พิมพ์หน้านี้ - พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NuNew ที่ 27-09-2012 23:30:30

หัวข้อ: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-09-2012 23:30:30
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะ
ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง

เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควาน
ตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ...........
.
.
เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า............
.........
บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้
เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด  คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกัน

การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน
แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต
และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่น

ช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ    เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆ
ก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเอง
เพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง

ส่วนการพูดคุยนั้น  ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์
ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย

ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้
หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชาย
เข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

5.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

6.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

7.ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง

8.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
ให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่า
แล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ด
เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

9.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

10.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

11.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

12.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน




เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆ

หุหุ

admin
thaiboyslove.com
.......................................
                                                            วันที่ 3 ธ.ค. 2551

วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7


เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท


          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้างล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์




......................................
หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าคงได้รับความร่วมมือจากทุกท่านนะครับ

ถ้าพบเห็นกระทู้ได้ละเมิดกฎข้างต้น Webmaster,Administrator,Moderator สามารถลบกระทู้ดังกล่าวได้ทันที โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

หากผู้ได้ฝ่าฝืน การทำการดังกล่าว ทาง Webmaster,Administrator,Moderator จะมี message ไปแจ้งเตือน

หากยังกระทำความผิดดังกล่าวอีก ทางWebmaster,Administrator,Moderator จะลบaccoutสมาชิกท่านนั้นออกจากระบบทันที


ขอบคุณในความร่วมมือ

พูห์

Junrai_Hyper

Global Moderator





WARNING


ถ้าจะบอกซ้ำอีกว่า เรื่องทั้งหลายมันผ่านมาแล้ว จะรู้สึกดีขึ้นกันมั้ยครับ

แต่ก็จะบอกอีกว่า

บรรยากาศตอนหน้าก็ประมาณนี้เหมือนเดิมแหละครับ

เรื่องอ้อนนักฯ ที่เขียนจบไปแล้ว มีคนอ่านมาบอกลาว่า ไม่ชอบเรื่องเศร้า ขอไม่อ่านต่อล่ะ

เรื่องนี้มันก็ยังอึมครึม ถ้าใครไม่ชอบเสียน้ำตา หาไหล่ซบไม่ได้ ก็บอกลากันได้ตลอดนะครับ

ก็ "ชีวิต" อ่ะ ทำไงได้ ผมก็อยากโชคดีมีความสุขเหมือนใคร ๆ ทั้งโลกน่ะแหละ




สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งสำหรับเรื่องที่สองในบอร์ดนี้

ผมตัดสินใจอยู่นาน(มาก) กว่าจะเอามาลง

หวังเหมือนเดิมว่า คงจะสร้างความบันเทิง(บนความทุกข์) ให้กับคนอ่านได้นะครับ


ข้อแนะนำในการทำอารมณ์ : เนื่องจากนิยายเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตตัวละครในวัยเด็ก ยันโต (และอาจจะยันแก่..อันนี้มิอาจคาดเดา

เพราะปัจจุบันนี้ ผมก็ยังเขียนไม่จบซะที)  เพราะฉะนั้น ภาษาและการใช้คำพูดคำจา ก็เป็นไปตามวัย

และเพราะเหตุที่มันเป็นเรื่องแรกที่ผมเขียน  สำนวนภาษาก็อาจจะไม่ราบรื่นเท่าที่ควร

ขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณ และความพยายามในการอ่านนะครับ

และหากหมดสิ้นความพยายาม แล้วจะเลิกอ่านก็ไม่ว่ากัน (แต่อยากนำเสนอครับ)


หมายเหตุ : นิยายเรื่องนี้ มีต้นแบบจากชีวิตจริง ซึ่งถูกดัดแปลงทั้งชื่อเสียงเรียงนามของตัวละครและฉากต่าง ๆ

ผมขอแนะนำว่า จงอ่านเพื่อความบันเทิงก็พอ อย่าได้เก็บไปพินิจพิเคราะห์ให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเลยครับ

หากเรื่องนี้จะให้ข้อคิดอันเป็นประโยชน์กับผู้อ่านอยู่บ้าง ก็นับว่าเป็นบุญกุศลสำหรับผมเลยทีเดียว


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-09-2012 23:36:36


“พี่ครับ ผมขอยืมโน้ตบุ๊คหน่อยได้ไหมครับ”

ผมเป็นเด็กม.3 ของโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคใต้ตอนกลาง ๆ โรงเรียนของผมเป็นสหศึกษาครับ

เป็นโรงเรียนมัธยมที่สอบเข้ายากแห่งหนึ่งของประเทศ เพราะงั้นที่นี่จึงเป็นที่รวมของนักเรียนระดับหัวกะทิเลยทีเดียว

 (รวมทั้งผมด้วย 5555)



แล้วอย่าหาว่าผมโม้นะ ถ้าผมจะคุยต่อว่า นักเรียนที่นี่ก็หน้าตาดีไม่แพ้เรื่องเรียนด้วยสิเอ้า!

แบบที่ใครจะมาด่าว่า หล่อ(สวย) แต่โง่ น่ะ ไม่มีหรอกขอบอก

อย่างผมเนี่ย ผิวขาวถึงจะไม่อมชมพู แต่ก็นวลเนียนใช่ย่อย ลูกจีนแต่ตาโตคิ้วเข้ม

 และด้วยความที่แม่เลี้ยงมาดี แก้มผมก็อมเลือดฝาด ไหนจะปากแดง

(ผมดูตัวเองในกระจกยังเผลอนึกอยากจูบเลยว่ะ)

ผมรู้ตัวดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ผมสนใจคนหน้าตาหล่อมากกว่าหน้าตาสวย


.....ถูกต้องละค้าบบบ.....


ผมรู้ตัวมานานแล้วว่าผมเป็นเกย์ และพี่คนที่ผมกำลังขอยืมอุปกรณ์ไฮเทคอยู่นี่ ก็คือคนที่ผมสนใจ

แต่พยายามยังไง้ ยังไง พี่เขาก็ไม่เคยแลผมเลย

ก็เพราะเขามีหวานใจเป็นถึงดรัมเมเยอร์ของโรงเรียนตรงกันข้ามน่ะสิครับ

อยู่ถึงโรงเรียนโน้น ดั๊นมาคาบหนุ่มโรงเรียนนี้ไปแดร๊กซะด้าย เสียหน้าแย่เลยผม

แต่ผมมีลางสังหรณ์อยู่อย่างหนึ่งนะ ว่าพี่เค้าก็คงจะยังไง ๆกับผมบ้างหรอก

ฟังดูเหมือนผมจะมั่นใจเนอะ...เพราะอะไรน่ะเหรอ ผมถึงได้มั่นใจซะขนาดนี้


จะเล่าให้ฟัง....

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-09-2012 23:47:06



เมื่อตอนผมเข้าม.1 พี่เขาก็อยู่ม.3 ใช่ม้า โดยทั่วไปเมื่อถึงตอนรับน้องน่ะ

พี่ม.3 จะไม่ค่อยเข้ามายุ่งหรอก เพราะต้องเตรียมตัวสอบเรียนต่อ ม.4

แต่พี่คนนี้ของผม (ขอตู่หน่อยนะ) ก็อุตส่าห์มาช่วยดูแลงานรับน้องกับเขาด้วย

ผมเห็นพี่เขาครั้งแรกก็รู้สึกดี ๆ ด้วย เขาหน้าตาดีมั่ก มาก บอกซะให้รู้เอาไว้

สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าไม่ก็อาจจะกว่านั้นนิดหน่อย ผิวไม่ขาวมากแต่เรียบเนียนเชียวครับ

หน้าตาก็เข้ม ๆ คม ๆ ปากแดงน่า....ชะมัดเลย

ตอนกลางวันที่มีเลี้ยงข้าว พี่เขาเป็นคนตักกับข้าวใส่จานให้น้อง ๆ ที่เข้าแถวเดินเรียงกันมา

ผ่านไปกี่คน ๆ พี่เขาก็ไม่เห็นจะพูดจะถามอะไร

แต่พอถึงคิวผม เกิดจะถามขึ้นมาว่า ผมชอบกินไข่หรือเปล่า ผมก็ตอบว่าชอบครับ...

ก็ผมชอบจริง ๆ นี่นา....เท่านั้นเอง พี่เขาก็ตักไข่พะโล้ให้ผมใบหนึ่งแล้วก็พูดว่า

‘งั้นพี่ให้ไข่ใบใหญ่น้องเลย’

พูดแค่นั้นมันก็คงไม่เท่าไหร่หรอกครับ ถ้าพี่เขาจะไม่สบตาผม แบบมีเลศนัยน่ะ

มันก็ต้องมีความหมายซ่อนอยู่ในคำพูดนะผมว่า ไอ้ผมมันก็ไว คือคิดได้ไว แต่ไม่กล้าพูด

 (ก็เรามันเด็กใหม่นี่หว่า) ได้แต่ฝากไว้ในใจ รอวันพิสูจน์ความจริง


แต่ไป ๆ มา ๆ วันนั้นก็มาไม่ถึงซะที สุดท้าย ก็เลย ม.ค.ป.ด. ได้สาวโรงเรียนอื่นไป

แต่อย่าคิดนะว่าผมจะท้อ



ด้วยความมุ่งมั่น ผมพยายามพาตัวเข้าไปสมาคมในที่ ๆ พี่เขาเป็นสมาชิกอยู่

แม้แต่เข้าไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะตัวเดียวกันตอนพักเที่ยง พี่เขาก้ไม่เคยจะเหลียวมามอง

ตัวผมเองก็ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ชอบผมก็บอกว่าชอบ เกลียดผมก็บอกว่าไม่ชอบ

เห็นแมะ ว่าผมน่ะซื่อจะตาย

แต่หนนี้ผมว่าจะใช้ไม้ตายสุดท้ายที่ผมมี ผมยอมทุ่มสุดตัวล่ะครับคราวนี้







“ได้สิน้อง” พี่เขาก็เลื่อนโน้ตบุ๊คมาตรงหน้าผม

ระหว่างที่ผมกำลังใช้งาน (ซึ่งผมก็มั่ว ๆ เอา) พี่เขาก็คงจะแอบมองผมอยู่ ถึงได้ถามออกมา

“น้องทำงานอะไร ทำไมต้องเปิดเน็ตด้วยล่ะ”

“อ๋อ...หาข้อมูลน่ะครับพี่”

“แล้วทำไมไม่เข้าไปใช้ในห้องไอทีล่ะ”

“โธ่! พี่ก็น่าจะรู้ว่าคนมันเยอะ แล้วตัวเล็ก ๆ อย่างผมจะไปแย่งเขาทันได้ยังไง”

พี่เขาส่ายหน้า แต่ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งที่คงคิดหัวแทบแตกว่า มันเกี่ยวกับตัวเล็กตัวใหญ่ตรงไหนฟระ

อย่าว่าแต่พี่เลย ผมก็คิดงั้นแหละ ผมแค่อยากให้พี่รู้สึกว่าผมน่ะ...น่าทนุถนอม...แค่นั้นแหละ

“เฮ้ย! ไอ้นิว...แม่เมิงมา” เสียงใครไม่รู้ตะโกนมาตรงที่เรานั่งกัน (อยู่สองคน)

ครับพี่เขาชื่อนี้แหละ...เท่ห์ใช่ม้า แล้วยังคล้องจองกับผมด้วยสิ ผม...นู...ครับ

ผมเหลียวไปดูตามทางที่เขาบอก...

คงไม่คิดหรอกนะว่า คุณแม่ของพี่นิวจะมาจริงน่ะ

เปล่สครับ ก็หวานใจพี่เขานั่นแหละที่มาน่ะ ผมล่ะเกลียดหน้า ไม่อยากเจอเลยให้ตาย

 คิดได้เท่านั้นผมก็ออกจากเน็ตแล้วคืนโน้ตบุ๊คพี่เขาไป

“อ้าว! เสร็จแล้วเหรอ เร็วจัง”

“ป่าวหรอกครับ ผมไม่มีอารมณ์แล้ว ขอบคุณมากครับพี่”

เห็นหน้าเหวอ ๆ ของเขาผมก็รู้ว่าเขาคงงงใช่เล่น....แต่ช่างหัว....

ผมไม่อยากอยู่แถวนี้ให้มันบาดหูบาดตา บาดอารมณ์อีกแล้ว

รู้สึกเจ็บหนึบ ๆ ปวดหน่วง ๆ ในหัวใจขึ้นมาทันที ไม้ตายผมก็เลยไม่ได้งัดเอามาใช้ซะที




หลังจากวันนั้น เราก็เดินสวนกันในโรงเรียนมั่ง เจอกันจังหน้าในห้องสมุดมั่ง

เจอเขาคนเดียวมั่ง กับแฟนมั่ง

ครั้งไหนผมอยากทักผมก็ทัก ถ้าไม่อยากทักผมก็เดินหนีไปเสียอีกทาง ไม่พาตัวเข้าไปใกล้

บอกตรง ๆ ว่า ผมอยากจะร้องไห้ เวลาที่เห็นพี่เขากับแฟนเดินควงกันให้เห็น



จนกระทั่งผมได้โควต้าเรียต่อม.4 โรงเรียนเดิม ผมก็ยังคงเห็นพี่นิวแทบทุกวัน

ยิ่งอยู่ชั้นม.ปลายอย่างนี้ เราก็ยิ่งใกล้ชิด เพราะเรียนอยู่ตึกเดียวกันแทบทุกวิชา

บางครั้งผมยังได้เรียนห้องติดกับเขาด้วยซ้ำไป แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสำหรับผม

พี่นิวยังควงหวานใจอยู่ทุกเย็น ส่วนผมก็พยายามที่จะไม่สนใจเวลาที่เห็นเขาควงกัน (ก็มันปวดใจนี่ครับ)



แล้วเย็นวันหนึ่ง เป็นวันที่ผมไม่ต้องไปเรียนพิเศษ เพราะอาจารย์ติดธุระด่วน

กำลังคิดว่าจะไปไหนต่อดี นี่ถ้ารู้ล่วงหน้าผมก็คงจะไปไหนต่อไหนกับเพื่อนในกลุ่มไปแล้ว

แต่ถึงจะรู้ตอนนี้ผมก็ตามไปทันเพราะผมรู้ว่าพวกมันไปอยู่ที่ไหน เพียงแต่ตอนนี้...ผมอยากอยู่คนเดียวเท่านั้นเอง

ผมออกจากประตูโรงเรียนเดินเลียบริมรั้วผ่านซุ้มการเวกทึบ ๆ ที่อยู่ข้างรั้ว

หางตามองเห็นเงาของใครคนหนึ่งช่างคุ้นตาผมเหลือเกิน

ซึ่งถ้ามองจากด้านในโรงเรียนก็คงไม่เห็น เพราะซุ้มนี้แอบมุมตึกอยู่

และเวลาเลิกเรียนอย่างนี้ มุมนั้นเป็นจุดที่ไม่ค่อยจะมีใครเข้าไปนั่งเล่น และใคร ๆ ก็กลับกันจะหมดโรงเรียนแล้ว

ผมเดินย้อนกลับเข้าไปในโรงเรียนทันที

“พี่มานั่งทำอะไรตรงนี้ครับ ทำไมยังไม่กลับบ้าน”

พี่นิวหันหลังให้ผมทันที จากทีแรกที่นั่งหันด้านข้าง

“นั่งเล่นน่ะ”   เสียงเขาแปลก ๆ นะผมว่า ยังกับคนเพิ่งร้องไห้แน่ะ

“แล้วแฟนพี่ล่ะ”   ผมรู้ว่าแฟนเขาชื่อมุก แต่ผมไม่อยากเรียกให้สะเทือนใจตัวเอง

“แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย”   พี่เขาตวาดผมครับ

เอาล่ะสิ ! ผมได้กลิ่นแหม่ง ๆ ละ ผมรู้จักเขา (ข้างเดียว) มาสี่ปี แทบจะไม่เคยเห็นเขาขึ้นเสียงหรือว่าแสดงอารมณ์กับใครเลย

“ผมเป็นห่วงพี่นะครับ พี่นิวไม่สบายหรือเปล่า ให้ผมไปส่งที่บ้านไหม”

“ไม่ต้องยุ่งได้ไหม”    คราวนี้เสียงเขาอ่อนลงมาแล้วครับ ผมก็เลยได้ใจ วางกระเป๋าหนังสือบนโต๊ะแล้วนั่งข้างเขาเลย

“พี่มีเรื่องอะไรบอกผมได้ป่ะ เผื่อผมช่วยพี่ได้นะ”

เขาถอนหายใจแล้วบอกว่าผมคงช่วยอะไรเค้าไม่ได้ จากนั้นก็ทำท่าจะลุกหนีผมไป แล้วมีเรอะที่ผมจะยอม

“พี่รู้ได้ไงว่าผมจะช่วยไม่ได้ ลองพูดมาหน่อยดิ”

พี่เขาหันมาให้ผมเห็นเต็ม ๆ ตา ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดไม่ผิดที่พี่เขากำลังร้องไห้

ตาทั้งสองข้างเค้าแดงก่ำทีเดียวครับ ผมเห็นแล้วใจแทบสลาย

“พี่นิวเป็นอะไร ใครทำพี่”   ผมขยับเข้าไปใกล้ด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกเขาผลักอกออกมา

“นายไม่ต้องมายุ่ง ไปให้พ้น ๆ หน้าฉันเลยไป”

“ทำไมพี่ทำกับผมยังงี้ ผมเป็นห่วงพี่มากรู้มั้ย ถึงพี่จะเกลียดผม แต่ผมก็ไม่แคร์ ขอแค่พี่เห็นผมอยู่ในสายตาบ้างก็พอ”

ผมพูดไปน้ำตาก็พาลจะร่วงเสียให้ได้

“เฮ้ย! นี่นายเป็นบ้าอะไรวะ”

เขาเดินถอยห่างจากผมไปก้าวหนึ่ง สายตาที่มองมาบอกความสับสนและตกใจ

แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ได้โกรธรึว่าเกลียดผมหรอก แล้วตอนนี้เครื่องผมก็ร้อนเต็มทีแล้ว

“ถ้าการที่ผมรั...ชื่นชมพี่เป็นความบ้าล่ะก้อ ผมก็บ้ามานานแล้วล่ะ”

 ผมยังไม่กล้าที่จะหลุดคำที่สุดพิเศษออกไป อยากจะหยั่งท่าทีของพี่เขาก่อน

(นี่ขนาดกำลังติดโหมดเศร้านะตรู)

“เอ้อ...”   พี่เขาอึ้ง ๆ ครับ แต่หน้างี้แดงเลย

“พี่นิว พี่มีปัญหากับแฟนพี่ใช่ป่ะ”   ผมแกล้งจี้ให้ตรงประเด็น

“แล้วจะทำไม”

“เค้ามีแฟนใหม่เหรอ”

แค่นั้นแหละครับ บ่อน้ำตาแตกเลย พี่นิวของผม

เขาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม สองมือกุมหัวก้มหน้าก้มตาไม่มองผมซักนิด

แล้วผมก็เห็นว่าพี่เขาตัวสั่นสะท้าน เพราะสะอื้นอย่างรุนแรง แต่เขาก็ไม่ถึงกับปล่อยโฮออกมา (แมนจริง ๆคับพี่)

ผมเดินเข้าไปนั่งชิดเขาเลย พยายามเต็มที่ที่จะแสดงอาการให้เขาเห็นว่าผมเห็นใจเขา

และเขาก็ยังมีผมอยู่ไม่ทิ้งไปไหน (เผื่อพี่ไม่มีใคร จะได้มองเห็นผมเป็นคนแรกครับ)

ผมกล้า ๆ กลัว ๆ ยื่นมือไปโอบบ่าเขา ตบเบา ๆ เพื่อปลอบโยน ได้ผลครับ

คราวนี้พี่นิวหันมาซบไหล่ผม ร้องไห้จนน้ำตาเปียกเสื้อผมหมดเลย ผมรู้สึกสงสารพี่เขาจับใจ ที่ต้องตกอยู่ในความทุกข์ขนาดนี้

ขณะเดียวกันผมก็นึกอิจฉา ที่พี่นิวรักมันมาก ถึงกับเสียน้ำตาเพราะปัญหาความไม่เข้าใจกัน

(ผมคิดเอาเอง ก็มันจะอาไร้ถ้าไม่ใช่เรื่องแบบนี้) แล้วผมก็นึกโกรธที่มันเป็นเหตุให้พี่เขาเสียน้ำตา...

คอยดูนะเมิง ได้ทีล่ะ ตรูจะแก้แค้นให้สาสมเชียว ค่าที่ทำให้สุดที่รักของตรูต้องหลั่งน้ำตา

“อย่าเสียใจไปเลยครับพี่ พรุ่งนี้แฟนพี่ก็คงหายงอน กลับมาดีกันเหมือนเดิม”   แล้วผมก็ต้องทนดูภาพบาดตาต่อไป

“มุกเค้าไม่ได้งอนหรอก”   อ้าว...แล้วมันไรกันฟระ

“เค้า...ไป....มี....แฟน...ใหม่แล้ว”   พี่เขาสะอึกสะอื้น พูดตะกุกตะกัก แล้วน้ำตาก็เทลงมาบนไหล่ผมอีกอย่างทะลักทะลาย

ผมก็....อะฮ้า...เยส...เสร็จตรู

กลิ่นกายผสมโคโลญจ์กลิ่นอบอุ่น (มันให้ความรู้สึกยังงี้จริง ๆ นะ) ลอยอบอวลเข้าจมูกผม

...เฮ้อ....ชื่นใจอย่าบอกใคร....ผมสูดเอากลิ่นพี่เขาเข้าไปเต็มปอดเลยทีเดียว

“งั้นพี่ก็หาแฟนใหม่เย้ยเค้า (มัน) เลยสิครับพี่ ถ้าเค้า (มัน) รู้ว่าพี่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ ก็จะยิ่งได้ใจนะครับ

ว่าตัวเองยังเสน่ห์แรงอยู่จนพี่เลิกรักไม่ได้”

“ก็มันจริงนี่”   อ้าว! ไหงงั้นล่ะครับพี่

ผมก็สุดปัญญาจะปลอบแล้วครับ ถ้าพี่เขายังตัดใจไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้อีกแล้ว

นอกจากจะแปลงร่างเป็นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูให้พี่เขาซับน้ำตาไปพลาง ๆ

วันนั้นกว่าจะกลับบ้านกันได้ก็โพล้เพล้ล่ะครับ ผมไปส่งพี่นิวที่บ้าน เพราะว่าบ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียน

ก็เลยเข้าบ้านไปเอามอร์เตอร์ไซค์ขี่ไปส่ง

(แผนผมที่จะได้รู้จักบ้าน)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: artit ที่ 27-09-2012 23:48:02
นี่ขาดไม่มีเล่ห์เหลี่ยมนะ จะรู้จักบ้านเค้าซะแล้ว  :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 27-09-2012 23:55:44
น้อยมากที่จะเห็นผู้ชายร้องไห้มากมายขนาดนี้ แสดงว่าพี่นิวต้องรักแฟนมากแน่ๆ เลย
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเค้าเลิกกันแล้ว นี่ล่ะโอกาสทองของเรา

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ปล. คำผิดน้อยมาก แถมจัดเรียงวรรคและบรรทัดดี อ่านง่ายมากเลยค่ะ ขอชื่นชม
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 28-09-2012 00:01:22



หลังจากวันนั้นต่อมาอีกหลายวันผมก็ไม่ค่อยได้พบพี่นิว เพราะพี่เขาต้องไปเข้าค่ายพุทธศาสนาซะห้าวัน

ส่วนผมก็ไปเข้าค่ายพฤกษศาสตร์ซะสองวันหลังจากที่พี่นิวกลับมาเรียนแล้ว

สวนกันไปสวนกันมาเลยไม่เจอกันซะที

ดังนั้นวันแรกของการไปโรงเรียนของผมก็เลยเจอเรื่องประหลาดใจ

“นู”   เสียงคุ้น ๆ เรียกผม ดังมาจากซุ้มการเวก (ที่เดิมที่เราเคยซบกัน 5555)

แต่คราวนี้เป็นตอนเช้าขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าประตูโรงเรียน

“พี่นิว”

ผมเห็นพี่เขาผมดีใจบอกไม่ถูก ไม่เห็นหน้ากันแค่ไม่กี่วัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกคิดถึงเขามากขนาดนี้ก็ไม่รู้

มากถึงขนาดที่ผมอยากจะเข้าไปกอดพี่เขาแน่น ๆ แล้วก็สูดดมกลิ่นกายที่ผมชอบนักหนาให้เต็มปอด

“เป็นไงไม่เจอซะหลายวัน”

“ก็ดีครับพี่ แล้วพี่ล่ะ สบายใจขึ้นมั่งยัง”

หวังว่าคงไม่ไปสะกิดใจพี่นะครับ ผมแค่อยากได้ยินว่าพี่เลิกกะเขา (มัน) แล้ว

“ก็ดีขึ้นนะ ขอบใจนายมากนะนูที่ปลอบใจพี่เวลาที่พี่ไม่มีใคร”

ผมยิ้มเขิน ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

“ไปกันเถอะ พี่จะเดินไปส่งที่ห้อง”

เอ๋!...อารายฟระเนี่ย

“เอ่อ...พี่ไม่มีธุระอะไรกับผมหรอกเหรอ”

พี่นิวส่ายหน้าแถมยังยิ้มให้

โอ...โลกมันสว่างขึ้นคาตาผมเลยนะเนี่ย แล้วหัวใจผมก็พองโตแทบคับอก ด้วยคำพูดต่อมา

“ก็แค่คิดถึงนาย ไม่เห็นซะหลายวัน”   ทำไมพี่ใจตรงกับผมอย่างงี้....


เย็นวันนั้นเรากลับบ้านด้วยกันอีก คราวนี้ผมให้พี่นิวรอผมที่โรงเรียน แล้วผมให้เพื่อนไปส่งที่บ้านก่อน

เพื่อจะเอามอร์เตอร์ไซค์ออกมาส่งพี่เขาอีกที

จะว่าไปบ้านพี่นิวก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่ ขี่รถออกนอกเมืองไปสามโลเอง

แต่ว่าละแวกบ้านพี่นิวน่ะ ขึ้นชื่อเลยว่าเป็นบ้านคนรวย...รวยจริง ๆ แบบว่าบ้านราคาล้านต้น ๆ ไปจนเกือบสิบล้านน่ะ

ใครล่ะที่จะมีปัญญาซื้ออยู่กันน่ะ แสดงว่าบ้านพี่เขาต้องรวยโคตร โคตรรวย

พอจอดรถเขาก็เดินไปเปิดประตูรั้วให้

“เอารถเข้าบ้านก่อน”

“ทำไมล่ะครับ”

“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน นูอยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนนะ กินข้าวเสร็จแล้วพี่จะไปส่ง”

เอาวะ! ส่งกันไป ส่งกันมา คืนนี้คงจะได้นอนหรอก

บ่นในใจไปงั้นแหละ ผมมันว่าง่ายอยู่แล้ว ยิ่งกับพี่นิวด้วยล่ะก็ ว่าก็นอน สอนก็ง่าย

เอ๊ย!..ไม่ต้องสอน ผมก็พอเป็นอยู่เหมือนกันล่ะครับ (คิดว่าไง ผมอายุสิบหก คงไม่หวังจะให้ผมไร้เดียงสาหรอกจริงมะ)


ทั้งบ้านมีแม่บ้านอยู่กับเด็กรับใช้อีกคนแค่นั้นแล้วเขาก็ไม่มายุ่งอะไรกับเราด้วย ยกอาหารมาตั้งโต๊ะให้แล้วก็หายไปอยู่หลังบ้าน
 
ตั้งแต่เข้ามาในบ้านพี่นิว ผมก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับความหรูหราร่ำรวย  ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฐานะทางบ้านพี่เขาจะถึงขนาดนี้

ทำให้ผมเริ่มรู้สึกเกร็งจนบอกไม่ถูก ผมกลัวใคร ๆ จะหาว่าผมอยากคบกับพี่นิวเพราะเขารวย

แต่ความจริงผมถูกชะตาพี่เขาก่อนเรื่องอื่น แค่เห็นหน้าได้สบตา ผมก็รู้สึกใจเต้น

อยากเข้าไปกอดให้หายมันเขี้ยว  จะแถมจุ๊บอีกทีก็ยิ่งดีใหญ่

ผมกินข้าวอย่างเกร็ง ๆ อยู่บ้าง เพราะนี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่พี่นิวทำตัวสนิทสนมกับผม

แต่ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้พี่นิวของผมไม่ทำตัวห่างเหินกับผมอย่างเคย

จะให้คิดว่าเป็นเพราะเรื่องเย็นวันนั้นผมก็ไม่อยากปักใจนัก

มันง่ายไปหน่อย ที่อยู่ ๆ คนที่ไม่เคยเหลียวแลกันจะกลายเป็นซี้กันได้

“เดี๋ยวขึ้นไปดูหนังข้างบนกันนะ เอ้า…กินเร็ว ๆ เข้าสิ เดี๋ยวจะดึกเกินไป”

พี่นิวเร่งผม เพราะเห็นผมยังเขี่ยข้าวในจานเล่น ที่จริงผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แต่เกรงใจที่พี่เขาชวนกินข้าว ตอนนี้ก็เลยอิ่มดีกว่า

“อ้าว เลยอิ่ม...กับข้าวไม่อร่อยเหรอ”

“ป่าวครับพี่ ผมไม่ค่อยกินข้าวมื้อเย็นน่ะ”

“โห...รักสวยรักงามซะด้วย”   แล้วพี่นิวก็ยิ้มล้อผม พร้อมกับรวบช้อนส้อมตามผมอีกคน

หลังจากนั้นเราก็ขึ้นไปบนห้องนอนพี่นิว โอ้โฮ...อลังการครับ ห้องนอนกว้างอย่างกับตึกแถวหลังย่อม ๆเลยล่ะ

มีทีวีเครื่องเบ้อเริ่มพร้อมโซฟาเบดอย่างหรู นั่งแล้วนุ่มตูดอย่าบอกใคร เครื่องเสียงพร้อมลำโพงอย่างแพง

(ผมคิดงั้นนะ เพราะว่าดีไซน์หรูมาก ลำโพงเป็นแบบขาตั้งที่ผมเคยเห็นในงานโชว์เครื่องเสียงชุดละหลาย ๆ หมื่นแหละ)

แล้วสายตาผมก็เหลือบไปที่เตียงใหญ่ดูนุ่มน่านอน อย่างที่ผมเคยเห็นในโฆษณาโรงแรมใหญ่ ๆ เลยครับ

เคยได้แต่มอง วันนี้ผมจะนอนซะให้หนำใจเลยคอยดู

เราเลือกหนังที่คิดว่าน่าจะสนุกมาดู แต่สำหรับผมก็งั้น ๆ แหละ แล้วแต่พี่นิว ผมน่ะยังไงก็ได้

แล้วผมก็มองไปที่ที่วางแผ่นดิสก์อันเล็ก ๆ อยู่ลึกเข้าไปในตู้วางของกระจุกกระจิก

“นั่นแผ่นอะไรน่ะพี่ ผมขอดูได้ป่ะ”   พูดปุ๊บผมก็เหยียดแขนออกไปหยิบปั๊บ

“เฮ้ย! ไม่ได้”  พี่นิวคว้าไปจากมือผมซะงั้น

“ทำไมอะ”

“ไม่มีไรหรอก”    แล้วพี่นิวก็เก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะล็อกกุญแจเสร็จสรรพ

มีพิรุธนะเนี่ยผมว่า....แต่เอาเหอะ ไม่อยากให้รู้ผมก็ไม่ถามต่อละ



หนังแอ็คชั่นที่พี่นิวเปิดให้ดูมันน่าเบื่อมาก ไม่ช้าไม่นานผมก็หลับ น่าจะเป็นสักกลาง ๆ เรื่องได้...

ใครดูหนังบู๊แล้วหลับเหมือนผมบ้างไมครับ....มันน่าเบื่อมากกก....ว่าไหม

ผมชอบหนังโรแมนติกนิด ๆ มีเลิฟซีนหน่อย ๆ

ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาไต่ที่หน้าจนรู้สึกรำคาญเลยเอามือปัด

แล้วเมื่อลืมตาขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าของพี่นิวลอยอยู่ตรงหน้าผมพอดี

มันใกล้ขนาดที่ผมได้กลิ่นโคโลญจ์กลิ่นอบอุ่นกลิ่นเดิม

ใกล้ขนาดที่ลมหายใจของพี่นิวรดแก้มผม

ผมเห็นแววตาตกใจของเขา แต่เขาก็ยังไม่ถอยห่างออกไป เราสองคนต่างนิ่งอยู่ในท่านั้น

....แน่ะ...จะลองเชิงผมเหรอพี่....ผมกระหยิ่มอยู่ในใจ

สายตาเขาจ้องต่ำลงมาที่ปากผม เดาเอานะว่าเขาน่าจะอยากลอง

ผมก็เลยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยการ โน้มต้นคอลงมา แล้วแนบปากผมประกบเข้าไป

มันนุ่มและอุ่นมากเลยครับ พี่นิวทำตัวแข็ง ๆ แต่ก็ยอมให้ผมจูบแต่โดยดี

ผมแค่เล็ม ๆ ก่อน ดูท่าว่าเขาคงไม่ปฏิเสธแน่แล้ว คราวนี้ผมก็ส่งลิ้นเข้าไปควานในปากเขาเลยครับ

เขาอ้าปากให้ผมดูดลิ้นแล้วยังส่งลิ้นตัวเองออกมาล้อเล่นกับลิ้นผมเข้าด้วย แบบกล้า ๆ กลัว ๆ น่ะครับ

ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ได้ยินเสียงพี่นิวครางเบา ๆ

แล้วล้มตัวลงมาบนตัวผม ซึ่งกำลังนอนเหยียดอยู่บนโซฟาเบดตัวใหญ่

ผมได้ทีก็จัดการล้วงเข้าไปใต้เสื้อแล้วลูบไล้ไปตามเนื้อตัว....ซี้ด...พี่นิวนี่เนื้อนุ่มเนียนเป็นบ้า

“นู...พอเถอะ”   พี่นิวผละออกจากผมได้ก็พูดเสียงแผ่ว ดูก็รู้ว่ากำลังยับยั้งอารมณ์ตัวเองเต็มที่

“พี่ไม่ชอบหรอกเหรอ”   ผมแกล้งถาม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาน่าจะติดใจไม่มากก็น้อยล่ะ

“ไม่รู้สิ มันแปลก ๆ อะ”  ตอนที่เรากำลังคุยกันนี่ เขายังนอนอยู่บนตัวผมเลยนะ แล้วจะให้เชื่อได้ไงว่าเขาไม่ชอบ

“งั้นลองอีกทีนะ”  ผมไม่รอคำปฏิเสธล่ะครับ จูบเอา...จูบเอา...จนพี่นิวตัวอ่อนระทวย คราง อือ ๆ อา ๆ ไม่เป็นภาษา

อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียงก็ดังขึ้น....เฮ่อ...เสีย ‘รมณ์ หมดเลยผม...

พี่นิวตะเกียกตะกายลงจากตัวผมไปรับโทรศัพท์

“ครับ”

“......”

“ใครนะ”   เสียงนี้ฟังดูว่าเขากำลังตื่นเต้น

“ได้....ได้....เดี๋ยวนี้เลย”   อันนี้ ตื่นเต้นจนลนลานไปเลย...ผมชักหวั่น ๆ หวาด ๆ

แต่ไม่กล้าเดาว่าจะมีเรื่องไหนบ้างที่ทำให้เขาตื่นเต้นสุด ๆ ขนาดนี้

“นู วันนี้กลับบ้านก่อนนะ”  อ้าว!....

“พี่....เอ่อ...มีธุระ”
 
“ธุระที่ไหน...ปะ...ผมไปส่ง”   ผมรีบแข็งใจอาสา....อย่าได้คิดเชียวว่าผมมีน้ำใจ

ผมก็แค่อยากรู้โดยไม่ต้องถามไง....แต่เขาไม่ตกหลุม

“ไม่ต้องหรอก พี่จะเอารถออก”

รถไรฟระ...ถึงอยากรู้แค่ไหน ผมก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจนะ

แต่บอกจริง ๆ ว่าผมระแวง...ระแวงแมร่งทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ตกลงอะไรกันเลยนี่แหละใครจะทำไม

...ก็ผมรักของผมนี่

ผมสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกจากบ้าน ตอนนั้นพี่นิวยืนส่งผมแค่หน้าประตูบ้าน....ไม่ใช่ประตูรั้ว

เขากดรีโมทเปิดให้....โคตรไฮเทคเลย แต่เขารู้ไหมว่าผมรู้สึกห่อเหี่ยวในหัวใจขนาดไหน

เราเพิ่งจะหวานกันเมื่อกิ๊ (ทำเสียง..กิ๊...สั้น ๆ นะมันจะได้อารมณ์)

แล้วดูเขาทำ....ออกมาส่งเหมือนเตะหมาสักตัวออกจากบ้าน

ผมขี่รถชมวิวไปเรื่อย ๆ แต่แทนที่จะกลับทางเดิมตอนที่เข้ามา ก็ไปทางตรงข้ามซึ่งก็ไปถึงบ้านผมได้เหมือนกันแต่อ้อมหน่อย

ไม่เป็นไร กลับดึกสักนิดที่บ้านผมก็ไม่ว่า เพราะเห็นว่าเป็นลูกชาย...อิ...อิ...

(รู้ใช่แมะ...ว่าผมคิดไรอยู่....ผมรู้ว่าเรากำลังคิดเหมือนกัน)

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ลูกชายจะไม่นำเรื่องเสื่อมเสียมาให้ เหมือนลูกสาวที่บางทีก็ท้องทั้งที่ยังเรียน

บ้านผมก็คิดงั้นแหละ....แต่ผมก็ทำเรื่องเสื่อมเสียมาตั้งแต่รู้ตัวว่าผมไม่ใช่ลูกชายของพ่อกับแม่แล้ว

อย่า ๆ ๆ ๆ ..........

อย่าคิดว่าผมเสียตัวให้ใครต่อใครมาแล้วเป็นอันขาด ผมยังซิงครับ ซิงจริง ๆ แต่ภายนอกน่ะ ไม่เหลือแล้ว....

อันนี้ต้องขอ เพราะมันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้รสแล้วเลิกยาก



แต่ผมก็พยายามให้อยู่ในกรอบที่พอดี ๆ นะ แล้วถ้าผมไม่รักก็อย่าหวังว่าจะได้อะไรจากผม

ผมเชื่อในความรักครับ

ขอให้ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองว่า รักจริง ๆเท่านั้นเอง



ผมอ้อมโลกไปถึงไหนแล้วเนี่ย....อ้อ...ขี่รถอ้อมกลับบ้าน

ตลอดเส้นทางไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา เพราะเป็นถนนที่ทะลุผ่านหมู่บ้านคนรวย ๆ

มีรถคันหนึ่งแซงหน้าผมไป แมร่ง...จะรีบไปเผาแม่ยายรึไงฟระ...

ผมบ่นกับลมกับแล้ง….แล้วก็เริ่มคิดถึงเราสองคน

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Li_TKR ที่ 28-09-2012 00:30:57
ชอบนายเอก ตรงดี 555+  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 28-09-2012 00:41:34
นูทำให้พี่นิวลืมแฟนเก่าไปเลยนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 28-09-2012 18:23:30
เมื่อมาเริ่มต้น ก็ยังคงมีอยู่ในใจเสมอ ติดตามมาตลอดๆๆลงต่อๆๆไปนะครับนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 28-09-2012 21:51:52
 

ขอบคุณทุกคนพร้อมบวกเป็ดให้ครับ

เรื่องจัดหน้าผมว่ามันฟลุ้ค ๆ ในตอนแรก พอลองเปิดอ่านเองก็ว่ามันพอใช้ได้

้ถ้าถูกใจ สบายตา ก็ยิีนดีครับ

เหตุการณ์ในช่วงนี้มันนานมากแล้วนะครับ ผมคงไม่บอกอ่ะว่าเมื่อไหร่ แต่เดี๋ยวอ่าน ๆ ไปก็คงจะเดาได้เองแหละครับ

ว่าผมเองก็ใช่่ว่าจะอายุน้อยนัก  :o12: 

เหตุการณ์ทั้งหลายผมรวบรวมจากไดอารี่ที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงตอนก่อนทำงาน

ปัจจุบันนี้ไม่ได้เขียนแล้ว เพราะไม่มีเวลาครับ







จำได้ไหมที่ผมเคยบอกว่าพี่นิวเขาก็ยังไง ๆ อยู่ ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจว่าของแท้เลยล่ะ

แต่ทำไงให้เขายอมรับตัวเอง แล้วก็ยอมรับผมไปพร้อม ๆ กันนี่สิ ผมยังนึกไม่ออก

สมมติว่าเขายอมรับตัวเองแล้วนะ

เขาจะรักผมได้ไหม

ไม่ต้องรักผมเท่าที่ผมรักเขา

แต่ขอให้เขาเข้าใจ เห็นใจ และรักผมบ้าง

ผมไม่หวังอะไรมากกว่านี้เลยนะ....จริง ๆ

ผ่านย่านชุมชนจุดนี้ไปแล้วก็จะถึงหัวเลี้ยวบ้านผม

สายตาผมก็เหลือบไปที่สวนหย่อมสาธารณะ (เทศบาลสร้างให้ชุมชนได้หย่อนใจครั บ)

น่าน....ไอ้รถบีเอ็มคันที่เพิ่งจะแซงผมมามันจอดอยู่นั่น มันนัดสาวครับ

ผมเห็นผู้หญิงผมยาว ๆ ยืนตรงที่แสงไฟสลัว ๆ ส่วนไอ้ผู้ชายมันยืนหันหลังให้...

มันไม่ได้รีบไปเผาแม่ยาย แต่รีบมาหาลูกแม่ยายนี่เอง....

แล้วทำไมมันต้องนัดกันมืด ๆ ด้วยว้า...

สองคนนั้นเดินโอบกันเข้าไปในสวน ข้างในนั้นมีม้าหินให้นั่งได้ แต่มันมืดหน่อย ซึ่งผมคิดว่าสองคนนั้นต้องตั้งใจแหง ๆ
 
ไอ้ผมก็ไม่ใช่ว่าจะทะลึ่งนะ...แล้วก็อย่าเถียงว่าใครก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่อยากติดตามตอนต่อไปล่ะเป็นไม่มี

หลังจากจอดรถมอร์เตอร์ไซค์ในที่ปลอดภัยแล้ว ผมก็ค่อย ๆ แฝงตัวไปในความมืด

เอาแค่เห็นลาง ๆ พอมัน ๆ คัน ๆ แล้วที่เหลือเดี๋ยวผมเก็บไปฝันเอาก็ได้



ผมเชื่อแล้วว่ากรรมเวรมันมีจริง

อุตส่าห์ย่องตามคนคู่นั้นเข้าไป หวังแค่หย่อนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ (ที่เรียกว่าถ้ำมองอะ)

แต่ผลสะท้อนที่ตามมาทำเอาผมเจ็บหนึบจนน้ำตาร่วง

ผู้ชายคนที่ขับบีเอ็มแซงมอร์เตอร์ไซค์ของผมก็คือพี่นิวครับ แล้วถ้าให้ทายว่าใครคือผู้หญิงคนนั้น ผมว่าทุกคนคงทายถูก

ผมก็ว่าแล้วเชียว...จะมีอะไรที่ทำให้พี่นิวตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่....ฮึ่ย!

ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ....ผมเกลียดมัน!!!

ผมไม่ได้ยินที่เขาคุยกันสักนิด แต่ภาพที่เห็นกลางแสงสลัว ทำให้ผมรู้ว่า จูบของผมคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับพี่เขาเลย

ผมไม่อยู่ต่อล่ะ สตาร์ทรถได้ก็บิดซะหูดับตับไหม้ มาถึงบ้านได้ไงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

จอดรถเสร็จก็วิ่งขึ้นบ้านเข้าห้องปิดประตูขังตัวเอง....เวลาที่ผมทุกข์ใจมาก ๆ ผมจะอยู่กับตัวเองไม่พบหน้าใคร

แต่จะใช้เวลาทบทวนจนแน่ใจว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำผิดอะไร

เมื่อนั้นผมถึงจะกลับมามีความมั่นใจเหมือนเดิม แล้วกำลังใจก็จะตามมา

จนเช้า....ตอนนี้ผมพร้อมที่จะพบหน้าใคร ๆ ได้แล้ว หลังจากที่ขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งคืน

พ่อแม่กับพี่ชายเคาะประตูเรียก ผมก็ได้แต่ตะโกนกลับไปว่า ผมจะนอน


...ผมขอเนื้อที่ตรงนี้พูดถึงครอบครัวสักนิดนะครับ...

ผมอยากขอบคุณความรัก ความเอาใจใส่ ของพ่อกับแม่ แล้วก็พี่ชาย แม้ว่าเขาจะไม่มาได้ยิน

เพราะไม่มีใครในบ้านรู้ว่าผมเป็นแบบนี้...พ่อกับแม่คิดว่ามีลูกชายสองคน พี่ชายผมก็คิดว่าเขามีน้องชาย

ทุกคนทุ่มเทความรักให้ผม ทำให้ผมไม่เคยรู้สึกขาด ผมเสียอีกที่บางครั้งนึกอยากจะขอโทษที่ผมไม่ได้เป็นอย่างเขาคิด

....สักวันหนึ่งนะ...สักวันหนึ่งผมจะบอกทุกอย่างกับครอบครัว....

หวังว่าวันนั้นทุกคนจะเข้าใจ และพร้อมจะยอมรับในความเป็นผม

ผมว่าที่ผมสามารถเตรียมตัวทำใจรับความผิดหวังจากพี่นิวได้เร็วคงเป็นผลพวงมาจากความรักที่คนทั้งบ้านทุ่มเทให้ผม

ทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่าขาดความรัก

ก็แค่ผมรักพี่นิวแล้วเขาไม่รักตอบ ถึงมันจะเจ็บปวดบ้าง ผมว่าสักวันมันต้องดีขึ้น


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 28-09-2012 22:05:19
 ตอนนี้คือปัจจุบันใช่ไหมคะ

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ
แล้วถ้าเขาจะไม่คิดอะไรกับเราจริงๆ ก็ขอให้น้องนูเข้มแข็ง
เรายังมีเพื่อน มีครอบครัว มีคนที่รักเราอีกมากมาย
อย่าเสียใจไปเลยค่ะ ไม่แน่สักวันเราอาจจะเจอคนที่ดีกว่าเขาก็ได้ สู้ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 28-09-2012 22:12:01
พี่นิวจะเอาไงกันแน่นิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 28-09-2012 22:14:16


เช้านี้เป็นวันเสาร์ ปกติผมต้องไปเรียนพิเศษซะครึ่งวัน แต่วันนี้ผมไม่อยากไป ขออยู่แบบสบาย ๆ ทิ้งตัวสักวันละกัน

ทั้งบ้านไม่มีใครเลย ทุกคนออกไปทำมาหากิน

(บ้านผมมีร้านค้าอยู่ในตลาด เป็นทั้งร้านและโกดัง เลยต้องซื้อบ้านอีกหลังไว้ซุกหัวนอน)

เสียงมอเตอร์ไซค์ 3-4 คันมาจอดหน้าบ้าน โผล่หน้าออกไปดูก็เห็นเพื่อนผมมากันเป็นฝูงเลย

“เฮ้ย! นู ไปเตะบอลกันไหม”

พวกมันรู้ได้ไงว่าผมอยู่บ้าน ปกติเวลานี้ทุกคนจะรู้ว่าผมเรียนพิเศษ

“ไปเถอะว้า วันนี้มีแข่งนะเว้ย หาตังค์กินหนมกันไป”   ไอ้เข้ม เพื่อนห้องเดียวกันมันก็มา

“ที่ไหนวะ”

“โรงเรียนอะดิ วันนี้มีซ้อมเชียร์ด้วยนะโว้ย แข่งบอลเสร็จแล้วไปดูเชียร์ลีดกัน”

ใกล้ฤดูการแข่งขันกีฬาจังหวัดก็งี้แหละครับ นักกีฬาตัวแทนก็ซ้อมไป เชียร์ลีดเดอร์ก็ซ้อมไป

กลุ่มพวกผมน่ะไม่มีเอี่ยวอะไรเลยสักอย่าง ก็เลยว่างจัด นี่ก็คงหาเรื่องแข่งบอลกินตังค์กันแหงเลย

เอาก็เอาวะ....ดีกว่าอยู่คนเดียว ฟุ้งซ่านเปล่า ๆ



ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนคนหนึ่งไป ขี้เกียจขี่รถเอง

ไปถึงขอบสนามบอลของโรงเรียนแล้วผมถึงได้รู้ว่า....อยู่บ้านดีกว่าเป็นไหน ๆ

พี่นิวครับ....พี่นิวของผม เห็นเขาอย่างนี้ ถ้าเขามาคนเดียวก็ดี ผมจะได้รู้สึกดีใจบ้าง

แต่เปล่า....ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่ม้าหินใต้ต้นหูกวางริมสนาม มีพี่นิวสวมชุดพร้อมเล่นบอลยืนอยู่ข้าง ๆ

ต่างคนก็ต่างหัวเราะใส่กันอย่างมีความสุข พวกเขายังไม่เห็นผม

“วันนี้แข่งกับใครวะ”   ผมหันไปถามไอ้เข้มเพื่อนคนที่ผมซ้อนท้ายรถมันมา

“ม.5 ไมวะ”

“กูกลับนะ ไม่อยากแข่ง”

“เฮ้ย! ไรวะ มีงไม่แข่ง ทีมก็ขาดเดะ”

“เออ....มึงหาเอาใหม่เหอะ กูขอโทษ”   ผมหันหลังกลับไปทางเดิม ขณะเดียวกันไอ้เข้มก็ตะโกนบอกเพื่อร่วมทีม

“พวกมึง ไอ้นูมันไม่เล่นแล้วโว้ย มันจะกลับบ้าน เอาไงดีวะ”

สายตาหลายคู่หันมามองผมเป็นจุดเดียว

“ได้ไงวะ ไอ้นู ไหนมึงบอกว่างไง แล้วจะรีบไปไหน อยู่ก่อนสิวะ นัดนี้เราชนะแน่ถ้ามึงเล่นด้วย”

ผมหันกลับไปตอบเพื่อน ๆ แต่สายตาผมก็อดไม่ได้ที่จะมองผ่านไปที่พี่นิว

...สบตาเขาแล้ว มันเจ็บแปลบเข้าไปในทรวงอก...

ผมคิดว่ารู้สึกอย่างนี้จริง ๆ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันวูบลึกเข้าไปในอกจนรู้สึกปวดไปหมด

ฤทธิ์ของความปวดมันกำลังกระทุ้งให้น้ำตาผมไหล


ผมคิดว่าผมต้องรีบไป.....พี่นิวมองผมแต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เราสบตากันชั่วแวบเดียว

ผมบอกขอโทษเพื่อนอย่างเร็วแล้วเดินไม่เหลียวหลังอีก เสียงพวกมันด่าตามหลัง แต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว

เวลานี้ผมเป็นอะไรไม่รู้ มันอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยอ่อนแออย่างนี้มาก่อน

กับแฟนคนที่ผมเพิ่งจะเลิกกันไป ก็ไม่เคยรู้สึกเศร้าอย่างนี้ คนนั้นเราจากด้วยดี ผมยังอวยพรให้เขาพบคนดีที่ถูกใจเขาเลย

แต่กับพี่นิว....ผมรู้สึกแย่มาก ๆ จนอยากจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง

ผมเดินกลับบ้าน ระหว่างทางก็แอบหวังนิด ๆ ว่าพี่นิวจะตามมา แต่เหลียวกลับไปดูก็ไม่มีแม้แต่เงา

นี่ผมหวังอะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้หรือนี่  จนถึงบ้านผมก็ขังตัวเอง...อย่างเดิม



จนกระทั่งใกล้เที่ยง ผมถึงสะดุ้งตื่น รู้สึกเหมือนมีใครมากดกริ่งหน้าบ้าน....

เออ...นี่ผมหลับไปนานเหมือนกันนะ แต่ก็ดี ตอนนี้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

การได้อยู่คนเดียว มันดับความฟุ้งซ่านในใจได้ดีเหมือนกัน

เสียงกริ่งดังอีกหนหนึ่ง....อาจจะเป็นใครที่มาหาพ่อแม่กับพี่ชาย ไม่ใช่เพื่อนผมหรอก

เพราะถ้าเป็นพวกมัน ผมจะได้ยินแต่เสียงแตรรถมอเตอร์ไซค์สนั่นไปหมด จนเพื่อนบ้านตะโกนด่า

หรือไม่ก็ผมเดินออกไปให้มันเห็นหน้า มันถึงจะหยุดกดแตรรถ

เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นพี่นิว....เขารู้จักบ้านผมหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ

แต่คนที่ประตูรั้วไม่ใช่คนอื่น....ไม่ใช่ใครที่ผมหวังจะให้เป็น แต่เป็นไอ้เข้มเพื่อนผมเอง....

อ้อ! มันไม่เอารถมา เลยไม่มีแตรให้กด....ไอ้เวร แล้วจะมากวนตรูทำไมเนี่ย...

“มีไรวะ”    ผมเดินไปเปิดประตูให้มัน จนมันเดินเข้ามาในบ้านถึงได้ตอบคำถามของผม ไอ้นี่มันกวนส้นผมจิง ๆ

“หิวข้าว”

“แล้วมึงเสือกมาบ้านกูจะมีอะไรให้กิน ที่ถูกน่ะมึงต้องซื้อเข้ามาเผื่อกูรู้ป่าว”

ผมตบกะโหลกมันเบา ๆ มันกับผมสนิทกันมาก เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่เข้าใจกันมากที่สุด

แต่สนิทกันแค่ไหน เรื่องลับสุดยอดของผมมันก็ไม่เคยรู้

“แล้วใครบอกมึงว่ากูมามือเปล่า”   มันมองผมค้อน ๆ แล้วล้วงถุงที่อยู่ในเป้ใส่เสื้อผ้าออกมา

“ข้าวหมูแดงเจ้าอร่อยที่มึงชอบไง”   แล้วมันก็เดินเข้าครัวไปจัดการเทใส่จาน

น้ำใจมันดีจริง ๆ เพื่อนคนนี้ เราคบกันมาตลอดสี่ปีเข้านี่แล้ว ผลัดกันแสดงน้ำใจครับ เดี๋ยวจะว่าผมเอาของมันข้างเดียว

ผมให้มันยืมเงินบ่อย ๆ ไอ้เข้มมันหน้าหม้อ ใช้เงินเปลืองเพราะผู้หญิงเรื่องเดียวจริง ๆ

แต่จนบัดนี้ผมไม่เห็นมันจะเผด็จศึกใครได้สักคน มีแต่หลอกกินของมัน

หลอกให้มันซื้อของให้ พาไปเที่ยว ไปดูหนัง แต่มันก็อยู่มาได้ ไม่เคยโศกเศร้ากับใครเขา

กินข้าวเสร็จไอ้เข้มก็กลับ แค่นี้เองที่มันมาหาผม แค่ซื้อข้าวมากินด้วยกัน

ก่อนกลับมันลุกขึ้นยืนแล้วลูบหัวผมเบา ๆ

“หายป่วยเร็ว ๆ นะโว้ย ยังไงกูก็เป็นเพื่อนมึงทั้งคน  มีไรขอให้บอก ช่วยได้...ไม่ได้ ไม่รู้ แต่กูก็รอให้มึงพูด”

แล้วมันก็เดินออกจากบ้านไป  อะไรของมันวะ ผมไม่ได้ป่วย ผมแค่....เอ๊ะ หรือว่าอาการที่ผมเป็นอยู่จะเรียกได้ว่าป่วยใจ

....แล้วไอ้เข้มมันรู้อะไรบ้าง

....ไม่หรอก....

ผมไม่เคยบอกใคร ไม่เคยแสดงพิรุธให้ใครเห็นว่าผมไม่เหมือนเพื่อนผู้ชายในกลุ่ม เรื่องที่ผมเคยมีแฟนพวกมันยังไม่รู้เลย

เพราะแฟนผมจะเป็นคนนอก ถ้าไม่เด็กช่างก็เรียนมหาวิทยาลัยนู่น…ช่างหัวมัน....ผมมั่นใจว่ามันไม่รู้


มีคนมากดกริ่งอีกแล้ว ไอ้เข้มมันลืมอะไรหรือเปล่า ไอ้นี่ขี้ลืมครับ

มาที่บ้านผมบางทีก็ทำของตก ๆ หล่น ๆ ไว้  ต้องแวะกลับมาเอารอบสองทุกที

“คราวนี้มึงลืมอะไรอีกอะ”   ผมตะโกนออกไปก่อนจะเห็นตัว

“พี่นิว”  ผมออกเสียงได้แค่ลมผ่านปากเท่านั้น

อยากจะว่าตัวเองตาฝาด แต่ผมก็รีบไปเปิดประตูรั้วอย่างรวดเร็ว (กลัวเขาเปลี่ยนใจ)

“ขอพี่เข้าไปคุยข้างในได้ไหม”

“ครับ...ครับ”

โอ...พระเจ้า ได้ยินอย่างนั้นผมแทบจะอุ้มเขาเข้าบ้านไปเลยล่ะครับ

หัวใจผมเต้นตูมตาม โครมคราม แทบจะกระแทกออกมานอกอกอยู่แล้ว

ผมก็เลยต้องใช้มือกดเอาไว้กลัวว่ามันจะทะลุออกมาจริง ๆ (บ้าไปแล้วผม)

ประสาทผมกำลังสั่นอย่างรุนแรง มือผมก็สั่น เท้าที่ก้าวเดินก็สั่น

“มีใครอยู่บ้านรึเปล่า”   พี่นิววางกระเป๋าใส่เสื้อผ้าลงบนเก้าอี้ หันมามองเต็ม ๆ ตา

“ผมอยู่คนเดียว เค้าไปขายของที่ร้านกันหมด”

เท่านั้นแหละ พี่นิวก็เดินเข้ามากอดผม.....

เขากอดผมทั้งตัว ผมงงจนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้

พอตั้งสติได้ผมก็กอดตอบ พี่นิวก็เลยกอดผมแน่นขึ้นจนกลายเป็นรัดซะผมแทบหายใจไม่ออก...

แต่ดีครับ อุ่นอกอุ่นใจดีจัง ผมก็เลยยืนนิ่งให้เขากอดจนพอใจ แล้วเราก็มานั่งคุยกันที่เก้าอี้รับแขก

“ไม่โกรธพี่ใช่ไหม”

“ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมโกรธ”

“ก็...นูเดินหนีกลับบ้าน ไม่แข่งบอล”    แน่ะ...รู้

ผมพูดไม่ออก เพราะมันจริง แต่พี่นิวรู้ว่าผมโกรธก็ยังไม่สนใจ ทำเหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา

แล้วตอนนี้จะมาทำเหมือนแคร์ผม ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ อะไร ๆ มันดูคลุมเครือ ผมอ่านเขาไม่ออก

เขากอดผมเหมือนว่ารัก เหมือนจะแคร์ แต่เมื่อคืนนี้ที่ผมเห็นที่สวนหย่อม มันคืออะไร

“มุกเค้ามาดูซ้อมเชียร์ลีดน่ะ มากันทั้งทีมเลย เราก็แค่ทักทายกันเฉยๆ”

แน่ใจเหรอพี่ว่ามันแค่นั้น ผมไม่ชอบโกหก ผมอาจจะเจ้าเล่ห์นิดหน่อย แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยร้ายแรงกับใคร

แล้วตอนนี้ผมกำลังถูกโกหกรึเปล่า

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

“แต่พี่รู้ว่านูไม่พอใจ”

“ก็ถ้าผมจะไม่พอใจ พี่จะแคร์อะไร จะมาสนใจผมทำไม มันไม่ได้ทำให้ชีวิตพี่เสียศูนย์อยู่แล้วนี่”

แต่ผมน่ะเสียศูนย์หมดแล้ว ความมั่นใจในตัวเองมันหดหายไปหมดเลย จิตใจผมก็แกว่ง ๆ ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไง

“อย่าพูดอย่างนั้น”    พี่นิวลุกจากเก้าอี้ที่เขานั่งมานั่งเบียดกับผมบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

“นูรู้ได้ไงว่าพี่ไม่เสียศูนย์ ทำอะไรกับพี่ไว้ลืมแล้วใช่ไหม”

พี่นิวจ้องตาผม ผมเห็นแววตาที่แสดงความเสียใจ แค่นั้นก็ใจอ่อน ก็มันรักเขาอยู่แล้ว อะไร ๆ ก็ยอมได้หมดแหละ

แล้วพี่นิวก็เป็นฝ่ายเริ่มจูบผมก่อน ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ผมว่าการจูบมันคงเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งนะ

เพราะผมแน่ใจว่าเมื่อคืนนี้เป็นจูบแรกของเขา (ว่าง ๆ จะลองถามดูว่าจริงหรือเปล่า)

แต่วันนี้ผมกลับเป็นฝ่ายถูกจูบ พี่นิวจูบผมอย่างจริง ๆ จัง ๆ แบบที่เรียกว่าบดขยี้กันเลยทีเดียว

ผมก็ได้แต่จูบตอบ เพราะเค้าเล่นทำตัวเป็นฝ่ายรุกไล่ผมซะแล้ว

พอหนำใจก็ผ่อนแรงลงเป็นไล้ลิ้นเขาไปทั่วริมฝีปากของผมเบา ๆ ยังกับปากผมเป็นไอติมยังไงยังงั้นเลย

มันก็วาบหวามดีเหมือนกันแหละ เรากอดกัน ลูบไล้กัน แลกจูบกันไปมาอยู่นาน ก็เปลี่ยนกิจกรรมเป็นดูโทรทัศน์แทน

ผมนั่งบนพื้นโดยมีพี่นิวหนุนตักอย่างสบายอารมณ์

ผมก็แสนจะสุขใจ วันนี้เป็นวันดี ๆ ของผมจริง ๆ ผมหวังว่าจะได้พี่นิวคืนมา

แม้ว่าเราจะยังไม่เคยพูดตกลงกันว่าอะไรเป็นอะไร แต่ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของเราตอบรับซึ่งกันและกันแล้ว

แต่เรื่องที่ยังค้างคาในใจของผมก็ใช่ว่าจะจางหายไป เพียงแต่ผมเลือกที่จะไม่พูดให้พี่นิวลำบากใจที่จะตอบ

แถมยังทำให้ผมอาจจะต้องเจ็บปวดกับคำตอบนั้นด้วย

ผมขออยู่กับความคลุมเครือนี่ไปก่อนสักพัก แล้ววันหนึ่งถ้าผมเข้มแข็งพอผมก็จะเคลียร์มันด้วยตัวเอง


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 28-09-2012 22:24:15
พี่นิวคลุมเครือมาก หรือพี่แกกำลังสับสนว่าจะมีแฟน ญ หรือ ช ดี รอดูต่อไป เหอๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ 28.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-09-2012 22:59:33

กรุณา แก้ไขชื่อเรื่อง ให้สะกดถูกต้องตามหลักภาษาไทยด้วยคะ

ขอบคุณที่ให้ความร่วมมืออย่างดี

เจ้สอง  โมดุฯห้องนิยาย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 30-09-2012 21:53:09



ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปอย่างเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เราเคยปฏิบัติต่อกัน

จะเปลี่ยนไปก็ตรงที่เราแยกออกมาจากลุ่มบ่อยขึ้น

โดยเฉพาะตอนเย็นเลิกเรียนแล้ว ผมจะไปขลุกอยู่ที่บ้านพี่นิวจนดึก พี่นิวก็ขับรถมาส่งผมที่บ้าน

.......ผมก็เล่าข้ามไปหน่อย....


 หลังจากที่เราเข้าใจกันแล้ว ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งพี่นิวที่บ้านทุกเย็น จนวันหนึ่งแม่ของพี่นิวบังเอิญอยู่บ้าน

 พอเห็นลูกชายลงจากรถเท่านั้น ด้วยความรักความเป็นห่วงกลัวจะเกิดอุบัติเหตุเนื้อหุ้มเหล็ก

ก็เลยอนุญาตให้เอารถบีเอ็มคันที่ผมเห็นเมื่อคืนนั้นมาใช้ได้

ปกติรถคันนั้นแม่พี่นิวใช้เป็นประจำเวลาที่ไม่ได้ออกต่างจังหวัด (ผมไม่เคยรู้ไม่เคยถามว่าครอบครัวเขาทำมาหากินอะไร)

ทีนี้ก็เลยยกให้พี่นิวใช้ถาวร พี่นิวก็ขับรถไปรับผมที่บ้านทุกเช้าแล้วเราก็ไปโรงเรียนพร้อมกัน

ชีวิตของผมช่วงนี้มีความสุขสดชื่นที่สุด
 
เราอยู่ด้วยกันทุกวันเป็นเวลานาน ๆ ยกเว้นก็ตอนที่อยู่ในโรงเรียนที่เราจะไปอยู่กับกลุ่มของใครของมัน

นอกนั้นเวลาของเขาจะเป็นของผม และเวลาของผมก็มีแค่เขาคนเดียว


ดูเหมือนว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งนะ...

แต่ผมรู้ดีตลอดเวลาว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างเราให้มาคู่กัน หญิงก็ต้องคู่กับชายเท่านั้น

ผมทำใจยอมรับมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าผมเป็นอะไรแล้วว่า ชีวิตนี้ผมอาจจะไม่มีผู้ชายเป็นของตัวเอง

ดังนั้นช่วงเวลาที่มีความสุขผมจะถนอมมันไว้เป็นอย่างดี
 
แม้ว่าผมจะไม่เคยมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับพี่นิว

แต่ผมก็ไม่เคยเอ่ยปากถามให้เขาระคายใจ

ซึ่งก็พอ ๆ กันกับที่ผมไม่เคยมั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างเราว่าจะยืนยาวแค่ไหน
 
แต่ก็อย่างที่บอก ผมพอใจแค่วันนี้ เท่านี้...เท่าที่พี่เขาจะให้ผมได้ก็พอ

อยู่ ๆ วันหนึ่งตารางชีวิตของผมกับเขาก็คลาดเคลื่อน

“นู วันนี้พี่ติดธุระ นูกลับบ้านก่อนนะ แล้วพี่จะโทรไปหา”

ไม่เรื่องมากหรอกผม บอกแล้วว่าให้เท่าไหร่ก็รับเท่านั้น เขาคงมีธุระจริงๆ ไม่ก็อาจจะอยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง....

ก็ ...โอเค

รุ่งขึ้นผมพบไอ้เข้มที่หน้าประตูโรงเรียน เช้านี้ผมเดินมาโรงเรียนเอง เพราะพี่นิวยังไม่โทรหา

พอได้เวลาออกจากบ้านผมก็ไม่รอเขามารับละ

เราเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องเรียน

“ทำไมวันนี้เดินมาวะ พี่นิวไปไหน”

“ไปธุระมั้ง ไม่รู้ดิ ไม่ได้บอก....ทำไม”

“ป่าว พอดีกูเจอพี่นิวเมื่อคืนที่สนามบิน”

“แล้วไง”    ผมถามไปเรื่อย ๆ แต่ในใจผมกระตุกอย่างแรง มันคงเป็นลางสังหรณ์อะไรสักอย่าง

“ก็ไม่ไงหรอก กูเห็นเค้าไปรับแฟนน่ะ”

“แฟนที่ไหน กูไม่เห็นพี่นิวจะมีแฟน”   ผมทำเป็นลืมผู้หญิงคนนั้น อาจจะเป็นเพราะใจไม่อยากรับรู้ด้วยก็ได้

“อ่าว! มึง...ก็ยัยมุกไง ไรวะมึงออกจะสนิทกับเค้า ไม่รู้รึไงว่าเค้ามีแฟน”

รู้สิโว้ย ตรูน่ะรู้ยิ่งกว่าใครซะอีก แล้วนี่จะมาพูดให้ตรูช้ำทำไมฟระ

“อ้อ! ลืมไป ยัยมุกมันดร็อปไปเรียนต่างประเทศมาเทอมนึง สงสัยมึงคงลืม”

เรียนต่างประเทศเหรอ?

ตรูไม่ได้ลืมหรอกไอ้เข้ม แต่ตรูไม่เคยรู้

พี่นิวไม่เคยบอก....ผมก็ไม่เคยถาม
 
มิน่าล่ะ พักนี้ถึงได้มีเวลาให้ผมไม่อั้น....

แล้วต่อไปนี้ เวลาเหล่านั้นก็คงไม่เหลือมาถึงผมแล้วใช่ไหมครับ...พี่นิว



วันทั้งวันผมไม่เจอพี่นิว ไม่รู้ว่าพี่เขามาเรียนหรือเปล่า แต่ก็ช่างเขาเถอะ

ผมยังไม่รู้เลยว่าจะมองหน้าเขายังไง....ทั้งที่ความจริงน่าจะเป็นเขาที่พูดคำนี้

ผมซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองมาตลอด แล้วผมก็ซื่อสัตย์กับเขาเสมอ

ตั้งแต่ผมสนิทกับเขา และเราได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมไม่เคยมองใครอีกเลย....

นึกมาถึงตรงนี้น้ำตาจะไหลซะอีกละ

ทำไมเดี๋ยวนี้บ่อน้ำตาตื้นจังวะไอ้นูเอ๊ยยย

“ไอ้นู”   มีคนตบไหล่ผมจากด้านหลัง ไอ้เข้มน่ะเอง

“วันนี้กูไปกินข้าวบ้านมึงนะ”

ผมไม่พูดอะไร ก็ตามใจมึงสิวะ

พอเข้าบ้านไอ้เข้มก็เดินเข้าครัวเฉยเลย

“วันนี้กูจะทำกับข้าวเลี้ยงมึง”

“ทุ้ย!...กูตะหากที่เลี้ยงมึง นี่บ้านกู กับข้าวก็ของกู”

“เออ...แต่กูเป็นคนทำโว้ย ลำพังมึงมีปัญญาเหรอ ห่าเอ๊ย!”   ไอ้เข้มพูดไปหัวเราะไป ก็พอจะทำให้ผมหัวเราะออกมาได้บ้าง

อย่านึกว่ากับข้าวจะวิลิศมาหรานะ ไข่เจียวครับ....ไข่เจียวที่ตีให้แตกฟองแล้วเหยาะน้ำปลาแหละ ไม่มีเครื่องปรุงอื่น

“กูก็ทำเป็นแค่นี้แหละ มึงจะแดกป่ะล่ะ”

“เออ...กูกินเพราะเสียดายของหรอกวะ”

ข้าวร้อน ๆ กับไข่เจียวก็อร่อยขึ้นมาได้ด้วยน้ำใจของคนทำ ไม่ใช่ว่าผมเจียวไม่เป็นนะ

แต่เวลาอยู่คนเดียว ผมขี้เกียจแฮะ บอกตรง ๆ แต่ถ้าอยู่กับพี่นิว ผมคิดว่าผมอาจจะทำให้เขากินได้เหมือนกัน

...แต่ต่อไปนี้คงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว คิดขึ้นมาน้ำตาก็พาลจะร่วงอีก

สำออยจริง ๆ เลยตรู

“เป็นไรวะ ไข่กูไม่หร่อยเหรอ”  ไอ้เข้มมันผลักหัวผมให้เงยหน้าขึ้น

“ป่าว...ไข่เจียวมึงจะให้กูอร่อยจนซี้ดปากเลยรึไงวะ”

“ก็กูเห็นมึงเขี่ย ๆ ข้าว กินไปไม่กี่คำเอง ถ้าไม่อยากกินฝีมือกูมึงก็ไม่ต้องฝืนก็ได้นะโว้ย”

ไอ้เข้มซัดช้อนส้อมลงในจานดังเคร้ง คว้าจานกระเบื้องเนื้อหยาบ ๆ ไปกระแทกลงในซิงค์ล้างจานดังโครม

....ไรของมันฟระ...

มันเดินไปนั่งหน้าโทรทัศน์ ฮี่โถ่...นึกว่าจะกลับบ้าน แต่ดูมันงอน ๆผมนะ ผิดวิสัยของไอ้เข้มจริง ๆ

ผมเก็บโต๊ะเก็บจานล้างให้เรียบร้อยแล้วเดินตามออกไปนั่งด้วยคน

“เป็นไรวะมึง ทำหน้าเป็นตูด”

มันปัดมือผมที่จับหัวมันกดเบา ๆ

“ไอ้นี่...งอนเป็นสาว ๆ ไปได้”   ผมหัวเราะ แต่มันหันมาทำตาเขียวใส่ผมซะนี่

“ถึงกูจะไม่สาวก็งอนได้โว้ย....แล้วไง”   มันตะโกนใส่หน้าผม

“มึงจะสนใจกูมั่งได้ไหม กูรู้นะมึงชอบพี่นิวทั้งที่มันมีแฟนแล้ว มึงก็อุตส่าห์ไปตามดมตูดมันอยู่ได้

กูอยู่กะมึงมาตั้งสี่ปี มึงจะมองกูสักนิดก็ไม่มี กูทั้งเป็นห่วงมึง ดีกะมึง แล้วมึงเห็นกูอยู่ในสายตามั่งไหม

บอกมาหน่อยซิวะนู บอกกูที...ฮือ...”   มันร้องไห้ ส่วนผม...เอ๋อแดกครับ

ไอ้เข้มจับไหล่ผมขยุ้ม เขย่าแรง ๆ จนผมหัวสั่นหัวคลอน แล้วมันก็ร้องไห้ซะเอง อกเสื้อผมเปลี่ยนเป็นผ้าเช็ดหน้าอีกแล้ว

“มึงรู้เหรอว่ากูไม่ใช่....อย่างที่เห็น”

“เออ...กูรู้ เพราะกูมองมึงมาตลอด กูเห็นสายตามึงที่มองพี่นิวกูก็รู้แล้ว”

ผมได้แต่อึ้ง ความลับของผมไม่เป็นความลับอีกต่อไป
   
“แต่กู...กูรักมึงไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้....มึงเกลียดกูเหรอ”

   “ป่าว”

   “แล้วกูไม่ดีตรงไหน”

   “มึงดีกับกูที่สุด”

   “ก็รักกูสิ....รักกู”

   “กูก็รักมึงนะ แต่...”

   “รักกูแบบที่กูรักมึงรึป่าว”

   ผมไม่กล้าตอบ แต่ความจริงผมว่ามันก็รู้ว่าคำตอบคืออะไร เพราะมันยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่นั่น

   ไอ้เข้มกลับไปพร้อมกับตาที่แดงช้ำ ผมก็พลอยร้องไปกับมันด้วย สงสารมันก็สงสาร สงสารตัวเองก็ด้วย...

   เพราะเรามันหัวอกเดียวกัน รักคนที่เขาไม่รักเรา

   รักแล้วมันเลิกยาก....ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลา แต่ผมจะพยายาม


...ยังมีต่อครับ...
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 30-09-2012 22:22:11


หลังจากวันนั้นระหว่างผมกับไอ้เข้ม  เราก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม จะสนิทมากกว่าเดิมด้วยซ้ำนะผมว่า

เพราะเวลาของผมกลับมาเป็นของผมคนดียว แต่มีไอ้เข้มเข้ามาแจมบ้างเล็กน้อย

   สันนิษฐานของผมเป็นจริงที่ว่า พี่นิวไม่มีเวลาให้ผมอีกแล้ว เราพบกันในโรงเรียนเท่านั้น

ที่โรงอาหารบ้าง ห้องสมุดบ้าง สนามบอลบ้าง แล้วแต่โอกาส

ทุกครั้งผมจะยิ้มให้เขาก่อน แต่พอเห็นท่าเขาเดินตรงมา  ผมก็เดินหนี เป็นอย่างนั้นตลอด

ไม่มีประโยชน์ที่เราจะคุยกัน มันมีแต่จะทำให้ผมตัดใจจากเขาได้ยากขึ้น

   ผมใช้เวลาส่วนใหญ่กับไอ้เข้ม รับรู้ความรู้สึกของมัน แต่เราก็เข้าใจกันดีว่า เราคงเป็นได้แค่เพื่อน

บางทีมันก็มีหลุด ๆ โอบไหล่ผมลูบไหล่ผมบ้าง ผมก็ไม่ถือ เพราะมันก็ไม่ได้มากจนเกินไป

ผมกลัวอย่างเดียวว่าเพื่อนในกลุ่มคนอื่น ๆ จะรู้แค่นั้นเอง


   แล้วก็มีเข้าค่ายพุทธศาสนาอีกแล้ว

  ผมย้ายจากชมรมพฤกษศาสตร์มาอยู่ชมรมพุทธศาสนาตามพี่นิวตั้งแต่ขึ้นม.4 ไอ้เข้มก็ย้ายตามมาอีกคน

มาถึงตอนนี้แม้จะไม่อยากเจอหน้า แต่มันก็คงหลีกเลี่ยงให้เจอกันยาก

   “มึงอยู่ไหนกูก็อยู่นั่นแหละ อย่าห้ามกูนะ ไหน ๆ มึงก็รักกูไม่ได้ กูขอแค่นี้ละกัน”

   ผมไม่ให้ก็ดูจะเกินไปนะ...ตกลงผมกับไอ้เข้มกลายเป็นเงาของกันและกันไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องของเราอยู่ดี....แนบเนียนมั้ยล่ะตรู

   ค่ายพุทธศาสนามันก็ในวัดนั่นแล....

   วัดนี้สงบ ร่มเย็นมาก อยู่ต่างอำเภอกับบ้านผม ตั้งอยู่ริมทะเลแต่ไม่มีชายหาดหรอก

ทางวัดสร้างเขื่อนสูง ๆ กันน้ำทะเลกัดเซาะเอาไว้กันดินทะลาย ริมเขื่อนเป็นม้าหินที่ญาติโยมนำมาถวาย

วางไว้เป็นชุด ๆ เรียงรายไปตลอดแนว

   ผมเจอพี่นิวตั้งแต่ตอนขึ้นรถแล้วครับ ผมยิ้มให้อย่างเคย แต่ไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาทัก

ไอ้เข้มก็เหมือนจะเป็นใจ ไม่ยอมอยู่ห่างผมเลย ใจผมน่ะอยากอยู่ใกล้เขา แต่อีกใจหนึ่งก็พยายามเตือนตัวเองตลอดเวลา

....อยากช้ำกว่านี้รึไงวะไอ้นู?

   เราเข้าพักในเรือนนอนสองชั้น ปลูกติดกับชายทะเล แต่ไม่ได้หันหน้าเข้าหาทะเล เพราะโลเคชั่นมันไม่เหมาะ

แต่ไม่เป็นไร ออกจากห้องยืนหน้าระเบียงก็มองเห็นเหมือนกัน...สดชื่นจริง ๆ เหมือนได้มาตากอากาศเลย

....ห้องพักม.4 กับม.6 อยู่กันคนละชั้น แม้ว่าจะมีห้องที่อยู่ในชั้นเดียวกันยังว่างอยู่ก็เถอะ

แบบนี้มันก็ดี จะได้ไม่ต้องพบหน้าพี่นิวให้ปวดหัวใจ

(เสือกมาลงชมรมเดียวกะเขาแล้วยังกลัวปวดหัวใจอีกนะตรู...เฮ้อ..)

   กิจกรรมวันแรกไม่มีอะไรมาก เข้านมัสการพระรองเจ้าอาวาส ส่วนเจ้าอาวาสกำลังคุยกับญาติโยมคนสำคัญอยู่

หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย เพื่อที่จะฟังเทศน์ในตอนหัวค่ำ ระหว่างที่ยังไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน

ผมกับไอ้เข้มก็เดินโต๋เต๋ไปมาในวัดนั่นแหละ เป็นครั้งแรกที่เราได้มาที่นี่ ก็เลยเดินซะเมื่อย สุดท้ายก็มานั่งพักขาที่ม้าหินริมเขื่อน

ลมทะเลพัดมาเรื่อย ๆ เย็นสบายจนไอ้เข้มเคลิ้มหลับไป แต่ผมไม่ค่อยชอบนอนกลางวันครับ ก็เลยถ่างตานั่งเล่นไป

สักพักก็มีมือมาแตะไหล่ผมจากข้างหลัง

   “พี่นิว”

   “นึกว่าลืมชื่อพี่แล้ว”   มีตัดพ้อต่อว่านะพี่

   “ไม่ลืมหรอก ผมไม่ใช่คนความจำเสื่อม”   เอาคืนไปมั่งนะ   “ไม่เหมือนบางคน ทำอะไรไว้แล้วก็ลืม”

   “ว่าพี่ใช่ไหม”

   “ผมมีสิทธิ์ไรไปว่าพี่ ผมแค่พูดถึงคนทั่ว ๆ ไปที่ตั้งใจลืม”

   “หาที่เงียบ ๆ คุยกันได้ไหม”

   “ตรงนี้ก็เงียบ”   ผมเกี่ยง พี่นิวพยักหน้าไปทางไอ้เข้มที่ยังฟุบหลับบนโต๊ะ

   “นะ ขอเวลาพี่หน่อย”   แล้วคิดว่าผมจะใจแข็งได้เหรอ....เจ็บไม่เคยจำเล้ย...ตรูเอ๊ยยย

   เราเดินห่างออกไปจนสุดเขื่อนมีม้าหินเดี่ยวตัวยาวตั้งอยู่ในพุ่มไม้รก ๆ ตัวหนึ่ง ดูเหมาะมาก

แต่ผมกะแล้วว่าพี่นิวคงสำรวจมาก่อน ไม่งั้นคงไม่ตรงดิ่งมาทางนี้อย่างกับรู้เส้นทางหรอก

   ในใจก็ได้แต่เตือนตัวเองว่า.....วัดนะโว้ย...นรกนะโว้ย....เพราะในใจผมมันเรียกร้องอยากจะกอดพี่นิวใจจะขาด

ยิ่งอยู่ใกล้แค่นี้ แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง และที่สำคัญผมต้องเตือนตัวเองว่าเขาไม่ใช่ของผม...เขาไม่เคยเป็นของผมเลย....

   “ทำไมเดี๋ยวนี้หลบหน้าพี่”

   “หลบที่ไหน ถ้าหลบพี่ผมจะมาเข้าค่ายเหรอ”  ปากแข็งอีกแล้วตรู

   “แต่ไม่ยอมคุยกัน”

   “ก็คุยอยู่นี่แงะ”   ผมตอบไป ทำหน้ากวน ๆ ไป จนพี่เขาต้องถอนหายใจ

   “คุยกับพี่ดี ๆ มั่งได้ไหม”

   “แล้วผมคุยไม่ดีตรงไหน”

   “มันไม่เหมือนเดิม”

   “หึ...หึ...”   ผมหัวเราะทั้งที่อยากจะร้องไห้ชิบ

   “จะให้ผมเหมือนเดิมข้างเดียวเหรอพี่ แล้วพี่ล่ะ ทำอย่างที่พูดได้ป่ะ”

   “นู พี่ขอโทษ ให้พี่อธิบายหน่อยนะ”

   “ไม่เอา ผมไม่อยากฟัง ช่างเหอะพี่ ผมไม่ได้คิดไรมากอยู่แล้ว ผมเตรียมใจมาแต่ต้นแล้วว่าสักวันจะเจอแบบนี้”

   “นูเข้าใจพี่จริง ๆ รึเปล่า อย่าทำอย่างนี้เลย พี่อยากบอก....”

   ไม่รับรู้แล้วว่าพี่เขาอยากจะบอกอะไร ผมสุดจะทนฟังคำแก้ตัว ถึงผมจะเตรียมใจที่จะต้องผิดหวังสักวันหนึ่ง

แต่มาตอกย้ำกันแบบนี้ มันทรมานนะครับพี่

   “ผมไม่อยากรู้ มีไรแมะ พี่จะทำไร กะใคร ต่อไปนี้เราไม่เกี่ยวข้องกัน เชิญพี่ตามสบาย ผมไปล่ะ”

    ผมรีบเดินจนแทบจะเป็นวิ่งไปที่โต๊ะเดิม ไม่ได้หันกลับไปมองอีก กลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ

ทั้งที่อุตส่าห์แข็งใจพูดออกไปทั้งที่หัวใจผมแทบจะหลั่งเลือด

   ที่โต๊ะเดิม ไอ้เข้มตื่นแล้ว มันหันมามองผมที่ทำท่ากระหืดกระหอบ (แบบว่ารีบเดินหนี)

   “ไปไหนมาวะ ทิ้งให้กูนอนคนเดียว”

   “ขอโทษ เมื่อกี้กูไปฉี่มา”   ที่จริงผมไม่ชอบโกหกเลย แต่หนนี้ขาดสติ ปากมันพาไป

   มันทำหน้าไม่เชื่อจนผมต้องรีบย้ำว่า จริง ๆ นะเว้ย มันก็ไม่ได้ติดใจสงสัย (ถึงสงสัยตรูก็ไม่บอก)


   ระหว่างเข้าค่ายผมกับพี่นิวได้พูดคุยกันแค่นั้นจนกระทั่งออกค่ายกลับบ้าน เพราะไอ้เข้มมันไม่เปิดโอกาสให้

มันไม่ยอมฟุบหลับ ผมไม่หลับมันก็ไม่ยอมนอน ผมไปไหนมันไปด้วย ทำกิจกรรมกลุ่มมันก็ขอรุ่นพี่ให้เอาเข้ากลุ่มเดียวกัน

ห้ามแยก อาบน้ำมันยังอาบห้องเดียวกับผมเลย จนใคร ๆ ทักว่ามันแอบหรือเปล่า มันก็แก้ตัวว่ามันกลัวผี...ทุกคนก็ยอมเชื่อ

แต่ผมสิครับ เวลามันอาบน้ำด้วยกันกับผม ผมก็กลัวว่ามันจะลวนลามเอา แต่ไม่เลย มันให้เกียรติผมเสมอ ไอ้เข้มมันน่ารักจริง ๆ

ทำไมผมไม่รักมันนะ....


   หลายวันต่อมามีพัสดุส่งมาถึงผมที่โรงเรียนตอนพักเที่ยง ไม่บอกชื่อผู้ส่ง และที่น่าสงสัย มันไม่ได้ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ครับ

แต่มาจากร้านค้าแห่งหนึ่ง ผมแกะดูต่อหน้าไอ้เข้ม (บางทีผมก็คิดว่าผมกะมันตัวติดกันไปแล้ว)

   “ไม่ใช่บอมบ์ใช่ไหมมึง”   ไอ้เข้มพูดติดตลก...ไอ้บ้า...เค้าไม่ให้ล้อนะเฟร้ย...เดี๋ยวมันเป็นจริงตามปากละแย่เลยนะมึง

    มันเป็น...โทรศัพท์มือถือครับ ถึงจะไม่ใช่รุ่นใหม่เอี่ยม แต่ก็เป็นยี่ห้อที่ราคาในตลาดไม่ค่อยตก แล้วรุ่นนี้เพิ่งจะปล่อย

เมื่อหกเดือนก่อน ราคามันก็ไม่น้อยนะผมว่า เกือบ ๆ หมี่นแหละ ใครกันที่ส่งของขวัญมีราคาขนาดนี้มาให้ผม....ผมคิดเล่น ๆ ว่า

คนที่บ้านคงจะเซอร์ไพรส์ผมมั้ง เพราะผมเคยขอเล่น ๆ

   แต่ไม่ใช่....มีโน้ตสั้น ๆ แนบมาด้วย ผมรีบแกะอ่าน โดยลืมหันหลังให้ไอ้เข้ม มันก็เลยได้อ่านไปพร้อม ๆ กะผม

   “แมร่งลงทุนชิบหาย”   แล้วมันก็มองหน้าผมแบบหยั่งท่าที

   “พี่เค้าทำแบบนี้ทำไมวะ”   ผมรำพึงเฉย ๆ

   “มึงถามกูเหรอ”   มันตอบสะบัด ๆ ยังกะโกรธผม แล้วตรูผิดตรงไหนฟระ

   “มันกลัวมึงไม่รู้ว่ามันรวย เอาเดะ มันซื้อให้ มึงรีบไปขอบใจมันเลยไป”   แล้วไอ้เข้มก็เดินหนีผมไป....ไปไหนก็ไม่รู้

เจอมันอีกทีตอนเลิกเรียนแล้ว ผมเห็นตอนที่มันสตาร์ทรถออกไป มันยังหันมาค้อนผมเลย สรุปว่ามันโดดตลอดบ่ายไม่เข้าสักวิชา

   ไอ้เข้มไม่กลับบ้าน ผมโทรไปที่บ้านบอกว่ามันไปนอนค้างบ้านเพื่อน มีรายงานด่วนที่ต้องส่งพรุ่งนี้ ห่าเอ๊ย! มันโกหกที่บ้าน

หลบหน้าผมนะนั่น ผมกับมันเรียนห้องเดียวกัน ผมไม่มีรายงานด่วน แล้วแมร่งมันจะมีได้ไง

   ผมสงสัยจริง ๆ ว่ามันไปค้างกับใคร แต่จะให้โทรตามเหรอ...ผมไม่ใช่แฟนมันนี่ แต่ก็อดห่วงมันลึก ๆ ไม่ได้

ระยะหลังเราแทบจะตัวติดกัน หายไปสักคนอย่างที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ มันก็น่าห่วงอยู่นะ....แล้วผมก็ลืมเรื่องไอ้เข้ม

หันมาสนใจเรื่องมือถือแทน

   ผมยังไม่ได้คุยข้อข้องใจกับพี่นิวเลย ผมไม่รู้ว่าพี่เขาหมายความว่าไง พอสักสี่ทุ่มผมกำลังจะเข้านอน แม่ก็มาเรียกที่ห้อง

   “เพื่อนมาหาแน่ะนู เค้าคอยในรถนะ เห็นบอกว่ามาธุระแป๊บเดียวก็เลยไม่เข้าบ้าน”

   พอแม่บอกว่าคอยในรถผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เพราะเพื่อนผมก็มีพี่นิวคนเดียวที่ขับรถยนต์เป็นประจำ

(ตั้งแต่แรก ๆ ที่เราเริ่มสนิทกันแหละ)

   ผมเดินออกไปพี่นิวก็เปิดประตูรถ บอกให้ผมขึ้นไปนั่งคุยกันข้างใน แต่พอผมขึ้นไปเท่านั้นแหละ เขาก็ออกรถทันที

   ผมทำเป็นแข็งใจไม่พูดด้วย ดูซิว่าเขาจะทำอะไรต่อ

   รถวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่พูดอะไรกันเลย ในที่สุดพี่นิวก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้

   “ทำไมนูทำกับพี่แบบนี้”

   “ผมอยู่ของผมเฉย ๆนะ”

   เขาเงียบไปอีก จนกระทั่งมาถึงที่แห่งหนึ่ง ก็ไอ้สวนหย่อมที่ผมเคยเห็นเขากับผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ

   “รู้ไหมว่านูทำพี่เสียใจแค่ไหน”   โหย...พี่นิวอย่าแย่งคำพูดของผมสิครับ

   “ผมเนี่ยนะ...น้ำหน้าอย่างผมจะไปทำไรพี่ได้”

   “หยุดพูดประชดพี่สักทีได้ไหม แล้วฟังพี่พูดมั่ง”  พี่นิวกระชากไหล่ของผมให้หันไปมองเขา

ถึงในรถจะมืด แต่ผมก็เหมือนจะรู้สึกได้ว่าพี่นิวกำลังร้องไห้

   “เอาสิ....พี่อยากจะพูดไรก็พูดไป”  ผมนั่งกอดอก ทำท่าตั้งใจฟังเต็มที่   “ผมอยู่ในรถพี่ ไปไหนไม่พ้นอยู่แล้ว

พูดเสร็จแล้วช่วยไปส่งผมที่บ้านด้วย”

   “ก็ได้ ๆ พี่รู้ว่านูประชดพี่ แต่ขอแค่ให้นูฟังที่พี่พูดก็พอ แล้วนูจะทำยังไงต่อไปก็แล้วแต่นูก็แล้วกัน”

   พี่นิวดับเครื่องแล้วเปิดประตูรถ

   “ไปคุยข้างล่างนะ”

    เอาไงก็เอากัน ผมเดินตามไปติด ๆ เรานั่งด้วยกันบนม้านั่งมีพนักพิงใต้ต้นไม้ใหญ่

ร่มเงาของมันทำให้ตรงนั้นมืดพอที่จะไม่มีใครมองมาเห็นเรา....ผมนึกถึงคืนนั้นที่ผมเห็นภาพบาดตา...

ถึงมันจะไม่ใช่เก้าอี้ตัวดียวกัน แต่มันก็ที่เดียวกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บปวด แต่เอาเหอะ เจ็บครั้งนี้เป็นทีสุดท้ายแล้ว

ผมจะตัดใจจากพี่นิวให้ได้เร็ว ๆ

   “นูคงว่าพี่ใจดำที่ไม่มีเวลาให้นู แต่รู้ไหมว่าพี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ พี่อยากให้เราเป็นเหมือนเมื่อก่อน

เลิกเรียนแล้วไปอยู่กับพี่ที่บ้าน พอสี่ทุ่มพี่ไปส่งนู รุ่งเช้าไปรับแล้วไปโรงเรียนพร้อมกัน...”

   จะรื้อฟื้นทำไมฟระ น้ำตาตรูจะแตกอยู่แล้วรู้บ้างไหมเนี่ย

   “ที่พี่ต้องห่างจากนูก็เพราะ...”

   “ผมรู้แล้วนั่นน่ะ พูดข้าม ๆ ไปมั่งก็ได้”

   “เอ่อ...มุกเค้ากลับมาจากต่างประเทศ....เค้าได้ทุนไปเรียนเทอมนึง”

   “นั่นผมก็รู้แล้ว”

   “ก่อนเค้าไปเราทะเลาะกันจนถึงกับเลิกกันนั่นแหละ”   ผมมองหน้าเขาอยากจะพูดว่า นั่นตรูก็รู้อยู่แล้ว

   “ที่จริงพี่ตั้งใจจะเลิกกับเค้าจริง ๆ เพราะเค้าไปมีคนใหม่ทันทีหลังจากที่เราทะเลาะกัน แต่พอเค้ากลับมา เค้าก็โทรมาขอคืนดี”

   “เค้าบอกให้พี่ไปรับเค้าที่สนามบินด้วยไม่ใช่เหรอ”

   “นูรู้ได้ไง”

   “อย่ามาย้อนถามผมเลย พี่บอกมาแค่ใช่รึไม่ใช่ก็พอ”

   “ก็ใช่ พี่ก็แค่ไปรับเค้าเท่านั้นนะ ไม่ได้คิดอย่างอื่น แต่มีอยู่วันนึง มุกเค้าโทรมานัดพี่ออกไปคุย”

   “ที่นี่ใช่ไหม”

   “อะไรนะ”

   “พี่นัดกันที่นี่ใช่ไหม”   ผมถามให้ชัดขึ้น

   “นูรู้ได้ไง”   ทำไก๋นะ....เท่านั่นแหละผมสติแตกทันที ไม่รู้น้ำหูน้ำตามันมาจากไหน อยู่ ๆมันก็ไหลออกมาเต็มหน้า

   “ไม่ใช่แค่รู้ แต่ผมเห็นเต็ม ๆ ตาเลยแหละ พี่กอดกะมันที่นี่ กอดมันอย่างที่พี่กอดผม คืนนั้นพี่บอกผมว่าจะไปธุระ

แล้วจะโทรหาผม แล้วไหนล่ะธุระของพี่ ไหนล่ะที่พี่บอกว่าจะโทรหา ตั้งแต่วันนั้นผมไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากพี่เลย”

   “นูก็ไม่เคยโทรหาพี่เหมือนกัน”

   “ผมผิดเหรอ ที่ไม่โทร พี่สัญญากับผมนะว่าจะเป็นฝ่ายโทร แล้วหลังจากที่ผมเห็นธุระของพี่คืนนั้น

พี่คิดว่าผมควรจะโทรหาพี่เหรอ...บอกผมหน่อย…บอกผมว่าผมควรจะทำยังไง ในเมื่อรู้ตัวว่าเจ้าของเค้ามาทวงของเค้าคืน”

   “มุกไม่ใช่เจ้าของพี่นะ นูต่างหาก”

   “ผมเหรอเป็นเจ้าของพี่...พี่เคยทำให้ผมมั่นใจอย่างนั้นเหรอ พี่เคยบอกรักผมบ้างไหม มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายบอกรักพี่ทุกที

ผมไม่เคยแน่ใจเลยว่าเรารักกัน ผมคิดมาตลอดว่าผมรักพี่ข้างเดียว แต่ผมก็ไม่แคร์ แค่พี่อยู่กับผม ทำดีกับผม

คำว่ารักคำเดียวผมรอได้ ผมยังหวังอยู่เลยว่าสักวันพี่อาจจะพูดได้เต็มปากว่ารักผมเหมือนที่ผมบอกว่ารักพี่

….ผมรักพี่นะ พี่นิว พี่ใจร้ายกับผมขนาดไหนผมก็ยังรักพี่”

   “จริงเหรอที่พูดน่ะ รักพี่แล้วทำไมนูถึงมีเข้มล่ะ”

   “ผมไม่เคยมีใคร อย่าคิดว่าผมจะทำอย่างที่พี่ทำกับผมนะ”

   “พี่ทำอะไร”

   “พี่กลับไปดีกับแฟนทั้งที่พี่ให้ความหวังกับผมน่ะสิ แล้วยังมีหน้ามาว่าผม พี่ใจร้ายเกินไปแล้ว ผมจะกลับบ้านแล้ว

ไปส่งผมเถอะ ผมไม่อยากพูดกับพี่”

   ตลอดเวลาที่พูดกัน ไม่ใช่แค่ผมที่ร้องไห้ พี่นิวก็ร้องไห้ไปกับผมด้วย เราเหมือนคุยกันคนละเรื่อง

ต่างคนก็ต่างพูดถึงความผิดของอีกฝ่าย ผมว่ายังไงมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ขอผมกลับไปตั้งสติก่อนได้ไหม




   มือถือพร้อมใช้ยังวางอยู่ที่หัวเตียง....มันคือของขวัญที่พี่นิวให้ผม ถ้าไม่ใช่อารมณ์นี้ ผมคงดีใจน่าดูเพราะก็เคยอยากได้

 เวลาที่โทรคุยกันด้วยโทรศัพท์ที่บ้าน ต้องคอยระวังไม่ให้ใครได้ยิน ถ้ามีมือถือผมจะได้คุยกับเขาในห้องนอน

คุยเสร็จก็หลับฝันดีกันไป

   แต่วันนี้มันสายเกินไปหรือเปล่าที่จะทำอย่างนั้น ความจริงแค่กดออก ก็ได้คุยแล้ว

(มือถือเมมเบอร์ไว้เรียบร้อยแล้วทั้งเครื่องมีแค่เบอร์เดียวซึ่ง ‘คุณก็รู้ว่าใคร’ แม้แต่เบอร์บริการของเครือข่ายก็ถูกลบหมด)

   เสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทำให้ผมต้องออกไปเปิดประตู

   พี่ชายผมเอง...

   “ไปกินข้าว ทำอะไรอยู่ทำไมไม่ลงไป”   เสียงพี่ชายผมออกจะดุ ๆ แต่เป็นคนที่ใจดีมาก ๆ

   “นูไม่หิวอ่ะ ไม่กินได้ไหม”  มันเศร้าใจจนกินอะไรไม่ลง

   “เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ ถ้าไม่กินข้าวก็กินอย่างอื่นละกัน”

     พี่ชายผมหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาเคาะประตู แล้วเปิดเดินเข้ามาวางขนมปังทาเนยโรยน้ำตาลของโปรด

ไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือให้ผม พร้อมกับนมหนึ่งแก้ว ผมซาบซึ้งจนน้ำตาไหล...แต่ความจริงผมรู้ดีว่า มันไม่ใช่เรื่องนี้หรอก

ที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันมีเรื่องพี่นิวก่อกวนความรู้สึกอยู่ก่อนแล้วตะหาก

   พี่ชายผมตกใจมาก เดินเข้ามาที่เตียงนอนแล้วถามด้วยความเป็นห่วง

   “เป็นอะไรนู”  เขาเข้ามาจับไหล่ผม แล้วลงนั่งที่พื้นหน้าเตียง สายตามองมาด้วยความกังวล 

พี่ชายอายุมากกว่าผมเป็นสิบปี เรียนจบออกมาช่วยงานที่ร้านได้สองสามปีแล้ว ความที่ผมเด็กกว่าเขามาก

บางครั้งเขาก็เลยดูแลผมเหมือนพ่อดูแลลูกเลยครับ

   ผมพูดความจริงออกไปไม่ได้ มันก็ยิ่งอึดอัด น้ำตามันก็ยิ่งไหลจนกลั้นสะอื้นไม่อยู่ พี่เข้ามากอดผม ปลอบผม

รอจนผมหยุดร้องไห้ก็ถามอีก

   “มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้นะ ทะเลาะกับแฟนรึเปล่า”

   ผมมองหน้าพี่ตื่น ๆ เขาจะรู้อะไรแค่ไหนกันนะ

   “นูเป็นหนุ่มแล้วจะมีเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่แฟน เพราะเราน่ะเรียนเก่ง คงไม่สอบตกหรอกจริงไหม

ทะเลาะกับเพื่อนก็งั้น ๆ แหละ...มันคงไม่ถึงกับน้ำตาตกหรอก พี่เดาถูกรึเปล่า”

   พี่ผมเดาแม่นชิบ...แต่ผมล่ะ ในเมื่อพูดก็ไม่ออก บอกก็ไม่ได้ ผมก็เลยพยักหน้าซะเลย ก็ไม่ใช่ว่าโกหกนะครับ

เพียงแต่ความหมายของคำว่า ‘แฟน’ ของพี่กับของผมมันแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง

   “รักเค้ามากก็ไปง้อเค้าก่อนสิ ไม่ต้องรอให้เค้ามาง้อหรอก เราลูกผู้ชายต้องง้อผู้หญิงถึงจะถูก

แล้วถ้าเค้ารักเรารับรองไม่งอนนานอยู่แล้ว แต่ถ้าจะรอให้ผู้หญิงเค้ามาง้อน่ะมันไม่ดีรู้ไหมผู้หญิงดี ๆ เค้าต้องสงวนท่าที”

   เป็นไงล่ะคำสอนของพี่ผม ช่วยได้เยอะเลยเนอะ....ช่วยให้ผมไม่กล้าคิดจะง้อพี่นิวไปเลย เพราะต้องสงวนท่าที

แล้วพี่นิวจะง้อผมไหมเนี่ย...ผมเองก็อยากให้เขามาง้อนะ รับรองเลยว่าผมไม่งอนนานอยู่แล้ว

   ผมชั่งใจอยู่วันสองวันว่าจะเอาไงต่อดี ระหว่างนั้นผมก็ไม่ค่อยจะเจอหน้าไอ้เข้มนอกจากเวลาเรียน

มันทำตัวหายสาบสูญไปจากชีวิตซะแล้ว เห็นมันในห้องเรียนอยู่หลัด ๆ พอออกมาก็ไม่เห็นมันแล้วราวกับมันเป็นมนุษย์ล่องหน

...เออ...ไอ้เข้มนะไอ้เข้ม พอตรูมีเรื่องจะปรึกษาดันหายหัว ต่อไปตรูจะไม่ให้มันยืมเงินแล้วเฟร้ย

   เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปคุยกับพี่นิวอย่างเปิดอกซะที อยู่อย่างนี้มันไม่มีอะไรชัดเจน


ตอนนี้ผมคิดว่าผมพร้อมแล้วที่จะฟังทุกเรื่อง และจะขอพูดทุกเรื่อง รวมทั้งขอให้พี่นิวรับผิดชอบความรู้สึกของผมด้วย

แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับผิดชอบ ก็ให้มันจบ ๆ ไปซะ ผมอึดอัดจนเรียนหนังสือแทบไม่รู้เรื่องเลย

เห็นหน้าไอ้เข้มตอนอยู่ในห้องเรียนก็หมองไม่น้อยไปกว่าผม

....ไอ้เข้มเอ๊ย! ถ้าผลการเจรจากับพี่นิวไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ตรูจะให้มันดามอกให้

อย่างน้อยก็มีมันนี่แหละที่รักผมแน่วแน่และมั่นคง (รึป่าววะ)

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 30-09-2012 22:40:03
พี่นิวไม่ชัดเจนเลย สมควรแล้วที่นูจะทำแบบนี้ ส่วนเข้มก็น่าสงสารไปรักเพื่อนตัวเองมันช่างเจ็บปวด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 30-09-2012 23:38:22
 มาให้กำลังใจน้องนู ลุย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: McKnight ที่ 01-10-2012 00:43:08
สนุกมากครับ

มาลงชื่อขอติดตามเรื่องนี้ด้วยคน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 1.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-10-2012 00:25:50




ผมเดินกลับบ้านอย่างเคย กะว่าไปเอารถมอเตอร์ไซค์ (ที่พักหลังไม่ค่อยได้สนใจ) ขี่ไปหาพี่นิวที่บ้าน

แต่พอออกจากประตูโรงเรียนได้ไม่ทันไร ผมก็โดนล้อมกรอบ ไม่รู้มันมาจากไหนกันเป็นฝูง ผู้ชายอึด ๆ หื่น ๆ ทั้งนั้น

   “ไงวะน้อง ได้ยินว่าชอบฟันดาบเหรอวะ”  คนหนึ่งในนั้นมันเริ่มก่อน ในมือมันมีเชือกเส้นไม่เล็ก สักขนาดเชือกลูกเสือได้มั้ง

ผมเริ่มใจไม่ดีก็ไอ้คำทักทายของมันนั่นแหละ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากพี่นิวกับไอ้เข้ม แต่ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่า

สองคนนั้นไม่มีวันเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด

   “พวกพี่เป็นใครน่ะ ผมไม่เคยรู้จัก”   ผมทำใจดีสู้เสือ

   “ไม่ต้องรู้จักก็ได้นี่น้อง พี่แค่อยากลองฟันดาบกะน้องง่ะ เดี๋ยวเราก็รู้จักกันเองแหละ”

   “ฟันดาบอะไรกัน ผมไม่รู้เรื่อง หลีกไปเถอะพี่ ผมจะกลับบ้าน”   ผมถอยหลังได้สองก้าว ก็โดนพวกมันอีกคนเข้ามาซ้อนหลัง

   “เฮ้ย! มึงช่วยกันจับไว้ กูจะมัดมือมัดตีนมัน จะได้อุ้มขึ้นรถง่าย ๆ หน่อย”

   รถอะไร...ว่าแล้วผมก็หันไปเห็นรถตู้โทรม ๆ จอดอยู่ริมรั้วโรงเรียน มันคงหวังจะเอาผมขึ้นรถตู้ไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนสักแห่ง
 
ใจผมเต้น...ฝ่ามือเย็นจนรู้สึกได้ ตอนนี้ผมกลัวจนแทบจะหยุดหายใจ ปกติแถวนี้ก็ไม่ค่อยจะมีใครเดินมาอยู่แล้ว
 
แต่มันเป็นทางเข้าซอยลัดเข้าบ้านผมที่อยู่ถนนสายถัดไป เดินไปเดินมาทุกเช้าทุกเย็นไม่เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ

แต่นี่มันกำลังจะเกิดกับผมเป็นรายแรก

   คนแรกที่ผมนึกถึงคือพ่อ แม่ แล้วก็พี่ชาย ถ้าผมหายไปทุกคนจะเป็นยังไง

   พวกมันกรูกันเข้ามายึดแขน ยึดขาผม อีกคนเอาผ้าผูกปาก ผมพยายามขัดขืนทุกทาง แต่สู้แรงมันไม่ไหว

ก็พวกมันมากันเต็มไปหมด สุดท้ายผมก็ได้แต่ปลงกับชีวิตที่เหลือ น้ำตาของผมไหลออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
 
ไม่มีใครสักคนที่จะเห็นเหตุการณ์แล้วเข้ามาช่วย ผมหยุดดิ้นรนเพราะมันไม่มีประโยชน์ เหนื่อยเปล่า ๆ

   เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ไม่น่าจะมีใครผ่านไปผ่านมา แต่แล้วผมก็ดีใจสุดชีวิต ตอนที่พวกมันกำลังหามผมขึ้นรถ
 
แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปในรถ บังเอิญสายตรวจขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวโค้งออกมาจากซอยลัดพอดี

ที่จริงทีแรกผมไม่เห็นสายตรวจหรอกครับ  เพราะพวกมันกำลังรุมล้อมอยู่ แต่พวกมันสิ ตะโกนใส่กันโหวกเหวก

โยนผมลงไปกองข้างทาง แล้วก็โกยอ้าวขึ้นรถหายไปเลย
 
ผมเจ็บจนจุกร้องไม่ออกอยู่นาน ตำรวจสายตรวจจอดรถลงมาดูผม แก้เชือกมัดมือให้ แล้วขี่รถตามพวกมันไป

ปล่อยให้ผมแก้เชือกที่เหลือเอาเอง ก็ยังดีครับ ผมมือไม้สั่นไปหมด กว่าจะแก้เชือกที่มัดข้อเท้าได้ก็แทบแย่

พักใหญ่สายตรวจก็วนกลับมาที่ผมนั่งหมดแรงอยู่

   พี่ ๆ ตำรวจใจดีมากครับ จะพาผมไปส่งโรงพยาบาล แต่ผมไม่เป็นไรแล้วก็เลยไม่อยากไป

แต่ผมต้องไปให้ปากคำตำรวจที่โรงพักนี่สิเรื่องใหญ่

   “ผมไม่รู้จักพวกมันเลยครับพี่ ผมไม่เคยมีเรื่องกับใคร มันอาจจะจับผิดตัวก็ได้”

   “แล้วจะแจ้งความไหมล่ะ”

   “แจ้งจับใครล่ะครับ ผมพอจำหน้าได้บ้างแต่มันก็เลือน ๆ นะครับ พวกมันมากันตั้งหลายคน

ไม่มีใครที่คุ้นหน้าเลย ทะเบียนรถผมก็จำไม่ได้ มันตกใจกลัวจนขี้ขึ้นหัวหมดแล้วครับ”

   “เออ...ถ้างั้นทีหลังก็ระวังตัวหน่อยละกัน ไม่รู้มันจะย้อนมาอีกรึเปล่า แต่ถ้ามันจับผิดตัวซะก็แล้วไป

แล้วนี่บ้านอยู่ไหน มาพี่ไปส่ง”

   “ไม่ต้องครับ ขอบคุณพี่มาก”   ผมไหว้ขอบคุณพี่ทั้งสองแล้วก็เลยขอตัวกลับบ้าน เพราะว่าอีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว

   ผมไม่คิดจะบอกใคร เพราะอายจริง ๆ โดยเฉพาะคนที่บ้าน ผมสงสัยว่าพวกมันรู้เรื่องผมได้ไง

แล้วทำไมมันคิดจะทำร้ายผมด้วย แต่คิดจนหัวแทบแตกก็หาคำตอบไม่ได้

ผมอาบน้ำแล้วเข้านอนพร้อมกับความกังวลที่ยังไม่มีคำตอบ

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทีแรกผมตั้งใจจะมาเอารถขี่ไปหาพี่นิวที่บ้าน

   จริงสินะ ผมอยากจะพูดกับใครสักคนเรื่องเมื่อเย็นนี้ ผมกดโทรศัพท์ออกไปยังเบอร์ที่เมมไว้ทันที

   ทางโน้นก็รับทันทีเหมือนกันครับ....แต่มันไม่ใช่เสียงพี่นิว

   “ฮัลโหล”   ผมไม่กล้าตอบรับเพราะเป็นเสียงผู้หญิง

   “จะพูดกับใครคะ”   จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก....

   “ฮัลโหล”   ผมยังลังเล ว่าจะเอาไงดี

   “ถ้าไม่พูดฉันวางแล้วนะ...บ้าเอ๊ย...โทรมาเสือกไม่พูด”   ทางโน้นวางสายไปก่อนผม

    หางเสียงแว่ว ๆ เป็นคำด่าแบบเบา ๆ ที่ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะหลุดออกมาจากปากผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานแบบหญิงไทยร้อยเปอร์เซ็นได้

             ...ผมงงมากครับ...

   ถึงผมไม่เคยพูดจากับผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงในทางร้าย ๆ ส่วนมากจะชมว่า สวย หุ่นดี เก่ง

แล้วก็เป็น ผู้ญิ้ง...ผู้หญิง

   แต่ให้ตายเถอะ....ที่ผมได้ยินน่ะมันไม่ใช่ หรือจะเป็นคนอื่น

             ....พี่นิวมีคนอื่นอีกงั้นเหรอ??


.....มีต่อครับ....
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 1.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-10-2012 00:38:50


    ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ในใจมีแต่ความหวาดกลัว สับสน และไม่เข้าใจ

    เหตุการณ์ร้าย ๆ นั่นยังสั่นประสาทผมไม่หาย เนื้อตัวผมก็ยังระบมไปหมด

พรุ่งนี้เถอะอาจจะถึงกับลุกไม่ขึ้น ผมคิดว่าพวกมันตั้งใจที่จะทำร้ายผมแน่ๆ ไม่ใช่จับผิดตัวอย่างที่ผมบอกกับตำรวจไป

คราวนี้มันพลาด แล้วคราวหน้าล่ะ....ผมจะโชคดีอย่างนี้ไหม

     ผมกำลังต้องการใครสักคนที่จะพูดด้วยได้อย่างเปิดอก พูดเรื่องที่ผมเพิ่งจะพบมาเมื่อเย็นนี้

พูดเรื่องความทุกข์ในหัวใจของผม คนที่ผมคิดถึงเป็นคนแรกคือพี่นิว แต่กลายเป็นว่า

มันยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ผมรู้สึกเลวร้ายลงเรื่อย ๆ คนที่ผมรัก ไม่รักผมก็ไม่ว่า

ผมขอแค่ความจริงใจ เขาก็ยังไม่มีให้ ผมเหมือนถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
   ผมไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตามันก็ไหลออกมาแล้ว ผมอัดอั้นตันใจเต็มที

ผมอยากได้ใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ มาช่วยรับฟังผมที แค่ให้ช่วยมารับฟังเท่านั้น

เพราะปัญหาของผมยังไงผมก็ต้องแก้เองอยู่แล้ว


   ได้โปรดเถอะ...ขอใครสักคนได้ไหม มาอยู่ข้าง ๆ ผมตอนนี้


   ผมผลุนผลันลุกไปเปิดประตู กะว่าไม่ว่าคนแรกที่ผมเจอ จะเป็นพ่อ หรือ แม่ หรือว่าพี่ชาย ผมก็จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังให้หมด


   ประตูเปิดออก แต่ไม่ใช่เพราะมือผม

   “เข้ม”   ผมเรียกชื่อออกไป

     ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม เป็นคนที่ผมแทบจะลืมไปแล้ว แต่กลับมาได้จังหวะพอดี

ผมโผเข้าหามันซะเต็มอ้อมแขนเลย

   “ไอ้นู มึงเป็นไร”   มันถามผมหน้าตาตื่น เพราะหน้าผมนองไปด้วยน้ำตา

แถมยังกอดมันไปร้องไห้ไปอย่างที่มันต้องไม่เคยเห็นแน่ ๆ

   “เออ...เข้มมาก็ดีแล้ว ฝากดูนูหน่อยนะ เป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว พี่ไม่รู้จะทำไง เพื่อนกันคงคุยกันได้ง่ายกว่าพี่”

    ผมเพิ่งจะเห็นว่าพี่ชายผมเดินมาส่งมันที่หน้าห้อง โชคดีจริง ๆ ที่มันมาทันก่อนที่ผมจะหลุดอะไรออกไปอย่างที่คิดไว้ทีแรก

   ไอ้เข้มกอดประคองผมเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตามหลังแถมกดล็อคซะด้วย ถึงจะดูแปลก ๆ

แต่นาทีนี้ ผมไม่สนใจละ แล้วไอ้เข้มก็ประคองผมมานั่งลงที่เตียง

   “มึงหายไปไหนมาไอ้เข้ม รู้มั่งไหมกูเจออะไรมามั่ง ไหนมึงบอกว่ามึงรักกู แล้วทำไมมึงไม่อยู่ข้างกู

เวลาที่กูต้องการ มึงรักกูประสาอะไร”

      ผมซุกหน้าลงกับอกมัน และยังคงร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก สองแขนผมก็กอดมันไว้แน่นอย่างจะขอเป็นที่พึ่ง

   ไอ้เข้มกอดผมตอบ ลูบหลังผมเบา ๆ ไม่พูดอะไรเลยนอกจากคำว่า

   “กูขอโทษ”

   ผมร้องไห้จนพอใจโดยมีไอ้เข้มนั่งเป็นเพื่อน

   “จะเล่าให้กูฟังได้รึยัง บอกมาให้หมดนะโว้ย กูรู้ว่าอย่างมึงไม่หนักหนาสาหัสมึงไม่มีทางร้องไห้กับกูอย่างนี้แน่”

   แล้วผมก็เริ่มเล่าอย่างหมดเปลือก ตั้งแต่ตอนที่มันหายไปจากชีวิตผม แล้วพี่นิวก็มาปรับความเข้าใจแต่ยังไม่เข้าใจกัน

   ผมเล่าไปโดยไม่ได้มองหน้ามันเลย มัวแต่พูดถึงความทุกข์ของตัวเอง และเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งรอดพ้นมาได้

   “กูไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร แต่ละคนยังกับตังเก ดำ ๆ ถึก ๆ ทั้งนั้น.....เออ....ใช่ กูได้กลิ่นคาว ๆ แบบคาวทะเลน่ะ

พวกมันมีกลิ่นตัวแบบพวกหาปลาในเรือ”

   “แล้วมึงเจ็บตรงไหนมั่งรึป่าว”   ไอ้เข้มถามอย่างเป็นห่วง ลูบไปตามเนื้อตัวผม ไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดเท่าไหร่

เพราะมันเองก็คงนึกไม่ออกว่าอย่างผมจะเป็นศัตรูกับใครได้

   “ไม่เท่าไหร่หรอก”

   “มันโยนมึงลงมาจากรถรึไงวะ”

   “ป่าว มันยังไม่ทันยกขึ้นรถหรอก สายตรวจมาซะก่อน แต่มันโยนกูลงข้างทาง ดีนะที่ข้างทางเป็นพงหญ้ารก ๆ

ไม่งั้นกูอาจจะหลังหักก็ได้”

   “มียามั้ย มา..กูทาให้”

   ผมเดินไปหยิบยาบนชั้นหน้ากระจกมาให้ ไอ้เข้มจับผมถอดเสื้อนอนเหลือแต่กางเกงแล้วละเลงยาไปบนหลัง

ลงมือนวดคลึงเบา ๆ  แรก ๆก็ปวดนิดหน่อย พอผมสะดุ้งมันก็ผ่อนแรงให้เบาลง สักพักผมก็เริ่มที่จะเคลิ้มไปกับการนวดของไอ้

เข้ม

   “เข้ม”

   “หืม”

   “มึงจำตอนที่เราออกทะเลไปไดหมึกเมื่อปีก่อนได้มั้ยวะ”

   “อือ”

   “ตอนนั้นกูกวนตีนใครมั่งรึป่าววะ”

   “ไม่นี่”

   “มึงเคยพูดเรื่องที่กูเป็นอย่างงี้ให้ใครฟังมั่งป่าว”

   “ฮี...กูจะพูดทำไม เห็นกูเป็นคนปากบอนไปได้”

   “เออ ขอโทษ กูก็ถามไปงั้นแหละ แล้วมึงว่าจะมีใครสังเกตไหมว่ากูเป็น”

   “ไม่รู้ดิ ก็ถ้าคนที่แอบรักมึง มองมึงอยู่ตลอด ก็คงรู้….เหมือนกูไง”

   ผมไม่พูดอะไรต่อ เพราะรู้สึกปากมันหนัก หนังตาก็เริ่มหนักลงเรื่อย ๆ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีก

มาตื่นเอาอีกทีตอนที่ทั้งห้องปิดไฟมืด มีแต่แสงไฟสลัวจากด้านนอกผ่านหน้าต่างเข้ามา

ผมรู้สึกเย็น ๆ และเนื้อตัวโล่ง ๆ ก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่มีผ้าผ่อนติดกายสักชิ้น แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่ได้ห่ม

อะไรบางอย่างกำลังไต่ไปตามเนื้อตัวผม ตั้งแต่หน้าขาขึ้นมาถึงขาหนีบแล้วยังมีลมอุ่น ๆเป่าอยู่ตรงนั้นด้วย

ผมเพ่งมองในความสลัวเห็นเงาของคนกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ตรงท่อนล่างของผม

   “อา..”   ผมรู้สึกโล่งสบาย ใจหวิว ๆ    “เข้ม....มึงทำไรกู”

   “กูรักมึงนะนู กูจะทำให้มึงมีความสุข”

   “อย่า...ไม่เอา....”

   “มึงอยู่เฉยๆนะ เดี๋ยวกูจัดการเอง”

   “มึงจะ....ข่มขืนกูเหรอ…..อือ...”    ผมพูดไปก็ครางไปอย่างอดไม่ได้ เพราะไอ้เข้มไม่ได้รามือเลย

มันยังจูบไซ้ไปทั่วท่อนล่างของผม ผมรู้สึกถึงความร้อนชื้นได้อีกอย่าง คงเป็นปลายลิ้นของไอ้เข้มที่ลากไปมาอยู่กับส่วนนั้นของ

ผม

   “ไม่....ถ้ามึงไม่ให้กูก็ไม่ฝืนใจ กูแค่อยากจูบมึงทั้งตัว ขอกูนะ”

   “อือ...”   ผมไม่อาจจะต้านทานความรู้สึกที่มวน ๆ อยู่ข้างใน แต่ชวนให้ใจหวิว ๆ ได้ จึงปล่อยเลยตามเลย

   มันเริ่มใช้มือลูบไปทั่วตัวผม มันลูบไปถึงไหน ปากกับลิ้นมันก็ไปถึงนั่น จนผมเสียวไปหมดแล้ว

มันขยับตัวขึ้นมาให้หน้าเราพอดีกัน แล้วมันก็ประกบปากจูบผมเบา ๆ ดูมันจะถนอมผมมาก

แม้แต่จะจูบผมมันก็ค่อย ๆและเล็ม  แต่ผมอยากให้มันแนบสนิทกว่านี้ ก็เลยกอดมันแน่นแล้วกดจูบมันแรง ๆ

คราวนี้มันเลยเป็นฝ่ายที่ต้องครางบ้าง

   “อืมม”

   เราบดขยี้จูบกันอย่างเมามัน ลิ้นแลกลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ร่างกายส่วนล่างบดเบียดกัน

จนผมรู้สึกถึงความเหนียวเหนอะนิด ๆ ทั้งของผมและของมันนั่นเอง

   “กูไม่ไหวแล้วนู...”   ไอ้เข้มลุกขึ้นอย่างเร็ว เดินลงไปจากเตียง

   “จะไปไหน”   ผมผวาตามมัน แล้วคว้ามือมันเอาไว้ (น่าอายจังตรู)
 
   ก็อยู่ ๆ มันก็ลุกหนีไปทิ้งให้ผมค้าง ๆ คา ๆ อย่างงี้ได้ไง ไม่รับผิดชอบ

   “กูจะเข้าห้องน้ำ”

     อ๋อ!..ผมรู้ละ มันจะแอบไปช่วยตัวเองต่อ แล้วก็กลัวผมจะเห็น

     ผมนึกสงสารมันขึ้นมา ที่มันทำตามคำพูดว่าจะไม่ข่มขืนผม ถ้าผมไม่ยอม

   ผมลากมันกลับมาที่เตียง กดให้มันนอนลง แล้วผมก็จัดการกับไอ้เข้มด้วยปากและลิ้นจนมันครวญคราง

มือก็กดหัวผมลงไปให้ลึกสุด ๆ ผมเงยขึ้นมองหน้าของมันตอนที่มันกำลังเสียวแล้วได้อารมณ์ดี

จนผมก็เกือบ ๆ จะเสร็จไปเหมือนกัน แต่ผมอยากทำให้มันก่อน

   ไอ้เข้มเด้งสะโพกลอยขึ้นจากเตียง ผมใช้ทั้งมือ ทั้งปากจนมันทนไม่ไหว ปลดปล่อยน้ำรักเข้าปากผมเต็ม ๆ

   “อือ....อา....ไอ้นู...กูรักมึง...”   มันถอนใจเฮือกพร้อมกับหยดสุดท้ายจากน้องชายมันพุ่งเข้าปากผม

   ผมเห็นมันไปถึงฝั่งแล้ว ก็เริ่มบรรเลงต่อ เพราะผมยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย

   “กูอยากเสร็จพร้อมมึงอีกทีว่ะนู”   มันพูดเสียงกระเส่าอยู่ใต้ร่างกายของผม

     ผมใช้การกระทำแทนคำตอบ ไอ้เข้มไม่ใช่คนตัวขาว ผิวของมันเป็นสีนวล ๆ ออกน้ำตาล

แถมเนื้อก็นุ่มมืออีกต่างหาก

   “มึงเคยทำอย่างนี้กับพี่นิวรึป่าววะ”   อยู่ ๆไอ้เข้มถามขึ้นมา

   ไม่รู้ว่ามันคิดอะไร แต่คำถามของมันแทงใจผมดังจึ้ก ผมหยุดการกระทำทุกอย่างที่ยังค้างอยู่

อารมณ์พิศวาสหดหายไปหมดแล้ว แต่ผมยังอยู่บนตัวมัน กำลังจ้องหน้ามัน

   “เอ่อ...ถ้ากูพูดไม่เข้าหูมึงกูก็...ขอโทษ”

   ผมขยับลุกมานั่งบนเตียง มองหากางเกงที่ไอ้เข้มแอบถอดออกตอนผมหลับ ได้มาแล้วก็เอามานุ่ง

 กำลังจะล้มตัวลงนอน ไอ้เข้มก็เอี้ยวตัวมาจับไหล่ผมให้หันไปทางมัน

   “นู”

   “ไปใส่เสื้อผ้าไป”

   “กูขอนอนนี่นะ”

   “นอนนี่ก็ต้องใส่”

    ผมนอนหันหลังให้มัน รู้สึกแน่นหน้าอกไปหมดจนไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น เพราะกำลังกลั้นสะอื้น

ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมรู้สึกยังไง

    กลัวมันจะคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของมัน ถ้าเป็นความผิด  ผมก็ขอรับผิดเพียงคนเดียว

ที่ไม่ยับยั้งอารมณ์อยากของตัวเอง

 ปากบอกว่าไม่ได้รักมันแต่กลับทำให้มันทุกอย่าง และถ้าเอาเข้าจริง ผมปฏิเสธคำเดียว ไอ้เข้มจะไม่มีวันฝืนใจเด็ดขาด

...ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมผิดเอง

“นู....กูขอโทษ”   เสียงไอ้เข้มพูดเบา ๆในความมืด ท่ามกลางความเงียบระหว่างเรา

“ขอโทษทำไม”   ผมยังนอนหันหลังให้มัน

“ไม่รู้ ก็อยู่ ๆมึง...”

“ถ้าไม่รู้แล้วมึงจะขอโทษหาหอกอะไร”

“มึงโกรธกูใช่ไหม”

“ป่าว”

“แล้วทำไมมึงเป็นแบบนี้”

“กูโกรธตัวเอง”

“เพราะที่กูถามใช่ไหม”

“กูตอบมึงก็ได้ กูกับพี่นิวยังไปไม่ถึงไหนหรอก นอกจากกอดจูบกันมั่งนิด ๆ หน่อย ๆ

มึงเป็นคนแรกที่กูทำให้ขนาดนี้ พอใจรึยัง”

ผมไม่พูดอะไรอีก และไม่มีคำถามใด ๆ จากไอ้เข้มอีกเลย มีแต่แขนแข็งแรงของมันที่พาดข้ามตัวผมมาอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ

พอผมเฉย ไม่ได้ว่าอะไร มันก็ขยับเข้ามาซ้อนหลัง ซุกหน้าลงที่ท้ายทอยของผม เรานอนอยู่อย่างนั้นจนรุ่งเช้า

ผมไปส่งไอ้เข้มที่บ้านแล้วก็ไม่รู้จะไปไหน วันนี้เป็นวันเสาร์ ปกติผมต้องไปเรียนพิเศษ

แต่นี่มันไม่ปกติมาสองสามอาทิตย์แล้ว จนผมไม่มีแก่จิตแก่ใจจะไปเรียน เข้าไปก็คงไม่รู้เรื่อง

ผมขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพตระเวนไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง

 ไม่รับรู้ภาพทั้งสองข้างทางว่าผ่านไปถึงไหน จนมาถึงถนนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมันดูคุ้นตาผมมาก

แล้วก็เลยนึกได้ว่าตรงหัวมุมข้างหน้าเป็นบ้านของพี่นิว คงเป็นจิตใต้สำนึกที่พาผมมาถึงที่นี่

ผมจอดรถใต้ต้นไม้ใกล้ ๆบ้านเขา มองเข้าไปในบ้านเห็นรถยังจอดอยู่เขาคงยังไม่ได้ออกไปไหน

ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ผมมาขลุกอยู่ที่นี่เป็นประจำ เราคงกำลังคุยเล่นกันอย่างมีความสุข

   แต่วันเวลานั้นมันผ่านไปแล้ว ก่อนที่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้จะเกิดขึ้น

ผมคงเข้าไปง้อพี่นิวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลย ผมต่อว่าเขาที่กลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นแล้วยังมาทำดีกับผม

ให้ผมหลงเข้าใจว่าเขามีใจให้  แต่ดูผมตอนนี้สิ ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศเลย


    กลับบ้านดีกว่า มีประโยชน์อะไรที่จะมาพล่ามถึงสิ่งที่มันผ่านไปแล้วเรียกคืนมาไม่ได้ ผมไม่กล้าสู้หน้าพี่นิวอีกแล้ว

.....ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ในใจผมร่ำร้องอยากจะเข้าไปหาเขาเหลือเกิน

มาจนถึงหน้าบ้านแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าพบ ผมได้แต่น้ำตาซึมเมื่อหันหลังให้บ้านหลังนั้น

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 30.9.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 02-10-2012 01:01:34
ตามมาอ่านอีกรอบ. อย่าลืมไปต่อที่เก่าด้วยนะครับคิดถึง. จัง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 1.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 02-10-2012 02:01:35
สงสารนูนะรักพี่นิวมากๆเลยอ่ะดิ แต่ก็เผลอตัวไปกับเข้มซะแระจะทำยังไงต่อดี
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-10-2012 14:31:24



     มาถึงสวนหย่อมที่เดิม ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไป สาย ๆ อย่างนี้คนที่มาออกกำลังกายเสร็จแล้วก็นั่งจับกลุ่มคุยกันบ้าง

พักผ่อนกันบ้าง  ม้าหินตัวที่ผมนั่งคุยกับพี่นิวคืนนั้นยังว่างเพราะอยู่ห่างถนนเข้าไปด้านใน ผมอดไม่ได้ ก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปจอด

แล้วนั่งลงนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา 


     มองด้วยสายตาที่เป็นจริง เรื่องของผมกับพี่นิว ไม่มีทางที่มันจะสมหวังไปได้หรอก

ครอบครัวของผมยังไม่รู้เลยที่ผมเป็นแบบนี้  แล้วครอบครัวพี่นิวเองก็อาจจะรับไม่ได้ ถ้าเรายังคบกันต่อไปก็ต้องหลบต้องซ่อน

มีความสุขในความทุกข์ สังคมแวดล้อมที่ผมอยู่ยังไม่ยอมรับเรื่องทำนองนี้ แล้วสุดท้ายครอบครัวของเราทั้งสองคนก็คงอับอาย

และเสียใจ
 
   ผมย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันของเรา แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ แต่ผมก็รู้สึกเป็นสุข 

อย่างน้อยผมก็ยังยิ้มได้เวลาที่นึกถึงเวลาเหล่านั้น....และย้ำกับตัวเองว่า ผมไม่ได้สูญเสียเวลาไปเปล่า ๆ

แต่ผมได้สะสมความสุขไว้ให้คิดถึงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว

ผมสตาร์ทรถกำลังจะออกตัว ก็มีมือ ๆ หนึ่งมาบิดกุญแจดับเครื่องแล้วดึงออกไป

ผมหันไปมอง แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ และดีใจปนเปกัน....เป็นพี่นิวน่ะเอง

“นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว”   พี่นิวยิ้มให้ผมแววตาของเขาแสดงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ทันอะไร”

“เมื่อกี้พี่อยู่บนห้องเห็นนูจอดรถที่หน้าบ้าน พอลงมาก็ไม่เห็นซะแล้ว เลยลองขับรถตามมา ไม่แน่ใจหรอกว่าจะเจอ

แต่คิดอยู่ว่าถ้าไม่เจอที่นี่ก็จะตามไปที่บ้าน”

“พี่ตามผมมาทำไม”

“นั่งคุยกันก่อนนะนู  อย่าเพิ่งกลับเลย เราไม่ได้พบกันเลยนะ คุยกันครั้งสุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจกัน”
 
ผมทำตามอย่างว่าง่าย ทั้งที่ไม่ค่อยจะกล้าสู้หน้าเขา รู้สึกเหมือนตัวเองมีตราบาปในใจ  แต่ก็ต้องพ่ายแพ้หัวใจตัวเองที่อยากเจอ

พี่นิว   อยากให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม

“เมื่อคืนนูโทรหาพี่ใช่ไหม พี่เห็นเบอร์โทรเข้า”

ผมพยักหน้าอย่างไม่ยินดียินร้าย นึกถึงคนที่รับสายแล้วใจก็พาลห่อเหี่ยวไปหมด
 
จะโกรธเขาแล้วตัดพ้อต่อว่าอย่างที่เคยทำก็ไม่ได้ เพราะความผิดของผมก็หนักหนาเอาการอยู่

“ตอนนั้นพี่อยู่บนห้องนอน คือ...พี่ล็อกห้องแต่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องนั่งเล่น ก็เลยไม่ได้รับสายนู แต่คงมีคนรับแล้วใช่มั้ย”

ผมน้อยใจนะ....พี่นิวพูดได้ไงหน้าตาเฉย

“กว่าจะลงมาเอาโทรศัพท์ก็ดึกแล้ว พี่ลองโทรกลับแต่สงสัยนูคงจะปิดเครื่อง ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้โทรไปตั้งแต่ตอนนั้น”

“ไม่เป็นไรครับ”

“วันนี้เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า”

“โอ๊ย!”   พี่นิวจับไหล่ผมเขย่าไม่เบานักหรอก แต่ก็รู้ว่าเขาแค่ล้อเล่น

“เป็นอะไร เจ็บเหรอ ไปทำอะไรมา” น้ำเสียงของพี่นิวร้อนรนและตกใจมาก

“ผมไม่เป็นไร”

“พูดอยู่ได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไหนมาดูซิ”

พี่นิวเลิกเสื้อด้านหลังของผมขึ้น ก็คงเห็นแนวเขียว ๆ ช้ำ ๆ ทั้งแผ่นหลังนั่นแหละ เมื่อเช้าไอ้เข้มก็ตกใจไปคนหนึ่งแล้ว

“ไปโดนอะไรมา”

“ล้ม”

“ไม่ใช่รอยล้มหรอกแบบนี้ มันทั่วทั้งหลังเลยนะนู บอกพี่มาตรง ๆ ใครทำนู”

“มุกเองแหละ”    เสียงผู้หญิงดังอยู่ข้างหลังเรา แล้วเจ้าของเสียงก็เดินมาตรงหน้า

“มุก”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เผชิญหน้ากับแฟนของพี่นิว

“มุกทำเหรอ”

เห็นหน้าพี่นิวงงสุดขีด ย้ำคำพูดว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ ส่วนผมเองก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

คงไม่ได้หมายความว่า....มุกอยู่เบื้องหลังผู้ชายถึก ๆ พวกนั้นหรอกนะ

“มุกไม่ได้ทำเองหรอก แค่สั่งใครให้ไปจัดการก็พอ ไม่เห็นต้องลงมือเองเลย”

.....ผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ดูต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ผมเคยมองอยู่ห่าง ๆ

 หรือว่าที่จริงแล้วนี่คือตัวตนของมุก  ใบหน้าขาว ๆ สวย ๆ เชิดขึ้นอย่างถือดี น้ำเสียงเข้มจัด

ไม่เห็นอ่อนหวานน่ารักอย่างที่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเลย

ผู้หญิงแบบนี้อะนะที่เคยควงอยู่กับพี่นิวจนเพื่อนฮือฮา

“จริงเหรอนู”   พี่นิวหันมาถามผม  (ผมก็ได้ยินพร้อมกับพี่นี่แหละ จะถามทำไมล่ะค้าบ)

ผมได้แต่ส่ายหน้า ใจหนึ่งก็อยากจะคิดตามนั้น เพราะผมก็ยังสงสัยว่าตรูเคยไปก่อศัตรูไว้ที่ไหนมั่ง

แต่อีกใจผมก็ว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่ยายนี่จะจ้างคนมาทำร้ายผม

ผมสิ...น่าจะจ้างใครไปทำอย่างงั้น ผมนะที่เป็นฝ่ายสูญเสีย ผมเสียพี่นิวไปทั้งคน (ทั้งที่ก็ไม่เคยได้หรอก)
 
“มันคงไม่รู้ตัวหรอกมั้งนิว”   มุกหันมาเล็งหน้าผม

ถ้าสายตายิงน้ำกรดได้เหมือนปืนฉีดน้ำ ผมคงเละไปทั้งหน้าแล้วมั้ง

“แล้วมุกทำแบบนั้นทำไม”

“ก็เกลียดมันน่ะสิ”   อ้าว! แล้วตรูไปทำอะไรมันตอนไหนฟระ

“เรื่องของเราไม่เกี่ยวกับอะไรกับนูเลยนะ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ไม่ใช่เพราะมันเหรอ นิวถึงบอกเลิกกับมุกอะ”

“ผมไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเลิกนะมุก ลืมไปรึเปล่าว่ามุกเป็นคนบอกเลิกกับผมก่อน

ผมก็เพิ่งจะได้เจอกับน้องเขาวันที่มุกบอกเลิกผมนั่นแหละ รู้ไหมเวลาที่ผมรู้สึกแย่ที่สุด

ก็มีแต่นูนี่แหละที่คอยปลอบใจ อยู่เป็นเพื่อนผม ส่วนมุกน่ะเหรอ แค่โทรศัพท์ของผม มุกยังกดสายทิ้งเลย”

“แต่มุกก็ขอโทษแล้วนี่ แล้วมุกก็เลิกกับไอซ์แล้วด้วย ยังไงเราก็น่าจะคบกันได้เหมือนเดิมนี่นิว”

แหม! ทำไมมันพูดกันง่าย ๆ อย่างงี้ฟระ นึกอยากจะบอกเลิก แมร่งก็เลิก

นึกอยากจะคืนดี แมร่งมันก็ดีกันง่าย ๆ งี้เองเหรอ

ผมมองพี่นิวที หันไปมองยายมุกที แล้วก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราว

ดูเหมือนคู่นี้จะขัดแย้งกันเพราะผม ยายมุกว่าผมเป็นต้นเหตุให้พี่นิวขอเลิก

ยายนี่มันต้องประสาทแดร๊กแน่เลย มันต่างหากที่บอกเลิกกับพี่นิว ผมยังเห็นเขาร้องไห้กับตา

ยังมาซบกับอกผมด้วยซ้ำ คนบางคนทำผิดแล้วไม่เคยโทษตัวเอง หาแต่ความดีเข้าตัว

ใคร ๆ ที่เคยชื่นชมยายนี่ เคยมองเห็นมุมมองที่น่าเกลียดอย่างที่ผมเห็นบ้างไหม

ที่พี่นิวพูดก็ใช่ว่าจะถูกเป๊ะ ๆ นะครับ เราน่ะเจอกันหลายครั้งแล้ว

และผมก็มักจะเป็นฝ่ายที่เสนอหน้าไปให้เขาเห็นมาตลอด

เพียงแต่เราเริ่มที่จะมาสนิทกันจริง ๆ ก็ตอนที่ยายนี่ได้ทุนไปเรียนเมืองนอกเท่านั้นแหละ

นับไปนับมาก็ไม่ถึงเทอมด้วยซ้ำ (ทุนแมร่งอะไรของมันก็ไม่รู้)

“คบกันแบบไหนล่ะมุก ตัวเองไปทำอะไรมาอย่าคิดว่าผมไม่รู้

มุกน่าจะบอกผมมาตรง ๆซะทีว่า ระหว่างที่คบกับผมน่ะ มุกก็คบกับไอ้ไอซ์ไปด้วย

แล้วที่มาบอกเลิกกับผมก็เพราะไอ้ไอซ์มันจับได้ใช่ไหมล่ะว่า มุกคบผมกับมันไปพร้อม ๆ กัน

มุกทำอย่างงี้ได้ไง แล้วถามหน่อยเถอะ นอกจากผมกะไอ้ไอซ์เนี่ย มุกก็ยังคบใครต่อใครไปทั่วใช่ไหม”

มุกไม่ปฏิเสธสักคำ แต่พูดอย่างอื่นที่ฟังดูแสนจะเข้าข้างตัวเองแทน

“ก็....มุก....มุกก็น่าจะมีสิทธิ์เลือกผู้ชายที่ดีที่สุดให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้มุกรู้แล้วว่านิวดีกับมุกยิ่งกว่าไอซ์”

ดูมัน...อยากจะได้แต่ของดี ๆ ทั้งที่ตัวเองทำตัวเน่า ๆ งี้อะนะ

“รู้ได้ไงว่าผมดีกว่าไอ้ไอซ์ แค่ที่มันปฏิเสธลูกในท้องของมุกจนต้องรีบบินไปทำแท้งเมืองนอกน่ะ...."

(ฮ้า?....ขอผมแจมหน่อย....มันน่าตกใจนี่ครับ)

".....มันสรุปไม่ได้หรอกนะมุก เพราะถ้าเป็นผม ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าผมจะรับรึเปล่า

เพราะผมคงไม่มีวันแน่ใจเลยว่าลูกในท้องมุกน่ะมันเป็นน้ำเชื้อของผมรึของใครกันแน่”

“นิว”   ยายมุกตวาดพี่นิวเสียงดัง จนคนที่นั่งรวมกลุ่มด้านที่ติดถนนหันมามองกันเป็นตาเดียว

“ตกใจล่ะสิ ว่าผมรู้ได้ไง”   พี่นิวพูดแล้วก็คงหยุดไม่ได้

ดีครับพี่ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า พี่กับมันจะเลิกกันจริงหรือเปล่า

แต่ผมฟังดูยายมุกนี่ร้ายเหลือเดนจริง ๆ นะ....อารายฟระ....คบผู้ชายสองคนพร้อม ๆกัน

(หล่อนจะเสน่ห์จัดเกินไปรึป่าว...แอบอิจฉานะเฟร้ย)

“ไอ้ไอซ์ไง ที่บอกผม”

“ไม่จริง ไอซ์เค้าไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับใครหรอก”

“ทำไมมันจะพูดไม่ได้ล่ะมุก ผมว่ามันคงรู้เรื่องที่มุกคบอยู่กับผมด้วยมั้ง  มันถึงได้มาบอก

หวังจะให้ผมเสียหน้าไง ว่ามุกยอมให้มัน แต่ไม่ยอมให้ผม ..ฮะ...ฮะ...น่าขำนะมุก

ไอ้ไอซ์มันบอกว่าน้ำหน้าอย่างผมน่ะ คงไม่ได้ฟันมุกหรอก  มุกคงไม่เคยบอกมันล่ะสิ ว่าที่มุกกับผมไม่เคยมีอะไรกัน

เพราะผมเป็นฝ่ายปฏิเสธ  ไม่ใช่ว่ามุกไม่ยอม”

“ทำไมนิวพูดอย่างนี้”  มุกเหลือบมามองทางผมแวบหนึ่ง สีหน้ามีแววละอาย

....เออ....อายก็เป็นเว้ย....เฮ้ย....

ผู้หญิงอะไรฟระ กล้าทำเรื่องน่าอายได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

ผมซะอีก....นัวเนียกับไอ้เข้มเมื่อคืนนี้ยังรู้สึกเหมือนทำตัวชั่วช้าซะเหลือเกิน

“เอาเป็นว่า ที่ผมบอกเลิกกับมุกมันไม่เกี่ยวกับน้องเค้าจริง ๆ มุกทำให้ผมต้องพูดเองนะ

ถ้ายอมเข้าใจดี ๆ ตั้งแต่ต้นก็คง....”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน ถ้ารู้ว่าแกมีรสนิยมแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันไม่มีวันเสียศักดิ์ศรีลงมาคบด้วยหรอก

ไอ้ทุเรศ!เชิญแกอยู่กับพวกวิปริตเหมือนกันไปเถอะ”

ดูเหมือนยายมุกจะสติแตกไปซะแล้ว

แหม….อยากให้ใคร ๆ ที่เคยชื่นชมได้มาเห็นภาพนี้จริง ๆ

ผู้หญิงสาวสวยที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้าถมึงทึง ชี้หน้าด่าทอด้วยคำพูดหยาบคาย

ราวกับคนไม่มีการศึกษา ไม่มีการอบรม มันดูไม่จืดเลยให้ตาย

น่าสงสารคนเป็นพ่อเป็นแม่....ผมรู้แล้วที่เคยได้ยินคนโบราณเปรียบเทียบว่า

...มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน....มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“เหมือนกันแหละมุก ถ้าผมรู้ว่ามุกโสโครกอย่างงี้ ผมก็ไม่เสียเวลามาคบเหมือนกัน”

“แก...ไอ้หน้าตัวเมีย แกว่าฉันเหรอ ฮึ! เลิกก็เลิกดิ นึกเหรอว่าฉันจะง้อ ผู้ชายดี ๆ ไม่ได้มีแค่แกคนเดียวเมื่ิอไหร่”

ยายนั่นสะบัดหน้าพรึ่ดท่าทางโกรธน่าดูที่ไม่ได้อย่างใจ เสร็จแล้วก็เดินจากไปดื้อ ๆ เหมือนกับเลิกเล่นขายของ

ผมมองตามหลังไปอย่างอึ้ง ๆ พร้อมอวยพร (แบบประชด ๆ) ขอให้เหลือคนดีที่ว่านั่นก็แล้วกัน

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: PazZ ที่ 02-10-2012 15:04:35
เฮ้อ...เรื่องนี้มันหน่วงใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-10-2012 15:33:14


แอบหนีงานมาบวกเป็ดให้ทุกคนครับ

เห็นคนหน้าเดิมอยู่สองคน อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ กะว่าจะให้จบในบอร์ดนี้แหละ

ตอนหลัง ๆ ผมจะลงพร้อม ๆ กันไปทั้งสองที่เลย

แล้วคืนนี้อย่าลืมแวะมาติดตามอีกรอบนะครับ    :z2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 02-10-2012 17:37:34
 ดีใจที่หล่อนสะบัดตรูดจากไป
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 02-10-2012 21:34:16
มันครับมันเรื่องนี้น่าติดตามมาก 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 02-10-2012 22:19:33
น้องนูต่อได้ยาวแบบมาราธอนสมใจอยากมาก
เป็นกำลังใจให้นะคะ ลองฟังพี่นิวดูบ้างก็ไม่เสียหายอะไร

ว่าแต่ใกล้จบแล้วหรือคะ ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 02-10-2012 22:55:43
รอออ่าน2ทีี่เลยครับ  o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-10-2012 23:11:29


ที่สามารถลงได้ทีละยาว ๆ ก็เพราะผมเีขียนเอาไว้นานแล้วครับ ตอนนี้ก็พยายามรีบลง

เพราะว่าประมาณกลางเดือนนี้ ไปจนถึงกลางเดือนหน้า เป็นช่วงทำเป้า ปีนี้ทั้งปีผลงานผมไม่ดีเลย

ก่อนจะปิดงวดสิ้นปีนี้ ผมควรจะมีผลงานไว้เสนอหน้าให้นายปรับเงินเดือนสักเล็กน้อย พอไม่ให้น่าเกลียด




ติดตามกันต่อเลยครับ





โลกของผมมันสะอาดเกินไปรึเปล่า หรือว่าผมมันไร้เดียงสาเกินไป

ถึงไม่เคยรู้ว่ามีคนแบบมุกอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

บ้านผมมีแม่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ภาพของผู้หญิงที่ผมจำติดตาฝังใจก็คือ

แม่ที่เป็นแม่บ้าน แม่ศรีเรือน แม่ยอดดวงใจของพ่อ เป็นแม่พระของลูก

แม้แต่เพื่อน ๆในห้องที่ผมคุ้นเคยก็ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมที่เหมาะสม

ถึงบางคนจะแก่นเหมือนม้าดีดกะโหลก บางคนอาจจะพูดจาหยาบคายได้คล่องลิ้นเท่าเพื่อนผู้ชาย

หรือบางคนอาจจะแต่งตัวตามแฟชั่นเว้านิดแหว่งหน่อย แต่ไม่เคยเห็นใครเลวร้ายสุดชีวิตได้เท่ายายมุก

หล่อนคบผู้ชายทีละหลาย ๆ คน (ตอนนี้ที่รู้ก็สองล่ะ)

มีเพศสัมพันธ์กันซะจนเผลอให้ท้องได้ ท้องแล้วก็ทำแท้งง่ายยังกะถ่ายอจุจาระ

บอกเลิก บอกรักผู้ชายได้ง่าย ๆ ไม่ละอายแก่ใจ หล่อนคิดว่าผู้ชายเป็นผ้าเช็ดส้น..ทรีน..รึไง

แต่คงเหมาะกันแล้วกับไอ้ไอซ์ (ผมก็ไม่รู้จักมันหรอก เดาเอาจากที่เขาทะเลาะกันว่ามันคงเลวชาติเหมือนกัน)

ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับ แถมเอาเขามาประจาน...เลว..ว...ว...

หล่อนว่าจ้างผู้ชายเป็นฝูงมารุมทำร้ายผม แล้วถ้าผมคิดไม่ผิดว่าเจ้าพวกนั้นมันเป็นตังเก

บางทีวันนี้ผมอาจจะกำลังอยู่ในเรือที่ลอยลำอยู่กลางทะเล ไม่รู้จะได้ขึ้นฝั่งเมื่อไร

หรือไม่ก็อาจจะถูกโยนให้เป็นอาหารสัตว์น้ำไปแล้ว


หล่อนเกิดฤกษ์ดาวน์โจนส์ (ดาวโจร) รึเปล่าฟระเนี่ย อุปนิสสันดาน ถึงได้เพียบพร้อมซะขนาดนี้

แต่ผมก็แอบดีใจอยู่หน่อย ๆ ว่าพี่นิวไม่เคยแอ้มยายนี่....อ๊ะ....ต้องกลับกันสิเนอะ

.....ยายนี่ไม่เคยได้แอ้มพี่นิวของผม....

....ว่าแล้วเชียว...

ตอนที่ผมจูบพี่นิวครั้งแรก พี่แกถึงได้ดูกลัว ๆ กล้า ๆ ยังไงไม่รู้ (ยังจิ้นอยู่แหงเลย)


ผมกำลังเพลินอยู่กับความคิดของตัวเองจนลืมไปว่า เรื่องที่ตัวเองก่อเอาไว้ก็...มิใช่น้อย

ความละอายใจเริ่มผุดขึ้นมาจนทำให้ผมไม่อยากอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป

ผมเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ล้วงหากุญแจไขเพื่อสตาร์ทเครื่องตามความเคยชิน

แล้วกุญแจมันก็มาลอยอยู่ตรงหน้า   มันอยู่ในมือพี่นิวที่กำลังแกว่งมันไปมาตรงหน้าผมนี่เอง

ผมหันไปหาก็เห็นรอยยิ้มของพี่นิว ดวงตาสุกใสเป็นประกายจนผมตาพร่าไปหมด

เพราะความหล่อบาดจิต ที่ผมประทับใจไม่เคยลืมเลยตั้งแต่แรกพบตอน ม.1

“จะหนีพี่อีกแล้วเหรอ แล้วงี้เมื่อไหร่จะได้คุยกันให้รู้เรื่องซะที”

พี่นิวซ้อนมือเค้ามาบนมือผมที่จับแฮนด์มอเตอร์ไซค์อยู่ แล้วบีบเบา ๆ

“ได้ยินแล้วนี่ ว่าพี่บอกเลิกกับมุกแล้ว...เพื่อนูนะ”

แววตาเว้าวอนซะจริง ๆ เลยพี่นิวของผม อย่าทำอย่างงี้ได้ไหม เดี๋ยวผมก็ใจอ่อนอีกหรอก

“เมื่อกี้ใครไม่รู้พูดว่าเลิกกันไม่เกี่ยวกับผม”

“มันก็ไม่เชิงหรอกนะ  พี่ไม่รู้จะพูดยังไงให้นูเข้าใจ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องวันนี้แหละ

....ไปคุยกันที่บ้านพี่นะ...นะ”

ผมนิ่งคิดตัดสินใจอยู่อึดใจเดียว (สั้น ๆ)

เพราะใจมันอยากจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว อย่าว่ากันเลยนะครับ

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน....เป็นเดือนนะนั่น

จากที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ใช้เวลาหลังเลิกเรียนอยู่ด้วยกันจนดึกดื่น ถึงจะได้แยกย้ายกันไปนอนบ้านใครบ้านมัน

กลับต้องมาเหินห่างกันด้วยความไม่เข้าใจ  พอโอกาสงาม ๆมันผ่านเข้ามาแบบนี้จะให้ผมหันหลัง  มันก็ดูจะทำร้ายหัวใจตัวเอง

จนเกินไป.......ผมพยักหน้าตกลง (ใจง่ายจังเลยตรู)

“นูนำหน้านะ พี่จะขับตามหลัง”

บนหน้าผากของผมคงมีเครื่องหมายปรัศนีย์แปะอยู่ พี่นิวถึงได้พูดกลั้วหัวเราะ

“เดี๋ยวนูหนีกลับบ้านไปอีก ขับรถไล่ตามกันไป ไล่ตามกันมา เปลืองน้ำมันแย่”


เรานั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น เปิดโทรทัศน์ให้มันดูเรา แม่บ้านเอาอาหารว่างมาวางให้

แต่ผมกินอะไรไม่ลงเลย มองหน้าพี่นิวที่กำลังยิ้มสดใส ยิ้มเหมือนได้ของเล่นถูกใจ
 
แล้วผมก็ต้องรีบหลบสายตา เพราะสำนึกได้ว่าตัวเองยังมีชนักติดหลังอยู่

“ไหนมาให้พี่ดูหลังอีกทีซิ”

พี่นิวเลิกเสื้อด้านหลังขึ้นมา ฝ่ามือเขาลูบเบา ๆ ไปตามรอยช้ำ

“ยังเจ็บอยู่รึเปล่าครับ”

ผมพยักหน้า พี่นิวโอบบ่ารั้งผมเข้าไปพิงกับอก

จูบกระหม่อมผมแล้วก็ซบอยู่อย่างนั้น ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกห่วงใยที่มีให้ผมได้รับรู้

“เพราะพี่ นูถึงได้ถูกรังแกแบบนี้ พี่ขอโทษนะ”

“พี่นิวไม่ผิดหรอกครับ ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ไม่ยอมรับความจริง”

ผมพูดไปทั้งที่ในใจก็ยังเคืองอยู่หน่อย ๆ แต่จะให้คิดแก้แค้นก็คงไม่ทำ เพราะผมเชื่อในกฎแห่งกรรมครับ

ผมว่าลำพังการใช้ชีวิตของมุกทุกวันนี้มันก็เสี่ยงพอดูอยู่แล้ว....เสี่ยงอะไรเหรอครับ

....ก็โรคร้ายที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นไง ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายไม่เลือกหน้า

 แถมยังปล่อยให้ตัวเองท้องได้.....ผมว่ายังไงซะยายมุกคงไม่มีวันแก่หรอก

 ไม่ใช่ว่าหล่อนจะเป็นสาวสองพันปีนะครับ แต่คงได้ตายก่อนแก่แหงเลย

พี่นิวถามถึงเหตุการณ์ที่ผมถูกทำร้าย ระหว่างที่ผมเล่าไปก็สบตาเขาไป

 ผมมองเห็นแววตาห่วงใยของพี่นิวที่สื่อออกมา ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก

 ยิ่งผมนึกถึงตอนที่ผมโทรหาเขาคืนนั้น แต่คนอื่นมารับสายแล้วทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า

 นี่ถ้าผมได้คุยกับเขาตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องราวระหว่างเรามันจะดีสักแค่ไหนหนอ?

 และเรื่องระหว่างผมกับไอ้เข้มก็คงไม่เกิด ป่านนี้เราคงเข้าใจกัน....

และ.....ลงเอยกันด้วยดี

“นูอยากจะแจ้งความเอาเรื่องรึเปล่า พี่จะให้พ่อพี่ช่วย”

“อย่าเลยครับ วุ่นวายเปล่า ๆ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก พี่กับเขาเลิกกันแล้ว ต่อไปคงไม่มีเรื่องมีราวอีกแล้วล่ะ”

 ใช่....ยายมุกถอยไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างใครมาทำร้ายผม

 ส่วนผมเองก็ยังไม่กล้ารุก เพราะตัวเองยังมีคดีติดตัว (เรื่องไอ้เข้ม)

ผมกลัวจริง ๆ ว่า ผมคงไม่มีค่าพอให้เขามาใส่ใจ เพราะผมทำตัวเหมือนที่เขาเพิ่งจะด่ายายมุกไปเมื่อกี้

 ผมกลัวว่าสายตาที่พี่นิวมองผมจะเปลี่ยนไป เมื่อนั้นผมคงทนไม่ได้

“ผมขอถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม”

“ว่ามาสิ”

“พี่เคยรักผู้หญิงคนนั้นไหม”   ผมถามแล้วก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ

“มุกอะ”   พี่เขานิ่งคิด   “ไม่รู้สิ” 

อะไรฟระ รักไม่รักทำไมไม่รู้ เห็นคบกันอยู่ได้ตั้งนานสองนาน  แถมตอนที่เขาบอกเลิกยังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

....ผมเห็นนะพี่

“พี่ไม่แน่ใจหรอกว่ารักรึเปล่า ความจริงที่พี่กับมุกคบกันน่ะ มุกเป็นคนเริ่มจีบพี่นะ”

อ๋าย!...หล่อนนี่มันแสบสุด ๆ เลยนะ

“เค้าเป็นดาวเด่นของโรงเรียนนั้น แถมยังดังข้ามมาถึงโรงเรียนเรา  พี่ว่าอาจจะเป็นความคะนองของตัวเองด้วยมั้งที่ยอมให้มุกจีบ”

..........

“แต่ตอนนี้พี่แน่ใจว่าพี่ไม่ได้รักมุกแล้ว เพราะเค้าทำตัวแย่มาก เหมือนไม่รักตัวเอง

 คนเราถ้าไม่รู้จักรักตัวเองก่อนก็คงรักคนอื่นไม่เป็นหรอก แล้วถ้าเราไปรักเค้ามันก็โง่มากจริงไหม”

“แต่พี่ก็กลับไปคบเค้าอีก”

“จะว่างั้นก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก เพราะว่าตอนที่มุกกลับจากนอกใหม่ ๆเค้ามีปัญหา

 มาขอร้องให้พี่ช่วย ก็เรื่องไอ้ไอซ์นี่แหละ พี่นึกว่าไอ้ไอซ์มันจะทิ้งมุกก็เลยไปช่วยพูดให้

 แต่ไงล่ะ มันพูดใส่หน้าพี่เรื่องที่มันทำมุกท้อง เรื่องนี้มุกก็ไม่เคยบอกพี่ พอพี่รู้พี่ก็เลยวางมือไม่เล่นด้วย”

“แล้วจริงรึเปล่าที่พี่บอกว่าไม่เคยมีอะไรกับเค้าอะ”

“ทำไม...ไม่เชื่อเหรอ”

“ก็....พี่นิวออกจะหล่อ สาวติดตรึม ผมว่ายายมุกเองก็คงอยากเขมือบพี่เหมือนกันแหละ มีเหรอจะปล่อยให้หลุดรอดมาได้”

“ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่เคยรู้สึกอยากนอนกับมุก นูจะเชื่อพี่ไหม”

“ถ้าพี่นิวอยากให้เชื่อ ผมก็จะเชื่อ”

.....

“ยังมีอีกเรื่อง”

“เอ้า...ว่ามาให้หมด ซักซะให้ขาวเลยนะ”   พี่นิวพูดยิ้ม ๆ

“เมื่อคืนที่ผมโทรมาน่ะ”

“ยังติดใจอะไร พี่ก็ขอโทษแล้วไง”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ ผมอยากรู้ว่าใช่มุกรึเปล่า ที่รับสายน่ะ”

“ก็....คงใช่มั้ง”

ผมก้มหน้าซ่อนแววตาที่ผิดหวัง ก็ไหนพี่บอกผมว่าพี่ไม่เคยมีอะไรกะยายมุกไง

 ....แต่รับโทรศัพท์แทนกันนี่มันหนิดหนมเกินไปนะครับพี่.....

“เค้ามา....จะเรียกว่าง้อก็ได้ เค้าอยากจะกลับมาคบกับพี่อีก  แต่พี่บอกเค้าว่าพี่กำลังคบคนอื่นอยู่

คงกลับไปหาเค้าไม่ได้แล้ว”

หา....พี่นิวมีแฟนใหม่แล้ว?   ตั้งแต่เมื่อไหร่?   ทำไมผมไม่เคยรู้?   เราห่างกันแค่เดือนกว่าๆเท่านั้นนะ

.....แต่จะว่าไปผมก็ทำผิดต่อพี่นิวนะ ผิดต่อความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน

 ผมไม่โทษพี่หรอกครับพี่มีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้

“มานี่ดีกว่า พี่จะทายาให้”    พี่นิวเปลี่ยนเรื่องคุย ฉุดผมให้ลุกขึ้นเดินตามไป ทำท่าจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน....

ผมเริ่มใจไม่ดี เพราะชั้นบนมันก็ต้องเป็นห้องนอนอะดิ แล้วพี่นิวก็พูดเหมือนไอ้เข้มเมื่อคืนนี้เปี๊ยบเลย

การที่ได้อยู่กันสองต่อสองในที่รโหฐานกับคนที่เรารัก ผมว่าผมคงยอมตามใจเขาทุกสิ่งทุกอย่าง

ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็เหอะ ผมควรจะตัดไฟแต่ต้นลมใช่ไหมเนี่ย

“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมดีขึ้นแล้วล่ะ”

ผมรั้งตัวเอง ไม่ยอมเดินขึ้นบันได (ลางสังหรณ์มันบอกว่า เหตุการณ์อาจจะซ้ำรอยเดิม)

 ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจเขานะ แต่ผมรังเกียจตัวเองที่ทำตัวไม่ดี

 และผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าพี่นิวรู้เรื่องนั้น เขาจะรังเกียจผมมั้ย

สมมติว่า วันนี้ผมยอมมีอะไร ๆ กับพี่เขา แล้วไอ้เข้มล่ะ....ผมจะทำยังไงกับมันดี

“ไม่ได้ เดี๋ยวทายาแล้วนอนพักผ่อนสักงีบ ตื่นขึ้นมาจะได้รู้สึกสบายขึ้น”

ผมยังอิดออด แต่สุดท้ายก็แพ้คำรบเร้าของพี่นิว รวมทั้งแพ้ใจตัวเองด้วยอะแหละ


ระหว่างที่พี่นิวทายาให้ผม และนวดเบา ๆ ไปทั่วหลัง

(เหมือนที่ไอ้เข้มทำให้ผมเลย ทำไมผู้ชายสองคนมันถึงได้ทำกับผมอย่างเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมายกันฟระ)

 ตัวผมก็คิดสองจิตสองใจ ว่าถ้าพี่นิวขอทำรักกับผม ผมจะตอบตกลงรึว่าปฏิเสธดี

ใคร ๆ ก็คงเป็นเหมือนผม เวลาที่เราอยู่ใกล้ชิดคนที่เรารัก

 มันก็เป็นธรรมดาที่เราอยากจะสัมผัส อยากจะนัวเนีย นุงนัง อะไรต่อมิอะไรแหละว่าไหม....

ผมก็อยากนะ....อยากจนแทบจะเป็นฝ่ายกระโจนใส่เขาเองด้วยซ้ำ

แต่สำนึกที่อยู่ในใจผมมันเตือนว่า ถ้าผมมีอะไรกับเขาวันนี้ วันหน้าผมอาจจะเจอกับปัญหาใหญ่
 
อย่างน้อยให้ผมได้เคลียร์กับไอ้เข้มก่อนก็ยังดี

แล้วผมก็เริ่มเคลิ้ม ๆ จวนจะหลับ พี่นิวก็หยุดนวดให้ผมแล้วจับผมพลิกตัวขึ้นมานอนหงาย

 ใจผมเต้นตึกตัก ๆ (โดนแน่แล้วตรู)

“หลับให้สบายนะครับคนดี”

แล้วก็มีลมอุ่น ๆ มาปะทะหน้าผากผม ผมลืมตาขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ

 (ผิดหวังนิด ๆด้วยอะ) เห็นพี่นิวกำลังคลี่ผ้าห่มคลุมให้ด้วย

“แอร์เย็นไปไหมครับ พี่กลัวว่าช่วงบ่ายอากาศจะร้อน นูจะนอนไม่สบาย ห่มผ้าซะนะ”

พี่นิวออกจากห้องไปแล้วพร้อมกับปิดประตูตามหลัง


ผมถามตัวเองว่า ผิดหวังไหม ที่พี่นิวไม่คิดจะล่วงเกินอะไรผมเลย หรือว่า ที่เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมจะได้ไม่ยุ่งยากใจ

 (แต่ก็อดน้อยใจเล็ก ๆ ไม่ได้ว่า นี่ตรูไร้เสน่ห์ขนาดนี้เชียวเหรอ)

ผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และทั้งที่ในใจยังสับสน
 
ว่าจริง ๆ แล้วพี่นิวรู้สึกยังไงกับผมกันแน่

 ดูเหมือนจะรัก

 แต่รักของเขากับรักของผม มันความหมายเดียวกันรึเปล่า

เขาไม่เคยพูดคำนั้นกับผมเลย....คำที่ผมอยากได้ยิน

หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว....เป็นผมที่รู้สึกไปเองข้างเดียว



 หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ

แต่พอคิดขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้เคลียร์กับไอ้เข้มเลย ความหนักใจก็เข้ามาแทนที่อีกครั้งหนึ่ง

 ผมยังหาโอกาสคุยกับมันตามลำพังไม่ได้เลย ที่โรงเรียนเราก็มักจะอยู่กันเป็นฝูง

ถ้าใครแยกตัวออกมาคุยกันก็จะมีคนตามมาฟัง

(พวกเพื่อนผมมันชอบแกล้ง ไม่ได้มีเจตนาจะสอดรู้เรื่องเพื่อนหรอก)
 
เมื่อก่อนผมก็พลอยสนุกเวลาที่ได้แกล้งคนอื่น พอถึงทีตัวเองจะถูกแกล้งบ้างชักกลัวละสิครับ

 ก็เรื่องผมน่ะ ถ้าลองได้รั่วไหลออกไปเข้าหูเพื่อน ๆ ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะมีปฏิกิริยายังไงบ้าง

บอกแล้วว่าสังคมที่ผมอยู่มันยังไม่ตอบรับเรื่องเกย์กันเท่าไหร่

 (ผมล่ะอยากย้ายบ้านเข้ากรุงเทพซะจริง ๆเชียว)

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 02-10-2012 23:32:21
จะรอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 2.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 02-10-2012 23:41:24
เอร้ย พี่นิวน่ารักมากอ่ะ ถ้้านูทำหลุดมือไปนี่เสียดายแทนจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-10-2012 00:06:14


คืนนี้มาดึกไปหน่อย ออนทิ้งไว้แล้วมัวแต่ทำงาน    :really2:

คอยสักครู่ครับ ว่าจะลงยาวหน่อย

บวกเป็ดให้แล้วครับ สำหรับที่ตกไปเมื่อวานนี้








ชีวิตผมเหมือนมันจะราบรื่นเลยนะ ถ้าผมจะไม่มามัวกังวลกับเรื่องเมื่อคืนนั้นที่หลวมตัวไปกับไอ้เข้ม

บางทีผมก็อยากจะคิดว่าทำลืม ๆ ซะดีไหม มันก็ลืมไม่ลง เพราะไอ้เข้มมันหมั่นเสนอหน้ามาใกล้ผมอยู่เรื่อย

ถึงมันจะไม่ทำท่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม แต่มันก็ปฏิบัติกับผมไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ

นั่งอยู่ที่ไหนมันก็จะมานั่งใกล้ ๆ ถ้ามีใครนั่งอยู่ก่อนแล้วมันก็ไล่เขาไปนั่งที่อื่น

แรก ๆ ก็ไม่มีใครอยากจะว่าอะไร แต่พอหลาย ๆครั้งเข้ามันก็ผิดสังเกต จนเพื่อนเริ่มแซว

 แทนที่ไอ้เข้มมันจะปฏิเสธ รึอย่างน้อยก็อยู่เฉย ๆ ก็ยังดี

 มันยังลอยหน้าลอยตาทำสนิทสนมหนักกว่าเดิมนี่สิ

......ผมจะบ้าตาย....


   
        ส่วนผมกับพี่นิว เราก็กลับมาใช้เวลาหลังเลิกเรียนร่วมกันอีกอย่างมีความสุข

(แต่สำหรับผมมันสุก ๆ ดิบ ๆแฮะ) และก็ยังไม่มีอะไรเกินเลยไปจากที่แล้ว ๆมา

 ยิ่งใกล้ชิดเขามากขึ้นผมยิ่งรู้สึกอบอุ่นและรักเขามากขึ้นทุกวัน พี่นิวดูแลและเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี
 
วันหยุดสุดสัปดาห์บางครั้งพี่นิวจะพาผมไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆนอกเมือง ไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา

มันทำให้เราสามารถแสดงออกถึงความรักได้อย่างอิสระเสรี

....นอนหนุนตักกันใต้ต้นสนริมทะเลในยามเช้ารอเวลาให้พระอาทิตย์ขึ้น

หลังจากนั้นก็เล่นน้ำทะเลบนชายหาดโล่งที่แทบจะไม่มีผู้คน
 
เพราะชายทะเลแห่งนั้น เป็นหาดส่วนตัวของโรงแรมหรูระดับห้าดาว

 ถ้าไม่ใช่แขกของโรงแรมก็หมดสิทธิ์เข้าไป

....ผมมีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นยังไงยังงั้นเลย

แต่เชื่อไหมว่าทั้งที่โอกาสและบรรยากาศมันอำนวยซะขนาดนี้

 พี่นิวก็ยังไม่เคย...จุด...จุด...จุด...กับผมเลย

นี่ถ้าเป็นไอ้แฟนคนก่อน ๆของผมสองคนนะ ผมคงไม่เหลือเวอร์จิ้นมาจนถึงวันนี้แน่

ขนาดอยู่ในที่ลับตาคนแค่แว่บ ๆ มันยังอดลวนลามไม่ได้เลย

ผมถึงได้ขอเลิกกับมัน เพราะความรักที่เริ่มต้นด้วยเซ็กส์ ผมว่ายังไงมันก็ไม่ยั่งยืน

   แต่กับพี่นิวผมแน่ใจมาก ๆ ว่าผมรักเขายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาไปตลอดเวลาที่เหลือ

เพราะอย่างนี้ไงผมเลยอยากให้ความสุขกับเขาถ้าเขาต้องการ

ขอแค่เขาส่งซิกให้ผมแค่นั้น อย่าให้ผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนเลย

(ตรูก็อายเป็นนะเฟร้ย...ใครรู้เข้าจะหาว่าอยากเสียตัว)


   
             วันนี้อาจารย์มีประชุมด่วนช่วงบ่าย ก็เลยปล่อยนักเรียนกลับบ้านครึ่งวัน

พวกผมไม่รู้จะไปไหนดีก็เลยนั่งเล่นอยู่ในโรงเรียน

 (ช่วยซื้ออาหารและน้ำไม่ให้เหลือทิ้ง..สงสารแม่ค้าอะ...ใจบุญแมะ)

ผมเห็นไอ้เข้มเดินแยกไปซื้อของกินก็เลยตามมันไปติด ๆ

   “ไอ้เข้ม”

   “ไรวะ”   มันหยุดฝีเท้าหันมามองหน้าผม ทำยิ้ม ๆ

   “วันนี้มึงว่างป่ะ”   ผมตัดสินใจละ ว่าวันนี้อากาศปลอดโปร่ง เหมาะแก่การเจรจา

   “มึงยังว่างเลย ทำไมกูจะไม่ว่าง”   หนอย....กวนส้นนะมึง....กูถามดี ๆโว้ย

   “เออ...งั้นเดี๋ยวหาที่เงียบ ๆ คุยกันหน่อยดิวะ”

   “คุยไรอะ”

   “เออน่า...ถ้ามึงหิวก็กินซะให้เสร็จก่อน แล้วค่อยคุย”   ซื้อเวลาอีกหน่อย

   “มึงพูดงี้กูก็หมดอยากแล้วว่ะ อยากรู้เรื่องมึงจะคุยมากกว่า....ปะ...ไปหลังห้องน้ำกัน

ป่านนี้เด็กกลับกันหมดแล้วมั้ง”

   ผมเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในละแวกนั้น หรือแม้แต่ในห้องน้ำ

เพราะผมเข้าไปถีบประตูออกทีละบานให้เห็นกับตาเลยแหละ

   “เมื่อไหร่มึงจะเริ่มซะทีฮะ...คนอื่นมันเบื่อโรงเรียนจนรีบแจ้นกลับบ้านไปหมด

 มีแต่มึงกะกูเนี่ยที่รักโรงเรียนชิบหาย ปล่อยกลับบ้านก็ยังไม่ยอมกลับ

....เออ...แต่กูว่าไปคุยกันบ้านมึงก็ได้นี่หว่า ใกล้แค่นี้เอง”
 
ไอ้เข้มมันเสนอความคิดที่ผมจะไม่มีวันทำตามเป็นอันขาด...เข็ดว่ะ...

   “เว้อ....ไม่เอาโว้ย!”

   “งั้นมึงรีบพูด”

   “เออ....กู...เอ่อ....”

   “มึงเอ่อแล้วเดี๋ยวมึงก็อ้า ใช่แมะ วันนี้จะคุยกันได้เรื่องไหมเนี่ย”

ท่าทางมันรำคาญเต็มที ผมเลยสลัดความอายพูดออกไปให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

   “มึงกะกูห่าง ๆ กันมั่งได้ไหมวะ”

   “ทำไมวะ มึงมีปัญหาอะไรเหรอ”   มันทำหน้าแปลกใจ

   “ป่าว!”

   “อือ....ป่าว?  รึว่ามึงเบื่อกู...เกลียดกู”   หน้ามันเริ่มจ๋อย

   “ไม่ใช่ยังงั้น”

   “แล้วทำไม กูทำไรไม่ดีตรงไหน”   แล้วมันก็ถามคำถามนี้ซ้ำ ซึ่งผมก็ต้องตอบอย่างเดิม

   “ป่าว มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู”

   “เออ...มึงก็รู้นี่หว่า”

   “แต่กูก็อยากเป็นแค่เพื่อนกะมึง”

   “กูก็ไม่ได้ว่าไรนี่ แต่ถ้ามึงจะห้ามไม่ให้กูคิดมากกว่าเพื่อนกูก็ขอโทษ กูทำไม่ได้”
 
ไอ้เข้มเริ่มออกเสียงดังขึ้น ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมขอมันทำยาก...ใครมันจะห้ามหัวใจไม่ให้รักได้ล่ะครับ

ผมเองนี่ไงคนหนึ่ง ทั้งที่ไม่เคยแน่ใจเลยสักครั้งว่า พี่นิวรักผมบ้างหรือรึเปล่า ผมก็ตะบี้ตะบันรักอยู่อย่างนั้นเอง

   “แต่ว่า....เรื่องที่เราทำ...”

   “มีงไม่สบายใจใช่ไหม”

ไอ้เข้มยกมือขึ้นลูบแก้มผมเบา ๆ แววตาที่มันมองมา ดูเศร้า ๆ ยังไงไม่รู้

ผมเห็นแล้วก็อยากจะใจอ่อน แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งถลำลึกลงไปอีก

   “มึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะเรียกร้องอะไรจากมึง ถ้ามึงไม่เต็มใจ  ก็เหมือนคืนนั้นแหละ

กูเองไม่เคยคิดจะฝืนใจมึง แต่สิ่งที่มึงทำให้กูอะ  กูซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดไงถูก

กูรู้ว่ามึงคิดกับกูแบบไหน แต่ขอเถอะวะ  ให้กูได้รักมึงแบบนี้ อยู่ใกล้มึงแบบนี้ต่อไป

กูขอแค่นี้ มึงให้กูไม่ได้เหรอวะนู”

   ผมก้มหน้าหลบสายตาไอ้เข้ม ใจหนึ่งอยากจะยืนยันความคิดเดิมที่ว่าจะตีตัวออกห่างจากมันซะ

 แต่อีกใจผมก็สงสารมันจนน้ำตาแทบร่วง ผมมั่นใจว่ามันเป็นแค่ความสงสาร ไม่มากไปกว่านี้

 แต่ใครจะรู้....เขาว่าความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรัก...เกิดผมรักมันขึ้นมาวันไหน

...ผมก็คงกลายเป็นคนหลายใจ มากรัก....ความฝันที่ผมจะได้อยู่เคียงข้างพี่นิวก็คงไม่ต้องพูดถึงกันอีก
   
    “แต่ทุกวันนี้เพื่อนในกลุ่มมันก็เริ่มผิดสังเกตมึงกะกูอยู่นะไอ้เข้ม ความแตกขึ้นมากูกะมึงจะเอาหน้าไปไว้ไหน”

     “บอกตรง ๆ นะนู ว่ากูไม่แคร์ ถ้าวันนี้มึงรับรักกู พรุ่งนี้ให้กูประกาศหน้าเสาธงกูยังทำได้เลย

แล้วมึงล่ะ ที่มึงแอบคบอยู่กับพี่นิวอะ มึงว่าคนอื่นเค้าไม่ผิดสังเกตมั่งเหรอวะ  หรือว่าทีกับพี่นิวมึงยอมได้ทุกอย่าง

แต่มาสร้างเงื่อนไขเอากะกู”

   ผมพูดไม่ออกเพราะมันจริงทุกอย่าง เพื่อคนที่เรารักให้ทำอะไรยากเย็นแค่ไหนก็ยอม
 
ไอ้เข้มกับผม เรารู้ใจและเข้าใจกันดี เพียงแต่มันไม่ลงล็อคพอดีกันได้เท่านั้น

             “กูก็ไม่เคยขอร้องมึงเลยนะเข้ม มึงไม่รู้หรอกว่ากูละอายใจต่อพี่นิวมากแค่ไหน  แล้วถ้ามึงรู้จักคำว่ารักดีพอนะ

มึงก็ต้องรู้ว่ากูทรมานใจแค่ไหนที่ทำเหมือนกูทรยศเค้า ปากกูบอกว่ารักเค้า แต่กูกลับมามีอะไรกับมึง

ถ้าเค้ารู้ก็คงเสียใจ อย่างน้อยเค้าก็อาจจะคิดว่ากูไม่จริงใจกับเค้า ซึ่งมึงเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่จริง”

   ผมพยายามพูดทุกอย่างให้มันเห็นใจ

   “มึงไม่ต้องมาตอกย้ำ กูรู้ดีว่ามึงไม่เคยเห็นกูอยู่ในสายตา แล้วมึงจะให้กูทำไงมึงถึงจะพอใจ ให้กูตายไปเลยดีไหม”

 ถ้ามันจะตะโกนใส่หน้าผม รึว่าชกผมซักเปรี้ยงก็คงจะดีกว่าที่มันจะพูดนิ่ม ๆ แต่แววตามันตัดพ้อต่อว่าแบบนี้

มันเชือดเฉือนความรู้สึกสิ้นดีเลย

   “มึงอย่าพูดแบบนั้น ยังไงกูก็ยังเห็นมึงเป็นเพื่อน กูสนิทกับมึงมากกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ มึงก็รู้

 ระหว่างเรามันเป็นได้แค่นี้จริง ๆ ขอให้มึงเข้าใจกูหน่อย”

   “กูเข้าใจมึง วันนี้มึงมาบอกให้กูเลิกยุ่งกับมึง....ก็ได้  ตั้งแต่คืนนั้นกูก็ไม่เคยวุ่นวายกับมึงเลยจริงไหม

แต่มึงบอกให้เราห่าง ๆ กัน มึงจะทรมานกูไปถึงไหน”
 
   ไอ้เข้มร้องไห้น้ำตานองหน้าจนผมเองก็ใจไม่ดี รู้สึกว่าตัวเองใจร้ายเกินไปหรือเปล่า

   ผมเดินเข้าไปใกล้อยากจะปลอบใจมันประสาเพื่อน  แต่ทันใดก็มีเสียงดังขึ้นด้านหลัง

   เป็นเสียงผู้หญิงครับ....เสียงผู้หญิงที่ผมคุ้นหู และไม่มีวันลืม  ผมกับไอเข้มหันไปตามเสียงนั้น ไม่ใช่ใคร....
   
