๆ เหมือนกันนะ”
ผมเบี่ยงหน้าออกมาพร้อมกับปฏิเสธ
“บอกว่าไม่เป็นก็ไม่เป็นสิครับ กลับเหอะ ผมจะได้กลับไปนอนต่อที่บ้าน....ง่วงแล้วนะ”
“แต่ตะกี้หน้าแดง ๆอะ”
“เอ๊....พี่นิวนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง บอกว่าไม่ได้เป็นไข้ ๆ แต่เป็นอย่างอื่นน่ะ เข้าใจไหม”
“เป็นอย่างอื่น? เป็นอะไรอะ”
ผมล่ะหมั่นไส้เสียจริง ๆเชียว จะถามเอาถ้วยหรือยังไงกัน ผมชะโงกหน้าไปใกล้ ๆหูเขา
แล้วก็กระซิบอะไรออกไปแค่ให้เรารู้กันสองคน ถึงคราวที่พี่นิวจะหน้าแดงไปถึงใบหูบ้าง
“ทีนี้จะออกรถได้หรือยังครับ”
“ได้ครับได้”
พี่นิวรีบลนลานรับคำ
“แล้วไม่ต้องรีบจนเป็นเหาะนะครับ ผมอยากกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ”
“ครับ”
พี่นิวยิ้มหน้าทะเล้นใส่ผม
“ขับเร็วเกินแปดสิบเมื่อไร ที่บอกไว้ตะกี้ เป็นอันยกเลิก”
ผมรีบเบรค....หมั่นไส้ลูกกะตาวิบ ๆ วับ ๆ แบบนั้นนักเชียว
“นูอ้ะ”
จังหวะนั้นที่ไม่มีรถผ่าน สองข้างทางก็ไม่มีใครอยู่ในระยะใกล้รถเรา ผมก็โฉบไปจูบแก้มพี่นิวเบา ๆ
“มัดจำไว้ก่อน”
“ครับที่รัก”
เนี่ย....ต้องอย่างเงี้ยะคนเรา กว่าจะได้ออกรถ