   ยายมุกตัวแสบเจ้าเก่าน่ะเอง  แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกมือเย็น เข่าอ่อน จนแทบทรุดไม่ใช่ยายมุก

   แต่.....เป็นคนที่ยายมุกควงแขนมาด้วยตะหาก

   พี่นิวของผมครับ...

หน้าพี่นิวเรียบสนิท ไม่บอกอารมณ์เลย แต่ตาเขาสิครับ จ้องผมเขม็งเชียว

ไม่ต้องให้ใครบอกผมก็รู้ว่า พี่เขาคงได้ยินที่ผมกับไอ้เข้มพูดกัน ถ้าไม่ทั้งหมดก็คงเกือบ ๆ ล่ะ

และมันก็มากพอที่จะทำให้เขารู้เรื่องที่ผมกำลังปิดบังอยู่

ไอ้เข้มก็พลอยหน้าซีดไปกับผมด้วย มันไม่อยากทำร้ายจิตใจผม แต่ลงอีรูปนี้ เห็นจะไม่รอด

เพราะพี่นิวรู้เรื่องหมดแล้ว....ซวยฉิบห...

“เห็นแมะ....มุกบอกนิวแล้วว่าสองคนนี้น่ะยังไง ๆ กัน ได้ยินกับหูแล้วเป็นไง

โดนมันสวมเขาให้แบบเนี้ย นิวกลับมาเป็นแฟนมุกเหมือนเดิมดีกว่า”
 
อีนี่มันน่าจะเกิดมาเป็นใบ้นะผมว่า พูดอะไรออกมาแต่ละอย่างมีแต่เรื่องเลว ๆ

พี่นิวยังยืนนิ่ง ไม่พูด ไม่ถามอะไรผมสักคำ

ส่วนผมน่ะเหรอ...อึ้งดิ...ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรเลยนอกจาก...

“พี่นิว...พี่ต้องเชื่อใจผมนะ”

ผมรู้สึกแรงบีบรัดในอก เมื่อพูดคำนั้นออกไป เขาคงไม่เหลือความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผมอีกแล้ว
 
ผมรู้ดีว่าผมผิด แต่ขอได้ไหม....ฟังผมพูดบ้าง อย่ามองผมเหมือนผมไม่มีค่าอย่างนั้น

“พี่นิวครับ ผมกับนูเป็นแค่เพื่อนกัน เรื่องบางเรื่องที่มันเลยเถิด ผมผิดเอง นูไม่เกี่ยว

ถ้าพี่จะโกรธก็โกรธผมดีกว่า....พี่ชกหน้าผมก็ได้”

 ไอ้เข้มช่วยพูด ผมไม่รู้ว่ามันทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือเลวลงกันแน่

เพราะนังตัวดีรีบถือโอกาสโยนฟืนใส่และจุดไฟทันที

“แหม...รักกันจริงนะ...นิวเชื่อมุกเหอะ คนเราถ้ามันทรยศได้ครั้งนึงนะ มันก็ต้องมีครั้งต่อไปอีกน่ะแหละ”

.....อี่นี่.....มึงกะลังพูดถึงตัวเองอยู่รึเปล่าเนี่ย.....

ผมฉุนจัด แต่ความผิดยังติดตัวอย่างนี้ผมเฉยไว้ดีกว่า จัดการเรื่องของตัวเองเสร็จแล้ว

ค่อยจัดการมันทีหลังก็ยังไม่สาย.....ฝากก่อนเหอะวะอีมุก...ฮึ่ม!!

ตลอดเวลานั้นพี่นิวได้แต่จ้องผม และก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

ผมเห็นแววตาที่มองมามันฟ้องว่าเขาผิดหวังในตัวผม นังมุกตัวดียังยืนเย้ยหยันผม....ทำไมมึงไม่รีบตามไปละวะ

จะมายืนลอยหน้าทำหอกอะไร...กูไม่อยากเห็นหน้ามึง....

“และก็นะ....อีนู....ถ้าแกยังไม่รู้ล่ะก็ ฉันจะบอกให้เอาบุญ”

มันหยุดพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้เข้มก่อนจะพูดต่อ

 “แกไม่สงสัยมั่งเหรอว่าทำไมฉันถึงให้พวกตังเกนั่นไปดักแกถูกทาง ถูกเวลา...ฮะ...ฮะ....”

อีนี่มันพล่ามอะไรของมัน....จะขุดเรื่องเก่าขึ้นมาพูดทำไม

"มุก หยุดได้แล้ว”   เป็นไอ้เข้มเองครับที่ตวาดออกมา

“กลัวล่ะสิ...เข้ม....ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมา เหมือนที่ฉันก็รับไปแล้วไง แกรู้ไหม

ตอนนี้นิวเค้าแทบไม่อยากเห็นหน้าฉันเลย”

“ก็เธอทำตัวเองทั้งนั้น ยังมีหน้ามาบ่นอีกเหรอ”   ไอ้เข้มสวน

“ฮึ...ใช่ฉันคนเดียวเมื่อไหร่ ถ้าแกไม่ร่วมมือ มีเหรอที่ฉันจะทำได้จนเกือบจะสำเร็จ”

นี่มันอะไรกัน สองคนนี้โยนคำพูดกันไปมา ราวกับพูดเรื่องเดียวกัน
 
เรื่องอะไรที่ไอ้เข้มให้ความร่วมมือจนเกือบสำเร็จ....

อย่าบอกนะว่า เหตุการณ์ที่ผมถูกทำร้าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไอ้เข้ม....เพื่อนที่ผมรักและไว้ใจที่สุด

“ฉันไมได้ร่วมมือกับเธอทำร้ายนู ฉันก็แค่บอกเวลากับสถานที่ สิ่งที่ฉันตั้งใจจะทำแต่ไม่ได้บอกให้เธอรู้ตัวก็คือ

ฉันจะเข้าไปช่วยนู”

“อ๋อ! พระเอก....แหวะ....แล้วไง....ได้ช่วยไหมล่ะ”  ยายมุกยังยืนเท้าสะเอวลอยหน้าถามอย่างน่าหมั่นไส้

“ก็เธอเล่นบอกให้พวกมันไปรอก่อนเวลา ฉันไม่รู้ด้วย แต่นูก็โชคดีแล้วล่ะที่รอดมาได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อไอ้หื่นพวกนั้น”

“โชคดี...เฮอะ...มันคงไม่โชคดีไปตลอดหรอกย่ะขอบอก....คนอย่างฉันถ้าไม่ได้นิว แกก็อดเหมือนกันอีนู”

ประโยคหลังมันหันมากระแทกใส่ผมที่กำลังยืนเป็นเบื้อ (รู้ตัว) ทั้งงง....ทั้งตกใจ

....และตอนนี้ก็กำลังโกรธ

   สองอีแล้วนะโว้ย....กูไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่กะเทย มึงไม่มีสิทธิ์มาขึ้นอีกะกู....

ผมได้แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ แต่ปากมันอ้าอะไรไม่ออกทั้งนั้น....

เพราะผมกำลังจุกกับคำพูดที่ ไอ้...อี...สองคนนี้มันกำลังถกกัน...ด้วยเรื่องที่ผมหวาดกลัวสุดขีด

 และทุกวันนี้นึกขึ้นมาทีไรผมก็ยังผวาไม่หาย

 แต่มันกำลังพูดเหมือนผมเป็นตัวอะไรสักอย่างที่มันใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับความรัก

...ที่สำหรับผม...ความรักเป็นสิ่งอมตะ เป็นความรู้สึกที่น่าเทิดทูน เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอ่อนหวาน....

รักในแบบที่ผมมีให้พี่นิวหมดหัวใจ....

แต่ทว่าตอนนี้ความรักนั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินแล้ว

นอกจากพี่นิวจะไม่เคยรักตอบผม ตอนนี้เขาคงเกลียดผมยิ่งกว่าตัวเหี้ย

เกลียดสิ่งที่ผมทำและเขาตีความไปเสร็จเรียบร้อยแล้วว่าเลว

   ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะ....ไอ้....อี...สองคนนี้

ผมไม่รู้ว่าน้ำตามันเหือดแห้งไปไหนหมด ทั้งที่ผมอยากจะร้องไห้เต็มแก่

ความเจ็บปวดมันรุมเร้าผมทีเดียวพร้อมกันถึงสองเรื่อง ไหนจะคนที่ผมรักที่สุดเขาเกลียดผม

ไหนจะเพื่อนรักที่ไว้ใจที่สุดก็มาทรยศกันซะได้ แล้วในโลกนี้ผมยังจะเหลือใครอีกวะ....

ผมไม่พร้อมจะเผชิญหน้าใครทั้งนั้น

ผมไม่อยากเห็นหน้าคนจิตใจต่ำช้าอย่างผู้หญิงคนนี้

และที่สุดแล้วผมไม่อยากเห็นไอ้เข้ม....

มันทำกับผมได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่บอกรักผม...มันแก้แค้นผมที่ไม่รักมันตอบรึไง....

   ผมเดินออกมาจากตรงนั้น ปล่อยให้สองคนนั้นมันยืนพูดพล่ามกันไป

พี่นิวไปทางไหนผมก็ไม่อยากรับรู้แล้ว คนที่ไม่เคยรักกัน ไม่เข้าใจกัน

และก็คงไม่คิดจะอภัยให้กันอีกด้วย ป่วยการที่จะง้องอน ตามตื๊อ หรือแก้ตัวใด ๆ


   ได้เลย.......วันนี้ผมไม่มีคนรัก ไม่มีเพื่อนรักอีกต่อไป ผมจะอยู่ส่วนผม

ไม่แตะอีกแล้วความรัก   ผมเคยศรัทธาในความรัก  ขณะนี้ก็ยังศรัทธาเช่นนั้น

แต่ผมคงไม่อาจจะมีความรักในแบบที่ผมคาดหวังได้อีก

ผมทุ่มเทหัวใจให้เขาเท่าไหร่ ไม่เคยเลยที่เขาจะตอบแทนกลับมาให้ได้ชื่นใจบ้าง

ผมรู้ว่าเขาดีต่อผมตลอดเวลาที่เราคบหากัน

ผมเคยบอกตัวเองว่าผมยอมรับเพียงเท่าที่เขาจะให้ผมได้....

...แต่ความจริงมันไม่เคยพอ....

ผมไม่เคยเรียกร้องมากกว่านั้นก็จริง แต่ก็อดจะหวังไม่ได้ว่า...

...วันหนึ่งเขาจะพูดคำว่า ‘รัก’ กับผมสักครั้ง




      ผมกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็นเมื่อก่อนนี้   

      ขังตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่รับรู้ความเป็นไปข้างนอก ไม่รับโทรศัพท์

      ผมรู้ว่าตอนนี้คนทั้งบ้านกำลังกลุ้มใจเรื่องของผม เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของผมเลย

คงมีแต่ความรักและความเป็นห่วงเท่านั้นที่จะแสดงออกมาให้ผมรับรู้ได้

            พ่อครับ...แม่ครับ....พี่ครับ.....ผมรับรู้ทุกความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนมีให้ผม

แต่ขอผมอยู่กับตัวเองสักพัก ตอนนี้ผมไม่สับสนกับชีวิตและความรู้สึกของตัวเองแล้ว

ผมเข้าใจตัวเองได้อย่างถ่องแท้ ผมยอมรับสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตได้

แม้ครั้งแรกมันจะขมขื่นอยู่บ้าง แต่ผมจะผ่านมันไปให้ได้สักวัน

   ....ขอบคุณที่ดูแลและห่วงใยผม แต่เวลานี้สิ่งที่ได้รับมันไม่เพียงพอเอาซะเลย

   .....และผมคงต้องเติมเต็มมันด้วยตัวเอง





มีต่อครับ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-10-2012 00:50:23



สองวันแล้วที่ผมไม่ออกจากห้องไปไหนเลย น้ำไม่อาบ ข้าวไม่กิน ไม่พูดคุยกับใคร
 
พี่มาบอกว่ามีเพื่อนมาหา ผมก็ไม่รับรู้ ผมไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจได้เหลือเลยสักคน

และผมก็ไม่มีคนที่ผมรักมาคอยแคร์และใส่ใจกับความรู้สึกเจ็บช้ำในใจของผมด้วย....

ก็ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้อนรับ ‘คนแปลกหน้า’ เข้ามาในโลกส่วนตัวของผม


   เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะผลักเข้ามา ผมไม่ได้หันไปมอง แต่กลิ่นโคโลญจ์คุ้นจมูกที่แม่ใช้มันอวลเข้ามา

   แม่มานั่งบนเตียงข้าง ๆ ที่ผมนอน เอามือมาลูบหัว แล้วก้มลงจูบกระหม่อมเหมือนว่าผมยังเป็นเด็กเล็ก ๆ

ผมยกหัวซุกลงไปบนตักแม่เรียกหาความอบอุ่นที่ไม่ได้พบเจอมานานมากแล้ว

   “เป็นอะไรไปลูก สองวันมาแล้วนะ มีอะไรบอกแม่ได้ไหม”   แม่พูดกับผมด้วยเสียงอ่อนโยน

   ผมส่ายหน้า ไม่อยากบอกให้แม่ยิ่งไม่สบายใจไปกว่าเก่า 

   “เข้มมาหาลูกทุกวัน ทำไมไม่คุยกับเพื่อนล่ะ โกรธอะไรกันเหรอ”

   “ผมเลิกคบมันแล้ว”

   “อ้าว”   จากลูบหัว แม่ก็มาลูบแก้ม ทุกอาการของแม่ล้วนปลอบใจอยากให้ผมหายซึมเศร้า

   “เค้าทำอะไรลูกเหรอ”

   “มันทรยศผม”

   “ข้อหาร้ายแรงนะนั่นน่ะ”

   “มันช่วยคนอื่นทำร้ายผม ทั้งที่มันบอกผมว่ามันรักผม”   หวังว่าแม่จะไม่ถามว่ารักแบบไหนนะ

   “เค้าทำร้ายอะไรลูก แล้วลูกไปชกต่อยกับใครมา”

   “ไม่ใช่เรื่องตีกันหรอกแม่ มันทำร้ายจิตใจกันน่ะ ผมทนคบเพื่อนหน้าไหว้หลังหลอกไม่ได้

พอกันที เพื่อนแบบนี้ไม่มีซะดีกว่า”

   “กูขอโทษ”   เสียงไอ้เข้มดังอยู่หน้าห้องนี่เอง

   “แม่!”   ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่

   “แม่ขอโทษนะลูก เข้มเค้าบอกว่าลูกกับเค้าไม่เข้าใจกัน แต่ลูกไม่ยอมให้เค้าอธิบาย

แม่ก็เลยต้องทำแบบนี้ เข้มมาแล้วก็คุยกันดี ๆ นะลูก เคลียร์กันซะให้เข้าใจ คบกันมาตั้งหลายปี
 
อย่าให้ความไม่เข้าใจกันมาทำลายมิตรภาพซะล่ะ”

   แม่คล้อยหลังออกไปแล้ว ไอ้เข้มมันก็เดินเข้ามาแถมยังปิดประตูกดล็อกซะด้วย

   “มึงเข้ามาทำไม”

   “แม่อนุญาตแล้ว”

   “แต่นี่ห้องกู กูไม่อยากเห็นหน้า...มึงจะหน้าด้านอยู่ทำไม”

   “นู ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ฟังกูพูดมั่งได้ไหม”

 ผมจ้องหน้ามันชัด ๆ ก็ได้สังเกตว่าหน้าตามันทั้งหมอง ทั้งโทรม

ไรหนวดขึ้นเหนือริมฝีปาก ไรเคราก็เป็นปื้นอยู่ทั้งสองข้างแก้ม ด้วยความที่สนิทและรู้ใจกันดี

ผมก็มองออกว่าสองวันที่ผมเก็บตัวอยู่กับความทุกข์ใจของตัวเอง และกำลังจะผ่านมันไปให้ได้
 
ไอ้เข้มก็คงไม่ต่างกันนัก....สมน้ำหน้า....ก็มึงทำกับกูได้นี่

   “ได้...มึงรีบพูดจะได้รีบไป แล้วมึงก็ไม่ต้องย้อนมาเหยียบที่บ้านกูอีก”

   ไอ้เข้มก้มหน้าอยู่พักหนึ่ง ผมเห็นน้ำหยดเล็ก ๆ ตกลงมาบนอกเสื้อมัน

แล้วก็รีบยกมือขึ้นป้ายตา....หนอย..เสือกสำออย กูไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย! (จริงรึป่าววะ)

   “กูขอโทษที่กูหลงผิดไปชั่ววูบ”

   “มึงบอกพวกมันว่ากูกลับเวลาไหน ทางไหนแล้วให้พวกมันไปดักกู มึงไปรู้จักมันตอนไหน”

   “กูกับมุกเคยรู้จักกันสมัยเรียนประถม มุกบอกว่าแค่จะสั่งสอนเบาะ ๆ ไม่ให้เจ็บมาก

ถ้าเกิดมึงกลัวขึ้นมาจะได้แยกกับพี่นิว กูก็เลย....”

   “มึงคิดว่ากูเจ็บตัวแค่นั้น จะทำให้กูขยาดถึงกับเลิกกันเลยเหรอวะ”

   “แต่กูไม่ได้เชื่อมุกทั้งหมดหรอก กูกะว่าถ้าพวกนั้นรุมมึงกูก็จะเข้าไปช่วย...”

   “เชอะ! ช่วยทรยศกูเนี่ยนะ”

   “กูคิดว่าถ้ากูเข้าไปช่วย ยอมเจ็บตัวเพื่อมึง....เผื่อมึงจะ...เห็นใจความรักของกู แล้วก็หันมารักกูมั่ง”

   “แล้วไง มึงหายหัวไปข้างไหน มึงรู้ไหม ถ้าสายตรวจไม่ผ่านมาป่านนี้กูคงถูกรุมโทรม

ก่อนจะที่มันจะโยนกูให้เป็นเหยื่อฉลามกลางทะเลไปแล้ว”

   “ไม่เอานู มึงอย่าพูดแบบนั้น ใจกูจะขาด”

ไอ้เข้มคุกเข่าลงตรงหน้าผม น้ำตามันไหลไม่ขาดสาย และมันก็ไม่สนใจจะเช็ด

    “มึงรู้ไหม  พอกูพายามไปถึงแล้วไม่เห็นมึง กูรู้สึกแย่ขนาดไหน แต่พอดีกูเห็นมุกเดินมา

แล้วบ่นให้กูฟังว่าเอาตัวมึงขึ้นรถไปไม่สำเร็จ กูก็โล่งใจ  อย่างน้อยมึงก็ยังไม่ถูกอุ้ม

กูโกรธมากเพราะมุกทำผิดสัญญา  มันบอกว่าแค่จะซ้อมมึงเบาะ ๆ ให้พอเข็ดหลาบจะได้ไม่ไปยุ่งกับพี่นิว

แต่มันกลับให้ไอ้พวกตังเกมาพามึงไป  กูตบหน้ามันไปทีนึงแล้วก็รีบมาหามึงที่บ้าน...คืนนั้นไง...”

      “พอ!!...มึงไม่ต้องย้อนอดีตที่กูอยากลืม”

      “กูรักมึงนะนู ที่กูทำแบบนั้นเพราะกูอยากให้มึงรักกู เห็นกูเป็นฮีโร่ แต่มันไม่สำเร็จใช่ไหม”

      “ไอ้เข้ม...มึงไม่รู้จักความรักดีหรอก ไม่งั้นมึงคงไม่ทำกับกูแบบนี้...พูดจบแล้วใช่ไหม

ไป!! ...มึงไปได้แล้ว กูเบื่อขี้หน้า”

   “มึงเข้าใจกูแล้วใช่ไหม”

   “กูเข้าใจแล้วว่ามึงทำกับกูได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้อย่างใจมึง....ชัดไหม”

   “นู เรายังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”

   “มึงมาถามหาความเป็นเพื่อนกับกูหลังจากที่มึงทำกับกูขนาดนี้เนี่ยนะ  มึงรู้ตัวไหมว่า เพราะยายมุกกูถึงต้องเจ็บตัว

ถ้ามันไม่ทำร้ายกู คืนนั้นมึงก็ไม่ต้องมานอนบ้านกู แล้วเรื่องน่าอายก็คงจะไม่เกิด

เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วโว้ย...ไอ้เข้ม

กูเจ็บปวดหัวใจเพราะอกหักยังไม่พอ กูยังเสียความรู้สึกในตัวเพื่อนที่กูไว้ใจไปอีก...

นี่กูยังเจ็บไม่พอใช่ไหมหา...ไอ้เข้ม”

   “นู มึงอย่าพูดอย่างนี้ได้ไหม”

ไอ้เข้มมันเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น แล้วร้องไห้ไม่หยุด 

ผมไม่มีแก่จิตแก่ใจจะปลอบหรือแม้แต่จะผลักไสมันออกไป ได้แต่นั่งเฉย ๆ


   คิด ๆ ดูแล้วไอ้เข้มมันก็ถูกยายมุกหลอกนั่นแหละ ที่ผมโกรธก็เพราะมันไปร่วมมือด้วย

 ไม่ว่าแผนการนั้นจะเป็นยังไง สุดท้ายก็จุดประสงค์เดียวกันคือทำให้ผมเลิกกับพี่นิวให้ได้

 มันจงใจทำลายความสุขของผมกับคนที่ผมรัก (แม้ว่าเขาจะไม่รักผม)

 อย่างนี้ยังจะเรียกว่า ‘เพื่อน’ ได้อีกเหรอ

   ผมผลักมันออกไปจากตัว มันลุกขึ้นยืนแต่โดยดี แต่ยังจ้องหน้าผมไม่วางตาเพื่อจะสื่อความในใจ

 แต่ผมเวลานี้รู้สึกชังน้ำหน้ามันเหลือเกินแล้ว ขอเพียงให้มันไปให้ไกล ๆ เสียที

   “กูได้พูดไปหมดแล้ว มึงจะให้อภัยกูไหมก็แล้วแต่มึง กูจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น

ถ้าความดีที่กูทำให้มึงตลอดสี่ปีที่เรารู้จักกันมันมีความหมายกับมึงบ้าง

กูขอแค่ให้เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้มึงลำบากใจอีก”



   หลังจากไอ้เข้มกลับไปผมก็นอนมองเพดาน นึกถึงวันเวลาที่เราคบหากัน

สี่ปีมันนานนะ....นานพอที่เราจะสามารถรู้ได้ว่าเพื่อนคนไหนเป็นเพื่อนแท้

ผมก็นิยามไอ้เข้มให้มันเป็นเพื่อนแท้มาตลอด แต่เรื่องที่มันทำคราวนี้มันใหญ่หลวงจริง ๆ



ถ้าวันนั้นไม่มีใครมาช่วยผมล่ะ....

           .......แต่มันก็เสียใจไม่น้อยนะ....

ผมแทบไม่เคยเห็นมันร้องไห้หนักอย่างนี้เลย.....

           ........แต่มันทำตัวเองก็สมควรแล้วที่จะต้องรับผลของการกระทำ ดีตั้งเท่าไหร่ที่ผมไม่เอามันไปประจาน

ถ้าเพื่อนในห้องรู้ว่ามันหักหลังผม...มันเน่าแน่....

แต่นั่นแหละ เรื่องมันไม่น่าเล่าเพราะมันซ้อนทับกับความลับของผม

   ในใจของผมโต้ตอบกันไปมา ใจหนึ่งผมก็เข้าใจว่ามันทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

และไม่ทันเกมยายมุก ทำให้เกิดความสงสารขึ้นมาหน่อย ๆ แต่อีกใจก็ค้านว่า อารมณ์ชั่ววูบของมัน
 
เกือบทำให้ผมหายไปจากโลกนี้ แล้วคนข้างหลังจะเป็นยังไง พ่อ..แม่..พี่ผม...จะเสียใจแค่ไหน

   ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู

   “ผมไม่หิว ไม่ต้อนรับใคร ผมจะนอน”

ผมตะโกนออกไป เพราะมองออกไปนอกหน้าต่างก็กำลังจะมืดแล้ว ได้เวลาตั้งโต๊ะกินข้าวของครอบครัวเรา

   เสียงเคาะตามมาอีกแล้ว

   “ผมจานอน อย่ากวนกันได้ม้ายยยย”

   เสียงเดินเบา ๆ ห่างออกไปจากหน้าห้อง....

เฮ้อ! ไปซะที ผมไม่อยากพบใครเลยสักคน ไอ้เข้มมาพูดอะไรมากมายจนผมเบื่อที่จะฟังใครอีกแล้ว....

ไม่ต้องมาปลอบ....ไม่ต้องมาขอโทษ

ขออยู่คนเดียวสักพัก พอให้ทำใจได้ แล้วผมจะกลับไปสู้ใหม่


   เสียงกรุ๊กกริ๊กอยู่ที่รูกุญแจ แล้วประตูห้องก็เปิดออกให้เห็นหน้าคนบุกรุก





หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: StopLove ที่ 04-10-2012 01:48:02
เป็นเรื่องที่ผมอ่านเเล้วมีอารมณือินตามเรื่องนึงเลยครับ ถ้อยคำเรียบเรียงออกมาอ่านง่ายดี ;)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 04-10-2012 12:08:28
คราวนี้ใครอ่ะพี่นิวรึเปล่า เข้มก็น่าสงสารนะแต่ทำแบบนั้นกับนูได้ยังไง แบบนี้มันก็เห็นแก่ตัวมากกว่าไม่ใช่ความรักแล้ว
แต่ยัยมุกนี่ยังตามมาหลอกหลอนอีกเหรอ เมื่อไหร่จะไปให้พ้นๆซะทีเนี่ย พี่นิวก็ไม่รู้ว่าคิดยังไงกับนู เหอๆ แต่ที่แน่ๆคงจะคิดอะไรบ้างแหละ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Acerz ที่ 04-10-2012 22:47:56
รีบมาต่อนะครับ ;)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: McKnight ที่ 04-10-2012 23:58:10
อ่านตามหลายตอนแบบนอนสต็อปเลยครับ

เรื่องราวกำลังจะดีแล้วเชียว ลุ้นว่าพี่นิวจะทำอะไรนูมั้ย??  :z1:
มีพาไปหวานกันที่ทะเลด้วย โรแมนติกสุดๆ นึกว่าจะ... ซะแล้ว อิอิ
พอกลับมาเรียน มุกยังคงตามมาราวีไม่เลิกรา เฮ้อออ..อะไรกันฟระ นึกว่าจะไปแล้วไปลับซะอีก
 
ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน เรื่องที่เข้มทำกับนู คนรักกันไม่ว่าสถานะไหนก็ไม่น่าทำกันแบบนี้
เป็นผมคงรู้สึกแย่มากๆ....

ตอนจบตัดฉับ...ค้างคามากเลยครับ อยากอ่านต่อ...
ใครกันเป็นคนไขกุญแจเปิดประตู... อ๊ากกกก...อยากรู้ๆๆๆ จังครับ

มาต่อไวๆนะครับ เรื่องนี้สนุกมากๆ อ่านแล้วอิน
เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเคลิ้มแล้วก็กลับมาเศร้าอีก
ใครมาเห็นหน้าตอนอ่่านเ้รื่องนี้คงฮา...

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: lollipopz ที่ 05-10-2012 19:46:02
รีบมาต่อเน้อ รออยู่ o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 05.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 05-10-2012 22:45:07


รอครู่ใหญ่ ๆ นะครับ ไม่ทันข้ามคืนหรอก จะัให้จบช่วงแรกครับ

เดี๋ยวมาบวกเป็ดนะ









   “พี่นิว”    เสียงผมแทบจะไม่พ้นริมฝีปาก

   “ไง”     พี่นิวทักผมอย่างเก้อ ๆ เขิน ๆ ไม่เหมือนเคย (ใช่สิ...ก็ครั้งสุดท้ายน่ะเราจากกันแบบไม่ดีเลยนี่นา)

   “ไม่สบายเหรอ”

   “ป่าว...ผมสบายดี”

   “สบายดีแล้วทำไมไม่ลงไปกินข้าว ขังตัวเองอยู่ในห้องทำไม”

   พี่นิวเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง โดยที่ผมถลันตัวลุกขึ้นนั่งตั้งแต่เห็นเขาเข้ามาแล้ว

   “พี่มาทำไม”

   “มาง้อเด็กดื้อ”    พี่นิวยิ้มกับผม เป็นยิ้มที่ทำให้โลกของผมสดใสขึ้นหลังจากที่มันมืดมัวมาสองวันเต็ม ๆ

   “หายโกรธพี่รึยังครับ”

   “ผมน่าจะเป็นคนพูดคำนั้นมากกว่า”

   ผมพูดด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัวว่าทำอะไรเอาไว้ให้เขาจับได้ (ถึงผมจะไม่ได้ผิดเต็มประตูก็เถอะ)

   “พี่น่ะหายแล้ว ทีแรกงี้ โกรธจนไม่อยากเห็นหน้านูเลยรู้ไหม”

   ผมก้มหน้านิ่ง สำนึกในความผิด พี่นิวช้อนคางผมขึ้นให้ดวงตาเราสบกัน

แล้วจุ๊บแก้มผมเบา ๆ เท่านั้นล่ะครับ ผมผวาเข้าโอบรอบคอแล้วซุกเข้ากับอกของเขาร้องไห้ให้สาแก่ใจไปเลย

   พี่นิวลูบหลังลูบไหล่ปลอบผมอยู่พักใหญ่กว่าผมจะหยุดร้องไห้

   “ไม่ร้องไห้แล้วนะครับคนดี พี่เข้าใจนูแล้ว พี่ขอโทษที่ไม่ให้โอกาสนูได้อธิบาย

 แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะครับ เข้มเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว”

   ไอ้เข้ม?

   แล้วพี่นิวก็เล่าให้ฟังเรื่องที่ไอ้เข้มนัดเขาไปคุยกัน มันเล่าให้ฟังหมดทุกอย่าง

และยอมรับว่ามันหลงรักผมมานานแล้ว   แต่ผมไม่เคยสนใจ  ที่เราเผลอตัวเผลอใจกันวันนั้น  ก็เพราะมันขืนใจผม...

โธ่!  ไอ้เข้ม...นี่คงเป็นวิธีที่มันคิดจะไถ่โทษ  ผมไม่คิดจะแก้ความเข้าใจนั้น ปล่อยให้มันผ่านหูไป

แต่ลึก ๆ แล้วผมสงสารมันมาก มันอุตส่าห์ยอมเป็นคนสิ้นศักดิ์ศรีเพื่อผมหรือนั่น

   “ไป  ลุกขึ้นไปอาบน้ำ  ดูซิ  เหม็นสาบจะตาย  น้ำท่าไม่อาบมากี่วันแล้วเนี่ย”

   ผมเข้าไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย  พอออกมาก็เห็นพี่นิวกำลังจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าใบเล็กให้ผมอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

   “พี่จะเก็บเสื้อผ้าผมไปไหน”

   “ไปค้างบ้านพี่กัน”

   “อื๊อ!  ทำไมต้องไปค้างบ้านพี่ล่ะครับ”

   “จะได้มีเวลาปรับความเข้าใจกันทั้งคืนไง”

   “ที่นี่ก็ได้”

   “ไม่เอา...บ้านนูมีคนอยู่กันเต็มเลย ไปบ้านพี่นะ เราจะได้อยู่กันตามลำพัง”

     พี่นิวทำหน้าเจ้าเล่ห์เห็นแล้วชวนให้หนาว ๆ ร้อน ๆ

    เฮ้อ! ใจอ่อนอีกล่ะผม...(ดวงตรูจะเสียตัวมั้งเนี่ย)



      พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไรที่ผมขออนุญาตไปค้างคืนบ้านพี่นิว  คงเห็นว่าผมค่อยยอมออกมาสู่โลกภายนอกบ้าง

อย่างน้อยก็ดีกว่าขังตัวเองไม่ยอมพบใคร  ส่วนพี่ชายก็แค่เตือนว่าอย่าออกไปเที่ยวเตร่กลางคืนทำตัวเหลวไหล

โธ่...พี่....ผมจะออกไปที่อื่นอีกทำไม ในเมื่ออยู่กับพี่นิวผมก็มีความสุขล้นเหลืออยู่แล้ว




     ผมไม่เคยมาค้างคืนบ้านพี่นิวเลยสักครั้ง อย่างมากที่สุดก็อยู่กันดึกหน่อย แต่ก็กลับไปนอนบ้านตัวเองอยู่ดี

คืนนี้เป็นครั้งแรก....ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

เจ้าสาวในคืนส่งตัวจะรู้สึกเหมือนตรูคืนนี้ไหมเนี่ย (ออกจะเว่อ ๆ ละไอ้นู)

“อาบน้ำปะ”   พี่นิวชวนเหย็ง ๆ ทำท่าจะลากข้อมือผมให้ตามไป

“ฮื้อ....ผมอาบมาแล้ว”  ผมยื้อสุดชีวิต

“อาบอีกก็ได้ อาบพร้อมกัน”  ฮ้า....ไอ้พี่นิวทะลึ่ง

“ไม่อาว พี่นิวยังไม่อาบก็ไปอาบจิ ผมจะ....”   จะอะไรดีฟระตรู

“ผมจะนอนดูหนัง (ละกัน)”

พี่นิวยิ้มกว้าง เดินมาหยิกแก้มผม ก่อนจะเดินเอาผ้าขนหนูพาดบ่าหายเข้าไปในห้องน้ำ

ระหว่างที่รอ ผมก็เลือกหนังมาเปิดดู....ก็ดูไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรทำ

พูดก็พูดเถอะ ผมใจเต้น ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อะนะ

ถ้าพี่นิวออกมาจากห้องน้ำแล้ว เราจะทำอะไรกัน เพราะนี่มันก็ยังหัวค่ำอยู่...

กินข้าวก็แล้ว...

อาบน้ำก็แล้ว....

หนังก็...ไม่น่าดู  (ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบดูหนังเท่าไหร่)

จะนอนรึก็ยังหัวค่ำเกินไป   คิดไปคิดมา  พี่นิวก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี


โอ...แม่เจ้า...

    พี่นิวนุ่งผ้าขนหนูแค่ผืนเดียวเปลือยอกที่ชุ่มน้ำเป็นหยดไปทั้งแผง

เห็นไรขนอ่อน ๆ เหนือสะดือ เป็นแนวหายลงไปในขอบผ้าขนหนู

นั่นทำให้ผมเริ่มจินตนาการไปต่าง ๆ นานา เขาเดินมานั่งบนโซฟาเบดที่ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว

เอื้อมมือมาคว้าคอผมเข้าไปจุ๊บปากแบบหยอก ๆ....

อย่านะพี่....อย่าล้อเล่นกะผมอย่างงี้ เดี๋ยวผมเอาจริงน้า...

(ยิ่งอยาก ๆ อยู่เพราะอดมานาน...อ๊ากซ์....ช่างคิดไปได้)

“หนังสนุกเหรอ”  พี่นิวหันไปมองโทรทัศน์ แล้วมองหน้าผมแบบงง ๆ

ผมก็เลยตั้งสติดูตาม อ้าว....นี่ผมหยิบสารคดีมาดูเหรอเนี่ย...

มิน่า...ผมก็ว่าแล้วว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนุกเลย

“แหะ...แหะ...”  ผมได้แต่ยิ้มแหย ๆ  พี่นิวจะจับได้ไหมอะ  ว่าจิตใจผมไม่อยู่กะเนื้อกะตัวเลย

 มันคอยแต่จะคิดอะไรไปก่อนล่วงหน้า....ล้วนแล้วแต่เรทเอ็กซ์ ทั้งน้าน

 แล้วก็เนี่ย....พี่นิวครับ พี่ช่วยถอยออกไปห่าง ๆ ผมนี้ดนึงด้ายม้ายอะ

ผมงอเข่าเข้าหาตัวเอง พยายามซ่อนอวัยวะบางส่วนให้พ้นจากสายตาของเขา

 เพราะตอนนี้มัน...เอ่อ....มัน....มันกะลังดุนกางเกงผมจนคับไปหมดแล้วคร้าบ


กลิ่นสบู่ติดตัวคนอาบน้ำมาใหม่ ๆ ได้กลิ่นแล้วสดชื่นชะมัด

แล้วมันก็ยั่วอารมณ์ผมซะจนน้ำลายจะไหล...ซู้ดดด...

เหมือนจะได้ยินเสียงขอร้องในใจผมเลย....

พี่นิวลุกขึ้นไปแต่งตัว ผมทำเป็นไม่สนใจทั้งที่หางตาก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามอง

ผิวของพี่นิวไม่ขาวจัด มันออกนวล ๆ ความนุ่มอะนะ ผมรู้มานานแล้ว

เพราะก็เคยได้นัวเนียกันมาบ่อยพอสมควรเมื่อก่อนนี้ ก็เพราะของมันเคย ๆ ล่ะครับ

ผมถึงได้อยากกระโจนเข้าหาซะให้รู้แล้วรู้รอด

(คิดไปพร้อมกับเช็ดน้ำลายที่มุมปากไปด้วย หุ หุ )


แผ่นหลังบึกบึนแข็งแรง แบบนักกีฬา แต่ไม่หนาล่ำ เอวสอบ สะโพกเพรียว ต้นขาก็หนั่นแน่น ไหนจะก้น

....โฮ้ย!...

ผมเพ่งตามองร่างกายของพี่นิวที่กำลังหันหลังให้

เพิ่งจะสำนึกได้ว่าที่ผมรำพันมาตั้งแต่ต้นได้อย่างชัดเจนก็เพราะ....

พี่แกกะลัง...เปลือย....ต่อหน้าต่อตาผมอะ

“รู้นะว่าแอบมอง”  เขาพูดทั้ง ๆ ที่ยังหันหลังให้...

ทำไมพี่นิวรู้อะ

ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา เราสบตากันพอดี....ผ่านกระจกเงา...

พี่นิวฆ่าผมเลยดีกว่ามะ...ก็ไอ้ที่สบตาผ่านกระจกเงาน่ะ มันบานยาวเห็นตลอดลำตัวอ่ะดิ

ส่วนล่างของพี่นิวกำลังผงาดทักทายผมอย่างล้อเลียน....

ช่างกล้านะพี่ ก่อนนี้ไม่เห็นเคยทำอย่างงี้เลย แม้แต่เวลาที่เราไปเที่ยวทะเล แล้วลงเล่นน้ำด้วยกัน

จะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ผลัดกันเข้าห้องน้ำ อย่างอุจาดสุด ๆ ก็ยังนุ่งเตี่ยว  (กางเกงในแบบบิกินี่....ผมชอบมาก)

ยังไงผมก็ยังอายอยู่นะ และพี่นิวก็ไม่เคยละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของผม

แต่คืนนี้มันเป็นอะไรอะ....

พี่นิวมาในมาดใหม่....เซ็กซี่สุด ๆ จนผมแทบจะอดรนทนไม่ไหว

น้องชายผมที่มันเพิ่งหลับลง ก็ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว

ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบสายตาเขา....ก็มันอายนี่หว่า....

แล้วเขาก็สวมกางเกงนอนจนได้....เฮ้อ!   โคตรจะทรมานใจผมเลย

“เออนี่ นูจำได้ไหมว่าครั้งแรกที่นูขึ้นมาบนห้องนี้น่ะ นูเข้าไปหยิบแผ่นซีดีหนัง”

“ก็....ครับ จำได้ มีไรเหรอครับ”

“อยากดูไหมล่ะ”

“ผมไม่ค่อยชอบดูหนังเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่นิวจะดู ผมดูเป็นเพื่อนก็ได้”

ผมเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง เพราะผมอยากตามใจเขา ตอบแทนที่เขากลับมาดีกับผมอีกครั้ง

“พี่เคยดูแล้วล่ะ แต่ว่าดูพร้อมนูก็ดีเหมือนกัน น่าจะสนุกกว่าดูคนเดียว”

พี่นิวเปิดลิ้นชักโต๊ะที่เคยล็อคกุญแจไว้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ล็อคแล้ว

เขาหยิบแผ่นซีดี ที่ผมเห็นว่ามีเป็นสิบเลย ใส่ซองไว้เฉย ๆ ไม่มีหน้าปก....

ชักเอะใจอะดิผม....มันหนังอารายฟระ

“พี่ดูครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ม.สาม”

พี่นิวเล่าไปพลาง ก็เอาแผ่นที่อยู่ในเครื่องออกมาแล้วใส่แผ่นใหม่เข้าไปแทน

“ได้มาเพราะว่าไปหาซื้อเรื่องเดอะแมททริกซ์...ของเก่ามันหายไปไม่ครบเซ็ต  ก็เลยไปถามหาที่แผง

แต่คนขายมันทะลึ่ง หยิบหนังชุดนี้มาให้บอกว่าเป็น เดอะแมททริกซ์แบบก็อปปี้จะขายให้ถูก ๆ
 
ตอนนั้นพี่กำลังอยากดูก็เออ...เอาก็เอา....ที่ไหนได้...”

 พี่นิวกด PLAY เสร็จแล้วเดินมานั่งข้าง ๆผมบนโซฟาเบด

“พอเอากลับมาดูที่บ้านตอนนั้นก็อยากกลับไปเตะมันมากเลย...เพราะมันไม่ใช่

แต่พอกลับไปอีกทีแผงนั้นก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว...พี่ก็แค่อยากถามน่ะว่า มันนึกยังไงถึงให้พี่มา”

พี่นิวกด FAST FORWARD เพราะช่วงแรก ๆ มีแต่หนังตัวอย่าง มันวิ่งไปข้างหน้าเร็วมากจนผมดูภาพไม่ทัน

กระทั่งพี่นิวกด PAUSE….

“พี่ขอถามอะไรนูหน่อยได้ไหม”  ผมพยักหน้า

“นูจำวันที่เราเจอกันวันแรกได้ไหม”  ผมพยักหน้าอีก มีหรือที่ผมจะลืม

“พี่เห็นนูครั้งแรกมันก็รู้สึกแปลก ๆ นะ บอกตัวเองว่าน้องใหม่คนนี้น่ารักจัง ก็เลยเข้าไปช่วยงานรับน้อง

ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของม.สาม เพื่อนพี่มันยังแปลกใจเลย แต่พี่แก้ตัวกับมันว่าพี่อยากรู้จักน้อง ๆ

น้องม.สองเค้าก็ชอบว่าพี่มาช่วยงาน”

พี่นิวเอานิ้วมาไล้แก้มแล้วจุ๊บเบา ๆ....ขาดทุนอีกแล้วผม

“พี่บอกตัวเองว่าแค่เอ็นดูน้องม.หนึ่งมันไม่แปลกอะไรหรอก แต่หลังจากที่พี่ได้ดูหนังพวกนี้พี่ก็เริ่มกลัวใจตัวเอง

พี่รู้สึกเหมือนตัวเองผิดปกติ  เพราะทุกครั้งที่พี่ดูหนังพี่ก็จะเห็นแต่หน้าของนู...แล้ว....เอ่อ....พี่...”

ตอนนี้หน้าพี่นิวแดงก่ำมาก ๆ แล้วมันหนังเรื่องอารายอะ

ต้องมีอะไรแอบแฝงแหง ๆเลย เล่าต่อครับพี่...เล่าเล้ย....

“ช่างมันเถอะ....”    อ้าว!!!!

“หลังจากนั้นพี่ก็ไม่กล้าเจอหน้านู พี่กลัวนูจะรู้ว่าพี่รู้สึกยังไงแล้วรับไม่ได้ พอดีตอนนั้นมุกก็เข้ามาจีบพี่”

แหวะ...ยายคนนี้อีกละ....ผมล่ะเกลียดมัน

“ใจจริงพี่ไม่ได้ชอบมุกนะ แต่เป็นเพราะเพื่อนมันเชียร์ แล้วพี่ก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วย

 จะว่าไปตอนที่พี่คบกับมุกอยู่ พี่ก็กำลังทำความเข้าใจกับความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองนะ

 เวลาพี่เห็นนูทีไรพี่จะรู้สึกใจเต้นแรง อยากจะเข้าไปทัก อยากคุยด้วย

 แต่เวลาที่พี่อยู่กับมุกพี่รู้สึกเหมือนต้องฝืนใจทำอย่างที่มุกต้องการ....

ทีนี้รู้รึยังว่าทำไมพี่ถึงไม่เคยนอนกับมุกเลย”

“แล้วทำไมยังคบกับเค้าล่ะครับ ทั้งที่พี่นิวรู้ว่ามุกยังคบอื่นไปพร้อม ๆ กันด้วย”

“ก็เพราะไม่แคร์ไง  มุกจะทำตัวยังไงมันก็เรื่องของเค้า  พี่ยังควงกับเค้าได้ก็เพราะว่า

เวลาที่พี่อยากคุยกับนู จะได้ไม่มีใครเอะใจว่าพี่ไม่คิดกับนูแค่รุ่นพี่รุ่นน้อง

แต่บังเอิญมุกเค้าท้องขึ้นมา แล้วก็คิดจะจับไอ้ไอซ์ ถึงได้มาขอเลิกกับพี่”

“ไม่รักเค้า แต่พอเค้าบอกเลิกทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะ”   ผมต่อว่าแบบงอน ๆ

“มันเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ  เวลาที่เราถูกทิ้ง รู้สึกเหมือนตัวเองไม่สำคัญ  ไม่มีค่ามั้ง

...ไม่รู้สิ...พี่ไม่แน่ใจ  อาจจะเป็นเพราะว่าถูกไอ้ไอซ์มันมาเยาะเย้ยด้วยก็ได้.....แบบว่าเสียหน้าอะ”

.............

“แต่การที่มุกขอเลิกกับพี่มันก็ดีเหมือนกันนะ เวลาที่เป็นทุกข์นูก็มาอยู่ข้าง ๆ พี่เหมือนฝันไปเลย

ส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่ลืมเรื่องมุกได้เร็วขึ้นก็เป็นเพราะนูนี่แหละ....รู้ไหม”

ผมรู้สึกตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก ที่ตัวเองมีความหมายกับพี่นิวขนาดนี้ ความรู้สึกนั้นมันผลักดันให้ผมเป็นฝ่ายจุ๊บเค้าบ้าง

(ที่จริงก็อยากอยู่นานละ)  แต่พี่นิวไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปง่าย ๆ เขาประกบปากเข้ามาอย่างจะบอกว่า

คราวนี้ของจริงล่ะนะ

“แล้วตกลงพี่ไม่ดูหนังแล้วใช่ไหม”

ผมถามเสียงสั่นพร่า เมื่อเราผละออกจากกันเพื่อจะสูดอากาศหลังจากที่พี่นิวบดจูบอยู่นาน

“นูล่ะ”

“แล้วแต่พี่สิครับ”

“อยากรู้ไหมว่าเรื่องอะไร”   ถามไปก็ทำตาเจ้าเล่ห์ไปนะพี่นิว

ผมก็ชักจะเอะใจล่ะซี ว่าจะเป็นไอ้หนังอย่างว่า พี่นิวก็ไม่รอช้ากด PLAY ทันที...

ผมก็........นึกแล้วเชียว



เรานั่งดูหนังด้วยกันสักพัก มือพี่นิวที่โอบไหล่ผมให้พิงกับอกเขาก็เริ่มลูบไล้เบา ๆ

ว่าง ๆ ก็จูบขมับผมทีหนึ่ง ดูไปได้อีกหน่อย พี่นิวก็ล้วงเข้าไปในกางเกงของตัวเอง

จับมันรูดขึ้นรูดลงช้า ๆ่ ผมเห็นเข้าก็รู้สึกอยากขึ้นมาเหมือนกัน แต่ไม่กล้า

....ก็ผมอายนี่ครับ

จังหวะของการรูดเร็วขึ้น ตอนนี้พี่นิวหงายหน้าไปพิงพนักหลังของโซฟาแล้ว

หน้าตาพี่นิวตอนนี้เซ็กซี่มาก ปากเผยอน้อย ๆ แถมยังมีเสียงครางออกมาอีก

....อ่าาา...ซีดดดด.....

แล้วผมจะทนดูได้เหรอครับ ผมก้มหน้าลงไปจัดการช่วยเหลือเป็นการด่วน

น้องชายพี่นิวอวบใหญ่กำลังน่ากิน ผิวสีเนื้อส่วนนั้นอมชมพูเรื่อ ๆ

ผมละเลงลิ้นไปทั่วร่างกายของน้องชายพี่นิวจนเยิ้ม ก่อนจะครอบครองด้วยปาก

และรูดมันขึ้นลงแทนมือของเขา ที่ตอนนี้กดลงมาที่หัวผมเบาๆ เป็นจังหวะ

เสียงพิศวาสของพี่นิวดังไม่ขาดระยะและดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์

“โอว....อาาา....เกือบแล้วครับนู....อีกครับ....อาาา”

เสร็จด้วยปากผมนี่เอง....พี่นิวของผม

ของเหลวข้น ๆ มากมายทะลักทะลายเข้ามาจนแทบจะกลืนลงคอไม่ทัน และแล้วผมก็เลียซะจนเกลี้ยง

เสียงระบายลมหายใจแผ่ว ๆ ของพี่นิว กลายเป็นตัวเร่งเครื่องให้ผมนึกอยากจนแทบจะกลั้นไม่อยู่

“ดีจัง พี่ไม่ต้องนึกถึงหน้าของนูตอนช่วยตัวเองอีกแล้ว”

หา...พี่นิวว่าอะไรนะ ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสนเท่ห์....

“เวลาพี่ดูหนัง  พี่ต้องนึกถึงหน้านูทุกที  ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้....ขอบคุณนะครับคนดี”

พี่นิวจุ๊บปากแล้วยิ้มให้

“งั้นก็แปลว่าที่จริงพี่ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงอะสิ”

“อืม...พี่ก็เพิ่งมาแน่ใจไม่นานนี่เอง”

“เพราะอะไรครับ”

พี่นิวถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหัวผม

“ตอนแรกที่นูไปไหนมาไหนกับเข้มยังกะตัวติดกันน่ะ พี่ก็รู้สึกเจ็บ ๆ แล้วนะ เพราะนูบอกว่ารักพี่”

พี่นิวขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะนุ่งกางเกางให้เรียบร้อย (เท่าที่จะทำได้)

“แต่ตอนนั้นพี่กลับไปคบกับมุก...ผมสิเจ็บกว่า”  ผมเอาคืนมั่ง

“นั่นสิ....เราก็เลยประชดกันไป ประชดกันมา พอคิดว่านูไม่สนใจพี่แล้ว  พี่ก็เลยหันไปสนใจมุก

ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้คิดจะกลับไปเป็นแฟนเค้าอีก  แต่สุดท้ายแล้วพี่ก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้ ต้องง้อนูก่อน...

จำได้ไหมที่เราไปเข้าค่ายที่วัดไง”   ผมพยักหน้า

“แล้วใครที่เอาแต่หนีท่าเดียว ไม่ยอมฟังพี่มั่งเลย พี่ก็เลยต้องซื้อมือถือให้  ไม่คุยกันตรง ๆ คุยผ่านโทรศัพท์ก็เอา

ตอนนั้นพี่เลิกยุ่งกับมุกเด็ดขาด แล้วก็ห้ามเค้ามาหาพี่ด้วย ปัญหาของเค้าก็ไปแก้เอาเอง

เพราะปัญหาของพี่ก็ยังยุ่งนุงนังอยู่เลย   จนกระทั่งเกิดเรื่องนูถูกทำร้าย พี่โทษตัวเองที่ไม่ได้ดูแลนู

ปล่อยให้คนอื่นมารังแก แต่นูกลับไปสนิทกับเข้มมากขึ้นทุกวัน”

“มุกเค้ามาบอกว่านูกับเข้มต้องมีอะไรกันแน่ ๆ พี่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า ไม่มีอะไรหรอก

เพราะเราสองคนอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยมีเซ็กซ์กันเลยซักครั้ง .....พี่เชื่อใจนูเสมอ

แต่พอวันนั้นที่มุกมาพาพี่ไปแอบฟังนูกับเข้มคุยกัน มันก็ทำให้พี่ตาสว่าง เพราะนูหลอกพี่มาตลอด”

ผมอ้าปากจะแย้ง แต่พี่นิวเอามือปิดปากไว้ไม่ให้ผมพูด

“พี่ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ มันประดังเข้าในเวลาเดียวกัน พอพี่กลับมาบ้านก็เริ่มคิดว่าพี่จะทำยังไง

ถ้านูเป็นแฟนเข้มจริง ๆ  พี่ทนุถนอมนูมาตลอด ไม่เคยล่วงเกินนอกจากจะหาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ

แต่นูกลับทำกับพี่ได้ลงคอ แต่ถ้าพี่ต้องเสียนูไปจริง ๆ พี่ก็คงอยู่ไม่ได้  พี่ก็เลยรู้ใจตัวเองแล้วว่าที่จริงพี่รักนู

....รักแบบที่อยากจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 05.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 05-10-2012 23:43:22



ผมนั่งตัวแข็ง ตาจ้องพี่นิวไม่กระพริบ หัวใจผมพองโต

เลือดในกายสูบฉีดด้วยความดีใจ ในสมองผมได้ยินคำนั้นซ้ำ ๆ


....พี่รักนู....พี่รักนู.....พี่รักนู....


พี่นิวรักผม....เป็นไปได้เหรอเนี่ย....พี่นิวรักผมจริง ๆ ไม่ใช่ผมรักเขาข้างเดียวอีกแล้ว

ตัวผมสั่นระริก....ผมกำลังจะร้องไห้

ดวงตาผมพร่าด้วยหยาดน้ำที่คลออยู่พร้อมจะหยดมิหยดแหล่

 แปลกจริง ทั้งที่ผมดีใจจนพูดอะไรไม่ถูก แต่ผมกลับอยากจะร้องไห้...

“ร้องไห้ทำไมครับคนดี พี่ทำอะไรให้นูไม่พอใจรึเปล่า"

ผมส่ายหน้า แล้วโอบรอบคอพี่นิว ซบหน้ากับไหล่เขา

ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาให้หายอัดอั้นตันใจ......มันเป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี

พี่นิวลูบหลังผมไป แล้วพูดไป

“นูล่ะครับ ยังรักพี่อยู่ไหม”   ผมพยักหน้ากับไหล่ของพี่นิว เพราะยังพูดอะไรไม่ออก

“เราจะอยู่ด้วยกันนะ”  ผมพยักหน้าอีก

“เข้มเค้ามาขอโทษพี่ แล้วเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว นูไม่ต้องเสียใจนะครับคนดี

ถึงพี่จะไม่ได้เป็นคนแรกของนู แต่ขอให้พี่เป็นคนเดียวของนูตลอดไปได้ไหม”

หือ....อารายเนี่ย....ใครเป็นคนแรก...????

อ้ออออออออ!  ไอ้เข้มมันบอกพี่นิวว่ามันขืนใจผม  ผมก็เพิ่งจะคิดทันมันตอนนี้นี่เอง

หนอย!  ไอ้นี่  ปากมันบอกว่าจะช่วย  แต่ไม่วาย...เสือกวางระเบิดไว้อีกลูก

“ไอ้เข้มไม่ได้ทำอะไรผมเลยซักหน่อย”

พี่นิวเลิกคิ้วขึ้น แล้วผมก็เล่ารายละเอียดจริง ๆ ให้พี่นิวฟัง

“ผมขอโทษนะครับพี่ ที่ไม่ยับยั้งอารมณ์ตัวเอง”

“ไม่เป็นไรนะ พี่ไม่ว่าอะไรนูหรอก พี่เข้าใจ...ไหนดูซิ”

พี่นิวประคองใบหน้าผมแล้วก้มมาใกล้ๆ ก่อนจะทั้งจูบ ทั้งดูดปากผม

เท่านั้นยังไม่พอ ยังล้วงลิ้นเข้าไปควานผมซะทั่วปาก พอเจอกับลิ้นผมก็ดูดซะจนผมหายใจหายคอไม่ทัน

“ต้องอย่างงี้จะได้หมดกลิ่นเข้ม...แล้วเข้มมันทำอะไรอีก”

ผมชี้แก้มสองข้าง พี่นิวก็จูบแรง ๆ ทั้งสองข้าง

ผมชี้มาที่คอ พี่นิวก็ซุกไซ้ซอกคอจนผมจั๊กจี้

ผมชี้มาที่ราวนม พี่นิวก็ก้มลงจูบจนทั่ว...แถมรัวลิ้นกับหัวนมผมให้สยิวเล่นอีกแน่ะ

ผมชี้ต่ำลงเรื่อย ๆ....ก็ไอ้เข้มมันจูบไซ้ผมไปทั้งตัวนี่

พี่นิวเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับผม...แบบว่า

.......เอาแน่นะ......

ผมก็ตอบด้วยสายตา

........แน่สิ..........

คราวนี้พี่นิวผลักผมลงไปนอนบนโซฟาแล้วขึ้นทับผมทันที

เราจูบกันนัวเนียไม่รู้ลิ้นใครเป็นลิ้นใคร มันเป็นรสชาติที่อ่อนหวาน แต่เร่าร้อน

 พี่นิวถอนริมฝีปากออกไปแล้วรุกไล่ผมด้วยลิ้นตั้งแต่ข้างแก้มไปถึงกกหู

แถมยังพ่นลมร้อนเบา ๆ ใส่หูผมอีกด้วย ผมงี้...ขนลุกชัน  ผวากอดพี่นิวซะแน่นเลยล่ะครับ

หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของเรามันหายไปตอนไหน

บทรักของพี่นิวไม่ใช่ขี้ไก่เลยแหละ ที่ผมเคยคิดไว้ว่าพี่เขาไม่เคย สงสัยจะไม่ใช่ อดไม่ได้ผมก็ต้องถาม

“ผมเป็นคนแรกของพี่รึป่าว”

“อืม...”   พี่นิวพยักหน้าแต่ยังไม่ละจากกิจกาม...เอ้ย...กิจกรรม

“แล้วทำไมถึงคล่องนัก”

“ถามทำไม”

“ก็อยากรู้นี่....บอกหน่อยน้า...”    ผมอ้อนได้น่ารักแมะ

“ก็ดูหนังนี่ไง....ดูไปแล้วก็นึกถึงหน้านูไปด้วย พี่ก็บอกไปแล้วนี่”

กำ....รู้งี้ผมเผด็จศึกซะนานละ

พี่นิวลูบไล้ไปตลอดทั้งตัวผม ร่างกายของเราเสียดสีกันจนตอนนี้เราสองคนต่างพูดจากันด้วยปากและมือ

พี่นิวจูบผมต่ำลงไปเรื่อย ๆ จนถึงส่วนล่างที่มันแข็งขึงรอเวลาอยู่นานแล้ว

เขาทั้งจูบทั้งเลียไปทั่วจนผมเสียวสุด ๆ

ปากของพี่นิวทั้งนุ่มทั้งอุ่นและชื้นจัด ผมต้องเด้งตัวรับเมื่อถูกพี่นิวอมเข้าไปจนหมด

“อ้าาา....พี่ครับผมเสียว....”   ผมดึงทึ้งผมพี่นิวอย่างไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าผมอยากไปให้ถึงปลายทางเร็ว ๆ

“ไม่ต้องรีบนะครับที่รัก เราจะไปพร้อม ๆกัน”

พี่นิวขยำสะโพกผม แล้วเลื่อนไปใกล้ ๆ ประตูสวรรค์   ผมกำลังถูกพี่นิวบุกรุกด้วยปลายนิ้ว หนึ่งนิ้ว....

“โอ๊ะ....”

“ไม่เจ็บนะครับคนดี...รอเดี๋ยวนะ”    พี่นิวลุกขึ้นไปที่หัวเตียงหยิบหลอดอะไรสักอย่างมา

เขาจับขาผมให้แยกออก แล้วปาดครีมลงมาที่ประตูสวรรค์ของผมอีกครั้ง

คราวนี้ไม่ค่อยเจ็บ แต่รู้สึกว่ามันคับ ๆ ตึง ๆ

สองนิ้ว

“โอ้ววว....”   มันแน่นขึ้น แต่ก็เสียวซ่านดี ผมไม่ได้ดูหรอกครับ แต่มันรู้สึกได้

สามนิ้ว....มั้ง  ผมไม่แน่ใจ เพราะว่าคราวนี้มันแน่นมาก

ที่ผมเดาด้วยความรู้สึก  เพราะตอนนี้ผมหลับตา....ผมหลับตาตั้งแต่เสียวแรกแล้วล่ะครับ....

แต่มันไม่แข็งเหมือนนิ้วนี่นา

ผมลืมตาให้หายสงสัย....เห็นพี่นิวกำลังดันมันเข้ามาแทนนิ้ว.....

“อาา....ซี้ดด”   คราวนี้เป็นพี่นิวที่ต้องเสียวบ้าง

 ผมเห็นหน้าพี่นิวเวลาเสียวสยิวแบบนี้แล้วมันยิ่งเกิดอารมณ์มากขึ้น

ก็เลยกระเด้งก้นให้มันเข้าไปสุด ๆ ซะเลย แบบไม่ต้องรอลุ้น

พอเข้าที่เขาก็เริ่มโยกเบา ๆ ช้า ๆ ก่อนเพื่ออุ่นเครื่อง   แต่ผมน่ะเครื่องร้อนนานแล้ว

ก็เลยจับสะโพกพี่นิวกดเข้ามาซะเอง แล้วกระแทกเป็นจังหวะนำร่องไปก่อน....

พี่นิวครางไม่เป็นภาษาเลยครับคราวนี้ มันประสานไปกับเสียงร้องด้วยความซ่านสยิวของผมเอง

 เราสองคนโยกกันอย่างเมามัน แล้วพี่นิวก็ซอยถี่ขึ้น ๆ

จนผมรู้สึกถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่กำลังพุ่งเข้าไปในตัว พร้อม ๆ กับร่างพี่นิวกระตุกสองสามที

ส่วนผมก็พ่นออกมาพร้อมกันไปโดยที่ไม่ได้สัมผัสมันเลย

เราสองคนซุกซบกันจนหายหอบ

“ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่าครั้งแรก”   พี่นิวเขี่ยแก้มผมเล่น

“ธรรมชาติมันสอนน่ะครับ หรือว่าพี่ไม่ไว้ใจผมแล้ว”

“ใครบอก....เราต่างก็เป็นคนแรกของกันและกัน....พี่รู้สึกดีจังเลย”   พี่นิวกอดผมแน่นขึ้น

“ผมก็เหมือนกัน”   ผมกอดตอบพี่นิว รู้สึกมีความสุขมากจนมันแทบจะล้นออกมานอกอก

จากที่ผมไม่เคยมั่นใจเลยว่าพี่นิวรู้สึกยังไงกันแน่ ตอนนี้ผมก็ได้รู้แล้ว โดยที่ผมไม่ต้องถาม
 
ผมย้อนคิดกลับไปถึงตอนที่เราเพิ่งจะคบกันใหม่ ๆ ด้วยความคลางแคลง

ผมคิดไปเองว่าพี่เขาอาจจะไม่รักผมอย่างที่ผมรักเขา

ส่วนพี่นิวก็ไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้วเขารักผู้หญิง หรือ ผู้ชาย



ถ้าเรามีเซ็กส์ในวันที่เราต่างไม่รู้ซึ้งถึงหัวใจของกันและกัน ความสุขเช่นนี้ก็คงไม่เกิด

เป็นความสุขที่เราร่วมสรรสร้างอย่างไม่มีข้อข้องใจ
 
มันมีค่าซะยิ่งกว่า การมีเซ็กส์เพราะอารมณ์พาไปเป็นไหน ๆ




ผมย้ายมาอยู่กับพี่นิวเมื่อเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย

โดยผ่านการเห็นชอบของคุณแม่ (ของพี่นิว) ซึ่งรักลูกมาก และเห็นแก่ความสุขของลูกเป็นใหญ่

โดยไม่แคร์ว่าชาตินี้อาจจะไม่มีโอกาสมีลูกสะใภ้ที่ให้กำเนิดหลานแก่ท่านได้

“ไม่มีก็ไม่มี....ถ้าอยากได้ก็ขอลูกหลานของญาติเรามาเลี้ยงซักคน”

แล้วก็คุณแม่นี่แหละครับ ที่ไป (สู่) ขอผมมาให้พี่นิวโดยบอกกับทางบ้านผมว่า

“เอ็นดูเหมือนลูกชายค่ะ จะเอามาอุปการะเองอยากเรียนอะไรก็จะให้เรียน จะไปเมืองนอกก็ได้”

แรก ๆ ทางบ้านผมก็ไม่ค่อยจะยอมหรอกครับ แต่โดนคุณแม่หว่านล้อมซะจนใจอ่อน

“บ้านเราก็อยู่กันแค่นี้ ๆ เองนะคะ ไปมาหาสู่กันได้....

นูกับนิวก็มาค้างที่บ้านนี้บ้างนะพ่อกับแม่จะได้ไม่น้อยใจว่าเราทอดทิ้ง”

ผมดู ๆ แล้วทางบ้านผมก็น่าจะสังหรณ์ใจอยู่เหมือนกันว่าจะเสียลูกชายให้ไปเป็นลูกสาวคนอื่น

แต่ก็คงคิดเหมือนคุณแม่ ที่รักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ยังไงลูกก็ยังเป็นลูกเสมอ

ผมก็เลยได้ย้ายมาอยู่บ้านพี่นิวตั้งแต่นั้นจนปีนี้ย่างเข้าปีที่ 8 แล้ว

ตอนนี้ผมทำงานเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งในจังหวัดบ้านเกิด

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 05.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 06-10-2012 02:05:30
แฮปปี้เอนดิ้ง? มีต่อใช่มั้ยคะ สองคนลงเอยกันซักทีนะ ส่วนเข้มเป็นไงบ้างนิอยากรู้
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 05.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 06-10-2012 05:51:50
^^ ขอบคุณนะคะ ที่นำเรื่องราวดีมากในอ่าน เฮ้อ...ชีวิตจริงเนี่ย ยิ่งกว่านิยายอีกเนอะ กว่าจะรักกันได้  อุปสรรคเยอะ มาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES:THE FIRST PAGE ..รอสักครู่
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 06-10-2012 11:33:19

ช่วงนี้ยังพอมีเวลา ผมเลยรีบ ๆ ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะสปอยล์ไหว
อาทิตย์หน้าแล้วครับ ที่ภารกิจจะรัดตัวมากขึ้น จนอาจจะไม่ได้แวะมาเลย
ผมบอกไ้ว้เมื่อเริ่มเรื่องว่า ปัจจุบันนี้ ผมก็ยังคงเขียนไม่จบ
ถ้าตอนไหนจบจริง ๆ ผมจะปิดเรื่องด้วยคำใดคำหนึ่งที่เป็นที่รู้กันได้โดยทั่วไป

ตอนต่อไป ผมให้ชื่อว่า SERIES แต่ละตอนจะเรียกเป็น PAGE
เพราะเรื่องราวดำเนินไปเหมือนไดอารี่พื้น ๆ ที่เราชอบเขียนกันตอนเป็นเด็กนะครับ











Series:The First Page

      จากวันที่พี่นิวสอบเอนทรานซ์ได้มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ เราก็ต้องแยกกันอยู่โดยปริยาย

ส่วนผมยังเรียนอยู่ที่เดิม   มีเพื่อนสนิทคนเดิมที่สนิทยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ส่วนมารหัวใจ  (ยายมุกตัวแสบ)

ก็ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติฝ่ายพ่อ  ผมได้ข่าวว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่นั้น ....ก็ได้แต่โมทนาสาธุ

ขอให้ไปได้ดี มีสุขแล้วกัน ผมขออโหสิกรรมให้



      ตอนเรียน ม.5 กิจกรรมทั้งหลายแหล่ก็ประดังประเดกันเข้ามาทำให้ผมไม่ค่อยจะมีเวลาคิดถึงพี่นิวสักเท่าไร

(จากที่คิดว่าคงคิดถึงน่าดู)  อาจจะเป็นเพราะ สิ่งที่แวดล้อมตัวผมอยู่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเขาก็ไม่รู้

ทำให้ผมรู้สึกว่าเขายังอยู่ใกล้ ๆ  และเรามักจะโทรศัพท์คุยกันบ่อย ๆ เรียกว่าบ่อยที่สุดเท่าที่เราจะโทรหากันได้

ขอแค่ได้ยินเสียงของพี่นิว ผมก็นอนหลับฝันดีได้ทุกคืน ส่วนพี่นิว ผมว่าเขาก็คงไม่แตกต่างจากผมสักเท่าไร (เขาบอก)


      อย่างที่เคยเล่าไว้ว่า ผมเข้ามาอยู่บ้านพี่นิวตอนที่เขาเข้ามหาวิทยาลัย ผมจะขอเท้าความถึงช่วงก่อนที่คุณแม่พี่นิว

จะไปขอให้ผมมาอยู่ด้วยก่อนก็แล้วกันนะครับ




      หลังจากที่เรารู้ใจกัน  (และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)  ผมก็มักจะมาขลุกอยู่ที่บ้านเขาบ่อยขึ้น

ปกติที่บ้านพี่นิวจะมีแม่บ้านกับคนงานหญิงที่ทำความสะอาดและซักเสื้อผ้าอีกหนึ่งคน  กับเจ้านายหนึ่งคนก็คือพี่นิว

ส่วนคุณแม่มักจะอยู่กับคุณพ่อ ที่ต่างจังหวัด เพราะไปลงทุนทำธุรกิจที่นั่น นาน ๆ ทีคุณแม่ถึงจะมาดูแลลูกชาย

อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง ส่วนคุณพ่อ แทบจะไม่ได้มาเลย เพราะต้องดูแลกิจการ

      คุณแม่มาทีไรก็จะเห็นเราสองคนอย่างกับปาท่องโก๋  นับจากครั้งแรกที่เห็นผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งพี่นิวที่บ้าน

ก็เลยอนุญาตให้พี่นิวเอารถบีเอ็มดับเบิลยูมาใช้ได้ คุณแม่ก็จะเห็นผมนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเป็นประจำ

จนคุณแม่ได้คิดกระมังว่า ท่านคงจะห่างเหินมากเกินไปจนไม่รู้เรื่องราวความเป็นไปของลูกชายคนเดียวเสียแล้ว

คุณแม่ก็เริ่มกลับบ้านบ่อยขึ้น บางทีก็กลับมาโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า และมีอีกหลายทีที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่า

คุณแม่จะมาในช่วงวันหยุดติด ๆ หลายวันที่เรียกว่า LONG WEEKEND เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าต้องดูแลคุณพ่อ

เพราะถ้าคุณแม่ไม่อยู่ คุณพ่อก็จะถือโอกาส กินนอนไม่เป็นเวล่ำเวลา เอาแต่ทำงานทำการ

      .....เศรษฐกิจขาขึ้น เราต้องรีบตักตวงก่อน เผลอ ๆ มันทรุดลงมาอีกเราจะได้ยังพอมีทุน ตั้งตัวได้ใหม่.....นี่เป็นความเห็นของ

คุณพ่อ ผู้ที่ผ่านวิกฤติ ต้มยำกุ้งมาแล้ว อย่างสาหัสสากรรจ์

      ท้ายที่สุดคุณแม่คงอดรนทนไม่ไหว เรียกผมไปถามว่ารู้สึกกับลูกชายท่านยังไง ทีแรกผมก็ไม่กล้าบอกอะไร

นอกจากพูดเป็นกลาง ๆ ว่า สนิทกัน คบกันเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ผมคงแสดงอาการอะไรให้คุณแม่จับได้ว่า

ปิดบังความจริงบางอย่าง ก็เลยคาดคั้นเอาความจริงกับผมจนได้

     ไอ้เราก็เด็กนี่ครับ   ยังไงก็ไม่ทันความคิดผู้ใหญ่อย่างคุณแม่หรอก (คุณแม่ฉลาดจะตาย ไม่งั้นจะมีลูกชายฉลาด ๆ หล่อ ๆ ไว้

ให้ผมเหรอ...อิอิ)

      หลังจากโดนคุณแม่คาดคั้นไม่นาน พี่นิวก็มาคุยกับผมว่าตอนนี้คุณแม่รู้เรื่องของเราแล้ว

(คุณแม่ไม่ได้บอกพี่นิวว่ามาคุยกับผมก่อนจนรู้เรื่องหมดแล้ว)  ตอนนี้อยากให้เราแยกกันอยู่สักพัก เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า

เรารู้สึกอย่างไรต่อกันกันแน่  เพราะรักหรือแค่เซ็กส์

      ตอนนั้นเราสองคนเริ่มหมดความสุขแล้ว  เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเห็นด้วยกับ ความสัมพันธ์แบบนี้

พี่นิวเป็นลูกชายคนเดียว  ครอบครัวก็คงหวังจะมีลูกสะใภ้  ส่วนผมนอกจากจะไม่สามารถเป็นลูกสะใภ้แล้ว

ยังอาจจะทำให้ครอบครัวพี่นิวขายหน้าอีก  แถมครอบครัวของผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผมคงได้แต่หาลูกเขยมาให้ ไม่ใช่ลูกสะใภ้


      หลังจากที่คุณแม่มาหย่อนระเบิดในใจเราสองคน  ก็กลับไปอยู่กับคุณพ่อ  วันสองวันก็โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบกันสักครั้ง

แล้วก็มีแวะมาเยี่ยมเป็นครั้งคราวตามปกติ แต่ไม่เคยทวงถามเรื่องให้เราแยกกันอยู่ พี่นิวก็มารับผมที่บ้านทุกเสาร์อาทิตย์

มาอ่านหนังสือกัน  ดูหนัง  เล่นเกมกัน  โดยไม่ได้สนใจว่าคุณแม่จะอยู่หรือไม่อยู่   บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นเราสองคนยังไม่รู้อนาคต

ว่า คุณแม่จะมีมาตรการอะไรต่อไป  เราก็แค่อยากใช้เวลาร่วมกันให้มากที่สุด  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด  ถ้าเราไม่มีวาสนาต่อกัน

จริง ๆ ก็ให้ทุกอย่างมันจบไป

      บางคนอาจจะคิดว่าเรายอมแพ้ต่อโชคชะตา ทั้งที่เรารักกันขนาดนี้ ทำไมไม่ต่อสู้เพื่อให้ได้อยู่ร่วมกัน รักกันอย่างที่หัวใจเรา

เรียกร้อง

      ผมอยากจะบอกว่า ผมถูกเลี้ยงดูมาอย่างลูกชาย  ที่อนาคตจะต้องดูแลกิจการค้าของครอบครัว  เพราะพี่ชายของผม

เขามีอาชีพที่เขาใฝ่ฝันอยู่แล้ว  การค้าขายไม่ใช่หนทางที่เขารัก  แต่ระหว่างที่ผมยังไม่โตพอ  เขาจำเป็นจะต้องช่วยพ่อไปก่อน

 รอจนกว่าผมพร้อมที่จะเข้ามารับช่วงกิจการต่อจากพ่อ

      ผมก็ไม่ได้ชอบการค้าการขายนะ ใจจริงผมชอบวิชาศิลปะต่างหาก  แต่มันคงไปกันไม่ได้กับกิจการของครอบครัว

ผมจึงตัดสินใจเรียนสายสามัญโดยที่ทางบ้านไม่เคยบังคับ แต่ด้วยสำนึกของผมในวัยนั้น สิ่งที่พ่อแม่ปลูกฝังมา

ทำให้ผมมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อครอบครัวค่อนข้างสูง สิ่งนี้มันคงติดอยู่ในใจและมีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของผมในทุก ๆ ด้าน

ในเวลาต่อมา

       ทำไมต้องเป็นผมที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้  แม้แต่การเลือกสายวิชาเรียน.....แต่พี่ชายผมเลือกว่าเขาจะประกอบ

อาชีพอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องเข้ามาร่วมดูแลกิจการค้าของครอบครัวเรา

      คำตอบก็คือ.....เราเป็นพี่น้องคนละแม่กันครับ  แม่ของพี่ชายเป็นภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของพ่อ  ผมเรียกว่า แม่ใหญ่

(แต่ตอนที่ผมเกิดแม่ใหญ่เสียชีวิตแล้ว)  ฐานะของแม่ใหญ่ดีมาก  มีทรัพย์สินทั้งอสังหาริมทรัพย์และเงินสดในธนาคาร

มากกว่าพ่อผม เป็นทรัพย์สินที่ตกทอดมาจากญาติผู้ใหญ่  ทั้งหมดตกเป็นของพี่ชายของผมโดยพ่อไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว

(ซึ่งพ่อก็ไม่ได้อยากมีสิทธิ์มีส่วนอยู่แล้ว)  ส่วนแม่ผมไม่มีทรัพย์สินอะไรติดตัวมา  แม้แต่ตอนที่มาอยู่กับพ่อก็หิ้วกระเป๋าเข้าบ้าน

เฉย ๆ ไม่มีพิธีแต่งงานรับขวัญอะไรทั้งสิ้น  แม่ต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่  เพื่อไม่ให้ญาติฝ่ายพ่อตำหนิได้ว่ามา

เกาะสามีกิน

      ความเจียมเนื้อเจียมตัว ที่มีอยู่ในตัวแม่มันคงถ่ายทอดมาถึงผมด้วยมั้ง  เพราะไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

ที่จะทำให้แม่และผมพอจะมีเครดิตขึ้นมาในสายตาของครอบครัวฝ่ายพ่อ  ผมจะต้องรีบทำ  และจะไม่ทำอะไร

ที่เป็นการลดความน่าเชื่อถือของเราสองแม่ลูก คนที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจ และสุขใจที่ได้ทำเช่นนี้ก็คือพ่อ

เพราะพ่อเข้าใจดีว่า ผมทำทุกอย่างเพื่ออะไร และแม่ก็ยังเป็นที่รักของพ่อตลอดมา

      ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องความรักที่ผิดแผกแตกต่าง  จึงเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผม  เพราะผมรู้ว่า  มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับ

ครอบครัวพ่อ และผมไม่อาจจะเดาได้ว่า  กรณีนี้พ่อจะเข้าข้างใคร  ระหว่างความสุขในชีวิตของผม  กับ  หน้าตาและความรู้สึก

ของคนในตระกูล  ซึ่งผมเองไม่กล้าเสี่ยง  ที่สำคัญเรื่องนี้อาจจะทำให้ครอบครัวของพ่อมีทัศนคติในแง่ลบกับแม่มากยิ่งขึ้น

      ส่วนพี่นิวผมไม่รู้ว่าครอบครัวเขาคิดอย่างไรกับเรื่องนี้  เท่าที่เห็นปฏิกิริยาของคุณแม่ที่มีต่อผมก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต

ท่านยังคงพูดคุยทักทายเป็นปกติ  ส่วนคุณพ่อของพี่นิว  ตอนนั้นผมไม่เคยพบท่าน  ทุกอย่างระหว่างเราดำเนินไปเรื่อย ๆ

ราวกับว่าคุณแม่ไม่เคยตั้งคำถามเหล่านั้นกับผม

      หลังจากรู้ผลสอบแล้วว่าพี่นิวจะต้องไปเรียนกรุงเทพ ผมก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่มาก

เพราะวันที่เราต้องจากกันยังมาไม่ถึง

      แล้วคุณแม่ก็หย่อนระเบิดลงมาอีกลูก เล่นเอาหัวใจผมหล่นวูบ

      “นิวไปเรียนกรุงเทพแล้ว แม่ว่าจะขายบ้านนี้นะ”

      “อ้าว! ทำไมล่ะครับแม่”

      “ก็ไม่มีใครอยู่นี่นา ไม่งั้นแม่จะต้องไป ๆ มา ๆ ไหนจะต้องดูแลพ่อเค้าอีก บอกตรง ๆ ว่าแม่ขี้เกียจเดินทาง”

      “นั่งเครื่องแป๊บเดียวเองนี่ครับ”

      “เสียดายเงิน เสียดายเวลา ถ้าไม่ติดว่าจะต้องมาดูแลนิว แม่ก็ไม่มาหรอกนะ”

      “โธ่! แม่ครับ ผมดูแลตัวเองได้มาตั้งนานแล้ว มาห่วงอะไรตอนนี้อะ  พักนี้ผมว่า แม่มาบ่อยออก แต่ก่อนไม่เห็นเป็นอย่างงี้

เลย”

      “ก็ต้องมาดูกันหน่อยล่ะ เมื่อก่อนนิวไม่เคยมีเพื่อนมานั่งเล่นนอนเล่นทุกวันอย่างนี้นี่”

      ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ สองแม่ลูกที่กำลังคุยกันอยู่ที่โซฟารับแขก ผมไม่ได้แอบฟัง ไม่ได้เงี่ยหูฟังพวกเขานะ  แต่มันได้ยินเอง

ทั้งหมด    ตั้งแต่เริ่มคุยกัน ดูเหมือนคุณแม่จะเจตนาให้ผมได้ยินทุกถ้อยคำที่โต้ตอบกับพี่นิวยังไงไม่รู้ 

และตอนนี้ผมไม่ได้ยินเสียงของพี่นิว แต่ได้ยินเสียงถอนหายใจแทน โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร

เพราะผมหันหลังให้ทั้งคู่ แต่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจ้องมองจากด้านหลัง....คุณเคยเป็นแบบนี้ไหม.....

ผมเชื่อว่า ถ้าผมหันกลับไปดูตอนนี้ คงมีสายตาอย่างน้อยก็คู่หนึ่งกำลังจ้องมาที่ผม

      “แล้วป้ากับนางจะทำยังไง แม่จะให้เค้าออกเหรอครับ”

      “ป้าเค้าก็คงจะกลับไปอยู่กับลูกเค้า ส่วนนางน่ะ แม่หางานใหม่ให้มันได้ ถ้าจะไปอยู่กับแม่ที่โน่น ก็ยังมีงานให้ทำ

กลัวแต่ว่าจะไม่ยอมไปน่ะสิ นางมันมีแฟนแล้วนี่”

      “แล้วปิดเทอมผมกลับมาจะอยู่ที่ไหนล่ะครับ”

      “ปิดเทอมจะมาอยู่ที่นี่ทำไม”  เสียงคุณแม่ขึ้นสูง  แต่ไม่ใช่น้ำเสียงโกรธขึ้ง

      “ต่อไปนิวเรียนจบแล้วก็ต้องไปอยู่กับแม่กับพ่อที่โน่น ปิดเทอมก็ไปอยู่โน่น เรื่องง่าย ๆ ไม่เห็นต้องคิดอะไรวกวนเลยนะ

แม่ว่า”

      “แม่พูดเหมือนไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากกลับมาที่นี่”

      “อ๋อ...ไม่....แม่ไม่รู้หรอก แม่ก็แค่คิดอะไรตรงไปตรงมา  หรือนิวว่ามันมีอะไรมากกว่าที่แม่คิด ก็บอกมาได้นะ

แม่ยินดีรับฟัง”

      “วันก่อนที่แม่ถามผมว่า ผมแน่ใจเรื่องนูแล้วรึยัง”

      “อืม”

      “ผมคงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้หรอกครับ แต่ผมยืนยันได้ว่า ผมไม่ได้คิดจะเล่น ๆ กับเค้า

ผมมองเห็นอนาคตที่มีเค้าอยู่ด้วยชัดเจนมาก นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่มีนูแล้วผมจะเป็นยังไง”

      “มันไม่มากไปหน่อยเหรอลูก คบกันมากี่วันลูกถึงจะมายืนยันกับแม่ขนาดนี้”

      “เราอาจจะคบกันไม่ถึงปี แต่เรารู้จักกันมาตั้งแต่นูเค้าเข้าเรียนม. 1 นะครับ”

      “หา.....ม. 1 เชียวเหรอ นี่นิวจะบอกว่า ลูกสองคนคิดเรื่องนี้กันมานานขนาดนั้นเลยเหรอ โอย...แม่จะเป็นลม”

      “แม่ ....ไม่ใช่สักหน่อย เรารู้จักกันเฉย ๆ นะครับ ผมยังไม่คิดอะไรเลยนอกจากรุ่นพี่รุ่นน้อง

แต่ผมแค่รู้สึกพิเศษกับเค้าแค่นั้นเอง เค้าเองก็เหมือนผม”

      ผมนั่งขนลุกซู่ กับคำสารภาพของพี่นิว จะมารู้ใจอะไรนักหนาเนี่ย

      “ไอ้พิเศษที่ว่าเนี่ย มันพิเศษแบบไหนเหรอ”

      “ผมก็....เอ้อ....เห็นว่าน้องเค้าน่ารักดี...แม่อะ แม่ก็รู้ว่าผมอยากมีน้อง แต่แม่ก็มีให้ผมไม่ได้”

      “อย่าพูดจุดเจ็บของแม่ได้มั้ย...ฮึ!!”

      คุณแม่พี่นิวค้อนขวับ ก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก แต่คงจะเป็นจุดเจ็บจริง ๆ อย่างว่า เพราะพี่นิวรีบขอโทษทันที

      “ผมขอโทษครับแม่ ผมไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่อยากจะเปรียบเทียบความรู้สึกให้ฟังว่า ผมไม่เคยรู้ว่าผมจะรักน้องแบบไหน

แล้วที่ผมรู้สึกกับนู มันจะเหมือนกันหรือเปล่า”

      พี่นิวพูดถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมอีกกระบุงโกย ผมฟังไปก็ซาบซึ้งไป เพราะบางคำผมไม่เคยได้ยินจากปากเขามาก่อน

      “ผมอยากจะดูแลเค้าไปนาน ๆ ตอนนี้ผมอาจจะพูดไม่ได้ว่าตลอดชีวิต แต่ถ้าแม่ยังจำความรู้สึกตอนรักพ่อได้

ผมว่ามันคงไม่ต่างกันเท่าไหร่”

      ผมได้แต่พึมพำคนเดียวในใจว่า ผมก็อยากดูแลพี่นิวเหมือนกัน ตราบเท่าที่ผมยังมีลมหายใจก็พอ



....มีต่อนะครับ....

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE ..รอสักครู่
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 06-10-2012 11:46:55
กอดพี่นิวไว้แน่นๆอย่าได้ห่าง เดี๋ยวเข้มจะมารังแกน้องนูอีก ให้นูเป็นของพี่นิวคนเดียวก็พอ
และเป็นที่รักของนักอ่านด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 06-10-2012 12:13:40


     เป็นอันว่าเรื่องขายบ้านก็ถูกพับเก็บไปอีกเรื่อง ผมไม่รู้เลยว่าคุณแม่คิดจะทำอะไรอีก  แต่เรื่องขายบ้าน

ก็ไม่แน่ว่านึกอยากจะขายก็ขายได้ทันที ผมได้แต่หวังว่าคุณแม่จะเปลี่ยนใจ แค่เรื่องที่พี่นิวกำลังจะไปเรียนที่อื่น

ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำใจไม่ให้คิดถึงเขาได้หรือเปล่า ถ้าถึงกับขายบ้านขายช่อง ก็เท่ากับว่าเราจะหาโอกาสพบกันได้น้อยลง

หัวใจผมคงสลาย

      การพูดคุยวันนั้นคงทำให้คุณแม่พอจะรู้ความจริงใจระหว่างเราสองคนมากขึ้นกว่าเดิม คุณแม่เรียกหาผมบ่อยขึ้น

ใกล้ชิดขึ้น มีบางครั้งที่พี่นิวต้องมารับผมที่บ้านแต่เช้าตรู่เพราะคุณแม่ให้มาตามไปกินอาหารเช้าด้วยกัน

ทำให้ผมมีความหวังว่า คุณแม่จะไม่รังเกียจผม และให้โอกาสเราได้คบหากัน

      จนกระทั่งปิดเทอมใหญ่ พี่นิวก็ใกล้เวลาที่จะต้องเดินทางไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ คุณแม่ก็เรียกเราสองคนเข้าไปคุยอีกครั้ง

      “แม่จะไปขอนูมาเป็นลูกบุญธรรม ทางบ้านนูจะว่ายังไงบ้าง”

      พี่นิวกับผมสะดุ้งพร้อมกัน ผมยังงงอยู่ตอนที่พี่นิวตอบไป

      “ทำไมแม่ต้องขอมาเป็นลูกล่ะครับ ตอนนี้ผมไม่อยากได้น้องแบบนั้นแล้วนะ”

      “เฉย ๆ เหอะน่าเราน่ะ…ว่าไงนู” 
 
      “ผมไม่ทราบครับคุณแม่”

      “พ่อกับแม่นูเค้าก็รู้จักนิวดีนี่นา”

      “ครับ”

      “งั้นแม่ว่า วันนี้แม่ไปเยี่ยมครอบครัวนูดีกว่า”

      “แต่ที่บ้านผมตอนกลางวันไม่มีใครอยู่นะครับ เค้าไปขายของที่ร้านกันหมด”

      “งั้นก็ไปที่ร้านแล้วกัน”

      “แต่ว่า….”

      แล้วก็ไม่มีใครคัดค้านคุณแม่ได้ ท่านเตรียมของฝากเล็ก ๆน้อย ๆใส่กระเช้าสานด้วยหวายจนเต็ม

ก็ประเภทอาหารสำเร็จรูป ตามที่เราเห็นในซุปเปอร์มาร์เก็ต นั่นแหละครับ

      ครั้งแรกที่ผู้ใหญ่สองฝ่ายทำความรู้จักกัน ผ่านไปได้ด้วยดี คุณแม่พี่นิวสมกับที่เคยทำงานเป็น GUEST RELATIONS

ของโรงแรมห้าดาวเลยครับ การแนะนำตัวเองดูสง่างาม แต่ไม่ถือตัว การพูดจาก็แสดงความนับถือต่อกัน

ผมในวัยนั้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่มาวันนี้ผมนึกย้อนกลับไป แล้วอดชื่นชมท่านไม่ได้ เพราะจะว่าไปแล้วพ่อแม่ผม

ก็แค่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดธรรมดา ๆ เท่านั้น ฐานะก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ได้รับเกียรติราวกับเป็นคนระดับเดียวกัน

ไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นในละคร ที่มีการแบ่งชนชั้นเลย นั่นทำให้ผมยิ่งรักและเคารพคุณแม่มากขึ้น

      จนกระทั่งถึงครั้งสำคัญในชีวิตของผม เมื่อคุณแม่ของพี่นิวไปมาหาสู่ สองสามครั้ง ในระยะเวลาเดือนกว่า ๆ ซึ่งผมว่า

คุณแม่เป็นคนแยบยลมาก ในการจะหาเหตุผลเข้ามาทำความรู้จักครอบครัวผม แต่ละครั้งก็จะมีของฝากไม่มากไม่น้อย

คือไม่ใช่ของราคาแพง แต่ก็ไม่ใช่ของที่หากันได้ดาษดื่น ทำให้พ่อกับแม่ผมทั้งนับถือและเกรงใจไปพร้อม ๆกัน

      ครั้งนี้คุณแม่พี่นิวใช้วิธีหว่านล้อมโดยที่ทางพ่อแม่ผมไม่ทันรู้ตัว ว่าตกลงยกลูกชายให้เป็นลูกบุญธรรมคุณแม่ไปได้อย่างไร

แต่คุณแม่ก็ยังกำชับผมกับพี่นิวว่าจะต้องหมั่นมาเยี่ยมบ่อย ๆ อย่าหายหน้าไปเลย และขอให้พ่อแม่ผมเอ็นดูพี่นิวเหมือนเป็น

ลูกชายด้วยอีกคน

           
                       


   ( มีคนมาตามไปทำงานด่วนซะแล้วครับ.....ถ้าไม่ยุ่งยากมาก เย็น ๆ คงเสร็จเรียบร้อย แล้วผมจะมาต่อให้คืนนี้

กะว่าจะให้จบ The first page ก่อน แต่ไม่ควรคาดหวังกับอนาคตที่มองไม่เห็นนะครับ 555)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 06-10-2012 12:17:27
อ่านละซึ้งคำพูดพี่นิว โชคดีที่สองคนมาเจอกันเร็ว อิจฉามากๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 06-10-2012 13:03:55
นับถือคุณแม่พี่นิวมาก นึกว่ามีแต่ในละคร
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 06-10-2012 13:14:11
ได้อ่านเรื่องของพี่นูอีกกี่รอบก็ยังชอบเหมือนเดิมเลย   :-[
แล้วมาต่ออีกนะครับ
แบงค์จะคอยเป็นกำลังใจให้
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: McKnight ที่ 06-10-2012 18:04:48
นั่นไงเป็นพี่นิวจริงๆด้วย ที่ไขประตูเข้ามา สงสัยไปอ้อนคุณแม่ของคุณนูจนได้กุญแจห้องมาแหง๋ๆ
พี่นิวนี่ก็ร้ายกาจมิใช่เล่น พอดีกันแล้วมีล่อหลอกว่าให้ไปปรับความเข้าใจกัน ให้คุณนูมาค้างที่บ้านพี่นิวด้วยอีกแหนะ
คุณนูเล่าได้น่ารักมากเลยครับ ฉากกุ๊กกิ๊กอ่านแล้วอมยิ้มตาม

ถึงตอนที่คุณแม่จะไป(สู่)ขอคุณนูมาเป็นลูก(สะใภ้)ชายอีกคนแล้ว
ตอนแรกนึกว่าครอบครัวจะเป็นอุปสรรคใหญ่เสียอีก  โล่งอก....
คุณแม่พี่นิวน่ารักมากเลย แถมยังมีความคิดสมัยใหม่ เข้าใจโลกที่ ผช กับ ผช รักกันได้
และที่สำคัญรักและเข้าใจลูกชายตัวเองมากๆ ดีใจด้วยนะครับที่ครอบครัวเข้าใจ

ตัวผมเองยังไม่เคยบอกที่บ้านเลย ยอมรับว่ากลัวเขาเสียใจครับ

รอติดตามตอนต่ีอๆไปนะครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 06.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 07-10-2012 11:52:05
 :serius2:อยากบอกว่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555 ต่อจากเมื่อวาน
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 07-10-2012 16:37:58



  ผมเข้ามาอยู่บ้านพี่นิวในฐานะลูกบุญธรรม ก็มีห้องส่วนตัวให้อยู่ชั้นบนของบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากที่จะต้องต่อห้องใหม่

เพราะบ้านนี้มีสามห้องนอน ห้องคุณพ่อกับคุณแม่ นาน ๆ ถึงจะได้ใช้เมื่อท่านมาพักเป็นครั้งคราว

ห้องพี่นิวกับห้องผมอยู่ติดกันทางด้านหลังของบ้านซึ่งเชื่อมต่อด้วยระเบียงกว้าง

(ตอนนี้ผมปลูกไม้เลื้อยเป็นซุ้ม เอาไว้นอนเล่นเวลากลางวัน)

      วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาเต็มฐานะของลูกบุญธรรม พี่นิวก็มาวนเวียนไม่ห่าง

      “อาบน้ำกันป่ะ”

      “พี่นิวอาบก่อนสิครับ ผมจัดผ้าเข้าตู้ก่อน เสร็จแล้วค่อยไปอาบ”

      “ค่อยจัดก็ได้น่า พรุ่งนี้ก็ว่าง”

      “ผ้าผมมีไม่มากจัดเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วไม่อยากผัดนี่ พี่นิวก็ไปอาบสิครับ....อย่าดิ....ผ้ากองนี้ผมรีดแล้วนะ”

      ผมดึงพี่นิวออกจากกองผ้าที่ผมใส่ไม้แขวนวางซ้อนไว้บนเตียงนอน เตรียมเข้าตู้ เพราะเค้าล้มตัวลงไปนอนทับไว้

ไม่ให้ผมหยิบได้

      “ก็ไปอาบน้ำก่อนสิ”

      “พี่อะ พูดไม่รู้เรื่อง ก็บอกแล้วว่าผมขอเก็บผ้าให้เสร็จก่อน”

      “ได้...งั้นพี่รอ”

      พี่นิวขยับออกมานั่งที่ขอบเตียง

      “เอ๊อ ...ก็ไปอาบก่อนสิครับ แล้วจะรอทำไมกันล่ะเนี่ย”

      “รออาบพร้อมกันไง”

      คำตอบเขาทำเอาใบหน้าของผมร้อนฉ่าไปถึงใบหู ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่าจะโดนไม้นี้

ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยอาบน้ำด้วยกันหรอกครับ ก็มีบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ก็ทำเอาผมเขินได้ทุกครั้ง ไม่ชินสักที

ก็เขาชอบหากิจกรรมมาทำระหว่างที่อาบน้ำด้วยนี่นา แค่คิดผมก็หน้าร้อนซู่ขึ้นมาอีก

      “ทำไมต้องหน้าแดงด้วย”

      “ก็พี่นิวพูดอะไรไม่รู้”

      “ไม่รู้จริงเหรอ”

      ผมผลักพี่นิวออกห่าง เพราะแขนเขาเริ่มรุ่มร่ามกับไหล่ผม เอวผม คอยแต่จะเหนี่ยวให้ไปอิงตัวเขาอยู่เรื่อย

บอกแล้วว่าผมจะเก็บผ้าเข้าตู้ก่อน ก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายผมก็ต้องตัดความรำคาญ ทิ้งกองผ้าไว้บนเตียงอย่างนั้นเอง

      น้ำฝักบัวกำลังรดราดอยู่บนตัวเราไม่ขาดสาย ส่วนเราสองคนก็ไม่นำพาว่ามันจะรดลงตรงส่วนไหนบ้าง

เพราะมัวแต่หันหน้าเข้าหากัน............

      ………………………………………………………

      ถูสบู่ครับ แล้วก็สระผม.........(คิดไปถึงไหนกันเนี่ย 555)

      “โอ๊ย...ซี้ด...ยาสระผมเข้าตาผมอะพี่นิวอ้ะ”

      “ไหน ๆ มาล้างก่อน อย่าหลับตาปี๋อย่างนั้นสิ แล้วน้ำมันจะเข้าไปล้างได้ยังไงล่ะนูนี่”

      “ก็มันแสบ”

      “ไหนลืมตาก่อน”

      พี่นิวใช้นิ้วค่อย ๆ ลูบตาผมเบา ๆ ส่วนผมได้แต่กระพริบตายิบ ๆ ด้วยความระคายเคือง

จะลืมตาให้น้ำชะล้างก็ไม่ได้มันทั้งแสบทั้งเจ็บที่เปลือกตาด้านใน จนผมรู้สึกว่าแชมพูถูกล้างออกไปหมดแล้ว

ถึงได้กระพริบตาเร็ว ๆไล่น้ำส่วนที่คลออยู่ในตาออก

      “ตาช้ำแดงหมดเลยดูสิ”

      “ผมสระเองแชมพูไม่เคยเข้าตาเลยนะ พี่อะแหละ”

      ผมฟาดฝ่ามือไปบนต้นแขนพี่นิว ก็ไม่เบานักหรอก พอให้ขึ้นรอยห้านิ้วแหละ

      “อ้าว ก็พี่อยากทำให้”

      “มาเลย มาให้ผมเอาคืนซะดี ๆ”

      ผมเริ่มมีอารมณ์พาลด้วยความที่อาการเจ็บตายังไม่จางหาย ทำให้ผมไม่สนใจแล้วว่า ถ้าผมเอาคืนจริง ๆ

พี่นิวก็คงจะมีอาการเดียวกัน ซึ่งมันไม่เป็นผลดีเลย

      เขายืนนิ่งให้ผมเอาแชมพูที่เทออกมาจนเต็มฝ่ามือละเลงเส้นผม ผมไม่ต้องเอาฟองปาดไปที่หน้าที่ตาเขา

ฟองอันมากมายก็ไหลย้อยเป็นก้อนฟู ๆ ไปบนหน้าจนมองไม่เห็นลูกตา  จมูก ปาก

 ผมมองดูเขาไปก็หัวเราะชอบใจไป ตอนนั้นสะใจเป็นบ้า สักพักพี่นิวก็ยกมือขึ้นปาดฟองออกจากหน้า

แล้วหยีตามองหาผม ก่อนจะถามเสียงอู้อี้

      “พอใจรึยัง พี่แสบตาเหมือนนูแล้วนะ”

      “พอก็ได้”

      ผมพูดไปหัวเราะไป ก่อนจะช่วยเขาเปิดน้ำฝักบัวล้างหัว ล้างหน้า ให้หมดฟอง

จากนั้นก็ยืนให้น้ำรดตัวสักพัก ก่อนจะหยิบผ้ามาคนละผืน ผลัดกันเช็ดตัวจนแห้ง

      ผมยืนโรยแป้งฝุ่นกระป๋องไปตามเนื้อตัว ตอนที่พี่นิวเดินไปเดินมา ระหว่างกล่องกระดาษทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง

กับถังขยะแห้งหน้าห้องน้ำ เขาเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบแล้ว ผมเห็น แต่ไม่ได้ใส่ใจ ได้ยินเสียงสั่งน้ำมูกฟืด ๆ ก็แค่นั้น

หันไปดูเขาก็ยังไม่แต่งตัวสักที จนผมสวมเสื้อ สวมกางเกงเรียบร้อยก็เห็นพี่นิวนอนลงไปบนเตียงทั้งที่ยังนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว

ก็ชักจะสงสัย อาการแบบนี้คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

      “เป็นอะไรอะครับพี่นิว”

      “ไม่มีอะไร เจ็บตาเฉย ๆ”

      ตอนนั้นผมลืมไปเสียสนิทว่าตอนอาบน้ำทำอะไรไว้กับเขา ดันไปนึกว่า พี่นิวเจ็บตาเพราะอาการอื่น

      “น้ำตาไหลด้วยอะ”

      “อืม...”

      แล้วเขาก็สั่งน้ำมูก แต่ไม่มีน้ำมูกออกมานอกจากลมแรงที่พ่นออกมา   พร้อมละอองน้ำเปียกกระดาษทิชชูนิดหน่อย

      “เป็นหวัดด้วย...กินยาไหมครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้”

      “ไม่ต้องหรอก ขอพี่นอนพักก่อนก็พอ”

      “ครับ งั้นพี่นิวแต่งตัวก่อนสิ นอนทั้งผ้าขนหนูเปียก ๆ เดี๋ยวจะยิ่งไม่สบายนะ”

      เขายังนอนนิ่งไม่ขยับ ผมก็เลยเดินไปหยิบเสื้อนอนที่ห้องของเขามาเปลี่ยนให้ ซึ่งพี่นิวก็ขยับตัวให้ผมใส่เสื้อผ้าให้เขา

ได้ง่ายขึ้น จากนั้นผมก็จัดผ้าห่มคลุมตัวให้พี่นิว ก่อนจะเดินลงมาชั้นล่าง เพื่อจะหาน้ำดื่มกับยาแก้ปวด แก้ไข้เผื่อจำเป็นต้องใช้

      กลับขึ้นมาอีกที ผมเห็นพี่นิวยืนมองตัวเองในกระจก พูดให้ถูก คือพี่นิวกำลังจ้องหน้าตัวเองในกระจก

ผมเดินตามไปยืนข้างหลัง กะจะแกล้งล็อคคอแล้วโน้มให้เขาหงายหลังลงมา แต่ทันทีที่ผมเห็นพี่นิวในกระจกผมก็ต้องตกใจ

เพราะตอนนี้ขอบตาพี่นิวแดงบวมช้ำมาก แถมตาขาวก็เป็นสีแดงขุ่น ๆ ดูน่ากลัว

      “พี่นิวเป็นอะไรน่ะ ไปทำอะไรมา ตาถึงช้ำแบบนี้”

      (นั่น....ไอ้นู ยังมีหน้าไปถามเขาอีก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าต้นเหตุมาจากตัวเอง)

      “ก็...ไม่ได้ทำอะไร”

      พี่นิวอึกอักพูดไม่ค่อยเต็มเสียง ผมเพิ่งจะนึกได้ว่า ตอนที่เราอาบน้ำด้วยกัน ผมแกล้งอะไรเขาไว้บ้าง

      สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายไปบอกคุณแม่ว่าพี่นิวตาอักเสบ (แต่ไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนทำ) 

เราเลยต้องพาพี่นิวไปหาหมอกลางดึกที่โรงพยายาลเอกชนแห่งหนึ่ง (ขอบอกว่าแพงโคตร ๆ ถ้าไม่เกี่ยงว่า

อาการของพี่นิวควรจะต้องรีบเยียวยา ผมแทบอยากจะย้ายไปหาหมอโรงพยาบาลหลวงซะเดี๋ยวนั้น)

      คืนนั้นคุณแม่ต้องจ่ายค่ารักษารวมทั้งค่ายา ไปเกือบสี่พัน ตลอดเวลาทั้งขาไปและขากลับ ผมนั่งกับพี่นิวที่เบาะด้านหลัง

คุณแม่เป็นคนขับรถ ผมกุมมือพี่นิวโดยไม่กล้าพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว และสิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาก็คือ

ฝ่ามืออุ่น ๆ ที่บีบมือผมเบา ๆ เป็นการปลอบใจ

      “ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่กี่วันก็หาย”

      “ถ้าพี่นิวตาบอด ผมคงรู้สึกผิดไปจนตาย”

      “คิดไปโน่น สารเคมีในแชมพูมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

      “ผมขอโทษครับ”

      ผมได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิด ไม่กล้าสบตาพี่นิว
       
      “ไม่รับ”

      “ฮื้อ....”

      ได้ยินเขาปฏิเสธคำขอโทษเสียงแข็ง ผมก็ใจแป้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นแก้มป่อง ๆ ยื่นมาตรงหน้า

พอผมจุ๊บแก้มเขาก็เบี่ยงปากมาแทน

      “ฮะแอ้ม.....ไม่คิดจะเกรงใจแม่หน่อยเหรอฮึ...”

      “ขอโทษครับแม่ ผมแค่ล้อนูเค้าเล่นน่ะ”

      พี่นิวหัวเราะเขิน ๆ ส่วนผมน่ะเหรอ เหน็บต้นขาเขาไปหนึ่งทีแรง ๆ โทษฐานที่ทำให้ผมอายต่อหน้าคุณแม่

      “ซู้ด....เจ็บน้า”

      “ทีหลังก็อย่าแกล้งผมดิ”



มีต่อครับ จะให้จบ The first page อย่างที่สัญญาไว้เมื่อวาน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 07-10-2012 17:11:30



    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมนึกละอาย ทั้งที่ผมเป็นคนผิดที่แกล้งเขาเกินกว่าเหตุแท้ ๆ

    ยอมรับอย่างไม่อายว่าตอนนั้นผมคิดแค่ว่าจะแก้แค้นเขาคืน เพราะเขาทำผมก่อน

ถึงผมจะไม่ได้คิดแก้แค้นจริงจังให้เลือดตกยางออก แต่ความเจ้าคิดเจ้าแค้นแสนงอนของผม

ก็เล่นเอาพี่นิวเกือบจะเสียดวงตา  (หรือเปล่า)  ก็ไม่รู้ล่ะนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญขนาดไหน

แต่ผมกลับทำอะไรไม่คิด ทำให้เรื่องราวบานปลาย จนพี่นิวต้องเจ็บตัว ส่วนพี่นิวกลับไม่โกรธ ไม่โทษผมสักคำ

แถมยังเป็นฝ่ายปลอบใจผมด้วยซ้ำ เพราะเขากลัวผมจะคิดมาก แล้วจะไม่สบายใจ

....ผมช่างโชคดี ที่มีคนที่รักผมมากอย่างผู้ชายคนนี้


      ผมทุ่มเทเวลาทั้งหมดดูแลพี่นิวจนมีอาการดีขึ้น ถึงหมอจะบอกว่าอาการตาอักเสบเพราะสารเคมี ไม่ได้รุนแรงนักหนา

เพราะถูกชะล้างออกไปได้ทันเวลา แต่มันก็ไม่ช่วยให้ความรู้สึกผิดในใจผมผ่อนคลายลงไปเท่าไร

ผมก็เลยไถ่โทษด้วยการดูแลเขาไม่ให้คลาดสายตา รวมทั้งตามใจเขาทุกอย่าง ไม่ว่าเขาอยากให้ทำอะไร

ผมก็รีบจัดการให้ทันที โดยไม่อิดเอื้อน ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะรู้ทันความคิดผม แล้วก็จะหาเหตุให้ผมทำตามใจเขาเสมอ

ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าเห็นนิ่ง ๆ ขรึม ๆ พี่นิวของผมทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งหื่นไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน ไอ้ผมก็ไม่ได้กระสันอะไรหรอก

แต่พอเค้าเริ่มทีไร ทำไมผมถึงไม่ขัดขืนสักทีก็ไม่รู้แฮะ(อายว่ะ)

      “นูเช็ดตัวให้หน่อย ร้อนอะ”

      “ร้อนก็ไปอาบน้ำดีกว่าไหมครับ ผมไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้”

      ช่วงที่ตาเจ็บเขาชอบมานอนเล่นห้องผม  (ผมไม่ค่อยจะเข้าไปจุ้นจ้านในห้องเขา) ซึ่งไม่เคยเปิดแอร์เลย

พอเขามาก็จะขอให้ผมเปิด เรื่องนี้ผมไม่เคยตามใจเพราะมันเปลืองไฟนะครับ อยู่บ้านผมเองก็ไม่ค่อยได้เปิดแอร์

ถ้าไม่ร้อนจนตับจะแตกจริง ๆอย่างในหน้าร้อน ปกติผมก็แค่เปิดพัดลมให้มันส่ายพอให้อากาศมันเคลื่อนไหว

      “อาบให้หน่อย”

      “อาบเองสิครับ ทำเป็นเด็กไปได้พี่นิวนี่”

      “เจ็บตา”

      “ไม่เห็นจะเกี่ยวกับอาบน้ำเลย”

      “งั้นแค่เช็ดตัวแล้วกัน เช็ดให้หน่อย”

      ผมได้แต่ส่ายหน้า เพราะอ้อนเหลือเกิน นาน ๆ ทีพี่นิวเขาจะเป็นแบบนี้นะครับ เห็นคนตัวโต ๆ อ้อนแล้วมันดูตลกดี

แล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องทำตามคำขอ (อยากไถ่โทษด้วยแหละที่ผมทำให้เขาต้องตาเจ็บแบบนี้)

      เช็ดไปเช็ดมาก็ลงเอยเหมือนเดิมทุกที พี่นิวชอบให้ผมสัมผัสร่างกายเขา ซึ่งเวลาที่ผมเช็ดตัว

ยังไง ๆ ผมก็ต้องจับต้องเนื้อตัวเขาอยู่ดี ผมชอบสีผิวของเขา ผิวเนียน ๆ สีนวล ๆ ไม่ขาวเป็นลูกจีนแบบผม

แล้วก็ไม่คล้ำอย่างคนใต้ นิ้วมือพี่นิวเรียวแต่แข็งแรง ผมชอบเวลาที่มันขยับลูบไล้ไปตามลำตัวผม

ฝ่ามือพี่นิวนุ่มไม่แข็งกระด้าง เพราะไม่เคยต้องทำงานบ้าน ลูบไปถึงไหน ก็ร้อนซู่ไปถึงนั่น

ผมชอบริมฝีปากอิ่มของพี่นิว กดลงมาบนริมฝีปากผมทีไรก็ให้รสที่หอมหวาน ชวนให้ลิ้มลองไม่รู้เบื่อ

เลื่อนไปแตะตรงไหนก็ขนลุกวาบตรงนั้น

      “นะ”

      พี่นิวกระซิบเสียงแผ่ว ส่งสายตาร้องขอเรื่องที่ผมก็รู้อยู่แล้ว และผมก็ไม่อยากขัดใจคนป่วย ที่มีผมเป็นต้นเหตุ

ถ้าไม่ตามใจเขาผมคงจะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้ (จริง ๆนะ...อิอิ)

      ก่อนจะเริ่มบทต่อไป ผมเดินไปปิดพัดลม แล้วเดินต่อไปเปิดสวิทช์แอร์ หันกลับมาดูคนป่วยตอนนี้เหลือแต่เนื้อหนังล้วน ๆ

ไม่มีอะไรปกปิดสักชิ้นเดียว.......เชิญชวนซะจริ๊ง  พี่นิวของผม

      อย่าคิดว่าพี่นิวทำตัวเป็นคนป่วยแล้วจะป้อแป้ไม่มีแรงนะครับ คนอะไร ร้ายกาจจริง ๆ ทีเวลาอย่างนี้ล่ะ แข็งแรงขึ้นมาเชียว


      ........รูดม่านปิดครับ....ฉากนี้ไม่มีคำบรรยาย 5 5 5......




     
      คืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันใต้ชายคาบ้านหลังนี้มาถึงแล้ว

ผมเพิ่งจะสำเหนียกได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ที่เราจะต้องจากกัน มันท่วมท้นอยู่ในหัวใจผมนี่

      “ปิดเทอมพี่ก็กลับแล้ว”

      “อีกตั้งหลายเดือน”

      “โทรคุยกันสิ”

      “ไม่เหมือนเห็นหน้ากันนี่”

      พี่นิวกอดกระชับผมไว้ในอ้อมแขน ตอนนี้เรายืนอยู่ที่ระเบียงหลังห้องนอน ท่ามกลางดาวเกลื่อนฟ้า

ไม่มีเมฆมาบดบัง ดูราวกับมีดวงไฟนับล้านดวงกระพริบวิบวาวอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่

ปีนี้ผมสูงขึ้นพ้นไหล่พี่นิวมานิดหน่อยแล้ว แผ่นหลังของผมอิงอกพี่นิว

แขนของผมซ้อนทับไปบนแขนของเขาที่โอบรอบตัวผม

      “อยากอยู่อย่างนี้ทุกคืนจัง”

      พี่นิวกระซิบข้างหูผมเบา ๆ ผมเริ่มจะมีน้ำซึมที่ขอบตาอีกแล้ว ทุกคืนที่เราได้อยู่แนบชิดกันแบบนี้

 พี่นิวชอบรำพึงอะไรทำนองนี้อยู่เรื่อย เหมือนกับจะย้ำให้ผมมั่นใจว่า เขาไม่ได้อยากอยู่ห่างจากผมเลย

(แล้วทำไมต้องเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพด้วยก็ไม่รู้)

      “งั้นก็ไม่ต้องไป”

      ผมแกล้งพูดเหมือนทุกครั้ง มันเป็นบทสนทนาซ้ำ ๆ ที่เราต่อปากต่อคำกันเพื่อให้รู้สึกหลุดพ้นจากคำว่า

ห่วงหา อาลัย และคิดถึง

      “ไปแป๊บเดียวก็สี่ปีแล้ว”

      “สามปีครึ่งก็พอ ผมเห็นบางคนเขาไม่ได้จบสี่ปีซะหน่อย”

      “จบเร็วอย่างนั้น ต้องลงซัมเมอร์นะ ปิดเทอมพี่ไม่ได้กลับบ้านอย่าโวยล่ะ”

      “อ้าว...เหรอครับ งั้นพี่นิวเรียน 4 ปีก็ได้ แต่ต้องกลับบ้านทุกปิดเทอมนะ”

      พี่นิวรับคำผมด้วยรอยจูบข้างแก้ม เราอยู่ที่ระเบียงอย่างนั้นครึ่งค่อนคืน  ยืนนาน ๆ ชักจะเริ่มเมื่อยก็ปูผ้านวมรองนั่ง

พอนั่งจนเมื่อย (พี่นิวเมื่อย เพราะผมเอนหลังพิงเขาเต็ม ๆ) เราก็ลงนอนเบียดกันท่ามกลางน้ำค้างยามดึก

ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่หลังแตะฟูก แล้วพี่นิวก็ล้มตัวลงมานอนข้าง ๆ กัน

      ความจริงเรามีห้องส่วนตัวแยกกันคนละห้อง ยิ่งใกล้วันเดินทางเท่าไร พี่นิวก็มักจะมานอนเล่นที่ห้องผมบ่อยขึ้น

บางครั้งผมก็ไปนอนเล่นห้องเขา ก่อนจะกลับมาหลับต่อที่ห้องของตัวเอง แต่สำหรับคืนนี้

ผมรู้ว่าพี่นิวคงไม่กลับไปนอนห้องของตัวเองแล้ว ผมซุกตัวเบียดกับอกเขา เหมือนจะเก็บเกี่ยวความอบอุ่น

ก่อนที่เราจะลาจากกันในวันรุ่งขึ้น พี่นิวโอบแขนมารอบตัวผม แล้วเราก็หลับด้วยกันในท่านั้นจนรุ่งเช้า

      เราสั่งลากันด้วยไอรักที่หลั่งไหลไม่มีวันหมด ผมมอบความสุขให้เขาเต็มที่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ลืมผม

ทุกครั้งที่เขาล้มตัวลงนอนจะต้องคิดถึงความสุขที่เรามีร่วมกันตลอดเวลาเกือบปีที่เราคบกัน

โดยเฉพาะช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เราได้อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา

แต่นับจากวันนี้ไปอีกอย่างน้อยห้าเดือน ผมจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง

ที่แน่ ๆ ผมคงคิดถึงเขาทั้งยามหลับยามตื่น แต่เพื่ออนาคต ผมคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวไปพลาง ๆ

....เอาน่า...แค่สองปี พอผมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็จะตามพี่นิวไปอยู่ด้วยกัน

      คุณแม่จะไปกับพี่นิวด้วย เมื่อได้เวลาเราก็เดินทางไปสนามบินด้วยรถแท็กซี่ที่โทรศัพท์ให้มารับที่บ้าน

ส่วนขากลับผมก็คงเรียกรถแท็กซี่ที่นั่นมาส่งบ้านอีกที

      คุณแม่ขึ้นไปนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับก่อน เหมือนจะเปิดโอกาสให้ผมกับพี่นิวได้นั่งคู่กันไปที่เบาะหลัง

(คุณแม่พี่นิวน่ารักมากเลยครับ)

      เราสองคนนั่งกุมมือกันไปตลอดทาง บางครั้งพี่นิวบีบมือผมเบา ๆ ผมก็จะบีบตอบ

แล้วเราก็มองตากันชั่วแวบเดียว  เพราะกลัวว่าคนขับรถจะหันมาเห็น ส่วนมือที่เกาะกุมกัน

ก็ถูกคลุมด้วยเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่ของพี่นิวที่พาดอยู่บนตักเค้า

บางขณะพี่นิวก็ไล้นิ้วโป้งเบา ๆ บนหลังมือผม เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่เขามีให้ผมได้รับรู้

มันยิ่งทำให้ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นี่ผมกับพี่นิวต้องจากกันแล้วเหรือนี่

.....ผมจะคิดถึงเขาสักแค่ไหนกันนะ แล้วเขาล่ะ จะมีเวลาคิดถึงผมเท่าที่ผมคิดถึงเขาหรือเปล่า

นักศึกษาปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย คงจะมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงผมกันนักหนา

      สิ่งใหม่ ๆ ที่เขากำลังจะไปเผชิญ คงทำให้ตื่นตาตื่นใจ เสียจนอาจจะลืมไปว่ามีใครคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่บ้าน

รอที่จะได้ยินแม้เพียงเสียงที่ผ่านสายโทรศัพท์ บอกว่า

      “คิดถึงนู”

      แต่แล้วผมก็ไม่ได้บอกความในใจให้พี่นิวได้รู้ กระทั่งเครื่องบินลำนั้นพาเขาลับหายไปจากสายตาในค่ำคืนนั้น

      ผมออกจากสนามบินด้วยความรู้สึกโหยหา ที่นั่งข้าง ๆ ว่างเปล่าไม่มีคนตัวโตให้ผมได้เอนลงพิงไหล่

ไม่มีฝ่ามือแข็งแรงที่อบอุ่นเกาะกุมมือผม แอร์ในรถเย็นเฉียบ ผมรู้สึกหนาวจนต้องยกมือขึ้นกอดอก

แต่หนาวเท่าไร มันก็ไม่เท่าความหนาวเย็นที่กำลังเกาะกินหัวใจผมอยู่ในตอนนี้

      ไม่อยากให้เราต้องจากกันเลย น้ำตาผมไหลเป็นทาง ก็ปล่อยให้มันหยดอยู่อย่างนั้น ผมกัดริมฝีปากตัวเอง

เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา จนก้อนสะอื้นกระแทกย้อนกลับลงไปในอกจนเจ็บร้าวไปหมด

ไม่ทันข้ามคืนผมก็คิดถึงพี่นิวมากถึงเพียงนี้

       ......สำออยจริง ๆเลยไอ้นูเอ๊ย เขาไปเรียนนะ เดี๋ยวก็กลับ ไม่ได้ไปแล้วไปลับซะหน่อย
 
       ......ผมได้แต่เตือนสติตัวเองไม่ให้โศกเศร้ามากจนเกินไป

       รถวิ่งมาถึงทางตรงที่เป็นถนนสายหลักเข้าเมือง ผมเห็นจุดเล็ก ๆ สีแดงอยู่กลางท้องฟ้าที่มืดสนิท

ต้องเป็นยานลำที่พาพี่นิวของผมบินลัดฟ้าไปแน่ ๆ

      ผมหลับตาลง ส่งความรู้สึกจากส่วนลึกในหัวใจทั้งหมดไปถึงพี่นิว

      พี่นิวครับ....ผมรักพี่นะครับ

      ทุกคืนก่อนนอนผมจะคิดถึงพี่นิวเป็นคนสุดท้าย

      ทุกเช้าผมจะลืมตาตื่นพร้อมกับความคิดถึงที่มีให้พี่นิวเพียงคนเดียว

      ผมจะรอวันที่เราจะได้พบกันอีกห้าเดือนข้างหน้า

      ผมจะเก็บหัวใจของผมไว้ให้พี่นิวเท่านั้น

      รีบกลับมานะครับ ผมจะนับวันรอพี่นิวเสมอ


      ……..“ที่รักของผม”......




จบตอน  SERIES:THE FIRST PAGE
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 07-10-2012 17:22:02
โอ๊ย...มันเป็นหน่วงที่มีความสุข และอบอวลไปด้วยความรักจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 07-10-2012 17:40:57
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ใหนน๊า  ภาคใต้  มีสนามบินพานิชย์  สุราษฎร์ธานี  ภูเก็ต  สงขลา  โรงเรียนติดทะเล ในตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีไม่มีโรงเรียนติดทะเล  ภูเก็ตไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าจะไม่มีเหมือนกัน  สงขลา มีอยู่โรงเรียหนึ่งข้ามถนนไปก็เป็นทะเล  เมื่อก่อนเป็นชายล้วนตอนนี้เป็นสหะแล้ว  หรือว่าที่พิมพ์มานี่ผิดหมดหว่า   เดาไม่ออก  อ้ออีกอย่างนะ มีโรงเรียนหญิงล้วนอยู่ใกล้ๆกันด้วย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 07-10-2012 17:41:20
พี่นิวไปเรียนแยกกันแล้วคงไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวนะพี่ นูก็เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 07-10-2012 18:34:40
น่ารักจริงจริ๊งงงงงง เชื่อว่าในระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันคงต้องเกิดอะไรบางอย่าง
แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยทำให้รู้ว่าระยะทางไม่ได้ทำให้คนเปลี่ยนไป
รักกันนานๆนะคะ อ่านแล้วมีความสุขดีจริงๆ ความรักระหว่างพวกคุณทำให้เรายิ้มได้
ขอบคุณที่นำเรื่องราวความรักไม่เขียนให้อ่านนะคะ แล้วจะรอตอนต่อไป :)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 07-10-2012 19:28:58
ซึ้งในความรักระหว่างพี่นู&พี่นิว  :o12:
ปล. แล้วมาต่อเร็วนะครับพี่นู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FIRST PAGE 07.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 07-10-2012 23:18:23
อ่านแล้วมีความสุขจิงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 9.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-10-2012 00:18:50


อยากรัก.....ขอบคุณพี่เอมครับ น้องนูพร้อมลุยถ้าพี่เอมคอยเป็นกำลังใจเหมือนเดิม

McKnight.....เม้นได้ยาวมาก ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกติดตามอย่างใกล้ชิด กลัวจังว่าจะทำให้ผิดหวัง แต่ก็ สู้ ๆครับ

gang.....กระโดดไปมา ทั้งบ้าน ทั้งเล้า เหนื่อยมั้ยครับเก่ง คิดถึงนะครับ

namtarn11.....ตอนนี้อวลไปด้วยความรัก บางตอนอาจจะถูกขัดจังหวะเพราะมีกลิ่นตุ่ย ๆ

som.....อ่าน ๆ ไปก็คงรู้ว่าที่ไหนครับ แต่ว่าอย่าไปสนใจมันเลย เพราะผมบอกแต่ต้นแล้วว่า มันก็แค่ "ต้นแบบ" ของจริงเป็นยังไง

           ผมกับพี่นิวเท่านั้นที่รู้

Sofa......ก็นะ ชีวิตคนมันไม่ได้มีแต่ขาขึ้นนี่นา หวั่นไหวนิดหน่อยตอนขาลง แต่เรามั่นคงซะอย่างก็ผ่านมาได้ครับ

EARTHYSS :)....จบตอนนี้ิยิ้มออกแล้ว ตอนหน้าเตรียมผ้าเช็ดน้ำตาหน่อยดีมั้ยครับ...อ้อ....ผมมีบริการเหมือนกันนะ เอามั้ย

vvhite.....อย่ามัวแต่ซื้งนะครับ เปิดเทอมอย่าลืมอ่านหนังสือด้วยล่ะน้องแบงค์

daboo.....เรื่องนี้ "สุข" กว่าอีกเรื่องมั้ยครับ

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ให้กำลังใจครับ ช่วงนี้จะรีบลงอย่างที่บอก งานเริ่มจะรัดตัวเข้าทุกทีแล้ว

คงไม่ได้มาอย่างสม่ำเสมอนะครับ











Series: The Second Page.

      วันที่กลับมาจากกรุงเทพ หลังจากไปส่งพี่นิวเข้าหอพัก คุณแม่เห็นผมนั่งอยู่หน้าบ้าน

ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าหน้าตาของตัวเองเป็นยังไง แต่พอคุณแม่ทักว่า อย่างกับหมาหงอย

ถึงได้สำรวจตัวเองว่า บรรยากาศรอบ ๆ ตัวมันไม่สดชื่นเอาเสียเลย บ้านทั้งบ้านก็เงียบเหงา

ผมอยู่กับความเงียบอย่างนั้นมาเกือบอาทิตย์

      “กลับไปอยู่บ้านไหมนู”

      “ทำไมเหรอครับ”

      “อยู่ใกล้ ๆ แม่จะได้ไม่เหงา”

      คุณแม่หมายถึงแม่ของผมเอง

      “ครับ”

      “ไม่ใช่แม่ไม่อยากให้นูอยู่นะ แต่เป็นเพราะเรายังไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าไร เวลาอย่างนี้

นูอาจจะอยากอยู่กับคนที่คุ้นเคยกัน”

      “ไม่เป็นไรครับ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”

      ผมหมายความว่า ถ้าไม่มีพี่นิวอยู่ ที่ไหนก็เงียบเหงาพอกัน มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

      “ไปเที่ยวที่โน่นกับแม่ไหม ไปหาพ่อเขา นูยังไม่เคยเจอเลยนี่”

      “ผม....รอไปพร้อมพี่นิวได้ไหมครับ”

      “อ้าว ทำไมล่ะ ไม่ต้องรอ ไปพร้อมแม่นี่แหละ อีกวันสองวันแม่จะไปดูพ่อเขาเสียหน่อย

ทิ้งมานาน ๆ ชักเป็นห่วง  พ่อไม่ค่อยดูแลตัวเอง ข้าวปลาก็ไม่ค่อยจะยอมกิน”

      “ผมไม่กล้า”

      “ไปกับแม่จะกลัวอะไร”

      “ขอผมไปพร้อมพี่นิวนะครับ”

      ใช่ครับ ถึงแม้ว่าผมจะมาเป็นลูกบุญธรรมของบ้านนี้ได้หลายเดือนแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เคยพบคุณพ่อเลยสักครั้ง

นอกจากการพูดคุยโทรศัพท์ ในวันแรก ๆ เพื่อเป็นการแสดงออกว่าท่านยินดีต้อนรับผมเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน

เรื่องที่คุณแม่รับผมเป็นลูกบูญธรรมก็แค่ในนาม ไม่ได้มีการทำนิติกรรมแต่อย่างใด เป็นเพราะผมขอไว้ว่า

แม่ผมก็มีผมเป็นลูกชายอยู่แค่คนเดียว ถ้าผมต้องเปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลบ้านนี้

ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะรู้สึกยังไงบ้าง เท่าที่ยอมให้ผมมาอยู่บ้านนี้ก็นับว่าท่านได้กรุณาผมมากแล้ว

      วันนี้ผมสอบเป็นวันสุดท้ายของเทอมหนึ่ง ม. 5 ผมตั้งใจอ่านหนังสือวิชานี้เป็นพิเศษ

และคิดว่าน่าจะได้คะแนนดีน่าพอใจ  เพราะเมื่อคืนนี้ได้กำลังใจดี พี่นิวโทรมาตอนที่ผมกำลังจะหยิบหนังสือออกมาอ่าน

ทำไมไม่รู้นะ ผมจะตื่นเต้นทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังเป็นเพลง WILLOWS ON THE WATER ของ ENYA

ศิลปินคนโปรดของผม ทั้งที่จะว่าไปแล้ว มันก็ดังออกจะบ่อย (อย่างน้อยที่สุดก็วันเว้นวัน)

จนคุณแม่บอกว่า จะลดค่าขนมของพี่นิว เพราะสงสัยว่า เงินที่ส่งให้จะมากเกินไปจนไม่รู้จะใช้อะไร

ก็เลยเอามาจ่ายค่าโทรศัพท์เสียหมด

      คุณแม่บ่นแบบนี้ตั้งแต่เดือนแรกที่พี่นิวไปเรียนหนังสือ จนจะหมดเทอมก็ยังพูดเหมือนเดิม

แต่ก็ไม่ทำอย่างที่พูดสักที

      “สงสารเด็กแถวนี้ กลัวจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง”

      ประโยชน์ก็เลยตกอยู่แก่พี่นิว เพราะคุณแม่สงสารผม (อิ...อิ)

      พี่นิวบอกว่าอีกสองอาทิตย์จะกลับบ้านแล้ว ช่วงนี้เขาก็กำลังสอบ เราก็เลยต่างคนต่างก็ให้กำลังใจกัน

เพื่อรอเวลาที่จะได้มาพบกันอีกครั้ง (ทำอย่างกับจากกันไปสิบปีเพิ่งจะมาเจอ...เว่อเนอะ)



      ยิ่งใกล้วันที่เขาจะกลับ ผมก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่ค่อยจะเป็นอันทำอะไร คอยแต่จะนึกไปว่า

ถ้าพี่นิวกลับมาแล้วจะเป็นยังไง เจอกันครั้งแรกเค้าจะมีปฏิกิริยายังไงบ้าง

ส่วนผม.....คงจะใจสั่นด้วยความตื่นเต้น ผมคงจะไม่อยากละสายตาไปจากเขา....อ้อ....

ก่อนจะถึงตอนที่ว่านี้ผมคงจะไม่ละสายตาจากช่องทางออกของผู้โดยสารขาเข้าเลย

ถ้าพื้นที่ตรงนั้นว่าง ผมก็คงจะไปจับจองโดยไม่ไปไหน อาจจะเดินไปเดินมาเพื่อลดอาการตื่นเต้น

แต่รับรองได้ว่าคงไม่ห่างจากระยะที่ผมจะมองเห็นเขาได้ทันทีที่เขาเดินออกมา

      พี่นิวจะต้องได้เห็นผมเป็นคนแรก....ผมตั้งใจอย่างนั้นตั้งแต่ตอนที่กาในปฏิทินว่ายังเหลืออีก 7 วัน

กว่าเราจะได้พบกัน



      เวลาระหว่างการรอคอยหมดไปกับการจัดห้องเขา ห้องผม ซึ่งก็ไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ที่เดิม

ยิ่งเจ้าของไม่อยู่ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้รก นอกจากการทำความสะอาดตามปกติ

อ้อ....ผมซื้อชุดผ้าปูที่นอนใหม่ สำหรับห้องพี่นิว มันน่าจะช่วยให้บรรยากาศของความคิดถึงดูน่าประทับใจมากขึ้น

อะไรที่ใหม่....ต้องเป็นอะไรที่พี่นิวชอบ....แต่เขาชอบสีน้ำเงิน ซึ่งผมไม่ชอบมันทึบทึมเกินไปที่เป็นห้องนอน

ผมเลยใช้สีฟ้าไล่สีอ่อนแก่แทน (มันก็โทนเดียวกันอะน้า)

      ระเบียงหลังห้องของเราผมหาต้นไม้มาปลูกมากขึ้น ตอนนี้หน้าฝนไม่ค่อยจะมีแดด

ผมเลือกไม้ล้มลุกกระถางเล็ก ๆ ที่ชอบน้ำประเภทพลู มาจัดวางเป็นชั้น ๆ

ชั้นวางนี่ผมกับเข้มซื้อเหล็กฉากมาช่วยกันต่อให้เป็นชั้นสำหรับวางไม้กระดานเป็นแผ่น ๆ

ที่จริงผมอยากได้ไม้ดอกแต่คงได้แค่ต้นโมกข์ ที่พอจะให้ดอกหน้าฝนบ้าง แถมมีกลิ่นหอมอบอวลชื่นใจ

      .........แล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึงเสียที.........

      จะเรียกว่าตื่นแต่ไก่โห่ก็ได้ ถ้าหมายถึงเวลาที่ผมขยับตัวลุกจากที่นอน

แต่ความจริงแล้วผมแทบจะข่มตาให้หลับไม่ได้เลยตลอดทั้งคืน บางช่วงก็เพียงเคลิ้ม ๆ

ช่วงที่หลับนานที่สุดคงจะประมาณตีหนึ่งถึงตีสาม แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่น

ตอนที่รถขนขยะของเทศบาลกระชากเสียงเครื่องยนต์อย่างแรงตรงหน้าบ้านนี่เอง

(รถใหญ่หกล้อครับ มันดังมากจริง ๆดังอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านกันเลย)

      หลังจากทำธุระหลังตื่นนอนเสร็จ ผมก็โทรไปร้านดอกไม้ที่บ้านเราสั่งประจำ ให้เขาจัดดอกไม้ให้ 3 แจกัน

แล้วให้คนขับรถของคุณแม่ไปรับมาให้ ส่วนผมก็เข้าครัว เตรียมอาหารที่พี่นิวชอบ

กว่าทุกอย่างจะเสร็จตามที่ผมวางไว้ก็ได้เวลาออกจากบ้านพอดี

      “ไงล่ะเรา เหนื่อยไหม ทำอะไรวุ่นวายแต่เช้าเชียว”   

      “ไม่เหนื่อยครับคุณแม่ ก็ไม่ได้มีอะไรมากนี่ครับ แค่ทำกับข้าวเพิ่มเผื่ออีกคนหนึ่ง”

      “อืม คนสำคัญซะด้วยนะ”

      ผมยิ้มอาย  ๆให้คุณแม่ ถึงจะเป็นที่รู้กันระหว่างเรา ผมก็ยังรู้สึกกระดากอยู่ดี

     ทั้งที่คุณแม่ก็เอ็นดูผม แต่บางครั้งผมยังคิดออกนอกลู่นอกทางไปอีกว่า ถ้าตรงที่ผมยืนอยู่ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

คุณแม่จะยินดีกว่านี้ไหม ผมไม่ได้หวาดระแวงความสัมพันธ์ที่เราทุกคนมีต่อกัน แต่ผมห้ามความคิดนี้ไม่ได้เลย

นาน ๆ ครั้งมันจึงผุดขึ้นมาให้ใจผมฝ่ออย่างช่วยไม่ได้

      ผมไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องลงพอสมควร คุณแม่ไม่ได้มาด้วย แต่ให้รถที่บริษัทมารับผมที่บ้าน

ผมว่าคุณแม่ก็อยากเจอหน้าลูกชายเต็มแก่ แต่เพราะเข้าใจสถานการณ์ดี ก็เลยเป็นฝ่ายเลือกที่จะรออยู่ที่บ้าน



      ในวัยนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมากนัก คุณแม่คงไม่อยากขับรถให้เหนื่อย รออยู่บ้านเดี๋ยวลูกชายก็มา

แต่ปัจจุบันนี้ผมรู้จักคุณแม่มากขึ้น ผมเข้าใจแล้วว่าคุณแม่อยากให้ผมได้พบพี่นิวก่อน

พี่นิวจะได้ไม่ต้องพะวักพะวนว่า ระหว่างผมกับคุณแม่เขาควรจะให้ความสำคัญใครก่อนดี

ถ้าพี่นิวให้ความสำคัญกับผมมากไป คุณแม่ก็คงอดน้อยใจไมได้

แต่ถ้าพี่นิวให้ความสำคัญกับคุณแม่ คุณแม่ก็จะเห็นใจผม

กลัวผมจะน้อยใจที่อุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้รอการกลับมาของพี่นิว....คุณแม่พี่นิวเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้งมาก

เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ แม้กระทั่งผมซึ่งเป็นคนอื่นแท้ ๆ ผมยังได้รับความเมตตาจากท่านมาตลอด

ที่สำคัญคุณแม่รักลูกเป็นที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผมจะตอบแทนความเมตตาได้ก็คงมีเพียงการใส่ใจดูแลพี่นิวแทนท่าน

ส่วนความรักไม่ต้องพูดถึง ผมมีให้พี่นิวเพียงคนเดียว จะมากจะน้อยแค่ไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

รู้แค่เพียงว่า ชีวิตนี้ผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว


      ผมทำอย่างที่คิดเอาไว้ คือเดินอยู่ใกล้ ๆทางออก เมื่อยนักก็ถอยมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่สามารถมองตรงดิ่งไปยังช่องทางออกนั้นได้ชัด ๆ

เวลาผ่านไปนานมาก ในความรู้สึกของผม หนึ่งชั่วโมงที่เดินไปเดินมา ราวกับว่ามันผ่านไปครึ่งค่อนวัน

.....เกลียดนาฬิกา....มันเดินช้าอย่างกับเต่าคลาน

      เวลารอคอยสิ้นสุดลง ผมเห็นร่างสูง ๆ ที่คุ้นตาเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคนแปลกหน้า

พี่นิวยังไม่เห็น ผมก็เลยเดินพุ่งตรงไปในทิศทางที่เขามองตรงมาจะเห็นผมได้พอดี

      เขาโบกมือทักทายผมก่อน ผมโบกตอบพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุดไปให้

ขณะที่พี่นิวยืนรอกระเป๋า ผมก็กดโทรศัพท์ออก แต่กลับมีเสียงอัตโนมัติบอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ผมแปลกใจมาก

แล้วก็ตามมาด้วยความรู้สึกว่ามุกแป้ก....ผมลืมไปว่าขณะขึ้นเครื่องบิน ต้องปิดโทรศัพท์มือถือ....

กะจะบอกคิดถึงเขาทางโทรศัพท์เสียหน่อย ก็กลายเป็นเก้อไป

(เป็นความรู้สึกที่ผมอยากบอกพี่นิวเดี๋ยวนั้น...เหมือนคำนั้นมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปาก)

      ตอนที่ผมเดินดิ่งเข้าไปหาเขา มีใครคนหนึ่ง เดินมาเหนี่ยวบ่าของพี่นิวให้หันกลับไป

แล้วทั้งคู่ก็หันไปหาอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ แต่ละคนหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดกลาง ๆ มาคนละใบ

แล้วก็เดินกรูกันออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนหัวเราะ

      เสียงพูดคุยที่ไม่ดังมาก แต่การโต้ตอบกันไปมาทำให้ผมรู้ว่า ทั้งหมดเป็นเพื่อนกัน

เพื่อนพี่นิวกลุ่มนี้ผมไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

      อีกครั้งที่ผมเก้อ ที่คิดว่าระหว่างทางกลับบ้านจะมีแค่เราสองคน

      “นี่นู น้องชายกู”

      พี่นิวแนะนำผมกับเพื่อน ๆในกลุ่ม แล้วก็บอกให้ผมสวัสดีเพื่อนของเขาทั้งสามคน

แต่ละคนตัวสูงไล่เลี่ยกัน หน้าตาสะอาดสะอ้าน มีอยู่คนหนึ่งดูออกชัดว่าเป็นลูกคนจีนเหมือนผม

เขาทักผมอย่างสนิทสนมกว่าคนอื่น ๆ

      “ไงอาตี๋ มารับพี่ชายเหรอ”

      ด้วยความที่ยังไม่คุ้นเคย ทำให้ผมไม่กล้าโต้คารมกับใคร นอกจากตอบคำถาม

ที่บางคนโยนมาให้ อย่างเช่น เรียนที่ไหน ชั้นไหน ได้เกรดเท่าไร มีแฟนหรือยัง

      คำถามสุดท้ายเป็นจังหวะที่ผมคงจะสุดกลั้นกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คิดเผื่อไว้ล่วงหน้า

และอยากจะตอบโต้พี่นิวกับการที่เขาทำอะไรไม่บอกผม (เป็นเหตุให้ผมเก้อไปหลายเรื่อง

แต่ข้อใหญ่ใจความก็คือ ผมเสียความตั้งใจที่คิดว่าจะได้อยู่กับพี่นิวตามลำพัง

ได้พูดคุยให้หายคิดถึงก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว...เฮ้อ..เซ็ง)

      “มีแล้วครับ”

      “นั่นแน่...น่ารักป่าว อย่าลืมพามาให้พี่ ๆ รู้จักมั่งนะ”

      “ได้ครับ”

      ทั้งหกคนอัดแน่นกันอยู่ในรถ พี่เนย์ คนที่เป็นลูกจีนเหมือนผมตัวโต ขายาวกว่าใคร

พี่นิวก็เลยให้ไปนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับ ที่เหลือก็ทยอยกันขึ้นไปนั่งด้านหลัง

ส่วนผม พี่นิวลากแขนออกมาให้ขึ้นเป็นคนสุดท้ายต่อจากเขา....ผมคิดว่าเขาอยากจะนั่งติดกับเพื่อน

ซึ่งมันก็ถูกอยู่แล้ว เพราะถ้าผมไปนั่งคั่นตรงกลาง เขาจะคุยกันก็ต้องพูดข้ามหน้า ข้ามหัวผม

แต่พอรถออกมาได้ระยะหนึ่ง ผมถึงได้รู้คำตอบ

      ด้วยความที่ต้องเบียดกันมาในเบาะหลัง ทำให้พี่นิวเอื้อมมืออ้อมหลังผมมาเกาะริมประตูรถเพื่อทรงตัว

แถมยังต้องนั่งเอียงตัวเล็กน้อย เพื่อเฉลี่ยที่นั่งกัน ทำให้ไหล่ผมอิงอกเขาพอดิบพอดี

แล้วผมก็รู้สึกว่ามือของพี่นิวแนบอยู่ที่เอวผม รั้งเบา ๆ ให้แนบชิดเข้าไปอีก

เสียงกระซิบข้างหูมีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน

      “คิดถึงจัง”

      คำนี้แค่คำเดียวทำให้ผมยิ้มจนเมื่อยแก้มมาตลอดทาง





หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 9.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: marshmallow_mallow ที่ 09-10-2012 01:55:45
อ่านไป ลุ้นไป เขินจัง :o8:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 9.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 10-10-2012 13:56:08
น่ารักชะมัด ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 10-10-2012 23:37:00


      คุณแม่บ่นนิดหน่อยเรื่องที่พิ่นิวพาเพื่อนมาบ้านไม่บอกล่วงหน้า เพราะเตรียมสถานที่ไม่ทัน อาหารก็ไม่พอ

แต่ผมไม่วิตก เพราะกับข้าวสดเต็มตู้เย็น อาจจะเลยเวลานิดหน่อยกว่าจะได้นั่งโต๊ะอาหารกัน

แต่ทุกคนก็ช่วยผมเตรียมอาหารด้วยความสนุกสนาน กว่าผมจะทำกับข้าวเสร็จ ทุกคนก็ช่วยไปชิมไปจนเกือบจะอิ่มกันแล้ว

      คุณแม่ออกความเห็นว่า จะให้ไปนอนโรงแรมกันหมด แต่เพื่อนพี่นิวทุกคนก็ปฏิเสธบอกว่าอยากอยู่บ้านมากกว่า

เพราะมีบริเวณให้นั่งเล่น พักโรงแรมก็อุดอู้เปล่า ๆ แถมขาดทุนอีกต่างหาก เพราะโรงแรมก็คงเป็นแค่ที่ซุกหัวนอน

ส่วนกลางวันมีโปรแกรมเที่ยวเต็มเหยียด สรุปว่าทุกคนนอนในห้องพี่นิวกันหมด

 เราไปซื้อเครื่องนอนมาเพิ่มอีก 1 ชุด มีฟูกยางกับหมอนหนุนและหมอนข้าง

      “เกรงใจจังเลยครับ พวกผมมารบกวนแม่แย่เลย”

      พี่หน่องคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น

      “ไม่รบกวนหรอกลูก ซื้อของพวกนี้เก็บไว้ยังไงก็ได้ใช้อยู่แล้ว คราวหน้ามากันอีกจะได้เอามาใช้”

      “ขอบคุณครับ”

      ทุกคนกล่าวขอบคุณคุณแม่เป็นเสียงเดียวกัน

      “จะอยู่กี่วันก็ตามสบายนะลูก มะรืนนี้แม่จะไปหาพ่อ ว่าจะไปดูเขาหน่อย ขาดเหลืออะไรให้นิวกับนูเขาจัดการไป

ค่าใช้จ่ายเดือนนี้แม่จะเพิ่มให้นะนู ไปถึงที่โน่นแล้วแม่จะโอนเข้าบัญชีให้”

      “ขอบคุณครับคุณแม่”

      ผมเป็นคนถือค่าใช้จ่ายในบ้านเวลาที่คุณแม่ไปดูแลคุณพ่อ ก็ราว ๆ 3 อาทิตย์ และอยู่ที่บ้านนี้ 1 อาทิตย์

ป้าที่เป็นแม่บ้านจะได้รับเฉพาะค่ากับข้าวสดที่ต้องไปซื้อที่ตลาด คุณแม่จะเป็นคนจัดงบประมาณให้เอง

ถ้าเงินเหลือ ป้าก็จะเอามาคืนผม ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเหลือ ผมก็เก็บใส่กล่อง จดบัญชีไว้ให้คุณแม่ดูทุกครั้งที่กลับมา

รวมกับเงินส่วนที่ผมดูแลอยู่ก็ไม่มากมายนักและคุณแม่ดูแล้วก็ไม่ได้สนใจเท่าไร

หลายเดือนเข้า พอมันเริ่มที่จะเป็นเงินก้อนหลายพันบาทอยู่ผมก็ใส่ซองคืนให้คุณแม่ซักทีหนึ่ง

แต่คุณแม่ก็เอากลับเข้าบัญชีผมเสมอ หลัง ๆ ผมบอกคุณแม่ว่าผมไม่สบายใจกับเรื่องนี้

คุณแม่ก็เลยแนะนำว่า พี่นิวกลับมาเมื่อไร ก็ให้ไปเปิดบัญชีชื่อสองคนเสียเลย

      ดังนั้น พอพี่นิวกลับมาคุณแม่ก็ถือโอกาสพูดเรื่องนี้ก่อน เพราะรู้ว่าผมไม่สบายใจจริง ๆ

      “มีชื่อนูด้วย จะได้เบิกใช้ได้เวลาฉุกเฉินขึ้นมา ส่วนชื่อนิวน่ะ ทำเพื่อความสบายใจของนู

แม่ไม่มีปัญหาหรอก แม่รู้ว่านูใช้เงินเป็น”

      “พี่ไม่รู้ว่านูจะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม มีบัญชีของตัวเองอยู่แล้ว ก็ทำไปอย่างที่เคยทำ มันก็สะดวกดีออก”

      “นั่นบัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมนี่ครับ ผมไม่อยากเอาไปปนกัน”

      “ก็ตามใจนะ แต่บอกซะก่อนว่าพี่ไม่ยุ่งด้วย แค่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีก็พอ พี่ตามใจนูหรอกนะ”

      พี่นิวไม่ค่อยเต็มใจกับเรื่องนี้นัก นิสัยของเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆทอง ๆ

(ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ ผมต้องเข้าไปดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของเขาเป็นระยะ ๆ)   

หลังจากนั้นคุณแม่ก็โอนเงินค่าใช้จ่ายเข้าบัญชีใหม่ของเรา ส่วนผมก็เบิกมาใช้เท่าที่จำเป็น

เงินส่วนที่เหลือก็พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เคยถอนออกมาใช้เกินกว่าค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเลย

(ก็หลายอยู่ครับ จะ10ปีเข้านี่แล้ว)



      ช่วงที่พี่นิวกลับบ้านน่าจะเป็นเวลาที่ผมมีความสุข แต่ก็เปล่าเลย ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่พี่นิวมีเพื่อน ๆ ที่น่ารัก

ทุกคนมีอัธยาศัยดี มีมารยาท และเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่ม ก็พูดคุยเฮฮาตลกทะลึ่งหยาบโลนตามประสาวัยรุ่น

อีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นติ่งอะไรสักอย่างที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับบ้านนี้เลย ไม่มีผมเขาก็อยู่กันได้

ส่วนเกินอย่างผมก็ได้แต่หาที่หลบมุม อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้ ตามลำพัง

      โปรแกรมเที่ยวจัดขึ้นอย่างง่าย ๆ เจ้าถิ่นอย่างพี่นิวตามใจเพื่อนสุด ๆผมได้ยินพวกเขาตกลงกันอย่างสนุกสนาน

ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก มีขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่ผมเป็นคนจัดหาไปให้

มุมนี้เป็นมุมที่น่านั่งที่สุดของบ้าน เพราะได้เงาบ้านช่วยบังแดดบ่ายได้ดี ยิ่งตอนเย็นแดดร่มลมตกก็ยิ่งเย็นสบาย

      “ไปทะเลก่อนเลย ตอนเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เล่นน้ำแล้วค่อยไปต่อ”

      พี่นิวเปิดโปรแกรมก่อน

      “ไปไหว้พระด้วย วัดเก่าแก่แถวอำเภอ.........น่ะ เออ...แล้วจะเลยไปถึง........ได้รึเปล่าอะนิว ไกลไปไหม”

      พี่เนย์เอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจัดหวัดใกล้เคียง ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปมาไม่นานมาก

 คงเคยรู้จักสถานที่สำคัญของที่นี่มาบ้างแล้ว

      “ไม่ไกลหรอก แต่ถนนไม่ค่อยดี ยังเป็นดินลูกรังอยู่ กูไม่เคยไปเส้นนั้นด้วยดิ”

      “เออ ๆ งั้นก็กลับมาตั้งหลักที่บ้านก็ได้วะ”

      “................”

      “................”

      การพูดคุยวนไปเวียนมาอยู่แค่เรื่องเที่ยวกับเรื่องกิน ผมอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกันบ้างก็เลยไม่ได้ไปไหนไกลครับ

ทำเป็นเดินเข้า ๆ ออก ๆ ในบ้านกับ สวนหน้าบ้าน

      “พานูไปด้วยนะนิว ไปหลาย ๆ คนสนุกดี”

      ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในวงสนทนา
     
      “อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ไปกันสี่คนน่ะดีแล้ว”

      คำตอบของพี่นิวเล่นเอาผมสะเทือนสิครับ พูดแบบนี้เหมือนตัดผมออกจากวงโคจรเลยนะนั่น

ใช่ว่าผมจะอยากไปกับเขาที่ไหนกัน แถวนี้มันก็ถิ่นผม ไปมาแล้วทั้งนั้น ผมแค่หวังว่าพี่นิวจะคิดเหมือนผม

คิดว่าเขาจะพาผมไปด้วย แค่ได้อยู่ใกล้กัน ได้เห็นกันตลอดเวลา ผมก็ดีใจจะตายแล้ว

ไม่ต้องมานุงนังนัวเนียกับผมก็ได้ แต่คำพูดนั้นมันบาดหูนะ บาดไปถึงใจผมเลย พอมีเพื่อน เขาก็ลืมผมได้เลยเหรอ

ผมไม่มีความหมายอะไรกับพี่นิวเลยเหรอ

      ผมลุกออกจากแปลงต้นไม้ที่ผมกำลังพรวนดินอยู่เดี๋ยวนั้น และเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้อง

จนเกือบจะได้เวลาอาหารผมก็เดินลงมา พบกับพี่ ๆ 3 คนกำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ แต่ไม่เห็นพี่นิว

      “จะไปไหนเหรอนู”

      พี่เนย์ทักผมก่อน ท่าทางพี่เนย์จะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าใครในกลุ่ม เพราะเขามักจะเป็นคนชวนผมคุยเสมอ

ในขณะที่คนอื่น ๆ เพียงแค่คุยเสริม ที่เขาถามก็คงเห็นว่าผมแต่งตัวพร้อมที่จะออกจากบ้าน

 ด้วยกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนยาว

      “ไปบ้านแม่ในตลาดครับพี่เนย์”

      ผมไม่รู้ว่าผมบอกแบบนี้แล้วเขาจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ผมเดาว่าพี่นิวคงบอกเพื่อนสนิทบางคนว่าผมไม่ใช่น้องแท้ ๆ

      “ไม่กินข้าวก่อนล่ะ”

      “ผมจะไปกินกับแม่ครับ”

      “แม่รู้รึยังว่าจะไปน่ะ”

      เสียงคนที่หายไปจากกลุ่ม โผล่มาได้จังหวะพอดี ตอนที่ลงมาไม่เห็นพี่นิวนั่งอยู่

ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่โดนดักคอเสียก่อน ที่ไหนได้ มาทันตอนผมกำลังหยิบกุญแจรถจนได้สิน่า

      “ไม่เห็นต้องบอกเลย ผมไปแม่ก็เห็นเองแหละ”

      “กินข้าวก่อนแล้วค่อยไป”

      พี่นิวเสียงแข็ง...ผมไม่ใช่น้องชายนะ ไม่ต้องมาดุ 
 
      “ผมจะไปกินกับแม่”

      “ไม่บอกล่วงหน้า แม่เขาจะมีอะไรให้กินไหมล่ะ”

      “ผมกินง่ายไม่เรื่องมากหรอกครับ มีอะไรผมก็กินไอ้นั่นแหละ”

      “กินข้าวก่อนแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง อย่าขี่รถไปเองเลย มืดแล้ว”

      เรายืนต่อตากันอยู่อึดใจ ผมก็ตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกุญแจรถในมือยังไม่ทันจะเอารถออกจากชายคา

พี่นิวก็มายืนขวางหน้าไว้

      “ทำไมดื้อนักนะ”

      “ผมก็แค่อยากไปหาแม่”

      “เป็นอะไรไปอีก เห็นหายไปตั้งแต่เย็นแล้ว ลงมาก็เป็นแบบนี้ ใครทำอะไรให้ไม่ถูกใจเหรอครับ”

      “เปล่าครับ”

      “อย่ามาโกหก”

      ได้ยินคำนี้ผมยิ่งแน่นอกด้วยความแค้นใจ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมมีอะไรในใจ จะมาถามทำไม

แน่จริงก็ถามให้มันตรงจุดไปเลยดีกว่า

      “รู้ดีนักแล้วทำไมถึงไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร”

      “ก็พี่....”

      พี่นิวสะดุดคำพูดลง

      “เฮ้ย...นิว มึงก็ไปส่งน้องก่อน แล้วก็รีบกลับมากินข้าวสิวะ พวกกูรอก็ได้”
 
      พี่เนย์ตะโกนบอกมาจากประตูหน้าบ้าน ผมเหลียวไปดู ก็เห็นเงามืดที่บังแสงอยู่

ดูใหญ่โตน่ากลัวในความรู้สึกเหลือเกิน เงานั้นเคลื่อนกลับเข้าไปในบ้าน

ผมก็บิดกุญแจ เตรียมออกรถ แต่มือใหญ่ ๆ ก็ฉกเอากุญแจไปไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขาซะก่อน

      “ผมมีกุญแจสำรอง”

      “นู...อย่าดื้อกับพี่”

      “ผมอยากกลับบ้าน”

      “แล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านรึไง”

      “มะ...”

      “อย่าพูดออกมานะ!!!”

      เสียงแข็งของพี่นิวพูดสวนขึ้นมาพร้อมกับผม ทำให้ผมต้องหยุดตัวเองไว้แค่นั้น

และคำพูดประโยคหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ


      .....ที่นี่เป็นบ้านของพี่มาตั้งแต่เล็ก ถึงจะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่พี่ก็ผูกพันเพราะใช้ชีวิตในบ้านนี้มาตลอด

ต่อไปนี้บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของนูด้วยเหมือนกัน พี่ฝากนูดูแลบ้าน ดูแลแม่ ดูแลหัวใจของพี่ด้วยนะครับ.....


      เป็นคำพูดในค่ำคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันก่อนพี่นิวเดินทางไปเรียนที่กรุงเทพผมตอบรับไป

ด้วยความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน ความอบอุ่นที่ผมได้รับจากคนในบ้านมากมายท่วมท้นเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้

ระยะเวลาไม่ถึงปีที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ทำให้ผมรู้สึกกลมกลืนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งอย่างแยกไม่ออก

แล้วความคิดที่ว่าตัวเองเป็นติ่งอะไรสักอย่างที่เหมือนส่วนเกินก็หายไปจากความคิดผม

มันทำให้ผมเริ่มยิ้มออก (แค่ในใจ) รับรู้ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้า

ยิ่งเงยหน้าขึ้นสบตาก็ยิ่งทำให้อยากกัดลิ้นตัวเองนัก แววตาพี่นิวมันฟ้องทุกอย่างที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวผม

แล้วผมมัวคิดอะไรที่มันเหลวไหลอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน

      ผมน่าจะเดาได้ว่าการที่พี่นิวไม่อยากให้ผมร่วมทางไปเที่ยวด้วย ก็คงเพราะผมมักจะมีอาการเมารถเสมอ

ถ้าต้องนั่งรถไกล ๆ ยิ่งอยู่บนรถตลอดวัน เดี๋ยวโดนแอร์ เดี๋ยวเจอแดด อาจจะทำให้ถึงกับไม่สบาย

ช่วงเวลาสั้น ๆ ของปิดเทอม แทนที่เราจะได้ทำอะไรด้วยกันอย่างมีความสุข กลับต้องมานอนซม

เพราะพิษแดดผสมกับอาการเมา มันก็ไม่ใช่เรื่อง...ผมเข้าใจแล้วครับ แต่.....

      อยากแกล้ง

      “ไม่อยากให้ไป ผมไม่ไปก็ได้ครับ”

      “ดีครับ งั้นก็เข้าบ้านกัน”

      ไงล่ะ ยิ้มออกล่ะสิพี่นิวของผม

      ผมแบมือขอกุญแจรถ เพื่อจะใช้ล็อกรถ พี่นิวล้วงกระเป๋าหยิบออกมาให้ก่อนจะกำชับด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างผู้ชนะ

      “เสร็จแล้วตามไปนะครับ พี่จะไปรอที่โต๊ะกินข้าว”

      ผมสอดกุญแจ แล้วติดเครื่องสตาร์ท เมื่อมองผ่านกระจกรถเห็นแผ่นหลังกว้างลับหายเข้าบ้านไปแล้ว

รถทะยานออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้รับปากว่าจะกินข้าวด้วยซะหน่อย แต่ไม่อยากให้ไปบ้านแม่

ผมไม่ไปก็ได้ ผมก็เลยไปหาอะไรกินตามลำพังให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะกลับ....รอไปเถอะพี่นิว อิอิ




..........มีต่อครับ......
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 10-10-2012 23:37:40




หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้ายอดผักเจ้าอร่อยเสร็จ ผมก็ตระเวณไปตามที่ต่าง ๆ

ขี่รถเล่นกินลมชมแสงสีในตัวเมืองจนเบื่อก็ได้เวลากลับบ้าน

ผมคิดว่าป่านนี้ที่บ้านคงจะกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ทุกคนคงจะรวมตัวกันดูรายการโทรทัศน์

      แต่ผมคิดผิด

      เมื่อผมไปถึงหน้าบ้าน ก็พบว่าประตูรั้วเปิดออกกว้างเหมือนจะรอรถเข้าออก

ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ

      กลุ่มเพื่อน ๆพี่นิวอยู่ที่หน้าโทรทัศน์จริง แต่พี่นิวกับคุณแม่นั่งอยู่ด้วยกันที่ม้าหินใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าริมรั้ว   
 
      พอรถผมเข้าประตูมา ก็เจอกับร่างสูงของพี่นิวขวางอยู่อย่างรอคอย

      “นิว คุยกันดี ๆนะลูก อย่าลืมว่าลูกกำลังมีแขก”

      “ครับแม่”

      พี่นิวรับคำเบา ๆ แต่หนักแน่น จากนั้นคุณแม่ก็หันมาพูดกับผม

      “เราก็ห้ามดื้อ”

      “ครับคุณแม่”

      “ดับเครื่องรถ”

      พี่นิวหันมาสั่งผม ร่างสูงของพี่นิวยืนนิ่งไม่ขยับ แถมยังทำท่ากอดอกยอย่างกับอาจารย์ฝ่ายปกครองงั้นแหละ

ผมปิดกุญแจอย่างว่าง่าย แต่ดูเหมือนการพูดคุยต่อไปของเราคงไม่ง่ายนักถ้าเงียบ ๆ นิ่ง ๆ แบบนี้

ผมกลายเป็นจำเลยแหง ๆ จะอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ผมแค่ออกไปขี่รถเล่นเท่านั้นเองนะ ทำอย่างกับผมเป็นเด็กสิบขวบ

      “ไปนั่งนู่น”

      …นู่น....ของพี่นิวก็คือม้าหินที่เดิมแหละครับ ผมก็ว่าง้าย...ง่าย ดูท่าพี่นิวตอนนี้ ไม่น่าจะไปขัดขืนเขาหรอกครับ ดุอะ

      “ทำไมทำแบบนี้”

      เขาถามผมทั้งที่ยังยืนข่มขวัญผมอยู่

      “ผมไปกินราดหน้ามา”

      “อ้อ...กะจะเลี่ยงว่างั้น พอพี่บอกไม่ให้ไปบ้านแม่ ก็ไม่ไป แต่ไปที่อื่นแทน”

      พูดอีกก็ถูกอีก ผมก้มหน้าเฉย ๆ เพราะเถียงไม่ออก

      “คิดจะประท้วงพี่ใช่มไหม”

      “เปล่าสักหน่อย”

      “เห็นไหมว่าบ้านเรากำลังมีแขก หลบออกไปแบบนี้มันเสียมารยาทมากรู้ไหม”

      “ผม...”

      “หามาให้ได้นะเหตุผลน่ะ ไม่งั้นมีเรื่องแน่”

      “พี่นิวอะ”

      “ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้ พี่บอกไม่ให้ไปก็จะไป ไม่คิดหน้าคิดหลังซะบ้าง จะงอนอะไรนักหนา

มีอะไรทำไมไม่ถามพี่ ชอบคิดเองเออเอง แล้วมันใช่หรือเปล่าที่คิดน่ะ”

      นาน ๆ พี่นิวจะพูดอะไรยาว ๆ แบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า ทีแรกที่ทำก็แค่อยากแกล้ง

ให้เค้าหงุดหงิดเล่นเสียบ้าง อยากทำให้ผมน้อยใจทำไมล่ะ ที่ไม่ชวนผมไปเที่ยวด้วยกัน

ถึงตอนนี้ผมจะเข้าใจแล้วว่าเค้าหวังดี แต่ก็นะ...มันอยากเอาคืนนี่

      “แล้วนี่ไปถึงไหนมา กินราดหน้าอย่างเดียวคงไม่เป็นชั่วโมงอย่างนี้หรอกมั้ง”

      “ผมไปวนรถรอบเมือง”

      “อ้อ...ลูกเจ้าของปั๊ม”

      “พี่นิว....”

      ผมประท้วงเสียงอ่อย ยังจะมาประชดผมอีกนะ จะบอกว่าผมสำนึกผิดแล้ว มันก็พูดไม่ออกอะ

      “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหมครับ”

      ....แบบไหนอะ....

      “ข้อแรก เวลามีแขกมา อย่าหลบหน้า มันเสียมารยาทเจ้าของบ้านรู้ไหม”

      “ครับ ผมขอโทษครับ”

      ผมได้แต่ก้มหน้างุด ๆ รับคำเขาไป ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดครับ

      “พี่บอกพวกพี่ ๆ เขาไปแล้วว่านูไปกินข้าวที่บ้านแม่ อย่าให้เขารู้ว่าเราไปที่อื่นมา แล้วอีกอย่าง...”

      พี่จะหยุดพูดทำไมเนี่ย...ผมเลยต้องเงยหน้าขึ้นมองเค้าแทนคำถาม

      “ที่พี่ไม่ให้ไปด้วย เพราะนูจะเมารถแล้วจะเที่ยวไม่สนุก เกิดฝนตกจะยิ่งแย่ ไม่สบายขึ้นมาทำไง

พี่ก็จะพลอยติดไข้ไปด้วยอีกคน”

      เกี่ยวอะไรกัน?

      “แล้วที่ไปบอกพี่เนย์เขาว่ามีแฟนแล้วน่ะ คิดอะไรอยู่”

      “ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ”

      พี่นิวเลิกคิ้ว ท่าทางบอกว่าไม่เชื่อ ผมก็เลยตอบไปงั้น ๆ

      “ก็อยากให้รู้ว่าผมมีแฟนน่ารักไง พี่อ้ะ”

      พี่นิวบีบแก้มผมทั้งสองข้าง

      “หมั่นเขี้ยว เข้าบ้านได้แล้ว ทักพี่ ๆ เขาด้วยนะ เขาไม่รู้หรอกว่าเราเกเรกับพี่”

      ผมขว้างค้อนให้พี่นิว แล้วสตาร์ทรถไปเข้าที่เก็บ พอเดินผ่านพวกพี่ ๆ ที่นั่งกันอยู่

ผมก็ยิ้มทักทาย (ตามคำสั่ง) พี่เนย์ก็เฮฮาตามประสา ดูทีท่าทุกคนคงไม่รู้จริง ๆน่ะแหละ ว่าผมไปก่อคดีอะไรมา

พอพี่นิวเดินมาสมทบ ผมก็ขอตัวขึ้นบนบ้านไปอาบน้ำ


      อาบน้ำเสร็จ ผมก็สวมชุดนอนเลย ไม่คิดจะลงไปร่วมวงกับพี่ ๆ อีก หยิบหนังสือมาอ่านบ้าง ฟังเพลงบ้าง

จนรู้สึกง่วงก็เดินไปปิดไฟเข้านอน

      ผมหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวตอนที่ที่นอนข้าง ๆยุบ แล้วใครคนหนึ่งก็เอื้อมแขนมารัดรอบตัวผม

 พร้อมกันระดมจูบเปะปะไปทั่วหน้า ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เพราะกลิ่นนุ่ม ๆที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้

จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่นิวของผม

      “นอนเร็วจัง”

      “แล้วพี่นิวทำไมไม่ไปนอนล่ะครับ”

      ผมพูดพลาง เอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง หยีตาดู พี่นิวสวมชุดนอนแล้วแต่ไม่เรียบร้อย

เพราะเสื้อไม่ได้ติดกระดุมสักเม็ด

      “ก็จะมานอนแล้วไง”

      “นอนไหน ห้องผมเหรอ”

      “อืม แปลกใจอะไร”

      ผมส่ายหน้าด้วย ยิ้มไปด้วยจนแก้มแทบแตก นึกว่าเขาจะนอนรวมกันที่ห้องพี่นิวนี่

      “ก็เห็นซื้อที่นอนมาเพิ่ม ผมนึกว่าพี่นิวนอนห้องโน้น”

      “เคยคิดจะถามกันไหมน่ะ”

      ผมไม่รู้จะตอบอะไร เพราะพี่นิวพูดถูกอีกแล้ว ก็เลยได้แต่จับสาบเสื้อพี่นิว รูดไปรูดมาอย่างไม่มีความหมายอะไร

แค่ไม่รู้จะเอามือไว้ตรงไหน ดีใจด้วย เขินด้วย

      พี่นิวก้มหน้ามาหอมแก้มผมอีก

      “คิดถึงจังเลย อยากทำอย่างนี้ตั้งแต่ในรถแล้วรู้ไหม”

      “ไม่รู้”

      พี่นิวหัวเราะเบา ๆ บีบจมูกผมด้วย ไม่เจ็บหรอก แต่มันเขินสายตาเขาน่ะ มองมาแบบนั้นผมไม่รู้จะตีหน้ายังไงนี่นา

ลูกตาวับ ๆนี่น่ะ อยากจะควักออกมาเสียจริงเลย....รู้นะคิดอะไรอยู่

      “ไม่เห็นบอกพี่มั่งเลย”

      “ผมเกือบจะบอกพี่นิวก่อนที่พี่นิวจะบอกผมซะอีก”

      “แล้วทำไมไม่บอก”

      “ก็พี่ปิดมือถืออะ”

      “หือ?”

      “ตอนที่พี่นิวรอกระเป๋าไง”

      “แล้ว....”

      “ผมกดโทรศัพท์ออก แล้วมันก็บอกว่าไม่มีสัญญาณ...”

      “อ๋อ...ฮ่า ๆ ๆ”

      ยังจะมาขำเสียงดัง ใครจะไปนึกถึงเล่า

      “งั้นตอนนี้ก็บอกสิ พี่บอกนูสองครั้งแล้ว แต่นูยังไม่บอกพี่เลยนะ”

      “ไม่อะ ไม่อยากบอกแล้ว”

      “อ้าว ทำไมอะ”

      พี่นิวหน้าถอดสี

      “ผมจะทำ......อย่างนี้แทนไงเล้า”

      แล้วก็เป็นผมที่เริ่มต้นก่อนด้วยความคิดถึง ความกระหายในความรัก ความอบอุ่นจากพี่นิว

ผมจับพี่นิวพลิกให้นอนหงายลงบนที่นอน คนตัวโต ๆ ทำเป็นตัวอ่อนยอมให้ผมขึ้นไปเกยอยู่บนอกได้อย่างง่ายดาย

เสื้อตัวที่ไม่ได้ติดกระดุม ง่ายแก่การปลดเปลื้อง ผมรูดมันออกจากแขนทั้งสองข้าง แล้วกองไว้บนพื้น

      มือของผมพรมไปบนเนื้อเนียนนุ่มของพี่นิวบอกเล่าความคิดถึงที่ผมมีต่อเขาอย่างมากมาย

ริมฝีปากของผมจุมพิตไปทั่วใบหน้าเกลี้ยงเกลาของพี่นิว บอกว่าผมโหยหาความรักจากเขาเพียงใด

ส่วนพี่นิวก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาบอกผ่านความรู้สึกเหล่านั้นให้ผมรับรู้ด้วยการตอบสนองผมเช่นกัน

กางเกงนอนถูกรูดออกจากขาไปกองที่ปลายเตียง ส่วนผมก็จัดการตัวเองอย่างไม่รอช้า เหมือนว่ายิ่งรีบก็จะยิ่งช้า

ผมแกะกระดุมแต่ละเม็ดได้อย่างยากเย็น

      พี่นิวยิ้มขำผม

      “ใจเย็น ๆ พี่อยู่กับนูทั้งคืน ห้องโน้นเค้าจองกันเต็มพื้นที่แล้วล่ะ”

      กระดุมเม็ดสุดท้ายหลุดออกไปแล้ว แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายรุก กลับเป็นพี่นิว ที่จู่โจมโดยไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

ทั้งทึ้งเสื้อ ทั้งดึงกางเกงผมออกเหวี่ยงไปคนละทาง

      “ไหนว่าให้ผมใจเย็นไง”

      “ฮื้อ จะพูดทำไมนะ คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”

      กว่าที่เราจะได้นอนหลับกันจริง ๆ ก็หลับนอนกันไปหลายรอบ

     รู้ตัวอีกที ตอนที่ได้ยินเสียงรถขยะเทศบาลมาเร่งเครื่องยนต์หน้าบ้านอีกแล้ว

      “ตีสามครับ”

      ผมตอบพี่นิว ตอนที่เค้างึมงำถามอยู่กับซอกคอของผมว่า...กี่ทุ่ม....

      “อืม”

      ผมมีความสุขจัง จำได้ว่าตัวเองอมยิ้มกระทั่งหลับไป ทั้ง ๆ ที่เรายังกอดก่ายกันอยู่ห้าเดือนที่รอคอย

ถึงจะยังไม่หนำใจกับความคิดถึงมากมายที่ผมสะสมไว้ในหัวใจ แต่ก็เหมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้หัวใจผมเต้นต่อไป

เพื่อรับความรักจากเขาทุกวันทุกคืน

      บ้านเป็นแค่ที่นอนหลับพักผ่อนจริง ๆสำหรับเพื่อน ๆพี่นิว เพราะแต่ละวันหมดไปกับการเดินทางไปโน่นมานี่

แม้กระทั่งฝนจะตกก็ไม่เป็นอุปสรรค

      คุณแม่ไปหาคุณพ่อแล้ว เหลือแต่พวกเราก็ได้สนุกกันใหญ่ เพราะไม่มีผู้ใหญ่ให้ต้องเกรงใจ

กลับจากเที่ยวก็มีปาร์ตี้กันทุกคืน แต่กลุ่มนี้ก็ดีอยู่อย่างครับ คือไม่มีของมึนเมา อย่างมากก็แค่น้ำผลไม้หมัก

ผมมีหน้าที่หาอาหารคอยเสิร์ฟ ป้าแม่บ้านก็รสมือดี ทำอาหารแต่ละอย่างออกมาหมดเกลี้ยงไม่เหลือ

สร้างความประทับใจให้เพื่อนพี่นิวทุกคน

      หมดโปรแกรมเที่ยวภายในสี่วัน พอดีกับแผนที่วางไว้ล่วงหน้าว่ามีเวลาประมาณ1 อาทิตย์

รวมวันเที่ยวและวันเดินทาง เพื่อนพี่นิวก็เดินทางกลับด้วยรถทัวร์ เพราะเงินหมดไปกับการซื้อของฝากกันแทบหมดตัว



      ทีนี้ก็เหลือแต่เรา

      อย่าคิดว่าเพื่อนกลับไปแล้วพี่นิวจะยอมกลับไปนอนที่ห้องง่าย ๆนะครับ ทำยักท่าอย่างโง้นอย่างงี้ จนผมต้องเตือนสติ

      “เดี๋ยวพี่นางขึ้นมาเก็บห้องตอนเช้า”

      คนงานในบ้านไม่เคยรู้ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเราเลย

      “อืม”

      “ไปปูที่นอนให้หน่อยสิครับ”

      “เดี๋ยวพี่นางก็คงทำให้เองหรอกครับ”

      “ไม่เอาแบบนั้น...มานี่”

      พี่นิวจูงแขนผมเดินนำไปที่ห้องเขา พอมาถึงผมก็ร้อง...อ๋อ...

      ความจริงที่นอนก็ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วน่ะแหละ ผ้าปูนอนสีเชียวอ่อนสลับฟ้าเป็นลายทางใหญ่บ้างเล็กบ้าง

คงเพิ่งจะเปลี่ยนเมื่อเช้านี้เอง เพราะยังขึงเรียบตึงอยู่เลย

      ผมพอจะเข้าใจเพราะมีผ้าปูอีกชุดหนึ่ง วางอยู่ที่ปลายเตียง ลักษณะจะว่าพับก็พูดได้ไม่เต็มปาก

แต่ก็อนุโลมได้ว่า พยายามพับล่ะ ผมเห็นก็จำได้ว่าเป็นผืนที่ผมปูให้ในวันที่เขาเดินทางกลับมา

      “ปูใหม่นะ พี่จะเอาผืนนี้ ดีนะที่วันนั้นพี่ขึ้นมาก่อน ก็เลยรีบเก็บไว้ก่อนที่พวกมันจะตามขึ้นมา

แล้วก็ให้พี่นางปูอีกผืนหนึ่งแทน”

      ผมดีใจพี่นิวอยากเป็นคนนอนบนผ้าปูผืนนี้เป็นคนแรก ปูผ้าเสร็จได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงทักมาจากประตูห้องนอนพี่นิว

ซึ่งเปิดอ้าไว้

      “ทำอะไรกันจ๊ะเด็ก ๆ”

      คุณแม่มา

      “อ้าว...ไหนว่าแม่จะอยู่ดูแลพ่อไง”

      “ดูแล้ว พ่อเขาก็สบายดี ตอนนี้ได้เวลากลับมาดูแลลูกชาย”

      คุณแม่เข้ามากอดจูบพี่นิวใหญ่เลย ส่วนพี่นิวก็ตอบรับโดยอัตโนมัติ

       ถึงคราวที่ผมต้องเป็นฝ่ายถอยให้แม่ลูกได้ชื่นชมกันบ้างแล้ว คุณแม่คงเก็บความคิดถึงเอาไว้ไม่แสดงออก

ตอนที่เพื่อน ๆยังอยู่ พอได้โอกาสก็เลยเต็มที่ ผมเห็นแล้วก็ชื่นใจแทนเหมือนกันครับ แล้วก็นึกขอบคุณคุณแม่ในใจ

ที่ช่างเข้าใจลูกได้ดีเหลือเกิน

      คืนนี้ไม่มีปาร์ตี้ที่ครึกครื้น จะมีก็แต่การพูดคุยทักถามสารทุกข์สุกดิบประสาครอบครัวในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรัก

ความอบอุ่น

      “ทำไมแม่กลับมาได้เวลาจังเลยครับ”

      พี่นิวถามประโยคเหมือนใจผมคิดเลย

      “ได้เวลาอะไรเหรอ”

      “ได้เวลาที่พวกนั้นกลับไปพอดี”

      คุณแม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมตอบ

      “แม่ไปดูแลพ่อเขาเสร็จแล้วก็กลับมาไง”

      “ไม่อะครับ ทุกทีแม่ไม่เคยรีบไปรีบมาแบบนี้อะ”

      “อยากรู้จริง ๆเหรอ”

      “ครับ”

      “ครับ”

      ผมกับพี่นิวตอบเกือบจะพร้อมกัน

      “แม่โทรถามป้าเขาเมื่อวานนี้ ว่ารู้ไหมว่าเพื่อนนิวจะกลับกันวันไหน”

      “อ้อ.....มิน่าล่ะ แม่ก็มีสปายเหมือนกันน้า”

      “นิดนึง”

      คุณแม่วางช้อน ก่อนจะวางท่าจริงจัง

      “ลูกชายแม่ไปเรียนกรุงเทพ แม่ไม่ได้เจอหน้ามาห้าหกเดือน พอกลับมาแทนที่จะได้ชื่นชม

ก็ต้องพาเพื่อนเที่ยวซะอีก”

      “แต่ผมก็กลับบ้านทุกวันนี่ครับ”

      พี่นิวแย้ง

      “แล้วถ้าแม่จะกอดลูก จูบลูกต่อหน้าเพื่อน นิวจะยอมเหรอ”

      “แม่ก้อ ผมโตแล้วนะ แม่ก็ทำในห้องแม่รึห้องผมก็ได้นี่นา”

      “มันแปลก ๆนะลูกนะ จะแสดงความรักลูกนี่ แม่ต้องทำในห้องนอน”

      คุณแม่ขมวดคิ้ว ทำหน้าย่น

      ผมนั่งฟังสองคนแม่ลูกโต้กันไปมา แล้วก็นึกขำคุณแม่ไปด้วย เห็นใจไปด้วย ก็ลูกชายนี่นะ

พอโตแล้ว มักจะไม่ค่อยให้แม่ได้กอด ได้หอมต่อหน้าคนอื่นหรอก คงจะกระดาก

ส่วนผมเองที่จะให้แม่กอดก็พอมีบ้าง แต่ที่จะหอมนี่แทบจะไม่เคยเลยตั้งแต่เริ่มเรียนมอปลาย

คงเป็นเพราะไม่เคยทำ พอนานไปก็เลยไม่กล้าที่จะแสดงความรักด้วยวิธีนั้น

ทั้งที่นึกอยากทำอยู่เหมือนกัน....ไว้ผมจะลองทำกับแม่ดูบ้าง

      ผมหยุดขยับอวัยวะที่อยู่ใต้โต๊ะเพราะรู้สึกว่าคุณแม่กำลังจ้องผม คุณแม่จ้องมาสองครั้งแล้ว

อดไม่ได้ผมก็เลยต้องถาม เพราะคุณแม่เริ่มขมวดคิ้ว

      “มีอะไรเหรอครับคุณแม่”

      คุณแม่มองหน้าผมนิ่ง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

      “ครับคุณแม่? ”

      ผมถามย้ำ

      “นั่นน่ะสิ แม่ก็อยากรู้ว่านูมีอะไร ถึงได้เอาเท้าสะกิดแม่อยู่ได้”

      ผมแทบจะเอาหัวมุดลงใต้โต๊ะไปเดี๋ยวนั้น มิน่าล่ะ ผมถึงว่า ทำไมผมสะกิดพี่นิวตั้งหลายหน

เขาไม่เห็นจะเหลือบมองผมบ้างเลย ที่แท้.....เป็นเท้าคุณแม่...เวรกรรมจริงเลยผม

      ยังจะมาส่งยิ้มล้อผมอีกนะคนเรา

      เดี๋ยวเหอะ คืนนี้ผมจะทำให้ยิ้มไม่ออก!!!


       จบตอน  SERIES:THE SECOND PAGE
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 11-10-2012 08:17:31
น่ารักอ่ะ อมยิ้มตลอดเลย ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 11-10-2012 09:32:50
หร่อยมั๊ยย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 11-10-2012 12:05:58
ว่าเเต่เข้มหายไปไหนเเล้วอ่ะ

แอบติดใจกันเพื่อนคนนี้ หายเงียบไปเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: blue2u ที่ 11-10-2012 22:54:32
 o13อ่านแล้วอารมณ์ดี อิอิ หวานมาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 12-10-2012 00:08:19
หวานกันตลอดเลย
อ่านแล้วจะละลาย ๕๕๕ :-[ :-[
แล้วมาต่ออีกนะครับพี่นู   :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 13-10-2012 00:56:33
มาต่ออีกนะ ครับ.  :กอด1:  เม้นท์ไม่เก่งเท่า แต่จริงใจในการอ่าน  o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 13-10-2012 06:44:55
 :laugh: :laugh:

ฮาอ่ะ สะกิดเท้าคุณแม่

ว่าแต่ เข้มอ่ะ ...
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Asuke ที่ 13-10-2012 10:34:20
ตามอ่านเรื่องๆนี้ สามรอบแล้วนะคร้าบบบพี่นู่

แต่พี่นูเล่าไม่จบซักที  ค้างมากมาย ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SECOND PAGE 10.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 14-10-2012 16:42:59
 :jul1:ลงแดงแล้วมาไวไวนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE THIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-10-2012 23:46:39


ดีใจที่ได้รู้ว่ามีคนชอบอ่าน เข้ามาวันนี้ได้เจอน้อง ๆ ที่ติดตามกันมาแต่ชาติปางโน้น
 
เพราะว่าพี่นูเขียนมาเป็นชาติแล้วไม่จบซะที....ใช่มั้ยครับน้องทีม

มีคนถามถึงเข้มด้วย ...ผมก็จะบอกไว้ซะเลยว่า เข้มไม่ใช่พระเอกครับ เขียนถึงมาก ๆ ไม่ได้

เดี๋ยวพระเอกตัวจริงจะน้อยใจ



ช่วงนี้ได้เวลาของภารกิจที่บอกไว้เมื่อคราวก่อนแล้วนะครับ ว่างแล้วถึงจะได้เข้ามา

เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการวางแผนงานเดินตลาดและติดต่อลูกค้าครับ

ปีนี้ผลงานไม่ดีอย่างที่บอก ก็เลยต้องขยันเอาปลายปี ได้น้อยดีกว่าไม่ได้เลย
 




Series : The Third Page.

        เปิดเทอมใหม่ปีนี้ ผมเตรียมตัวอย่างเต็มที่ และคิดว่ามากพอสำหรับเด็ก ม.6

ในการจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะผมมีความฝัน

แต่เพราะความหวังในหัวใจทั้งหมดที่ผมมี เพียงเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ คนที่ผมรัก

   การจากกันมันเป็นความทรมานนับตั้งแต่เริ่มรู้ว่าจะต้องจากกันนั่นเลยทีเดียว

แต่ความห่างไกลกันนั้นทรมานยิ่งกว่า เพราะมันยาวนานเหลือเกินกว่าที่จะได้พบกันในแต่ละครั้ง

แม้ว่าพี่นิวจะกลับบ้านทุกปิดภาคเรียน หรือแม้แต่ในช่วงวันหยุดยาว ๆ เป็นบางครั้ง

แต่เขาก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้ตลอดไป เพราะกิจกรรมและการเรียนที่หนักขึ้นทุก ๆปี

เพิ่งจะปี 2 เท่านั้นเอง แต่พี่นิวก็มีอะไรให้ทำร่วมกับเพื่อนมากมายเสียจนหลายครั้ง

ที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะกดโทรศัพท์มาคุยกัน  ครั้งหนึ่งขาโทรบอกผมอย่างถนอมน้ำใจว่า

เขาคงไม่ได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอมแรก แต่ทันทีที่มีเวลาว่างเขาจะรีบมา

นั่นทำให้ผมเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่นิวจะมาปรากฏตัวตรงหน้า

นอกจากเสียงนุ่ม ๆ ผ่านสายโทรศัพท์เช่นเคย ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่เคยเพียงพอสำหรับผม....

แต่ทำไมไม่รู้ ในอีกมุมหนึ่งผมกลับรู้สึกไปว่า พี่นิวไม่ได้ห่วงหาหรือพะวงถึงผมอย่างที่ผมกำลังรู้สึกอยู่เลย

เหมือน เขาจะยอมรับด้วยความยินดี ว่าเขาพอใจที่ได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง

และร่วมทำกิจกรรมอันแสนสนุกและชวน ตื่นเต้น

   จะบอกว่าผมไม่พอใจก็ไม่เชิง เพราะผมคิดเสมอว่า อะไรที่จะทำให้พี่นิวมีความสุข ผมจะรีบทำทันที

แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหมดความหมาย ที่พี่นิวไม่จำเป็นต้องมีผมเขาก็มีความสุขได้ ต่างจากผม

ที่ไหนที่ไม่มีเขาผมอาจจะยิ้มได้ หัวเราะได้ แต่มันไม่เคยเป็นความสุขที่แท้จริงสำหรับผมเลย

   แต่เมื่อผมได้คิด ผมก็กลับเกลียดตัวเองที่คิดไปว่า การที่พี่นิวมีความสุขโดยปราศจากผมเป็นความผิด

   เอาล่ะ...แทนที่ผมจะรู้สึกอะไรที่มันน่ารังเกียจระหว่างคนสองคนที่รักกัน

สู้ผมแสดงออกถึงความรักของผมด้วยการพยายามไต่ไปให้ถึงจุดที่เขาอยู่มันคงจะดีกว่า

และผมเชื่อว่าพี่นิวจะต้องยินดีไปกับผม และภาคภูมิใจที่ผมทำได้สำเร็จ



   ผมไม่ได้บอกพี่นิวว่าผมมีแผนการอะไรเพื่อ “เรา”

ผมลงมือทำทันที กีฬาที่ผมเคยเล่นหลังเลิกเรียน ผมก็เลิกสนใจ จนเข้มสงสัย และก็สิ้นสงสัยไปในเวลาต่อมา

เมื่อมันตามผมมาถึงบ้านในเย็นวันหนึ่ง และพบว่าผมกำลังอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น

หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ อย่างบ้าคลั่ง เอาเป็นเอาตาย

   “ไอ้ที่กองท่วมหัวนั่นน่ะ จะอ่านให้หมดเมื่อไหร่เหรอวะ”

   เข้มถามผมทำให้ผมหันไปดูกองหนังสือที่กองซ้อนกันบนพื้นข้างโต๊ะ ความสูงของมันกำลังจะท่วมโต๊ะตัวนี้แหละ

   “อือ...อันนั้นอ่านหมดแล้ว กองนี้ดิยังไม่อ่านเลย แต่อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็คงหมด”

   “หา...อาทิตย์หนึ่ง?”
   เข้มมองตามผมไปยังกองที่ผมพูดถึง มันสูงประมาณเกือบครึ่งของกองที่ผมบอกว่าอ่านหมดแล้ว

ผมพยักหน้าให้ทีหนึ่ง เข้มมันก็ทำตาโต เหลือก ๆใส่ผม

   “มึงไม่ทำอะไรเลยทั้งเดือน นอกจากอ่านหนังสือหมดนี่เหรอวะ”

   “เออ...”

   “ที่มึงเลิกเล่นบอลตอนเย็น แล้วหนีกลับบ้านก็เพราะจะมาอ่านหนังสือ...เหรอ”

   “อือ”

   “เสาร์อาทิตย์เพื่อน ๆ ไปไหนต่อไหนกัน มึงก็หมกตัวอยู่กับกองหนังสือ?”

   “ก็เออ....นี่มึงจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ ในเมื่อมึงก็เห็นอยู่แล้วว่ากูอ่านหนังสือเรียน

ไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนนะโว้ย”

   ผมตอบอย่างรำคาญ ๆ ข้อแรกการที่มันยิงคำถามทำให้ผมเสียเวลากับการตอบคำถามที่มันก็เห็นอยู่แล้ว

(ซึ่งมันจะถามหาหอกอะไรอีกก็ไม่รู้)  ข้อสอง ผมเสียเวลาไปกับมันมาหลายนาที

นั่นทำให้แผนการอ่านหนังสือของผมกับระยะเวลาที่กะไว้คลาดเคลื่อน

ผมอาจจะไม่เหลือเวลาได้ทบทวนบางบทที่สำคัญก่อนจะเริ่มการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมีขึ้นเร็ว ๆนี้

   “กูก็แค่อยากให้แน่ใจว่ามึงรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”

   มันทำหน้าคว่ำ

   “อืม”

   ผมพยักหน้าให้มัน บอกจริง ๆว่าไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก ถึงได้เว้าวอนถามแต่เรื่องที่มันก็เห็นตำตา

   “มึงจะอ่านให้ได้อะไรขึ้นมาวะ คนที่เค้าจะสอบเข้าจุฬา ธรรมศาสตร์ ไม่เห็นมีใครเค้าจะบ้าอ่านอย่างมึงเลย

แล้วมึงแน่ใจนะว่าอ่านขนาดนี้แล้วมึงจะสอบได้อย่างที่หวังไว้น่ะ มึงไม่เคยได้ยินรึไงว่า คนที่เรียนไม่ได้เรื่องบางคน

ก็เอนฯติดได้อย่างไม่น่าเชื่อ  ส่วนไอ้คนที่มันเรียนเก่ง ๆ ก็ยังเคยพลาด”

   “กูไม่สนคนอื่นหรอก กูรู้แต่ว่ากูจะพลาดไม่ได้เท่านั้นเอง และทางเดียวที่จะทำให้กูมั่นใจก็คือต้องอ่านเยอะ ๆ

ฝึกทำข้อสอบเก่า ๆ แล้วกูก็จะไม่ปล่อยให้เรื่องเหลวไหลมาทำลายความตั้งใจด้วย”

   “อ่อ...มึงมองว่าการเล่นบอลตอนเย็นอย่างที่เคยทำเป็นเรื่องเหลวไหลไปแล้วงั้นสิ มึงถึงได้ไม่เข้าไปร่วมกลุ่มอีกเลย”

   ผมรู้ตัวว่าพลาดไปหน่อย ที่พูดถึงกิจกรรมที่เราทำด้วยกันมาตลอดแบบนั้น

   “กูไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่กูหมายถึงเรื่องอื่น ๆอะไรก็ได้ที่มันไม่มีประโยชน์ ส่วนเรื่องบอลน่ะ

ที่กูไม่ได้เล่นช่วงนี้เพราะถ้ากูเล่นจนเหนื่อย พอกลับมาถึงบ้านกูก็เพลีย พอเพลียก็กิน แล้วก็นอน

ไม่เป็นอันได้อ่านหนังสือกันพอดี”

   “มึงก็ทำอะไรให้มันพอดี ๆได้นี่หว่า เล่นแค่พอให้ได้เหงื่อ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตายอย่างเมื่อก่อน”

   “เอาน่า ไว้กูอ่านกองนี้หมดแล้วค่อยว่ากันใหม่ ว่าแต่มึงอะ จะกลับเลยรึเปล่า หรือว่าจะอยู่กินข้าวเย็นกะกูก่อน”

   “โห ไล่กูเลยนะ”

   “กูถามต่อว่าจะกินข้าวกะกูไหมหูแตกนะมึง”

   “ไม่อะ ขี้เกียจนั่งดูมึงอ่านหนังสือ กูไปหาน้องน้ำต่อดีกว่า”

   “จีบทิ้งจีบขว้างระวังจะโดนเอาคืนไม่รู้ตัว”

   “เรื่องของกู ไม่รักกูก็ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”

   “ใครบอกว่ากูห่วง กูจะรอสมน้ำหน้ามึงตะหากโว้ย”

   นาน ๆ ครั้งมันจะเท้าความถึงความรู้สึกเก่า ๆ สักที ถึงแม้ว่าเข้มมันจะทำใจได้แล้วเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา

แต่เวลาที่อยู่กันสองคนมันก็อดที่จะแขวะผมไม่ได้ และผมเองก็ไม่อยากถือสา อย่างน้อยเข้มก็เป็นเพื่อนคนเดียว

ที่ผมพูดได้ทุกเรื่อง

   ก่อนที่การสอบจะเริ่มต้น พี่นิวก็โทรมาหาผม ซึ่งปกติเขาก็โทรเป็นประจำอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ทุกวัน

แต่ก็บ่อยเท่าที่เวลาจะอำนวย แล้วอยู่ ๆ เขาก็ถามถึงเรื่องสอบตรงขึ้นมา ถ้าเขาไม่ถามผมก็คงไม่บอกว่าผมกำลังทำอะไร

ผมอยากให้เขาประหลาดใจ

   “ผมเลือก ม.Xครับพี่นิว”

   “อยากมาเรียนกรุงเทพรึไง”

   “ไม่อะ ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ พี่นิวมากกว่าความจริงผมเรียนที่ไหนก็ได้”

   ผมพูดออกไปตรง ๆ ตามนิสัยและพี่นิวก็มักออกอาการเป็นปลื้มทุกครั้งที่ได้ยินอะไรทำนองนี้

แต่คราวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น

   “แต่พี่อยากให้นูเรียนที่บ้านมากกว่านะ”

   “ทำไมอะ”

   ผมทำเสียงโวยปนผิดหวังนิดหน่อยเพราะไม่เข้าใจความคิดของเขา

   “อีกสองปีพี่ก็จบแล้ว นูก็อยู่คนเดียวอยู่ดี”

   “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยอย่างน้อยเรายังได้อยู่ด้วยกันตั้งสองปีแน่ะ”

   “แล้วคิดเหรอว่า เราจะได้อยู่ด้วยกัน ต่อให้นูสอบได้ที่เดียวกับพี่ก็เหอะ นูก็รู้ว่าพี่แชร์ห้องกับเพื่อน

แล้วถ้านูมาเราจะอยู่กันยังไง”

   ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ยังพยายามหาทางออก

   “เราก็หาห้องที่มันใหญ่ขึ้น แล้วก็แชร์กันสามคน”

   “พี่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องของเรากับใคร ๆ นะ รึว่านูพร้อม?”

   ผมชะงัก ซึ่งเป็นจังหวะให้พี่นิวแทรกเหตุผลที่จะโน้มน้าวผมให้ยอมจำนน

   “กลุ่มเพื่อนพี่ยังยอมรับเรื่อง...แบบนี้ไม่ได้เลย พี่กลัวว่าเราจะมีปัญหา ถ้านูย้ายมาอยู่ด้วยพี่อาจจะเผลอตัวทำอะไรไป

พี่ยังไม่อยากเสียเพื่อน เรามีโครงการที่จะทำอะไรด้วยกันหลายอย่างหลังเรียนจบ แล้วอีกอย่าง ถ้านูมาเรียนที่นี่

แล้วเราต้องแยกกันอยู่ มันจะมีประโยชน์อะไร พี่ว่ามันอาจจะแย่ไปกว่าเก่านะ”

   ผมกำลังจะเสนอทางนั้น พี่นิวก็ชิงตัดหน้าพูดออกมาเสียก่อน ไม่มีประตูไหนที่ผมจะแย้งเขาได้อีกแล้วใช่ไหม

   “นูเรียนที่นั่นก็ดีไปอย่างนะ จะได้ดูแลทั้งแม่นู แม่พี่ จำได้ไหมที่พี่ฝากไว้ก่อนจะมาเรียนน่ะ”

   “จำได้ครับ”

   ผมรับคำเสียงอ่อยลง

   “พี่ห่วงเรื่องของเราถึงได้ทำแบบนี้ อย่าโกรธพี่นะครับคนดี นูก็รู้ว่า ถ้าพี่ว่างพี่ก็จะกลับบ้าน

ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อน ๆเลย”

   ใช่ครับ เขาไม่เคยเจาะจงที่จะไปเที่ยวกับเพื่อน เพราะมันแฝงมากับกิจกรรมช่วงปิดเทอมที่ผมขัดไม่ได้

และนั่นทำให้พี่นิวมีเวลาอยู่กับผมในช่วงปิดเทอมน้อยลง

   “วันเกิดนูตรงกับช่วงสอบของพี่พอดี แต่รู้สึกว่าอาจารย์จะติดสัมมนาอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้น

ก็มีเวลาเว้นว่างสามสี่วัน พี่จะกลับบ้าน  น่าจะตรงกับวันเกิดนูพอดี”

   “ครับพี่นิว”

   ผมรับคำอย่างหงอย ๆ เพราะที่พี่นิวพูดมีเหตุผล เราสองคนยังไม่พร้อมจะให้ใครรู้ว่า เรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน

 .........นี่แหละ ที่ทำให้ผมจนมุม

   ผมก็ยังตะลุยอ่านหนังสือต่อไป แต่ไม่บ้าคลั่งเหมือนเดิม หลังเลิกเรียนก็เตะบอล แต่ไม่รู้สึกสนุกเหมือนเมื่อก่อน

ผมเริ่มเบื่อการเล่นกีฬากลางแจ้งแบบนี้แล้ว แต่ที่ยังเล่นบ้างก็เพราะไอ้เข้มบังคับเสียส่วนใหญ่

ซึ่งถ้าวันไหนมันไม่อยู่ผมก็ไม่เล่น ผมเริ่มห่างเหินจากเพื่อนร่วมห้องทีละน้อย นอกจากเพื่อนที่สนิทจริง ๆไม่กี่คน

ที่เรามักจะทำรายงานกลุ่มเดียวกัน เรียนพิเศษด้วยกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นคนต่างจังหวัด เช่นเดียวกับเข้ม


   คุณแม่เห็นผมอ่านหนังสือน้อยลงก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอผมเล่าเรื่องที่คุยกับพี่นิวให้ฟัง

แต่ไม่ได้บอกเรื่องที่เราสองคนเป็นกังวลว่าใครจะล่วงรู้ความสัมพันธ์พิเศษของเรา

คุณแม่ก็โกรธพี่นิว หาว่ากีดกันความเจริญก้าวหน้าของผม คุณแม่คิดแค่นี้จริง ๆ

 อาจจะด้วยความคิดของคนต่างจังหวัดที่มองว่า เมืองหลวงคือศูนย์กลางของสรรพสิ่ง

โดยเฉพาะวิชาความรู้ที่มีให้เลือกหลายหลากสาขา

   “นูอยากไปเรียนกรุงเทพไหมล่ะลูก นิวเขาไม่ให้ไปอยู่ด้วย เราก็หาหอพักอยู่คนเดียวก็ได้

หอของมหาวิทยาลัยก็มี ถ้าเต็มก็หาหอใกล้ ๆ อยู่”

   “ผมเรียนที่ไหนก็ได้ครับคุณแม่ พี่นิวบอกว่า อยู่ทางนี้ให้ผมดูแลคุณแม่ กับแม่ผมให้ดี ๆ”

   “เออ...นั่นสิ แต่แม่น่ะนูไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีใครอยู่แม่ก็ไปอยู่กับพ่อเขา นาน ๆ ค่อยกลับมาดูบ้านซะทีหนึ่ง

แต่แม่นูน่ะสิ เค้าจะว่าไงมั่งไม่รู้นะ พรากลูกเค้ามาแล้วยังส่งไปเรียนซะไกล”

   “แม่ผมเขาไม่ว่าอะไรหรอกครับ แต่ผมห่วงเรื่องงานที่คุณแม่ต้องดูแลทางนี้ด้วย ผมไม่อยู่ใครจะช่วยบวกเลขให้”

   ผมแกล้งพูดติดตลก เผื่อจะช่วยให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เพราะที่จริงยังห่อเหี่ยวในใจ

ยามที่ต้องพูดถึงแผนการเรียนที่ล้มไม่เป็นท่าของผม ตอนนั้นผมช่วยคุณแม่ดูบัญชีส่วนตัว

ของคุณพ่อกับกิจการเล็ก ๆของครอบครัวพี่นิว คุณแม่มักจะให้ผมบวกเลข จดรายการที่ต้องติดตามลงบันทึก

ไว้ในสมุดส่วนตัวของคุณแม่เสมอ รวมทั้งสมุดรายจ่ายของบ้านเราด้วย มันก็ไม่ได้มากมายอะไร

แต่เป็นเพราะคุณแม่ดูแลบัญชีกิจการของครอบครัวใหญ่ (ที่มีพี่น้องของคุณพ่อเป็นผู้บริหารที่เราเรียกง่าย ๆว่ากงสีครับ)

งานเล็ก ๆพวกนี้ก็เลยมักจะให้ผมช่วย

   “ไม่เป็นไรหรอก แม่ว่าจะให้เอิบกับเอื้อเข้ามาช่วยดูบ้าง ปีหน้านูก็เข้ามหาวิทยาลัย คงต้องเรียนหนักกว่านี้

แม่วางแผนไว้แล้วว่า เอิบกับเอื้อ เรียนจบ ปวส.พอดีจะได้ฝึกงานไปพลาง ๆ ถ้าเขายังไม่มีงานอื่นทำอะนะ”

   พี่เอิบอารี กับพี่เอื้ออารี เป็นฝาแฝด กำลังจะจบจากโรงเรียนพาณิชยการมีชื่อของที่นี่

ทั้งสองคนเป็นลูกของอาพี่นิว ซึ่งทำงานอยู่กับบริษัทกงสี แต่มาเรียนที่นี่โดยมีอาสะใภ้ตามมาดูแลใกล้ชิด

แถมยังขอซื้อบ้านพักส่วนตัวด้วยเงินกงสีอีกต่างหาก อ้างว่าเผื่อใครจะมาเรียนหรือว่ามาพักผ่อนก็มา “อาศัย” ได้

เรื่องเงินที่มาซื้อบ้านผมไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เคยได้ยินพี่นิวกับคุณแม่คุยกันทำนองว่าพี่น้องคนอื่นไม่ค่อยจะพอใจเท่าไร

แต่ไม่มีใครกล้าค้านเพราะสงสารอา

   อาคนนี้เรียนหนังสือไม่จบอะไรสักอย่าง ได้ภรรยาเป็นลูกคนจีนขายของในตลาด (คุ้น ๆเนอะ)

ซึ่งก็ความรู้น้อยเหมือนกัน แต่ฉลาดมากตรงที่สามารถพาตัวเข้ามาสนิทชิดเชื้อกับครอบครัวของอาได้

ไป ๆ มา ๆก็ได้เสียกัน ทางพ่อแม่อาสะใภ้เขาจะเอาเรื่องก็ต้องเลยตามเลย ผมไม่รู้ว่ามีการตบแต่งกันหรือเปล่า 

แต่ผมไม่เคยเห็นอัลบั้มรูปงานแต่งเขาเลย ทั้ง ๆ ที่คนอื่น ๆ ก็มีกันทุกบ้าน

   นอกเรื่องไปไกลแล้ว....กลับมาเข้าเรื่องเดิมนะครับ

   “เรียนจบแล้ว พี่เอิบกับพี่เอื้อเขาไม่กลับบ้านที่โน่นเหรอครับ”

   “ไม่มั้ง เห็นแม่เขาบอกว่าจะให้หางานทำที่นี่ แต่แม่อยากให้เรียนต่ออีกหน่อย คู่นั้นเขาก็ไม่เอา

อยากจะทำงานท่าเดียว แม่ก็เลยว่าจะเอามาช่วยงานเราก่อน ถ้าทำได้ก็ค่อยหาตำแหน่งในบริษัทให้”

   “ครับ”

   “ตกลงว่าเราจะไม่ไปเรียนที่กรุงเทพแน่นะ”

   “ครับ ผมเลือกลงที่นี่หมดแล้วครับ ไม่มีที่กรุงเทพสักคณะเดียว พี่นิวเขาอยากให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็จะอยู่”

   “อย่าตามใจนิวมากนักเลย ถ้านูมีเหตุผลอะไรก็บอกพี่เขาไป หรือบอกแม่ก็ได้นะถ้ากลัวพี่เขาจะไม่เห็นด้วยน่ะ

แม่จะช่วยพูดให้”

   “ขอบคุณครับคุณแม่ พี่นิวเขาก็มีเหตุผลดีอยู่หรอก ผมมาคิดดูแล้วมันก็จริง พอพี่นิวเรียนจบผมจะอยู่กับใคร”

   “ทำยังกับคนช่วยตัวเองไม่ได้ แม่ว่าคนอื่นเขาก็เป็นกันทั้งนั้นแหละ ไปใหม่ ๆ ไม่รู้จักที่ทาง ยังไม่มีเพื่อน

ก็ต้องอาศัยคนรู้จักช่วยเหลือไปก่อน แต่อยู่ไปนาน ๆ เราเองก็ต้องปรับตัว ไปไหนมาเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว

ไหนจะเพื่อนที่เรียนด้วยกันอีก นูจะได้มีสังคมกว้างขึ้น เห็นโลกกว้างขึ้นด้วย อยู่แต่ที่บ้านเรา อะไร ๆก็รู้เห็นหมดแล้ว

 ไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ในที่ใหม่ ๆ มั่งดีไหม”

   “ขอบคุณครับคุณแม่ แต่มันไม่ทันแล้วล่ะครับ ผมเลือกคณะลงหมดแล้ว ยังไงก็ต้องได้ที่นี่สักคณะแหละครับ

เอาไว้ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วอยากจะเรียนต่อ ผมอาจจะขอแม่ไปต่อเมืองนอกก็ได้”

   ผมก็คุยฟุ้งไปอย่างนั้นเอง ไม่อยากให้คุณแม่ต้องมาพลอยเป็นกังวลกับเรื่องเรียนของผมมากนัก

เรื่องไปเรียนเมืองนอกก็ยังอีกไกล หนำซ้ำพ่อแม่ผมก็ไม่รู้จะมีเงินส่งหรือเปล่า ลำพังร้านขายของในตลาด

ถึงจะมีรายได้ดี แต่ถ้าต้องส่งผมไปเรียนต่างแดนแบบนั้น ที่บ้านก็ต้องประหยัดขึ้นเพื่ออนาคตของผม

....เอาไว้ค่อยคิด

   “แม่ส่งเอง ไม่ต้องไปรบกวนที่บ้านเขาหรอก แม่เป็นคนไปขอนูมา แม่ก็จะรับผิดชอบเรื่องเรียนให้

....ไม่ต้องพูดเลย ยังไงก็อีกหลายปี เอาใกล้ ๆ นี่ให้จบก่อนแล้วกัน แม่ขี้เกียจฝันค้างกลางอากาศ

เกิดเรียนไม่จบขึ้นมา แผนที่วางไว้พังหมดจะเสียกำลังใจซะเปล่า ๆ”

   “จบสิครับคุณแม่”

   ผมรีบรับคำมั่น คุณแม่จะได้สบายใจ

   “คุณแม่ก็เห็นเกรดผมนี่ครับ สามกว่าขนาดนี้ เรียนไม่จบก็ให้มันรู้ไป”

   “นู...แม่ไม่ได้จะสบประมาทว่านูเรียนไม่เก่งนะ แต่อนาคตมันเป็นของไม่แน่ ดีแล้วที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

แม่ขอให้นูสัญญาอะไรกับแม่สักอย่างจะได้ไหม”

   “ครับ”

   “ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร นูจะไม่ทิ้งการเรียน จำไว้นะลูก คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ ไม่ใช่แค่ความพยายามเท่านั้น

ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ทุกอย่างต้องประกอบกันมันถึงจะทำให้เราไปถึงจุดหมายได้

การศึกษาเป็นแค่เครื่องมือที่ทำให้เรารู้จักคิดและใช้เหตุผลในการหาทั้งสามอย่างนั้นมาใส่ตัว

นูมีโอกาสที่จะเรียนให้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แม่รับรองได้ว่าแม่จะสนับสนุนนูเหมือนที่แม่ให้นิวทุกอย่าง

เพราะแม่รักนูเหมือนลูกแม่คนหนึ่ง แล้วแม่ทุกคนก็อยากจะเห็นอนาคตที่ดีของลูก อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ

อย่างที่ลูกหวัง และแม่จะรอดูวันที่นูทำมันสำเร็จนะ”

   จบประโยคยาว ๆ ของคุณแม่ น้ำตาผมไม่รู้มันมาจากไหน มันไหลท่วมตารินลงมาตามแก้มซะจนผมเช็ดมันไม่ไหว

ผมไม่เคยสงสัยในความรักที่คุณแม่พี่นิวมีให้ผม ผมรู้ตลอดเวลาว่านั่นคือความจริงที่มาจากใจ

แต่คำพูดที่เพิ่งจบลงไป มันยิ่งกว่าความรู้สึกใด ๆที่ผมเคยได้รับจากคุณแม่ ผมไม่รู้ว่าหัวใจคุณแม่ทำด้วยอะไร

ทำไมถึงได้อบอุ่น และยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมโผเข้ากอดคุณแม่ เมื่ออ้อมแขนนั้นอ้าออก

คุณแม่ลูบหัวผมเบา ๆ แล้วพร่ำพูดสิ่งต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่ให้กำลังใจ ทำให้ผมรู้สึกดี

และรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับครอบครัวนี้มากขึ้น


พี่นิวช่างโชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกคุณแม่ แต่ผมโชคดียิ่งกว่า......ที่ได้เป็นทั้งลูกคุณแม่ และได้เป็นทั้งคนรักของพี่นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 16-10-2012 00:05:38
ซึ้งๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 16-10-2012 06:03:34
 :monkeysad: :monkeysad:  ซึ้งซะ  รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 16-10-2012 13:13:01
แม่พี่นิวเป็นคนดีมากน่ารักมากอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 16-10-2012 20:36:37
:monkeysad:
ซึ้งเลย ๕๕๕๕
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 17-10-2012 01:35:32
รอออออออออิไปอ่าน นิยายไม่มีชื่อรอก่อนนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 15.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 17-10-2012 02:01:15
ซะงั้น ไม่ได้ไปอยู่ด้วยกันเฉยเลย

เง้ออออ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-10-2012 23:34:41


 :pig4:

บวกเป็ดให้มิตรรักแฟนนิยายกันแล้ว

แวะคุยกันสักคำสองคำ

Series เท่าที่เขียนเรียบร้อยแล้วมี เจ็ดตอน

ตอนสุดท้ายคือ Series:The Seventh Page.

ยังเขียนตอนต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผมไม่อยากใช้คำว่า The Eighth Page

เพราะว่า พอพูดเร็ว ๆ มันกลายเป็นอะไร เป็ด ๆนี่แหละ ลองดูสิครับ

เพราะฉะนั้น พอถึงตอนที่แปด ผมคงจะตั้งชื่อตอนล่ะ แต่ยังไม่ไได้ชื่อเก๋ ๆเลย

ไว้ค่อยว่ากันเมื่อเวลานั้นมาถึง

สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ



  :3123:







     ผมสอบวันสุดท้ายกลับมาบ้านก็พบว่าใครคนหนึ่งนั่งรอผมอยู่ที่ซุ้มต้นเฟื่องฟ้าที่ประตูรั้ว

ใครคนนั้นทำทีเป็นอ่านหนังสือ และเมื่อเห็นผมเปิดประตูช่องเล็กเดินเข้ามาก็วางมันลงอย่างช้า ๆ

แต่ใครจะรู้ว่า ภายใต้ท่าทีที่เฉื่อยเนือย ไม่มีคำทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจ ผมกลับมองเห็นแววตาระริกไหว

ที่ซ่อนความยินดีไม่มิด แววตาที่ดูกระตือรือร้นคู่นั้น ชักชวนผมให้ออกเดินไปด้วยกันช้า ๆ

ทุกก้าวย่างไม่รีบเร่งร้อนรน แต่มือกลับสั่นจนต้องม้วนหนังสือเล่มนั้นจนแน่นแล้วกำมันไว้เพี่อลดอาการสั่นให้บรรเทาลง

   เราเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ แต่เพราะช้าผมก็เลยระงับความตื่นเต้นไว้แทบไม่ไหว

ถึงกับลื่นตอนที่ก้าวเท้าขึ้นบันไดช่วงกลางจนเกือบจะพลัดตก ดีที่พี่นิวรั้งเอวผมไว้ได้ทัน

   “ชอบใส่ถุงเท้าเดินขึ้นบันได แล้วก็อย่างนี้ทุกที”

   พี่นิวเอ็ดผมด้วยความตกใจ ก็จริงครับ ผมเกือบตกบันไดแน่ะ ถ้าเค้าคว้าไม่ทันผมร่วงแน่

อย่างน้อย ๆ ก็คงจะเคล็ดขัดยอกไปหลายวัน อย่างมากก็อาจจะส่วนใดส่วนหนึ่งหัก

   ผมนั่งลงที่ขั้นบันได แล้วถอดถุงเท้าทั้งสองข้างออกกลัวจะลื่นอีกครั้ง เพราะผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขาผมที่มันสั่นอยู่

จะมีแรงก้าวเดินได้มั่นคงแค่ไหน

   อาการสั่นไม่ได้มาจากความตกใจที่เกือบพลัดตกหรอกครับ นั่นมันหายไปแล้วตอนที่รู้ว่าตัวเองปลอดภัย

แต่มันมาจากคนที่ช่วยผมไว้มากกว่า อีตอนเดินมาด้วยกัน เนื้อตัวไม่ได้แตะต้องกันผมก็ว่าใจผมก็เต้นตูมตาม

จนแทบจะโลดออกมาจากอกอยู่แล้วด้วยความดีใจ แล้วถูกเขารวบเข้าไปแนบอกเต็ม ๆแบบนั้น ผมจะอยู่เฉยไหวเหรอ

   พอถอดถุงเท้าได้ ผมก็กระโจนขึ้นบันไดทีเดียวสองขั้น โดยมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวกับความคิดของผม กระโจนตาม พลางตะโกนถาม

   “เป็นอะไรไป นู....”

   ผมไม่ได้ตอบ แต่ก้าวเข้าห้องของพี่นิวแล้วยืนเปิดประตูค้างไว้รอให้เขาเข้ามา

   “พูดแค่นี้เดินหนีพี่เลยเหรอ จะโกรธอะไรเนี่ย”

   พี่นิวเดินเข้ามาพอพ้นประตูผมก็ปิดพร้อมกดล็อก เป็นอันว่าเราสองคนถูกขังไว้ข้างในด้วยกัน

   “ใครว่าผมโกรธ”

   “ก็ใครล่ะวิ่งหนีมาก่อน”

   ผมกระโดดกอดพี่นิวยังไม่ทันให้เขาพูดจบ เสียงตอนท้ายเขาก็เลยแผ่วลง ทั้งที่ตอนต้นประโยคน่ะ ตะโกนใส่ผม....

งงล่ะสิ...แต่มือน่ะ ตอบรับกอดผมเสียแน่นโดยอัตโนมัติเชียว

   “ผมรีบตะหาก”

   “รีบไปไหน”

   “รีบเข้าห้อง”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่อยู่ในความคิดคำนึงของผมทั้งยามหลับยามตื่น

   “อยากบอกว่าผมคิดถึง”

   แล้วผมก็จูบพี่นิวอย่างรวดเร็ว จูบแรกหลังจากที่เราไมได้พบกันนานหลายเดือน หวานซะจนผมไม่อยากผละจาก

กลีบปากอิ่มยังคงนุ่มนวล ลิ้นยังคงอุ่น เราหยอกล้อกันด้วยจูบอยู่นาน จนผมต้องเป็นฝ่ายผลักพี่นิวออกจากตัว

หลังจากที่พี่นิวกลายเป็นฝ่ายจู่โจมและผมเป็นฝ่ายตั้งรับ

   “หายใจไม่ทันอะ”

   หน้าผมคงจะแดง เพราะมันร้อนระอุไปทุกขุมขน

   “ใครใช้ให้ทำกับพี่ก่อนล่ะ”

   ผมซุกหน้าลงกับบ่าของพี่นิว รู้สึกเหมือนมันจะกว้างขึ้น แน่นขึ้น แต่อบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังยิ้ม ก็เหมือนกับผมที่ยังหุบยิ้มไม่ลงเลย

   “อาบน้ำกันปะ”

   พี่นิวชวนสียงแผ่ว....ไอ้เสียงแบบนี้นี่ เค้าเรียกว่าชวนอาบน้ำแน่เหรอ แต่ถึงผมจะสงสัยก็ไม่ขัดขืน...

หรือนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมรอคอย แล้วผมควรจะเล่นตัวไหมล่ะ

   เราผลัดกันแกะกระดุมเสื้อให้กันและกัน ผมแกะเสร็จก่อน เพราะพี่นิวใส่เสื้อโปโลกระดุมสองเม็ดที่กลัดกระดุมไว้แค่เม็ดเดียว

ในขณะที่พี่นิวต้องแกะกระดุมเสื้อนักเรียนของผมถึงหกเม็ด เป็นเหตุให้ผมเกทับได้อีก

   “ชักช้า”

   พี่นิวจ้องตาผม อ่านความหมายได้ว่า....ฝากไว้ก่อน

   ผมแกะกระดุมยีนส์ของพี่นิวออกแล้ว ในขณะที่พี่นิวเพิ่งจะดึงสายเข็มขัดออกจากหัวได้สำเร็จ

กางเกงนักเรียนของผมลงไปกองแทบเท้า ในขณะที่กางเกงยีนส์ยังแนบสะโพกพี่นิวอยู่

   เวลานั้นเองที่ผมคิดได้ว่า...ผมต่างหากที่เสียที เมื่อชั้นในชิ้นเล็ก ๆ ที่เกาะสะโพกผม ตอนนี้มันปลิวหวือไปกองในตะกร้าผ้า

เรียบร้อยแล้ว....ใช่ครับ ผมถูกเขาลอกคราบไม่เหลือ แต่พี่นิวยังอยู่ในเสื้อผ้าเต็มยศ ที่ไม่ติดกระดุม ไม่รูดซิป....เฮ้อ....

ความพ่ายแพ้ที่แสนหวานกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วครับ


   ขอปิดประตูห้องน้ำก่อนนะครับ (อย่ารู้เลยว่าข้างในมีอะไรเกิดขึ้นมั่ง....อิอิ)      :z1:




    วันที่พี่นิวเดินทางกลับมา ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า แม้แต่ผมพี่นิวก็ไม่บอก กะจะให้เซอร์ไพรส์ ส่วนคุณแม่...

เมื่อสปายโทรไปบอกก็รีบเดินทางมาในวันรุ่งขึ้นทันที เราสองคนไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะมีคนบางคนโดนเฉ่ง

   พี่นิวหน้างอเป็นม้าหมากรุก ตอนที่ถูกคุณแม่เรียกไปซักถามเรื่องที่ไม่ให้ผมไปเรียนในกรุงเทพ

สร้างความแปลกใจให้ผมนิดหน่อย เพราะผมไม่เคยเห็นพี่นิวทำท่าเหมือนเด็กดื้อแบบนี้มาก่อน...แต่ก็นั่นแหละนะ

ผมเองก็เพิ่งจะเข้ามาเป็นสมาชิกบ้านนี้ไม่นาน คงไม่รู้ไม่เห็นทุกอย่างในครอบครัวนี้ได้ทุกซอกทุกมุมหรอกครับ

คุณแม่ย้ำให้ผมนั่งอยู่ด้วย (เราคุยกันในห้องคุณแม่) คงเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมด้วย

   “แม่ไม่เข้าใจว่าทำไมนิวไม่ให้น้องไปเรียนด้วย”

   “ผมบอกนูแล้วนี่ครับ”

   “ทีตัวเองยังอยากจะไปอยู่ไกลหูไกลตาแม่ ทีกับน้องล่ะจะมาทิ้งภาระไว้ให้”

   พี่นิวเหลือบมองมาที่ผมนิดหนึ่ง คงสงสัยว่าผมมาฟ้องอะไรคุณแม่ ผมเลยต้องรีบแก้ตัว

   “ผมไม่ได้คิดว่าเป็นภาระนะครับ”

   “แม่ให้เรามานั่งฟัง ไม่ได้ให้มาออกความเห็น”

   “ขอโทษครับ”

   ผมก้มหน้าก้มตาขอโทษ แต่ก็ยังเหลือบไปเห็นจำเลยยิ้มมุมปาก

   “ผมสอบได้ที่นั่นแล้วแม่จะให้ผมเรียนที่ไหนล่ะครับ”

   “อย่ามาเล่นลูกไม้กับแม่ คิดว่าใครเขารู้ไม่ทันเหรอว่าเราแกล้ง อย่างนิวเนี่ยนะ สอบมหาวิทยาลัยที่นี่ไม่ผ่าน”

   “สี่เท้ายังรู้พลาด นี่แม่ก้อ”

   “เออ...ตัวเองเดินสองเท้า เอาไปเปรียบกับพวกสี่เท้า เจริญล่ะลูกแม่”

   “นักปราชญ์ยังรู้พลั้งอะแม่”

   “อย่ามาเล่นลิ้น เดี๋ยวนี้เก่งขนาดต่อปากต่อคำแม่แล้วเหรอฮึ”

   “แม่ค้าบ”

   พี่นิวทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าคุณแม่ แล้วก็โอบเอวเอาหน้าซบตัก....โหย....

เล่นบทนี้คุณแม่จะแข็งใจบ่นต่อได้ก็ให้มันรู้ไปสิน่า

   “หนุ่ยโตแล้วนะ หนุ่ยอยากไปผจญภัยนอกบ้านมั่ง เพื่อนมันก็ไปกันตั้งหลายคน อยู่ที่นี่สังคมมันก็แค่นี้

แม่ก็รู้ว่าที่นั่นมันมีอะไรให้เราค้นหาตั้งเยอะแยะ แม่ไม่อยากให้หนุ่ยฉลาดทันโลก ทันคนเหรอครับ”

   คงจะสงสัยกันนะครับว่า “หนุ่ย” มาจากไหน

   ภาษาบ้านผม คำว่า “นุ้ย” เด็ก ๆมักจะใช้แทนตัวเองครับ แปลว่า เล็ก น้อย นิด กะจิดริด อะไรทำนองนั้น

ให้ความหมายไปในทางน่ารักน่าเอ็นดู ผมเทียบเสียงใต้เป็นภาษากลางว่า “หนุ่ย” ซึ่งชื่อนี้ก็มักจะถูกตั้งเป็นชื่อเล่นเหมือนกัน

อาจจะต่างกันตรงที่ “นุ้ย” เป็นชื่อ หญิงหรือชายก็ได้ แต่ “หนุ่ย” ผมมักจะเจอแต่ผู้ชายนะครับ

   ด้วยความหมายของคำว่า “หนุ่ย” แบบที่ผมกล่าวมาข้างต้นคงพอจะเดาออกว่า เวลาที่พี่นิวเขาเริ่ม ”หนุ่ย” กับคุณแม่

ก็คือเวลาที่เขาอ้อน แล้วคุณแม่มีหรือจะไม่ “อ่อน” ยิ่งพอถูกพี่นิวชักจูงไปให้พ้นเรื่องที่เขาแกล้งสอบมหาวิทยาลัยที่นี่ไม่ได้

ก็เป็นอันรอดพ้นจากข้อหาไปได้ แต่คดีความของพี่นิวยังไม่หมดครับ เรื่องของผมยังไม่ได้รับการชำระ

(ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย)

   “เอาเหอะ เรื่องมันแล้วก็ให้แล้วกันไป จะเรียนที่ไหนมันไม่สำคัญเท่ากับว่าเราตั้งใจเรียนแค่ไหนหรอก จริงไหม

แต่อีกเรื่องที่แม่ยังข้องใจนะนิว ทำไมลูกต้องห้ามไม่ให้นูไปเรียนที่โน่นด้วย ไม่คิดบ้างหรือว่าน้องก็คิดเหมือนนิว

แล้วจะไปปิดโอกาสเขาทำไม”

   “นูบอกผมว่าเขาเรียนที่ไหนก็ได้นี่ครับ”

   พี่นิวปรายตามาทางผมซึ่งทีแรกก็นั่งข้าง ๆเขา แต่พอเขาเข้าไปคลอเคลียคุณแม่ผมก็เลยอยู่ข้างหลังเขาไปซะ

เพราะคุณแม่นั่งอยู่บนเตียงตรงข้ามกับเรา พอเห็นพี่นิวเอี้ยวคอหันหลังมาทางผม คุณแม่ก็ปาดคางให้หันไปทางเดิม

กลัวว่าพี่นิวอาจจะส่งสายตาข่มขู่ผมไม่ให้พูดค้านเขา แต่เปล่าหรอกครับ พี่นิวเขาหันมาแลบลิ้นใส่ผมต่างหาก

ซึ่งผมโต้ตอบกลับไปไม่ได้เลย เพราะนั่งต่อตากับคุณแม่พอดี

   เขากล้าทำอย่างนั้นเพราะรู้ว่าผมตกลงใจตามเขาไปแล้วน่ะสิ (พี่นิวอะร้ายกาจมาก ใครไม่เจออย่างผมไม่รู้หรอก)

   “ถึงงั้นก็เหอะ ในเมื่อเขาตั้งใจแต่แรกแล้วว่าอยากไปเรียนที่โน่น แม่ก็พร้อมจะสนับสนุน เพราะแม่เป็นคนไปขอน้อง

มาจากที่บ้านเขา อยู่ ๆนิวมาทำแบบนี้ มันเหมือนเป็นการตัดโอกาสน้องนะ”

   “ผมมีเหตุผลนะครับ ผมบอกนูไปแล้ว เขาก็ยอมรับความจริง ว่าเราแยกกันอยู่มันดีที่สุดแล้วสำหรับเวลานี้

ผมอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ นูเขาไปอยู่ด้วยผมก็คงไม่มีเวลาให้เขาเท่าไร ดีไม่ดี จะกลายเป็นว่าผมไม่สนใจ ไม่ใส่ใจดูแล

แม่ว่ามันไม่ยิ่งแย่เหรอครับ แล้วแม่ว่าถ้าผมยับยั้งใจตัวเองไม่ได้ ผมจะมองหน้าเพื่อนยังไง แต่ละคน

ยังไม่เคยรู้เรื่องของผมกับนูเลย”

   พูดถึงตอนนี้คุณแม่ก็อ้าปากค้าง คงมองข้ามไปตั้งแต่ต้น เพราะสำหรับคุณแม่ เรื่องของเรากลายเป็นเรื่อง “รับได้”

แต่สำหรับคนอื่นคุณแม่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ยากที่จะรับได้”

   “นู....มาหาแม่มา”

    คุณแม่ยกมือข้างที่ว่างจากการโอบพี่นิว ยื่นมา ผมคลานเข่าเข้าไปนั่งต่อหน้าคุณแม่ ชิดกับพี่นิว

คุณแม่ลูบหัวผมอย่างเอ็นดู แล้วพูด

   “ไม่เป็นไรนะลูก เราอยู่รอเขากันที่นี่แหละ อยู่กับแม่ก็ได้ ปิดเทอมถ้าอยากไปหาพี่เขา เราค่อยไปด้วยกัน”

   ไม่มีอะไรที่ผมจะทำได้ดีไปกว่า การกราบลงบนตักคุณแม่ด้วยความรู้สึกขอบคุณท่วมท้นใจ

   “ขี้แย”

   พี่นิวหยิกแก้มผม เมื่อผมเงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาคลอหน่วย

   “ไปว่าน้อง เราเหอะ ยังกับแม่ไม่เคยเห็นว่าเราก็ขี้แยเป็น”

   “แม่~~~~~”

   พี่นิวขานเรียกคุณแม่ซะยาว กะจะอ้อนอีกล่ะสิ ได้โอกาสผมก็อยากจะรู้บ้างว่า คนที่ผมรักเขาขี้แยด้วยเรื่องอะไร

ร้องจะเอาของเล่น หรือว่า ร้องตามเวลาที่คุณแม่หนีเที่ยว (ไปทำงาน) แล้วตัวเองถูกทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยง

   “จริงเหรอครับคุณแม่ พี่นิวก็ขี้แยเหรอครับ”

   ได้ผลครับ คำยั่วยุของผมทำให้คุณแม่ผลักหัวพี่นิวออกจากตัก หลังจากที่โดนสะกิดสะเกาอยู่พักใหญ่

กะจะไม่ให้คุณแม่เล่า

   “ที่จริงนิวก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากนะ กินง่าย นอนง่าย ไม่งอแง แม่ทิ้งให้เขาอยู่กับคนเลี้ยงได้อย่างสบายใจเลยล่ะ”

   คนที่ถูกพูดถึงว่าเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ถอนหายใจและเริ่มคลี่ยิ้ม

   “มายากเอาตอนโตนี่แหละ ตอนประถมก็ชักจะขี้โรค เช้า ๆ ตื่นมาทีล่ะเป็นได้บ่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดฟัน

สรรหาอะไรมาปวดได้เกือบทุกวัน แม่ต้องใจแข็งไม่ฟังข้ออ้างที่ไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่งั้นคงไม่ต้องไปกันสักวันเลยแหละ”

   “แม่อะ หนุ่ยไม่ได้เกเรขนาดนั้นสักหน่อย ตอนนั้นเพื่อนมันชอบแกล้ง แม่ก็รู้ พ่อมันเป็นครูในโรงเรียน

ใคร ๆ ก็ไม่อยากทะเลาะกะมัน แล้วมันก็ชอบหาเรื่องหนุ่ย แย่งขนมหนุ่ยกินทุกวันเลย”

   ผมนั่งขำ “หนุ่ย” ที่ถูกเพื่อนแกล้งแล้วไม่กล้าสู้

   “ถ้าแม่รู้ตั้งแต่แรกก็ดีสิ จะได้รู้ว่าพ่อเพื่อนนิวเป็นลูกชายคนขับรถของคุณตาตอนที่คุณตารับราชการอยู่

แม่ถามนิวก็ไม่บอกความจริง แล้วตัวเองก็เลยพาลไม่อยากไปโรงเรียน”

   “หนุ่ยไม่รู้นี่”

   “เห็นไหมล่ะ มีอะไรไม่บอกแม่ ตัวเองก็จัดการไม่ได้”

   “ค้าบ รู้แล้วครับ ยอดคุณแม่”

   “หนุ่ย” เอียงแก้มซบตักคุณแม่ ประจบประแจงไม่ได้หยุด เป็นที่น่าหมั่นไส้มาก
   
   “ทีหลังมีอะไรก็มาบอกแม่ อย่างน้อยถึงแม่จะช่วยลูกไม่ได้ แต่เราก็ช่วยกันคิดได้ว่าจะเอายังไงต่อไป”

   “นี่แม่ยังพูดเรื่องเพื่อนคนนั้นอยู่หรือเปล่าครับ”

   พี่นิวย้อนถามหน้าทะเล้น จนคุณแม่ผลักหัวออกไปอีกที

   “เรื่องขี้แยมีแค่นี้เองเหรอครับคุณแม่”

   ผมถามด้วยความเสียดาย และมีความรู้สึกว่า คุณแม่น่าจะยังกั๊กอะไรไว้อีก
   
   “หมดแล้ว จะเอาอะไรอีก มีแต่เรื่องสมัยเด็ก ๆทั้งนั้นแหละ”

   พี่นิวเล่นตัดบทไปเลย แต่ “ยอดคุณแม่” ไม่ยอมตามน้ำ

   “ใครว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ก็มีนะ”
 
   “แม่”

   อีกครั้งที่ “หนุ่ย” ลากเสียงยาว อ้อนคุณแม่สุดฤทธิ์

   ผมส่งสายตาอยากรู้ไปให้คุณแม่ ไม่กล้าคะยั้นคะยอมากครับ แต่ดูทีท่าคุณแม่ก็อยากเล่าอยู่

(ตกลงว่าคุณแม่รักผมหรือว่ารักพี่นิวมากกว่ากันครับ)

   “ก็สักสองปีได้มั้ง ใครไม่รู้มานั่งบีบน้ำตากับแม่....”

   “แม่”

   มาอีกแล้วครับเสียงของ “หนุ่ย”

   “จะเป็นจะตายให้ได้ ถ้าไม่ได้น้อง”

   “หนุ่ย” เงียบ แต่หน้าคว่ำไปแล้ว

   ผมกำลังตั้งใจฟัง อยู่ดี ๆ พี่นิวก็ลุกขึ้นเดินออกไป ท่าทางงอน ๆ

   “ช่างเขาเหอะ ทำเป็นโกรธไปงั้นแหละ ที่จริงน่ะอาย”

   ผมกำลังจะขอตัวตามพี่นิวไป แต่คุณแม่ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

   “ก่อนที่แม่จะไปขอนูกับที่บ้านน่ะ แม่ก็คิดแล้วคิดอีกอยู่นานเลยนะ โทรไปปรึกษาพ่อเขาด้วย ว่าจะทำยังไงดี

เมื่อลูกเราก็ดูจะอาการหนักขึ้นทุกวัน”

   คุณแม่ลูบหัวผมแล้วยิ้ม

   “พี่เขาคงรักนูมากนะ อาจจะจำแนกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า ระหว่างรักน้องกับรักนู อย่างไหนมันจะมากกว่ากัน

แต่แม่รู้ว่าเขาทั้งรักทั้งเป็นห่วงนู เขาเคยอยากจะมีน้อง แต่แม่ไม่ค่อยแข็งแรง คุณพ่อตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีเวลา

เราก็เลยตัดสินใจมีลูกแค่คนเดียวพอ ความรู้สึกอยากมีน้องมันคงฝังใจเขาอยู่ จนเขามาเจอนู ก็อาจจะตกหลุมรักมั้ง

แล้วไป ๆมา ๆก็เลยเป็นแบบเนี้ยะ แม่ก็คิดว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ได้ทั้งน้องได้ทั้งแฟน พ่อเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

ก็เลยตกลงใจไปขอนูมาเป็นลูก.....อะไรดีล่ะ”

   คุณแม่พูดเองก็ขำเอง คงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้ผมอยู่ในฐานะไหนดี แต่บรรยากาศไม่ได้น่าอึดอัดสำหรับผมเลย

ตลอดเวลาของการพูดคุย ไม่มีช่วงไหนที่จะเครียดหรือกดดันสักนาทีเดียว


   จะสรุปว่าคุณแม่เป็นคนสมัยใหม่ก็ไม่ใช่ เพราะหลายอย่างยังยึดติดธรรมเนียมปฏิบัติแบบคนเก่า ๆอยู่ เช่นการทำบุญ

การไหว้บรรพบุรุษ ความเคารพที่ภรรยาพึงมีต่อสามี ไม่ห้วนกร้าว ทั้งที่นอกบ้านเวลาทำงานต่อหน้าลูกน้อง

คุณแม่ก็ดูกระฉับกระเฉง ดูเป็นผู้หญิงทำงานคนหนึ่งทีเดียว

   สำหรับคนในครอบครัว ซึ่งรวมผมอยู่ด้วย ผมเชื่อว่า ไม่ว่าคนในบ้านจะประสพปัญหาเรื่องใด

ไม่ว่าคนในครอบครัวจะผิดหรือจะถูก คุณแม่ก็พร้อมที่จะยืนหยัด ต่อสู้ อยู่เคียงข้างด้วยความรัก ความเอื้ออาทร

และพร้อมที่จะเข้าใจพวกเราเสมอ

   ผมออกจากห้องคุณแม่มาด้วยความตื้นตัน ผมว่าพักหลังมานี่ คุณแม่กับผมสนิทสนมกันมากขึ้น

หลายเรื่องราวที่คุณแม่เล่าให้ฟัง และในบางเรื่องที่เราได้ปรึกษากัน แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ

ราวกับผมเป็นคนในครอบครัวนี้มาตั้งแต่เกิด ทำให้ผมยิ่งรักและเคารพคุณแม่มากขึ้นเป็นทวีคูณ

จะว่าไปแล้ว นอกจากพี่นิวจะเป็นคนที่กำหัวใจผมไว้ทั้งดวงแล้ว ผมว่าคุณแม่นี่แหละ ที่กุมมือพี่นิวไว้อีกทีหนึ่ง




     


..ต่ออีกนิด...
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-10-2012 23:54:26


    ผมเดินตามหาคนแกล้งงอนเสียรอบบ้าน เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ เว้นที่เดียวที่ผมยังไมได้หา

คือตรงระเบียง เพราะตอนนั้นมันค่ำแล้ว ที่ระเบียงก็มืด และผมก็ไม่คิดว่าพี่นิวจะไปนั่งซุ่มอยู่

   “แล้วตะกี้ผมเปิดประตูเข้ามาก็ไม่เรียกผมสักคำนะครับ”

   “ใครจะไปรู้ล่ะว่านูตามหาพี่”

   “แต่พี่นิวก็น่าจะอยากอยู่กับผมตามลำพังไม่ใช่เหรอครับ”

   นั่น....แปลให้เขาผิดได้อีกนะไอนู

   “ไม่รู้นี่ นึกว่าอยากอยู่คุยกับแม่ พี่ก็จะตามใจล่ะ”

   แกล้งงอนอยู่ตะกี้ เกิดจะงอนจริงขึ้นมาหรือไงครับพี่นิวของผม

   “หนุ่ย”

   ผมเรียก แต่เขาไม่ขาน

   “หนุ่ยครับ”

   “ไปหนุ่ยไกล ๆเลย”

   “โถ่ ๆๆ ผมล้อเล่นหรอก”

   ผมเดินไปประคองกอดคนที่นั่งชันเข่าอยู่บนเสื่อ มีหมอนใบใหญ่ กับผ้าห่มวางอยู่ข้าง ๆ

ยังกับเตรียมตัวจะมานอนตากน้ำค้างเลย

  พี่นิวไม่กอดตอบ แต่ก็ไม่ขัดขืน ผมก็ยิ่งได้ใจ หอมแก้มเขาอีก เผื่ออารมณ์จะดีขึ้น ที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วว่าเขาแกล้งงอน

ทั้งที่อายอย่างที่คุณแม่บอก แต่เราอย่าไปรู้ทันเขาดีกว่า...ว่าไหม

   “แม่เล่าอะไรให้ฟังเหรอ”

   “เล่าตอนก่อนที่จะไปขอผมกับที่บ้าน”

   “เล่าว่าไง”

   ผมเล่าคร่าว ๆ เพราะใจความส่วนใหญ่พี่นิวเขารู้อยู่แล้ว แต่เขาถามผมก็ตอบไปสั้น ๆ

   “แล้วแม่บอกไหมว่าทำไมต้องไปขอ”

   พี่นิวดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ จนแทบจะเกยตักเขาอยู่แล้ว
 
   “บอกครับ”

   ผมหยุด ไม่พูดต่อ เพราะยังคิดเหมือนเดิมว่าพี่นิวรู้เรื่องดีอยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องเล่า

   “แล้วไง ทำไมไม่พูดว่าแม่บอกว่าไง”

   “อ้าว....พี่นิวก็รู้แล้วจะมาถามผมทำไมล่ะครับ”

   “ก็อยากได้ยินนูเล่า”

   เกเรนะเนี่ย....ผมไม่ค่อยจะเข้าใจเขาเลย จะมาคาดคั้นอะไรกับสิ่งที่เขาก็รู้อยู่แล้ว

   “คุณแม่บอกว่าพี่นิวรักแล้วก็เป็นห่วงผมมาก”

   พี่นิวพยักหน้า

   “คุณแม่บอกว่าพี่นิวสับสนระหว่างความรู้สึกรักน้องกับรักผม”

   คิ้วเฉียง ๆ ขมวดเข้าหากัน แต่ก็ยังผงกหัวรับ

   “คุณแม่ก็เลยคิดว่าไปขอผมมาซะเลย ได้ทั้งน้องได้ทั้งแฟน”

   “ไม่เห็นมีตอนที่พี่ขี้แยเลย แม่อำอีกแล้วอะ”

   “แล้วพี่นิวขี้แยจริง ๆเหรอครับ”

   “ไม่เอา ไม่บอก”

   “ไม่บอกก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมอยากรู้เท่านั้นแหละ”

   “อยากรู้จริง ๆเหรอ”

   ผมพยักหน้าให้ทีหนึ่ง พี่นิวก็เอียงหน้าทำแก้มป่องส่งมาให้ ผมกดจุ๊บลงไปทีหนึ่งหนัก ๆ จนลมที่แก้มพุ่งออกมาทางปาก

ให้เราขำกันสองคน

   “พี่ไปขอร้องให้แม่ไปขอนูมาอยู่ด้วย แต่แม่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่รู้จะพามาอยู่ในฐานะอะไร ที่บ้านนูก็ไม่ได้ลำบากขัดสน

ถึงขนาดต้องส่งลูกให้คนอื่นอุปการะ พี่บอกแม่ว่าก็บอกไปตรง ๆ ว่าขอมาให้พี่”

   “บ้านแตกพอดี”

   “แม่ก็ว่างั้น พอไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรแม่ก็เลยไม่เล่นด้วย พี่คุกเข่าหน้าแม่ตั้งนาน”

   “ทำไมต้องคุกเข่า”

   “ขอร้องไง พี่บอกแม่ว่า ให้นูมาอยู่ตอนที่พี่ไปเรียนกรุงเทพแล้วก็ได้ ถ้าแม่ยังทำใจไม่ได้ แม่บอกว่า

ไม่ใช่ทำใจไม่ได้ แต่แม่ไม่มีเหตุผลดี ๆ ไปบอกกับที่บ้านนู แล้วแม่ก็เลยโทรไปปรึกษาพ่อ ตอนนั้นแหละ

ที่พี่นั่งคุกเข่ารอให้แม่พูดกับพ่อจนจบ”

   ผมยังนิ่งฟังพี่นิวพูดต่อไปอย่างตั้งใจ

   “แม่โต้ตอบกับพ่อนานมาก พี่ได้ยินแต่ที่แม่ตอบ เหมือนพ่อจะไม่เห็นด้วยพ่อคิดเหมือนแม่ พี่ก็เริ่มจะใจเสียแล้วล่ะ

ตอนนั้น พ่อก็เพิ่งจะได้รู้ว่าพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง พ่อขอคุยกับพี่ก่อน พี่ว่าเหมือนพ่อจะช็อกนะ

แต่สุดท้ายก็ขอคุยกับแม่ต่ออีกสักพัก แล้วก็สรุปมาเป็นแบบนี้”

   “โห สั้นจัง แล้วพี่นิวขี้แยตอนไหนอะ”

   “อยากรู้ซะจริง ๆนะ”

   พี่นิวตบแก้มผมเบา ๆ คงจะรำคาญที่ผมไม่ยอมให้ข้ามเรื่องนี้ไป

   “ตอนพูดกับพ่อ.....ตั้งแต่โตมานี่พี่ไม่เคยร้องไห้นะ เวลาที่พี่กับพ่ออยู่ด้วยกัน พ่อจะสอนให้พี่เข้มแข็งสมกับเป็นลูกผู้ชาย

น้ำตานี่อย่าให้พ่อเห็นเป็นอันขาด พี่ก็ทำอย่างนั้นมาตลอด”

   “แต่ผมเคยเห็น”

   “เห็นอะไร”

   “พี่นิวร้องไห้”

   คิ้วเฉียง ๆ เริ่มขมวดปมหลวม ๆอีกแล้วครับ คงนึกอะไรขึ้นได้

   “อย่าขุดคุ้ยเรื่องเก่าสิ”

   “ไม่ได้ขุดคุ้ย แค่อยากจะเตือนความจำ ว่าพี่นิวก็เคยขี้แย แล้วผมก็เป็นผ้าเช็ดหน้า”

   “ฮ่า ๆ ๆ”

   “ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ก็มีประโยชน์นะเห็นป่าว”

   “เห็นครับ ผ้าเช็ดหน้าอะไรไม่รู้ ยังกับผ้าขี้ริ้ว ดูซิ ตั้งแต่เช้าน่ะ อาบน้ำมั่งรึยัง หัวก็เหม็น”

   พี่นิวพิสูจน์กลิ่นด้วยการดมกระหม่อมผม

   “ตัวก็เหม็น”

   แล้วจะมาซุกที่คอผมทำไมเนี่ย

   “นี่ก็เหม็น”

   เอ้า....เหม็นแล้วจะเลื้อยลงไปทำไมตรงนั้น ผมจิกผมพี่นิวขึ้นมาก่อนที่เขาจะซุกลงไปต่ำกว่าใต้เอว

   “เดี๋ยวนี้จิกหัวพี่เหรอ...หือ”

   “ก็ไม่มีที่จะจับนี่ ทีพี่นิวยังเคยจิกหัวผมได้เลย”

   “นั่นมันอารมณ์พาไป ฮ่า ๆ ๆ”

   โอ๊ยยยย...เส้นตื้นจริ๊งคนอะไร พูดเองผมก็อายเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเราพูดถึงเรื่องอะไรกัน ก็เลยจะเปลี่ยนเรื่องพูด

ให้มันไกลเตียง เอ๊ย ไกลตัวหน่อย

   “จะกลับไปสอบวันไหนครับ”

   “พรุ่งนี้ไฟลท์ดึก”

   “หา!!!”

   มือใหญ่ ๆ ยกมาปิดปากผมไว้

   “จะตะโกนทำไมเนี่ย ตกใจหมด”

   “พี่นิวแหละทำผมตกใจ”

   “ตกใจอะไร”

   “ไม่ต้องมาทำไขสือ มาค้างแค่สองคืนเนี่ยนะ”

   “ก็ยังดีกว่าไม่มาไม่ใช่เหรอครับคนดี”

   พี่นิวกอดผม แล้วรั้งเข้าไปแนบอกแทนการพูดปลอบ...ผมเสียขวัญนะนั่นน่ะ

   “พรุ่งนี้จะได้ไปทำบุญวันเกิดด้วยกันไงดีไหม”

   ผมพยักหน้าเอื่อย ๆ.....มันก็ถูก แต่มาให้ชื่นใจแค่นี้ แล้ววันต่อ ๆ ไปล่ะ ผมคิดแค่นั้นแหละ ไม่อยากคิดอะไรไปล่วงหน้า

สู้ใช้เวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันตอนนี้ให้คุ้มค่าดีกว่า

   เราสองคนผลัดกันเล่าเรื่องระหว่างที่เราต้องแยกกันอยู่ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วที่เรื่องราวของเขาจะมีสีสันน่าสนใจกว่าเรื่องของผม

เพราะได้ไปอยู่ในสังคมใหม่ พบสิ่งแปลกใหม่ มีเรื่องราวใหม่ ๆ กับเพื่อนใหม่ ๆ แทบทุกวัน เรื่องของผมถูกพับเก็บ

หลังจากที่ผมเล่าเรื่องเรียน กับเรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ให้ฟัง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดกับผม

พี่นิวล้วนแต่ผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาหมดแล้ว อะไรที่เขายังไม่รู้ก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่เราจะเอามาคุยกันในคืนนี้

หรืออย่างน้อย มันก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่พี่นิวอยากจะรู้ในเวลานี้

   พี่นิวขยันดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือเสียจริง เหมือนเขาจะมีนัดกับใคร หรือว่ารอสายใครอยู่ ผมก็รู้สึกตะหงิด ๆ อยู่ในใจ

นิดหน่อยว่า เวลาที่มีน้อยนิดของเรา ยังจะถูกใครเบียดบังได้อีกอย่างนั้นหรือ แต่ผมก็ไม่ปล่อยให้มันมารบกวนจิตใจนานหรอก

ก็บอกแล้วว่าเวลามีน้อยต้องใช้อย่างคุ้มค่า

   เรานอนคุยกันใต้แสงดาวจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมถอนใจอย่างแรงพร้อมกับความอดทนที่กำลังจะสิ้นสุด

แต่คนข้างกายผมเหมือนจะไม่รับรู้อะไร จากที่เรานั่งอิงกันอยู่ พี่นิวก็ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบ

ใต้ฟ้าและหมู่ดาว มีเหล่าจิ้งหรีดและจักจั่นเป็นดนตรีประกอบ

   ผมได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ สบตาพี่นิวในความมืด เสียงทุ้มนุ่มขับขานเป็นเสียงตัวโน้ตที่เพี้ยนเสียจนผมคิดว่า

คงไม่มีนักแต่งเพลงคนไหนในโลกจะทนฟังได้นานเท่าผม

   แต่ผมไม่ใช่นักแต่งเพลง และถึงผมจะชอบฟังเพลงที่ไพเราะ ผมก็มั่นใจว่า ไม่มีเพลงไหนในโลก

ที่จะไพเราะเท่ากับเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ ในค่ำคืนนี้อีกแล้ว

   เสียงเพลงจบลงด้วยคำว่า

   “สุขสันต์วันเกิดนะครับ คนดีของพี่”

   พร้อมกับโลหะเย็น ๆ ที่ถูกสวมมาบนนิ้วชี้มือข้างที่ผมถนัด ผมกำลังจะเอ่ยปากถามว่า ทำไมต้องเป็นนิ้วนี้

คำตอบก็มา

   “แทนหัวใจของพี่ นูชี้เป็นชี้ตายพี่ได้ทั้งชีวิต ไม่มีนิ้วไหนจะเหมาะเท่านิ้วนี้อีกแล้ว”


   
   ขอบคุณพี่นิวที่รักผม

   ขอบคุณที่ให้เกียรติผมได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตพี่

   ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกชายที่แสนดีให้ผมได้รัก

   ขอบคุณพ่อกับแม่ ที่ให้ผมได้มีชีวิตอยู่เพื่อที่จะรัก....คนที่แสนดีที่ชื่อ “พี่นิว”



  จบตอน Series:The Third Page.
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 18-10-2012 00:23:04
โรแมนติกเนอะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 18-10-2012 01:06:03
แอบตกใจ นึกว่าพี่นิวมีกิ๊ก ฮ่าๆๆๆ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 18-10-2012 07:12:30
น่ารักอ่ะ มีแต่ความรักจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THETHIRD PAGE 17.10.2555 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 18-10-2012 07:30:56
 :m31:  อิจฉาอ่ะ  หวานมากมาย    :fire:   อยากได้แบบนี้บ้าง


ืื               รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555 สักครู่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-10-2012 00:15:45
ขอใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะลงตอนใหม่ให้จบตอนไปเลยนะครับ

เพราะอาทิตย์หน้าอาจจะไม่ได้เข้ามายาว








     ผลการสอบเป็นไปตามที่ผมคาดหมาย ผมได้คณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัยบ้านเกิด (ไม่ต้องไปไหนกันพอดี)

เข้มได้ไปเรียนต่างจังหวัด มันลงคณะของมหาวิทยาลัยที่บ้านเกิดเหมือนกัน

แต่ที่นั่นคะแนนสูงเกินความสามารถไป ก็เลยได้อีกจังหวัดหนึ่ง

     ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความดีใจกับผม ทีแรกคุณแม่จะจัดงานเลี้ยงให้ผมกับเพื่อน ๆ

ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียน   แต่เอาเข้าจริง ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่จะต้องตระเตรียมหลายอย่างจนไม่สนใจงานเลี้ยง

คงมีแต่ผมกับเข้มที่พบกันทุกวัน

กระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่เข้มจะกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย

   “มึงจะคิดถึงกูไหม”

   เข้มทำหน้าเหมือนหมาหงอยเลยตอนที่มันถามผมด้วยความไม่มั่นใจ

   “อืม...ไม่คิดถึงได้ไง เราคบกันมาตั้งกี่ปี”

   ผมพูดตามความรู้สึกจริง ๆ ทั้งหมดก็มีเพียงความเป็นเพื่อนที่สนิทยิ่งกว่าใคร

   “แต่กูคงคิดถึงมึงไปตลอด...นี่กูก็บอกเลิกแฟนแล้วนะเว้ย...กะว่าไปอยู่ทางโน้น กูจะเล็งไว้สักคน”

   “เล็งไว้ทำอะไร”

   ผมถามกลับไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

   “ไว้ทำเมีย”

   ดูมันตอบมาหน้าตาเฉย

   “ไอ้บ้า!”

   “กูพูดจริง ๆนะ แต่ไม่เอาเมียผู้หญิงหรอก กูจะหาผู้ชายที่หน้าตาเหมือนมึง”

   “ไอ้ชั่ว!”

   ไม่รู้จะด่ามันยังไง ผมเองก็เขินที่มันยังฝังใจกับผมไม่เลิกราเสียที

   “ถ้าวันไหนมึงทิ้งพี่นิว มึงไปหากูนะ กูจะรอ”

   “ปากวอนตีนนะมึงน่ะ”

     ผมด่าพลาง หัวเราะพลาง มันเองก็พลอยหัวเราะไปกับผมด้วย มันรู้ว่าผมเข้าใจเจตนาของมัน...

มันรู้ว่าผมไม่มีวันทิ้งพี่นิวได้หรอก มันก็เลยพูดแบบนั้น ใจจริงมันคงอยากจะพูดในทำนองกลับกันมากกว่าว่า....

วันไหนพี่นิวทิ้งผม ให้ผมไปหามัน....ที่มันไม่พูดคงเพราะกลัวผมจะใจเสียและคิดมาก

   “กูซีเรียสนะนู...เอาเป็นว่า ถ้าวันไหนมึงต้องเสียใจเพราะพี่นิว มึงต้องบอกกู ห้ามปิดบัง”

   “มึงจะทำไม”

   “ถามตอนนี้กูก็ไม่รู้หรอก แต่ขอแค่มึงสัญญามาว่า มึงต้องส่งข่าวให้กูได้รู้ อย่างน้อยให้นึกว่า

กูเป็นเพื่อนที่เป็นห่วงมึงที่สุดก็พอ”




   วันที่ผมไปส่งเข้มที่ท่ารถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด พี่นิวก็อยู่กับผมด้วย เข้มพูดในสิ่งที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน....

ว่ามันจะกล้าพูดอะไรเชย ๆ แบบนั้น (555)

   “พี่จำไว้นะ ว่านูเป็นเหมือนหัวใจของผม วันไหนที่พี่ทำให้มันเสียใจ ผมไม่ไว้พี่แน่”

   พี่นิวทำหน้าขึงขัง

   “ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่เข้มเหอะ อย่ามายุ่งกับคนของพี่ก็แล้วกัน”

   “อ้าว....ทำไมพี่นิวพูดแบบนี้ละครับ ผมกับมันน่ะ เพื่อนกันนะ ไม่ยุ่งกันได้ไง”

   พี่นิวทำหน้างอ เพราะคำพูดของผมเหมือนจะเข้าข้างเข้ม แต่ผมก็ต้องพูดกันให้เข้าใจก่อนว่าอะไรเป็นอะไร

เผื่อวันหน้าพี่นิวจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับความเป็นเพื่อนระหว่างเรา ผมจะได้โต้แย้งได้บ้าง

   “แล้วเข้มเค้าคิดว่านูเป็นเพื่อนหรือเปล่าล่ะ”

   พี่นิวพึมพำเสียงไม่เบานัก เข้มก็มีทีท่าว่าจะไม่ยอมกัน จนผมต้องไล่มันให้ขึ้นรถไปก่อนที่จะเป็นเรื่อง

   “มึงต้องติดต่อกูนะ เบอร์กูมึงห้ามทิ้งนะ มึงก็เหมือนกัน เปลี่ยนเบอร์เมื่อไรบอกกูด้วย”

   “เออ...ไปได้แล้ว”

   “อะไรว้า ไล่กูจัง...ขอกอดหน่อยดิ”

   เข้มทำหน้าสลดเอาจริงเอาจัง

   “รุ่มร่ามนะมึง อายเขามั่งเหอะ คนเยอะแยะ”

   เข้มไม่ฟังอีร้าค่าอีรมโผเข้ามากอดผมหน้าตาเฉยโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ส่วนพี่นิว ได้แต่ยืนมองตาโต ทำอะไรไม่ได้

กลัวคนจะมองแล้วสงสัยว่าเราเป็นอะไรกัน ส่วนผมก็ไม่อยากให้เข้มมันเก้อ แล้วอีกอย่างผมก็อยากเก็บความรู้สึกดี ๆ

ระหว่างเราสองคนไว้ในใจเหมือนกัน สองแขนผมก็เลยกอดตอบเข้ม แล้วพอคลายอ้อมกอด เข้มมันก็ยังก้มหน้า

แต่ยังจับมือผมไว้แน่น เสียงที่มันพูดมาเบา ๆ สั่นเครือจนผมเองก็น้ำตาซึมไปเหมือนกัน

   “นู อย่าลืมกูนะ...กูรักมึง”

     เราจากกันด้วยความรู้สึกดี ๆ และยังติดต่อกันตลอดปีแรกที่ห่างกัน แล้วก็ค่อยแผ่วลงในปีต่อ ๆมา

เพราะต่างคนต่างก็มีภาระ ประจวบเหมาะกับที่มันบอกผมว่า มันเจอคนที่ถูกใจแล้ว หน้าไม่เหมือนผม

แต่นิสัยเหมือนกันเลย คือไม่รักมัน (555) แต่มันก็ขยันตามจีบเช้าถึงเย็นถึงจนได้เป็นแฟนกันในที่สุด

   ผมลิ้มรสชีวิตนักศึกษาปีหนึ่งอย่างเบื่อ ๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยึดมั่นกับการเรียนก็คือ...สิ่งที่ผมจะต้องเป็นให้ได้

.....เหตุเพราะครอบครัวของผมค้าขาย พ่อพอมีความรู้ระดับมัธยมต้น ส่วนแม่แค่พออ่านออกเขียนได้

แรงกดดันจากญาติฝ่ายพ่อทำให้ผมคิดแค่ทำอย่างไรถึงจะเรียนให้จบปริญญาให้ได้

เรียนจบแล้วจะต้องทำงานดี ๆ ที่ใคร ๆ จะต้องยกย่อง หรือไม่ก็ยกมือไหว้ ทัศนคติของคนในครอบครัว

ที่ผมซึมซับมันมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผมต้องพยายามเรียนเพื่อให้ญาติพ่อยอมรับผม

เพราะนั่นหมายถึงว่าใครก็จะมาว่าแม่ผมไม่ได้ว่าเรียนน้อยแล้วยังเลี้ยงลูกไม่ได้ดี



      ในขณะที่ผมตะลุยอยู่ในสังคมใหม่ของมหาวิทยาลัย พี่นิวก็กำลังคร่ำเคร่งกับหลักสูตรชั้นปีสาม

จนเราแทบไม่มีเวลามาหากัน มีที่พึ่งอย่างเดียวก็คือโทรศัพท์ แต่มันก็ไม่เคยพอ

ผมถวิลหาเขาอยู่ตลอดเวลา ด้วยว่าในมหาวิทยาลัยนี้ผมมีเพื่อนไม่มากนัก

ไหนจะนิสัยที่คบคนยากของผมทำให้เพื่อน ๆ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้

   พอดีเหลือเกินที่ผมได้เจอคนที่มีลักษณะคล้าย ๆกัน คือขาดมนุษยสัมพันธ์ คุยไม่เก่ง

แถมเรียนหนังสือปานกลาง ส่วนดีที่สุดในตัว “อ๋อง” ก็คือ ความเป็นคนมีน้ำใจ แต่นั่นแหละ

กว่าที่มันจะกล้าหยิบยื่นน้ำใจให้ใคร มันก็ต้องสนิทกับคน ๆนั้นก่อน ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลา

ส่วนผมไม่ใช่คนขาดมนุษยสัมพันธ์ อาจจะเป็นที่ผมต้องระมัดระวังตัวไม่ให้หลุด (เรื่องที่ผมมีคนรักเป็นผู้ชาย)

ดังนั้นผมก็เลยดูเป็นคนเงียบ ๆ ในสายตาเพื่อน นอกจากว่าได้คบกันจนเป็นเพื่อนสนิทผมก็ช่างคุย

คุยได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของตัวเอง....นี่ล่ะจุดอ่อนของผมที่ทำให้เพื่อนไม่ค่อยกล้าคบหาสนิทสนมด้วย

และเพราะว่าไม่มีเพื่อนฝูงที่จะไปสังสรรค์กันนอกเวลาเรียน ยามว่างของผมก็เลยกลับบ้าน

ทั้งที่ปีหนึ่งทุกคนจะต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย แต่หอพักในเวลานั้นเป็นที่ซุกหัวนอน

ระหว่างคืนวันจันทร์ถึงคืนวันพฤหัสเท่านั้น นอกนั้นผมจะกลับมานอนที่บ้านพี่นิวตลอด

     ราว ๆ ต้นเทอมสองของปีหนึ่งนั่นเอง ที่คุณแม่เริ่มไม่สบาย ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณแม่มีโรคประจำตัวคือโรคหอบ

ก่อนหน้านั้นที่ผมไม่เคยเห็นอาการหอบก็เพราะคุณแม่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมาตลอด และไม่เคยห่างยา

ไหนจะกิจการของบ้านพี่นิวที่มีคุณแม่เป็นคนบริหาร เริ่มมีปัญหาหมุนเงินสดไม่ทัน

คุณแม่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องลดค่าใช้จ่ายบางอย่าง ลดจำนวนคนงาน

ในขณะที่กิจการกงสีของครอบครัวใหญ่ที่คุณพ่อนั่งเก้าอี้บริหาร และมีคุณแม่เป็นผู้จัดการแผนกบัญชี

ก็ต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ทำให้คุณแม่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดบ่อยขึ้น ทำงานหนักขึ้น


   ผมพอมีเวลาว่างก็เลยช่วยงานได้บ้างในวันหยุด ทำให้เวลาส่วนตัวของผมเริ่มน้อยลง

แต่ยังไงเรื่องเรียนผมก็ไม่ให้เสีย แค่ไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ

นั่นยิ่งทำให้สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนในชั้นเรียนกับผมห่างเหินกันมากขึ้นไปอีก

ระหว่างนั้นผมก็เลยมีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวคืออ๋อง

     เหนื่อยมากเข้า เวลาว่างก็น้อยลง ผมกับพี่นิวก็ติดต่อกันน้อยลงไปด้วย เพราะเวลาว่างไม่ค่อยจะตรงกัน

เขาโทรมาตอนดึก ผมก็เข้านอนแล้วด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนกลางวันนอกเวลาเรียน

ผมก็ไม่กล้ากวนเพราะไม่รู้ว่าเขาจะว่างหรือเปล่า  ก็เหลือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งหลายครั้งที่พี่นิวจะทำกิจกรรมกับเพื่อน

เราก็เลยไม่มีโอกาสได้คุยกัน

     ที่บ้านผมเองก็มีปัญหาคนงานชายขาดอยู่บ่อย ๆ มีแต่คนงานหญิง ที่ใช้ให้ยกของหนักก็ไม่ได้

แม่กับพ่อต้องลงมือเอง ผมต้องไปช่วยเก็บร้านทุกวันประมาณสองทุ่ม และตอนเช้าประมาณตีห้า

ผมก็ต้องตื่นไปช่วยยกของออกมาวาง โชคดีที่ผมเหนื่อยอย่างนี้ไม่กี่วัน พ่อก็หาคนงานชายได้ เป็นพม่า

พอพูดกันรู้เรื่อง เพราะมาอยู่เมืองไทยหลายปีแล้ว (แต่ยังไงก็เป็นแรงงานเถื่อน ให้ออกมาหน้าร้านไม่ได้ครับ

เจอตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ได้เดือดร้อนกันอีก)

     คุณแม่รู้ว่าผมต้องเดินทางมาที่ร้านแม่ทุกวัน ไปมหาวิทยาลัย แล้วยังต้องไปช่วยงานคุณแม่ที่บริษัทอีก

ก็เลยบอกว่าจะหารถให้ผมใช้คันหนึ่ง ให้ผมไปเรียนขับรถ ผมคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน

เพราะเทอมสองเป็นฤดูฝนแล้ว ผมขี่มอเตอร์ไซค์ร่อนไปร่อนมา เจอฝนก็เปียกปอน

หรือถ้าตกหนักมาก ๆ ก็ต้องแวะหลบฝนก่อน ลำพังพ่อก็คงไม่คิดจะซื้อให้

เพราะเราไม่มีความจำเป็นต้องมีรถยนต์ถึงสองคัน แค่รถกระบะที่พ่อใช้คันเดียว ไปไหนมาไหนก็สะดวกพอแล้ว

แถมยังบรรทุกของได้อีก และผมยังเป็นเด็กในสายตาพ่อ ก็เลยไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเสียเงินซื้อรถ

พ่อบอกว่าจะทำให้ผมฟุ้งเฟ้อเกินตัว


      ผมหาเวลาไปเรียนขับรถ ยังไม่ทันได้ไปสมัครเลยด้วยซ้ำ เรื่องก็มาหาถึงบ้าน


      อาสะใภ้คนที่มีลูกสาวฝาแฝด แวะมาเยี่ยมที่บ้านในเย็นวันหนึ่ง พาพี่เอิบกับพี่เอื้อมาด้วย

เห็นว่าจะให้ทำงานที่ห้างของคุณแม่ ตามที่คุณแม่เคยชวน แต่ตอนนั้นกับตอนนี้ฐานะทางการเงินของกิจการเปลี่ยนไปแล้ว

เราไม่มีเงินจะจ้างพนักงานเพิ่มแม้แต่คนเดียว ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ผมทำงานให้ยังไม่มีค่าตอบแทนเลย

นอกจากเงินรายเดือนที่เคยได้ ซึ่งพอเรียนมหาวิทยาลัยคุณแม่ก็จ่ายเพิ่มให้ ส่วนพ่อก็เพิ่มให้นิดหน่อย

ทำให้ผมพอจะมีเงินใช้จ่ายอย่างไม่อัตคัด

   คุณแม่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลตามนิสัย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมเข้าใจ คุณแม่บอกว่าขอผัดไปก่อน

ระยะนี้ห้างกำลังมีปัญหา ไม่ได้ระบุให้อาสะใภ้รู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่อาสะใภ้ก็ช่างฉลาดปราชญ์เปรื่อง

ที่เดาได้ว่าเป็นเรื่องเงิน เรื่องมันก็เลยมาพาลเอาที่ผม ระหว่างนั้นผมไม่ได้เข้าไปร่วมวงคุยด้วย

เพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“ได้ยินมาว่าคุณพี่จะซื้อรถคันใหม่เหรอคะ”

“ก็ว่าจะหารถมือสองดี ๆซักคันน่ะ”

“ที่ห้างกำลังมีปัญหาการเงิน แล้วทำไมถึงคิดจะซื้อรถล่ะคะ”

“พี่จะซื้อไว้ให้นูเขาใช้เวลาไปไหนมาไหนจะได้สะดวก วัน ๆหนึ่งเขาไปมาหลายที่ ไหนจะไปช่วยงานพี่ที่ห้าง

ไปที่ร้านในตลาด แล้วยังไปเรียนอีก นี่ก็หน้าฝนแล้ว จะได้ไม่ลำบาก”

“ทีเอื้อยจะฝากลูกทำงานบอกว่าไม่มีเงินจ้าง แต่ทำไมถึงซื้อรถได้”

    สิทธิ์ของเจ้าของกิจการแท้ ๆ คนอื่นยังกล้ามาตำหนิได้ ลำพังผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์

ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ รถมอเตอร์ไซค์ที่ผมใช้ก็ยังอยู่ในสภาพดี ผมอยากจะตอกหน้าอาสะใภ้แต่เกรงใจคุณแม่

เพราะรู้ว่ามันไม่ควร เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าผมมาก อย่างน้อยเขาก็เป็นสะใภ้

ในขณะที่ผมไม่ได้มีอะไรเกี่ยวดองกับบ้านนี้เลย

     หลังจากที่สามแม่ลูกกลับไปแล้ว คุณแม่มองมาที่ผมอย่างเห็นใจ ซึ่งผมเข้าใจคุณแม่ดีว่าเป็นคนกลางคงลำบากใจมาก

“เรื่องรถ คุณแม่ไม่ต้องซื้อให้ผมหรอกครับ จะได้ไม่มีปัญหา”

“แต่แม่รับปากนูแล้ว แล้วเขาเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในกิจการของเราเลย แม้แต่ในบริษัทกงสีทางโน้น

เขาก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีตำแหน่งอะไร นูอย่าไปสนใจเลยนะ”

“อย่าเลยครับ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้เรามีเรื่องต้องใช้เงินอีกมาก เงินที่จะซื้อรถให้ผมเก็บไว้ใช้ก่อนดีกว่า

แค่นี้คุณแม่ก็เหนื่อยจะแย่แล้วนะครับ”

“นูก็เหนื่อย ทั้งเรียนทั้งช่วยงานสองบ้าน แม่ก็อยากให้ไปไหนมาไหนคล่องตัวหน่อย”

“มอเตอร์ไซค์นี่แหละครับ คล่องที่สุดแล้ว คุณแม่คิดดูสิครับ เวลารีบ ๆ รถก็ติดน่ะ ผมเข้าซอกซอยทางลัดได้สบาย ๆ เลย”

    ผมพยายามพูดให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจ เหตุผลที่ยกมาอ้างก็เป็นเรื่องจริง

    จนในที่สุดคุณแม่ก็สรุปว่าจะยังไม่ซื้อในตอนนี้ จะรอให้การเงินคล่องตัวกว่านี้ค่อยคิดกันอีกที

เรื่องเรียนขับรถของผมก็เป็นอันพับไป ความจริงคุณแม่ให้ไปเรียนก่อน

แต่ผมคอยแต่จะผัดวันประกันพรุ่ง จนไม่ได้ใส่ใจมันอีกเลย

      จนกระทั่งเรื่องก็มาอีกในระลอกสอง

     ผมไม่รู้ว่าคุณแม่ตัดสินใจจะยกรถบีเอ็มดับเบิลยูคันที่ใช้อยู่ให้ผม เพิ่งมารู้เอาวันที่อาสะใภ้มาที่บ้านอีกครั้ง

เพื่อขอรถคันนั้นไปใช้เอง โดยอ้างว่า บ้านที่อาศัยอยู่ไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก ไม่มีรถโดยสารผ่าน ไกลตัวเมือง

ทั้งที่ก็อยู่มาตั้งแต่ที่พี่เอิบกับพี่เอื้อมาเรียนที่นี่ รวมแล้วก็เกือบสี่ปี กลับเพิ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้

“พี่จะยกให้นูไว้ใช้ แทนรถมือสองที่ว่าจะซื้อไง”

   เท่านั้นแหละ อาสะใภ้ก็ขุดอะไรต่อมิอะไรมาพูดร้อยแปดว่าผมเป็นคนนอก

เลี้ยงไปก็เปลืองสู้เลี้ยงดูลูกหลานกันเองยังดีเสียกว่า ตอนนั้นผมอยู่กับคุณแม่

เรากำลังปรึกษากันเรื่องสินค้าใหม่ที่จะสั่งเข้าห้าง ผมก็เลยได้นั่งร่วมฟังด้วย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

จนกระทั่งอาสะใภ้พูดไปถึงเรื่องที่ว่า ผมมาตัวเปล่า มีแต่จะมากอบโกยผลประโยชน์

ที่ให้ผมเข้ามาทำงานก็ควรจะระวังไว้ สักวันจะโดนผมโกงจนหมดตัว

     ผมไม่รู้ว่าผมเคยไปล่วงเกินเขาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเขาถึงจงเกลียดจงชังผมนัก

ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมกับครอบครัวใหญ่ของพี่นิวที่มีคุณลุง คุณอา กับคนในครอบครัวร่วมด้วย

ถ้าผมจำเป็นจะต้องเดินทางไปที่นั่น ผมจะเก็บตัวอยู่ในบ้านเท่านั้น เพราะจะว่าไปการเข้ามาอยู่ในครอบครัวพี่นิว

มีเพียงคุณแม่กับคุณพ่อที่ให้การยอมรับ ทำให้ผมสำนึกได้ว่า...ดีแล้วที่เราไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลตามที่คุณแม่เคยเปรยไว้

   การพูดดูถูกผมอย่างร้ายกาจแบบนั้นทำให้ผมหมดความอดทน จนต้องประกาศว่า ผมมาแต่ตัว ถ้าผมไปผมก็จะไปแต่ตัว

จะไม่เอาทรัพย์สินเงินทองใด ๆของบ้านนี้ไปแม้แต่สลึงเดียว ที่ผมช่วยงานคุณแม่เพราะผมต้องการตอบแทนพระคุณ

ที่คุณแม่เลี้ยงดูผมเหมือนลูกคนหนึ่ง ต่อให้อาสะใภ้ว่าอย่างไรผมก็คงจะต้องช่วยงานต่อไป

แล้วผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าผมใช่คนขี้โกงอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่า

“ผมใช้รถของผมไปตามเดิมนี่แหละครับคุณแม่ อาเอื้อยเขาจะได้สบายใจว่าผมไม่คิดจะมากอบโกยอะไร”

“เรื่องรถแม่ว่านูเอาไปใช้เฉย ๆ ก็ได้ แม่ก็ไม่ได้โอนเป็นชื่อนูสักหน่อย”

   คุณแม่ยืนยันจะยกให้ผมใช้ ผมคิดว่าคุณแม่คงต้องการแสดงให้อาสะใภ้เห็นว่าคำกล่าวหาของเขา

ไม่มีผลใด ๆกับคุณแม่ทั้งสิ้น แต่คุณแม่ไม่อยากจะว่าออกไปตรง ๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่นิสัยของคุณแม่อยู่แล้ว

“ทีกับเอื้อยคุณพี่ไม่ให้ทั้งที่เราเป็นญาติกันแท้ ๆ”

“เอื้อย...ของ ๆ พี่จะให้ใครมันก็เป็นสิทธิ์ของพี่ รถคันนี้พี่ใหญ่เขาก็เป็นคนซื้อให้จากเงินส่วนตัวของเขา

ไม่เกี่ยวกับเงินกิจการของครอบครัว แล้วทำไมพี่ถึงจะยกให้ใครใช้ไม่ได้”

คุณพ่อซื้อให้คุณแม่ตอนที่ต้องไปรับไปส่งพี่นิวที่โรงเรียน อายุของมันก็ไม่ใช่น้อยแล้ว

“คุณพี่เห็นคนอื่นดีกว่าญาติ”

“นูเขาก็เหมือนลูกพี่นะ แม่จะให้อะไรลูกนี่ต้องถามความเห็นคนอื่นด้วยเหรอเอื้อย”

“ตามใจคุณพี่ก็แล้วกัน เอื้อยจะได้ไปบอกพี่น้องทางโน้นว่าคุณพี่ทำอย่างนี้กับญาติ เห็นคนอื่นดีกว่าคนในครอบครัว”

“นูก็เป็นคนในครอบครัวพี่เหมือนกัน พี่อยากให้เอื้อยเข้าใจตามนี้หน่อยนะ”

   การพูดคุยโต้เถียง เป็นไปอย่างน่ารำคาญ เพราะอาเอื้อยไม่ยอมเข้าใจเหตุผลง่าย ๆ ที่คุณแม่หยิบยกมาให้ฟัง

ส่วนคุณแม่ก็คร้านจะพูดเพราะดูแล้วเหมือนสีซอให้ควายฟังเสียมากกว่า

     ดังนั้นพออาเอื้อยโวยวายมาก ๆ เข้า  คุณแม่ก็ได้แต่นิ่งฟัง จนแขกขอตัวกลับ ผมก็ตามไปส่ง

ดูท่าคุณแม่จะเหนื่อยล้ามาก...ผมเพิ่งเห็นฤทธิ์ของอาสะใภ้ที่เป็นตัวปัญหาประจำตระกูลก็วันนี้

และไม่เข้าใจมาจนบัดนี้ว่า อาหน่อยสามีของอาเอื้อย อดทนกับภรรยามาได้ยังไงเป็นสิบ ๆปี

และด้วยความที่อาหน่อยเป็นน้องสุดท้องที่ไม่ค่อยเอาไหน ไม่มีความรู้อะไร พี่ ๆ จึงสงสาร

ไม่อยากให้มีอะไรกระทบกระทั่ง ซึ่งผมไม่เคยเข้าใจความสัมพันธ์นี้เลย ดูเหมือนคนในครอบครัวนี้จะสร้างแต่ปัญหา

และมีแต่จะเรียกร้องทุกอย่าง ยกเว้นอาหน่อยที่เป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว (ผมเคยได้ยินคุณพ่อกับคุณแม่คุยกัน)

ตอนเดินไปส่งขึ้นรถรับจ้าง อาเอื้อยก็พูดสำทับผมอีกครั้งว่า ขอให้ผมทำได้อย่างที่พูด

“ไม่ใช่ว่าต่อหน้าอาเธอก็ทำเป็นพูดว่าไม่เอา ๆ พอคุณพี่ยกอะไรให้ก็รับไว้อีกล่ะ”

“ถ้าอาเอื้อยหมายถึงเรื่องรถ ผมยืนยันได้ครับผมไม่รับแล้ว ผมพูดคำไหนคำนั้น

ถ้าผมจะมีรถยนต์สักคันผมจะซื้อมันด้วยเงินของผมเอง”

“อ๋อ อาไม่ได้หมายถึงเรื่องที่จะซื้อรถเรื่องเดียวหรอกนะ อาว่าสุดท้ายเธอก็คงจะเอารถบีเอ็มคันนั้นไปใช้อยู่ดี

ก็หัดขับจนเป็นแล้วนี่ ไม่เอารถออกขับบ้างก็ให้มันรู้ไป”

    ผมหายใจแรงขึ้นด้วยความโมโหสุดขีด ผู้หญิงคนนี้ เป็นอะไรที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงแม้กระทั่งความคิด

ที่พอหลุดออกมาจากปากก็มีแต่ของเน่าเหม็น ทุกความคิดที่กล่าวหาว่าร้ายคนอื่น ล้วนมาจากพฤติกรรมของตัวเองทั้งสิ้น

ทำให้ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า ตัวเองเลวอย่างไรก็คิดว่าคนอื่นเลวอย่างนั้น...ได้แก่อาเอื้อยคนนี้นี่เอง

“อาเอื้อยคงจะสบายใจขึ้น ถ้าผมบอกว่าผมยังขับรถไม่เป็นครับ เมื่อไรที่ผมคิดจะซื้อรถด้วยเงินของผมเอง

ผมค่อยไปเรียนขับรถ แค่นี้พอใจไหมครับ”

“ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะ อาจะรอดู”

   นั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกวันนี้ผมก็ยังขับรถไม่เป็นอยู่ดี เพราะผมยังไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อ

แล้วยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องซื้อ เพราะทุกวันนี้ผมมีมอเตอร์ไซค์คันเดียว

ก็ไปไหนมาไหนได้สะดวกคล่องแคล่วเหมือนกัน ถ้าเลิกงานฝนตกผมก็โทรตามพี่นิวให้มารับที่ทำงาน

ถ้าตกตอนเช้าผมก็ให้พี่นิวไปส่ง พี่นิวไม่อยู่ผมก็โทรบอกคนขับรถที่บริษัทของพี่นิวบ้าง 

อาศัยเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ทำงานบ้าง แสนจะสบาย ไม่ต้องขับเองให้เหนื่อย ให้เครียดไปเปล่า ๆ

หาใครไม่เจอ ผมก็เรียกรถโดยสาร มันก็ไม่ได้ลำบากอะไร

     แม้ว่าตอนนี้อาเอื้อยจะไม่ค่อยกล้าเข้ามาก้าวก่ายครอบครัวพี่นิวมากเหมือนเมื่อก่อน

เพราะเราโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่ผมก็ยังยึดถือคำมั่นของตัวเองตลอดมา (ด้วยความเจ็บใจ)

   
      เรื่องรถรู้ไปถึงหูพี่นิวจนได้ ก็คงจะเป็นคุณแม่ที่โทรไป เพราะผมเลิกสนใจไปเลยหลังจากที่พูดกับอาสะใภ้จบในวันนั้น

พี่นิวบอกให้ผมทำตามที่คุณแม่เห็นสมควร ซึ่งผมก็รับคำไปเพราะไม่อยากให้เขาต้องมาเป็นกังวล

กับเรื่องที่ผมได้ตัดสินใจไปแล้ว และเมื่อคุณแม่เองก็คะยั้นคะยอผมไม่ได้ รถเจ้าปัญหาก็เลยถูกขายไปในราคาถูก ๆ

ให้กับคนรู้จักด้วยความเสียดาย (ผมก็เสียดาย เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นรถคันแรกที่พี่นิวขับให้ผมนั่ง)

    คุณแม่ซื้อรถคันใหม่พร้อมกับต้องจ้างคนขับเพราะผมยืนยันที่จะไม่ไปเรียนขับรถ

ทำให้คุณแม่ออกอาการงอนนิดหน่อย และแม้แต่พี่นิวก็ยังโทรมาต่อว่าผม

ทุกคนอิดหนาระอาใจกับผมจนเลิกพูดถึงเรื่องนี้ไปนาน

“ดื้อไม่เข้าเรื่อง จะอะไรนักหนากับรถคันเดียว”

“พี่นิวไม่มาเป็นผมจะไปรู้อะไร อาเอื้อยเขาพูดดักท่านั้นท่านี้ แล้วที่ร้ายที่สุดนะ เค้าหาว่าผมจ้องจะโกงสมบัติบ้านนี้...”

“ก็เราคิดหรือเปล่าล่ะ...ทำไมจะต้องไปเต้นตามเขา อาเอื้อยเป็นยังไงใคร ๆ ก็รู้ดี แล้วนี่คุณแม่ต้องจ้างคนขับรถเพิ่ม

แทนที่จะมีลูกหลานไว้ใกล้ตัว ถ้ามีนูคอยดูแลพี่จะได้วางใจ”

“ยังกับผมขับรถได้นี่”

“นี่ก็อีกเรื่อง ทำไมไม่ไปเรียน”

“ผมรอพี่นิวหัดให้”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวเราต้องมาทะเลาะกันเรื่องหัดขับรถเหมือนคู่ของเพื่อนพี่”

“พี่นิวไม่ได้ใจร้อนเหมือนเขาสักหน่อย แล้วผมก็สอนง่ายจะตาย”

“ไม่เถียงหรอกว่านูสอนง่าย...ทุกเรื่อง....โดยเฉพาะเรื่อง.....”

“หยุดเลยนะ....ห้ามพูด”

    ผมรีบบอกก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาให้ผมอายจนหน้าแดง พี่นิวหัวเราะมาตามสาย

แล้วเราก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ สรุปว่าวันนั้นพี่นิวเข้าใจผม และรับปากว่าจะอธิบายให้คุณแม่เข้าใจ

จะได้เลิกงอนผมเสียที

    เรื่องรถยังไม่จบ ผมโดนอาสะใภ้พี่นิวต่อว่าเรื่องที่คุณแม่ขายรถให้คนอื่นไปแทนที่จะยกให้เขา

พอต่อว่าผมจนหนำใจแล้วเขาก็ตบท้ายด้วยการพูดว่า

“อีกหน่อยนิวเขาพาสะใภ้เข้าบ้านเธอก็ตกกระป๋อง”

    ผมกระหยิ่มในใจว่าอาสะใภ้ช่างไม่รู้อะไรเลย พี่นิวจะหาสะใภ้ได้อย่างไร ในเมื่อมีผมอยู่แล้วทั้งคน

แล้วพี่นิวเขาก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงสักหน่อย แต่แล้วพี่เอิบก็เป็นคนพูดขึ้นมา

“พี่เห็นนิวเขาควงลูกเจ้าของร้านทองที่กรุงเทพ ไม่นานก็คงพามาเที่ยวบ้านหรอก เตรียมตัวรับพี่สะใภ้ให้ดีล่ะนู”

“พอเขาแต่งงานกันมีหลานให้คุณป้า นูจะทำไงล่ะ....กลับไปขายของในตลาดตามเดิมเหรอ”

พี่เอื้อช่วยเสริมเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฟังดูจริงจัง คนพวกนี้นิสัยเหมือนกันหมด แค่คุณแม่รับผมมาเป็นลูกบุญธรรม

ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะมีสิทธิ์มีเสียงอะไรในสมบัติไปด้วยซักหน่อย มันเรื่องอะไรที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาอิจฉาผม

เพียงแค่ผมได้เข้ามาอยู่ในบ้านนี้กันล่ะ ทำอย่างกับว่าถ้าไม่มีผมเขาจะมีสิทธิ์อย่างนั้นแหละ

ผมปล่อยให้สิ่งที่เขาสามคนแม่ลูกพูดลอยผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจ



มีต่อครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555 สักครู่ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-10-2012 00:46:20



    ปิดเทอมกลางปีพี่นิวไม่ได้กลับบ้าน เขาโทรมาบอกแต่เนิ่น ๆแล้วว่าจะไปออกค่ายกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย

คุณแม่กับผมก็เลยมีแผนจะไปเยี่ยมเขาก่อนที่เขาจะเดินทางสองสามวัน หลังจากเขาไปแล้ว

เราถึงจะออกชอปปิ้งกันก่อนกลับบ้าน

วันที่ไปถึงพี่นิวไปรับที่สนามบิน  ทันทีที่เห็นเขาผมแทบจะหายจากอาการเมาเครื่องเป็นปลิดทิ้ง

“เป็นไงหน้าซีดเชียว เมื่อไรจะหายเมาเสียทีนะ ขึ้นเครื่องบ่อย ๆ ดีไหม”

พี่นิวกระเซ้าผม

“ผมเมาทุกอย่าง มิต้องนั่งกันทุกอย่างเหรอครับ”

“ทำไมไม่กินยาก่อนขึ้นเครื่องล่ะ”

“ไม่เอาอะ ผมกลัวหลับยาว”

“โตขึ้นไหมน่ะนิว”

“โธ่....แม่....เพิ่งมาก่อนเปิดเทอมนี่เอง จะโตเร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ อย่างผมคงไม่โตแล้วมั้ง”

“ไม่ใช่สูงขึ้น แม่หมายถึงตัวหนาขึ้นน่ะ ดูบึ้กขึ้นนะ...ว่าไหมนู”

“บึ้กของแม่นี่ ไม่ได้แปลว่าผมอ้วนขึ้นใช่ไหมครับ”

   เราหยอกล้อกันด้วยความคิดถึง จนหารถแท็กซี่ได้ พี่นิวให้ผมนั่งข้างหน้าเพราะกลัวว่าผมจะเมารถมากขึ้นกว่าเก่า

ส่วนเขาก็เปิดประตูให้คุณแม่ขึ้นไปก่อน แล้วถึงจะขึ้นตาม แต่ผู้โดยสารยังไม่หมดแค่นี้

ผมไม่ทันสังเกตว่า มีใครคนหนึ่งตามหลังเรามา น่าจะตั้งแต่ข้างในตัวอาคารแล้ว

เธอคนนั้นขึ้นเรียบร้อยรถจึงออกวิ่ง พี่นิวก็แนะนำให้คุณแม่รู้จัก

“แม่ครับ นี่พิม เพื่อนผม”

ผมนั่งข้างหน้าไม่เห็นเหตุการณ์ข้างหลัง แล้วพี่นิวก็แนะนำผมกับผู้หญิงคนนั้นตามธรรมเนียม

“นี่นู น้องชายนิว....นู...นี่พี่พิมเพื่อนที่คณะพี่”

ผมยกมือไหว้ตามอาวุโส แต่ไม่ได้หันไปคุยด้วย เพราะอาการหัวหมุนติ้วเริ่มสำแดงอีกแล้ว

“น้องนูเมารถเหรอนิว”

“อืม...เมาทุกอย่างที่เป็นยานพาหนะเลยพิม ยกเว้นมอเตอร์ไซค์....นั่นของชอบเขา”

“กินยาสักเม็ดไหมคะน้องนู พี่พิมมี”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ถึงที่พักแล้ว เกิดหลับบนรถขึ้นมาใครจะอุ้ม”

พี่นิวเป็นคนปฏิเสธแทนผม

“คุณแม่จะอยู่สักกี่วันคะ มีใครพาเที่ยวหรือยัง”

พี่พิมหันไปถามคุณแม่อย่างคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี (แต่ผมเรียกว่าประจบ)

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่แค่เดินซื้อของที่ ๆคุ้นเคยน่ะ ไปไหนมาไหนก็คงอาศัยแท็กซี่แหละสะดวกดี ไม่ต้องมีคนพาเที่ยวหรอก”

“แม่นิวเป็นนิสิต ม....นะพิม ไม่ต้องกลัวหลงหรอก”

“โอ้โห....คุณแม่เก่งจังเลยค่ะ สมัยนั้นใครเอ็นติดม.นั้นได้น่ะ สุดยอดเลยนะคะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกหนู คู่แข่งน้อยมากกว่า”

   บทสนทนาข้างหลังผมได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง เพราะอาการเมารถกำเริบ พอถึงที่พัก ผมก็โผเผเต็มที

รีบเช็คอินแล้วก็รีบขึ้นห้อง โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครเดินตามมาหรือเปล่า

พอคนยกกระเป๋ามาวางให้เสร็จแล้วผมก็นอนฟุบลงบนเตียงทันที

“ทำไมแม่ไม่จองห้องชุดล่ะครับ ผมจะได้มานอนด้วย”

“แพงไป แต่ถ้านิวจะมาค้างก็ได้นี่ลูก นี่มันห้องคอนเนคชั่น”

   ผมได้ยินเสียงคุณแม่กับพี่นิวพูดกัน แต่ไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาคุยด้วย เตียงที่ผมนอนอยู่ยุบตัวลง

ผมคิดว่าคงเป็นพี่นิว แต่ไม่ใช่....เพราะผมได้ยินเสียงเขาดังมาจากที่ไกล

“พิมกลับไปแล้วก็แวะไปที่ห้องให้ทีนะ หยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้หน่อย นิวเตรียมไว้แล้ว

วางอยู่บนเตียงนั่นแหละ มาให้ทันตอนค่ำล่ะ แม่จะเลี้ยงข้าว”

ฝ่ามืออุ่น ๆ ลูบหัวผมเบา ๆ ตามด้วยเสียงรำพึงของคุณแม่ ซึ่งนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ผม

“แล้วจะสนุกอะไรล่ะนี่นูเอ๊ย...เมารถเสียขนาดนี้น่ะ”

ประตูปิดดังคลิก แล้วพี่นิวก็พูดเสริมกับคุณแม่ อย่างกับว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย

“ดีแล้วครับ ปล่อยให้หลับไปเลย เดี๋ยวเราจะได้แอบไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน”

“ม่ายอาว....ห้ามทิ้งผมไว้คนเดียวนะ มันโหวงเหวงอะ”

     ผมงอแงทั้งที่ตายังหลับ เพราะพิษของอาการเมารถยังไม่จางหาย อยากจะหลับให้สนิทแต่ก็ทำไม่ได้

มันรู้สึกปั่นป่วน ในท้องไปหมด...สงสัยผมคงจะต้อง.....

   “อุ๊ย...”

   คุณแม่หลบแทบไม่ทันตอนที่ผมถลันลุกจากที่นอน หันหาทิศที่น่าจะเป็นห้องน้ำ ที่เห็นจากหางตา

ตอนเดินเข้าห้องมาทีแรก เข้าไปเจอโถชักโครก ผมก็โก่งคออาเจียน ไม่สนใจใคร ไม่สนว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน

พี่นิวตามมาลูบหลังให้จนกระทั่งอาการดีขึ้น เพราะอะไรก็ตามที่กินเข้าไปตั้งแต่เช้ามันออกมาหมดแล้ว

      หลังจากนั้นผมก็หลับแบบหมดสติ ไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกเลย มารู้สึกตัวตอนได้ยินเสียงกึกเบา ๆ

ที่โต๊ะเล็กใกล้ ๆ หัวนอน แต่ยังเพลียเกินกว่าจะเผยอหนังตาขึ้นมองดู

     ผมเข้าใจว่าคงเป็นพี่นิว เพราะเสียงพูดที่แม้จะใกล้เคียงเสียงกระซิบ ผมก็จำได้ขึ้นใจ เสียงนุ่ม ๆ ทุ้ม ๆ

แล้วยิ่งอยู่ในห้องเวลานี้ ต้องเป็นพี่นิวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ผมสงสัยก็คือเสียงคู่สนทนาที่กระซิบตอบกัน...

เป็นใคร เสียงผู้หญิงที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

   “พิมกลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้านิวไปรับที่หอแล้วกัน...หรือว่าจะกินข้าวด้วยกันก่อน”

   “ไม่ดีกว่า นิวอยู่เถอะ พิมเกรงใจเอาไว้คราวหน้านะ”

   “ก็ตามใจ เตรียมของไปค่ายให้ด้วยนะ สงสัยนิวจะไม่มีเวลากลับไปหอ จนกว่าแม่จะกลับอะ”

   “อืม...จะซื้ออะไรเพิ่มไหม”

   “ไม่อะ....ไปไม่กี่วัน แต่เอ้อ....ซื้อแปรงสีฟันให้ด้วย”

   “อืม....ยาสีฟันล่ะ”

   “ก็ด้วยสิ ถามทำไมเนี่ย ไปด้วยกันทุกที น่าจะรู้”

   เสียงหัวเราะประสานกันเบา ๆ บอกความสนิทสนมคุ้นเคย รวมทั้งเรื่องที่พูดคุยกัน ราวกับคนรู้จิตรู้ใจกันดี

   ผมควรจะรู้สึกยังไงดี?

   ในเมื่อผมไม่เคยได้ยินชื่อเพื่อนคนนี้ของพี่นิวเลย เขาไม่เคยพูดถึงชื่อพี่พิมให้ที่บ้านฟัง...

หรือว่าเขาเพิ่งจะรู้จักกันก่อนหน้าที่เราจะมาไม่นาน....แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนจะสนิทสนมกันได้ขนาดนี้ได้

มันต้องใช้เวลา   แล้วเพื่อนพี่นิวคนอื่น ๆ ที่ผมรู้จักหายไปไหน

คำพูดที่ว่า....ไปด้วยกันทุกที....ล่ะ มีความหมายลึกซึ้งไปถึงไหนหรือเปล่า

เสียงเปิดประตูแล้วปิด...คงจะออกไปกันแล้ว ผมนอนนิ่ง ๆ พักหนึ่งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

เผื่อว่าถ้ามีใครยังอยู่ จะได้เข้าใจว่าผมเพิ่งจะตื่นนอน ไม่ใช่ทำเป็นนอนนิ่ง ๆ เพื่อจะแอบฟังเขาสนทนากัน....

แต่ก็ว่างเปล่า...ทั้งห้องมีผมเพียงคนเดียว เขาออกไปกันแล้วทั้งสองคน

ผมควรจะคิดมากไหม....กับสิ่งที่ได้ยิน...กับห้องที่ว่างเปล่าตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่พี่นิวน่าจะอยู่กับผม

 ตั้งแต่เราพบหน้ากันที่สนามบินจนนาทีนี้ ผมยังไม่ได้แม้แต่กอดเดียวจากคนที่อยู่ในหัวใจผมตลอดเวลา

สิ่งที่ผมคิดจะทำเมื่อพบหน้าพี่นิว ถูกวางแผนมาเสียดิบดีก่อนออกเดินทาง....

จริงอยู่...ที่ผมไม่อาจจะกระโดดกอดพี่นิวได้ทันทีที่เห็นหน้า ทำอย่างนั้นมันก็เอิกเกริกเกินไป

แต่ทันทีที่ถึงห้องพัก ในที่ ๆเป็นส่วนตัวของเรา ผมน่าจะทำได้ แต่เป็นเพราะอาการเมาเครื่องบินของผม

ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดไว้ล้มไปไม่เป็นท่า ไหนจะมีบุคคลที่ 3 ที่โผล่มาอย่างไม่คาดฝันอีก

แต่...นี่ไง....ณ เวลานี้ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว....สบายดีแล้ว ทำไมอ้อมกอดของผมจึงยังว่างเปล่า

มิหนำซ้ำ ในหัวใจของผมมันยังห่อเหี่ยว โหวงเหวงพิกล เหมือนสิ่งที่เคยเติมเต็มมันได้มลายหายสูญไปหมดแล้ว

ประตูห้องถูกเปิดออกจากด้านนอก ผมรู้ว่าเป็นพี่นิวแน่ ๆ ไม่ต้องเหลียวไปดูก็รู้ว่าใช่

พี่นิวเดินยิ้มกริ่มตรงเข้ามาหาผม อ้อมแขนอ้าออกกว้างรอให้ผมเข้าไปซบ

นี่สินะ...ที่ผมรอคอย....หรือว่าผมจะหวาดระแวงอะไรไปเกินกว่าเหตุ?


 
     พี่นิวพาคุณแม่กับผมเดินชอปปิ้งได้สองวัน ก็ถึงเวลาที่เขาต้องไปออกค่าย

วันสุดท้ายที่อยู่กรุงเทพ เพื่อน ๆ ที่เคยไปค้างที่บ้านเราก็มาร่วมโต๊ะอาหารค่ำกับคุณแม่ที่โรงแรม

ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกัน
 
    พี่เนย์ทักผมอย่างเป็นกันเองเหมือนเคย แต่สนิทสนมมากขึ้น พี่หน่องคนที่เรียบร้อยที่สุดก็ยังคุยกับผม

คงมีแต่พี่หนึ่งที่ไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม แต่ก็ส่งยิ้มอยู่ห่าง ๆ อย่างมีไมตรีมาให้

ส่วนพี่พิมที่ผมเพิ่งจะได้รู้จักก็พยายามพูดคุย ทักถามผมถึงเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องเรียน

เห็นได้ชัดว่าต้องการทำความรู้จักมากเกินกว่าที่เพื่อนคนหนึ่งพึงจะแสดงต่อญาติของเพื่อน

อย่างที่พี่เนย์ พี่หน่องและพี่หนึ่งเคยทำมา  ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังสังเกตกิริยาอาการที่พี่พิมแสดงต่อพี่นิวได้อย่างชัดเจน

เพราะผมนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของคุณแม่ ในขณะที่พี่นิวนั่งทางขวามือและมีพี่พิมประกบอยู่ไม่ห่าง

ยิ่งดู ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาสองคนสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ แต่ผมก็บอกตัวเองไม่ได้ว่า พิเศษแบบคนรักหรือเปล่า 

รู้แค่ว่ามันต่างจากพี่เนย์ พี่หน่อง พี่หนึ่ง แต่ก็ไม่เหมือนกับตอนที่พี่นิวคบกับมุก

อาจจะเป็นเพราะโลกทรรศน์ของผมในเรื่องความรัก มันผิดแผกแตกต่างไปจากสามัญ

ก็เลยทำให้ผมไม่สามารถแยกแยะสายตาที่ชายหญิงแสดงต่อกันได้ว่า มันเป็นความสัมพันธ์สถานใด

หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะใจผมไม่กล้ายอมรับว่า ในสายตาพี่นิวเริ่มมีใครคนอื่นเข้ามาแทนที่ผมไปแล้ว

ผมพยายามที่จะทำให้อาหารมื้อค่ำอร่อยตามที่มันควรจะเป็น เพราะใคร ๆ บนโต๊ะก็บอกว่าอร่อยทุกจาน

ผมมองว่ามันก็อาหารไทยธรรมดา อาจจะมีการตกแต่งให้ดูสวยงาม น่ากิน มากกว่าโต๊ะกินข้าวระดับชาวบ้านค่อนข้างมาก

แต่รสชาติที่แตะปลายลิ้น ผมไม่กล้ายืนยัน เพราะสำหรับผมแม้แต่บรรยากาศก็ยังกร่อย แล้วอาหารมันจะอร่อยไปได้อย่างไร


     พี่ผู้ชายสามคนที่ผมรู้จักพากันอำลาคุณแม่เพื่อจะกลับที่พัก โดยพี่เนย์เป็นคนขับรถส่วนตัวไปส่งทุก ๆคน

รวมทั้งพี่พิมด้วย ตอนนั้นคุณแม่ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนแล้ว แต่พี่นิวยังคงยืนคุยกับพี่พิมไม่จบสักที

พี่เนย์จึงออกอาการไม่ค่อยสบอารมณ์เมื่อต้องยืนแกร่วคอยอย่างไม่มีจุดหมาย

ผมนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ ในขณะที่พี่เนย์ออกไปยืนรอแทบจะหน้าประตูทางเข้าเป็นการเร่งอยู่ในที

จากที่ผมนั่งอยู่ ผมเห็นพี่เนย์ทำท่าทางประกอบอาการอ้าปากพะงาบ ๆ ส่งมาให้พี่นิว

แต่ผมไม่เห็นว่าพี่นิวทำยังไงตอบไป เพราะเห็นแค่แผ่นหลังกว้างของเขาเท่านั้น

ส่วนพี่พิมคงจะไม่รู้ว่าสองคนนั้นส่งสัญญาณอะไรกัน ก็เลยคุยเอา ๆ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ

พี่นิวไม่ได้มีอาการเร่งร้อนที่จะแยกจากพี่พิมเลย ผมดูจากท่าทางขัดอกขัดใจของพี่เนย์ที่แสดงออกมาก็พอรู้

....กว่าสองคนนั้นจะผละจากกันได้ ความอดทนของผมก็แทบจะสิ้นสุดลงไปด้วย

ผมเก็บความรู้สึกปั่นป่วน ความหวั่นไหว ไม่มั่นใจ และสุดท้ายคือความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉยอย่างมิดชิด

ผมไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเพราะไม่แน่ใจในสิ่งเห็น

 แต่ในขณะเดียวกันผมก็อยากจะแสดงมันออกมาให้พี่นิวได้รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นมันไม่ยุติธรรมสำหรับผม

สี่ห้าเดือนที่เราห่างไกลกัน  ไม่มีเวลาไหนที่ผมจะไม่คิดถึงเขา

เพียงแต่ความคิดถึงนั้น ไม่ได้สร้างความกระวนกระวายใจให้ เพราะผมรู้ว่า ความห่างไกลนี้มันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป

เดี๋ยวเราก็จะได้พบกัน ได้อยู่ร่วมกันเหมือนทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา

ดังนั้นในความคิดถึงมันจึงเจือด้วยความหวัง ในความห่วงหาอาลัยอาวรณ์มันก็ยังกำซาบความสุขไว้ทุกอณู

แต่เมื่อเวลาที่ผมควรจะได้เก็บเกี่ยวความสุขระหว่างเรามาถึง กลับมีบางความรู้สึกที่ระบุไม่ได้

มาคั่นกลางทำให้ผมต้องหวาดระแวงอย่างไม่พอที่ ห้าเดือนที่ต้องห่างกัน

ผมขอแค่สามสี่วันที่จะได้ชื่นชมสมใจกับคนที่ผมรัก ทำไมมันถึงได้ยากเย็นนัก

...นี่ล่ะ ที่ผมบอกว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับผม

แล้วก็มาถึงเวลาที่เขาสองคนคุยจบ ผมเห็นแล้วก็เลยลุกขึ้นเดินล่วงหน้ามากดลิฟท์รอ

และในทันทีที่เข้าไปในลิฟท์ พี่นิวก็คว้ามือผมไปบีบไว้แน่น จนผมต้องบอกว่าเจ็บเพราะแหวนมันกดเบียดนิ้วผม

พี่นิวถึงคลายมือออกแล้วยกมือข้างนั้นของผมขึ้นมาจูบ ออกจากลิฟท์ผมก็โดนจูงจนแทบจะเป็นลากให้เดินเร็ว ๆ

จนถึงห้อง พี่นิวก็ผลักประตูอย่างแรงอย่างผิดวิสัย จากนั้นก็เดินไปสำรวจล็อกที่ประตูเชื่อมต่อกับห้องคุณแม่

ผมได้แต่ยืนหน้าเหวออยู่หน้าประตู และมองอย่างงง ๆ กับพายุหมุนที่ก่อตัวอย่างกระทันหัน

จากที่เมื่อกี้เป็นเพียงสายลมอ่อนเอื่อยที่เกียจคร้าน

“จะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนหรือไง”

ฟังเขาพูดสิครับ....ผมนะที่นั่งรอเขาจนแทบทนไม่ไหว

ตอนนี้เกิดจะมาเร่งอะไรกันนักหนา...ผมเดินไปถอดรองเท้า แล้วเตรียมตัวอาบน้ำก่อนเข้านอน

แต่ชายเสื้อยังรูดไม่ทันพ้นออกจากหัว ผมก็ถูกกอดจากข้างหลัง แถมยังมองอะไรไม่เห็นเพราะเสื้อมันปิดหน้าปิดตาอยู่

“จะอาบน้ำเหรอ”

พี่นิวกระซิบที่ข้างหู (ก็ไม่รู้จะกระซิบทำไมในเมื่อมีแค่เราสองคนในห้องนี้)

“ครับ”

“อาบด้วยกันนะ”

ผมรูดเสื้อออกทางหัวเสร็จแล้วหันมามองหน้าเขาอย่างอึ้ง ๆ....อารมณ์ไหนของเขาเนี่ย

ถ้าผมไม่ฟั่นเฟือนผมจำได้ว่า ตั้งแต่ลงจากเครื่องมาจนถึงเวลานี้

พี่นิวไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้ามาก่อนเลยว่า เขาอยากจะมีอะไรกับผม

จนผมปลงได้แล้วว่าเขาจะเอายังไงผมก็เอาอย่างนั้น...

มันคงไม่จำเป็นที่ทุกครั้งที่เราพบหน้ากันจะต้องมีฉากบนเตียงอยู่ร่ำไป

ผมถูกลากเข้าห้องน้ำไปจนได้ ทั้งที่ยังไม่ถอดกางเกง....อะไรจะใจร้อนขนาดนั้น

แล้วมันก็เป็นไปตามที่ผมคิดครับ....ว่าครั้งนี้ไม่มีฉากบนเตียง

แต่มีฉากในอ่างอาบน้ำแทน.....อิอิ



เราแทบจะไม่ได้นอนกันเลยตลอดคืน หลังจากที่ได้ตักตวงความสุขที่ห่างหายมานานหลายเดือน

ผมก็แกล้งแหย่พี่นิวตอนที่เรานอนกลิ้งเกลือกกันบนที่นอนว่า

“จะไปออกค่ายกับเขาไหวเหรอครับ เรี่ยวแรงโดนผมสูบหมดแล้วเนี่ย”

“จะมีอะไร ขึ้นรถก็นอน ไปถึงนู่นก็พักก่อนสักครึ่งวัน เป็นพี่เขาแล้วก็ใช้น้องเอาสิ ใครเขาทำเองกันเล่า”

พี่นิวเอามือที่นอนหนุนมาลูบหัวผม

“โหย...มีรุ่นพี่เอาเปรียบแบบนี้นี่เล่า รุ่นน้องบางคนถึงได้แข็งข้อ ไม่เคารพรุ่นพี่อะ”

“ไอ้ที่ให้น้องทำน่ะ มันงานทั่วไป ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่พวกพี่นี่สิ ต้องดูแลน้อง ๆ ทั้งกลุ่ม

ไหนจะต้องรับผิดชอบโครงการอีก งานเล็กที่ไหน เนี่ย...เขาเรียกว่าตรียมเป็นผู้บริหารรู้ไหม”

“คร้าบ....ท่านผู้บริหาร ฝึก ๆ ไว้เหอะ ผมจะได้พึ่งใบบุญในวันข้างหน้ามั่ง”

ผมชอบล้อเขาเรื่องที่เขาจะได้เป็นผู้บริหารกิจการต่อจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของตระกูล

แต่พี่นิวมักจะออกตัวว่า ยังมีคุณลุงคุณอาอีกสามคนที่มีอาวุโสกว่า ซึ่งในความเป็นจริง

เราต่างคนก็รู้ดีว่าอนาคตยังมาไม่ถึง ถึงแม้ว่าญาติฝ่ายคุณพ่อจะเคยเปรยถึงเรื่องการบริหารในรุ่นลูกหลานอยู่บ้าง

เราก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก อย่างน้อยคุณพ่อกับพี่ ๆน้อง ๆ ก็ยังทำงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แถมยังมีคุณปู่ คุณย่า รุ่นที่เคยก่อตั้งกิจการคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ แม้ว่าจะวางมือจากการทำงานอย่างสิ้นเชิง

แต่โดยที่เป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญของครอบครัว

ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่ายัง “สงวนสิทธิ์” ในการตัดสินใจเสมอมา

(และเสมอไปตราบเท่าที่ท่านทั้งหลายยังมีลมหายใจอยู่)

เราลาจากกันอย่างอิ่มสุข โดยแยกย้ายกันที่โรงแรมนั่นเอง เพราะพี่นิวต้องไปขึ้นรถที่มหาวิทยาลัยตามนัดแต่เช้าตรู่

ถึงแม้ระยะเวลาของการได้อยู่ร่วมกันจะแสนสั้น แต่ผมก็พอใจเพียงเท่านั้น ก็ดีกว่าที่จะไม่ได้พบหน้ากันเลย

มาย้อนคิดดูอีกที ผมต้องขอบคุณคุณแม่ที่มอบโอกาสนี้ให้กับผมเพราะผมรู้ดีว่า

คุณแม่ไม่ใช่นักชอปปิ้ง ข้าวของเครื่องใช้ที่เดินซื้อด้วยกันส่วนใหญ่ก็มีแต่ของผม กับของฝากคนโน้นคนนี้

โดยเฉพาะของคุณพ่อจะมากเป็นพิเศษ ส่วนตัวคุณแม่เอง ได้ของกระจุกกระจิกจำพวกเครื่องหอม

ทั้งเทียนหอม กำยาน และน้ำหอมอโรมาฯ สารพัดกลิ่น (ซื้อมาทำไมเยอะแยะก็ไม่รู้ครับ

แต่ผมก็ซึมซับนิสัยชอบเครื่องหอมมาจากคุณแม่ 555)

คุณแม่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าผมลองพูดในทีขอบคุณที่คุณแม่ทำเพื่อผม

“แม่ก็คิดถึงลูกชายแม่เหมือนกันนี่นา”

ดูเถอะครับ....คุณแม่พี่นิวช่างน่ารักจริง ๆ









เห็นท่าจะไม่ไหว ง่วงจริง ๆครับ ไว้มาต่อพรุ่งนี้บ่าย ๆ (ถ้ามีเวลา)

พรุ่งนี้ผมไ่ม่กลับบ้านนนนนนนนนนนน

ถ้าหาเครื่องคอมฯ เล่นได้ ผมจะโพสท์ต่อนะครับ

ขอบคุณทุก ๆ คนที่มาติดตามครับ ผมเริ่มจะจำชื่อได้แล้ว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 20-10-2012 03:06:14
เอ๊ะ !!!

พี่นิวกับพิมนี่น่าสงสัย

แล้วพี่เนย์ก็ดูยังไงๆ อยู่นะ ทำไมต้องรำคาญเวลารอนานด้วยอ่ะ

รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 20-10-2012 05:36:03
เศร้าจังตอนนี้....เฮ้อ!!
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-10-2012 10:08:54
ก็ยังดีได้เติมพลังก่อนกลับบ้าน อิอิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 20-10-2012 14:01:38
คุณนู!!!!!!
*โดดกอดด้วยความคิดถึง
 :กอด1: :กอด1:
ไม่เห็นคุณนูแวะมาเยี่ยมเลยคิดว่าจะลืมเล้าซะแล้ว
ยังจำคนอ่านคนนี้ได้มั้ยเนี่ย ^^
เรื่องของคุณนูกับพี่นิวอยากอ่านมานานแล้ว
ว่าจะแวะไปอ่านที่โน่นก็ไม่ได้ว่างเข้าไปเลย
ยังไงก็จะมานอนรอคุณนูที่นี่นะคะ
คิดถึงมากๆ
 :m1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 20-10-2012 14:55:47
 :m16: :m16:ไม่พอใจพี่นิวจริงๆ  ชิ        รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 19.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 20-10-2012 15:14:41
พี่นิวไม่ชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอ แล้วพิมมาจากไหน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 22-10-2012 00:08:21


รีบเอามาลง เพราะไม่อยากให้ค้างนาน
พรุ่งนี้จะแวะมาทักทายนะครับ




    ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย พี่นิวเรียนไม่ค่อยหนักเท่าไรนัก ดูจะมุ่งมั่นเรื่องฝึกงานเสียมากกว่า

แต่โดยที่ครอบครัวของเพื่อนในกลุ่มส่วนใหญ่มีกิจการเป็นของตัวเอง เรื่องการหาสถานที่ฝึกงานจึงไม่ยาก

และไม่มีอะไรต้องกังวล....แต่สำหรับผม....มันไม่ใช่

    พี่นิวกับพี่พิมได้ฝึกงานที่เดียวกัน ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญ หรือว่าตั้งใจ

นั่นทำให้ความหวาดระแวงที่เคยเกิดขึ้นมาครั้งนั้นหวนกลับมาอีกหน จะด้วยระยะทางที่ห่างไกลระหว่างผมกับพี่นิวเป็นเหตุ

หรือว่าระยะห่างของการติดต่อถึงกันและกันก็ไม่รู้ได้ ที่ทำให้ผมเก็บเอาสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินคราวนั้นมาเป็นกังวล

แล้วมันก็ชวนให้อึดอัดที่ผมไม่สามารถหาคำตอบได้เลย ไม่ว่าจะด้วยการไปดูให้เห็นกับตา หรือแม้แต่การซักถามให้ได้ความจริง

สุดท้ายแล้วมันก็ทำร้ายตัวผมเอง ด้วยการเก็บกดอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกที่สุด

ทุกครั้งที่เราได้พูดคุยกัน ผมจะพูดถึงแต่สิ่งดี ๆ ถามถึงคนที่ผมรู้สึกชัดเจนในความคิดของผม

ส่วนเรื่องหรือบุคคลต้นเหตุที่สามารถกวนตะกอนในจิตใจผมให้ขุ่นได้ ผมจะไม่ถามถึง

จะได้ไม่ต้องเก็บมาคิดให้ฟุ้งซ่าน....จะได้มีแต่บรรยากาศของการพูดคุยที่อบอวลไปด้วยความสุข....

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมรู้สึกแย่ เพราะความหวาดระแวงมันคอยเกาะกินใจอยู่ตลอดเวลา



    ระหว่างที่ฝึกงานอยู่เราไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก พี่นิวบอกว่าเขาไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง

ส่วนผมพอพี่นิวพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่กล้าโทรหาแล้ว ทำได้เพียงรอให้เขาติดต่อมาเวลาที่เขาคิดถึง

(ส่วนผม ถ้าคิดถึงเขาก็ต้องทนรอ...เฮ้อ...)

     ผ่านมาได้สองเดือนนับจากวันที่เราพบกันครั้งสุดท้าย ในขณะที่ผมกำลังทำงานแทนคุณแม่

โดยที่วันนั้นคุณแม่ไม่สบาย แต่เมื่อเป็นงานด่วนคุณแม่ก็ต้องทนทำทั้งที่ร่างกายอ่อนแอ

ส่วนผมวันรุ่งขึ้นมีการทดสอบ แต่ผมคิดว่าตัวเองเตรียมตัวพร้อมตลอดเวลา

ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำเอาตอนนี้ สู้เอางานมาทำแทนดีกว่า คุณแม่จะได้พักผ่อน

    คืนนั้นก็มีรถลีมูซีนจากสนามบินมาจอดหน้าบ้าน บังเอิญที่ผมยังไม่นอน แค่เห็นเงาคนลาง ๆ

มีเพียงโคมไฟที่กำแพงบ้านสาดแสงสลัว ผมมองออกไปก็จำได้ว่าเป็นพี่นิวของผม ความดีใจประดังประเดมาก่อนอันดับแรก

แล้วก็ตามมาด้วยความแปลกใจว่ามันเป็นช่วงเวลาฝึกงานของเขา มีเรื่องด่วนอะไรพี่นิวถึงได้กลับบ้านกลางดึก

โดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า

“มาซะดึกเชียวครับ”

ผมทักออกไปตรงกันข้ามกับที่ใจอยากรู้

“อืม”

   พี่นิวขานรับในคอ แล้วรีบเดินเข้าบ้าน พอผมปิดประตูรั้วเรียบร้อยก็รีบเดินตามเข้ามา พอเข้าบ้านได้ไม่ทันจะปิดประตูบ้านเลย

พี่นิวก็โผเข้ากอดผมจนตั้งตัวไม่ทัน เราเซไปชนพนักพิงด้านหลังโซฟาทั้งที่ยังกอดกันกลมอยู่อย่างนั้น

แล้วพี่นิวก็ระดมจูบผมไปทั่วหน้า ซุกไซ้ไปที่ลำคอ เล่นเอาผมซ่านสยิวจนอารมณ์แทบจะแตกกระเจิง

“เป็นอะไรอะพี่นิว”

ผมพยายามตั้งสติที่เหลือน้อยเต็มทีของตัวเอง ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลกว่านี้

ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องระวังตัวไม่ให้คนในบ้านมาเห็นว่าเรากำลังทำอะไรกัน

ส่วนคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ที่เราควรให้ความเคารพยำเกรง การแสดงความรักในแบบของเรา

ควรจะกระทำในที่รโหฐานจะเหมาะกว่า

“คิดถึง”

    พี่นิวหยุดรุกเร้าผม เหลือแค่กอดรัดผมเสียแน่น เรายืนนิ่ง ๆ กันอยู่ชั่วครู่ ผมรู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านจากตัวเขา

ผมก็เลยกอดตอบ แล้วก็เลยลูบหลังลูบไหล่แทนการปลอบประโลม เพราะผมไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร

แต่คิดว่าถ้าผมทำแบบนี้พี่นิวอาจจะรู้สึกดีขึ้น

    แล้วเขาก็ลูบไล้ผมบ้าง เป็นสัมผัสที่ผมรู้ทันทีว่าเขากำลังมีความต้องการ ผมผละออกจากอ้อมกอดพี่นิว

เปลี่ยนเป็นโอบประคองกันแล้วพากันเดิน เราปิดสวิทช์ไฟชั้นล่างทั้งหมด เข้าไปปิดไฟในห้องทำงาน

ก่อนจะเดินขึ้นบนบ้านไปด้วยกันอย่างเงียบ ๆ

ไม่มีคำถาม

ไม่มีคำทัดทาน

มีเพียงลมหายใจที่สอดประสานรับรู้ในความต้องการที่จะสนองตอบอารมณ์ซึ่งกันและกัน

ทุกอย่างเริ่มขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง ตอนที่พี่นิวแกะกระดุมเสื้อแล้วถอดมันออกจากตัวผม

สายตาของเขาก็กวาดไปทั่วทุกส่วนของร่างกายผม จนกระทั่งไม่เหลืออะไรติดตัวอยู่อีกเลย

เขาก็เปลี่ยนจากสายตาเป็นริมฝีปาก จูบเบา ๆ ไปทั่วใบหน้า แล้วเลื่อนต่ำลงมาจนถึงซอกคอหัวไหล่ และลำตัว

จนเขาเองทรุดลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าผมเพื่อสัมผัสส่วนกลางลำตัวผมอย่างเต็มที่

แม้ว่าทุกอย่างที่เขาปฏิบัติกับผมจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนิบนาบและนุ่มนวล

แต่มือของพี่นิวก็สั่นจนเห็นได้ชัด แม้แต่ลมหายก็หอบกระเส่า ทั้งที่ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น

คล้ายกับว่าเขาพยายามระงับอารมณ์อยากอย่างรุนแรงไว้ใต้อาการสุภาพนุ่มนวลนั้น

    เราผลัดกันเสนอและตอบสนองซึ่งกันและกัน จนถึงปลายทาง...

พี่นิวโหมกระหน่ำใส่ผมอย่างหนักหน่วงรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมา

การกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมแต่ละครั้งราวกับจะกระชากวิญญาณให้ออกจากร่าง

เนื้อตัวผมแทบจะฉีกขาดออกจากกันด้วยกระแสอารมณ์ที่เชี่ยวกรากจนยั้งไม่อยู่ที่พี่นิวถาโถมเข้าใส่....

แต่ในความเจ็บปวดร้อนแรง ผมกลับรู้สึกเต็มอิ่มในรสรักจนแทบจะล้นอกล้นใจ

เสียงครางครวญด้วยความสาสมใจของเราสองคนสอดรับประสานกันจนกระทั่งพี่นิวซบลงมาบนตัวผม

กล้ามเนื้อแน่นตึงของพี่นิวสั่นเกร็งอยู่บนร่างผมพักใหญ่ เป็นอาการที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน...

ได้แต่สันนิษฐานว่า คงเป็นเพราะเราจากกันนานเกินไป ต่างคนต่างก็ไม่ได้มีใครมาบำบัดความต้องการทางร่างกาย

อย่างผมที่ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย แต่ละวันแทบจะไม่มีเวลาว่างให้คิดถึงเรื่องอื่น

ส่วนพี่นิวก็คงจะไม่ต่างกัน



    วันรุ่งขึ้นพี่นิวบินกลับกรุงเทพ โดยที่คุณแม่ยังไม่ทันทราบด้วยซ้ำไปว่าลูกชายมา เพราะออกไปหาหมอแต่เช้า

ป้าแม่บ้านไปจ่ายตลาด พี่นางก็ทำงานอยู่แต่หลังบ้านไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมาเลย ส่วนผมมีทดสอบช่วงบ่าย

ตอนเช้าก็เลยเรียกรถลีมูซีนไปส่งพี่นิวที่สนามบินก่อน โดยที่ทั้งบ้านไม่มีใครรู้เรื่องแม้แต่คนเดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นความต้องการของเขาเอง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ แต่อยากจะเข้าข้างตัวเองซะงั้น ว่า

ที่เค้าแอบกลับมา โดยไม่บอกใครก็เพื่อจะเซอร์ไพรส์ผม บังเอิญมาเจอว่าผมยังไม่เข้านอนก็เท่านั้น

ส่วนที่ไม่อยากให้ใครรู้ก็คงเพราะว่าเขามาได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวแล้วต้องรีบกลับไปฝึกงานต่อ

ซึ่งก็เพราะเขาคิดถึงผมอีกนั่นแหละ  (แบบว่าเข้าข้างตัวเองสุด ๆ)



    สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยของพี่นิวสิ้นสุดลงอย่างราบรื่น อุปสรรคเพียงเล็กน้อยระหว่างนั้น ทำให้เค้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

คิดอะไรไกลขึ้น แม้แต่ผมที่เป็นคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างชัดเจน

ยิ่งเวลาที่เอาภาพถ่ายตอนปีหนึ่งมาเปรียบเทียบกับพี่นิวตอนปีสุดท้าย

นอกจากจะมองเห็นร่างกายที่สูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งและสีผิวที่เข้มขึ้น

ผมยังมองเห็นความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แสดงออกถึงความเป็นคนมั่นใจในตัวเองค่อนข้างมากของเขาได้อย่างชัดเจน

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและผมยังสัมผัสได้อยู่เสมอ

นั่นก็คือความอบอุ่น อ่อนโยน และช่างเอาใจใส่ที่เขามีให้ผมตลอดมา



       พี่นิวจะมีเวลาที่ได้อยู่นิ่ง ๆ หลังจากเรียนจบประมาณห้าเดือน

     หลังจากรับพระราชทานปริญญาบัตรเขาก็มีโครงการจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศไม่ไกลประเทศไทยนัก   

ใกล้วันรับปริญญามากเท่าไร คนที่ตื่นเต้นดีใจที่สุด แทนที่จะเป็นบัณฑิตใหม่ กลับเป็นคุณแม่บัณฑิตเสียได้

คุณพ่อขำคุณแม่ แล้วก็เก็บมาล้อทุกครั้งที่มีช่อง ส่วนคุณแม่ก็ยิ้มรับอย่างมีความสุข แถมยังเตรียมชุดใหม่ล่วงหน้าเป็นเดือน ๆ

   “ก็แม่กลัวช่างเขาจะตัดไม่ดี จะได้มีเวลาแก้”

ที่ไหนได้...ทั้งที่ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าว่าชุดสวยแล้ว เหมาะแล้ว คุณแม่สวมใส่แล้วก็พอเหมาะพอดี

แต่คุณแม่ก็ยังไม่วายกังวล แอบไปตัดชุดใหม่มาเผื่ออีกสองสามชุด

“เอาไว้เผื่อเลือกน่ะ”

ไม่มีใครเห่อบัณฑิตเท่าคุณแม่ของพี่นิวอีกแล้วครับ

   ความเห่อของคุณแม่ยังเผื่อแผ่มายังผมด้วย เพราะคะยั้นคะยอให้ผมไปหาเดินหาซื้อเสื้อผ้ามาเตรียมไว้เหมือนกัน

(สงสัยจะหาเพื่อน) เหตุผลที่หยิบยกมาอ้างก็น่าเอ็นดูดีครับ

   “ไปเดิน ๆดูก็ใช่จะเจอเสื้อผ้าถูกใจจริงไหมลูก ไปครั้งนี้ถ้าไม่เจอก็ไปดูวันหลังอีกที แต่ถ้าไปเตรียมเอาตอนจวนตัวน่ะ

เจออะไรก็ต้องคว้าไว้ เพราะเวลามันไม่คอยท่าจริงไหมลูก ได้อะไรมาที่พอสมควรก็ต้องใส่ ทั้งที่เรารู้สึกว่ามันยังไม่โอเค”

      ผมกับพี่นิวก็เลยออกจากบ้านทุกครั้งที่คุณแม่คะยั้นคะยอ แล้วก็กลับมาบอกว่า ไม่เจอชิ้นไหนถูกใจ

แต่ความจริงเราไปไหนต่อไหนกันเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็ดูหนัง บางครั้งก็ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน

เพียงเพื่อให้คุณแม่สบายใจ (โถ่...จะอะไรนักหนาก็ไม่รู้สิครับ เสื้อผ้าผมออกจะเต็มตู้ แค่ชุดเดียวที่ใส่ไปงานน่ะ

ไม่ต้องซื้อหรอกครับคุณแม่....ผมกับพี่นิวได้แต่คิดตรงกันอยู่ในใจ)

   แต่ทว่า....

     พอถึงวันรับปริญญาเข้าจริง ๆผมกลับไปร่วมด้วยไม่ได้ เพราะติดสอบกระทันหัน ทั้งที่ความจริงกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว

แต่เนื่องจากข้อสอบรั่ว อาจารย์จึงต้องออกข้อสอบใหม่ แล้ววันกำหนดสอบครั้งใหม่ก็อยู่ในช่วงสำคัญนั้นพอดี

ทุกอย่างที่จองไว้ล่วงหน้าสำหรับครอบครัวเรา ถูกเปลี่ยนแปลงหมด แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินของผมก็ต้องยกเลิก

(แง...เสียดายตังงงงงงค์....)


       หลังจากเสร็จงานรับปริญญาของพี่นิว คุณแม่กลับบ้านก่อน คุณพ่อไปทำงานที่ต่างจังหวัดเลย

ส่วนพี่นิวยังคงอยู่ฉลองกับเพื่อนส่งท้ายอีกสองสามวันถึงจะตามมาพร้อมกับอัลบั้มภาพถ่ายวันงาน

คุณแม่บอกว่า พี่นิวจะอยู่เตรียมเรื่องวีซ่าไปต่างประเทศให้เสร็จทีเดียวเลย

นั่นเท่ากับว่า เวลาที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันก็น้อยลงไปอีก จากที่ผมคิดไว้ว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน

ไปจนถึงช่วงมหาวิทยาลัยของผมปิดเทอมกลาง ก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้นอีกแล้ว

       ผมเก็บเรื่องนี้มานั่งน้อยอกน้อยใจอยู่คนเดียว ไม่กล้าแสดงออกให้คุณแม่เห็น เพราะกลัวคุณแม่จะคิดว่า

ผมไม่อยากให้พี่นิวไปเรียนต่อ ทั้งที่เป็นความก้าวหน้าในชีวิตของเขา แต่ความจริงไม่ใช่เลย

ผมแค่อยากมีเวลาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุดก่อนที่เขาจะจากไป บางครั้งที่คิดถึงเรื่องพี่นิวกำลังจะจากผมไป

ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ไม่มั่นใจในความรักที่เรามีต่อกันว่า....เป็นผมคนเดียวหรือเปล่า

ที่ยังคงความรักต่อเขาไว้อย่างเหนียวแน่น

      เป็นเพราะผมยังอยู่ตรงนี้...ที่เดิม อยู่กับสิ่งแวดล้อมเดิม สังคมเดิม ที่แม้จะมีมิตรใหม่เปลี่ยนหน้าเข้ามาบ้าง

แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและความคิดของผมมากนัก นอกจากจะทำให้ผมรู้คิดขึ้น และเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

      การที่เราอยู่กับที่ แต่ใครบางคนเดินจากไป ไม่ว่าเขาคนนั้นจะจากไปชั่วกาลหรือชั่วคราว

แต่ ณ เวลานั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คงไม่แตกต่างกันนักนั่นคือ ความรู้สึกว่าตัวเราถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ทำได้อย่างมากที่สุดก็คือ....ส่งสายตามองตามแผ่นหลังไป....ได้แค่เพียงลับสายตา

........ส่งกำลังใจไปให้ หวังให้มันเป็นคลื่นพลังงานอันมหาศาล ดลบันดาลให้เขาเข้มแข็งในวันที่เขาท้อแท้

........ส่งความรักไปให้ ด้วยความหวังว่า ความรักนั้นจะฟุ้งกระจายไปในอากาศที่เขาสูดลมหายใจ

          และท้ายสุดก็คือ

..... เฝ้ารออย่างจงรักภักดี ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

      ผมต้องเพียรพยายามแค่ไหนหนอ ถึงจะทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ และตลอดรอดฝั่ง

จนถึงวันที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง วันที่พี่นิวจะกลับมาพร้อมกับความสำเร็จที่เขามุ่งหวัง

อย่างไรก็ตามแต่ ผมคงจะทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ผมทำทุกอย่างที่คิดไว้ได้สำเร็จ

นั่นก็คือ “ความอดทน”




      พี่นิวเดินทางไปได้สองสามวัน ผมก็พอจะมีเวลาเก็บข้าวของบางอย่างเข้าตู้ ลงกล่อง และบางส่วนเตรียมบริจาค

กับอีกบางส่วนก็ต้องทิ้ง

     กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เขาเอามาจากกรุงเทพตอนที่กลับจากงานรับปริญญายังพิงอยู่ข้างผนัง

ไม่ได้เปิดออกมาจัดเก็บให้เข้าที่เพราะเรามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ ผมเองก็อยู่ในช่วงสอบ

พี่นิวก็เลี้ยงอำลาเพื่อนฝูงแทบทุกคืนก่อนเดินทาง และเพราะเขาบอกผมว่า ข้าวของในนั้นไม่มีอะไรที่จะขนไป

วันนี้ผมว่างก็เลยจัดการสังคายนากันเสียที

     เปิดออกมาก็มีแต่เสื้อผ้า บางส่วนเก็บไว้ใช้ได้ บางส่วนดูทรุดโทรมแล้ว ผมก็แยกไว้

มีกล่องกระดาษลักษณะคล้ายกล่องรองเท้าใบนึง เปิดออกมามันเต็มไปด้วยอัลบั้มรูปวันงานรับปริญญานับสิบเล่ม

รวมทั้งแผ่นซีดี และดิสเก็ตต์เต็มไปหมด

    ผมเปิดอัลบั้มภาพถ่ายทีละเล่ม ภาพบัณฑิตใหม่ที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานดูสดใส ร่าเริง

ชีวิตเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลอง...มุมมองที่ผมไม่เคยได้เห็น ภาพส่วนใหญ่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกัน และรุ่นน้องที่มามอบดอกไม้แสดงความยินดี

     จนหยิบเล่มที่ห้าที่หกออกมาดู.....

     สองเล่มนี้ นอกจากพี่นิวกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว จะมีอีกครอบครัวที่ร่วมถ่ายภาพด้วยกัน นั่นคือครอบครัวของพี่พิม...

   ผมคงไม่ต้องบอกว่า...บัณฑิตหนุ่มสาวที่ถ่ายรูปคู่กัน ดูมีความสุขมากแค่ไหน

ท่ายืนก็แนบชิดสนิทสนมกันถึงขนาดที่คนไม่รู้จักได้มาเห็นก็ต้องเข้าใจว่าเป็นคู่รักอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ผมได้ทำร้ายตัวเองเหมือนคนเป็นมาโซคิสม์ ผมเปิดดูมันจนหมดทั้งสองอัลบั้ม

ภาพนิ่งที่ผ่านสายตาไปภาพแล้วภาพเล่า ผมสามารถเอามาเรียบเรียงเป็นภาพสไลด์ในหัวได้อย่างน่าอัศจรรย์

บางภาพอิงแอบแนบชิด บางภาพมือโอบไหล่ บางภาพนั่งอิงกันจนไหล่ชนไหล่ แก้มแนบแก้ม

จนมาถึงภาพที่มันกรีดหัวใจผมจนร้าวลึก....ภาพที่ฝ่ายหญิงจรดจมูกลงบนแก้มของ “ที่รักของผม”

พี่นิวหันหน้าสู้กล้องพร้อมกับส่งรอยยิ้มอันสดใสผ่านเลนส์

สองมือเกาะกุมกันราวกับจะเป็นคำมั่นสัญญาที่ผูกพันคนสองคนที่มีใจตรงกันเอาไว้ด้วยกัน

ทำเอาผมแทบไม่ต้องเค้นน้ำตาออกมา มันก็ทะลักทะลายร่วงพรูได้เลย

ผมเปิดอัลบั้มภาพที่เหลือไปทั้งน้ำตา เพียงเพื่อจะตอกย้ำว่า พี่นิวมีใครอีกคน....

ใครคนนั้นที่ผมไม่อาจจะแข่งขันต่อสู้ได้เลย แค่คิดผมก็แพ้แล้ว

ตอนที่ผมรวบอัลบั้มทั้งหมดขึ้นมาเพื่อจะขึ้นชั้นให้เป็นระเบียบ กระดาษที่พับไว้ก็ร่วงลงมาบนพื้น

มันคงจะแนบอยู่ในหน้าใดหน้าหนึ่งในอัลบั้ม แล้วผมก็ไม่ทันเห็น

ข้างในเป็นลายมือที่ผมจำได้ไม่เคยลืม……



คนดีของพี่

    พี่ตั้งใจที่จะให้นูได้อ่านหลังจากที่พี่เดินทางไปแล้ว พี่ขอโทษกับสิ่งที่นูได้เห็นทั้งหมด และไม่มีคำแก้ตัวอะไรทั้งนั้น

ทุกอย่างที่เห็นพี่ให้นูคิด และตัดสินใจเองคนเดียว พี่จะยอมรับทุกอย่างตามนั้น

      ที่พี่บอกนูอย่างนี้เพราะความจริงพี่ไม่มีเป้าหมายที่จะไปเรียนที่โน่นเลย พี่แค่ต้องการออกไปจากโลกที่เคยอยู่

ซึ่งก็หมายถึงออกมาจากชีวิตที่พี่คุ้นเคยทุกอย่างรวมทั้งนูด้วย บางทีสิ่งที่พี่ทำ

อาจจะทำให้เราสองคนมองเห็นความเป็นจริงในชีวิตได้มากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วเราอยู่เพื่ออะไร

นูก็รู้ดีว่าทางที่เราเดินมันไม่ได้ราบรื่นสวยงามอย่างที่เราฝันจะให้เป็น แต่ที่เราจำเป็นต้องยอมรับมัน เพราะเรารักกัน

พี่ยังยืนยันว่าพี่รักนูไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อนูโตขึ้นกว่านี้ นูอาจจะคิดได้ว่า

แค่ความรักมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป ตราบใดที่เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม

และพี่เองมีหน้าที่ต่อครอบครัว ต่อวงศ์ตระกูล ซึ่งนูเองก็เหมือนกัน

      ไม่ว่านูจะตัดสินใจยังไงก็คิดให้ดี ๆ พี่พร้อมและยอมรับได้เสมอ

เวลาข้างหน้าอีกสองปี คงช่วยให้เราเลือกทางเดินที่เหมาะสมสำหรับเราทั้งคู่ได้


   .............



      น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วกลับไหลพร่างพรูออกมาอีกครั้ง

    ผมมองกระดาษที่เขียนด้วยลายมือที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่ได้อ่าน ราวกับเป็นข้อความจากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันเลย

      สี่ปีที่เราอยู่ไกลกัน เปลี่ยนความคิดของพี่นิวไปได้ถึงเพียงนี้

    แล้วอีกสองปีข้างหน้า เขาจะเปลี่ยนไปขนาดไหนผมไม่อยากเดาเลย

       หัวใจของผมมันไม่เต้นอีกแล้วตอนนี้

     ผมรู้สึกได้เพียงอาการที่กล้ามเนื้อส่วนนั้นมันบีบรัดตัวเองจนเลือดในกายแทบจะไม่ไหลเวียน

รู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจ ผมอยากกรีดร้องแต่ไม่มีแรงแม้แต่จะเผยอปากให้เสียงมันเล็ดลอดออกมาได้

       เท่าที่จำได้ ผมนั่งคู้ตัวอยู่บนพื้น ในมือมีกระดาษสีขาวยับยู่ยี่ น้ำตาที่ไหลพรากหยาดลงบนหน้าตักจนกางเกงเปียกฉ่ำ

มีเพียงอาการอกสะท้อนเพราะแรงสะอื้นที่ไม่มีเสียง

     เหมือนตัวเองลอยอยู่กลางอากาศที่เท้าไม่ติดพื้น และกำลังโดนลมกระโชกให้เซ แต่ไม่กล้าพอที่จะล้ม

หนาวยะเยือกจนอยากจะยกมือขึ้นกอดตัวเองไว้ให้อุ่น แต่แขนสองข้างมันล้าแรงเหลือเกิน

     ในหัวสมองผมว่างเปล่า แต่ยังสั่นไหวระริกเหมือนวุ้นใส ๆ ที่กระเพื่อมไปมา พอให้รู้สึกได้ว่ายังไม่ตาย

   ไม่มีภาพรักแห่งความทรงจำระหว่างเราปรากฎขึ้นในห้วงความคิด

    หูผมไม่ได้แว่วเสียงอะไรในอดีตที่เป็นถ้อยคำพร่ำรักอ่อนหวานของใคร

    ผมรู้สึกเหมือนตัวตนของผมกำลังสลายเป็นอากาศธาตุ






....ไม่มีพี่นิว....แล้วผมจะอยู่ได้ยังไง.....





จบตอน Series : The Forth Page.

ขอบคุณทุก ๆ คนที่แวะมานะครับ

ผมจำได้ทุกคนแหละ ตอนนี้คิดว่าท่องชื่อได้ขึ้นใจแล้วด้วย




หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 22-10-2012 01:34:41
 เฮ้อ... เศร้า พี่นิวใจร้ายอ่ะ กดดันน้องมาก อ่านกี่รอบๆก็น้ำตาซึมไปกับน้องนูจนได้ สู้สู้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 22-10-2012 02:07:22
 :m16: :m16:

ตูว่าแล้วไง นึกแล้วไง

เฮ้อเศร้า แต่ก็เข้าใจพี่นิวนะ

แต่ก็ สงสารนูอ่ะ หน่วงอ่ะ หน่วงงงงงงงง หน่วงว้อยยยยยย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-10-2012 03:06:36
 :o12: เศร้าอ่ะ

ยังเป็นคน อยู่อีกหรือ ซื่อหายหด
รักกบฎ ปดอยู่นาน พาลผลักไส
ชีวิตหนึ่ง เคยอยากได้ เจียนขาดใจ
วันผ่านไป ไยเลือดเย็น เข่นฆ่าตาย

รักกันจริง ไม่ทิ้งกัน อย่างนี้หรอก
รักกลับกลอก หลอกลวงกัน ฝันสลาย
ปากบอกรัก เนิ่นนานวัน พลันกลับกลาย
รักผู้ชาย แต่อายคน ไอ่ส้นตีน


 :z3: ถึงพอจะเดาได้จากที่นูพูดอยู่บ้างในเรื่อง ว่าตอนนี้นูยังครองคู่อยู่กับนิว
แต่ไม่เข้าใจเลยว่า นูกลับไปคืนดีกันได้ยังไง นิวเลือดเย็น ใจร้าย เห็นแก่ตัว ทำกันลงคอได้ถึงขนาดนี้
นี่เหรอที่เรียกว่า "คนรักกัน" ทำไมถึงกล้าทำเรื่องแย่ๆๆๆๆ ทำร้ายกันอย่าสาหัสสากรรณ์ได้เท่านี้
คนที่ปากบอกว่าเกลียดกัน ยังไม่จ้องจะทำร้ายกันได้ลงคอขนาดนี้เลย
ไหนจะเวลาที่หลอกลวงกัน ไม่น้อยเลยนะ โกหกหน้าตายข้ามวันข้ามปี ฮึ ไม่ใช่ดิ หลายปีถึงจะถูก

ถ้าเม้นท์นี้ทำให้นูไม่พอใจ ก็ต้องขอโทษด้วย  :L2: แต่มุมมองของคนอ่าน มันไม่ไหวอ่ะ
อยากจะพูดแรงๆๆๆ กว่านี้ด้วยซ้ำ เยอะเลย แต่เกรงใจเพราะเห็นว่าตอนนี้อยู่ด้วยกันหนิ

แต่ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวน่ะ ถ้าเจอขนาดนี้ล่ะก็ ต่อให้รักขนาดไหน จะเป็นจะตาย ชาตินี้ผีก็ไม่เผา
อย่างดีถ้าไม่มีใครเอา ก็ขออยู่คนเดียวโว้ยยยยยยยยย ฆ่ากันทั้งเป็นแบบนี้ไม่ไหวอ่ะ
ขืนอยู่ด้วยกันต่อไป ความรู้สึกมันก็ตามมาหลอกหลอน ลืมไม่ลงจริงๆ ว่าเคยเจ็บปางตาย เจียนขาดใจ   

ขอบคุณนะครับ..นู ที่แชร์เรื่องให้อ่าน ไม่รู้จะตอบแทนยังไง ทำได้ก็แค่ บวกเป็ด +1 ให้ครับ
 :3123:

ป้อล่อ....อ๊ากสสสสสสสสสสส  :m31: แล้วคืนนี้ตรูจะหลับได้มั้ยเนี่ยะ อารมณ์แบบนี้ อยากพ่นไฟก่อนนอน เจรงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 22-10-2012 07:49:08
พี่นิวใจร้าย แต่รอพี่นูนะคะ อยากรู้เรื่องหลังจากนี้
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 22-10-2012 08:24:30
 :monkeysad:  พี่นิวเห็นแก่ตัวมากมาย   โอ้ยอยากเอามีดแทงพี่แกซัก  ยี่สิบสามสิบทีจริงๆ

เศร้าจนน้ำตาหมดไปหลายโอ่งแล้ว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 22-10-2012 14:29:29
พี่นิว...ไม่น่าเลย ใจร้ายได้อย่างเลือดเย็นมาก สงสารนูจัง T T
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 22-10-2012 19:57:11
อ่านกีครั้งก็ปวดใจ   รักแล้วรอได้อะไร รักแล้วอดทนให้ปวดใจ รักมากแค่ไหนก็ไม่พอถ้าอีกคนหมดใจ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: mengsama ที่ 22-10-2012 21:27:59
ไม่ว่านูตัดสินใจยังงัยพี่พร้อมยอมรับเสมอ    ถ้านูตัดสินใจไม่ไปไหนรอต่อไป นิวก็จะยอมอยู่ด้วยหรือ แต่ถ้านูตัดสินใจไม่รอไม่รัก นิวก็จะได้อิสระ จะได้รักกับพิมได้สะดวกหรือ นิวเห็นแก่ตัวสุดๆ  ตัวเองได้โบยบินแต่กลับทำให้อีกคนอยู่กับที่

นี่ตลอดมาคงอยู่กับพิมละซิเลยไม่ให้นูไปเรียนเดี๋ยวนูรู้ว่าอยู่ด้วยกัน ไม่ให้นูไปเรียนขวางความเจริญนูอีก  นิวกรวกกกกกกก

ขอโทษนะค่ะ อินนะ คือเราไมาชอบผู้ชายแบบนิวมาก เห็นแก่ตัวเกิน ที่บอกว่ายังรักนูไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เลย นิวรักนูจริง แต่รักน้อยลงแล้ว นั่นละที่เปลี่ยนแปลง น่าจะบอกนูตั้งแต่แรกนูจะได้ไม่อยู่กับที่ นิวเห็นแก่ตัว กลัวเสียนู แต่ก็กลัวเสียหน้า พอตอนนี้ไม่อยากมีนูก็ได้นะนิว จะทิ้งก็ทิ้ง เห็นแก่ตัวสุดๆ ไม่ชอบนิวมาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 22-10-2012 22:54:02
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 :sad4:
อ่านจบแล้วโกรธพี่นิวนะ โกรธจริงๆ
จนไม่อยากจะเรียกพี่นิวให้เสียปาก
คุณนูคงไม่โกรธเนอะที่คนอ่านอินแถมโกรธแทนคุณนูขนาดนี้
 :fire:
พออ่านตอนนี้จบเรานับถือน้ำใจคุณนูเลยจริงๆ
เราเองก็มีความคิดเหมือนรีบนๆเค้าน่ะแหละ
มาบอกว่ารักไม่เปลี่ยน แต่ขอโทษเถอะการกระทำไม่ได้สื่อแบบนั้นเลยนะ
นี่ถ้าอิพี่นิวนั่งอยู่ข้างๆนะ
คนอ่านอาจจะหน้ามืดหาอะไรเสยเข้าให้ก็ได้
แก้แค้นให้คุณนู เพราะเรารู้
ว่าคุณนูของคนอ่านใจดีเกิน
รอตอนหน้านะคะ
 o18 o18

ปลล.หรือจะแอบไปอ่านที่โน่นต่อเลยดีน้ะ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 23-10-2012 00:00:56
ทำไมพี่นิวทำกับพี่นูอย่างนี้  :sad4:
สงสารพี่นู :o12:
ยังไงก็ยังคอยเป็นกำลังใจให้พี่นูเสมอนะครับ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 23-10-2012 07:49:02
มาติดตามเรื่องนี้ด้วยคนค่า
พี่นิวใจร้ายมากๆ
โกหกกันมากี่ปีแล้วเนี่ย
ให้นูรอไม่ให้ไปเรียนด้วยกันเพราะแอบพิมไว้รึเปล่า
ใจร้ายมากๆเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: PazZ ที่ 23-10-2012 19:22:03
พี่นิวมัน...ใจร้าย TT
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 23-10-2012 21:22:38
พึ่งเข้ามาอ่าน แต่ยังอ่านไม่จบ ชอบคับๆ ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 23-10-2012 22:39:38
ไม่ได้เม้นท์มาหลายตอน เห็นทีตอนนี้จะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว

ที่ห้ามนูทุกอย่างนี่เป็นเพราะแอบปันใจให้กับคนอื่น!!
ไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้านิวจะเลือกคนใหม่ที่คิดว่าเขาดีกว่า
แต่ ขัดขวางความเจริญและอนาคตของนูไปเพื่ออะไร

ในเมื่อสุดท้ายก็เลือกคนอื่นอยู่ดี ไปตอนนั้นกับไปตอนนี้ยังไงก็คือทิ้งนูไปเหมือนกัน
หนำซ้ำตอนนี้นูจะเจ็บมากกว่าตอนนั้นอีกไม่รู้กี่เท่า
ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าปล่อยนูไปตั้งแต่ตอนนั้นนูจะมีอนาคตที่ดีกว่า
ได้เจอ ได้พบ ได้เห็นอะไรที่กว้างกว่า ดีกว่าที่จะอยู่ในสภาพสังคมเดิมๆ
เพื่อหวังว่าสักวันจะได้อยู่ด้วยกันกับนิว

นิวเหนี่ยวรั้งน้องไว้ทำไม แค่อยากให้มีคนอยู่เป็นเพื่อนแม่ คอยช่วยงานแม่อย่างนั้นน่ะเหรอ
ถ้าอย่างนั้นนิวก็เห็นแก่ตัวมากกกกกก มันเท่ากับการทำลายชีวิตและอนาคตคนๆ นึงเลยทีเดียว

แล้วตอนสุดท้ายที่นิวเลือกจะไปโดยที่ไม่บอกน้องตรงๆ
และบอกว่ายอมรับการตัดสินใจของน้องทุกอย่าง
จริงๆ คือนิวขี้ขลาดต่างหาก ขี้ขลาดที่จะยอมรับความจริงว่าตัวเองคือคนทรยศ
ขี้ขลาดที่จะเห็นคนอื่นเจ็บปวดและผิดหวังเพราะตัวเอง
แล้วที่บอกว่ายังไงก็รักนูไม่เคยเปลี่ยนน่ะ
จริงๆ มันคือข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเป็นคนเลวต่างหาก

ที่นูต้องทนให้คนอื่นดูถูก ทนเทียวไปเทียวมาช่วยงานทั้งสองบ้าน
ทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึงไม่มีเพื่อนก็ไม่เป็นไร
ทุกอย่างนูได้อะไรตอบแทนมา
เคยมีสักเสี้ยวในหัวใจมั้ยที่คิดจะสงสารน้องบ้าง
แต่คงจะไม่มีเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำกันขนาดนี้

คนปกติถ้าไม่รักกันแล้วก็เลิกกัน ต่างคนต่างไปมีชีวิตใหม่ มีอนาคตใหม่ มีเส้นทางเดินใหม่
แต่นิว...นอกจากไม่รักน้องแล้ว ยังเหนี่ยวรั้ง ยังถ่วงความเจริญนูไว้ไม่รู้กี่ปี
จงเกลียดจงชังอะไรน้องนักหนาเหรอ ขอถามหน่อย
นูไม่น่ามาเจอและมารักคนอย่างนี้เลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-10-2012 00:07:04
ยังไม่มาเล่าต่ออีกหรือครับ..นู
มีหลายคนรออยู่น่ะคร้าบบบบบ
 :serius2:

เกิดมา เพื่อคน คนหนึ่ง
ลึกซึ้ง ในรัก นักหนา
ไม่เคย ตีค่า ราคา
ห่วงหา อาทร ก่อนใคร

ตายไป เพราะคน คนหนึ่ง
ดันดึง รั้งไว้ ไม่ไหว
เจ็บปวด รวดร้าว เพราะใคร
ผลักไส ใจเชือด เลือดเย็น


 :z3: หนี้ใจ หุหุ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 24-10-2012 22:39:35
ความเศร้าผ่านมา ให้มันผ่านเลยไป. เหลือไว้เพียงความทรงจําทีเป็นสิิ่งเตือนใจ. จงมองแต่ความสูขที่ พึ่งมี เพื่อเป็นกําลังใจ (่่รักมากมายนายนู ) :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: paintshinki ที่ 27-10-2012 21:21:43
ตอนนี้เศร้าจับใจจริงๆ :z3:
เพิ่งมาติดตามเรื่องพี่ปืน-ปอของพี่นูแล้วติดใจ
ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นนักอ่านเรื่องของพี่นูอีกนะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 27-10-2012 21:35:28
เศร้าอ่ะคับ ยังไงก้อจะติดตามต่อไปเรื่อยๆ นะคับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 28-10-2012 00:14:41
รอพี่นูๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 28-10-2012 02:06:39
คำแก้ตัวของคนเลวเหอะ
สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะยอมรับและเปิดเผยสนใจแต่คนอื่นไม่สนใจคนที่ปากร่ำว่ารัก ได้จนสมใจแล้วนี่
กะอีแค่บอกเลิกยังไม่มีปัญญาบอกต่อหน้า ทุเรศว่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 31-10-2012 12:52:03
เศร้า'
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 31-10-2012 18:17:54
 :pig4: ชอบเรื่องนี้มากๆ ขอบคุณที่มาเล่าเรื่องราวดีๆให้ได้อ่าน เหมือนจะเศร้าแต่ก็มีความสุข   
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Gapompom ที่ 31-10-2012 21:28:02
ว่าล่ะ ทำไมเห็นแก่ตัวขนาดนี้นะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 01-11-2012 19:44:35
อ่านกี่ครั้งก็ยังเศร้า ปวดจิตทุกทีเลยอ่ะพี่นู :m15:
พี่นิวใจร้ายมากๆๆๆๆๆๆๆๆ :angry2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 01-11-2012 20:59:26
เศร้าอ่ะ ทำไมพี่นิวถึงใจร้ายอย่างนี้กันนะๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: pimpreaw ที่ 01-11-2012 21:10:08
เศร้าอะ :sad11:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 02-11-2012 21:05:34
โอ๊ย...อะไรเนี้ยะ ตายๆๆๆๆ มันเศร้ามากแบบอธิบายไม่ถูก สงสารมากถึงมากที่สุด คนอ่านจะใจสลายแทน ฮือๆๆๆๆ 
:m15:  :monkeysad:  :sad11:
ย้ำอีกที...มันเศร้า เหมือนจะอยู่อย่างมีความสุขดี แต่ไหนกลายมาเป็นอย่างนี้ คนอ่านจิตตกเลย  o22
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 06-11-2012 10:42:53
อ่านกี่ครั้งน้ำตาก็ยังคงไหล :sad4:  คิดถึจุงเบย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 10-11-2012 13:47:07
 :เฮ้อ:คิดถึง :กอด1:มากกกกก มาไวๆๆๆนะครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 12-11-2012 00:33:56


ตอนพิเศษตอนนี้ ผมเพิ่งจะเขียนได้ไม่ถึงเดือนเอง ไม่เคยลงไว้ที่บ้านผมด้วยซ้ำ

เพราะตอนนั้นความยังไม่แตก ที่ได้กล้าเล่าเพราะว่าตอนนี้พี่นิวเค้ารู้เรื่องแล้วครับ

เพื่อนฝูงเค้าเล่ากันเอง เกือบทำผมเดือดร้อน เพราะพี่นิวเ้ค้าว่าผมว่าทำไมไม่บอก



ตอนพิเศษที่เอามาลงนี้ผมก็ลงไปพร้อม ๆกับที่บ้านผมเองนะครับ

สำหรับในเล้านี้ก็เท่ากับเป็นการอ่านต่อเนื่องไปตามลำดับเหตุการณ์


คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย คราวนี้คงได้มาลงต่อเรื่อย ๆ ซะทีนะครับ

จะพยายามให้สม่ำเสมอ (ตามประสาคนไม่ค่อยมีวินัย)

 :really2:









        พี่นิวจากไปเรียนที่ต่างประเทศได้ปีกว่า ๆ แล้ว และเขาคงมีชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ต้องการ ในขณะที่ผมยังย่ำอยู่บนทางเส้นเดิม

 เพราะไม่อาจจะหักใจจากเขาได้สักที

        ทุกเวลานาทีที่ผ่านไป ผมได้พยายามแล้วที่จะทำอย่างที่พี่นิวทิ้งท้ายไว้ในจดหมายฉบับนั้น แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย

หัวใจดวงเดียวดวงเดิมของผมไม่เคยมีใครมาเติมเต็มได้ เพราะมันเต็มปรี่อยู่เช่นนั้นตลอดมา ด้วยความรู้สึกที่มีต่อคน ๆ เดิม

    ในความรักที่ผมกอดเก็บมันไว้ในส่วนลึก ถูกเคลือบคลุมไว้ด้วยความปวดหนึบจากความคิดถึงคะนึงหา

ทุกครั้งที่ผมหวนนึกถึงความรักที่เคยอ่อนหวานในอดีต ผมต้องฝ่าฟันความเจ็บปวดนั้นไปให้ได้เสียก่อน

ที่จะได้ลิ้มรสว่า หวานรักนั้นเป็นฉันใด....มันช่างแสนทรมานกับความพยายามที่สร้างขึ้นเพื่อทำร้ายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ตลอด 365 วันที่ผ่านมา และผมคงต้องอยู่กับมันไปอีกนาน.....อาจจะเท่ากับช่วงชีวิตที่เหลือของตัวเองก็ได้


      ระหว่างที่ผมต่อสู้กับจิตใจของตัวเองนั้น ใช่ว่าผมจะอยู่โดดเดี่ยวลำพัง นอกเหนือจากกำลังใจที่มีค่าของคุณแม่

และพลังความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อกับแม่ ผมก็ยังมีพี่คนหนึ่งที่โผล่เข้ามาได้จังหวะ

ทั้งที่ความจริงผมทำเขาหล่นหายไปในอดีตนานแล้ว....พี่เนย์


        เราพบกันโดยบังเอิญที่สนามบิน ในวันที่ผมกับเพื่อน ๆ ถูกเกณฑ์ให้ไปรอรับอาจารย์พิเศษท่านหนึ่งที่สนามบิน

ซึ่งจะมาบรรยายในตอนบ่ายวันนั้น

        ขณะที่ผมกำลังยืนรอกับเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนหญิงสองคนที่ยืนข้าง ๆ ก็สะกิดให้ดูผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งท่าทางดูดีมาก

ผมว่าคนบางคนไม่ต้องหน้าตาดีจัด แต่บุคลิกที่โดดเด่นกลับทำให้เขาดู “หล่อ” ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ...พี่เนย์ก็เป็นเช่นนั้นแหละ

        ผมจำเขาไม่ได้ในทีแรก แค่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาคุ้นดี พี่เนย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักผมก่อน

        “นูใช่มั้ย”

        ผมเอียงคอ เพ่งมองอึดใจหนึ่งก็ยิ้มออก แล้วยกมือไหว้ทักทายพี่เนย์ และช่วยไม่ได้เลยที่ ใบหน้าพี่เนย์ดันทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนที่เป็นเพื่อนกัน

ความเจ็บปวดกระแทกเข้ามาในทันทีนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่อย่างไรเสียผมก็คงแสดงอะไรอื่นออกไปไม่ได้ นอกจากรอยยิ้ม

        “สวัสดีครับพี่เนย์ มาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ”

        “มาสัมมนา.....”

        พี่เนย์พูดถึงโครงการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง ทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นวิศวกรประจำอยู่สำนักงานใหญ่

และถูกส่งมาประจำชั่วคราวเพื่อเตรียมสร้างสถานที่สำคัญของประเทศ (ฟังดูยิ่งใหญ่เนอะ...ตามนั้นแหละครับ)

        “เก่งจังเลยครับ อย่างนี้ก็อนาคตไกลแน่ ๆ”

        “ยังไม่รู้เลยนู พี่อยากทำงานอิสระมากกว่า แต่ที่บ้านพี่อยากให้สอบพี่ก็สอบ ดันได้ซะอีก ไม่น่าเลย”

        “อ้าว...” ผมอุทาน พลางหัวเราะขำพี่เนย์  “ใคร ๆ ก็อยากเข้านะนั่นน่ะ”

        “แต่คงไม่ใช่พี่หรอก เออ...ว่าแต่วันไหนมีเวลามั่งล่ะเนี่ย ไปกินข้าวด้วยกันหน่อยดีกว่า นี่นะนามบัตรพี่ ไหนของนูล่ะมีมั้ย”

        “โอ๊ย...พี่เนย์อะ ผมเป็นแค่นักศึกษาจะทำนามบัตรไปทำไมกันครับ”

      “ก็ไม่รู้สิ เผื่อจะมีเบอร์ทงเบอร์โทรให้พี่มั่ง รึว่าจะแจกแต่สาว ๆ...หือ”

        “ไม่มีอะครับ” ผมก้มดูเลขหมายโทรศัพท์ในนามบัตร แล้วกดโทรออก

        พี่เนย์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูหลังจากที่มันดังแค่กริ่งเดียว

        “โอเค พี่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว เอ่อ...พี่ไปก่อนนะ”

        พี่เนย์ท่าทางเลิ่กลั่ก เหลียวไปด้านหลังผม ซึ่งสาว ๆ กลุ่มเล็ก ๆ คงกำลังจ้องอยู่

        “สาว ๆ เดี๋ยวนี้น่ากลัวว่ะ ดูสายตาดิ มองซะพี่เขินไปหมดแล้ว”

        “ก็ใครใช้ให้พี่หน้าตาดีล่ะครับ”

        “โอย....เอาเข้าไป ไปล่ะ แล้วพี่จะโทรหานะ”

        ท่าทางพี่เนย์จะเขินจริงเขินจัง รีบสาวเท้าเดินจากไปโดยเร็ว ปล่อยให้ผมตอบคำถามของเหล่าสาว ๆ ในกลุ่มนั้นอีกหลายคำ

ว่ารู้จักกันได้ยังไง

    ไม่เจอกัน 2-3 ปี พี่เนย์ดูตัวโตขึ้นเยอะเลย ผมจำเมื่อตอนแรกรู้จักได้ว่าพี่เนย์เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม

ตอนนั้นพี่เขาดูน่ากลัวมากในความรู้สึกของผม เพราะทั้งสูงใหญ่ และเต็มไปด้วยมัดกล้าม

ซึ่งคงเป็นเพราะผมยังเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายที่รูปร่างเพรียวบาง แถมยังไม่สูงเท่าตอนนี้ 

แต่ในวันนี้ผมกลับมองพี่เนย์ในอีกมุมหนึ่งอย่างผู้ชายมองผู้ชายด้วยกัน ผมว่าพี่เนย์รูปร่างสูงใหญ่เหมือนฝรั่งมากกว่า

ถึงแม้ลำตัวจะดูหนา แต่ความสูงเกิน 180 ทำให้ดูเพรียวได้อย่างลงตัว

จึงไม่แปลกอะไรที่ผมจะเห็นสายตาของคนที่เดินไปเดินมาแถว ๆ นั้นเหลียวมองพี่เนย์กันเป็นตาเดียว


        ผมยังไม่ทันลืมนัด พี่เนย์ก็ติดต่อมาในคืนนั้นเอง

      “พี่เข้าประจำที่ทำงานแล้วล่ะนู วันนี้สัมมนาเสร็จเค้าก็ให้รถประจำตำแหน่งมาด้วย”

        “โห.....สุดยอดเลยพี่เนย์ แล้วจะอยู่นานมั้ยครับเนี่ย”
       
    “จนกว่าจะสร้างโรงงานเสร็จนั่นล่ะ คงสักสองปีมั้ง”

      “อืม...งั้นเหรอครับ”

         “แต่พี่คงไม่ได้อยู่ตลอด 2 ปีหรอกนะ เค้าจะส่งวิศวกรคนใหม่มาประจำแทน ก็...ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อยู่สักกี่เดือน

แต่อย่างน้อย ๆ พี่ว่านูคงทนเห็นหน้าพี่ไปไม่ต่ำกว่า 10 เดือนล่ะ”

      “ทนอะไรกันพี่เนย์ ดีสิครับ อยู่นาน ๆ เลยก็ได้ ผมจะพาเที่ยวเอง”

      “พูดใหม่ซิ”

      “ฮ่า ๆ ผมจะให้พี่เนย์ขับรถพาผมเที่ยวเอง...อย่างนี้ใช่มั้ยครับ”

     พี่เนย์ส่งเสียงหัวเราะมาแทนคำตอบ เป็นที่รู้กันว่าผมขับรถยนต์ไม่เป็นจนบัดนี้ สมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่

ผมโดนบังคับให้ไปเรียนขับรถ และพี่เนย์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่บ่นว่า ผมคิดมากไม่เข้าเรื่อง

ที่เอาความคิดความต้องการของคนอื่นมาเป็นเงื่อนไขในการใช้ชีวิตมากเกินไป


        และแล้วสุดสัปดาห์นั้นเอง พี่เนย์ก็เป็นฝ่ายโทรหาผม ชวนให้ไปเที่ยวที่ทำงานของเขา

      “วันเสาร์พี่ทำแค่ครึ่งวัน มาเที่ยวกันนะนู”

      “พี่เนย์จะมารับผมเหรอครับ หรือว่าให้ผมไปหาเอง”

      “เออ...มันดูไม่ค่อยดีนะ ถ้าพี่จะบอกให้นูมาเองเนี่ย แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยวไง

ครึ่งวันที่เหลือ เราจะเที่ยวกันให้ค่ำไปเลย แล้วคืนนั้นพี่จะไปนอนที่บ้าน แบบนี้ดีมั้ย”

      “พี่เนย์จะมานอนบ้านผมเหรอ”

      “ก็เออสิ ขัดข้องอะไรรึเปล่า รึถ้านูไม่สะดวกเดี๋ยวพี่นอนโรงแรมก็ได้”

      ผมอึกอัก....ลืมไปว่าพี่เนย์อาจจะยังไม่รู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่บ้านพี่นิวแล้ว ถ้าหากพี่เนย์คาดหวังว่าจะได้นอนที่บ้านหลังที่เคยมาค้างเขาก็คงจะผิดหวัง

      “พี่เนย์”

      “เออ ๆ ไม่เป็นไร พี่ไปนอนโรงแรมก็ได้คืนเดียวเอง อย่าคิดมากน่า”

      “เปล่าครับ ผมไม่ได้ว่าอย่างงั้น ผมแค่จะบอกว่า ถ้าพี่เนย์จะค้างคงต้องค้างที่บ้านผมนะ”

      “แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ”

      “บ้านผมนะ ไม่ใช่บ้านพี่นิวที่พี่เนย์มาเที่ยวคราวก่อนนะครับ”

      “อ้อ....เหรอ ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ พี่นอนที่ไหนก็ได้ แต่ถ้านูไม่สะดวกให้พี่ไปค้างที่บ้าน พี่ก็จะนอนโรงแรมสักคืนไง”

      “ก็ถ้าพี่เนย์ไม่รังเกียจ มานอนบ้านผมก็ได้ครับ ผมอยู่กับพ่อกับแม่”

      “ในตลาดนั่นน่ะเหรอ”

      “ไม่ใช่ครับ บ้านที่เป็นที่นอนจริง ๆน่ะ นั่นมันร้านขายของ เอาไว้ให้เด็กที่ร้านนอนเฝ้าอะครับ”

      เป็นอันว่าพี่เนย์จะมาค้างด้วยในคืนวันเสาร์ ผมว่าพี่เนย์น่าจะมีแผนอย่างอื่นด้วยไม่ใช่แค่ค้างคืนเท่านั้น

อย่าบอกให้ผมพาเที่ยวผับเที่ยวบาร์เหล้าก็แล้วกัน ผมไม่ได้เจนจัดขนาดนั้น นอกนั้นอยากไปไหน อยากกินอะไร ผมพาไปได้หมด

      เช้าวันเสาร์ผมออกจากบ้านประมาณแปดโมงเช้า นั่งรถโดยสารประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานของพี่เนย์

ซึ่งอยู่นอกเมืองออกไปไกลพอสมควร ผมเข้าไปติดต่อ รปภ.ด้านหน้า ก็ดูเหมือนว่าเขาจะรออยู่แล้ว

พอรู้ว่าเป็นผม เขาก็เอารถกอล์ฟขนาดหกที่นั่งออกไปส่งผมที่อาคารที่พี่เนย์อยู่ทันที

      พี่เนย์เลี้ยงข้าวกลางวัน ผิดแผนไปจากที่วางไว้ว่า เราจะไปกินอาหารริมทะเลกัน เพราะเขาติดงานด่วน

ซึ่งชายหาดที่เราตั้งใจจะไปนั่งเล่นกันอยู่ห่างจากที่ทำงานของพี่เนย์ไปประมาณ 15 กิโลเมตร

ผมเคยผ่านไปละแวกนั้นเมื่อนานมาแล้ว เพราะชายหาดแห่งนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวมากนัก

แต่สำหรับคนที่ชอบความสงบเงียบ ก็น่าสนใจ เพราะคนไม่พลุกพล่านดี

      หลังอาหารกลางวัน พี่เนย์ถูกตามตัวไปโรงงานด่วน หลังจากนั้น 10 นาทีก็เดินหน้ามุ่ยมาบอกว่า คงไปไม่ได้แล้ว

เพราะเครื่องจักรในโรงงานเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมพักใหญ่ กว่าจะเสร็จ เราก็ไม่มีเวลาพอจะไปนั่งเล่นริมทะเลกันแล้ว

      “ขอโทษทีนะนู ชวนมาเที่ยวแท้ ๆ”

      “ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่พี่เนย์จะยังไปค้างที่บ้านอยู่มั้ยอะ”

      “ไปสิ แต่นูคงต้องรอพี่เสร็จงานก่อน มันนานนะ”

      ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมง ถ้าพี่เนย์พูดอย่างนี้ ก็คงจะหมายความได้ว่า กว่าจะซ่อมเครื่องจักรเสร็จ ก็อาจจะติดไปจนถึงบ่ายแก่

 หรือไม่ก็เย็นไปโน่น....แต่ทำไงได้ล่ะครับ ก็มาแล้วนี่

      “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้”

      เป็นคำตอบเดียวที่ผมจะตอบออกไปได้...ก็ไม่ได้ขับรถมาเองนี่นา แล้วพี่เนย์ก็ถือว่าเป็นแขก และอย่างน้อยที่สุด

ผมรู้สึกดีที่ได้เจอเขาอีกครั้ง พี่เนย์เป็นคนที่พูดคุยกับผมมากที่สุดในจำนวนเพื่อนของพี่นิวที่เคยมาค้างที่บ้าน

เมื่อครั้งที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เราเคยคุยกันถูกคอมาก มาถึงตอนนี้ผมก็ว่าผมรู้สึกสนิทใจกับพี่เนย์เหมือนมีพี่ชายอีกคนหนึ่งเลย



      หลังจากครั้งนั้น ผมกับพี่เนย์ก็นัดไปเที่ยวกันอีก 2-3 ครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้เที่ยวไกล ๆ เพราะพี่เนย์ต้องทำงานวันเสาร์ครึ่งวัน

แถมยังเคยถูกตามตัวไปทำงานด่วนในวันอาทิตย์อีกด้วย เจออุปสรรคเข้าเป็นครั้งที่ 2 ผมก็เลยบอกพี่เนย์ว่า อย่าได้นัดเที่ยวไกล ๆกันเลยจะดีกว่า

เพราะผมห่วงงานของเขา เราสองคนก็เลยได้ไปชายหาดใกล้ที่ทำงานของพี่เนย์กันบ่อยที่สุด

เพราะไปกลับสะดวก ถูกตามตัวมาทำงานเมื่อไรก็กลับได้เลย กะเวลาได้ด้วย

      ชายหาดที่นี่จะว่าไม่สวยงามเลยก็ไม่ใช่ เพียงแต่กว่าจะเดินทางเข้าไปจนถึงบริเวณที่นั่งเล่นกินลมชมวิวได้

ก็ต้องขับรถเข้าไปในหมู่บ้านลึกพอสมควร จอดรถใต้ต้นไม้ริมทางแล้วก็ต้องเดินเท้าเข้าไปอีกเกือบ ๆร้อยเมตรถึงจะเจอทะเล

และต้องเดินต่อไปอีกเกือบร้อยเมตร ถึงจะเป็นบริเวณที่นั่งเล่นได้....โอย...ไกลโคตร แต่ผมก็ชอบที่มันเงียบสงบดี

        ด้วยเหตุที่เรามากันหลายครั้งแล้ว พบว่าอาหารที่ขายอยู่ตามร้าน นอกจากความสดของอาหารทะเลแล้ว

ไม่มีอะไรอร่อยถูกปากเราสองคนเลย ดังนั้น ผมก็เลยมีหน้าที่เตรียมอาหารมานั่งกินกัน แต่อย่าคิดว่าผมจะทำอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวนะครับ

เพราะครัวหนุ่มโสดอย่างพี่เนย์ไม่ได้เอื้ออำนวยขนาดนั้น อย่างมากที่สุดก็คือข้าวผัดเนื้อสัตว์แล้วแต่จะหาได้ในตลาดใกล้ ๆ ที่พัก

แต่วันนี้ผมทำเมนูแซนด์วิชแฮม กับข้าวโพดอบเนย เครื่องดื่มก็เป็นน้ำอัดลมที่มีขายทั่วไปสำหรับตัวเอง และเบียร์เย็น ๆสำหรับพี่เนย์


      ที่นี่ไม่มีอันตรายเลย ถ้าดูจากสภาพความเป็นอยู่ก็คือหมู่บ้านชาวประมงดี ๆนี่เอง หลายครั้งที่เคยมา

เราสองคนจะเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามริมหาด ลัดเลาะลุยคลื่นปีนขึ้นเนินเขาลูกเล็ก ๆ ที่ยื่นตัวออกไปในทะเล

ตัดช่วงของหาดทรายให้ขาดออกจากกัน เพื่อจะข้ามไปอีกฟากของเนิน ซึ่งเป็นชายหาดเช่นกัน


      เราสองคนกำลังอยู่บนยอดเนิน นั่งเอนตัวลงพิงหินหน้าตัดค่อนข้างเรียบ มองออกไปในท้องทะเลกว้างเบื้องหน้า

เหนือขึ้นไปคือร่มไม้ที่ไม่ได้ร่มครึ้มนัก แต่แดดที่ไม่แรงร้อนทำให้เรานั่งอยู่ได้โดยอาศัยร่มไม้ใบบังที่มีแสงแดดลอดลงมารำไร

สายลมโชยมาเพียงแผ่วเบา ปัดเป่าความร้อนรอบกายให้บรรเทาลงได้ ผมหันไปมองพี่เนย์เห็นเขานอนหลับตาก็ไม่อยากกวน

จึงทำเพียงนั่งหายใจเงียบ ๆ คนเดียว ปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปโดยไม่รู้ตัวว่ามันทอดเวลาออกไปนานเท่าไรแล้ว

      “คิดอะไรอยู่”

      พี่เนย์ที่ผมคิดว่าเขาหลับ ทำลายความเงียบขึ้นมา ผมหันไปหาเขา พร้อมกับเลิกคิ้ว แล้วก็ตามมาด้วยการส่ายหน้า

      “คิ้วขมวดเชียว”

      “ผมเปล่า”

      “ก็เห็นอยู่เนี่ย เฮ้ย!… มานั่งเล่นพักผ่อน ใครเค้าเก็บเอาเรื่องรกหัวมาคิดกันล่ะฮึ”

      “ผมไม่ได้คิดอะไรจริง ๆครับ”

      พี่เนย์ไม่โต้ตอบ แต่ถอนหายใจแทน แล้วก็ขยับตัวลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง

      “ปะ”

      “ไปไหน”

      “ลงไปทางโน้นกัน”

      ....ทางโน้น....ที่พี่เนย์หมายถึงก็คืออีกฟากหนึ่งของเนิน ซึ่งผมเพิ่งจะเคยลงไปแค่ครั้งเดียว เพราะขี้เกียจปีนขึ้นตอนขากลับ....มันเหนื่อย

ถึงมันจะไม่สูงมากก็เหอะ แต่การออกแรงต้านแรงโน้มถ่วงของโลก มันก็เหนื่อยไม่ใช่เหรอ

      พี่เนย์ไม่รอให้ผมปฏิเสธ ดูจากสีหน้าเขาแล้ว ผมก็ถูกบังคับน่ะแหละ

      เราปีนลงไปข้างล่างกันอย่างไม่ยากเย็น เพราะมีแง่หิน และทางเดิน รวมทั้งมีไม้ยืนต้นลำต้นเล็กให้เราได้เหนี่ยวเพื่อการทรงตัวไปตลอดทาง

แต่พอถึงพื้นทรายข้างล่างนี่สิ...ผมก็ดันเข่าทรุดแทบจะลงไปคลุกทรายเลยทีเดียว

      “เดินยังไงล่ะเอ๊อ...”

      พี่เนย์กุมต้นแขนผมไว้ได้ด้วยมือเดียว แล้วหิ้วผมขึ้นทั้งตัวด้วยอีกมือหนึ่งที่อ้อมมาโอบด้านหลัง ทำให้สีข้างของเราแนบกัน

และทำให้ผมไม่ต้องลงไปคลุกทราย ซึ่งผมมานึกดูทีหลังว่า แค่ล้มไปบนทราย เจ็บก็ไม่เจ็บ ทรายแห้งปัดออกได้ง่าย เสื้อผ้าก็ใช่ว่าจะเปรอะเปื้อน

แต่ทำไมปฏิกิริยาของพี่เนย์ ถึงจริงจังขนาดนั้น

      “ขอบคุณครับ”

      เมื่อผมยืนทรงตัวได้ ก็เดินเลาะเลียบหาดให้น้ำทะเลซัดหน้าขาเล่น เนื้อทรายหยาบสีขาวนวล นุ่มเท้า

ทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน จนลืมไปว่ามีคนเดินมาด้วยกันอีกคนหนึ่ง

      “อีกกี่ปีจบเนี่ยนู”

      “เทอมหน้าอีกเทอมครับ”

      “เออ จริงสิ พี่ก็หลง ๆ....คิดรึยังว่าจะทำงานหรือว่าอยากเรียนต่อ”

      “ผมเบื่อเรียน”

      “เฮ่ย”

      พี่เนย์เบิกตาโต เหมือนไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินผมที่ดูเป็นเด็กคงแก่เรียนพูดออกไปอย่างนั้น

      “เอาจริง ๆ สิ อย่าพูดเล่น”

      “ผมพูดจริง ผมเบื่อเรียนแล้วครับ อยากทำงาน อยากหาตังค์ใช้เอง”

      “ไม่อะ พี่ไม่เชื่อหรอก มีอะไรกันแน่ไหนบอกมาซิ”

      พี่เนย์ทำท่าไม่เชื่อเอาจริง ๆ ไม่ว่าผมจะพูดยังไง แถมยังเชียร์ให้ผมเรียนต่อปริญญาโทอีกต่างหาก

      “พี่ยังอยากเรียนเลย แต่หมดทุนแล้ว พอได้ทำงานที่นี่ ป๊าก็ตัดความรับผิดชอบเลย ถ้าพี่อยากเรียนก็ต้องหาเงินเรียนเอง”

      “ผมก็ไม่มีเงินเรียนเหมือนกันแหละ”

      “พี่จำได้ว่า คุณแม่ของนิวตั้งใจจะส่งนูเรียนไปเรื่อย ๆ นะ”

      จะพูดขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้...ผมนึกขุ่นใจกับชื่อที่พี่เนย์พูดถึง ทั้งที่ก็รู้นั่นแหละว่าพี่เขาไม่เคยรู้เรื่องใด ๆที่เกิดขึ้นกับผมมาก่อน

      “ครับ คุณแม่ก็พูดอยู่เรื่อย ๆแหละ แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมขี้เกียจเองมากกว่า”

      “เสียดายอะ พี่ว่านูเป็นเด็กเรียนดี พี่อยากให้นูเรียนสูง ๆ เอ...หรือว่าจะรอเรียนพร้อมพี่เอามั้ย”

      “อย่าเลยครับ ผมเบื่อเรียนแล้วจริง ๆ ขืนรอผมพี่เนย์จะหนวดหงอกซะเปล่า ๆ ฮ่า ๆ”

      พี่เนย์ผลักท้ายทอยผมเบา ๆ เมื่อผมพูดจบ แล้วเปลี่ยนมาเอามือพาดไหล่ผมแทน ดูไปก็เหมือนเพื่อนสนิทเดินด้วยกัน

      “ก็จริง พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงจะเก็บเงินพอที่จะเรียนได้”

      “ขอทุนสิครับ”

      “พี่ไม่เก่งเหมือนนูนี่”

      “ผมไม่ได้เรียนเก่งอะไรหรอกครับ มาดูเกรดผมตอนนี้สิ แย่มากเลยล่ะพี่เนย์”

      ผมเผลอหลุดปากออกไป ทำเอาพี่เนย์หันขวับมาขมวดคิ้วใส่

      “ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

      “ก็ไม่ทำไมหรอกครับ มันยากขึ้น แล้วผมก็ขี้เกียจขึ้น แค่นั้นเอง”

      “พูดหมา ๆ งี้ได้ไง”

      พี่เนย์ขึ้นเสียง เขาไม่เคยใช้คำพูดแรง ๆ อย่างนี้กับผมมาก่อน ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเหลวไหลยังไงไม่รู้

      “โทษที พี่เผลอไป”

      “ไม่เป็นไรครับ”

      “ไหนบอกมาซิ ทำไมเกรดตก”

      พี่เนย์ลากผมเข้าไปนั่งใต้ต้นไม้ห่างทะเลออกไป ด้วยท่าทางที่เอาจริง สายตาคาดคั้นคู่นั้นคงไม่ยอมให้ผมปิดปากเงียบอยู่ได้เป็นแน่

      “ก็....มันยากจริง ๆนี่ครับ”

      “ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรอกมั้ง”

      “พี่เนย์อะ”

      ผมเริ่มจะเสียงอ่อน เพราะทนกับสายตาคาดคั้นของพี่เนย์ไม่ไหว แต่จะให้พูดถึงสาเหตุที่แท้จริงออกไป ผมก็ยังไม่กล้าพอ

ไหนจะกลัวว่าต้องพาดพิงไปถึงพี่นิวอีก เขาเคยบอกผมว่าเพื่อนในกลุ่มของเขาเกลียดเกย์ เขาถึงจำเป็นต้องปิดบังความสัมพันธ์ของเราสองคนเอาไว้

      “ไปแอบชอบใครแล้วเค้าไม่ชอบเราใช่มั้ย”

      บิงโก!!

      “ก็ทำนองนั้น”

      “โถ่เอ๊ย...เหตุผลเน่า ๆ เค้าไม่ชอบเรามันก็ไม่ถึงกับตายซะหน่อย หาใหม่สิวะ”

      “ครับ ผมก็ว่างั้น”

      เราสองคนนั่งมองทะเลอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมที่ไม่รู้จะชวนคุยอะไร ได้แต่นั่งคุ้ยเขี่ยทรายเล่น พี่เนย์นั่งข้าง ๆ ได้สักพักก็ลุกขึ้นเดินห่างออกไป

      ผมมองตามหลังของเขาแล้วคิดถึงพี่นิวขึ้นมาจับใจ

      หากวันนี้ผมยังมีพี่นิวเคียงข้าง การนั่งมองทะเลคงไม่เงียบเหงาอย่างนี้

การมีคนอื่นเข้ามาทำกิจกรรมที่เราเคยทำร่วมกัน ยิ่งทำให้ผมหวนระลึกถึงวันวาน

      เคยคิดว่า อยากจะเก็บคืนวันเก่า ๆ ไว้ระลึกถึงวันที่เราต้องอยู่คนเดียว แต่เมื่อวันเวลาที่ว่าได้มาถึงจริง ๆ

ผมกลับตัดสินใจไม่ได้ว่า ระหว่างลืม กับ จดจำ สิ่งไหนจะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ่วงความทุกข์ได้เร็วกว่ากัน

      เผลอเดี๋ยวเดียว พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงไปมากแล้ว พี่เนย์เดินไปเดินมาใกล้ ๆในขณะที่ผมนั่งเอน ๆ อยู่กับต้นไม้ที่เดิม

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกว่าเที่ยวด้วยกันได้หรือเปล่า เพราะดูเหมือนเราต่างคนต่างอยู่กันคนละมุมด้วยความสมัครใจ

      “กลับกันเถอะ”

      พี่เนย์พูดชวนขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับออกเดินนำไปก่อน ผมลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกงด้วยความเคยชิน

ทั้งที่ตอนเดินทรายก็ยังเปื้อนชายกางเกงอยู่ดี

      พี่เนย์เดินขึ้นเดินเนินนำหน้าไปก่อนอย่างเคย แล้วหยุดยืนรอผมเมื่อขึ้นไปถึงยอด พอผมตามทัน แทนที่เราจะเดินลงกันต่อ

พี่เนย์กลับฉุดแขนผมเอาไว้ให้ยืนมองทะเลด้วยกันนิ่ง ๆ

      ผมหันไปมองหน้าพี่เนย์เตรียมจะถาม แต่พี่เนย์กลับชิงพูดขึ้นก่อน

      “เรียนต่อกันเถอะนู อีก 2-3 ปี ไหวมั้ย”

      ผมยังงงอยู่ ก็เลยไม่ได้ตอบอะไรออกไป

      “ถึงพี่จะไม่ค่อยชอบงานที่ทำอยู่ แต่เงินเดือนดี ไหนจะมีโบนัสอีก สัก 3 ปีพี่คงเก็บเงินเรียนต่อได้

แล้วถ้าไม่พอ พี่ก็คงขอป๊าได้บ้าง ขอพี่สาวได้บ้าง เราไม่ได้เอาเงินไปใช้ในทางไม่ดี เขาต้องสนับสนุนแน่ ๆ นูว่ามั้ย”

      ผมพยักหน้ากับความเห็นตอนท้าย แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะรับปากที่จะไปเรียนต่อกับพี่เนย์

      “พี่คงไม่มีปัญญาไปเรียนเมืองนอกเหมือนนิวหรอก อิจฉามันชะมัดเลย”

      ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง หอบเอาเม็ดทรายขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่มันก็ปลิวมาเข้านัยน์ตาจนได้ ผมยกมือขึ้นจะขยี้ตามสัญชาตญาณ แต่โดนปัดออก

      “อย่าขยี้สิ อยู่เฉย ๆ”

      ผมพยายามเบิกตากว้าง ๆ เพื่อให้น้ำตาไหลออกมาชะเอาเม็ดทรายออกไปแต่ไม่สำเร็จ

      “พี่จะล้างตาให้อย่าหลับตานะ”

      พี่เนย์มีขวดน้ำใบเล็กติดกระเป๋ากางเกงมาด้วย แต่หลังจากเอาน้ำล้างตาแล้ว ผมก็รู้สึกทั้งแสบ ทั้งเจ็บที่เปลือกตาไปพร้อม ๆกัน

      “เดี๋ยวเข้าเมืองแล้วไปหาหมอกัน”

      “ไม่ต้องหรอกครับพี่เนย์ ผมไม่เคืองตาแล้ว แค่เจ็บ ๆ ที่เปลือกตาเอง นอนพักคืนนึงพรุ่งนี้ก็คงดีขึ้น”

      “ทำไมดื้อจัง ไปหาหมอหน่อยจะเป็นไร อย่างน้อยก็ให้หมอดูว่าทรายมันบาดลูกกะตารึเปล่า”

      เสียงแข็ง ๆ ที่พูดด้วยความห่วงใยทำเอาผมปฏิเสธไม่ลง รู้สึกดีใจที่มีพี่ชายมาคอยดูแลแทนพี่ชายแท้ ๆ ที่เคยเป็นของผมคนเดียว

แต่ตอนนี้เขาไปมีแฟนแล้ว อีกไม่นานก็คงจะแต่งงานกัน ส่วนคนที่ผมคิดจะฝากชีวิตไว้ ก็หันหลังให้ผมเสียแล้ว

ความตื้นตันใจปรี่ล้นขึ้นมาจนผมน้ำตาซึม

      “ขอบคุณครับ”

      “ขอบคุณทำไม”

      “ขอบคุณที่ดูแลผม”

      พี่เนย์หันหน้าไปทางอื่น ทำท่าจะออกเดินต่อ

      “ไม่เป็นไรหรอกเล็กน้อยจะตาย...ไปเถอะ กลับกัน...เดี๋ยวจะเย็นเกินไป”

      พอเดินถึงชั้นล่าง พี่เนย์ก็หยุดรอผมอีก

      “ลงมาดี ๆ ล่ะ อย่าทรุดลงไปอีก”

      “โถ่...ตอนนั้นเข่ามันทรุด ไม่ใช่ว่าผมจะอ่อนแออะไรสักหน่อย พี่เนย์ก็”

      “ก็นั่นแหละ คนดี ๆ แข็งแรง ๆ ที่ไหนจะเข่าทรุดได้ง่าย ๆ นี่ออกกำลังกายมั่งรึเปล่าล่ะนู”

      “ไม่อะครับ เมื่อก่อนเล่นบอล แต่ผมไม่เล่นนานแล้ว ไม่มีเพื่อนที่เล่นเข้าขากันก็เลยเลิก”

      “นั่นสินะ พี่ก็เหมือนกัน แต่มันก็มีกีฬาอื่นที่เราเล่นคนเดียวได้นี่”

      “เล่นคนเดียวมันก็ไม่สนุกสิครับ”

      “ว่ายน้ำไง ไม่สนุกแต่สบาย ไม่ร้อนด้วย...เอานะ ว่าง ๆ เราไปกัน”

      “ผมว่ายน้ำไม่เป็น”

      พี่เนย์ทำหน้าตาเบื่อหน่าย

      “อะไรว้า ขับรถก็ไม่เป็น นี่ก็ว่ายน้ำไม่เป็นอีก แล้วเล่นอะไรเป็นมั่งล่ะเรา”

      “ปั่นจักรยานครับ”

      “ฮ่า ๆ  โอเคเลย เดี๋ยวพี่ไปซื้อจักรยานสักคัน แล้วเราจะไปปั่นที่ไหนกันล่ะ”

      พี่เนย์หัวเราะชอบใจ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่า จะมีที่ไหนให้เราไปปั่นรถเล่นได้บ้าง

      “ในม.ผมไง ที่ตั้งกว้าง หรือไม่งั้นก็ในสวนสาธารณะก็ได้ครับ”

      กิจกรรมของเราก็เลยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ผมรู้สึกสนุกกับการที่มีทั้งเพื่อน ที่เป็นทั้งพี่ชาย มาทำกิจกรรมร่วมกัน

แม้ว่าระยะเวลาจะไม่นานนัก แต่พี่เนย์ก็ได้อยู่ทำงานโครงการไปถึงปีครึ่ง แม้ว่าในบางครั้งจะรู้สึกเศร้าหมองไปบ้าง

เมื่อนึกถึงคนบางคนที่จากไปไกล แต่พี่เนย์ก็ทำให้ช่วงเวลานั้นของผมมีชีวิตชีวา และทำให้ผมพอจะมีความสุขกับเขาได้บ้าง






หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 12-11-2012 00:40:00




      แล้ววันลาจากก็มาถึง พี่เนย์มาค้างคืนที่บ้านก่อนจะขึ้นเครื่องกลับไปรายงานตัวที่สำนักงานใหญ่

ซึ่งความจริงเขาควรจะได้กลับไปกับรถตู้ของสำนักงานที่มารับพนักงานกลับไปพร้อม ๆกันอีก 3 คน

      “รถไปถึงวันพรุ่งนี้ มันเป็นวันเสาร์ ยังไงก็เข้าไปรายงานตัวไม่ได้อยู่ดี เพราะที่ทำการปิด พี่จะได้มีวันหยุดพักผ่อนกับนูอีกตั้ง 2 วัน”

      ตลอด 2 วันก็หาได้เป็นการพักผ่อนอย่างที่พี่เนย์บอกไว้ไม่

      ผมพาพี่เนย์ไปไหว้พระที่วัดที่มีชื่อเสียง 2 แห่ง นอกนั้นก็ตระเวนเที่ยวไปทั่ว สุดแล้วจะนึกถึงที่ไหนได้

โดยอาศัยรถกระบะของพ่อ ซึ่งให้มาใช้ได้ 1 วัน

      และคงเป็นเพราะเราสองคนชอบทะเลเหมือน ๆ กัน ที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของวันจึงมาจบลงที่ทะเล ตอนตะวันยอแสง

      ที่นี่ตะวันตกดิน แต่ขึ้นจากทะเล น่าเสียดายที่ผมไม่ทันได้นึก ไม่งั้นคงได้พาพี่เนย์มามองดูตะวันขึ้นด้วยกัน............???

      ไม่สินะ...ตะวันขึ้น เหมาะสำหรับจะนั่งดูกับคู่รักเท่านั้น....

      “อิ่มจนพุงกางเลยนู ดูสิ”

      พี่เนย์เลิกชายเสื้อขึ้นจนเห็นพุงขาว ๆ แถมยังลูบให้ดูอีกต่างหาก

ผมนึกถึงพี่นิว ถ้าอิ่มจนพุงกางอย่างพี่เนย์ อย่างมากก็ล้มตัวลงนอนเหยียด เพราะเขามักจะบอกว่าสบายตัวดี

แต่ผมจะเป็นคนฉุดให้เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรง เพราะคุณแม่บอกว่า กินอิ่มแล้วนอนเลยมันไม่ดีต่อสุขภาพ

ทำให้กระเพาะอาหารย่อยไม่สะดวก ผมก็ทำตามเสมอ แต่ลูกชายคุณแม่ไม่ค่อยเชื่อฟัง

      ....จนได้สิน่า....ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังอดนึกไปถึงอีกคนที่ไม่ได้เห็นกันอีกแล้ว ...แล้วอย่างนี้เมื่อไรผมถึงจะลืมเขาได้เสียที

      “อีกแล้วนะเรา”

      พี่เนย์ลูบหัวผมเบา ๆ ในสัมผัสนั้นผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และความใส่ใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม มาตลอดระยะเวลาปีกว่า

ที่ผมกับพี่เนย์ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ ผมมักจะรู้สึกเช่นนี้เสมอ เวลาที่เขาแสดงความรักและเอ็นดูต่อผมแบบนี้

      “ไม่ใช่สักหน่อย ผมแค่คิดอะไรเล่น ๆ ต่างหาก”

      ผมตอบปฏิเสธ ทั้งที่โกหก เพราะฉะนั้นผมก็เลยต้องปกปิดแววตาแจ้งความเท็จนั้นด้วยการก้มหน้ามองพื้นทราย

      “นู”

      ผมเงยหน้าขึ้น รู้สึกได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงอ่อน ๆ ที่เรียกชื่อตัวเอง

      “พี่ไม่รู้หรอกนะว่านูเป็นอะไร ทุกข์ใจเรื่องอะไร ถามกี่ทีก็ไม่เคยจะได้รับคำตอบ....แต่ก็เอาเถอะ

พี่เข้าใจดีนะ ว่าเราทุกคนต่างก็มีความลับกันทั้งนั้น แต่สำหรับพี่....พี่ขอได้มั้ย....อย่ามีความลับกับพี่เลย”

      ผมยังคงมองพี่เนย์แน่วนิ่ง ด้วยไม่รู้จุดประสงค์ของคำขอนั้น

      “เอ้อ...ก็เราสนิทกันแล้วนี่ ถึงพี่จะเป็นพี่ แต่เราก็เป็น...เพื่อนกันได้....รึไม่ใช่”

      “เป็นพี่เนย์แหละครับดีแล้ว”

      ผมเล่นลิ้น จะยังไงก็ไม่รู้ ผมรู้สึกว่าคำพูดของพี่เนย์ฟังดูแปลก ๆ แม้แต่แววตาที่มองผมก็แปลกไป

      “พี่อยากเป็นคนที่นูสามารถปรับทุกข์ได้ อยากให้นูมองเห็นพี่ตลอดเวลาที่นูต้องการความช่วยเหลือ

จะเป็นอะไรก็ได้สำหรับนู แต่พี่ขอแค่นี้...ได้มั้ย”

      ผมเริ่มอึ้งกับคำขอ

      มันกินความหมายมากมายก็ได้ แค่เศษเสี้ยวก็ได้ แล้วแต่ความรู้สึกที่คนสองคนมีต่อกัน

แต่สำหรับผม สิ่งที่พี่เนย์ขอ ผมเคยมีให้คน ๆ หนึ่ง ซึ่งตอนนี้เขาไม่อยู่เคียงข้างผมเพื่อทำหน้าที่นั้นอีกต่อไปแล้ว

แต่ถ้าจะถามถึงคนที่ผมปรับทุกข์ได้...ก็คนที่บ้านนั่นไง ทั้งพ่อแม่ และพี่ชาย ทุกคนพร้อมที่จะโอบประคอง

ยามที่ผมล้มลุกคลุกคลาน ผิดหวังท้อแท้ และต้องการกำลังใจ

แต่ผมต่างหาก ที่ไม่พร้อมที่จะให้พวกเขาได้ฟังความทุกข์ที่มันฝังแน่นอยู่ในหัวใจผมมาแรมปี

      แล้วพี่เนย์ล่ะ...จะเป็นคนนั้นได้มั้ย

      “ขอบคุณครับ ถ้าผมต้องการคนปลอบใจ ผมจะบอกพี่เนย์”

      พี่เนย์พยักหน้าเนิบ ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆมาให้ผม

      “บอกพี่ได้มั้ย ว่าทำไมนูถึงย้ายออกจากบ้านนิว”

      “ที่นั่นไม่มีใครอยู่อะ แต่ผมก็ไป ๆ มา ๆนะครับ ไปคอยดูแลบ้านบ้าง ไปหาคุณแม่บ้าง เวลาท่านมาพัก

แต่พี่เนย์ก็รู้ว่าส่วนใหญ่คุณแม่ต้องดูแลคุณพ่อที่โน่น นาน ๆถึงจะมาสักที”

      “เหตุผลแค่นั้นน่ะเหรอ”

      “ครับ”


      “แปลกนะ....ทำไมพี่รู้สึกว่าเรื่องราวมันมากกว่านั้นก็ไม่รู้”

      พี่เนย์บ่นเบา ๆ แต่ค่อนข้างจริงจัง  ครั้นจะให้ผมบอกออกไป ผมคงไม่กล้าเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

แต่ผมนึกถึงอีกคนที่อยู่ไกล ถึงตอนนี้เราจะแยกจากกันแล้ว แต่หากมีใครรู้เรื่องราวระหว่างเรา

ผมว่ามันคงมีผลกับเขาในทางลบ...ผมยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้แน่ ๆ

      “ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่พี่ก็ยังยืนยันคำเดิม พี่อยากเป็นมากกว่าพี่สำหรับนู”

      ถ้าผมตอบรับก็คงเข้าเนื้อ แต่ถ้าปฏิเสธก็ยิ่งจะดูไม่ดี ผมเลยอาศัยความเงียบแทนคำตอบ และส่งรอยยิ้มให้พี่เนย์ไป

อย่างน้อยมันก็คือการแสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณ



      ผมคิดว่านั่นจะเป็นที่สุดแล้วที่เราสองคนได้พูดคุยกันก่อนจาก แต่ไม่เลย ระหว่างที่รอรถมารับไปสนามบิน

พี่เนย์กลับทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึง

      “ที่จริงพี่อยากให้นูไปส่งนะ”

      “อ้าว...ผมไปได้นะครับ แต่พี่เนย์....”

      “ที่ไม่ให้ไปเพราะพี่กลัวจะทำอะไรที่น่าขายหน้าออกไปน่ะสิ แต่จริง ๆ แล้วพี่อยากให้นูไปส่งมาก ๆรู้มั้ย”

      “แล้วพี่เนย์จะเอายังไงครับ ผมไปด้วยก็ได้”

      ผมทำท่าจะหยิบถุงเท้ามาใส่ ส่วนเสื้อผ้าก็พร้อมอยู่แล้วไม่ต้องเปลี่ยน แค่พี่เนย์บอกว่าให้ไปส่ง

ผมก็แค่สวมรองเท้าอีกคู่แค่นี้ก็ไปไหนต่อไหนได้แล้ว

      “แต่ถ้าเป็นที่นี่ มีเรารู้กันสองคน แล้วนูก็.....อย่างมากพี่ก็อาจจะโดนนูชกหน้าให้สักที”

      “พูดอะไรแปลก ๆอะพี่เนย์ ผมจะไปชกหน้าพี่เนย์ทำไมกัน”

      พี่เนย์เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายใส่ของส่วนตัวขึ้นบ่า เอี้ยวตัวลงหิ้วหูกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อีกใบ

เป็นทีบอกว่าเขาจะลงไปรอรถข้างล่าง ผมก็เลยเดินไปจะหยิบกระเป๋าอีกใบมาช่วยถือลงไปให้บ้าง

      แต่ทันใดนั้น พี่เนย์ก็วางกระเป๋าทั้งสองใบแล้วเดินย้อนกลับมาสวมกอดผมอย่างรวดเร็ว....ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมาก

ผมยังไม่ทันได้คว้ากระเป๋าใส่มือเลยด้วยซ้ำ

      ผมยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดของพี่เนย์ หัวใจเต้นตูมตามแทบจะกระแทกออกมานอกอก

พร้อมกันนั้นก็รับรู้ถึงแรงกระแทกของหัวใจอีกดวงที่เต้นโครมครามไม่แพ้กันในทรวงอกของคนตัวโตที่กำลังกอดผม

      “จะชกหน้าพี่มั้ย”

      ผมส่ายหน้าได้ไม่มาก เพราะถูกกอดไว้กับอกแน่นบึ้ก

      “ขอให้พี่ได้กอดนูหน่อยนะ”

      แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยืนอยู่เฉย ๆ

      เสียงหัวใจเต้นค่อย ๆแผ่วลง แต่พี่เนย์ก็ยังไม่คลายอ้อมกอดออกไป จนผมต้องเป็นฝ่ายผละออกมาเสียเอง

พร้อมกับคำถามกึ่งกลัวกึ่งกล้าออกจากปากของตัวเอง

      “พี่เนย์คิดอะไรกับผม”

      พี่เนย์ถอนหายใจหนัก ๆก่อนจะตอบ

      “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

      “หวังว่ามันคงไม่ใช่”

      “พี่ก็อยากจะหวังอย่างนั้น....แล้วพี่ก็บอกตัวเองมาตลอดว่านูเป็นเหมือนน้อง แต่ที่ทะเลเมื่อวานนี้

พี่ถึงได้มั่นใจว่า ไม่ใช่แค่น้อง  พี่อยากเป็นมากกว่าพี่ นูให้พี่ได้มั้ย”

      ผมส่ายหน้า ในขณะที่พี่เนย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

  สำหรับผม....การส่ายหน้า นั่นหมายถึง ผมไม่สามารถรักใครได้อีก และผมก็ไม่สามารถให้ใครมาแทนที่คน ๆนั้นได้

ส่วนพี่เนย์ ผมคิดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเป็นอย่างที่เขาบอกผมจริง ๆหรอก

ความรู้สึกของเขาในวันนี้มันอาจจะแค่ฉาบฉวย รู้สึกเช่นนี้ในวันนี้ แต่ไม่อาจทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับที่ผมกับพี่นิวประสพอยู่

   ส่วนในวันหน้า ผมไม่กล้าคิด เพราะผมเคยคิดถึงอนาคตระหว่างผมกับพี่นิวมาแล้ว และมันก็จบไปแล้ว

ทิ้งร่องรอยความเจ็บช้ำเอาไว้ให้ผมได้ลิ้มรสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมไม่อยากให้พี่เนย์ต้องอยู่ในสภาพนี้

รวมทั้งผมเองก็ไม่พร้อมที่จะทำตามคำขอของเขาด้วย


      พี่เนย์ขึ้นรถไปสนามบินโดยที่ผมไม่กล้าเสนอตัวไปส่ง ก่อนออกจากห้องของผม พี่เนย์ก็ขอกอดอีกเป็นครั้งที่สอง

คราวนี้ผมปฏิเสธ เพราะรู้เสียแล้วว่าเขาคิดยังไง พี่เนย์ทำหน้าเศร้า จนผมเกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วเชียว

      “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกที่มีต่อนูตอนนี้เรียกว่าอะไร มันออกจะแปลก ๆสำหรับพี่อยู่เหมือนกัน

แต่พี่อยากจะบอกว่า พี่ไม่อยากไปเลยนูเชื่อพี่มั้ย”

      ผมบีบมือตัวเองจนรู้สึกว่ามันเริ่มเจ็บ ถึงได้รู้ตัวว่า น้ำตามันกำลังกลบตาจนมองเห็นพื้นกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าพร่าเลือนไปหมด...

ใครคนหนึ่งเต็มใจที่จะไปจากผม เป็นคนที่ผมรักเท่าชีวิต แต่คน ๆนี้ บอกผมว่าเขาไม่อยากจากผมไป

กลับเป็นคนที่ผมไม่พร้อมจะเปิดใจให้...โลกของความรักไม่มีอะไรสมดุลกันเลยสินะ

      ผมรู้สึกถึงสัมผัสที่กดลงมาที่ขมับ ตอนนั้นน้ำตาเม็ดเป้งก็หยดลงมาจนเต็มแก้มแล้ว

      “อย่าบอกว่าน้ำตานี้สำหรับพี่นะ พี่คงไม่สบายใจถ้ารู้ว่าพี่ทำนูร้องไห้”

      “เปล่าครับ...”

      ผมยิ้มให้พี่เนย์อย่างไม่ต้องฝืนเลย

      “ผมขอบคุณสำหรับความรู้สึกดี ๆ ที่พี่เนย์มีให้ มันจะเรียกอะไรก็ช่างมันเถอะครับ

ถึงผมจะตอบรับไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นพี่น้องกันได้ไม่ใช่หรือครับ”


      สัมพันธภาพแม้จะออกมาในรูปใด แต่ถ้าคนสองคนยอมรับเงื่อนไของอีกฝ่ายได้ มันก็ลงตัว

ถึงยังไง รักกัน มันก็ดีกว่าเกลียดกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ



      พี่เนย์ (ถือโอกาส) จูบหน้าผากของผมอีกทีก่อนจาก ในอารมณ์อย่างนั้น ผมจะกล้าชกหน้าพี่เขามั้ยครับ





     จบตอนพิเศษครับ

     พี่นิวถามว่า ถ้าพี่เนย์ไม่บอก ผมจะเล่าให้เค้าฟังเมื่อไหร่

      ผมก็เลยบอกว่า ผมคงไม่เล่าหรอก ไม่รู้ม้ันจะได้อะไรขึ้นมา

     เกือบจะโดนโกรธแน่ะครับ คนอะไรขี้ใจน้อยเป็นบ้า


      รออีกสองสามวันนะครับ ผมจะมาลง Series ต่อ ช่วงนี้งานเริ่มซาลงบ้างแล้ว

     ก่อนจะหนักอีกในเดือนสุดท้าย เร็ว ๆนี้ ยังกับ ฟ้าสงบก่อนมีพายุเลยเชียว ชีวิตผม


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 12-11-2012 00:49:42
นึกว่าพี่เนย์จะมาดามใจ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 12-11-2012 05:52:40
 :serius2:  สงสารพี่เนย์อ่ะ   นูยึดมั่นในความรักจัง  รึว่าจะเรียกว่ายึดติดดีนะ


แต่มันก็ผ่านพ้นมาแล้ว


เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 12-11-2012 06:58:19
สงสารพี่เนย์นะ
แต่เป็นพี่น้องกันก็คงดีแล้วล่ะเนอะ
ความรักพี่นูมั่นคงมากอ่ะ
รอตั้ง2ปีเลยนะ
แล้วพี่นิวกลับมาจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 12-11-2012 07:58:42

พี่เนย์เป็นคนดีมากเลย อ่านแล้วอยากให้นูเลือกพี่เนย์
เพราะช่วงนั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ลำบากและเจ็บปวดที่สุดของนู
ถ้ามีพี่เนย์มาช่วยดูแล นูก็คงจะทำใจได้เร็วขึ้น
อีกอย่างพี่นิวจะได้รู้ว่านูน่ะไม่ใช่ของตาย

แต่ว่าช่วงเวลานั้นมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้นูมีความสุขดีใช่ไหมคะ
ขอให้มีความสุขแบบนี้ไปนานๆ นะคะ

ปล. บ้านของน้องนูอยู่ที่ไหนคะ ทำลิงค์ให้หน่อยสิคะ ^^

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 12-11-2012 08:22:28
บ้างครั้งก็หน้าจะให้โอกาสพี่เนย์นะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 12-11-2012 09:00:23
น่าจะรับพี่เนย์ไว้พิจารณา แล้วจะได้เห็นอีกคนอกแตกตาย ฮ่า ฮ่า (แอบโรคจิต)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 12-11-2012 10:22:54
อ่านแล้วก็นับถือนูจริงๆรักพี่นิวมากเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 12-11-2012 18:34:36
เข้าใจนูมากมาย.....เหอะๆๆๆ ไม่มีใครแทนที่ได้

เพราะไม่คิดที่จะให้ใครมาแทน....กัน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 12-11-2012 20:28:08
ยังโกรธพี่นิวอยู่นะ
อ่านตอนนี้แล้วแอบสะใจ
อย่าคิดว่าคุณนู(ของนัท)เป็นของตายนะพี่นิว
เดี๋ยวจะเสียใจ เช๊อะๆๆ
 :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 12-11-2012 20:53:48
ชอบเพ่เนย์แอร๊ยยย>< '
แตถ้าคบไปแล้วเป็นแบบพี่นูก้ไม่ไหวอ๊า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 13-11-2012 00:55:28
เฮ้อ...ก็นะ พี่นูสู้ๆให้กำลังใจเสมอนะ  :กอด1:
เวลาอาจช่วยรักษาความเจ็บปวดไ้ด้ แม้ไม่รู้ว่าอีกเนิ่นนานขนาดไหน คงต้องยอมรับและอดทนครั้นที่ความเจ็บปวดมันถูกสะกิดขึ้นมา
คนเรามันก็ฝังใจอ่ะเนาัะ ยิ่งอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานและผ่านปัญหามาด้วยกันขนาดนั้น ยังทำให้เราเจ็บปวดได้  :m15:
สำหรับพี่เนย์อย่างน้อยคำว่า "พี่น้อง" มันก็ช่วยปรึกษากันได้ ดีไม่ดีอาจช่วยรักษาแผลใจของอีกคนได้
ยังไงๆ ก็อยากจะบอกพี่นูว่า  :monkeysad: "พี่นูเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆ" เพราะเรื่องที่พี่เจอมันเจ็บปวดมากจริงๆ
 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 13-11-2012 01:31:03
อ่านรวดเดียวเลย อ่านเเล้วสงสารนูจัง  :monkeysad:
น่าจะให้โอกาสตัวเองกับคนอื่นบ้าง
ทีพี่นิวยังไปมีคนอื่นได้เลย แล้วที่พี่เนย์ทำ ทำไมพี่นิวต้องโกรธด้วย
แค่นูไม่เล่าให้ฟัง พี่นิวเองคบกับพิมไม่รู้ว่านานขนาดไหนเเล้วยังไงเล่าให้นูฟังเลย :m31:
ต้องให้นูมาเห็นจากรูป อธิบายไว้ด้วยจดหมาย
เเถมยังเห็นเเก่ตัวโดยการโยนภาระให้นูเป็นคนตัดสินใจอีก
แล้วในเมื่อช่วงเวลานั้น มันก็เป็นช่วงที่พี่นิวทิ้งนูไว้คนเดียวเองหนิ :angry2:

ตอนนี้นูอาจจะกลับมาคบพี่นิวเหมือนเดิมเเล้ว นูให้อภัยพี่นิวยังไงนะ
หรือว่าเเค่พี่นิวเรียนจบก็กลับมาคบกันเหมือนไม่มีอะไร
หรือว่าตอนนี้คบกันเเบบพี่น้องนะ

รอค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 13-11-2012 01:35:03
อ่านไปร้องไห้ไป ส่งสารนู
แต่สุดท้ายนิวก็กลับมาใช่มั๊ย
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 13-11-2012 01:41:50
อืม มีรักก็ทุกข์ไม่มีรักก็เหงา รักคุณนู. สู้ๆๆๆงานต่อไป
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างมั้ยครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 13-11-2012 21:45:38
ทำไมรู้สึกว่าพี่นิวใจร้ายกับพี่นูมากอ้ะ  :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :o10: :o10: :o10: :o10: :o10:

พี่นูสู้ๆน้า  o15 o15 o15 o15 o15

"คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก" คำนี้ยังใช่ได้กับทุกยุคทุกสมัยจริงๆ  o13 o13 o13 o13 o13  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 14-11-2012 09:59:32
เจ็บปวดใจไปกับนู
สี่ปีที่รอมาตลอด รักและซื่อสัตย์ตลอดมาแต่คนรักกันทำกันยังงี้ชิ
แล้วที่ไปเรียนต่อเขาไปด้วยกันใช่ใหมแล้วมีอะไรให้ต้องเลือก
(จดหมายนั้นชั้นจะใส่กรอบไว้เตือนใจเลยคอยดูอยากเลิกก็บอกกันดิ(คนอ่านมันอินเกิ้นอย่าถือสา555))
แล้วถ้านูไม่ติดสอบและไปงานด้วยอะไรจะเกิดขึ้นแต่นิวไม่แคร์เลยใช่ใหม
น้ำตาหยดแหมะๆ :sad4:
นูผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เก่งมาก
ให้กำลังใจนูจ้า
ส่วนนิวยังไม่ปลื้ม
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-11-2012 01:02:37


รีบลงอย่างรวดเร็ว ง่วงจนปวดตาไปหมดแล้วครับ

ว่าจะลงตั้งแต่หัวค่ำ ดันมัวแต่เล่นเกม เลยยาวถึงวันใหม่

พรุ่งนี้จะมารับเสียงสะท้อน  ที่ต่อว่าพี่นิวมานะครับ








      การเรียนของผมไม่เคยตกต่ำอย่างนี้มาก่อน จนใคร ๆ ก็แปลกใจ แต่ผมไม่สนใจ

   ...ก็ผมทำได้เท่านี้...นั่นคือคำแก้ตัวให้กับความอ่อนแอของตัวเอง ที่ยังตั้งรับไม่ทั

นกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต

     พี่นิวไม่อยู่ คุณแม่ก็มีเวลาอยู่บ้านน้อยลง เพราะต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่างกิจการกงสีกับกิจการของตัวเอง

กว่าจะรู้ว่าการเรียนผมย่ำแย่แค่ไหน ก็เกือบจะเกินเยียวยา คงเป็นบุญของผมมั้ง ที่เกรดปีแรก ๆทำไว้ดี

พอมาเฉลี่ยกันก็เลยพอดูได้ แต่คุณแม่ไม่ค่อยพอใจ ถ้าเป็นลูกตัวเองผมคงจะโดนดุมากกว่านี้

   “ปกตินูไม่ใช่เด็กเหลวไหล แม่คิดว่าแม่รู้จักนูดี ถ้าแค่เรื่องของนิวทำให้นูเป็นได้ขนาดนี้

แม่คงรู้สึกผิดต่อพ่อกับแม่ของนู ที่รับปากว่าจะดูแลอย่างดีแต่ก็ทำไม่ได้”

   ผมได้แต่นั่งก้มหน้า

   “แม่ขอโทษที่ลูกชายของแม่ทำให้ลูกชายอีกคนต้องเสียใจ มีอะไรที่แม่พอจะช่วยให้นูรู้สึกดีขึ้นได้ก็บอกมาเถอะ

แม่จะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็ไถ่โทษที่นิวทำให้นูต้องเสียใจ”

   “ไม่หรอกครับคุณแม่ ไม่มีใครต้องไถ่โทษ แม้แต่พี่นิวก็มีสิทธิ์ที่จะทำตามที่เขาต้องการ

ผมจะพยายามเลิกคิดให้เรากลับมาเหมือนเดิมครับ”.....แม้จะรู้ว่ามันยาก

   “นูไม่คิดจะกลับไปอยู่บ้านโน้นหรอกใช่ไหม”

   น้ำเสียงของคุณแม่คาดหวังในคำตอบจากผมในทางบวก ผมรู้ดี และผมก็ยังตัดสินใจไม่ได้

พูดให้ถูกก็คือผมยังตัดใจจากบ้านนี้ไปไม่ได้ ทุกตารางนิ้วของที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำที่มีพี่นิวเป็นจุดศูนย์กลาง



   ทุกวันผมจะเข้าไปในห้องพี่นิว เพื่อจะสูดเอาละอองอากาศที่มีกลิ่นไอของพี่นิวให้เต็มปอด

สัมผัสข้าวของที่เขาเคยใช้แทนความรู้สึกว่าได้สัมผัสตัวเขา ทบทวนภาพอดีตที่เราเคยอยู่ร่วมกันในห้องนี้

   ทุก ๆอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองมีเรี่ยวแรงที่จะหายใจต่อไปได้อีกวัน.....และอีกวัน

   ผมไม่รู้เลยว่าจะหยัดยืนด้วยพละกำลังของตัวเองได้เมื่อไร แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่พยายาม

หลายต่อหลายครั้งที่ผมมีแรงบันดาลใจจากละครบางเรื่อง จากเพลงบางเพลง จากหนังสือบางเล่ม และจากเพื่อนบางคน

แต่ผมก็ทำได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อกลับมาถึงบ้าน ในสิ่งแวดล้อมเก่า ๆ ผมก็กลับคิดถึงพี่นิว

พร้อมกับคำพูดในจดหมายฉบับสุดท้ายขึ้นมาอีก

   ปีนั้นทั้งปี การเรียนของผมล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมทำคะแนนหลาย ๆวิชาได้ไม่ดีเลย เกรดตกทุกวิชา

และทำให้ผมหมดหวังที่จะได้เกียรตินิยม

   พ่อกับแม่ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากให้กำลังใจ พี่ชายพูดว่าผิดหวังในตัวผม

   ส่วนคุณแม่มีแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ซึ่งผมไม่อยากเห็นเลย

ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของคุณแม่สักหน่อย ผมต่างหากที่เป็นคนผิด....ผิดที่ไม่มีสติ ไม่รับผิดชอบในหน้าที่

ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ปล่อยให้ความรักมากำหนดทิศทางการดำเนินชีวิต

   ผมผิดเองที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง จากเด็กเรียนดี ผมทำตัวเหลวไหลได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   ผมลืมไปได้ยังไงว่า เคยรับปากกับพ่อแม่ผม กับคุณแม่พี่นิว ว่าผมจะไม่ทิ้งการเรียน

   จากนี้ไปผมจะกลับไปเป็นนูคนเดิม แต่....ผมคงต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านของตัวเอง

เพราะตราบใดที่ผมยังอยู่ที่บ้านนี้ อดีตก็คงตามมารบกวนผมอยู่ร่ำไป

   ผมบอกคุณแม่คำเดียว คุณแม่ก็ไม่คัดค้าน ทั้งที่นั่นคงไม่ใช่ความต้องการของท่าน แต่ทำยังไงได้

ถ้านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ คุณแม่ก็คงไม่กล้าทัดทาน

   “นูยังเป็นลูกบ้านนี้อยู่นะ อยากกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเวลา”

   คุณแม่ไม่รับคืนกุญแจบ้านที่ผมถืออยู่ทุกดอก แถมยังบอกว่า ถ้าช่วงไหนที่คุณแม่ต้องไปดูแลคุณพ่อนาน ๆ

ผมต้องกลับมาดูบ้านบ้าง เพราะทิ้งให้ป้าแม่บ้านกับพี่นางอยู่ตามลำพัง ทั้งคู่คงไม่สบายใจ

   ดังนั้นตอนปีสี่ผมจึงกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านหลังเดิม และอยู่ที่นั่นกระทั่งเรียนจบ

   ผมแวะไปดูบ้านตามที่คุณแม่เคยบอก และก็ยังช่วยงานที่ร้านเหมือนเดิม

แต่กิจการก็ซวดเซลงเรื่อย ๆ จนต้องเซ้งไปในที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเสียใจ

คุณพ่อแค่เสียดายเพราะเป็นกิจการที่ร่วมกันทำตอนที่แต่งงานใหม่ ๆ

เปรียบเหมือนบ้านที่ช่วยกันสร้างมาด้วยกันกับคุณแม่ ส่วนคุณแม่เสียอีกกลับชอบใจ

   “จะได้มีเวลาประกบคุณพ่อแบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

   ....เป็นงั้นไป....

   ผมนึกอยากรู้ขึ้นมาว่า พี่นิวจะว่าอะไรไหม ถ้าเขาได้รู้ว่ากิจการของครอบครัวตัวเองปิดลงแล้ว

แต่ก็นึกไม่ออกว่าทำยังไงจะให้ได้รู้ ผมรู้ว่าพี่นิวติดต่อที่บ้านมาเป็นระยะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

อย่างน้อยพี่นิวก็ยังใช้เงินของทางบ้านอยู่ คุณแม่ไม่พูดถึงพี่นิวให้ผมได้ยินอีกเลย

และผมก็ไม่เคยถามถึง (ทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาด)


   วันศุกร์นี้ผมตั้งใจจะไปดูบ้านให้คุณแม่ แล้วก็ถึงวันที่ต้องให้เงินค่าใช้จ่ายในบ้านให้ป้าด้วย

(คุณแม่ไม่ยอมยึดอำนาจกลับคืนเสียที) ผมขี่มอเตอร์ไซค์คันเดิมเข้าไปจอดที่ใต้ชายคาหน้าบ้าน

ซึ่งแต่ก่อนนี้ผมจะต้องไปจอดที่โรงรถด้านข้าง แต่เมื่อไม่มีใครอยู่ ผมก็ทำอะไรตามสบาย

   เหลียวไปมองรอบ ๆ บ้าน หญ้าเริ่มจะรก คงต้องตามคนงานมาตัดเสียที ไม้ประดับบางต้นก็ยืนต้นตายไปบ้างแล้ว

เพราะไม่มีคนรดน้ำ ใส่ปุ๋ย คนงานที่ให้มาทำสวนก็มาบ้างไม่มาบ้าง เพราะนายจ้างไม่อยู่

   ผมเดินขึ้นไปวางเป้ใบเล็กบนห้องนอน ที่เตียงคลุมผ้าขาวไว้กันฝุ่น ผมตลบผ้าออกมันก็อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

ซึ่งพี่นางจะเข้ามาทำความสะอาดห้องผมทุกอาทิตย์ เพราะเป็นห้องเดียวที่มีคนเข้า ๆ ออก ๆ

ส่วนห้องอื่น ๆ ก็แล้วแต่สภาพ ถ้าผมมาแล้วเห็นว่ามันสกปรกไป ก็จะบอกให้เขาทำสักที

กับถ้าคุณแม่จะมาก็จะทำเตรียมไว้ ดังนั้นข้าวของทุก ๆ อย่างจึงยังอยู่ที่เดิมไม่มีการเคลื่อนย้าย

จนผมแทบจะจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน และอะไรหายไป

   ซึ่งตอนนี้ผมสังเกตเห็นว่า รูปถ่ายเล็ก ๆ ที่ผมเหน็บไว้ที่กรอบกระจกเงาที่โต๊ะเครื่องแป้ง มันหายไป

รูปนั้นเป็นรูปคู่ของผมกับพี่นิวในงานวันเกิดของเขา ไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากว่า มันเป็นรูปคู่ของเราเพียงรูปเดียวในเวลานั้น

ผมพลิกหาทุก ๆ พื้นที่ในห้องก็ไม่พบ ผมไม่คิดว่าพี่นางจะเป็นคนเอาไป หรือแม้แต่จะทำมันหล่นหาย

เพราะมันอยู่ตรงนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าหายมันก็คงหายเสียนานแล้ว....มีบางอย่างทำให้ผมเอะใจ

   ผมเดินไปเปิดประตูห้องที่ไม่ได้เข้ามานานเกือบปี ดูเผิน ๆ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

จนผมเกือบจะแน่ใจว่า คนที่เข้ามาในห้องนี้ตลอดเวลาที่พี่นิวไม่อยู่มีแค่ผมกับพี่นางที่มาทำความสะอาดให้

   แต่แล้วผมก็สะดุดเข้ากับหลอดกลม ๆสีเงินเล็ก ๆที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก รวม ๆ ไปกับของกระจุกกระจิก

ที่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เคยมีมาก่อน....ผมหวังว่ามันจะเป็นของฝากที่ยังไม่เคยถูกใช้

   .....แต่ผมคิดผิด....

   มันเป็นลิปสติกสีชมพูที่ถูกใช้ไปแล้วเกือบหมดแท่ง

   ผมเกือบจะขาดสติ แล้วขว้างสิ่งนั้นออกไปนอกหน้าต่าง โดยไม่คิดจะหาคำตอบว่ามันเป็นของใคร และมันมาจากไหน

สมองผมประมวลอย่างรวดเร็วก็รู้ว่า ไม่ใช่ของคุณแม่เพราะคุณแม่ไม่เคยใช้สีนี้

และของคุณแม่ก็คงไม่มาวางเกะกะในห้องของลูกชาย

   แล้วผมก็ได้คำตอบเมื่อเดินเข้าครัวไปเห็นป้าเอากับข้าวสองสามอย่างมาอุ่นวางบนโต๊ะ

กับข้าวพวกนี้ไม่ใช่ฝีมือป้า ผมจำได้ เมนูแบบนี้คงต้องสั่งจากร้านอาหารดี ๆเท่านั้นแหละ

   “เลี้ยงอะไรกันครับป้า”

   “ไม่ได้เลี้ยงค่ะ น้องนิวพาเพื่อนมาเที่ยวบ้านเมื่อสองวันก่อน...แล้วน้องนูไม่รู้หรอกเหรอ”

   “อ๋อ...ผมลืมไป นึกว่าเดือนหน้า”

   ผมฝืนใจคุยกับป้าต่ออีกสองสามประโยคก็ไม่ไหวแล้ว เลยเดินตัวเย็นออกมาแล้วกลับขึ้นไปบนห้อง ด้วยอาการชา

รู้สึกเหมือนมีอากาศเย็น ๆผ่านเข้าไปในเนื้อหนังแทรกเข้าไปในเส้นเลือดกระจายไปทั่วร่าง

   ผมไม่ได้ลืมหรอก ความจริงผมไม่เคยรู้เลยต่างหาก ป้าไม่รู้ความเป็นไปของผมมากนัก ก็เล่าไปเรื่อยว่า

พี่นิวมากับเพื่อนผู้หญิง ค้างที่นี่คืนเดียวแล้วก็ไป ไม่รู้ว่าไปไหน แต่คงไม่ย้อนกลับมาแล้ว

   ผมบอกไม่ถูกว่า เสียใจที่ไม่ได้เจอ กับ ดีใจที่ไม่เห็นเขากับภาพบาดตาบาดใจ

อย่างไหนกันแน่ที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้

   ผมอยากได้ข่าวคราวจากเขา อยากพบหน้า อยากได้ยินเสียง แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้

   ผมไม่ได้เสียน้ำตากับเรื่องพี่นิวมานานพอดู และครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เสียน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว

แต่มันกลับไหลรินอยู่ข้างในหัวใจผม เคยอ่านบทกลอนที่พูดถึงความทุกข์ระทมของคนที่ต้องเลิกร้างห่างกัน

เคยได้ฟังเพลงเกี่ยวกับคนอกหัก มันให้ความรู้สึกเศร้าซึม ชวนให้ร้องไห้ตามไปด้วย

   แต่พอเกิดขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่ได้รับกลับเจ็บปวดร้าวรานยิ่งกว่า จนเพลงกับบทกลอนกลายเป็นนิทานก่อนนอนไปเลย

   ก้อนแข็ง ๆ ในคอมันดันกันขึ้นมาจนจุก กลืนมันกลับลงไปก็เจ็บจนแน่นหน้าอก

ผมต้องคู้ตัวลงกดฝ่ามือกับอกข้างซ้ายเพื่อให้ความเจ็บนั้นบรรเทา แต่เหมือนมันจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

ถ้าผมยังฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหล มันก็คงจะยังเจ็บอยู่อย่างนี้สินะ

   ผมปล่อยให้มันไหลออกมาเรื่อย ๆ เท่าที่มันต้องการ การได้ระบายความเจ็บปวดรวดร้าวในใจ

คงจะเป็นวิถีทางเดียวที่ผมทำได้ในเวลานี้ เพราะผมบอกใครไม่ได้

   ไม่ว่าใครที่ผมนึกถึงล้วนแต่เป็นคนที่ผมรัก และรักผม บอกพวกเขาก็รังแต่จะทำให้เป็นทุกข์

ผมทุกข์คนเดียวก็มากพอแล้ว ยิ่งกว่านั้น พ่อกับแม่ผมไม่เคยรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่นิว

บอกไปแล้วเขาจะรับได้หรือ บอกไปแล้วเขาจะโกรธ จะเกลียดพี่นิวไหม ที่ทำให้ผมเสียใจ

ส่วนคุณแม่ก็คงไม่ต่างกัน เท่าที่ผมเป็นอยู่ ท่านก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว ทั้งที่ไม่มีส่วนในเรื่องนี้เลย

ตรงกันข้าม.....คุณแม่อยู่ข้างผมตลอดเวลา แต่ทุกคนต่างรู้ดี เรื่องของหัวใจใครก็ชี้นำไม่ได้

นั่นเป็นปัญหาที่ผมต้องเผชิญและฝ่าฟันมันไปให้ได้

    ผมนึกถึงเข้ม และดีใจที่มันไม่ได้มารู้มาเห็นด้วยในเวลานี้ ผมยังจำที่มันบอกไว้ได้ว่า

ถ้าพี่นิวทำให้ผมเสียใจ ผมต้องบอกมัน แถมมันยังขู่พี่นิวว่า ถ้าทำให้ผมเสียใจมันจะเอาเรื่อง

    จริง ๆแล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่า ถ้าบอกมันตอนนี้ มันจะยังมีความคิดเหมือนเดิมหรือเปล่า

เพราะมันมีแฟนแล้ว ความรู้สึกลึกซึ้งที่มันมีต่อผมก็อาจจะเจือจางไปแล้ว

ดีไม่ดี มันก็คงจะลืมไปแล้วด้วยว่าพูดอะไรไว้ แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะไม่บอกเข้ม



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-11-2012 01:27:28
อยากจะตบพี่นิวสักทีสองทีจริง ๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 15-11-2012 01:33:51
เม้นท์ไม่ออกแต่อ่านละเจ็บแทนเลยอ่ะ TT_TT
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: fangjunk ที่ 15-11-2012 01:44:26
อ่านตอนนี้เสร็จแล้วก็เห็นใจนูนะ   แต่ไม่สงสารอ่ะเพราะนูทำตัวเอง  นูเหมือนรักมากจนไม่เผื่อใจ  รักมากจนไม่คิดจะออกไปไหนคิดว่าโลกนี้มันสวยงามมีแค่สองเรา  คนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกและเราคิดว่านิวให้นูเลือกทางเดินของตัวเองและนูก็เลือกเอง  ไม่เข้าข้างนิวนะเพราะนิวก็เห็นแก่ตัวอ่ะตอนจะไปเหมือนยังกั๊กๆนูไว้เป็นของตาย  ถ้านูเลือกที่จะออกจากบ้านไปเรียนต่างจังหวัดไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆน่าจะดีกว่านี้   ณ ตอนนี้ที่อ่านนะ  แต่ก็นะรักแรกและรักมากความรักทำให้คนมีทั้งสุขและทุกเสมอ   
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 15-11-2012 02:29:46
อ่านเเล้วอยากตบพี่นิว :beat:

คนเเบบบนี้นูไม่น่าให้อภัยเลย แย่ที่สุดอ่ะ
หาคนใหม่เถอะอย่าให้เค้าเห็นว่านูเป็นของตาย
ดีเเล้วเเหละที่ไม่เจอ เจอกันนูคงน่าสงสารกว่านี้อ่ะ :sad4:

นูคงรักพี่นิวมากเลยเนาะถึงกลับมาคบกับคนเห็นแก่ตัว
ไม่รักษาสัญญาแบบพี่นิวได้อีก
ขอให้นูโชคดีค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 15-11-2012 03:30:34
อ่านเรื่องนี้ทีไร ก็มีแต่ทำถามอยู่ในใจว่า "กลับมาคบกันอีกได้ยังไง"  "ให้อภัยได้ยังไง" แล้ว ณ ปัจจุบันไม่ระแวงบ้างรึไง อย่างที่หลายๆ คนเคยบอกว่ามีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป  :เฮ้อ:

อ่านตอนนี้แล้วเห็นด้วยกับข้างบนนะ เห็นใจ แต่ไม่สงสาร เพราะนูเลือกเอง ก็คงต้องรับผลที่ตัวเองเลือก   
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 15-11-2012 05:25:11
นูทนได้ไง กลับสภาพที่เป็นอยู่ให้ตอนนั้น
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 15-11-2012 07:10:35
 :m16:  นิวเป็นมาโซป่ะเนี่ย   โอ้ยคนคนนึงเจ็บปวดและทนได้กับความรักได้ขนาดนี้เชียวเหรอ   :m15:

อยากจะ   :z6:   นิวซักที  แล้วก็   o18

+1  จ้า   แล้วก็   :กอด1:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 15-11-2012 07:19:13
ใจร้ายมากเลยพี่นิว
ทำได้ไงเนี่ย
พี่นูก็ความอดทนสูงมากเลย
อยากอ่านต่อๆ
อยากรู้ตอนพี่นิวกลับมาเจอพี่นูแล้วจะเป็นยังไงอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 15-11-2012 09:24:39
นูหนอนู :กอด1:
จะรักใครชอบใคร ซื่อสัตย์ต่อคนรัก รักเดียวใจเดียวเป็นสิ่งที่ดี
แต่ก็รักให้เป็นและอย่าลืมว่าต้องรักตัวเองด้วย
เขาไปแล้วเขาหันกลับมาดูหรือป่าวว่าเราอยู่ยังไงสบายดีหรือป่าว ก็ป่าว....
เขาไปอยู่กับใครอีกคนที่เขาเลือก...
เจ็บจริงๆแต่ถ้าเป็นเรานะเราจะเศร้าแต่จะจัดการกับความเศร้านั้นให้เร็วที่สุดไม่ปล่อยเรื้อรัง
จะเชิดหน้าก้าวไปข้างหน้าไม่น้อยหน้าใครที่ทิ้งชั้นไว้คนเดียว
แต่อย่างว่าคนเรานิสัยไม่เหมือนกันและนูก็ผ่านมันมาได้แล้ว
ก็เลยอยากรู้ว่าเขาทำยังไงให้นูไว้ใจเขาอีกรอบ
มันเป็นไปได้ที่จะกลับมาคืนดีแต่มันต้องมีอะไรมากว่าแค่คืนดีกันเฉยๆ
เอิ่ม..คืออยากเวิ่นมากกว่านี้แต่ตัดจบดีกว่าเด๋วยาวแล้วลงไม่ได้5555
 ยังอยากอ่านเรื่องราวของนูไปเรื่อยๆนะ
ให้กำลังใจจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-11-2012 09:43:22
คือแบบว่า เอิ่มมม.. บอกไม่ถูกเลย  :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

พี่นูทนได้ยังไง พี่นูทนโดนพี่นิวทำร้ายอย่างแสนสาหัสได้ยังง้ายยยยยยยย  :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

พี่นิวก็นะ ใจร้ายเกินคนไปแล้ว  :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:

แต่อยากรู้ว่ากลับมาคบกันได้ยังไงในเมื่อเหตุการณ์ตอนนี้มันโหดร้ายและย่ำแย่มาก  :dont2: :dont2: :dont2: :dont2: :dont2:

แต่ก็นะ ความรักที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมการให้อภัยที่ใหญ่ยิ่ง (อารมณ์ซึ้ง & ดราม่า) :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

สู้ๆค่าพี่นู ซายน์เป็นกำลังใจให้  :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 15-11-2012 11:27:47
ณ ตอนนี้กลียดพี่นิวมากกกก (บอกเค้าด้วยนะ) เสียดายนูน่าจะได้เกียรตินิยมให้ครอบครัวและคนใกล้ชืดได้ชื่นชมเพื่อเป็นเกียรติและศรีแก่วงศ์ตระกูล แต่..อดีตคือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ทั้งหมดที่เป็นไปป้าขอสั่งว่าพี่นิวต้องรับผิดชอบทดแทนโอกาสและสิ่งดีๆของน้องนูที่น่าจะได้รับ คุณแม่และครอบครัวของน้องนูน่ารักมาก ในความโชคร้าย น้องนูก็ยังโชคดีที่บุคคลรอบข้างยังรักและดูแลเป็นอย่างดี ขออวยพรให้น้องนูได้รับแต่สิ่งที่ดีดีเข้ามาในชีวิต อย่าเจ็บ อย่าจน กอดน้องนู จุ๊บ จุ๊บ

 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 15-11-2012 12:59:03
อืทๆๆๆๆๆเป็นกำล้งใจให้นะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 15-11-2012 16:41:01
อยากกระโดดแตะขาคู่ + ตวัดปลายเท้าเสยหน้าพี่นิวอีกซักรอบ เหอะๆๆๆ น่าสนุกดี....
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 15-11-2012 18:28:25
เกลียดนิว
ทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกนูเลย

อยากจะรู้จริงๆ อะไรที่ทำให้นูยอมกลับไป อะไรที่ทำให้นูยอมให้อภัย
เพราะสำหรับพี่สิ่งที่นิวทำมันร้ายแรงมาก มันเหมือนกับการทำลายอนาคตและชีวิตของนู
นิวหลอกลวงและปิดบังนูมาเป็นปีๆ แล้วสุดท้ายก็ปัดความรับผิดชอบโดยการให้นูเป็นคนเลือกที่จะอยู่หรือจะไปเอง
นิวเห็นแก่ตัวมาก  :z6:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 15-11-2012 19:06:32
ตื้บแม่งเลย...ทำพี่นูเสียจายยToT
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (จัดหน้าอยู่ครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-11-2012 20:24:54


ถ้าผมได้กำลังใจขนาดนี้ในวันนั้น ก็คงจะดี

แต่วันนี้เหตุการณ์ทั้งหลายมันผ่านมาหมดแล้ว จะบอกว่าดีไหม?? ผมก็ว่ามันดีกว่าวันวานมากทีเดียว

อย่างน้อยเราสองคนก็เข้าใจกันมากขึ้น และมีความสุขตามอัตภาพ

ส่วนคนที่ถูกคนอ่านกระทำต่าง ๆ นานา นั่งหน้ามุ่ยตอนที่ผมกดเป็ดขอบคุณทุก ๆเม้นท์

เค้าถามผมว่า....กดแล้วได้อะไร

ผมบอกว่า....สำหรับผมมันคือการแทนคำขอบคุณ

เค้าว่า....ขอบคุณที่เค้าโดนกระโดดถีบขาคู่ โดนตบ โดนด่าว่า งั้นเหรอ

ผมบอกว่า....การที่คนอ่านตีความตามนั้น แปลว่า ผมเขียนดี (5555) เพราะอารมณ์ผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

                  คนไม่ถูกกระทำไม่รู้หรอกว่า สถานการณ์ตอนนั้นมันเลวร้ายสำหรับผมแค่ไหน

พี่นิวพยักหน้าแล้วบ่นงึมงำว่า อย่าลืมตอนที่เค้าทำดีด้วยล่ะ เขียนชมให้เยอะ ๆ หน่อย

แล้วก็บ่นต่อเบา ๆ ว่า เวบนี้นักอ่านดุจริง ๆ

ผมไม่ได้ตอบรับหรอกครับ เพราะว่า เรื่องราวทั้งหมดถูกเขียนไว้หมดแล้ว แต่สำหรับคนที่เคยอ่านมาก่อน

ผมอยากจะบอกว่า ผมได้เปลี่ยนการสะกดภาษไทย ให้ถูกต้องตามที่เคยถูกขอไว้

ส่วนเนื้อหาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย จะมีแต่เพิ่มตอนปัจจุบันเข้าไปเรื่อย ๆ

ที่ผมเคยบอกว่า นิยายเรื่องนี้ผมยังเขียนไม่จบ นั่นก็เพราะไม่รู้จะจบตรงไหน

ในเมื่อชีวิตของเราสองคนยังดำเนินต่อไป ปมชีวิตของเราสองคนก็ใช่จะถูกคลี่คลาย

ดังนั้น ใครที่อยากอ่านก็ติดตามตอนต่อไปได้เรื่อย ๆนะครับ

เรื่องนี้มันเหมือนไดอารี่ของผมไปแล้ว บางทีอาจจะไม่มีตอนจบ

ก็แค่ปิดไดอารี่ แล้วก็ไม่เขียนต่อแค่นั้นเอง


ตอนต่อจากนี้ ผมขอเวลาจัดหน้าสักพักนะครับ เดี๋ยวเจอกัน



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555(จัดหน้าอยู่ครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 15-11-2012 20:36:46
นูพูดแบบนั้น แสดงว่าพี่นิวต้องทำอะไรดีๆไว้ตอนกลับมาแน่ๆเลย  :mc4:
จะรอชมพี่นิวนะคะ  o13
แอบอยากรู้เร็วจัง ว่าพี่นิวทำอะไรเนี่ยนูถึงให้อภัย

รอค่ะๆๆๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555(จัดหน้าอยู่ครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 15-11-2012 20:40:31
รอค่ะ พี่นู 555 รอตอนทำดีของพี่นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-11-2012 20:59:45





             แล้วผมก็ดำดิ่งลงไปในความทุกข์เหมือนช่วงแรกที่พี่นิวจากไป ไม่คบหาสุงสิงกับใคร นอกจากเพื่อนสนิท

ชีวิตของผมวนเวียนอยู่แค่ห้องเรียน ห้องสมุด และบ้าน   ไม่ทำกิจกรรมใด ๆ ไม่สนใจเพื่อนรอบข้าง

เพื่อนที่น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลง จนแทบไม่มีตัว

             ดีอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่ ผมจัดการเรื่องการเรียนได้ดีกว่าแต่ก่อน

            ผมไม่ยอมให้ความทุกข์ทั้งหมด ทำให้อนาคตของผมล้มเหลว อาจเป็นเพราะว่าระยะห่างของผม

กับภาพอดีตที่บ้านพี่นิวมันเลือนลงบ้างแล้ว ในขณะที่ผมใกล้ชิดพ่อแม่มากขึ้น 

           ทุกวันที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทำงานที่ร้านขายของ ผมจะเกิดความมุ่งมั่นที่จะเรียนให้จบเร็ว ๆ

และท่องจำไว้เสมอว่า ผมต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้  แรงกดดันทางญาติฝ่ายพ่อมากเกินกว่าที่ผมปล่อยตัวเอง

ให้หมกมุ่นอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์....คนที่เขาอกหักกันทั้งโลกไม่เห็นจะมีใครตาย

แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะยอมแพ้......พี่นิวกลับมาวันไหน ผมจะยืดอกให้ดูว่า

ต่อให้สิบนิวก็ทำให้ผมเจ็บปวดไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว


           ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าเพียงแต่เราจะพยายาม....ผมได้ค้นพบมันด้วยตัวเอง

ขอเพียงเราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ไม่ยอมจำนนต่อความท้อแท้ สิ้นหวัง ที่หมั่นเปลี่ยนหน้ากันมาทดสอบกำลังใจ

           ผมเรียนจบในที่สุด ยากแทบเลือดตากระเด็นเชียวล่ะ ไม่ใช่เรื่องตำรับตำราหรอกที่มันยาก

แต่เป็นเรื่องของพลังใจ ที่ผมต้องพยายามข่มความเศร้าหมองแล้วแปรมันให้กลายเป็นแรงผลักดัน

ให้ตัวเองลุกขึ้นมาอ่านหนังสือทั้งน้ำตา เวลาที่คิดถึงคนที่ผมรัก

            ที่เขาว่า LUCKY IN GAME BUT UNLUCKY IN LOVE ท่าจะเป็นเรื่องจริง เรียนจบปุ๊บผมก็ได้งานปั๊บ

ได้มาแบบฟลุค ๆ ก็ว่าได้    ด้วยความช่วยเหลือของญาติผู้ใหญ่ที่ทำงานที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว

ทำให้ผมรู้ข่าวการประกาศรับพนักงานเร็วกว่าใครอีกหลายคน แล้วผมก็ได้รับคัดเลือก

ญาติฝ่ายพ่อหลายคนแปลกใจที่คนที่ดูเหลวไหลอย่างผมได้ทำงานดี ๆ อย่างที่พวกเขาบางคนอยากได้แต่ทำไม่ได้

(ผมมารู้ทีหลังว่า ญาติผมติดต่อกับผู้บริหารที่เคยเป็นหัวหน้างานของเขาว่าผมเป็นหลานชาย

ผมเลยได้คะแนนสัมภาษณ์แบบทะลักทลาย แต่เขาบอกว่า คะแนนข้อเขียนของผมก็ต้องไม่ขี้เหร่ด้วย

ไม่งั้นน้ำลายก็ช่วยอะไรไม่ได้...555...)



        การเริ่มต้นชีวิตคนทำงานทำให้ผมลืมเรื่องของพี่นิวไปพักใหญ่ แล้วอยู่ ๆ ผมก็ได้ข่าวว่าเขากำลังจะกลับบ้าน

        “ทีแรกแม่ว่าจะไม่บอกนู”

        ผมรู้เหตุผลที่คุณแม่ไม่คิดจะบอกผมเรื่องวันเดินทางกลับของพี่นิว

        “แต่ถ้านูรู้เอง แม่ก็กลัวนูจะเสียใจว่าแม่ไม่บอก นี่แม่ก็ทำตัวไม่ถูกนะ แต่คุณพ่อเขาบอกว่า บอกเถอะ

แล้วให้นูตัดสินใจเอง”

      “ขอบคุณครับคุณแม่ ผมฝากขอบคุณคุณพ่อด้วยนะครับ ผมจะไปรับเขาที่สนามบินเอง คุณแม่จะไปรับด้วยกันไหมครับ”

      “คงไม่หรอก คุณพ่อไม่ค่อยสบาย แม่ไม่อยากให้เดินทางไกล ๆ แม่จะมาก็เป็นห่วง”

      คุณพ่ออายุไม่มาก แต่มีโรคประจำตัวคือโรคเกาต์ที่นาน ๆ จะกำเริบขึ้นมาสักที

ส่วนโรคหอบของคุณแม่ก็ไม่มีอาการอีกเลยตั้งแต่ได้ไปอยู่กับคุณพ่อที่นั่น เพราะได้รับอากาศบริสุทธิ์แถบชายทะเล

         ผมแปลกใจตัวเองว่าทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย ตอนที่คุณแม่บอกว่าพี่นิวกำลังจะกลับ

อาจจะเพราะเริ่มเคยชินกับการไม่มีเขาแล้ว แต่ยิ่งใกล้วัน ผมกลับยิ่งตื่นเต้น

เป็นความตื่นเต้นที่จะเรียกว่าดีใจก็ไม่เต็มปาก ผมคิดว่ามันเป็นความหวาดหวั่นมากกว่า 

         หวั่นใจว่าเขากลับมาแล้วจะเป็นยังไงบ้าง....ในแง่ความรู้สึกที่เรามีต่อกัน....

         มันจะเปลี่ยนแปลงไปไหม เขาจะมีใครหรือยัง

        ไม่น่าเชื่อว่า ระหว่างที่เราจากกัน เราสองคนจะไม่เคยติดต่อกันเลย ผมไม่ได้ข่าวคราวจากเขาแม้แต่น้อย

ทั้งที่รู้ว่าพี่นิวติดต่อคุณแม่อย่างสม่ำเสมอ ผมไม่เคยถามคุณแม่ และคุณแม่ก็ไม่เคยเล่า

ต่างคนต่างกลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจของอีกคน....ผมไม่รู้ว่าตัวเองผ่านพ้นเวลาเหล่านั้นมาได้ยังไง

แต่ผมอยากรู้เหลือเกินว่าพี่นิวจะเป็นเหมือนผมไหม....ที่ทุรนทุรายคิดถึงแต่เขา

แต่ต้องสะกดความรู้สึกนั้นให้มันเต้นเร่า ๆ อยู่เพียงภายใน


        สนามบินบ้านนอก เดินไปไหนก็เจอคนรู้จัก คงเป็นเพราะผมเกิดและอยู่ที่นี่มาจนโต

แถมตอนนี้ทำงานแล้ว แวดวงคนรู้จักก็เพิ่มมากขึ้น แอร์โฮสเตสสาว ๆ ผมก็รู้จักหลายคน

ระหว่างที่รอผมก็เลยนั่งคุยกับแอร์คนหนึ่งที่เพิ่งจะออกเวรกลับบ้าน พอรู้ว่าผมมารับพี่ชายก็เลยขอติดรถกลับบ้านด้วย

เพราะเป็นทางผ่าน

       เธอเป็นคนคุยเก่ง ก็ตามประสาพนักงานต้อนรับแหละ ส่วนผม ถ้าใครคุยเรื่องอะไรมาก็คุยได้หมด

ยกเว้นอย่าเข้าใกล้เรื่องส่วนตัวของผมเป็นพอ ดังนั้นการพูดคุยของเราจึงเพลิดเพลินจนเวลาผ่านไปแบบไม่รู้ตัว

พลอยทำให้ผมลืมความตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่นิวไปในตัว


       ผู้โดยสารขาเข้าทยอยเดินออกมาคอยรับกระเป๋าและสัมภาระ ผู้คนพลุกพล่านจนผมคิดว่า

นั่งรอที่เดิมน่าจะทำให้วุ่นวายน้อยลง จนมีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่เยื้อง ๆ เราสองคน ผมถึงได้หันไปมอง

       ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ไหล่หนากว่าที่ผมเห็นครั้งสุดท้าย ผมยาวปรกต้นคอ มีไรหนวดเขียว ๆ

เหมือนไม่ได้พบมีดโกนหนวดมาหลายวัน ใบหน้าขรึมจนเกือบเป็นดุ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

        ผมยกมือขึ้นไหว้โดยอัตโนมัติ พร้อมกับแนะนำให้อรรู้จักว่า เป็นพี่ชายผม

       “อรเขาขออาศัยติดรถกลับบ้านน่ะครับ”

        คงเป็นเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย เราจึงไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนกระทั่งถึงบ้าน ก็ดีเหมือนกันที่ไม่ได้มีแค่เราสองคน

การมีอรเข้ามาอยู่ในวงสนทนา ช่วยลดความตื่นเต้น หวาดหวั่นที่ผมมีแต่แรกไปได้เยอะเลย


          รถของบริษัทกลับไปแล้ว ก็หมดหน้าที่ของผม

         ผมเอารถมอเตอร์ไซค์ที่มาจอดทิ้งไว้ที่บ้านก่อนออกไปรับพี่นิว  ออกมาสตาร์ท เพื่อจะกลับบ้าน

แต่เหมือนอดีตได้ย้อนกลับมา เมื่อพี่นิวเดินมาบิดกุญแจรถแล้วดึงมันออก

          “ไม่กินข้าวกับพี่ก่อนเหรอ”

           ผมลังเล แต่ที่สุดก็จอดรถแล้วเดินเข้าบ้าน ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง

ที่ถึงยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่นิวยังมีอิทธิพลต่อผมเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง

           กินข้าวเสร็จ พี่นิวก็พูดดักผมอีก

           “ถ้าจะไป ก็ค่อยไปตอนเย็นได้ไหม อยู่คุยกับพี่ก่อน”

            เราพูดคุยกันอย่างห่างเหิน เขาถามถึงความเป็นไปของผมระหว่างที่เขาไม่อยู่

ถามถึงเรื่องงานที่ทำอยู่ ผมก็ตอบเท่าที่เขาควรจะรู้ รายละเอียดอื่น ๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าเขามีผลต่อชีวิตผมยังไง

ผมไม่เล่า เรื่องอะไรจะต้องให้เขามารู้ว่า เขาทำผมปางตายให้เขาหัวเราะเยาะผมเล่นล่ะ

           “พี่ขอโทษ ถ้าที่ผ่านมาทำให้นูเป็นทุกข์ เสียใจเพราะพี่”

          ผมยักไหล่ใส่ ไม่รู้จะตอบยังไง แค่อยากแสดงให้เขารู้ว่าผมไม่สน ไม่ยี่หระ และมันผ่านไปแล้ว

แต่ผมรู้ว่าแม้ท่าทีของผมจะดูเหมือนไม่แคร์ หากแต่แววตามันคงบอกตรงกันข้าม

ผมก็เลยมองไปในทิศทางที่เขาจะไม่เห็นมัน

         “นูไม่ได้เกียรตินิยม”

        “ครับ แต่งานที่ผมทำเขาไม่ได้วัดกันตรงนั้น”

        “พี่ขอโทษ”

        เมื่อผมไม่ตอบ พี่นิวก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คงต้องเป็นผมที่ควรจะพูดอะไรออกไปบ้าง

        “ที่โน่นเป็นไงมั่งครับ”

        “ก็ดี”

        “ที่กลับมาเพราะเรียนจบแล้วเหรอครับ”

        “จะว่าจบก็จบนะ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว เหลือแต่วิทยานิพนธ์ พี่กลับมาทำที่นี่ก็ได้ ส่งเมล์ให้อาจารย์ดู ถ้าผ่านก็จบ”

        “พี่นิวจะไปหาคุณพ่อเมื่อไรครับ”

        “อืม....อีกสองสามวันมั้ง เพื่อนพี่จะไปด้วย เขาให้พี่รออยู่ก่อน”

        ผมเลิกคิ้ว สงสัยแต่....ไม่ถาม ไม่ใช่ธุระของผม

        “เพื่อนเรียนด้วยกันจะมาจากที่โน่น เขาไม่เคยมาเมืองไทย แล้วก็อยากไปเที่ยวทะเลฝั่งโน้น”

        ผมแอบโล่งใจ เพราะรู้แน่ว่าไม่ใช่เจ้าของลิปสติกแท่งนั้นแน่

         “นู”

         พี่นิวเรียกผมไว้ตอนที่ผมลากลับเมื่อเย็นมากแล้ว ผมบอกว่าแม่รอกินข้าวอยู่ที่บ้าน

ทั้งที่จริงผมบอกแม่ไว้ว่าอาจจะไม่กลับ....ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าผมหวังอะไรถึงได้บอกแม่ไปแบบนั้น

          “พรุ่งนี้จะมาอีกไหม”

          “พี่นิวมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงผมมาก็ได้”

          ผมตอบทั้งที่อยากบอกว่า...มา...จนตัวสั่น เกลียดใจตัวเองจัง

           “ไม่หรอก ถามดูเผื่อว่านู...อยากมา”

           ถ้าผมอยากมา ผมจะมาตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องรอให้ชวนหรอก....ผมนึกหมั่นไส้พี่นิวในใจ

อยากให้ผมมาก็ไม่พูดมาตรง ๆ

            แต่วันรุ่งขึ้นผมก็ดันมาซะจนเช้า คนชวนยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ

            สองมือของผมเต็มไปด้วยของกินที่ผมคิดว่าที่ประเทศนู้นคงไม่มีขาย

            “น้องนูซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย ป้าทำแซนด์วิชเสร็จพอดี”

            “เก็บไว้ได้ไหมครับ โจ๊กของผมต้องกินร้อน ๆอะป้า ผมซื้อมาเผื่อทุกคนด้วยนะครับ พี่นางด้วยนะ”

            ผมตะโกนบอกพี่นางที่กำลังล้างผักในชามอ่างหลังบ้าน วางถุงของกินลงบนโต๊ะให้ป้าจัดการไป

แล้วผมก็ขึ้นไปเคาะห้องพี่นิว แต่ห้องที่มีคนเปิดประตูออกมาดันเป็นอีกห้องหนึ่ง....ห้องของผมเอง

            “อ้าว...”

            ผมมองเค้างง ๆ แต่พี่นิวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

            “มาเช้าจัง กินอะไรมารึยัง”

            “ผมก็กำลังจะมาปลุกพี่นิวนี่แหละครับ ผมซื้อโจ๊กมา”

            พูดเสร็จผมก็หันหลังเดินลงบันไดมาเลย เขิน....ทำหน้าไม่ถูก ตอนที่เห็นเขายิ้มเหมือนจะรู้ทันผม

           พี่นิวเดินตามเข้ามาในครัว พอเห็นของเช้าที่ป้าจัดไว้บนโต๊ะ ก็ยิ้มกว้าง

          “ของชอบผมทั้งนั้นเลย”

          “น้องนูซื้อมาค่ะ สงสัยรู้ว่าน้องนิวอยากทานนะคะ”

            ผมทำหน้าเฉย ๆ ทั้ง ๆที่เขินหนักกว่าตะกี้อีก เพราะป้าพูดย้ำ

          “ป้าแบ่งไว้กินกับพี่นางด้วยนะครับ แล้วใส่จานยกไปที่ม้านั่งหน้าบ้านด้วย ผมจะยกเครื่องดื่มไปก่อน”

          ผมเดินนำไปที่โต๊ะที่หน้ามุข เมื่อก่อนนี้เต็มไปด้วยกล้วยไม้ และกุหลาบที่ผมกับคุณแม่ช่วยกันปลูก

แต่ตอนนี้มันตายไปเยอะเลย เหลือแต่กล้วยไม้ทนแล้งไม่กี่กอ ผลิดอกแกร็น ๆ ให้ดูช่อสองช่อ

         “นึกว่าจะไม่มา”

        “ก็ไม่คิดว่าจะมาหรอกครับ”

        ...ยิ้มอยู่ได้...ผมบ่นพี่นิวในใจ

           พี่นางยกชามโจ๊ก ขนมจีบ ข้าวเหนียวไก่ทอด ข้าวเหนียวเหลืองหน้ากุ้งสีสวย มาวางให้จนเต็มโต๊ะ

        “พี่นางเอาก๋วยจั๊บไว้นะคะ น้องนิวไม่ทาน”

        “ผมซื้อมาฝากพี่นางกับป้าคนละถุงครับ”
   
         ผมรู้ว่าระหว่างโจ๊กกับก๋วยจั๊บ พี่นิวต้องเลือกโจ๊กก่อนอยู่แล้ว คงมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ต้องนึก

มันก็ผุดขึ้นมาเองในหัวสมอง....ผมรู้ดีว่า ไม่ว่าผมจะตัดใจจากพี่นิวหรือไม่ก็ตาม ความทรงจำที่ผมมีต่อเขา

ก็คงไม่มีวันเลือนไปจากใจผมได้

        เหมือนวันวานจะคืนย้อนกลับมาให้หัวใจผมได้ลิ้มรสของความสุขอีกครั้ง หลังจากที่มันบาดเจ็บมานานนับปี

        เราพูดคุยกันมากกว่าเมื่อวาน ระยะของความห่างขยับใกล้เข้ามา เมื่อเราอยู่ในบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ

แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะกลับมาอยู่บ้านนี้อย่างถาวร เมื่อรู้ว่าพี่นิวเตรียมตัวรับงานที่สาขาบริษัทของครอบครัว

แทนลูกผู้พี่ที่จะไปเรียนงานจากคุณพ่อที่สำนักงานหลัก

       “เดี๋ยวแม่น้อยใจ ว่าพอพี่นิวกลับมา แม่ก็ถูกทิ้ง”

       “พี่ไปบอกแม่ให้ก็ได้”

      “ไม่ต้องหรอกครับ ไว้โอกาสเหมาะ ๆ ผมจะบอกแม่เอง”

       ผมซื้อเวลาให้ตัวเองด้วยการยกแม่มาเป็นข้ออ้าง เพราะที่จริงแม่รักและตามใจผมมาก

ยิ่งตอนนี้ผมเรียนจบ ได้ทำงานมีหน้ามีตาทัดเทียมลูกบ้านอื่น (ญาติฝ่ายพ่อ) แม่ยิ่งทั้งรัก ทั้งตามใจ

ทั้งเกรงใจผมมากกว่าเดิมซะอีก (ยังกะลูกเทวดาเลยผม)

        ถึงจะไม่กลับมาอยู่ ผมก็มาขลุกอยู่ที่นี่เท่าที่เวลาจะอำนวย แล้วก็กลับไปนอนที่บ้านของตัวเอง

พอตะวันขึ้นก็หิ้วของเช้ามานั่งกินเป็นเพื่อนเขาทุกวันก่อนไปทำงาน


       จนกระทั่งวันที่เพื่อนเขาบินมาถึง พี่นิวก็ไปรับโดยที่ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะเป็นวันทำงาน

ตอนเย็นเลิกงาน ฝนดันตกหลงฤดูอีกต่างหาก ผมขี่มอเตอร์ไซค์แทนที่จะกลับบ้านตัวเอง ก็แวะบ้านพี่นิวก่อนตามเคย

เพื่อจะกินข้าวพร้อมเขา (ตั้งแต่วันที่เราได้คุยกันดี ๆ เกือบจะเหมือนเดิม) กว่าจะถึงบ้านก็เกือบค่ำด้วยเสื้อผ้าที่เปียกโชกไปทั้งตัว

       ผมรู้ว่าวันนี้เราจะมีแขก ก็เลยซื้อกับข้าวติดมือมาด้วย แวะเอากับข้าวไปให้ป้าจัดใส่จาน

แล้วผมก็เดินขึ้นไปหาผ้าเช็ดตัวบนห้อง ได้ยินเสียงคุยกันเบา ๆ ตอนที่เดินขึ้นบันได แต่ฟังไม่รู้เรื่อง

เพราะไม่ใช่ภาษาไทย ผมก็กะว่าจะแวะทักทายแขกของพี่นิวก่อน

พอโผล่หน้าไปที่ประตูห้องพี่นิวที่เปิดอ้าอยู่เท่านั้น ผมก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า


       ...ผมมันเป็นคนประเภท เจ็บไม่เคยจำหรือยังไง ถึงได้ดีตอบเขาง่าย ๆ เพียงแค่เขาพูดดีแค่คำสองคำ

แค่รอยยิ้ม และการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ เวลาสองปีที่ถูกทิ้งให้อยู่กับร่องรอยของอดีตและความทรงจำ

มันถูกลบทิ้งไปได้ด้วยการลงทุนทำดีเพียงสองวัน

           
             
           ผมเดินจากมาเงียบ ๆ ทั้งคู่ยังไม่มีใครเห็นผม ผมเห็นแค่หลังพี่นิวกับผมสีน้ำตาลแดงของผู้ชายอีกคน

ในลักษณะที่ใบหน้าแนบสนิทชิดกัน คงไม่ต้องอธิบายว่า เขาสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่

           ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเพื่อนคนที่เขาพูดถึง จะไม่ใช่เพื่อนแบบธรรมดา แต่เป็นคนที่เขามีไว้แทนที่ผม






อ่านตอนนี้ แล้วอย่าเพิ่งทำร้ายพี่นิวของผมนะ รู้สึกตอนนี้จะน่วมไปทั้งตัวแล้ว 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-11-2012 21:09:09
ไม่ด่าพี่นิวค่ะ แต่จะด่านูนั่นแหละ เจ็บไม่เคยจำไม่คิดจะรักตัวเองหน่อยรึไงเหมือนจะดีขึ้นพอเค้ากลับมาคุยดีด้วยหน่อยนึงก็ละลายไปหมดเลยนะ

พี่นิวด้วยแคร์สังคมมากไม่ใช่รึไง?
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 15-11-2012 21:24:44
 o18  ไม่ต้องห่วงนะ  ไม่ทำร้ายหรอก  แต่ยากเฉือดเลยต่างหาก   แล้วก็ :beat: นิวซะทีสองที  ไม่จำเลยจริง ๆ  เฮ้อ

    แล้วถ้าเกิดไม่รีบมาต่อนะ   :z6:  (ก็ว่าไปงั้นอ่ะ  ไม่กล้าทำหรอก  มั้ง)

       จำได้ไหมที่นิวว่า  คนที่นี้ดุนะ  พ่อแม่พวกเค้าให้กินของหวานตั้งแต่เกิด  (   :serius2:  อืมว่าตัวเองเป็นกระต่ายทำไมหว่า)

               และก็ไม่ลืมที่จะ  +1  ให้นะ  จุ๊บจุ๊บ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 15-11-2012 21:32:32
เราว่าพี่นิวคงยังสับสนน่ะเหมือนว่ายังอยากเจออยากพบโลกอะไรใหม่ๆ ยังไม่รู้ตัวว่ามีเพชรในมือเลยมองข้ามไป
แต่ตอนนี้พี่แกคงรู้ตัวแล้วฮ่าๆ นี่ยังดีนะไม่ทำหลุดมือ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-11-2012 21:40:48
 :angry2:

เกือบจะลืม เรื่องราว ครั้งคราวก่อน
เกือบจะถอน ความทรงจำ ซ้ำใจฉัน
เกือบลืมว่า เคยบ้าบื้อ เพราะใครกัน
ความจริงเผย เขาขบขัน ฉันคิดเอง

เธอกลับมา อีกทำไม ใจลวงหลอก
อยากตอกย้ำ ให้ช้ำชอก ยิงตรงเผง
ขอถามเธอ อีกซักครั้ง ไม่ยั้งเกรง
ใจเส็งเคร็ง จะกลับมา อีกทำไม

..มีดปาดคอ..ทิ้ง
หึหึ

+1 ครับ นู
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 15-11-2012 21:45:02
อยากจะด่าพี่นิวมาก ทำยังงี้ได้ไง นูขอไว้เลยไม่พูดละกัน

มันอึดอัดในอกอะ ขอตอนใหม่ไฉไลกว่าเดิมนะ ไม่เอาแบบนี้ มันบีบหัวใจ :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 15-11-2012 21:46:28
เฮ้อ...อย่าโกรธน้องนะพี่นู ถ้าน้องจะบอกว่า น้องขยะแขยงพี่นิว แค่คิดก็ขนลุก ว่าพี่นูต้องทนรอพี่นิว ทั้งๆที่พี่นิวทำไว้เจ็บแสนสาหัส แถมยังมาเห็นภาพบาดตาขณะนี้ พี่นูมีพี่นิวแค่คนเดียวในชีวิต แต่พี่นิวนี้ซิ กับมีใครหลายคนเข้ามาให้เลือก เหมือนพี่นูเป็นของตายงั้นล่ะ เมื่อก่อนก็ไม่คิดไรหรอกนะ เข้าใจว่า กว่าคนเรากว่าจะมาเจอรักแท้หรือใช้ชีวิตคู่ บางคนอาจต้องพบเจอความรัก-คนรักมาแล้วหลายครั้งหลายคน แต่สำหรับพี่นิว ที่ทำให้น้องรู้สึกแบบนั้น เพราะพี่นูคือคนรักที่ดีมาก ยอมทุกอย่าง ยอมจนดูเหมือนคนโง่งม ค่อยตามคำสั่งคนที่คนรักอยู่เรื่อยๆ น้องคิดว่า ถ้าพี่นูได้เรียนที่ กทม. คงได้มองอะไรที่มันไกลกว่านี้ และคงได้ใช้ชีวิตหรือพบคนรักที่ใช่กว่านี้ เฮ้อ...น้องขอโทษจริงๆ อินไปหน่อย แต่ไงสุดท้ายเราพี่สองคนก็กลับมารักกันและอยู่ด้วยกันมาจนถึงปัจจุบัน น้องจะรอตอนต่อไป ที่พี่นิวบอกว่าพี่นิวได้ทำดีไว้ มาไถ่โทษสิ่งที่พี่นิวทำกลับพี่นู แต่บอกตรงๆ มันกัดกินหัวใจน้องไปแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 15-11-2012 21:54:34
ไม่ด่าพี่นิวค่ะ แต่จะด่านูนั่นแหละ เจ็บไม่เคยจำไม่คิดจะรักตัวเองหน่อยรึไงเหมือนจะดีขึ้นพอเค้ากลับมาคุยดีด้วยหน่อยนึงก็ละลายไปหมดเลยนะ

พี่นิวด้วยแคร์สังคมมากไม่ใช่รึไง?

เห็นด้วยกับรีนี้มากๆ ค่ะ นูเจ็บไม่รู้จักจำ ส่วนนิวจะเห็นแก่ตัวไปถึงไหน ถ้าเป็นพี่คงไม่ไปรับ ไม่ไปหา กระทั่งตายยังคิดดูก่อนเลยว่าจะไปเผาหรือเปล่า
ขอโทษนะคะถ้าพี่จะเม้นท์แรงไป แต่โดนทำขนาดนั้นพี่คงอภัยให้ไม่ได้ง่ายๆ หรอกค่ะ
ยิ่งเขาทำเหมือนเราเป็นของตายด้วยแล้ว ชาตินี้พี่คงลืมไม่ลงหรอก

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 15-11-2012 21:56:42
พี่นิวใจร้าย
ทำกับพี่นูได้ลงคอ  :o12: :sad4:
เดี๋ยวจะให้พี่นูลงโทษ 5555.  :oo1:
แล้วมาต่ออีกนะครับ จะคอยเป็นกำลังใจให้พี่นูครับ   :กอด1::L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-11-2012 22:09:46
โอ้ยยยยยยยยยยยย !!!!!! อีกแล้วนะพี่นิว !!!!!!!  :m16: :m16: :m16: :m16: :m16: :fire: :fire: :fire:

อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะพี่นู ซายน์ว่าพี่ "อึด" กับความร้ายกาจของพี่นิวมากเกินไปแล้วนะ !!!!!!!  o7 o7 o7 o7 o7

พี่นิวก็เหลือเกินจริงๆหลุดจากพี่พิมพ์ก็พาหนุ่มหัวแดงมาบ้านอีกแล้ว !!!!!!!  :z6: :z6: :z6: :z6: :m31: :m31: :m31: :m31:

พี่นิวคิดจะทำร้ายพี่นูไปถึงเมื่อไหร่ พี่นูก็เหมือนกันจะยอมพี่นิวไปถึงเมื่อไหร่กัน  :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

แต่ก็รักนี่เนอะ ความรักมักจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วนี่  :call: :call: :call: :call: :call:

รอคอยวันที่ความรักของพี่นูจะชนะใจพี่นิวอีกครั้ง !!!!!  :o11: :o11: :o11: :o11: :o11:

สู้ๆๆ ค่าพี่นู ในเมื่อเรารักอย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจ ยังไงเราก็ต้องมีความสุขในที่สุดอยู่แล้วคะ  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

สู้ๆคร๊าบบบบบบบบ..  o13 o13 o13 o13 o13

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: Patty-Tata ที่ 15-11-2012 22:18:26
แค่คำว่ารัก ความผูกพันธ์ ทำให้ นู ทนได้ขนาดนี้เลยเหรอ ความเจ็บซ้ำที่ได้รับ
ยังไม่เพียงพอสำหรับนูเหรอ ทำไมอะ

นูทนได้ยังไง  o13

ส่วน เจ้านิว หึหึ ระวังให้ดีเถอะ  :fire:  :fire:  :angry2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 15-11-2012 22:18:51
มันค้างอ่ะพี่นู
แบบค้างมากๆเลย
พี่นิวนะพี่นิว
ลิปสติกยังไม่เคลียร์เลย
นี่พาตัวเป็นๆมาให้พี่นูช้ำใจถึงในห้อง
อยากรู้จังทำความดีอะไรพี่นูถึงยกโทษให้
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-11-2012 22:44:51
http://www.youtube.com/v/oJBYfADgyvM

ตัวสำรอง
 :L3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 16-11-2012 00:26:34



          ผมตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเอกชนเล็ก ๆ พร้อมกับความรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ และเจ็บแสบที่ขากับแขนข้างซ้าย

ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเครื่องปรับอากาศที่ครางค่อนข้างดังเพราะความเก่าของมัน

          ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ใกล้ ๆ ผมตะแคงหน้าไปดู เห็นพี่นิวนั่งก้มหน้าคุยโทรศัพท์กับใครสักคนที่ปลายสาย

มีเสียงสะอื้นแผ่ว ๆ แว่วมาด้วย

          “มาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย....ผมไม่ดีเอง น้องเจ็บเพราะผม.....”

          ผมจับใจความได้บางตอน เพราะเสียงพูดไม่ดังมาก แต่ฟังจากการพูดคุยผมเดาว่าปลายสายคงเป็นคุณแม่

เพราะพี่นิวคงไม่พูดไปร้องไห้ไปกับคนอื่นนอกจากคุณแม่

           ผมหลับตาลงเมื่อพี่นิวปิดโทรศัพท์และขยับตัวตรง ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว (มารยาเนอะ)

          มือผมถูกกุมไว้ พอรู้สึกว่ามือของพี่นิวเย็น ๆ ผมถึงรู้ตัวว่าผมคงเป็นไข้ จึงค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ในวันนั้นออกมาว่า

ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวตั้งแต่ที่ทำงานแล้ว วันนั้นยังแวะซื้อยาพาราใส่กระเป๋าเสื้อมาด้วยสองแผง เพราะที่บ้านหมดพอดี

จากนั้นก็แวะซื้อกับข้าวก่อนจะตรงกลับบ้าน แล้วก็ได้ไปเห็นคนสองคนกำลังจูบกัน

           ภาพที่เห็นยังติดตาผมอยู่เลย ผมเกือบจะดึงมือออกมา ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังแกล้งหลับ

ก็คงจะกระชากด้วยซ้ำไปมั้ง.....ทำกับผมขนาดนั้นแล้ว เขายังจะมีหน้ามาจับมือผมไปจูบ แล้วร้องไห้ใส่ผมได้ยังไง

          น้ำหนักที่กดลงมาบนต้นแขนทำให้ผมรู้ว่าพี่นิวซบหน้าลงมา เสียงสะอื้นเบา ๆ บอกผมว่าเขากำลังร้องไห้....

แต่เพื่ออะไรกัน...แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

          พี่นิวเช็ดน้ำตาให้ผม เขาคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้หลับ แต่ผมก็ไม่อาจจะลืมตาขึ้นมามองหน้าเขาได้

          “พี่ขอโทษ”

          แทนที่คำนั้นจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น กลับทำให้ผมสะอื้นจนตัวโยน ผมดึงมือออกจากมือเขาจนได้

แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้….ผมไม่รู้ว่าคำขอโทษนั้นมันสำหรับอะไร

          คืนนั้นผมขี่รถออกมาพร้อมกับความเจ็บหนึบในหัวใจ น้ำตาของผมกับน้ำฝนไหลปนกันจนแยกไม่ออก

ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเพราะน้ำตา หรือเพราะน้ำฝนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ผมก็ยังมุ่งหน้ากลับบ้านของตัวเอง

และตั้งใจว่า ผมจะไม่กลับไปเหยียบที่บ้านนั้นอีก...บ้านที่มีแต่ความทรงจำที่เลวร้าย

บ้านที่มีผู้ชายใจร้ายคอยแต่จะทำให้หัวใจผมเจ็บช้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


          ......กลับมาทำไมก็ไม่รู้....

          คำถามนั้นเข้ามาในหัวผม ตอนที่มองกระจกหลังแล้วเห็นรถที่บ้านนั้นขับไล่หลังมา

ผมบิดคันเร่งเพิ่มความเร็วอย่างบ้าคลั่ง คิดเพียงว่า ผมไม่อยากเห็นผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว

ผมอยากไปให้ไกล ไปให้พ้นจากผู้ชายคนนี้...

           แต่สุดท้ายก็ไปไม่พ้น ต้องมานอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเล็ก ๆ นอนฟังคำขอโทษที่ไม่อยากได้ยิน


          จำได้ลาง ๆว่าเห็นหลุมที่มีน้ำขังอยู่ข้างหน้า จะหลบก็ไม่ทัน ถนนก็ทั้งมืดทั้งเปลี่ยว รถผมตกลงไปในหลุมอย่างแรง

แล้วมันก็ล้มตะแคงข้างซ้าย แสงจ้าของไฟหน้ารถสาดตรงมาจนตาพร่า ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังลั่นไปหมด

แล้วผมก็ไม่รู้อะไรอีกเลย

          พี่นิวพาผมส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เป็นโรงพยาบาลเอกชนเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนไข้มากนัก

เจ้าของเป็นคุณลุงหมอวัยเกษียณ พอเห็นนามสกุลของพี่นิวก็เลยถามถึงคุณพ่อ ถึงได้รู้ว่าเป็นเพื่อนกัน

เราเลยได้รับความสะดวกขึ้นมาก วันที่คุณแม่มาตามคำขอของลูกชาย เป็นวันที่สามที่ผมนอนรักษาตัวอยู่ที่นี่

          คุณแม่มาถึงก็บ่นว่าพี่นิวไปหลายคำ แต่ไม่มีใครพูดถึงบุคคลที่สามที่เป็นต้นเหตุ

ให้ผมเอารถออกมาประสบอุบัติเหตุในคืนนั้น ผมมารู้ทีหลังอีกนั่นแหละว่า เดฟบินกลับบ้านเขาในวันรุ่งขึ้นทันที

โดยไม่ได้เที่ยวทะเลอย่างที่ตั้งใจ

          ในวันเดียวกัน พ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมผม ส่วนคุณแม่ก็ได้แต่กล่าวคำขอโทษที่รับปากจะดูแลผมให้ดี

แล้วทำไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่า เรื่องทั้งหมดมีสาเหตุมาจากอะไร ผมว่าก็ดีเหมือนกัน

เพราะถ้าพูดขึ้นมาก็คงไม่ดีกับทุกฝ่าย มิหนำซ้ำจะกลายเป็นปมขึ้นมาอีกว่า

ระหว่างผมกับพี่นิวมีเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรกัน

          แต่ด้วยความเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกมากับมือย่อมต้องรู้จักนิสัยลูกดี แม่ผมก็เช่นกัน

พอพ่อเดินออกไปคุยกับคุณแม่ข้างนอกห้อง แม่ก็ถามว่า ทะเลาะกับพี่นิวหรือเปล่า

เท่านั้นเอง ทำนบน้ำตาของผมก็พังทลาย ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ร้องไห้กับอกแม่

เมื่อแม่โน้มตัวลงมากอดและลูบหัวเบา ๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นลูกเล็ก ๆของแม่อีกครั้ง

แม่ที่เป็นแค่แม่บ้าน เป็นแม่ค้าในตลาด มีความรู้แค่เพียงอ่านออกเขียนได้

แต่ความรัก ความเข้าใจ ที่ได้ส่งผ่านความอบอุ่นมาสู่หัวใจผมช่างยิ่งใหญ่

และสูงค่าเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดใด ๆ

          ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดให้แม่ฟัง บอกแค่ว่า เราผิดใจกันนิดหน่อย ผมก็เลยหนีกลับบ้าน

แล้วมาประสบอุบัติเหตุ แม่จูบหน้าผากแล้วบอกว่า ถ้าไม่เข้าใจกันก็ควรจะคุยกันดี ๆ อย่าหนีปัญหาแบบนี้อีก

ผมได้แต่ค้านในใจว่า ผมไม่ผิด และถ้าพี่นิวไม่แคร์ผม ผมก็จะถือว่าเราจบกันแค่นี้

          แม่นอนเฝ้าไข้ผมอยู่คืนหนึ่ง ทำให้พี่นิวพ้นไปจากสายตาผมได้ชั่วคราว ผมคิดว่าเขากลับไปบ้านเสียอีก

ที่ไหนได้ ตอนที่เขาโผล่เข้ามารับแม่ไปส่งบ้านตอนเช้า ผมถึงได้รู้ว่าเขานอนอยู่ห้องผู้ป่วยข้าง ๆ ที่ยังว่างอยู่

โดยยอมจ่ายค่าห้องตามอัตรา

          (เป็นโรงพยาบาลที่ไม่มีกฎระเบียบเอาซะเลยในความคิดของผม เพราะนี่มันโรงพยาบาลรักษาคนป่วย

ไม่ใช่โรงพยาบาลโรคจิต ปล่อยให้นอนได้ไงไม่รู้....เห็นแก่เงินชะมัด.....ตอนนั้นผมคิดอย่างนี้ในใจจริง ๆนะ)

          ตกบ่ายผมก็ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน...แน่นอน....ไม่ใช่บ้านผม ด้วยเหตุผลว่า

ที่นั่นไม่มีคนดูแล แต่ที่บ้านพี่นิว คนเพียบ




              ผมกลับมาอยู่บ้านแล้ว พี่นิวก็ตื่นแต่เช้าทุกวัน เพื่อจะมาดูแลคนป่วย

ความจริงเขาก็ทำแบบเดียวกับตอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ แต่ตอนนั้นผมมีพยาบาลคอยทำทุกอย่างให้

ผมก็เลยไม่สนใจเขาเลย แต่พอกลับบ้าน ถึงจะมีป้า มีพี่นาง แต่ทั้งคู่มีงานของตัวเอง ผมก็เลยไม่มีทางเลือก

          เพราะว่าแผลยังสด หมอสั่งไม่ให้โดนน้ำ ผมเลยต้องเช็ดตัวแทน ตอนแรกก็ทำเองอะไรเอง

แต่มันไม่ถนัด เจ็บแผลไม่เท่าไร แต่ให้ทำความสะอาดตัวเองด้วยการเช็ดตัวคงไม่ทั่วถึงหรอก

มันเลยช่วยไม่ได้ที่พี่นิวจะต้องเป็นคนทำให้

          เขาจะย้ายมานอนห้องผม อ้างว่าจะได้ดูแลผมได้สะดวก แต่จะให้ผมอยู่กับเขาตลอดทั้งวันทั้งคืนได้ยังไง

หน้าเขาผมยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ ดังนั้นพอเช้าขึ้นมาพี่นิวก็จะรีบมาเช็ดตัวให้ผม ทำแผล

รวมไปถึงดูแลเรื่องอาหารกับยาให้ผมด้วย มาขลุกอยู่ในห้องกับผมทั้งวัน พอผมหลับเขาก็กลับห้องของตัวเอง

          แต่ต่อให้เขาทำทุกอย่าง มันก็ไม่มีความหมายสำหรับผมอยู่ดี

          ผมพักอยู่อาทิตย์กว่า ๆ ก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม รถยังซ่อมไม่เสร็จ

พี่นิวก็เลยเป็นคนไปรับไปส่งที่ทำงานทุกวัน ประกอบกับเขายังไม่ได้เข้าไปรับงานที่บริษัทอย่างเต็มตัว

ก็เลยมีเวลาเทคแคร์ผม

          ทั้ง ๆ ที่ เรามีเวลาใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ผมกลับพยายามที่จะถ่างความสัมพันธ์ของเราให้ห่างออก

บทเรียนสด ๆ ร้อน ๆ ที่เพิ่งจะได้รับ ทำให้ผมเข็ดและหวาดกลัวกับความเจ็บปวด

เพราะมันรุนแรง และหนักหนาเกินกว่าผมจะรับไหว

          สุดท้ายพี่นิวก็เป็นฝ่ายทนอึดอัดไม่ได้ หลังเลิกงานเขาไปรับผมที่ทำงานอย่างเคย

แล้วเขาก็พูดขึ้นมาระหว่างทางกลับบ้าน

          “เมื่อไหร่นูจะพูดกับพี่บ้าง”

          ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดูการจราจรคับคั่งในยามเย็นที่น่าเบื่อหน่าย

แล้วจู่ ๆ พี่นิวก็เปลี่ยนเลนเข้าไปชิดขวาเพื่อจะเลี้ยวรถกลับที่ยูเทิร์นถัดไป

           “สองอาทิตย์แล้วนะ รู้ไหมว่าพี่อึดอัด”

           ...............

         “พูดอะไรออกมามั่งได้ไหม อย่าเงียบอย่างนี้เลย จะด่าจะว่าพี่ยังไงก็ได้ พี่ยอมทุกอย่างแล้ว

แต่นูอย่าทำกับพี่อย่างนี้ได้ไหม”

          ...............

         ผมเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียงให้มันกลบเสียงที่ผมไม่อยากได้ยิน จากนั้นทั้งรถก็มีแค่เสียงเพลง

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่นิวเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านเป็นทะเล คงหวังจะเอาใจผมมั้ง

           ถึงที่หมายตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกพอดี ทะเลยามที่แดดสีส้มจัดส่องสะท้อนผืนน้ำ

ทำให้แผ่นฟ้าที่อยู่เหนือทะเลเป็นสีครามสด ถ้าจะเรียกว่าเป็นการเอาใจก็นับว่ามันได้ผล

ก็ตอนที่เจ็บอยู่จะออกไปไหนก็ไม่ได้ พอได้มายืนสูดไอทะเลแบบนี้

อากาศสด ๆ มันก็ช่วยขับไล่ความเครียดออกไปจากสมองได้เยอะอยู่

           เราสองคนยืนอยู่ริมทะเล ตรงที่ไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไร ผมเหลือแต่เท้าเปล่าเดินลุยน้ำทะเลที่มีคลื่นลูกเล็ก ๆ ซบหาด

เปลือกหอยแหลก ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ผมก็ย่ำไปบนทรายด้วยความรู้สึกโหยหา

นานเหลือเกินที่ไม่ได้มาเดินเล่นแบบนี้ ผมเพลินจนลืมไปว่ามีอีกคนยืนอยู่ใกล้ ๆ

จนกระทั่งได้ยินเสียงพูด

           “สบายใจขึ้นบ้างหรือยังครับ”

            .................

         “ไม่ถามพี่เหรอว่า มันเกิดอะไรขึ้น”

         ผมนิ่งไปอึดใจกับคำถามเปิดทาง ถามตัวเองอย่างรวดเร็วว่า เราอยากรู้ไหม....ผมตอบตัวเองว่าอยาก แต่.....

รู้แล้วจะได้อะไร ถ้าคำตอบที่ได้เป็นสิ่งที่ผมเห็นอยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับปริมาณความเจ็บปวดที่ผมมีอยู่

อย่างมากผมก็ได้รู้ที่มาที่ไปเพิ่มเติมว่า คน ๆ นั้นเป็นใคร คบกันมานานแค่ไหน และ....

ผมควรจะหาที่ยืนของตัวเองใหม่ได้หรือยัง


           ผมตัดสินใจที่จะไม่ถาม ถ้าพี่นิวอยากบอกก็ให้เขาบอกมาเอง

ถ้า....สิ่งที่เขาบอกมันทำให้ผมต้องเจ็บปวดมากไปกว่าเดิม ผมจะได้โทษเขาได้เต็ม ๆปาก

และผมจะทำให้เขารู้สึกผิดกับทุกสิ่งที่เขาทำกับผม



           ผมอยากให้ความรู้สึกผิดนี้มันติดค้างอยู่ในใจเขาไปจนกว่าเขาจะตาย


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Windyne ที่ 16-11-2012 00:42:47
เฮ้อ! อ่านแล้วถอนหายใจไปหลายเฮือกละค่ะ 
ทำไมคุณนิวทำอะไรแต่ละอย่างในตอนนั้นเห็นแก่ตัวจังเลย

รอตามต่อว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 16-11-2012 01:41:22
แอบคิดว่าที่นูเห็นอาจจะเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า :o12:
เพราะที่พี่นิวบอกนูว่า          “ไม่ถามพี่เหรอว่า มันเกิดอะไรขึ้น”
มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นรึเปล่า :really2:

คือ ไม่รู้นะว่านูจะเป็นคนดีขนาดไหนนะ
แต่เราแอบคิดว่า ถ้าคนที่ทิ้งเราไปด้วยข้ออ้างที่ว่า
อยู่กับผู้ชายด้วยกันไม่ได้เพราะต้องมีสังคมอยู่
แล้วนูมาเห็นแบบนี้ต่อให้ดีเเค่ไหนก็ไม่น่าให้อภัยคนที่ทิ้งเราไปแล้วไปมีผู้ชายคนใหม่ได้หรอก
คือมีผู้หญิงยังพอทำใจได้มากกว่ารึเปล่า  :impress3:

มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ยังรอพี่นิวคนที่ทำดี อย่างที่นูบอกไว้นะคะ
ไม่รู้จะได้อ่านเมื่อไร่ เเต่หวังว่าคงไม่นานนะที่จะได้เห็นพี่นิวคนดี :เฮ้อ:
นูเป็นขนาดนี้เเล้ว พี่นิวคงคิดอะไรได้บ้าง ถ้ายังรักนูอยู่จริงๆ :monkeysad:

รอลุ้นค่ะ ตอนนี้นูคงมีความสุขกับพี่นิวแล้ว
แต่ก็อยากเห็นพี่นิวง้ออยู่ดี เมื่อตอนที่พี่นิวง้อ
หวังว่านูคงไม่ให้อภัยง่ายๆแบบเดิม  :sad4:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 16-11-2012 06:11:13
โหยพี่นิวเอาอีกแล้ว
ตอนนี้ทำพี่นูเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจเลยนะ
ใจร้ายมากๆ
สมควรแล้วล่ะที่พี่นูไม่ใจอ่อนง่ายๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 16-11-2012 07:13:22
แล้วคนนั้นอะไรยังไง ยังไม่เคลียร์นะพี่นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 16-11-2012 07:20:40
ค้างค่ะ ไม่รู้จะบรรยายอย่าไรในความรู้ถึงตอนนี้ มันหดหู่ใจมาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 16-11-2012 07:39:41
 :m16:    ค้างมากมายมารอตอนต่อไปไป  ด้วยใจจะขาด   :z3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 16-11-2012 07:51:19
ตัดนิวออกจากวงโคจรไปเลย
ที่เลิกคบก็เพราะนูเป็นผชไม่ใช่หรอแล้วฝรั่งหัวแดงนั่นใครล่ะ
นูก็ใจอ่อนเกินไปต้องให้เห็นกับตารึไง...เจ็บแล้วเจ็บอีก  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 16-11-2012 08:36:34
เราเชื่อว่าพี่นิวรักนูแต่น้อยกว่ารักตัวเอง เราก็รู้ว่านูรักพี่นิวมากไม่งั้นคงไม่เจ็บซ้ำได้แต่หวังว่าคงไม่ให้อภัยพี่นิวง่าย ๆ อีกเพราะไม่งั้นจะเท่ากับว่านูรักแต่คนอื่นไม่รักตัวเองเลย ไม่รู้จักระมัดระวังหัวใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 16-11-2012 12:19:27
พี่นิวยังสับสน คงยังไม่แน่ใจ ในเรื่องของน้องนู
บอกคุณแม่ตีพี่นิวเลย ที่ทำให้น้องนูต้องเข้าโรงพยาบาล เสียโฉมหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 16-11-2012 12:58:53
โด่ว'พี่นูไปคบพี่เนย์ดีกว่า ฮ่าๆ
พีนิวชอบทำร้ายจิตใจทิ้งไปตั้งหลายปีแล้วจะกลับมาทำไม? -_-  (เค้าอินน่ะตัว)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 16-11-2012 12:59:49
ที่อ่านมาทั้งหมดพี่ชอบตอนล่าสุดนี่ล่ะค่ะ ไม่ใช่ว่าตอนอื่นเขียนไม่ดีนะ
แต่ที่ชอบตอนนี้เพราะนูได้เรียนรู้กับความเจ็บปวดนั้นและยุติบทบาทที่จะต้องเป็นคนรอแล้ว

อย่าให้อภัยง่ายๆ นะคะ ตอนเราเจ็บ เราทุกข์ใจแทบตายทั้งๆ ที่เขาเป็นต้นเหตุ
เขาเคยคิดถึงเราบ้างหรือเปล่าว่าเราจะอยู่ยังไง ชีวิตในแต่ละวันของเราเลวร้ายแค่ไหน
พอมาตอนนี้มาขอโทษ ขอให้เราอภัยให้ง่ายๆ มันง่ายไปหรือเปล่ากับเวลาเป็นปีๆ ที่นูต้องทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว
ถ้าพี่เป็นนู ขอโทษทั้งชีวิตพี่ก็ไม่ให้อภัยค่ะ


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 16-11-2012 16:28:36
แอบคิดเหมือนกันนะเนี้ยว่า.. เรื่อง ผช.หัวแดงคนนั้นเป็นการเข้าใจผิดกันป่าว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

แต่ถึงยังไงตอนนี้พี่นิวก็ยังไม่เคลียร์อยู่ดี  :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

รอบนี้พี่นูคงต้องแข็งใจไว้นะ ให้พี่นิวได้สำนึกซะก่อนแล้วค่อยยอมคืนดีด้วย :teach: :teach: :teach: :teach: :teach:

แต่ยังไงก็จะรอเวลาที่พี่นิวกลับตัว กลับใจเป็นพี่นิวคนดี(เหรอ)เหมือนเดิม  :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:

และซายน์ก็ไม่ลืมที่จะบอกว่า พี่นู สู้ๆคร๊าบบบบบบบบบบบ..  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 16-11-2012 17:08:33
เข้าใจนะ....
คนเราเจ็บ...จนพูดไม่ออก มันเป็นแบบไหน?
รู้ไปก็เท่านั้น....สู้มองสิ่งที่มีจะดีกว่า

การยอมรับเป็นสิ่งสำคัญ.......

รอคอยตอนต่อไปจ้า!!!!!!!
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: mengsama ที่ 16-11-2012 19:10:06
พี่นิวนี่โชคดีจังคะ มีคนที่รักพี่มากมายแบบคุณนู ทั้งๆที่พี่นิวเลว =_=
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 16-11-2012 20:55:53
พี่นิวนี่โชคดีจังคะ มีคนที่รักพี่มากมายแบบคุณนู ทั้งๆที่พี่นิวเลว =_=

 o13 o13 o13 เห็นด้วยที่สุด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 16-11-2012 21:44:28
ชอบประโยคนี้

  ผมอยากให้ความรู้สึกผิดนี้มันติดค้างอยู่ในใจเขาไปจนกว่าเขาจะตาย

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 16.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-11-2012 21:49:04
 :fire:
set me fire!

การกระทำ กับคำพูด สุดเปรียบเทียบ
เอาตรีนเหยียบ แล้วลูบหน้า มีค่าไหม
คำแก้ตัว มีอยู่คู่ คนจัญไร
พูดเรื่อยไป ให้ดูดี มีราคา

เชื่อในสิ่ง ที่ตาเห็น และเป็นอยู่
กล่าวอ้างหรู ยากจะเชื่อ เบื่อนักหนา
เด็กเลี้ยงแกะ พูดเท็จหลุด สุดระอา
เกินเยียวยา ถ้าให้เชื่อ เหลือทานทน

 :really2: รู้สึกเมา..กับความรวนเร ของ"พี่นิว" จริงนะ

 :กอด1: ถึงเค้าจะไม่รัก..แต่คนอ่านก็รัก "นู"
จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-11-2012 15:45:24



 ผมไม่ตอบเม้นท์จะได้มั้ยครับ ไม่อยากทำลายจินตนาการของคนอ่าน

อ่านไปเรื่อย ๆ คงเข้าใจได้เองว่า ที่จริงผมมันก็งี่เง่าไม่ใช่น้อยเหมือนกัน     :z3:


ช่วงไหนว่างผมก็จะลงติดต่อกันไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีตารางเวลาที่แน่นอนนะครับ

ปลายปีแล้วต้องเร่งทำผลงาน โดยเฉพาะ เมื่อพฤหัสที่ผ่านมา

ผู้การย้ำมาแล้วว่า ตัวเลขไม่สวย ขอให้ขยันหน่อย  เดือนหน้าก็อาจจะไม่ค่อยมีเวลา (อีกแล้ว)









“เดฟเป็นเพื่อนของเพื่อนพิมที่โน่น ตอนแรกเราไปอยู่บ้านของเดฟ ก่อนจะได้ที่พักของเราเอง”

พี่นิวเริ่มเล่าเรื่องของเขาที่ผมเคยอยากรู้....เรา....ก็คงหมายถึง พี่นิวกับพี่พิมสินะ

“ค่าใช้จ่ายที่โน่นค่อนข้างสูง เราเลยตกลงที่จะแชร์กันอยู่ในอพาร์ทเมนท์ขนาดสองห้องนอน

พิมอยู่กับแฟนเขาที่ไปเรียนด้วยกัน...”


....แฟนพี่พิม?....ผมชะงักไม้เล็ก ๆในมือที่กำลังขีดเขียนเส้นอิสระลงไปบนทรายเปียก


“แต่พี่อยู่คนเดียว”


....นายเดฟก็เลยมีโอกาสเข้ามาตอนนี้สินะ....


"กลุ่มของเพื่อนพิมค่อนข้างใหญ่ เพราะไปเรียนอยู่นานแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นแฟนของเดฟ”

ผมสับสนกับสิ่งที่ได้ยินจากปากพี่นิว จับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งหมดตรงกันข้ามกับที่ผมเคยคิดไว้

“เขาบอกว่าอยากมาเที่ยวเมืองไทย พี่ยังนึกว่าเขาจะมาพร้อมแฟนเขาซะอีก”

“แฟนเดฟเป็นผู้หญิงเหรอครับ”

“ใช่”

“แล้วที่ผมเห็น....”

“พี่คิดไว้แล้วว่านูคงเห็น แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ พี่ไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ที่จริงพี่กำลังจะลงมาข้างล่าง

ตอนที่ได้ยินเสียงรถนูเข้าบ้านมา แต่เดฟเขาเข้าถึงตัวซะก่อน”

ผมกำลังไตร่ตรองว่า ที่พี่นิวพูดมันคือคำแก้ตัวหรือว่าความจริง เพราะเดฟไม่อยู่ให้ปากคำด้วย เขาจะพูดยังไงก็ย่อมได้

“พี่ไม่เคยคิดอะไรกับเขา ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าเขาจะเป็นแบบนี้ เพื่อนของเพื่อนพิมมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ทอม ดี้ แต่ไม่มีเกย์”

พี่นิวถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ

“พิมเองก็เป็นทอม”

ผมเหลือบตาขึ้นมองพี่นิว เมื่อกี้ผมว่าตัวเองสับสนแล้ว แต่ตอนนี้ผมงงหนักกว่าเก่า อย่างกับโดนค้อนอันใหญ่ ๆทุบหัว

“แฟนพิมเป็นรุ่นพี่ที่จบไปก่อนปีหนึ่ง เขารอที่จะไปเรียนต่อพร้อมกัน”

“พี่นิวรู้มาก่อนไหมครับ ว่าพี่พิมเป็นทอม”

ผมฝืนถามออกไปเสียงเรียบทั้งที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วที่ผมเห็นล่ะ ไหนจะอัลบั้มรูป ทั้งหมดมันคืออะไร

“รู้”

“แล้ว....มันยังไง.....”

“ครอบครัวพิมไม่เหมือนบ้านเรา เขารับไม่ได้กับความสัมพันธ์แบบนั้น พี่กับพิมคบกันเป็นเพื่อนเฉย ๆ

สำหรับพิมอาจจะอาศัยพี่บังหน้า ไม่ให้ที่บ้านรู้ แต่สำหรับพี่....พี่ใช้พิมกันตัวเองออกจากสิ่งที่พี่เป็นอยู่”

“หมายความว่ายังไงครับ”

ผมคิดว่าผมเข้าใจที่พี่นิวพูด แต่ก็อยากได้คำอธิบายมากกว่านี้

“ก็อย่างที่พี่เขียนทิ้งไว้ในจดหมาย”

พี่นิวนั่งก้มหน้าลงกับผืนทราย คล้าย ๆ กับเขาจะไม่กล้าสู้สายตาผม ที่กำลังจ้องเขาอย่างสนใจใคร่รู้

“พ่อกับแม่ยอมรับได้เพราะพี่เป็นลูก แต่นูก็รู้นี่ว่า ญาติคนอื่น ๆ ยังไม่มีใครรู้เรื่องเราเลย

แม้แต่พ่อแม่นู เราก็ยังไม่เคยบอก....แล้วต่อไปข้างหน้า เราจะอยู่กันยังไง”

“พี่เองก็เป็นลูกคนเดียว นูคงรู้ว่าปู่กับย่าคาดหวังอะไรในตัวพี่บ้าง”

ผมรู้ดีทีเดียวล่ะ แต่เขาก็อยู่ที่นู่น เราอยู่ของเราที่นี่....อย่างที่เคยเป็นมา

“ลุงเป็นแค่ลูกบุญธรรม พี่หนึ่งกับพี่น้ำ อย่างมากก็ได้ตำแหน่งผู้บริหาร แต่ทุกคนรู้ว่าเมื่อไรที่พ่อลงจากเก้าอี้ประธาน

พี่ก็ต้องทำแทน ป่านนี้เขาอาจจะกำลังเตรียมทำอะไรกันบ้างแล้วก็ได้ เดือนหน้าพี่ก็จะเริ่มงานแล้ว

อยู่ตรงนี้ไปไม่กี่ปี พี่ก็ต้องไปอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ไปเรียนงานจากพ่อ ถึงตอนนั้น เราจะทำยังไง”

ผมจะตามพี่นิวไปที่โน่นได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

“ที่พูดมาทั้งหมด พี่นิวหมายความว่า เราควรจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ใช่ไหมครับ”

“พี่เคยคิดอย่างนั้น”

คราวนี้พี่นิวเงยหน้าขึ้นมองตอบผม แสงสะท้อนจากสปอตไลท์เสาสูง สาดกระทบมา

ทำให้ผมเห็นแววตาที่มีหยาดน้ำคลออยู่

“พี่ถึงได้ไปพร้อมพิมไง ทั้งที่ไม่เคยนึกอยากไปคนเดียวเลย พี่เคยคิดว่าถ้าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ

พี่จะรอนูเรียนจบก่อน แล้วเราจะไปพร้อมกัน”

คราวนี้เป็นผมที่น้ำตาคลอบ้าง หลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ เรื่องราว ที่ผมอยากรู้ แต่พี่นิวไม่เคยพูด

ด้วยนิสัยที่เป็นคนชอบเก็บงำความคิด ความรู้สึก พอถึงเวลาที่เขาคิดว่าเหมาะสมเขาถึงจะบอก

อย่างเรื่องที่จะรอไปเรียนต่อพร้อมผม ถ้าเขาบอกผมสักคำ ผมก็คงจะบอกว่า ผมไม่มีโครงการไปเรียนต่อที่ไหน

นอกจากที่แผ่นดินเกิด เพราะมีกำลังแค่นั้น ถึงแม้คุณแม่เคยเอ่ยปากว่าจะส่งให้ผมเรียนเมืองนอกเหมือนพี่นิว

ผมก็คงไม่กล้ารับไว้อยู่ดี

“แล้วทำไมพี่นิวถึงเปลี่ยนใจ”

“นูเคยคิดจะเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพใช่ไหม....พี่เองที่ไม่อยากให้นูไป เพราะถ้าเราอยู่ด้วยกันแบบนั้น

สักวันเพื่อน ๆ ของพี่ก็คงรู้ว่าเรามีความสัมพันธ์อย่างอื่น....พี่ให้พวกนั้นรู้ไม่ได้ พวกนั้นเกลียดเกย์

ที่พี่ต้องอาศัยพิมก็เพราะแบบนี้ พี่ขอโทษ....”

พี่นิวกอดเข่าซบหน้าลงสะอื้นเบา ๆ ผมเองก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลอาบหน้า

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเข้าใจ”

เราต่างปล่อยให้ตัวเองเสียน้ำตากับตัวตนของเราที่แก้ไขไม่ได้

ผมไม่อาจปฏิเสธว่า แม้บางครั้งผมจะหวาดกลัวกับการเปิดเผยมันให้คนรอบข้างได้รู้

แต่ผมก็มีความสุข ที่ได้รัก ได้อยู่กับเขา

เมื่อวานเขาอาจจะทำร้ายผม ด้วยการเลือกทางเดินที่ไม่มี  “เรา”

แต่ผมได้รู้แล้วว่า  ความจริงเขาเองก็หวาดกลัวในสิ่งเดียวกัน

มันช่วยไม่ได้ถ้าเขาอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในโลกใบใหม่

ที่เขาไม่ต้องปิดบัง “คู่รัก” และพร้อมจะแนะนำให้ใครต่อใครได้รู้จัก


วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นกับการที่ได้รู้ว่าพี่นิวรู้สึกยังไงกับเรื่องของเรา คิดอะไรอยู่ และอยากทำอะไรต่อไป

แต่ไม่ว่าอดีตเขาจะทำให้ผมเสียใจแค่ไหน และอนาคตของเขาจะไม่มีผม
 
แต่ผมก็ดีใจที่เขารักผมทั้งที่ผ่านมาและขณะนี้  ส่วนอนาคต.....ถึงผมไม่ได้อยู่รับรู้มันอีกก็คงไม่เป็นไร

“ผมจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเลยแล้วกันครับ”

................

“ผมคงทนเห็นพี่นิวมี....แฟนไม่ได้ กลับไปอยู่บ้าน....จะได้ไม่ต้องเห็นกันอีก”

................

“พี่นิวไม่ต้องห่วงนะครับ จะไม่มีใครรู้...เรื่องของเรา ผมจะไม่มีใครใหม่....”

ที่จริงแล้วผมมีใครอื่นอีกไม่ได้ต่างหาก อย่างแรก....ผมไม่คิดว่าตัวเองจะรักใครได้อย่างที่รักเขา

อย่างที่สองผมไม่เคยนึกรักผู้หญิงคนไหน คนใหม่ของผมก็คงหนีไม่พ้นผู้ชายอีก

ถึงตอนนั้น ถ้าผมยังปิดบังอยู่มันก็คงทุกข์ใจไม่ต่างจากนี้

และถ้าผมทะลึ่งเปิดเผยวันไหน เรื่องของผมกับพี่นิวก็คงถูกเปิดเผยเหมือนกัน....และนี่เป็นเรื่องที่ผมคงยอมไม่ได้



คนตัวโต ๆ เวลาร้องไห้เหมือนจะตัวเล็กลง ผมขยับเข้าไปใกล้พี่นิวแล้วโอบกอดเขาไว้

ผมไม่เคยเห็นพี่นิวอ่อนแอขนาดนี้ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขาเก็บความรู้สึกนั้นไว้เสียมิดชิดและคงเป็นทุกข์กับมันไม่น้อยเลย

ระยะเวลาสองปีที่เราห่างกัน ผมคิดว่าตัวเองถูกทำร้ายและทุกข์ใจอยู่คนเดียว

แต่ความจริงพี่นิวเองก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย

ที่แย่ไปกว่านั้น เขาทำร้ายทั้งตัวเอง และคนที่เขารัก นั่นก็คือผม



เราเดินกลับมาขึ้นรถกลับบ้าน คำพูดต่าง ๆ ที่คุยกันถูกเก็บมาใส่ใจ ต่างคนก็คงเก็บไปคิด

อย่างน้อยก็ตลอดทั้งคืน และอาจจะไม่มีใครได้นอน

   พี่นิวเสียบกุญแจค้างไว้แต่ยังไม่สตาร์ทรถ แล้วเขาก็พูดขึ้น พร้อมกับเอื้อมมายึดมือผมไปกุม
   
   “พี่ไม่ให้นูไปไหนทั้งนั้น”

   .....แล้วจะให้ผมทนอยู่ร่วมบ้านเพื่อ....

   “พี่ตัดสินใจแล้ว เราจะอยู่กันอย่างเดิมนะ”

   “พี่นิวคิดดีแล้วเหรอครับ”

   “พี่ไม่คิดแล้ว....ช่างมัน”

   “แล้วเพื่อน ๆ พี่ล่ะครับ”

   “เรียนจบแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น คงไม่ได้เจอกันหรอกถ้าไม่ได้นัดกัน”

   “แล้วที่เคยบอกผมว่า จะทำอะไรด้วยกันหลังเรียนจบล่ะครับ”

   “ไม่ทำแล้ว พ่อจะให้พี่มาทำงานที่นี่ไง แต่พวกนั้นมันจะลงขันกันทำออกะไนซ์ จัดอีเว้นท์

งานพวกนั้น บ้านเรายังไม่กว้างพอก็ต้องอยู่กรุงเทพ เป็นหุ้นส่วนแต่ไม่ได้เข้าไปทำมันเหมือนเอาเปรียบ

พี่เลยถอนตัว พอพี่ไม่ทำ คนอื่นก็ไม่เอาด้วย ต่างคนต่างกลับบ้านกันไปแล้ว”

   ผมไม่แน่ใจว่าเขาตัดสินใจแบบฉับพลันทันที หรือว่า คิดล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่า เราจะกลับมาเหมือนเดิม

แต่ที่แน่ ๆ พี่นิวเองก็คงสับสนไม่น้อยไปกว่าผมหรอก

   “ผมว่า ผมกลับไปอยู่บ้านก่อนดีกว่า เอาไว้พี่นิวแน่ใจจริง ๆ แล้วเราค่อยกลับมาคุยกันอีกที ดีไหมครับ”

   “พี่แน่ใจ”

   “แต่ผมไม่แน่ใจ”

   “นู...”

   “ผมก็ยังเหมือนเดิมนะครับ พี่นิวแน่ใจเมื่อไรก็บอกผม แต่อย่าพูดว่าเดี๋ยวนี้ เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้

พี่นิวเพิ่งจะบอกผมว่า ชีวิตพี่ต้องเป็นไปยังไงมันถึงจะถูกที่ถูกทาง แล้วอยู่ ๆ ก็บอกว่าอยากให้เรากลับมาเหมือนเดิม

มันเร็วเกินไปที่จะทำให้ผมมั่นใจว่า นี่จะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้าย”

   “แต่พี่มั่นใจนะ”

   “พี่นิวมั่นใจทั้งที่เพิ่งจะบอกผมว่า ต่อไปพี่นิวจะต้องเป็นหลักของตระกูลน่ะเหรอครับ

แล้วผมล่ะ จะได้อยู่ข้าง ๆ พี่นิวต่อไปไหมถ้าวันนั้นมาถึง”

   “ถ้าพี่สัญญาล่ะว่า เราจะไม่แยกจากกันอีก นูจะอยู่กับพี่ไหม”



   
       ในที่สุดผมก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านจนได้

“พี่ให้ไปค้างแค่สองสามวันนะ แล้วรีบกลับมา รู้ไหม”

ครับ....ผมใจอ่อนอีกแล้ว ที่ยอมกลับมาอยู่ร่วมชายคาต่อไป

เพราะรักคำเดียวที่ทำให้ผมยอมวางหัวใจทั้งหมดลงในอุ้งมือของคนที่ผมรัก

กระเป๋าแรมคืนใบเล็กมีเสื้อผ้าแค่สองสามชุดถูกจัดอย่างรีบร้อน เพราะแม่โทรมาบอกว่าพ่อไม่ค่อยสบาย

 พี่ชายไปบ้านพี่สะใภ้ที่ต่างจังหวัดยังไม่กลับ จะปิดร้านขายของก็ไม่ได้

แม่ต้องยอมทิ้งร้านให้ลูกจ้างจัดการกันเอง ผมก็เลยต้องไปเฝ้าร้าน ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรได้บ้าง

“พี่ไปนั่งที่ร้านด้วยดีไหม”

พี่นิวคว้าเอวผมมานั่งตัก หลังจากที่ผมจัดกระเป๋าเสร็จแล้ววางไว้ที่ปลายเตียง

“อย่านะครับ”

ผมไม่ไว้ใจทั้งตัวเอง ทั้งพี่นิว เดี๋ยวเผลอทำอะไรออกนอกหน้าให้ลูกจ้างเห็นจะกลายเป็นขี้ปากให้เอาไปพูดต่อ ๆ กันได้

อีกอย่างพี่นิวคงไม่ชินกับร้านค้าในตลาดแบบนั้นหรอก ผมเองถึงจะไม่ค่อยได้อยู่แต่ก็ยังคุ้นเคยกับงานพวกนี้บ้าง

ไปเฝ้าร้านอย่างมากก็เก็บเงิน ส่งของให้ลูกค้า แล้วก็รับโทรศัพท์ลูกค้าที่โทรมาสั่งของบ้าง

ส่วนงานขายของหน้าร้าน ก็ปล่อยลูกจ้างไป

“ที่จริงนูไปอยู่ร้านตอนกลางวัน แล้วกลับมานอนนี่ก็ได้นี่ พี่ไปรับเอง...นะ”

“ไม่ดีกว่าครับ กว่าจะปิดร้าน ปิดบัญชีก็ค่ำอะ ผมกลับบ้านจะได้ไปคุยต่อกับแม่ ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อด้วย”

“ทำไมพ่อไม่ไปนอนโรงพยาบาล”

“เขาไม่ชอบหมอ”

“ไม่ชอบรึว่ากลัวหมอ”

“อย่ามาว่าพ่อผมนะ เขาจะไม่ชอบหรือว่าจะกลัวหมอก็ช่างเหอะ แต่แค่เป็นไข้หวัดปวดหัวตัวร้อนน่ะ

ใครเขาไปนอนโรงพยาบาลกันมั่งเล่า”

“แม่จะได้ไม่เหนื่อยไง”

“ไปนอนโรงพยาบาลแล้วต้องเห็นคนไข้อื่นอะ มันชวนให้หดหู่ออก ขนาดผมไปนอนแค่ได้บรรยากาศโรงพยาบาลก็แย่แล้ว

กลิ่นยา กลิ่นโรงพยาบาล มันน่านอนที่ไหนล่ะครับ”

พอผมพูดถึงเรื่องนอนโรงพยาบาล เขาคงนึกอะไรได้ ถึงได้พลิกแขนซ้ายของผมมาดูรอยแผลรถล้มที่เริ่มจาง

แล้วตลบขากางเกงขึ้นดูอีกรอยตรงนั้น

“ลายหมดเลย”

“ทำไมอะ ลายแล้วไม่รักเหรอครับ”

“ใครว่า”

พี่นิวก้มลงจูบตรงรอยแผลที่แขนผม

“เห็นแล้วพี่ยิ่งรู้สึกไม่ดี ที่ทำให้นูต้องเป็นแบบนี้”

ผมก็เสียดาย ผิวขาวที่มีรอยแผลคล้ำเป็นปื้นคงไม่น่าดูเท่าไร แต่ไม่นานมันก็จะจางจนกลืนไปกับสีผิว

ไม่คล้ำจนเห็นชัดแบบนี้หรอก

“ช่างมันเถอะ ผมไม่น่าใจร้อนเอารถออกนี่นา แถมยังเร่งความเร็วตอนที่พี่นิวขับรถตามอีก”

“เกลียดพี่จนไม่อยากให้ตามทันเลยเหรอ”

“ตอนนั้นน่ะใช่”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

แทนคำตอบผมโอบรอบคอพี่นิว จูบเขาที่แก้ม แล้วก็ซบหน้าตัวเองที่ตรงนั้น

“คิดเอาเอง”

“พี่จะไม่ทำให้นูเสียใจอีกแล้ว”

“พูดแล้วทำไม่ได้อย่างที่พูดน่ะ คอยดูเหอะ คราวนี้ผมไปแล้วไปลับจริง ๆด้วย”

ผมเหลือบไปเห็นหน้ากระจกเงา ตรงที่รูปคู่เคยหายไป ตอนนี้มันกลับมาแล้ว

ผมดีดตัวเองออกจากตักพี่นิว แล้วเดินไปดึงรูปออกมา

“ใครเอามาติดไว้ตอนไหนเนี่ย”

พี่นิวเอาแต่ยิ้ม แต่หน้าตาน่ะ เจ้าเล่ห์เชียว

“ตอนเอาไปก็ไม่ขออนุญาต”

ผมแกล้งบ่นงึมงำ

“ใครใช้ให้ไม่อยู่ล่ะ ไม่รู้จะขอกะใครนี่”

“แล้วที่เอามาคืนเนี่ย หมดความหมายแล้วใช่ป่าวล่ะ”

ผมหน้าคว่ำ คนอะไรนึกจะเอาไปก็ดึงไป นึกจะเอามาคืนจะบอกสักคำก็ไม่มี มันกลับมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

พี่นิวลุกขึ้นเดินมาหา แล้วกอดผมไว้ทั้งตัว

“มีตัวจริงอยู่ตรงนี้ จะนอนกอดรูปจูบกระดาษทำไมล่ะ”

“อย่ามาทำเป็นพูดดี ยังมีอีกคดีหนึ่งนะ ที่ผมยังไม่ได้สะสางน่ะ”

พี่นิวเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่รู้เรื่อง

“ลิปสติกของใคร บอกผมมานะ”

ผมคิดว่าเขาคงจะตอบว่าพี่พิม แต่ไม่ใช่

“ของพี่หวาน”

“ใครคือพี่หวาน”

“เพื่อน....คนที่กลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกันไง ป้าบอกแล้วมั้ง”

“เพื่อนเหรอ...ให้มันแน่เหอะ”

“แน่ยิ่งกว่าแน่อีก จะจับผิดกันก็ดูให้ดี ๆก่อนสิ หึงกระทั่งผู้หญิง”

“ใครหึง”

ผมทำเป็นเถียง แต่....ว่าได้เหรอ ก็ผู้หญิงน่ะ ผมสู้เขาได้ที่ไหนล่ะ

สำหรับผมมันเหมือนเป็นปมด้อยนี่นา พี่นิวเองก็เหอะ อยู่ห่างผมตั้งสองปี

เผื่อเขาไปมีอะไรกับผู้หญิงแล้วติดใจ แล้วผมจะทำไงล่ะ

“ไม่ต้องหึงหรอก พี่หวานเขามากับแฟนเขา”

“อย่าเลย ป้าบอกว่าพี่นิวพาเพื่อนผู้หญิงมาค้างที่บ้าน”

“ก็ถูกไง พี่หวานเขามากับแฟน แฟนเขาก็พิมไง”

เออ....มันก็น่าจะจริง ผมมัวแต่คิดว่าป้าบอกว่าพี่นิวพาเพื่อนผู้หญิงมา ก็คิดอยู่อย่างเดียวเลยว่าเขาอาจจะมีอะไรกัน

ก็ตอนนั้นผมรู้ที่ไหนล่ะว่าพี่พิมเขาเป็นทอม

“คิดเองเออเองอีกแล้วสิเรา...พิมกับพี่หวานเขานอนห้องพี่ แล้วพี่ก็มานอนห้องนี้

ทีหลังน่ะ ถามพี่ก่อนอย่าคิดไปเองได้ไำหม”

.......ยังกับอยู่ให้ถามนี่......

“ถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าพี่นิวจะมา วันนั้นผมคงอยู่ที่นี่”

พี่นิวรัดผมจนแน่น

“พี่ก็อยากเจอนู แต่ตอนนั้นคิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว พี่ขอโทษนะ”

“พอแล้วครับ ขอโทษทำไมบ่อย ๆ”

ผมเอามือปิดปากไม่ให้เขาพูด พี่นิวอาจจะผิดตรงที่เขาคิดถึงครอบครัวมากเกินไป จนลืมนึกถึงหัวใจตัวเอง

แต่ผลที่ได้มันกลับร้ายเป็นสองเท่า เพราะเราสองคนเจ็บเท่ากัน และสิ่งที่เขาทำไว้ มันจะตอกย้ำอยู่ในใจเขาเสมอไปว่า

เขาทำร้ายผม แค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้เขารู้สึกผิดไปตลอดแล้ว

ผมนึกถึงตัวเองที่ยกให้เป็นความผิดของเขาทั้งหมด ทั้งที่ความจริงไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้

เพราะพี่นิวโทษตัวเขาเองอยู่ตลอดเวลา แถมผมยังจะทำให้ความรู้สึกนั้นเกาะกินหัวใจเขาไปจนตาย....ผมนี่มันแย่จริง ๆ

ผมกอดกระชับพี่นิวเพื่อไถ่โทษที่เผลอคิดไม่ดีกับเขาแบบนั้น

ผมช่างโชคดีที่ได้เจอพี่นิว ได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน

ถึงแม้จะมองเห็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่า เราสองคนจะผ่านมันไปได้



ถ้าจะบอกว่าในชีวิตนี้ผมอยากได้อะไรที่สุด

ผมบอกได้ทันทีว่า ผมอยากได้ชีวิตสงบสุข ที่มีพี่นิวเคียงข้างกันไปจนกว่าจะตายจากกัน

ผมมีปัจจัยสี่ที่เพียงพอ ผมไม่เคยฟุ้งเฟ้อ ผมไม่เคยต้องการความเป็นเลิศ

แต่พี่นิวคือปัจจัยที่ห้าสำหรับผม

ผมไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอในความรักที่เรามีให้กัน

และผมก็ต้องการเพียงเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจเขาตลอดไป





หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 17-11-2012 16:30:58
ชิชิ"แคร์สังคมภายนอก โลเล ยังงอลพี่นิวอยู่นะ
 
พี่นูน่าจะเล่นตัวหน่อยนะสะใจ :)

แต่ยังไงพี่นูก็มีความสุขก็ดีใจด้วย :)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: fangjunk ที่ 17-11-2012 16:55:03
           55555อ่านตอนนี้แล้ว  ก็ยังคิดว่านิวเห็นแก่ตัวอยู่ดีนะ  ทั้งๆที่โตกว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าน่าจะอธิบายเหตุผลกับนูตั้งแต่ก่อนไป  แต่ก็นะการกระทำของนิว  นิวได้ประโยชน์เต็มๆ  นิวได้คนที่รักมั่นคงมากๆมาทั้งที่ไม่เสียอะไรเลย  แต่กลับทำให้นูเสียความรู้สึกเพราะความเห็นแกตัวของนิว  แล้วที่บอกว่ารักยังไงก็รักตัวเองมากกว่า  ส่วนนูก็นะนูเลือกเอง  เลือกที่จะคิดเองเจ็บเอง  เลือกที่จะไม่ถาม  และเลือกที่จะไม่ตัดใจ  เรื่องสังคมนิวคิดถูกนะที่ต้องแคร์เพราะเรายังอยู่ในสังคม  แต่พ่อแม่นิวก็รู้แล้ว  นิวก็แค่บอกว่านูคือน้องชายบุญธรรมกับคนอื่น  มันมีทางออกที่ง่ายจะตายไปถ้าครอบครัวเรายอมรับแล้วน่ะ  คนรักกันการพูดคุยกัน  แชร์เรื่องราวของกันและกันมันสำคัญนะอย่าคิดว่ามันทำให้รำคาญเลย  เพราะการไม่คุยกันทำไห้ห่างกันและเป็นช่องว่างให้มือที่สาม
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 17-11-2012 17:21:40
ตอนนี้เหมือนหักมุมเลย แสดงว่านูเข้าใจผิดมาตลอดอ่ะดิ พี่นิวก็ผิดนะทำไมไม่บอกอ่ะเฮ้อ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Patty-Tata ที่ 17-11-2012 19:19:13
เขาก็มีความรักนะ เปลี่ยนใจ มารัก นิว อีกคนละ หลังจาก รักนู มากกกกกับหัวใจที่อดทนแล้วเข้มแข็ง :3123:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-11-2012 21:46:38
สรุปว่า.. พี่นิวก็เสียใจไม่น้อยกับการกระทำของตัวเองซินะ  :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

พี่นูก็เข้าใจผิดอยู่นานเลย  :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

พี่นิวมีอะไรทำไมไม่บอกพี่นูหละทำแบบนี้พี่นูก็เสียใจแย่ดิ ทีหลังมีอะไรก็บอกให้พี่นูรู้บ้าง  :call: :call: :call: :call: :call:

ในเมื่อพี่ๆเลือกที่จะรักกันแล้วก็ สู้ๆๆ ซายน์จะเป็นกำลังใจให้ :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 17-11-2012 21:58:12
 :m16: :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 17-11-2012 22:05:55

อ่านตอนนี้แล้วมันตงิดๆ ใจยังไงไม่รู้
ตั้งแต่คำโปรยก่อนเข้าเรื่องที่นูบอกว่าตัวเองก็ยังคงงี่เง่าอยู่ มันหมายความว่ายังไง?

พี่นิวอาจจะแต่งเรื่องให้ตัวเองดูดีก็ได้ ระยะเวลาตั้งสองปีนะ คำขอโทษไม่กี่คำมันทดแทนกันได้เหรอ
ตัดสินใจอะไรไปแล้วทำไมไม่ทำให้ได้ล่ะ โลเลสับปรับแบบนี้ไม่คิดถึงว่าคนอื่นเขาก็มีหัวใจบ้างเหรอ
ถ้าคิดจะไปแล้วกลับมาทำไม หรือถ้ารู้อยู่แล้วว่าอยู่โดยไม่มีนูไม่ได้แล้วทำทำไม ทำร้ายนูทำไม มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเหรอ

ยังจำตอนที่นูไปหานิวครั้งแรกได้ ตอนที่นูเมาเครื่ิองแล้วหลับไปแต่ยังได้ยินเสียงนิวบอกให้พิมพ์ไปจัดกระเป๋าเข้าค่าย
ที่บอกว่าก็เคยไปด้วยกันตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา พูดเหมือนคนที่อยู่ด้วยกัน พูดเหมือนคนที่เป็นแฟนกัน
ทั้งๆ ที่ตรงนั้นไม่ได้มีใครอยู่ด้วยนอกจากนูที่กำลังสะลึมสะลือ ถ้าไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ก็เล่นสมบทบาทมากเลยล่ะ
ไม่มีใครเลยก็ยังเล่นบทเป็นแฟนกันอ่ะเนอะ บอกว่าไม่มีอะไร ใครจะเชื่อ พี่คนนึงล่ะที่ไม่เชื่อ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 17-11-2012 22:38:35
เห้อ :เฮ้อ:  เข้าใจผิดจริงๆด้วย
ก็ว่าอยู่ถ้านูเห็นเเบบนั้นเเล้วยังกลับมาคบกันต่อได้
ก็ไม่ไหวนะ

สงสารพี่นิวนะ คงจะเสียใจไม่น้อยกว่านูหรอก :o12:
เจ็บที่ต้องทำร้ายคนที่รักด้วย แต่ก็แอบไม่พอใจพี่นิวนะ ตัดสินใจอะไรเองคนเดียวเเบบนี้ตลอด
เป็นคนรักกันก็ควรให้อีกฝ่ายได้ตัดสิใจบ้างสิ ตั้งเเต่เรื่องเรียนก็ทีนึงเเละ :m16:

แต่พี่นิวคงคิดว่าตัวเองเป็นความหวังของครอบครัวรึเปล่า
พ่อแม่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ยังมีคนอื่นๆอีกเลยตัดสินใจทำไปแบบนั้น
ก็พอยอมรับได้

เราคิดว่าที่พี่นิวเล่าถึงจะแปลกๆบ้างแต่คงจะจริง
เพราะนูก็ยังคบกับพี่นิวอยู่. ถ้าพี่นิวโกหกตอนนี้คงเลิกกันไปแล้ว
ขอให้รักกันนานๆนะคะ อย่ามีปัญหาอีกเลย สาธุ :กอด1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 17-11-2012 22:59:33
กลับมาแฮปปี้แล้วป้ะคะ
หรือเดี๋ยวจะมีดราม่ามาอีก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-11-2012 01:29:38



“กลับไปนอนห้องตัวเองได้แล้ว”

“ได้ไง ยังไม่ได้ชื่นใจเลย”

ผมยกตัวขึ้นจูบแก้มสองข้าง แถมจุ๊บปากอีกหนึ่งที แต่พี่นิวยังตื๊อไม่เลิก

“แค่นี้?”

“ผมง่วงอะ”

“งั้นพี่นอนด้วยนะ”

“ไม่ด๊าย”

ผมปฏิเสธเสียงหลง เกิดพี่นางขึ้นมาทำความสะอาดตอนเช้าเห็นเข้า ได้พินาศกันล่ะ

“ตั้งนาฬิกาปลุกเอา...น้า....ตีห้าเลยก็ได้”

“ไม่อะ แค่กดปิดแล้วพี่นิวก็นอนต่อ”

แต่พี่นิวยังนัวเนียไม่ห่าง แถมยังงัดเอาท่าไม้ตายออกมาจนผมชักเคลิ้ม

“ไม่คิดถึงพี่เหรอ”

อย่าถามได้ไหมคำนี้น่ะ ผมแทบจะหายใจเป็นพี่นิวมาตลอดเวลาที่เราห่างกันด้วยซ้ำ

ดังนั้น ผมก็เลยเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง พี่นิวจะได้รู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน

คราวนี้ผมดันพี่นิวจนถอยหลังไปชนเตียง โถมทับเขาให้ล้มลงไป แล้วผมก็ขึ้นประกบอยู่ข้างบน

“ร้อนแรงนะเนี่ย ไหนบอก....”

“หุบปากไปเลย ถ้าไม่อยากกลับห้องเดี๋ยวนี้ล่ะก็”

ผมอายนี่นา เลยแกล้งเอาโกรธเข้าข่ม จากนั้นพี่นิวก็อยู่ในกำมือ

ผมนึกถึงคืนที่พี่นิวกลับมากลางดึกแล้วเราก็มีอะไรกันอย่างเร่าร้อน รุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


   ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟข้างเตียง ลมหายใจของเราเป่ารดกันและกัน สร้างบรรยากาศให้ร้อนระอุ ไม่แพ้คืนนั้น

แต่คราวนี้ผมเป็นคนนำ เสียงพี่นิวหอบกระเส่าอยู่ใต้ตัวผม ยิ่งเร้าอารมณ์ให้ผมอยากขยำขยี้ให้หนักขึ้น

ผมรุกไล่เขาอีกพักเดียวก็แกล้งผ่อนให้ลีลามันช้าลง

“จะให้พี่ขาดใจตายไปเลยรึไง”

“อืม”

“งั้นพี่จะเอาคืนมั่งล่ะนะ”

ขาดคำพี่นิวก็พลิกสถานการณ์ให้ตัวเองนำซะเอง ก็เข้าทางผมอยู่แล้ว ผมอยากได้พี่นิวคนนั้นอีกสักครั้ง

แต่จะให้ผมพูด ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง แล้วทุกอย่างก็เป็นไปอย่างคืนนั้นไม่ผิดเพี้ยน

ด้วยบทรักโหมกระหน่ำ ราวกับพายุเฮอริเคน แต่ทิ้งท้ายอย่างอ่อนหวาน

จะต่างกันก็ตรงที่พี่นิวไม่มีอาการเนื้อตัวสั่น ซึ่งความจริงมันก็ยังคาใจผมอยู่ไม่น้อย

   “จำคืนนั้นได้ไหมครับ”

   ผมซบกับอกพี่นิว ในขณะที่พี่นิวหลับตา แต่มือลูบแขนผมเบา ๆ

   “คืนไหน”

   “คืนที่พี่นิวกลับบ้านกลางดึกไงครับ...ตอนฝึกงานน่ะ”

   “ทำไมเหรอ”

   “คืนนี้เหมือนคืนนั้นเลย แต่ว่าตอนนั้นพี่นิวตัวสั่น มือก็สั่น เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้”

   …………

   “ผมอยากรู้ว่าพี่นิวรู้ตัวหรือเปล่า ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น”

   “อืม...ก็รู้”

   “แล้วพี่นิวเป็นอะไรครับ”

   “ก็ไม่มีอะไรนี่”

   “ไม่มีได้ไง ไหนบอกว่ารู้”

   “ก็รู้....แล้วนูจะถามทำไมล่ะ”

   “ผมก็อยากรู้มั่งนี่”

   .....(เซ็นเซอร์ครับ).....

   “ทะลึ่ง”

   “จริง ๆ”

   พี่นิวจับผมนอนหงาย แล้วตะแคงตัวมามองหน้าผม

   “พี่ตั้งใจจะเลิกกับนูตั้งแต่ตอนปีสามแล้ว”

   “พี่นิว....”

   คำพูดนั้นทำให้ผมตกใจที่รู้ว่าเขาคิดเรื่องนี้มานานขนาดนั้นเลย

   “แต่พี่ไม่เคยทำได้สำเร็จเลย จนปีสุดท้ายถึงต้องคบกับพิมไง แต่ก็นั่นแหละ ตอนที่คบพิม พี่ก็ไม่ได้มีอะไรกับเข

เพราะเขาก็ไม่ได้อยากมีอะไรกับพี่ แต่พี่พยายามที่จะไม่มีอะไรกับนู ทำไงได้ล่ะก็ต้องไม่กลับบ้าน
 
ไป ๆ มา ๆ พี่ก็ทนคิดถึงนูไม่ไหว ฝึกงานมันทั้งเหนื่อย ทั้งกดดัน อะไรที่เราไม่เคยเจอตอนเรียน

เราก็มาเจอตอนฝึกงาน โรงงานที่พี่ไปทำมันก็โหดซะด้วย เครียดหนัก ๆเข้า แถมยังอยาก...(เซ็นเซอร์)....กับนู

คืนนั้นพี่ก็เลยไปสแตนด์บายที่สนามบิน กะว่ามันต้องมีคนยกเลิกที่นั่งมั่งแหละ แล้วก็โชคดีได้ที่นั่งสุดท้าย”

   มิน่าล่ะ....ตอนนั้นงานบ้านก็ยุ่ง เรียนก็หนัก แต่ละวันผมแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องพวกนี้

ก็เลยนึกว่าพี่นิวก็คงจะเหมือนกัน ผมจำได้ว่า เป็นช่วงที่เราห่างกันนานมาก

   “งั้น เราห่าง ๆ กันแบบนั้นอีกก็ดีนะครับ”

   “ได้ไง ไม่เอาหรอก พี่แทบบ้าเลยไม่รู้เหรอ”

   “เหอะน่า...”

   “ถามจริง ๆ นี่คิดอะไรอยู่”

   ผมไม่ตอบแต่หันหลังให้เขาซะงั้น ก็จะให้พูดออกไปได้ไงเล่า อายนะเว้ย

   “ไม่บอกเหรอ”

   ผมซุกหน้ากับหมอน ยังไงก็จะไม่พูด

   “ไม่บอกก็รู้หรอก”

   “แล้วจะถามผมทำไมเล่า”

   “ก็อยากได้ยินนี่นา”

   พี่นิวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ผมรู้ตัวว่าตัวเองหน้าร้อนไปหมดแล้ว ก็ไม่อยากให้เขาเห็นเดี๋ยวได้ล้อผมไม่เลิกแน่

ก็เลยผลักหน้าหล่อ ๆ กวน ๆ ออกไป แต่เขาก็กลับยื่นเข้ามาอีก เลยกลายเป็นสงครามย่อยระหว่างเราไป

แล้วพอเนื้อตัวเสียดสีกันหนักเข้า เครื่องก็ร้อน บทรักของเราก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากทีแรก

   “แล้วก็ไม่บอกว่าชอบแบบนี้”

   พี่นิวคลอเคลียอยู่ข้างหู แถมหัวเราะหึหึใส่หูผมด้วย

   “เจ็บอะ”

   “ก็ชอบไม่ใช่เหรอ ตะกี้ยังบอกเอาอีก ๆ”

   “ไม่เอาแล่ว ถอยออกไปเลย ผมเจ็บนะ”

   “โอ๋ ๆ งั้นทีหลังพี่จะไม่ทำแรงอย่างนี้แล้วนะครับ”

    เอาไงดีวะ.... ผมนึกหาคำพูดที่จะไม่ให้เข้าเนื้อตัวเองมาก

   “ก็....นาน ๆ ที ก็ได้ แต่ติด ๆกันแบบนี้ ไม่ไหวน้า”

   “อืม....นาน ๆ ที รึนาน ๆ ถี่ ยังไงก็ได้”

   นาน ๆ ที แล้วกัน เพราะรสรักมันต้องมีครบทุกรส จะได้ไม่จืดชืดชา หวานนักก็แทรกเปรี้ยวบ้าง

เผ็ดนักก็ค่อย ๆ ชิมลิ้มรส เย็นเกินก็น่าเบื่อ ร้อนไปก็ชิมช้า ๆ อย่าซดโฮก ๆ ปากพองกันพอดี



   ถึงแม้ว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่ลองนับวันนับเดือน ก็ใช่ว่าจะนานนัก

กว่าจะได้มาอยู่ร่วมกัน ได้ใช้เวลาใกล้ชิดกันจริง ๆ ก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย

   เราสองคนยังต้องเรียนรู้กันอีกมาก ช่วงเวลาที่เราเติบโต บางครั้งเราก็ไม่ได้ใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงของกันและกันเท่าไร

และบางครั้งความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ก็อาจจะทำให้เราไม่เข้าใจและขัดแย้งกันได้ด้วยมูลเหตุเพียงเล็กน้อย

   ผมเชื่อว่า ด้วยความรัก ความเข้าใจ และพร้อมที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน

จะทำให้ผมกับคนที่ผมรัก ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งมวล และพาเราไปในทิศทางที่ถูกที่ควรได้

แม้ว่าความรักในแบบของเราจะไม่ใช่รักตามครรลองของโลก

แต่หากหัวใจมีไว้เพื่อรัก มันคงไม่แปลกใช่ไหม ถ้าผมจะรักของผมอย่างนี้ต่อไป


จบตอน SERIES : THE FIFTH PAGE

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 18-11-2012 01:40:33
สู้ต่อไปด้วยกันนะทั้งสองคน พี่นิวก็มีความคิดโตขึ้นเยอะแล้ว(มั้ง)เลิกสับสนลังเลบ้างแล้ว หวังว่าจะไม่ทำให้นูเสียใจอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 18-11-2012 01:46:11

แค่จบตอนใช่ไหมคะ
แต่ช่วงท้ายๆ อ่ะ เหมือนตอนจบเลย
อย่าเพิ่งจบนะคะ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 18-11-2012 02:11:13
หวานกันจังเลยยยย  :z1:

แต่ก็ดีเเล้ว ที่พี่นิวไม่ได้มีคนอื่นนอกจากนูจริงๆ
ความนี้ก็คงมีเเต่ความสุขซะทีนะคะ  :o8:

รอตอนหน้านะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 18-11-2012 07:22:07
 :jul1:  โอ้ย......เจ็บมามาก  แต่ตอนนี้คงหวานกันได้อีก  รักกันนานๆ นึกถึงตอนแย่ที่สุดแล้วดูแลกันดีๆนะ

โดยเฉพาะนิวจะต้องดูแลนูให้ดีๆ 

ไม่งั้นจะโดน   :z6:    อิอิ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 18-11-2012 10:25:34
กว่าจะรู้ว่ารัก....เจ็บมากเพียงไหน????

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: Asuke ที่ 18-11-2012 14:34:39
สนุกมากครับพี่นู มาต่ออีกเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 18-11-2012 16:51:58
ไปยอมเขาทำม๊ายยยย'  เล่นตัวหน่อยซี่โถ่-_-
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-11-2012 21:48:38
 :really2:
มันก็ยัง..งง งง
หุหุ

ใจเจ้าเอ๋ย เคยเจ็บ เคยปวดช้ำ
ใจเจ้ากรรม ถูกซ้ำ ช้ำกี่หน
ใจเจ้าเอ๋ย เคยทุกข์ เคยนิ่งทน
ใจเจ้ากรรม กระเสือกกระสน ป่นแหลกราน

น้ำเพียงหยด รดบนพื้น ดินกระด้าง
สามารถง้าง ความแห้งแล้ง แย้งร้าวฉาน
กลับชุ่มชื้น คืนชีวิต คิดยืนนาน
ใจประสาน ขับขานกาย ร้ายคืนดี

 o13 จะมีอะไร..หักมุม มากกว่านี้อีกมั้ยครับ พี่น้อง

 :L1: รักคือรัก นั่นซินะ..นู

ยินดียิ่งกับ "พี่นิว" จะหาใครได้โอกาสแล้ว โอกาสอีก เช่นนี้
หุหุ

+1 อีกครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 19-11-2012 15:27:15
อะไรยังไงซับซ้อนเกินไปรึป่าวคุณนิว
แต่สำหรับนู รักคือ....รัก สินะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 18.11.55(จบตอน)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-11-2012 15:35:55
ขอให้รักกันนานๆน้าค่าพี่นูพี่นิว  :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

สู้ๆ อุปสรรคมีไว้ให้เราฝ่าฟัน เพราะมันจะทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น o13 o13 o13 o13 o13

สู้ๆคร๊าบบบบบ.. :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-11-2012 00:03:40
 

           ใครที่เคยได้อ่านตอนนี้มาก่อน (ที่อื่น) ผมจะบอกว่า ผมตัดตอนต้นในส่วนที่เป็นเนื้อเพลงออกไป

เพราะรู้สึกว่ามันจะมีเรื่องลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่ผมเขียนไว้แบบนั้นมันนานมาแล้ว

ตอนนั้นไม่ค่อยเคร่งเรื่องนี้กันเท่าไหร่ ก็ถือว่า ผมกันปัญหานี้ไว้ก็แล้วกันนะครับ

   ส่วนเนื้อหาอื่น ๆคงเดิมครับ ยกเว้น การสะกดคำ และ(ความพยายาม) ใช้ภาษาให้ถูกหลักตามที่เคยได้รับคำไว้






THE SIXTH PAGE



          เวลาที่เราอยู่กับตัวเองตามลำพัง เรามักจะคิดถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หวานอมขมกลืนสักแค่ไหน

ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงมัน แค่จะนึกถึงความหวานก็มักมีรสขมเฝื่อนฝาดแทรกอยู่ร่ำไป

คงไม่มีใครพบเจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงด้านเดียว

      ดังนั้นไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาของผมจะพบกับเรื่องราวเลวร้ายสักเพียงไหน ผมก็จะไม่ทดท้อห่อเหี่ยว

ขอเพียงผมมีใครคนหนึ่งที่รักผมอยู่เคียงข้าง และคอยปลอบโยนให้กำลังใจ ผมก็พร้อมที่จะสู้ต่อไป

          เพลงบางเพลงอาจจะทำให้ผมนึกถึงคน ๆ นั้น

       แต่ถ้อยคำในบทเพลงก็ยังไม่สามารถบรรยายความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาได้มากพอ แต่อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

ที่พอเขาได้ฟังเพลงนั้น เขาก็จะเดินมาโอบกอดผม พร้อมกับกระซิบข้างหูว่า...”เพราะพี่รักนู”...

      หลายคนบอกว่าผมโชคดีที่ผมมีคนที่รักผม แต่ผมว่าพี่นิวก็โชคดีเหมือนกันแหละ ที่ผมก็รักเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

      “พี่รักมากกว่า”

      “ผมรักพี่มากกว่า”

      “พี่มากกว่า”

      “ผมมากกว่า”

      “พี่”

      “ผม”

      “ถ้าพี่รักนูน้อยกว่า พี่ก็หมั้นกับเขาไปแล้วดิ”

        ผมเลยต้องหยุดเถียง ก็ผมไม่ได้มีทางเลือกให้ต้องแสดงออกถึงปริมาณความรักอย่างพี่นิวนี่
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-11-2012 00:32:52
   

      การใช้ชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งคู่ของเรายิ่งยาก

         เท่าที่ผ่านมา....มันยากทั้งที่ไม่ควรจะยากเท่านี้


        เรื่องที่เราไม่อยากเปิดเผยให้ใครได้รู้ เป็นเหมือนหนามยอกอกตลอดเวลา

ในขณะที่เราจำต้องแสดงความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอย่างที่สังคมรอบข้างเรารับรู้ 

แต่ภายในเรากลับรักกันเหลือเกิน อยากบอกใครก็บอกไมได้

มันยากก็ตรงที่ทำยังไงถึงจะไม่หลุดให้คนอื่นสงสัย

      
     วิธีที่เราทำจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาก็คือ เรามักไม่ค่อยไปไหนมาไหนนอกบ้านด้วยกัน

เพราะผมเชื่อว่า ยังไงก็ต้องมีคนสังเกตเห็นบ้าง เวลาที่เราจะมีร่วมกันก็คือในบ้านของเราเอง

ซึ่งก็ยังต้องจำกัดพื้นที่อยู่นั่นเอง เพราะมีทั้งป้าแม่บ้าน และพี่นางที่คอยดูแลบ้านให้เรา

   
          ถ้าเราอยู่ในห้องนั่งเล่น ถึงจะดูโทรทัศน์ด้วยกัน เราก็มักจะนั่งกันคนละมุม

ซึ่งถ้าเราอยากคลอเคลียกันก็ต้องขึ้นไปห้องโถงชั้นบน ซึ่งสองคนนั้นจะขึ้นมาโดยที่เราไม่อนุญาตไม่ได้

   ใช่ว่าเราเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ แต่เป็นเพราะคุณแม่เคยวางระบบไว้แบบนั้น

เวลาที่ป้าหรือว่าพี่นางต้องการจะขึ้นมาบนบ้านก็เลยต้องกดอินเตอร์คอมขึ้นมาก่อน

ส่วนเรื่องทำความสะอาดบ้าน พี่นางจะขึ้นมาทำตอนที่ทุกคนออกไปทำงานกันหมดแล้ว

         
      พูดว่าห้องโถงฟังดูเหมือนมันกว้างนะครับ แต่ไม่หรอก มันก็พื้นที่แค่สามคูณสามเมตรหน้าห้องนอนของเราสองคน

ที่พี่นิวซื้อพรมผืนย่อมมาปู ผมก็มีหน้าที่หาหมอนอิง หมอนขวานมาวาง นั่ง ๆ นอน ๆ ดูโทรทัศน์กัน

ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตัวเอง

         หรือบางคืนพี่นิวอาจจะแวะมานอนเล่นในห้องผม  ก่อนที่เขาจะกลับไปนอนห้องของตัวเอง

(ไม่ต้องเดานะครับ ว่าเราเล่นอะไรกันในห้องนอนของผม 555)

      
      เราสองคนใช้ชีวิตอย่างนี้เรื่อยมาจนกลายเป็นความเคยชินว่า เวลาไหนจะทำอะไร

เวลานี้ใครอีกคนอยู่ที่ไหน และจะตามตัวได้ยังไง

          กิจวัตรของผมค่อนข้างแน่นอนกว่าของพี่นิวเพราะเป็นงานประจำ ทำงานห้าวันแล้วหยุดเสาร์อาทิตย์

 อาจจะมีกิจกรรมของที่ทำงานในวันหยุดบ้างตามแต่จะมีนโยบายมาจากสำนักงานใหญ่เป็นครั้งคราวไป

ซึ่งเราก็จะรู้ล่วงหน้า ทำให้ผมสามารถวางแผนการใช้เวลาร่วมกับพี่นิวได้ค่อนข้างแน่นอน

          แต่เขาสิ....      

       พี่นิวถูกวางตัวให้นั่งเก้าอี้กรรมการบริหารแทนคุณพ่อเป็นคนต่อไป ก็ด้วยความที่คุณพ่อเป็นลูกชายคนโตของตระกูล

(ไม่นับคุณลุงที่เป็นลูกบุญธรรมของคุณปู่คุณย่าของพี่นิวนะครับ) ลูกชายคนเดียวของคุณพ่อจึงถือได้ว่า

เป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน แต่ในขณะที่คุณพ่อยังไม่เกษียณ พี่นิวก็ต้องศึกษางานในกิจการทั้งหมด

เบื้องแรกก็คือการควบคุมดูแลสำนักงานสาขา(เล็ก ๆ) ในต่างจังหวัดรวม 3 สำนักงาน

โดยมีพี่ชายซึ่งเป็นลูกของคุณลุงคอยช่วยเหลือ (สำนักงานหลักมีคุณพ่อประจำอยู่แล้วในอีกจังหวัดหนึ่ง)

          งานรับเหมาก่อสร้างโครงการภาครัฐ วงเงินจ้างเหมานับร้อยล้านต่อปี เป็นงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูง

โดยเฉพาะมือใหม่อย่างพี่นิว ยิ่งต้องทุ่มเท ทำให้เวลาของเขาหมดไปกับการทำงานแทบทั้งหมด

ปีแรกที่พี่นิวกลับจากต่างประเทศก็จับงานทันที แทบไม่มีเวลาที่จะระเริงสำราญกับชีวิตวัยหนุ่มเลย

ผมก็พลอยได้รับอานิสงส์อันนั้นไปด้วย (แง.....)

         แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังถือว่า เราโชคดีที่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ว่าในบางครั้งพี่นิวต้องไปค้างที่สำนักงานสาขาอื่น

เป็นเวลาหลายวัน (เฮ้อออออ....ทำใจ)
      

      หลายครั้งที่พี่นิวอยากจะพาผมไปด้วย แต่ผมกลับไปไม่ได้ เพราะการจะยื่นใบลางานต้องยื่นล่วงหน้า 

ซึ่งพี่นิวก็ไม่อาจจะบอกผมล่วงหน้าได้ แต่ก็เคยมีครับ เป็นครั้งแรกที่ผมบังเอิญหยุดงานพอดี

แล้วพี่นิวก็ได้โอกาสชวนผมนั่งรถออกต่างจังหวัด ไปดูไซท์งานด้วยกัน ความจริงมันน่าเบื่อมากสำหรับผม

เมื่อลงจากรถด้วยอาการเมา เพื่อจะไปนั่งรอ นอนรอ ในขณะที่เขาเดินไปเดินมา สำรวจความเรียบร้อยโดยทั่วไปของงาน

รับฟังปัญหาที่หัวหน้าคนงานจะรายงานความคืบหน้า หรือหรือแม้แต่จะต้องเบิกเงินค่าแรงไปจ่ายให้คนงาน

แต่ผมก็ยังอยากจะไป เพียงเพราะต้องการใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำนวย

หลังจากที่เราห่างกันไปนานมาก ห่างกันไปในลักษณะที่เหมือนจะเลิกราจากกัน

      “ผมเอากางเกงว่ายน้ำไปด้วยนะครับ”

      “แถวนั้นเขาไม่นุ่งกางเกงอาบน้ำหรอก”

      “เอ๊อ....แล้วเขานุ่งอะไรอะ”

      “ผ้าขาวม้า”

           ผมล่ะอึ้ง แต่ที่จริงมันก็คงจะถูกของพี่นิว เพราะที่ ๆ เราจะไปมันเป็นบ้านป่า ไกลตัวเมืองมาก

น้ำท่าที่จะใช้อาบก็เป็นลำคลองสายเล็ก ๆ ที่ดูสะอาดดี (แม้ว่าสีจะเหมือนน้ำโคลนสีอ่อน ๆ)

             ผมนุ่งผ้าขาวม้าไม่เป็น แต่ถ้าโสร่งล่ะชอบนัก ก็เลยหยิบโสร่งผืนโปรดติดกระเป๋าไปด้วย

ส่วนของพี่นิวเขาบอกว่าจะไปหาเอาข้างหน้า
      
         ถึงที่หมายผมก็โผเผลงจากรถตามเคย พี่นิวจะเข้ามาประคอง แต่ผมห้ามไว้ เพราะคงดูไม่ดีเท่าไร

ที่ผู้ชายจะประคองกันเดินทั้งที่ไม่ได้เมาเหล้า แล้วผมก็กลัวสายตาคนอื่นจะมองเราแปลก ๆ

พี่นิวก็เลยหันไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าเดินเข้าไปเก็บในบ้านพักชั่วคราว

(ความจริงน่าจะเรียกว่าเพิง เพราะมันสร้างด้วยไม้หยาบ ๆ ไม่ทาสี มีพื้นที่ไม่ถึงยี่สิบตารางเมตรดี

มุงด้วยหลังคากระเบื้องลอนคู่ราคาถูก)

           นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกต่างจังหวัดกับพี่นิว ได้มาในสถานที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ

ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คนติดหรู ไม่ใช่ผู้ลากมากดีมาจากไหน แต่ความเป็นอยู่อย่างคนเมือง

ทำให้ผมไม่ชินกับการอาบน้ำในที่โล่งแจ้งร่วมกับคนงานอื่น ๆ ถ้าเป็นเพื่อน ๆ ตอนที่เข้าค่ายสมัยเรียนก็ว่าไปอย่าง

พอผมเห็นท่าน้ำริมลำคลองแล้วก็เลยกระซิบพี่นิวว่า ผมค่อยอาบตอนค่ำ ๆ น่าจะดีกว่า

อย่างน้อยถ้ามีใครอาบอยู่แถว ๆนั้น จะได้ไม่เห็นกันชัดนัก....ก็ผมอายอะ

และพอตกค่ำ พี่นิวก็อาบน้ำเป็นเพื่อนผม ด้วยผ้าขาวม้าเนื้อเหี่ยว ๆ สีซีด ๆ

(ตอนผึ่งไว้ที่ราวข้าง ๆ เพิง ผมยังเห็นรูเล็ก ๆ แถว ๆ ที่น่าจะเป็นแก้มก้นอีกตะหาก...

พี่นิวนะพี่นิว ผมไม่เคยจะรู้ว่าเขาชอบโชว์ขนาดนี้....)

      
      น้ำในคลองออกจะเย็นเมื่อความมืดโรยตัวอยู่รอบ ๆ เรา ผมหนาวจนคางสั่นไปเลย

เมื่อสายลมยามค่ำกระโชกมาเบา ๆ ตอนที่ขึ้นมานั่งถูสบู่บนท่าน้ำ  ถูไม่ทันเสร็จดี ผมก็กระโจนกลับลงไปล้างตัว

แล้วรีบตะกายขื้นมาจนโสร่งแทบจะรูดไปตามลำขาด้วยความหนักของน้ำที่อมไว้ในเนื้อผ้า

          คนงานอาบน้ำเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาหารมื้อค่ำของพวกเขา ผมได้ยินเสียงเฮฮามาจากวงเหล้า

หน้าบ้านพักคนงานที่เห็นแสงเรือง ๆ จากหลอดไฟแรงเทียนต่ำ ผมคว้าโสร่งอีกผืนที่เตรียมมาสำหรับผลัด

แต่ยังคว้าไม่ทันจะได้ ก็ถูกผีพรายดึงผ้าซะแทบหลุด

           “พี่นิวนี่ เล่นบ้า ๆ อะไร ผ้าผมจะหลุด”

           ผมเผลอตัวเอ็ดพี่นิวเสียงดัง ค่าที่เล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลา

          “มาถูหลังให้พี่ก่อน”

          “ไม่เอาอะ หนาว”

          ผมดึงผ้าออกจากมือเขา แต่ดูจะไม่สำเร็จ เพราะมือสั่นจากการอาการสะท้านด้วยลมหนาว

แต่คนดึงผ้าท่าจะแรงดี เกือบจะทำผ้าผมหลุดจริง ๆเสียแล้ว

           “ลงมาอยู่ในน้ำสิ ไม่หนาวหรอก น้ำมันอุ่น”

            ลองทำเสียงยั่วแบบนี่ล่ะก็ เขาคงมีแผนอีกแล้วล่ะสิ แต่ผมกลัวคนงานมาเห็น เลยปัดมือเขาออก   

ทั้งที่.....อิอิ....อยากลองลงไปในน้ำอุ่น ๆ ดูสักที

           “เดี๋ยวใครมาเห็นอะพี่นิว”

        “มืด ๆแบบนี้ใครเขาจะออกมาดู ไม่เห็นเหรอ เขาตั้งวงกันแล้ว อีกนานกว่าจะเลิก”

          คนเจ้าแผนการพยายามหว่านล้อมให้ผมใจอ่อน

         “ก็ได้ครับ ผมถูหลังให้อย่างเดียวนะ”

            พี่นิวทำเสียงอือรับคำ

            ผมหย่อนตัวลงนั่งห้อยขาที่ท่าน้ำ แล้วบอกให้เขาหันหลังมา แต่พี่นิวกลับจับขาผมให้แยกออก

พอที่ตัวเองจะแทรกเข้ามายืนตรงกลางได้ แถมหันหน้ามาให้อีกต่างหาก ตอนนี้ใบหน้าของพี่นิวได้ระดับกับใบหน้าของผม

ทำให้เขาโอบไปรอบสะโพกผมได้ถนัดมือ

           “แล้วผมจะถูได้ยังไงเล่า”

         “ได้...ก็ถูไปสิ...อ้ะ”

            พี่นิวหยิบสบู่ให้ ก่อนจะจมตัวเองลงไปในน้ำทั้งตัวให้เปียกพอที่จะถูสบู่ให้เป็นฟองได้ แล้วกลับขึ้นมายืนให้ผมถูหลัง

ทั้งที่ยังหันหน้า

           “ยืนเฉย ๆสิครับ”

          คนมือซนบีบก้นผมอะ โดนเอ็ดไปทีหนึ่งเขาก็เก็บมือไว้ทีหนึ่ง พักเดียวก็หาเรื่องให้ผมได้ดุอีก

          “เอามือออกไปนะ ไม่งั้นผมไม่ถูให้แล้ว”

           คราวนี้ดื้อสิครับ เขาถลกโสร่งเปียก ๆ ของผมขึ้นมาถึงหน้าขา จนเห็นเนื้อขาวโพลนในความมืด

แต่ถึงจะมืดผมก็อายนะ ที่ตรงนี้มันออกจะโล่ง นอกจากพุ่มไม้ด้านหลังของเราแล้ว ก็เป็นอากาศ

มองเห็นไปถึงห้องแถวคนงานนู่นเลย ส่วนฝั่งตรงกันข้ามเป็นดงต้นสาคู

(ไม้น้ำชนิดหนึ่งจำพวกปาล์ม หรือ ต้นจากครับ)

         ผมหยุดมือที่กำลังฟอกสบู่ให้พี่นิว รอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ

          ...นั่น...ว่าให้แล้วยังไม่รู้สึก

            พี่นิวถลกผ้าผมไว้แค่หน้าขา แต่มือเขากลับเลื้อยเข้ามาลึกกว่านั้นอีก ผมตีมือนั่นแรง ๆ จนเขาต้องสูดปาก

(ผมมือหนัก) แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด นี่ถ้าเป็นสถานการณ์และสถานที่ปกติ ป่านนี้ผมคงมีอารมณ์ร่วมไปแล้วล่ะ

พี่นิวรู้เสมอว่า สัมผัสผมตรงไหนถึงจะเรียกอารมณ์อย่างว่าได้ ผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า

ความตื่นเต้นสามารถเร่งเร้าอารมณ์ร่วมรักให้เร่าร้อนและสุขสมได้มากกว่าปกติ   

แต่สำหรับผมตอนนี้ตื่นเต้นมาก....มากจนมันกลายเป็นกลัว และหวาดระแวงว่าใครจะมาเห็นเรา

           ผมผลักไหล่พี่นิวออกห่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ร่างหนา ๆ ไม่สะทกสะท้านเอาซะเลย

ส่วนมือก็ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ

           “พี่นิวหยุดเลย ผมไม่เอาด้วยนะ”

           “นะ...มันมืด ไม่มีใครมาเห็นหรอก นูลองดูไปรอบ ๆ สิ เราเห็นอะไรไหม เราไม่เห็น คนอื่นก็ไม่เห็น”

           “แต่ตรงนี้มันโล่ง ผม....”

           “ก็เพราะมันโล่งไง มันก็เลยกลืนไปกับความมืด...นะ พี่อยากลอง”

           ผมหันไปมองรอบ ๆ มันก็มืดอย่างที่พี่นิวว่า แต่ความหวาดระแวงก็ยังไม่หายไป

          “จะให้ผมทำอะไร”

           ผมอุบอิบถามเขาเสียงเบา ๆ

           “อยู่เฉย ๆ”

               ผมพยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้เขาทำตามชอบใจ พี่นิวพยายามเล้าโลมผมอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

จนเขาถอดใจ

           “เกิดอะไรขึ้น”

           “ผมกลัวมีคนมาเห็น”

            ครับ...ความกลัวเป็นตัวกดอารมณ์ปรารถนาได้ชะงัดนัก ผมไม่รู้สึกอะไรกับสัมผัสของพี่นิวทั้งที่เคยชอบ

        “พี่นิวก็ควรจะกลัวนะครับ เกิดลูกน้องมาเห็นจะทำไง”

           “อืม....”

            ดูท่าเขาเซ็ง ๆ และคงหมดอารมณ์ไปด้วยอีกคน จากนั้นเขาก็ยืนดี ๆ ให้ผมถูสบู่จนเสร็จ แล้วขึ้นจากน้ำ

ผลัดผ้าเปียกออกนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว และผมก็นุ่งโสร่งอีกผืนที่เตรียมมาเพียงผืนเดียว

กะว่าจะไปใส่เสื้อกล้ามที่บ้านเอา
      

      เราต้องเดินผ่านวงเหล้าก่อนจะถึงบ้านพัก คนงานปากเปราะคนหนึ่งท่าทางจะครึ้มจนได้ที่

ก็เลยผิวปากวี้ดวิ้วออกมา จากนั้นทั้งวงเหล้าก็เงียบเสียงลง ไม่มีแม้แต่เสียงช้อนกระทบจานสังกะสี

           หนึ่งในวงเหล้านั้นผมจำได้ว่าชื่อพี่ขนุน เป็นรองหัวหน้าคนงาน กำลังจ้องหน้าคนที่ผมเดาว่าเป็นคนผิวปากแซวเรา

นายคนนั้นก้มหน้าก้มตา แต่ท่าทางไม่ได้สำนึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ไม่ควรลงไป

และตอนนี้กำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง

            ส่วนพี่นิวหยุดเดินหันไปมองแวบเดียวแล้วก็ผลักไหล่ผมให้เดินต่อไป หลังจากนั้นเสียงในวงเหล้าก็สงบลง

แล้วก็วงแตกไปในที่สุด ผมไม่รู้ว่ามันสมควรแก่เวลา หรือเพราะว่านายคนนั้นเป็นตัวเร่ง ทำให้วงแตกกันแน่

แต่ก็ดีแล้ว เพราะนี่มันก็เรียกได้ว่าดึกมากสำหรับบ้านป่าแบบนี้ พวกเขาทำงานกันหนักมากแล้วในตอนกลางวัน

ถึงเวลานี้ก็ควรจะได้พักผ่อน เก็บแรงไว้ทำงานดีกว่า

   
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-11-2012 00:33:31
    

    
      ในห้องพักมีเตียงพับอยู่ตัวเดียว ซึ่งผู้ชายร่างใหญ่ กับ ร่างไม่เล็ก ขึ้นไปนอนเบียดกันบนนั้นคงไม่ไหวแน่

พี่นิวก็เลยลากที่นอนลงมาปูบนพื้นแล้วพับเตียงพิงไว้กับฝาผนัง ทั้งที่จริงแล้วพื้นที่สำหรับนอนมันก็เท่าเดิม

แต่เรากลับมั่นใจกว่าเมื่อนอนบนพื้นแทนที่จะนอนบนเตียงพับนั่น


           อากาศยามดึกที่นี่ค่อนข้างหนาว บ้านพักหลังนี้ไม่มีหน้าต่างเลยและมีประตูเพียงบานเดียวเท่านั้น

ช่องลมที่ตีไม้โปร่งไว้ด้านบนสุดของฝาผนัง ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีพอสมควร แต่มันก็พาเอายุงมาด้วย

แถมอากาศที่เริ่มเย็นทำให้ผมคิดถึงผ้าห่มจับใจ แต่ที่นี่ไม่มี ผมได้แต่เอาผ้าขนหนูกับโสร่งมาคลุมกาย

บรรเทาความหนาวเย็นเท่านั้น ผมไม่เคยมีประสบการณ์ออกมาค้างที่ไซท์งานแบบนี้

และพี่นิวก็ไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าเขาต้องมาทนอยู่ในสภาพไหนเวลาที่ต้องค้างที่แคมป์

ผมก็เลยไม่ได้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมา

           พี่นิวขยับเข้ามานอนใกล้ ๆ แล้วกอดผมไว้ในอ้อมแขนช่วยให้อุ่นขึ้น

ผมเบียดกระแซะเข้าไปชิดแผงอกของพี่นิวอีกหน่อย ทั้งที่จริงแค่นี้ก็ชิดพอแล้ว

แต่ทำไมไม่รู้ สำหรับคนที่เรารัก ใกล้แค่ไหนก็ยังไม่พอ ผมขยับลงมาหนุนแขนให้นอนถนัดขึ้น

พี่นิวก็เลยเอาคางมาเกยหัวผม

          “หัวเหม็นอะ” แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ

          ผมกำหมัดกระทุ้งไปที่หน้าอกเขาเบา ๆ....คนกำลังจะโรแมนติกอยู่แท้ ๆ บ่นออกมาได้ เสียบรรยากาศหมดเลย

แต่ผมก็นอนยิ้มได้อย่างมีความสุขกับไออุ่นจากกายของพี่นิว

      
      ผมเคลิ้มหลับไปตอนไหนไม่รู้ แล้วก็ตื่นตอนที่รู้สึกว่ามียุงบินหวึ่ง ๆ อยู่ข้างหู

มันน่ารำคาญมากเลยว่าไหม  ผมอยากจะยกมือขึ้นตบยุง แต่ติดตรงที่คนที่นอนกอดผมอยู่เขากำลังหลับสบาย

ก็เลยทำได้แค่ ยกมือขึ้นปิดหูเสียพอไม่ให้ได้ยินเสียง แต่นั่นก็ทำให้ผมหลับตาไม่ลงอีกเลย

      พอประสาทมันตื่นซะแล้ว สมองก็ทำงานของมันไปเรื่อยเปื่อย ผมกวาดสายตาไปรอบห้องที่มีเพียงความมืดมิด

ก็ใช่ว่าจะเห็นอะไร แต่ผมก็เห็น....
   
           ผู้ชายคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมทุกอย่าง หน้าตาดี ความรู้ดี ฐานะและความเป็นอยู่ดี

เขาไม่ต้องมานอนกลางดินกินกลางทรายอย่างนี้ก็ได้ แต่เขาก็มา เพราะนี่คือหน้าที่ความรับผิดชอบต่อครอบครัว

และเพื่อความหวังของใครอีกหลายคนในตระกูลที่ทุ่มเทมาให้เขา ด้วยว่าในอนาคตเขาต้องเป็นผู้นำ

ผมว่ามันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับคนหนุ่มวัยเลยเบญจเพสมาเพียงเล็กน้อยอย่างพี่นิว

           บ้านป่าห่างไกลความเจริญเป็นสถานที่ที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยว่าจะต้องมากินมานอนแบบนี้

ถึงจะมาทำงานก็เถอะ...ก็งานของผมอยู่ในตึกที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

พี่นิวเองก็เถอะ....เขาจะอยู่แต่ในสำนักงานติดเครื่องปรับอากาศก็ยังได้

แต่เขาเคยบอกผมว่า....ถ้าเราไม่เคยเป็นลูกน้องเราจะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลได้ยังไง....

ผมเถียงเขาว่า....ผู้บริหารแบงก์ผมไม่เห็นจะเคยมาเป็นพนักงานเทลเลอร์เลยซักคน ก็เห็นเขาได้รางวัลผู้บริหารดีเด่นได้

....แต่เขาก็เป็นแค่ลูกจ้างใช่ไหมล่ะ กิจการเจ๊ง เสียหาย อย่างมากเขาก็เปลี่ยนงาน

แต่เจ้าของกิจการทำอย่างนั้นไม่ได้ เราปัดความรับผิดชอบไม่ได้ และถ้าไม่เหลือวิสัยจริง ๆ 

ไม่มีใครอยากปิดกิจการแล้วมีแต่หนี้ติดตัวหรอก

......พี่นิวก็เป็นผู้บริหารไงครับ ทำไมต้องลงมาทำอะไรเองหมดทุกอย่างแบบนี้ล่ะ

.......ก่อนเราจะก้าวไปถึงขั้นนั้นมันก็ต้องรู้ตั้งแต่ดินทรายที่เราเอามาถมที่ ไปจนถึงงานที่จะต้องประมูลนั่นแหละนู

เพียงแต่วันนั้นพี่ไม่ต้องลงมาดูไซท์งานเองเท่านั้นแหละ แล้วถ้าพี่ไม่เคยมาดูให้เห็นกับตา พี่จะรู้จักงานที่พี่ทำเหรอ

ไม่รู้จักงานแล้วพี่จะบริหารมันได้ยังไง ไหนจะความเป็นอยู่ของคนงานอีกล่ะ

ถ้าเราไม่เห็นความเป็นอยู่ ไม่เคยเห็นการทำงานของเขา เราจะปกครองเขาได้ยังไง

ในเมื่อเราไม่ได้ทำงานอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา ลูกน้องบางคนก็เหลวไหล ถ้าตาเราสอดส่องมาไม่ถึง....

           ที่พี่นิวพูดมาทั้งหมดใช่ว่าผมจะไม่รู้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเขาจะลำบากลำบนไปทำไม

ในเมื่อมีลูกน้องข้างกายคอยรับคำสั่งอยู่แล้วตั้งสองคน ซึ่งผมมาคิดดูแล้วว่า การที่พี่นิวมีลูกน้องที่ไว้วางใจได้

และซื่อสัตย์ต่อเขาอย่างไม่ต้องเคลือบแคลงในพฤติกรรม ก็คงเพราะพี่นิวเป็นคนแบบนี้....

เขาเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างเสมอ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ระดับความสัมพันธ์

และผมก็เชื่อว่าผมเป็นที่หนึ่งสำหรับพี่นิวเสมอ


           ผมอยากยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เห็นในเงามืด เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกเต็มตื้นที่อยู่ในหัวใจผมให้เขาได้รับรู้ว่าฃ

ผมภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน พร้อมกันนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองช่างเล็กจ้อยเหลือเกินเมื่ออยู่ในอ้อมแขนที่ยิ่งใหญ่ของพี่นิว

ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรที่ดีและมีความหมายแสดงถึงความเป็นคนสำคัญอย่างที่พี่นิวทำอยู่เลย

เพราะบ้านผมก็แค่คนค้าขายธรรมดา ภาระหน้าที่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่า

ถ้าขาดผมไปกิจการที่บ้านจะติดขัด ดำเนินต่อไปไม่ได้

      
      แต่ผมก็รักเขาหมดหัวใจ และด้วยความรักของผม ผมสัญญาว่าจะทำให้เขามีความสุข

ผมจะไม่ทำให้ชีวิตของพี่นิวต้องตกต่ำลงเพราะผม แม้ว่าความรักของเราจะอยู่ในเงามืด

แต่ถ้าในเงานั้นมีเพียงเราสองคน ผมก็จะไม่ปล่อยให้พี่นิวต้องเดียวดายเป็นอันขาด

ที่ไหนมีพี่นิว    ที่นั่นจะมีผม

       ผมมองเห็นอนาคตของเราสองคนที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่ว่าอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาจะเลวร้ายแค่ไหนฃ

 เราสองคนจะฝ่าฟันไปด้วยกัน เรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตของเราเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ดียิ่งกว่าคำพูดใด ๆ ว่า

ไม่ว่าเมื่อไรเราก็จะยังรักกันเสมอ

      

       แล้วผมก็นอนตื่นสาย หลังจากที่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว

ตื่นขึ้นมาพี่นิวก็ออกไปทำงานแล้ว แสงสว่างส่องลอดเข้ามาตามช่องลม....จ้าซะขนาดนี้ ไม่ต่ำกว่าเก้าโมงเช้าแน่ ๆ

ผมนึกบ่นพี่นิวในใจว่า ไม่ยอมปลุกผมบ้างเลย สายขนาดนี้ผมจะไปอาบน้ำในคลองได้ยังไง

ผมเปิดประตูออกไปเห็นห้องแถวคนงานปิดประตูกันหมด คงจะไปอยู่กันที่หน้างานห่างออกไปประมาณร้อยเมตร

พอจะทำให้ผมกล้าผลัดผ้าลงไปอาบน้ำในคลองได้ แต่พอเข้าไปทำธุระในสุขาหลังบ้าน

ผมก็เห็นโอ่งใบย่อมที่มีน้ำอยู่เต็ม เมื่อวานยังไม่เห็นโอ่งใบนี้เลย

ผมยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่พี่นิวช่างเป็นห่วงเป็นใย และรู้ใจผมไปซะหมด

เขารู้ว่าผมอายที่จะอาบน้ำกลางแจ้ง และคงสั่งให้ใครเอาโอ่งน้ำมาวางให้ในนี้

         แต่แล้วผมก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อนึกได้ว่า....แล้วผมจะเอาอะไรตักน้ำอาบล่ะนี่

          เฮ้อ..พี่นิวของผม....

        ก็เลยต้องใช้ขันใบเดียว (สำหรับล้างก้น) ที่มีนั่นแหละครับ ตักน้ำอาบให้มันเสร็จ ๆ ไป


          เราค้างกันสองคืนครับ เป็นสองคืนที่ค่อนข้างทรมานสำหรับผมด้วยความไม่เคยชิน และเพราะไอ้ยุงตัวเดิม (หรือเปล่า)

ที่มันคอยตอมหวึ่ง ๆ อยู่ข้างหูตอนที่ผมหลับ

           ตอนสาย ๆ ของวันต่อมาเราก็พร้อมเดินทางกลับ ก่อนขึ้นรถพี่ขนุนรองหัวหน้าคนงานมาส่งเราพร้อมกับเงาะถุงใหญ่

ที่เราสองคนกินยังไงก็ไม่หมด

        “แม่ให้เอามาให้คุณนิวครับ”

           “เกรงใจอะพี่หนุน ฝากขอบคุณแม่ด้วยนะ แต่สงสัยผมคงต้องแบ่ง ๆ ให้พรรคพวกอะ กินไงหมดเนี่ย”

           “แม่เขาก็คงคิดไว้แล้วว่าคุณนิวคงเอาไปแจกนั่นแหละ ถึงได้เก็บมาซะขนาดนี้”

           ผมเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านผู้โดยสารเพื่อจะขึ้นไปนั่งรอ เพราะผมไม่คุ้นเคย ไม่รู้จะคุยอะไร

แต่ประโยคต่อไปของพี่ขนุนทำให้ผมต้องยืนค้ำหลังคารถ ขอฟังด้วยคนอย่างเสียมารยาท

           “นี่ก็ยังบ่นผมไม่เลิกว่าทำไมไม่ไปพักที่บ้าน อุตส่าห์ปัดกวาดเช็ดถูห้องไว้ให้”

           พี่นิวเหลียวมาดูผมแว่บหนึ่งแล้วก็หันกลับไปบอกลาลูกน้อง

           “ไปล่ะพี่หนุน เดี๋ยวจะถึงบ้านค่ำ”

           “ครับ ขับรถดี ๆนะครับคุณนิว...แล้วมาเที่ยวอีกนะครับคุณนู”

            ผมยกมือไหว้พี่ขนุน เพราะพี่เขาอาวุโสกว่าพี่นิวหลายปี ทำเอาพี่ขนุนรับไหว้แทบไม่ทัน

คงคิดไม่ถึงว่าผมจะทำ เพราะผมเป็นน้องพี่นิวก็เป็นเหมือนนายจ้างอีกคน

พี่นิวอาจจะต้องวางตัวในฐานะนายจ้าง แต่ผมอะ ไม่ต้องก็ได้

ผมถือว่าการยกมือทำความเคารพตามลำดับอาวุโสยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสังคมบ้านเราอยู่

       ก่อนออกรถพี่ขนุนบอกพี่นิวว่า จะจัดการเรื่องคนงานเมื่อคืนวานให้เรียบร้อยไม่ต้องเป็นห่วง

ก็ไม่รู้ว่าเขาไปคุยอะไรกันตอนไหน ความจริงผมไม่ได้ติดใจที่โดนแซว คิดซะว่าก็แค่คนเมา

ส่วนพี่นิวผมมองไม่ออก จะว่าเป็นคนเก็บอาการก็อาจจะใช่ หรือเขาอาจจะไม่ใส่ใจเอาเลยก็ใช่อีก

       
     ระหว่างทางผมเอ่ยถามในสิ่งที่ยังคาใจที่ได้ยินมาจากพี่ขนุน

     “บ้านพี่ขนุนอยู่ไหนเหรอครับ”

          “ก็ไม่ไกลอะ”

          “เขาชวนเราไปค้างที่บ้านเหรอครับ”

          “ก็...อืม”

        “ทำไมไม่ไปอะ มันน่าจะสะดวกกว่านี้ไหมครับพี่นิว”

          “ก็สะดวก”

        ไอ้อาการถามคำตอบคำ มันชวนให้ผมสงสัยหนักกว่าเก่าอีกครับ จากที่รู้สึกแค่ตะหงิด ๆ ในใจ

ตอนที่พี่ขนุนบอกว่าเขาเตรียมที่พักไว้ให้แล้ว นั่นไม่ได้แปลว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าเราจะมากันหรอกหรือ

แล้วทำไมผมยังต้องไปนอนตากยุงในเพิงแคบ ๆ ด้วยล่ะ

          “แล้วเวลาพี่นิวมาค้าง พี่นิวนอนที่เพิงนั่นทุกทีเหรอครับ”

          “ก็...ไม่....ไม่แน่อะ”

         “ไปพักบ้านแม่พี่ขนุนสิครับ”

         “ก็มีบ้าง”

          เสียงตอบชักอึก ๆ อัก ๆ แผ่ว ๆ หาย ๆ ไม่หนักแน่นเหมือนเวลาที่เขาตอบคำถามผมตามปกติ

ทำให้ผมนึกรู้แล้วว่าเขาแกล้งให้ผมนอนตากยุง ผมเลยทำหน้างอใส่ซะเลย

         “ดูนี่ดิ ผมโดนยุงกัดอะ”

         ผมยื่นแขนข้างขวาที่มีจุดแดง ๆ ของรอยยุงกัดเข้าไปใกล้ ๆ พอให้เขาเหลือบมามองได้

โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนข้างหน้ามากนัก แต่เขาก็ไม่หันมา

         “พี่เห็นตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้แล้ว”

         ...อ้อ...แล้วก็ทนดูให้ผมโดนยุงกัดอะนะ ด้วยความหมั่นไส้ปนน้อยใจผมก็เลยนั่งเฉย ๆ ไม่พูดกับเขาเสียดื้อ ๆ

ชวนผมมาให้ลำบาก นี่ถ้าได้นอนสบาย ๆ ที่บ้านแม่พี่ขนุนผมก็คงไม่ต้องโดนยุงกัด

ไหนจะต้องนอนหนาวอีก ผ้าห่มก็ไม่มี

         พักใหญ่ ๆ กว่าที่พี่นิวจะจับมือผมแล้วก็พูดเป็นเชิงขอโทษ

          “ก็พี่อยากอยู่กับนูตามลำพังนี่ บ้านพี่หนุนก็ดีหรอก สะดวกสบายกว่าเยอะ มีห้องน้ำห้องส้วมเป็นสัดส่วน

อาหารการกินก็พร้อม แม่พี่หนุนเขาก็ต้อนรับพี่ดี แต่เขาก็อยู่กันหลายคน นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีทั้งน้องชายน้องสะใภ้

หลานอีก 2 คน พี่หนุนเขายกห้องเขาให้พี่นอนทุกทีเวลาพี่มาดูงาน ส่วนเพิงนี่ก็สร้างไว้พักตอนกลางวัน

พี่ไม่เคยค้างหรอก ก็...ยุงมันเยอะอย่างว่า”

         ผมจะงอนต่อ หรือว่าจะหายงอนดี ตอนนี้คิดไม่ออกเลย

ก็ในคำสารภาพนั้นไม่ได้แปลว่าเขาแกล้งนี่นา เขาแค่ยอมให้เราอยู่ด้วยกันสองคนอย่างลำบากนิดหน่อย

แลกกับยุงอีกสองสามตัวที่มันเจาะเนื้อผม

         “แล้วยุงกัดพี่นิวหรือเปล่าอะ”

         ผมดึงมือออกจากมือเขา แล้วจับแขนเสื้อแจ็กเก็ตที่ยาวจรดข้อมือเลิกออกดู

เห็นจุดแดง ๆ ตามแขนไม่น้อยไปกว่าผมก็เลยน้ำตาซึม (สำออยเน้อะ)

ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ใช่ว่าเราจะไม่เคยอยู่ด้วยกันตามลำพังเสียเมื่อไร

        พี่นิวหันมายิ้มให้....รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน มีไว้ให้ผมคนเดียวเสมอมา

ผมคว้าเป้ที่วางไว้บนเบาะหลัง หยิบขวดยาหม่องออกมาทาตรงรอยยุงกัด

ผมรู้ว่ามาทาเอาตอนนี้มันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก แต่ผมก็อยากจะทำ

แล้วเขาก็นั่งนิ่ง ๆ ให้ผมทาอยู่อย่างนั้น

          จะว่าไปแล้ว นอกจากเรื่องนอนหนาวกับนอนตากยุง พี่นิวก็ทำให้ผมมีความสุขดี

แต่ผมคงต้องกลับไปเตรียมข้าวของเก็บไว้ท้ายรถพี่นิวบ้างแล้ว เผื่อว่าต่อไปถ้าต้องค้างที่แคมป์อีก

จะได้ไม่ต้องถูกยุงกัด
 
     ผมไม่สงสัยแล้วว่าพี่นิวอยู่ยังไง กินนอนยังไง เวลาที่ต้องมาดูงานเพราะได้มาเจอด้วยตัวเอง

แล้วผมก็นึกโทษตัวเองว่า ที่จริงควรจะใส่ใจเขาให้มากกว่านี้ พี่นิวไม่เคยบอกผมก็ไม่เคยถาม

ทั้งที่ถ้าผมถาม เขาก็จะพูดจะเล่าให้ฟังน่ะแหละ

มีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมยังต้องเรียนรู้ที่จะทำให้คนที่ผมรักมีความสุข


      
       สามชั่วโมงต่อมาเราก็จวนจะถึงบ้านกันแล้ว ได้เวลาอาหารเย็นพอดี

เลยแวะกินข้าวเคล้าบรรยากาศยามสนธยากันที่ร้านอาหารบนเกาะ

มองออกไปทางทิศตะวันออกเป็นทะเลเรียบ ๆ ที่แสงของตะวันชิงพลบทอประกายเป็นเกล็ดสีเหลืองทอง

สะท้อนผิวน้ำยามต้องลม

          อาหารที่นี่ไม่ได้อร่อยมากมายอะไรนัก แต่ได้ชื่อว่าอาหารทะเลสดเท่านี้ก็พอแล้ว

          “อยากกินปูอะ”

          “เขาบอกว่ามันไม่สดพี่เลยไม่สั่ง กินเข้าไปดีไม่ดีเดี๋ยวท้องจะเสียเอา ไม่คุ้มกับที่อยาก”

          “สั่งเป็นผัดผงกะหรี่ได้ไหมอะ”

          “เดี๋ยวท้องเสีย”

          “ก็ผมอยากกิน”

          “งั้นย้ายร้านไหม ถามเขาก่อนว่าปูสดไหม ถ้าสดเราค่อยนั่ง”

           ผมลองชั่งใจ เดินเข้ามานั่งแล้วไม่สั่ง แต่ดันเดินไปถามร้านอื่น เขาจะว่าอะไรไหม

แล้วร้านอื่นปูจะสดไหม  ถ้ามันเหมือน ๆกัน จะกลับมากินร้านนี้อีกมันจะน่าเกลียดไหม

         “ไปเถอะ...แค่ร้านข้าง ๆ ก็ได้”

          พี่นิวตัดสินใจแทน แล้วทำท่าจะลุกจากโต๊ะจริง ๆ

          “ไม่ดีกว่าครับ นั่งร้านนี้แหละ ไม่เอาปูก็ได้”

           ผมจับแขนพี่นิวให้นั่งลง ไม่สนใจปูสดอีกต่อไป จากนั้นก็เปิดเมนูเลือกอาหารทะเลอย่างอื่น

รู้สึกผิดยังก็ไม่รู้ ที่ผมเหมือนจะกลายเป็นคนเรื่องมากกะอีแค่เรื่องกิน ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น....

นี่เพราะพี่นิวน่ะแหละ ตามใจจนผมเคยตัว (555 โทษเขาได้อีก)


             หลังอาหารพี่นิวก็ขับรถกินลมริมทะเล ถึงจะมองออกไปไม่เห็นทะเลเพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว

แต่ผมก็ชอบที่จะฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง และเสียงลมล้อยอดสน

           เราจอดรถตรงลานซีเมนต์ที่มีรถจอดอยู่บางตา เพราะคนส่วนใหญ่กลับกันไปหมดแล้ว

สปอตไลท์จากเสาสูงสาดแสงสว่างจ้าไปทั่วชายหาดเพื่อให้ความปลอดภัยกับคนที่มาเที่ยว

แต่เราสองคนกลับเดินเลี่ยงออกไปในที่ที่แสงส่องไม่ถึงแล้วจับจูงมือกันเดิน

มันเป็นความสุขและความอิ่มเอมเล็ก ๆ ที่อยู่ในส่วนลึกของผม

ราวกับว่าผมได้ประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกัน

ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

          “เราลองนั่งตรงนี้จนเช้าได้ไหมพี่นิว”

          ผมหย่อนก้นลงนั่งบนทรายชื้น ๆ ให้ใกล้กับแนวคลื่นมากที่สุด แล้วยังดึงแขนอีกคนให้นั่งลงตาม

          “นั่งทำไม”

          “รอดูพระอาทิตย์ขึ้นไง”

          พี่นิวหัวเราะความคิดของผม แล้วบอกว่า

         “ถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้น เดี๋ยวตีห้าเรามากันอีกทีก็ได้”

          ผมเบะปากใส่พี่นิวด้วยความหมั่นไส้....ทำยังกับว่าเราไม่เคยมีแผนที่จะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น

งั้นแหละ แล้วไงล่ะ...สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ไม่เคยที่จะตื่นให้ทันเวลาได้สักที

         “อย่ามาโทษพี่”

          “ผมเปล่า”

           พี่นิวเอามือจิ้มหน้าผากผมจนหน้าหงาย แล้วก็บอกว่า จะเปิดโรงแรมริมทะเลนอนกันก็ได้

ถ้าผมอยากดูจริง ๆ แต่ผมว่ามันก็เกินไปนะ ที่นี่กับบ้านเราห่างกันแค่ขับรถไม่ถึงยี่สิบนาที

ค่าที่พักในโรงแรมริมทะเลก็ใช่ว่าจะถูก ๆ เราก็เลยแค่นั่งเล่นกันตรงนั้นอีกพักใหญ่ ๆ

นั่งไปนั่งมาผมก็ชักจะง่วง ก็เลยเอนลงพิงไหล่แข็ง ๆ ของคนข้าง ๆ

           “ไงอ่ะ เปลี่ยนใจนอนโรงแรมไหม”

           “ไม่เอาอะ เสียดายตังค์ พี่นิวอะครับ ง่วงไหม”

           “ยัง แต่กลับกันเลยก็ดีนะ นูท่าทางจะง่วง”

            แล้วเสียงโทรศัพท์ของพี่นิวก็ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุยของเรา

           “ครับแม่”

       ..............

           “อยู่ริมทะเลครับ เสียงมันดังมากเลยเหรอ”

            พี่นิวพูดไปหัวเราะน้อย ๆ ไป คุณแม่คงได้ยินเสียงคลื่นแทรกเข้าไปเพราะเรานั่งอยู่ติดทะเลมาก ก็เลยถาม

ซึ่งปกติเวลาที่คุณแม่โทรมาเรามักจะอยู่ที่บ้าน

           “อ้าว...จะมาทำไมไม่บอกก่อน”

       .............

          “ครับแม่ กำลังจะกลับพอดี”

          .............

           “แม่จะเอาอะไรไหม ผมจะซื้อไปฝาก”

       ............

            “ได้ครับแม่”

            พี่นิวกดวางสายแล้วยังมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ด้วยท่าทางมีกังวล

            “คุณแม่มาเหรอครับพี่นิว”

         “อืม...มีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะมา”




หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 23-11-2012 01:53:38
พี่นิวน่ารักอ่ะ แถมรักนูมากๆๆด้วย
เข้าใจพี่นิวผิดซะตั้งนาน
ต้องขอโทษที่ว่าพี่นิวไว้เยอะพอสมควรเลย :sad4:

รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 23-11-2012 01:57:13
 :กอ :กอด1:อิจฉาจัง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 23-11-2012 06:11:54
พอเรื่องไม่ดีผ่านไป
ก็กลับมาหวานกว่าเดิมอีก
น่ารักมากๆเลย
ต่างคนต่างใส่ใจกับอีกฝ่าย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 23-11-2012 07:04:20
 o13  น่ารักมากมาย 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 23-11-2012 07:22:13
ตอนท้ายๆเหมือนจะมีมาม่านะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 23-11-2012 07:46:18
โชคดีทั้งคู่ที่ยังรักกันเสมอมาจนได้อยู่ด้วยกันในที่สุด
แต่...จะเกิดอะไรขึ้นอีกหนอ :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 23.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 23-11-2012 07:54:25
อบอุ่นจัง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 24-11-2012 22:02:53


นั่งกดเป็ดเหลืองย้อนหลังให้ทุก ๆ คอมเม้นท์ครับ

ละเลยคำขอบคุณไปนานเลย

ก็พอดีได้อ่านทุก ๆ คอมเม้นท์ซ้ำไปอีกที

พี่นิวเค้าตามมาอ่านด้วย พออ่านซ้ำแล้วก็ิยิ้ม ๆ ครับ

แถมมาเจอที่ผมเอาคำพูดเค้ามาบอกว่า ถึงตอนดี ๆ ของเค้าก็เล่ามั่ง ก็ิยิ่งขำ

ผมเลยได้มาอีกดอก.....กะจะเอามาเขียนทุกเม็ด ไม่ให้ตกหล่นเลยใช่มั้ย.....

ทำไงได้ วิถึทางทำมาหากินของผมอะเนอะ 555


รอสักครู่นะครับ ผมกำลังจัดหน้าตอนใหม่ ....เดี๋ยวเจอกันครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 24-11-2012 22:43:18
ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านนาน
มัวแต่ทำการบ้าน 5555
พี่นูกับพี่นิวยังน่ารักเหมือนเดิมเลย  :กอด1:
      ปล. เป็นกำลังใจให้พี่นูนะครับ :L2: :L2: 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 24-11-2012 23:27:10
 


           กลับถึงบ้านไม่ดึกมาก คุณแม่กำลังรอพี่นิวอยู่ในห้องหนังสือ เป็นอันรู้กันว่า

มีเรื่องสำคัญจากทางโน้นจะพูดด้วย ผมก็เลยปลีกตัวขึ้นบ้าน ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้านอนเลย

แต่ก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปเตรียมชุดนอนให้พี่นิวไว้ที่ห้องของเขา


           เสียงเปิดประตูเบา ๆ ก่อนตัวคนเปิดจะมาหย่อนตัวนั่งบนเตียงผม ทำเอาที่นอนยวบเลย...พ่อคนตัวหนัก

      “กี่ทุ่มครับเนี่ย”

      “เที่ยงคืนแล้ว”

      “คุณแม่คุยนานจัง เรื่องสำคัญเหรอครับ”

      ที่ผมว่านานเพราะตั้งแต่ถึงบ้านตอนยังไม่ถึงสามทุ่มดี จนถึงเที่ยงคืนนี่ก็เกือบสามชั่วโมง

พี่นิวก็ยังใส่ชุดเดิมแสดงว่าเพิ่งคุยกันเสร็จ ปกติคุณแม่ไม่ค่อยคุยอะไรนาน ๆ ขนาดนี้เลยครับ

      พี่นิวพยักหน้า แล้วเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากผมเบา ๆ

      “ไปนอนเหอะ ดึกแล้วนะครับ แล้วพรุ่งนี้อะ....พี่นิวจะไปทำงานกี่โมง”

      “พรุ่งนี้จะไปโน่น ย่าให้มาตาม”

      “โทรมาก็ได้นี่ครับ ทำไมคุณแม่ต้องมาเอง”

      ผมอดแปลกใจไม่ได้ ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนผมว่า เรื่องนี้พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมา

นอกจากคุณย่าที่ไม่เคยตามตัวให้ไปพบแล้ว คุณแม่ยังต้องมาบอกด้วยตัวเองอีก หรือว่าบางที

คุณแม่จะมาเตือนว่าคุณย่าจะพูดเรื่องอะไร เลยต้องมาบอกให้พี่นิวเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน

แต่ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะเป็นเรื่องอะไร.....ก็เพราะผมรู้ตัวอยู่เสมอว่า

จะอย่างไรผมก็ยังเป็นคนนอกสำหรับคนในตระกูลนี้อยู่ดี นอกจากความเป็นลูกบุญธรรมของคุณพ่อคุณแม่พี่นิวฃ

เป็นน้องชายนอกไส้ของพี่นิว ผมก็แทบจะไม่ได้ก้าวเข้าไปมีส่วนแม้เศษเสี้ยวในตระกูลนั้นเลย

ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าครอบครัวพี่นิวไม่เอ่ยปากออกมา ผมก็ไม่เคยแทรกตัวเข้าไป


         วันรุ่งขึ้นพี่นิวกับคุณแม่ออกรถไปกันแต่เช้า ผมตื่นขึ้นมาส่งขึ้นรถก่อนที่ตัวเองจะไปทำงานบ้าง

สีหน้าพี่นิวยังดูมีกังวลอยู่ทำเอาผมเป็นห่วงไม่หาย แต่ถ้าเขาไม่เอ่ยปาก ผมก็ไม่กล้าถาม

เรื่องที่คุณแม่พูดกับพี่นิวเมื่อคืนนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ผมจำเป็นจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง คุณแม่ก็คงจะบอกกับผมแล้ว

และแม้แต่พี่นิวเอง ก็คงจะพูดให้ผมฟังบ้าง ความกังวลที่เขาแสดงออกมาทางสีหน้า ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา ๆ

ที่ท้ายที่สุดแล้วพี่นิวของผมก็จะจัดการมันได้สำเร็จเหมือนทุกครั้ง ผมก็เลยพยายามตัดมันออกจากความคิดไป

เพราะงานของผมต้องใช้สมาธิ...นับเงินนี่ครับ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็พลาดได้ง่าย ๆ

ทั้งที่ก็แค่นับหนึ่งถึงห้าสิบให้ครบนี่แหละ แต่บางทีมันก็พลาดเอาดื้อ ๆ

มันไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะนับขาดหรือเกิน


      
     ผมอยู่บ้านคนเดียวได้สามวัน พี่นิวก็กลับมาคนเดียว สีหน้ายังคงมีริ้วรอยกังวลปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

ผมทำได้เพียงคอยดูแลสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้รบกวนอารมณ์พี่นิวซ้ำเข้าไปอีก เพราะผมไม่รู้จริง ๆว่าเขาเป็นอะไร

ผมรู้แต่เพียงว่า เวลาที่พี่นิวไม่สบายใจ ผมอยากทำอะไรก็ได้ให้เขารู้สึกดีขึ้น

           อย่างเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาก่อนจะเข้านอน หลังจากที่ผมเตรียมเสื้อผ้าให้พี่นิวเสร็จแล้ว

ผมก็ยังไม่กลับห้องของตัวเอง ผมวางเตาน้ำมันหอมระเหยอังด้วยเทียนไขอันเล็ก ๆไว้บนโต๊ะที่หัวเตียงด้วย

วันนี้ผมเหยาะกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไป เพื่อช่วยให้อารมณ์ผ่อนคลาย ผมหยิบครีมนวดฝ่าเท้ามารอไว้

ตั้งใจจะนวดเท้าให้พี่นิวจนกว่าเขาจะหลับ

           พี่นิวเดินออกจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เนื้อตัวยังเปียกไปด้วยหยดน้ำ แถมหัวยังเปียกอีกด้วย
      “ทำไมสระผมกลางคืนล่ะครับ”

      “มันตึง ๆ มึน ๆ”

      “งั้นเป่าผมให้แห้งก่อนดีกว่านะครับ นอนทั้งที่หัวยังเปียกอยู่เดี๋ยวจะเป็นเชื้อรา”

           ผมลุกออกไปหยิบไดรเป่าผมที่ห้อง กลับเข้ามาพี่นิวก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียงแล้ว

อาการแบบนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่เขามีเรื่องไม่สบายใจ เห็นแล้วชวนให้วิตก จะดีกว่าไหมถ้าเขาจะพูดออกมาให้ผมฟังบ้าง

บางทีเพียงแค่มีใครรับฟัง เรื่องหนักอกมันก็อาจจะเบาลงได้

         ผมทำเป็นไม่สังเกตความเป็นไปของเขา เป่าผมให้เสร็จแล้วก็หยิบเสื้อผ้ามาให้สวม จับให้นอนก็นอน

พี่นิวก็ทำตามไปเหมือนหุ่นยนต์
   
       “จะทำอะไรน่ะนู”

         เค้าถามเมื่อผมนั่งขัดสมาธิ เอาหมอนใบเล็กวางบนตักเพื่อหนุนเท้าให้

      “นอนเฉย ๆนะครับ ผมจะนวดเท้าให้”

         ผมตักเนื้อครีมสีขาวนวลออกมาทาให้ทั่วตั้งแต่ข้อเท้าจนถึงปลายนิ้วเท้า แล้วค่อย ๆ นวดคลึงไปตามสัญชาตญาณ

ตามที่เคยเห็นการนวดฝ่าเท้ามาบ้าง เวลาไปเป็นเพื่อนน้าของผมที่สถานที่นวดแผนโบราณ

แต่ผมไม่เคยใช้บริการ เพราะดูมันยังไม่จำเป็นสำหรับผม และผมก็ชอบใช้ครีมทาเท้า

เลยคิดว่าเอามาประยุกต์ ใช้กับพี่นิวแทนน้ำมันนวดที่เขาใช้น่าจะดีกว่า

         ลูกค้าของผมหลับตาพริ้มทีเดียว แต่ผมรู้ว่าเขายังไม่หลับ นาน ๆ ครั้งก็จะถอนหายใจแรง ๆ ออกมาทีหนึ่ง

      “พี่นิว....ผมเล่านิทานให้ฟังเอาไหม”

      “หือ?”

      พี่นิวลืมตาขึ้นมามอง

      “นิทานอะไร”

      “อะไรก็ได้ครับ พี่นิวอยากฟังเรื่องอะไรอะ”

       พี่นิวหัวเราะขำผม แล้วก็ส่ายหัว ไม่พูดอะไรต่อ ที่จริงผมก็นึกไม่ออกว่าจะเล่านิทานเรื่องอะไร

ไอ้ที่เคยอ่านสมัยเด็ก ๆ มันก็ลืม ๆ ไปมั่งแล้ว เอามาเล่าเดี๋ยวจะเพี้ยน แต่ผมก็ไม่อยากอยู่เงียบ ๆ

ก็เลยชวนคุยเรื่องโน้น เรื่องนี้ พอหมดมุกเข้าก็วกเข้ามาเรื่องเพื่อนสนิทของเราเอง

      “ปืนชวนไปเที่ยวบ้านเขาอะครับพี่นิว”

      “บ้านไหน...บ้านพ่อแม่เขาน่ะเหรอ”

      “ก็งั้นสิครับ บ้านที่นี่จะชวนทำไม เราอยากไปเมื่อไรเขาก็ไม่ว่าอยู่แล้ว”

      “เมื่อไรอะ แต่อาทิตย์หน้าพี่ไม่อยู่นะ จะไปต่างจังหวัด ดูงานที่แคมป์”

      “ไปค้างเหรอครับ”

      “ค้างไม่ได้หรอก แต่ต้องไปทุกวัน ออกตอนเช้า พอบ่ายสองก็ต้องรีบกลับแล้ว”

          อย่างที่รู้กันว่าเหตุการณ์ในเขตสามจังหวัดบางพื้นที่ยังไม่สงบ คนที่จะเดินทางไปที่นั่นต้องรู้จักเส้นทางดี

และต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะออกจากพื้นที่นั้นได้แล้ว ซึ่งพี่นิวก็ได้อาศัยลูกน้องที่เป็นคนในท้องถิ่น

คอยบอกความเคลื่อนไหวให้อยู่

           ผมแอบบ่นว่าทำไมยังต้องประมูลงานแถวนั้นด้วยก็ไม่รู้ พี่นิวบอกว่างานนี้บริษัทเราไม่ได้ประมูลเอง

แต่รับช่วงมาจากบริษัทที่ประมูลโครงการได้ เราทำเฉพาะส่วนที่ถูกว่าจ้างแกมขอร้องให้ทำ ผมก็เข้าใจดีครับ

เพราะว่ากิจการรับเหมาทำโครงการใหญ่ ๆ บางครั้งก็จำเป็นต้องว่าจ้างบริษัทที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน

มารับช่วงเป็นส่วน ๆ ไป ถ้าประเมินแล้วว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ หรือไม่คุ้มค่าแรง ค่าเช่าอุปกรณ์

และที่เราต้องรับมาก็เพื่อรักษาพันธมิตรทางธุรกิจไว้ เพราะหลายครั้งที่เราเองก็ต้องส่งงานต่อให้บริษัทอื่นรับไปเหมือนกัน

แต่ขนาดว่ารับช่วง งานนี้ก็มีมูลค่าหลายสิบล้าน แล้วก็ตามเคยครับ พี่นิวจะเป็นคนไปตรวจงานเองทุกที

ทั้งที่คุณพ่อเคยบอกไว้ว่าให้ลูกน้องคนที่ไว้ใจได้หน่อยไปดูให้ก็พอ เพราะท่านก็ห่วงลูกชายคนเดียวไม่น้อย

แต่คุณพ่อก็คงทราบดีเหมือนกันว่า ลูกชายคุณพ่อน่ะ....ดื้อ ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง คงมีแต่ผมที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากที่เขาโทรบอกว่าออกจากที่นั่นแล้ว

      “แล้วปืนจะไปวันไหน”

      “เสาร์หน้าครับ พี่นิวเสร็จงานวันไหนนะ”

      “ถ้าไม่ศุกร์ก็เสาร์ ยังไม่แน่เลย”

      “งั้นผมไม่ไปก็ได้ ถ้าพี่นิวไม่อยู่ผมไม่ไปดีกว่า”

      “อยากไปก็ไปได้นี่ ค้างคืนหรือเปล่า”

      “ค้างคืนเดียวครับ กลับเช้าวันอาทิตย์ เพราะวันจันทร์ทำงาน ไม่อยากกลับค่ำอะ กลัวจะเมารถแล้วเพลีย

เช้าวันจันทร์จะลุกไม่ไหว”

      “นั่นสิ นูนี่เป็นไงไม่รู้นะ เมารถไม่หายซะที”

      “ก็ยังดี....”

         ผมลากเสียงยาว กะจะจิกคนไม่เมารถ แต่ชอบเมาเหล้าซะหน่อย

      “ดียังไง เมารถเนี่ยนะ จะไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่สนุก เมาแล้วก็อ้วก”

          นักดื่มยังไม่รู้ว่าจะโดนเล่น

      “ดีกว่าเมาเหล้าแล้วให้ผมคอยเช็ดอ้วกไง”

          ขาสองข้างของพี่นิว ยกขึ้นมาพร้อมกันพาดตรงบ่าผมแล้วหนีบเข้ากับคอ พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ตามมาของพี่นิว

ผมคว้าขาเขาจับถ่างออกแล้วโถมลงไปทับคนที่นอนหัวเราะอยู่อย่างแรงจนไอแค่ก ๆ

      “โอ๊ย....จุก...ล้มลงมาได้ คิดว่าตัวเองเบานักหรือไง”

      “ดี...สมน้ำหน้า ทีตัวเองนอนทับเค้า ไม่คิดว่าเค้าก็หนักหรือไง”

      “ไม่เห็นเคยบ่น”

      “บ่นจนเลิกบ่นไปนานแล่ว”

          พี่นิวจับตัวผมพลิกให้ลงนอนข้างล่าง แล้วตัวเองก็ขึ้นไปนอนทับผมแทน...ตัวหนักเหมือนเดิมครับ

ที่จริงน่าจะหนักขึ้นด้วยแหละ คนอะไรยิ่งโตตัวยิ่งใหญ่....ใหญ่ไปหมดทุกส่วน 555

      “คืนนี้นอนห้องพี่นะ”

         ผมส่ายหน้าดิก....ไม่เอาหรอก ผิดกติกา

      “นวดเท้าพี่นิวเสร็จแล้ว ผมก็จะไปนอนครับ ง่วงแล้ว”

      “ง่วงก็นอนที่นี่แหละ”

           ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้เล่นตัวหรอกครับ แต่บ้านเราไม่ได้มีแค่เราสองคน จะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้

ขนาดว่าไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ทุกครั้งที่ผมจะออกจากห้องพี่นิว หรือว่าพี่นิวออกจากห้องของผม

ผมจะต้องคอยสำรวจความเรียบร้อยว่า ทำอะไรตกหล่นไว้บ้างหรือเปล่า อย่างพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสื้อผ้า

ผมระมัดระวังจนมันกลายเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว ไม่งั้นตอนพี่นางขึ้นมาทำความสะอาด

ก็อาจจะพบเห็นอะไรที่ชวนให้คิดเตลิดเปิดเปิงเอาได้

          นัวเนียกันพักเดียวก็ได้เรื่อง พอเครื่องร้อนแล้วก็หยุดไม่ได้ ครั้งนี้ผมรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของพี่นิว

ที่ผมเห็นมาหลายวัน บทรักของเขาดูมันเฉื่อย ๆ เนือย ๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แถมยังไม่เป็นฝ่ายเล้าโลมผมเสียอีก ทั้งที่ปกติเราก็ช่วยกันดี แต่คราวนี้ต้องเป็นผมที่พยายามปลุกเร้าให้เขาตื่นตัว

แล้วยังใช้เวลานานเสียจนผมแทบจะหมดอารมณ์ไปเลย


       ผมกลับมานอนที่ห้องของตัวเองหลังจากพี่นิวหลับไปแล้ว ด้วยความคิดที่ยังค้างคาใจ ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

มันร้ายแรงแค่ไหน ผมอยากช่วย แต่ก็ไม่กล้าพอที่เอ่ยปากถาม ผมไม่เคยตั้งสัตย์ปฏิญาณว่า

จะไม่ก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของพี่นิว หากในส่วนลึกผมก็ทำเช่นนี้มาตลอด จะดีไหมนะ

ถ้าผมจะละเมิดความตั้งใจของตัวเองสักครั้ง

      พรุ่งนี้เถอะ....ผมจะถามเขา ช่วยได้หรือไม่ได้ผมไม่สนแล้ว ขอเพียงได้แบ่งเบาความทุกข์ใจ

จากคนที่ผมรักมาบ้างเป็นพอ


        วันนี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราสองคนได้อยู่กับบ้านเพื่อพักผ่อน ผมก็เข้าครัวทำของกินเล่นมาเสิร์ฟพี่นิว

ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องโถงชั้นบน แล้วอยู่ ๆ พี่นิวก็พูดขึ้นมาว่าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง

      “เท่านี้ยังเหนื่อยไม่พอเหรอครับ”

         ผมย้อนถามเขาเล่น ๆ ไม่คิดสักนิดว่าเขาจะตั้งใจจริง

      “ไม่ได้ไปแบกหาม จะเหนื่อยอะไรนักหนา เหนื่อยแบบพี่ พักเดี๋ยวเดียวก็หาย”

      “จะทำอะไรล่ะครับ บริษัทรับเหมาเหรอ”

      “จะทำไปทำไมอีก”

      “อ้าว....ก็ผมเห็นบริษัทอื่นเขาเปิดบริษัทลูกรอรับช่วงงานประมูลจากบริษัทแม่ หรือไม่ก็

เอาไว้ยื่นซอง กันบริษัทคู่แข่งไง”

      “อืม...น่าคิดเนอะ เอาไว้รับช่วงงานบริษัทเราเอง แต่ไม่ดีกว่า ถ้าพ่อเขาเห็นว่าดี เขาคงทำไปแล้วล่ะนู

พี่อยากทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย”

      “ยามเนี่ยนะ”

      “แนว ๆ นั้น แต่เราไม่ได้ทำแค่ยามนะ พี่กะว่าจะมีบอดี้การ์ดด้วย”

      “เราไม่มีประสบการณ์เลยนะครับ”

      “ใช่ มันก็ต้องใช้เวลา แต่พี่มีคนรู้จักที่พอจะปรึกษาได้ อาจจะให้เขามาเป็นคนดูแล”

         พี่นิวเอ่ยชื่อนายทหารคนหนึ่งที่เคยมาบ้านเราสมัยที่คุณแม่ยังไม่ปิดกิจการ ตอนนั้นคุณแม่เรียกเสธ.

แต่ตอนนี้ตำแหน่งคงจะก้าวไปไกลกว่านั้นแล้ว เป็นที่รู้กันว่าท่านเป็นคนกว้างขวางมาก คุณพ่อของเสธ.

เป็นนายตำรวจนอกราชการที่เกษียณอายุในตำแหน่งที่ใหญ่พอดู และยังพอมีบารมีอยู่บ้าง

      “ระดับนั้นเขาไม่มาทำงานกะเราหรอกมั้งครับ”

      “ซื่อจริง....พี่แค่เอาชื่อมาเท่านั้นแหละ แล้วท่านก็อาจจะให้ลูกน้องมาคอยดูแลให้”

      “หุ้นลม?”

      “ใช่”

         หลังจากนั้นพี่นิวก็วาดวิมานในอากาศให้ผมฟัง โดยภาพรวมก็ดีอยู่นะ แต่มาไม่ดีเอาตอนท้ายนี่แหละ

      “ต่อไปโบนัสของนูก็เอามาลงหุ้นกับพี่”

         ฮื้อ!!!!

      “เอาไปทำมายยยยย ไม่กี่ตังค์เอง”

      “ไม่เป็นไร สิ้นปีพี่มีปันผลให้ด้วยนะ ไม่ดีเหรอ มันจะได้งอกเงยไง”

      “แล้วถ้าไม่มีกำไรล่ะครับ”

       พี่นิวดีดนิ้วกับปากผมเบา ๆ

      “ปากนะ”

      “เจ็บอะ”

          ผมบ่นไม่จริงจังอะไรนัก เพราะพี่นิวก็แค่ล้อเล่นเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็จุ๊บเบา ๆ ลงตรงที่เขาทำให้เจ็บ

เป็นการปลอบขวัญ

          แล้วผมก็สบโอกาสที่จะได้ถามอย่างที่ผมตั้งใจไว้เมื่อคืนนี้

      “ช่วงนี้พี่นิวมีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอครับ”

      “หืม...ทำไมเหรอ”

          ผมว่าเขารู้ว่าผมถามถึงอะไร และคงไม่ค่อยเต็มใจจะตอบ ก็เลยย้อนถามด้วยประโยคซื้อเวลา

เผื่อผมจะไม่ใส่ใจจริงจัง แต่เมินซะเถอะ ผมหมายมาดมาหลายวัน อยากรู้เต็มแก่แล้ว

ก็เลยย้ำความอยากรู้ของตัวเองอีกที ทีนี้จากที่อารมณ์ดี พูดเรื่องกิจการใหม่เป็นต่อยหอยอยู่ตะกี้

พี่นิวก็เข้าโหมดเดิม   
   
      “ผมเห็นพี่กังวลตั้งแต่ก่อนไปหาคุณย่าแล้วอะ กลับมาก็ยังเหมือนเดิม”

      “ก็ไม่มีอะไร คุณย่าเรียกไปคุยอะไรนิดหน่อย คนแก่น่ะ ไม่เห็นหน้าเรานาน ๆ ชักคิดถึงล่ะมั้ง

แล้วก็อยากให้พี่ไปเยี่ยมย่าเล็กด้วย”

         ใจผมน่ะฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อพี่นิวบอกแค่นี้ ผมก็จำต้องรับไว้แค่นี้ จะว่าไปวันนี้

เขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะเลย ยิ้มได้ หัวเราะได้ หัวคิ้วไม่ชนกันแล้ว ทำให้ผมคิดว่าเขาคงหาทางแก้ปัญหาได้แล้ว

      “พี่นิวครับ ตกลงผมไม่ไปบ้านปืนแล้วนะ”

      “อ้าว...ทำไมอะ เค้าอุตส่าห์ชวน”

      “ก็อุตส่าห์ชวนจริง ๆอะแหละ ไม่ได้เต็มใจสักนิดนึง บังเอิญผมนั่งอยู่ด้วยไง ถึงได้ออกปากชวน

ที่จริงเขาอยากไปกับปอสองคนมากกว่า”

      “อ้อ...ฮ่า ๆ ก็ดี จะได้ไม่ไปเป็นก้าง”

      “ก็นั่นแหละ ถ้าพี่นิวไปด้วยผมจะได้มีเพื่อนไง ไม่ต้องไปทนดูเขาหวานกันต่อหน้าต่อตาให้อิจฉาเล่น”

      “จะไปอิจฉาเขาทำไม”

          พี่นิวคว้าคอผมเข้าไปหนีบไว้ใต้วงแขน (จั๊กกะแร้) ก็เพราะอีแบบนี้แหละ ผมถึงได้อิจฉาคู่นั้นไง....

ก็ไอ้ท่าล็อกคอเนี่ย มันไม่เห็นจะหวานตรงไหนเลย



      
       บรรยากาศวันหยุดถึงแม้อากาศจะร้อนนิดหน่อย แต่ระหว่างเรามันก็ชื่นมื่นดี

จนกระทั่งคนที่ทำลายบรรยากาศนั้นคือผมเอง

          คุณชายนิวนั่งเอกเขนกพิงหมอนขวานใบใหญ่ โดยมีผมปรนนิบัติราวกับทาสด้วยความซื่อสัตย์อยู่ใกล้ ๆ

ผมทำอะไรให้เขาได้หมดแหละ นี่ก็กำลังป้อนเฟรนช์ฟรายด์ใส่ปากให้ ในขณะที่คนกินนั่งดูโทรทัศน์ไป

เปิดหนังสืออ่านเล่นไป แต่...........

      “อย่าให้หกเลอะเทอะสิพี่นิว อ้าปากกว้าง ๆ”

       ผมป้อนเฟรนช์ฟรายจิ้มซอสใส่ปากพี่นิว แต่คุณชายอ้าปากช้าไปหน่อย ซอสก็เลยหกลงบนอกเสื้อเขา

ผมล่ะหมั่นไส้ ไม่หยิบกินเองแล้วยังไม่ยอมอ้าปากอีกแน่ะ แล้ววันนี้เขาก็ใส่เสื้อขาว รอยซอสเป็นดวงโตบนเสื้อ

ทำให้ผมต้องแยกออกมาซักมือต่างหาก เสียเวลาออกจะตาย ไม่งั้นพี่นางก็โยนเข้าตู้ซักเหมือนตัวอื่น ๆได้เลย

      “ดูทำ ๆ ผมต้องลงน้ำยาซักอีกแล้วอะ”

      “ให้นางทำไปสิ”

      “งานเขาเยอะอยู่แล้ว ต้องมานั่งซักมือกะอีเสื้อตัวเดียวเนี่ยนะ”

      “พี่ไม่เห็นเขาจะเคยบ่นเลย มีแต่นูแหละ บ่นนั่นบ่นนี่”

      “หา......ว่าผมขี้บ่นเหรอ”

           พอโดนว่าผมก็ชักฉุน นั่งเฉย ๆเป็นคุณชาย ยังจะมาว่าคนที่คอยปรนนิบัติ แบบนี้มันใช้ไม่ได้

      “ว่าที่ไหน พี่พูดเรื่องจริงทั้งนั้น”

          พี่นิวพูดเรื่อย ๆ ทั้งที่ตายังมองโทรทัศน์อยู่และไม่ได้หันมาดูว่าตอนนี้ผมเริ่มจะตาเขียวใส่แล้ว

      “งั้นก็อย่ากง อย่ากินมันเลย”

          ผมฉวยจานเฟรนช์ฟรายกับถ้วยซอสออกไปวางให้ไกลมือ

      “อะไร....พูดแค่นี้ทำเป็นโกรธอีกแล้ว นี่ก็อีก ขี้โกรธ ขี้งอนที่หนึ่งเลย”

           ผมหันขวับไปส่งสายตาอาฆาต แต่ไม่โต้ตอบด้วยวาจา คราวนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลง ผมรวบของกินทั้งหมด

เดินลงบันไดบ้านมาเลย แล้วก็ไม่กลับขึ้นไปอีก ไม่อยากอยู่ใกล้กัน เดี๋ยวอดไม่ได้ผมอาจจะพูดอะไรร้าย ๆ ออกไปอีก

ก็เลยใช้เวลานั้นเดินดูต้นไม้บ้าง เข้าครัวดูป้าทำกับข้าวบ้าง จนอารมณ์ค่อยเย็นลง


           การที่ผมเดินออกมาจากตรงนั้นทำให้ผมได้คิดหลายอย่าง จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องปกติ

ที่เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของการเผชิญหน้า จิตใจก็สงบ สติก็เริ่มมา ทำให้การคิดตริตรองของเรามีเหตุมีผลขึ้น

ผมเป็นคนใจร้อนโดยสันดาน แต่ใครที่ไม่สนิทสนมด้วยคงมองไม่ออก เพราะภายนอกผมจะนิ่ง ๆ

และ(ค่อนข้าง)สุภาพ ในขณะที่พี่นิวจะเยือกเย็นและสุขุมกว่า จนบางทีผมว่าเขาเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ จนน่าโมโห

และยิ่งไปกว่านั้น ผมมักจะออกอาการหงุดหงิดทุกทีเวลาที่เขาทำเป็นไม่เห็นว่าผมกำลังไม่พอใจ

ส่วนที่มาของความไม่พอใจของผมก็หลากหลายเหลือเกิน มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบาง แต่พี่นิวก็ทนผมได้ทุกเรื่อง

จะว่าไปแล้วเขาก็ตามใจผมเป็นส่วนใหญ่......คิดไปคิดมา ผมก็ขี้โกรธ ขี้งอนอย่างเขาว่าจริง ๆ ด้วย


         พออารมณ์ดีผมก็นึกถึงเขาว่า ป่านนี้อาจจะหลับปุ๋ยอยู่หน้าโทรทัศน์ไปแล้ว ถ้าเราอยู่ด้วยกัน

ก็คงจะคุยกันไป ดูหนังไป แต่อยู่คนเดียวเฉาปาก อาจจะสนิทนิทรารมณ์เอาได้ง่าย ๆ

         ผมจรดปลายเท้าย่องขึ้นบันได ไม่อยากให้เขารู้สึกตัวก่อนที่ผมจะ “ต๊ะเอ๋” เวลาที่พี่นิวสะดุ้งตกใจตื่น

โคตรตลกเลย หน้ายุ่ง หัวยุ่ง คิ้วขมวด หน้าตากลายเป็นคนขี้โมโหผิดไปจากคนใจดีอารมณ์เย็นอย่างที่ใคร ๆ คุ้นตา

        “....ไม่ได้บอกครับ”

     ...................

       “มันต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆเหรอ ผมไม่.....ไม่ได้ใช่ไหม”

      .................

      “ให้พ่อช่วยพูดกับ.....ให้หน่อยสิครับ ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว”

           พี่นิวไม่ได้หลับ หรือว่า เพิ่งจะตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ก็ไม่รู้ คนปลายสายคงเป็นคุณแม่

ผมเดาจากลักษณะการอ้อนของเขาได้ แต่คุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมได้ยินกระท่อนกระแท่น

บางช่วงบางคำที่ขาดหายไป ผมเดาไม่ออกว่าเขาพูดถึงอะไร

      ....เสียมารยาทจังเลยผม....แต่ที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

 แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ผมก็เลยยืนค้างอยู่ตรงหัวบันได แค่พอให้เห็นพี่นิวนั่งก้มหน้าคุยโทรศัพท์เท่านั้น

      “แล้วทางโน้นเค้าเต็มใจเหรอครับ ไหนว่าเรียนอยู่เมืองนอก คงยังไม่รู้ใช่ไหมครับ”

     ..................


      “ผมอยากคุยกับเขาก่อน แม่ว่าดีไหม”

    ..................

      “แม่มาคุยให้หน่อยสิ ผมสงสารน้อง ไม่กล้าพูดเอง”

     .................

      “โทรมาก็ได้ นะครับแม่”

      .................

      “ครับ ขอบคุณครับ”

          มีผมอยู่ในหัวข้อสนทนาด้วยล่ะ ไม่รู้เขาคุยอะไรกัน แต่ผมจับได้ว่าน้ำเสียงไม่ค่อยดี

ใจผมมันก็เลยหวิว ๆ ยังไงไม่รู้  หรือว่าเรื่องนี้เองที่พี่นิวกำลังกังวลอยู่....เรื่องที่มีผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

           ผมก้าวเข้าไปหาพี่นิวเมื่อเห็นว่าเขาวางสายไปแล้ว พอผมทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พี่นิวก็ล้มตัวลงนอนหนุนตัก

       “หายงอนแล้วเหรอ”

        ผมยิ้มเป็นทีรับคำ แต่ไม่ตอบอะไร เขาก็เห็นแล้วนี่นา รู้ก็รู้อยู่ว่าถ้ายังงอนผมไม่มาหาเขาเองหรอก

ปล่อยให้เดินตามหาดีกว่า ผมจะได้รู้สึกดีว่าโดนง้อ

      “ไปบ้านปืนกันดีกว่า”

      “อ้าว....แล้วไหนบอกว่าจะไปตรวจงานล่ะครับ”

      “ให้คนอื่นไป ขี้เกียจละ อยากอยู่กับนู”

      “งั้นผมโทรไปบอกปืนก่อนนะ เขาจะได้วางแผนถูก”

      “กลับบ้านนี่ ต้องมีแผนด้วยเหรอ”

      “ไม่ใช่หรอกครับ เขาจะได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าเราจะไปด้วยไง ก็ผมปฏิเสธเขาไปแล้ว เขาอาจจะเปลี่ยนแผนก็ได้”

          ผมกดโทรศัพท์ออกหาปืน คุยกันสองสามคำก็รู้เรื่อง ปืนกับปอกำลังเดินซื้อของกลับไปฝากคนที่บ้าน

ส่วนผมก็คงต้องเตรียมข้าวของไว้บ้าง รวมทั้งของฝากพ่อกับแม่ปืนด้วย ไปนอนค้างอ้างแรมบ้านเขามือเปล่า

มันเกรงใจยังไงไม่รู้


     
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 24-11-2012 23:27:55
     




      ตกเย็นวันศุกร์ผมก็รวบรวมของฝาก และจัดกระเป๋าเสื้อผ้าสองสามชุด รวมทั้งโสร่งผืนโปรด

เผื่อจะเอาไปเล่นน้ำในคลอง ปืนบอกว่า บ้านเขาอยู่ติดคลองด้วย ผมรู้สึกสุขใจจนฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัว

   “มีความสุขจริงนะ”

          พี่นิวแซวมาจากบนเตียง เขามานอนเล่นที่ห้องผมตั้งแต่หัวค่ำ เพราะผมขลุกอยู่ในห้อง

เพื่อจัดกระเป๋าเสื้อผ้าทั้งของเขาและของผม พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า จะได้มีเวลาแวะเที่ยวระหว่างทาง

และไปถึงบ้านปืนให้ทันอาหารกลางวัน

      “ทำยังกะไปเที่ยว”

      “อ้าว...ก็ไปเที่ยวสิครับ ถึงจะเป็นบ้านเพื่อน แต่ผมว่าต้องสนุกแน่”

      “เพราะเป็นบ้านปืน?”

          คนว่างงานพูดจาหาเรื่อง แต่พอเงยหน้าขึ้นมองตาก็รู้ว่าพี่นิวไม่ได้จริงจังอะไร แต่ผมมันเหมือนวัวสันหลังหวะ

เพราะปืนเคยลวนลามผม (ด้วยความเมา) ครั้งแรกที่โดน พี่นิวไม่รู้ผมไม่กล้าบอกกลัวเขาจะเข้าใจผิด

และผมก็สงสารปืนกลัวโดนพี่นิวยำเละ แต่ครั้งหลังเขาเห็นด้วยตาตัวเอง ผมก็เลยต้องยอมให้ปืนถูกชกซะหมอบ

เมาทั้งเหล้า เมาทั้งหมัดไป

      “หาเรื่องละ ไม่ช่วยทำอะไรก็นั่งเฉย ๆได้ปะ”

        เสียงโทรศัพท์ในห้องโถงหน้าห้องผมดังขึ้น สัญญาณติดกันสองครั้งทำให้รู้ว่าเรียกมาจากข้างล่าง

อาจจะเป็นป้า หรือไม่ก็พี่นางโทรขึ้นมา ผมเดินออกไปยกหูขึ้นกรอกเสียงลงไป ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ทั้งสองคน

      “นูเหรอลูก”

  ”สวัสดีครับคุณแม่...พี่นิวครับคุณแม่โทรมา”

      ผมร้องบอกพี่นิว เพราะคิดว่าคุณแม่จะขอสาย

  “ไม่ลูก แม่อยากพูดกับนู”

  “ครับ”

       ผมโบกมือให้พี่นิวเป็นทีว่า ไม่ต้องลุกขึ้นมา ในใจก็นึกสงสัยว่าคุณแม่มีธุระอะไร แต่พี่นิวกลับเดินออกจากห้องผม

ตอนที่เดินผ่านไป เขาโอบไหล่แล้วยังแถมจุ๊บขมับผมด้วย จากนั้นก็เดินลงบันไดไป

      “คุณแม่มีอะไรเหรอครับ”

      “ทำอะไรกันอยู่เหรอลูก กินข้าวกันหรือยัง”

      “เรียบร้อยแล้วครับ พอดีพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดน่ะครับ”

      “นิวไปด้วยเหรอ”

      “ครับ ทีแรกก็จะไม่ไปหรอก นี่นึกยังไงก็ไม่ทราบ สงสัยจะเหนื่อยมากไปมั้งครับ เลยอยากไปเที่ยวพักผ่อน”

      “อืม...นูช่วยดูแลพี่เขาดี ๆหน่อยนะ...แล้วนี่อยู่หรือเปล่า”

      “ลงไปข้างล่างแล้วครับ”

         ผมชะโงกไปดูตรงบันไดโดยอัตโนมัติ แต่ไม่เห็นเขา

      “เอ่อ...นู...สบายดีไหมลูก”

      “ครับคุณแม่ สบายดี คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะครับ เป็นยังไงมั่ง”

      “ก็เหมือนเดิมแหละ พ่อเขาก็ทำแต่งาน แม่ก็ต้องคอยดูไม่ให้หักโหมเกินไป นี่แม่ก็บอกเขานะ

ว่าอีกสักสามสี่ปีก็วางมือได้แล้ว ให้ลูก ๆหลาน ๆเขาทำกันไป พ่อกับแม่จะได้ไปเที่ยวตอนแก่”

      “โห...คุณแม่ยังไม่แก่สักหน่อย ยังทำงานได้อีกตั้งหลายปีแน่ะครับ”

         ผมหยอดคุณแม่ไปหน่อยหนึ่ง  แต่ก็ด้วยความจริงใจที่ดูยังไงคุณแม่ก็ยังเหมือนเดิม

ไม่ได้แก่อย่างที่ออกตัวเลย คุณแม่ถามถึงงานของผมอีกสองสามประโยค ก็เข้าเรื่อง

ซึ่งผมรู้สึกแต่แรกแล้วเหมือนกันว่า คุณแม่น่าจะมีธุระสำคัญกับผม แต่กำลังตะล่อมอยู่

...นั่นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

      “นู”

       คุณแม่เรียกชื่อผมเบา ๆ แล้วนิ่งไป ทำให้ผมต้องขานรับด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นช้า ๆ ในช่องอก

ภาพใบหน้ามีกังวลของพี่นิว ตั้งแต่วันที่คุณแม่มาที่นี่ จนถึงการคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันก่อนแวบเข้ามาโดยไม่มีเหตุผล

เหมือนมันคือภาพสไลด์ต่อเนื่องที่ผูกเป็นเรื่องราวเดียวกัน

      “ครับ”

      “นูรู้ใช่ไหมว่าแม่รักนูเหมือนลูกแม่คนหนึ่ง”

        ผมอึ้งกับประโยคเกริ่นนำของคุณแม่ ด้วยวัยที่ไม่น้อยแล้วของผม ทำให้พอจะรู้ว่า เรื่องที่กำลังจะได้ฟัง

อาจจะบั่นทอนความรู้สึกมั่นคงในจิตใจไม่ใช่น้อย มิฉะนั้นคุณแม่คงไม่พยายามย้ำถึงความเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ที่ผมได้รับจากทุกคนตลอดมาเช่นนี้.....เมื่อรู้อยู่แก่ใจผมก็ต้องยอมรับ

      “ครับคุณแม่”

      “เราทุกคนยอมรับว่านูอยู่ในครอบครัวเราในฐานะอะไร แต่แม่ก็ฝืนคำสั่งของคุณย่าไม่ได้ พ่อก็เหมือนกัน

ทุกคนอึดอัดใจที่จะบอกกับนู”

           คุณแม่ถอนหายใจมาตามสาย ทำให้ผมรู้ว่าคุณแม่อึดอัดใจและลำบากใจแค่ไหนที่จะพูดต่อไป

      “แม้แต่แม่ก็ไม่กล้าที่จะพูดกับนูซึ่งหน้า”

      “คุณแม่อย่าพูดอย่างงี้สิครับ”

      “เมื่อวันก่อนที่แม่มาหาที่บ้าน แม่ตั้งใจจะพูดกับเราพร้อม ๆ กัน แต่แม่ก็ทำไม่ได้”

      “คุณแม่มีอะไรจะบอกผมเหรอครับ”

      “นูฟังแม่นะ เรื่องที่มันเกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จัดการ พ่อกับแม่ก็มารับรู้ทีหลังเหมือนกัน นูคงรู้ดีว่า

ทุกคนต้องฟังคำสั่งคุณย่า”

      “ทราบครับ”

          เสียงผมแผ่วลง พร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วง เตรียมพร้อมที่จะฟังต่อไป ทั้งที่สำนึกในใจผมกว่าครึ่ง

เริ่มจะเดาได้ตั้งแต่คุณแม่พูดว่า....ผู้ใหญ่จัดการให้....

      “คุณย่าหมั้นหมายลูกของเพื่อนท่านให้นิวไว้แล้ว”

          ไม่ผิดเลย....กับที่ผมเดาไว้ในใจ แต่กระนั้นผมก็รู้สึกเหมือนภายในตัวมีกระแสลมพัดแรงจนเนื้อตัวหนาวสั่น

แขนขาผมพาลจะอ่อนแรง แต่มือผมกลับกำหูโทรศัพท์ไว้แน่น...ก็แค่...เหลือเรี่ยวแรงที่จะหย่อนตัวลงนั่งกับพื้น

จากที่ยืนพิงฝาผนังในตอนแรก ขายาว ๆ ของผมเหยียดออกเพียงเพื่อจะทำให้ตัวเองรู้สึกสบาย

และมั่นคงขึ้นในแนวระนาบ ผมไม่อยากเป็นลม แต่ในแก้วหูก็อื้ออึงไปด้วยคำบอกเล่าที่เพิ่งผ่านไป

        คุณแม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องคู่หมั้น แต่แทบจะไม่มีอะไรขังอยู่ในหัวผมเลย จากนั้นก็ปลอบใจ

เหมือนทุกครั้งที่รู้ว่าผมกำลังอ่อนแอแค่ไหน
      
      “แม่อยากอยู่ตรงนั้นด้วยนะนู แม่รู้ว่า...นู....รู้สึกยังไง แต่เห็นใจแม่เถอะ แม่เองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่งั้นแม่คง....นูก็คงไม่ต้องอยู่ในฐานะแบบนี้”

        เสียงคุณแม่สั่น ๆ คล้ายกำลังอดกลั้นอาการสะอื้น ยิ่งตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจให้ผมซ้ำลงไปอีก

ผมไม่ควรมาอยู่ตรงนี้แต่แรกแล้วสินะ มาแล้วก็ใช่ว่าจะสร้างความภาคภูมิใจให้ครอบครัวพี่นิวเสียเมื่อไร

ไหนยังจะทำให้คุณแม่ต้องลำบากใจที่จะต้องเป็นคนบอกผมด้วยตัวเอง

      “อย่าโทษตัวเองเลยครับคุณแม่”

      ผมรู้สึกดีที่ตัวเองควบคุมเสียงไม่ให้สั่นได้ แต่ความจริงผมไม่ได้ร้องไห้เลยมากกว่า

      “ผมเองก็ไม่ได้คิดว่า...ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนี้ตลอดไปหรอกครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ

เรื่องนี้ยังไงมันก็ต้องมาถึงสักวัน ถึงพี่นิวจะแต่งงานมีครอบครัว ก็ไม่ได้แปลว่าคุณแม่จะไม่ให้ผมเป็นลูก

ไม่ใช่เหรอครับ ความจริงแล้วมันเป็นข่าวดีสำหรับครอบครัวมากกว่า บ้านเราจะได้มีหลานวิ่งเล่นกันสักคนสองคน”

      “นู”

        คุณแม่เรียกชื่อผมแล้วก็เงียบไป เสียงโทรศัพท์ถูกวางดังกึกเข้าหูผม จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงคุณแม่ร้องไห้

แล้วคุณพ่อก็มาพูดสายแทน

      “พ่อขอโทษนะนู”

      “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณพ่อ เรื่องนี้ไม่มีใครผิด บอกคุณแม่ด้วยนะครับว่า มันเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับบ้านเรา

คุณพ่อไม่ต้องห่วงผมนะครับ ผมไม่เป็นไร”

      “พ่อขอบใจลูก”

          ผมไม่กล้ารับคำขอบใจจากคุณพ่อ แต่จะบอกว่าไม่ต้องขอบใจ ผมก็พูดไม่ออก เพราะตอนนี้

ผมกำลังกัดปากตัวเองไม่ให้ก้อนสะอื้นมันหลุดออกไปให้คุณพ่อได้ยิน

      “ถึงยังไง เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิม”

          คุณพ่อย้ำให้รู้ในตอนท้าย ผมกล่าวขอบคุณท่าน ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น

แปลกไหม.....ที่ผมไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แค่หน้าอกหายใจสะท้อนจากแรงกระแทกภายใน

ที่ไม่รู้ตัวว่ามันก่อตัวขึ้นมาตอนไหน ผมรีบหายใจเอามันออกมาก่อนที่มันจะทำให้น้ำตาผมไหล

           ก็ผมบอกทางโน้นไปว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทำไมผมต้องร้องไห้ด้วยเล่า

           แต่ผมก็ขยับตัวเองให้ลุกขึ้นไม่ไหว ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเรี่ยวแรงมันหายไปหมดเลย

เหมือนพลังชีวิตถูกสูบออกไปหมด ทันทีที่รู้ว่าอีกไม่นาน เส้นทางชีวิตของผมกับพี่นิว

จะมีใครแทรกซ้อนเข้ามาอีกคน และทำให้สถานะของผมตรงกับความเป็นจริงที่ทุกคนได้รับรู้มาตลอด

....ผมก็แค่ลูกบุญธรรม เป็นน้องนอกไส้ ความผูกพันทางสายเลือดไม่มีแม้แต่หยดเดียว

ส่วนความสัมพันธ์ในเงามืด มันก็คงจะมืดมนต่อไป ทั้งสิ้นหวังและไร้อนาคต
 
        ผมรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวทั้งที่สิ่งนั้นยังมาไม่ถึง แต่มันจะแปลกอะไร เพราะอีกไม่นานมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้นอยู่แล้ว



             ผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงนอน รำพึงถึงความหลังไปเรื่อย ๆ พยายามที่จะปลงให้ได้เร็ว ๆ ว่า

อีกหน่อยพี่นิวคงต้องใช้ชีวิตในแบบของผู้ชายทั่วไป ต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ  และ.....

ผมควรหัดที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาเสียตั้งแต่บัดนี้ได้แล้ว 

      เราอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว ให้แยกกันอยู่โดยไม่ข้องเกี่ยวกัน

มันคงยากเหลือเกิน แต่จะให้ผมทำชีวิตเหมือนที่ผ่านมา มันคงเป็นไปไม่ได้....ผมรู้ดี

           แต่ถึงผมจะพยายามคิดเช่นนั้น หากส่วนลึกในจิตใจ ผมกลับพยายามหาทางออกว่า

ทำยังไง.....เราถึงจะอยู่ร่วมกันได้โดยที่ไม่ต้องมีใครแยกจากไป ซึ่งคนที่เป็นฝ่ายไปก็คงเป็นผมนี่เอง

ตอนนี้ขอแค่ผมไม่เสียเขาให้ใครไป ผมยอมที่จะอยู่ในเงามืด แม้ว่าวันนั้นพี่นิวจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น

ขอเพียงเรายังได้อยู่ด้วยกัน ผมยอมแลกทุกอย่าง

         ผมคิดอยู่ด้านเดียวจนลืมไปว่า...การที่มีใครอีกคนเข้ามามีส่วนร่วมในความสัมพันธ์สามคนผัวเมียแบบนั้น

มันคงทุกข์ทรมานสิ้นดี และในยามที่เวลาแห่งการลาจากยังมาไม่ถึง บางทีคนเราก็ยังไม่รู้สึกถึงการสูญเสียมากเท่าที่ควร

          เสียงโทรศัพท์หน้าห้องดังขึ้นอีกแล้ว ข้างบนเวลานี้มีผมอยู่คนเดียว พี่นิวไปไหนไม่รู้

แล้วผมก็ไม่มีแก่ใจจะเที่ยวเดินตามหาเสียด้วย ผมก็เลยต้องหลุดจากอาการซึม ๆ เหม่อ ๆ ไปรับสาย

            คุณแม่โทรมาพูดรัว ๆ เร็ว ๆ ทำเอาผมทำอะไรแทบไม่ถูก ผมรีบรับคำแล้ววางหู

ก่อนจะวิ่งจนเป็นกระโดดลงบันไดไปที่หลังบ้านตามที่คุณแม่บอก

        พี่นิวนั่งอยู่บนพื้นหญ้าเขียว ๆ ที่เราไม่ตั้งใจจะปลูกมัน แต่ดันงอกงามดี ผมไม่เห็นหน้าเขา

เพราะอาการนั่งชันเข่าสองแขนพาดไขว้กันแล้วซบหน้าลงไป....ไม่เห็นเหมือนที่คุณแม่บอกเลย

เขาดูสงบเสียจนผมไม่คิดว่าพี่นิวกำลังทำร้ายตัวเอง

      “พี่นิวครับ”

           ผมเรียกชื่อเบา ๆ ขณะที่สองเท้าเดินเข้าไปหาช้า ๆ ร่างสูงใหญ่ยังไม่ไหวติง แต่ผมสังเกตเห็น

ไหล่ไหวน้อย ๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองผม....ผมเห็นรอยน้ำตา....พี่นิวร้องไห้เพราะเรื่องของเรา

เห็นอย่างนี้แล้ว    มันยิ่งบีบคั้นหัวใจผมจนเจ็บหนึบไปหมด ทำไมความรักของเรามันถึงได้มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้

      “เข้าบ้านนะครับ”

        พี่นิวขยับตัวลุกขึ้นช้า ๆ ราวกับคนสิ้นเรี่ยวแรง พอเขาเหยียดตัวยืนได้ ผมถึงได้เห็น

หลังมือที่อาบไปด้วยเลือดที่ห้อยตกอยู่ข้างตัว ผมคว้ามือข้างนั้นขึ้นมา แต่ทุกคำพูดมันจุกอยู่ในอก

ผมไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้แม้แต่คำเดียว มีเพียงแววตาของผมที่สื่อให้พี่นิวได้รู้ว่า

ผมเจ็บไปกับเขาด้วย

         พี่นิวโอบไหล่ผมพาเดินเข้าบ้าน พอก้าวเท้าเข้าห้องรับแขก ป้าก็เดินมาบอกว่า

คุณแม่โทรมาให้โทรกลับด้วย ผมก็เลยบอกให้ป้าหาอุปกรณ์ทำแผลมาให้ แล้วบอกให้พี่นิวนั่งคอยที่โซฟา

      “คุณแม่โทรมาบอกว่าพี่นิวอยู่หลังบ้าน กลัวว่าพี่นิวจะทำอะไรลงไป เลยบอกให้ผมรีบไปดู

ผมจะไปบอกคุณแม่ก่อนว่าพี่นิวไม่เป็นไรนะครับ”

          พี่นิวพยักหน้า ป้าเดินสวนกับผมหลังจากที่หยิบกล่องปฐมพยาบาลมาวางให้

เสียงป้าถามด้วยความเป็นห่วงตามหลังมาแว่ว ๆ แล้วก็ต้องถอยกลับไปในครัว

เพราะไม่มีคำตอบจากปากพี่นิว

          ผมเดินกลับมาทำแผลให้พี่นิว หลังจากบอกคุณแม่ไปตามตรงว่า พี่นิวคงจะชกต้นไม้แถว ๆ หลังบ้าน

จนข้อมือแตกเลือดซิบ ๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คุณแม่วิตก คุณแม่ฝากให้ผมดูแล ผมรับคำไปโดยอัตโนมัติ

ถึงคุณแม่ไม่บอก ผมก็ต้องดูแลเขาเท่าชีวิตอยู่แล้ว

      “ทำร้ายตัวเองทำไมครับ ทำเองเจ็บเองเห็นไหมเนี่ย”

         พันผ้าที่แผลเสร็จ ผมก็ฝืนพูดจาหยอกล้อเขาไปเพื่อคลี่คลายบรรยากาศที่มันหม่นเศร้า

ผมอยากบอกเขาว่า  อย่ากังวลไปเลย เราจะผ่านมันไปด้วยกันเหมือนทุกครั้ง  แต่ผมก็พูดไม่ออก 

เพราะรู้ว่าคราวนี้  มันยากเหลือเกินที่เราจะหาหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา  ที่จะไม่ทำให้เราบอบช้ำมากนัก

      ที่ผมพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ว่าอย่างไรเราสองคนก็ต้องเจ็บ

และอาจจะพาใครอีกคนเข้ามาเจ็บไปกับเราด้วย เพราะผมจะไม่ยอมถอย 

ผมจะไม่ยอมสละที่ยืนให้ใครง่าย ๆ ผมยอมให้ทุกคนเจ็บดีกว่าจะต้องสูญเสียพี่นิวไป 

แต่ที่สำคัญ.....พี่นิวจะต้องยอมเจ็บไปกับผมด้วย

      ..........แต่ทว่า

      “นู”

          พี่นิวพูดกับผมเป็นคำแรก นับจากที่ผมลงไปเจอเขาหลังบ้าน ผมเงยหน้าขึ้นสบตาที่ยังคงทิ้งรอยแดงช้ำ

นานแล้วที่ผมไม่เคยเห็นพี่นิวร้องไห้จนเห็นร่องรอยชัดเจนขนาดนี้

      “พี่ขอโทษ”

      “ขอโทษผมทำไม”

          ผมพูดกลั้วหัวเราะ นอกจากมันจะไม่ช่วยอะไรแล้ว กลับทำให้ผมเผลอปล่อยเสียงสะอื้นออกมาเบา ๆอีกต่างหาก

มือข้างที่ไม่ได้พันผ้าของพี่นิวลูบหัวผม แล้วพักไว้ที่ไหล่ก่อนจะบีบแรง ๆ

      “พี่คงดูแลนูตลอดไปอย่างที่เคยสัญญาไม่ได้ พี่ขอโทษ”


      .....ไม่เอานะ.....


      .....ผมไม่ยอม....


      .....อย่าทำกับผมอย่างนี้....


      .....จะทิ้งกันลงได้ยังไง.....


           ผมอยากพูดออกไปอย่างนั้น แต่เวลานี้มันได้แต่อึ้ง ในสมองผมว่างเปล่าอีกครั้ง ผมอุตส่าห์ยอมแล้วทุกอย่าง

แม้กระทั่งยอมให้ตัวเองเป็น “น้อย” ถ้าคำนี้มันหมายถึงบุคคลที่สามของครอบครัวในอนาคตของพี่นิว

แต่สิ่งที่ผมได้รับคือการถูกปล่อยให้อยู่อย่างเดียวดายงั้นหรือ


           ใครบางคนบอกผมว่า...ในความรัก ไม่มีคำว่าศักดิ์ศรี....ผมรู้ว่าศักดิ์ศรีมีไว้ให้เราภาคภูมิใจ

ในสิ่งที่มี....ที่เป็น....ที่ทำ   

       สำหรับคนอื่นอาจยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ว่า   

      แต่สำหรับผม ผมยอมละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งศักดิ์ศรี เพียงเพื่อจะฉุดรั้งเวลาแห่งความสุข

ที่ได้อยู่กับพี่นิวให้นานที่สุด แม้ว่าในความสุขนั้น ผมจะได้ลิ้มรสความทุกข์แสนสาหัส ปนมากับความริษยา

ที่ไม่อาจยืนเคียงคู่คนที่ผมรักได้อย่างเปิดเผย อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะได้ยืน

แต่ในเมื่อพี่นิวตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามนั้น ผมจึงทำได้เพียงตอบเขาไป

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

      ผมกลับเข้าห้องของตัวเอง ล็อคประตู และไม่ลืมที่จะเอากุญแจห้องชั้นบนทั้งหมดมาไว้กับตัว

ผมแค่รู้สึกอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ไม่อยากให้ใครรบกวน เพื่อทำใจกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง....

อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้หรอก แต่มันก็ต้องมาถึงสักวัน   ทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้.....

ผมได้ยินเสียงประตูห้องข้าง ๆ ปิดเบา ๆ พี่นิวก็คงต้องการเวลาสำหรับตัวเองด้วยเหมือนกัน


.....เขาไม่ได้ต้องการกุญแจดอกนี้.......
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 24-11-2012 23:44:26
ว่าแล้วว่าต้องดราม่า กริ๊ด สงสารทั้งสองคนเลย หน่วงมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 25-11-2012 00:06:19
อ๊ากกกกกกกกกกก :dont2:
อ่านกี่รอบมันก็ยังหน่วงได้ตลอดเลยอ่ะ

คิดถึงพี่นูที่สุดเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 25-11-2012 00:13:09
 :เฮ้อ:  เฮ้อ......มันมาอีกแล้ว  มาม่า  ดูท่าว่าจะหม้อใหญ่ซะด้วย    :z3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 25-11-2012 00:19:42
ขัดคุณย่าไม่ได้ คบกันเปิดเผยไม่ได้นั่นก็แสดงว่าวันนึงต้องมีสักคนต้องมีครอบครัวแล้วอีกคนจะอยู่ยังไงยอมเป็นน้อย??ตลกเหอะ ถ้ามีคนนึงเดินมาบอกสามีเราว่ายอมเป็นน้อยจะรู้สึกยังไง เฮ้ออออชีวิตวนไปวนมาเจ็บ ห่าง กลับมา เจ็บ เหนื่อยยังอ่ะนู ถ้าพี่นิวยัง "เคลียร์" ทุกอย่างไม่เรียบร้อยก็อยู่กับตัวเองเหอะ

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 25-11-2012 00:20:02
อืม....กดดันได้อีก เสียน้ำตา เศร้าจิต ชีวิตเซ็ง!!!! :z3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 25-11-2012 00:55:42
 :pig4: ให้กำลังใจก่อนนะพี่นู เดี๋ยวเข้ามาอ่าน เพราะพี่นูก็มาต่อบ่อย
แต่ แต่ คือว่า...ขอทำใจก่อนนะพี่ แบบว่าล่าสุดที่อ่านคือตอนที่พี่นิวหนีไปเมืองนอก ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไร ขออีกสักพักนะ
อ่านเรื่องพี่นูตอนนั้นแล้วมันมืดมน ตกในภาวะเศร้า ร้องไห้และทำใจไม่ได้เลย ขนาดแค่เป็นคนอ่านนะเนี้ยะ  :m15:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 25-11-2012 01:05:11


WARNING




ถ้าจะบอกซ้ำอีกว่า เรื่องทั้งหลายมันผ่านมาแล้ว จะรู้สึกดีขึ้นกันมั้ยครับ

แต่ก็จะบอกอีกว่า

บรรยากาศตอนหน้าก็ประมาณนี้เหมือนเดิมแหละครับ

เรื่องอ้อนนักฯ ที่เขียนจบไปแล้ว มีคนอ่านมาบอกลาว่า ไม่ชอบเรื่องเศร้า ขอไม่อ่านต่อล่ะ

เรื่องนี้มันก็ยังอึมครึม ถ้าใครไม่ชอบเสียน้ำตา หาไหล่ซบไม่ได้ ก็บอกลากันได้ตลอดนะครับ

ก็ "ชีวิต" อ่ะ ทำไงได้ ผมก็อยากโชคดีมีความสุขเหมือนใคร ๆ ทั้งโลกน่ะแหละ




หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 25-11-2012 01:26:01
ปัจจุบันคงไม่ได้เป็นน้อย ใช่มั๊ยคะ
ไม่อยากใช้คำนี้เลย

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: mengsama ที่ 25-11-2012 03:08:52
ทำไมย่าไม่แต่งเองละ........ให้นิวแต่งงานนั่นหมายถึงว่าจะต้องอยู่กับคนๆนั้นที่ไม่ได้รักไปตลอด...นี่หรือคือรักและความหวังดีของย่า =_=
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 25-11-2012 07:08:34
ดราม่าหนักเลยอ่ะพี่นู
โดนพรากจากกันทั้งที่ยังรักกัน
เศร้าเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 25-11-2012 07:29:09

สงสารนู  :sad4:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 25-11-2012 09:28:44
ถึงจะเศร้าแต่ก็อยากอ่านอีกเพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ใจของนู ร่วมด้วยช่วยกัน อิอิ กอด กอด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 25-11-2012 09:42:39
อ่าว แล้วไหนตอนที่แล้วพี่นิวบอกไม่หมั้นแล้วไง ดราม่าได้ใจจริงๆ รักพี่นูจัง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 25-11-2012 15:44:58
ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่รู้สุขเป็นอย่างไร คละเคล้ากันไปนี่แหล่ะชีวิต
เป็นกำลังใจให้นูนิวต่อไปนะสักวันคงเป็นวันของเรา :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 25-11-2012 22:37:25
พี่นูกับพี่นิวเศร้าอีกแล้ว ดราม่าอีกแล้ว :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

คุณย่าใจร้ายที่สุดเบรยยยย :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

สู้ๆ ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้นะพี่นูพี่นิว :a2: :a2: :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 25-11-2012 23:05:19
พึ่งจะผ่านเรื่องเศร้า พึ่งจะเข้าใจกัน

ทำไมๆๆๆๆ นูน่าสงสารจัง  :เฮ้อ:

ปัจจุบันดีแล้วใช่มั้ยคะ ถึงตอนหน้าจะเศร้า ขอให้ตอนต่อๆๆๆไปไม่เศร้าทีเถอะ :o12:

พี่นิวไม่ได้แต่งงานใช่มั้ยตอนนี้ แอบคิดว่าพี่นิวจะเลือกนูมากกว่าคนอื่น
ถึงจะยากเพราะดูพี่นิวเป็นคนที่ดูเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวมากขนาดนั้น  :monkeysad:
เเต่ก็ข้อให้พี่นิวมีนูคนเดียวทีเถอะ

รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 25-11-2012 23:43:23
 :sad11:
รักจำพราก ยากฝากรัก ให้คงอยู่
รักหดหู่ คับแค้น แสนทุกข์เข็ญ
รักซ่อนรัก หนักใจ อย่างเคยเป็น
รักหลบเร้น เห็นใจ ทั้งสองคน

กระชากใจ ให้ขาดวิ่น สิ้นชีวาต
สายใจขาด พลาดหวัง พังทุกหน
วิญญาณ์หลุด สุดยื้อ คืออดทน
หัวใจคน ป่นปี้ นี้แหลกราน
 :o12: โฮกกกกกกก..กาซิก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 26-11-2012 00:07:53
หายหัวไปนาน
กลับมาคุณนูก็บีบคอ
ให้คนอ่านกินมาม่าชามโตอีกแย้ว
สงสารคุณนู กระซิกๆ
(ถึงมันจะผ่านมาแล้วก็เหอะ)
นอนรอคุณนูมาดูใจ
 :sad2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 26-11-2012 01:17:57
 

ในรีพลายที่ 2 อารมณ์จะประมาณเพ้อ ๆ นะครับ

เป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจไม่ถูก ระหว่างสิ่งที่ถูกต้อง กับ สิ่งที่อยากทำ

หลาย ๆ คนอาจจะเคยเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กันมาบ้าง



ผมเพิ่งจะมารู้ิว่านิสัยตัวเองเป็นแบบนี้ ตอนที่อ่านทำนายนิสัยจากราศีเกิดที่ไหนสักแห่ง

ก็ไม่เคยคิดจะเชื่อนะครับ แต่พอหลาย ๆ อย่างมันเกิดขึ้น แล้วมาเทียบกับนิสัยตัวเองก็เออ...ใช่้เลย

ผมเป็นคนลังเลก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป เพราะความเป็นคนที่ใจอ่อน ไม่ค่อยจะเอาชนะใจตัวเอง

กว่าจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ก็คิดแล้วคิดอีก

เหมือนตาชั่ง ที่กว่ามันจะเที่ยงตรง มันก็แกว่งไกวถ่วงไปถ่วงมาอยู่นั่นแล้ว

















      
      หลังจากที่เราสองคนต่างอยู่กับตัวเองมาตลอดทั้งคืน

เช้าวันนี้พี่นิวเป็นคนเดินมาเคาะประตูห้องผมก่อน ความจริงผมยืนลังเลอยู่นานแล้ว

หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าว่าจะเป็นฝ่ายเดินไปหาพี่นิวก่อนดีไหม 

ทั้งที่ผมตั้งใจไว้แล้วด้วยซ้ำไปว่า จะใช้ทุกช่วงเวลานาทีกับเขาให้นานที่สุด

อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันที่เราต้องตัดขาดกันจริง ๆ

แต่ลึก ๆแล้วกลับมีบางสิ่งมาทำให้ผมเปลี่ยนใจ....สิ่งนั้นบอกกับผมว่า

ถ้าจะต้องตัดขาดจากอะไร หรือใคร ก็จงตัดเสียให้ขาดตั้งแต่บัดนี้

การยื้อเพื่อซื้อเวลาไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะทำให้ต้องเจ็บปวด ระทมทุกข์ไปเปล่า ๆ

เพราะท้ายที่สุดทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็นอยู่ดี

      “ตื่นนานแล้วเหรอ”

      “ครับ”

      ผมรับคำ...ทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนต่างหาก

ส่วนพี่นิวก็คงเช่นเดียวกับผม แววตาแห้งผากยังคงปรากฏให้เห็น

      “ทำแผลให้พี่หน่อย พี่ทำเองไม่ถนัด”

      พี่นิวยื่นมือที่เจ็บมาให้ผมดู....โธ่...ไม่น่าลืมเลย ผมนึกตำหนิตัวเองในใจ

ที่มัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเองจนลืมสิ่งที่ผมควรทำให้คนที่ผมรักไปเสียได้

      “ขอโทษครับ...ผมไม่น่าลืมเลย”

      “ไม่เป็นไร”

      พี่นิวนั่งลงที่ขอบเตียง ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มให้ผมเหมือนเคย

ผมพยายามที่จะไม่มองใบหน้าของคนที่ผมพยายามจะตัดใจจาก ยิ่งเห็นเขายิ้มให้แบบนี้

ก็ยิ่งทำให้ผมถอนตัวถอนใจลำบาก เขาจะรู้ไหมว่าการตัดสินใจของเขาที่บอกผมมาเมื่อวานนี้

มันสร้างรอยแผลอะไรไว้ในหัวใจผมบ้าง ผมรู้ว่าการจะยึดพี่นิวไว้กับตัวทั้งที่เขายังมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ

มันเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ผมไม่ใช่พ่อพระที่จะยอมเชือดเนื้อเถือหนังตัวเอง

ด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี เพื่อให้คนอื่นได้อิ่มเอม ผม “จำเป็น” ต้องตัดใจ เพราะคนที่ผมรัก

เขาเลือกทางเดินให้เราทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วต่างหาก


      .....พี่จะไม่ถามผมสักคำเลยหรือครับ ว่าผมต้องการอะไร....


      ผมได้แค่รำพึงอยู่ในใจ ระหว่างที่นั่งทำแผลไปเงียบ ๆ บางทีมันคงจะมีความสุขกว่า

ที่ได้นั่งอยู่ด้วยกันในความเงียบ ถ้าหากว่าสิ่งที่ออกจากปากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันจะทำให้เราเสียใจ

และต้องหดหู่ยิ่งขึ้นไปอีก  เพราะเนื้อหาที่จะพูดคุยกันต่อจากนี้ไป คงไม่พ้นเรื่องของอนาคตว่า

เราจะเดินไปทางไหน...อย่างไรดี   นับแต่นี้คงไม่มีเรื่องของ “เรา” แต่จะมีเรื่อง “อนาคต” ของพี่นิวเข้ามาแทน

ส่วนอนาคตของผมน่ะหรือ....เก็บข้าวของกลับบ้านมั้งครับ

      
พี่นิวออกไปทำงานตามปกติ  แต่เป็นวันหยุดของผม เขาทำงานอาทิตย์ละหกวัน

ตามตารางที่ตั้งไว้  แต่บางครั้งวันทำงานของเขาอาจจะยาวกว่านั้นเป็นอาทิตย์

แล้วไปหยุดรวดเดียวหลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ทดแทนกัน 

งานรับเหมาโครงการก่อสร้างที่มีหัวหน้าคนงานดูแลอยู่แล้ว มันก็พอจะให้ความไว้วางใจได้

ในระดับหนึ่ง แต่ในฐานะเจ้าของกิจการ ถ้าจะไม่ไปดูแลเลยก็ใช่ที่ ยิ่งคนอย่างพี่นิวด้วยแล้ว

ความรับผิดชอบในหน้าที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด....ก็นิสัยแบบนี้ไง ที่ทำให้เราต่างกำลังเจ็บปวด

เพราะเขากำลังรับผิดชอบหน้าที่ของลูกชายคนโตของตระกูลอยู่

      เขาออกไปได้ไม่นาน ผมก็กดโทรศัพท์หา

      “มีอะไรครับ”

      “กลับมารับผมที”

      ผมพูดออกไปทันทีเหมือนกลัวเขาจะวางสายไปเสียก่อน ตั้งแต่ตอนกดเบอร์โทรออก

จนถึงตอนนี้ผมไม่ได้คิดกลั่นกรองอะไรเลย  ทุกอย่างผมทำไปตามสัญชาตญาณล้วน ๆ

สัญชาตญาณของคนที่กำลังจะสูญเสียคนที่รักไป และอยากจะไขว่คว้าทุกนาทีมากอดไว้กับตัว

เพื่อว่าในวันข้างหน้าผมจะได้บอกตัวเองว่า ผมได้ทำทุกวิถีทางแล้วที่จะทำให้ “เรา” มีความสุขร่วมกัน

      “รอพี่แป๊บเดียวนะครับ”

      แป๊บเดียวที่ว่า กินเวลาประมาณห้านาที เร็วเสียจนผมไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย

ยังดีที่เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่ก็เตรียมจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ผมแค่คว้ารองเท้าหนังสีหม่นหิ้วไว้ในมือ

แล้วเดินเท้าเปล่ามาขึ้นรถที่จอดรอหน้าประตูรั้วเท่านั้น

      “ทำไมไม่ใส่รองเท้าให้เรียบร้อยก่อน”

      “ผมกลัวพี่นิวเปลี่ยนใจ”

      ผมสวมรองเท้าแล้วผูกเชือกในรถ ก็เพราะมันช้าตรงที่ต้องผูกเชือกไงผมถึงได้รีบ

      “มาถึงบ้านแล้วจะเปลี่ยนใจได้ไง”

      “ไปถึงไหนมาครับ”

      “เกือบถึงออฟฟิศแล้ว”

      โห....จากจุดนั้นมาถึงบ้านเขาเหาะมาหรือไงกัน ถ้าเวลาปกติก็คงจะประมาณสิบห้านาที

      “ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”

      “พี่กลัวนูเปลี่ยนใจ”

      เราสองคนหัวเราะให้กันในคำตอบเดียวกัน พี่นิวพูดคำนั้นได้ไม่แปลก

ก็เพราะผมเคยทำมาแล้วน่ะสิ .....ถ้าเมื่อวานนี้ผมบอกว่าตอนเช้าจะติดรถไปทำงานด้วย

แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ผมก็อาจจะเปลี่ยนใจเอาเสียดื้อ ๆ ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากไปนั่งแกร่วที่ไซต์งาน

ดูเขาทำงาน  แถมถ้าไปเจอเส้นทางขรุขระ ทั้งโยกทั้งคลอน ผมก็เมารถเอาง่าย ๆ วันทั้งวันยังกับตกนรก

เพราะที่ไซต์งานไม่มีที่นอนพอจะให้คนเมารถได้นอนอย่างสบาย ๆ แล้วพี่นิวก็ต้องคอยมาดูอาการเป็นระยะ ๆ

ไม่เป็นอันทำงานทำการกันพอดี

ส่วนผมไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพี่นิวจะเปลี่ยนใจ เพราะไม่ว่าอะไรที่ผมขอ

หากเขาทำได้ เขาไม่รั้งรอเลยที่จะทำให้ผม คงจะมีเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวมั้งที่ไม่ว่าผมจะร้องขอยังไง

พี่นิวก็คงให้ผมไม่ได้.....ผมอยากขอให้เขาไม่ไปจากผม  ขอไม่ให้เขาทิ้งผมไปอยู่กับคนอื่น...เพราะถ้าผมขอ

ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้เขามากขึ้นไปอีกไม่รู้เท่าไร..  ...ในมุมที่กลับกัน.......

หากพี่นิวขออะไรที่ผมให้เขาไม่ได้ ผมคงจะรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน แล้วผมจะขอเขาไปทำไม....เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
 
เราต่างก็ทุกข์ทรมานมากพอแล้วมิใช่หรือ


      จากวันนั้น....ผมก็พยายามที่จะทำให้เรามีความสุขร่วมกันให้มากที่สุด

ใช้เวลาร่วมกันให้นานที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ถึงมันจะทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะเวลางานของเขาและผม

แทบจะไม่สามารถผสานกันได้เลย

      บางครั้งพี่นิวต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ไปตรวจงานที่ต่างจังหวัดใกล้ ๆ 

เพื่อจะได้กลับมาในวันเดียวกันให้ทันโดยไม่ดึกมากนัก ผมก็พยายามตื่นแต่เช้ามืดเพื่อส่งพี่นิวขึ้นรถ

จากนั้นก็ทำธุระของตัวเอง แล้วเก็บเอาอาการง่วง ๆ เพลีย ๆ เพราะนอนไม่พอไปทำงาน

บางครั้งถ้าต้องไปต่างจังหวัดไกลออกไป พี่นิวถึงกับต้องไปค้างคืนที่แคมป์งาน

เราก็จะอยู่ในห้องด้วยกันตลอดทั้งคืน พอรุ่งเช้าผมก็ทำหน้าที่ดูแลเสื้อผ้า และส่งเขาขึ้นรถเหมือนเคย


      โชคชะตาคงจะเข้าข้างผมบ้าง ที่ป้ามีความจำเป็นต้องไปอยู่ที่บ้านของลูกชายคนที่สอง

จากที่เคยบ่นมาหลายครั้งหลายหนว่าอยากไปอยู่ด้วย แต่ทางนั้นไม่พร้อม คราวนี้ก็เลยได้ไปอยู่จริง ๆ

เพราะต้องไปเลี้ยงหลานคนแรกที่เพิ่งคลอด คงเหลือเพียงพี่นางที่ยังทำงานบ้านให้เราอยู่แบบเช้าไปเย็นกลับ

หลังจากที่มีครอบครัวไปเมื่อสองปีก่อน ทำให้เรามีเวลาอยู่กันตามลำพังโดยที่ไม่ต้องเกรงว่าใครจะล่วงรู้

ความสัมพันธ์ที่เกินพี่น้อง แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังแยกห้องนอนห้องใครห้องมันเหมือนเดิม

มันเป็นความเคยชินด้วยมั้งผมว่า แม้ว่าในบางคืนเราจะนอนอยู่ด้วยกันจนเช้า

แต่ก็ยังกลับมาทำธุระในห้องส่วนตัวของตัวเองอยู่ดี

      
วันเวลาผ่านไปพอให้เราตายใจ ความเป็นจริงมันก็ย้อนกลับมาเตือนสติ

ไม่ให้ผมหลงระเริงไปกับความสุขที่ผมเฝ้าหลอกตัวเองเรื่อยมา

      คราวนี้คุณย่าโทรมาด้วยตัวเอง บังคับกลาย  ๆให้พี่นิวไปหาให้ได้ แค่พี่นิวบอกผมว่าต้องไป

หาคุณย่า ผมก็รู้แล้วว่าพี่นิวจะต้องไปเจออะไร ซึ่งความจริงคือ “ใคร” ต่างหากสินะ

      ตลอดช่วงเวลาที่พี่นิวไม่อยู่ ผมทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด อิจฉา น้อยเนื้อต่ำใจ

โกรธแค้นโชคชะตา สารพัดความรู้สึกที่แสนทรมาน เวลาที่นึกภาพว่าพี่นิวมีใครเคียงข้าง และอดไม่ได้

ที่จะคิดไปว่า พี่นิวอาจจะมีใจให้ผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำไป

ห้าวันแห่งความทรมานที่ผมต้องอยู่คนเดียว ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะกินจะนอน

แต่ผมยังต้องไปทำงานทุกวันและฝืนทำตัวเองให้เป็นปกติ ด้วยหน้าตาที่ซูบเซียวของผม

แถมกินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกหมด ทำให้เพื่อนร่วมงานคิดไปว่า ผมไม่ค่อยสบาย ที่แย่ไปกว่านั้น

ผมทำเงินขาดบัญชี

      งานของผมต้องอยู่กับเงิน ไม่ว่าจะรับเงิน จ่ายเงิน ผมต้องมีสติว่าธนบัตรที่อยู่ในมือ

เป็นธนบัตรประเภทไหน ลูกค้าเบิกหรือฝาก สมาธิเป็นสิ่งสำคัญ แต่บ่อยครั้งที่ผมลืมเอามันติดตัวมาทำงานด้วย

      วันนั้นเป็นวันศุกร์ หลายคนอยากกลับบ้านหลังจากที่ต้องทำงานอย่างคร่ำเคร่ง

มาตลอดสัปดาห์ แต่ผมกลับทำให้ทุกคนต้องมาคอย ด้วยสาเหตุจากความไม่มีสมาธิของผม

ที่สำคัญ ถ้าเงินสดขาดบัญชีจริง ผมก็ต้องชดใช้ ใบพันหนึ่งแหนบคือหนึ่งร้อยใบ มีค่าเท่ากับเงินหนึ่งแสน

      แล้วผมจะหาที่ไหนมาใช้คืนเขา เงินมากขนาดนั้น....ผมเอามือกุมขมับ ในสมองตื้อไปหมด

ทั้งเรื่องที่รุมเร้าอยู่ก่อนแล้ว และปัญหาเงินขาดที่ยังหาไม่เจอ

      ทุก ๆ คนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตั้งประเด็น สมมติเหตุการณ์ สารพัดจะทำ

เพื่อให้ผมนึกอะไร ๆ ออกบ้าง แต่มันก็ตื้อหนักกว่าเดิม
   
      แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงลูกค้ารายหนึ่งขึ้นมาได้ ผู้ชายวัยสามสิบกว่า ๆ คนที่ชอบทำหน้านิ่ง ๆ

วันนี้เขามาเบิกเงินเก้าแสนห้าหมื่นบาท ผมจ่ายเงินให้เค้าไปเป็นใบละพันสิบแหนบที่ทำรายการเบิก

จากผู้รักษาเงิน แถมยังล้วงเงินในลิ้นชักให้เค้าไปอีกห้าหมื่น

      ผมกดโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่อยู่ท้ายลายเซ็นต์บนสลิปถอนเงินของคุณวิษณุ

สัญญาณดังอยู่นานแต่ไม่มีคนรับสาย กระทั่งมันตัดไปเอง ผมลองกดอีกสองครั้ง ก็ได้ผลเท่าเดิม

แล้วในที่สุดคุณวิษณุก็เป็นฝ่ายโทรกลับมา จากนั้นผมก็เท้าความถึงรายการจ่ายเงินให้เขาเมื่อกลางวัน

คุณวิษณุขอตัวเดี๋ยวเดียว บอกว่า ตั้งแต่กลับจากแบงก์ยังไม่ได้เปิดถุงเงินออกดูเลย

      จากนั้นก็กลับมาบอกว่าเขาไม่สะดวกที่จะนำเงินมาคืน ด้วยเหตุที่เป็นเวลาจวนค่ำ

บ้านของเขาก็อยู่ไกลจากที่ทำงานผมพอสมควร  ใช้เวลาเดินทางร่วมครึ่งชั่วโมง แถมเรื่องนี้ยังมีสาเหตุมาจาก

ความสับเพร่าของผมเอง เมื่อคุณวิษณุบอกอย่างนั้น  ผมก็ไม่ลังเลที่จะบอกว่าผมจะไปรับเงินคืนด้วยตัวเอง

พร้อมกับพี่อีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานอยู่ฝ่ายสินเชื่อ นับว่าโชคผมยังดีที่เจอคนซื่อสัตย์

ไม่เห็นแก่ได้อย่างคุณวิษณุ ถ้าลองเขายืนยันว่าเขาได้เงินไปเท่าจำนวนที่เขียนในสลิปถอนเงิน

ผมจะไปทำอะไรได้นอกจากหาเงินมาชดใช้

      ผมกล่าวขอบคุณคุณวิษณุเสียมากมาย แต่เขาพูดเพียงว่า มันไม่ใช่เงินของเขา

ไม่ใช่ลาภที่ควรได้ ได้มาก็ไม่มีความสุข สู้ทำงานแลกมันมาด้วยหงาดเหงื่อก็ไม่ได้....

                ผมช่างโชคดีที่ได้พบคนแสนดีอีกคนหนึ่ง แล้วหลังจากวันนั้น ดูเหมือนเราก็เพิ่มดีกรี

ความสนิทสนมขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันนี้ แม้คุณวิษณุจะมีครอบครัวไปแล้ว และย้ายแบงก์เดินบัญชีกิจการ

เราก็ยังติดต่อกันเป็นระยะ ๆ หลายครั้งที่ผมได้ช่วยเหลือเขาเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน

ซึ่งมันช่วยลดภาระหนี้ทางใจที่ผมรู้สึกติดค้างไว้ได้พอสมควร

      เรื่องทุกข์ใจของผมปลดเปลื้องออกไปได้ในเวลาเพียงไม่นาน อย่างน้อย

ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้างว่า มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของผมด้วยเหมือนกัน

      

การอยู่ตามลำพังของเราสองคน โดยที่มีเพียงพี่นางคอยดูแลบ้านให้ในตอนกลางวัน

ทำให้เรามีอิสระที่จะแสดงอารมณ์ฉันคนรักมากขึ้น อย่างไม่ต้องสนใจทั้งสถานที่และเวลา

ฟังดูเหมือนจะดี เพราะมันทำให้ผมได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ทีแรกว่า เวลาที่เหลืออยู่ขอใช้ให้คุ้มค่า

กับการได้อยู่กับคนที่ผมรัก ผมไม่รู้ว่าพี่นิวมีเจตนาเดียวกับผมหรือเปล่า

แต่เราก็มีความสุขด้วยกันอย่างล้นเหลือ แม้ว่านาน ๆ ครั้งจะมีประกาศิตจากคุณย่า

ให้พี่นิวเตรียมการเพื่อวันสำคัญ (ซึ่งผมไม่เคยรู้ว่ามันเมื่อไรกันแน่) จากนั้นผมก็จะซึม ๆ

กับการถูกย้ำเตือนโดยไม่ตั้งใจของคุณย่า

      
คุณแม่มักจะโทรมาให้กำลังใจเราบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลาพูดคุยนานนัก

และพูดกับผมแทบจะนับคำได้  ผมคิดว่าคุณแม่คงรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลาที่ผมต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

ทั้งที่ผมเคยบอกไปแล้วว่าไม่มีใครผิดทั้งนั้น ชะตาชีวิตของผมมันคงเป็นไปแบบนี้เองมั้ง

ก็จะเอาอะไรกับความรักที่มันผิดกับชาวโลกเขาเล่า ดู ๆ ไปไม่เห็นจะมีใครสมหวังยั่งยืนกันสักคู่ 

หรือถ้าจะมีผมก็ไม่เคยเห็นว่ามีใครประกาศตัวให้ใครต่อใครได้รับรู้อย่างหน้าชื่นตาบานเลยสักคู่

อย่างน้อยก็รอบ ๆ ตัวผม แม้แต่ปืนกับปอก็ยังไม่เคยเปิดเผยให้ครอบครัวเขาได้รู้เลย อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะ

      ที่ผมบอกว่า มันดูเหมือนจะดีที่เราได้มีเวลาแสดงความรักต่อกันอย่างไม่มีขอบเขตและเวลา

ภายในบ้านของเราเอง....ใช่ครับ ไม่ว่ายังไงเราสองคนก็ยังไม่กล้าแสดงตัวตนให้คนรอบข้างได้รับรู้เหมือนเดิม

แต่ไอ้การที่มีอิสระมากเกินไป กลับทำร้ายผมอย่างไม่คาดคิด

      ผมกลับเสพติดการได้อยู่ร่วมกับคนที่ผมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

มันหนักกว่าการที่มีคนอื่นเดินไปเดินมาในบ้านให้เราได้ระวังตัวเสียอีก

      ยิ่งนานวันความรู้สึกเป็นเจ้าของพี่นิว ยิ่งทำให้ผมอยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้กับตัวเอง

จนลืมไปว่าครั้งหนึ่งผมเคยคิดจะตัดใจตั้งแต่วันที่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะไม่มีคำว่า “เรา” อีกต่อไป

มาวันนี้ผมไม่สามารถถอยไปที่จุดนั้นได้อีกแล้ว ผมไม่สามารถตัดใจจากเขาได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย

ผมคงจะไม่มีวันแยกจากเขาได้ แต่ผมก็ยังไม่มีหนทางที่จะทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริงขึ้นมาได้

ทุกอย่างยังคงมืดมน หนทางที่ก้าวเดินก็ตีบตัน

      ผมว่ายวนอยู่ในความทุกข์ทรมานที่แสนจะขมขื่นนั้น พร้อม ๆกับจิบรสรักด้วยความสุข

ที่แสนหวานไปด้วยเป็นแรมเดือนได้ยังไงไม่รู้  ไม่มีอะไรที่คนเราจะได้มาง่าย ๆ ผมรู้....ใคร ๆ ก็รู้

แต่ที่ผมรู้ยิ่งกว่ารู้ก็คือ ระหว่างผมกับพี่นิวมันมีกำหนดเวลา และมันก็คืบคลานมาหาเราอย่างช้า ๆ


      ผมเครียดขึ้นทุกวันโดยไม่รู้ตัว ร่างกายผมอาจจะทำอะไรไปโดยอัตโนมัติ

ตามความเคยชินในแต่ละวัน แต่ละกิจกรรม แม้แต่เรื่องการทำงาน ซึ่งผมใช้ความระมัดระวังมากขึ้น

หลังจากที่มีเหตุการณ์เงินขาดคราวนั้นเป็นบทเรียน

      แต่พี่นิวเครียดเหมือนผมหรือเปล่า ผมไม่รู้และดูไม่ออก เพราะปกติเขาเป็นคนนิ่ง ๆ

 สุขุม สุภาพ นอกจากจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิท ถึงจะเห็นเขาออกลิงออกค่างบ้าง แต่กลุ่มเพื่อนฝูงเหล่านั้น

ก็หายเข้ากลีบเมฆไปหมด ด้วยภาระที่แต่ละคนมีอยู่

      เวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ก็แทบจะไม่พูดเรื่องแสลงใจโดยไม่จำเป็น ผมคนหนึ่งล่ะ

ไม่รู้จะพูดให้ตัวเองปวดแปลบแสบร้อนไปทำไม ส่วนพี่นิวจะพูดถึงก็ต่อเมื่อ คุณย่าให้ไปจัดการธุระบางอย่าง

กับครอบครัวฝ่ายหญิง บางทีไม่มีธุระอะไรก็ใช้ให้ไปเยี่ยมเยียนตามมารยาท บางครั้งที่พี่นิวอ้าง

เรื่องไปดูงานโครงการที่รับไว้ คุณย่าก็จะจัดการให้คนอื่นไปแทน พูดง่าย ๆ ว่าไม่ว่าคุณย่าให้ทำอะไร

เกี่ยวกับครอบครัวนั้น พี่นิวต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ไม่มีคำว่า “ไม่ว่าง”

      แม้แต่วันเกิดของผม....เราก็ไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว

      ใช่ว่าเราจะให้ความสำคัญอะไรนักหนากับวันเกิด เพียงแต่ว่า เมื่อเราตกลงกันด้วยใจ

ว่าจะใช้เวลาที่เหลือด้วยกันอย่างมีความสุข  กิจกรรมต่าง ๆ ก็เหมือนจะถูกร่างขึ้นมา

เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำของเราสองคน อาจจะไม่มีการพูดคุยตกลงกันอย่างเป็นทางการ

แต่เมื่อใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่าจะทำอะไร อีกคนก็จะตอบรับทันทีโดยไม่มีข้อแม้ เพราะเราสองคนต่างก็รู้ว่า

ทุกเรื่องราวจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป

      “นูจะยกเลิกวันลาพักร้อนก็ได้นะ ไว้พี่....ว่างจริง ๆ เราค่อยไปกัน”

      พี่นิวพูดขึ้นมาหลังจากได้รับประกาศิตจากคุณย่าว่าจะต้องไปเยี่ยมครอบครัวฝ่ายหญิง

เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิดของ “ว่าที่แม่ยาย” ช่างมาเกิดได้ตรงกับวันเกิดของผมซะด้วย

      ผมอุตส่าห์ยื่นวันลาพักร้อนล่วงหน้าเป็นเดือน เพื่อจะมีวันนี้...วันที่เราสองคน

จะได้ฉลองกันเงียบ ๆ ที่รีสอร์ทต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง มันไม่ได้ไกลอะไรหรอกครับ ความสุขของผม

ไม่ได้อยู่ที่การได้ท่องเที่ยวไปในสถานที่สวยงามเป็นเลิศ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่หรูหราราคาแพง

ผมขอแค่ที่เล็ก ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง โดยไม่มีอะไร หรือว่าใครมารบกวน

ขอแค่การได้อยู่ด้วยกัน แค่ในบ้านของเราเท่านั้น  ผมก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาความสุขที่ไหนอีก

      แต่นี่มันอะไร....แค่ความสุขเล็ก ๆ ของผมในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่มันจะมีความหมายกับผม

พระเจ้าก็ให้ผมไม่ได้เชียวหรือ

      “ไม่เป็นไรครับ ผมพักผ่อนอยู่กับบ้านก็ได้ พี่นิวไปเหอะ”

      ผมฝืนยิ้มให้เขาอย่างพยายามจะทำให้มันดูเป็นธรรมชาติที่สุด เดี๋ยวนี้ผมเสแสร้งเก่งขึ้นทุกวัน

เพียงเพราะไม่ต้องการให้พี่นิวรู้ว่า ผมต้องหวานอมขมกลืนแค่ไหนกับสภาพตัวเองตอนนี้

ผมต้องพยายามปั้นหน้าให้สดใส ปั้นปากให้ยิ้ม ให้ดูเป็นว่า ผมเข้าใจ ผมรับได้ และ ผมสบายดี

ผมจะให้เขารู้ได้ยังไงว่า เพราะสำนึกความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อวงศ์ตระกูลของเขา

ทำเอาผมเลือดโทรมหัวใจอยู่ทุกวัน เขารู้ เขาก็ยิ่งทุกข์ เห็นเขาเป็นทุกข์ผมหรือจะสุขอยู่ได้

      “อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ด้วยกันในวันเกิดพี่นิวไปแล้วนี่ครับ ไม่เป็นไรหรอก”

      ผมทวนให้เขานึกถึงวันเกิดของเขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่เราได้อยู่ด้วยกันในป่าเขา

      คืนนั้นเป็นวันศุกร์พี่นิวบอกว่าวันรุ่งขึ้นต้องไปไซต์งาน ทั้งที่ผมเตรียมอาหารสด

สำหรับทำอาหารมื้อพิเศษในคืนวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันเกิดของเขา ทุกอย่างถูกเปลี่ยนแผนกระทันหัน

ผมเข้าครัวเตรียมอาหารง่าย ๆ เป็นเสบียงสำหรับจะไปค้างคืนที่ไซต์งานด้วยกัน แผนทุกอย่างเปลี่ยนได้

แต่แผนที่จะได้ข้ามคืนวันเกิดด้วยกันจะเปลี่ยนไม่ได้เป็นอันขาด

      ด้วยเวลาเพียงสองชั่วโมงผมก็ได้หมูสับทอดกระเทียมพริกไทยจนแห้งมาถ้วยใหญ่

ไปถึงที่โน่นก็เอาลงกระทะอีกทีให้เหลืองกรอบ ผักกาดแก้วจัดไว้ในกล่องพลาสติกพร้อมกับมะเขือเทศลูกโต

สีแดงสด แครอท แตงกวา ค่อยไปหั่นที่โน่น ไข่ต้ม เนื้อไก่สุก ที่ผมตั้งใจจะทำสลัด  หมูบดและเนื้อบด

อย่างละกระป๋อง เพราะพี่นิวชอบเนื้อหมู ในขณะที่ผมชอบเนื้อวัวมากกว่า ที่ต้องไปหาเพิ่มระหว่างทาง

ก็คงแค่ขนมปังสักปอนด์

      จากเมนูสเต็ก สลัดผัก และมักกะโรนีของชอบของเราสองคน กับไอศกรีมช็อกโกแลต

กล่องใหญ่ที่ยังไม่ได้ซื้อ สำหรับฉลองวันเกิดพี่นิวในค่ำคืนวันอาทิตย์ เมนูก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

มันไม่สำคัญว่าเราจะกินอะไรกันเพื่อเป็นการฉลอง มันสำคัญตรงที่ เราได้ฉลองด้วยกันสองคนต่างหาก


      พี่นิวออกเดินทางไปตามคำสั่งของคุณย่าอย่างไม่ต้องห่วงว่าผมจะเหงา

เพราะผมบอกว่าจะไปหาแม่ ระหว่างที่เขาไม่อยู่ ผมตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ เพราะไม่ได้ไปนอนค้างกับแม่

นานมากแล้ว ส่วนใหญ่ผมแวะเวียนไปกินข้าวแล้วก็กลับ เหมือนเป็นคนละครอบครัว แต่ในสายใยนั้น

เราต่างก็รับรู้ว่าความผูกพันยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ถึงเขาจะมองดูผมอยู่ห่าง ๆ แต่เราก็ไม่เคยเหินห่าง

      การไม่อยู่ของพี่นิว ทำให้ผมเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

      ผมจะทนอยู่ในสภาพนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

      จริงอยู่....เราอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข เรื่องบาดหมาง ข้อขัดแย้ง

แทบจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย ผมหายจากนิสัยขี้งอนโดยไม่รู้ตัว เป็นวิถีที่น่าอิจฉา ถ้ามองแค่เพียงผิวเผิน

แต่ลึกลงไป อาจจะมีเพียงผมที่รู้อยู่คนเดียวว่าในอกใจของผมมันกลัดหนองขนาดไหน

      เรื่องคู่หมั้นของพี่นิว เหมือนเสี้ยนที่ตำใจทุกครั้งที่มีอะไรมาสะกิดให้นึกถึง

หากเพียงแค่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพี่นิว ริ้วรอยที่ถูกเสี้ยนตำหนามข่วนก็กลับสมานได้อย่างน่าอัศจรรย์

      วันนี้ผมยังมีอ้อมกอดนี้

      หากวันหน้าล่ะ....อ้อมกอดของเขายังจะมีเผื่อมาถึงผมอีกไหม

      ความเจ็บปวดยังจะอยู่กับผมไปอีกนานแค่ไหน

....ไม่ต้องให้ใครตอบ ผมเองก็รู้อยู่แก่ใจ

จริง ๆ แล้วผมควรจะทำสิ่งที่ถูกที่ควรเสียนานแล้ว ถ้าไม่มัวแต่หวงเอาเวลาแห่งความสุข

จอมปลอมนี้ไว้กับตัว หลอกตัวเองว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เก็บเกี่ยวเอาความสุขให้มากที่สุด เพื่อวันหน้า

จะได้มีวันเวลาดี ๆ ให้นึกถึงด้วยรอยยิ้มว่า ชีวิตของผมที่ผ่านมาก็มีคนรักกับเขาเหมือนกัน

ทั้งที่แท้จริงแล้ว ผมแอบหวังลึก ๆ ว่าผมอาจจะไม่ต้องสูญเสียเขาไปต่างหาก

      มันน่าจะถึงเวลาที่ผมจะเดินออกจากชีวิตพี่นิวเสียที เจ็บวันนี้ หรือวันไหน มันก็ค่าเท่ากัน

เพราะไม่ว่ายังไง ท้ายที่สุดแล้วพี่นิวก็ไม่ใช่ของผม

      

ผมเปลี่ยนใจเทเสื้อผ้าสองชุดออกจากกระเป๋าแรมคืน หยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่

ออกมาปัดฝุ่น แล้ววางพักไว้กลางห้อง หยิบเสื้อผ้าที่ใช้เป็นประจำออกมาจากตู้และลำเลียงลงกระเป๋า

อย่างไม่รีบร้อน ผมไม่มีทางเก็บมันได้หมดหรอก เวลาเป็นสิบปีที่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ กับการเก็บกวาดข้าวของ

ของตัวเองลงกระเป๋าใบแค่นี้มันเทียบกันไมได้เลย ผมคงจะมีเสื้อผ้าข้าวของทิ้งไว้ที่นี่บ้าง

โดยที่ทุกคนที่บ้านนี้อาจจะคิดไปว่า สมาชิกในบ้านย้ายออกไปชั่วคราว....แต่สำหรับผม

คำว่าชั่วคราวคงหมายถึง จนกว่าแผลใจจะหายดี หรือว่าบางทีมันอาจจะไม่มีทางหายก็ไม่อาจรู้ได้

      สิ่งสำคัญที่ผมต้องเก็บติดตัวไปด้วยอย่างที่จะขาดไม่ได้เลย ก็คงเป็นทุก ๆอย่างที่พี่นิวให้ผม

ยกเว้นหัวใจรัก ที่ผมคงต้องคืนให้เขาไป
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 26-11-2012 01:20:08





      
      เพียงสองสามวันที่ผมกลับมาอยู่บ้าน ความรู้สึกสองอย่างก็ตีกันวุ่นวายอยู่ในอก

      ผมได้ความรู้สึกอุ่นใจคืนมา แม้จะแตกต่างจากความอบอุ่นที่ได้รับในอ้อมกอดของพี่นิว

แต่หากจะเทียบเรื่องคุณค่า ผมว่าความรู้สึกอุ่นใจที่ผมได้รับจากพ่อกับแม่ กลับมากมายมหาศาลเสียจน

ผมสุขจนล้นใจทุกครั้งแค่เพียงได้อยู่ใกล้ ๆ ถึงผมจะไม่เคยคลอเคลียกับพ่อ แต่แววตาที่เพ่งมองผม

ก็เปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยที่ผมสัมผัสได้ชัดเจน ส่วนกับแม่ ผมก็นัวเนียแม้กระทั่งเวลาจะเข้านอน

จนพ่อต้องไล่ให้กลับมานอนที่ห้องตัวเองทุกคืน ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่า ผมกลับมามีความสุขอีกครั้ง

สุขอย่างร่มเย็นด้วยความรักจากพ่อกับแม่ที่ไม่เคยจางหาย และนับวันมีแต่จะเพิ่มและแนบแน่นขึ้น

      แต่เมื่อหันหลังให้พ่อกับแม่ กลับมาที่ห้องของตัวเองอย่างเดียวดายเมื่อไร

ความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดจากการต้องนับวันรอการพลัดพรากจากคนที่รัก


มันก็โถมทำลายความสุขอันร่มเย็นในใจผมจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำยังทำร้ายหัวใจของผมให้บอบช้ำ

จนไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองหลุดพ้นบ่วงนี้ไปได้ยังไง

      กี่ครั้งกี่หนที่ผมต้องเสียน้ำตาให้กับความรัก....รักเดียวที่ผมมีมาตลอดทั้งชีวิต

      นึกย้อนกลับไปเมื่อวันวาน....ผมเสียน้ำตาเพราะคิดว่าตัวเองรักเขาข้างเดียว

รักคนที่มีเจ้าของแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ผมรักเพศเดียวกัน รักทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสังคมรอบข้างเราไม่มีวันจะยอมรับได้

แล้วรักนั้นมันจะเป็นจริงไปได้ยังไง

      แต่แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมา....ผมได้รักมาครอบครองอย่างไม่คาดฝัน....มันก็ใช่...

ที่ส่วนหนึ่งมันเกิดจากความพยายามของผมเอง แต่ฟ้าก็เป็นใจไม่ใช่หรือ ที่จะให้เขามาเป็นคู่ของผม

      แล้วฟ้าก็จับเขาแยกจากผมไปเสียไกลถึงเมืองหลวง แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นการจาก

เพื่ออนาคตที่ดีของเราทั้งคู่....ผมก็พร้อมจะรอวันที่เราจะได้กลับมาครองสุขร่วมกัน

      แต่ฟ้า....กลับแยกเราให้ห่างกันไปอีก...คนละฟากฟ้า ผมเสียน้ำตาไปเท่าไร

กับการจากกันครั้งนั้น การจากลาที่มีเพียงการตัดสินใจของพี่นิวเพียงฝ่ายเดียว

โดยที่ผมต้องระทมทุกข์อยู่เบื้องหลัง กว่าที่เราจะเข้าใจกันและกัน และได้ร่วมชีวิตกันอย่างมีความสุข

เราได้สูญเสียเวลาไปเท่าไร

      แล้ววันนี้....ผมยังเหลืออะไรอีก...นอกจากน้ำตาและความเจ็บปวดรวดร้าวที่แสนทรมาน

อยู่คนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีอ้อมกอดของคนที่ผมรัก ไม่มีรอยยิ้ม และคำพูดปลอบประโลม

ยามที่ผมทุกข์ทนหม่นไหม้.....และจากนี้ก็คงจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว



      จากวันที่พี่นิวไป ผมก็นับวันรอ ผมไม่กล้าตอบตัวเองว่าผมจะรอไปทำไม

ในเมื่อตัวเองตัดสินใจที่จะก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว สมองผมคิดถึงความถูกต้อง

ในขณะที่หัวใจผมร่ำร้องที่จะทำตามความต้องการ มันไม่เคยที่จะทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว

ให้ร่างกายได้หายเหนื่อยล้าจากความทุกข์บ้างเลย

      บางวันผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ตัวเองพร้อมแล้วที่จะก้าวเดินต่อไปตามลำพัง

ผมจะยืนอยู่ห่าง ๆ เพื่อที่จะมองดูคนที่ผมรักประสพความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ทั้งการงานและครอบครัว

แต่ความคิดนั้นมันก็อยู่กับผมได้ไม่นานเลย อยู่ ๆ ความคิดเห็นแก่ตัวมันก็ผุดโผล่ขึ้นมา

อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย....เขาเป็นของผม และผมก็รู้ว่าเขาคงไม่มีความสุขแน่ ๆ ถ้าต้องอยู่กับใครที่ไม่ได้รัก

และไม่มีใครที่จะรักเขาได้มากเท่าผมอีกแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย ที่ใครจะมาแยกเราออกจากกัน

จากนั้นผมก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันต่อไป ผมไม่สนทั้งนั้น

ว่าใครจะมาอยู่ร่วมชายคากับเราอีกคน ผมรู้แค่ว่า คนที่มาทีหลัง ยังไงก็ต้องรับสภาพนี้ให้ได้

ทีผมยังเสียสละพื้นที่ที่ควรจะเป็นของผมคนเดียว ให้เขาก้าวเข้ามาอยู่ร่วมกันได้เลย

ถ้าเขาอยากอยู่ เขาก็ต้องทน เช่นเดียวกับที่ผมทน

....ผมลืมไปว่าความจริง พี่นิวเป็นคนตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้



      ผมกลับมาอยู่บ้านแม่ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่ที่ร้าน พ่อกับแม่ก็เลยไม่ค่อยเห็น

ว่าวัน ๆ ผมทำอะไรบ้าง จะมีก็แค่วันแรกที่ถามว่า จะมาอยู่กี่วัน พอบอกว่าขออยู่เรื่อย ๆ

เพราะช่วงนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่มาเซ้าซี้อะไรต่อ

      ความคิดผมวนเวียนอยู่เรื่องเดียวไปวัน ๆ วันไหนสมองแข็งแรง ผมก็ทุกข์น้อยหน่อย

เพราะปลงได้บ้างแล้ว ส่วนวันไหนหัวใจมันแข็งแรงกว่า ผมก็กินน้ำตาต่างข้าวไป

ยิ่งอยู่คนเดียวผมก็ยิ่งฟุ้งซ่าน จมดิ่งอยู่กับการหาวิธีที่จะเข้าไปแทรกในชีวิตพี่นิวให้ได้

      ผมหลอกตัวเองมาหลายวันว่าที่มาอยู่บ้านแม่นี่เป็นก้าวแรกที่ผมจะเดินออกจากชีวิตพี่นิว

อย่างจริงจังเสียที แต่เอาเข้าจริง ผมกลับจำได้แม่นว่า วันนี้แหละเป็นวันที่เขาต้องกลับมา

พอคิดได้ใจมันก็เริ่มร้อนรุ่ม เต้นเร่า ๆ เพราะทุกทีเขาจะมาถึงพอดีเวลากินข้าวเที่ยงพร้อมผม

แต่นี่มันก็บ่ายมากแล้ว ถ้าเขากลับถึงบ้านแล้วไม่เห็นผมอยู่ที่บ้าน ก็คงจะโทรหา

แต่ที่ไม่โทร ก็คงสันนิษฐานได้อย่างเดียวคือ เขายังไม่กลับมา

      ผมทนรออยู่ได้ไม่กี่อึดใจก็ต้องกดเบอร์โทรออกอย่างอดใจไม่ไหวแล้ว

ผมอยากรู้ว่าตอนนี้พี่นิวอยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่นิสัยของผมมาแต่ไหนแต่ไร

ตั้งแต่มีเรื่องนี้เข้ามาปั่นป่วนในชีวิตผม อะไรหลาย ๆ อย่างในตัวผมก็เปลี่ยนไป

      พี่นิวกดรับแทบจะทันที ผมได้ยินเสียงที่ปลายสายอื้ออึงไปหมด

เหมือนอยู่ท่ามกลางที่ชุมนุมอะไรสักอย่าง มีทั้งเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ของเด็กและผู้ใหญ่

แต่มีเสียงหนึ่งวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขาแทบจะตลอดเวลา เป็นเสียงผู้หญิงที่ผมไม่คุ้นเคย

      “พี่นิวอยู่ไหนครับ ยังไม่กลับอีกเหรอ”

      “อืม...พี่กำลังจะโทรบอกเหมือนกันว่าวันนี้คงยังกลับไม่ได้”

      “ทำไมอะครับ มีเรื่องสำคัญเหรอครับ รู้ไหมผมรออยู่นะ”

      ผมหยอดเสียงอ้อนอย่างจะเรียกร้องความสนใจ ที่เคยใช้ได้ผลทุกครั้ง แล้วเขาก็จะบอกว่า

จะรีบมาให้เร็วที่สุด อาจจะตามด้วยเสียงจุ๊บ ๆ ไม่งั้นก็คำพูดหวาน ๆ อย่างคำว่าคิดถึงอะไรทำนองนั้น

แล้วผมก็จะยิ้มจนแก้มฉีกตอบเขาไปด้วยคำเดียวกัน แต่ในปริมาณที่มากกว่า เป็นต้นว่า

ถ้าเขาคิดถึงผม ผมก็จะบอกว่า ผมคิดถึงเขามากกว่า

      “อีกสองสามวันนะครับ......”

      มีเสียงเรียกพี่นิว ดังขึ้นข้าง ๆ เป็นเสียงผู้หญิง พี่นิวหยุดพูดกับผมหันไปพูดด้วย

แล้วกลับมาคุยกับผมต่อ

      “แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะครับ แล้วพี่จะรีบกลับ”

      เสียงนั้นยังเรียกชื่อพี่นิว ในระยะที่ห่างออกไป แต่มันกลับดังชัดเจนกว่าเมื่อกี้ซะอีก

      ผมยังไม่ทันจะรับคำอวยพรนั้น พี่นิวก็วางสายไป....สติผมกลับมาอีกครั้งถึงลำดับได้ว่า

พี่นิวอวยพรวันเกิดให้ผม.....แต่นั่นมันเมื่อวานนี้นี่นา

      ถึงเราจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดมากนัก แต่คำอวยพรง่าย ๆ ไม่กี่คำ

ก็ไม่เคยจะออกจากปากผิดเวลาเหมือนครั้งนี้ ผมไม่ควรตำหนิเขาสินะ แม้แต่ตัวเองก็ยังลืมเลยว่า

เมื่อวานเป็นวันเกิด จะมีหน้าไปว่าคนอื่นเขาได้ยังไง....ผมโถมตัวลงบนที่นอนร้องไห้คร่ำครวญเสียให้สาแก่ใจ

ให้กับการที่ตัวเองหมดความสำคัญลงไปทุกที ถึงผมจะไม่รู้ว่าเสียงผู้หญิงที่ได้ยินเป็นใคร

แต่ผมก็รู้นี่ว่า วันเกิดของผมตรงกับวันเกิดของใคร....คนสำคัญที่พี่นิวต้องไปอวยพรวันเกิดให้เขา

แทนการอยู่ฉลองวันเกิดกับผม แค่นี้ผมก็เดาได้แล้วว่าเสียงใคร

      ผมร้องไห้จนปวดกระบอกตาไปหมด น้ำตาซึมลงไปในหมอนจนเปียกชุ่ม

จนผมคิดว่ามันถูกรีดออกไปจนหมดตัวแล้วมั้ง พอก้มหน้าผมก็เห็นแหวนทองคำขาวที่เคยมีคนสวมให้ที่นิ้วชี้

แต่ตอนนี้ผมย้ายมันมาไว้ที่นิ้วนางอีกมือหนึ่งเพราะมันพอดีกว่า

      เมื่อหลายปีมาแล้ว เจ้าของแหวนบอกตอนที่เขาสวมมันให้ผมในค่ำคืนที่เราได้อยู่ด้วยกันว่า

 ผมเป็นคนเดียวที่ชี้เป็นชี้ตายในชีวิตเขาได้....ถึงพียงนั้น   คิดดู....มันน่าภูมิใจน้อยเสียเมื่อไร

ที่ใครคนนั้นให้ความสำคัญกับคนที่เขาบอกรัก  แต่ผมไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้น สำหรับชีวิตคน ๆ เดียว

ที่สำคัญที่สุดสำหรับผม มันไม่จำเป็นเลยที่ผมจะต้องชักจูง ชี้นำ หรือแม้แต่จะชี้ขาดชีวิตของเขา

ระหว่างคนสองคนที่รักกัน ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จะดีหรือร้าย ขอเพียงทั้งคู่มีหัวใจรักนำทาง

อุปสรรคใด ๆ หนักหนาแค่ไหน ก็จะฝ่าฟันจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสมอ

      ผมคิดถึงเจ้าของแหวนจนต้องโทรไปหาเขาอีกครั้ง เพียงเพื่อจะได้ยินเสียง

ผมคิดถึงพี่นิวจับหัวใจ ไม่ใช่ความคิดถึงอย่างทุก ๆ ครั้งที่เมื่อเราไม่เจอหน้ากันก็อยากจะบอกให้อีกคนได้รู้ว่า

....คิดถึงนะ....

      แต่มันเป็นความคิดถึง ด้วยความโหยหา อาวรณ์ เพราะว่าเขาอยู่ไกล...ไกลเหลือเกิน

นับวันก็จะยิ่งไกลออกไปเรื่อย ๆ ไกลขนาดนั้น ผมจะเอื้อมคว้ากลับมาได้ยังไง...ไม่รู้เลย

      “ว่าไงครับ”

      แค่นี้ก็เหมือนน้ำทิพย์ชโลมหัวใจผมแล้ว

      “ไม่มีอะไรครับ ผมคิดถึง”

      “ครับ....เหมือนกัน”

      ผมกดวางสายก่อน แล้วน้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปแล้ว ก็ร่วงพรูออกมาใหม่

      เจ็บปวดทรมานเหลือเกิน....ใครก็ได้ช่วยผมที

      ผมไม่อยากอยู่ในสภาพนี้อีกแล้ว....ได้ยินเพียงแค่เสียงที่ไม่รู้จักหน้า ผมก็ยังเจ็บเจียนตาย

แล้วถ้าได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ได้เห็นเขาอยู่เคียงข้างกัน ผมคงเหมือนตกอยู่ในกองเพลิง

      ทำเป็นจะแบ่งที่ให้เขายืน ทั้งที่จริงแล้วตัวเองต่างหาก ที่ไม่ยอมลงจากที่ ๆ เขาจะเข้ามา

เป็นเจ้าของ

      นี่ขนาดเขายังไม่ก้าวเข้ามาอย่างเต็มตัวด้วยซ้ำ ผมก็แทบจะทนไม่ได้

แล้วถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ผมจะเอาหัวใจเหล็กไหลที่ไหนมาทน

      
      กว่าพ่อกับแม่จะปิดร้านกลับมาบ้านก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว ผมก็หยุดสะอื้นไปแล้ว

อาการปวดกระบอกตาเริ่มลามไปทั้งหัว ผมนอนเงียบ ๆ คนเดียวในห้องจนแม่ผิดสังเกตถึงกับเข้ามาดู

      “ทำไมหน้าบวมตาบวมอย่างนี้ล่ะลูก”

      แม่นั่งลงขอบเตียง ลูบหน้าลูบแขนผม มือของแม่นุ่มและอุ่นเสมอ

      “ปวดหัวอะแม่”

      “ปวดหัวแล้วทำไมไม่ไปเอายามากิน”

      “เพิ่งตื่นครับ”

      “กินข้าวแล้วใช่ไหมลูก”

      “ครับ”

      ผมปดแม่ตั้งแต่คำถามแรกนั่นแหละ ตั้งแต่ที่โทรสายแรกไปหาพี่นิวเมื่อตอนบ่าย

ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย จะว่าไปในท้องผมก็มีแค่อาหารเช้าที่เป็นซาละเปาไส้หมูกับชาหวาน ๆ ถ้วยเดียว

แถมซาละเปาผมก็กินไม่หมดด้วยซ้ำ ในคอมันตีบตันเสียขนาดนี้ ผมคงกลืนอะไรไม่ลง

      “เดี๋ยวแม่ไปหยิบยาให้นะ เช็ดตัวนะลูกห้ามอาบน้ำ เอาน้ำอุ่นไหม เดี๋ยวแม่ต้มน้ำให้”

      “ไม่ต้องอะแม่ ผมทำเอง ขอนอนแป๊บนึง”

      ผมยกหัวออกจากหมอนที่หนุนมาเป็นหนุนตักแม่แทน แม่ลูบหัวผมเบา ๆ

แล้วเปลี่ยนเป็นกดปลายนิ้วย้ำ ๆ ไปทั่วหัว

      “อือ....สบายจัง เอาอีกสิแม่”

      แม่จับหัวผมยกขึ้นจะให้นอนบนหมอน เตรียมจะนวดอย่างเอาจริงเอาจัง

แต่ผมกอดเอวแม่ไว้แน่นไม่ยอมขยับ แถมยังกดหัวลงบนตักแม่เสียอีก

      “นอนแบบนี้แม่จะนวดยังไงล่ะ”

      “ก็นวดแบบนี้แหละ ตักแม่สบาย”

      ผมรู้ว่าแม่ยิ้มไป นวดไป แม่เองก็ชอบให้ผมหนุนตักเหมือนกันแหละ

      ผมนอนนิ่ง ๆ ให้แม่นวดอยู่พักใหญ่ จนแม่คิดว่าผมหลับ

      “อย่าเพิ่งนอนลูก ลุกขึ้นมากินยาก่อน แม่ลงไปหยิบยาให้”

      “ไม่ต้องครับ ผมไปเอง จะลงไปเอาน้ำด้วย แม่ไปอาบน้ำเหอะ กลับมาเหนื่อย ๆ

มาเสียเวลากับผมอยู่ได้”

      แม่บีบจมูกผมแรง ๆ แล้วก็หัวเราะ

      “พูดแบบนี้ได้ยังไง เวลาของแม่ก็มีให้ลูกกับพ่อนี่แหละ มันจะเสียได้ยังไง”

      ผมตื้นตันกับคำพูดง่าย ๆของแม่ ทั้งชีวิตแม่ก็มีแค่ผมกับพ่อ หลังจากที่ยายเสียไป

ตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่ก็ไม่ได้ติดต่อญาติคนไหนอีก เหมือนกับที่ผมก็ไม่รู้จักญาติข้างแม่

ที่เคยไปอยู่บ้านยายตอนเล็ก ๆ ก็จำไม่ได้แล้ว ประกอบกับญาติข้างแม่ก็ไม่เข้ามายุ่งกับเรา

เพราะกลัวญาติข้างพ่อข่ม ในความทรงจำวัยเด็กจึงมีแค่เงาของยายที่ไม่เคยเรียกชื่อผมได้ชัดสักที

      แม่แยกตัวไปอาบน้ำ ผมกำชับให้แม่ไปดูแลพ่อ แล้วก็เข้านอนไปเลย เพราะผมก็จะกินยา

แล้วนอนเลยเหมือนกัน ผมไม่อยากให้แม่ต้องคอยเป็นกังวล

      ผมเดินลงไปชั้นล่าง แต่ไม่ได้ไปหยิบยากินอย่างที่บอกแม่ ก็ไม่ได้ป่วยสักหน่อย

อาการปวดหัวก็แค่ลุกลามมาจากการที่ผมร้องไห้จนปวดกระบอกตานั่นแหละ นอนพักก็คงหาย

แต่ปัญหาของผมคืนนี้ก็คือ....แล้วผมจะหลับตาลงได้ยังไง ในเมื่อในหัวผมมันเต็มไปด้วยเรื่องของผมกับพี่นิว

ที่มีคนอื่นเข้ามาแทรกตรงกลาง

      ตกดึกอากาศมันหนาวจับใจจริง ๆ ยิ่งหน้าฝนอย่างนี้ด้วยแล้ว ฝนตกที่ไหนไม่รู้

แต่ลมก็ยังหอบเอาไอเย็นมาฝากจนสะท้านไปถึงข้างใน ผมเปิดประตูออกมานั่งตากน้ำค้างนอกบ้าน

อากาศเย็นแต่ในใจผมมันกลับร้อนรุ่ม คืนนี้คงไม่มีทางจะหลับตาลงได้เลย

ผมคิดไปต่าง ๆ นานา ตั้งแต่เรื่องราวที่ผ่านมาของเราสองคน จนถึงอนาคตข้างหน้า

ว่ามันจะดำเนินต่อไปยังไง เพราะว่าพอย้อนมาดูปัจจุบันมันก็ยังมืดมนเหลือเกิน ลำพังพี่นิวเอง


เขาก็ตัดสินใจแล้วที่จะเลือกครอบครัวของเขา ผมเป็นตัวเลือกที่ไม่เคยมีน้ำหนักสำหรับเขาเลย

ตั้งแต่คราวที่เขาตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศโน่นแล้ว

ผมอยากรู้จัง....ถ้าผมไม่ใช่ผู้ชาย....สมมติว่าผมเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารัก

แต่คุณย่าจะให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ผู้ใหญ่เลือกให้ เขาจะยังทิ้งตัวเลือกอย่างผมหรือเปล่า......ผมก็แค่สมมติ

.......ผมก็แค่อยากรู้ให้ชัด ๆ ว่า ปัญหาของเรามันคืออะไรแน่....ระหว่างคำสั่งของคุณย่าที่ทุกคนในตระกูล

ไม่กล้าปฏิเสธ หรือว่า ความรักที่ผิดธรรมชาติ ไม่อาจจะเปิดเผยได้ของเรา

      ยังไงมันก็คงไม่มีคำตอบ เพราะยังไงผมก็เป็นผู้ชาย คำถามสมมติแบบนั้น

จะตอบยังไงก็ได้ แล้วแต่ว่าคนถูกถามต้องการให้ผลมันออกมาเป็นบวกหรือลบ

      ผมนึกสงสัยว่า คนส่วนใหญ่เวลาที่กลุ้มใจมาก ๆ เขาคิดถึงใครเป็นอันดับแรก

ที่จะมาช่วยรับฟังปัญหาของเขา ผมเดาว่าคงเป็นเพื่อน....แต่สำหรับผม....ไม่มีเพื่อนที่ผมสนิทมากพอ

จะเล่าเรื่องส่วนตัวระดับนี้ให้ฟัง ผมคิดถึงเข้ม ถ้ามันอยู่ใกล้ ๆ ความทุกข์ในใจทั้งหลายของผมคงถมทับไปที่มัน

แต่เราก็ไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า ตอนนี้มันใช้ชีวิตแบบไหน ได้ยินว่ามันมีเมียแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้

จะติดต่อมันได้ยังไงอยู่ดี เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านมันที่ผมเคยมี ก็ใช้ไม่ได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่โทรไปเพื่อถามข่าวคราว

ตอนที่เรียนจบใหม่ ๆ มีเพียงเสียงอัตโนมัติขององค์การโทรศัพท์บอกว่าเบอร์นี้ยังไม่เปิดให้บริการ

ผมก็เลยเดาว่า คงมีการเปลี่ยนแปลงคู่สายใหม่

      ผมรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ปัญหาของผมไม่มีทางที่จะขจัดปัดเป่า

ให้หมดไปได้หรอก ยังไงผมก็ต้องติดอยู่กับมันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น ตอนนี้ผมแค่อยากมีใครสักคน

ช่วยรับฟังความทุกข์ที่มันอัดแน่นอยู่ในใจผมที คนที่ผมรักและเทิดทูนที่สุดในชีวิตสองคน นอนหลับอยู่ในบ้าน

ความจริงน่าจะเป็นคนที่ช่วยผมได้ดีที่สุดแล้ว สองมือของพ่อกับแม่ พร้อมจะโอบอุ้ม และปกป้องผม

จากทุกข์ภัยใด ๆ ในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

      แต่พ่อกับแม่ไม่เคยรู้ว่าผมเป็น “อะไร” เรื่องลูกชายเป็นเกย์ ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชม

ในสังคมบ้านผม มิหนำซ้ำยังจะพาเอาความอัปยศมาให้

แล้วผมจะมีหน้าเดินเข้าไปร้องไห้ต่อหน้าพ่อกับแม่ได้ยังไงว่า ลูกชายของท่านถูกผู้ชายทิ้ง

      ผมถามตัวเองว่า ชีวิตที่ไม่มีพี่นิวของผมจะดำเนินต่อไปยังไง ผมเคยรู้รส

ของการสูญเสียเขาไปมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นั่นเพราะเรื่องเรียน  ผมยังพอทำใจได้ว่าเขาทำไป

เพื่ออนาคตของเขาที่ผมควรจะยินดีด้วย  ซึ่งมันช่างต่างกับตอนนี้ ขณะที่ผมเดินจากมา

ที่ตรงนั้นกำลังจะมีใครอีกคนเข้าไปแทน แค่คิดว่าเวลาที่ไม่มีผมแล้ว พี่นิวอยู่กับใคร

คนที่เขาเป็นสามีภรรยากัน เขาปฏิบัติต่อกันยังไง เท่านั้นหัวใจผมก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้ว

      ผมกัดกำปั้นของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นมันดังเล็ดลอดออกมา

ผมพยายามคิดว่าพี่นิวไม่ได้ทำร้ายผม คุณย่าไม่ได้แกล้งแยกเราออกจากกัน

ทุกอย่างมันก็แค่ดำเนินไปตามทางที่ถูกที่ควร ที่ธรรมชาติของมนุษย์ควรจะเป็นไป

ผมต่างหากที่ผิดธรรมชาติ ผมต่างหากที่อยู่ผิดที่ผิดทางมาตลอด

สิบปีที่ผ่านมา ไม่เรียกว่าเป็นโชคอีกหรือ ที่ผมได้รักคนที่แสนดีคนนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ผมรัก เขาก็รักผมอย่างไม่มีอะไรให้สงสัย

อย่างน้อยผมก็เคยได้ลิ้มรสความสุขตามประสาคนรักมาแล้วในช่วงหนึ่งของชีวิต


      ผมควรจะทำใจได้ไม่ใช่หรือ

      เปล่าเลย....ตรงกันข้าม...เพราะผมเคยได้รู้รสของความสุขนั้นไง ผมถึงไม่อยากสูญเสียมันไป

ผมเสพความสุขจนติด ผมจะทนได้ยังไง........ถ้าต้องสูญเสียเขาไปอีกครั้ง ชีวิตของผมจะเหลืออะไร



      ผมนอนลืมตามองเพดานมาได้สักพักแล้ว หลังจากที่ไม่รู้จะทนนั่งตากน้ำค้างไปทำไม

อันที่จริงผมก็อยากจะนอนให้มันหลับ ๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้มันวุ่นวาย ฟุ้งซ่านอยู่อย่างนี้

คิดวนไปเวียนมาตลอดทั้งวันก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี นอกจากเสียน้ำตา

ตอนที่เดินผ่านตู้ยาผมก็นึกได้ว่าแม่บอกให้กินยา อาการปวดหัวอย่างที่ผมบอกแม่

ถ้าเป็นเวลาอื่นผมแค่นอนให้หลับสักตื่นก็หาย ไม่ต้องพึ่งยาก็ได้

แต่ผมอยากหลับให้เร็วที่สุด เพื่อจะหยุดความคิดในหัวลงเสียที ยาพาราสักสองสามเม็ด

คงพอจะทำให้เคลิ้มหลับได้

ผมกินตามคำแนะนำทั่วไป...2 เม็ด

      ผมไม่รู้ว่านานขนาดไหนกว่าที่ยามันจะออกฤทธิ์กดประสาทให้หลับได้

สักพักผมก็หย่อนมันลงไปในกระเพาะอีก 2 เม็ด

      ภาพเก่า ๆ ของผมกับพี่นิว ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด  วันเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกัน  อนาคตของเราสองคนแทบจะเป็นถนนเส้นเดียวกันด้วยซ้ำ

รอบ ๆ ตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้ว่าในบางครั้งจะมีเรื่องขัดแย้ง โต้เถียงกันบ้าง

แต่มันก็จบลงด้วยดีทุกครั้ง แถมยังทำให้เราได้เข้าใจกันมากขึ้น และรักกันมากขึ้นไปอีก

เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังอยู่หน้าห้อง จับความไม่ค่อยได้ คล้าย ๆ พ่อจะบอกไม่ให้แม่เข้ามา

ในห้องผม....พ่อรู้ว่าถ้าผมตื่นในเวลาเช้ามืดแบบนี้แล้ว คงจะหลับไม่ลงอีก...มีอะไรเกี่ยวกับผมบ้างนะ

ที่พ่อกับแม่ไม่รู้....อ้อ....เรื่องผมเป็นเกย์

      เสียงเปิดประตูบ้าน แล้วก็ตามด้วยเสียงสตาร์ทรถออกไป....ผมได้ยินเสียงทุกอย่าง

อย่างเลือนลาง เสียงไก่ขันดังอยู่ไม่ไกลจากบ้าน....คงเป็นไก่ตาแววที่แกชอบเลี้ยงไก่ชน....ลงสนามกี่ที

โดนตีตาแตกกลับมาทุกที ไม่เห็นจะเคยชนะ แต่แกก็ทั้งรักทั้งทะนุถนอมมันอย่างกับลูก

      ผมยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด....ขวดยาพาราถูกเทออกมาใส่ฝ่ามือ....

ผมกอบเม็ดยาจำนวนหนึ่งใส่ปากก่อนจะดื่มน้ำตามลงไปจนหมดแก้ว...เพื่อช่วยให้มันลำเลียงลงคอง่ายขึ้น

ผมไม่ชอบกินยาเม็ดใหญ่ ๆ แบบนี้หรอก เผลอทีไรมันก็จะขวางลำคอทุกที กว่ามันร่วงลงไปในกระเพาะได้

ก็ทำเอาพุงกาง เพราะกระแทกน้ำลงไปเสียหลายแก้ว

      ฟ้าจะสว่างอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่หลับเสียที ผมหยิบยาส่วนที่เหลือในขวด

ออกมาเทใส่มือจนหมด....มันเหลือไม่ถึงสิบเม็ดมั้ง...รวม ๆ แล้วผมกินมันเข้าไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

ผมน่าจะคิดได้ว่ามันไม่ใช่ยานอนหลับที่กินปุ๊บจะได้หลับปั๊บ หมดขวดนี้แล้วผมจะหลับได้ไหมนี่

      
      หนังตาของผมหนักลงเรื่อย ๆ แต่ผมว่ามันก็ยังตึง ๆ อยู่ดี  แต่ตาผมก็ชักจะโฟกัส

ลายของฝ้าเพดานไม่ได้แล้วล่ะ เส้นทีบาร์ก็ชักจะโย้เย้แล้ว

      ผมรู้สึกร้อน ๆ ในช่องอก จนต้องเอามือลูบ

      ที่จริงผมรู้สึกมาสักแป๊บหนึ่งแล้ว  มันเริ่มจากร้อน ๆ ที่ลำคอ ตรงที่ยาเม็ดสุดท้ายมันติดอยู่

นิดหนึ่งก่อนจะโดนน้ำอึกใหญ่กระแทกลงไป แล้วตอนนี้มันก็ร้อนวาบลงไปจนเกือบจะถึงกระเพาะอาหาร......

คงเป็นกระเพาะอาหาร เพราะผมรู้สึกว่าตรงนั้นมันเหมือนเป็นโพรงกว้าง ๆ อยู่ในท้อง......ยาเม็ดพวกนั้น

คงลงไปนอนกองเรียบร้อยแล้ว

      ผมรู้สึกว่าปากแห้งมาก ก็เลยพยายามแลบลิ้นออกมาจะแตะเพื่อให้มันชุ่ม ๆ หน่อย

แต่ผมบังคับมันไม่ได้อย่างใจเลยให้ตายสิ....ลิ้นผมมันแข็ง ๆ ชา ๆ ผมขยับปลายลิ้น

แต่มันดันขยับไปทั้งลิ้น แล้วยังไม่ไปในทิศทางที่ผมต้องการอีก

      ผมเริ่มขยับแขนขาได้ยากขึ้น...ไม่ใช่ยากขึ้นหรอก ผมไม่มีแรงต่างหาก

ผมบังคับกล้ามเนื้อได้ไม่เต็มที่ แถมยังรู้สึกว่ามันสั่นระริกยังไงบอกไม่ถูก ผมยกมือขึ้นมาดูอย่างช้า ๆ

ก็เห็นปลายนิ้วมันสั่น....มันสั่นเหมือนตอนที่ผมหิวข้าวมาก ๆนั่นแหละ

      สมองผมยังประมวลผลได้อยู่....ผมคิดว่าผมคงกินยาเกินขนาดเข้าไปแล้ว....

ผมไม่ได้ดูว่าในขวดนั้นมียาอยู่เท่าไร แต่คิดว่าคงจะประมาณครึ่งขวด....ก็ร่วมครึ่งร้อย....

      หรือว่านี่จะเป็นทางออกของปัญหาที่ผมเผชิญอยู่....ไหน ๆ จะไม่ได้อยู่กับคนที่รัก

ก็ไม่ต้องได้พบเจอกันเลยดีไหม  ในเมื่อแค่คิดถึงเวลาที่เขาอยู่กับใคร ผมก็เจ็บปวดจนสุดจะทนแล้ว

ถ้าต้องเห็นกับตาอีก ผมคงขาดใจตายเพราะความหึงหวงสักวัน

      เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ข้าง ๆ หมอน ผมกดรับแบบที่เรียกว่าสุดแรง เพราะปลายนิ้วโป้งมันสั่น ๆ

ผมดีใจจริง ๆ นะ คิดว่าต้องเป็นพี่นิวแน่ ๆ...แล้วมันก็เป็นความจริง ผมได้ยินเสียงพี่นิวพูดแว่ว ๆ ยาว ๆ

แต่ผมจับได้แค่คำถามสุดท้าย ก่อนจะตอบกลับไป

      “ตื่นแล้วครับ”

      “อะไรนะ”

      “ตื่นแล้วครับ”

      ผมย้ำอีกครั้งเพราะรู้ตัวเองเหมือนกันว่า ผมพูดไม่ค่อยชัด แต่ผมว่าผมค่อย ๆพูดแล้วนะ

เขาก็ยังถามกลับแปลก ๆ

      “เป็นอะไรน่ะนู”

      “เปล่าครับ...”

      แล้วผมก็หมดแรงพูดเอาดื้อ ๆ

      “นูเป็นอะไร”

      ผมได้ยินเขานะ แต่ผมตอบเขาไม่ได้ ผมอยากตอบได้ยาว ๆ กว่าคำว่า...เปล่า....

แต่ผมพูดไม่ได้ ลิ้นผมมันกระดิกไม่ได้มาก แล้วผมก็ยังรู้สึกว่ามันบวมจนคับปากผมแล้ว

มือผมสั่นจนถือโทรศัพท์ไม่ได้ ผมปล่อยให้มันตกลงไปข้างหมอนเหมือนเดิม

แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงพี่นิวแว่วมาเข้าหูอีกเรื่อย ๆ

      “นู....”



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 26-11-2012 01:20:50



      ผมโก่งคออาเจียนเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้   รู้แต่ว่าตอนนี้มันเจ็บหน้าอกไปหมดแล้ว

ตัวการที่ทำให้ผมอาเจียนก็นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆผมนี่เอง ส่วนผมแทบจะพังพาบลงบนพื้นห้องน้ำนั่นแหละ

ตรงหน้าผมมีอะไรต่ออะไรไม่รู้ นองเนืองเต็มไปหมด มีเม็ดยาสีขาว แบบเต็มเม็ดบ้าง เม็ดเปื่อย ๆบ้าง

ผสมปนเปอยู่ในน้ำลายเหนียวข้น ยาเม็ดบางส่วนละลายปนกับน้ำลายจนเป็นน้ำขาว ๆ เมือก ๆ ไ

ม่มีเศษอาหารแม้กระทั่งข้าวสวยสักเม็ด

      มือใหญ่ ๆ ลูบหลังผมไปเรื่อย ๆ จนลมในท้องดันทุก ๆ อย่างออกมาทางปาก

น้ำหู น้ำตา น้ำมูก ไหลพรากจนปนเปกันไปหมดบนหน้าผม

      “กินไปกี่เม็ด”

      ผมส่ายหน้า ได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ ตามมาที่ข้างหู

      “จะกินเข้าไปทำไม มีอะไรทำไมไม่บอกพี่ ทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ

เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง พ่อกับแม่อีกล่ะ”

      ผมทำได้แค่ส่ายหน้ากับระบายทุก ๆ อย่างออกมาจากกระเพาะอาหาร

ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเอง ผมไม่ได้อยากตาย ก็แค่อยากหลับ

ให้มันลืม ๆ เรื่องราวที่มันทำให้ผมต้องเจ็บปวดแค่นั้นเอง แต่ผมทำได้แค่อ้าปากกว้าง ๆ จนลำคอโป่ง

      แรงแขนจะค้ำร่างกายไว้ก็ไม่มี ผมซวนเซลงฟุบกับพื้นห้องน้ำทันทีที่พี่นิวผละลุกออกไป

ไม่กี่อึดใจก็กลับมายกตัวผมให้แผ่นหลังพิงอกเขาพร้อมกับกรอกของเหลวใส ๆ เหนียว ๆ มีกลิ่นคาว ๆ

เข้ามาในปากผม....มันเป็นถ้วยที่สองแล้ว ผมไม่ชอบมันเลย กลืนมันลงไปแล้วก็ทำให้ผมขย้อน

เอาทุกอย่างออกมาอย่างลืมตายไปเลย...มันคือไข่ขาวครับ ตอนกินไข่ลวกที่มันสุก ๆ ดิบ ๆ

ทำไมมันอร่อยนักก็ไม่รู้ แต่พอกินไข่ขาวดิบ ๆ มันชวนอ้วกจริง ๆให้ตายเหอะ

      “ทำอย่างนี้อยากให้พี่ขาดใจตายไปเลยใช่ไหม  รู้ไหมว่าถ้าพี่มาไม่ทันผลมันจะเป็นยังไง

ดีนะที่พี่ตกลงกับเขาได้เร็ว ถึงได้รีบบึ่งกลับมาเนี่ย”

      ผมได้ยินเสียงพี่นิวพูดอยู่ข้างหลัง ในขณะที่ผมก้มหน้าแทบจะจรดพื้นห้องน้ำ

เพราะหมดแรงจะพยุงตัวเองให้ตั้งตรงอยู่ได้ พร้อม ๆกับอ้าปากให้ลมและน้ำออกมาจากช่องท้อง

ตามจังหวะที่พี่นิวลูบหลัง

      “พอแล้ว”

      แทบไม่มีแรงจะพูดออกมาเป็นคำด้วยซ้ำมั้งผม  จะเปล่งเสียงออกมาแต่ละครั้ง

ก็มีแค่ลมแผ่ว ๆ เพียงแค่นั้นผมก็ถึงกับเหนื่อยหอบ นอกจากแขนขาที่อ่อนเปลี้ย

ผมก็รู้สึกเหมือนจะไม่มีแรงแม้แต่จะสูดเอาอากาศเข้าปอดเลยด้วยซ้ำ

      “หมดหรือยัง”

      แล้วผมจะรู้ไหมล่ะนั่น

      “กินไปเยอะหรือเปล่า”

      ผมส่ายหน้า

      “เทซะหมดขวดเลยนะ เต็มขวดไหม”

      “ครึ่งหนึ่ง”

      กว่าพี่นิวจะประคองกึ่งลากผมมาขึ้นเตียงนอนได้ ก็ต้องจับผมรดน้ำฟอกสบู่ลวก ๆ

พอให้กลิ่นบูด ๆ หมดไปจากตัวผมก่อน แล้วเขาก็พลอยเปียกไปทั้งตัวด้วย ไม่ต้องสงสัยว่า

เราสองคนเปลือยกายเดินออกจากห้องน้ำอย่างกระปลกกระเปลี้ย เสื้อผ้าของเรากองขยุ้มอยู่บนพื้นในห้องน้ำ

 หลังจากที่พี่นิวราดน้ำเพื่อทำความสะอาดพื้นอย่างขอไปที เพราะต้องพยุงผมกลับมานอน

ส่วนผมทั้งที่ไม่ได้ออกแรงอะไร (เพราะไม่มีแรงจะออก) ยังรู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจไปกับเขาด้วย

ผมนอนฟังเสียงหายใจปนหอบของพี่นิวอยู่ข้างหูจนหลับไป



      ตื่นมาอีกทีแดดก็แยงตาจนต้องหยีตามองไปรอบ ๆห้อง

      ผมอยู่คนเดียวในห้องนอนของตัวเอง สภาพห้องดูเรียบร้อยดี ผมค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์

เมื่อคืนช้า ๆ มองหาขวดยาพาราที่คิดว่าน่าจะตกอยู่ใกล้ ๆตัวก็ไม่เห็นมี ผมงง ๆ ว่าพี่นิวมาได้ยังไง

แถมมาทันเวลาเสียด้วย คิดแล้วผมก็ตัวสั่นยะเยือกที่ผ่านนาทีเฉียดตายมาได้หวุดหวิด

      ผมจำความรู้สึกตอนที่กรอกยาใส่ปากได้ไม่ชัดเจนนัก ผมไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง

ให้ผมทำเรื่องสิ้นคิดขนาดนั้น ในชีวิตผมไม่เคยสักครั้งที่คิดจะลาโลกด้วยวิธีโง่ ๆ แบบนั้น

แถมถ้าใครพูดเรื่องการฆ่าตัวตาย ผมก็แทบจะหัวเราะเยาะใส่เสียด้วยซ้ำไป เพราะผมคิดเสมอว่า

ทุกปัญหามีทางแก้หรือถึงแม้จะไม่มีหนทางแก้ไข แต่เวลาก็จะช่วยให้ความทุกข์ในใจทุเลาเบาบางลงได้

แล้วไม่แน่ว่า หนทางแก้ไขปัญหาก็จะตามมาเอง

      ผมโผเผลุกจากเตียงนอนอย่างเพลีย ๆ อาการมือสั่น ลิ้นแข็งชาไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

จำนวนเม็ดยามากมายที่ผมอาเจียนเสียจนหมดไส้หมดพุงยังติดตาอยู่เลย ถึงจะอยู่ในอาการสลึมสลือ

แต่ผมก็จำสภาพของมันได้ บางเม็ดละลายแล้วด้วยซ้ำไปและอีกจำนวนมากที่ยังคงสภาพเม็ดกลมแข็งอยู่

นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าพี่นิวมาไม่ทันผมจะเป็นยังไงบ้าง ผมไม่รู้ว่ายาพาราเซตามอลจำนวนเท่าไร

ถึงจะทำให้เสียชีวิตได้ แต่ครึ่งขวดที่ผมกรอกใส่ปากด้วยอารมณ์วูบเดียว ทำให้ผมหนาวเยือกขึ้นมาในอก

เพราะยังจำอาการในนาทีนั้นได้ฝังใจ

      ผมเดินเข้าไปอาบน้ำ ก่อนจะได้พบพี่นิว ผมอยากสะอาด สดชื่นกว่านี้

ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีสติมากพอที่จะคุยกับพี่นิวอย่างยอมรับความจริงทุกอย่างได้แล้ว

ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ผมจะไม่ฟูมฟายไร้สติอย่างที่ผ่านมา

สภาพห้องน้ำได้รับการทำความสะอาดไปบ้างแต่ยังมีร่องรอยสกปรกที่ผมทิ้งเอาไว้เมื่อคืน

คงเป็นฝีมือพี่นิวของผม เขาทำได้แค่นี้ก็เก่งแล้วครับ สำหรับคนที่เติบโตมาก็มีคนทำทุกอย่างให้ตลอด

แต่เขาก็ทำให้ผม....น้ำตาของผมปริ่มขอบตาอีกแล้ว

นึกเสียดายที่วันข้างหน้าผมจะไม่มีโอกาสได้ดูแลเขาอีก แต่ไม่เป็นไร

นับจากนี้ผมจะดูแลเขาให้ดี รักเขาให้มาก เขาจะได้ไม่ลืมผม....ไม่ลืมว่าเราเคยรักกันยังไง


      เนื้อตัวยังหมาดน้ำมีแค่ผ้าขนหนูพันเอว ตอนที่ผมเดินออกมาเจอพี่นิวนั่งอยู่บนเตียง

ผมคิดว่าเขาตั้งใจนั่งจ้องประตูห้องน้ำรอให้ผมออกมา เพราะพอผมเปิดประตูก็สบตาเศร้า ๆ ของเขาทันที

      ผมขยับขาทีละก้าวอย่างช้า ๆ จนไปหยุดต่อหน้าพี่นิว วงแขนสองข้างของเขาอ้าออก

ให้ผมรู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป....อย่างไม่รอช้าสักวินาที ผมถลาเข้ากอดคอพี่นิว ทรุดตัวนั่งลงบนตัก

แล้วเราสองคนก็กอดกันนิ่ง ๆ น้ำอุ่น ๆ หยดลงบนไหล่เปลือยเปล่าของผม

      “อย่าทำอย่างนี้อีกนะ พี่ปวดใจไปหมดแล้วรู้ไหม”

      “ผมขอโทษครับ”

      พี่นิวสะอื้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

      “พี่ไม่รู้เลยว่ามาถึงที่นี่ได้ยังไง ตอนที่นูรับโทรศัพท์แล้วพูดอะไรไม่รู้เรื่องสักคำ

พี่นึกว่านูกำลังงัวเงีย แต่พี่รู้ดีว่าไม่ใช่ พี่รู้แค่ว่ามันผิดปกติ มันยิ่งทำให้พี่กระวนกระวายบอกไม่ถูก

พี่ตะโกนเรียกนูยังไง นูก็ไม่ตอบ พี่จะบ้าตายซะให้ได้”

      ผมกดพี่นิวไว้กับบ่า รู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่หยาดลงมาหยดแล้วหยดเล่า

      “แล้วทำไมกลับวันนี้ล่ะครับ ไหนว่าอีกสองสามวัน”

      “พี่กับผาณิต เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก…”

ผู้หญิงคนนั้นชื่อผาณิต....คู่หมั้นกันก็คงมีเรื่องที่ต้องตกลงกันบ้างก่อนจะร่วมชีวิตกันจริง ๆ

      “เราพูดคุยตกลงอะไรกันนิดหน่อย พอเข้าใจกันได้ก็แยกย้ายกันไป ณิตเขากลับไปเรียนต่อ

พี่ก็กลับมาเลย ไม่ได้แวะไปกราบคุณย่าด้วยซ้ำ”

      ผมควรจะดีใจสินะที่พี่นิวรีบกลับมาหาผมทันทีที่แยกจากคู่หมั้น   ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไรแล้ว

อย่างน้อยผมก็ยังสำคัญ ผมยิ้มออกมาโดยไม่ได้ฝืนมากนักที่ได้เริ่มมองสิ่งที่ต้องเผชิญในด้านบวก

LOOK AT THE BRIGHT SIDE OF THINGS. ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผมนับถือเสมือนญาติ

เคยสอนผมไปพร้อม ๆ กับลูกของเขา ที่ผมนับเป็นน้องสาวคนเดียว ผมจำวลีนี้ได้ดี แต่ไม่เคยจะหยิบมาใช้

ให้มันได้ผลเท่าครั้งนี้เลย

      ผมผละออกจากอ้อมกอดพี่นิว มองสบตาที่ยังคงมีน้ำหล่อรื้น แล้วเกลี่ยแก้ม

ที่มีรอยน้ำตาด้วยริมฝีปาก รสชาติของน้ำตาช่างปร่าเค็ม แต่แค่เพียงสัมผัสลิ้น กลับรู้สึกว่า

มันช่างขม...ขมขื่นซะนี่กระไร

      ผมไม่เคยคาดหวังว่ารักของเราจะอยู่ยั้งยืนยง แต่ผมก็ยังไม่เคยนึกถึงวันที่มันจะสูญสลาย

 หากเมื่อมันมาถึงแล้วในวันนี้ ผมคงต้องน้อมรับมันไว้ด้วยความเข้มแข็ง ในเมื่อชีวิตของเราทั้งคู่ยังไม่สิ้นสุด

ลมหายใจของเรายังไม่ขาดห้วง เราก็จะยังรักกัน แม้ว่าวันข้างหน้าร่างกายเราจะแยกห่างจากกัน

แต่ผมสาบานว่าหัวใจของผมจะอยู่เคียงข้างคนที่ผมรักไปตลอดกาล

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 26-11-2012 01:59:37
อ่านแล้วน้ำตาไหล

เศร้ามากๆๆๆๆๆๆเลย :o12:
สงสารทั้งนูแล้วก็พี่นิวเลย
ถ้าพี่นิวมาไม่ทัน เเล้วนูตายขึ้นมา เราคงไม่ได้อ่านความรักดีๆแบบนี้
รักที่ทั้งพี่นิวกับนูก็รักกันมาก แต่ต้องแยกกันเพราะสังคมภายนอกตลอดๆ
ทำไมต้องมีเรื่องของคู่หมั้นพี่นิวด้วยเนี่ย  :monkeysad:

รอตอนต่อไปค่ะ อยกรู้จังว่าทั้งนูและก็พี่นิวจะตัดสินใจกับเรื่องนี้กันยังไง  :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Asuke ที่ 26-11-2012 02:02:19
เศร้าอ่ะ รู้ทั้งรู้นะครับว่าเรื่องนี้พี่นูเขียนมานานละ แต่ก็อดไม่ได้ทุกที อยากให้ผ่านเรื่องเศร้าๆแบบนี้ไปเร็วๆจัง^^ :call:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 26-11-2012 07:07:30
 :m15:  ว่าแล้วต้องมาม่า

+1  มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 26-11-2012 09:33:01
เศร้า แต่ก็รู้สึกได้ว่าสองคนรักกันม๊ากมาก อยากถามว่าเรื่องปืนกับปอนี่พี่นูแต่งไว้รึเปล่าอ่ะค่ะ พอดีเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 26-11-2012 12:05:18
เศร้านะ แต่นูเหมือนจะไม่เชิงย้ำคิดย้ำทำ ไม่เชิงโลเล จะว่าขัดแย้งตัวเองก็ได้อยู่ เหมือนจะทำแบบนี้แต่ก็ไม่ทำแล้วก็มาทำ นูบอกว่าไม่คาดหวังแต่นูก็คาดหวัง

น่าจะลองไปในที่ ๆ อยากไปไกล ๆ ห่างไกลคนรู้จักดูบ้างนะ วนเวียนที่เดิม ๆ มันก็เหมือนเดิม
รักตัวเองให้มากหน่อยพ่อแม่เป็นคนให้ชีวิต แล้วทำไมต้องทิ้งชีวิตเราให้คนอื่นด้วย ถ้าเค้าเคียงข้างเราไม่ได้ก็ปล่อยให้เค้าไปเคียงข้างคนอื่นเถอะ ถ้าเค้ายังไม่พร้อมแบบนี้ปัญหาก็ไม่จบสิ้นสักที
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 26-11-2012 13:00:23
จุดพีคที่สุดที่อ่านมาทั้งเรื่อง เหนื่อยใจแทนพี่สองคนจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 26-11-2012 13:53:37
ดีนะที่สังหรณฺ์ใจทัน เหอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 26-11-2012 15:40:09
เหนื่อยได้ท้อได้ แต่อย่าอ่อนแอเลยนะ
ชีวิตก้าวไปข้างหน้าดีกว่า รักกันชอบกันก็ต่อสู้ฝันฝ่าไปด้วยกัน
ส่งกำลังใจให้นูนิว :L2: 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 26-11-2012 18:09:15
เศร้าอ่าพี่นู
เกือบไปแล้วนะเนี่ย
ถ้าพี่นิวกลับมาไม่ทันแย่แน่ๆเลย
อยากให้เรื่องร้ายๆผ่านไปเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 26-11-2012 20:31:15
 มันหน่วงๆ ในใจ พูดไม่ออก บอกไม่ถูก เป็นกำลังใจให้นะน้องนู สู้ สู้  กอดพี่นิว จุ๊บ จุ๊บน้องนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 26-11-2012 22:54:06
ฮือๆๆๆ  อ่านแล้วเศร้ามากเลยค่ะ  อ่านยันตี 4 หยุดอ่านไม่ได้เลย  (ทั้งที่อีกวันก็ไปทำงาน 8 โมง)
......   หน่วงเน๊าะ  เจ็บมากๆ  เป็นกำลังใจให้นะคะ  ถึงตอนนี้จะไม่รู้ว่า นู กับนิว  อยู่ในสถานะไหน
ยังคบกันหรือเปล่า แต่ก็ยังอยากอวยพรให้สมหวังนะคะ  อยากให้อยู่ด้วยกัน อยากให้รักกันนะ
รักๆๆๆๆๆ กันตลอดไปเลย แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างหวังตัวเองก็อย่าเสียใจ นะ "รักตัวเอง"...
อย่าลืม......คิดถึงคนที่   "รักเรา้"  ด้วยนะ  ถึงเหตุการณ์นี้จะเป็นอุบัติเหตุ แต่ถ้านูเป็นอะไรไปจริงๆ
ครอบครัวนู...จะต้องเสียใจมากๆ นะ  ยังไงก็ขอให้โชคดีค่ะ  และก็หวังว่า นูกับนิว จะได้รักกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 26-11-2012 23:12:52
อ่านไปร้องไห้ไปจนปวดตาเลย T^T ~

พี่นูกับพี่นิวรักกันมากขนาดนี้ แต่ทำไมถึงเจออุปสรรคมากมายขนาดนี้นะ = [ ] = !!!!

ซายน์ขอยกนิ้วให้ับความรักที่มั่นคงขอพวกพี่นูกับพี่นิวนะ  ( -/////////- )

สู้ๆค่า ซายน์เป็นกำลังให้ >O< ~ !!! ~

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 27-11-2012 00:02:05
 มาร้องไห้เป็นเพื่อน  :sad12: :sad12: :sad12:
อยากได้ความสุข  ก็มีทุกข์ซ่อนแอบมาทุกที :m15: :m15: :m15:
ขอให้นิว+นู ได้ผ่านช่วงน้ำตาท่วมจอไปไวๆ
นู..มีให้สติมากๆนะ..เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ
เอาความดีความจริงใจเข้าสู้..สู้ๆ :ped149:

เรื่องผ่านมาแล้ว...ตอนนี้ก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ เย้ๆ :a2:
ยังแฮบปี้ใช่ป่ะ  เดาจากภาษาเล่าน่ะ
+เป็ดให้กำลังใจ..รีบมาเล่าต่อน้าาาo13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 27-11-2012 02:11:44
เศร้าอ่ะพี่นู อ่านไปร้องไห้ไปอ่ะ :sad4:
ปวดจิต ปวดใจเหลือเกิน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: capool ที่ 27-11-2012 10:33:57
บอกตรงๆ เรารับไม่ได้กับพี่นิว ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้นูเสียใจแต่ก็เหมือนเป็นแค่ลมปากคำพูดเชื่อถือไม่ได้ แคร์แต่คนอื่นแล้วมาทำร้ายนู เห็นแก่ตัว นูจะเสียใจยังไงก็ไม่สนขอแค่ตัวเองดีก็พอเราเกลียดพวกนี้ที่สุดเลย คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับความรักดีๆจากนูหรอกในเมื่อเลือกจะทำแบบนั้นแล้วก็ต้องยอมรับผลที่จะไม่มีนูเคียงข้าง นูไม่น่าอภัยให้เลยเพราะรักแท้ๆถึงได้ยอมง่ายๆ เฮ้อ...
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 28-11-2012 14:17:46
เข้าใจทั้งคู่ อ่านแล้วหน่วง ปวดกระบอกตามากๆ

ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-11-2012 18:05:38
http://www.youtube.com/v/0hu2uNFgnMU&feature=related
 :m15:

ใจทุกข์ทน คนทุกข์ใจ ให้ต่อเนื่อง
ใจสิ้นเปลือง เรื่องสิ้นใจ ให้หม่นหมอง
ใจร้าวรวด ปวดร้าวใจ ไหนคู่ครอง
ตัวสำรอง เจ้าของจริง ทิ้งกันไป

 :o12: เศร้ากว่านี้..ไม่มีอ่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 30-11-2012 19:14:46
ยังไม่ได้เม้นท์สักที วันนี้ได้เม้นท์ล่ะ

ตอนล่าสุด
อ่านไป กินมะม่วง (ยังมีอารมณ์กินอีกนะ)
พอเจอตอนกินพารา เริ่มทะแม่งๆล่ะ (หยุดกินทันที)
ต้องเป้นเรื่องแน่
แล้วก็ซัดไปเกือบครึ่งขวด --
ดีนะพี่นิวมาทัน ไม่อยากเดาสภาพเลยถ้าพี่นิวยังตกลงกับฝ่ายโน้นไม่ได้  :m15:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 26.11.2555 จบตอน
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 30-11-2012 19:58:58
:sad4: :o12: :m15:
อ่านไปก็น้ำตาจะไหลไป
ไม่คิดเลยพี่นูจะเจอเรื่องมากมายขนาดนี้
อุส่าห์ได้กลับมาคืนดีกันอีกครั้ง :z3:
 ปล.เป็นกำลังใจให้พี่นูเสมอนะครับ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIES : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-12-2012 22:45:48
 


ผมเอาตอนพิเศษมาคั่นเวลาไปพลาง ๆ นะครับ

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2553 ตอนนั้นก็เรียกว่าเขียนสด เพราะผมโพสท์หลังเหตุการณ์นั้น 2-3 วัน




.......ลืมไปครับ ผมยังไม่ได้บอกที่นี่

ผมประกาศไว้ที่บ้านผมว่า จะหยุดโพสท์เรื่องนี้ชั่วคราว ก็ว่าจะทำให้เหมือน ๆกัน

ที่ต้องหยุดเพราะว่า ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเนื้อหาใน Series the 8th page

ที่ต้องเปลี่ยนก็เพราะว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเขียนถึง “เพื่อน ๆ” ที่คุยกันผ่านบอร์ดนิยาย(ในเว็บเก่า)

แล้วก็พูดถึงจุดเริ่มต้นของการเล่น MSN แล้วก็เหตุการณ์ที่ผมประทับใจในการพูดคุยกับเพื่อน ๆ

แต่บังเอิญเพื่อนคนหนึ่งคงไม่แฮปปี้กับการที่ผมเอาเขามาเล่า ก็เลยเป็นอันพับไป

ผมก็นิสัยไม่ดี ที่ไม่ขออนุญาต “เพื่อน ๆ” ก่อน ด้วยความที่คิดเองเออเองว่า เพื่อน ๆ คงไม่ว่าอะไร

กับการที่ผมจะเล่าถึงความสัมพันธ์และบางเรื่องราวที่ผมประทับใจ โดยไม่ได้คิดระบุตัวบุคคล



ก็เอาเป็นว่า หลังจากที่ผมลบบางส่วนของตอนนี้ไป(กว่าครึ่งตอน) มันก็ต้องเริ่มวางพล็อตกันใหม่ใช่มั้ยครับ

อาจจะใช้เวลาที่จะเริ่มต้นสักพัก ประกอบกับว่า เดือนสุดท้ายของปี ทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงเร่งผลงานของผม

คาดว่า อาจจะทิ้งช่วงไปอีกพักใหญ่ กว่าจะได้เริ่มลงอีกครั้ง (นิยายข้ามปีอีกแล้ว)

อย่าเพิ่งเบื่อหน่าย หนีหายกันไปซะก่อนนะครับ

ช่วงงานยุ่งจริงอะไรจริง หัวหูผมฟูหมดแล้ว










หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIES : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-12-2012 22:46:27
   

      นาน ๆ ครั้ง พี่นิวถึงจะมีเวลาว่าง ว่างแบบที่เรียกว่าไม่ทำอะไรเลย ไม่มีคำว่า “งาน”

ไม่มีเสียงโทรศัพท์โทรตามตัว ไม่ต้องออกต่างจังหวัด

      ปกติวันเสาร์อาทิตย์ พี่นิวก็ไม่เคยได้หยุดงาน เพราะเวลางานของเขาเหมือนจะ Roll Over อยู่ตลอดเวลา

เสร็จจากเรื่องนี้ ไปเรื่องนั้น เสร็จจากเรื่องนั้นก็ไปเรื่องโน้น

      วัยหนุ่มของพี่นิวช่างเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นที่เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัส ในความรู้สึกของผม

ไม่มีวันหยุดเหมือนใครเขา วันที่พี่นิวจะหยุดงานก็คือวันที่ไม่มีงานเร่งด่วน ไม่มีใครโทรตามตัว....

เท่าที่ผมเห็นนานแสนนานกว่าจะได้เจออย่างนั้นสักครั้ง แต่ก็ยังพอมีช่วงที่เขาหยุดยาว ๆ เป็นอาทิตย์

เพราะงานบางส่วนราบรื่นเสียจนวางมือได้  หรืองานบางส่วนเดินไปไม่ได้ เพราะปัจจัยจำเป็นบางอย่าง

ซึ่งมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเสียด้วย

      ด้วยเหตุผลนั้น ผมกับพี่นิวจึงแทบจะไม่ได้ไปไหนไกล ๆ ช่วงยาว ๆกันเลย

เพราะผมเองก็มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ไปไหนไมได้ในวันหยุดยาว ๆ

(เป็นงานที่ไม่ต้องไปทำ แต่ต้อง stand by โทรศัพท์ตามแล้วไม่เจอตัว มาแก้ไขปัญหาไม่ทันตามเวลา ก็มีความผิดครับ)

      
   วันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นวันแรงงาน บริษัทของพี่นิวหยุดตามกฎหมายแรงงานครับ

ส่วนผมยังได้หยุดชดเชยวันจันทร์อีกวันหนึ่งด้วย

      คืนวันศุกร์ผมก็เล่นเอ็ม เข้าบอร์ดไปเรื่อยตามปกติ อยู่ ๆ พี่นิวก็พูดชวนขึ้นมา

      “พรุ่งนี้เช้าไปทะเลกันดีไหม”

      “เช้า? พี่นิวไม่ไปทำงานเหรอครับ”

      “พรุ่งนี้ลูกน้องเขาหยุด พี่เลยไม่มีงานทำ”

      “งั้นก็ไปครับ ดีจัง เราไม่ได้เที่ยวกันสองคนแบบนี้นานแล้วนะ”

      ผมเข้านอนเร็วกว่าทุกคืน เพราะอยากจะตื่นแต่เช้า ไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นเลยยิ่งดี

แต่ถึงแม้จะไม่ทัน ขอแค่ได้เดินเล่นที่ชายหาด บนทรายนุ่ม ๆ ก็ยังดี

      
   

  น้ำทะเลเย็น ๆ เพราะแดดเพิ่งจะส่อง จึงยังคงไอเย็นของค่ำคืนที่ผ่านมาไว้ได้

คลื่นลมไม่แรงนัก แค่พอพัดให้คลื่นพลิ้วเข้าซบหาดแผ่ว ๆ

      ทรายสีทองสกปรกไปบ้าง เพราะขยะที่มากับทะเล แต่ที่ผมเห็นแล้วชวนให้หดหู่ก็คือ

สัตว์ตัวเล็กบ้างใหญ่บ้าง ที่เป็นวุ้นใส นอนกันเกลื่อนหาด อารมณ์ที่กำลังเบิกบานขาดตอนลงวูบหนึ่ง

      “พี่นิวช่วยผมหน่อย”

      “อะไร”

      “จับมันไปปล่อยลงทะเลหน่อยนะครับ แดดแรง เดี๋ยวมันตาย”

      “มันตายแล้ว”

      พี่นิวใช้ฝักต้นโกงกางที่ระเกะระกะอยู่ใกล้ ๆ ลองเขี่ยเจ้าตัวที่นอนหงายท้อง

      “ยัง....ดูตัวนี้ดิ มันยังหายใจอยู่เลย”

      ผมก้มลงไปดูใกล้ ๆ ตัวที่อยู่ใกล้เท้า

      “บ้าแล้วนู มันหายใจทางไหนก็ไม่รู้”

      “เหอะน่า มันกระเพื่อมตัวน่ะ เห็นหรือเปล่า แดดจะเผามันตาย”

      “แต่ตัวนั้นมันเป็นชิ้นส่วนแล้วนะ”

      ผมว่าแมงกะพรุนพวกนี้มันก็ดูกะรุ่งกะริ่งเป็นปกติของมันอยู่แล้วนะ

      “ถ้าพี่นิวมัวแต่ดู ๆ ๆ มันก็ได้ตายจริง ๆ เพราะแดดเผาแหละ ตกลงจะช่วยไหม

ถ้าไม่ก็ออกไปห่าง ๆ แล้วอย่าไปเผลอเหยียบมันนะ”

      ผมเผลอทำเสียงเข้มออกไปอย่างลืมตัว แต่พี่นิวก็ไม่ได้ว่าอะไร

      ผมเดินหาอะไรสักอย่างที่พอจะช้อนเจ้าสัตว์ขนาดไม่เกินฝ่ามือ เพื่อจะไปทิ้งในทะเล

ก็ไม่รู้ล่ะ ถ้ามันตายแล้วก็ฝังร่างไว้ในที่ที่มันเกิดแล้วกัน แต่ถ้ามันไม่ตาย อย่างน้อยมันก็ยังมีโอกาสรอด

ถ้ามันสู้แรงคลื่นไหวนะ

      ผมคิดว่าเมื่อคืนนี้มีพายุเข้า มันคงว่ายน้ำจนเหนื่อย ก็เลยโดนคลื่นซัดมาเกยหาด

เพราะว่ายต่อไปไม่ไหว นอนพักมาพอแล้วก็น่าจะมีแรงนะ หรือว่าถ้ามันชะตาขาด

ก็กลับไปตายในทะเลแล้วกัน

      ผมได้ฝากล่องโฟมใส่อาหารมาสองฝา สภาพไม่แข็งแรงหรอก แต่ก็ดีกว่าเอามือช้อนขึ้นมา

เพราะมันอาจจะคัน ผมอาจจะแพ้ ไหน ๆ จะช่วยมันผมก็ไม่อยากเดือดร้อนนี่ครับ

      ผมกับพี่นิวกว่าจะได้เดินเล่นกันอย่างที่ตั้งใจ ก็เมื่อเจ้าแมงกะพรุนลงทะเลไปหมดแล้ว

      “ก็ดีนะ จับมันลงทะเลไป เราจะได้ไม่เผลอเหยียบเข้า คันหรือเปล่าก็ไม่รู้น่ะ”

      พี่นิวยืนรำพึงอยู่ข้าง ๆผม

      “แต่ผมรู้สึกดีกว่านั้นนะครับ ไม่รู้มันเป็นสายพันธุ์หายากรึเปล่า นี่เท่ากับว่า

ผมช่วยดำรงเผ่าพันธุ์ของมันนะเนี่ย”

      “อย่าพูดให้มันดูยิ่งใหญ่ได้ไหม”

      พี่นิวพูดกลั้วหัวเราะ เอาปลายนิ้วผลักหน้าผากผมเบา ๆ

      “เราน่ะมันใจอ่อนต่างหาก ต่อให้มันเป็นแมงกะพรุนมีพิษพี่ว่านูก็ช่วยมันอยู่ดีแหละ”

       ก็ใช่ครับ....ใครจะทนดูมันนอนให้แดดเผาได้ลงคอ ทั้งที่มันนอนพะงาบ ๆ ให้เห็นตำตาแบบนี้ล่ะ


      ทั่วทั้งหาดมีคนไม่มาก แต่มีคนเดินย่ำเท้าเปล่าลุยน้ำทะเลเหมือนเราสองสามคน ที่ผ่านไปผ่านมานาน ๆครั้ง

  มีคนจูงวัวชนตัวใหญ่ เขาโง้งมาด้วย รอยตีนมันย่ำเป็นหลุมลึก ตอนที่มันเดินมาใกล้ผมก็ผวาอยู่ไม่น้อย

ถ้าเกิดมันพุ่งเข้าชนผม คงตายคาที่แน่ ๆ ลำพังคนจูงน่ะ ทั้งผอม ทั้งเตี้ยกว่าผม ในมือถือเชือกจูงวัวก็จริง

แต่ถ้ามันขัดขืน จะมีปัญญารั้งมันไว้ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมกับพี่นิวรีบเดินหลีกออกนอกเส้นทาง

ก่อนที่มันจะหันมาเห็นเรา

      ผมเดินลุยทะเลเล่นจนชายกางเกงที่ยาวแค่ปิดเข่า เปียกเกือบถึงต้นขา ทีแรกผมก็แค่เดินตรงชายคลื่น

แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเพลิน ผมเผลอลงไปในทะเลเมื่อไรไม่รู้ตัว น้ำทะเลลึกแค่ครึ่งแข้งก็จริง

แต่เพราะคลื่นที่กระแทกเข้ามากระทบ น้ำก็กระเซ็นจนเปียกไปหมด ดีนะที่ผมเอากางเกงอีกตัวมาเปลี่ยน

แต่ความจริง ถ้าพี่นิวไม่ท้วงเรื่องกางเกงตัวแรกที่ผมใส่ ผมก็ไม่ต้องเอากางกางมาสำรองเพิ่มหรอก

      ....ไปเปลี่ยน….

      …..ทำไมอ่า ผมจะเล่นน้ำ....

      .....ลงไปเล่นในทะเลอะเหรอ....

      .....เปล่าครับ แค่เดินชายหาดเอง....

      .....งั้นไปใส่ตัวสีเทา....

      .....มันยาวไป เดี๋ยวเปียก....

      ......เอาไปเผื่อเปลี่ยนอีกตัวแล้วกัน.....

      ......ตัวนี้มันเป็นไงอะพี่นิวก้อ....

      ......สั้นไป....

      ......ก็ผมจะเล่นน้ำ....

      ......พี่ถึงให้เอาไปเปลี่ยนอีกตัวไง.....ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป!!!

      เชอะ ถือว่าขับรถพาผมไปเหรอ ทำมาเป็นออกคำสั่ง....แล้วผมก็เปียกจนได้เลยเห็นไหมเล่า

แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ทำอย่างที่พี่นิว  “สั่ง” นั่นแหละ คือเอากางเกงมาเปลี่ยนอีกตัวหนึ่ง



      หลังจากที่เดินเล่นน้ำจนเบื่อ แดดก็แผดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมจัดการล้างน้ำเค็มออกจากตัว

ด้วยน้ำจืดที่เตรียมมาในถังน้ำใบย่อม ชำระแค่พอให้หายเหนอะหนะ เพราะว่า โปรแกรมต่อไป

พี่นิวจะพาผมไปกินแต้เตี่ยมเจ้าอร่อยในตัวเมือง

      ผมหยิบกางเกงที่เตรียมมาออกมาเปลี่ยน แล้วเก็บตัวที่เปียกใส่ถังพลาสติกท้ายรถ

พี่นิวกำลังนั่งรอผมอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นสน หันหน้าหาทะเล ท่าทางจะชมวิวเพลิน

จนไม่รับรู้ว่าผมเดินไปหยุดอยู่ข้างหลัง

      “เสร็จแล้วครับ ไปกันได้หรือยัง”

      พี่นิวหันมาทันที พร้อมกับขยับลุกขึ้น

      “พี่เปลี่ยนใจแล้วล่ะนู เดี๋ยวไปหาซื้ออะไรมากินที่นี่ดีกว่า พี่อยากนั่งกินริมทะเล

นาน ๆ มาทีจะได้สูดอากาศให้อิ่มไปเลย”

      ผมก็รับความคิดที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของพี่นิวได้อย่างทันท่วงที

คงเป็นเพราะผมเองก็ยังอยากใช้เวลาอยู่ตรงนี้ ยังไม่อิ่มกับธรรมชาติที่ผมชื่นชอบ

ก็เลยตอบตกลงไป

      “นูรอที่นี่แล้วกัน จะเล่นน้ำต่อรอพี่ก็ได้นะ พี่ไปเดี๋ยวเดียวก็มา ยังอยากกินขนมจีบซาละเปาอยู่หรือเปล่า”

      “ครับ ขนมครกเจ้าเดิมด้วยนะครับพี่นิว แล้วก็น้ำดื่มขวดนึง”

      “ได้”

      พี่นิวรับคำแล้วเดินจ้ำทรายแห้ง ๆ ไปที่รถ ขับออกไปอย่างนิ่มนวล

      ....ผมนี่ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ มีพี่นิวคนเดียว เหมือนมีทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งคู่รัก....

      ผมอดยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองไม่ได้ ที่ผ่านมาถึงจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา

แต่ท้ายที่สุด เราก็ยังอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขพอควร ชีวิตนี้ผมคงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ขอให้มีพี่นิวอยู่เคียงข้างผมตลอดไปเท่านั้นเป็นพอ

      ผมหยิบกิ่งสนแห้ง ๆ บนพื้นทรายข้าง ๆ ตัวขึ้นมาถือไว้ แล้วเดินไปที่ริมหาดอีกครั้ง

       ข้อความที่ผมลากลงไปบนทรายเปียก บอกความในใจของผมที่มีต่อพี่นิวอย่างมากมาย

   ผมเขียนไปเรื่อย ๆ ตามความยาวหาด ตรงที่คลื่นจะซัดขึ้นมาไม่ถึง (ในตอนนี้)

ไม่มีใครเป็นพยานในคำจารึกเหล่านั้น ทั่วทั้งหาด มีเพียงผมที่ก้มหน้าก้มตาลากเส้นไปตามผืนทราย

กับอีกสองสามคน ที่อยู่ไกลออกไป


      พี่นิวกลับมาหลังจากที่ผมหยุดพฤติกรรมเหล่านั้น แล้วกลับมานั่งที่ม้าหินตัวเดิม

อาหารเช้าสารพัดสารพัน ที่พี่นิวหอบหิ้วมา ล้วนแต่เป็นของชอบของผม....

เขาช่างจดจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องเตือน

      หลังจากที่เราจัดการกับอาหารตรงหน้าจนแน่นท้องแล้ว พี่นิวก็ชวนผมไปเดินเล่นริมหาดอีกครั้ง

แต่ผมชักไม่อยากเล่นแล้วสิ ก็แดดมันออกจะร้อนแรงเสียขนาดนั้น ผมไม่ได้กลัวดำนะ

(เพราะขาวเป็นทุนอยู่แล้ว อิอิ) แต่อากาศร้อนมันไม่เคยปรานีใคร

เดินเล่นกลางแดดตอนแปดโมงครึ่งของฤดูร้อนมันไม่สนุกนะเอ๊อ...

      “ไปเหอะ ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย ไปนั่งเล่นเฉย ๆ ก็ได้อ้ะ”

      “แล้วพี่นิวจะออกไปทำไมป่านนี้ล่ะครับ เล่นน้ำเหรอ”

      “อยากสัมผัสน้ำทะเล นาน ๆได้มาที คราวหน้าก็ไม่รู้ว่าพี่จะว่างเมื่อไร นะไปเหอะ”

      ก็เพราะไอ้คำนี้กระมัง ที่ทำให้ผมกระบิดกระบวนเดินตามพี่นิวไปจนได้ แล้วก็ไม่เห็นเขาจะทำอะไร

นอกจากเดินลุยน้ำ (เหมือนที่ผมทำ) ก้มลงเอามือควานในน้ำทะเลที่ลึกแค่ครึ่งแข้ง

หยิบปูเสฉวน ขึ้นมาวางให้มันนอนหมอบบนหาด

(ปูเสฉวน มันจะเก็บตัวเองเข้าไปในเปลือกหอยทันทีที่ถูกรุกราน)

      หยิบตัวเล็ก ตัวน้อยมาวางจนเต็มหาดไปหมด บางตัวพอมันตั้งหลักได้ก็เดินลงทะเลไปก็มี

พี่นิวก็ไปหามาวางใหม่ ผมได้ทางมะพร้าวแห้ง ๆ ที่ตกอยู่แถวนั้นมาปักลงกับทรายพอบังแดดได้บ้างนิดหน่อย

ก็เลยยังพอนั่งเป็นเพื่อนเขาไหว แต่พระเดชพระคุณเอ๊ย...แค่แปดโมงครึ่ง มันยังร้อนขนาดนี้

เที่ยงวันจะสักขนาดไหนน้อ...

      สักพักพี่นิวก็กวักมือเรียกผมให้ไปดูอะไรในน้ำตรงที่เขายืนอยู่

      “อะไรครับ....ไหนอะ”

      ผมก้มตัวลงไปดูตรงผิวน้ำที่ระยับไปด้วยพรายฟองของคลื่นลูกเล็ก ๆ มันทำให้มองอะไรใต้ผิวน้ำไม่ถนัดนัก

และยังไม่ทันที่ผมจะก้มลงดูให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม ร่างกายของผมก็ถูกผลักให้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าในน้ำทะเล

ความเค็มแทรกซึมผ่านริมฝีปาก....ก็ไม่เท่าไร เคยชิมอยู่

น้ำทะเลกระเซ็นเข้าตา แสบนิดหน่อย แต่ไม่มากนักก็พอทน

จังหวะที่ผมหายใจออก ทำให้น้ำไม่เข้าจมูกไปด้วย....แต่.....

      เสื้อผ้าผมเปียกหมด

      กางเกงขาสั้นตัวที่ผมใส่เป้มาเป็นชุดสำรอง เปียกฉ่ำ จนนุ่งไม่ได้อีกแล้ว

เสื้อยืดสีอ่อน เปียกน้ำ บางจ๋อยจนเห็นเนื้อใน....ก็ไม่เป็นไรอีกแหละ

เพราะที่จริงแล้วผมก็ชอบเล่นน้ำทะเลอยู่เหมือนกัน แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อจะลงแหวกว่ายโต้คลื่น

แต่ได้นั่งแช่ลงในน้ำมันก็เย็นฉ่ำชื่นใจดี

      แต่ผมงงกับพี่นิวมากเลย อารมณ์ไหนของเขาเนี่ย ถึงได้ตั้งใจทำให้ผมเปียก

ก็รู้อยู่ว่าผมเตรียมเสื้อผ้ามาแค่นี้ แล้วผมจะกลับบ้านยังไง สีหน้าของผมคงจะงงงันจนน่าหัวเราะ

พี่นิวถึงได้ขำออกมาก๊ากใหญ่

      “ไง เปียกหมดแล้ว ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า”

      “ไม่มีแล้ว ผมมีกางเกงมาตัวเดียว”

      ผมตอนนี้ไม่ได้นึกโกรธอะไรเขาเลย เพราะจริง ๆแล้วก็อยากเปียก อยากเล่นน้ำอยู่หรอก

แต่ไม่มีเพื่อนเล่นด้วย มันก็ไม่สนุก เลยขอแค่เดินลุยน้ำก็พอไง

      อารมณ์ตอนนี้มีแต่ความสงสัย ในพฤติกรรมของพี่นิวเป็นที่สุด ส่วนใหญ่ผมจะเดาได้

ว่าเขาคิดอะไร แต่ครั้งนี้ไม่

      “พี่เตรียมให้แล้ว”

      หือ?...ยังกะรู้ล่วงหน้า

      “เหรอครับ เตรียมตอนไหนทำไมผมไม่เห็นอะ”

      แล้วเราก็ตกลงจะไปอาบน้ำจืดกันที่ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งเปิดอยู่เจ้าเดียวในเวลานี้

(ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการห้องน้ำจะเปิดให้ใช้ประมาณ สิบเอ็ดโมง) พี่นิวถือถุงพลาสติกสีฟ้าขุ่นไว้ในมือ
 
มองเห็นว่าข้างในมีเสื้อผ้าอยู่หลายชิ้น พอไปถึงห้องน้ำพี่นิวก็รื้อเสื้อยืดสีเขียวตุ่น ๆ

กับกางเกงขาสามส่วนมาให้ผม พร้อมกับน้องชายตัวน้อยสีนวล ๆ

      “ไม่ใช่ของผมนี่”

      ผมเอ่ยปากขึ้นแล้วก็รับมา สัมผัสดูก็รู้ว่ามันยังใหม่ ยกขึ้นจรดจมูกก็ได้กลิ่นผ้าใหม่

ปนมากับกลิ่นน้ำมันจากสีสกรีน

      “ของนู พี่ซื้อมาให้”

      “ขอบคุณครับ”

      ผมยิ้มออกไป จะว่าดีใจก็ไม่เชิง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาซื้อเสื้อผ้าให้ผม

แต่การที่ซื้อในเวลาอย่างนี้ สถานการณ์นี้ มันออกจะแปลกไปหน่อย


      เราต่างคนต่างเข้าห้องอาบน้ำกันคนละห้อง ส่งสบู่กับแชมพูให้กันทางช่องเหนือผนังกั้นห้อง

อาบเสร็จแล้วผมก็ต้องรีดน้ำออกจากผิวทีละนิดจนตัวหมาดจึงจะสวมเสื้อผ้าได้

เพราะพี่นิวไม่ได้ซื้อผ้าขนหนูมาด้วย

(รอบคอบทุกอย่างกระทั่งซื้อกางเกงใน แต่ลืมผ้าขนหนูอะนะ พี่นิวของผม)


      หลังจากออกมาแล้ว พี่นิวก็ยื่นมือมารับผ้าเปียกจากผมไปใส่ถุงที่ใส่เสื้อผ้าใหม่มา

เขาจ้องหน้าผมแล้วอมยิ้ม สำรวจเสื้อผ้าที่ผมสวมใส่แล้วก็ยังยิ้มไม่หุบ แถมแอบจุ๊บแก้มผมตอนที่ผมเผลออีก

....อะไรของเขานะ  จะอารมณ์ดีไปไหน

      เดินมาถึงประตูทางออกจากห้องอาบน้ำ ผ่านถังขยะใบใหญ่ พี่นิวก็เปิดฝาถัง

แล้วหยิบกางเกงตัวเปียกที่ผมนุ่งมาลงในถัง ปิดฝา แล้วก็เดินลอยชายออกไป

ทิ้งให้ผมยืนหายงงอยู่ตรงนั้น

      อ๋อ....อย่างนี้ใช่ไหม

      ที่ทำผมเปียกไปทั้งตัว ก็เพราะอย่างนี้ใช่ไหม

      ทำทีเป็นอยากกินอาหารเช้าริมทะเล ที่แท้ก็แอบไปซื้อเสื้อผ้า

      อารมณ์ขันปนโมโหนิด ๆ ทำให้ผมเดินตามหลังเขาไป ค่อย ๆ เร่งสปีดจนถึงตัวพี่นิว

แล้วก็กระโดดขึ้นขี่หลังโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

      “เฮ้ยยยย....”

      พี่นิวอุทาน ด้วยความตกใจ....ขนาดว่าตกใจ แต่ก็ช้อนใต้เข่าผมในจังหวะที่ผมหนีบเอวเขาพอดี

คนเฝ้าห้องน้ำคงหันมาเห็นเราสองคน เขาก็ตะโกนทักออกมาเสียงดัง พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะตามมา

(หวังว่าเขาจะคิดว่า “ผู้ชาย” สองคนเล่นกันนะ)

      “ตัวหนักจะตาย ลงไป”

      ปากก็บอกว่าผมหนัก แต่เขาก็ยังล็อกขาผมไว้ทั้งสองข้างคงกลัวผมจะหย่อนตัวลงมา

แล้วดึงให้เขาหงายหลังลงไปด้วยกัน เพราะถ้าอยู่บ้านผมจะชอบล็อกคอเขาแล้วโน้มให้หงายหลังลงมา

เป็นท่าที่พี่นิวเสียเปรียบผมมาตลอด

      “ไม่ลง”

      “หนักนะ”

      “ไม่รู้แหละ ผมไม่เดินแล้ว”

      “ก็มันเรื่องอะไรมาขี่คอเล่า เดินเองไม่เป็นรึไง”

      “ไม่อะ ไม่อยากเดิน”

      “เกิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรขึ้นมา....หา”

      “ก็ใครใช้ให้เอากางเกงผมไปทิ้งถังขยะเล่า”

      “ถ้าไม่เอามันมาด้วย มันก็ไม่ต้องลงไปนอนในนั้นหรอก”

      “ก็ผมชอบบบบบ”

      “อ๋อ....ชอบโชว์”

      “ชอบเพราะว่ามันใส่สบายตะหาก”

      “ก็รู้ แต่ไม่ใช่จะเอามาใส่เดินฉายไปฉายมานอกบ้านนี่”

      “ผมใส่เล่นน้ำเอง”

      “ก็ได้เล่นสมใจแล้วไง”

      คราวนี้ผมผละออกมาจากหลังพี่นิวลงมายืนตั้งหลักหาเรื่องอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

      “ผมรู้นะว่าพี่นิวตั้งใจจะให้ผมเปียก”

      “อืม ....ทำไมรู้ช้าจัง”

      หนอย....ยังจะมายิ้ม ทำหน้าทะเล้น ยอมรับล่ะสิ ว่าวางแผนจะไปซื้อของกิน

แล้วก็เลยไปซื้อเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน

      “ทำไมครับ”

      “ไม่อยากให้ใส่กางเกงตัวนั้น”

      “พี่นิวครับ มันไม่ได้สั้นมากมายอะไรเลย”

      “แต่มันก็เหนือเข่าขึ้นไปตั้งครึ่ง”

      “โหย....ใครเขาจะมาดู มันไม่ได้โป๊ ไม่ได้โชว์เนื้อหนังขนาดนั้น แล้วผมก็เป็นผู้ชาย

ทีผู้หญิงที่เขาตามแฟชั่นใส่สั้นไปถึงไหน ๆ ไม่เห็นจะมีใครเขาว่า ของผมไม่ได้สั้นขนาดนั้นซะหน่อย”

      “แต่มัน....ล่อตา”

      “ตรงหนายยยย...”

      “ก็....ขาวอ่ะ”

      “ก็จะให้ผมทำไงอะ ลูกจีนมันก็ขาวอย่างงี้แหละ ใคร ๆ เขาก็ขาวกันตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนเลย”

      “แต่พี่เดือดร้อนนี่”

      “เดือดร้อนยังไง”

      เราเดินกันไปพลาง เถียงกันไปพลาง จนมาถึงที่จอดรถ พี่นิวเปิดท้ายรถเก็บถุงใส่ผ้าเปียกไว้ในถังพลาสติก

ก่อนจะเดินไปทางที่นั่งคนขับ ส่วนผมก็เดินแยกออกมาด้านผู้โดยสาร

      “หวงอะ ไม่อยากให้ใครดู”

      เท่านั้นเอง....ไม่รู้ความอายมันมาจากไหน วิ่งปรู๊ดขึ้นหน้าผมจนรู้สึกว่าแก้มมันร้อน ๆ

แล้วก็  ตอนนี้หน้าผมมันคงแดงก่ำไปจนถึงใบหูแล้ว

      “บ้า....ใครเขาอยากจะดูเล่า”

      “พี่ไง”

      ผมกัดริมฝีปากล่างบังคับไม่ให้ตัวเองต้องเผยอยิ้มออกมาอย่างยากเย็น...อยู่ด้วยกันมาจนป่านนี้

พี่นิวก็ยังจะมีคำพูดบางคำที่ทำให้ผมทั้งเขิน ทั้งอายได้อยู่เรื่อย ๆ

      “บ้าแล้ว”

      ผมเปิดประตูรถเตรียมจะขึ้นไปเขินต่อ แต่ไม่ทันคิดว่าพี่นิวยังไม่ปลดล็อก

สัญญาณกันขโมยก็ระเบิดเสียงดังสนั่นไปทั่วถนน เรียกสายตาคนขี่จักรยานออกกำลังกายที่กำลังผ่านมาให้พุ่งตรงมาที่เรา

      พี่นิวรีบกดทันที พร้อมกับหัวเราะหน้าหงาย ขำจริงขำจัง กระทั่งสตาร์ทรถแล้วก็ยังมีเสียงกิ๊กกั๊กแถมท้ายได้อีก

      “จะขำอีกนานไหมครับ ผมจะได้ขึ้นรถเมล์กลับบ้านเอง”

      “ก็ขำนูอะ ทำไงได้”

      “น่าขำตรงไหน”

      “ตรงแก้มแดงน่าจูบ”

      “หยุดเลย...”

      ผมต้องรีบห้ามเพราะพี่นิวกำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ มันเขิน มันอายซะจนผมแทบจะม้วนเป็นก้นหอย

แล้วก็ยังจะแหย่อยู่ได้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พี่นิวผละจากพวงมาลัยรถ หันมาทางผมทั้งตัว

เตรียมจะรุกรานผมในรถ แววตาวาว ๆ ยังมีรอยยิ้มเพราะอารมณ์ขันตกค้าง ไม่รู้วันนี้โด๊ปยาอะไรเข้าไป

พี่นิวถึงได้ทำท่าหื่นได้ขนาดนี้

      “อย่านะพี่นิว ริมถนนนะครับ เดี๋ยวใครมาเห็น”

      “กระจกรถมืดจะตาย ไม่มาส่องใกล้ ๆ ใครจะเห็น”

      มันก็จริงอยู่ แม้แต่ลานจอดรถก็เป็นลานซีเมนต์ตรงไหล่ถนน ด้านในเป็นกำแพงสูงของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง

ส่วนที่นอกถนนก็แทบจะไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลย เนื่องจากเป็นถนนสายริมทะเล

และยังเช้าเกินไป เรียกว่า แทบจะลับหูลับตาคนก็ว่าได้...แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่พี่นิวจะมาทำรุ่มร่ามกับผมนะ

      “มันน่าเกลียดนี่นา”

      “อยู่กันสองคน จะน่าเกลียดได้ยังไง ทำยังกะเราไม่เคย....”

      “แต่ไม่ใช่ที่แบบนี้น้า...”

      ผมพยายามค้านสุดฤทธิ์ ถึงเราจะมีอะไรกัน แต่มันไม่ใช่สถานที่แบบนี้นี่นา

เพราะเราสองคนจะระมัดระวังเรื่องแบบนี้เสมอ ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกนอกบ้าน

ก็เพราะกลัวใครจะจับตามอง   แล้วล่วงรู้สถานะระหว่างเรานี่แหละ

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น พี่นิวถึงพยายามจะทำอะไรที่มันเสี่ยงแบบนี้

      “ปล่อยครับพี่นิว”

      “ไม่เอา ให้พี่หอมหน่อยนะครับ”

      “ไม่เอา จะทำอะไรก็ไปทำที่บ้านสิ ผมไม่ชอบนะ”

      “ก็อยากหอมตอนนี้นี่นา”

      “แค่หอมนะ”

      ผมตัดใจตามใจเขา เพราะคิดว่าจะได้จบ ๆ ไป      

      “ฮื่อ”

      แล้วผมก็นั่งนิ่ง ๆ ให้เขาทำตามอำเภอใจ หอมแก้มก็แล้ว ทั้งซ้าย ทั้งขวา

เลื่อนมาที่กกหูอีก....เอาเข้าไป....จูบขากรรไกร....ไต่มาที่คาง....นั่น จะไม่ยอมหยุดง่าย ๆ แล้วใช่ไหม

      “พี่นิวพอแล้ว”

      ผมเริ่มควบคุมเสียงไม่ให้สั่นไม่ได้

      “อีกนิดนะครับ”

      ปากก็พูดพึมพำไป จูบริมฝีปากผมไป อดไม่ได้ผมก็....จูบตอบไป....นิดเดียวเองนะ

แต่แค่นี้  พี่นิวจะหาว่าผมให้ความร่วมมือไม่ได้นะ....ไอ้ที่จะส่งมือเข้ามาล้วงเสื้อผมนี่มันนอกเหนือข้อตกลง

      ผมพยายามเรียกสติคืนมาก่อนที่เราสองคนจะเตลิดไปไกลกว่านี้

      “พี่นิวอย่านะ ริมถนนนะครับ ผม...”

      เสียงผมขาดหายจากการที่เขาจูบปิดปาก จูบของพี่นิวคราวนี้ร้อนแรงกว่าเดิม ทำนองเอาจริง

ผมต้องฝืนอารมณ์ที่เขาพยายามเร่งเร้าอย่างสุดฤทธิ์ ด้วยการยกมือไปขยำเส้นผมหนานุ่มมือของพี่นิว

แล้วจิกสุดแรง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ระคายเนื้อหนังพี่นิวเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังกับว่าเป็นแรงกระตุ้นอารมณ์

ให้เขาแสดงออกอย่างรุนแรงขึ้น พี่นิวบีบคางผมแรงขึ้นจนผมเจ็บ พร้อมกับพยายามจะบดจูบลงมาอีก

ผมก็ยิ่งจิกผมเขาแรงขึ้นไปอีก

      “นู....”

      เสียงพี่นิวตะโกนใส่หูดังจนผมตกใจ ลืมตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าที่ลอยอยู่ข้างหน้าผม

ส่งสายตามาอย่างเป็นกังวล เป็นห่วง ไม่ใช่แววตาหื่นกระหายเหมือนเมื่อครู่

      แสงแดดส่องมาทางหน้าต่างข้างรถแรงจนแสบผิว...เอ๊ะ...นี่มันที่ไหน

      ผมมองไปข้างทาง ก็เห็นเป็นร้านขายต้นไม้ริมทางที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ประตูทางเข้าปิดอยู่

แสดงว่าเจ้าของยังไม่เปิดร้าน

      “ตะกี้....”

      ผมมองรอบ ๆ ตัวอย่างงง ๆ ผมว่าตะกี้เรายังอยู่กันที่ลานจอดรถริมทะเลอยู่เลย แล้วยังไงถึงมาโผล่ที่นี่ได้

      “เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอครับ”

      “ฝันร้าย?”

      ผมเริ่มลำดับความทีละเหตุการณ์ ก็นึกได้ว่า ตอนนั้นพี่นิวแกล้งโน้มใบหน้ามาใกล้ผม ทำท่าจะจูบ

แล้วก็เปลี่ยนเป็นหอมแก้มหนัก ๆ จากนั้นก็ออกรถ แล้วหลังจากนั้น ผมก็คงจะผล็อยหลับระหว่างทางนั่นเอง

      “เปล่าครับ ไม่ได้ฝันร้าย”

      “แล้วเป็นอะไร”

      “ก็ฝันนั่นแหละ แต่ก็...ไม่ได้ร้ายเท่าไร”

      “แต่พี่เห็นนูกระสับกระส่าย แล้วกำมือแน่นเลย”

      “อ้อ....เหรอครับ”

      “พี่กลัวจะไม่สบาย เพราะว่าโดนทั้งน้ำ ทั้งแดด”

      “แหม...ผมไม่ได้กระหม่อมบางขนาดนั้นซะหน่อยพี่นิวอะ”

      “ก็พี่เป็นห่วง จับตัวนูก็ร้อนผ่าว ๆ นึกว่าจะเป็นไข้ ก็เลยหรี่แอร์ แต่นูก็ยังกระสับกระส่าย

พี่ไม่รู้จะทำยังไงเลยจอดรถเข้าข้างทางปลุกนูขึ้นมานี่ไง แล้วเป็นไงมั่ง ปวดหัวไหม”

      พี่นิวคลำหน้าผาก เอามืออังใต้คอ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะไม่ได้เจ็บไข้อะไร

แต่ผมจะบอกเขาได้ยังไง ว่าผมฝัน.....

      “ไม่เป็นอะไรแน่นะ ถ้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย พี่จะได้พาไปคลินิกก่อนเข้าบ้าน ไปหายามากิน

ไม่งั้นเป็นหนักขึ้นมา วันอังคารไปทำงานไม่ไหวแน่”

      ครับ ผมต้องไปทำงานวันอังคารให้ได้ ถ้าไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะวันหยุดติดกันหลายวันแบบนี้

เปิดทำการขึ้นมางานคงยุ่ง ลูกค้าคงเยอะ แถมยังเป็นวันต้นเดือน ซึ่งเป็นวันที่ธุรกิจการเงินหมุนสะพัด

พนักงานขาดไปเสียคนหนึ่ง ที่เหลือก็ต้องแบกรับงานหนักขึ้น พี่นิวเขารู้ความจริงข้อนี้ดี

      “ผมไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นไข้ แค่เพลียแดด แล้วก็ง่วงเฉย ๆ”

      “แน่นะ”

      พี่นิวยังไม่วางใจ จับเนื้อจับตัวผม ลูบคลำไปตามแขน พลิกฝ่ามือผมไปอังเพื่อจะวัดอุณหภูมิ

แต่พี่นิวครับ....อย่าลูบนักได้ไหม ไม่รู้เสียบ้างเลยว่าผมเพิ่งผ่านอะไรมา ถึงมันจะเป็นแค่เพียงความฝันก็เถอะ

แต่มันก็เหมือนจริงเสียจน ผมตกใจตื่นมาก็ยังอินกับเหตุการณ์อยู่เลย

กว่าจะตั้งสติได้ แล้วนี่พี่นิวจะทำอะไรผม...จะทำความฝันให้เป็นความจริงที่ริมถนนใหญ่แบบนี้เลยหรือไง

      ผมปัดมือพี่นิวเบา ๆ แล้วหันหน้าออกนอกหน้าต่าง พร้อมกับบอกให้พี่นิวออกรถ

      “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่กลัวนูไม่สบาย...แล้วนั่นทำไมหน้าแดง”

      พี่นิวจับแก้มผมให้หันมาทางเขา เพื่อจะมองให้ถนัด

      “หน้าแดงอย่างกับจะเป็นไข้แน่ะนู นี่บอกมานะ ไม่สบายหรือเปล่า ดูสิพี่ว่านูตัวรุม ๆ เหมือนกันนะ”

      ผมเบี่ยงหน้าออกมาพร้อมกับปฏิเสธ

      “บอกว่าไม่เป็นก็ไม่เป็นสิครับ กลับเหอะ ผมจะได้กลับไปนอนต่อที่บ้าน....ง่วงแล้วนะ”

      “แต่ตะกี้หน้าแดง ๆอะ”

      “เอ๊....พี่นิวนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง บอกว่าไม่ได้เป็นไข้ ๆ แต่เป็นอย่างอื่นน่ะ เข้าใจไหม”

      “เป็นอย่างอื่น? เป็นอะไรอะ”

      ผมล่ะหมั่นไส้เสียจริง ๆเชียว จะถามเอาถ้วยหรือยังไงกัน ผมชะโงกหน้าไปใกล้ ๆหูเขา

แล้วก็กระซิบอะไรออกไปแค่ให้เรารู้กันสองคน ถึงคราวที่พี่นิวจะหน้าแดงไปถึงใบหูบ้าง

      “ทีนี้จะออกรถได้หรือยังครับ”

      “ได้ครับได้”

      พี่นิวรีบลนลานรับคำ

      “แล้วไม่ต้องรีบจนเป็นเหาะนะครับ ผมอยากกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ”

      “ครับ”

      พี่นิวยิ้มหน้าทะเล้นใส่ผม   

      “ขับเร็วเกินแปดสิบเมื่อไร ที่บอกไว้ตะกี้ เป็นอันยกเลิก”

      ผมรีบเบรค....หมั่นไส้ลูกกะตาวิบ ๆ วับ ๆ แบบนั้นนักเชียว

      “นูอ้ะ”

      จังหวะนั้นที่ไม่มีรถผ่าน สองข้างทางก็ไม่มีใครอยู่ในระยะใกล้รถเรา ผมก็โฉบไปจูบแก้มพี่นิวเบา ๆ

      “มัดจำไว้ก่อน”

      “ครับที่รัก”


      เนี่ย....ต้องอย่างเงี้ยะคนเรา กว่าจะได้ออกรถ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 17-12-2012 23:14:31

ตอนหวานๆ แบบนี้กว่าจะมาได้แต่ละที หมดน้ำตาไปเป็นกี่ปี๊บแล้วไม่รู้
แต่ปัจจุบันน้องนูมีความสุขก็ดีแล้วล่ะค่ะ

ขอให้ความสุขอยู่กับน้องนูไปนานๆ นะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 18-12-2012 05:52:55
  :m20:  ฝันไปนี้เอง  แต่เค้าว่าการฝันเป็นจิตใต้สำนึกนะนู  ส่วนนิวก็ช่างวางแผนซะจริงๆ

รักกันนานๆนะจ๊ะ  +1
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 18-12-2012 06:29:02
หวานมากกก
น่ารักมากเลย
พี่นิวขี้หวงอ่ะ
แค่กางเกงขาสั้นเองนะเนี่ย 55555
ว่าแต่พี่นิวจะขับแค่80เองหรอ
โดนยั่วขนาดนั้นอ่ะ 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 18-12-2012 06:41:42
หวานมาก ><
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 18-12-2012 09:59:44
อ่านตอนนี้...หายคิดถึงพวกพี่เลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 18-12-2012 10:45:47
 :-[ ^,,^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 18-12-2012 15:43:38
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ

สนุกมาก อินจนน้ำตาไหล นับถือพี่นูมากที่ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้

พี่นิวเป็นผู้ชายที่โชคดีและน่าอิจฉาที่สุดในโลก มีคนรักอย่างพี่นู

-----------------------

สถานที่ในเรื่องแอบคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 18-12-2012 16:09:53
หลบลงข้างทาง มดเดินเต็มถนน ขอบคุณที่มาคั่นเวลาให้หายคิดถึง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 18-12-2012 16:54:18
ถ้าฝันอะไร ก็เพราะเป้นความต้องการในส่วนลึกของจิตใจใช่มใช่ม่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 18-12-2012 23:27:26
อ่านไปอ่านมา คิดว่า  คุณนูคงอยู่ตรัง แน่เลย ใช่เปล่าคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 25-12-2012 22:29:27
เดี๋ยวมาตามอ่านค้าบบบบบ.
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: aa_mm ที่ 01-01-2013 21:07:45
 น่ารักมากเลยค่ะ เรื่องนี้ พึ่งตามมาทัน

ทำเสียน้ำตาเลยนะเนี่ย แอบแค้นพี่นิวมาก ๆ เลยแหละ

แต่ตอนนี้มีความสุขแล้ว ดีใจด้วยจริง ๆ ค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 02-01-2013 03:50:22
 :impress2:อิจฉามากมายคิดถึงคุณนู จุงเบย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 02-01-2013 17:18:14
สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่นิวพี่นู ขอให้รักมั่นขวัญยืนให้น้องอิจฉาไปนานๆ มีความสุขตลอดปี 2013เลยยย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: babynevercry ที่ 28-01-2013 12:39:23
หายไปไหนอ่ะ รออยู่นะคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ NO SERIE : เรื่องสั้นคั่นเวลา 17.12.2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 30-01-2013 18:15:37
 :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE SEVENTH PAGE 31.1.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-01-2013 16:19:24
      
      
 แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ

  ช่วงนี้เงียบ ๆ ผมก็เลยไม่หน้าแตกเท่าไหร่ ถือว่าโชคเข้าข้าง

  แต่โชคดียิ่งกว่าที่มีคนช่วยบอกว่าผมทำเปิ่นเทิ่นไว้ยังไง

  ขอบคุณ คุณ took-ta_naka อีกทีครับ    :กอด1:








            SERIES : THE SEVENTH PAGE



      ผมตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านพี่นิวอีกครั้ง (เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้) พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนเมื่อก่อน

เลิกคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เลิกคร่ำครวญหวนไห้หาอดีตที่มันแก้ไขไม่ได้ บอกตัวเองว่า แค่ทุกวันนี้

ที่เรายังมีกันและกันก็เรียกว่าดีมากแล้ว  แม้ว่าผมจะพยายามทำทุกวันของเราให้ดี แต่ก็คล้ายจะเป็นผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่
 
“พยายาม”


      เมื่ออยู่ในสายตาคนนอกเราก็เหมือนพี่น้องทั่วไป แต่ย่างเท้าเข้าบ้านเมื่อไร เราก็กลายเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันนั่นทีเดียว

ด้วยความที่บ้านเราจ้างพี่นางมาทำความสะอาด ซักเสื้อผ้าให้พี่นิวแบบเช้าไปเย็นกลับ ไม่มีแม่บ้านคอยดูแลบ้านให้เรา

มานานแล้ว ดังนั้นงานบ้านงานครัวทั้งหลายแหล่ ผมจึงต้องดูแลด้วยตัวเอง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังมีเวลาว่างเหลือเฟือ


      เรื่องกับข้าวกับปลาผมไม่ค่อยกังวลเท่าไร เพราะพี่นิวเป็นคนกินง่าย ผมก็ทำอาหารเป็นแค่ของง่าย ๆ

เราก็เลยไม่มีปัญหา วันไหนขี้เกียจทำก็ฝากท้องไว้ตามร้านอาหาร ไม่งั้นก็ซื้อกับข้าวสำเร็จรูปมากินเป็นมื้อเป็นคราวไป

บางทีก็แวะกินที่บ้านแม่ ให้แม่ได้เห็นหน้าเห็นตาพอให้หายคิดถึงบ้าง

 (แหะ แหะ แม่ไม่โทรมาตาม ผมก็ไม่ค่อยไป...เลวเนอะ)

       ผมก็พอใจกับชีวิตสมถะแบบนี้อยู่หรอก ถ้า....ผมจะมีอะไรทำบ้าง นอกจากงานบ้านงานครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ

      “แล้วนูอยากทำอะไร”

      พี่นิวผละจากงานในแฟ้มหันมามองผมที่กำลังนอนคว่ำหน้าข้าง ๆ เขาบนเตียง ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร ผมแค่รู้สึกว่าผมว่างจังเลย

      “ไปออฟฟิซกับพี่ไหม”

      “ไม่อะ ไม่ใช่ของผม”

      พี่นิวเอามือมาลูบหัวผม แล้วพูดต่อ

      “ไม่ใช่ได้ยังไง ของเราสองคนนั่นแหละ ถึงจะมีคนอื่นเป็นหุ้นส่วนด้วยแต่เราก็เป็นเจ้าของร่วมกัน พี่เคยบอกไปแล้วนะ

เงินนูก็เอามาค้ำประกันโอดีของบริษัท จะไม่ใช่เจ้าของได้ยังไง”

      “เจ้าของอะไรกัน ไม่เห็นมีชื่อผมเป็นกรรมการเลย”

      ผมแกล้งแย้งอย่างไม่จริงจัง ด้วยว่าชื่อผู้ถือหุ้นมีแค่สองคนคือพี่นิวกับ เสธ.คนที่พี่นิวเคยบอกว่าจะเชิญมาร่วมทุนกัน

ทำธุรกิจรปภ. แล้วท่านก็ได้หุ้นลมไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แลกกับการเอาชื่อมา “หากิน” เอ๊ย....หาลูกค้าให้บริษัท

      พี่นิวหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นจิกหัวผมแทน แต่แทนที่ผมจะโกรธ ผมกลับขอให้เขาทำอีก

      “แรง ๆ เลยพี่นิว กำลังสบาย”

      “โรคจิตนะเนี่ย ชอบให้จิกผม”

      ปากว่าผม แต่ก็เต็มใจทำให้เพราะเขารู้ว่าผมชอบให้เล่นหัว...ก็มันสบายอะ ถ้าไม่กลัวคนจะมอง

ผมคงเข้าร้านเสริมสวยของผู้หญิงให้เขายีหัว(สระผม)เล่นทุกวันไปแล้ว

      “ก็มันสบาย ลองบ้างไหมอะ”

      “จะให้พี่เพิ่มชื่อก็ได้นะ เอาไหม”

      “ผมพูดเล่นหรอก ถ้าอยากทำอย่างงั้นผมก็คงบอกแต่แรกแล้วสิครับพี่นิวก็”

      พี่นิวหยิบแฟ้มงานขึ้นมาวางบนตักเพื่อจะอ่านต่อ เป็นอันยุติการพูดคุย เป็นปกติของเขา ที่มักจะเอาเอกสารที่ออฟฟิซ

มาอ่านที่บ้านเป็นประจำ นี่คือหนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่ทำให้เวลาที่เราจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันลดลงไป

      ผมเลื้อยเข้าไปหนุนขาพี่นิวที่เหยียดออกโดยมีหมอนวางรองแฟ้มงานที่เขากำลังเปิดอ่าน เขาเอื้อมมือมาจับหัวผม

เป็นการรับรู้ว่าผมกำลังนอนหนุนตักอยู่ แต่มันก็แค่นั้น แล้วเขาก็หันไปสนใจงานต่อ

      ผมขยับอีกทีดึงหมอนที่เขารองแฟ้มออกแล้วดุนหัวตัวเองเข้าไปแทน พี่นิวหัวเราะหึ ๆ แล้วก็ยอมให้ผมใช้หัว

ต่างหมอนรองแฟ้ม....เปิดมันอ่านต่อไป

      “อย่าสิ”

      เสียงพี่นิวปรามเบา ๆ แต่ผมไม่สนใจ ยังคงดำเนินการตามที่ผมคิดไว้ต่อไป ก็ไอ้การที่ผมลงทุนให้เขาใช้หัวผมต่างโต๊ะ

วางแฟ้มงานให้เขาได้อ่านสบาย ๆ น่ะ มันก็ต้องแลกกับการที่ผมจะทำอะไรกับร่างกายเขาก็ได้ เท่าที่ผมพอใจ

      แต่ก่อนแต่ไร พี่นิวจะไม่ค่อยชอบสวมเสื้อผ้านอน แต่นับจากวันที่เราเจอเหตุการณ์หนึ่งเมื่อสามปีก่อน

(ไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง) เขาก็เปลี่ยนนิสัย อย่างน้อยก็ขอสวมกางเกงนอนสักตัวก็ยังดี

ส่วนผมยังไงก็ไม่ยอมเปลือยกายนอน แม้ว่าหลังจากที่เราเสร็จกิจกันแล้ว ผมก็ยังเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย

จากฝีมือดึงทึ้งของเรามาใส่จนได้

      ส่วนตอนนี้พี่นิวก็มีแค่กางเกงนอนเนื้อนิ่มเพียงตัวเดียว ที่มันนิ่มก็เพราะถูกใช้งานมานานจนเนื้อบาง....

บางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนนั่นแหละ

      ผมใช้ปากคาบขอบกางเกง (ย้วย ๆ) ดึงมามันลงมาแล้วก็ใช้จมูกกับปากเล่นกับลำตัวเขาไปเรื่อย ๆ

(ยังไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คิดกันน้า...เคยใช้ปากเป่าพุงไหมครับ....นั่นอะ ผมชอบ)

      “นอนนิ่ง ๆ อย่าขยุกขยิก พี่อ่านหนังสือไม่ถนัด”

      ....ก็อย่าอ่าน....แทนที่ผมจะหยุดอย่างที่พี่นิวบอก ผมก็กดหน้าลงไปตรงเป้าอย่างเหมาะเหมง

คราวนี้พี่นิวเลยทั้งผลักทั้งดันหัวผมออกมาจากหน้าตัก....สู้ผมเหรอ....

      “ออกไปก่อน ขออ่านอีกหน้าเดียว จะจบแล้ว”

      “ค่อยอ่านพรุ่งนี้”

      “จะจบแล้วน่า เสร็จแล้วจะได้เซ็นอนุมัติหนังสือเลย”

      “พรุ่งนี้วันหยุด ค่อยทำต่อพรุ่งนี้”

      ผมพูดอู้อี้อยู่กับพุงกะทิของพี่นิว

      “พี่ทำงานนะครับ จะเสร็จอยู่แล้ว”

      พอพี่นิววางแฟ้มลงข้าง ๆ ตัว ผมก็ได้โอกาสยกตัวขึ้นคุกเข่าแล้วโอบรอบคอพร้อมกับประกบปากลงไป

อย่างไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว  มือผมช้อนตรงท้ายทอยให้หน้าแหงนขึ้นในองศาที่ผมก้มลงไปได้พอดี

ผมจ้วงลิ้นเข้าไปกวาดกระพุ้งแก้มพี่นิว แกล้งปัดปลายลิ้นตอนที่เขาจะพันเกี่ยวกับลิ้นผม

ทำให้เขาพลาดเป้าหมายสงสัยเขาคงจะขัดใจที่โดนผมแกล้ง ก็เลยดันหลังผมให้เอนลงไปบนฟูก

ถึงตอนนี้พี่นิวคงลืมแฟ้มงานไปแล้ว และถ้าเขายังอยากจะอ่านเอกสารในนั้นต่อ ก็คงต้องเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่แผ่นแรกแล้วล่ะ

      พี่นิวถือโอกาสที่ตัวเองได้เป็นเบี้ยบนรุกไล่ผมเป็นการใหญ่ คงลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้บอกผมว่าจะอ่านเอกสารในแฟ้ม

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเอกสารในนั้นมันสำคัญแค่ไหน หันมาสนใจผมก่อนได้ไหมเล่า พรุ่งนี้ก็วันหยุด ค่อยอ่านตอนนั้น

ก็ยังทันถมเถ หนังสือที่ขออนุมัติงบประมาณน่ะ ยังไงก็ต้องเอากลับไปให้ฝ่ายจัดซื้อดำเนินการวันจันทร์อยู่ดี

แล้วจะรีบอ่านรีบเซ็นไปไหน ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่สนใจผมบ้างเลย เห็นผมสำคัญน้อยกว่ากระดาษสองสามแผ่นแบบนี้

ลูกผู้ชายชื่อนู จะยอมได้ไง

      ผมโอนอ่อนผ่อนตามมือไม้พี่นิวที่ลูบไล้ใต้เสื้อผ้า จากที่แกล้งทำจนเลยเถิดซะผมเองชักจะต้านไม่อยู่

แต่ก่อนที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมก็พลิกตัวเองขึ้นคร่อมพี่นิว ซุกไซ้ซอกคออุ่น ๆ จูบขากรรไกรไล่มาจนถึงแก้ม

และปลายคาง ผมหยุดมองดูใบหน้าผู้ชายที่นอนนัยน์ตาเยิ้มให้ผมโลมเล้าอย่างมีความสุข....ช่างไม่รู้ตัวซะบ้างเลย.....

      จากนั้นผมก็ลุกขึ้นจากท่าคร่อมลำตัวพี่นิว กระโดดลงไปยืนข้างเตียง แถมเดินให้ห่างออกไปอีกสองสามก้าว

กันการถูกตะครุบตัว ก่อนจะเผ่นแผล็วออกไปทางประตู ผมยังหันมาโบกมือส่งจูบให้พี่นิวที่นอนทำหน้าเหวอ

ชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บนเตียง
     
      กลับมานอนที่ห้องตัวเองก็ใช่ว่าผมจะสบายตัวนะครับ ก็ปลุกอารมณ์เขาไว้ขนาดนั้น ตัวเองก็พลอยกระเจิดกระเจิง

ไปเหมือนกันนี่นา ผมซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วข่มตาให้หลับ แต่อาการตื่นตัวมันยังไม่สงบนี่สิจะทำไง

ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัวลุกขึ้นไปล็อกประตูห้องนอน (ปกติไม่ค่อยล็อก ถ้าไม่จำเป็น...แต่ตอนนี้มันจำเป็น)

กลับมานอนที่เดิมผมก็จัดการกับตัวเอง ไม่งั้นคืนนี้ทั้งคืนคงนอนปวดจนสุดจะทน...นี่แหละน้า หาเรื่องแกล้งเขา

แล้วตัวเองก็ไม่มีใครช่วยก็คงพอ ๆ กับพี่นิวนั่นแหละ ป่านนี้ก็คงทำอย่างเดียวกับผม

      กำลังเคลิ้มได้ที่ มือที่ผมขยับเพื่อช่วยตัวเองก็ถูกอีกมือนึงกุมทับ......เข้ามาไงเนี่ย แถมผมยังไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่างหาก

      ร่างใหญ่ ๆ ไม่พูดพล่ามทำเพลง จับมือผมออกไปแล้วก็ก้มลงครอบทั้งสัดส่วนเข้าไปในปากอย่างเต็มปากเต็มคำ

โดนเขารุกไล่โลมเลียเสียขนาดนี้ผมจะทนไหวได้ยังไง และแล้วพี่นิวก็เป็นฝ่ายชนะจนได้

      หลังจากคลื่นลมแรงของเราสองคนผ่านพ้นไปแล้ว ผมเลยจะไขข้อข้องใจเสียหน่อย

      “เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”

      “ประตูระเบียง”

      โถ่....โธ้....ไม่น่าเลย ผมลืมไปได้ยังไงว่าประตูด้านนั้นยังไม่ได้ล็อก

      “ก็เล่นหนีกลับมานอนห้อง จะให้พี่ทำไงล่ะ หย่อนระเบิดไว้แล้วไม่รับผิดชอบแบบนี้ได้ไง”

      “พี่นิวเป็นคนเดียวที่ไหนอะ”

      ผมนอนหันหลังให้เขาแล้วบ่นอู้อี้อยู่กับหมอน ไม่อยากบอกเขาหรอกว่าผมขุดหลุมล่อเขาแล้วดันตกลงไปเอง

แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้เขารู้เสียบ้างว่า เพราะเขาไม่สนใจผมถึงต้องแกล้งแบบนี้ เผื่อทีหลังเขาจะได้ไม่ทำกับผม

อย่างนี้อีก

      “ก็รู้ไงถึงได้ตามมา”

      พูดแล้วก็หัวเราะใส่ผมอีกต่างหาก ยังมีหน้ามาขำผมอีกนะ
 
      ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่เขารู้เท่าทันผมไปทุกอย่างหรอก กลับจะรู้สึกดีซะด้วยซ้ำไป

เพราะนั่นแสดงถึงความเข้าใจในตัวผม...และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเขาไม่เอาใจใส่กับความรู้สึก

และความเป็นไปของผมมากเท่าที่ควร เพราะจะว่าไปผมก็ไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยตัวเองตรง ๆ กับใครนัก

      ผมหันกลับไปให้รางวัลคนแสนดีด้วยการกอดคอเขาแน่น ๆ  แล้วก็จุ๊บแก้มย้ำ ๆ ไปอีกหลายที

      “เปลี่ยนเป็น...ต่ออีกยกได้ป่ะ”

      นี่ไง...คนได้คืบจะเอาศอก นี่ถ้าไม่เห็นแก่ส่วนรวมผมไม่ยอมหรอกจะบอกให้     

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ เรื่องสั้นคั่นเวลา(อีกสักตอน) 31.01.56
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 31-01-2013 17:43:58
 :a5:   ตอนนี้เหมือนเคยอ่านไปแล้วนะค่ะ  จริง ๆ  นะ

     ♥♥♥  ไม่เป็นไรค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา    แค่นี้เอง   แค่ตอนที่แก้ไขให้ใหม่  ก็ดีแล้วค่ะ   :pighaun:

        แล้วมาต่อตอนหลักเร็วๆนะค่ะ  รอติดตามอยู่นะ :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ รอการแก้ไขคืนนี้ครับ 31.01.56
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 31-01-2013 20:50:17
ยังรอน้องนูอยู่เสมอนะจ๊ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ รอการแก้ไขคืนนี้ครับ 31.01.56
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-01-2013 21:01:51
เรื่องที่กำลังจะลงให้อ่าน
..เศร้ามั้ยอ่ะ..

เพราะที่อ่านตอนที่ผ่านๆมา
..เศร้าสะเทือนใจมากมาย..
พอแล้ว..พอ คุณนูเศร้ามามากมายพอแล้ว

รออ่านครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287)
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 31-01-2013 21:17:00
ตอนนี้ไม่เศร้าด้วยยยย
บรรยากาศชิวๆมากเลย
ชอบแบบนี้
ไม่อยากเศร้าเลยอ่า
อ่านตอนฉากเศร้าๆของพี่นูทีไรร้องตามทุกทีเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-01-2013 21:59:00
 :haun4:
นานๆ ถึงจะได้อ่านยังงี้ของ คุณนิว+นู ซะที

มัน-โฮก-มาก
 :pighaun:


แล้วจะมีอีกมั้ยอ่ะ
ยังงี้..ยังงี้อ่ะ

 :o8: เขินวุ้ย อิอิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287)
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 31-01-2013 22:13:29
เหมือนนูมาคั่นเรื่องเบาๆ ให้อ่านก่อน
..อ่านเรื่องเศร้าสะเทือนตับคราวก่อน..สุดจะโซแซดดดด ด ด เลยอ้ะ  :sad4:
ดีนะ..ที่มันผ่ามมาแล้ว    :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-01-2013 22:27:57


เพิ่งจะได้อ่านเม้นท์แบบเต็มหูเต็มตาครับ

เเเเเเยยยยยยยอออออออะะะะะะ มาก

นึกไม่ถึงว่าจะมีคนให้กำลังใจผมมากขนาดนี้ ทั้งที่อ่านแล้วอิน อ่านแล้วบ่นพี่นิว อ่านแล้วสงสารผม

ทั้งหมดที่ออกมาจากความรู้สึกของคนอ่านทุกคน ผมขอคืนกลับไปเป็นความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้

ให้มากที่สุด.....ใ้ห้นานที่สุดเท่าที่จะมีกำลัง

เช่นเดียวกับที่เคยให้สัญญาคนที่เข้ามาอ่านเรื่องของผม

นับตั้งแต่วันแรกที่มันได้มาอยู่ในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะบอร์ดไหนก็ตามแต่

(พูดเหมือนลงเอาไว้หลายที่ 5555)

ถ้าไม่เบื่อหน้ากันซะก่อน ก็แวะมาติดตามได้เรื่อย ๆนะครับ   

 :pig4:






      ผมยังคงถูกทิ้งให้อยู่กับบ้านตามลำพังในวันหยุดสุดสัปดาห์ ในขณะที่พี่นิวมีวันหยุดแค่วันอาทิตย์เพียงวันเดียว

แถมช่วงไหนที่ต้องออกไปดูงานต่างจังหวัด ผมก็ต้องนอนหง่าวคนเดียวหลายวัน เป็นอาทิตย์ก็ยังเคย

จนผมชินกับการที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว แต่ไม่ว่ายังไงความเหงาก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของผมอยู่ดี 

เวลาว่างของผมจึงหมดไปกับการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ และวาดรูป(สมัคร)เล่น

ส่วนคอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องประดับอย่างหนึ่งของบ้าน ซึ่งผมไม่เคยคิดว่า

มันจะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตที่จะขาดเสียไม่ได้ในเวลาต่อมา


      ผมมีผู้ใหญ่ที่รู้จักนับถืออยู่คนหนึ่ง ถ้ายังจำกันได้ (แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ปล่อยแกไปเหอะครับ)

ผมเคยพูดถึงไปตอนนู้นแล้วอย่างผิวเผินเต็มที แล้วก็อาจจะพาดพิงบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ในบางตอน

(ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่รู้หรอกว่าเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในเรื่องราวของผมกับพี่นิว)

      “น้าจิ๊บ”  เข้ามาช่วยให้ผมไม่ต้องทนกับความเหงาเพียงคนเดียว ด้วยเหตุที่เขามีลูกสาวที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น

ก็เลยต้องตามกระแสวัยรุ่นให้ทัน โดยเฉพาะการเข้าไปท่องโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อจะจับผิด เอ๊ย...ส่องว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้

เขาทำอะไร ที่ไหน อย่างไร กันบ้าง จนวันหนึ่งผมแวะไปหาน้าจิ๊บที่บ้าน (นาน ๆ ครั้ง)

      “ทำอะไรอยู่ครับ”

      “หาข้อมูลทำรายงานให้น้อง”

      “แล้วทำไมน้องไม่ทำเองอะ”

      “น้าจิ๊บให้ไปอ่านหนังสือในห้อง พรุ่งนี้มีสอบ”

      “สอบเสร็จก็ค่อยมาทำก็ได้นี่ ทำไมต้องทำให้ด้วยอะครับ”

      “เออ...พูดยังกะไม่รู้จักน้องเรา...ก็ไอ้งานเนี่ย อาจารย์เขาสั่งตั้งแต่เปิดเทอมให้ส่งก่อนสอบมิดเทอม

แล้วก็ผ่อนผันให้ส่งก่อนวันสอบได้”

      “โห...นิสัยนี้ไม่เคยเปลี่ยน แล้วจะทันไหมล่ะครับ สอบวันไหนเนี่ย”

      “พรุ่งนี้ไง ส่งก่อนเข้าห้องสอบ แน่ไหมน้องแก”

      ....น้องผม...แล้วมันลูกใครหว่า....

      “ม่ะ ผมช่วย”

      “ดีเหมือนกัน ปวดลูกกะตาจะแย่ แล้วนี่เดี๋ยวต้องไปพิมพ์ที่ร้านอีกนะ เข้าเล่มเลยให้เสร็จคืนเนี้ยะ”

      “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมเอาไปพิมพ์แล้วเข้าเล่มให้เลย พรุ่งนี้เช้าแวะเอาที่บ้านก่อนน้องไปเรียนแล้วกันนะครับ”

      น้องผมเป็นอย่างนี้มาหลายปีดีดักแล้วครับ ดองงานล่ะเป็นที่หนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดผมว่าเคยขาดส่งงานเสียด้วยซ้ำไป

สมัยผมเด็ก ๆน่ะเหรอ ไม่กล้าเหลวไหลหรอกครับ กลัวได้คะแนนไม่ดี

      “น้าจิ๊บนี่เว็บอะไรอะ”

      ระหว่างที่ผมเปิดหาข้อมูลที่ต้องการ ผมก็เข้าไปดูในประวัติการเข้าเว็บว่า น้าจิ๊บหาข้อมูลจากแหล่งไหนมาก่อนแล้วบ้าง

จะได้ไม่ซ้ำกัน แต่ผมดันไปสะดุดตากับชื่อเว็บหนึ่ง เล่นเอาผมชาไปครึ่งตัวเลยทีเดียว

      “เอ่อ...เว็บชายรักชาย”

      น้าจิ๊บปั้นหน้าเฉย แต่เสียงที่ตอบแผ่ว ๆ

      ผมเหลือบไปมองหน้าเขาด้วยความงงงัน ผมว่าน้าจิ๊บก็คงพอจะรู้เรื่องของผมกับพี่นิวอยู่แล้ว เพียงแต่

เขาไม่เคยถาม และผมก็ไม่เคยเล่า ทำเหมือนกับว่าเรื่องนี้มันแสนจะธรรมดา

      “น้าจิ๊บเล่นเองเหรอครับ รึว่าน้อง”

      ผมถามออกไปทั้งที่กลัวคำตอบ คือไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไงผมก็ใจไม่ดีเท่ากัน

      “ฉันเล่นเอง....นี่ ๆ ฉันสมัครสมาชิกด้วยนะ สนรึเปล่า”

      น้าจิ๊บพยายามทำเสียงระรื่น แล้วล็อกอินให้ผมเข้าไปดู

      “น้าจิ๊บ”

      “เออน่า...ก็อยากรู้”

      “น้าจิ๊บ...ผม...”

      “เรื่องส่วนตัวแก ฉันไม่ยุ่งหรอก ฉันแค่อยากรู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงถ้ามีหลานชายเป็นแบบนี้”

      “น้าจิ๊บไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ทำอย่างที่เคยทำ แค่น้าจิ๊บไม่รังเกียจ ไม่เห็นผมเป็นมนุษย์ต่างดาวก็พอ”

      “ฉันจะบอกอะไรให้นะ สมัยเรียนฉันก็มีเพื่อนในกลุ่มที่เป็นกระเทย ฉันยังรับได้เลย ฉันแค่เป็นห่วงเรื่องสุขอนามัย

เพราะยังไงมันก็เสี่ยง”

      “เราดูแลกันอยู่ครับ แต่ผมบอกก่อนนะว่าผมไม่ได้เป็นกระเทย”

      “ก็นั่นน่ะสิ ฉันก็ดูว่าแกไม่ได้เป็นกระเทย แต่ฉันก็พอจะรู้ว่ากลุ่มผู้ชายรักกันน่ะ มันมีหลายประเภท ก็เลยอยากรู้

แต่จะให้ถาม ฉันคงไม่ถาม แล้วถึงยังไงแกก็คงไม่บอกหรอกจริงไหม”

      ผมพยักหน้า

      “ฉันก็อยากหาความรู้ จะได้ทำตัวถูก ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร”

      “แค่นี้น้าจิ๊บก็ให้ผมมากแล้วครับ”

      มีหลายสิ่งจริง ๆ ที่เขาให้ผมเสมือนผมเป็นหลานชายของเขาจริง ๆ แม้ว่าบางเรื่องจะเล็กน้อย แต่พอลองนึกถึงไปเรื่อย ๆ

มันกลับคล้ายสายโซ่ที่แต่ละห่วงคล้องกันและกันไว้ไม่มีจุดสิ้นสุด บางสิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่เพียงผมได้เริ่ม

สิ่งที่ตามมากลับมีค่ามหาศาลสำหรับผม

      เช่นเรื่องเป็นสมาชิกในเว็บชายรักชายที่น้าจิ๊บชักชวนผม

      “น้าจิ๊บ ผมเอายูสเซอร์น้าจิ๊บไปใช้นะ”

      “ตามใจ แต่ทำไมแกไม่สมัครเองล่ะ”

      “ผมยังนึกชื่อเท่ ๆ ไม่ออกไง อันนี้แหละผมชอบ”

      “ให้ยืม คิดได้เอามาคืนด้วย”

      “ครับผม”


     
      ผมเริ่มด้วยการเข้าไปอ่านนิยายที่มีคนเขียนไปโพสท์ เป็นครั้งแรกที่ผมได้อ่านเรื่องราวของชีวิตคนอื่น

ที่มีวิถีคล้ายคลึงกัน   บางเรื่องอ่านดูก็รู้ว่าเป็นนิยาย แต่บางเรื่องดูเหมือนเรื่องจริง...มันจริงเสียจนผมอยากรู้จักเจ้าของเรื่อง

อยากพูดคุยถามไถ่หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากรู้ แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะเปิดตัวเอง

      บางครั้งผมรู้สึกเหมือนผู้คนในเว็บบอร์ดไม่มีอยู่จริง ทำให้ผมเกิดความคิดที่จะบอกเล่าเรื่องของตัวเองดูบ้าง

เพราะคงไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครอยู่ที่ไหน

      ผมเอาไดอารี่เล่มเก่า ๆ ออกมาปัดฝุ่น อ่านดูข้อความที่เคยบันทึกไว้ข้างใน สมุดเล่มใหญ่สีเทา....อ้ะ....ม่ายช่าย...

นี่มันเพลงบันทึกหน้าสุดท้ายของพี่เบิร์ดเขา

      ผมใช้เวลารื้อฟื้นเรื่องราวระหว่างผมกับพี่นิวอยู่หลายวัน แต่เนื้อความเหล่านั้นช่วยผมได้เพียงเรื่องสำคัญ ๆ เท่านั้น

เหตุการณต่าง ๆ ที่ผ่านมา ผมรวบรวมเอาความจำมาปะติดปะต่อ บางเหตุการณ์ผมก็ถามพี่นิว จนเขาสงสัยว่าผมจะถามไปทำไม

      “ก็ผมลืมนี่”

      เนี่ยข้อแก้ตัวของผม ถึงมันจะข้าง ๆ คู ๆ แต่เขาก็ยอมจบ ไม่ถามต่อ ระหว่างนั้นพี่นิวไม่รู้เลยว่าผมซุ่มทำอะไรอยู่



      ความมาแตกเอาวันที่พี่นิวใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประดับบ้าน เพราะลืมโน้ตบุคไว้ที่ทำงาน จะกลับไปเอา

ก็ไม่มีกุญแจเข้า (ผมว่าพี่นิวเป็นเจ้าของบริษัทที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย...เพราะไม่เคยจะพกกุญแจ) ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กุญแจรถ

กับกุญแจเซฟใส่เงินย่อยสำหรับใช้จ่ายในกิจการเพียงนิดหน่อย

      วันนั้นผมออกมาจากในครัวหลังจากทำกับข้าวเสร็จแล้วก็จะมาเชิญคุณชายเขาไปกินข้าวกัน ปรากฏว่า

พี่นิวที่ปกติจะนั่งดูโทรทัศน์ กลับนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้เป็นประจำ (นาน ๆ ครั้ง)

      เขากำลังอ่านบทความอะไรสักอย่างในนั้น พอผมเรียกเขาก็หันมากวักมือให้ผมเข้าไปหา

      “อะไรเนี่ย”

      “เฮ้ยยยยยยย!!!!”

      ผมรีบคว้าเม้าส์คลิกปิดหน้าจอลงทันที ทั้งที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว แต่มันคงเป็นสัญชาตญาณของวัวสันหลังหวะมั้งครับ

      “มันอะไร”

      “ไดอารี่ของผม”

      “แต่มันเป็นเรื่องเก่า ๆ ไม่ใช่เหรอ รึว่านูเอามาพิมพ์ใหม่”

      “ก็ทำนองนั้นแหละครับ...ไปเถอะ ผมหิวแล้ว”

      “แล้วตกใจทำไม”

      “ไม่ได้ตกใจซะหน่อย ผมแค่แปลกใจว่าพี่นิวชอบอ่านไดอารี่ของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”

      พี่นิวยอมให้ผมลากมือเข้าไปกินข้าว ผมก็นึกว่าเขาจะไม่ติดใจอะไร ที่ไหนได้ ผมน่าจะรู้ว่าเค้าฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้

แต่จะรอเวลา แล้วตะล่อมถามจนกว่าจะได้ข้อมูลที่น่าพอใจ ระหว่างนั้นพี่นิวจะทำเหมือนไม่สนใจ ผมว่าเขาเหมือนเสือซุ่ม

อดทนรอให้เหยื่อตายใจแล้วค่อยขย้ำ



      หลังอาหารพี่นิวก็นั่งที่ประจำของเขาหน้าโทรทัศน์ ส่วนผมก็อยู่หน้าคอม ไม่ห่างกันนัก แต่พี่นิวเขาจะเห็นด้านหลังเครื่อง

เขาก็เลยไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไร...ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยจะได้ใช้คอมพิวเตอร์เท่าไร แต่ว่าหลังจากที่เอาไดอารี่มาเรียบเรียงใหม่

แล้วพิมพ์ไว้ในเครื่องคอมฯ ผมก็จะนั่งตรงนี้ทุกครั้งที่ว่าง

      “ทำอะไรน่ะนู”

      “ก็พิมพ์ไดอารี่ไงครับ”

      “อืม...ทำไมต้องพิมพ์ลงคอมอ่ะ มันอยู่ในนั้นก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ นี่...ถ้าว่างนักล่ะก็ มาช่วยพี่ตรวจงานดีกว่าไหม”

      “ไม่เอา พี่นิวก็ใช้ยายเลขาไปดิ ผมไม่มีเงินเดือน เรื่องอะไรจะให้ผมทำให้ฟรี ๆ”

      “งก”

      ผมไม่สนใจคำบ่น เพราะกำลังเขียนนิยายอย่างเมามัน เนื้อเรื่องดำเนินไปจนถึงตอนกลาง ๆ แล้ว ผมมีแผนจะโพสท์

ลงบนเว็บอีกไม่นานนี้ ผมไม่รอให้เขียนจนจบหรอก ผมอยากให้นิยายของผมไปปรากฏในบอร์ดเร็ว ๆ ผมอยากรู้ว่า

เรื่องที่ผมเขียนจะมีคนสนใจไหม

      โอยยยยย....ผมแทบจะอดใจรอไม่ไหว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 31-01-2013 22:48:49
อยากให้ชีวิตของน้องนูมีความสุขแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้เศร้าอีกเลย
เป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 01-02-2013 00:44:31
พี่นิวน่ากลัวเนอะพี่นู แอบตะล่อมถามเรียบ เหมือนคลื่นใต้น้ำเลย 5555 คิดถึงพี่นูกับพี่นิวนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 01-02-2013 07:07:02
 :serius2:  พี่นิวแยบยลมาก   
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 01-02-2013 10:08:51
รักกันนานๆและรักตลอดไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: hongyia ที่ 01-02-2013 12:40:09
เป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ บีบคั้นหัวใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 02-02-2013 23:23:44
ขอติดตามอ่านด้วยคนนะคะ เป็นเรื่องเล่าที่ดีมากเลยคะ

สงสารน้องนูอ่ะ ผ่านเรื่องร้ายมาเยอะจริงๆ :monkeysad:

มันผ่านไปแล้ว และตอนนี้น้องมีความสุขดีใช่มั๊ยคะ

ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆเข้ามาอีกเลย ขอให้รักกันตลอดไปนะคะ :กอด1:

    :L2:   :L1:  :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 31.01.56 (Re#287+294)
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 03-02-2013 00:10:47
เฮ้ !!!
พี่นูมาต่อแล้ว
คิดถึงพี่นูมากนะครับ  :กอด1:
จะคอยเป็นกำลังใจให้พี่นูเสมอครับ
:L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-02-2013 00:33:03



ขอบคุณที่ยังมีคนให้การต้อนรับครับ

ตอนนี้ผมกับพี่นิวยังอยู่สุขสบายดี อยู่ด้วยกันทุกวัน จนจะเบื่อหน้ากันแล้วมั้งครับ 555+

บันทึกหน้าที่ 7 เป็นช่วงที่ผมเริ่มรู้จักเว็บบอร์ดนิยายชายรักชาย

และตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องของตัวเองออกเผยแพร่

ความรู้สึกตอนนั้นก็คงเป็นเพราะ...ในเมื่อชีวิตจริงผมไม่อาจจะเที่ยวร้องแรกแหกกระเฌอ ให้ใครต่อใครได้รับรู้

แต่ในโลกนิยาย ผมเป็นตัวของตัวเองได้ ผมสามารถประกาศความรักของตัวเองได้อย่างอิสระ

จะสุขหรือเศร้ามันก็คือช่วงชีวิตหนึ่งที่ได้ผ่านพ้นมาแล้ว

แม้ว่าปัจจุบันปัญหาบางเรื่องยังไ่ม่หมดไป  แต่เราสองคนก็หาความสุขร่วมกันได้พอสมควร

หากว่าวันหนึ่งวันใดปัญหาบางเรื่องมันจะย้อนกลับมาให้เราได้แก้ไขอีกครั้ง

ผมเชื่อว่าเราเข้มแข็งขึ้นมากพอที่จะรับมือกับมันได้ครับ

 เลิฟเลิฟครับทุก ๆคน   :กอด1:








       แล้วเย็นวันหนึ่ง ผมกลับมาจากทำงาน พบพี่นิวนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมฯ ของผม หลังจากที่กลับจากดูไซต์งานที่ต่างจังหวัด

      ทันทีที่ผมเข้าบ้าน พี่นิวก็เงยหน้าขึ้นมองดูผมด้วยแววตากังขาแกมระแวง

      ผมคงไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีกแล้ว พี่นิวคงได้อ่านเรื่องราวของเราสองคนที่ผมเตรียมโพสท์ในบอร์ด เขาคงอยากรู้

ว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงได้ผูกเรื่องราวของเราให้เป็นนิยาย

      ผมบอกเขาไปว่า ผมจะโพสท์ลงในเว็บไหน

       “ผมไม่ได้ใช้ชื่อจริงซะหน่อย”

      “แต่อ่านแล้วก็พอเดาได้ว่าเราอยู่ที่ไหน”

      “แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีแหละว่าเราเป็นใคร”

      “เพื่อนพี่กับเพื่อนูคงพอรู้”

      “แล้วคนไหนล่ะครับที่จะเข้ามาอ่าน มันไม่ใช่เว็บไซต์ที่ใคร ๆ จะเข้าซะหน่อย”

      พี่นิวเงียบไป เพราะไม่อยากโต้เถียงกับผมมากกว่าจะเป็นการยอมรับ จากนั้นเขาก็ปลีกตัวไปทำงานที่โต๊ะประจำ

หน้าโทรทัศน์

      ส่วนผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้าครัวทำกับข้าว

      บรรยากาศอึมครึมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระทั่งถึงเวลาเข้านอน พี่นิวก็ปิดประตูห้องเก็บตัวเงียบ ไม่มีการร่ำลาด้วยคำว่า

 “ฝันดี” เหมือนเช่นเคย

      ผมทำไม่รู้ไม่ชี้กับอาการเฉยเมยของพี่นิว จับลูกบิดประตูจะผลักเข้าไป แต่....มันติดล็อก

      ผมถอยกลับเข้าไปในห้องของตัวเองด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง และต้องการความเข้าใจอย่างเร่งด่วน....ผมทำผิดมากนักหรือ
 
ผมชอบอ่านหนังสือ ชอบเขียนหนังสือ พี่นิวก็รู้ดี มันจะแปลกอะไรถ้าผมอยากจะเขียนเรื่องราวของตัวเองบ้าง

      ผมเคยใช้เวลาในการเขียนนิยาย แต่มันไม่เคยจบ อาจจะเป็นเพราะว่า เรื่องราวแบบนั้นมันไม่ใช่หัวจิตหัวใจของผม

ผมแค่พยายามเขียนมันออกมาจากความรู้สึกรักที่มีต่อใครคนหนึ่ง แต่ผ่านการแปลงค่าให้เป็นความรักปกติของหญิงชาย

แต่ละเรื่องมันก็เลยไม่เคยจบ เพราะมันไม่ได้ออกมาจากหัวใจรักที่แท้จริงของตัวเอง

      ทำยังไงพี่นิวถึงจะเข้าใจสิ่งที่ผมทำ...ผมหาคำตอบไม่ได้ ที่ผ่านมาผมแทบจะไม่เคยเรียกร้องความเข้าใจจากเขาเลย

เพราะพี่นิวจะมีให้ผมเสมอโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอ พอถึงคราวที่จะต้องร้องขอผมกลับพูดไม่ออก บอกไม่ได้



      มันอึดอัด อึกอักอยู่หลายวัน...ระหว่างนั้น ผมแทบไม่มีสมาธิทำงาน ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะพิมพ์เรื่องต่อ
 
ผมคิดว่า พี่นิวก็เช่นกัน

      แล้วก็ถึงวันหยุด....เป็นอีกวันที่เราได้หยุดงานพร้อมกัน ซึ่งหาได้ยากยิ่ง

      หลังจากที่ผมทำงานในบ้านเสร็จ....ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย นอกจากเรื่องกินล้วน ๆ ผมทนอึดอัดต่อไปไม่ไหว

หากต้องอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน ในบรรยากาศแบบนี้ ผมคงบ้าแน่

      ผมหยิบกุญแจรถก่อนจะเดินไปบอกพี่นิวที่ห้องหนังสือ

      “ผมจะไปบ้านแม่นะ”

      “กลับตอนไหน”

      พี่นิวไม่เงยหน้าขึ้นจากสมุดงานมามองหน้าผมเลย

      “เย็น ๆ ครับ คงอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นเลย ของพี่ผมเตรียมไว้ให้แล้วนะครับ”

      ผมตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะกลับเย็น แต่ประโยคต่อจากนั้นผมเพิ่งคิดได้ตอนนี้เอง เมื่อได้เห็นท่าทีที่พี่นิวแสดงออกมา

อย่างหมางเมินเต็มที

      “อืม”     
 
      ไม่ทัดทานกันสักคำ เขาคงเหม็นหน้าผมแล้วมั้ง ที่ถามว่าจะกลับตอนไหนก็คงเพราะอยากรู้ว่า จะต้องทนมองหน้าผมตอนไหน

อีกล่ะสิท่า

      ผมแทบจะเดินย้อนกลับเข้าห้องตัวเองแล้วหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปค้างบ้านแม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ทำแบบนั้น

มันก็เหมือนเด็กไม่รู้จักโต เอะอะอะไร ไม่พอใจอะไรก็จะกลับบ้านท่าเดียว....ไม่ไปค้างก็ได้....แต่ตอนนี้ขอผมไปซบตักแม่

เพิ่มพลังใจก่อนเป็นไร....ส่วนพี่นิว....ขอให้จมอยู่กับกองเอกสาร ขอให้แฟ้มงานล้มทับตายไปเลย แล้วผมจะมาเก็บ

ศพเอง...คนบ้า....


      แม่ดีใจเหมือนเคยที่ลูกชายแวะมาหา

      หลายครั้งที่ผมไม่สบายใจ ทุกข์ร้อนใจ (ส่วนใหญ่ก็เรื่องเขาแหละ...แต่ผมไม่ค่อยจะเล่าให้แม่ฟัง)

ผมได้มาเห็นหน้าแม่แล้วชื่นใจบอกไม่ถูก เหมือนพลังใจหลั่งไหลจากตัวแม่มาสู่หัวใจผม เข้าบ้านทีไรผมจะรู้สึกถึงไอรัก

ที่ล้อมรอบกาย ทั้งอบอุ่นและชุ่มชื่นหัวใจ แต่ที่ผมไม่ค่อยได้แวะเวียนมาบ่อยเท่าที่ควร เพราะผมคิดว่า ลึก ๆ แล้วแม่รู้

เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่นิว เพียงแต่แม่ไม่พูด ผมเชื่อว่าแม่คงเห็นมันเป็นเรื่องแหกคอก เพียงแต่ไอ้คนที่มันแหกคอก

เป็นลูกแม่ ทำให้แม่จำต้องยอมรับ ผมกลัวว่าผมจะหลุดพฤติกรรมบางอย่างที่พ่อกับแม่รับไม่ได้ออกมาให้ท่านเห็น....

ผมกลัวท่านทั้งสองเสียใจ สิ่งเดียวที่ผมจะทำให้ท่านได้เพื่อชดเชยกับความเป็นลูกชายที่ท่านต้องสูญเสีย

นั่นก็คือ ความภาคภูมิใจในตัวผม  นอกเหนือจากเรื่องของหัวใจแล้ว ผมจะพยายามทำให้ท่านทุกอย่าง

เท่าที่คนอย่างผมสามารถจะทำได้

     
       พ่อเข้าไปพักระหว่างที่หน้าร้านไม่มีลูกค้า คงปล่อยให้แม่คุมคนงานไปคนเดียว ผมได้โอกาสก็เลยเข้าไปคุยกับพ่อ

....นานแล้วที่เราไม่ได้คุยกันตามลำพังสองคน

      พ่อกับผมไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร เพราะผมติดแม่มากกว่า รองลงมาก็คือพี่ชาย  ส่วนพ่อ

ผมมองพ่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านมาตลอด พ่อเก่ง พ่อแข็งแรง พ่อเป็นพ่อค้าที่ฉลาดและมีคุณธรรม

เพราะพ่อไม่เคยเอาเปรียบใคร มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้เพราะมันติดอยู่ในความทรงจำก็คือ พ่อเป็นนักฟังเพลงตัวยง

ตอนเด็ก ๆ ผมต้องฟังเพลงที่พ่อชอบทุกวัน ทั้งเพลงไทย ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น ผมเคยเห็นกรุเพลงเก่าของพ่ออยู่ในลังใต้บันไดที่บ้าน

สักวันผมจะเข้าไปรื้อมันออกมาดู

      “พ่อเรียนน้อย ย่าของลูกบอกว่า คนค้าขายไม่ต้องเรียนหนังสือมากหรอก แค่อ่านออกเขียนได้ บวกเลขทอนเงินได้ก็พอแล้ว”

      พ่อเล่าให้ฟังถึงความจำเป็นที่พ่อไม่ได้เรียนหนังสือสูง ๆ

      “เขามีโรงเรียนนอกระบบนี่ครับ”

      “สมัยนั้นเขาเรียกศึกษาผู้ใหญ่ เรียนกันตอนค่ำ ๆ กว่าพ่อจะเก็บร้านตอนสองทุ่ม โรงเรียนก็เลิกแล้ว”

      “แย่จัง”

      “มันก็ไม่แย่นักหรอก อย่างน้อยเราก็มีอาชีพ ค้าขายอย่างพ่อ เป็นนายตัวเอง ทำเท่าไรได้เท่านั้น  เราน่ะแหละ...”

      พ่อจิ้มหน้าผากผมที่นั่งอยู่ที่พื้นตรงปลายเท้าพ่อ มันได้ระดับมือพ่อพอดี

      “เป็นลูกจ้างเขาน่ะ แล้วแต่นายจ้างเขาจะสั่ง งานธนาคารมันโก้ก็จริง แต่อีกหน่อยมันจะเหนื่อยมากขึ้น

เพราะการแข่งขันมันสูงขึ้นทุกวัน ลองคิดดูสิลูก เดี๋ยวนี้น่ะ ลูกหาลูกค้ายากขึ้นไหม”

      ผมพยักหน้าเห็นด้วย

      “ธนาคารใกล้บ้านเรา มาตื๊อพ่อให้ไปฝากเงินแทบทุกวัน แต่พ่อบอกว่า ลูกพ่อก็ทำงานธนาคารเหมือนกัน

ยังไงก็ต้องฝากให้ลูกก่อน เขายังจะขอแบ่งยอดนิด ๆหน่อย ๆ แม่เขาเกรงใจที่เราต้องไปแลกเหรียญบ่อย ๆ

ก็ต้องฝากให้เขาบ้าง”

      “ก็ผมจะเอามาให้แม่ก็ไม่เอานี่”

      “มาได้ทุกวันรึเปล่าล่ะ”

      “ผมก็แลกมาทีละเยอะ ๆ สักอาทิตย์ละครั้งก็ได้มั้ง ห้าพันพอไหมครับพ่อ”

      “แล้วจะแลกมาทีละมาก ๆ ให้เงินมันจมทำไมล่ะ อย่างมากพ่อก็แลกไว้วันละสี่ซ้าห้าร้อย ขาดเหลือก็ปันจากร้านข้าง ๆ

ก็พอได้อยู่”

      ไม่ได้คุยกันนาน ๆ บางทีผมยังเคยนึกว่าแล้วผมจะมีอะไรมาคุยกับพ่อนักหนา แต่เอาเข้าจริง เราสองคนกลับพูดคุยกัน

เรื่องโน้น เรื่องนี้ ไม่รู้จบ จนแม่ต้องมาตามพ่อให้ออกไปดูสินค้าที่สั่งไว้ เป็นรถหกล้อที่บรรทุกสินค้าจนเพียบ

พ่อรับใบส่งของมาเทียบกับสมุดสั่งสินค้าที่อยู่บนโต๊ะ

      สิ่งที่พ่อกำลังทำ ทำให้ผมเห็นภาพตัวเอง ตอนที่รถส่งพัสดุเครื่องเขียนแบบพิมพ์ของสำนักงานมาส่งที่ธนาคาร

ผมต้องตรวจดูหีบห่อให้ตรงกับใบส่งของก่อนจะลงชื่อรับ จากนั้นก็มาตรวจสอบกับรายงานการสั่งพัสดุว่าได้รับครบตามจำนวน

และวาระที่สั่งจากเว็บไซต์ เนื่องจากธนาคารของผมมีระบบการทำงานที่ผ่านเครือข่ายเกือบทั้งหมด ตามนโยบายลดภาวะโลกร้อน

ซึ่งเรามีการเตรียมตัวมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มจากการรวบรวมรายงานทุก ๆอย่างไว้เป็นฐานข้อมูลในอินเทอร์เน็ต

จะใช้งานเมื่อไรก็ล้วงเข้าไปในเครือข่าย จนกระทั่งปัจจุบันได้ขยายผลไปยังการให้บริการผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ

ผลก็คือเราลดการใช้กระดาษลงอย่างเห็นได้ชัด และในพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องฝากและถอนอัตโนมัติสะอาดตา

จนแทบจะไม่เห็นเศษกระดาษบันทึกรายการปลิวว่อนไปทั่วลานอีกแล้ว

      “พ่อ หัดเล่นคอมฯ กันเหอะ”

      “หือ?”

      พ่อหันมาทำหน้าประหลาดใจ

      “นึกยังไงชวนพ่อเล่นคอมฯ”

      “ผมจะให้พ่อทำบัญชีสินค้าในคอมฯ”

      “เหอะ ๆ พ่อแก่เกินกว่าจะมานั่งเล่นอะไรแบบนั้นแล้วล่ะลูก”

      “เอาน่า...ลองดูก่อน ถ้าพ่อไม่ไหวจริง ๆ ก็ค่อยเลิก แต่ผมว่าพ่อทำได้”

      และนั่นก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้พ่อผมในปัจจุบันนี้ ติดคอมพิวเตอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว(555)

      รถหกล้อแล่นออกไปหลังจากยกของลงหมดแล้ว ผมกำลังจะก้าวไปช่วยคนงานยกหีบห่อที่กองอยู่ริมทางเท้า

เข้าไปเก็บในร้าน แต่เมื่อผมมองตรงไปที่ฝั่งตรงกันข้าม ก็พบกับรถคันที่คุ้นตาจอดอยู่

      ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยรถกำลังหันหน้ามาทางผม เหมือนว่าเขานั่งอยู่ในท่านั้นอยู่นานแล้ว ผมเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน

เพราะเขาลดกระจกด้านข้างลง เสื้อยืดคอย้วยมันก็ตัวที่ผมเห็นเขาใส่ก่อนที่ผมจะออกมาเมื่อตอนสายนี้

และถ้าเดาไม่ผิดเขาสวมกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีเทาซีด ๆ ที่เขาชอบใส่อยู่กับบ้านเสมอ  ส่วนรองเท้า

......และแล้ว.........เขาก็ก้าวลงมาจากรถ



...อีแตะคีบ!!!




        พี่นิวเดินไปไหว้แม่ที่กำลังหยิบของให้ลูกค้า แล้วเดินเข้าไปด้านในไหว้พ่ออีกคน ทำเหมือนเมื่อเช้านี้
 
ระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น

      “วันนี้ไม่ทำงานเหรอนิว”

      “หยุดเตรียมงานครับพ่อ พรุ่งนี้ต้องออกต่างจังหวัด”

      นั่น...ไม่บอกผมมั่งล่ะ จะรอให้ผมรู้เองพรุ่งนี้รึไง

      “ไปแถวนั้นบ่อย ๆระวังตัวมั่งนะ ข่าวมีทุกวัน ไม่รู้เมื่อไรจะจบซะที”

      “ลูกน้องผมช่วยดูให้อยู่ครับ ถ้ามีอะไรไม่น่าไว้ใจเขาจะโทรมาบอกก่อน”

      “มีลูกน้องเป็นคนพื้นที่มันก็ดีเหมือนกันนะ ไว้ใจได้ใช่ไหม”

      “เขาเป็นลูกน้องคุณพ่อมาก่อนครับ คุณพ่อส่งให้มาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

      “งั้นก็ยิ่งดีใหญ่ คนดี ๆ ซื่อสัตย์ไว้ใจได้น่ะ หายากขึ้นทุกวัน คนแบบนี้ต้องเลี้ยงเขาดี ๆ”

      “คุณพ่อก็สั่งไว้ครับ แต่พี่ศรน่ะผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็กแล้วครับ จะว่าลูกน้องก็ไม่เชิง ผมนับถือเขาเหมือนพี่ชายมากกว่า”

      พี่ศรเคยทำงานกับคุณพ่อตั้งแต่เขายังเรียนวิทยาลัยเทคนิค ถ้าผมจำไม่ผิด คนนี้แหละที่ทางบ้านไม่มีเงินส่งให้เรียน

แล้วคุณพ่อของพี่นิวรับไว้ทำงานด้วย ส่งให้เรียนด้วย สายใยนี้จึงมากกว่าลูกน้องกับเจ้านาย แต่เป็นสายสัมพันธ์ฉันญาติมากกว่า


      สบโอกาสที่ได้อยู่กันตามลำพัง ตอนที่ผมเตรียมของกินเล่นกับน้ำชาตอนบ่ายให้พ่อกับแม่ พี่นิวก็ทำทีเป็นเข้ามาช่วย

จัดกาน้ำชาใส่ถาดให้

      “เย็นนี้เรากินข้าวที่นี่กันนะครับ”

      “ผมกินที่นี่อยู่แล้ว แต่ของพี่อะ ผมเตรียมไว้แล้วที่บ้าน จะมากินที่นี่ทำไมอะ”

      “ก็มันไม่อร่อย”

      ใช่สิ...ฝีมือทำอาหารของผมมันไม่ได้เรื่องนี่ ที่ผ่านมาก็คงฝืน ๆ กระเดือกลงคอสินะ

      “พี่นิวอยากกินอะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้”

      “กินข้าวต้มไหม พี่อยากกินหมูกรอบร้านแปะ”

      ร้านแปะ...เป็นร้านข้าวต้มที่เลื่องชื่อของเมือง พ่อของแปะเป็นคนก่อตั้งร้าน จนปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันดี

แม้แต่นายทหาร นายตำรวจ ยศใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ ยังต้องถามหาเวลาที่มาตรวจราชการ

      “ก็ได้ครับ อย่างอื่นอะ”

      ผมตอบอย่างหงอย ๆ แล้วถามเมนูอื่นเพิ่ม ที่จริงแล้วผมตั้งใจจะให้แม่ทำต้มขาหมูผักกาดดองให้กินเย็นนี้

แต่มีเมนูคั่นรายการของพี่นิวเสียแล้ว ผมค่อยกินวันหลังก็ได้

      “แล้วแต่นูละกัน”

      “ครับ”

      ร้านแปะเปิดตอนห้าโมงเย็น ผมต้องรออีกประมาณ 2-3 ชั่วโมงถึงจะออกไปซื้อ ระหว่างนี้ผมก็ขึ้นไปชั้นลอย

ซึ่งจัดไว้เป็นห้องนั่งเล่น โดยมีพี่นิวเดินตามาติด ๆ จะบ่นว่าตามทำไมก็ไม่ได้ เพราะทุกทีที่มาด้วยกัน เราก็จะนั่งดูหนัง

ฟังเพลงกันในห้องนี้แหละ ง่วงขึ้นมาก็นอนหลับกันในห้องนี้ จนมันเป็นเหมือนห้องส่วนตัวของผม วันไหนผมมาที่นี่

ถ้าหน้าร้านไม่มีอะไรให้ทำ ผมก็ขึ้นมาขลุกอยู่ข้างบน

      “เย็นนี้กลับด้วยกันนะ”

      “ผมก็ไม่ได้จะมาค้างนี่ครับ”

      “ไม่...พี่หมายความว่า นั่งรถกลับด้วยกัน แล้วให้หนุ่ยขี่มอเตอร์ไซค์นูไปส่งให้ที่บ้าน”

      หนุ่ยคือเด็กคนงานหน้าร้าน นิสัยดีมีความรับผิดชอบ เป็นเด็กในร้านคนเดียวที่ผมไว้ใจให้จับรถ

      จะมาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย...ทำหน้าแบบนี้ ยังกับว่าหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำมึนตึงกับผมงั้นแหละ

      “ไปดูหนังกัน”

      “ผมไม่อยากดู”

      “งั้น....ไปนั่งรถเล่น”

      “เปลืองน้ำมัน”

      “ไปทะเลกันไหมล่ะ”

      “มืด....ไม่เห็นอะไรหรอกครับ”

      ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า ตอนนี้พี่นิวเขากำลังง้อผมอยู่ จะว่าไปแล้วผมก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอนเขา ก็แค่ผมไม่เข้าใจว่า

แค่ผมเขียนนิยายไปโพสท์บนเว็บนี่ ทำไมต้องไม่พอใจด้วย ทำอย่างกับว่าผมจะไปประกาศให้ใครต่อใครรู้เรื่องของเรางั้นแหละ

      พูดถึงความกลัวว่าความลับของเราจะแตก เราสองคนก็คงไม่ต่างกัน แต่ในความกลัวนั้น ผมแคร์พี่นิวมากกว่าตัวเองเสียอีก

เพราะถ้าใครสักคนรู้ว่าผมเป็นเกย์ ก็คงไม่แคล้วที่เขาจะต้องรู้ว่าคู่ของผมไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากพี่นิว

      “แล้วนูอยากไปไหน”

      “กลับบ้านนอน”

      “อื้ม...ดีเลย ที่จริงพี่ก็ไม่ได้อยากไปไหนนอกจากกลับบ้านอะนะ”

      แล้วจะชวนผมทำไมเนี่ย????


      เป็นอันว่าเย็นนั้นเราก็กินข้าวต้มกุ๊ย กับข้าว 4-5 อย่างของร้านแปะ ตามที่พี่นิวบอก เพราะบังเอิญพ่อกับแม่

ก็พลอยอยากเหมือนพี่นิวไปด้วย ที่ผมกะว่าจะมากินข้าวฝีมือแม่ก็เป็นอันพับไป เพราะพี่นิวคนเดียวเลย

ผมกระซิบกับแม่ก่อนจะกลับบ้านว่า พรุ่งนี้ให้แม่ทำต้มขาหมูผักกาดดองไว้ให้ ผมจะมากินมื้อเที่ยงด้วย

      “อยากกินแล้วทำไมไม่บอกแม่แต่วัน จะได้ไม่ต้องไปซื้อข้าวต้มกิน”

      “ก็พี่นิวเขาอยากกินข้าวต้มนี่แม่”

      “ถ้านูไม่อยากกินก็ไม่ต้องกินสิลูก ทำไมต้องตามใจพี่เขาด้วยล่ะ”

      คำตอบที่ผมไม่ได้บอกแม่ไปก็คือ...เพราะผมรักเขา อะไรที่เป็นความต้องการของเขา ผมก็ไม่อยากขัด

....ถ้าไม่จำเป็น!!!



     
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE SEVENTH PAGE 03.02.56 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-02-2013 00:34:03
          


         ก่อนจะกลับผมว่าพี่นิวคงไปคุยอะไรกับแม่เรื่องรถของผม หนุ่ยถึงได้มาขอกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ไป แล้วบอกว่า

เดี๋ยวจะเอาไปส่งให้ที่บ้าน เพราะพี่นิวจะไม่เป็นคนไปบอกหนุ่ยอยู่แล้ว ถ้าผมไม่ได้บอกก็ต้องเป็นแม่นั่นแหละ....

เดี๋ยวนี้ชักจะร้ายกาจขึ้นทุกวันนะพี่นิว เข้าทางแม่ตลอดแบบนี้ผมก็แย่สิ

      “ผมจะไปกินน้ำชากับไอ้ต้องก่อนนะพี่นูแล้วจะเอาไปส่งให้สักสามทุ่ม”

      “เออ...ห้ามไถลนะ บอกว่าไปกินน้ำชาแล้วก็อย่าแอบไปกินเหล้าอะ ไม่งั้นพี่จะให้แม่หักเงิน”

      “โห....ไม่เคยอะ พรุ่งนี้ก็ต้องมาทำงานอีก”

      “ให้มันจริงเหอะ พรุ่งนี้พี่จะมาดู”

      ผมควักตังค์ให้หนุ่ยไปสองร้อย เป็นสินน้ำใจที่จะเอารถไปส่งให้ที่บ้าน

      “ขอบคุณครับ แต่ร้อยเดียวก็พออะพี่นู”

      “เอาไปเหอะ ดูแลรถพี่ดี ๆ ด้วย”

      พี่นิวยืนรอให้ผมจัดการเรื่องรถกับหนุ่ยเสร็จ ก็หันมาพยักหน้าให้ไปขึ้นรถ...เบื่อตัวเองจังเลยผม

ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายก็ต้องยอมเขาทุกที

      “ไม่ไปทะเลแน่เหรอ”

      ผมเหล่ไปมองคนพูดด้วยหางตา ตอนที่เขากำลังหมุนพวงมาลัยนำรถออกจากที่จอด

      “2 ทุ่มเนี่ยนะครับ”

      “ถ้านูจะไป กี่ทุ่มพี่ก็จะพาไป”

      โหย...มีหยอด รู้อยู่ว่าผมไปไหนไม่รอด ไม่ต้องมาหยอดก็ได้

      “ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ไม่อยากไป ผมอยากนอน เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับอะ”

      “เป็นอะไรนอนไม่หลับ”

      น้ำเสียงเอื้ออาทรที่เป็นไปโดยธรรมชาติของพี่นิวทำผมใจอ่อนยวบอีกแล้ว จะบอกว่าเพราะเขานั่นแหละ

ที่ทำผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่แค่คืนนี้ด้วย แต่หลายคืนมาแล้วตั้งแต่ที่เขาทำหมางเมินกับผมวันโน้น

แต่จะให้บอกไปตรง ๆ ก็จะกลายเป็นการทำร้ายน้ำใจไปเสีย เพราะดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุ

      “เครียดเรื่องงานน่ะครับ”

      “ก็บอกแล้วว่าให้มาทำงานกับพี่ นูก็ไม่เอาท่าเดียว”

      “อย่าเลยครับ เจอกันทั้งที่บ้าน ทั้งที่ทำงาน พี่นิวจะเบื่อหน้าผมแย่ แค่นี้ก็ยังต้องคอยหลบคอยหลีก”

      “พูดงี้แปลว่างอนอะไรพี่อยู่ใช่ไหม”

      ผมเบี่ยงสายตาออกนอกหน้าต่างรถ...ไม่ได้งอนสักหน่อย

      “เรื่องเขียนหนังสือใช่ไหม”

      “เปล่า”

      “ก็นูทำอะไรไม่บอกพี่”

      ผมจะพูดอะไรได้ เพราะก็จริงอย่างที่พี่นิวว่า ใครจะไปนึกล่ะว่า กะอีแค่เขียนนิยายสักเรื่องหนึ่งอย่างที่เคยเขียน

จะต้องขออนุญาต....ถึงจะเป็นเรื่องของเราก็เถอะ มันก็เป็นเรื่องของผมครึ่งหนึ่งด้วยนี่นา

      มืออุ่น ๆ เอื้อมมาจับมือผมไว้แล้วบีบเบา ๆ เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ผมรู้ว่าอารมณ์ตัวเองยังไม่ปกติ

พูดอะไรกันไปตอนนี้ อาจจะจบไม่สวยก็ได้

      “อ้ะ..ถึงบ้านแล้ว อย่าทำหน้างอสิ พี่อุตส่าห์ไปรับนะ”

      “ผมกลับเองก็ได้”

      ผมลงจากรถปิดประตู แล้วไขกุญแจประตูเข้าบ้าน และหลังจากที่พี่นิวเอารถเข้าโรงจอดแล้ว เขาก็เดินตามมา

      “พูดงี้พี่เสียใจนะนู”

      “ผมขอโทษครับ แต่ผมเอารถไปพี่นิวก็เห็น แล้วผมก็บอกแล้วว่าจะกลับเย็น ๆ นี่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพี่นิวไปที่ร้านทำไม”

      “ทำไมอะ ไม่อยากให้พี่ไปเหรอ”

      “ผมไม่ได้ว่าอย่างงั้น”

      “แต่นูพูดว่าไม่รู้ว่าพี่ไปทำไม มันหมายความว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พี่ไป”

      “ผมเหรอ ไม่อยากให้ไป พี่นิวนั่นแหละที่ทำเหมือนไม่อยากให้ผมอยู่”

      “พี่ทำแบบนั้นตอนไหน”

      “ไม่รู้ แต่หลายวันแล้วที่พี่นิวทำเหมือนไม่เห็นหัวผม เดินสวนกันก็ไม่มองหน้า เมื่อเช้าผมอุตส่าห์มาบอก

ว่าจะไปบ้านแม่ ก็ยังไม่มองหน้ากันสักนิด ไม่พูดกับผมสักคำแบบนี้มันหมายความว่าไงอะ”

      ผมจ้องตาเขา เงาที่สะท้อนออกมามันบอกผมว่า เขาเสียใจ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เขาเสียใจเรื่องอะไร

แล้วการที่เขาทำเย็นชากับผมติดต่อกันมาหลายวัน ผมไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสิ

      “แล้วนูล่ะ ตัดสินใจทำอะไรตามลำพัง ไม่บอกพี่สักคำ มันหมายความว่ายังไง ถ้าวันนั้นพี่ไม่ไปใช้คอมฯ เครื่องนั้น

นูจะบอกพี่ไหม”

      “มันก็แค่นิยายหนึ่งเรื่องที่ผมเขียนจากชีวิตคนจริง ๆ”

      “แต่คนนั้นมันคือเราสองคน”

      “แล้วทำไมพี่นิวต้องคิดมากด้วยอะ ถ้าพี่นิวได้อ่านมันจริง ๆ พี่นิวก็ต้องรู้สิว่ามันห่างตัวเราไปเยอะเลย
 
แม้แต่ชื่อผมก็สมมติเอา ไม่มีใครในนั้นที่ใช้ชื่อจริงแม้แต่คนเดียว”

      “แต่ถ้าคนรู้จักเราเข้าไปอ่าน เขาก็อาจจะเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร”

      “แล้วมันจะมีไหมล่ะครับคนที่ว่าน่ะ เขาจะเข้าเว็บนั้นไหม ดูสิครับ รอบ ๆตัวเรา คนที่เรารู้จักน่ะ จะมีสักคนไหม

ที่เขาสนใจเรื่องคนกลุ่มนี้”

      “เราไม่มีทางรู้หรอกนู แต่พี่ไม่สบายใจ”

      “ขอให้ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบได้ไหมครับพี่นิว ผมอยู่บ้าน ผมว่าง ผมไม่มีอะไรทำ ผมเหงา”

      “ก็ทำไมไม่ออกไปไหนต่อไหนล่ะ เพื่อนก็มี”

      “วันหยุดใคร ๆ เขาก็อยากพักผ่อน วันหยุดของผม ผมอยากอยู่ตามลำพังกับพี่ แล้วพี่มีเวลาให้ผมไหม”

      “ก็พี่ไปทำงาน”

      “ผมรู้ว่างานพี่นิวเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เคยเรียกร้องนี่ ผมขอแค่เวลาที่ผมอยู่คนเดียว

ขอให้ผมได้ทำอะไรที่ผมทำแล้วมีความสุขบ้าง แค่นี้พี่ก็ให้ผมไม่ได้เหรอ”

      ...............

      “พอเหอะ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว”

      ผมรีบตัดบทก่อนที่พี่นิวจะพูดอะไรต่อ ผมยังไม่อยากทะเลาะด้วย

      ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าขึ้นบันไดบ้าน พี่นิวก็พูดไล่หลังมา
     
      “พี่อ่านจบแล้วนะ พี่ยอมให้นูเอาไปลงก็ได้ หวังว่าจะไม่มีใครสนใจเรื่องของเรามากนักหรอกนะ”

      “เรื่องอะไรอะ”

      ผมหันหน้ากลับมาท้วง
 
     “ที่ผมเขียนก็เพราะผมอยากให้มีคนสนใจ อยากให้ใคร ๆ ได้อ่าน ถ้าเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน ผมจะเขียนไปทำไม”

      “มานั่งคุยกันให้รู้เรื่องก่อน พี่ว่าเราน่าจะได้คุยกันจริง ๆจัง ๆ สักที”

      พี่นิวลากมือผมมานั่งที่โซฟาตัวยาว (ปรับเป็นเตียงนอนได้เลยนะเนี่ย อิอิ)


      “พี่ขอถามนูก่อนว่า ทำไมนูถึงเขียนหนังสือ”

      “ผมชอบอ่าน อ่านแล้วผมก็อยากเล่า”

      “เพราะนูอยากบอกใคร ๆ ถึงความรู้สึกนึกคิดถูกไหม”

      “ก็ใช่สิครับ”

      “ถ้าคนอ่านคล้อยตามสิ่งที่นูบอก เขาก็ชอบ นั่นแปลว่านูเขียนเก่ง เรื่องของนูสนุก”

      “ก็คงงั้น”

      ผมนึกถึงตอนที่ผมอ่านเรื่องของคนอื่น ผมก็รู้สึกประมาณนี้

      “แล้วทำไมนูถึงไม่พอแค่เรื่องที่นูแต่ง ทำไมถึงเขียนเรื่องของเรา”

      “ก็ผมอยากบอกให้คนอื่นรู้นี่”

      ผมอยากให้เขารู้ว่าผมมีคนรัก...คนรักของผมเขาแสนดีแค่ไหน....และเรารักกันแค่ไหน
 
      “ถ้าเป็นนู เรื่องไหนที่นูชอบ นูอยากรู้จักคนเขียนไหม”

      “ผมก็คงแค่อยากรู้ว่าเป็นใคร อาจจะอยากรู้นิดหน่อยว่าเขาอายุเท่าไร กำลังทำอะไร

แต่ถ้าถึงกับต้องรู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลังก็คงไม่หรอก”

      ผมพูดถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อคนเขียนเรื่องในบอร์ดที่เคยอ่าน อยากรู้จักมันก็ใช่ แต่ผมก็เข้าใจดีว่า

บางคนเขามีโลกส่วนตัวของตัวเอง และไม่พร้อมจะเปิดเผยกับใคร

      “แล้วนูกะเกณฑ์ให้คนอื่นคิดเหมือนนูได้เหรอ”

      “ถ้าพี่นิวจะหมายถึงว่า ต่อไปเกิดมีคนอยากรู้จักผมจากเรื่องที่ผมเขียนล่ะก็ พี่นิวคิดมากไปแล้วล่ะครับ

ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ กะอีแค่เขียนนิยายลงเน็ตเนี่ย ใคร ๆ เค้าก็ทำกันเยอะแยะไป

มันไม่มีทางจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปได้หรอก เว่อร์อะคิดได้ไง”

      “พี่ไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ที่พูดเนี่ย เพราะพี่อยากจะบอกว่าคนที่เขาอยากรู้จักเราน่ะ

บางคนเขาก็มีความพยายามอย่างไม่น่าเชื่อที่จะทำให้รู้ให้ได้ แต่เอาเถอะ เมื่อมันยังมาไม่ถึง

พี่ก็จะไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ ไว้นูเจอเองก็คงรู้ว่าต้องจัดการยังไง”

      “พี่นิวอะคิดเยอะ จะมีใครเข้ามาอ่านสักกี่คนยังไม่รู้เลย”

      ผมอารมณ์ดีขึ้นเมื่อพี่นิวยอมอ่อนให้   
   
      “ก็ต้องมีสิ พี่อ่านเรื่องที่นูเขียนแล้วมันก็โอเคอยู่นะ ถ้าไม่เกี่ยงว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเราสองคน พี่คงชมได้เต็มปากกว่านี้”

      “จริงเหรอครับ พี่นิวว่าผมเขียนเป็นไงมั่ง”

      ผมกระตือรือร้นอยากรู้ว่าพี่นิวรู้สึกยังไงกับสำนวนภาษาที่ผมใช้

      “ก็อ่านรู้เรื่องดีนี่”

      “นั่นคำชมเหรอครับ อ่านภาษาไทยออก ก็รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ พี่นิวอะ ช่วยวิจารณ์ให้มันสร้างสรรค์หน่อยได้ไหมอะ”

      “ไม่ไปให้น้าจิ๊บช่วยวิจารณ์ดูล่ะ เขาก็นักอ่านไม่ใช่เหรอ”

      “เออเนอะ....”

      ผมนึกขึ้นมาได้แต่....

      “แต่นี่มันเรื่องของเราอะ ถ้าผมเอาไปให้เขาอ่าน....แล้ว....”

      “น้าจิ๊บรู้คนเดียวก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง นูจะได้มีคนช่วยคิดไง”

      “พี่นิวไม่ว่าอะไรแน่นะ”

      “อืม...พี่แล้วแต่นูนะ น้าจิ๊บก็เหมือนญาตินู อันที่จริงพี่ว่า เขาก็อาจจะสงสัยเรื่องเราน่ะแหละ แต่ไม่อยากยุ่งมากกว่า”

      “ผมก็ว่าเขารู้”

       ต่อให้พี่นิวมั่นใจ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดยังไงถ้าผมบอกออกไปว่า ผมกับน้าจิ๊บ เรารู้กันมานานแล้ว

รู้แม้กระทั่งว่าผมกำลังจะเขียนเรื่องไปโพสท์บนเว็บที่น้าจิ๊บเป็นสมาชิก ก็แม้แต่เรื่องที่ผมกำลังเขียนนิยาย

ผมยังไม่บอกพี่นิวเลย ถ้าขืนบอกว่าน้าจิ๊บเป็นคนเปิดโลกเกย์ให้กับผม อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้

      “แล้วก็นี่อีก พี่ล่ะสงสัยนัก นูไปรู้จักเว็บนี้ได้ยังไง ก่อนนี้พี่ไม่เคยเห็นนูเล่น”

      “ผมเสิร์ชจากกูเกิ้ล”

      “ฟลุคมากเลยนะนั่นน่ะ อยู่ ๆ ทำไมถึงสนใจเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะครับ”

      เอาล่ะสิ...ผมไม่ได้เตี๊ยมคำตอบไว้ซะด้วย

      “ก็ผมมีเวลาว่างมากนี่”

      “พี่ให้ไปช่วยงาน นูไม่ไป แต่กลับมีเวลามาเล่นเรื่องไร้สาระนี่ได้อะนะ”

      “ผมเบื่อหน้าเลขาพี่ ทำยังกะผมจะไปฮุบกิจการ รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงผมไม่ใช่เจ้าของ ผมก็เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง

ทำแบบนั้นไม่คิดเหรอว่า ผมจะไล่ออกเข้าสักวันน่ะ”

      “แต่เขาเก่งนะ ช่วยงานพี่ได้เยอะเลย ถ้าพี่ต้องหาคนใหม่ก็ไม่รู้จะได้อย่างนี้หรือเปล่า”

      “ก็เพราะพี่นิวให้ท้ายอยู่เรื่อยไง ถึงได้ทำตัวเป็นคนโปรด”

      “คนทำงานดี เราก็ต้องชมเขาบ้าง ดูแลเขาดี ๆ เขาจะได้ทำงานให้เราเต็มที่ จะว่าโปรดก็โปรดอยู่หรอก”

      “พี่นิว!!!!”

      พูดชมยายคนนั้นต่อหน้าผมได้ไง รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ชอบหน้า

      “ทำท่าแบบนี้อีกแล้ว”

      พี่นิวพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเสยคางผม แถมยังหัวเราะใส่ผมอีก

      “ก็แค่พนักงานคนหนึ่ง จะคิดไปไหนเนี่ย”

      “เขาไม่ชอบหน้าผม ผมก็ไม่ชอบหน้าเขา”

      “พี่ว่านูไม่ชอบหน้าเขาก่อน เขาเห็นท่าทีนูเขาก็เลยไม่ชอบมั่งมากกว่า”

      “เข้าข้างเขาทำไมอะ กะเลขาเนี่ย จะเอาใจอะไรนักหนา”

      “ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่พี่ไว้ใจ มอบหมายให้ทำอะไร ก็แทบจะไม่มีพลาด”

      “เอาเหอะ แตะต้องไม่ได้ก็จะไม่แตะแล้ว ชมกันเข้าไป เข้าข้างกันเข้าไป”

      จากนั้นก็มีประโยคต่อว่าต่อขานเลขาของพี่นิวอีกนิดหน่อย ถึงบรรยากาศตอนนี้จะดูขุ่นมัว แต่อย่างน้อยผมก็ใจชื้น

ที่สามารถเบี่ยงประเด็นที่ผมเข้าไปเล่นเว็บเกย์ออกไปได้ เท่าที่ผมรู้สึกได้ตอนนี้ พี่นิวคงไม่ชอบใจเท่าไรที่ผมเล่นเว็บนี้

ถ้าจะห้ามก็คงไม่ได้ ผมกลัวว่า ความไม่ชอบใจทั้งหมดจะไปลงที่ “ผู้แนะนำ” ซึ่งถือว่าเป็นต้นเหตุของกิจกรรมทั้งหมด

ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งให้รู้จะดีกว่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 04-02-2013 01:00:24
พี่นิวเป็นผู้ใหญ่มากเลยอ่ะแต่ก็มีมุมน่ารักๆเวลาอยู่กับนูฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-02-2013 01:24:51
ไม่น่าจะเรียกว่า ทะเลาะ
น่าจะเป็น ง๊องแง๊ง ใส่กันอ่ะ

สีสันของคนมีคู่
มีคนให้ปรึกษา พูดคุยกัน

ต่างจากเรา..ไม่มี
กาซิก

ชื่นชม..แต่แอบอิจฉาเล็กๆ

ฝากบอกคุณนิวด้วยนะ..เรื่องที่นูเขียนให้อ่าน
สนุก..สนุกมากกกกกกกก ทำให้เสียน้ำตาไปมากโข
แต่ชอบนะ เรื่องบีบคั้นอารมณ์ผสมจิตใจ อย่างโปรด

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 04-02-2013 05:38:42
พี่นูงอนพี่นิวก็ง้อ
น่ารักดีนะคะ
ทะเลาะกันบ้าง
สร้างสีสันให้ชีวิตคู่ 5555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 04-02-2013 10:50:03
นูปล่อยให้พี่นิวง้อเยอะๆเลยนะ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 04-02-2013 12:11:01
น่าเห็นใจน้องนูนะ เหงาอยู่คนเดียวบ่อยๆ :undecided:

แต่อย่างที่พี่นิวพูดก็ถูกนะคะ น้องควรระวังเรื่องการสืบค้นด้วย

จุ้นเน๊อะ! :m23: เข้าเรื่องดีกว่า พ่อแง่แม่(พ่อ)งอนน่ารักดีค่ะ รสชาดของชีวิตเลย

รอตอนต่อไปนะคะ


    ปล.   คอนเฟิร์มกับพี่นิวด้วยคนว่านูเขียนได้ดีมากน่าอ่านค่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: hongyia ที่ 04-02-2013 16:43:04
ขอให้อยู่ด้วยกันไปนานๆนะ อย่าเพิ่งเกิดเรื่องอะไรเลย ตอนนี้เหมือนเหตุการณ์สงบก่อนพายุเข้าเลยอ่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 04-02-2013 17:21:46
หุหุ..เบื้องหลัง..กว่าจะมาเป็นเรื่องเล่า ให้เราติดกันงอมแงม  o13

ขอบคุณนูคนเล่าเรื่อง..  o14
ขอบคุณพี่นิวคนอนุญาต  :kikkik:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 04-02-2013 17:55:25
เป็นการงอนกันที่น่ารักมากค่ะ พี่นูก็บอกพี่นิวซิค่ะ ว่าคนอ่านน่ารัก ไม่สร้างความวุ่นวายใจแน่นอน อย่าให้พี่นูเลิกพิมพ์นะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 04-02-2013 19:52:45
  ดูเหมือนว่าพี่นิวจะกลัวไปทุกๆอย่างเลย   แต่ถ้าให้ลองเดาดูนะค่ะ  ตุ๊กตาคิดว่าพี่นิวกลัวเรื่องราวที่ตัวเองเป็นสาเหตุต่าง ๆ 

ให้นูต้องเสียใจ  ต้องทรมาน  มันเหมือนกับการตอกย้ำตัวเองด้วย  ยิ่งเป็นความรู้สึกของนิวที่บรรยายด้วยแล้ว

 มันคือความรู้สึกจริง  ๆ  มันคือความเจ็บปวดจริง ๆ  ของนู  ซึ่งแทบจะทุกอย่างเกิดมาจากพี่นิวทั้งนั้น  ทั้งจากตัวเอง

 และรอบข้าง   ยิ่งมีคนต่อว่ว  บางที  มีทั้ง   :z6:   รึอาจจะ   :beat:   รึแม้แต่   o18   รึอาจบางทีจะมีการยุให้นูเลิกกันไปเลย

  ***แล้วก็ขอโทษนะค่ะ  ที่มีความคิดแบบนี้  นูช่วยถามพี่นิวให้ตุ๊กตาทีนะ  ว่าที่ตุ๊กตาคิดเนี้ยมีแนวโน้มรึว่าใกล้เคียง

กับความคิดของพี่นิวรึเปล่า  ขอโทษอีกทีนะค่ะ   :call:     

       +1  ให้จ้า   ยังติดตามอยู่นะจ๊ะ  เรื่องหลักเมื่อไหร่จะมาต่อค่ะ  ตุ๊กตารออยู่นะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 04-02-2013 20:24:39
ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนมาจึงได้พลาดไม่ได้อ่านเรื่องนี้ ตั้งแต่แรก
คุณนูเขียนได้ดีมาก ทำเราร้องไห้ตลอดเลย  :m15:  อยากให้คุณนูรักตัวเองให้เยอะนะ   :กอด1:
จะติดตามต่อไปจนกว่าจะเลิกเขียน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: aa_mm ที่ 04-02-2013 21:18:46
นูอ่ะ ใจอ่อนกับพี่นิว ตลอดเลย  :z3:

ก็คนมันรักนี่เนอะ สู้ ๆ แล้วกันนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Huo_To ที่ 04-02-2013 22:02:17
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่นะคับ รักหนักแน่น นี่แหละเนื้อคู่ เห็นปุ๊ปรู้ปั๊ปตั้งแต่ม. 1
ทำบุญร่วมกันไว้เยอะๆ อุปสรรคต่างๆ จะได้ผ่านพ้นไปได้โดยง่าย ^^

เพิ่งได้อ่านรวดเดียว เขียนเก่งมากเลยคุณนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 03.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 05-02-2013 00:26:53
ยังสนุกมากครับ คิดถึงนะครับ ดูแลสุขภาพ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-02-2013 00:53:34


Sofa     ก็เพราะเขาน่ารักไงครับ ผมถึงได้รัก

broke-back  เคยมีคนบอกว่า คนอยู่ด้วยกันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ผมเลยบอกพี่นิวว่า ผมต้องเป็นลิ้นแน่ ๆ เพราะเป็นผมที่เจ็บตลอด

เพราะฟันของกัดให้ลิ้นเจ็บ เขาบอกว่า เขาไมได้กัดแค่ที่ลิ้นที่เดียวซะหน่อย ทีอื่นเขาก็กัดมาหมดแล้วทั้งตัว อายแทบดิ้นตายไป

เลยผม

bobie ง้อก็ไม่ค่อยจะเป็นหรอกครับพี่นิวน่ะ เขาเป็นคนทื่อ ๆ แต่จริงใจ อาศัยว่าน่าสงสารผมก็ไม่อยากงอนนาน 5555

gambee  พี่นิวง้อไม่เก่ง งอนนานเกินผมกลัวเค้าเปลี่ยนใจไม่ง้อต่อผมจะลำบาก

Zinub  ไม่จุ้นครับพี่ ขอบคุณที่เป็นห่วง รักผมห่วงผมก็รู้จักผมในนิยายแค่นี้ก็พอนะครับ นิยายนี่ก็ผมตัวจริงนี่แหละ เปลี่ยนแค่ชื่อ

ไม่เห็นแค่หน้า นอกนั้นจริงหมดครับ


Hongyia หลังจากนี้ไม่มีเรื่องอะไรหนัก ๆแล้วครับ

j_world  ตอนที่เล่านี่ก็เกือบ ๆ จะทันปัจจุบันแล้วครับ อีกไม่กี่ตอนเอง

namtarn11 ไม่เลิกพิมพ์ครับ คนอ่านน่ารักอย่างนี้  กำลังใจก็มา

took-ta_naka ก็คงเป็นอย่างที่คุณตุ๊กตาว่าแหละครับ แต่พี่นิวเขาเป็นคนเก็บความรู้สึกครับ ไม่ถามล่ะไม่ค่อยยอมบอกอะไร

หน้างี้ก็นิ่งซะ จนบางทีผมก็อดสงสารไม่ได้ อ่านไปอีกซักพักคงรู้แหละว่าผมก็งี่เง่าเป็น แหะ ๆ ถึงตอนนั้นอย่าเกลียดผมน้า

nokkaling ขอบคุณครับ คนอ่านไม่หาย ผมก็ไม่หายรับรองเลย

aa_mm  ใช่แล้วครับ ก็รักคนนี้ถึงได้ยอมอ่อนให้

Huo_To ผมก็หวังว่าเราจะเป็นเนื้อคู่กันจริงๆนะ แต่ไม่เห็นได้ยินใครเคยบอกเลยว่า เนื้อคู่มีแบบเพศเดียวกันได้ด้วย 555

Gang หวัดดีครับเก่ง สบายดีเหรอครับ ผมก็คิดถึงเก่งเสมอนะ ชื่อเนี้ยะ ไม่เคยลืมเลย











      “หายโกรธพี่รึยัง”

     “ผมไม่ได้โกรธนะ”

       “แต่หนีไปบ้านโน้น”

        “หนีที่ไหน ผมบอกก่อนไป ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

        “ก็แล้วทำไมต้องไปด้วยล่ะ วันหยุดทั้งทีแทนที่จะอยู่ด้วยกัน กลับหนีไปบ้านแม่นู่น”

           ทีตอนนี้ล่ะมาพูด ทีตอนนั้นล่ะไม่ห้าม
 
           “อ๋อ...รู้ด้วยเหรอครับว่าวันหยุดทั้งที น่าจะได้อยู่ด้วยกันน่ะ ดูหน้าพี่อยากจะให้ผมอยู่เหลือเกินนี่”

          “พี่ก็อยู่ของพี่เฉย ๆ พี่ไปทำอะไรให้”

        “ก็เฉยไง เฉยจนผมนึกว่าพี่นิวไม่อยากเห็นหน้าผมเนี่ย”

         “ยิ่งกว่าอยากเห็นหน้าอีก ไม่งั้นจะแล่นตามไปถึงโน่นเหรอ ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน เพิ่งจะได้กินมื้อเย็น

พร้อมนูอะรู้หรือเปล่า” 

       “ก็ใครเค้าใช้ให้อด ผมทำทิ้งไว้ให้ก็บ่นไม่อร่อย แล้วจะให้ผมทำไง”

       “ก็มันไม่อร่อยจริง ๆอะ”

      “ใช่สิ ผมมันทำอะไรก็ไม่อร่อย ทีหลังก็ซื้อเขากินแล้วกัน ผมไม่ทำไม่แทมมันแล่ว”

      “พี่ไม่ได้ว่านูทำไม่อร่อย แต่พี่จะบอกว่า กินคนเดียวมันไม่อร่อยต่างหาก อะไรเนี่ย มองพี่ในแง่ร้ายตลอดเลย”

      อ้าว...ก็บอกว่าไม่อร่อย ใครจะไปรู้เล่าว่าหมายความว่าไม่ได้กินกับผมแล้วมันไม่อร่อยน่ะ....เขินสิทีนี้ผม

      “พี่นิวไม่พูดกับผมตั้งหลายวัน”

      “ก็พูดนะ แต่พูดเท่าที่จำเป็น”

      “โกรธเรื่องที่ผมเขียนนิยายลงเว็บอะเหรอ”

      “เปล่า ไม่ได้โกรธ แต่น้อยใจที่นูทำอะไรไม่บอก”

      “ไม่คิดว่าต้องบอกนี่ กะแค่นิยาย”

      บอกว่าเอาไปเผยแพร่ก็อดดิ แต่ความแตกแล้วก็ต้องให้พี่นิวเขาอนุญาตก่อนแค่นั้นเอง

      “สรุปว่าผมเอาไปลงได้ใช่ปะ”่

      “ได้....แต่มีเงื่อนไข”

      พี่นิวดูจริงจังขึ้น แต่ผมชักจะรู้สึกว่าผมกำลังจะถูกมัดมือให้ยอมทำอะไรบางอย่าง เพื่อแลกกับสิ่งที่ผมขอ

คือการได้โพสท์นิยายบนเน็ต

      “อะไรอีกอะ”

      “ทุกอย่างของเรา นูจะไม่เปิดเผยกับใคร”

      “ผมก็ไม่คิดจะทำอย่างงั้นอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องบอกเลย”

      “ถ้างั้นพี่ก็ไม่มีปัญหา”

      ผมยอมรับข้อตกลงด้วยอารมณ์ที่เบิกบาน ก็เห็นอยู่แล้วว่าเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ พี่นิวไม่จำเป็นต้องกังวล

ตั้งแต่แรก ถ้าเขายอมเข้าใจผมตั้งแต่วันนั้น เราก็ไม่ต้องหมางเมินกันอยู่ได้ตั้งหลายวัน

....ผมไม่ทันได้นึกว่า คำว่า “ทุกอย่างของเรา” มันจะกินพื้นที่มากมายมหาศาล....มากเท่าที่พี่นิวต้องการเลยทีเดียว



      ถึงเวลาเข้านอน ผมถูกฉุดเข้าห้องพี่นิวเอาดื้อ ๆ หลังจากคืนที่เขาล็อกห้องไม่ให้ผมเข้า ผมก็ไม่เปิดเข้าไปอีกเลย

นอกจากเวลาที่เขาไม่อยู่ผมถึงจะเข้าไปเก็บห้องให้

      “อนุญาตให้ผมเข้ามาได้แล้วเหรอครับ”

      “ก็ใครห้ามล่ะ”

      “ล็อกประตูห้องเนี่ย จะเรียกว่าห้ามได้ไหมล่ะครับ”

      พี่นิวอมยิ้ม...รู้ล่ะสิ ว่าผมย้อนเข้าให้ ก็เขาก็ทำจริง ๆนี่นา

      “ก็แค่คืนเดียวน่ะแหละ อยากลองใจคนดูซิว่าจะง้อกันมั่งไหม”

      “ขนาดนี้ยังต้องลองใจกันอีก ไม่รู้รึไงว่าทำผมร้องไห้”

      “ไม่จริงอะ แค่นี้ไม่ทำให้นูร้องไห้หรอก”

      โถ่...อย่ามารู้ทันอย่างนี้สิ

      “พี่นิวเห็นเหรอว่าผมไม่ได้ร้องไห้ ตัวเองน่ะปิดประตูเงียบอยู่ในห้อง ผมจับลูกบิดประตู

พี่นิวก็ต้องได้ยินเสียงก็อกแก็กมั่งแหละ แต่ไม่สนใจ ไม่ออกมาเปิดประตูให้ผมแบบนั้นน่ะ

เรียกว่าตั้งใจจะไม่ให้ผมเข้าใช่ไหมล่ะ”

      “พี่อยากให้นูง้อพี่มั่งนี่ พี่ก็น้อยใจเป็นนะ แค่ประตูห้องล็อกน่ะ นูไม่มีความสามารถรึไง กุญแจทั้งบ้าน

ตัวเองก็เก็บไว้หมด กะแค่ไขเข้าไปง้อพี่ก่อน นูยังไม่ทำเลย”

      “โหย ก็จะเข้าไปง้ออยู่นั่นไง แต่ดันเจอประตูติดล็อก ก็แปลว่าเจ้าของห้องเขาไม่อยากให้เราเข้า

แล้วใครจะด้านหน้าเข้าไปล่ะครับ เกิดเขาไล่ส่งออกมาจะทำไง”

      “พี่ไม่ทำอย่างงั้นหรอก ก็รออยู่”

      “ใครจะไปรู้ล่ะ”

      โต้กันไปมาจนเหนื่อยก็ไปไม่พ้นเรื่องที่พี่นิวเขารอให้ผมง้อ แต่ผมไม่ง้อ แล้วผมรู้อารมณ์เขาซะเมื่อไรล่ะ

สรุปว่าจะให้ผมผิดให้ได้ใช่ไหมเนี่ย

      “แล้วจะเอายังไงกับผมอะ เรื่องนิดเดียวพี่นิวก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

      “ปลอบก่อนสิ พี่ขวัญเสียนะ”

      มุกอ้อนมาเลย....ผมฉลองศรัทธาด้วยจูบที่ข้างแก้มไปทีหนึ่ง

      “นี่ด้วย”

      คนขี้อ้อนเอียงแก้มอีกข้างมาให้ตามคาด

      “อื้อ”

      ปากจู๋ ๆ ยื่นเข้ามาใกล้ บอกเจตนาว่าผมต้องยื่นปากเข้าไปชิด ผมทำตามใจเขา แล้วกลั้นขำไปด้วย

ตัวก็โตยังจะเล่นอะไรเป็นเด็กอยู่ได้

      แล้วตัวผมก็โดนคว้าหมับรวบเข้าไปกอดซะแน่น

      “อะไรอีกอะเนี่ย”

      “เลิฟซีนไง”

      พี่นิวกระซิบใกล้ ๆ....ใกล้ซะจนผมได้สูดเอาลมหายใจของพี่นิวเข้าปอดไปด้วย

ผมว่าเวลาที่เราได้กลิ่นอายจากผิวกายคนที่เรารัก ในบรรยากาศที่ชวนให้วาบหวาม คงไม่มีใครปฏิเสธนะ

ว่าเราแทบอยากจะนอนทอดร่างในอ้อมกอดแล้วปล่อยให้เขาทำอะไรตามแต่ใจ ผมในตอนนี้ก็เหมือนกัน

แต่ติดตรงที่ว่า ไม่ว่าเราจะเคยใกล้กันแบบเนื้อแนบเนื้อมาแล้วไม่รู้กี่หน ผมก็ยังไม่วายเขินทุกครั้งที่พี่นิวพูดเรื่องทำนองนี้

      “บ้าแล้ว ได้คืบจะเอาศอกอยู่เรื่อยนะ”

      “นะ....เราแยกกันนอนหลายคืนแล้วอะ คิดถึง”

      “ก็ใครเริ่มก่อน”

      “งั้นพี่จะไถ่โทษด้วยการให้นูเป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลย พี่จะอยู่เฉย ๆ ดีไหม”

      เอาเปรียบกันเห็น ๆ

      แต่เอาเถอะ....คราวนี้ผมจะเป็นช้างเท้าหน้า...เอ๊ย...ควาญช้างมั่ง

      ควาญช้างก็ต้องขึ้นขี่ช้างจริงไหมครับ

      ผมจำใจก้าวถอยหลังเข้าหาเตียงกว้าง เพราะถูกคนที่ตัวโตกว่าจำกัดอิสรภาพ

แล้วผมจะแปลงร่างเป็นควาญได้ยังไงเนี่ย...ไหนพี่นิวบอกให้ผมจัดการเองไง

อีแบบนี้ผมน่าจะเสียเปรียบเขามากกว่า

      พอหลังแต่เบาะ พี่นิวก็ไม่ออมมือ ทั้งรุกไล่ผมด้วยปาก พร้อม ๆ กับมือไม้ที่อยู่ไม่สุข

      กระดุมเสื้อนอนหลุดลุ่ยด้วยฝีมือคนที่บอกว่าจะอยู่เฉย ๆ ฝ่ามือร้อน ๆ ลูบไปทั่วแผ่นอกเปลือย

สะดุดตรงตุ่มไตเขาก็ทั้งบีบทั้งบี้ เสียววาบจนแทบจะร้องให้หยุด แต่ลีลาของพี่นิวที่ตามมาหลังจากนั้น

กลับทำให้ผมลืมไปเลยว่าจะต้องเป็นฝ่ายควบคุมให้ได้

      พี่นิวเงยหน้าจากการคลุกวงในขึ้นสบตา นัยน์ตาเชื่อมทำเอาผมมือไม้สั่นด้วยความหวั่นไหว

ผมแกะกระดุมเสื้อให้เขาบ้าง การค่อย ๆ แกะทีละเม็ดอย่างช้า ๆ สร้างความทรมานให้พี่นิวไม่ใช่น้อย

แต่เขาก็อดทนรอจนเม็ดสุดท้ายหลุด สาบเสื้อเผยออกให้เห็นกล้ามอกแน่น ๆ ของคนหนุ่มฉกรรจ์

      แต่ก่อนที่พี่นิวจะล้มตัวลงมาอีกครั้ง ผมก็กุมไหล่เขาไว้ทั้งสองข้าง แล้วจับเขาพลิกให้นอนหงายลงไป

อยู่เบื้องล่าง....บอกแล้วผมจะเป็นควาญช้างเอง

      ผมรู้ว่าที่พี่นิวบอกให้ผมจัดการเอง ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมเป็นฝ่ายรับให้ผม เขาคิดว่าคงเหมือนครั้ง

อื่น ๆ ที่....(คุณก็รู้ว่าแบบไหน 555)....





   ตอนหน้าพี่นิวจะได้เสียเลือดมั่งแล้วครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 11-02-2013 01:12:05
แว้ก ตัดฉับแบบนี้เลยเหรอ คุณนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 11-02-2013 05:43:43
ชอบอารมณ์แบบเถียงกันงุ้งงิ้งๆจังเลย
น่ารักมากๆเลยพี่นู
แต่เสียดายไม่น่าตัดฉับตอนสุดท้ายเลยอ่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 11-02-2013 06:02:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 11-02-2013 07:06:47
อร๊ายยยย อยากเห็นพี่นิวเสียเลือด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: hongyia ที่ 11-02-2013 07:13:15
อยากอ่าน Nc
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: railay ที่ 11-02-2013 09:25:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
อยากให้พี่นูลงเรื่องของปืนกับปอจัง เคยอ่านค้างไว้ยังไม่จบเลย
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-02-2013 09:32:32
^
^
      น้องเรย์ใช่มั้ยครับ

      พี่นูลงแล้วนะ ตอนนี้อยู่ในหมวดนิยายที่จบแล้ว

 อ้อนนักรักซะดีแมะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33038.0)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 11-02-2013 12:54:53
นูนะนู จบให้ค้างซะงั้น :serius2:

แล้ว...แล้ววว....ใครทำพี่นิวของนูหัวแตกหรออ :impress:(...เห็นว่าเสียเลือด^^)

รอตอนต่อไปนะคะ

ขอแว๊บบบ :a1:....ตามไปอ่าน"อ้อนนักรักซะดีแมะ"ของนูอย่างว่อง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: took-ta_naka ที่ 11-02-2013 18:08:42
 :เฮ้อ:    ดีกันก็ดีแล้วค่ะ

    +1   ให้จ้า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 15-02-2013 17:50:09
 :m24: เข้ามาติดตามความเคลื่อนไหว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 11.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 16-02-2013 14:52:17
เฮ้  !!!!
พี่นูมาต่อแล้ว
คิดถึงพี่นูมากๆเลยครับ  :กอด1:
ปล. จะคอยเป็นกำลังใจให้พี่นูเสมอนะครับ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 16-02-2013 14:57:35



 :really2:   ......อย่างไม่มีปี่ มีขลุ่ย

อ่านต่อกันได้เลยครับ 




   ไม่รู้ว่าผมตกเป็นฝ่ายรับให้พี่นิวรุกอยู่คนเดียวได้ยังไง เอาเป็นว่าผมไม่เคยคิดเรื่องรุก เรื่องรับมาก่อน

จนได้อ่านนิยายบนเว็บ ผมถึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่เราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ (?)อยู่ฝ่ายเดียว

      ด้วยสรีระที่ไม่ได้ถูกสร้างให้เอื้อต่อการร่วมรักแบบนี้ ย่อมทำให้ผู้ถูกรุกล้ำมีอาการเจ็บทั้งขณะพายุโหมกระหน่ำ

(ถึงแม้ว่ามันจะมีอาการเสียวซ่านแทรกซ้อน) และหลังพายุสงบ

       สำหรับผมแล้ว การยินยอมพร้อมใจเกิดขึ้นจากความรักล้วน ๆ ที่สนับสนุนด้วยการปลุกเร้าอารมณ์ให้เคลิ้มตาม

และในทางตรงข้าม พี่นิวก็น่าจะยอมผมบ้าง ถ้าเขารักผม (ผมคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ)

      การทำให้คู่รักของเรามีความสุขด้วยการสัมผัสร่างกายทุกรูปแบบ มันนำพาเอาความสุขที่เลิศล้ำเหนือคำบรรยาย

มาสู่เราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

      ร่างเปล่าเปลือยที่เสียดสีกันอย่างแผ่วเบาเนิบนาบ  ทำให้ภายในกายค่อย ๆ ระอุทีละน้อย จนลุกโหมเป็นเพลิงกาม

ที่ต้องปล่อยให้มอดไหม้เรา  จนกว่าจะสุขสมกันไปทั้งคู่ และหากทุกจังหวะของการเคลื่อนไหวสอดคล้องประสานกันไป

ทุกท่วงท่า การจะแตะไต่ ก่ายเกี่ยวกันไปจนถึงสวรรค์คงไม่ใช่เรื่องยาก

      ผมรู้สึกได้ทุกครั้งที่เราก่ายกอดกันว่า เราคงเกิดมาเพื่อกันและกัน เพราะไม่ว่าครั้งไหนที่เพลงรักบรรเลง

ไม่เคยเลยสักครั้งที่มันจะหยุดลงกลางคันหากเราไม่ต้องการ (ซึ่งเราไม่เคยต้องการให้มันหยุดลงกลางคัน

เว้นเสียแต่ว่า ใครสักคนจะถูกกลั่นแกล้ง 555)

      ลีลารักของผมคงไม่เลวนัก เพราะพี่นิวนอนหลับตาครางติดต่อกันจนเหนื่อยหอบ

ก็คงไม่ต่างกันกับเวลาที่ผมเป็นฝ่ายถูกรุกบ้าง  ฝ่ามือใหญ่ร้อนผ่าวของเขาลูบหนัก ๆ ไปทั่วแผ่นหลังของผม

ผิวเนื้อเนียนของพี่นิวในร่มผ้าเป็นสีนวลสว่างกว่าผิวส่วนที่คล้ำแดด โดยเฉพาะที่ท้องน้อย

ปลายลิ้นของผมรับรู้รสหวานของชายชาตรีเมื่อแตะไปโดนหยดน้ำที่ปริ่มออกมารอ

ในทันทีนั้นผมก็โดนกดให้ครอบปากลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว นั่นเป็นการแสดงออกด้วยภาษากายของพี่นิว

ว่าเขาต้องการอะไร แต่เขาไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้ผมได้ใช้ปากได้ตามใจชอบ

การยกสะโพกขึ้นในขณะที่ผมกดหน้าลง ทำให้พี่นิวเข้าไปจนสุดคอหอย

แต่เพราะเราทั้งเคยตั้งรับและรุกไล่กันมาจนพอรู้ทาง ทำให้ผมโก่งคอทัน

แทนที่ผมจะโดนกระทุ้งหลอดคอ พี่นิวกลับสำลักลมหายใจตัวเองเพราะความเสียว

จนต้องร้องออกมาดัง ๆ จากปฏิบัติการชิวหาพาเพลินของผม

      ผมเลื่อนตัวขึ้นไปประกบปาก เสียงงึมงำอย่างพอใจปนเสียงหอบหายใจดังจากลำคอของพี่นิว

พร้อมกับลิ้นที่ตวัดกวัดไกวเข้ามาในปากผมอย่างไม่ลดละ

      “อยู่เฉย  ๆนะครับ”

      พี่นิวพยักหน้าสนองตอบ ผมดอมดมไปทั่วใบหน้าแล้วไล่ลงมาตามร่างกายจนถึงที่หมาย

      จะมีใครเหมือนผมไหม....ที่ชอบซุกไซ้กลุ่มขนส่วนกลางลำตัว กลิ่นฮอร์โมนเพศชายระเหยปนมากับกลิ่นอับที่สะอาด

เพราะเจ้าของ (หมายถึงผม...อิอิ....) ดูแลอย่างดี

       ผมชอบสูดดมกลิ่นกายพี่นิวอยู่สองแห่ง  ที่ซอกคอด้านข้าง กับตรงนี้แหละ

ได้กลิ่นนี้ทีไรผมเป็นต้องขนลุกชันด้วยความซ่านกระสันอยากจะเบียดกายเข้าหาไปเสียทุกที

      ผมขยับขึ้นทาบบนตัวพี่นิวอีกครั้ง อารมณ์วาบหวิวที่ได้สูดดมกลิ่นฮอร์โมนตรงนั้น

ทำให้ผมอยากบดเบียดส่วนกลางลำตัวของเราเข้าด้วยกัน แผ่นอกของเราทาบกันจนชิด

เสียงแสกสากของไรขนที่ขยี้กันไปมา  กระตุ้นน้ำลายออกมาจนเต็มสองข้างแก้ม

ตอนนี้ผมอยากจูบปากเต็มอิ่มนี้แล้วบดขยี้แรง ๆ โดยไม่ต้องมีลิ้นเข้ามาเกะกะ

 ริมฝีปากของพี่นิวถูกดูดอยู่นานจนช้ำ ผมก้มดูสีแดงสดที่เกิดจากการกระทำของตัวเองอย่างพอใจ....

ดวงตาเยิ้มฉ่ำมองมาที่ผมอย่างเรียกร้อง เขาคงอยู่ในอารมณ์ที่จวนจะสุกงอม แต่ผมยังไม่ได้ครึ่งทางเลย....

ก็จุดประสงค์ของผมยังไม่ได้เริ่มต้นเลยนี่นา

      ผมจับพี่นิวพลิกคว่ำ แล้วขึ้นไปนอนทาบ ไล่จูบจากท้ายทอย หลังไหล่ จนมาถึงเนินสะโพก

ตรงซอกขาหนีบเป็นจุดที่เข้าถึงได้ยาก

     ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของคนที่เคยบุกทะลวงประตูหลังของคนอื่นแล้วก็กลัวจะถูกเอาคืน

อาจจะต้องใช้เวลามากหน่อยที่จะทำให้เขายอมเปิดประตูบ้านตัวเอง

      นี่เป็นครั้งแรกที่ผมใช้ลิ้นกับร่องก้นของเขา  ฟังเสียงฮือฮาแผ่ว ๆ คิดว่าเขาคงพอใจอยู่เหมือนกัน

ทั้งมือทั้งปากของผมทำงานประสานกันราวกับเคยทำมาเป็นร้อยครั้ง  ทั้งที่จริง ผมก็เพียงแค่อาศัยประสบการณ์

ของคนที่เคย “ถูกกระทำ” เท่านั้นเอง ดูไปแล้วผมจะได้เปรียบเขาตรงที่  ผมรู้จุดกระสันที่วัดได้จากความรู้สึกของตัวเอง

ในขณะที่พี่นิวรู้จากคำให้การของผม....มันต่างกันนะ

      เกมของผมผ่านไปพักหนึ่ง  ก็ได้เวลาสับขอลงบนคอช้างล่ะ  เจลหล่อลื่นอยู่ในมือผมเรียบร้อยแล้ว

ผมบีบมันใส่มือตัวเองลูบไล้ปลายนิ้วให้ทั่วพร้อมปฏิบัติการ

      ซอกคอเป็นจุดที่ผมนึกอยากฝังรอยเขี้ยวไว้ทุกครั้งที่เราร่วมรัก  แต่เราก็รู้กันว่ามันไม่เหมาะ
 
ผมจึงเพียงจูบและแตะด้วยปลายลิ้น

      “ผมขอนะครับ”

      ผมพูดพร้อมกับสอดปลายนิ้วไปที่ช่องทางฟิต ๆ นั่นอย่างช้า ๆ  พี่นิวสะดุ้ง  กระถดตัวหนี

แต่ไม่เป็นผลเท่าไร  เพราะน้ำหนักตัวผมที่กดทับอยู่ทำให้มันไม่ง่ายที่จะหนีห่างออกไป

      “ไม่เอา”

      เสียงพี่นิววิงวอนเหมือนเสียงแมวร้อง  จะโวยวายเสียงดังก็ไม่ดี  เดี๋ยวอารมณ์ที่ต่อเนื่องไว้จะขาดผึง

อุตส่าห์เริ่มไว้ดีมาจนถึงขนาดนี้ เหลืออีกไม่กี่ก้าวเราก็จะได้ถึงจุดหมายกันแล้ว

      “ให้ผมนะ....นะครับ....ไหนบอกให้ผมจัดการแล้วพี่นิวจะอยู่เฉย ๆ ไง”

      “แต่พี่....พี่ไม่เคยนี่”

      “ผมก็ไม่เคย....เพิ่งมาเคยก็กับพี่นิวนี่แหละ....นะครับ....”

      .....ใคร ๆ มันก็ต้องมีครั้งแรกกันทุกคนแหละน่า...กล้า ๆ หน่อยพี่นิว...ทีผมยังไม่เคยโอดครวญเลยนี่นา

เวลาที่พี่ต้องการน่ะ…..ผมได้แต่บอกพี่นิวในใจ

      “นะ”

      ผมคะยั้นคะยอเขาต่อไป  ทั้งมือและปากก็ใช้ความพยายามให้เขาเคลิ้มตามให้ได้

รวมทั้งพยายามวนนิ้วไปรอบ ๆ ปากทางให้เขาเคยชินกับการรุกล้ำก่อนจะเอาจริง

      “นึกยังไงอะ....อื้อ....”

      พี่นิวสะดุ้งอีกครั้งตอนที่ผมเสียบนิ้วลงไปช้า ๆ แล้วดึงออก

      “ก็ผมอยากลองดู....นะครับ....ผมไม่อยากไปลองกับคนอื่นนี่”

      “เฮ้ย...ได้ไง...ไม่ให้ไปลองกับใครทั้งนั้นแหละ....โอ๊ย.....”

      เป้าหมายหลงกลแล้ว ผมก็แทงนิ้วพรวดเข้าไป  หลังจากที่ล่อหลอกด้วยการสอดเข้าไปตื้น ๆ

แล้วดึงออกอยู่หลายครั้ง เสียงพี่นิวร้องด้วยความตกใจ  แต่คงไม่ได้เจ็บอะไรนักหรอก อาจจะมีบ้างแค่จุกนิด ๆ
 
แค่นิ้วกลางนิ้วเดียว ขนาดมันยังห่างจากของจริงตั้งเยอะ

      เขาคงรู้ว่าผมเอาจริง  ก็ยอมดี ๆ จะว่าไปพี่นิวเองก็ไม่ค่อยขัดใจผมเท่าไร อะไรที่เขายอมได้

เขาก็ไม่เคยอิดออด  อย่างเรื่องนี้ผมว่าเขาใจง่าย เอ๊ย...ตกลงใจง่าย ๆ ไม่รู้ว่าเพราะผมลีลาดี

หรือว่าเขาเองก็อยากลอง 555

      ช่องทางแคบ ๆ ที่ผมพยายามจะสอดใส่เข้าไป  มันไม่ใช่แค่แคบ ฟิต และเข้ายาก

แต่มันยังทำให้ผมรู้สึกเจ็บไปด้วย....ตรรกะของมันก็คือ ฝ่ายรับก็เจ็บกับการถูกบุกทะลวง

แม้ว่าจะมีตัวช่วยที่ชื่อ เจลก็ตาม  ส่วนฝ่ายรุกก็เจ็บ กว่าจะฝ่าด่านเข้าไปได้สักครึ่งทาง

ผมก็ถูกตอด ถูกบีบจนปวด แต่ในความปวด ๆ ตึง ๆ มันก็มีความรู้สึกมัน ๆ แทรกอยู่ด้วย

สมัยเด็ก ๆ ถ้าใครเคยปวดฟัน ผมว่าน่าจะคล้ายความรู้สึกของผมตอนนี้ ปวดฟันแต่ก็มันดี

      “นู...พี่เจ็บ”

      เสียงพี่นิวกระซิบแผ่ว ๆ จะด้วยเกรงใจผมหรือว่าเขาเจ็บจริง ๆ ก็ไม่รู้ได้

แต่เสียงนั้นกระตุ้นต่อมเสียวของผมอย่างแรง  ผมขยับนั่งคุกเข่า แล้วบีบเจลใส่มือกองใหญ่ให้เป็นตัวช่วย

      “นิดเดียวนะครับ ตอนแรกของผมก็อย่างงี้แหละ....อีกเดี๋ยวมันก็ดีไปเองแหละพี่นิว”

      ผมให้กำลังใจเขาเต็มที่ กลัวเขาจะถอดใจซะก่อนที่ผมจะจ้ำบึ้ด ๆเสร็จ

      ชโลมเจลไปที่น้องชายจนทั่วแล้วผมก็พยายามดันมันเข้าไปใหม่ให้ลึกกว่าเดิม

ผลของมันทำให้พี่นิวถอยตัวร่นขึ้นไปที่หัวเตียง จนผมต้องยึดขาเขาไว้อีก

แต่เจ้ากรรม มือผมมันเหนอะไปด้วยเจล ขาพี่นิวก็เลยลื่นหลุดมือไปได้

แต่ผมก็ยังไม่หลุดออกจากตัวเขาอยู่ดี

      “อย่าแกล้งผมดิ ไม่อยากให้ผมไปลองกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ”

      คำขู่คำเดิมได้ผลดีเยี่ยม คราวนี้พี่นิวนิ่งสนิท ปล่อยให้ผมเอาแต่ใจ(?) ไปเรื่อย ๆ

      “เจ็บ....”

      พี่นิวหลับตาปี๋ เสียงบ่นเบา ๆ แทรกออกมาจากไรฟัน แต่ผมก็ยังไม่หยุด เพราะมันหยุดไม่ได้

เห็นสวรรค์ลอยลงมารำไร ใครจะปล่อยไปง่าย ๆ

      “อีกนิดเดียวครับ.....อ้า......สุดยอดเลยพี่นิว”

      ผมหลับหูหลับตาซอย เมื่อรู้สึกว่าเข้าอยู่ไปในตัวพี่นิวจนสุดลำ

ตอนนี้ทุกอย่างลื่นไหลไปตลอดช่องทางที่บีบรัดรอบ ๆ แต่เหมือนว่าผมจะยังเข้าไปได้อีกสักหน่อย

ถ้าพี่นิวขยับก้นให้สูงกว่านี้

      “พี่นิวโก่งตัวหน่อยสิครับ ผมอยากเข้าไปข้างในให้ลึกกว่านี้”

      “นู....พี่จะไม่ไหวแล้ว”

      “ผมช่วย”

      ผมสอดมือจะเข้าไปจับพี่นิวน้อยรูด แต่พี่นิวปัดมือผมให้เบี่ยงออก

      “ไม่ต้อง”

      ก็ดีครับ ผมอยากจับสะโพกพี่นิวกระแทกเข้ามาหาตัว ตอนที่ผมกระแทกตัวเองเข้าไป

จังหวะนี้ทำให้ผมเข้าไปได้ลึกสุด ๆ พี่นิวอยู่เฉย ๆ อย่างที่ผมขอไว้ แล้วก็ปล่อยให้ผมคุมเกมเอง

บอกจริง ๆ ว่าการที่ผมจับพี่นิวให้ทำอย่างที่ต้องการได้ ยิ่งทำให้ผมลำพองใจ

เสียงพี่นิวสูดปากคงจะเสียวเต็มทีแล้ว  ผมเร่งเครื่องเพราะตอนนี้ดาวเต็มฟ้าระยิบระยับไปหมดแล้ว

คลื่นความเสียวแล่นไปตามลำขา พุ่งเข้าท้องน้อย แล้วไหลวนอยู่ตรงนั้น

จนท้ายที่สุดทะลุออกจากตัวผมเข้าสู่ร่างกายพี่นิว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมเกร็งกระตุกให้หยาดน้ำรักออกจากตัว

หลังจากหยดสุดท้ายถูกส่งออกไป เรี่ยวแรงที่คึกคักราวกับกระทิงเปลี่ยวของผมก็หายไปหมด

ผมทรุดตัวลงคร่อมพี่นิวโดยไม่ทันได้สนใจว่าเขาถึงปลายทางแล้วหรือยัง

      เป็นเกมกามที่ผมเพิ่งจะได้สัมผัสเป็นครั้งแรก สุขสุด ๆ ตอนที่ตัวเบาราวกับจะลอยได้

แล้วทุกอย่างก็แตกกระจาย พร้อมกับน้ำรักพุ่งผ่านลำกล้อง เสียดายที่ผมไม่ได้เห็นตอนที่มันสาดไปบนลำตัวพี่นิว

แต่ก็รู้สึกไม่เลวที่ได้อยู่ในตัวเขาจนนาทีสุดท้าย

      ผมหยุดหอบแล้วก็หันมาสนใจพี่นิวที่ยังนอนนิ่งอยู่ใต้ร่างของผม

      “สุดยอดเลยพี่นิว”

      “...........”

      “ทำไมมันดีอย่างงี้อะ”

      “...............”

      “พี่นิวมีความสุขไหมครับ”

      พี่นิวพยักหน้าทั้งที่ตายังหลับสนิท

      “พี่นิวอยากทำผมมั่งไหม...ผลัดกัน”

      พี่นิวส่ายหน้า ไม่น่าเชื่อว่าคืนนี้ผมจะรอดตัว

      “ไปอาบน้ำกันนะครับ เลอะหมดเลยอะ”

      ผมค่อย ๆ ถอนกายออกจากพี่นิว รู้สึกถึงความเหนอะ และหนืดตอนที่มันเคลื่อนตัวออกมา
 
ผมคว้ากระดาษชำระที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง เพื่อจะเช็ดสิ่งที่ยังตกค้างให้หมดไปบางส่วนก่อน

แต่พอผมก้มดูน้องชายตัวเอง ก็ต้องเบิกตากว้าง

      ผมลืมประสบการณ์ครั้งแรกของตัวเองตอนนี้ไปได้ยังไง

      สิ่งที่ตกค้างหลังพายุพิศวาสผ่านไป มันทำให้ผมตกใจแทบสิ้นสติ

เลือดสีแดงฉานเปียกอยู่บนผ้าปูนอนแผ่เป็นวงกว้าง กลิ่นคาวเลือดและคาวน้ำกามของผม

ปนเปกันเป็นกลิ่นแปลกไม่คุ้นจมูก ที่ก้นของพี่นิวเปรอะคราบเลือดเป็นปื้นเหนียว

รวมไปกับน้ำของผม ดูน่าสะอิดสะเอียน

      ผมถลาเข้าไปประคองพี่นิวที่ยังนอนซมอยู่ท่าเดิม

      “ผมขอโทษ”

      ผมระดมจูบลงไปที่ใบหน้าด้านข้างที่ซบอยู่บนหมอน ใบหู ขมับและไรผม

ไม่ได้สนใจว่ามันจะถูกส่วนไหนบ้าง เจตนาก็เพื่อแสดงความขอโทษที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้

      ครั้งแรกของผมมันก็นานมาแล้ว แต่ทั้งที่พี่นิวในวัยนั้นก็แค่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อวัยวะสืบพันธุ์ยังไม่ขยายเต็มที่

ยังทำให้ผมเสียเลือดไปไม่ใช่น้อย และด้วยร่างกายที่เล็กกว่าก็ยังทำเอาผมเจ็บแทบตาย

แต่ผมจำได้ว่าพี่นิวอ่อนโยนกับผมเพียงไหน บทรักของพี่นิวอาจจะดูงุ่มง่ามตามประสาคนที่ยังไม่เคย

แต่ก็เต็มไปด้วยความเอาใจใส่และไม่เคยจะจ้วงจาบเอาแต่ได้

      แล้วดูผมทำกับเขาสิ....ร่างกายผมก็ใช่ว่าจะเล็กนัก พละกำลังก็ใช่ย่อย

ยิ่งเวลาที่พายุอารมณ์โหมกระหน่ำก็อย่าหวังเลยว่าจะยั้งมันให้หยุดได้

      “พี่นิวครับ เป็นไงมั่ง”

      “เจ็บสุด ๆไปเลย”

      พี่นิวค่อย ๆ พลิกตัวพยายามที่จะนอนหงาย แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงอาการเจ็บ ผมก็เหมือนจะรู้สึกเจ็บแทน

เพราะจำรสชาติครั้งแรกได้ดี  แม้ว่าเราจะเคย ๆ กันมาหลายต่อหลายครั้ง ก็ใช่ว่าแต่ละครั้งผมจะไม่รู้สึกอะไร

เพียงแต่ความเคยชินต่อความเจ็บที่รู้ว่าที่สุดแล้วความเสียวกระสันจะทำให้เราพุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดไปพร้อมกัน

ทำให้เรายังคงโหยหาความสุขจากการเสพสมร่วมรักกันอยู่เสมอ

      ผมมองร่างกายใหญ่โตของคนที่  ”รักผม”  นอนเหยียดแขนเหยียดขาอย่างคนสิ้นเรี่ยวแรงแล้วน้ำตาแทบจะหยด

ความสุขจากตัณหาของผม ทำเขาเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ

      “พี่นิว...ผมขอโทษ”

      “ขอโทษพี่ทำไม พี่ดีใจที่ทำให้นูมีความสุข”

      ผมโผลงไปซบอกพี่นิวแล้วปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น เพราะความอยากลอง นิสัยเอาแต่ใจของผมแท้ ๆ

ถึงได้ทำให้คนที่ “ผมรัก” ต้องเจ็บแบบนี้

      “ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอโทษ”

      “ทำไมอะ ไม่ชอบหรอกเหรอ”

      “ไม่เอาแล้ว.....ผมไม่ชอบแล้ว พี่นิวเลือดออกขนาดนี้.....จะให้ผมทำอีกได้ยังไง”

      ผมนอนสะอื้นกับอกพี่นิวไปพูดไปอย่างกระท่อนกระแท่น

      “จริง ๆ นะ”

      ผมพยักหน้าให้สัญญา

      “ไม่คิดจะไปลองกับใครอีกด้วยนะ”

      “ครับ ผมสัญญา ผมไม่ลองแล้ว”

      “งั้นไปอาบน้ำกัน.....ซู้ดดดดด......”

      พี่นิวขยับตัวเพื่อจะลุกลงจากเตียง แต่เจ็บเสียจนแขนขาเกร็งไปหมด

      ผมทำได้เพียงประคองไหล่พี่นิวไปห้องน้ำ อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้ เพราะพี่นิวคงทำเองไม่ถนัด

      ตอนที่ผมเอานิ้วล้วงเข้าไปข้างในตัวเขา เพื่อจะให้สิ่งสกปรกของผมไหลออกมา มันกลับมีลิ่มเลือดปนออกมาด้วย

ยิ่งทำให้ผมใจเสียเข้าไปใหญ่

      “ไม่เป็นไรหรอก เลือดหยุดแล้วไม่เห็นเหรอ ที่เห็นน่ะมันแค่ตกค้างอยู่ข้างใน”

      “ยังเจ็บอยู่ไหมครับ”

      “อย่าควานเข้าไปก็แล้วกันมันยังแสบอยู่นิด ๆ ถ้าไม่ไปโดนก็ไม่เท่าไร”

      ผมก็เลยต้องบอกให้พี่นิวเบ่งลมเพื่อให้ช่องทางขยายตัว ตอนผมสอดนิ้วเข้าไปจะได้ไม่เจ็บ

      “ซี้ดดดด....อย่าควงสิ มันเสียวนะ”

      “อ้าว...ไหนบอกแสบ”

      “ก็แสบ แต่มันก็เสียว ๆอะ นูรู้สึกแบบนี้ด้วยหรือเปล่า  ตอนที่พี่ทำ”

      ผมพยักหน้าโดยไม่กล้ามองหน้าพี่นิว รู้สึกเลยว่าตัวเองหน้าร้อน ก็บอกแล้วว่าผมยังอายอยู่

ทุกครั้งที่พี่นิวถามเรื่องอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าเรายังไม่ได้อยู่ในบทรัก หรือว่าอยู่บนเตียงนอน



      ประสบการณ์เสียวเพียงครั้งเดียวของผมกับการได้ทำลายประตูพี่นิว มีทั้งความประทับใจ

และทำให้ผมรู้สึกผิดไปพร้อม ๆ กัน

      ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากครั้งนั้น แม้ว่าพี่นิวจะเป็นฝ่ายชวนให้ผมเล่นประตูหลังของเขา

ไม่ว่าจะเกิดจากอารมณ์ที่อยากลองใจ หรือว่าอยากเอาใจ ผมกลับไม่รู้สึก “อยาก” อีกเลย

ภาพเลือดสีแดงฉานที่แผ่อยู่บนผ้าปูนอนยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ

      มิหนำซ้ำเดี๋ยวนี้เวลาที่ผมมีอารมณ์ขึ้นมา แทนที่ผมจะรู้สึกเสียวในจุดที่ผู้ชายควรเสียว

แต่ความรู้สึกวูบวาบกลับไปเกิดที่ตำแหน่งอื่นซะงั้น....(คุณก็รู้ว่าตรงไหน 555)

ผมคงเกิดมาเพื่อจะเป็นฝ่ายรับเสียล่ะมั้ง แต่ทำไมไม่รู้ ความรู้สึกนี้ของผมไม่เคยเกิดขึ้นเพราะใคร

นอกจากพี่นิวเพียงคนเดียวเท่านั้น

      ผมเคยนึกถึงตัวเองเวลาที่ถูกคนอื่นสัมผัส เหมือนในนิยายบางเรื่องที่ตัวละครมีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน

สำหรับผม....แค่คิดผมก็แทบจะทนตัวเองไม่ได้ การคิดถึงสัมผัสของคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ผมรัก

นอกจากอารมณ์ “ใคร่อยาก” จะไม่เกิดแล้ว ผมคิดว่าสัมผัสจากใครก็คงไม่ทำให้ผมรู้สึกเต็มอิ่มได้เท่าคน ๆ นี้แน่ ๆ

เพราะความรักทำให้เราเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เพื่อคนที่เรารัก เหมือนกับที่พี่นิวยอมเป็นรับให้ผม

ทั้งที่เขาเองคงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะถูกผมร้องขออย่างอุกอาจเช่นนั้น (แต่ผมว่าเขาคงเข็ดมากกว่า)
       

   
   
      ในที่สุดนิยายของผมก็ได้ไปปรากฏในนั้น หลังจากข้อตกลงระหว่างผมกับพี่นิวถูกร่างขึ้นอย่างจริงจัง

      ผมโพสท์ตอนแรกแล้วลองอ่านทบทวน เป็นการพิสูจน์อักษรไปในตัว อ่านแล้วก็มีขัด ๆ บ้าง
 
ไม่ราบรื่นเหมือนนิยายของนักเขียนคนอื่นที่ผมเคยอ่านมาก่อน แต่ทำไมไม่รู้ ผมอ่านไปยิ้มไปอย่างมีความสุข

      ...ความรู้สึกขณะนั้นก็คือ...

      ผมดีใจที่ได้ประกาศความรักให้ใคร ๆ ได้รับรู้ “ความรัก” ที่ผมไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้ได้
 
แม้แต่บุพการีของตัวเอง

      ผมคิดไม่ออกว่า...หากเพียงคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ยินดีต้อนรับผมเป็นสมาชิกในครอบครัว...

ผมจะได้พบความสุขถึงเพียงนี้หรือเปล่า....ผมจะได้อยู่กับคนที่ผมรักหรือเปล่า...ชีวิตของผมจะเป็นเช่นไร

      ขอบคุณทุก ๆ คนที่รักผม

      ขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้าใจตัวตนของผม

      ขอบคุณ คุณพ่อกับคุณแม่ ที่ให้โอกาสผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก

      และสุดท้าย...

      ขอบคุณน้าจิ๊บ ผู้ที่ลากผมออกมาจากโลกแห่งความมืดสู่แสงสว่าง

แม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ  ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่จะมองเห็น

แต่นั่นก็มีค่ามากมายสำหรับผม


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 16-02-2013 19:04:16
เป็นกำลังใจให้ทั้งนิวและนูน๊า :L1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 16-02-2013 19:18:41
( Gang หวัดดีครับเก่ง สบายดีเหรอครับ ผมก็คิดถึงเก่งเสมอนะ ชื่อเนี้ยะ ไม่เคยลืมเลย ). ยังติดตามเสมอครับดูแลสูขภาพด้วยนะครับ.
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 16-02-2013 19:22:35
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 16-02-2013 19:45:38
อือมมม..........นูรักพี่นิวมากจริงๆ :m1:

ไม่อยากทำให้เขาเจ็บ o7 แต่ตัวเจ็บไม่เป็นไร

น่ารักจังเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: hongyia ที่ 16-02-2013 20:02:06
ดีแล้วล่ะนู เป็นฝ่ายรับน่ะดีแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 16-02-2013 21:55:22
พี่นิวยอมเจ็บเพื่อให้พี่นูมีความสุข
น่ารักมากๆเลย
ส่วนพี่นูก็ไม่อยากเห็นพี่นิวเจ็บเลยรับต่อไป 55555
น่ารักทั้งคู่เลยค่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 16-02-2013 22:08:19
ขอบคุณพี่นูและพี่นิวเหมือนกันค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-02-2013 23:10:30
 :o8:
New's Aroma!


กลิ่นของความรักพี่นิว
 :m25:


http://www.youtube.com/v/tH37c1324Ws

ขอดมมั่งฮี่
อิอิ


 :L2: ขอบคุณครับ..นู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 17-02-2013 08:41:19
คุณนูไม่เจอกันนานคิดถึงมากๆเลยค่า
 :impress2:
สุขสันต์วาเลนไทน์ย้อนหลังด้วยนะคะ
ตอนนี้เคยอ่านไปทีนึงแล้วก็กลับมาอ่านอีก
เพราะมัน...เหลือเกิน อุฮิๆ
 :z1: :z1:
อ่านแล้วสงสารพี่นิวเหมือนกัน
ทั้งๆที่ปกติออกจะหมั่นไส้
เพราะทำให้คุณนูร้องไห้บ่อยๆ
แต่คราวนี้พี่นิวเลยเจอของแข็งไปเลย
 :laugh:
คงจะเข้าอกเข้าใจคุณนูได้มากขึ้นละเนอะ
ไม่มีอะไรมาฝากนอกจากคำว่าคิดถึง
แวะมาอีกไวๆนะคะ
 :man1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: railay ที่ 17-02-2013 09:00:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: vvhite ที่ 17-02-2013 13:27:53
 :L2: :L2:
เป็นกำลังใจให้พี่นูครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 17-02-2013 21:19:07
ขอบคุณพี่นิวที่ให้น้องนูมาเล่าเรื่องต่างๆให้ได้รับรู้ น้องนูเขียนหนังสือได้ดีแทบจะไม่มีคำผิดเลย สำนวนดีมาก ขอชมเชย
มาเล่าบ่อยๆนะจ๊ะ อิอิ อยากรู้เรื่องของชาวบ้านจ้า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: aa_mm ที่ 18-02-2013 01:01:27
ซึ้งกับพี่นิวมากเลยอ่ะ ที่ยอมนูง่าย ๆ มาก
เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่เห็นใจพี่นู 555
ขอบคุณนูนะจ๊ะ ที่มาเล่าให้ฟัง น่ารักมาก ๆ
นูยิ้มเราก็ยิ้ม นูเศร้า เราก็เศร้าด้วย สู้ ๆ จร้า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 22-02-2013 07:10:23
 :pigwrite: :pigwrite:
  รอ รอ รอ 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 11.05.56
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2013 14:25:33

      
กลับมาแล้วครับ หายหัวไปเป็นชาติเลย

จะลืมกันรึยังน้อ??   :mew2:


ไม่มีคำแก้ตัวนะครับ มันก็ปน ๆ กันไประหว่าง....เวลาไม่ค่อยมี กับ เบื่อ ๆเหนื่อย ๆกับชีวิต

ช่วงนี้คงได้แวะมาเรื่อย ๆ ตั้งใจไว้ว่าจะโพสท์ 8th page ใ้ห้จบแล้วจะหายไปอีกครั้งเพื่อจะลงตอนสุดท้าย

ผมว่ามันน่าจะปิดฉากได้แล้ว เพราะหลังจากตอนนี้แล้วก็มาถึงชีวิตปัจจุบันพอดี

คนอ่านก็คงเบื่อด้วยแหละ ก็คิดดูสิครับ ผมเริ่มเล่าช่วงต้นปี 52 นี่มันก็ปี 56 แล้ว 555+

มันนานเกินไปรึป่าว

 :mc4:











Series : The 8th Page




        ยิ่งนับวันผมก็ยิ่งให้ความสำคัญกับนิยายที่เล่าบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

ในขณะที่พี่นิวก็มีภาระหน้าที่อันเกิดจากงานมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน

นั่นคงเป็นเพราะทุกคนในตระกูลต่างก็มุ่งหวังให้เขาเป็นผู้สืบทอดกิจการแทนคุณพ่อ

โดยเฉพาะคุณย่า ซึ่งเป็นผู้เดียวที่ถือสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจในทุกเรื่อง

หรือแม้ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ

คุณย่าก็มักจะเป็นผู้ที่ทุกคนต้องนึกถึงหากถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการ

....ก็บอกแล้วว่ามันเป็น “กงสี” ในเมื่อคุณปู่ที่สิ้นไปแล้ว ได้มอบกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดไว้ในมือคุณย่า

(ทั้งที่ยังมีคุณปู่เล็กที่เป็นน้องชายอยู่ทั้งคน) แล้วใครจะกล้าอยู่เหนือระบอบการปกครองของตระกูลนี้ไปได้



        ในขณะที่กิจการของกงสีดำเนินไปด้วยดี และเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ

เนื่องจากได้ลูกหลานกันเองเป็นกำลังสำคัญในการบริหารและดูแลกิจการ

พี่นิวซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมที่จะขึ้นไปเป็นประธานฯ บริษัทแทนคุณพ่อ

ก็ยังหาเรื่องเหนื่อยมากขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย

โดยได้รับความร่วมมือจากคุณแม่เป็นอย่างดี และผมค่อนข้างมั่นใจว่ามีคุณพ่อสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

เพราะเงินทุนก้อนแรกครึ่งหนึ่งถูกโอนมาจากบัญชีส่วนตัวของคุณพ่อ

ครึ่งที่เหลือเป็นของคุณแม่ และของพี่นิวรวมกัน

         ส่วนผมได้รับเกียรติให้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีแทนเจ้าของกิจการโดยไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด

แถมหน้าที่ที่เคยดูแลบัญชีส่วนตัวของพี่นิวก็ยังไม่มีใครมารับช่วงไปเสียที

      “เหนื่อยไหม”

      พี่นิวถามผมในวันหนึ่ง ที่เรานั่งอยู่ในออฟฟิศคืนก่อนวันสิ้นเดือน เพื่อตรวจสอบบัญชี

      “นิดหน่อยครับ พี่อะ”

      “เหนื่อย แต่มันเป็นของของเรา ถึงเหนื่อยแต่ก็ภูมิใจ ยิ่งมีนูมาช่วยแบบนี้ แป๊บเดียวก็หาย”

      โหย....มีหยอด

      “เลี่ยนเนอะ”

      “ได้ งั้นคราวหลังพี่ไม่พูดแล้ว”

         ผมยิ้มล้อ ๆ ไม่สนใจว่าพี่นิวจะทำอย่างที่ขู่.....เดี๋ยวเขาก็ลืมว่าเคยพูดอะไรไว้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมแซว

         พี่นิวก้มหน้าก้มตาตรวจดูผังงานที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่ต่างจังหวัด พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า

เพราะแต่ละวันเขามีเวลาที่จะอยู่ที่ไซต์งานวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมงก่อนเดินทางกลับ ในเวลาบ่ายจัด

(อันมีสาเหตุมาจากความไม่สงบในพื้นที่....เพื่อความบันเทิง ผมขอไม่กล่าวถึงนะครับ)

ซึ่งถ้าครั้งใดที่พี่นิวจำเป็นต้องค้าง เขาจะออกเดินทางในช่วงบ่าย

เพื่อว่าเราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดในวันนั้น

        นั่งอยู่ในความเงียบ กับงานคนละชิ้นที่อยู่ตรงหน้าได้พักหนึ่ง พี่นิวก็พูดขึ้นมา

      “ลาออกจากงานมาช่วยพี่เถอะ”

      ผมส่ายหน้า

      “ทำไมอะ”

      “เหตุผลเดิมครับ ไม่น่าถาม”

      เขาถอนใจ แล้วปิดแฟ้มดังปัง ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองว่าเขาหัวเสียด้วยเรื่องเดิม ๆ ใช่หรือไม่

แต่เท่าที่เห็นสีหน้าเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ คำขอที่ตามมาทำเอาผมแปลกใจและดีใจไปพร้อม ๆกัน

      “งั้นเอาเงินนูมาค้ำประกันวงเงินกู้ให้พี่”

      ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ที่อยู่ ๆ เขาก็ขอในสิ่งที่ตัวเองเคยปฏิเสธตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการ

      “ครับ พี่นิวจะเอาทั้งหมดเลยหรือเปล่า”

      “หมด”

      “จะทำที่แบงก์ผมเหรอครับ”

       “ไม่อยากให้มันกระจัดกระจาย ทำที่เดิมนี่แหละ ได้วันไหนอะ พี่จะได้ไปทำสัญญา”

      พี่นิวหมายถึงวงเงินสินเชื่อที่บริษัทเราทำไว้อยู่ก่อนแล้วที่แบงก์อื่นไม่ใช่ที่ทำงานของผม

      “พรุ่งนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมถอนเงินมาให้”

      “เอามาเป็นแคชเชียร์เช็คนะ อย่าถือเงินสดขึ้นมอเตอร์ไซค์มาเลย”

      “โหย....จะยืมเงินผม แล้วไม่ยอมไปรับที่ทำงานอะนะคนเรา”

      “ถึงไปรับก็เอามาเป็นเช็คเถอะ จะถือเงินสดมาทำไมอันตรายออก”

      “จะให้ผมสั่งจ่ายชื่อใครครับ ชื่อพี่นิวหรือว่าบริษัท”

      ที่จริงผมก็ตั้งใจจะถือเป็นเช็คธนาคารอยู่แล้ว แต่แกล้งโยกโย้เสียอย่างนั้นเอง

      “ชื่อนู”

      “เรื่องอะไรเอาผมไปเกี่ยว”

      “ก็อยากจะให้เกี่ยวไง ถึงขอเงินนูเนี่ย”

      ผมทำหน้าไม่ชอบใจออกมาอย่างอย่างไม่เกรงใจ

      “ไม่รู้ล่ะ ไม่อยากเกี่ยวพี่ก็ไม่เอา”

      สุดท้ายผมก็ต้องยอมเขาจนได้ ทั้งที่ไม่เข้าใจว่า พี่นิวจะทำให้มันยุ่งยากขึ้นไปทำไม

แค่เอาเงินสดไปเข้าบัญชีเป็นหลักประกันวงเงินกู้ ซึ่งบัญชีนั่นก็เป็นชื่อของเขาอยู่แล้ว

ในฐานะหุ้นส่วนใหญ่ เขาจะทำอะไรก็ได้ จะเอาชื่อผมไปเกี่ยวข้องให้มันวุ่นวายไปทำไม....

แต่ก็นั่นแหละ ถ้าผมโยกโย้โยเยมาก ๆ เข้า พี่นิวก็อาจจะพาลไม่เอาเงินผมกันพอดี



      
     ย้อนไปเมื่อครั้งที่พี่นิวรวบรวมเงินทุนตั้งบริษัท  ผมยกเงินเก็บทั้งก้อน

(ที่พ่อให้เป็นรางวัลตอนเรียนจบใหม่ ๆ) ให้เขาเพื่อร่วมทุน แต่พี่นิวกลับปฏิเสธ

บอกว่าเงินที่พ่อให้มาให้เป็นเก็บไว้เป็นเงินก้นถุง เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาจะรับผิดชอบผมเอง

ฟังแล้วก็ออกจะตื้นตันอยู่ไม่น้อย แต่เขามีข้อแม้ว่า ถ้าผมจะลงเงินก็ต้องลงชื่อเป็นหุ้นส่วน

ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่เขาทำเช่นนี้ก็คือ

      “จะได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ แล้วอีกสักพักพี่จะให้นูลาออกมาช่วยงานของเรา”

      “ไม่มีทางอะ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบงานที่ทำอยู่ แต่ผมก็อยากเป็นตัวของตัวเอง

อยากมีรายได้จากน้ำพักน้ำแรง และความสามารถของตัวเองมากกว่า”

      “ก็มาแสดงความสามารถกับกิจการของเรานี่แหละ...ไม่ดีกว่าหรือไง ทำเท่าไร ได้เท่านั้น

ดีกว่าเป็นมนุษย์เงินเดือน เหนื่อยแทบตาย ได้แค่เงินเดือนกับโบนัสจึ๋งนึง”

      (แต่ทว่า....จึ๋งนึง....ที่พี่นิวค่อนขอด กลับทำให้ผมมีเงินมาลงขันในกิจการอย่างเป็นกอบเป็นกำ

จากโบนัสประจำปี ที่แทบจะไม่เคยได้ใช้ นับมาถึงทุกวันนี้ก็เจ็ดหลักต่ำ จากทุนเริ่มแรกของตัวเองไม่ถึงเจ็ดหลักดี)

      วันนั้นผมบอกพี่นิวไปว่า ผมไม่อยากเป็นเจ้าของกิจการ ผมไม่ลงชื่อตำแหน่งใด ๆ ในกิจการ

พี่นิวก็เลยสรุปด้วยการไม่เอาเงินผมแม้แต่สตางค์แดงเดียว (แต่ให้ผมทำงานฟรี โดยไม่มีค่าตอบแทน....ใจร้ายยยยย)


      
     มาคราวนี้พี่นิวขอร้องแกมบังคับให้ผมเอาเงินสดไปค้ำประกันการกู้เงินโอดี

(Over Draft = เงินกู้เบิกเกินบัญชี) หวังว่าผมจะยอมลงชื่อเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง

แต่ผมก็ยังยืนยันที่จะไม่ทำตามใจเขา มันก็เลยมาจบลงตรงที่ พี่นิวทำสัญญาเงินกู้เป็นลายลักษณ์อักษร

โดยมีผมเป็นเจ้าหนี้ ครั้งนี้ผมไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้อีก เนื่องจากรู้ว่า

กิจการของพี่นิวกำลังเพิ่มทุน ถ้าผมไม่ควักกระเป๋าตัวเอง พี่นิวก็ต้องหาเงินกู้จากที่อื่นอยู่ดี (เขาขู่ผมอย่างนั้น)

      ความจริงผมไม่ค่อยเข้าใจแนวความคิดของพี่นิวนัก

      ผมตัดสินใจทำทุกสิ่งทุกอย่างบนความไว้วางใจในตัวเขา....ไม่ว่าอย่างไร พี่นิวไม่มีวันทรยศหักหลังผม

....ผมเชื่อเช่นนั้น
      



      ทั้ง ๆที่ดูเหมือนผมจะไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก แต่ทุกครั้งที่มีเวลา ผมก็มักจะมานั่งหน้าเครื่องตกแต่งบ้าน

ที่ตอนนี้มันจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมศักดิ์ศรีของคำว่า “คอมพิวเตอร์” เสียที

      จากที่แค่เพียงเขียนนิยายผมก็อาจหาญต่อรองกับพี่นิวในสิ่งที่คาดว่า เขาอาจจะไม่เห็นด้วย

      การจะขอในสิ่งที่รู้ล่วงหน้าว่าเขาไม่น่าจะให้ ทำให้ผมต้องใช้กำลังภายในมากเป็นพิเศษ

      เริ่มด้วยเมนูอาหารเย็น ที่พี่นิวชอบ แกงกะหรี่ไก่ (ซื้อ) ผัดบล็อกโคลี่กุ้งตัวโต (ทำเอง) และ

ทอดมันปลากราย (จานนี้ของชอบผม)

      “พี่นิวครับ”

      “หือ?”

      ขานไปงั้นแหละ แต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันบ้างหรอก

      “ผมอยากแลกเบอร์โทรกับเพื่อน”

      คิ้วตรงปลายเฉียงขึ้นเล็กน้อยจากการที่หัวคิ้วถูกขมวดเข้าด้วยกัน

      “จะคุยกับใคร”

      “ก็....เพื่อน ๆ”

      เพื่อน ๆ ที่ผมไม่เอ่ยชื่อ เป็นอันรู้กันว่าเป็นเพื่อนในโลกไซเบอร์ของผม พี่นิวเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ

แต่รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำดื่มก่อนจะพูดขึ้น

      “กินข้าวให้เสร็จก่อน”

      ว่าแล้วเขาก็ผละจากโต๊ะอาหารไปเดินเล่นหน้าบ้าน

....อย่าคิดว่าเขาไม่พอใจจนรู้สึกอิ่มกะทันหันกับคำขอของผมนะครับ

ข้าวในจานเขาน่ะ เกลี้ยงไม่เหลือสักเม็ด ส่วนของผมมัวแต่พูด ก็เลยยังเหลืออยู่เต็มจาน

เขาอิ่มก่อนเลยรวบช้อนส้อม สงสัยกลัวว่า อิ่มทีหลังจะโดนล้างถ้วยล้างจานมั้ง


      ในที่สุดพี่นิวก็แพ้ลูกอ้อนของผม

      ไม่ใช่อย่างที่ผมขอหรอกครับ…..เราพบกันครึ่งทาง

พี่นิวยอมให้ดาวน์โหลดโปรแกรม MSN แต่ก่อนหน้าที่จะให้ทำ เขาก็ถามอะไรต่ออะไรหลายอย่าง

เป็นต้นว่า ทำไมต้องโทรหากัน จะโทรหาใคร และที่เขาหวั่นใจที่สุดก็คือ การนัดพบ

      “ไหนบอกว่าแค่เขียนนิยาย”

      “ก็แฟนนิยายผมมีเยอะ เขาส่งเมล์มาคุย แล้วก็ขอเบอร์โทร”

      “คุยกันในบอร์ดไม่พอหรือไง มันมีโปรแกรมแชทนะ พี่เห็น”

      “ก็.....”

      อยากบอกเหลือเกินว่า การคุยในนั้นมันจำกัดจริง ๆ บางคนพิมพ์ไม่คล่อง พิมพ์ช้า ก็เลยไม่ค่อยอยากคุย

ส่วนบางคนที่เขาอยากคุยจริง ๆ เขาก็ยอมแชท แต่ออกตัวกับผมก่อนว่า เขาพิมพ์ช้า

ส่วนผมไม่มีปัญหา ทักษะการพิมพ์ของผมคล่องพอใช้ทีเดียวล่ะ

อาจจะเนื่องมาจากการที่ผมเคยฝึกกับเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าที่ออฟฟิศคุณแม่ สมัยที่ผมไปช่วยงาน

และได้ใช้ทักษะอย่างจริงจังตอนที่ทำงานธนาคารนี่เอง

      “บางคนเขาพิมพ์ไม่คล่อง พอคุยกันนาน ๆ เข้าเขาก็เมื่อยนิ้วอะ แล้วบางทีบอร์ดมันก็ล่ม”

      ผมรู้ว่าเหตุผลมันเบาบางมาก ถึงจะเป็นความจริง แต่พี่นิวคงไม่รับฟัง

      “แต่พี่เคยขอนูแล้ว”

      “ก็....ครับ”...........งั้นก็ได้

      สัญญาต้องเป็นสัญญา ผมก็เลยไม่เซ้าซี้พี่นิวอีก หน้าตาผมคงจ๋อยได้ใจ

พี่นิวก็เลยตัดสินใจทำอะไรบางอย่างให้ นั่นก็คือดาวน์โหลดโปรแกรม MSN

      ให้ตายเถอะ......ผมไม่เคยรู้จักมันเลย

   แม้จะเคยได้ยินเพื่อน ๆ คุยกันถึงสิ่งนี้  และแม้ว่าจะมีเพื่อนในบอร์ดแอดเมล์มา

ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับมัน ผมไม่รู้จักหน้าตาของมัน ไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่อการใดบ้าง....ตกเทรนด์สุด ๆ

      หลังจากดาวน์โหลดเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการรับแอดเมล์ที่เคยส่งมาให้ก่อนหน้านี้ทันที....เยอะมากครับ

สำหรับผมในเวลานั้น เมล์เกือบ 20 ที่ส่งมาให้ตอบรับ มันเต็มหน้าและดูลานตาไปหมด

      แม้แต่พี่นิวก็ยังแปลกใจ

      “เยอะขนาดนี้เชียว ฮ็อตเหมือนกันนะเรา”

      ผมไม่สนใจเสียงบ่นว่ากระแนะกระแหนของพี่นิวที่มีต่อคำบอกเล่าของผมว่า มีแฟนนิยายเยอะ

เพราะถือว่าตัวเองได้อย่างที่ต้องการแล้ว พี่นิวกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะหน้าโทรทัศน์เหมือนเดิม

พร้อมกับโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ที่เพิ่งลงโปรแกรม MSN พร้อม ๆกับของผม

      “พี่นิวครับ แอดกันแมะ”

      คิ้วตรงขมวดเข้าหากัน ก่อนจะตอบเสียงสะบัด

      “อย่ามายุ่ง ของพี่ไว้ทำงาน”

      “ของผมก็งาน”

      พี่นิวยังจ้องเขม็งมาที่ผม เพื่อจะรอฟัง

      “ก็งานอดิเรกไง พี่นิวอะ ผมสัญญานะ ว่าแค่คุยจริง ๆ”

      ผมให้คำมั่นไปอีกครั้ง เพราะรู้ว่าเขายังคงระแวง

      “จะคอยดู”

      ความจริงก่อนหน้าจะเล่นเอ็มฯ ผมติดต่อใคร ๆ ผ่านอีเมล์ และการพูดคุยในบอร์ดนิยายอยู่หลายคน

แต่เพื่อนคนแรกของผมที่ได้คุยกันอย่างออกรส เป็นน้องคนหนึ่งที่ผมแทบจะไม่เคยเห็น USER ของเขาในกระทู้นิยายเลย

แต่ไม่รู้ทำไม ผมยอม “รับแอด” ง่าย ๆ หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันผ่าน MSN ทุกวัน ๆ ละหลายชั่วโมง

แล้วหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยคนอื่น ๆ อีกหลายคน


      ระหว่างที่ผมสนุกอยู่กับการเล่นเอ็ม ผมแทบจะไม่เคยสังเกตคนข้างตัวเลย




      เครือข่ายใน MSN ของผมมีมากขึ้น จนผมมี พี่ เพื่อน และน้องที่คุยกันเป็นประจำอยู่มากพอสมควร

ไม่น่าเชื่อว่า แค่เพียงการพิมพ์ประโยคสนทนาผ่านโปรแกรมแบบนี้

จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลินอย่างที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ทั้งตัวการ์ตูน emoticon ที่แต่ละคนสรรหามาแทนคำพูด หรือแม้แต่การพิมพ์ข้อความผิด ๆถูก ๆ

มันชวนให้ผมขำก๊ากได้จริง ๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองติดการพูดคุยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

กว่าจะรู้ ผมก็มีเพื่อนคุยวันละไม่ต่ำกว่า 5 หน้าต่างในคราวเดียวกัน เคยทำสถิติ 10 หน้าเสียด้วยซ้ำไป

แถมเผลอ ๆ ยังมีการพิมพ์ผิดหน้าอีกต่างหาก

      ยิ่งเพื่อนที่แอดมาหาเพิ่มขึ้นเท่าไร เวลาที่ผมจะอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็มากขึ้น

พร้อม ๆ กับเวลาที่เคยใช้ร่วมกับพี่นิวก็ลดลงเป็นเงาตามตัว


..........แต่ผมก็ยังไม่สำเหนียก……….
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 11.05.56 (14.30)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-05-2013 21:10:35

เค้าลาง มาม่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 11.05.56 (14.30)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 11-05-2013 22:11:05
ไม่อยากกินนะมาม่าน่ะ  :ling1: :ling1:

 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 11.05.56 (14.30)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 11-05-2013 22:22:47
แบ่งเวลาบ้างงงงง อิอิ  :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 11.05.56 (14.30)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 12-05-2013 00:39:56
มารอๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 11.05.56 (14.30)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 12-05-2013 18:18:01
ได้เสียน้ำตาอีกแน่
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 13.05.56(01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2013 01:11:34



ก็ไม่ถึงกับเสียน้ำตาหรอกมั้งครับ

ตอนนี้ยังไม่เศร้าครับ แต่ผมว่ามันก็ไม่เศร้าแล้วล่ะ

ชีิวิตธรรมดา ๆ ของคนธรรมดา ที่มีปัญหาเข้ามาให้แก้

มีอุปสรรคเข้ามาให้ต้องฝ่าฟัน

มันก็เท่าันี้แหละครับ


 :mew1:








    พี่นิวกลับบ้านดึกเกือบทุกคืน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เลิกงานปุ๊บก็ถึงบ้านปั๊บ

นอกเสียจากว่าจะไปงานเลี้ยงตามโอกาสต่าง ๆ อันเนื่องมาจากธุรกิจทั้งของครอบครัวและกิจการใหม่ของเราสองคน

แต่ระยะหลังมานี้ จะมีรายการสังสรรค์เพื่อนฝูง ลูกน้อง และอื่น ๆ ซึ่งผมไม่เคยตั้งข้อสงสัย

ได้แต่คิดคล้อยตามไปตามคำบอกของเขา

         บ่อยครั้งที่ผมได้รับคำถามจากเพื่อนในเอ็มฯ ถึงพี่นิวว่า....นอนดึกอย่างนี้ แล้วพี่นิวล่ะ?

         คำตอบคือ พี่นิวก็อยู่บนห้อง ทำงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง รอจนกว่าผมจะปิดคอมฯ

แล้วตามขึ้นไปนอน ซึ่งบางครั้งถ้าเขาง่วงและไม่อยากรอ เขาก็จะลงมาตาม

      “พี่นิวไม่เอางานมาทำด้วยกันข้างล่างอะครับ”

      ผมเคยขอ เพราะไม่อยากให้เขาขึ้นไปอยู่ตามลำพังคนเดียว แล้วได้แต่รอผม

      “ไม่อะ”

      “เถอะ”

      “ไม่เอา”

      “ทำไมอะ”

      “หนวกหู”

      “หา??”

      พี่นิวเงยหน้าทำตาดุ แล้วพูดนิ่ง ๆ

      “ทำงานกับนูแล้วไม่มีสมาธิ”

      “ตะกี้บอกว่าหนวกหู”

      “ก็นั่นแหละ เสียงดัง พี่ไม่มีสมาธิ จะอ่านอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ข้อความบรรทัดเดียวพี่อ่านไปอ่านมาไม่รู้กี่รอบ

วันก่อนก็เซ็นหนังสือพลาดไปฉบับหนึ่ง เลขาต้องเอาไปพิมพ์ใหม่”

      “เกี่ยวกับผมตรงไหนอะ ตัวเองอ่านหนังสือไม่ดีมาโทษผมได้ไง”

      “นูแหละตัวดีเลย นั่งเล่นบ้าเล่นบออะไรอยู่ได้คนเดียว เดี๋ยวขำ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวเปิดเพลง

แล้วไอ้เสียงส่งข้อความเอ็มฯน่ะ มันดังรัวจนพี่ไม่เป็นอันทำงาน ไม่รู้มั่งรึไง”

      อ๋อ........อย่างนี้นี่เอง ผมก็เลยบอกพี่นิวไปว่า ผมจะหาหูฟังมาเสียบ เสียงจะได้ไม่ไปรบกวนเขา

แต่มีข้อแม้ว่า ให้เขาเอางานลงมาทำหน้าโทรทัศน์ตามเดิม

      หลังจากนั้น พี่นิวก็ทำตามที่ผมขอ คือ เอางานมานั่งทำที่โต๊ะเล็กหน้าโทรทัศน์เหมือนเดิม

แต่เป็นอยู่อย่างนั้นได้ไม่กี่วันก็ยังไม่วาย....

“นู”
ผมพิมพ์ข้อความยาว ๆ ในหน้าต่างเอ็มฯ ยังไม่ว่างขาน

“นู”

เสียงเรียกของพี่นิวดังขึ้น คงคิดว่าผมไม่ได้ยินถึงยังไม่ขานรับ

“ครับ พี่นิวจะเอาไร”

ผมยังก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความโต้ตอบเพื่อนแต่ละคนอย่างเมามัน เพราะคืนนี้ “ออน” กันหลายหน้า

“เงยหน้าขึ้นมาคุยกันก่อนได้ไหม”

“แป๊บนะครับ”

ผมตั้ง away แล้วบอกขอตัวคู่สนทนา ก่อนจะลุกขึ้นมาหาพี่นิวที่โซฟาที่เขานั่งทำงานอยู่

“พี่ขึ้นไปทำงานข้างบนเหมือนเดิมนะ”

ไม่รอให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธ พี่นิวก็ปิดโน้ตบุ๊ก รวบเอกสารใส่กระเป๋า แล้วหิ้วขึ้นบ้านไป

แล้วอย่างนี้จะเรียกให้ผมลุกขึ้นมาทำไม

      ผมพยักหน้างง ๆ ก่อนจะกลับมารัวแป้นพิมพ์กระทั่งได้เวลาเข้านอน

พร้อมกับลืมปฏิกิริยาครั้งหลังสุดของพี่นิวไปด้วย

      ระยะห่างระหว่างเราสองคน มีหลายสิ่งหลายอย่างมาเป็นตัวคั่นกลางอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งเวลา ทั้งงานของเราทั้งสองคน และกิจกรรมยามว่างของผม

ดูเหมือนมันจะกลายเป็นปัญหาระหว่างผมกับพี่นิวโดยไม่รู้ตัว

และบางครั้งการแก้ปัญหาให้ตัวเองมันก็เหมือนเส้นผมบังภูเขา 

เหมือนผงเข้าตา ที่ต้องอาศัยคนอื่นให้ช่วย

      .....และผมก็มีพี่น้องคอยช่วยเหลือถึง 4 คน.....





      ผมย้ายโต๊ะเล่นคอมฯ เข้ามาไว้ในห้องหนังสือได้สักพักแล้ว หลังจากที่พี่นิวอนุญาตให้ผมเล่น MSN ได้

ส่วนสาเหตุที่ผมย้ายโต๊ะเข้ามาก็เพราะพี่นิว (อยู่กันสองคนนี่ครับ จะให้เป็นใครไปได้)

   ก็คราวก่อนที่เขาบอกว่าหนวกหูเสียงที่ผมเล่น MSN กับเพื่อนนั่นไง ถึงผมจะเสียบหูฟัง

ทำให้เสียงไม่ได้เล็ดลอดออกมาให้เขารำคาญใจ แต่เสียงหัวเราะของผมก็เรียกหางตาขุ่น ๆ เขียว ๆ ของพี่นิวได้ดีนัก

เวลาที่เขาดูรายการที่ถูกใจแล้วถูกรบกวนด้วยเสียงของผม

แต่ไม่ว่าจะยังไง เราสองคนก็ยังไปไหนไม่ไกลจากกันอยู่ดี

      พี่นิวชอบที่จะนั่งอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ดูโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่นมากกว่าจะขึ้นไปดูข้างบน

ถ้าผมยังอยู่หน้าเครื่องคอมฯ

      “เสร็จแล้วจะได้ขึ้นนอนพร้อมกัน”

      ผมก็ชอบที่จะให้เป็นอย่างนี้ แต่ความจริงพอถึงเวลาที่พี่นิวหาวหวอด ๆ แล้วผมยังไม่เสร็จจากการพิมพ์หนังสือ

ซึ่งใคร ๆ ก็คงรู้ว่า เวลาที่ความคิดและจินตนาการมันหลั่งไหล ผมก็ไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้

จำเป็นอยู่เองที่พี่นิวจะต้องขึ้นไปนอน และหลายครั้งที่หลับไปก่อนที่ผมจะไปนอน ”กก”

      ปัญหาของเราก็คือ “เวลา” ที่มันสวนทางกันแทบจะตลอดเวลา

   พี่บีสอง หนึ่งในพี่น้องทั้ง 4 ของผม (ตอนนั้นเรามีกัน 5 คน รวมผมครับ ผมคือ บีสี่)

เป็นคนแนะนำผมว่า ทำไมไม่นั่งทำงานเสียด้วยกันในห้องที่ผมนั่งเล่นคอมฯ อยู่

ผมไม่คิดว่าพี่นิวจะทำตามที่พี่บีสองแนะนำหรอก ก็ขนาดนั่งทำงานอยู่หน้าโทรทัศน์

เขายังบ่นว่าหนวกหูเสียงเพลงกับเสียง MSN ที่ผมเล่น

แล้วจะให้เขาย้ายเข้ามานั่งเสียใกล้ไหล่แทบจะชนกัน....มีหรือพี่นิวจะยอม

      ....แต่แปลกแฮะ....เขายอม

      ยอมตั้งแต่แรกที่ผมเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้น มีโต๊ะที่ผมนั่งวางคอมฯ อยู่เพียงตัวเดียว

ถ้าพี่นิว จะมานั่งด้วยกัน เขาก็ต้องนั่งลงบนพื้น และวางโน้ตบุ๊กของเขาไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก

      “ไม่หนวกหูผมแล้วเหรอครับ”

      “ก็นูใส่หูฟังแล้วไม่ใช่เหรอ”

      ผมพยักหน้าหงึกหงัก  ทั้งที่ครั้งหลังสุดที่เขาหนีขึ้นไปทำงานบนห้อง ผมก็ใส่หูฟังแล้วนี่นา

      “แต่วันนั้น....”

      มันไม่นานเกินกว่าเราจะนึกได้หรอกครับว่าวันไหน

      “ก็นูไม่สนใจพี่  ไม่ได้ยินเสียงที่พี่เรียก”

      ก็ผมใส่หูฟัง

      “พอพี่ไปจริง ๆ ก็ไม่ท้วงสักคำ”

      อ้าว.....ก็ผมอยากตามใจ ไหน ๆ ก็ยอมให้ผมได้มีเพื่อนในเอ็มฯ แล้ว

      “ใช่สิ....เดี๋ยวนี้คุยกับน้องทอมสนุกกว่าใช่ไหมล่ะ”

      แล้วกันสิครับ...ไปลงที่น้องทอมได้ยังไงก็ไม่รู้

      สุดสัปดาห์นั้น เราก็ไปเดินหาโต๊ะที่ขนาดพอดีกับพื้นที่ว่างในห้องหนังสือด้วยกัน 

แม้ตัวจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็พอจะให้พี่นิวได้วางแฟ้มและโน้ตบุ๊กได้

ส่วนเอกสารที่ต้องใช้ประกอบ ก็วางบนพื้นบ้าง บนชั้นหนังสือบ้าง

ส่วนโต๊ะผม เกลื่อนกลาดไปด้วยกระดาษ ดินสอ ปากกา และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนนิยาย

รวมทั้งขนมขวดเล็ก กล่องน้อย  โดยที่พี่นิวไม่เคยมาขอแบ่งปันพื้นที่ไปเลย ทั้งที่โต๊ะของเราก็วางชนกัน

      จากคำแนะนำของพี่บีสอง ทำให้เราสองคนพอจะมีเวลาร่วมกันมากขึ้น

อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่ผมต้องนั่งประจำหน้าคอมพิวเตอร์

เงยหน้าขึ้นจากคีย์บอร์ด ผมก็เห็นหน้าพี่นิวห่างออกไปในระยะเมตรเศษ

ส่วนพี่นิว พอว่างจากงานก็มักจะเดินอ้อมมา “กวน”ผม

      “ป่ะ แก้เครียดกัน”

      แล้วคิดว่า....กิจกรรมคลายเครียดของเราสองคนจะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ

      ????????????




      
      ผมยังไม่เคยบอกใช่ไหมครับว่า ผมกับพี่นิว...เราย้ายมานอนรวมกันในห้องเขา

โดยปิดตายห้องผมไปเรียบร้อยแล้ว.......เมื่อไรก็ไม่รู้......จำได้แต่ว่า ช่วงนั้นพี่นิวกลับจากสังสรรค์กับเพื่อนทีไร

น้ำท่าไม่ค่อยยอมอาบทุกที

      ก่อนหน้าที่เราจะมานอนห้องเดียวกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่นิวกลับมาถึง

แล้วผมก็ปิดประตูบ้าน ปิดหน้าต่าง ปิดไฟชั้นล่างเรียบร้อย พร้อมเข้านอน

หันกลับมาดูพี่นิวที่คอพับคออ่อนอยู่กับโซฟาหน้าโทรทัศน์ในสภาพมอมแมมสุด ๆ

กลิ่นน่ะหรือ....อย่าให้พูดเลย

      ผมหิ้วปีกพี่นิวขึ้นบ้าน อดที่จะค่อนแคะในใจไม่ได้ว่า

ตัวหนักเหมือนพ่อหมู กลิ่นอย่างกับละมุดเน่า

แต่ถึงยังไงก็ใจดำให้เขานอนตากยุงข้างล่างคนเดียวไม่ได้ กว่าจะถึงห้องนอน ผมก็หอบแฮ่ก

      พอสะบัดพี่นิวลงบนเตียงได้ผมก็นั่งตรงขอบเตียง ขอหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดก่อน

นึกว่าคนเมาคงจะหลับสิ้นฤทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว....ที่ไหนได้….

      คนเมาที่สติเหมือนจะไม่ค่อยเต็มร้อย ตวัดแขนเข้าเอวผมทีเดียว

เล่นเอาผมลงไปนอนกองบนอกเขาโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ตามด้วยสเต็ปที่สอง

ที่ผมโดนคนตัวโตกว่าจับพลิกให้อยู่ข้างใต้ตัวเขา แล้วสเต็ปที่สามก็ตามมาอย่างทันท่วงที

      กลิ่นลมหายใจของพี่นิวทำเอาผมแทบจะอยากเอามืออุดจมูกให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

      ผมว่าพี่นิวเขาชอบดื่มเบียร์นะ อาจจะมีดื่มเหล้าบ้างเวลาที่ต้องสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

แต่เขารู้ตัวว่าคอไม่แข็ง ก็มักจะไม่แตะโดยไม่จำเป็น และถึงแม้ว่าจะชอบดื่มเบียร์

แต่เท่าที่ผมจำได้ พี่นิวไม่เคยเมาจนต้องหิ้วปีกขึ้นบ้านแบบนี้มาก่อน

      “พี่นิว!!”

      ผมเรียกเขาเสียงดัง หวังว่าจะเรียกสติเขาได้บ้าง

      “อื้ม”

      คนเมาก็คือคนเมาอยู่นั่นเอง แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า คนเมาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา

ผมเองไม่ใช่คนตัวเล็กเสียด้วย แต่กลับขัดขืนเขาไม่ได้เอาเสียเลย

.....หรือว่าผมเองก็อยากจะใจอ่อนไปกับเขาด้วย???

      ระหว่างเส้นทางไปสู่สวรรค์ แทบจะไม่มีเสียงพูดจากคนเมาเลย นอกจากเสียงหายใจหอบถี่

ซึ่งก็หมายถึงว่า ในลมหายใจนั้นได้พาเอากลิ่น(หมักหมม)ทั้งของคนและน้ำเมาปนเปกัน

จนผมแทบจะหมดอารมณ์ไปเลยทีเดียว

      เสร็จจากการประลองกำลังระหว่างคนเมาอย่างพี่นิวและคนสติดีอย่างผม

พี่นิวก็ดูเหมือนจะหายมึน ฉุดผมให้เดินไปห้องน้ำ....นึกว่าจะอาบน้ำ....

      “โอ้ก......อ้อก.....”

      นั่นแหละ....เขาล่ะ

      รู้ทั้งรู้ว่า เมาแล้วเสียของแบบนี้ทุกที ก็ยังอยากจะเมา แล้วก็ไม่พ้นนายนูคนนี้แหละ

ที่ต้องคอยลูบหลัง ให้เค้าโก่งคอ อาเจียนจนไส้แทบจะตามออกมาทั้งขด

แถมยังต้องตามล้างตามเช็ด “ของเหลือ” ที่เขาคายออกมาอีก

      กว่าผมจะทำความสะอาดห้องน้ำ.....กว่าจะทำความสะอาดร่างกายให้พี่นิว

แล้วตัวเองก็ต้องกลับเข้าไปอาบน้ำซ้ำอีกทีก่อนเข้านอน ผมก็เพลียแทบขาดใจ

จนไม่มีแรงจะเดินลากขากลับไปที่ห้องของตัวเอง

      นับตั้งแต่คืนนั้นมั้งครับ ที่พี่นิวไม่ยอมให้ผมกลับมานอนห้องของตัวเองอีกเลย

ผมก็เห็นว่าไหน ๆ ก็ไม่มีใครมาอยู่ร่วมบ้านกับเราแล้ว ก็เลยตามเลยแล้วกัน

แต่ก็นั่นแหละครับ....ตอนเช้าผมก็ต้องกลับมาอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของตัวเองอยู่ดี

เพราะสมบัติทั้งหลายแหล่ไม่ได้ย้ายตามตัวเจ้าของไปด้วย



    การที่ผมย้ายเข้ามานอนห้องเดียวกับพี่นิว ไม่ได้ทำให้เรามีเวลาอยู่ “ร่วมกัน” มากขึ้นเลย 

ยิ่งต่างคนต่างต้องไปทำงานกันคนละที่ เวลาว่างก็สวนกันไปมา

แถมเวลาที่จะอยู่ใต้ชายคาในเวลาเดียวกันก็หาได้ยากเหลือเกิน

ไหนจะงานเลี้ยงที่พี่นิวต้องไปร่วมสังสรรค์ในนามบริษัท เป็นเสมือนตัวแทนคุณพ่อ

ไหนจะต้องไปตระเวนตรวจการตามจุดต่าง ๆ ที่เราส่งพนักงานรักษาความปลอดภัยไปประจำอยู่

ซึ่งงานหลังนี้ พี่นิวต้องไปตรวจในวันหยุดเป็นส่วนใหญ่

เพราะวันธรรมดา งานของบริษัทครอบครัวก็เอาไปหมดแล้ว

จึงกลายเป็นว่า ผมต้องอยู่บ้านตามลำพัง นั่นก็หมายความว่า

ถ้าไม่โทรหากัน เราก็แทบจะไม่ได้คุยกันเลย

       พี่นิวเคยถามผมว่า เหงาไหม ที่เขาแทบไม่มีเวลาให้

   ผมก็ตอบเขาไปด้วยความเข้าใจว่า....ไม่.... พร้อมกับให้เหตุผลตามไป

      “ผมคุยกับเพื่อนวันหนึ่ง ๆ ก็ไม่ค่อยเหงาหรอกครับ  เขียนนิยายไปด้วย คุยไปด้วย สนุกดี”

       เมื่อครั้งที่ผมบอกพี่นิวว่าผมเหงา เพราะเวลาว่างมากเกินไป

เพราะฉะนั้นงานอดิเรกเหล่านี้ถึงตามมา และขยายผลไปถึง การพูดคุยในเครือข่ายของโลกไซเบอร์ด้วย

      “ดีแล้ว พี่ก็คงต้องออกต่างจังหวัดบ่อยขึ้น เพราะว่าบริษัทรับงานเยอะขึ้น

สงสัยพ่อคงเห็นว่าพี่ลงมาทำเต็มตัวแล้วมั้ง ก็เลยป้อนงานไม่หยุด นูอยู่ได้นะ”

      ผมในเวลานั้น ไม่ได้คิดอะไรมากมาย อย่างไรเสียผมคงไม่ตามพี่นิวไปทุกครั้งแน่ ๆ

เพราะผมมี “งานอดิเรก” ทำประจำ และที่สำคัญ การเดินทางแบบนั้นคงทำให้ผมเมารถจนเหนื่อย

นั่งรถไปกับเขาก็มีแต่จะเป็นภาระให้เขาต้องมาดูแล แทนที่ผมจะไปเป็นภาระ

ผมควรจะอยู่รอปรนนิบัติพี่นิวที่บ้าน หาวิธีทำให้เขามีความสุขอยู่กับบ้านดีกว่า


 
      ด้วยเหตุนี้ โลกของเราสองคนจึงมักจะสวนทางกันเสมอ จนหาเวลาบรรจบกันแทบไม่ได้

จนบางครั้งผมรู้สึกว่า เราสองคนคุยกันน้อยเกินไปหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 13.05.56 (01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2013 01:24:42



    เคยมีคนพูดว่าการพูดคุยกับเพื่อนใน MSN เป็นเรื่องไร้สาระ

แต่สำหรับผมใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป

   ผมมีเพื่อนมากมายในนั้น ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง วัยเดียวกันก็ไม่น้อย

หลายครั้งที่การพูดคุยนำไปสู่การแตกแขนงทางความคิด

ซึ่งผมนำไปใช้ในที่ทำงานก็มี นำไปเป็นแง่คิดในการใช้ชีวิตก็มาก

แต่ที่แน่ ๆ ผมมีพี่ที่ผมสามารถ “อ้อน” ได้ อยู่สองสามคน

ในเวลาที่พี่นิวไม่อยู่ให้ผมได้อ้อน ผมก็มีพี่เป็นของตัวเองที่นี่.....

หลายครั้งที่พี่นิวชอบมาสุ่มอ่านจาก “บันทึกการสนทนา” ที่ผมต้องเก็บเอาไว้ตามข้อตกลงระหว่างเรา

แล้วเขามักจะมีคำถามกับผมอยู่เรื่อย ๆ

      “นูจริงจังกับความสัมพันธ์ในเอ็มฯ จังเลยนะ”

      ผมอึ้งกับการจับสังเกตของพี่นิว จากการบทสนทนาที่ผมเก็บไว้

      “จะไม่จริงจังได้ยังไงล่ะครับ ถึงเราจะไม่รู้จักกัน ไม่เคยคบหากันจริง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า

เราจะหลอกลวงเขา หรือว่าเห็นเขาเป็นของเล่นได้นี่ครับ”

      “พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น....จะพูดยังไงดี  พี่หมายความว่า มันจริงจังถึงขนาด

นับพี่นับน้อง มีการปรึกษาหารืออะไรทำนองนั้นต่างหาก”

      “ไม่รู้สิครับพี่นิว สำหรับผม  ถ้าใช้คำว่าเพื่อนกับใครสักคน ผมว่าเราก็ต้องจริงใจต่อกันเป็นที่ตั้งนั่นแหละ”

      “ตลกดีนะ”

      “เรื่องไหนที่มันตลกอะ”

      “เรื่องนี้แหละ สำหรับพี่การพูดคุยแบบนี้มันแทบจะไม่มีตัวตน ใครจะหลอกอะไรใครเรื่องไหนก็ได้

แต่พี่ลองอ่านที่นูคุยกัน เหมือนทุกคนเชื่อในสิ่งที่กำลังคุยกัน ยอมรับในสิ่งที่นูทำกับเขา”

      “ผมทำอะไรกับเขา?”

      “ก็นี่ไง....มีการเอาข้าวมานั่งกินด้วยกันหน้าคอมฯ....แล้วนี่ล่ะอะไร ฟังเพลงด้วยกัน....มันยังไงกัน”

      “อ๋อ....”

      คงเป็นน้องทอม คนที่ผมคุยเอ็มฯ ด้วยเป็นคนแรก ๆ ที่พอเราสนิทกันไปสักพัก

พอวันหยุดน้องไม่ได้ไปไหน ส่วนผมก็จับเจ่าอยู่หน้าคอมฯ พิมพ์หนังสือไปเรื่อยเปื่อย

บางเวลาเราก็หาอะไรทำด้วยกัน

      “น้องคนที่ผมบอกว่ายังเป็นนักศึกษาไงครับ วันหยุดเขาไม่ได้ไปไหน ผมก็อยู่คนเดียว

เราก็แค่กินข้าวกันไป คุยกันไป”

      “หน้าคอมฯ?”

      ผมพยักหน้า

      “แล้วฟังเพลงด้วยกันล่ะ”

      “ผมก็ส่งเพลงที่กำลังฟังให้น้อง น้องก็ส่งเพลงที่กำลังฟังให้ผม แล้วก็ฟังเพลงเดียวกันไปพร้อม ๆ กัน”

      “แล้วทำไมต้องส่ง หาโหลดเอาเองก็ได้”

      “มันเหมือนกันที่ไหนล่ะครับ เขาให้ กับเราหาเองน่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นของชิ้นเดียวกัน

แต่ในความรู้สึกมันก็แตกต่างกันไม่ใช่เหรอ”

      พี่นิวพยักหน้างง ราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดมันเข้าใจยาก  และในคืนหนึ่ง.....

      น้องทอมกับผมคุยกันตามปกติ ผมกำลังฟังเพลงที่น้องเพิ่งจะส่งมาให้ลองฟัง

แล้วอยู่ ๆ คนที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ก็ลุกขึ้นมายืนซ้อนหลังผมตอนไหนก็ไม่รู้

      พี่นิวดึงมือผมที่จับเมาส์ออกไปกุมไว้ แล้วเอามือตัวเองมาเลื่อนเมาส์ไปที่รายชื่อเพลงที่กำลังเล่น

โดยโปรแกรม WMP ย้อนกลับไปที่เพลงที่เล่นผ่านมาแล้วให้มันเล่นอีกครั้ง

   http://www.youtube.com/watch?v=6LvaVRF6il0

      ทันทีที่เสียงเพลงนี้ดังขึ้น ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้านิ่งที่ก้มลงมาสบตาผมพอดี

      “เพลงของพี่เพราะกว่า”

      แล้วเขาก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม ผมอดที่จะขำไม่ได้ ถึงจะไม่ค่อยจะเข้าถึงอารมณ์เขาในตอนนี้ก็เถอะ

แต่ผมก็พอจะรู้ว่า เขาคงเกิดอารมณ์อิจฉาแบบเด็ก ๆขึ้นมา (?)

ก็เพลงนี้เขาเป็นคนบอกให้ผมโหลดมาฟังเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าพนักงานที่ออฟฟิศเปิดฟัง

เขาชอบว่านักร้องเสียงใสดี เนื้อหาก็ตรงใจเขา ผมก็ทำตามที่เขาบอก แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เปิดฟัง

เพราะอย่างที่บอกว่าผมกับน้องทอมแลกเพลงกันฟังทุกครั้งที่เราออนเอ็มฯ

      ตั้งแต่วันนั้นผมก็เปิดเพลงนี้ทุกวัน และทุกครั้งที่นั่งหน้าคอมฯ ผมก็ไม่เคยลืมที่จะฟังมัน

ยิ่งเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน ได้ฟังเพลงนี้ทีไร ผมจะรู้สึกเหมือนพี่นิวอยู่ใกล้ ๆ เสมอ

“ความรักฉันคือเธอ”.....มันกลายเป็นเพลงของเราไปแล้วตั้งแต่คืนนั้น



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 13.05.56 (01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 13-05-2013 01:39:35
พี่นิวแอบหวานนะ เพลงแบ๊วมาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 13.05.56 (01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2013 14:24:54

CarToonMiZa, namtarn11, vvhite , nokkaling   ขอบคุณครับ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนเขียนทุกคน
gang  ตอนนี้บ้านโน้นเข้าไม่ได้  เก่งได้แวะไปมั่งมั้ยครับ
Zinub  ผมว่า ความรักทำให้เรารู้สึกดีที่เห็นเค้ามีความสุขนะ
Hongyia , bobie   .....คิดอีกทีผมก็อยากเปลี่ยนไม้เหมือนกันแหละ
broke-back  New's Aroma! กลิ่นของความรักพี่นิว ขอดมมั่งฮี่ อิอิ….ฟังดูหื่นจัง แต่ผมชอบ
choijiin  เกือบจะปิดฉากแล้วนะครับ  น่าจะอีกซัก serie นึง
อยากรัก   ขอบคุณครับพี่เอม  รวมทั้งขอบคุณกำลังใจที่ส่งผ่านเมล์มาให้ผมบ่อย ๆด้วย
aa_mm  คนเรามีสองด้านเสมอครับ ผมยังเคยร้ายกับพี่นิวเลย ตาทึ่มคนเนี้ยะ บางทีก็น่าสงสาร 555

ผมหายไปทีละนาน ๆ กังวลอยู่เหมือนกันว่า คนที่เคยอ่านยังอยากจะติดตามกันอยู่รึป่าว
แต่ก็นั่นแหละครับ ความตั้งใจครั้งแรกที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพราะอยากบอกอยากเล่า
บอกแล้วก็ต้องบอกให้หมด หรือ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าจะสุดสิ้นอุปสรรคของเราสองคน
บางทีกว่าจะถึงวันนั้น คนอ่านอาจจะเบื่อหน่ายจนหายหน้าหายตาไปกันหมดแล้ว
ก็ไม่เป็นไรครับ ผมก็ยังอยากเขียนตามความตั้งใจเดิมอยู่ดี
แต่จะว่าไปแล้ว พอเข้ามาเห็นชื่อเดิม ๆ ที่เคยแวะมาอีกครั้ง มันก็ชุ่มชื่นหัวใจดีเหมือนกันนะครับ
ขอบคุณสำหรับความคิดถึงและกำลังใจที่มีให้กันครับ


คาดว่าคืนนี้จะได้มาต่ออีกซักตอน   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 13.05.56 (01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 13-05-2013 14:39:56
จะเป็นอย่างไรต่อนะ   :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 13.05.56 (01.00น.)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 13-05-2013 17:47:14
นึกว่าตาฝาดซะอีกรีบกดมาอย่างด่วน
เป็นกำลังใจเสมอจ้า
เหนื่อยกับงานก็พักบ้าง
เดี๋ยวจะไม่สบายยิ่งช่วงนี้
อากาศร้อนมากอาจทำให้ป่วยได้
ขอบคุณที่มาต่อเรื่องราวให้ได้อ่าน
 :pig4: :กอด1: :L1: :mew1:
+1และเป็ด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES: THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 16-05-2013 00:35:39


ผิดคำพูดอีกจนได้ล่ะนายนู

บอกว่าจะมาตั้งแต่คืนโน้นนนน ก็เพิ่งจะได้โพสท์คืนนี้

เพราะคืนนั้นฤกษ์ดีครับ เลยไม่ได้เข้ามา

อย่ารู้เลยว่าฤกษ์ดีสำหรับทำอะไร    :haun4:


เอาเป็นว่าคืนนี้เราได้เจอกันแล้วก็แล้วกันนะครับ


 :pig4:


ราตรีสวัสดิ์ครับ  :bye2:







      .......หัวใจดวงเดียว มีสี่ห้อง ห้องละสี่เตียง เตียงละสี่ชั้น......

      เคยเอามาพูดล้อกันเล่นไหมครับ

      ผมไม่เชื่อว่า คนเราจะมีรักซ้อนกันได้ในคราวเดียวกัน

แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นตัวผมเอง ที่มีรักซ้อนรัก....

ถ้าความรู้สึกดี ๆ ระหว่างคนสองคนเรียกว่าความรักได้ ผมก็...รู้สึกรักนั่นล่ะ

      รัก....ในขณะที่ผมก็ยังคงรักพี่นิว โดยที่ความรู้สึกลึกล้ำที่มีต่อพี่นิวไม่เคยเปลี่ยนแปลง

  การพูดคุยกับน้องทอมบ่อยครั้ง ครั้งละนาน ๆ ตลอดระยะเวลา....นับปี

ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ค่อย ๆ เบ่งบานขึ้นในใจผมทีละน้อยในเวลาต่อมา
 
ทำไมผมถึงได้รู้สึกดี ๆ กับน้องทอม.....ในตอนนั้น  ผมเองก็ไม่เข้าใจ

......มองย้อนหลังไปมันก็แค่เรื่องงี่เง่า ของคนที่อ่อนไหวเท่านั้นเอง










      ตอนสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ เราสองคนได้มีเวลาพูดคุยกัน โดยที่ผมไม่ได้ออนเอ็มฯ

และไม่มีใครตามตัวพี่นิวไปทำงาน

      พี่นิวเข้ามาเปิดคอมฯ เช่นที่เคยทำเสมอเมื่อพอจะมีเวลาว่าง แต่คราวนี้ผมมีไฟล์อื่นนอกจากบันทึกสนทนาให้เขาได้อ่าน

      “รูปใครน่ะ”

      “น้องทอมไงครับ”

      พี่นิวขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ไล่ดูไปทีละรูปจนครบ

      “เยอะขนาดนี้เชียว”

      “ก็....มันหลาย Act นี่นาพี่นิวก็”

      “จะกี่แอ๊คมันก็แค่หน้า ทำไมต้องมีหลายมุม แคปมาทำไมกันเยอะแยะ”

      “อ้าว...พี่นิวไม่เห็นเหรอครับ บางรูปยิ้ม บางรูปไม่ยิ้ม มองกล้องบ้าง ไม่มองบ้าง”

      “แค่อารมณ์ที่แตกต่างกันอะนะ”

      ผมยักไหล่ ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี ผมก็แค่อยากได้ภาพที่น้องทอมเปิดกล้องคุยกับผมก็แค่นั้น

........นั่นสินะ........ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมต้องทำเสียมากมาย จะว่าไปมันก็แทบจะไม่แตกต่างกัน

.......ในเวลานั้น....ผมไม่มีคำตอบจริง ๆ

      
      ผ่านไปอีกหลายสัปดาห์ ผมยังคงคุยกับน้องทอมอย่างสม่ำเสมอ 

เวลาอยู่บ้านไม่ใช่เวลาที่น่าเบื่อสำหรับผมอีกต่อไป 

แถมกิจกรรมบางอย่างที่ผมเคยออกไปกับเพื่อนร่วมงาน แม้จะแค่สังสรรค์เล็ก ๆน้อย ๆยามเย็น

ผมก็แทบจะไม่ไปเข้าร่วม นอกจากจะเป็นโอกาสพิเศษจริง ๆ อย่างวันเกิด หรือไม่ก็ เลี้ยงส่งเมื่อใครสักคนย้ายที่ทำงาน

      “คืนนี้พี่กลับดึกหน่อยนะครับ”

      พี่นิวบอกผมก่อนออกจากบ้าน เป็นทีให้รู้ว่า มื้อเย็นจะไม่ได้กินข้าวด้วยกัน และไม่ต้องรอเปิดประตู

เพราะเขาจะเอากุญแจบ้านไปเอง ผมจะได้ไม่ต้องตื่นกลางดึกลงมาเปิดประตูบ้านให้

      “ไปงานเลี้ยงใครครับ”

      ผมถามเป็นคำถามสำเร็จรูปมาตลอดหลายปีที่อยู่ด้วยกัน  เพราะตั้งแต่พี่นิวเริ่มทำงานอย่างจริงจัง

เขาก็มักจะได้ไปงานสังสรรค์เพื่อธุรกิจแทนคุณพ่อเสมอ

      “เปล่าหรอก ลูกน้องชวนไปกินเหล้า”

      ผมเลิกคิ้วสูง เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่พี่นิวจะไปตามคำชวนของลูกน้อง

นอกจากเหนือไปจาก พี่ศร คนสนิทที่ช่วยดูไซต์งานในต่างจังหวัดให้

หรือพี่ขนุน หัวหน้าคนงานที่พี่นิวเคยไปค้างที่บ้านเขาบ่อย ๆ

ซึ่งถ้าเป็นพี่สองคนนั้น พี่นิวก็จะเอ่ยชื่อให้รู้กันไปเลย ไม่ใช้คำเรียกว่า “ลูกน้อง”

เพราะเรานับถือพี่สองคนนั้นเหมือนพี่เหมือนน้อง

      “งานแต่งลูกสาวเขาน่ะ ทีแรกว่าจะไม่ไป พี่ก็เลยไม่ได้ให้นูหาของขวัญให้

ก็ว่าจะใส่ซองให้อย่างเดียว แล้วก็นั่งกินเหล้ากับเขาสักแป๊บ”

      “งั้นให้ใครขับรถให้ดีกว่าไหมครับ ผมกลัวพี่นิวเมาอะ”

      “ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า จะพยายามไม่แตะมาก โอเคไหม”

      “ครับ”

      ผมยิ้มส่งพี่นิวขึ้นรถ จนเลี้ยวลับออกจากประตูรั้วไป

      และคืนนั้น เป็นคืนแรกที่พี่นิวไม่กลับบ้านโดยไม่ได้บอกผมล่วงหน้า

      รุ่งขึ้นเช้าผมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงไปทำงาน เนื่องมาจากการอดตาหลับขับตานอนเมื่อคืน

รู้ซึ้งแก่ใจเลยว่า ภรรยาที่รอคอยสามีทั้งคืนมันให้ความรู้สึกยังไง

อาจจะแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตรงที่ ผมไม่เคยมีความหวาดระแวงว่าพี่นิวจะไปมีอะไรกับใคร

....มันเป็นความมั่นใจอยู่ลึก ๆ ในใจผม

      พี่นิวขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านเมื่อผมกำลังจะออกไปทำงานพอดี ต่อให้เป็นห่วงและอยากดูแลเขาแค่ไหน

ผมก็ยังต้องไปทำงาน

      “ไม่โทรมาบอกผมสักคำว่าจะไม่กลับ”

      มันไม่ใช่คำต่อว่าต่อขาน ผมแค่อยากจะพ้อให้เขารู้ว่าผมรอเขาทั้งคืน

      “ขอโทษนะครับพี่ง่วงมากเลย ค่อยคุยกันตอนเย็นนะ”

      ผมก็รีบจะไปทำงานด้วยแหละ ถึงได้ยอมรับคำขอโทษง่าย ๆ  และถ้าคิดให้ดี มันจะยากไปทำไม

ในเมื่อเขาก็ขอโทษแล้ว เขาอาจจะมีความจำเป็นอะไรบางอย่างทำให้ติดต่อผมไม่ได้

หรือไม่ก็แบตโทรศัพท์หมด แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมได้เห็นพี่นิวกลับมาอย่างปลอดภัย มันก็ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ

      ตกเย็นกลับมาถึงบ้าน ผมกลับไม่เจอพี่นิว เสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อคืนนี้กองอยู่ที่ปลายเตียง

ผมก็เดาเอาว่าคงจะออกไปทำงาน เพราะรองเท้าหนังเซฟตี้ไม่อยู่ นึกห่วงอยู่เหมือนกันว่า

ไม่รู้พี่นิวจะได้นอนเต็มอิ่มหรือเปล่า ที่หายไปทั้งคืนผมก็ไม่ได้สัมภาษณ์เลยว่า

นั่งกินเหล้าทั้งคืนหรือว่าได้นอนมาบ้าง

      คิดไปคิดมาไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมดีใจจนออกนอกหน้า

รีบออกจากห้องนอนลงไปข้างล่าง แทบจะเป็นกระโจนลงบันได

      “เบา ๆ นู เดี๋ยวก็ได้พลัดตกลงมาหรอก”

      คนที่ผมคิดถึงยืนค้างอยู่ตรงช่องประตู กำลังถอดรองเท้าออกพลาง ปากก็บ่นผมไปพลาง

      “ไม่ตกหรอกครับ”

      “แล้วทำไมไม่เดินลงมาดี ๆ”

      “รีบลงมารับพี่นิวไง”

      ผมพูดเอาใจพร้อมกับยิ้มหวานส่งไปให้ ก็เลยได้รางวัลเป็นหอมแก้มทั้งสองข้าง

อย่าคิดว่าผมจะอยู่เฉยนะ เพราะนิสัยผมมันชอบเอาคืนอยู่แล้ว

      “เหงื่อทั้งนั้นเลย ตัวก็เหม็น ขอพี่อาบน้ำก่อนนะ”

      “เหม็นแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกครับ ดีกว่ากลิ่นละมุดเน่าเยอะเลย”

      “เดี๋ยวจะโดน”

      พี่นิวแกล้งว่า แต่นัยน์ตาพราวส่อแววเจ้าเล่ห์มาเลย มีหรือที่ผมจะไม่รู้ความนัยที่เขาสื่อ

      “โดนไม่กลัว กลัวจะไม่โดน”

      “ฮ่า ๆ ให้มันจริงเหอะ รอเดี๋ยวนะ ได้โดนแน่อย่าหนีไปไหนก็แล้วกัน”

      ผมดันหลังพี่นิวขึ้นบ้าน เตรียมผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำให้ พร้อมกับวางสบู่กลิ่นเปปเปอร์มิ้น

แทนสบู่กลิ่นกุหลาบที่ผมชอบ อากาศร้อน ๆ ได้สบู่หอมเย็น ๆ คงทำให้สดชื่นขึ้น

      ส่งพี่นิวเข้าห้องอาบน้ำแล้วผมก็เดินลงมาเตรียมจะทำอาหารในครัวต่อ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าครัว

ผมชะโงกมองออกไปหน้าบ้าน เห็นสภาพรถพี่นิว “คลั่ก ๆ” มาก โคลนเกาะล้อมาเต็ม ๆ

ตัวรถนี่ไม่ต้องพูดถึง รอยโคลนสาดเข้าไปครึ่งคันแล้ว นี่มันหน้าร้อนชัด ๆ แล้วไอ้โคลนพวกนี้มันมาจากไหน

      ผมก็เลยเปลี่ยนแผนจากทำกับข้าวมาเป็นล้างรถแทน กว่าพี่นิวจะอาบน้ำเสร็จผมก็คงล้างข้างนอกเสร็จพอดี

....บอกก่อนว่าผมก็ไม่ได้ขยันหรอกครับ แค่ฉีดน้ำเปล่า แล้วก็เอาฟองน้ำลูบโคลนออกให้พอดูได้

เพราะยังไงสภาพแบบนี้พี่นิวต้องเอาไปล้างอัดฉีดที่อู่อยู่แล้ว


      



      ผมนั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเองหลังจากล้างรถเสร็จ......ก็ไม่ใช่แค่ล้างทำความสะอาดมัน

แต่ผมเข้าไปจัดระเบียบในรถให้ด้วย กองเอกสารบ้าง แฟ้มบ้าง ไหนจะแบบพิมพ์เขียวที่ตกอยู่ที่พื้นรถ

ผมไม่ได้จัดการอะไรเป็นพิเศษ นอกจากเช็ดฝุ่น เก็บขยะพวกเศษทิชชู่ กระป๋องเบียร์เปล่าออกมา

แล้วก็....ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำตั้งแต่แรก....ผมเปิดเก๊ะหน้ารถ แค่จะดูว่ามีเอกสารอะไรบ้างที่พี่นิวซุกไว้รีบ ๆ

เพราะผมเคยเจอใบเสร็จค่าน้ำมันรถแบคโฮของเดือนมกราคม ที่ยังไม่ได้ส่งไปเบิกกับบริษัท

ทั้งที่ตอนที่ผมเจอมันก็เดือนกันยายนแล้ว พี่นิวคงเก็บไว้จนลืม


      คราวนี้ผมเจอถุงยาง!!!


      ไม่แปลกใช่ไหมสำหรับคนอื่น...แต่สำหรับเรา.....มันแปลกมาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: gambee ที่ 16-05-2013 08:03:15
พี่นิวที่เจอนี่หมายความว่ายังไงจ๊ะอธิบายให้เคลียนะ
เจ็บแปล๊บๆแงแง
สู้สู้คูณนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 16-05-2013 19:34:15
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคุณนู
คิดว่าจะลืมคนอ่านที่นี่ซะแล้ว
 :hao5: :กอด1:

ว่าแต่อิถุงยางนี่พี่นิวเอามาซุกไว้ใช้กับใคร??
อ่านแล้วอยากจะกรี๊ด
 :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 16-05-2013 21:40:56
 :katai1: :katai1:

 :ling1: :ling1:

พี่นิวววววววว   :ling2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 16-05-2013 23:05:08
โอยย.....ตายๆ พี่ใจหายวูบเลย :try2:
เจอถุงยางเนี่ยนะ o22 ไปหาที่ปลดปล่อยกับคนอื่นหรอ
ใช้เวลาว่างแบ่งให้พี่นิวเยอะหน่อยน้าา
ไม่มีใครชอบที่ตัวเองถูกเมินหรอก :hao5:
จากทีแรกที่เราทำตัวห่างจากเขา
แต่ทีหลังเขาจะทำใจ แล้วห่างเราไปเรื่อยๆ
นูอย่าทำงั้นอีกน้า

น้องหายไปนานมากเลย.......คงสบายดีนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2013 00:44:45


 :katai4:   รีบลงแล้วจะขอไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าไปทำงาน

เป็นวันที่น่าเบื่อมาก วันที่ชื่อว่า "วันจันทร์"









      ผมพยายามหาข้ออ้างให้มัน....คงจะเป็นของลูกน้อง ของเพื่อน หรือของใคร ๆ ที่บังเอิญอาศัยรถมากับพี่นิว

แต่ไม่มีคำตอบไหนที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจได้เลย เราคงอยู่ด้วยกันนานเกินไป....

นานจนแทบจะรู้คำตอบโดยไม่ต้องถาม ถ้าไม่คิดจะหลอกตัวเอง

      ผมไม่อยากถามเพราะกลัวคำตอบ

      แต่การไม่รู้มันน่ากลัวกว่า เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ผมกลัวว่าตัวเองจะตั้งรับไม่ทัน



      พี่นิวอาบน้ำเสร็จแล้วมาตามให้ออกไปกินข้าวนอกบ้านกัน

แล้วผมก็ได้ถามออกไปให้หายคาใจ ตอนที่เราอยู่ในรถนั่นเอง

      “พี่ซื้อมา”

      ผมได้แต่อึ้ง แล้วหันไปมองหน้าเขา เราไม่เคยจำเป็นต้องใช้มัน

เพราะฉะนั้นการที่พี่นิวซื้อมามัน “ต้อง” มีเหตุผล

      “ก็...เอาไว้เผื่อ ๆ”

พี่นิวตอบเสียงเบา

“เผื่อใครครับ ผมเหรอ?”

      ปากนะ....มันคงหลุดออกไปเพราะจิตใต้สำนึกมันอยากรู้ ทั้งที่รู้ตัวว่าความจริงทำให้เราเจ็บปวด

      “ครับ”

      “ทำไม”

      ผมคิดว่าตัวเองเดาคำตอบได้ แต่ก็ยังจะถาม

      “ก็อาจจะไม่ต้องใช้ ถ้า.....”

      พี่นิวหยุดพูดไปเฉย ๆ สายตาจับจ้องไปที่ถนน ผมจ้องใบหน้าเขาไม่วางตา สีหน้าเรียบเฉยก็จริง

แต่การเม้มปากมันก็บอกได้ถึงความกังวลในสิ่งที่กำลังจะพูด

      ผมไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มันมาอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไร จำได้แต่เรื่องของตัวเองว่า

เราไม่มีอะไรกันมาเกือบ 2 อาทิตย์แล้ว

      พี่นิวถอนหายใจแผ่ว ๆก่อนจะพูดออกมาในที่สุด

      “พี่ไปนอนกับคนอื่นมา”




      ………..





      แอร์ในรถมันเป่าแรงขึ้น เย็นเฉียบจนวาบจากปลายประสาทไปจนถึงหนังหัว....

หรือมันเป็นความร้อนกันแน่....ร้อนผ่าว ๆ วูบวาบอยู่ในเนื้อตัว

      ผมควรจะตอบรับทราบว่าอะไรดี?

      “พี่เมา”

      ใช่สินะ หลัง ๆ นี่พี่นิวดื่มเหล้าบ่อยมาก ชนิดที่ว่า

ถ้าไม่ได้กลับบ้านก็ลองไปหาตามวงเหล้าที่เขาเคยไปสังสรรค์ ยังไงก็เจอ


   รถเราติดไฟแดงเป็นคันแรก มีมอเตอร์ไซค์อีกคันจอดเทียบข้าง

สาวน้อยที่ซ้อนอยู่ข้างหลังนั่งกอดกระแซะหนุ่มนักบิดจนคางเกยไหล่

แค่ไอ้หนุ่มหันมา แก้มหนุ่มกับปากสาวก็ชนกันพอดี.....ผมว่าเขาตั้งใจจะจูบแก้มกันบนถนนล่ะ

  ถึงแม้บรรยากาศยามโพล้เพล้จะมองอะไรไม่ถนัดนัก แต่กลางสี่แยกแบบนี้

แสงไฟออกจะสว่างยังไงใคร ๆ ก็ต้องเห็นว่าคู่นั้นเขาทำอะไรกัน ไม่ใช่แค่ผมหรอก


      “เดี๋ยวนี้พี่นิวเมาเกือบทุกคืนอยู่แล้วนี่ครับ”

      พี่นิวซบหน้ากับพวงมาลัยรถ

      “ใช่ เราเลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเท่าไร”

      ถ้าพี่นิวจะยอมรับว่าเพราะเขา เราสองคนก็เลยไม่ค่อยอยู่ด้วยกัน ผมก็ต้องยอมรับว่า

เพราะผมเอาแต่ทำงานอดิเรกของตัวเองจนลืมที่จะใส่ใจเขาเช่นกัน

...แต่วันนั้น....ความคิดที่จะโทษตัวเองไม่ได้อยู่ในสมองของผมเลย

      “ผู้หญิงหรือครับ”

      อะไรไม่รู้ทำให้ผมถามคำถามนี้ออกไป....และพี่นิวก็พยักหน้าทั้งที่ยังซบอยู่ตรงนั้น

      “เมื่อไรครับ”

      พอพี่นิวพูดขึ้นมา ผมลองนับย้อนหลังไป มันก็อยู่ใน 2 อาทิตย์ที่เราไม่มีอะไรกันนั่นแหละ

หลังจากไปมีอะไรกับคนอื่นมาแล้ว เขาคงตั้งใจให้เป็นระยะปลอดภัย

แต่ก็ยังอุตส่าห์เตรียมเครื่องป้องกันเอาไว้

......ผมควรจะดีใจใช่ไหม ที่เขารอบคอบ


      ไฟเขียวแล้ว รถมอเตอร์ไซค์คันข้าง ๆ บิดคันเร่งออกตัวเป็นคันแรก

ผมมองแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นอย่างไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนดี

จนกระทั่งเห็นเพียงไฟท้ายเป็นสีแดงจุดเล็ก ๆ ลับสายตาไป ถึงได้รู้สึกตัวว่า

เราทิ้งประเด็นสำคัญค้างไว้ยังไม่ได้พูดถึง

      พอผมอ้าปากจะถาม พี่นิวก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

      “พี่รอผลตรวจเลือดอยู่”

      “ครับ”

      มืออุ่น ๆ ยื่นมาวางทับบนหลังมือผมที่วางบนหน้าตักก่อนจะบีบเบา ๆ

      “พี่ขอโทษ พี่เสียใจ ยกโทษให้พี่ได้ไหม”

      “ผมไม่มีโทษจะยกให้พี่นิวหรอกครับ”

      ผมตอบกลับไปทั้งที่สายตายังมองตรงไปข้างหน้า ถามตัวเองว่า ควรจะรู้สึกอย่างไรดีในเวลานี้

      คำว่าเสียใจ.....มันน้อยเกินไป....

ไม่พอที่จะอธิบายความรู้สึกที่มันดำดิ่งอยู่ในความคิดของผมเวลานี้ได้เลย

      คำว่าขมขื่น.....มันกดทับตัวตนของผมที่ผิดธรรมชาติ

ที่ไม่อาจจะตอบสนองความต้องการของคนที่ผมรักได้ในรูปแบบที่เขาควรจะได้รับ


      ถนนเบื้องหน้าห่างไปประมาณห้าสิบเมตรเป็นหัวโค้ง คงจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

เพราะรถคันข้างหน้าเราเริ่มชะลอความเร็ว ส่วนคันถัดไปก่อนหน้านั้นก็เริ่มติด

และค่อย ๆ คืบคลานไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งรถเรากำลังจะผ่านจุดนั้น

      รถหกล้อบรรทุกสินค้าเพียบเต็มคัน จอดอยู่บนไหล่ทาง....ไม่ใช่จอดสินะ.....

มันตะแคงจนแทบจะทิ่มลงไปในคูระบายน้ำริมทางต่างหาก      

รถมอเตอร์ไซค์คันที่คุ้นตาล้มตะแคงอยู่ริมเกาะกลางถนน 

ผู้ชายคนขับนั่งอยู่บนขอบเกาะ ท่าทางโงนเงนเต็มที มีผู้ชายอีกคนหนึ่งคอยพยุงอยู่ข้าง ๆ

และตรงกลางถนนไม่ห่างกันนัก มีร่างหนึ่งนอนเหยียดยาวแขนขากางอย่างผิดรูป

ดูไม่ออกว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ผมจำสีเสื้อได้

เพราะเป็นตัวเดียวกับที่ผมจับจ้องมองจนแผ่นหลังของเธอลับสายตาไป.....

เธอยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า.....

แฟนของเธอมีสติพอที่จะรับรู้หรือยังว่า เธอนอนนิ่งสงบอยู่ตรงนี้


      ผมพลิกฝ่ามือขึ้นแล้วสอดประสานนิ้วมือกับมืออุ่นของคนข้าง ๆ

น้ำตาปรี่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

      “แค่ผมยังมีพี่นิวอยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ก็พอแล้วครับ”

      พี่นิวยกมือผมขึ้นไปจรดริมฝีปาก

      “ขอบคุณนะนู พี่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก พี่สัญญา”

      “ไม่ต้องสัญญาหรอกครับ ไม่มีอะไรที่ผมไม่เชื่อพี่”

      แค่มีพี่นิวอยู่ด้วยกัน....แค่นี้จริง ๆ ที่ทำให้ผมอยากมีลมหายใจในวันต่อ ๆไป

      “แล้วคืนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถุงยางกับผมหรอกครับ อะไรที่มันจะเกิดกับพี่นิวก็ให้มันเกิดกับผมด้วย

คิดบ้างไหมครับว่าถ้าพี่นิวเป็นอะไรไปจริง ๆ ผมจะอยู่ยังไง อะไรมันจะเกิด

ก็ขอให้เกิดกับเราสองคนพร้อม ๆกันเถอะครับ”


      ภาพหญิงสาวคนนั้นจูบแก้มแฟนหนุ่มย้อนเข้ามาในหัวผม

ถึงมันจะดูไม่ดีเพราะสถานที่ที่แสดงความรักมันไม่เหมาะไม่ควร....

แต่สำหรับแฟนหนุ่มของเธอ มันต้องเป็นความรู้สึกที่ดีแน่ ๆ

หากเขาได้รับรู้ว่า นั่นคือจูบสุดท้ายจากคนรัก




      ผลการตรวจเลือดซ้ำครั้งที่สองอีก 3 เดือนต่อมา ทำให้เราสองคนโล่งใจ

และกอดกันร้องไห้ด้วยความสุข  ส่วนพี่นิวคงวางความสำนึกผิดเอาไว้บนบ่าเต็ม ๆ





ราตรีสวัสดิ์ครับ   :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 20-05-2013 06:16:35
 :m15: :m15:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Aoya ที่ 20-05-2013 07:50:22
น้องนู  :m15:
พี่ไม่รู้ว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราเจ็บปวดได้มากมายเท่าไหร่
แต่พี่คิดว่าน้องนูได้รับมันมากเกินไปแล้ว

พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่อย่างน้องก็ยังดีที่น้องนูเลือกที่จะมองมันในแง่ดี
ถ้าเป็นพี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่หรือเปล่า  :sad4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: yanggi ที่ 20-05-2013 08:31:32
ไม่รู้คนเราจะทนเจ็บปวดจากการกระทำของคนเดิมๆได้กี่ครั้ง  เป็นเราของไปตั้งแต่ตอนแรกๆแล้วล่ะ
 ทนไม่ไหวจริงๆ  การที่ต้องพยายามประคับประคองขนาดนี้ พี่นูมีความอดทนมากเลยอ่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้พี่นูนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-05-2013 23:59:09
 :mew2:

...........
ความรักเรา ตั้งต้น แต่หนไหน
มันแทรกซึม ซ่าบซ่าน นานเพียงใด
วาบหวามใจ ให้ปลาบปลื้ม ลืมเวลา

อาจจะมี สัมผัสขม ที่ปมลิ้น
อาจจะมี รสขื่นกิน ยามหิวหา
อาจจะมี ฝืนใจกลืน ลื่นคอมา
อาจจะมี ชิมน้ำตา เมื่อห่างกัน

รักหลายรส ซดสาดใจ ได้ทุกเมื่อ
ขอให้เชื่อ ไว้วางใจ ยามขับขัน
ยังมีอยู่ ยังมีเรา ยังมีกัน
เหตุร้ายนั้น จะผันผ่าน คืบคลานไป

ถ้าทำผิด อย่าติดตัว ไม่มั่วซ้ำ
ก็คงช้ำ ไม่ซ้ำเติม เริ่มใหม่ไหว
คนรักกัน ก็คงยอม ให้อภัย
เพราะสำนึก ความผิดไว้ ให้แก่กัน

 :L1:
A beautiful mind!
..ความรักเป็นสิ่งสวยงามดีนะ..

+1 ครับ..นู&นิว


ชิส์..P' New
 :m16:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Gutjang ที่ 21-05-2013 18:22:57
แค่อ่านยังทรมาน แต่น้องนูต้องทรมานกี่เท่ากันนะ ..แต่เราขาดเขาไม่ได้นี่นา

ถ้าถามว่าโง่ไหมที่ยังคงรักคนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ทั้งที่เจ็บซ้ำๆ อย่างนั้น
...ตอบว่า ไม่ เพราะ เรารักเค้า อยากอยู่กับเค้า จะอยู่จนเค้าไม่ต้องการเราจริงๆนั่นแหละ

...อ่านมา 2 วัน เต็ม นอนดึกเลย ^^ ชอบค่ะที่เขียนได้ออกมาได้ดราม่ามาก หน่วงสุดๆ ปวดใจเลย นึกถึงเรื่องของตัวเองทันที แต่เวลามีความสุข อ่านแล้วก็สุขไปด้วย ยิ้มด้วย เวลามันมีความสุขก็โคดจะสุขอ่ะ

รอค่าา



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: j_world ที่ 21-05-2013 19:32:50
สงสารทั้งคู่... การไม่ใส่ใจ การเห็นคนอื่นสำคัญกว่า การนอกใจ เรื่องไหนมันมันเจ็บกว่า  :m15:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-05-2013 22:03:00
เย้  :mc4: ดีใจจังอ่านทันแล้ว จะได้ทันทอดสด
เพราะอย่างไรก็ตามให้กำลังใจนูกับนิวตลอดๆ

อ่านเรื่องของนูแล้ว รู้เลยว่ามีครบทุกรสจริง ๆ
กว่าทั้งคู่จะมีความสุขอย่างตอนนี้ มันช่างเศร้า
นับถือนูมาก ๆ ได้แอบรักเขามาตั้งแต่ ม.1 เลยอ่ะ
อ่านตอนแรก ๆ สงสารนูมาก และโคตรอิจฉานิวเลยอ่ะ
แต่พอมาตอนหลัง ๆ เริ่มที่จะอิจฉานูแล้วล่ะ ที่นิวรักนูมาก
ยิ่งตอนที่นูเริ่มติด msn และที่เริ่มให้ใครอีกคนเข้ามาทับซ้อน
กับนิว นั่นก็คือทอม ก็เริ่มที่จะสงสารนิวแล้วล่ะ นิวใจดีกับนูมาก
ยอมให้นูคุยได้ โดยที่นิวเองก็กังวลว่านูอาจจะไปติดใจใครก็ได้
แล้วสิีงที่นิวกลัวมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ อยากจะรู้แล้วล่ะว่านูจัดการ
ความรู้สึกที่มีต่อทอมอย่างไร เพราะนูคิดว่าความรู้สึกนี้คือรักทอม

และในตอนล่าสุด ก็มีปัญหาของนิวที่ไปมีอะไรกับใคร
โดยความเมาอีก แล้วไม่ป้องกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
คงไม่ใช่เลขาคนนั้นหรอกนะ แล้วผู้หญิงคนนั้นจะท้องไหม
เห็นว่าเรื่องไกล้ถึงปัจจุบันแล้ว หวังว่าคงเคลียร์ในทุกเรื่องแล้ว

ชอบงานเขียนของนูนะ ภาษาสวยดี ยิ่งตอนบรรยายความรู้สึก
ที่นูมีในแต่ละตอน ในแต่ละเรื่องราว ขอบอกโคตรอินเลยค่ะ
ความเจ็บปวด มันมากขึ้นไปตามระยะความผูกพันธ์ของนูกับนิว

เป็นกำลังใจให้นูมาต่อเรื่องอีกนะคะ  :กอด1: นู  :กอด1: นิว
ขอให้นูรักนิว และ นิวรักนู ขอให้นูกับนิวรักกันตลอดไปนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 26-05-2013 01:13:41
อะไรที่มันจะเกิดกับพี่นิวก็ให้มันเกิดกับนู ด้วยนั้น ประโยคนี้ที่พี่นิวได้ยิด.......... คงทำให้พี่นิวสํานึกได้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดดีๆก่อน เพราะว่าผลที่พี่ได้รับมันอาจไม่ใช่พี่คนเดียวที่ได้รับผลนั้นๆ ผลนั้นอาจทำให้คนที่พี่รักรับไปด้วยเหมือนกัน

การมีสตินี่สำคัญมากเลยนะ ทำอะไรไปโดยไม่มีสติผลที่ตามมามันจะ ...แย่... เอาได้

พี่นิวพี่นี่เป็นคนที่โชคดีคนนึงเลยนะที่ได้รับความรักจากพี่นูมากมายขนาดนี้ **จริงๆแล้วอยาก ว่าพี่มากกว่าที่ทำผิดต่อความรักพี่นูมีให้ :beat:

แต่ก็นะ รักษาความรักความผูกพันธ์ขอพี่ทั้งสองใว้ได้ดี ความรักที่เกิดจากคนสองคน อย่าเสี่ยงทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเสียใจ ผลที่ตามมามันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดแน่นอน เดี๋ยวจะมาเป็นทุกข์เอาทีหลัง

ปล.ขอบคุณเรื่องราวมากมายที่มาบอกเล่า แบ่งปันให้กันนะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 26-05-2013 15:04:02
ความเมามั้งจะบังเกิดสิ่งต่างในแง่ลบมากมาย

ดีใจด้วยกับผลเลือด

และน้องชื่นชมพี่นูมาก..ที่มีความรักยิ่งใหญ่ให้พี่นิวเสมอ :)
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2013 01:55:06


โพสท์ตอนสุดท้ายของ Series นี้ก่อนนะครับ อาจจะพรุ่้งนี้ถึงจะมีเวลามาคุย

คิดถึงจริง ๆนะครับ..........อยากให้ทุกคนได้รู้

 :3123:






      หลังจากช่วงเวลาแห่งความวิตกกังวลตลอด 3 เดือนผ่านพ้นไป ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะจบลงอย่างสวยงาม

ชีวิตรักของเราก็กลับมาเหมือนเดิม ผมยังคุยเอ็มฯกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน แต่เน้นหนักไปที่น้องทอม

ส่วนพี่นิวก็ยังคงเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้าน และต่างจังหวัดที่บริษัทไปตั้งไซต์งาน

ซึ่งนาน ๆ ครั้งก็จะไปหาคุณย่าที่บ้านอีกจังหวัดหนึ่งพร้อม ๆ กับไปเข้าประชุมที่สำนักงานใหญ่ด้วย


      อยู่บ้านคนเดียวจะมีอะไรดีไปกว่า การได้เขียนนิยาย คุยเอ็มฯ กับผองเพื่อนพี่น้อง

โดยเฉพาะกับน้องทอม และดูเหมือนน้องจะมีเวลา(ให้ผม)มากกว่าคนอื่น ๆ

      ดังนั้นภาพที่พี่นิวมักจะเห็นทันทีที่ย่างเท้าเข้าบ้านก็คือ ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์




      ในขณะที่ผมสนุกกับสิ่งที่ชอบ ผมไม่เคยสังเกตเลยว่า พี่นิวดูซึมเซาลงไปทุกวัน

จนกระทั่งก่อนเข้านอนคืนหนึ่ง พี่นิวก็ชวนผมไปซื้อกางเกงสแลคใหม่ในวันรุ่งขึ้น

      “พี่นิวไม่ค่อยใส่จะซื้อมาเก็บไว้ทำไมครับ”

      “ที่มีอยู่พี่ใส่ไม่ได้แล้ว อีกสองวันต้องไปงานเลี้ยง ถ้าไม่ไปซื้อวันนี้ พี่คงต้องนุ่งยีนส์

มันคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไร”

      งานเลี้ยงพ่อค้านักธุรกิจ บางงานสามารถแต่งตัวลำลองได้ ยีนส์ทรงสวย ๆ ใส่กับเสื้อเชิ้ตสีสุภาพก็ยังพอได้อยู่

แต่ถ้าพี่นิวเลือกที่จะใส่กางเกงสแลค ก็แปลว่างานนี้คงจัดอย่างเป็นทางการ

      “พี่นิวผอมลงนะครับ”

      ผมเพิ่งจะได้มองพี่นิวเต็ม ๆ ตาตอนที่เขาบอกว่ากางเกงที่มีอยู่ใส่ไม่ได้แล้ว

      “อื้ม”

      “ตึด~~ตึ~~ดึ๊ง~~”

      ความสนใจในเรื่องพี่นิวหมดลงแค่นั้น เมื่อผมได้ยินเสียงส่งข้อความผ่าน MSN ที่คุ้นเคย



   
      การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำให้เวลาว่างของผมในแต่ละวันเหลือน้อยลง

เพราะกิจกรรมของผมมีหลากหลายเหลือเกิน

      ผมเปิดโปรแกรมทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งหน้าจอ WORD  >  เว็บบอร์ดนิยายที่ผมโพสท์

 >โปรแกรมเล่นเพลง  > Webmail ของที่ทำงาน และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือ โปรแกรมแชทผ่าน MSN

โดยที่เวลาส่วนใหญ่ของผมจะหมดไปกับการเขียนนิยาย แต่ทันทีที่ผมเห็นชื่อของ “น้องทอม” ออนเอ็มฯ

 ผมก็แทบจะหยุดกิจกรรมทุก ๆ อย่างในหน้าจอนั้น และพร้อมที่จะเริ่มบทสนทนากับน้องทอมทันที

      บางครั้งผมก็จะร้องเพลงคลอไปกับโปรแกรมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนพี่นิวทัก

      “นึกครึ้มอะไรถึงร้องเพลง”

      ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ทั้งที่ปากก็ยังพะงาบ ๆ เนื้อเพลงไปด้วย พี่นิวเดินมาดูหน้าจอ ด้วยความอยากรู้

จากนั้นก็เดินปลีกตัวออกไป ส่วนผมก็พิมพ์โต้ตอบในกระดานแชทกับน้องทอมตามปกติ

....ชีวิตปกติของผมออกจะรื่นรมย์เกินไปจนไม่ทันได้สนใจคนรอบข้างเอาเลย

      ระยะหลังผมไม่ค่อยได้คุยเอ็มฯ กับพี่ ๆ น้อง ๆ อีก 4 คน บ่อยเท่าน้องทอม

อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างมีภารกิจ ทำให้เวลาว่างไม่ค่อยจะตรงกัน

ในขณะที่น้องทอมพอเลิกเรียนก็กลับห้องมาคุยกับผม วันไหนที่น้องไม่มาก็ทิ้งข้อความบอกไว้

ผมจะได้ไม่ต้องรอเก้อ


      

      ......มีอยู่วันหนึ่ง........

      “นู”

      พี่นิวเรียกผมหลังจากเดินไปเดินมาอยู่นอกห้องหนังสืออยู่พักใหญ่ ซึ่งผมเห็นได้จากหางตา แต่ไม่ได้สนใจนัก

      “ครับพี่นิว”

      ผมขานรับในขณะที่ทั้งมือ ทั้งตา เพ่งความสนใจไปที่หน้าต่างเอ็มฯ

      “พี่หิวข้าว”

      “เมื่อเช้าผมยังไม่ได้ไปซื้อกับข้าวสดเลย พี่นิวรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้อกับข้าวสำเร็จมาให้”

      “อ้าว! ก็ไหนนูบอกว่าวันนี้จะทำไข่ลูกเขยให้พี่ไง”

      “ก็ผมไม่ได้ออกไปซื้อกับข้าวไงครับ น่า...รอผมแป๊บนึง เดี๋ยวน้องทอมก็จะออฟไลน์แล้ว”

      พี่นิวบ่นหงุงหงิง ๆ เดินห่างออกไป ทำให้ผมไม่ได้ยินว่าเขาบ่นอะไร

แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้ใส่ใจเสียงบ่นเท่าไรด้วยแหละ เพราะกำลังคุยติดพันอยู่กับน้องทอมมากกว่า




      ......อีกวันหนึ่ง......

      พี่นิวนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินร่อนไปร่อนมาเสียรอบห้อง ในขณะที่ผมกำลังเก็บที่นอนให้เรียบร้อย

สายตาของพี่นิวสอดส่ายมองทางโน้นทีทางนี้ที เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อลิ้นชักตู้

เดินแวบหายออกไปนอกห้องแล้วกลับเข้ามาใหม่ จนผมเริ่มรำคาญ

      “หาอะไรครับพี่นิว”

      “ผ้าขนหนูผืนเล็ก.....พี่จะเช็ดผม”

      เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จผมยังเปียกฉ่ำอยู่เลย ปกติผมจะพาดผ้าขนหนูสำหรับเช็ดผมให้เขาไว้ที่ราวในห้องน้ำทุกเช้า

แต่วันนี้มัน....ไม่ปกติ ผมรู้สึกผิดนิด ๆอยู่เหมือนกัน

      “เอ้อ...ผมยังไม่ได้เอาไปส่งซักร้านเลยครับพี่นิว”

      “อะไรนะ”

      “ก็....มันลืมนี่ งั้นพี่นิวเอาผ้าผืนใหญ่เช็ดไปก่อนก็แล้วกันนะครับ”

      ผมเดินไปหยิบผ้าอีกผืนที่อยู่ในตู้ให้เขา  พี่นิวทำหน้างง ๆ แต่ก็รับไปโดยดี ท่าทางที่เช็ดผมเก้ ๆกัง ๆ 

คงเป็นเพราะผ้ามันผืนใหญ่เกินไป มันเลยคลุมหัวหูเสียจนมิดหมด ผมมองยิ้ม ๆ ขำก็ขำ

แต่ก็รู้สึกผิดไปด้วย เพราะรู้ดีว่า พี่นิวเคยชินกับผ้าผืนเล็กมากกว่า

      จากนั้นผมก็ไม่ได้นึกถึงมันอีก แค่คิดว่า คราวหน้าคงต้องใส่ใจข้าวของเครื่องใช้ให้มากกว่าเดิม




      หลายครั้งทีเดียวที่พี่นิวต้องเป็นฝ่ายหาซื้ออาหารสำเร็จรูปจากข้างนอกเข้ามากินด้วยกันที่บ้านหลังเลิกงานตอนเย็น

เมื่อโทรเข้ามาเช็คก่อนแล้วว่า ผมไม่ได้ทำอะไรไว้ให้

      และหลายครั้งเหมือนกันที่ ผมบอกเขาว่า “อะไรก็ได้” แต่สุดท้าย สิ่งที่พี่นิวซื้อมาผมกลับไม่อยากกิน

แล้วพี่นิวก็ต้องขับรถออกไปซื้อให้ใหม่

      จากที่เมื่อก่อนนี้เราจะมีอาหารสดแช่ตู้เย็นไว้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีไข่ เนื้อหมู เนื้อไก่

หรือผักสดที่เก็บไว้ได้ 2-3 วัน   อย่างพวกบล็อกโคลี่ แครอท กะหล่ำปลี ประมาณนี้

แต่ว่า นับจากที่ผมตั้งหน้าตั้งตาเขียนนิยาย รวมทั้งมีเพื่อนคุยใน MSN ผมก็ละเลยมันไปโดยไม่รู้ตัว

มิหนำซ้ำ จากที่ผมเคยเป็นคนหาข้าวปลาอาหารไว้รอพี่นิวกลับมากินพร้อมกัน

ก็กลายเป็นว่า พี่นิวเป็นฝ่ายโทรมาถามผมว่าจะกินอะไรดี เขาจะได้แวะซื้อก่อนจะเข้าบ้าน

      แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น หรือแสดงความไม่พอใจ...และผมก็ไม่เคยสังเกตตัวเองว่านิสัยแย่ขนาดไหน

      แล้วอยู่ ๆ คนที่ไม่เคยปริปากบ่น หรือไม่พอใจ ก็เริ่มที่จะ “พูด” บ้าง

      “นู เสื้อสีฟ้าของพี่ยังไม่ได้รีดเลย”

      “ก็ใส่ตัวอื่นที่รีดแล้วไปก่อนสิครับ”

      มันเป็นเช้าที่วุ่นวายเหมือนทุกเช้าของวันทำงาน ผมคว้าเสื้อเชิ้ตสีขาว ตามด้วยกางเกงสแลคสีดำมาสวม

โดยไม่หันไปมองพี่นิว แต่เห็นในกระจกว่าเขากำลังเดินไปเดินมาอยู่รอบ ๆตัว

      “นู”

      พี่นิวเดินมายื่นเสื้อสีฟ้าตัวโปรดให้ผม

      “รีดให้พี่หน่อยนะ”

      “โหย...ไม่ทันแล้วครับพี่นิว เดี๋ยวผมสาย”

      “ก็พี่อยากใส่เสื้อสีฟ้านี่”

      ผมมองไปที่กางเกงสีเทาหม่นที่เขาใส่อยู่ ก็นึกรู้ว่า เขาอยากได้เสื้อที่มัน “เข้าชุด” เป็นสีคู่ที่เขาชอบใส่

ถ้าหากต้องไปติดต่องานแบบสบาย ๆ แต่อยากให้ดูดีหน่อย

ผมเดินไปเปิดตู้ หาดูตัวสีกรมท่า ที่เขาก็ชอบเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยใส่คู่กับกางเกงตัวนี้

“ใส่ตัวนี้ไปก่อนนะครับ”

   พี่นิวรับไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ค้าน จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปทำงานก่อน

โดยที่ไม่ได้สนใจว่าตอนนั้นพี่นิวกำลังทำอะไรอยู่ และจะไปทำงานตอนไหน ซึ่งมันก็เป็นปกติของเราสองคน

.....ตื่นเช้า....อาบน้ำแต่งตัว....แยกย้ายกันไปทำงาน แล้วก็กลับมาเจอกันที่บ้านตอนเย็น ๆ ค่ำ ๆ

      และในตอนหัวค่ำวันนั้นเอง พี่นิวก็กลับเข้าบ้านมาพร้อมกับ ถุงหูหิ้วใส่หมี่สั่วเป็ดตุ๋นของโปรดของผม

กับหมูสะเต๊ะอีกถุงใหญ่ อันเป็นมื้อเย็นสำหรับเราสองคน
 
      ผมยิ้มให้พี่นิวอย่างถูกใจ ก่อนจะสังเกตว่า เสื้อตัวที่เขาสวมอยู่ ไม่ใช่สีกรมท่าที่ผมยื่นให้

แต่เป็นตัวสีฟ้า......ที่เขาขอให้ผมรีดให้

      คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกชายมาแทบไม่เคยให้แตะต้องงานบ้าน ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีคนคอยทำให้ตลอด

แต่แค่เสื้อตัวเดียว ผมก็ยังปฏิเสธที่จะรีดให้เขา จนเขาต้องรีดเอง จากยิ้มบาน ๆ ของผมก็เลยค่อย ๆหุบลง

ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เอ่ยปากอะไรออกไปเกี่ยวกับเสื้อตัวต้นเหตุ

และเลือกที่จะรับถุงใส่อาหารพวกนั้นไปจัดใส่จานเสียเอง

      “พี่นิวอาบน้ำก่อนไหมครับ ผมรอ”

      พี่นิวโอบไหล่ผม แล้วโน้มหน้ามาจุ๊บแก้มผมเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกวัน ก่อนจะเดินขึ้นไปจัดการกับตัวเอง

      บนโต๊ะอาหารที่มีเพียงอาหารที่ง่ายแสนง่าย แค่จ่ายเงินแล้วแลกเอามา หมี่สั่วเจ้าอร่อย

พร้อมหมูสะเต๊ะที่เราสองคนกินได้ไม่เคยเบื่อ อาหารรสชาติดี แต่เหมือนมันไม่ได้ใส่ “หัวใจ”

กินเข้าไปก็ได้แค่อิ่มท้อง แต่ไม่อิ่มอกอิ่มใจอย่างเคย

      .....ในวันนั้นผมไม่เคยจะรู้สึก  ส่วนพี่นิวจะรู้สึกหรือเปล่า.....ผมไม่รู้ และเขาก็ไม่เอ่ยปากมากไปกว่าคำขอให้รีดเสื้อให้

      ......ไม่มีการนั่งรีรออ้อยอิ่งให้พี่นิวกินเสร็จก่อนแล้วเก็บจานไปล้าง ผมก็ปลีกตัวออกมาเสียก่อน

      “พี่นิวกินเสร็จแล้ววางไว้นี่แหละครับ เดี๋ยวผมเก็บไปล้างเอง ผมนัดพี่บีหนึ่ง พี่บีสองคุยเอ็มฯ คืนนี้”


      (****พี่บีหนึ่งครับ พี่บีสองครับ รู้อย่างนี้แล้วอย่าโทษตัวเองว่าเพราะสองพี่ออนเอ็มฯ พี่นิวถึงถูกทิ้งนะครับ

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะผมไม่รู้จักแบ่งเวลาเอง ตอนนี้น้องของสองพี่มีบทเรียนแล้ว    :monkeysad:  )





       ผมทำอะไรได้ตามใจต้องการทุกอย่าง ตราบเท่าที่ผมยังรักษากติกาของการพูดคุยกับเพื่อนใน MSN

ที่เคยตกลงไว้กับพี่นิวตั้งแต่แรก........เคยคิดว่า แค่มีเพื่อนคุยก็พอแล้ว แค่ให้มีเพื่อนที่คุยเรื่องเดียวกัน

แล้วเข้าถึงอารมณ์กันได้ แค่มีเพื่อนที่เข้าใจมุกตลกของเราแล้วขำได้แบบไม่ฝืด ไม่ฝืน มันก็คงเพียงพอ

      แต่เปล่าเลย...........ผมโลภมากกว่านั้น

      เมื่อเริ่มรู้สึกอึดอัดกับคอกที่พี่นิวล้อมไว้ให้ ผมก็อยากจะแหกมันออกไป.....

หากจะทำยังไงดี ผมยังมองไม่เห็นทางออก

      แต่ฉันใดก็ฉันนั้น....ปลากระดี่มันยังแถกโคลนทั้งที่น้ำแห้งได้ 

  ผมที่ฉลาดกว่าปลากระดี่ ก็ต้องมีทางไปได้มากกว่าปลาแน่นอน

      ข้ออ้างที่เป็นทางออกให้ตัวเองก็คือ.....

  ถ้าวันหนึ่งวันใด ที่พี่นิวต้องไปมีชีวิตตามวิถีทางที่ครอบครัววางไว้ให้

ผมก็ควรจะได้สิทธิ์ในการเลือก “ใครสักคน” ที่ผมรู้สึกดีด้วย อาจจะไม่เท่าที่ผมเคยมีต่อพี่นิว

แต่ก็คงดีที่สุดเท่าที่ผมจะเลือกได้..........หากเขาเลือกผม?.....

และหากผมไม่พยายามที่จะเรียนรู้ และทำความรู้จัก “ใครคนนั้น” เสียแต่บัดนี้

โอกาสที่ผมจะได้เลือกคงไม่มีวันมาถึง

      นี่คือข้ออ้างที่ผมเพียรบอกตัวเองเวลาที่ผมตั้งหน้าตั้งตาคุยกับน้องทอม

เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิด เวลาที่พี่นิวกลายเป็นคนนอกสายตา.......

จากวันที่ผมหาข้ออ้างให้ตัวเองได้แล้ว ผมก็เริ่ม “หยอด” น้องทอมอย่างจริงจัง

      ผมไม่รู้ว่าน้องทอมจะรู้ตัวหรือเปล่า เพราะเรื่องราวที่เราคุยกันในแต่ละครั้ง

ไม่ได้มีอะไรที่เรียกได้ว่าพิเศษ  แต่ถ้าการที่ผมทุ่มเทเวลาในการคุยกับน้องทอมมากกว่าใคร ๆ จัดว่าพิเศษ

.... น้องทอมก็กลายเป็นคนพิเศษสำหรับผมไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นน้องทอมยังหมั่นส่งเมล์มาหาผมบ่อย ๆ ด้วยบทความที่ให้ข้อคิดสำหรับคู่รัก

ทำเนียนเหมือนไม่รู้ว่ากำลังโดนผมจีบ หรือไม่อีกที ก็คงส่งสัญญาณบางอย่างเพื่อจะบอกว่า

.....อย่าพยายามเลย



 :3123:



“พี่นูคับผมส่งกฎสิบข้อมาให้นะแล้วอย่าลืม อ่ะ ไม่ใช่....ห้ามลืมสิถึงจะใช่

นำไปปฎิบัติกับพี่นิวนะคับพี่เค้าจะได้รักพี่ของผมมากยิ่งขี้น

  ปล.ห้ามลืมทำเด็ดขาดนะคับพี่นู

 ปล.2 อยากให้ทำข้อเจ็ดถึงสิบทุกวัน”




กฎทองข้อที่ 1

เราจะไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน อย่างที่คนโบราณเค้าว่า

ถ้า..เขาร้อนเป็นไฟ คุณก็ต้องเย็นให้ได้ดั่งน้ำ

 (น้ำเปล่านะ ไม่ใช่น้ำมัน)

กฎทองข้อที่ 2

 เราจะไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด     ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน

กฎทองข้อที่ 3

จำไว้ว่าไม่มีใครชอบคำติ หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำ

อย่าลืมพูดให้หวาน ๆ เข้าไว้

 (ไม่ใช่พูดว่าน้ำตาลๆๆๆนะ)

กฎทองข้อที่ 4

เราจะไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต

ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า

กฎทองข้อที่ 5

ทำให้เขารู้สึกว่า...... เขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ

กฎทองข้อที่ 6

 สัญญากันนะว่าเราจะไม่โกรธกันข้ามคืน

เพราะคุณนั่นแหล่ะจะนอนไม่หลับ

คุยกันให้เข้าใจกันก่อนดีกว่าหันหลังให้กัน

กฎทองข้อที่ 7

คุยกันให้มากหน่อย จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น

จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หนังสือที่คุณเพิ่งอ่านจบ

 ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเราผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม

กฎทองข้อที่ 8

ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็ขอโทษซะ   ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอกน่า

กฎทองข้อที่ 9

อย่าเข้าใจผิดว่าการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง

เพราะการใส่ใจ คือการให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูด แต่ดูทีวีไปด้วย

กฎทองข้อที่ 10

อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า.......เรายังรักกันเสมอ …

กฎข้อทองพิเศษ

การที่จะได้รู้จักใครซักคนเป็นเรื่องวิเศษ

เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาที ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์ที่มีมามันคุ้มกันแล้วเหรอ

 เพียงคำว่าอภัยและปรับตัวเข้าหากันใหม่ สิ่งดีๆ อาจมีขึ้น โดยที่คุณไม่รู้ตัว

 ปัญหาเกิดเพราะไม่คุย ปัญหาเกิดเพราะไม่คิดจะแก้ไข

ปัญหาเกิดเพราะทิฐิ ปัญหาเกิดเพราะคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม

เมื่อความสัมพันธ์เพิ่งเริ่มต้น ปัญหาเกิดเพราะนึกถึงแต่ตัวเอง

คิดว่าทำอย่างนี้ดีที่สุด แล้วอีกฝ่ายคิดแบบเดียวกับคุณหรือป่าว

 สุดท้ายก็มีแต่ความเสียใจ.... หรือคุณไม่ได้รู้สึกอะไรเลย....อาจจะเป็นอย่างนี้....!!!!

คุณเลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เค้าทำ แล้วรักษาสิ่งดี ๆ ต่อไป
 
หรือเลือกที่จะทำลายเมื่อคุณไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการ !!!!



*****(ขออภัยที่ผมไม่สามารถเครดิตที่มาได้ เนื่องจากน้องทอมไม่ได้แนบไว้)    :katai5:


นี่เป็นหนึ่งในเมล์ที่น้องทอมส่งมา เชื่อไหมว่า กฎทองแต่ละข้อที่ผมอ่านผ่านสายตา

 ในหัวผมคิดถึงแต่น้องทอม.....และ.....ผมจะปฏิบัติเช่นนั้นกับน้องทอม

      
      ใช่ว่า น้องทอมจะคุยกับผมเพียงคนเดียว

เขายังมีเพื่อนที่คุยกันในเอ็มฯ อีก 2-3 คน ที่รู้จักกันในบอร์ดนิยายก่อน 

และผมเองนี่แหละที่เป็นคนแนะนำให้พวกเขาได้มาคุยกัน แต่กลายเป็นว่า 

พอได้คุยจนสนิทสนมกันดี พวกเขากลับนัดพบกันโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ไปร่วมด้วย

ไม่ใช่ว่าเขาคบกันลับหลังผม แต่เป็นเพราะพวกเขารู้กติกาของพี่นิวดี

รวมทั้งผมเองก็อยู่ไกล ในขณะที่พวกเขาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

ทั้งที่รู้ข้อจำกัดของตัวเองอยู่แก่ใจ.........ผมก็ยังอุตส่าห์มีอารมณ์  “งอน”  น้องทอมจนได้

โดยที่น้องไม่เคยรู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย

   
   
     เรื่องงี่เง่ามันเกิดจากผมน้อยใจตัวเอง โมโหกฎกติกาบ้า ๆ ของพี่นิว

ที่ทำให้ตัวเองไม่มีโอกาสได้พบปะกับเพื่อน  แล้วไหนจะ 3 คนที่นัดเจอกัน

ทั้งน้องทอม ไปป์ และพี่กล้วย  หลังจากที่เขาแยกย้ายจากกัน

น้องทอมกับไปป์ก็อำผมว่าไปป์ไปค้างที่หอพักของน้องทอม.....

บอกจริง ๆ ว่าผมแทบจะบ้า และมันชักจะบานปลายเมื่อผมโพสท์สถานะใน MSN แล้วพี่นิวเกิดมาเห็นเข้า


มีต่อครับ..........
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2013 02:14:49



 NOO    สวัสดีครับน้องทอม พี่นิวครับ

 TOM    ดีครับ

 NOO    มีอะไรกันหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังบ้างสิครับ

 TOM   ก็ไม่มีหรอกครับแค่ผมจะเลิกเล่นเอ็มน่ะ แต่ไม่ได้บอกใครนะครับ

                               แล้ววันนี้ไม่ได้ทำงานหรอครับ

 NOO  ไม่ได้ทำงานครับ เป็นห่วงเขา ที่ไม่เล่นเพราะนูหรือครับ

 TOM   มันมีปัญหาหลายๆอย่างนะครับ ไม่เกี่ยวกับพี่เค้าหรอก
                             
                             วันสุดท้ายที่คุยกันผมก็มีปัญหาด้วย ผมก็ขอโทษด้วยที่ทำไม่ดีกะพี่เค้า

 NOO   แล้วน้องทอมมีปัญหาอะไรครับ พี่ไม่เห็นว่าน้องทอมจะทำอะไรเลย

 TOM   ไม่มีไรมากหรอกครับมันผ่านไปแล้ว

 NOO   พี่ดูแล้วเขาก็งอนตามปกติ แต่ครั้งนี้พี่เห็นเขาซึมมาก

 TOM   แล้วเป็นไงบ้างอ่ะครับ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เข้ามาเลยครับ

 NOO   พี่สงสัยถามเขาก็ไม่เห็นบอกอะไร

 TOM   สงสัยเค้าจะโทษตัวเองมั้งครับว่าเป็นต้นเหตุน่ะ

 NOO   เขาให้พี่อ่านตอนที่เขาคุยกับน้องทอมครับ

 TOM   ขนาดนั้นเลยหรอผมทำพี่สองคนลำบากอีกแล้ว

 NOO   พี่อ่านแล้วก็จับได้ว่าน้องทอมกับไปป์คงจะอำอะไรไว้ แล้วเขาคิดเป็นจริงเป็นจัง

                               แต่ดูเหมือนจะจบแล้ว เมื่อกี้ก็ได้คุยกับไปป์นะครับ พี่ถามเขาก็เล่าให้ฟัง

 TOM   อันนั้นก็ขอโทษไปแล้วนิครับ เหมือนเราจะคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ

 NOO   นั่นสิครับแล้วตกลงเรื่องอะไรก็ไม่รู้นะ

 TOM   ครับ แล้วตอนนี้เป็นไงหละครับ

 NOO   เขาซึมมาสองสามวันแล้วครับ พี่นึกว่าเพราะพี่เอางานมาให้ทำหรือเปล่า

 TOM   ก็วันสุดท้ายเป็นวันที่ยี่สิบห้านะครับหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เล่นเอ็มอีกเลยนะครับ

                              เลยไม่ได้คุยกัน ที่ไม่ได้เล่นเพราะผมไม่ได้ซื้อชั่วโมงเน็ตนะครับ

 NOO   เขากระตือรือร้นมากเลยพอถึงวันหยุด จากที่เคยตื่นมาส่งพี่ไปทำงานแล้วนอนต่อ

                             เขาก็เปิดคอมออนเอ็มทุกที

 TOM   คงมีเพื่อนคุยเหมือนผมมั้งครับ เพราะปกติผมอยู่ห้องไม่เล่นเกมก็ดูทีวีฟังเพลง

                             แต่พอเล่นเอ็มก็มีเพื่อนคุยได้คุยปรึกษาปัญหากันนะครับ มันก็ดีกว่าที่เราอยู่คนเดี่ยวนะครับ

 NOO   พี่ก็อยากให้เขามีเพื่อนคุยครับ ได้คุยเรื่องที่เขาอยากเล่า ใครก็ได้ที่เข้าใจสิ่งที่เขาเป็นอยู่

                             ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไร พี่จะได้ไปทำงานต่อนะครับ

 TOM   ครับ ไงวันหยุดก็พักผ่อนหน่อยนะครับอย่าทำงานหนักมากนะ ดูแลตัวเองด้วยครับ

 NOO   ขอบคุณครับ น้องทอมก็เหมือนกันนะครับ ตั้งใจเรียนนะ





      
ส่วนไปป์เป็นคนต่อมาที่พี่นิว “ดักเจอ” ใน MSN เพื่อจะถามเรื่องที่ผมโดนไปป์กับน้องทอม “อำ”


 ไปป์     สวัสดีครับพี่นู

 NOO   นูนอนหลับครับ

 ไปป์   ยังอยู่หรือเปล่าครับ

 NOO   พี่ไม่ใช่นู

 ไปป์    งั้นขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ

 NOO   ไปป์ใช่น้องคนที่เขียนนิยายด้วยไหมครับ คนเดียวกันหรือเปล่า พี่มีอะไรอยากจะถามหน่อย

 ไปป์    ใช่ครับ มีอะไรจะถามก็ว่ามาได้เลยครับ

 NOO   ถ้าอย่างนั้นน้องไปป์คงรู้จักพี่นิวนะครับ ตอนนี้นูเขาดูซึมเศร้ามาก พี่ไม่ทราบสาเหตุ

                             แต่ดูเหมือนว่าไปป์กับน้องทอมจะสนิทกัน พี่เข้าใจถูกไหมครับ

 ไปป์   รู้จักครับพี่ ถ้าถามผมว่าสนิทกับทอมหรือเปล่า ก็ตอบว่าสนิทครับ

                             ทอมถือว่าเป็นน้องที่สนิทที่สุดที่ได้คุยกันครับ

 NOO   ไปป์พอจะทราบไหมว่านูเขามีปัญหาอะไรกับน้องทอมหรือเปล่าพี่ถามนูเขาไม่ยอมบอกอะไรเลย

 ไปป์   มีปัญหาไหมผมไม่แน่ใจเหมือนกันแต่เท่าที่คุยกับทอม น้องเขาก็บอกว่าไม่มีอะไรครับ

                              ก็เห็นยังคุยถึงเป็นปกติ

 NOO   ถ้าอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่น้องทอมก็ได้ที่เขาบ่นเป็นเชิงน้อยใจพี่สังเกตว่าเขาซึมๆมาสามสี่วันแล้ว

 ไปป์   แล้วพี่เขาบ่นอย่างไงละครับ ที่บอกว่าเป็นเชิงน้อยใจ

 NOO  เขาไม่ได้บ่นให้พี่ฟังหรอก แต่เขาขึ้นที่status ว่า “รอเค้าทำไม เค้าไม่สนใจเราซะหน่อย”

                             พี่ไม่ทราบว่าเขาหมายถึงใคร แต่ยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับที่เค้าซึมไปแน่เลย

 ไปป์   งั้นก็อาจเกี่ยวกับทอมก็ได้ครับ พี่เขาคงเห็นว่าผมสนิทกับทอมเกินไปนะครับ

                              ก็เจอกันหลายครั้งแล้ว

 NOO   อ้าว แล้วมันเป็นยังไงครับ

 ไปป์   ก็ไม่เป็นไงหรอกครับ กินข้าว  ดูหนังแล้วก็ดริ๊งค์กันนิดหน่อยแต่พี่นูเขาคงคิดมากไปเอง

 NOO   ก็คงใช่นะครับ พี่คงต้องคุยกับเขาจริงๆจังๆเสียที

 ไปป์    ครับ ผมว่าคงต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าใครที่เข้าใกล้กับทอมเกินไปจะต้องโดนกำจัดหมดทุกคน

 NOO   ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าส่วนของน้องทอมไม่ได้โกรธกับนูใช่ไหมครับไปป์

 ไปป์   ถ้าเท่าที่ผมรู้นะ ไม่ครับ แต่ผมก็ไม่ได้คุยกับทอมสองวันแล้วนะครับ




      นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่นิวใช้เมล์ผมออนเอ็มเพื่อจะคุยกับเพื่อน ๆ ของผม

บางครั้งเขาก็จะคุยแทรกระหว่างที่ผมกำลังคุยอยู่ก็มี  แต่ครั้งนี้ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย

มาเห็นอีกทีก็ตอนเปิดบันทึกสนทนาของโปรแกรม MSN .......ผมถึงได้รู้ว่า

ตลอดเวลาที่ผมบ้าบอ ตีลูกซึม ทำตัวเป็นพวกรักคุด พี่นิวห่วงใยผมแค่ไหน


      นอกจากพี่นิวจะ “ดักเจอ” เพื่อนในเอ็มของผมแล้ว พี่บีหนึ่ง กับพี่บีสองของผมก็พลอยโดนยิงคำถามไปด้วย

อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่า ทุก ๆ คนเป็นห่วงผมมาก....มากเสียจนผมอยากจิกด่าตัวเองว่า

มัวแต่สนใจแต่ตัวเอง จนลืมมองเข้าไปในจิตใจของคนที่อยู่รอบตัวผมว่า

เวลาที่ผมเป็นทุกข์ มีใครอีกหลายที่พลอยทุกข์ไปกับผมด้วย



 พี่บีหนึ่ง   ช่วงสองวันมานี้ก็เผอิญไม่ได้คุยกับน้องนูเค้าอะครับก็เลยไม่ทราบ  มีน้องกล้วยอีกคนนะ

 NOO    พี่กล้วยดูเหมือนจะไม่ออนเอ็มครับ ดูเหมือนคุณบีสองจะออนแล้ว ผมขอตัวไปถามเขานะครับ

                          ถ้ายังไม่รีบไปไหนก็อยู่เป็นเพื่อนคุยกันก่อนก็ได้

 พี่บีหนึ่ง   ครับ เป็นห่วงน้องนูเหมือนกัน


................................




 NOO   สวัสดีครับคุณบีสอง

 พี่บีสอง  สวัสดีครับคุณน้องนู

 NOO   ผมนิวครับ ไม่ใช่นู

 พี่บีสอง   อ้าว เป็นไงมั่งครับ

 NOO   นูหลับครับ ผมบังคับให้นอน

 พี่บีสอง   สบายดีไหม

 NOO   ผมสบายดี แต่ไม่ค่อยสบายใจครับก็เขาแหละ ดูซึมๆไปถามอะไรก็ไม่พูด

 พี่บีสอง   ถ้าผมบอกนี้เค้าจะโกรธป่ะเนี้ย แต่ไม่รู้เรื่องเดียวกันป่ะนะ น่าจะเรื่องน้องทอมอะครับ

 NOO   …..ไปป์  says (13:54): *เพราะว่าใครที่เข้ามาใกล้กับทอมเกินไป

                จะต้องโดนกำจัดไปหมดทุกคน*….. ไปป์เขาให้ความเห็นแบบนี้ คุณบีสองพอจะเข้าใจไหมครับ

 พี่บีสอง   เข้าใจนะแต่แรงเกินไปน้องนูไม่ขนาดนั้นหรอก เค้าก็แค่ในเอ็มแค่นั้น

                   ไม่ได้มากกว่านี้เค้ายังเคารพสัญญาของคุณนิวอยู่

 NOO   เขาบอกเรื่องสัญญาของผมด้วยหรือครับ คุณทราบด้วยหรือ

 พี่บีสอง  ครับ แต่ผมก็เข้าใจนะเพราะผมก็มีขอบเขตของผมเหมือนกัน 

แต่อีกเดี๋ยวคงดีขึ้นนะ เค้าจริงจังมากเกินไปหน่อย แต่เค้าก็เป็นคนมีเหตุผลนะ

 NOO   ผมให้เขาเล่นแก้เหงาเท่านั้นเอง


..................................................


 

      ผมอ่านบทสนทนาบทแล้วบทเล่า  เหมือนพี่นิวจะตั้งใจให้ผมได้เข้ามาอ่าน

เพราะเมื่อผมตื่นนอนขึ้นมานั่งเล่นต่อ มันก็ถูกเปิดไว้อยู่แล้ว

วงแขนแข็งแรงอ้อมมาโอบผมไว้ทั้งตัว  ลมหายใจอุ่น ๆ เป่าอยู่เหนือกระหม่อม

ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ผมถอยหลังไปพิงพนักพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขนนั้น

      “พี่รู้แล้วว่าทำไมนูถึงติดเอ็ม”

      “ครับ?”

      “ส่วนหนึ่งมันคงช่วยให้นูหายเหงา ได้เป็นตัวเองอย่างที่นูเป็น แต่ที่มากไปกว่านั้น......”

      พี่นิวจุ๊บหน้าผากของผมเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้

      “พี่ ๆ ของนูน่ารักทั้งสองคนเลย”

      ผมยิ้มกว้างตอบไป พร้อมกับสำทับไปอีกว่า

      “พี่บีหนึ่งกับพี่บีสอง เป็นเหมือนพี่ชายของผมจริง ๆ นะครับพี่นิว”

      ผมบอกไปอย่างนั้น พี่นิวก็เข้าใจ เขารู้ว่าดีว่าหลังจากที่พี่ชายผมแต่งงานออกไปแล้ว

ผมก็แทบจะไม่เหลือความใกล้ชิดใด ๆ อีก ในขณะที่พี่บีหนึ่ง สุขุม นุ่มนวล อ่อนโยนและช่างตามใจผม 

พี่บีสองกลับเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ถึงแม้ในบางครั้งพี่บีสองดูเหมือนจะงัดข้อกับผมเล็ก ๆ และไม่ค่อยจะตามใจ

แต่เพียงผมถูกใครให้ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม พี่บีสองก็ออกอาการเข้าข้างทันที

........น้องพี่ พี่ว่าเอง คนอื่นห้ามแตะ......

พี่บีสองว่าอย่างนั้น แล้วมันก็จริงตามนั้นครับ  เมื่อไรที่ผมเริ่มเอาแต่ใจ พูดไม่รู้เรื่อง ก็มีพี่บีสองนี่แหละ

ที่จะคอยกระตุกให้ได้คิดอยู่เสมอ........แม้แต่พี่บีหนึ่งเอง ที่ไม่เคยจะขัดใจผมเลย

ยังต้องคอยบอกให้พี่บีสอง “จัดการ” เมื่อเขาคิดว่าคง “เอาไม่อยู่” ในบางครั้งบางคราวด้วย

      “แล้วน้องล่ะ......น้องทอมน่ะ”

      พี่นิวถามผมอย่างไม่ค่อยมั่นใจ  แต่ผม....กลับไม่มั่นใจยิ่งกว่า

      “ผมไม่ทราบครับ”

      “บอกพี่มาเถอะ ว่านูคิดยังไง”

      พี่นิวกอดผมแน่นขึ้น

      “พี่ไม่เชื่อว่า แค่การพูดคุยแบบนี้ จะทำให้นูรู้สึกลึกซึ้งกับน้องเขาได้มากขนาดนั้น”

      “ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับพี่นิว อย่าถามผมเลย”

      ......เพราะผมเองก็ยังสับสน.......

      “พี่อยากจะเชื่อว่า เป็นเพราะพี่ไม่มีเวลาให้  เพราะพี่.....เรื่องของพี่ที่ยังคาราคาซัง

มันทำให้นูไม่มั่นใจว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้ยืดยาวแค่ไหน......”

....................

“........พี่ก็อยากจะให้โอกาสนูนะ อยากให้นูได้พบใครสักคนที่เขาจะหวังดีและรักนูได้เท่าที่พี่รัก

  แต่พี่...........ขอนูอย่างเดียว.........”

      ผมยังคงนิ่งฟัง แม้ว่าจะต้องรอให้พี่นิวหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อจะกลั้นเสียงสะอื้น......

ทำไมผมถึงรู้น่ะหรือครับ  ก็เพราะหยดน้ำใส ๆ อุ่น ๆ ที่มันอยู่บนแขนผมนี่ไง เป็นพยานได้ดีทีเดียว

      “พี่ขอเวลา......อย่าเพิ่งไปจากพี่ตอนนี้ได้ไหม”

      ผมพยักหน้าทันที  แต่ไม่ใช่เป็นคำตอบรับว่า

ผมจะให้เวลาพี่นิวตอนนี้ เพื่อที่จะรอให้ถึงเวลาที่เขาพร้อมจะให้ผมไป......

ผมแค่รู้สึกแย่ และเจ็บปวดเหลือเกิน กับหยดน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่บนแขนผมนี่

คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้น้ำตาของเขาหยุดไหล หรือไม่เช่นนั้น

......พี่นิวครับ......อย่าร้องไห้เพราะผมอีกเลย

      เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้......ที่พี่นิวร้องไห้ให้ผมเห็น  ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกผมว่า

 คุณพ่อสอนลูกชายไม่ให้เสียน้ำตาด้วยความอ่อนแอ.......แต่เวลานี้ พี่นิวดูอ่อนแอเหลือเกิน 

แค่เรื่องของผม เรื่องงี่เง่า ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังสับสน และตอบตัวเองไม่ได้ว่า 

นอกจากพี่นิวแล้ว ผมได้เผื่อแผ่ความรักไปให้คนอื่นแล้วจริง ๆหรือ


         



       พี่นิวบอกให้ผมขอบคุณพี่ ๆ ที่คอยเป็นห่วงและให้ความเข้าใจผม แม้ว่าผมจะทำตัวงี่เง่า ปัญญาอ่อน

ทั้งที่เราไม่เคยเจอหน้ากัน.......มิตรภาพสวยงามเสมอ  ถ้าเพียงแต่เราจะหยิบมันมาใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา

      รวมทั้งการอ่านข้อความที่พี่นิวได้คุยกับน้องทอม ก็ทำให้ผมตาสว่าง ใจสว่าง

ผมอ่านทวนแล้วทวนอีก ก็รู้สึกได้ว่า ผมมันบ้าไปเอง ความจริงแล้วการพูดอำกันในระหว่างเพื่อนฝูง

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยสักนิด ถ้าเพียงแต่ผมจะไม่มองอยู่แค่ตัวเองเพียงจุดเดียว

และที่ผมเกิดอารมณ์น้อยใจถึงกับโพสท์ status งี่เง่าให้ใคร ๆ ต้องเป็นกังวล

ก็เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองหมดความสำคัญในสายตาน้องทอมไปแล้ว

......แน่ล่ะ....ผมยังสับสนอยู่เช่นเดิมว่า......

แท้ที่จริงแล้ว ผมรู้สึกดี ๆ กับน้องทอมแค่ไหนกันแน่


      กาลเวลาคงตอบผมได้ดีกว่า  “ใจ”  ของตัวเอง




     สุดท้ายแล้ว เราก็ตกลงกันด้วยความเข้าใจเหมือนที่แล้ว ๆ มา

      พี่นิวไม่หวงห้ามไม่ว่าผมจะพูดคุยในเอ็มกับใคร ตราบใดที่ผมยังยึดกติกาเดิมไว้อย่างเคร่งครัด

      “ส่วนของขวัญ หรือพัสดุที่จะส่งถึงกัน พี่ไม่ว่า มันเป็นสิทธิ์ของนู

แต่นูคงรู้ว่าจะทำยังไงถ้าเพื่อน ๆ อยากตอบแทนด้วยการส่งของกลับมา”

      “ครับ”


      .....ผมนึกถึงใบหน้าน้าจิ๊บขึ้นมาในทันทีทันใด.....







      
      
สุดท้ายของ Series นี้   :กอด1:

1.   พี่นูขอโทษน้องทอม ที่นำเอาเรื่องการพูดคุยระหว่างเราสองคน รวมทั้งของพี่นิวกับน้องทอมมาเขียนโดยไม่ได้ขออนุญาต

พี่นูแค่อยากจะบอกใครอีกหลายคนให้เข้าใจว่า  การพูดคุยผ่านตัวอักษรในโปรแกรมแชท มันไม่ได้หลอกลวงเสมอไป

ความรักความผูกพันมันเกิดขึ้นได้ และงอกงามได้จริง ๆ ซึ่งพี่นูรู้ว่าน้องทอมคงไม่ว่าอะไร เพราะน้องทอมเป็นคนอารมณ์ดี

มองโลกในแง่ดี และเอื้อเฟื้อคนอื่นเสมอ  เพราะอย่างนี้นี่ไง ตอนนั้นพี่นูถึงตอบตัวเองไม่ได้สักทีว่า

ที่จริงแล้ว พี่นูรู้สึกดี ๆ กับน้องทอมประมาณไหนกันแน่  แต่วันนี้พี่นูรู้แล้วนะ

ว่าความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้น้องทอมไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน มันก็ยังคงอยู่.........

ที่เคยคิดว่าเวลาผ่านไปมันคงเจือจางความรู้สึกนั้นได้....ก็เปล่าเลย 

ก็แค่ไม่ได้รัก อย่างที่คิดว่า “รัก” ใครสักคน 

เพราะความรู้สึกนี้ พี่นูมีให้เฉพาะคน ๆ เดียว ซึ่ง.........คุณก็รู้ว่าใคร   :-[

...........ขอให้น้องทอมของพี่นู  เป็นคนที่มีจิตใจดีเช่นนี้ตลอดไป 

ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ขอให้หายและฟื้นคืนในเร็ววัน

.......ขอให้คุณพระคุ้มครองนะครับ


2.   น้องไปป์.....พี่นูต้องขอโทษเช่นกัน ที่เอาข้อความที่น้องไปป์กับพี่นิวคุยกันมาเขียนในนิยายของตัวเอง

  ไม่ว่าเราจะเคยงอนกัน  เคยจิกกัดกันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม  พี่นูรู้ว่า เราสองคนก็ไม่ได้โกรธกันจริงจังหรอก

การห่างหายไประหว่างเราไม่ว่าจะนานแค่ไหน พี่นูก็ยังรอการกลับมาของน้องไปป์อยู่เสมอ

3.   พี่บีหนึ่ง + พี่บีสอง  ผมเคยบอกไปในบ้านของเราแล้วว่า ผมรักพี่ทั้งสองมากนะครับ

และผมก็อยากประกาศไว้ในนิยายของผมอีกสักครั้งว่า ผมรักพี่ทั้งสองมาก.....มากจริง ๆ

แม้ว่าระยะหลังมานี้ เราจะมีเวลาคุยกันน้อยลง แต่ความรู้สึกที่เคยมีก็ไม่เคยเปลี่ยนไป

4.   คนอื่น ๆ..........อีกมากมายหลายคนที่โฉบเข้ามาในชีวิตผมบางช่วงบางตอน ผมยังคิดถึงอยู่เสมอนะครับ

  ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยได้คุยกันใน MSN ตอนนี้ถึงไม่มีโปรแกรมนั้นแล้ว เราก็ยัง skype กันได้

(แม้ว่ามันจะไม่น่าเล่นเหมือนเดิมก็ตาม) หรือแม้แต่เมล์ของผมที่เคยเก็บไว้ ได้โปรดอย่าทิ้งขว้างมันนะครับ

 ว่าง ๆ ก็ส่งความคิดถึงหากันบ้างก็ได้

.
.
.
.
.
.
.

5.   .......เอ่อ..........เยอะไปไหมครับ............ถ้าผมจะบอกว่า....... “ผมรักพี่นิวนะครับ คนดีที่สุดในโลกของผม”
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 27-05-2013 07:50:37
อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกเหมือนจะเม้นไม่ค่อยออกเลยอ่ะ
เพราะความรู้สึกตอนนี้ คือรู้สึกสงสารนิวมาก ๆ เลย
นิวเคยรักและเข้าใจนูอย่างไร ก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น
อะไรหรือใครก็ตามที่ทำให้เราสับสน หรือทำให้ลังเล
เราก็ดึงตัวเองออกมาจากสิ่งเหล่านั้นบ้างก็ได้นะคะ
เพราะอะไรที่ตัดสินใจไปแล้ว จะดึงกลับมามันยากค่ะ

เรื่องคู่หมั้นของนิวก็ยังคงมีอยู่ เรื่องซับซ้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ
หรือสาเหตุที่นิวอยากทำกิจการเองและอยากให้นูมาช่วย
เพราะนิวอาจหวังว่าสักวัน ถ้านิวต้องปฏิเสธเรื่องที่คุณย่าให้ทำ
นิวอาจต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง และพอถึงเวลานั้นนิวจะได้
มีงาน มีเงิน มีทุกอย่าง ที่จะได้ดูแลนูได้่ตลอดไป อย่างไม่ลำบาก
(นิวคิดอย่างนี้หรือเปล่าหว่า) ถ้านิวคิดอย่างนี้จริง ๆ แล้วที่นิวต้อง
มาแบ่งเวลาที่มีกับคนรักให้กับ Internet หรือ MSN (ช่วงที่นิวอยู่กับนู)
ซึ่งเป็นกำลังใจยิ่งใหญ่ที่นิวต้องการ นิวคงจะท้อแล้วก็เหนื่อยมาก ๆ เลยนะคะ

ขนาดเม้นไม่ค่อยออกนะนี่ แต่มันเศร้าจริง ๆ เลยนะคะ
ก็ขอให้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ

 :กอด1: นู  :กอด1: นิว เป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Gutjang ที่ 27-05-2013 08:26:41
social มันมีประโยชน์ แต่ถ้าเยอะเกินไป ไม่สนใจคนรอบข้าง มีแต่เรานี่แหละที่เจ็บ

คุยกันให้มาก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 27-05-2013 12:19:03
นอกใจ กับ นอกกาย อย่างไหนก็ผิดเท่ากัน เฮ้อ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 28-05-2013 00:14:59
ไม่ค่อยได้เข้าไปเลยครับ   งานยุ่งมากกกกเลย  ทั้งเอกสาร งานกิจกรรม  ไหนจะต้องหาน้องๆมาแตะฟุตบอล 7shoot อีก  คุณนูเป็นไงบ้างครับ  สบายดีไหม  ใจจริงอยากอ่านเรื่องต่อ   แต่พออ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกคุณนิวเลย  คุณนิวคงอยากใช้เวลาที่พอว่างกับคุณนิว  เอาไว้คุณนูว่างจริงๆค่อยๆเขียนก็ได้ครับยังไง  เก่งจะติดตามเสมอ  อยากให้ใช้เวลากับคุณนิวเยอะๆ   ขอให้มีสูขกับรักนะครับ   คอมมีไว้คลายเหงา  แต่อย่าใช้ทดแทนความเหงา  เพราะคนที่อยู่ข้างเราเค้าก็คงเหงาเหมือนกัน  ^__^♡♥♡♥♡♥♡♥ :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 28-05-2013 01:30:21


 Aoya   ....ถ้าเป็นพี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังเป็นผู้เป็นคนอยู่หรือเปล่า     

 ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านมาจนถึงวันนี้ได้ยังไง  นึกไปนึกมา เออ เรานี่ก็ทนแดดทนฝนดีเหมือนกันแฮะ    :hao7:

 yanggi    ยังไงก็เป็นกำลังใจให้พี่นูนะคะ 

 พี่นูก็อยู่มาได้ด้วยกำลังใจจากคนในครอบครัว ตอนนี้ได้กำลังใจจากพี่ ๆ น้อง ๆที่นี่ ก็ยิ่งอุ่นหัวใจเข้าไปใหญ่

 broke-back      “......คนรักกัน ก็คงยอม ให้อภัย        เพราะสำนึก ความผิดไว้ ให้แก่กัน....”

   แน่นอนที่สุดครับ นอกจากความรักและความเข้าใจ การให้อภัยก็สำคัญครับ ขอบคุณกลอนเพราะ ๆ ครับ

อ่านแล้วรู้สึกปลาบปลื้มจัง

Gutjang    ...อ่านมา 2 วัน เต็ม นอนดึกเลย ^^ ชอบค่ะที่เขียนได้ออกมาได้ดราม่ามาก หน่วงสุดๆ ปวดใจเลย 

  ชอบมากเลยที่เห็นคนอ่านต้องเสียน้ำตา เพราะผมเสียมาเยอะแล้ว  :sad11:

j_world    ....การไม่ใส่ใจ การเห็นคนอื่นสำคัญกว่า การนอกใจ เรื่องไหนมันมันเจ็บกว่า 

 ผมว่าเจ็บพอกันนะครับ แต่เจ็บแล้วขอให้จบจะได้ไม่เจ็บซ้ำเจ็บซาก

snowboxs      :L2:

 เป็นคอมเม้นท์ที่ยาวมากจริง ๆ ติด ๆ กันถึงสองโพสท์เลยทีเดียว ขอบคุณที่ติดตาม ให้กำลังใจ

และแนะนำอย่างตรงไปตรงมานะครับ  คุณsnowbox คิดได้ใกล้เคียงกับที่พี่นิวทำมากเลยครับ

ผมซะอีกอยู่ใกล้ชนิดจมูกแทบจะชนกัน บางเรื่องผมยังไม่รู้เลย

heroza     :กอด1:

 กอดกัน ๆ  พลาดครั้งเดียวถึงตายได้เลยล่ะครับ โชคดีมหาศาล ที่เราสองคนรอดจากเรื่องนั้นมาได้

namtarn11     น้องชื่นชมพี่นูมาก..ที่มีความรักยิ่งใหญ่ให้พี่นิวเสมอ 

 ตอบแทนที่พี่นิวเค้าก็รักพี่นูมากเหมือนกันไงครับ

Gutjang     คุยกันให้มาก

 เดี๋ยวนี้ก็พยายามที่จะถามโดยไม่คิดเองเออเองแล้วครับ แต่พอพูดกันมาก ๆ เข้า

ก็มีเผลอทะเลาะกันมั่งตามประสาลิ้นกับฟัน   :hao3:

Sofa      นอกใจ กับ นอกกาย อย่างไหนก็ผิดเท่ากัน

  เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัยเลย แต่เค้าก็ให้อภัยผม

 gang      :กอด1: 

  บอกไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนที่ยังเห็นเก่งแวะมาเรื่อย ๆ ขอบคุณครับ





ช่วงที่ผมกำลังเขียน Series 7th ผมวางไว้ว่า Series 8th น่าจะรวบจบได้

จบในที่นี้คือหยุดโพสท์ เพราะไม่มีอะไรให้เล่าแล้ว

นอกจากชีวิตประจำวันของคนทำงานอย่างเราสองคน

อาจจะเขียนตอนสั้น ๆ ก่อนปิดตัวอีกซักตอนนึง เพื่อให้มันไม่ห้วนจนเกินไป

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เป็นช่วงที่ผมวางโครง Series 8th ก็เกิดมีเหตุการณ์ที่ผมคิดไม่ถึง

ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่า มันจะเป็นไปได้จริง ๆ

ก็เลยคิดว่าแทนที่จะเป็นตอนสั้น ก็คงได้ตอนปกติอีกตอนนึง

หลังจากนั้นแล้วก็ยังไม่มีแผนเขียนต่อ

แล้วพบกันใหม่นะครับ แบบว่ายังระบุวันเวลาไม่ได้ตามเคย


 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-05-2013 02:39:20

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เป็นช่วงที่ผมวางโครง Serie 8th ก็เกิดมีเหตุการณ์ที่ผมคิดไม่ถึง

ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่า มันจะเป็นไปได้จริง ๆ

สาธุ ไอ้เหตุการณ์ที่ว่า ขอให้เป็นเรื่องดี ๆ นะคะ
แต่คนอ่านก็อดหวั่นใจไม่ได้ ก็ดูจากที่เล่า ๆ มาซิ
มันไม่มีช่วงไหนที่สุขเต็มเวลาแล้วก็นิ่ง ๆกันเลยนะ
มีแต่สุขบางเวลาซะส่วนใหญ่ เกิดจากนิวบ้างจากนูบ้าง
อย่างไรก็ตาม ก็จะรออ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นนะคะ

เรื่องที่ว่าจะหยุดเขียน ไม่ต้องหยุดก็ได้
แต่นาน ๆ ครั้งมาอัพเดทให้รู้บ้างก็ได้นะคะ
จะทุกข์หรือสุข ก็มาแชร์ให้อ่านบ้างก็ได้ค่ะ
เพราะเต็มใจให้กำลังใจจริง ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 14-06-2013 14:39:49
ยังไงก็เข้ามาบ้างนะครับ  มาพูดคุยกันนะครับ   :mew2: 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-06-2013 23:00:37


เข้ามาแจ้งข่าวครับ เดี๋ยวจะคิดว่าผมหายหัวไปอีกแล้ว

ตอนนี้ผมมาอบรมกรุงเทพครับ กำลังจะกลับแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้คงถึงบ้านตอนค่ำ ๆ

ส่วนคุณพี่ินิวตามมาเมื่อเช้านี้เอง หาเรื่องมาเสียเงินแท้ ๆ เพราะผมมีโปรแกรมชอปปิ้ง

เดี๋ยวจะหาเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้ฟัง

ตอนนี้พอจะมองเห็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้เขียนตอนสั้น ๆ ให้อ่านบ้างแ้ล้ว

ไว้เจอกันใหม่ครับ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์   :bye2:



หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-06-2013 18:07:17
ดีใจจังมีมาบอกล่าวกันด้วย ว่างเมื่อไร อย่าลืมมาต่อนะคะ
จะตอนยาว ตอนสั้น ตอนปัจจุบันหรืออดีต อ่านได้หมดค่ะ

ตอนนี้นูกับนิวอยู่ กทม. เหรอ ระวังสุขภาพด้วยนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 16-06-2013 20:55:17
รอนูนะ   :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 27.05.56 (01.40น.)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-09-2013 16:26:30
รออยู่นะคะนู ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย...พบกันพรุ่งนี้(14.10.56) ค่ำๆ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-10-2013 02:09:28


 :mew3:

ผมกำลังจะลง series ตอนต่อไปครับ คิดว่าคงเข้ามาใหม่ในวันพรุ่งนี้ค่ำ ๆ

ใช้เวลานานมากกว่าเขียนจนจบตอน จะ่ว่ายากก็ไม่เชิง (เพราะของผมยากทู้กกกกตอน)

แต่เพราะเวลา และ อารมณ์ มันไม่สัมพันธ์กันครับ 

เขียนเท่าไหร่ก็ไม่ได้อย่างใจซักที     :z3:   ลบแล้่วลบอีก ก็เลยทิ้งมันไปช่้วงนึงยาว ๆ  55555

ยิ่งหลัง ๆ มานี้ นายจ้างของผมเร่้งรัดเรื่องผลงานมาก ซึ่งก็ถูกเร่งรัดทุกปีนั่นแหละว่างี้ดีกว่า    :ling3:

พอเหนื่อยกับงานมากเข้า หาเวลาหย่อนใจได้ยากขึ้น มันก็ทั้งเหนื่อย ทั้งหน่ายแหละครับ   :mew5:

ระหว่างที่เขียนไป ผมก็นึกชื่อ series ไปพลาง ๆ....เอ้า.......ไม่ง่ายเลยนะ...จริง จริ๊ง

อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ชีวิตผมยังคงดำเนินต่อไป ถ้าผมจะให้ชื่อว่า

series ตอนจบ / series บทสรุป / series สุดท้าย

มันให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตผมมันจบบริบูรณ์แล้ว...ก็ไม่ใช่้อะนะ

กว่าผมจะหาชื่อที่ถูกใจได้ ก็นานทีเดียว    :katai4:

ไหน ๆ มันก็ได้มาอย่างยากเย็น ผมก็หวังว่า จะชอบชื่อมัน เหมือนที่ผมชอบนะครับ





 :really2:

แอบสงสัยว่ายังมีใครอยากอ่านอยู่รึป่าว.....แบบว่าหายหัวนานเกินไป เหมือนตายจาก


แล้วพบกันพรุ่งนี้ครับ

NOO





หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย...พบกันพรุ่งนี้(14.10.56) ค่ำ ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 14-10-2013 06:44:39
รอนะคับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย...พบกันพรุ่งนี้(14.10.56) ค่ำ ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-10-2013 08:05:06
เย้ เย้ กลับมาแล้ว :mc4: :mc4: :pig2:
หายไปนานมากกกกกกกกกกกกกกก
มัวแต่นับเงินละซิ (ทั้งของเขาและของเรา)
ดีใจมาก จะรอจ้า
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย...พบกันพรุ่งนี้(14.10.56) ค่ำ ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ลิงภูเขา ที่ 14-10-2013 14:14:23
ก็ยังรออยู่เหมือนเดิม  :-[

แอบคิดถึงอยู่บ่อยๆ  :man1:

รอ ร๊อ รอ นะครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย...พบกันพรุ่งนี้(14.10.56) ค่ำ ๆ
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-10-2013 19:10:21
think of you!

ดีใจจะได้อ่าน series ของ นู&นิว ต่ออีก

**In the perfect of our love**
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-10-2013 21:18:37

 :hao7: 


  มาดึกไปหน่อย แต่ก็มาล่ะเน้อะ





SERIES ที่ลงเอย




ผมเติมน้ำในกระติกไฟฟ้า เสียบปลั๊ก แล้วถอยกลับมานั่งรอให้มันเดือดอยู่ที่เคาน์เตอร์

บนโต๊ะมีชุดกาแฟถูกเตรียมไว้พรักพร้อม อันประกอบด้วย ถ้วยกาแฟเนื้อเนียนสีไข่ไก่พร้อมจานรอง 2 ชุด

กาชงน้ำชาที่โรยใบชารอไว้แล้ว โถน้ำตาล โกโก้สำเร็จรูปชนิด ทรีอินวัน

และจานเปลสำหรับใส่ของขบเคี้ยว....

ทั้งหมดถูกเตรียมไว้เป็นอาหารว่างยามบ่าย สำหรับคน 2 คน....เอ...ไม่ใช่แล้วสิ....

สำหรับ 1 ท่าน กับ 1 ที่รัก (เอาอย่างนี้ละกัน)



......อดไม่ได้ที่จะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย......



ชีวิตที่ผ่านมาจนอายุขนาดนี้ จะบอกว่ามันราบรื่นไร้อุปสรรคนั้นไม่ใช่แน่ ๆ

แต่จะบอกว่ามันลำบากยากเข็ญ หรือ ทุกข์ทรมานมันก็ไม่ถึงขนาดนั้น.........

ก็แค่ชีวิตหนึ่งที่ดำเนินไปบนโลกใบนี้ ตามหน้าที่ มีวงจรชีวิตที่ไม่ต่างจากคนทั่วไป

เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็คงจะต้องลาลับดับไปสักวันหนึ่ง

   ........ที่มันแตกต่างไปจากชีวิตคนปกติก็คงเป็นที่ ความเป็นเกย์ของผมนี่กระมัง



   หลายคนคงจะเถียงว่า ยุคนี้ใคร ๆ ก็สามารถเปิดเผยกันได้แล้ว มีพื้นที่ในโลกตั้งมากมายที่ยอมรับความรักของเพศเดียวกันได้

หรือแม้แต่ในประเทศไทยของเราก็ยังมีสังคมส่วนหนึ่งให้การยอมรับกันแล้ว

   ที่บ้านเกิดของผมก็เช่นกันครับ.......เห็นเด็กรุ่นน้องเดินเกี่ยวก้อยกอดคอกันแล้วก็ให้รู้สึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก

ผมก็ไม่ได้อยากจะแสดงออกให้มันประเจิดประเจ้อ เพื่อจะอวดใครเขาหรอกครับ 

ก็แค่บางครั้งผมอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่นิว

ไม่ต้องเป็นความลับเฉพาะในครอบครัวของเราอีกต่อไป....จะได้ไหม....มันก็แค่นั้น

   แต่.......

   .....ก็คงทำได้แค่ทำใจ และทำชีวิตตัวเองให้ดี ให้ทุกวันนี้มีความสุขตามอัตภาพก็พอ

ไหน ๆ ก็มีคนรักกับเขาทั้งคนแล้ว  นั่นนับเป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของผมเสียด้วยซ้ำไป

จะมัวเรียกร้องสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถไขว่คว้าได้อยู่ทำไมให้มันทุกข์ใจไปเปล่า ๆ

ถึงแม้ว่าในบางคาบบางครา จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาลองใจบ้าง

ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ “ยุคมืด” นั้นมันผ่านพ้นไปในเร็ววัน   



   ช่วงเวลากว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ผมต้องพยายามเก็บงำการแสดงความรักกับพี่นิวไว้อย่างมิดชิด

เนื่องด้วยเรามีผู้ใหญ่ที่เคารพรักเข้ามาอยู่ที่บ้าน ทำให้รู้สึกถูกลิดรอนอิสรภาพไปบ้างในวันแรก ๆ

แล้วยังก่อให้เกิดความอึดอัดตามมาอีก แต่พอผมคิดว่า ท่านก็แค่มาอยู่เป็นการชั่วคราว

อีกไม่นานท่านก็จะกลับไป ก็ทำให้ผมพอจะทำใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

   น้ำเดือดได้ที่ ผมก็กดใส่กาน้ำชา ตามด้วย ถ้วยกาแฟ จากนั้นก็โรยผงเสพติด ทรีอินวัน ของทักรี่-ที่รัก 

ก่อนจะยกใส่ถาดใหญ่ไปที่หน้ามุข โดยไม่ลืมที่จะจัดขนมปังกรอบอบเนยใส่จานเปลใบสวยไปด้วย

   มุมนี้แต่เดิมเป็นมุมนั่งเล่นของคุณแม่พี่นิว ตอนที่ท่านยังอยู่กับเราที่บ้านนี้ ผมกับคุณแม่เคยช่วยกันหากล้วยไม้งาม ๆ มาตกแต่ง

แรกเริ่มเดิมที จะมีแค่มาดามสีม่วงอ่อน-แก่ ไล่เฉดตั้งแต่ม่วงเข้มไปจนถึงขาวนวล

ผมเคยถามคุณแม่ว่าทำไมต้องเป็นมาดาม ทั้งที่กล้วยไม้ก็มีมากมายหลายพันธุ์ สีสันสวยงามกว่านี้ หรือพันธุ์ที่ “ไฮโซ” กว่านี้ก็มีออกถมไป

คุณแม่มีคำตอบง่าย ๆ ว่า....มันทนดี ออกดอกก็ง่าย เลี้ยงก็ยิ่งง่าย

   แต่ถึงมันจะง่าย ผมก็เห็นคุณแม่ประคบประหงมมันเป็นอย่างดี

จนเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พี่นิวไปเรียนที่ต่างประเทศ  ส่วนผมกลับไปอยู่ที่บ้าน ที่นี่จึงไม่มีใครอยู่ดูแล

มันจึงค่อย ๆ ตายไปทีละกอสองกอ จนตอนนี้เหลือกอเก่าแก่อยู่กอเดียว นอกนั้นก็เป็นต้นที่ผมไปซื้อมาใหม่

และยังคงจัดมุมไว้เหมือนเมื่อตอนที่คุณแม่ยังอยู่ด้วยกันที่นี่......เผื่อว่า วันไหนที่ท่านแวะมาพัก และมานั่งเล่นที่มุมนี้

จะได้มีความสุข เหมือนสมัยที่เรายังอยู่กันพร้อมหน้า

   “ชาระมิงค์หรือเปล่า”

   เสียงเรียบ ๆ ถามออกมาก่อนจะยกถ้วยชาร้อน ๆ ขึ้นจรดจมูก เพื่อสูดกลิ่นที่คุ้นเคย

   “ครับ อบดอกมะลิที่คุณย่าชอบด้วยครับ”

   ผมตอบออกไปด้วยความภูมิใจที่สามารถหาซื้อมาให้ท่านได้

   คุณย่าเป็นคนที่ติดกลิ่นชาระมิงค์มาก จะไปอยู่ที่ไหนก็มักจะพกพามันไปด้วยอย่างน้อยก็หนึ่งกล่อง 

เป็นที่รู้กันว่าเป็นของสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ผมดีใจที่มันเป็นยี่ห้อที่หาซื้อได้ง่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศไทย

ไม่เช่นนั้นวันนี้บ้านเราก็อาจจะไม่มีชาที่คุณย่าชื่นชอบไว้ดื่ม


   มองคุณย่าที่จิบชาร้อน ๆ อย่างมีความสุข ท่ามกลางกอกล้วยไม้ที่ออกดอกสะพรั่ง ผมก็ยิ้มให้พี่นิว

พร้อมทั้งแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนที่เดินกลับเข้ามาในบ้าน ปล่อยให้คุณย่ากับหลานชายคนโปรด นั่งคุยกันไปตามลำพัง


มีต่อครับ

v
v
v
v












หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-10-2013 21:22:53



ย้อนไปเมื่อวันที่เกิดเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญ เมื่อหลายเดือนที่แล้ว อันเป็นสาเหตุให้คุณย่าต้องมาอยู่กับเรา

   “นู....ที่นั่นเป็นยังไงมั่ง”

   “แตกตื่นกันใหญ่เลยครับ ตอนนี้ไม่เป็นอันทำงานกันแล้ว คนออกมาจากตึกกันหมดเลย แล้วพี่นิวล่ะครับ”

   เขาเป็นฝ่ายโทรมาหาผมด้วยความเป็นห่วง เพราะที่ทำงานผมเป็นตึก 3 ชั้น ถึงผมจะอยู่ชั้นสอง

แต่ในเวลาที่เกิดแผ่นดินไหว ก็ควรหลีกเลี่ยงการอยู่บนอาคารสูงไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

   “คนงานแตกตื่นเหมือนกัน ตอนนี้ไม่ยอมขึ้นนั่งร้านกันซะงั้น สงสัยวันนี้คงไม่ทำต่อแล้ว อีกสักพักพี่คงกลับบ้านเลย”

   “อืม....ของผมก็คงกลับเร็วเหมือนกัน ออฟฟิศแถวนี้ก็คงกลับไล่ ๆกัน เหมือนเขาจะถือโอกาสกันนะครับ ฮ่า ๆ

แผ่นดินไหวนิดเดียว ก็ตื่นตกใจกันเป็นแถว นี่ถ้าเจอสึนามิเหมือนที่เขาหลักปีนั้นคงแย่ไปตาม ๆ กัน”

   ผมทำเป็นหัวเราะ ทั้งที่เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ตอนที่รู้สึกว่าที่นั่งมันโคลงเคลง ก็ตื่นตกใจกับเขาเหมือนกันนั่นแหละ

   “นั่นสิ แต่ที่บ้านเราก็ไม่น่าเจอแผ่นดินไหวหนัก ๆอย่างที่อินโดฯหรอก”

   “ว่าไม่ได้เหมือนกันนะครับ แผ่นดินไหวที ก็เกิดรอยแยกของเปลือกโลกที มันอาจจะเปลี่ยนแนวมาเป็นประเทศไทยสักวันก็ได้ใครจะไปรู้”

   “พูดเหมือนอยากเจอนะ”

   “โถ่! พี่นิวก็ ผมก็ปากเก่งไปงั้นแหละ เอาจริง ๆก็กลัวหัวหด ตะกี้นะครับ ตอนที่มันไหวครั้งแรกน่ะ

ผมรู้สึกว่าพื้นมันโคลงเคลง คิดถึงเรื่องแผ่นดินไหวหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริง ๆ”

   “ก็นูไม่เคยเจอนี่ ที่ไซต์งานนี่หนักเลยนะ สลิงก์ไหวไปมาจนน่ากลัวเลยล่ะ คนงานที่อยู่บนนั่งร้าน ร้องโหวกเหวกใหญ่เลย

ไม่ต้องสั่งให้ลงมันก็ตะกายลงมาเสียจนแทบร่วง”

   “นึกแล้วเสียวไส้นะครับ.....”

   ผมกับพี่นิวพูดถึงสถานการณ์เรื่องแผ่นดินไหวอีกสองสามคำ ผมก็จะวางสาย เพราะรู้สึกว่าผู้คนรอบข้างที่แห่กันออกมาจับกลุ่มคุยกัน

เริ่มสลายตัวกลับเข้าที่ทำงานกันบ้างแล้ว หัวหน้าผมก็พยักหน้าชวนให้กลับเข้าไปทำงานต่อ

ก่อนเราจะบอกลากันทางโทรศัพท์ พี่นิวก็พูดขึ้นมาว่า

   “นูพรุ่งนี้ย่าพี่จะมานะ”

   “อะไรนะ คุณย่าน่ะเหรอครับจะมา”

   “อืม....จะมาอยู่ชั่วคราวน่ะ ทางโน้นเขาไม่อยากให้อยู่ กลัวจะเหมือนปีที่เกิดสึนามิ”

   “ครับ”

   ผมตอบรับด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก พูดว่าดีใจน่ะไม่ใช่แน่ แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจหรือไม่อยากต้อนรับ

   “เอายังไงดี นูอยู่ได้ไหม หรือว่าจะกลับไปอยู่บ้าน”

   “ทำไมผมต้องกลับไปอยู่บ้านด้วยล่ะ”

   “อ้าว...ก็เผื่อนูอึดอัดเวลาที่ย่ามาอยู่ด้วย”

   “มันไม่สำคัญหรอกครับพี่นิว ผมแค่....เฮ้อ.... ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณย่ามาอยู่ชั่วคราวแค่นั้นเอง ยังไงก็เป็นคุณย่าของพี่นิว ผมต้องอยู่ได้สิครับ”

   ผมเกือบจะพลั้งปากพูดออกไปว่า ผมแค่คนอาศัย...หลุดปากออกไปพี่นิวคงโกรธอีก

   “อืม...งั้นก็ดี พี่ก็อยากมีนูอยู่เป็นเพื่อน”

   “เป็นเพื่อน?”

   ผมทวนคำของพี่นิวทำเสียงสูงแกล้งล้อ

   “หึ ๆ อย่ามากวน เดี๋ยวจะโดนดี”

   “กล้าเหรอ....คุณย่ามาอยู่ด้วยน่ะ พี่นิวจะมาทำรุ่มร่ามกับผมไม่ได้น้า”

   “ก็ให้มันรู้ไปว่าจะรอดไปได้ตลอด ยังไงย่าก็นอนห้องแม่นู่น”

   “ผมก็นอนห้องผมไง”

   “เหอะ....ถึงจะนอนคนละห้องก็ใช่ว่าจะรอดนะจะบอกให้”

   “ผมจะรอดู ฮ่า ๆ”

   เป็นอย่างที่พี่นิวพูดนั่นแหละ  พอเรามีแขกมาพักด้วย ผมก็ย้ายกลับมานอนห้องตัวเองทุกครั้ง ตามประสาคนขี้กลัว...

กลัวเรื่องของผมกับพี่นิวจะหลุดออกไปนอกบ้าน  ส่วนครั้งนี้คุณย่ามาพักก็คงต้องเปิดห้องคุณแม่ให้ 

แต่จะว่าไปแล้วต่อให้เราสองคนนอนห้องเดียวกัน คุณย่าก็คงไม่มาเปิดดู




   หลังเลิกงานกลับมาถึงบ้าน เราสองคนก็พูดถึงการที่คุณย่าจะมาอยู่ร่วมบ้านอย่างจริงจัง

   “นูอยู่ได้นะ ไม่อึดอัดนะ”

   สีหน้าพี่นิวไม่ค่อยดีนัก จะเป็นด้วยห่วงผม หรือว่า กลัวความแตกก็สุดจะเดา

   “จะบอกว่าไม่อึดอัดก็คงไม่ได้หรอกครับ แต่ผมทนได้”

   “ถึงกับต้องทนเลยเหรอ”

   พี่นิวหน้าเจื่อนลงไปอีก ซึ่งผมเข้าใจว่าในฐานะที่เขาเป็นคนกลาง โน่นก็คุณย่า นี่ก็....คนรัก

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะประสานให้คนที่เขารักทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างดี ไม่มีปัญหา

   “ถ้าผมพูดตรง ๆ พี่นิวก็อย่าเก็บมาคิดมากนะ”

   เขาผงกหัว รอฟัง

   “ผมไม่ชินกับการที่มีผู้ใหญ่มาก ๆ อย่างคุณย่ามาอยู่ด้วย พี่นิวน่าจะรู้ เพราะอย่างนี้นี่ไง เวลาครอบครัวพี่นิวไปเยี่ยมคุณย่าที่โน่น ผมถึงไม่เคยไปด้วยเลย”

   “ชวนก็ไม่ยอมไป”

   “คิดว่าผมไม่รู้หรือไง ว่าฐานะของผมไม่เคยได้รับการรับรองจากครอบครัวพี่นิวที่โน่น”

   พี่นิวทอดสายตามาที่ผมด้วยความเห็นใจ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่การรับผมเป็นลูกบุญธรรมของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้รับการรับรอง

โดยเฉพาะจากคุณย่าซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุด เมื่อคุณย่าไม่รับทราบเสียคนหนึ่ง คนอื่น ๆ  ก็พลอยที่จะเมินเฉยกับผมเป็นธรรมดา

   ผมเคยไปกราบคุณย่าครั้งหนึ่ง หลังจากที่คุณแม่ขอผมมาเป็นลูกร่วมปีแล้ว

คุณย่าไม่ได้ถามอะไรแม้แต่คำเดียว

ไม่....แม้แต่จะพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเองเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งผมในเวลานั้น ไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเลย ได้แต่คิดไปว่า เราเป็นเด็ก ไม่รู้จะคุยอะไรกับท่าน ทั้งในฐานะเด็ก และความเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

แต่ยิ่งนานวัน ผมก็เริ่มเข้าใจจากการสังเกตปฏิกิริยาญาติคนอื่น ๆ ของพี่นิวว่า คงไม่มีใครยอมรับผมเข้าเป็นคนในครอบครัวใหญ่

เพราะเหตุที่คุณย่าเองท่านก็ยังไม่เคยเอ่ยปากรับรอง

   หลังจากที่ได้รู้ ผมก็พยายามทำตัวห่างจากกิจกรรมในครอบครัวใหญ่ของพี่นิว

แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเคยชวนไปหลายครั้ง แต่ผมก็มักจะยกเอากิจกรรมรวมญาติของฝ่ายพ่อมาเป็นข้ออ้าง

ทำให้ท่านไม่รบเร้าอีก เพราะท่านรู้ว่าตลอดเวลาที่ผมมาอยู่กับพี่นิว ผมก็แทบจะไม่ได้กลับไปหาพ่อกับแม่

นอกเสียจากโอกาสสำคัญ และในเทศกาลประจำปีเท่านั้น

   นาน ๆ ครั้งผมจะได้พบคุณย่าของพี่นิว ซึ่งก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่คุณย่าเดินทางมาเยี่ยมเยียนพันธมิตรทางธุรกิจของครอบครัว

และแทบจะไม่ได้มาพักที่บ้านหลังนี้เลยก็ว่าได้ ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะงานเลี้ยงสังสรรค์มักจะจัดที่สมาคมที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่

หรือไม่ก็จัดตามโรงแรม ซึ่งการเปิดห้องพักของโรงแรมต้องสะดวกกว่าที่บ้านแน่ ๆ

ดังนั้นผมคงไม่ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณย่าจะเรียกว่าห่างเหินก็ยังน้อยเกินไป

ส่วนตัวผม.........ผมได้รู้จักคุณย่าผ่านการบอกเล่าและการพูดคุยในครอบครัวของพี่นิวเท่านั้น

ส่วนคุณย่าก็คงไม่ได้ให้ความสนใจผมในฐานะใด ๆ.....

ดีไม่ดี คุณย่าคงจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งผมเคยเข้าไปกราบคารวะท่าน หรือลืมไปแล้วว่า นายนูคนนี้มีตัวตน





บรรยากาศภายในบ้านระหว่างที่คุณย่ามาอยู่ด้วย ไม่ได้เลวร้าย หรือน่าอึดอัดอย่างที่ผมคิด 

ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับการดูแลผู้สูงอายุวัยคุณย่า

บางครั้งก็กลัวจะทำให้ท่านรำคาญที่ผมเป็นผู้ชายซึ่งไม่สามารถดูแลเอาใจใส่ได้ดีเท่ากับผู้หญิง

แต่คุณย่าก็เป็นหญิงเหล็กเสียเหลือเกิน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณย่าถึงได้กุมบังเหียนกิจการของตระกูลมาได้จนป่านนี้

เช้าแรกมาถึง ผมกุลีกุจอตื่นแต่เช้ามืด เพื่อเตรียมอาหาร เพราะพี่นิวบอกว่า คุณย่านั่งโต๊ะอาหารเช้าก่อนเจ็ดโมงทุกวัน

อาหารมื้อแรกผมทำข้าวต้มหมู.....ง่ายแสนง่าย  แต่ทำยังไงถึงจะให้อร่อยถูกปากคุณย่า ผมก็สุดรู้

ได้แต่ทำไปตามความเคยชิน....ตามรสมือคุณแม่ อย่างที่คุณแม่เคยสอน

เจ็ดโมงเช้า ผมยกข้าวต้มหมูตั้งโต๊ะ หลังจากขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมที่จะไปทำงาน

คุณย่าส่งยิ้มน้อย ๆมาให้ พอทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอยู่บ้าง

“ตื่นแต่เช้าสินะ”

“ครับคุณย่า”

พี่นิวเลื่อนเก้าอี้ให้คุณย่านั่ง ตรงหัวโต๊ะที่คุณแม่เคยนั่งเป็นประจำ แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างขวา ส่วนผมนั่งตรงกันข้ามกับเขา ซึ่งก็คือซ้ายมือของคุณย่านั่นเอง

“ย่าได้กลิ่นต้มข้าวแต่เช้า ทำอาหารเช้าเองหรือเราน่ะ”

“ทำบ้างครับคุณย่า แต่ไม่ทุกวัน บางวันก็ซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเอามาอุ่นตอนเช้า”

   (ผมเว้นไว้ไม่ต่อจนจบว่า....บางเช้าพี่นิวต้องหิ้วท้องไปกินที่ทำงาน เพราะผมตื่นสาย ฮ่าฮ่า)

คุณย่าตักข้าวต้มคำแรกขึ้นชิม ผมก็ได้แต่มองตามแล้วลุ้น.....

“อืม....”

“เป็นไงครับย่า พอทานได้ไหม”

หลานชายคนโปรดก็คงจะลุ้นไปกับผมด้วย เขาถามคำถามที่ผมเองก็อยากรู้

“ใช้ได้”

คุณย่าตักหมูก้อนขึ้นชิมอีกคำ ก่อนจะตอบ

“ซื้อหมูสับสำเร็จมาล่ะสิ”

“ครับ มีอะไรเหรอครับคุณย่า”

“วันหลังซื้อหมูสามชั้นมาสับเองดีกว่านะ ของสำเร็จเขาผสมมันหมูมากเกินไป ไม่ดีต่อสุขภาพ แถมบางทีเอาหมูไม่สดมาผสม มันมีกลิ่น”

“เอ้อ...ผมซื้อจากซูเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านน่ะครับ ไม่คิดว่า...”

“ช่างเถอะ ย่าไม่ได้ว่าเรา แค่บอกว่าอย่างไหนมันดีกว่า”

“ครับ”

“แต่ฝีมือเราน่ะใช้ได้ทีเดียวนะ ย่าชอบ”

....คุณย่าชอบ!!......

คุณย่าชอบข้าวต้มหมูที่ผมทำ!!

พี่นิวเหลือบตาขึ้นสบตาผมพร้อมกับนัยน์ตาเป็นประกาย....แอบเชียร์ผมล่ะซี้




เช้าต่อ  ๆมา ผมก็ยังคงเตรียมอาหารให้คนทั้งบ้านเช่นเคย จากที่ไม่ได้ทำอาหารอย่างจริงจังมาร่วมปี ผมก็เริ่มฟื้นฟูเมนูที่ถนัด

โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์  ถ้าไม่มีงานที่ต้องไปสะสางที่ทำงาน ผมก็สรรหาอาหารสดมาปรุง โดยมีคุณย่าคอยบอก 

จากที่ผมเคยรู้สึกเกรง ๆ ในความเป็นผู้ใหญ่ของท่าน  ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ภาพลักษณ์ที่ลูกหลานเห็น

หรือแม้แต่ผ่านการบอกเล่าของพี่นิว ทำให้คุณย่าดูเป็นหญิงเหล็ก ที่จริงจัง และเข้มงวดในสายตาของผมมานานนับสิบปีทีเดียว

แท้ที่จริงคุณย่าก็เป็นเพียงหญิงสูงวัยธรรมดา ๆคนหนึ่ง ที่ยังไม่เคยลืมงานบ้านงานครัว

เพียงแค่มีงานที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าแม่บ้านทั่วไปเท่านั้นเอง

“ใส่กระชายด้วย ไม่ต้องมาก”

   ผมตำเครื่องแกงส้มตามคำบอกของคุณย่า เป็นสูตรของคนภาคกลาง ที่ผมไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก เพราะทำไม่เป็น

แกงส้มปักษ์ใต้เป็นสูตรใส่ขมิ้น และกลิ่นพริกขี้หนูสด ให้รสเผ็ดร้อน

ในขณะที่แกงส้มภาคกลางจะมีรสชาติเบากว่า ใส่กระชายแทนขมิ้นเพื่อกลบกลิ่นคาวของปลาน้ำจืด

และได้ความเผ็ดเล็กน้อยจากพริกเม็ดใหญ่สีแดงที่ตากจนแห้ง แถมก่อนจะเอามาตำเครื่องแกง ยังต้องแกะเอาเม็ดและไส้ตรงกลางออกไปอีก

รสชาติจึงไม่เผ็ดเท่าแกงปักษ์ใต้...และผมก็ชอบรสนี้มากกว่าแกงปักษ์ใต้ด้วยล่ะ

   เมื่อเช้าผมก็ตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปตลาดนัดใกล้บ้าน ตามคำสั่งคุณย่าที่ให้ไปหาผักกระเฉดกับปลาช่อน

และกุ้งสดตัวโตหน่อย คุณย่าอยากกินแกงส้ม หลังจากที่จำเจอยู่กับอาหารเช้ารสชาติจืด ๆ ฝีมือผม

 และอาหารกลางวันจากร้านอาหารตามสั่งที่พี่นิวหิ้วมากินมื้อกลางวันทุกวัน

ส่วนมื้อเย็นก็แกงสำเร็จรูปบ้าง ไข่เจียวบ้าง หมูทอดบ้าง หรือไม่ก็ผัดผักง่าย ๆ ที่ผมสามารถทำได้อย่างรวดเร็วหลังจากกลับจากทำงาน

เพื่อจะได้กินมื้อค่ำพร้อมหน้ากันสามคน

   “ปลาช่อนน่ะต้มก่อนนะแล้วแกะเอาแต่เนื้อมาโขลกกับเครื่องแกง”

   ผมทำตามเป็นขั้นตอน และพยายามจดจำอย่างไม่ให้ตกหล่น เผื่อว่าจะได้ทำให้พี่นิวกินบ้าง

   “เรานี่มันคล่องแคล่วดีนะ”

   ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มรับคำชมของคุณย่า ทันได้เห็นสายตาที่ท่านมองมา....จะเข้าข้างตัวเองไปไหมนะ

ถ้าผมจะคิดว่าท่านก็เอ็นดูผมอยู่เหมือนกัน

   ความรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับคุณย่าลดน้อยถอยลงไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตัวเลย

จากที่ผมคอยแต่จะตัวลีบเมื่อต้องเดินผ่านจุดที่คุณย่านั่งอยู่แม้กระทั่งหน้าโทรทัศน์  ก็คืบหน้าเป็นนั่งดูโทรทัศน์ร่วมกันสามคน

 ราวกับเป็นคนในครอบครัวที่อยู่ร่วมบ้านกันมานาน



   วันเสาร์วันหนึ่งหลังจากที่คุณย่ามาอยู่กับเราได้เดือนเศษ ผมมีกิจกรรมพิเศษที่ทำงาน

นั่นคือการทำความสะอาดเครื่องใช้ไม้สอย พื้นที่ทำงาน รวมไปถึงจัดเอกสารที่สั่งสมมาตลอดปี

นับเป็นกิจกรรมระดับชาติกันเลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะปีนี้มีหนังสืออนุมัติให้ทำลายเอกสารที่เคยเก็บไว้มานับสิบปี

และถึงวาระที่จะต้องทำลายทิ้ง.....เหนื่อยแทบรากเลือด!!!   

นั่นก็เพราะกำลังกายของผู้ชายเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ถ้าหากพนักงานที่ทำงานของเราส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

   ตกเย็นกลับถึงบ้าน เขี่ยขาตั้งรถมอเตอร์ไซค์ลงได้ ผมก็แทบอยากจะลงคลานกันเลยทีเดียว

   ....หอม.....

   หอมกลิ่นต้มหวาน....อะไรสักอย่าง ถ้าไม่ปลาหมึกต้มหวาน ก็คงเป็นกุ้งหวานของโปรดของผม

   ผมเดินตามกลิ่นไป....ไม่ใช่ที่ไหนหรอกครับ แค่ในครัวบ้านเรานี่เอง

   ที่หน้าเตา....ร่างสันทัดที่ยังแลดูกระฉับกระเฉง ของผู้หญิงวัยใกล้แปดสิบ กำลังสาละวนอยู่กับหม้อบนเตา

   “คุณย่าครับ”

   “อ้อ....กลับแล้วหรือ”

   “คุณย่าทำอะไรอยู่ครับ...หอมจัง”

   ความคุ้นเคยที่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้ผมกล้าพอที่จะชะโงกหน้าไปดูในหม้อ  ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน แค่ทักทายแล้วผมก็คงเลี่ยงขึ้นห้องไป

   “ปลาหมึกต้มหวาน”

   ของโปรดผมจริง ๆด้วย

   “ลูกน้องพี่นิวเขาเอาปลาหมึกมาให้เมื่อกลางวัน ย่าก็เลยทำของชอบของเรา”

   คุณย่ารู้!!

   “คุณย่ารู้ได้ยังไงครับว่าผมชอบ”

   “ก็พ่ออะไรล่ะ คนที่ฝากปลาหมึกมาน่ะ เขาบอกย่าว่าเราชอบ ไปบ้านเขาทีไรแม่เขาก็ทำให้ไว้ให้กินประจำ...ไม่ใช่เรอะ”

   “อ๋อ...พี่ขนุนครับ ญาติพี่ขนุนเขามีเรือประมง”

   “นั่นล่ะ....ไปอาบน้ำก่อนไป๊ เสื้อผ้าเลอะเทอะหมดแล้ว เดี๋ยวพี่นิวกลับมาจะได้ตั้งโต๊ะกัน”

   ผมเดินยิ้มอารมณ์เบิกบานขึ้นบ้านไปเพื่อจะอาบน้ำ แต่งตัวลงมารอรับพี่นิว ซึ่งอีกสักพักคงกลับ

เพราะเราคุยกันตั้งแต่ตอนที่ผมยังอยู่ที่ทำงานว่า เขากำลังขับรถออกจากไซต์งานที่ต่างอำเภอแล้ว คาดว่าใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็คงถึง


   ท้องฟ้ายังไม่มืด แค่เพียงสลัวลงเพราะตะวันลับฟ้าไปแล้ว  ผมเดินลงมาชั้นล่างอย่างสดชื่น กระปรี้กระเปร่า 

ผมรู้ตัวดีว่า ไม่ใช่แค่กระแสน้ำเย็น ๆ หรอกที่ทำให้ผมรู้สึกดีขนาดนี้

หากแต่เป็นเพราะว่า ความรู้สึกบางอย่างเปลี่ยนไป....

ที่เคยคิดไว้ว่าบรรยากาศที่บ้านเราคงจะอึดอัด อึมครึม เมื่อมีผู้ใหญ่ที่น่าเกรงขามมาอยู่ด้วย กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

ทุกอย่างดูคลี่คลาย นอกจากนั้นผมยังรู้สึกอบอุ่นคล้าย ๆ กับตอนที่คุณแม่อยู่ด้วยเสียด้วยซ้ำไป

   เสียงพูดคุยดังแว่ว ๆ ตอนที่ผมกำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าห้องครัว พี่นิวคงจะกลับมาแล้ว และกำลังคุยอยู่กับคุณย่า

   “พี่นิวคืนน้องไปซะนะลูก.......”

   ผมไม่ได้ยินประโยคต่อไป เพราะเสียงเปิดน้ำจากก๊อกตรงอ่างล้างจาน

“.................................”

   “.....ถ้าไม่ไหวก็ขายไปซะ ย่าไม่อยากให้เอาน้องเข้ามาเกี่ยว”

   “แล้วที่ย่ารับปากผมไว้ล่ะครับ ถ้าผมทำไม่สำเร็จ ย่าก็จะทวงสัญญาใช่ไหม”

   “เวลาของย่าไม่ได้เหลือเยอะนะ แล้วแต่พี่นิวก็แล้วกัน ที่ผ่านมาพี่นิวก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับย่ามาพอสมควรแล้วนี่ จะทำอีกสักครั้งย่าก็คงรู้ไม่เท่าทันหรอก”

   “ย่าอะ.....-*@#%*--^--...฿= &*-*..]..<#$....”

   “ไม่ต้องมาอ้อนเลย ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวย่าจะตั้งโต๊ะ หิวแล้ว”

   ผมรีบมุดลงใต้เคาน์เตอร์ เมื่อรู้สึกว่ามีใครกำลังเดินออกมาจากห้องครัว  มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ

เมื่อรู้ตัวว่าเรากำลังแอบฟังคนอื่นคุยกัน และไม่อยากถูกจับได้


   ทั้งที่จับต้นชนปลายไม่ได้ว่าคุณย่ากับพี่นิวคุยเรื่องอะไรกัน แต่ลางสังหรณ์ในใจมันบอกว่า ผมน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง

และถ้าเดาไม่ผิด น่าจะคุยกันเรื่องกิจการส่วนตัวของเราสองคน

   อารมณ์ที่เบิกบานแต่แรก ค่อย ๆ หุบลงจนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเองมันมัวซัว

ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นของมันอย่างนั้นเองตามเวลาโลก

ผมรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะเริ่มสงสัยว่าจะเป็นเรื่องที่ผมไปเกี่ยวข้องแน่ ๆ แต่ทำไมผมถึงไม่ได้อยู่ในวงสนทนานั้นด้วย

เป็นธรรมดาที่ผมจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับการสนทนาที่ผมถูกกันไว้ไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้อง.....ถึงยังไงผมก็ยังเป็นคนนอกสำหรับตระกูลพี่นิวอยู่ดีสินะ

   ยามโพล้เพล้ ที่พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว แต่ดวงจันทร์ยังไม่โผล่ แม้แต่ดวงดาวก็ยังหรี่แสง

มีเพียงแสงไฟจากภายในบ้านลอดผ่านบานประตูออกมา

ผมได้แต่นั่งทอดหุ่ยอยู่ตรงหน้ามุขคนเดียวมืด ๆ ไม่ได้ยี่หระกับฝูงยุงที่บินตอมแล้วรุมจิกปากลงบนเนื้อหนัง

เพราะไม่หาญกล้าพอที่จะเข้าไปสู้หน้าคุณย่า ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร....

ผมมันขี้ขลาดเกินไปหรือเปล่า ที่ไม่กล้าเผชิญกับบางสิ่งที่คิดไปเองว่ามันอาจจะทำร้ายจิตใจ หรือ บางสิ่งที่จะทำให้ความสุขลดน้อยลง


   ผมนั่งซุกอยู่ในมุมจนกระทั่งมีเงาทอดบังแสงสว่างตรงช่องประตู

   “มานั่งอยู่ทำไมมืด ๆ ไปกินข้าวกันได้แล้ว”

   “ครับพี่นิว”

   เหมือนหุ่นยนต์ที่มีคันบังคับ บอกให้ทำอะไรก็ทำ เพราะไม่อยากคิด ไม่อยากพูด ขอแค่หายใจอย่างเดียว

   “ไหนล่ะคนชอบปลาหมึก ย่าไม่เห็นเราตักเลย”

   “ครับ”

   พี่นิวมองมาที่ผม จังหวะเดียวกับที่ผมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว....ตาของเราสบกัน .....ผมเห็นแววตาห่วงใยที่มองมา

   ...พี่นิวก็คงรู้ว่าผม “ไม่ปกติ” นัก ในมื้อค่ำมื้อนี้...

   ผมต้องฝืนทำเหมือนไม่มีอะไรในใจ แม้จะยิ้มไม่ออก แต่ผมก็ตักข้าวปลาอาหารใส่ปากจนกระทั่งหมดจานไป ทั้งที่ไม่รู้รสชาติของมันสักนิด




หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-10-2013 22:06:09
ผ่านการทดสอบขั้นต้นแล้ว รอฟังผลขั้นต่อไปจ้า
มาต่อแล้วมาเลยนะ อย่าหายไปนานจนจะลืมแล้ว
สู้ๆค่ะ ดูคุณย่าก็ใจดีนี่ นูชอบตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่า

รอตอนต่อไปค่ะ

 :yeb: :yeb: :yeb:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-10-2013 00:24:46
เคยอ่านเจอมา

..อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด..
..อยู่ท่ามกลางหมู่มิตรให้ระวังพูดจา..

เท่าที่อ่านตอนนี้ที่นูเล่ามา
ไม่เห็นเลยว่าคุณย่าจะน่ากลัวตรงไหน
แต่กลับดูอบอุ่น น่าเข้าไปกอดแล้วซบที่ตักมากกว่า

นู..น่าจะเป็นคนที่คิดมากเอาการอยู่น่ะ
ดีแล้วที่มีที่รักเป็นพี่นิว คอยดูแล เอาใจใส่อยู่ข้างๆตลอด
ที่รักเค้าคงเป็นห่วงมากนะ กับอาการคิดไปไกล ขี้กลัวซะขนาดนี้
 :m29:

ไม่รู้ดิ..ทำไมรู้สึกอยากกอดคุณย่าขึ้นมาซะงั้น
 :กอด1:

บวกหนึ่ง บวกเป็ด ต้อนรับการกลับมาต่อ series อีกครั้ง
 :3123: นู&นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 15-10-2013 01:48:03
ต่อไปจะเป็นยังไงน้า รอลุ้นรีบๆมาต่อนะครับพี่นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 15-10-2013 02:00:39
ฝากประชาสัมพันธ์ค่ะ[/size
   รักใครชอบใครช่วยโหวตให้ด้วยค่ะ สำหรับเรื่องนี้ยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่อง ก็ถือโอกาสขออนุญาตตอนนี้เลยนะคะน้องนู
ขอบคุณที่ไม่ว่าพี่ และขอเสียงโหวตจากเป็ดท่านอื่นด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


รางวัลนิยายสุดประทับใจ :
1.1 พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ โดย NOO โพสต์เมื่อ 27-09-2012
1.2 กรูส์รักเมิงได้ไงว่ะ ไอ้เด็กเเว้น โดย new10 โพสต์เมื่อ 01-06-2012
1.3 ไอ่น้องรหัส..ตัวแสบ โดย ไอ่หนุ่ม หลังไมค์ โพสต์เมื่อ 20-08-2013
1.4 Yes,I love him" โดย jivetea โพสต์เมื่อ 06-06-2013
1.5 รักจริงยิ่งกว่านิยาย โดย jusmintan โพสต์เมื่อ 05-08-2013


2.รางวัลนิยายสุดโศก :
2.1  Unbelievable Love & Unintentional Love โดย rainbow67 โพสต์เมื่อ 11-08-2012
2.2  Office Worker】เผลอรักหนุ่ม OT โดย 403 โพสต์เมื่อ 18-03-2013
2.3

3.รางวัลนิยายสุดฮา :
3.1 กรูส์รักเมิงได้ไงว่ะ ไอ้เด็กเเว้นโดย new10 โพสต์เมื่อ 01-06-2012
3.2 ดีแล้วทูนหัวมีผัวเป็นทหาร โดย AGELA โพสท์เมื่อ 23-05-2013
3.3 รับกระเทยทานเพิ่มไหมคะ โดย น้องฐา โพสต์เมื่อ 27-04-2011


4.รางวัลนิยายใช้ภาษาไทยดีเด่น :
4.1  รักจริงยิ่งกว่านิยาย โดย jusmintan โพสต์เมื่อ 05-08-2013
4.2  พันธนาการ...รัก โดย dek-zaal3 โพสต์เมื่อ 30-12-2012
4.3  พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ โดย NOO โพสต์เมื่อ 27-09-2012
4.4 ดีแล้วทูนหัวมีผัวเป็นทหาร โดย AGELA โพสต์เมื่อ 23-05-2013


5.รางวัลเรื่องสั้นประทับใจ :
5.1 ชื่อนิยาย โดย ชื่อนักเขียน โพสต์เมื่อ ใส่วันเดือนปี
5.2 ชื่อนิยาย โดย ชื่อนักเขียน โพสต์เมื่อ ใส่วันเดือนปี


6.รางวัลนิยายดองเค็มแห่งปี :
6.1 ใครว่าทำดีแล้วได้ดี ทำไมผมทำดีแล้วได้สามีอ่ะ!!โดย ชื่อ Namioto โพสต์เมื่อ 17-05-2011
6.2 ชื่อนิยาย โดย ชื่อนักเขียน โพสต์เมื่อ ใส่วันเดือนปี


7.รางวัลนักเขียนดาวรุ่ง :
7.1 ไอ่หนุ่ม หลังไมค์
7.2 new10
7.3 AGELA
7.4 NOO
7.5  jivetea


8.พระเอกยอดเยี่ยม :
8.1 นัด จาก กรูส์รักเมิงได้ไงว่ะ ไอ้เด็กเเว้น โดย new10 โพสต์เมื่อ01-06-2012
8.2 บอมบ์ จาก ดีแล้วทูนหัวมีผัวเป็นทหาร โดย AGELA โพสท์เมื่อ 23-05-2013
8.3 ตั้ม จาก ไอ่น้องรหัส..ตัวแสบ โดย ไอ่หนุ่ม หลังไมค์ โพสต์เมื่อ 20-08-2013
8.4 พี่นิว จาก พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ โดย NOO โพสต์เมื่อ 27-09-2012
8.5 


9.นายเอกยอดเยี่ยม :
9.1 นู จาก พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ โดย NOO โพสต์เมื่อ 27-09-2012
9.2 นิว จาก กรูส์รักเมิงได้ไงว่ะ ไอ้เด็กเเว้น โดย new10 โพสต์เมื่อ01-06-2012
9.3 น้องภู จาก รักข้ามรั้ว...ไอ้ตัวแสบ โดย K.Pupoom โพสต์เมื่อ 23-11-2011
9.4 วาย จาก ไอ่น้องรหัส..ตัวแสบ โดย ไอ่หนุ่ม หลังไมค์ โพสต์เมื่อ 20-08-2013


10.ตัวร้ายยอดเยี่ยม :
10.1 ชื่อตัวร้าย จาก ชื่อนิยาย โดย ชื่อนักเขียน โพสต์เมื่อ ใส่วันเดือนปี
10.2 ชื่อตัวร้าย จาก ชื่อนิยาย โดย ชื่อนักเขียน โพสต์เมื่อ ใส่วันเดือนปี


11.นักอ่านยอดเยี่ยม
   - สมาชิกเล้าเป็ดทุกคน

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-10-2013 12:10:30
นูมาอัพเดทเรื่องราวให้รู้แล้ว คนเราในแต่ละวันมันก็มีเรื่องไม่ซ้ำกันเลยเนอะ
แต่นูก็ยังคงเข้มแข็งและสามารถผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะคะ

เป็นกำลังใจให้นูกับนิวเสมอนะคะ สู้สู้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 16-10-2013 06:07:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 16-10-2013 09:18:04
 o15 o15 o15 o15 o15
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (14.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 16-10-2013 09:20:35
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-10-2013 00:13:19


ขอบคุณทุก ๆคนนะครับที่ยังรอคอยแม้ว่าเจ้าของกระทู้จะัทิ้งไปนานแสนนาน

แต่ผมก็เป็นคนรักษาคำพูดนะเออ บอกซะก่อน

สัญญาว่าจะโพสท์จนจบก็ต้องจบครับ ถ้ามาไม่ได้ ก็จะฝากคนอื่นไว้ให้มาโพสท์แทน

แต่ตอนนี้ยังมาเองได้อยู่ ก็อยากจะบอกว่าคิดถึงนะครับ คิดถึงจริง ๆ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม การรอคอย ถ้อยคำให้กำลังใจ

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คอมเม้นท์ที่เสมือนข้อเตือนใจของคุณ broke-back

ไม่ว่าผมหรือใคร ๆ ก็เก็บไว้บอกตัวเองได้ครับ

.."..อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด....อยู่ท่ามกลางหมู่มิตรให้ระวังพูดจา...."

สุดท้ายคือขอบคุณพี่เอม-อยากรัก สำหรับ โหวต  ทั้งนิยาย และตัวละคร

ผมคิดเสมอว่า ตัวเองไม่ใช่มืออาชีพ ยังมีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง แก้ไข

และอีกหลายอย่างที่ต้องการคำีชี้แนะจากนักอ่านทุกคน

แต่เหนืออื่นใด ผมมีความสุขที่ได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้

หากมันจะทำให้ทุกคนที่ได้อ่านมีความสุข ผมก็รู้สึกดีใจมากแล้วครับ

ไม่ต้องมีรางวัลผมก็พร้อมจะนำเสนอ(หน้า)

หรือหากมันจะทำให้หลายคนต้องเสียน้ำตา ก็ขอให้ถือเสียว่า

ทุกชีวิตต้องพบเจอ ต้องผ่านความสุข ทุกข์ โศก จะได้สบายใจว่า.... ตูข้าไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว....

แม้ผมเองจะดูเหมือนว่าโชคดีที่มีคนที่เรารัก และคนที่รักเรา แต่มันก็หวานอมขม ผสมผเสกันไป

จนบางคนอาจจะคิดไปว่า อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องมีใครยังดีเสียกว่า ไม่ต้องมีความทุกข์ใจ

คืนนี้ออกจะดึกไปหน่อยนะครับ ผมโพสท์ 2 ที่ ต้องลงในบ้านตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะมาที่นี่ได้

มันเป็นพันธสัญญาทางใจครับ ไม่ว่ากันนะ





 :n1:









   รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ คุณย่าให้พี่นิวขับรถพาไปเยี่ยมญาติครอบครัวหนึ่งซึ่งอยู่ต่างอำเภอ ในขณะที่ผมนึกอยากพักผ่อนมากกว่า

เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ แต่ติดที่คำขอของคุณย่า

   “นั่งไปเป็นเพื่อนพี่นิวด้วยสิเราน่ะ  บ้านโน้นมีแต่คนแก่ ๆ พี่นิวคงไม่มีเพื่อนคุย”

   ตอนสาย ๆ เราจึงออกรถกัน ระหว่างทางคุณย่าแวะซื้อขนมเปี๊ยะที่ร้านเก่าแก่แห่งหนึ่งเพื่อจะไปฝากญาติที่เราจะไปเยี่ยม

พอเห็นขนมที่ร้าน คุณย่าก็นึกอะไรขึ้นมาได้

   “เออ...ย่าลืมไปเลยพี่นิว  กว่าเราจะกลับก็คงบ่าย ๆ ย่าไม่ได้เอาชามา แถวนี้มีร้านไหนขายชาของย่าบ้างไหมนี่”

   “ผมเอามาด้วยแล้วครับคุณย่า”

   ผมหันไปบอกคุณย่าที่นั่งเบาะหลัง

   “อ้าว....เหรอ....เออ ดี ๆ ลูก คนแก่ขี้หลงขี้ลืมก็เป็นภาระลูกหลานแบบนี้ล่ะนะ”

   “ไม่หรอกครับย่าปกติถ้านั่งรถไปไหนไกลหน่อย นูเขาก็จะเตรียมเครื่องดื่มกับของว่างเผื่อทุกครั้งแหละ ถึงย่าไม่อยู่ก็เถอะ”

   “งั้นเหรอ ขอบใจนะ”

   “ไม่เป็นไรครับ คุณย่าจะทานขนมกับน้ำชาเลยไหมครับ ผมชงใส่กระติกมา”

   คุณย่ายิ้มให้พร้อมกับบอกว่า ขอลงไปเลือกขนมก่อน เสร็จแล้วขอจิบชาหนึ่งถ้วยกับขนมเจ้าอร่อยที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน

   ความรู้สึกยินดีที่ได้ทำบางสิ่งบางอย่างให้กับคนอื่นมันดีเช่นนี้เอง แค่เพียงคุณย่าส่งยิ้มมาพร้อมคำขอบใจ

ผมก็พร้อมจะลืมสิ่งที่ได้ยินกระท่อนกระแท่นเมื่อวานนี้ให้หมด....บางทีผมคงคิดมากไปเอง

คุณย่ากับพี่นิวอาจจะแค่ปรึกษาหารือเรื่องธุรกิจกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับผม


   ออกมาจากบ้านญาติคนนั้นเอาตอนบ่ายจัดแล้ว ผมรู้สึกเพลีย ๆ อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยล้ามาจากเมื่อวานนี้

แล้วยังพักผ่อนไม่เต็มที่ ขากลับก็เลยถือโอกาสหลับมาในรถ แต่ยังไงก็หลับไม่สนิท

ทั้ง ๆ ที่ง่วงงุน แต่ประสาทหูก็ยังทำงาน

   “ย่าจะปลดเกษียณแล้วนะพี่นิว”

   “ก็ดีครับ ย่าจะได้พักผ่อน”

   “ย่ามาอยู่กับพี่นิวได้ไหม”

   “ย่าจะอยู่ได้เหรอครับ ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้าน อย่างที่ย่าเห็นน่ะแหละ นูก็ไปทำงาน เราสองคนคงไม่ค่อยได้ดูแลย่านะครับ”

   “ถ้าย่าจะอยู่จริง ๆ ก็ไม่ต้องให้เราสองคนมาดูแลหรอก ย่ายังไม่แก่ขนาดนั้น ย่าจะเอาคนมาอยู่ด้วย

จะได้ดูแลเราสองคนไปด้วย อย่างน้อยก็ดูแลบ้าน ดูแลเสื้อผ้าให้”

   “ก็แล้วแต่ย่านะครับ”

   ดวงตาผมปิดสนิท แต่สมองกลับคิดวุ่นวาย.....ถ้าคุณย่ามาอยู่ด้วยจริง ๆ......



   .......................................



ผมจะทำยังไงดี?

v

v

v

v

v
มีต่อครับ


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-10-2013 00:16:20



คุณย่ามาอยู่เสียหลายเดือน  ราวกับว่าได้เกษียณจริง ๆ อย่างที่พูด

แต่ไม่ใช่หรอกครับ.....ก็แค่มาอยู่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ........

หลังจากที่ผมได้ยินในรถวันนั้นแล้ว ก็ยังไม่มีคำยืนยันชัดเจน และคุณย่าก็ยังคงเป็นผู้บริหารสูงสุดของกิจการกงสีเหมือนเดิม

ในระหว่างนี้ยอดค่าใช้จ่ายจากการใช้โทรศัพท์ที่บ้านพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

เนื่องจากคุณย่าโทรไปที่ออฟฟิศใหญ่ทุกวัน จนบ้านเรากลายเป็นกองบัญชาการไปแล้ว

เงินค่าใช้จ่ายประจำบ้านที่คุณแม่โอนมาให้ทุกเดือนเคยเหลือทิ้งไว้ในบัญชี ช่วงนี้กลับไม่เหลือเลย

เดือนที่ผ่านมาต้องจ่ายค่าล้างแท็งก์น้ำ เดือนถัดมาซ่อมแอร์ ทำให้ต้องดึงเงินคงเหลือในบัญชีที่สะสมไว้มาเป็นค่าใช้จ่ายชดเชย

ผมกำลังจดตัวเลขลงสมุดบัญชีตอนที่พี่นิวเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นเช็คให้ บอกว่าให้เอาไปเข้าบัญชี

“โห....ตั้งแสนห้า”

ผมพึมพำตาโต จำได้ว่าลายเซ็นบนเช็คเป็นของคุณย่า กับคุณลุง พี่ชายบุญธรรมของคุณพ่อ

ซึ่งมีอำนาจในการสั่งจ่ายเงินจากบัญชีบริษัท ผมรับมาพร้อมกับถามออกไป

“ค่าอะไรครับ”

“ค่าที่พักพร้อมอาหาร”

ผมขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่นิวอย่างงง ๆ

“คุณย่าให้มา บอกว่าเอาไว้เป็นค่ากับข้าว”

พี่นิวตอบยิ้ม ๆ

“สั่งพี่ว่าต้องให้นูนะ ห้ามเอาเข้าบัญชีส่วนตัว”

“มันเยอะอะพี่นิว ไปเอามาทำไมก็ไม่รู้ คุณย่าแค่มาพักผ่อนกับเรา ทำไมต้องให้เงินตั้งเยอะตั้งแยะด้วยล่ะครับ”

พี่นิวขยี้หัวผมเบา ๆ แล้วก็แกล้งว่าปนหัวเราะ ก่อนจะเดินไปทำงานของตัวเองที่โต๊ะหน้าโทรทัศน์

“สงสัยย่ากลัวนูให้กินข้าวต้มทุกวันมั้ง”

ผมเดินหาคุณย่า เพื่อจะขอบคุณที่ตีเช็คมาให้

คุณย่าคงรู้ว่าช่วงที่มาอยู่ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก

แต่ถึงจะมากแค่ไหน พี่นิวก็เป็นหลาน แถมยังเป็นหลานคนโต คนโปรดอีกต่างหาก

แค่คุณย่าคนเดียวไม่ได้ทำให้เงินในบัญชีค่าใช้จ่ายของบ้านร่อยหรอลงไปเท่าไรเลย

ส่วนค่าโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้น เอาเข้าจริง ๆแล้ว เราทำเรื่องขอเบิกไปที่บริษัทตามตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงก็ยังได้

คุณย่ากำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนหลังที่หน้ามุข อากาศร้อนไม่มาก ได้ลมโชยมาก็พอจะบรรเทา ไปบ้าง

“คุณย่าครับ”

“มีอะไรหรือเรา”

“ผมมาขอบคุณคุณย่า”

“อืม...เก็บไว้ทำของอร่อย ๆให้ย่ากินก็แล้วกัน”

“แต่มันมากเกินไปนะครับ”

“ไม่หรอก เดี๋ยวย่าก็จะมาอยู่ด้วย ย่าให้แค่นั้นแหละ เลี้ยงย่าตลอดชีวิตไหวไหมล่ะ”

คุณย่าพูดยิ้ม ๆ ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีขึ้นมาก จากที่ผมเคยคิดว่าคุณย่าคงจะดุน่าดู เดี๋ยวนี้ก็ชักจะเปลี่ยนความคิดไปแล้ว

แต่ผมอึ้ง!! .......ไม่ได้เตรียมตัวกับคำตอบแบบนี้

โดยฐานะที่แท้จริง ผมไม่ได้เป็นอะไรกับตระกูลนี้เลย แล้วผมจะพูดอะไรได้นอกจาก

“คุณย่าจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ครับ พี่นิวเป็นหลานยังไงก็ต้องเลี้ยงคุณย่าไหวอยู่แล้ว”

“ฉลาดตอบนะเราน่ะ.....ย่าพูดเล่นหรอก”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี แต่จะลุกขึ้นแล้วเดินออกมาตอนนี้ก็ยังไงอยู่ แล้วดูทีท่าคุณย่าเหมือนมีเรื่องจะคุยกับผมต่อ

เพราะท่านขยับท่าที่กำลังเอนหลังเป็นนั่งตัวตรง

“ย่ามาอยู่ตั้งนานแล้ว ยังไม่เคยรู้เลยว่านูทำงานที่ไหน รู้แต่ว่าทำงานธนาคาร”

“ผมอยู่ธนาคาร XX ครับคุณย่า”

“อืม...บ้านเรามีบัญชีธนาคารนี้ไว้รับเงินค่าจ้างเหมางานเท่านั้นเอง อยู่ที่โน่นมันสะดวกธนาคารใกล้บ้านมากกว่า

เป็นลูกค้ากันมานานเสียจนรู้จักคุ้นเคย ไม่อยากย้ายไปที่อื่น”

บริษัทกงสี มีบัญชีกับธนาคารถึง 4 แห่งด้วยกัน ในบัญชีของ 3 ธนาคาร ยกเว้นธนาคารนายจ้างของผม มีเงินหมุนเวียนธุรกิจรวมกันนับร้อยล้านต่อปี

“ต้องหาเงินฝากเยอะไหมล่ะ”

“ก็พอสมควรครับคุณย่า”

“เดี๋ยวย่าจะให้พี่นิวเอาเงินไปฝากให้สัก 5 ล้าน”

“ขอบคุณครับคุณย่า แต่ผมเกรงใจ....”

“เกรงใจทำไม เป็นลูกเป็นหลานบ้านนี้ แต่ไม่มีเงินฝากของที่บ้านไปช่วย ย่าก็อายเขาแย่สิ”

   ประโยคนี้ของคุณย่า ทำเอาผมตื้นตันจนน้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะได้ “เงินฝาก”

แต่เป็นเพราะคำว่า “เป็นลูกเป็นหลานบ้านนี้” ต่างหาก


   ....นี่ใช่ไหม คำรับรองที่ผมไม่เคยได้รับจากครอบครัวพี่นิว....

ผมลงไปคุกเข่าที่พื้นตรงหน้าคุณย่าแล้วกราบไปบนตัก พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณออกไป รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมือที่ลูบลงมาบนหัวเบา ๆ

“ตั้งใจทำงานนะเรา ขยันขันแข็งเข้า เป็นผู้จัดการเมื่อไร ย่าจะฝากให้สัก 20 ล้าน”

“โอ้โห....มาประจบขอเงิน 20 ล้านกับย่าเหรอเนี่ย”

เสียงหลานคนโปรดของคุณย่าดังอยู่เหนือหัวผมนี่.......แอบย่องมาไม่ให้ได้ยิน

“กลัวผมประจบขอเงินจริง ๆเหรอครับ”

“จริงไม่กลัว กลัวไม่จริง...นะครับย่า”

และแล้วอากาศรอบ ๆ ตัวที่ว่าร้อนก็เริ่มคลายลง ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันแสนสุขของครอบครัว



ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้สัมผัสคุณย่าในมุมนี้

ความเอื้อเอ็นดูที่ส่งผ่านมาให้หลายต่อหลายครั้ง ทุกวันที่ได้อยู่ร่วมชายคา พอกพูนความรู้สึกเคารพรัก และยำเกรงไปในเวลาเดียวกัน

แม้ว่ายังมีบางเรื่องราวที่ยังไม่คลี่คลาย

แต่ในวันนี้ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขได้โดยไม่ต้องหลอกตัวเอง หรือทำใจให้ยอมรับกับสถานะที่เป็นอยู่.....

มันเป็นความสุขที่อิ่มเอิบอยู่ในหัวใจเงียบ ๆ กับครอบครัวเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่เคยคิดฝันมาก่อน







*************



พรุ่งนี้อาจจะได้แวะมานะครับ แต่ไม่รับปาก เผื่อเหนื่อยจนไม่ไหว เพราะมีประชุมตอนเย็นครับ

กินข้าว อาบน้ำ เสร็จจะไปให้ที่รักตบตูดกล่อมนอนซะหน่อย

 :z1:

คืนนี้.....ราตรีสวัสดิ์ครับ

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Feuy_qty ที่ 17-10-2013 02:15:02
คืนก่อนอ่านถึง 6th page ซัดไปตีห้า ตื่นเจ็ดโมงไปทำงาน
ในสภาพซอมบี้มากจนที่ทำงานสงสัย
เมื่อคืนกะเอาให้จบ แต่อ่าน 7th page ไปครึ่งเดียว น๊อกจ้ะ
สลบยันเช้า น้ำไม่ได้อาบด้วย กร๊ากกก
คืนนี้เลยเข้ามาอ่านต่อ ยังไงต้องเอาให้จบ ใช้เวลาตั้งแต่ห้าทุ่มจนตีหนึ่งกว่า
อยากจะกรี๊ดอยากจะวิ่งรอบบ้าน คือดีใจตามทันแล้วว จะได้นอนแล้วว..
แต่ยัง ยังไม่จบแค่นั้น นูเข้ามาอัพตอนล่าสุดอีก จัดต่อเลยคร่าาา
จากนี้ก็จะรอเกาะติดชีวิตนูนิวต่อไป จนกว่าจะหมดสัญญาของนูล่ะนะ
ตอนนี้ก็ตกหลุมรักนูนิวไปแล้วเรียบร้อย แอบเสียดายเหมือนกันนะที่เพิ่งมาเจอ
ชีวิตรักของนูนิวสอนอะไรเยอะอยู่เหมือนกันนะ เป็นนิยายดีมีประโยชน์ว่างั้น 5555 

ปล.เคยมีใครถามมั๊ยว่านูคิดจะรวมเล่มรึป่าว คืออยากให้ทำอ่ะ ..แต่สงสัยนิวจะไม่ยอม แค่มาโพสนี่ก็หวิดจะมีมวยแล้ว 555
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 17-10-2013 02:25:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 17-10-2013 09:31:57
โห มาเสียตอนคนอื่นเขานอนกันแล้ว ไม่หลับไม่นอนหรือไง แล้วกล่อมพี่นิวนอนหรือยังล่ะ

เข้าเรื่อง ตอนนี้พี่รู้สึกรักคุณย่าขึ้นมาแล้วเกือบจะเท่ากับรักคุณแม่ คุณย่าคงเห็นถึงความดี
การปฏิบัติตัวของน้องนูที่ดูแลหลานในใส้ของคุณย่าและดูแลคุณย่าอย่างดี เป็นแม่บ้านที่ดี(มั้ง)ของนู อิอิ
จริงๆคุณย่าก็ใจดีเหมือนกันนี่ น้องนูเป็นประเภทวิตกจริต ทำเอาพี่เครียดเป็นปีๆแถมหายไปนานนนนนนนนนนมาก
จนคนอ่านลืมเลย
ตอนนี้มาแล้วมาเลยนะ ขยันมาอัพหน่อย(อย่ามาดึกเพราะพี่เด็กอนามัย)

จะรอตอนต่อไปจ้า
 :katai2-1: :katai4: :katai2-1: :katai4:

ปล. 1.ฝากกราบคุณย่าที่เริ่มรักน้องนู  :o9:
      2.บอกขอบคุณพี่นิวที่รักน้องนู :give2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-10-2013 22:13:41
พี่นิวออกมาพูดแค่ไม่กี่ประโยค..ตอนท้าย
แต่ไง..เอาใจเราไปได้หมดเลย
 :-[

คนอบอุ่น น่ารัก
ใครอยู่ใกล้ๆ ก็สัมผัสได้
จริงม่ะ..คุณนู
  :mew1:

คนเราตอนที่ยังไม่รู้จักกันมากนัก
ก็มักจะคิดไปเอง ต่างๆนานา
แต่พอได้มาอยู่ใกล้ๆ ใต้หลังคาเดียวกัน
ก็จะรู้เองว่า..อยู่ร่วมกันได้หรือเปล่า

อันนี้คงยืนยันได้จาก...คุณย่า กับ คุณนู
พอจิตสัมผัส ใจก็ขานรับต่อเนื่องกันไป

 :กอด1: ดีใจด้วยครับ
คุณย่า..พี่นิว..คุณนู

อบอุ่นดีครับ
+1 แถมเป็ด ที่ให้ความรู้สึกดีดี
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-10-2013 01:46:39
รอตอนต่อไปค่า
 :วู้วว1: :วู้วว1: :วู้วว1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: mengsama ที่ 20-10-2013 06:54:19
น่ารักเหมือนเดิม ^^ 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-10-2013 17:45:39
 :write-a-letter: :write-a-letter: :write-a-letter:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (17.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 20-10-2013 19:07:30
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ยิ้มไปร้องไห้ไป ชีวิตคุณนูผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-10-2013 00:34:53



มีนักอ่านหน้าใหม่ ๆ แวะมาด้วยล่ะ ดีใจจัง

ส่วนนักอ่านประจำเห็นแล้วก็ชื่นใจครับ ที่ยังไม่ทิ้งกัน แวะเวียนมาให้กำลังใจกันอยู่เสมอ

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ขอบคุณทุก ๆ คำที่พูดถึงผม ที่รักของผม และเรื่องราวของเรา

ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำ คำติ คำชม ยินดีน้อมรับครับ



แถ่น แทน แท้นนนนน


มาต่อกันเลยครับ จะบอกว่า ที่เพิ่งเข้ามาเพราะว่า ที่รักหลับแล้ว   :katai3:

อยากให้เวลากับเค้ามาก ๆ ครับ ชดเชยกับที่เคยทอดทิ้งให้เค้านอนเหงาเปล่าเปลี่ยว

ช่วงที่เห่อ  MSN ตอนนี้ไม่มีเอ็ม มีแต่ skype ที่ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยเล่น หันไปไลน์ักันหมด


  :z2:


แล้วก็.......ปลุกปล้ำกันอยู่นานกับบทที่กำลังจะลง เกลาไปเกลามา ไม่ถูกใจซักที  :-[

ฝืน ๆ อ่าน sex scene กันหน่อยแล้วกันครับ บอกตรง ๆ ว่าไม่ค่อยถนัดอ่ะ  :hao6:






เราช่วยคุณย่าเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ โดยมีผมเป็นคนนั่งพับเสื้อผ้ากองไว้อย่างเป็นระเบียบ

และพี่นิวเป็นคนเอาลงกระเป๋า

“พับ ๆ เข้าเถอะน่า ไปถึงโน่นย่าก็ต้องรีดใหม่อยู่ดี”

“ไม่ได้สิพี่นิว ถึงย่าจะเอาไปรีดอีกทีก่อนจะใส่ ก็ต้องระวัง ไม่งั้นเนื้อผ้าดี ๆ จะเสียหมดรู้ไหม”

คุณย่าเอ็ดพี่นิวเสียงเขียว อย่างที่ผมไม่ค่อยจะได้ยิน ก็เพราะความเป็นหลานคนโปรดนี่แหละ

จะทำอะไรมันก็เข้าตาไปหมด นาน ๆ พี่นิวจะโดนคุณย่าดุสักที....ผมล่ะถูกใจเสียจนอดที่จะเป็นลูกคู่ไม่ได้

(ลูกคู่=นายว่าขี้ข้าพลอย.....อิอิ)

“นั่นสิครับคุณย่า ใครเขาจะไปเหมือนพี่นิวล่ะ ถ้าผมไม่จัดกระเป๋าให้ล่ะก็ เป็นได้ใส่ทั้งยับ ๆ ทุกที”

พูดจบปุ๊บ...ผมก็รีบหุบปาก เพราะคิดว่าตัวเองเผลอพูดมากไปหน่อย คุณย่าจะทันได้คิดหรือเปล่า

ว่าผมพูดเป็นนัยว่า เป็นคนจัดกระเป๋าให้พี่นิวเวลาเดินทาง.....ก็นั่นมันหน้าที่ของภรรยาชัด ๆนี่นา

“พี่นิวอย่ากดผ้าลงไปแบบนั้นสิครับ ข้างล่างมันยับหมดพอดี”

“อ้าว...ก็ไหนคุณย่าบอกว่าก่อนใส่ยังไงก็ต้องรีดก่อน ก็พับ ๆ ใส่ไปเถอะน่า จะได้เก็บได้เยอะ ๆ”

“เอ๊...คู่นี้จะมาเถียงกันเรื่องจัดกระเป๋าทำไมล่ะเนี่ย ไป ๆ ย่าจัดเองดีกว่า หนวกหู”

“โอ๋ ๆ ผมไม่เถียงแล้วก็ได้ย่าอะ”

หลานรักลูบแขนเหี่ยวย่นของคุณย่าป้อย ๆ เอาใจ เห็นแล้วชวนให้หมั่นไส้อาการประจบเหลือเกิน

สำหรับลูก ๆ หลาน ๆ คงคุ้นเคยกับภาพเหล่านี้ แต่ผมที่ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปร่วมกิจกรรมครอบครัวของพี่นิว

มันก็เลยดูแปลก ๆ แต่ในสายตาของผมก็น่ารักน่าเอ็นดูดี

(ถึงแม้ผมจะหมั่นไส้นิด ๆ แต่สำหรับคนที่เรารัก อะไร ๆ มันก็น่าดูไปหมดแหละ)

ผมนั่งพับผ้าให้พี่นิวจัดลงกระเป๋าจนเรียบร้อยหมด พร้อมปิดกระเป๋า

“หนักจัง....พรุ่งนี้เพื่อนย่าจะมารับกี่โมงครับ”

“สาย ๆ หน่อย ตอนเช้าเขาต้องไปส่งหลานเรียนพิเศษ”

ตามนั้นครับ.......

คุณย่ากำลังจะไปบ้านเพื่อนที่อยู่อีกอำเภอหนึ่ง นัดให้มารับหลังจากมาส่งหลานเรียนพิเศษที่นี่

ก็อย่างว่าล่ะครับ เมืองที่ผมอยู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการศึกษาในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว

ยิ่งสถาบันกวดวิชา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ติวเตอร์กอบโกยกันจนรวยไปไม่รู้จักเท่าไร

บางคนเปิดสถาบันได้ปีเดียวก็ถอยรถเบนซ์กันเลยทีเดียว

“ย่าจะกลับวันไหนโทรมานะครับ ผมไปรับเอง”

พี่นิวอาสารับใช้อย่างแข็งขัน ทั้งที่ถ้าเวลานั้นมาถึง ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองจะอยู่รับใช้ได้หรือเปล่า

“ไม่ต้องหรอก อยากกลับวันไหน ย่าจะให้เพื่อนมาส่ง”

เพื่อนที่คุณย่าพูดถึง เป็นรุ่นน้องหลายปี รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ผมรู้มาแค่นั้น

พอถึงเวลาที่เพื่อนคุณย่ามารับจริง ๆ ผมกับพี่นิวจึงพร้อมใจกันเรียกคุณป้า เพราะยังสาวเหลือเกิน

เชื่อแล้วว่ารุ่นน้องหลายปีจริง ๆ

“จี้จะไปอยู่กี่วันก็ได้นะ อยู่นาน ๆ เลย วัน ๆ เค้าอยู่แต่กับหลานตัวเล็กนี่แหละ

ลูกชายกับลูกสะใภ้ ไปทำงานกันหมด เหงาจะตาย”

คุณป้าเรียกคุณย่าว่า “จี้” แปลว่าพี่สาว บอกให้รู้ถึงความสนิทสนมที่เทียบเคียงได้กับญาติทีเดียว

“เรื่องอะไรจะไปอยู่นาน หลานชายจี้ก็มีตั้งสองคน”

“เอ้อ...ว่าจะถามเหมือนกันว่าอีกคนน่ะใคร”

คุณป้าหันมามองทางผม

“คนนี้ลูกบุญธรรมตาใหญ่ ขอมาเลี้ยงนานแล้ว”

“มิน่าล่ะ ไม่เคยเห็น ป้าเคยเห็นนิวตอนเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก ไม่นึกว่าเป็นหนุ่มแล้วจะตัวโตแบบนี้ เหมือนใครน่ะจี้”

“เหมือนเตี่ยจี้ เธอไม่เคยเห็นหรอก เตี่ยเสียนานแล้วตั้งแต่จี้ยังเด็ก ๆ อยู่เลย”

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมเพิ่งจะรู้ ผมนึกว่าพี่นิวจะเหมือนคุณปู่เสียอีก เพราะคุณปู่ก็สูงใหญ่

เพียงแต่คุณปู่จะมีผิวขาวไม่เหมือนพี่นิวซึ่งผิวสองสีค่อนมาทางขาว คล้ายคุณย่า

แต่ก็ไม่เหมือนอีกนั่นแหละ ผมแอบมาถามพี่นิวทีหลัง พี่นิวก็บอกว่าผู้ใหญ่เขาพูดกัน

ส่วนผมมาคิดต่อเองว่า....มิน่าล่ะ พี่นิวเป็นหลานคนโปรดของคุณย่าก็เพราะเหมือนคุณเตี่ยของคุณย่านี่เอง

แถมยังมีดีกรีลูกชายของลูกชายคนโตเสียอีก ผมออกจะรู้สึกเห็นใจคุณย่าด้วยซ้ำไปว่า

ท่านคงไม่มีโอกาสได้ชื่นชมเหลน ที่หลานชายคนโปรดเป็นผู้ให้กำเนิด

คุณป้าขับรถพาคุณย่าไปแล้ว เราสองคนก็มานั่งมองหน้ากัน เหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี

เพราะหลังจากที่คุณย่ามาอยู่ได้พักใหญ่ เราก็เคยชินกับการอยู่อย่างระมัดระวังตัว ไปพร้อม ๆกับการดูแลคุณย่า

ซึ่งการที่เราต้องใส่ใจกับท่าน ทำให้เราห่างเหินกันในเรื่องอย่างว่าไปโดยปริยาย




และ.......ดูเหมือนพี่นิวจะรู้ตัวก่อนว่าจะทำ “อะไร”

ดังนั้นทันทีที่เดินเข้าสู่ตัวบ้าน ยังไม่ทันได้ตั้งตัวผมก็โดนลากไปที่โซฟาหน้าโทรทัศน์.....


ผมควรจะเล่าดีไหมหนอ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบนโซฟาตัวนั้น?








** มีอีกนี้ดดดนึง   :o8:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-10-2013 00:45:27



นานแล้วเหมือนกันที่เราไม่ได้ใช้โซฟาเป็นที่สร้างสรรค์สวรรค์น้อย ๆ ของเรา

เบาะนุ่ม ๆของโซฟาที่รองรับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของผมให้ความรู้สึกถึงเส้นใยสากปนระคายนิดหน่อย

แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมต้องครางครวญแทบจะคลั่งแบบนี้

ฝ่ามือใหญ่อุ่น ๆ ที่ทาบลงมาบนแผ่นอกเรียบ ๆ ของผม ก่อนนี้เคยนุ่มนิ่ม

เพราะเป็นฝ่ามือของคุณหนูที่ไม่เคยต้องหยิบจับงานบ้านอย่างฝ่ามือของผม 

แต่วันนี้ฝ่ามือใหญ่คู่นี้ผ่านงานโยธาที่นับเป็นงานกลางแจ้งที่สมบุกสมบันมาไม่น้อย

ความสากระคายของมือคู่นี้ต่างหาก ที่ลูบไล้บีบเคล้นบนเนื้อตัวของผมเสียจนต้องครางแทบไม่เป็นภาษา


เสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ข้างหู ทำเอาไรขนลุกชันไปตลอดทั่วทั้งตัว

ไหนจะลิ้นร้อนที่ลากไล้ไปตามผิวอ่อนข้างใบหู ซอกคอ ลาดไหล่

เรื่อยไปจนผมรู้สึกได้ว่ากำลังละเลียดอยู่ใต้วงแขน ทั้งที่ยังหลับตา

แขนสองข้างถูกยกขึ้นไปเหนือหัว และถูกกดทับเบา ๆ ด้วยมือข้างหนึ่งของพี่นิว

มืออีกข้างที่ว่างก็ใช่ว่าจะอยู่เฉย....บีบจิกเบา ๆ ที่หัวนม.....เล่นแบบนี้ผมขาดใจตายกันพอดี

“ยะ....อา...”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ร้องห้าม มันก็ถูกริมฝีปากอิ่มกดลงมาปิดไว้เสียแล้ว

ความรู้สึกวูบวาบ แตกซ่านอยู่ภายในช่องท้อง ก็เหมือนทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน

แต่คราวนี้ผมกลับรู้สึกล้ำลึกมากกว่าเดิม อาจจะเป็นด้วยสถานที่....

ในห้องนอนที่รโหฐานให้ความเป็นส่วนตัว เราสามารถปลดเปลื้องอารมณ์

ปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ ได้อย่างเต็มที่

โดยไม่ต้องระงับยับยั้งอารมณ์หรือสุ้มเสียงที่มันจะเล็ดลอดระหว่างทำกิจกรรม

แต่ตรงนี้.......เหมือนเรากำลังเปิดเปลือยบทรักกลางแจ้ง มันให้ความตื่นเต้น เสียวกระสันไปอีกรูปแบบหนึ่ง.....

แบบที่เรา “ไม่เคย” กันมานานมากแล้ว

“ตรง....นี้....เลยเหรอ”

“อืม”

พี่นิวตอบด้วยเสียงในคอ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาดูดเลียตามร่างกายผมไปจนถึงขอบกางเกง

ชั่วพริบตากางเกงผมก็ถูกรูดออกไปกองที่ปลายเท้าทีเดียวทั้งสองชั้น....ผมเปลือยทั้งตัวแล้ว 

ในขณะที่พี่นิวยังสวมเสื้อผ้าเต็มยศอยู่เลย ผมก็เลยเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาบ้าง

“อย่าเพิ่ง....ใจร้อนจริง เรามีเวลาด้วยกันทั้งคืน”

พี่นิวกลับเข้าใจไปว่าผมใจร้อนเสียอีกแน่ะ

แถมยังแกล้งด้วยการดึงเสื้อของตัวเองที่ผมอุตส่าห์เลิกขึ้นทางหัวกลับลงมาอย่างเดิม

“อื้อ....”

ผมส่งเสียงออกไปเมื่อถูกขัดใจ

พี่นิวยกตัวขึ้นมาให้ใบหน้าเราเสมอกันแล้วประกบปากลงมาบดจูบ

แรงดูดดึงที่ปลายลิ้นทำเอาผมขนลุกเกรียว ไม่ทันไร ทั้งโพรงปากก็ถูกกวาดด้วยลิ้นร้อน ๆของพี่นิว

รู้สึกเสียวซ่านอยู่แหมบ ๆ พี่นิวก็ทั้งบดทั้งเบียดช่วงกลางของผมด้วยการหมุนควงสะโพก

....โอย....ไม่ซี้ดไม่ไหวแล้วล่ะผม

“ซี้ด”

“หึหึ”

คนบ้าอะไรไม่รู้ชอบแกล้งจริง ๆ

“ถอดเหอะ”

ผมร้องขอเสียงพร่า ให้เขาถอดเสื้อผ้าออก  พร้อมทั้งส่งแววตาออดอ้อนไปให้

ผมอยากสัมผัสเนื้อต่อเนื้อทุกสัดส่วนกับเขา

“นะ...”

“เดี๋ยว”

“ฮื้อ”

ผมบ่นอย่างขัดใจ แล้วก็ต้องส่งเสียงครางฮือออกมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“อยากฟังเสียงนูครางนาน ๆ”

พี่นิวกระซิบเสียงสั่น ผมรู้ว่าเขาเองก็กำลังทรมานไม่น้อยไปกว่าผม

แต่อยากเล่นเกมยื้ออย่างนี้ก็เอา ผมน่ะยังไงก็ได้

“ถอดสิครับ....เดี๋ยวจะครางให้ดังกว่านี้อีก....นะ”

พี่นิวโปรยยิ้มหวานฉ่ำ คิดไปตามที่ผมบอก แล้วจัดการลอกคราบตัวเองโดยผมไม่ต้องลงมือ

ผมไม่ได้โกหกเขาหรอก (....ผมไม่ได้เจ้าเล่ห์ขนาดน้าน....)

มันเป็นข้อเสนอที่จะให้ได้อย่างที่ตัวเองต้องการแค่นั้นเอง

เนื้อกายสีนวลของพี่นิวในร่มผ้านุ่มมืออย่างเคย ผมลูบไล้ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

จิกเบา ๆ เมื่อเขากดร่างย้ำลงมาตรงท่อนกลางลำตัว และแน่นอนที่ผมครวญครางอยู่ใต้ร่างใหญ่หนา

พยายามข่มความอายทำเสียงให้ดังกว่าที่ควรจะเป็น เพราะอยากทำตามสัญญา ถ้าเขายอมเปลือยตามใจผม

ทั้ง ๆ ที่......อายแสนอาย เห็นกันมาตั้งเท่าไร แต่ผมก็ยังอาย

เพราะนี่มันเพิ่งจะกลางวันแสก ๆ แต่ถ้ามันทำให้เขาพึงพอใจ ผมยอมก็ได้

“ขึ้นไปบนห้องไหม”

ผมส่ายหน้า ส่งสายตาท้าทายไปยังนัยน์ตาคู่เรียวที่จ้องมา ก็ใครกันเริ่มเอาไว้ตรงนี้

“อยากได้ยินเสียงนูดังกว่านี้”

....นั่นสินะ....ตรงนี้มันห้องรับแขก ดีไม่ดี อาจจะมีเสียงเล็ดลอดออกไปให้ใครได้ยิน

....แหม....ผมอยากได้บ้านกลางที่ดินสักสิบไร่ จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครมาได้ยิน

“ไปก็ได้”

นึกถึงภาพพระเอกช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางเอกขึ้นอุ้ม โอบประคองกันขึ้นห้อง........ไม่ใช่เลย

หยิบกางเกงมาสวมแค่ตัวเดียว ที่เหลือกวาดไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินขึ้นห้องตามกันไป

เหมือนว่าจะพักยกแล้วต่อไม่ติด.......ไม่มีเสียล่ะ

แค่เห็นเตียงใหญ่อยู่ตรงหน้า เราสองคนก็ไม่รอช้าที่จะจัดการกับเสื้อผ้าคนละชิ้นที่ติดกายอยู่

ก่อนจะบรรเลงเพลงรักอย่างไร้รอยต่อ


ผมเคยบอกหรือยังว่าห้องพี่นิวนอกจากผนังจะหนากว่าผนังด้านอื่น ๆ แล้ว ยังยิงแผ่นกั้นเสียงอีกชั้นทับด้วยยิบซั่มอีกชั้น

เหตุผลหลักก็เป็นที่รู้กัน (กันเสียงเล็ดลอดออกไปข้างนอก 555)

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หลังจากที่เราอยู่กันตามลำพัง พี่นิวก็ย้ายตู้เซฟจากห้องใหญ่มาฝังในผนังห้องตัวเอง

เหตุผลรองทำให้เหตุผลหลักสำเร็จด้วยงบประมาณปรับปรุงห้องนับแสน (แต่คุ้มค่าการใช้งานมาก)

ผิวสีนวลตาของพี่นิวประจักษ์แก่สายตาของผมอีกครั้ง.....

มันช่างน่าหลงใหลเหลือเกินที่ได้ลูบไล้ไปตามผิวเนื้อนุ่มลื่นของเขา

ทุกพื้นที่ที่ผมสัมผัส แผดเผาอารมณ์ของพี่นิวให้รุ่มร้อน ผมรู้ได้จากเจ้านิวน้อยที่มันค่อย ๆ ผงาดจนกลายเป็นเจ้านิวยักษ์

นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับผม ที่ถูกฝ่ามือของพี่นิวทั้งปลุกทั้งปั่นจนมันแทบระเบิด

มันเป็นความทรมานเมื่อทุกครั้งที่รู้สึกใกล้จะระเบิด ผมก็จะโดนแกล้งด้วยการรามือ

แล้วคนแกล้งก็หันมาฉกปากผมไปจูบดื้อ ๆ

“ฮือ~~~”

ผมโวยวายได้แค่นั้นแหละ เพราะอาการเสียวซ่านจนหลังลอยขึ้นจากฟูก

เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ พร่า ๆ ในลำคอ ทำเอาผมหวิวในช่องท้องทุกที

“ถ้า...ถ้าแกล้ง....ผมอีก....คราวนี้ ผมหยุด จริง ๆ อย่ามาว่ากันนะ....ฮ้า....”

ไม่ทันได้ทำอย่างที่พูด ผมก็โดนรุกไล่ด้วยปลายลิ้นทั้งที่ซอกคอและติ่งหู ตามมาด้วยเสียงยั่วเย้า

“หยุดพี่ได้จริง ๆ เหรอ แต่พี่หยุดไม่ได้แล้วนะ....”

“หยุดไม่ได้แล้วเมื่อไรจะจัดการให้ผมซะทีเล่า”

“ทำเองไหม”

ท้า.....กล้าท้านายนู.....??

ผมรับคำท้าด้วยการพลิกตัวเองขึ้น แล้วสลับให้พี่นิวลงไปนอน

เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ยังยั่วเย้าผมไม่หยุด

นอกจากหัวเราะจนนัยน์ตาเยิ้มแล้ว พี่นิวก็ไม่ได้ทำอะไรอีก ปล่อยให้ผมดำเนินการต่อแต่เพียงผู้เดียว


ก็....ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมจะเป็นฝ่ายคุมเกม.....อ่า....ถ้านับจากจำนวนครั้งที่เรามีอะไรกันอะนะ

จะเป็นเพราะผมขี้เกียจหรือเพราะพี่นิวชอบที่จะเป็นผู้นำ ก็อย่าไปรู้มันเลย

ผมจับส่วนขยายของพี่นิวมากำหลวม ๆ จ่อมันเข้ากับตัวเองแล้วกดลงเบา ๆ เพื่อทดสอบความลื่นไหลก่อน

พี่นิวยื่นหลอดเจลมาให้.....ใจคอจะไม่ช่วยกันเลยใช่ไหม

ผมรับมาอย่างกระฟัดกระเฟียด

แล้วปฏิบัติการหล่อลื่นมันด้วยมืออีกข้างที่เพิ่งผละออกจากการค้ำแผ่นอกตึงแน่นของคนข้างใต้

“ซื้ดดดด....พี่นิว....ช่วยหน่อย”

“ให้ช่วยยังไง”

ยังจะมีหน้ามาถาม......ทำอย่างกับไม่เคย

ผมกดตัวเองลงช้า ๆ ทั้งที่มันก็ไม่ฝืดเท่าไร แต่ถ้าอีกฝ่ายให้ความร่วมมือ มันก็คงจะให้ความรู้สึกดีกว่านี้

“โอ๊ะ.....เบาหน่อย”

ผมอุทานเมื่อถูกสวนมาเสียแรง

“แบบนี้ใช่ไหม”

สะโพกที่ยกขึ้นมาสวนทางกับสะโพกผมที่กดลง มันแค่รู้สึกอึดอัดคับแน่นในตอนแรก

แต่หลังจากนั้น.....มันก็ทั้งเสียวทั้งมันไปพร้อม ๆกัน

“ฮือ....พี่นิว.....อา....”

“ดังอีก”

“ฮื้อ....”

ผมกลั้นเสียงที่น่าอายนั่นไม่ไหว เพราะแรงกระแทกย้อนขึ้นมาจากคนข้างใต้ ทำเอาขาสั่นจนหมดแรง

อย่างมากที่ทำได้ตอนนี้คือประคองตัวเองให้อยู่เหนือกว่าจนกว่าเกมจะจบ

......แต่ผมก็ได้แค่คิด.......

พี่นิวจับผมพลิกลงไปคลานเข่า แล้วประกบข้างหลัง โดยที่เรายังไม่ได้แยกกายออกจากกัน

ท่าที่ผมต้องบิดตัวให้ลงไปคู้เข่าลงอย่างที่พี่นิวต้องการเล่นเอาเสียววูบจากสันหลังไปจนถึงส่วนปลายที่มีหยดน้ำปริ่มรออยู่

ความเสียวที่แล่นปรี๊ดมาแค่วูบเดียว ทำเอาผมอ่อนแรงจนต้องฟุบลงไปนอนคว่ำทั้งตัว

“ไม่ไหวแล้วเหรอ”

คำถามหยอกล้อ ผมนึกหน้าเขาออกเลยว่าต้องกำลังยิ้มอยู่แน่ ๆ ทำให้ผมมีแรงฮึดขึ้นคุกเข่าในท่าเดิม

พร้อมกับที่แรงกระแทกจากด้านหลังเข้าไปจนลึกสุดตัว

“ฮา......ซี้ด...”

ไม่ใช่เสียงผมแน่ ๆ เพราะผมกำลังจุก จากอาการจุกก็ค่อย ๆกลายเป็นเสียวซ่านแทน

เสียงลมหายใจหอบกระเส่าจากคนที่ผลักตัวเองเข้ามาในตัวผม กับเสียงครางของผมเอง

....ดังอย่างที่พี่นิวต้องการโดยที่ผมไม่รู้ตัว ทุกท่วงท่าเป็นไปตามแรงอารมณ์ของเราสองคน

“ดีไหม”

“ฮืม...อ้า...”

“ฮึก!”

“พี่นิว แรงอีก....แรง ๆ”

ไม่ต้องเอ่ยปากซ้ำพี่นิวก็กดตัวเองเข้ามาเต็มกำลังตามที่ผมร้องขอ

“ผมจะ...แตก....แล้ว...นะ”

เสียงพูดหอบ ๆ ของผม มันสั่นกระเส่าเสียจนไม่น่าเชื่อว่าผมจะเป็นคนพูดมันออกไป

“อืม....พี่ด้วย  อีกนิด...นะ....ดีจัง พูดอีกสินู.....”

“พูด....อะ...อะไร..”

“พูดเหมือนเมื่อกี้”

“ผม...จะ...แตกแล้ว....”

ผมพูดออกไปตามนั้น....คิดว่าใช่คำนี้นะ......แตก!  ผมไม่เคยพูดอะ

แต่มันคงมีปฏิกิริยาต่อพี่นิวมากทีเดียว  ทันทีที่ผมพูดออกไป แรงกระแทกกระทั้นเข้ามาถี่ ๆ จนเข่าแทบทรุด

ทำเอาผมต้องเพิ่มความเร็วรูดรั้งของตัวเองให้สอดรับกับจังหวะที่พี่นิวขยับโยกเข้ามาบ้าง 

พี่นิวรัวเท่าไร ผมก็รูดตัวเองเร็วขึ้นเท่านั้น

“ซี้ด.....อา....อื้ม....”

เสียงครางฮึมฮัมอย่างสะใจของพี่นิวเร้าอารมณ์เสียจนผมสุดที่จะทนไหว

ความอุ่นระอุพุ่งเข้ามาภายในตัวผมพร้อม ๆ กับความฉ่ำแฉะที่ปริล้นจนเปื้อนอุ้งมือ

หลั่งพรูลงบนผ้าปูนอนสีฟ้าผืนโปรดของพี่นิว

ร่างใหญ่ทรุดลงมากดน้ำหนักลงบนตัวผม ปลายจมูกซุกอยู่ตรงข้ามแก้ม พึมพำถ้อยคำที่ทำเอาผมเหวอ

“ชอบอะ....คราวหลังพูดคำว่าแตกกับพี่แบบนี้อีกนะ”

ไอพี่นิวบ้า!!!!!!!!

คิดบ้างไหมเนี่ย ว่าผมอายจนหน้าจะระเบิดอยู่แล้ว











****ถ้าจบแค่นี้      :mew2:

       ตอนหน้าที่จะมาลงมันสั้นนิดเดียว แล้วผมก็คงจะเกริ่นนำไม่ถูก

       ต่อไปอีกหน่อยแล้วกันครับ






หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-10-2013 00:49:09



อีกหลายวันต่อมา



“พูดสิ...อ่า....”

“อื้อ....ซี้ด....”

จะให้พูดอะไรในเวลาอย่างนี้เล่า

“พูด.....อื้ม...เร็ว ๆ....”

ผมได้ยินพี่นิวพึมพำเสียงพร่า ทั้งช่วงล่างก็กำลังดันตัวเองเข้ามาไม่ยั้ง ทั้งรัวทั้งเร็ว

ส่วนผมแทบไม่มีสติคิดอะไรทั้งนั้น นอกจากรอเวลาแห่งความสุขเสียวกระสัน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“นู....เร็ว...อ่า....”

ผมไม่รู้ว่าพี่นิวกำลังพูดถึงอะไร

“พี่นิว....เร็ว ๆ”

ผมเร่งพี่นิวบ้าง เพราะกำลังจะถึงฝั่งอยู่แล้ว

“...นู....พี่จะแตกแล้ว....ซี้ด...”

เสียงกระซิบพร่า ๆ แหบ ๆ แต่มันช่างเซ็กซี่ชะมัด

....อืม.....อ่า.....มันดีอย่างนี้นี่เอง.....

“ผม...ก็...จะ....แตก...ละ..แล้ว....”

พร้อมกับเสียงที่แผ่วหาย เราก็ถึงที่หมายพร้อมกัน





หลังจากหายจากอาการหอบเหนื่อย ผมก็นึกถึงเสียงกระซิบของพี่นิวประโยคสุดท้ายขึ้นมาได้

“เดี๋ยวนี้พูดคำนี้เป็นด้วยเหรอพี่นิวอะ”

ใบหน้าหล่อ ๆ ที่คล้ำขึ้นจากสมัยวัยรุ่น ซุกอยู่ตรงบ่าผม นัยน์ตาขุ่นมองมาอย่างเคือง ๆ

“ก็ใครล่ะที่ไม่ยอมพูด”

“อ้าว....”

เหวออีกแล้วนายนู

เพิ่งนึกออกว่า เขาเคยขอให้พูดคำนั้นตอนที่เรากำลัง  “ซั่ม” กัน

....คำที่ผมได้ฟังเขาพูดออกมาแล้วมันดีจริง ๆด้วย


....แตก......


ผมได้อะไรมากมายจากการอ่านนิยายในบอร์ด รวมทั้งคำศัพท์แซ่บ ๆ ที่เร้าอารมณ์

ระหว่างที่เราปฏิบัติภารกิจติดพัน

v
v
v
v

ภาษารักวันละคำ คราวหน้านะครับพี่นิว


......ซั่ม........








 :pig4:   และ ราตรีสวัสดิื์ครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 21-10-2013 06:13:23
 :pig4: :pig4:


 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 21-10-2013 08:36:51
ชอบทำให้(หวาด)เสียว คุณย่าคล้อยหลังไปไม่เท่าไหร่ จัดการกันที่โซฟาแล้ว
เกิดคุณย่าลืมของย้อนกลับมาแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่อยากคิด คริคริ  :katai1:

รอรายงานผลตอนต่อไปค่ะ :3129: :3129: :3129:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-10-2013 08:51:27
ยินดีกับนูที่ได้รับการยอมรับจากคุณย่า

แต่ไอ้ฉากหลังจากที่คุณย่าไปแล้วนี่ซิ
เล่นเอาเลือดพุ่งกันเลยทีเดียว แซ่บเว่อร์
แล้วคราวหน้าถ้าพี่นิวชวน xx อย่าลืมพูดซั่มนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: raluf ที่ 21-10-2013 10:18:27
หวาดเสียวจริงๆค่ะ กลัวคุณย่าย้อนกลับมา อิอิ
อ่านนิยายในบอร์ดได้ศัพท์ใหม่ๆไปพูดกับพี่นิวเพิ่มความตื่นเต้นก็ดีนะคะคุณนู
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 21-10-2013 13:44:48
อุ๊ย..... ผลจากการเก็บกฏ ตอนที่คุณย่าอยู่นี่ร้อนแรงจริงๆ   :hao5:

ปล.อ่านไปทั้งเขินทั้งมีความสุขไปด้วยเลย  :katai5:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-10-2013 19:42:56
** มีอีกนี้ดดดนึง
^  :m20: ยังงี้ ผมว่ามันไม่นิดนึงแล้วล่ะคร้าบบบบ

เล่นซะ...คนอ่าน กา-ฉูด เลย
 :pighaun:

พอคุณย่า พาเพื่อน เลื่อนออกรถ
หลานสองคน เสื้อผ้าปลด อดไม่ไหว
ต่างโรมรัน พันเป็นเกลียว เสียวกันไป
คุณย่าโผล่ มาเป็นไง ใจร้อนจริง

คุณพี่นิว ลิ่วล่อง คล่องแคล่วแข็ง
น้องนูแซง หน้าระเรื่อ เหงื่อหยดติ๋ง
ช่วยกันทำ มาหากิน เป็นระวิง
กี่รอบดี พี่นิวกลิ้ง น้องนูตาม


หุหุ :o8: อ่านแล้วอินตาม
คิกคิก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 22-10-2013 20:14:31
วันนี้พี่นูจะมาใหมนะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 23-10-2013 18:05:45
 :m22: :katai3: :katai4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 24-10-2013 00:31:57
คิดถึงคุณ นู ที่สุด  ช่วงนี้ไม่ได้ไปบ้านนู้นเลยครับ  บ้านนี้ก็แทบไม่ได้เข้าเลย  พอดีกลับไปเรียนด้วย  กลับมาเรียนตอนอายุเยอะ อิอิ แล้วงานก็ยังแยะมาก  แล้วกำลังจะสอบเป็น ผู้จัดการเขตด้วยครับ  เลยได้ค่อยได้เข้าเท่าไร   ดีใจที่คุณ นู  มาเล่าต่อ   คุณย่าท่านดูน่ารักดีนะครับ  อยากให้คุณ นูมีความสูขมากๆ  แอบ อิจฉาคุณ นู มาก  ที่เจอคนที่ดี รักพี่ นิวให้มากๆนะ  ยังไงจะเข้าคุยด้วยบ่อยๆครับ  ส่วน ข้อความที่พิมพ์ ชื่อผิดขอโทษด้วยนะครับ  จะพิมพ์ชื่อคุณ นู  แต่ใจดันพิมพ์ชื่อ คุณ นิว แทน   :mew3:  ถ้ามากรุงเทพแวะมาเทียว KFC แถวแจ้งวัฒนะ บางนะครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (21.10.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 03-11-2013 07:35:18
เข้ามาดูว่าคุณย่ากลับจากเที่ยวกับเพื่อนหรือยัง
 :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIESที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-11-2013 00:26:58
 

ฉากที่แล้ว ทิ้งความเสียวเอาไว้ให้ แบบไม่ตั้งใจ   :hao6:

ตอนที่ลงคืนนี้ ผมเตรียมไว้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน

จัดหน้าเสร็จสรรพ มีคนมาตามไปทำงาน แย่มาก ๆ

วันอาทิตย์ เป็นวันครอบครัวนะ ไม่รู้จักส่งเสริมสถาบันกันบ้างรึไง

ถึงผมจะไม่มีลูกก็เหอะ แต่ผมก็มีครอบครัวเล็ก ๆ เป็นของตัวเองนะเออ





ฤกษ์งามยามดึก แต่คงไม่ดึกเกินไปมั้งครับ เพราะผมเห็นมีคนย่องเข้ามาอ่านเรื่อย ๆ

ขอบคุณที่ยังติดตามคู่รักมาราธอน นู&นิว นะครับ     :pig4:





         การประชุมครั้งสุดท้ายของหุ้นส่วนสิ้นสุดลงก่อนเที่ยงเล็กน้อย

หลังจากที่นั่งคุยกันแบบสบาย ๆ มาเกือบสองชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงกว่า ๆ

   ผมมีโอกาสได้เข้าประชุมด้วยในฐานะหุ้นลม...อ๊ะ ม่ายช่าย…..ในฐานะเจ้าหนี้เงินกู้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หุ้นส่วนอีก 2 คนของบริษัท ซึ่งเป็นเพื่อนพี่นิวอยู่แล้ว

ทราบเพียงว่า ผมเป็นน้องชายที่ขอมาเลี้ยง

ข้อตกลงยุติลงตรงที่ พี่นิวจะขายหุ้น แต่ยังคงมีชื่อผมเป็นเจ้าหนี้บริษัทเหมือนเดิม

ส่วนหุ้นที่จะขาย ถ้าอีก 2 คนไม่รับซื้อไว้ พี่นิวก็จะขายให้คนอื่นที่สนใจ

   คล้อยหลังหุ้นส่วนทั้งสองคน ผมก็หันมาบ่นกับพี่นิว

   “ทำไมตัดสินใจเร็วอย่างนี้ล่ะครับ”

   “ไม่เร็วหรอก พี่คิดมาเกือบปีแล้ว”

   “เกือบปี?.......แต่เพิ่งมาบอกผมเนี่ยนะ”

   เจ็บใจไหมเล่า......นอนอยู่ข้าง ๆ กันทุกคืน แต่ผมเพิ่งได้สิทธิ์รู้ไปพร้อมกับคนอื่น ๆ

   กินข้าวเที่ยงด้วยกันผมก็เลยไม่พูดด้วย......เป็นใครจะไม่น้อยใจ

ตอนจะก่อตั้งปรึกษากันทุกอย่าง.....ให้ผมเข้าไปมีส่วนดูแลกิจการตั้งแต่ต้น........

เพิ่มทุนก็เอาเงินผมไปลงขัน (ถึงจะเป็นเจ้าหนี้ก็เหอะน่า)......

พอนึกจะขายกลับไม่บอกผมสักคำ



   
   ปัง!!

   ผมผลักประตูรถปิดเต็มแรงเมื่อลงจากรถ

   เหลียวไปมองคนที่ยังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เอามือคลึงหู หลับตาปี๋

.....เอ้อ.....ลืมไปว่าลมจะอัดเข้ารูหูเขา ไม่ได้ตั้งใจอะ

   ยังไม่ทันเข้าบ้าน แขนผมก็โดนกระชาก......

เปล่าเลย ไม่เหมือนฉากในหนังหรอกนะ ที่พระเอกจะกระชากแขนนางเอกเข้าไปซบอก

   “บอกกี่ครั้งแล้วอย่าปิดประตูแรง ลมมันอัดทำให้หูอื้อ ทำไมไม่รู้จักจำ”

   “ขอโทษ”

   ผมยังทำตะบึงตะบอนใส่ แถมทำหน้ากวนบาทาอีกต่างหาก

   พี่นิวเลิกคิ้วขึ้น เหมือนยังไม่พอใจในคำตอบ..........ผมพาลเกินไปจริง ๆ สินะ

   “ขอโทษครับ”

   ได้คำตอบที่น่าพอใจพี่นิวก็ปล่อยมือแล้วเดินเข้าบ้านไปก่อน แล้วก็เดินหน้าตั้งขึ้นไปบนบ้าน

โดยไม่หันมามองผมสักนิด.......อยู่ด้วยกันนานไปไหม

   ....ใส่ใจกันหน่อยเซ่....ในใจผมร่ำร้อง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการให้เขาเห็น

   เคยเห็นคู่ชีวิตที่เขาอยู่ด้วยกันมานานไหมครับ เขาจะรู้จัก รู้ใจกันจริง ๆ นะผมว่า

แบบที่คนหนึ่งแค่มองตา อีกคนก็รู้ว่าคิดอะไร

   แล้วทำไมคู่ผมไม่เห็นเป็นแบบนั้นบ้าง อย่างตอนนี้ผมอยากให้เขาง้อ อยากให้เขาเอาใจ

อย่างน้อยก็เป็นการไถ่โทษที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็น “คนอื่น” ในที่ประชุม ให้ผมได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง

   แต่ในเมื่อมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมก็สลัดความคิดที่จะให้พี่นิวมาเอาใจออกไป

อยากได้อะไรในสิ่งที่คนให้เขาอาจจะไม่คิด มันเปลืองหัวเปล่า ๆ

หันไปเปิดคอมฯ พิมพ์นิยายดีกว่า

ประเดี๋ยวเถอะ....ถึงตอนที่นายเอกกับพระเอกทะเลาะกัน ผมจะยำพระเอกให้ยับไปเลย

(ไม่ใช่เรื่องนี้นะครับ ผมกำลังเขียนนิยายเรื่องอื่นไปด้วย....พาลเนอะ)


   โปรแกรม MSN ยังคงมีเพื่อนพ้องน้องพี่ออนไลน์กันอยู่บ้าง

ผมคุยแชทไป พิมพ์นิยายไป ด้วยอารมณ์พาล ๆ

คุยไปคุยมาเหมือนว่าคู่สนทนาจะรู้ว่าผมอารมณ์ไม่ดี ก็เลยตัดบทฉับหนีหน้าไป

(ยุคนั้น....ซึ่งก็ไม่ได้ย้อนนานเกินไปหรอกครับ นิสัยผมแบบนี้จริง ๆ พาลพาโลเป็นที่หนึ่ง

....อันนี้เพื่อนคนหนึ่งที่แชทคุยกันเป็นคนบอก)

 พอไม่เหลือใครให้คุยด้วย ผมก็ปิดโปรแกรม แล้วหันมาพิมพ์นิยายอย่างเดียว....แต่มันก็ไม่สำเร็จ.....

   สุดท้ายผมก็ต้องค้างหน้าจอเวิร์ดไว้อย่างนั้น แล้วเปิดเพลงฟังแทน หลังจากที่พิมพ์แล้วลบ ซ้ำ ๆ อยู่หลายเที่ยว




   จริง ๆ น้า เวลาอารมณ์ไม่ดี แม้แต่จะเขียนบทโกรธยังทำได้ไม่ดีเลย….นอนดีกว่า ไหน ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะก็



   

   
   ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย มองออกไปนอกบ้าน เห็นแดดสีส้มจางของเวลาเย็น ยิ่งทำให้เพลียหนักเข้าไปใหญ่

   “ไปอาบน้ำไป”

   เสียงออกคำสั่งดังมาจากหน้าประตูครัว ในมือถือชามพร้อมจานรอง

มองเห็นควันฉุยของอะไรบางอย่างลอยอยู่เหนือชาม

   “มาม่า?”

   กลิ่นของมันเฉลยตัวมันเองออกมา........เท่านั้นแหละ ท้องก็ร้อง...ครืดดดดดดดดดด

   จากมื้อเที่ยงล่วงมาจนถึงเย็นจวนค่ำ เราสองคนได้กินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชาม กับกล้วยแขกคนละไม่กี่ชิ้น

 ผู้ชายตัวโตคงจะหิวซ่กจนต้องต้มมาม่ากินเอง

   “ทำเผื่อผมด้วยหรือเปล่า”

   “พี่ไม่รู้นี่ว่านูจะกินด้วย”

   “ทำเองก็ได้” ผมบ่นเสียงต่ำ พอไม่ให้เขาได้ยิน (....อารมณ์พาลยังไม่หาย เขาจะรู้ไหมนั่นว่าแกอยากกินน่ะ....)   

   “ก็พี่เห็นนูหลับอยู่....งั้นนูไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่ต้มให้”

   ผมไม่ตอบ เดินขึ้นบ้านไปจัดการตัวเองแต่โดยดี ลงมาข้างล่างอีกที

ชามมาม่าก็วางรออยู่ที่โต๊ะรับแขกหน้าโทรทัศน์เรียบร้อยแล้ว

   “อร่อยอะ”

   ได้นอนสักตื่น แล้วมีอาหารตกถึงท้อง แค่นี้ก็พอจะทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

(เห็นป่าวว่าผมน่ะเลี้ยงง่ายออก)

   “ก็มาม่า มันจะอร่อยได้สักแค่ไหนกัน”

   พี่นิวเลิกคิ้ว ทำหน้างง แต่ผมมองว่า....

   .......ขัดคอ......แต่ก็เอาเถอะ พี่นิวเป็นคนทำนี่นา ผมจะย้อนยอกเขาไปก็ใช่ที่

   “ก็เพราะพี่นิวทำไง ถึงได้อร่อย”

   ตาเรียว ๆ เบิกโตจนเท่าไข่ห่าน จ้องผมราวกับไม่เคยเห็น  ทำตาปริบ ๆ แล้วก็ได้แต่อมยิ้มไม่พูดอะไร

ก้มหน้าก้มตาจัดการกับส่วนของตัวเองไป....แต่ผมแอบเห็นนะ ว่าเคี้ยวไปยิ้มไปน่ะ จะรื่นเริงไปไหน

กับอีคำหยอดแค่นี้เนี่ย




   “ผมล้างเองครับ”

   เขาทำให้กินแล้วนี่นา ไม่ใช่ว่าจะหาง่าย ๆ นะ โอกาสที่พี่นิวจะเข้าครัวทำอะไรเอง

ยิ่งเมื่อก่อนนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ อย่างกับ “คุณชาย” ยังไงยังงั้นเลย   

ตั้งแต่เราอยู่กันสองคน พี่นิวก็ต้องหัดทำอะไรต่ออะไรเอง เพราะเราสองคนต่างก็ต้องทำงานนอกบ้าน

กว่าจะมีคนมาช่วยทำความสะอาดบ้านก็วันเสาร์นู่น ระหว่างสัปดาห์ทำอะไรได้ก็ต้องทำ

ไม่งั้นบ้านเน่าแน่

   ยืนล้างชามกับหม้อที่ใช้ต้มมาม่าอยู่ดี ๆ มือใหญ่ก็สอดข้างเอวเข้ามาสวมกอดผม

แผ่นหลังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอกแน่น ๆ ของพี่นิว

   “หายงอนพี่รึยัง”

   “ใครงอน”

   “น้อยใจเอ้า”

   “ยัง”

   “จะให้ทำไงอีก”

   ผมเอียงแก้มข้างขวาให้ คนรู้หน้าที่ก็ปฏิบัติตามอย่างไม่ต้องให้พูดซ้ำ

   จุ๊บ

   “พี่นิวเห็นผมเป็นคนอื่นอะ ทำไมเพิ่งมาบอกว่าจะขายบริษัท”

   “พี่อยากเซอร์ไพรส์”

   เซอร์ไพรส์กะผี!!!

   “ยังไม่หมดนะ....พี่มีเรื่องเซอร์ไพรส์นูอีก แต่เดี๋ยวเราออกมาคุยกันข้างนอกดีกว่านะ”

   “อย่าให้ผมถึงกับช็อคตายไปก่อนแล้วกัน”

   ผมพึมพำด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้เจือด้วยความน้อยใจพี่นิวอีก....

ปั้นปึ่งนานไปผมก็กลัวเขารำคาญเอาเหมือนกันแหละครับ






ที่เก้าอี้มุมโปรดที่หน้ามุขคนละตัว เราสองคนจับเข่าคุยกันอย่างจริงจัง

   “ย่าให้ขาย”

   “?”

   ผมรู้ว่าคุณย่ารู้ว่าเรามีกิจการของเราเอง เพราะบ่อยครั้งที่พี่นิวติดภารกิจของบริษัทตัวเอง

จนทำให้งานของที่บ้านล่าช้า และบางครั้งก็ใช้คนสนิทดูแลงานก่อสร้างให้

แต่ไม่คิดว่าคุณย่าจะเข้ามาออกความเห็น หรือช่วยตัดสินใจ.........

   เว้นเสียแต่........

   “ย่าบอกว่าให้คืนเงินส่วนของนูก่อน”

   “คุณย่ารู้ได้ยังไงว่าผมลงเงินไปด้วย”

   “ก็ต้องรู้สิ ก็ท่านเป็นหุ้นใหญ่นี่”

   “อ้าว....”

   สรุปว่า บริษัทของเรามีเงินของใครมาร่วมลงทุนกันบ้างล่ะเนี่ย

   แล้วพี่นิวก็แจกแจงว่า เงินที่พี่นิวได้มาลงทุน มาจากคุณพ่อคุณแม่ส่วนหนึ่ง ก็คือส่วนที่คุณแม่ออกหน้าให้มา

“ถ้าอย่างนั้น เงินที่โอนมาจากบัญชีคุณพ่อ ก็ต้องเป็นเงินของคุณย่า”

ผมเดาถูก เมื่อพี่นิวพยักหน้า……

มิน่าล่ะ ผมก็ว่ามันแปลก ๆ อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมคุณพ่อกับคุณแม่จะต้องแยกส่วนเงินลงทุนในกิจการของลูกชายตัวเอง

“มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้างล่ะเนี่ย”

พี่นิวเอามือคลึงติ่งหูเล่น ทำหน้าจ๋อย ๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้เป็นบ้า

ดูเถอะ...ในขณะที่ผมไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง พี่นิวกลับกุมความลับไว้ตั้งกี่เรื่องก็ไม่รู้

“เล่าแล้วมันยาวอะ”

“ผมมีเวลาฟังครับ พี่นิวเล่าไปเถอะ....แต่ขอร้องล่ะนะ ช่วยเล่ามาให้มันจบ ๆ ก็แล้วกัน ผมขี้เกียจลุ้น”

คนตัวโต ๆ ยิ้มแห้ง ๆ  ทำให้ผมแอบขำในใจ....ทำท่าอย่างกับสามีที่ถูกภรรยาจับได้ว่าแอบซ่อนเงินไว้ใต้พื้นรองเท้า

“ก็แค่เมื่อตอนโน้น.....”

ลากเสียงเสียยาว...ผมเข้าใจแล้วว่าคงนานจริง ๆ

“ตอนที่ย่าจะให้พี่หมั้นน่ะ”

พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาผมก็อดที่จะยอกในใจไม่ได้ ทำเป็นลืม ๆ มันไป เพราะกลัวใจเจ็บ

แต่ความจริงแล้วมันก็ยังไม่เคยถูกยกเลิก

“ย่าก็อ้างว่า บ้านเรากับบ้านผาณิตเป็นคู่ค้ากันมานาน ผู้ใหญ่ก็ตั้งความหวังไว้ว่า

จะให้รุ่นลูกแต่งงานกัน ก็คงไม่พ้นพี่ เพราะในฐานะหลานคนโต ต่อไปพี่ก็ต้องเป็นคนดูแลงานต่อจากพ่อ

ผาณิตเขาก็เป็นลูกเจ้าของบริษัทเหมือนกัน จับคู่กันซะ มันก็สมน้ำสมเนื้อดี ตอนนั้นพี่ทำได้แค่ซื้อเวลา

จะให้ปฏิเสธไปเลยทีเดียว ก็กลัวย่าจะโกรธ.......”

หลานคนโตที่ต้องรับทั้งภาระกิจการ รับทั้งคำสัญญารุ่นปู่

ถ้าไม่ใช่พี่นิว ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่า หลานคนอื่นจะยอมทำตามหรือเปล่า

เพราะแต่ละคนก็มีแฟนกันแล้วทั้งนั้น เรื่องจับคลุมถุงชนในยุคนี้

ผมว่ามันก็ออกจะยากอยู่ที่จะบังคับให้ลูกหลานทำตาม

“พ่อกับแม่ก็ค้านว่าไม่อยากบังคับพี่ ย่าเองก็รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เคยบังคับลูก

พอย่ายกเอาเรื่องตำแหน่งประธานบริษัทที่พ่อนั่งอยู่มาอ้างว่า

ต่อไปพี่ก็ต้องทำหน้าที่แทนพ่อในฐานะหลานคนโต เรื่องมันก็เลยไปกันใหญ่

ถึงแม้ว่าพ่อจะยอมตามใจย่า แต่ลุงกับอาไม่ยอม ทั้งยังบอกว่า

ถ้าหมดวาระของพ่อเมื่อไรต้องโหวตคนที่จะรับตำแหน่งแทนพ่อในที่ประชุม ย่าก็เลยต้องถอย”

พี่นิวเล่าว่า ไม่นานมานี้มีการพูดคุยกันในหมู่พี่น้องของคุณพ่อ ว่าตำแหน่งประธานบริษัทที่คุณพ่อนั่งอยู่

ไม่ควรจะให้มีการสืบทอดทางสายเลือด แต่ขอให้มาจากการลงคะแนนเสียงในหมู่ญาติแทน

นั่นหมายความว่า พี่นิวไม่จำเป็นต้องเป็นประธานคนต่อไปอีกแล้ว (แอบดีใจ อิอิ)


นับเป็นเรื่องที่ตัวผมเองเข้าใจผิดมาตลอด และในครอบครัวเราก็เข้าใจตรงกันเช่นนั้น 

ซึ่งอาจจะเกิดจากการวางรากฐานทางความคิดของคุณย่า อันสืบเนื่องมาจากเจตจำนงคุณปู่อีกที

ถึงแม้ไม่เคยมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรระบุให้ทายาทของลูกชายคนแรกเป็นผู้บริหารสูงสุดในกิจการ

แต่ก็เป็นการยอมรับอยู่ในทีแล้ว

แต่เมื่อเหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วพี่นิวก็อาจจะไม่ได้รับความเห็นชอบให้สืบทอดตำแหน่ง

ผมก็อดนึกถึงคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้

“คุณพ่อคุณแม่ไม่เสียใจแย่เหรอครับพี่นิว”

“ไม่เลย  พอลุงกับอาพูดเป็นเสียงเดียว พ่อก็เตรียมส่งมอบงานให้ลูกลุงไปดูแลทันที”

“อ้าว....ทำไมไม่ให้ลูกคุณอาล่ะครับ ก็คุณลุงเป็นลูกบุญธรรม ลูกของคุณลุงจะไปมีสิทธิ์ได้ยังไง”

“พ่อบอกว่าพี่น้ำเป็นคนเก่ง หัวไว แล้วก็ซื่อสัตย์ พ่อสอนงานมากับมือ

ต่อไปพี่น้ำจะต้องเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้พี่โน้ตได้แน่ ๆ แต่ถ้ายกให้พี่โน้ตไปตอนนี้

พี่น้ำก็จะหมดโอกาสที่จะเรียนรู้จากพ่อ แถมพี่โน้ตก็จะทำได้ไม่ดีเท่าพี่น้ำ....

อืม...ไม่รู้สิ พี่เห็นด้วยกับพ่อนะ แล้วพี่ว่าย่าก็คงคิดเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ยอมให้พ่อลาออก

แล้วยกหน้าที่ให้พี่น้ำรักษาการหรอก”

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณพ่อต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิง.....แต่พี่ว่าเหมือนพ่อจะฉวยโอกาสทำตามใจแม่มากกว่า”

“มิน่าล่ะ คุณแม่คงดีใจด้วยอีกคนล่ะสิครับ”

“ดีใจหรือไม่ดีใจนูก็ดูเอาแล้วกันว่า ตั้งแต่หมดหน้าที่เนี่ย เคยจะคิดกลับมาเยี่ยมเราบ้างไหม

จนป่านนี้ก็ยังลาพักผ่อนไม่เสร็จเสียที”

.........บ่นเป็นลูกพ่อแม่ทิ้งไปได้ พี่นิวล่ะก็........

“ช่างเถอะครับ ท่านอยู่ที่ไหนแล้วมีความสุขก็ปล่อยให้ท่านอยู่ไปเถอะ

ดีเสียอีก บ้านที่เชียงใหม่ไม่มีคนอยู่เดี๋ยวจะร้างไปเสียก่อน ว่าง ๆ เราไปเยี่ยมท่านกันบ้างก็ดีนะครับ

ผมยังไม่เคยไปเชียงใหม่เลยสักครั้ง”

...เอ๊ะ......แล้วไหนล่ะ เรื่องเซอร์ไพรส์ผม......

“พอพ่อกับแม่ลาออก พี่ก็ได้โอกาสที่จะปลีกตัวเองออกมาจากหน้าที่บ้าง

พี่เลยบอกย่าว่าอยากมีกิจการอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง ต่อไปพี่จะได้เลี้ยงพ่อกับแม่ได้”

“ใครเลี้ยงใครกันแน่เนี่ย ผมว่าคุณพ่อไม่ต้องทำงานก็เลี้ยงคุณแม่ได้สบาย ๆนะครับ”

“อย่าขัดคอพี่สิ ปัดโธ่!”

ผมหลบ “โบก” จากพี่นิวได้อย่างหวุดหวิด พี่นิวก็เลยเปลี่ยนมาล็อคคอแทน

........เคยคิดจะหวานกับผมบ้างไหมเนี่ยคนเรา

ผมดิ้นขลุกขลักกว่าพี่นิวจะปล่อยแล้วเล่าต่อ

“แล้วพี่ก็เลยบอกย่าว่า เรื่องหมั้นก็เหมือนกัน ถ้าพี่ไม่ต้องทำหน้าที่ประธานบริษัทแทนพ่อแล้ว

ก็ให้ใครก็ได้มาทำหน้าที่นี้แทนไปด้วย......ย่าโกรธ.....ไม่พูดกับพี่เป็นเดือน”

พี่นิวไม่เห็นจะเคยบอกผมเลย ว่าเคยยื่นคำขอแบบนี้กับคุณย่าด้วย

“อยู่มาวันหนึ่ง ย่าก็เรียกให้พี่ไปหาที่โน่น แล้วเราก็ทำข้อตกลงกัน ย่าให้เงินก้อนหนึ่งมาเริ่มกิจการ

ถามว่าพี่คิดจะทำอะไร พอพี่บอกว่าจะทำบริษัทบอดี้การ์ด ย่าส่ายหน้าแล้วก็บอกว่าไปไม่รอดหรอก

พี่ก็เลยขอย่าว่า ถ้าไปรอด พี่ขอแลกด้วยการไม่แต่งงานได้ไหม แล้วเงินทุนที่ย่าให้มา พี่ก็จะคืนทั้งหมด”

“แต่แล้วก็ไปไม่รอดจนต้องขาย”

“พี่ก็เสียใจนะ ที่มันไปได้ไม่ถึงไหน แต่ก็ยังดีใจว่าเราไม่ได้ขาดทุน”

จากที่คิดเอาไว้ว่า เราจะค่อย ๆ ทำให้บริษัทรักษาความปลอดภัย ขยายตัวไปจนถึง

ให้บริการ “บอดี้การ์ดติดตามตัว” ก็ต้องชะงัก เพราะตั้งแต่ที่ทางราชการ เปิดให้มีการรับสมัคร

อาสาสมัครรักษาดินแดน เราก็หาบุคลากรมาทำหน้าที่ รปภ.ยากขึ้น ถึงแม้จะมีผู้ว่าจ้าง

แต่เราก็ไม่สามารถหาคนไปให้บริการได้ คุณย่าเองก็คงจะทราบข้อนี้ดี

พอเห็นว่ากิจการทำท่าจะไปไม่รอดก็ให้รีบขายเสียก่อนที่มันจะจมลงไปมากกว่านี้

แรกทีเดียวที่ได้ฟังข้อเสนอที่พี่นิวขอกับคุณย่า บอกได้คำเดียวว่า ผมไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์

(ถ้านี่คือเซอร์ไพรส์ที่พี่นิวบอก) ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่นิวไม่อยากแต่งงานให้ใครต้องมาร่วมทุกข์ไปกับเรา

แต่ที่รู้สึกแปลกใจก็คือ พี่นิวกล้าที่จะเรียกร้องกับคุณย่าได้อย่างไรมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้น

ทำไมคุณย่าถึงยอมรับข้อเสนอนั้นง่าย ๆ

“ทำไมคุณย่าถึงยอมพี่นิวง่าย ๆล่ะครับ”

“มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก พี่เล่าสองสามประโยค แต่ความจริงกว่าจะคุณย่าจะยอมตกลงน่ะ

พี่ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่หลายอาทิตย์ นูจำได้ไหมล่ะ ตอนนั้นน่ะ เราแทบจะไม่ได้อยู่บ้านด้วยกันเลย

แถมพอพี่ชวนนูให้นั่งรถไปด้วยกัน นูก็ไม่ไป”

ไม่อยากจะสวนออกไปให้เสียบรรยากาศว่า ...ผมจำไม่ยักได้...

เพราะเวลาทำงานของพี่นิวไม่เคยมีตารางที่แน่นอนเหมือนของผม แต่ที่แน่ ๆ วันสุดสัปดาห์ที่ผมได้หยุด

พี่นิวมีเหลือวันอาทิตย์ให้ผมแค่วันเดียว........แค่วันเดียวเท่านั้นต่อสัปดาห์ แถมถ้ามีงานเร่ง

วันเดียวนั่นก็ถูกริบไปให้งานโยธาเสียหมด และก็อาจจะเป็นวันหยุดเหล่านั้นแหละ

ที่บางครั้งพี่นิวต้องไปค้างคืน ซึ่งผมก็รับรู้ว่าไปทำงานบ้าง ไปที่ออฟฟิศใหญ่ที่นู่นบ้าง....

ผมจะไปจำได้ยังไงว่าเมื่อไรทำงาน เมื่อไรไปหาคุณย่า

“ถ้าพี่นิวขายบริษัท ก็เท่ากับทำตามสัญญาไม่ได้ แล้วเรื่องแต่งงาน.........”

พี่นิวกลอกตาไปมา ทำหน้าเป็นตัวตลก.....แต่ผมยังหามุมขำไม่เจอนี่สิ ก็เลยชักจะพาลโมโห

....คนยิ่งลุ้น ๆ อยู่

“ก็....ตามนั้นแหละ”

คิ้วผมขมวดเป็นปม  มันเรื่องอะไรถึงจะต้องให้ผมแปลไอ้คำว่า “ตามนั้น” เอาตอนนี้ล่ะ

“แปลว่าพี่นิวยังต้องแต่งงาน?”

....ผมได้มาหนึ่งโบกเบา ๆ.....พักนี้ไปได้นิสัยตบกะโหลกมาจากไหนก็ไม่รู้ แย่จริง ๆ

“จิ๊....มันเรื่องอะไรมาทำร้ายผมล่ะเนี่ย”

“สมองช้าอะคนเรา”

“อะไรเล่า.....ก็พูดมาซะทีสิ อมพะนำอยู่ได้.......น่ารำคาญอะ”

ตอนท้ายประโยคผมงึมงำ ไม่กล้าให้เขาได้ยินเพราะกลัวจะเสียเรื่องเสียก่อน

บอกตรง ๆ ว่าอารมณ์ผมตอนนี้หงุดหงิดอย่างแรง

เคยกันไหมล่ะครับ?........เราอยากรู้แทบตาย แต่ไม่ยอมพูดสักที ปล่อยให้เราลุ้นจนเหนื่อย

“บริษัทตั้งมากี่ปีแล้วล่ะ?....แล้วใครมันจะอยู่รอ นูว่าไหม”

อ้อ....นั่นสินะ แต่มันคงไม่ใช่ประเด็นหรอกมั้ง

“บังเอิญเรื่องของผาณิตมันซับซ้อนมากกว่านั้นน่ะ แต่ช่างมันเหอะ เรื่องส่วนตัวของเขาเราไม่เข้าไปยุ่งดีกว่า

เอาเป็นว่า ตอนนี้พี่ไม่ต้องทำตามสัญญาของปู่ก็พอแล้ว”

ผมผงกหัวรับช้า ๆ ถึงสมองจะคิดได้ช้า แต่ก็ไม่โง่นะเฟ้ย!!

“แค่นี้อะเหรอ ที่จะเซอร์ไพรส์ผม”

มันตื้นไปป๊ะ??

“เฮ้อ!.........เมื่อย”

พี่นิวลุกขึ้นบิดขี้เกียจด้วยการกางแขน เบี่ยงไปซ้ายทีขวาที อะไรมันจะเมื่อยขนาดนั้น

นั่งคุยกันมายังไม่ครบชั่วโมงเลยมั้งนั่น

“ไปหาข้าวกินกันเถอะ พี่หิวมากเลย”

พูดเรื่องกินขึ้นมาผมพลอยรู้สึกหิวไปด้วย....แต่อย่าคิดว่าผมจะลืมนะ

ไอ้เซอร์ไพรส์ที่ว่านี่น่ะ แง้มไว้แล้วไม่ยอมเฉลย มันหงุดหงิดรู้ไหมพี่นิว







อยากเม้าท์การเมืองจะแย่แล้ว  อีกหลายวันนะครับกว่าจะได้มาโพสท์ตอนต่อไป

ขอไปรับใช้ชาติก่อนครับ     :3123:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 13-11-2013 07:09:27
รอเซอร์ไพรส์ของพี่นิวด้วยคน  :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 13-11-2013 10:39:08
มาแบบเงียบๆนะ
น้องนูเอานิสัยพี่นิวมาใช้ พูดให้อยากแล้วจากไปน่าตีจริงๆ
อยู่ด้วยกันนานจนซึมนิสัยพี่เข้าสายเลือดละซิ
แล้วเมื่อไหร่จะมาต่อละอย่าปล่อยให้รอนานนะจ๊ะ
อกอีแป้นจะแตกรอลุ้น คริคริ
 :eiei1: :eiei1: :eiei1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 19-11-2013 09:51:40
มารอดูลงเอยต่อไป :ling1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 19-11-2013 10:59:10
แง ๆ นูมาลงตั้งหลายวันแล้ว เพิ่งจะได้มาอ่าน
แต่ไม่เป็นไรเพราะอ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกมีความสุข
เพราะนูคงไม่ต้องยอกใจกับคำว่าพี่นิวต้องแต่งงาน
แต่ไอ้เซอไพรส์ที่พี่นิวเก็บไว้นี่ซิ มันอะไรกันแน่นะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 29-11-2013 15:11:33
รอคุณ นู  นะ  มาเร็วๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 08-12-2013 06:50:28
 :m22: :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 08-01-2014 11:00:27
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณนู

เข้ามารอติดตามเรื่องต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-01-2014 11:51:14
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗ นะคะนู ฝากสวัสดีนิวด้วยนะ

ขอให้นูกับนิวมีความสุขกายสบาย  :กอด1:
ขอให้ทั้งคู่รักกันตลอดปีและตลอดไปนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 19-02-2014 21:54:46
คิดถึงพี่นูกับพี่นิวอ่ะ
อยากให้มาต่อ :katai2-1:

ถ้าเวลาน้อยมาอัพแค่ความเป็นไปก็ได้นะพี่
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-02-2014 00:00:26
 :m22: :m32: :m7:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: inlove_63 ที่ 13-03-2014 16:26:17
ผมรอพี่อยู่นะครับ พี่นูกลับมาเถอะนะครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: GeTOuTNoW ที่ 12-06-2014 21:31:00
สนุกมากครับ อยากให้มาต่ออีก ชอบมากกกครับ ขอบคุณมากครับ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 24-06-2014 23:50:44
คิดถึงจังเลย   มาไวๆนะ :ling1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE ที่ลงเอย (13.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 30-06-2014 01:08:27
หายไปนานแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ**I'm coming. ชื่อใหม่แต่คนเดิม** พบกันเร็ว ๆ นี้
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 01-07-2014 19:31:46
ขอโทษสำหรับการหายไปทั้งหัวทั้งตัว อย่างไม่มีคำแก้ตัวใด ๆครับ

แต่กำลังจะกลับมาเร็ว  ๆนี้ ตามสัญญาที่เคยให้ไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไร ก็จะเขียนต่อจนจบ

และขอขอบคุณ ผู้ดูแลเล้าทุก ๆ คน โดยเฉพาะเจ๊สอง ที่ทำให้ผมได้กลับมา

หลังจากที่ล็อกอินเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากความงี่เง่าของตัวเอง

ถึงจะกลับมาในชื่อใหม่ แต่หัวใจดวงเดิม กับสัญญาเดิม ๆ

หวังว่าจะยังมีคนคิดถึง น้องนูกับพี่นิว อยู่นะครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ**ชื่อใหม่แต่คนเดิม** พบกันเร็ว ๆ นี้
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-07-2014 20:16:27
ฉันมายืนรอพี่


ที่หน้าเล้าทุกวันเลย


เมื่อยแล้วนะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ**ชื่อใหม่แต่คนเดิม** พบกันเร็ว ๆ นี้
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 01-07-2014 23:31:51
เย้ กลับมาแล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ**ชื่อใหม่แต่คนเดิม** พบกันเร็ว ๆ นี้
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 02-07-2014 10:41:15
อิอิ โดนทวง  :eiei1:

จะรอ รอ แล้วก็ รอต่อไป  :katai3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ**ชื่อใหม่แต่คนเดิม** พบกันเร็ว ๆ นี้
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-07-2014 18:34:00
ยังคิดถึงนูกับนิวเสมอจ้า

กลับมาคราวนี้ไฉไลด้วยชื่อแบบชวนให้ยิ้มเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครั@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 : 01.04 am.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-07-2014 01:11:33



แอบย่องมากลางดึกเหมือนเคยครับ

รีบลงแล้วรีบไปนอน พบกันใหม่พรุ่งนี้นะครับ     :katai4: 

(ไม่จัดหน้งจัดหน้ามันแล้วครับ......แบบว่าง่วงมาก  :ruready











       พี่นิวอาบน้ำเสร็จตัวเปียกฉ่ำออกมา ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว...อ๊ากส์ส์ส์

        ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่แอบกลืนน้ำลาย...แม่ง โคตรเอ็กซ์

       “ดูอะไรอยู่น่ะ”

          ถามพลางมือก็เช็ดผมไปพลาง ผมอดที่จะละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์แล้วหันไปมองไม่ได้

เมื่อเห็นว่าพี่นิวกำลังใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมที่ยังเปียกน้ำอยู่.....ใต้วงแขน....

อื้ม........ผมเริ่มรู้สึกหวิว ๆ ที่ท้องน้อยตอนเห็นใต้วงแขนของพี่นิวตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

จะบอกออกไปดีไหมนะว่า ผมกำลังดูเขาทั้งเนื้อทั้งตัวนั่นแหละ

“หืม?”

สายตาพี่นิวจ้องมองผมแล้วค้างอยู่ในท่านั้นอย่างรอคอย  คำถามของเขา....ผมยังไม่ได้ตอบ

และเขาอาจจะทันได้เห็นแววตาวาววามของผม

.....มันจะส่ออารมณ์บางอย่างออกไปให้เขาจับได้หรือเปล่านะ

“เอ่อ....ผมจะดูซีรี่เกาหลีน่ะ”

แล้วผมก็ตอบไปส่งเดช.......เคยดูเสียที่ไหนล่ะครับ

ว่าแล้วก็หยิบรีโมทมากดหาช่องที่เคยผ่านตาว่ามันมีหนังเกาหลีฉายให้ดู

พักใหญ่ ๆ พี่นิวก็กลับมาขึ้นเตียงพร้อมกับสวมชุดนอนเรียบร้อย ส่วนผมยังไม่ได้อาบน้ำ

เพราะปกติผมชอบอาบก่อนนอน ชนิดที่ว่า อาบแล้วก็ขึ้นเตียงห่มผ้านอนเลยนั่นแหละ

“ไปอาบน้ำได้แล้ว”

“ผมยังไม่นอนอะ อีกประเดี๋ยวนึง” ก็มันเพิ่งจะสี่ทุ่มนิด ๆ เอง ใช่เวลานอนของผมที่ไหนกัน

“นอนได้แล้ว”

“พี่นิวง่วงก็นอนไปก่อนได้เลยครับ”

“เอ๊....แล้วทำไมวันนี้ไม่เล่นคอมฯ”

“ผมก็อยากมีเวลาอยู่กับพี่นิวบ้างนี่นา”

“ฮื่ม...ชื่นใจ”

พี่นิวเหนี่ยวคอผมไปฟัดแก้มแรง ๆ ตามด้วยเสียงฮึ่มฮั่มคล้ายจะหมั่นเขี้ยว

ถ้ารู้ว่าพูดเอาใจแบบนี้แล้วได้รางวัล ผมก็จะพูดบ่อย ๆ 555

(หยอดนิดหยอดหน่อยได้ผลตลอด)


ในที่สุดผมก็ต้องฝืนใจลุกขึ้นมาอาบน้ำด้วยความขี้เกียจ เป็นธรรมดาของผม

ที่พอได้นอนกลิ้งเกลือกบนที่นอนนุ่ม ๆ มีมือใหญ่ ๆ ของพี่นิวคอยเกาหัวให้เบา ๆ

มันก็เลยชักเคลิ้มจนตาแทบจะปิด แต่ยังไงผมก็ต้องอาบน้ำก่อนนอน

ไม่เช่นนั้นตกดึกก็จะรู้สึกไม่สบายตัว จนต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำจนได้

แม้ว่าจะตีหนึ่งตีสองแล้วก็ตาม

กลับมาขึ้นเตียงอีกที พี่นิวก็หลับสนิทได้ยินแค่เสียงกรนไปเรียบร้อยแล้ว


(........คืนนี้อดเบยยยย..........)





      พออาบน้ำเสร็จก็ตาสว่างล่ะสิคราวนี้ ผมได้แต่นอนลืมตาอยู่ในความมืด

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตามประสาคนฟุ้งซ่าน

วันนี้เราสองคนได้คุยอะไรกันหลายเรื่อง แม้แต่เรื่องเฉพาะภายในครอบครัวของเขา

ที่ผมไม่เคยละลาบละล้วงถาม  ด้วยคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนนอก

แต่วันนี้พี่นิวก็เล่าให้ฟังแทบหมดเปลือก

เรื่องแรกก็คือเรื่องที่คุณพ่อลาออกจากตำแหน่งโดยไม่รอการเกษียณอายุ

เพียงแค่ทราบว่าในหมู่ญาติพี่น้องตกลงกันที่จะให้มีการโหวตผู้รับตำแหน่งประธานฯ คนต่อไป

แทนการสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น  ทั้งที่ยังไม่มีวาระการประชุมที่ว่านั่นเลยเสียด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องหาใครมาแทน  แต่กลับให้พี่น้ำมาฝึกงานก่อนเวลาอันสมควร

 มันมีเหตุผลอะไรที่มากไปกว่าความเห็นของคนในครอบครัวแน่ ๆ 

หากจะรอให้คุณพ่อเกษียณไปตามอายุ โดยระหว่างนี้ให้พี่น้ำมาเรียนรู้งานก็ย่อมทำได้ 

พี่นิวบอกว่า คุณพ่อฉวยโอกาสนี้ออกจากตำแหน่งอย่างถาวร

....มันไม่น่าแปลกใจหรอกหรือว่า....ทำไม?


เรื่องข้อเสนอของพี่นิวที่ขอคุณย่าไว้ก็เหมือนกัน เมื่อตกลงว่าจะขายกิจการ

ก็เท่ากับว่าพี่นิวไม่สามารถทำตามคำพูดได้  ข้อเสนออะไรนั่นก็เป็นโมฆะ

(ซึ่งมันคืออะไรผมก็ไม่รู้)  เงินที่คุณย่าเข้าหุ้นในกิจการของเราก็ต้องคืนให้ท่านไป

 เงินส่วนของผมคุณย่าก็บังคับให้คืน  ถ้ากิจการยังขายไม่ได้

พี่นิวจะเอาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน

เรื่องของคู่หมั้นที่พี่นิวพูดขึ้นมาวันนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอามาคิดซ้ำ ๆ


.......บังเอิญเรื่องของผาณิตมันซับซ้อนมากกว่านั้นน่ะ แต่ช่างมันเหอะ

เรื่องส่วนตัวของเขาเราไม่เข้าไปยุ่งดีกว่า

เอาเป็นว่า ตอนนี้พี่ไม่ต้องทำตามสัญญาของปู่ก็พอแล้ว..........


อะไรที่มันซับซ้อน?

ทำไมพี่นิวถึงบอกว่าไม่ต้องทำตามสัญญาของคุณปู่?

พี่นิวสรุปเอาเอง หรือว่า สัญญานั้นเป็นโมฆะกันแน่

...ผมรู้แล้วว่า ไอ้นี่แหละ เซอร์ไพรส์ ของพี่นิว...

ต้องใช่แน่ ๆ เลย  “เซอร์ไพรส์” เสียจนผมนอนไม่หลับ

จนฟ้าจะสางอยู่แล้วผมก็ยังงงว่า มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหมสำหรับเราสองคน





มันช่างเป็นเช้าที่ไม่ปลอดโปร่งเอาเสียเลย

ผมหยีตามองออกไปนอกหน้าต่าง แมกไม้ใบบัง ซ่อนแสงอาทิตย์ไว้บางส่วน

แต่มันก็ยังจ้าเกินไปสำหรับผมอยู่ดี เพราะพออดนอนเข้า  นัยน์ตามันก็ไม่สู้แสงเอาดื้อ ๆ

“ไง...ทำไมวันนี้ตื่นสาย”

ผมเอียงแก้มไปแนบกับฝ่ามือเย็น ๆ ที่ลูบลงมาเบา ๆ พี่นิวเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ

มองเห็นหยดน้ำเกาะอยู่ตามเนื้อตัว

“ผมนอนไม่หลับ”

“หืม....เป็นอะไร ทำไมนอนไม่หลับ”

พี่นิวทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียง ผมได้โอกาสซุกหน้าลงบนตักที่มีเพียงผ้าขนหนูชื้น ๆ ห่อหุ้มอยู่

“พี่นิวนั่นแหละ”

“พี่ไปทำอะไร ตอนไหน”

 “มาหย่อนระเบิดให้ผมเซอร์ไพรส์น่ะสิ”

“หึหึ...ระเบิดอะไร แล้วอะไรเซอร์ไพรส์”

ทำเสียงเจ้าเล่ห์ แต่ที่แท้น่าจะรู้หรอกนะว่าผมหมายถึงเรื่องที่เขาคุยค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“ก็เมื่อวานน่ะสิ......อื๊ด.......อ่า......”

วาดแขนบิดขี้เกียจก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เพราะผมรู้สึกว่า

พอนอนคุยแล้วผมกลายเป็นเบี้ยล่างยังไงชอบกล

“เมื่อวานพี่นิวยังเล่าให้ผมฟังไม่หมดนะ.....ฮ้าวววววว”

ตามด้วยอาการหาวจนน้ำตาเล็ด

“ก็ยังไม่หมดดีหรอก แต่ว่าวันนี้ย่าจะแวะมาค้างด้วยก่อนกลับบ้าน เราคงยังไม่มีเวลาคุยเรื่องอื่น ๆ”

จากที่งัวเงียเมื่อกี้ ผมก็ตาสว่างทันที คำว่าคุณย่าจะมาค้าง เรียกสติผมได้ชะงัดนัก

แต่กระนั้นก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกตึงเครียดให้ผมเหมือนเมื่อก่อนนี้อีกแล้ว 

ผมแค่คิดว่าต้องรีบกลบเกลื่อนร่องรอยที่เราสองคนทิ้งไว้ก่อนคุณย่าจะมาถึง

และต้องรีบไปทำห้องของตัวเองให้ดูเหมือนว่าผมยังอยู่ห้องนั้นทุกวัน

......ยังดีนะที่เป็นวันหยุด ผมมีเวลามากพอที่จะทำทุก ๆ อย่างที่ว่ามานั่น

ถ้าเป็นวันทำงานปกติ คงเหนื่อยแย่  การ “เตรียมบ้าน” ไว้รอคุณย่า

ทำให้ผมไม่มีโอกาสที่จะไล่เบี้ยพี่นิวเรื่องเซอร์ไพรส์ ได้อย่างที่ตั้งใจ

และในที่สุดผมก็ลืมมัน



เพื่อนรุ่นน้องของคุณย่าคนเดิมมาส่งคุณย่าในตอนสายและอยู่กินข้าวเที่ยงกับเรา

จากนั้นคุณป้าคนนั้นก็ขอตัวไปรับหลานที่เรียนพิเศษและขอตัวกลับบ้านเลย

ทำให้เราสามคนเพิ่งจะมีเวลาได้อยู่กันพร้อมหน้าเฉพาะคนในครอบครัว

“มีอะไรจะถามย่าไหม หือ นู”

คุณย่าเดินมานั่งที่โซฟา ส่วนผมที่นั่งดูรายการโทรทัศน์ที่น่าเบื่ออยู่ก่อนแล้ว

ได้ยินคำถามของคุณย่า ก็ทำหน้าเหรอหรา ด้วยไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้น

หันไปมองพี่นิวก็ไม่ได้ช่วยให้ได้คำตอบอะไรเลย

“อะไรครับคุณย่า”

คุณย่ามองผมแล้วหันไปทำตาดุใส่พี่นิว

“ยังไม่ได้บอกน้องล่ะสิพี่นิว”

พี่นิวอมยิ้มทำตาหยี  ดูมีเลศนัย อีหรอบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรในก่อไผ่จริง ๆสินะ

“ก็คุยกันหลายเรื่องแล้วล่ะครับย่า แต่ยังไม่ได้พูดเรื่องนั้น”

....เรื่องนั้น?....

“ก็กำลังจะบอกเขาวันนี้แหละครับ แต่พอดีย่ามา”

“มิน่าล่ะ ถึงทำหน้าเซ่อใส่ย่าแบบนี้ งั้นก็คุยเสียตอนนี้เลยก็แล้วกัน”

คุณย่ากับพี่นิวคุยกันถึงเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมกลายเป็นคนกลางที่มองคนโน้นทีคนนี้ที

แล้วก็ได้แต่ทำหน้าเซ่อ เหมือนที่คุณย่าว่า

“พี่นิวไปชงน้ำชามาให้ย่าหน่อย  แล้วก็ปิดทีวีเสียด้วย”

“ครับย่า”

พี่นิวลุกขึ้นไปจัดการตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

 “เมื่อวันก่อนย่าบอกพี่นิวให้คืนเงินนู พี่เขาคืนให้หรือยัง”

ผมส่ายหน้าทั้งที่ยังไม่เข้าใจเจตนาของคุณย่าอยู่ดี พี่นิวจะเอาเงินที่ไหนมาคืนให้ผม

ในเมื่อเรื่องขายกิจการยังเป็นเพียงข้อตกลงเท่านั้น

“ทำหน้าเข้า....แสดงว่าพี่นิวยังไม่ได้บอกใช่ไหม ว่าย่าสั่งอะไร”

ผมส่ายหน้าซ้ำอีกที.....ก็....โถ่....คุณย่าไปอยู่บ้านคุณป้ามากี่วันเอง

ระหว่างนั้นผมกับพี่นิวทำอะไรกันบ้าง (...ก็รู้ ๆ กันอยู่...)

แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแปลกใหม่อะไรที่ผมต้องรู้นอกเหนือไปจากเรื่องพี่นิวขายบริษัทนี่นา

“พ่อกับแม่เราเขารู้หรือเปล่า ว่าเอาเงินมาเข้าหุ้นกับพี่นิว”

“ทราบครับ ผมขออนุญาตพ่อก่อนแล้ว”

“พ่อเราเขาไม่ว่าอะไรเลยเรอะ”

“พี่นิวบอกพ่อว่าจะทำเป็นสัญญาเงินกู้ กันการบิดพลิ้วก็ได้ แต่พ่อบอกว่าไม่ต้อง พ่อเชื่อใจครับ”

คุณย่าพยักหน้าน้อย ๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“พ่อเราเขาเป็นคนดีนะ นี่ย่าก็หนักใจตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเอาเงินนูมาลงหุ้นด้วยแล้วล่ะ

ยิ่งมารู้แบบนี้อีก ย่าก็ยิ่งละอายใจ เหมือนบ้านเราเอาเปรียบนูเลยนะ  แต่ตอนนั้น....”

ดูสีหน้าคุณย่าไม่ค่อยสบายใจ แล้วท่านก็ถอนใจออกมา

“.....เฮ้อ.....มันก็ยุ่ง ๆ กันหลายเรื่องน่ะนะ”

คุณย่านิ่งเงียบไป คล้ายกำลังชั่งใจถึงสิ่งที่กำลังจะพูด.....

ผมรู้สึกว่าคุณย่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่จะบอกกับผม

เพราะคุณย่ายังจับจ้องอยู่ที่ผมจนผมรู้สึกได้

แม้ว่าผมจะกำลังก้มหน้ามองมือตัวเองที่กุมกันอยู่บนตักก็ตาม

“ย่ารู้เรื่องนูแล้วนะ....เรื่องเรากับพี่เขานั่นแหละ”

อยู่ ๆ คุณย่าก็เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน




……………….













 :a5:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-07-2014 06:09:44
นู มันค้างงงงงง  :ling1:
แต่ก็ยังดีที่นูได้เจอเซอร์ไพรส์ของจริง
ย่ารู้เรืีองนูกับนิวแล้ว และดูท่าจะไม่ขวาง
คราวนี้นูก็ไม่ต้องกังวลเรืีองหนามยอกแล้วนะ
นูจะได้ทุ่มเททุกความรู้สึกให้กับชีวิตคู่นูกับนิวสักที
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-07-2014 06:56:11
 :hao6:  แอบมาลง

 :katai2-1: แล้วก็ปล่อยให้ค้าง

 :mew1: รอตอนต่อไป  :eiei1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 14-07-2014 07:42:48
อ้างงงงงง ยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: mimalo ที่ 14-07-2014 09:54:39
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 14-07-2014 10:09:18
อะไรกันนู ทำไมมันสั้นอย่างนี้  :m16:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 14.7.2557 :01.04am.
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 14-07-2014 23:14:28
ค้างงงงงงงงงง  :ling1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.7.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-07-2014 19:27:12






ตัวผมชาวาบ  มือไม้ก็สั่นจนต้องกุมกันแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว.....พยายามตั้งสติว่า

ผมได้ยินถูกแล้วใช่ไหมที่คุณย่าบอกว่ารู้เรื่องของผมกับพี่นิว

.....เรื่อง....ที่ไม่ต้องระบุว่าเรื่องอะไร

ผมยิ่งก้มหน้างุดเหมือนจะให้ตัวเองจมหายลงไปในเบาะเก้าอี้ที่นั่งทับอยู่

น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่บอกอารมณ์ใด ๆ ทำให้ผมประเมินไม่ถูกว่า

ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไหน

“มาพี่นิว....มานั่งเป็นเพื่อนน้องก่อน ย่าว่าจะคุยกันตามลำพัง

แต่ก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจะไม่คุยกับย่าแล้วนั่น”

ผมปรายตาลงต่ำมองเห็นแค่ปลายขากางเกงพี่นิว เพราะยังไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าขึ้นมา

ได้ยินเพียงเสียงวางของลงบนโต๊ะตรงหน้า จากนั้นสองเท้าก็ก้าวเข้ามาใกล้ผม

แล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ  เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากคุณย่า

ทำให้ผมแอบเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง

พอสบตากับคุณย่าที่จ้องผมเขม็ง ก็ต้องรีบหลบ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดบาป

ที่ทำให้ผู้ใหญ่อย่างคุณย่าต้องหนักใจ ไม่สบายใจ.......แต่

.......คุณย่าครับ.....ผมรักพี่นิว เรารักกัน  อยากใช้ชีวิตร่วมกัน

.........ผมต้องทำยังไง คุณย่าถึงจะเข้าใจ

“ตอนแรกที่รู้ย่าโกรธมาก...รู้ตัวใช่ไหม.........

ย่าแค่ให้นั่งเป็นเพื่อนกันนะพี่นิว ไม่ต้องจับไม้จับมือกันขนาดนั้นก็ได้”

ท้ายประโยค น้ำเสียงคุณย่าเขียวปั้ด ชวนให้สะดุ้ง แทนที่จะเป็นคนที่ถูกดุดึงมือตัวเองกลับไป

กลับเป็นผมที่ค่อย ๆ รูดมือตัวเองออกมา แล้วพี่นิวก็พูดขึ้นมาเสียงอ่อยออกหน้าให้ผม

“ย่าอย่าดุสิครับ กลัวจนตัวสั่นหมดแล้วเห็นไหม”

“ดี...ที่รู้จักกลัวเสียบ้าง ทำอะไรกันเอาไว้ ก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ถูกไม่ควร”

ปริ่ม ๆ อยู่ตรงขอบตาแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้อยากทำสำออยร้องไห้เป็นแต๋วแตก

แต่เข้าใจผมนะ ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันบีบคั้นหัวใจจริง ๆ

“มันยากนะ ที่จะให้คนแก่อย่างย่ายอมรับเรื่องของเรา เรื่องที่จะอับอายผู้คนนั่นก็ต่างหาก

แต่ที่ย่าเสียใจก็เพราะพี่นิวเป็นหลานคนโตของย่า ย่าก็หวังว่าจะให้สืบสกุล

มีลูกมีหลานให้ย่าอุ้มเล่นบ้าง”

น้ำตาเม็ดเป้งหยดลงบนหลังมือจนได้

“นูเขาก็ลูกคนเดียวเหมือนกันนะครับย่า แบบนี้พ่อเขาก็ไม่ได้อุ้มหลานเหมือนกัน”

ยังมีหน้าไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใหญ่อีกพี่นิว รู้ทั้งรู้ว่าทำผิด แทนที่จะสงบปากสงบคำ

เดี๋ยวคุณย่าก็จะยิ่งโกรธ

“แล้วมันดีไหมล่ะ....ยังจะมาทำปากดีนะพี่นิว 

อย่าคิดว่าเป็นหลานแล้วจะมาต่อล้อต่อเถียงกับย่าได้นะ 

นั่น.....ดูน้องเขายังนั่งสงบเสงี่ยม รู้ตัวว่าทำผิดก็ยอมรับผิด

ยั่วโมโหย่าดีนัก ระวังเหอะ ข้อตกลงอะไรต่ออะไรนั่นย่าจะยกเลิกซะก็ได้”

“อย่าครับย่า ผมขอโทษครับ”

พี่นิวรีบร้องค้านเสียงอ้อน

ท่าทางเอาจริงของคุณย่าปราบความซ่าของพี่นิวได้ชะงัด

ส่วนผมก็นั่งสำนึกผิดอยู่อย่างเดิมด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นมาบ้าง

ทั้งที่ได้ยินคำตำหนิจากคุณย่าเต็มสองหู 

แต่ประโยคเหล่านั้นกลับทำให้ผมรู้สึกว่าคุณย่ากำลังตัดพ้อเราสองคนมากกว่า.......

ในความรู้สึกเสียใจ คุณย่าก็ยังให้ความเข้าใจ นั่นยิ่งทำให้น้ำตารินหนักขึ้นไปอีก

ที่สุดแล้ว......หากว่าคุณย่าจะไม่อนุญาตให้เราได้รักกัน

ผมก็รู้ว่าตัวเองได้รับความเมตตาจากท่านไม่น้อยเลย

“เอาเถอะ ไหน ๆ บ้านนั้นเขาก็มาขอถอนหมั้นไปแล้ว ถ้าย่าจะหาผู้หญิงที่ไหนมาให้อีก

เดี๋ยวจะวุ่นวายกันไปไม่รู้จบ เบื่อจริง ๆ มีหลานชายหวังจะได้เหลนสักคน

ก็ไม่มีทางจะสมหวังเสียแล้ว”

“พี่น้ำอะย่า ไหนจะพี่โน้ตอีก นั่นก็กี่คนเข้าไปแล้วล่ะ”

พี่นิวพูดถึงลูกคุณลุงกับลูกคุณอาที่แต่งงานมีลูกกันไปแล้วคนละคนสองคน

“แม่มันหวงจะตาย ปล่อยมาให้เล่นกับย่าประเดี๋ยวประด๋าวมันก็มาเอาคืน

ทีเงินทองข้าวของล่ะจะเอา แต่ลูกมันไม่ให้มาหาทวด

อยากจะเห็นเหลนก็ต้องเอาของเข้าล่อ อนาถใจจริง ๆ”

คุณย่าคงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา  ทั้งที่อารมณ์ยังกรุ่น ๆ เรื่องของเราสองคนอยู่แท้ ๆ

ความจริงแล้วพี่น้ำ ลูกชายของคุณลุงที่เป็นลูกบุญธรรมของคุณย่านั่นแหละ

แต่งงานไปแล้ว ได้เหลนให้คุณย่าชื่นชม 2 คน บ้านอยู่ใกล้กัน

แถมยังหมั่นพาเหลนไปหาคุณทวดบ่อย ๆ แต่ยังไงก็คงไม่สนิทใจเท่ากับลูกของพี่โน้ต

ซึ่งเป็นลูกของอาแท้ ๆ ของพี่นิว  พี่โน้ตมีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดูหนึ่งคน

แต่หลานสะใภ้ของคุณย่าก็หวงเสียจนใครก็แยกเอาไปอุ้มชูไม่ได้

อย่างที่คุณย่าบ่นคือ พอถึงเทศกาลรวมญาติ ก็พาเหลนมากราบทวด

เพราะรู้ว่าทวดจะเตรียมของรับขวัญหลาน ๆ เหลน ๆ ทุกครั้ง   

แต่พอให้พามาเยี่ยมเฉย ๆ ก็ไม่ว่างไปเสียทุกที

“แล้วตกลงจะเอาไงอะครับย่า ผมกับนูอยากอยู่ที่นี่ ไม่ไปอยู่โน่นได้ไหม

นูเขามีงานทำที่นี่ พ่อกับแม่ก็ยังอยู่นี่ ส่วนผมก็จะได้ดูงานของเราต่อ

ที่นู่นก็ให้พี่หนึ่งทำแทนพ่อต่อไปเหมือนเดิม”

พี่นิวตัดสินใจเสร็จสรรพ ทั้งส่วนของตัวเอง และส่วนของผมด้วย 

ซึ่งทุกอย่างที่พี่นิวพูดก็ตรงกับความต้องการของผมอยู่แล้ว

แต่คุณย่าก็ยังคงอยากให้ผมยืนยันจากปาก

“ว่าไงล่ะเราน่ะ”

   พี่นิวเอาศอกกระทุ้งผมเบา ๆ พอผมหันไปหา เขาก็บอกให้ผมตอบคุณย่า

ผมรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก อยากพูดไปตามที่พี่นิวได้พูดแล้ว

แต่ความเกรงใจทำให้ผมไม่กล้าบอกออกไป

   “ย่าถามว่านูจะเอายังไง จะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปอยู่ที่โน่น”

   พี่นิวพูดซ้ำคำถามของคุณย่าให้ผมฟังอีกครั้ง

   “ย่าจะให้เราสองคนไปอยู่บ้านโน้นด้วย พี่เข้าไปทำที่บริษัท

ส่วนนูก็ขอย้ายสาขา หรือไม่งั้นก็ลาออกแล้วไปทำด้วยกัน”

   คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดสินะ

   “ผมคงไปอยู่ที่โน่นไม่ได้หรอกครับคุณย่า”

ผมหันไปตอบคุณย่า จะอย่างไรผมก็ทิ้งครอบครัวที่มีแค่พ่อและแม่ไปไม่ได้ 

ทุกวันนี้ผมแทบจะกลายเป็นลูกบ้านนี้เต็มตัวไปแล้ว 

ถ้าต้องย้ายไปรวมกับครอบครัวใหญ่ที่โน่น 

ผมคงไม่แคล้วเป็นลูกกตัญญูไปเสียจริง ๆ

“อยู่ที่นี่ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อกับแม่ แต่ผมก็ยังไปหาได้ตลอดเวลา”

   “เห็นไหม ผมว่าแล้วว่าเขาไม่ไปหรอก”

   ผมลงจากโซฟาเข้าไปกราบคุณย่าที่ตัก

   “ผมขอโทษครับคุณย่า”

   “นั่นสินะ ใครล่ะมันอยากจะอยู่กับคนแก่ ๆอย่างย่า  พ่อกับแม่พี่นิวนั่นปะไร ทิ้งบริษัท ทิ้งย่า

จนป่านนี้ก็ไม่กลับมาดูดำดูดี  จะไปไหนทำอะไร ก็ไม่ต้องมีย่าคอยบ่นคอยว่า”

   “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ  แต่ผมรู้สึกละอายมากกว่าที่ทำตัวเหมือนกินบนเรือนถ่ายรดหลังคา

ทั้ง ๆที่คุณพ่อคุณแม่ กับคุณย่า เอ็นดูผม เลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี

แต่ผมก็ยังทำเรื่องไม่ดีให้ทุกคนอับอาย”

   “รู้ว่าจะต้องอับอาย แล้วทำไมถึงได้ทำ”

   .....นั่นสิครับ....ทำลับหลังผู้ใหญ่มาเป็นหลายปี 

ทั้งที่ปัจจุบันนี้ คุณย่าก็ให้ความเอ็นดูผมอย่างเห็นได้ชัด  ผมก็ยังไม่เลิกทำ

   ก็ถ้า.....ความรักมันมันเลิกได้ง่ายดายแบบนั้น 

เราสองคนคงไม่ต้องใช้ความอดทน และคำว่าให้อภัยกัน ไม่รู้จักกี่ครั้งกี่หน

กว่าจะฟันฝ่าอุปสรรคมาจนได้อยู่ด้วยกันอย่างทุกวันนี้

เงียบ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ส่วนผม....น้ำตาที่แห้งไปได้ครู่เดียว ตอนนี้มันปรี่ออกมาอีกแล้ว

   มันอาจจะถึงเวลาที่เราสองคนต้องตัดใจจากกันเสียทีกระมัง

พี่นิวกลับไปเป็นหลานรักตามเดิม  เข้าไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ต้องตรากตรำงานกลางแจ้งอีก

แล้วอีกหน่อยก็จะได้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งใหญ่ ๆ ได้   

สักวันหนึ่งตำแหน่งประธานฯ ที่คุณพ่อเคยนั่ง ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม

   ส่วนผมก็กลับไปอยู่บ้าน......สถานที่เดียวที่เหมาะกับผม 

กลับไปนอนหนุนตักแม่ ให้แม่ปลอบขวัญก็ดีเหมือนกัน

   .....เผียะ!........

   เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังอยู่ข้าง ๆ ฟังดูน่าจะเจ็บไม่น้อย

ผมเหลียวไปมองพี่นิวด้วยความสงสัย ทันได้เห็นเขารีบหุบยิ้มอย่างมีพิรุธ.....(?)

โดนคุณย่าตีแล้วยังยิ้มหน้าทะเล้นได้อีก  ทำตัวแบบนี้ไม่น่ารักสักนิด

ปกติพี่นิวจะเป็นคนมีมารยาท รู้กาลเทศะ แต่วันนี้กลับดูล้น ๆ เสียอย่างนั้น

   “ย่าจะกลายเป็นคนแก่ใจร้ายก็ตอนนี้ล่ะนะ”

   “ไม่ใช่นะครับคุณย่า.....ฮึก...”

   ผมไม่สามารถพูดต่อได้ เพราะอยู่ ๆ ก้อนสะอื้นก็ดันขึ้นมาจนจุกอก

   “ไม่เอา ๆ  อย่าขี้แยอย่างนี้ ลูกผู้ชายขี้แมวอะไร น้ำตาเล็ด น้ำตาร่วงง่ายจริง ๆ”

   คุณย่าดึงแขนให้ผมขึ้นมานั่งข้าง ๆ บนโซฟา ส่วนพี่นิวก็ขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ

จนดูเหมือนผมจะถูกรุมล้อมจนขยับไปไหนไม่ได้

   “ย่าทำใจได้นานแล้วลูก เรื่องของเราสองคนน่ะ”

   พี่นิวบีบมือผมเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ

ผมช้อนสายตาไปมองก็เห็นแต่รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอย่างที่คุ้นเคยเสมอ

ผมยังไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมองคุณย่า

ทั้งที่รู้สึกเหมือนได้รับการอภัยโทษ ด้วยประโยคคำพูดนี้

   “ที่พูดไปก็ไม่ใช่ว่าย่าจะเกลียด จะโกรธอะไรหรอกนะ แต่ย่าก็อยากจะบอกให้รู้กันตรง ๆ ว่า

มันยากจริง ๆ ที่จะให้คนวัยย่ายอมรับเรื่องผิดจารีตแบบนี้....ย่ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่

ยิ่งเดี๋ยวนี้ก็เห็นกันเกร่อไป  แต่พอมันมาเกิดกับคนในบ้านเรา...

เป็นหลานชายคนที่เราทุกคนฝากความหวังที่จะให้สืบทอดวงศ์ตระกูล

คงไม่มีญาติผู้ใหญ่คนไหนจะยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบานได้หรอกลูกเอ๊ย”

   “ผมขอโทษครับคุณย่า”

   ผมพูดได้เพียงแค่นี้จริง ๆ

   “เฮ้อ....เอาเข้าไป......เจ้านี่ก็เอาแต่ขอโทษ ส่วนไอ้เจ้านั่นก็พูดแต่ขอโทษ ๆ

 ตอนที่ย่าเรียกไปถามก็ตบท้ายด้วยเงื่อนไขสารพัด ที่จะให้ย่ายอมมันให้ได้”

   “ขอบคุณครับย่า”

   “อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน”

คุณย่าหันไปกำชับกับพี่นิว

”ถึงยังไงพี่นิวก็ยังมีหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวเราเหมือนเดิม

แล้วก็ยิ่งต้องทำให้ดีเป็นสองเท่าแทนพ่อเราด้วย

เพราะพ่อเราก็หนีย่าเอาตัวรอดไปแล้ว”

   วันนี้ผมคงทำน้ำตาคงท่วมบ้านเราแน่ ๆ ด้วยคำพูดของคุณย่าทั้งหมด

ราวกับได้ปลดแอกที่ผมแบกรับมันจนหนักอึ้งตลอดมาแทบจะทั้งชีวิต   

   คนเรานี้หนอ  ดีใจก็เสียน้ำตา  เสียใจก็บีบน้ำตา  แต่ถ้าไม่เกิดกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่า

ความปลื้มเปรม ที่ได้รับจากการเป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว มันอิ่มใจได้มากเพียงไหน

   ผมก้มกราบที่ตักคุณย่าอีกครั้ง 

คำขอบคุณเพียงคำเดียวคงไม่เพียงพอกับความเมตตาที่ท่านให้

   คนที่ผมระลึกถึงไปพร้อม ๆ กันคือพ่อกับแม่

   จะดีสักเพียงไหน หากผมสามารถบอกให้ท่านรับรู้ถึงความสุขของผมในขณะนี้ได้

   หากว่า......

   ปริญญาบัตร คือเครื่องหมายของความสำเร็จทางการศึกษา 

ทะเบียนสมรสเป็นประกาศนียบัตรรับรองการมีคู่ครอง 

ถ้าเช่นนั้น.....

ผมก็จะขออนุมานว่า คำอนุญาตของคุณย่า

ก็คือประกาศนียบัตรที่รับรองการมีครอบครัวของผมกับพี่นิวจะได้ไหม


น่าเสียดายที่ผมไม่กล้าอวดให้พ่อกับแม่ได้รับรู้ถึงความความเมตตาที่ได้รับในครั้งนี้

......ได้แต่เพียงหวังว่า สักวันผมคงจะมีโอกาสได้บอก 

ผมหวังว่าวันนั้นท่านทั้งสองจะไม่รังเกียจลูกชายคนนี้ 

คนที่ไม่สามารถสืบทอดสายเลือดให้แก่วงศ์ตระกูลของท่านได้



มีต่อครับ .... รอแพ็พ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-07-2014 19:38:39
มาแย้วๆ  :katai2-1:

ขอบคุณที่ไม่ให้รอนาน

 :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-07-2014 19:47:29




ถึงแม้ว่า คุณย่าจะทราบเรื่องของเรา

และคงไม่ติดใจอะไรหากผมกับพี่นิวจะนอนร่วมห้องตามประสาคู่รักทั่วไป

แต่ในใจผมมันก็ค้านต่อการกระทำเช่นนั้น ด้วยความเกรงใจคุณย่า 

อาจจะมีปนละอายบ้างนิดหน่อย  ซึ่งเมื่อผมบอกความรู้สึกนี้กับพี่นิว เขาก็เห็นดีด้วย

เป็นอันว่า ระหว่างที่คุณย่ายังอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเรา 

ผมกับพี่นิวก็จะไม่ทำอะไรให้ดูประเจิดประเจ้อ เป็นการให้เกียรติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรักไปด้วย


เรื่องของผมกับพี่นิวดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว

ผมควรจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจได้แล้ว....แต่ก็เปล่า

ผมยังสะกิดใจกับคำพูดที่คุณย่าพูดว่า คุณพ่อทิ้งบริษัท ทิ้งคุณย่า

จะปล่อยให้คาใจไปทั้งอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ผม

แต่จะให้เอ่ยปากถามคุณย่าไปตอนนี้ ก็กลัวจะไปทำให้คุณย่าเคืองใจไปเปล่า ๆ

ผมจับอารมณ์ที่คุณย่าพูดไม่ได้ว่า ท่านรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้   

แต่โดยทั่วไป  แม่ที่บอกว่าถูกลูกทิ้งคงไม่มีคนไหนที่จะดีใจหรอกมั้ง

ผมเก็บเอาความข้องใจเตรียมจะถามกับพี่นิวในวันถัดมา

ช่วงที่คุณย่านอนพักตอนบ่าย เป็นเวลาที่ดีที่สุด

เราสองคนปลีกตัวออกมานั่งเล่นนอกบ้าน ตรงสนามหญ้าใต้เงาของบ้านยามที่ตะวันบ่ายคล้อย

ถ้ายังจำกันได้ มุมนี้ที่ผมเคยบอกว่าน่านั่งที่สุดของบ้าน

สมัยเรียนที่เพื่อนพี่นิวมาพักที่บ้านกันหลาย ๆ คน

มุมนี้เป็นที่รวมก๊วนวางแผนเที่ยวกันอย่างสนุกสนานจนผมถูกลืม

ตอนนี้มันก็ยังเป็นสนามหญ้าเหมือนเดิม  ช่วงไหนที่เราสองคนยุ่งจนไม่มีเวลาใส่ใจ

หญ้าก็ยาวเสียจนดูรก นั่งเล่นไม่ได้

พอปูเสื่อ วางหมอนอิง ยกน้ำ ยกขนมมาตั้ง มันก็คือการปิกนิกดี ๆ นี่เอง

ต่างกับสมัยก่อนที่เราเป็นคุณหนู มีป้ากับพี่นางเป็นคนดูแลและจัดการให้

เวลาผ่านมาอีกช่วงหนึ่ง ก็มีแต่ผม ที่คอยปรนนิบัติ “คุณชายนิว” 

แต่ตอนนี้ ทั้งพี่นิวและผม ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ

เวลาที่ผ่านไป ทำให้พี่นิวได้เรียนรู้ชีวิตที่ต้องช่วยเหลือตัวเองแบบที่ไม่มีคนรองมือรองเท้ามากขึ้น

พลอยทำให้ผมสบายไปด้วย ที่ไม่ต้องทำทุกอย่างให้เขา 

อาจจะด้วยว่า งานที่ผมทำในบางครั้งมีกิจกรรมนอกเวลาทำงานบ่อย ๆ

จนพี่นิวต้องลุกขึ้นมาฝึกทำอะไรให้ตัวเองด้วย แถมบางครั้งยังต้องดูแลผมไปด้วย

และการที่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศก็คงทำให้เขาต้องทำอะไร ๆ เอง

ดังนั้น ถ้าวันนี้ผมจะกลายเป็น “คุณชายนู” ให้พี่นิวปรนนิบัติตอบแทน

......ก็คงไม่น่าแปลกใจอะไร

“จะเอาอะไรอีกไหม”

พี่นิวถามพร้อมกับวางถังเก็บความเย็นลง

ผมเปิดดูข้างในบรรจุเครื่องดื่มของโปรดของเขาจนเต็มปรี่

“นึกแล้วเชียว ถ้าดื่มหมดนี่ วันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นกันพอดี”

“ไม่หรอกน่า”

“ไม่หรอกน่าเนี่ย หมายความว่า ดื่มไม่หมดหรอกน่า หรือว่า ไม่อดข้าวเย็นหรอกน่า”

ผมย้อนถามยิ้ม ๆ อย่างคุณชายนิวเนี่ย เบียร์ในถังทั้งหมดก็ไม่คณามือหรอก

“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

พูดจบก็จัดการเปิดผนึกแล้วยกดื่มด้วยสีหน้าพอใจอย่างมาก เห็นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้

ในใจก็คิดว่า ถ้าหมดนี่จริง ๆ ผมก็คงได้ลากเขาเข้าบ้านในสภาพหมดสติแน่ ๆ

เพราะพี่นิวน่ะ ชอบดื่มก็จริง แต่ไม่ได้คอแข็งอะไรเลยครับ 

แถมบางทีก็ยัง “กินเผื่อหมา” เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เพียงแต่เดี๋ยวนี้เวลาดื่มนอกบ้าน หรือไปงานสังสรรค์ที่ไหน เขาจะบังคับตัวเองให้ดื่มแค่พอดี ๆ

เพราะฉะนั้น วันนี้ถ้าเขาจะดื่มจนหมดถัง ซึ่งก็น่าจะอยู่ในราว 20 กระป๋องกว่า ๆ

ผมก็จะตามใจ เพราะเมาอยู่ในบ้าน

“ไม่ว่าอะไรพี่เหรอ”

ผมส่ายหน้าแล้วยังส่งยิ้มให้เขา

“แปลก ๆ นะวันเนี้ยะ”

“แปลกตรงไหน ยังกับว่าพี่นิวไม่เคยดื่มเบียร์เยอะ ๆ แบบนี้งั้นแหละ ผมจะไปว่าอะไรได้”

ผมเปิดเบียร์ดื่มเป็นเพื่อนพี่นิวบ้าง

“แล้วถ้าพี่เมาจนลุกไม่ขึ้นล่ะ”

“ผมก็จะลากเข้าบ้านเอง แต่คงต้องนอนโซฟานะครับ ผมแบกขึ้นห้องไม่ไหว”

“เอ๊ะ....ใจดีซะด้วย”

ผมเลื่อนจานใส่หมูสวรรค์ไปตรงหน้าพี่นิว ส่วนของตัวเองเป็นเนื้อสวรรค์ 

ของฝากจากพี่ชายในโลกอินเทอร์เน็ตของผม ที่ผมเคยเล่าไว้ว่า มีพี่ มีน้อง มีเพื่อนฝูง

จากการแชทผ่าน MSN นั่นแหละครับ วันดีคืนดี ผมก็จะได้รับของฝากส่งมาเป็นพัสดุ

ส่วนใหญ่จะเป็นของกินจากที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ไปเที่ยวมา 

ส่วนผมก็ส่งไปให้พวกเขาบ้างเป็นบางครั้ง 

เรามักจะส่งผ่านความรู้สึกกันเช่นนี้เสมอโดยไม่มีเทศกาล

มันเป็นความผูกพันอันน่ามหัศจรรย์ของคนที่ไม่เคยได้พบเจอหน้าตากัน

การพูดคุยผ่านตัวอักษรในวันนั้น ทำให้ผมมีเพื่อนที่พูดคุยได้ทุกเรื่อง

โดยเฉพาะเรื่องชีวิตรักของตัวเอง ที่ไม่สามารถบอกใครได้ ในส่วนลึกของจิตใจ

ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพวกเขามากทีเดียว

นั่งดื่มกันไป คุยกันไป ลมเย็นพัดมาเบา ๆ มันให้ความสุขใจแบบสงบ ๆ ดีทีเดียว

เราสองคนมีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบที่จะพักผ่อนอยู่ในบ้าน

หากไม่มีความจำเป็นต้องไปทำธุระที่ไหน  ผมว่า บ้านคือวิมานของเรานี่เรื่องจริงเลย

“พี่นิวครับ”

ผมเตรียมจะถามเขาในเรื่องที่ผมยังคาใจจากเมื่อวานนี้

“หืม”

“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านบ้างเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ คงอยากเที่ยวพักผ่อนตามลำพังอยู่มั้ง”

“ไม่กลับไปหาคุณย่าที่โน่นก็ไม่แปลกหรอกครับ แต่ไม่มาบ้านเราเลยนี่ ผมว่ามันยังไงไม่รู้

เหมือนท่านตั้งใจจะทิ้งเราเลย”

“อะไรกัน โตจนป่านนี้แล้วยังงอแงว่าถูกพ่อแม่ทิ้งอีกเหรอ”

“ไม่ใช่ซะหน่อย พี่นิวก็รู้ว่าผมหมายความว่ายังไง อย่ามาโยกโย้เลยน่า.....

ทำไมคุณย่าถึงบอกว่าคุณพ่อทิ้งงาน ทิ้งคุณย่าล่ะครับ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก พ่อเขาก็แค่อยากจะวางมือเฉย ๆ

หลีกทางให้พวกลูกหลานได้ทำงานก็แค่นั้นเอง แต่ย่ายังไม่วางใจ

นูก็ดูสิ ย่าอายุขนาดนี้แล้วยังดูแลกิจการได้เลย

เขาก็คิดว่า ต่อให้พ่ออายุหกสิบ ก็น่าจะยังทำงานได้อยู่

พอพ่อตัดสินใจลาออกจริง ๆ ก็อาจจะน้อยใจที่พ่อไม่ฟังคำพูดย่า”

“เหรอครับ....เรื่องแค่นี้เองเหรอ”

พี่นิวพยักหน้ารับคำทำหน้าจริงจัง

“แต่ที่จริงผมว่าคุณย่าก็พูดถูกนะ  คุณพ่อยังไม่แก่เลย

ดูพ่อผมสิ ยังทำร้านขายของอยู่เลย บอกให้เลิกก็ไม่เลิก

พ่อบอกว่ายังไหวอยู่ เลิกแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไร อยู่บ้านเฉย ๆ ก็เฉาเปล่า ๆ”

“คนเราไม่เหมือนกันหรอก พ่อพี่ทำงานมาตั้งแต่ยังหนุ่ม

แทบจะไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย พี่มีแต่แม่ที่คอยดูแล

คิดถึงพ่อ อยากอยู่พร้อมหน้ากันก็ต้องไปหาที่โน่น”

“พ่อผมขายของมาตั้งแต่เด็ก ชั่วชีวิตพ่อ เรียนจบมัธยมแล้วก็มาขายของ

ทำไมพ่อผมถึงไม่คิดจะลาออกมั่งล่ะ"

”ก็....เอ๊อ.....จะให้เหมือนกันได้ยังไงเล่า งานก็คนละอย่าง ครอบครัวก็คนละแบบ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เหมือนนี่ครับ แค่เปรียบเทียบให้ฟังเฉย ๆเอง 

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณพ่อทำงานหนักแค่ไหน  แต่ไหนแต่ไรแล้วที่คุณแม่บ่นอยู่เรื่อยว่า

ถ้าไม่ไปดูแลคุณพ่อตัวเอง คุณพ่อก็จะทำแต่งาน ไม่เป็นอันกินอันนอน

ผมแค่สงสัยเฉย ๆ ว่า ทำไมต้องลาออกด้วย แค่แบ่งงานออกไปให้พี่ ๆ รับผิดชอบบ้าง

งานคุณพ่อจะได้เบาลง ก็แค่เนี้ยะ”

“ช่างเถอะ....เรื่องของพ่อกับแม่น่ะ  บางทีพี่ก็คิดว่าเขาอาจจะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น

ชดเชยกับที่แต่ก่อนนี้ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันล่ะมั้ง....ว่ามั้ย”

“อืม...นั่นสินะครับ”

มันก็เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้น่ะนะ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเหตุผลมันหลวม ๆ ยังไงไม่รู้

ดื่มไปสักพักพอครึ้มได้ที่ พี่นิวก็เริ่มทะลึ่งใส่ผมทีละนิด ลวนลามด้วยสายตาก็มี

.....นี่มันนอกบ้านนะพี่นิว.....

เดี๋ยวข้างบ้านก็ได้โผล่หน้าขึ้นมาแอบดูบนกำแพงบ้านหรอก....

ผมคิดไปเล่น ๆ อย่างนั้นแหละครับ มุมที่เรานั่งเล่นอยู่ตรงนี้ ค่อนข้างจะเป็นมุมอับ

มีต้นไม้ที่จัดสวนเล็ก ๆ กำบังเราจากหูตาคนนอกกำแพงบ้าน

มุมที่จะมองเห็นชัด ๆ ก็ต้องมองออกมาจากห้องนั่งเล่นในบ้านนั่นแหละครับ

“ขาวจั๊วะ น่าเจี๊ยะเนอะ แฟนใครเนี่ย”

“โสดครับ ไม่มีแฟน”

“งั้นเป็นแฟนพี่นะครับ”

“ลองจีบก่อนสิครับ จีบได้จะให้เป็นแฟน”

“พี่ไม่ใช่หนุ่มแบงก์ ไม่มีดาวบนบ่า รูปไม่หล่อ แต่พ่อรวย สนไหมคร้าบ”

“ฮ่า ๆ มุกบ้าน ๆ มากเลยครับพี่ จีบแบบนี้ทั้งชาติก็หาแฟนไมได้หรอก รับรอง”

“พี่จีบไม่เป็นนี่ครับ เมื่อก่อนนี้มีแฟนเป็นเด็ก ม.4 คนหนึ่งก็ไม่ได้จีบอะไรเท่าไรเลย

อยู่ ๆ เขาก็ตามมาเอง.....ฉันเปล่าน้า เขามาเอง ฉันเปล่าชวนน้า เขามาเอง”

เสียงเพลงเพี้ยน ๆ โพล่งขึ้นมาดื้อ ๆ เล่นเอาอยากขำ แต่ผมขำไม่ออก

เพราะเด็ก ม.4 ที่โดนพาดพิงน่ะมันผม

ผัวะ!!

“โอ๊ย! อย่าเล่นเจ็บ ๆ แบบนี้สิ รู้ตัวว่ามือหนักแล้วยังชอบลงมือลงไม้กับพี่อีกเหรอ....

ใจร้ายอะแฟนใครเนี่ย”

“ผมโมโหแทนเด็ก ม.4 คนนั้นแหละ เขามาได้ยินเข้าก็คงโกรธเหมือนผมรู้ไว้ด้วย”

“โอ๋เอ๋ ๆ”

ผมปัดมือใหญ่ ๆ ที่ทำท่าล้อหลอกอยู่ตรงหน้า แล้วนั่งหันข้างให้เสียเลย

“โกรธจริงอะ”

“ไม่เห็นต้องโกรธเลย พี่นิวไม่ได้ว่าผมนี่”

“งั้นก็งอน”

“งอนทำไม ผมไม่ใช่แฟนพี่ซะหน่อย”

“แหม....ล้อเล่นนิดเดียวเอง”

พี่นิวยังยิ้มได้

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรไง พี่นิวอยากว่าแฟนเด็ก ม.4 คนนั้นก็ว่าไปเลย”

ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดต่อ ทำเป็นไม่สนใจเมื่อยิ้มทะเล้น ๆ นั้นเริ่มหุบ

“นู.....”

ตอนนี้เขาคงเริ่มรู้สึกตัวแล้วล่ะว่า บรรยากาศการปิกนิกมัน....เปลี้ยนไป๋

“เอ้า....ต่อสิครับ มีอะไรจะว่าแฟนเด็ก ม.4 คนนั้นอีก”

“พี่ไม่ได้ว่า”

“ครับ ไม่ว่าก็ไม่ว่า”

“นูน่ะ”

“ครับ” ....จะเรียกทำไม

ต้นขาขาว ๆ มีมือใหญ่ ๆ สีน้ำตาลอ่อนทาบลงมา....เล่นเอาจั๊กกะจี้ไปเหมือนกัน

อย่าบอกนะว่านี่เป็นวิธีที่พี่นิวจะใช้ง้อผม

“พูดเล่นแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธพี่ด้วยล่ะ”

“ผมโกรธที่ไหน บอกแล้วไง ผมไม่ใช่แฟนพี่ พี่ว่าแฟนเด็ก ม.4 ผมจะโกรธได้ยังไง”

“ไม่โกรธแล้วทำไมไม่ยิ้มล่ะ”

“ก็มันไม่ขำนี่ จะยิ้มทำไมล่ะครับ”

“เออ ๆ ไม่ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ไม่ขำก็ไม่ขำ”

มือใหญ่ ๆ ถูกเจ้าของกระชากกลับไปวางใกล้ตัว เมื่อรู้ว่ามันไม่เกิดผลอะไรกับผมเลย

คราวนี้พี่นิวเลยต้องนิ่ง เพราะไม่รู้จะงัดไม้ไหนมาง้อผมอีก

.....ก็จะเหนื่อยง้อทำไมล่ะครับพี่นิว ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ตามที่บอกนั่นแหละ

 แต่ไม่ได้บอกนี่นา.....ว่าผมจะไม่แกล้ง

ที่ไม่ได้คิดอะไรกับคำล้อเล่นของเขาก็เพราะผมรู้ตัวดีน่ะสิครับ ว่าเขาพูดถูกทุกอย่าง

ผิดไปนิดเดียวก็ตรงที่ ผมไม่ได้ตามเขา แต่ความหมายโดยนัย มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ 

ถ้าผมไม่เป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาก่อน พี่นิวก็คงไม่มีวันชายตาแลผมหรอก

แบบนี้ใช่ที่เขาเรียกกันว่า “ทอดสะพาน” หรือเปล่าครับ



สมัยเด็ก ๆ เคยเล่นจ้องตากันไหมครับ ใครกระพริบตาก่อนเป็นคนแพ้น่ะ 

เกมนี้ของผมก็คล้าย ๆ กัน ใครเป็นฝ่ายพูดก่อน คนนั้นแพ้!

ก็ไม่รู้ว่าพี่นิวจะเดินตามเกมที่ผมเริ่มเล่น (คนเดียว?) หรือเปล่านะ 

แต่เขาก็ไม่ยอมพูดกับผมก่อน  ส่วนผมก็นั่งไปได้เรื่อย ๆ ยังไม่อยากพูดก่อน

....มีไรป้ะ??

บางทีคนเราก็ปัญญาอ่อนกันได้ง่าย ๆ (ฮ่า ๆ)






อารมณ์อยากแกล้งของผมยังดำเนินต่อไปจนถึงก่อนเวลาอาหารเย็น 

ตอนที่เรากำลังเตรียมตั้งโต๊ะกันอยู่ คุณย่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจลูกหลานเสมอ

แถมยังเป็นคนที่ช่างสังเกตอีกด้วย

ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ ตอนที่คุณย่าถามว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่พี่นิวเป็นคนตอบว่าเปล่า

“แล้วมีอะไร ทำไมไม่คุยกัน”

“นูเขาไม่คุยกับผมนี่ครับย่า”

“อ้าว.....แล้วเราล่ะ มีอะไรทำไมไม่คุยกับพี่เขา”

“ไม่มีอะไรครับคุณย่า”

“เออ.....แล้วนี่มันยังไงกันล่ะ บรรยากาศแบบนี้ ย่ากินข้าวไม่ลงหรอกนะ”

พี่นิวมองหน้าผม ส่งสัญญาณให้ผมรับผิดชอบ

กะว่าจะเล่นต่ออีกหน่อย ก็เลยต้องยอมแพ้ โดยที่พี่นิวเองก็คงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย

เพราะเกมนี้ก็อย่างที่บอก.....ผมรู้เรื่องอยู่คนเดียว (ฮ่า ๆ )
 
“ผมแกล้งพี่นิวเฉย ๆน่ะครับคุณย่า”

“แกล้งเรื่องอะไร”

ไม่ใช่คำถามของคุณย่าหรอกครับ

“ก็พี่นิวว่าผมก่อนอะ”

“พี่ว่าอะไรนู ตอนไหน”

“ที่พี่นิวร้องเพลงไง”

“ร้องเพลงอะไร นูนี่พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

พี่นิวหน้างอง้ำอย่างตลกอะ นึกดูก็น่าสงสารนะครับ

เขาเป็นคนซื่อ ๆ ที่มักจะถูกผมแกล้งอำเป็นประจำ

“ก็ที่บอกว่า ฉันเปล่าชวนนะ เขามาเองไง ว่าผมใช่ไหมล่ะ”

“เพลงอะไร พี่นิวร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ”

คุณย่าถามยิ้ม ๆ  เป็นที่รู้กันครับว่า พี่นิวเป็นคนที่ร้องเพลงไม่ได้เรื่องที่สุดในครอบครัว 

มีการรวมญาติครั้งใด ถ้ามีคาราโอเกะล่ะก็ ไม่มีใครให้พี่นิวได้จับไมค์เลยครับ

....เหนื่อยฟัง!

“เปล่าซะหน่อยย่าอะ ผมร้องแกล้งนูเฉย ๆ ต่างหาก”

“นั่นไง....รับออกมาแล้วสิว่า พี่นิวแกล้งผมน่ะ โดนผมแกล้งคืนบ้างเป็นไงล่ะ”

ผมหัวเราะส่งท้ายใส่พี่นิวบ้าง แล้วก็หันไปตักข้าวใส่จานให้คุณย่า ตามด้วยจานของพี่นิว

และตัวเองเป็นคนสุดท้าย....บรรยากาศอาหารเย็นเริ่มครึกครื้น คุณย่าก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย

“เอาเหอะ ๆ หายกันก็ได้....จำเอาไว้เลย”

พี่นิวยกช้อนชี้หน้าผมอย่างไม่จริงจัง แต่โดนมือพิฆาตของคุณย่าตะปบจนต้องสงบลง

“เสียมารยาทจริง ๆ พี่นิว ใช้ช้อนชี้หน้าน้องได้ยังไง..ฮึ”

“ขอโทษครับย่า”

คงเหลือแต่สายตาอาฆาตเบา ๆ .....แค่นี้มีหรือ ที่คนอย่างนายนูจะกลัว





****
จัดหน้ายากชะมัดเลยครับ อยากให้มันโปร่งสบายตา อ่านง่าย ๆ

ตอนนี้เลยชักจะเมื่อยมือ ขอพักแพ็พ.....

ถ้าไม่ดึกจนเกินไป คืนนี้จะมาลงอีกนิดนึงนะครับ

กินข้าวกันรึยัง.....ไปกินกับเรามั้ยครับ

วันนี้มีปลาทูสดย่าง+น้ำปลาพริกมะนาว ต้มกะทิหน่อไม้ ของโปรดผม

กินสองคน กับข้าวสองอย่างพอแล้ว ประหยัด ๆ กันหน่อยครับ


 :bye2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-07-2014 20:21:34
น่ารักเนาะ คุณย่าน่ารักมากๆ  :mew1:

ผ่านอุปสรรคไปแล้ว ขอให้น้องนูกับพี่นิวใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขรักกันตลอดไป

 :pig3:

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 20-07-2014 22:35:07
คุณย่าไฟเขียวก็สบายแล้ว  :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 20-07-2014 22:52:34
น่ารักจริงๆเลยนะ~

พอพูดถึงเมื่อก่อนแล้วคิดถึงจัง ท่าทางต้องกลับไปหาหนุ่มๆวัยละอ่อนอีกครั้ง :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-07-2014 23:55:16
อิ่มสุข


อิอิ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-07-2014 00:19:31
อ่านไปยิ้มไป แก้มแทบปริ
คุณย่ารักพี่นิวมากเลยนะ
พยายามเข้าใจมากที่สุด
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 20.07.57 : 07.31pm.
เริ่มหัวข้อโดย: nokkaling ที่ 21-07-2014 06:58:56
 :mc3: :mc3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 24-11-2014 01:53:26
   

ขอโทษที่หายไปนานหลายเดือนนะครับ

แต่ไม่เคยลืมว่าผมทิ้งอะไรเอาไว้แถวนี้

เอาล่ะครับ ไม่คิดจะแก้ตัวกันล่ะ ใครอยากจะลงโทษผมสถานใด

ผมจะยอมแต่โดยดี


....***ความเดิมตอนที่แล้ว..............ผมก็ลืม  :really2:  เอาตอนนี้มาลงก็ต้องไล่เรียงกันสักพักเหมือนกัน

ใครที่ลืมก็อ่านย้อนทวนกันนิดนึงก็ดีครับ เพื่อความต่อเนื่องของเรื่องราว ตอนนี้ออกจะยาวสักหน่อย

และผมเองก็ไม่คิดจะตัดแบ่งเป็นตอน ๆ ตามนิสัยเดิมนะครับ ตั้งชื่อตอนก็ไม่เป็น แบ่งตอนก็ไม่เป็น

ได้แต่เขียนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์ เหมือนไดอารี่นั่นแหละ

เพราะอย่างที่เคยบอกว่า มันก็คือไดอารี่ของผมนี่เอง







           คืนนี้คงต้องเข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ วันแรกของสัปดาห์

ใคร ๆ ก็รู้ว่าที่ธนาคารจะยุ่งมาก แต่ก็นั่นแหละครับ มันแค่ช่วงแรกตอนประตูที่ทำการเปิดเท่านั้นเอง

หลังจากนั้น ก็ซาไป จนกว่าจะได้เวลาใกล้ปิดทำการ คราวนี้ล่ะพระคุณเจ้า..........มาจากไหนกันนักหนาเนี่ย

  แปลกนะครับ ผมทำงานมาหลายปี วัฏจักรมันเป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง



             ผมนุ่งผ้าขนหนูทั้งที่ตัวยังฉ่ำไปด้วยหยดน้ำให้ความรู้สึกเย็นสบายดี

เดินออกจากห้องน้ำมาก็พบคนบางคน นั่งรออยู่ที่ขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว

   ผมเลิกคิ้วแกล้งทำท่าแปลกใจ ล้อหลอกพี่นิว ทั้งที่รู้น่ะแหละว่าเขาคงยังงอนผมอยู่

แต่นอกจากเขาจะไม่ยอมเล่นด้วยแล้ว ยังไม่มีอารมณ์ขันอีก

ตาขุ่น ๆ มองตามผมเดินไปมาอยู่ในห้อง จนกระทั่งแต่งตัวเสร็จ ก็ยังไม่ยอมพูดจา

.....รู้งี้แกล้งทำเป็นผ้าหลุดเสียก็ดี ดูสิว่า จะนั่งตีหน้าขรึมอยู่อีกไหม

   “ไม่ง่วงเหรอครับพี่นิว  ผมจะเข้านอนแล้วนะ พรุ่งนี้คงยุ่งแต่เช้าอะ”

   “อย่ามาไก๋ตีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ”

   “โหย....อะไรเนี่ย ยังโกรธผมอยู่เหรอ”

   “โกรธที่ไหน พี่ไม่ได้โกรธเลย”

   นั่นไง....เอานิสัยชอบเอาคืนมาจากไหนกันนะ

   “เอาน่า....ขำ ๆ นะครับพี่นิว ล้อเล่นนิดเดียวเอง ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้

ทีพี่นิวหลอกด่าผม ผมยังไม่โกรธเลยน้า”

   “ใช่...ไม่โกรธ ไม่งอน แต่แกล้งอำพี่ได้ตลอด  นี่ถ้าย่าไม่พูดขึ้นมา

พี่จะได้รู้ไหมน่ะ ว่าโดนนูแกล้ง”

   ผมอยากจะหัวเราะดัง ๆ จริง ๆนะ เวลาที่พี่นิวเขายอมรับว่า รู้ไม่ทันว่ากำลังโดนผมแกล้งอยู่

ผู้ชายตัวโต ๆ หน้ามู่ทู่ ที่นั่งอยู่บนเตียงผมเนี่ย มันน่าดูเอ็น....เอ๊ย ...น่าเอ็นดูเสียจริง ๆ นะครับ

   สงสัยต้องปลอบใจกันหน่อยแล้วสิ

   ผมเดินไปชิดขอบเตียง ตรงที่พี่นิวนั่ง เข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาแล้วโอบไปรอบคอ

จุ๊บหน้าผากโหนก ที่นับวันมันเหมือนจะกว้างขึ้นทุกที

   “แหม.....รักหรอกนะครับ ถึงได้ล้อเล่นแบบนี้น่ะ”

   “แล้วทีพี่ล้อเล่นบ้างทำไมถึงได้แกล้งทำเป็นโกรธล่ะ”

   “ก็นะ.....แกล้งพี่นิวน่ะสนุกจะตายไปนี่ครับ ฮ่า ๆ”

   ชะรอยเสียงหัวเราะของผมคงจะฟังดูน่าหมั่นไส้ไม่น้อย

พี่นิวแยกเขี้ยวใส่แล้วก็จับผมเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างไม่มีออมมือกันเลย

....อย่าคิดว่าผมจะโกรธตอบนะครับ....นาน ๆ จะได้เล่นอะไรแรง ๆ มัน ๆ แบบนี้ 

โดนพี่นิวเหวี่ยงลงมา ผมก็ถือโอกาส “ต่อสู้” สิครับ

   พักเดียวเท่านั้นแหละ.......พี่นิวก็ตัวอ่อน

   ก็จะไม่ให้อ่อนยังไงไหวล่ะครับ  พี่นิวจะฟัดก็ฟัดไป ส่วนผมได้โอกาสก็ทั้งลูบ ทั้งล้วง

ได้ทีผมก็ค่อย ๆ ลอกคราบเขาออกทีละชิ้น

ส่วนผมเสื้อผ้าที่อุตส่าห์สวมเสร็จตะกี้ก็ร่วงหลุดไปด้วยฝีมือของพี่นิวเช่นเดียวกัน

ร่างกายเราเสียดสีกันอย่างเมามันไม่เท่าไร ก็สปาร์คสิครับคราวนี้

   ไอ้ที่บอกไว้ว่า ถ้าคุณย่ายังอยู่ในบ้าน เราจะไม่ทำอะไรที่ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพ

ตอนนี้ไม่ต้องไปพูดถึงแล้วครับ พอกิเลสมาปัญญาก็หายหมดจริง ๆ

   “ไหนใครบอกว่ามีแฟนเป็นเด็ก ม.4 ไง แล้วมายุ่งกับผมทำไมเนี่ย”

   “ก็ใช่น่ะสิ เด็กม.4 ที่แสบสุด ๆ เลย ยั่วเก่งเป็นที่หนึ่ง”

   ผมหัวเราะขำคิก เถียงเขาไม่ได้สักคำ  ผมก็ยอมรับล่ะว่า ออกจะจุดไฟติดง่าย

แล้วมิหนำซ้ำ ถ้าผมเห็นพี่นิวในสภาพล่อแหลม มันก็เหมือนยิ่งกระพือให้ไฟมันโหมแรงขึ้นทุกที

   “แล้วเด็ก ม.6 ซื่อบื้อ ก็หลวมตัวจนได้ใช่ไหมล่ะ”

   “ว่าพี่ซื่อบื้อเหรอ นี่แน่ะ ๆ เอาให้ร้องครางเป็นลูกแมวเลย”

   “เอาเล้ย รออยู่เนี่ย”

   เสียงตึงตัง โครมคราม คงไปรบกวนคุณย่าที่อยู่ในห้องใหญ่

คุณย่าก็เลยมายืนตบประตูปัง ๆ อยู่ที่หน้าห้องผม

พี่นิวรีบขยับเอวกางเกงนอน ติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยก่อนจะไปเปิดประตู

ส่วนผมวิ่งไปแอบในห้องน้ำเรียบร้อยแล้วครับ

   “พี่นิว นู ทำอะไรกันเสียงดังดึก ๆ ดื่น ๆ”

   “ไม่มีอะไรหรอกย่า เราเล่นกันเสียงดังไปหน่อยน่ะครับ”

   “แล้วไหนน้อง อยู่ไหน”

   “แปรงฟันอยู่ในห้องน้ำครับ คงเตรียมตัวนอนแล้วล่ะ”

   “เออ....พี่นิวก็ไปนอนซะบ้างไปลูกไป อะไรกัน ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังมาชวนกันเล่นตึงตังอยู่ได้

พรุ่งนี้ก็ทำงานกันอีกไม่ใช่หรือไง”

   คุณย่าเดินบ่นกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ส่วนพี่นิวก็รีบงับบานประตู แล้วเดินมาจะแกล้งผมที่ห้องน้ำต่อ

   “อ้าว....แปรงฟันอยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย”

   “อ๋มอัวไอ้เอียนอี้ (ผมกลัวไม่เนียนนี่)”

   แล้วค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปด้วยดี พี่นิวแยกตัวกลับไปนอนที่ห้อง

ส่วนผมก็หมดอารมณ์แล้วครับ ได้เวลาก็ปิดไฟนอน

(คืนนี้.....อดอีกแบ๊วววววววว)

หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 24-11-2014 14:27:09
สวัสดีค่ะน้องนู จิ้มๆ^^ทันมั้ยอ่ะ อิอิ
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย มาต่อเรื่อยๆนะคะรอๆ
ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ทั้งน้องนูและพี่นิว
ขอให้รักกันตลอดไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องให้อ่านนะคะชอบมากๆเลย :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 24-11-2014 19:02:49
ว้า! ยังไม่ทันรู้เรื่องก็จบแล้ว

อีกนานไหมเนี่ยที่จะมาต่อตอนต่อไปอ่ะ

พี่นิวน่ารักเนาะ  :mew4:

รักแล้วรักเลยและขอให้รักกันตลอดไปจ้า

 :mew1:

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 17-12-2014 23:58:01
คิดถึงจังเลย ครับ ไม่ได้มาอ่านนานมาก  ยังไงก็ ขอให้มีความสูขตลอดไปนะ  อิจฉาจัง :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: mori406 ที่ 18-12-2014 00:06:34
เครียดค่าาาา   :katai1:

ค้างกับพี่กวินมากค่ะ 

อย่าทำให้น้องเอย เสียใจนะคะ   :ling1:

ไม่งั้น พี่กวินจะโดน  o18
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-12-2014 10:04:06
โหหหห นูมาต่อตอนใหม่ตั้งนานแล้ว
แต่พี่ไม่เห็นอ่ะ เพิ่งจะเห็น เลยเพิ่งจะได้อ่าน
นูคนขี้แกล้ง กับพี่นิวคนซื่อ (บื้อ) น่ารักกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 18-12-2014 11:47:57
เอ่อ...คือว่าพึ่งจะเข้ามาอ่านค่ะ แค่เกริ่นนำนี่ก็เหมือนจะดราม่า
นี่เลยยังอ่านไม่เกินห้าบรรทัดเลย งั้นขอทำใจก่อนอ่านแล้วกันนะคะ
เหอะๆถ้าทำใจได้ก็มาอ่านต่ออ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 18-12-2014 15:40:00
 :mew1:  :mew4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 26-12-2014 00:57:35
MERRY X'MAS NUNEW

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 06-04-2015 20:15:23
อ่านแล้วหน่วงเป็นพักๆ มาช่วงหลัง..สถานการณ์ดีขึ้น ค่อยหายใจหายคอออก

ขอให้มีความสุขมากๆในชีวิตนะคะ คุณนูกับคุณนิว

เอาใจช่วยค่ะ ขอให้ชีวิตรักมีแต่ความสดใส  อุปสรรคใดๆที่เคยมีมา ก็ขอให้คลี่คลายมลายหายไป มีแต่ความสุขในชีวิตรักยิ่งๆขึ้นไปค่ะ   :L2:

จะรออ่านไดอารี่เรื่อยๆนะคะ  :mew1:


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: desiderata ที่ 02-05-2015 21:27:50
อ่านเรื่องนี้แล้ว น้ำตาไหลแทบเต็มโอ่ง  :sad4:
ขนาดรู้ทั้งรู้นะ ว่าจบแฮปปี้แน่ๆ แต่ก็ไม่วายเผลออิน โดยเฉพาะช่วงนิวไปต่างประเทศอะ

แต่ยังไง คิดว่าปัจจุบันนี้ นูก็คงมีความสุขดีเนาะ เฮ้อ อ่านจบละ หายเศร้าละ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 09-09-2015 17:05:20
คิดถึงพี่นิว&น้องนู

 :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 05-10-2015 14:28:21
อร๊ายยยยย กรี๊ส 10 ตลบ อ่าน 2 วันติดไม่หลับไม่นอนเลยค่ะขุ่นพี่นูขา ลุ้นมาก ทั้งอบอุ่น ทั้งเศร้าเคร้าน้ำตา ทั้งอมยิ้ม ทั้งแอบงึดในใจ โอยยย หลากหลายอารมณ์ มากค้ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆของพี่ทั้ง 2 คนนะคะ ถือเปนคู่ตัวอย่างสำหรับ"รักคือการให้อภัย"จริงๆ
ขอให้คุณพี่นูกะพี่นิวรักกันนานๆ มีความสุขกันตลอดไปนะคะ

อ่านถึงตอน msn คิดถึงตัวเองเลย แบบตอนนั้นฮิตมาก การได้คุยกับคนแต่งนิยายหรือคนที่เอาประสบการณ์มาเล่านี่แบบ ตื่นเต้นมาก ได้คุยทีนี่กรี๊สสลบ อย่างกะคนบ้า 5555
เสียดายที่ไม่ได้คุยกะพี่นูช่วงนั้นเนาะ ถึงตอนนี้ถ้าพี่นูยังอยากได้น้องอีกสักคนก็คุยกะหนูได้นะคะ(รออยู่ คึคึ)
แต่บอกเลยว่ามันให้ความรู้สึกประสบการณ์ที่ดีมากๆเลย เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คุยกันจากตอนนั้น ที่คบกันมาจนถึงตอนนี้ก็เยอะหลายคน

สุดท้ายนี้รออ่านตอนต่อไปอีกเรื่อยๆนะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 06-10-2015 00:06:13
 :HBD4:

สุขสันต์วันเกิดครับน้องนู แก่ขึ้นมาอีกป้แล้วนะครับ
คิด หวังสิ่งใดในสิ่งที่ดีงามขอให้ได้สมดังความมุ่งมาดปรายรถนา
มีสุขภาพแข็งแรง ร่ำรวยๆนะครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 24.11.57 : 01.48AM.
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-10-2015 22:56:03
ขอบคุณคุณนูที่ได้แบ่งปันเรื่องราวๆดีๆนี้ค่ะ
ร้องไห้ไปหลายตอนเลย T_T
ต่อไปไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆเข้ามาอีก
ขอให้ร่วมกันฝ่าฟันไปนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย 11.10.58 : 14.30น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-10-2015 14:20:40
 :hao7:


ผมหานิยายของตัวเองไม่เจอ
ต้องถาม Google อะครับ....งงงเว่ย
ผมก็ไม่เคยแจ้งให้ย้ายนะ
หรือเป็นเพราะชื่อกระทูัมันฟ้องตัวเอง 5555
ช่างมันครับ ไหน ๆ ไดอารี่ของผมก็จะปิดวันนี้แล้วเหมือนกัน

 :mew2:


อีกสักพักผมจะมาลงตอนสุดท้ายนะครับ

แล้วเจอกันครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-10-2015 15:00:38


สวัสดีครับ....หลังจากที่หายไปนานแสนนาน

บางคนคิดว่าผมคงทิ้งไปเลย  แต่ไม่นะ....คนชื่อ นู (พยายาม) รักษาสัญญาเสมอครับ

ก็จะบอกกล่าวให้ทราบกันก่อนอ่านเลยว่า ตอนนี้มันยาวมากกกกกก

และผมก็ลงมันเป็นตอนสุดท้ายแล้ว

ไดอารี่เล่มนี้ปิดลงแล้วนะครับ

อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อตอนก่อนหน้านี้ (ตอนไหนสักตอนนึงล่ะ)

ว่าผมจะจบมันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถึงได้ตั้งชื่อตอนว่า “SERIES ที่ลงเอย”
 
แต่บังเอิญตอนนั้นมันมีประเด็นใหม่ขึ้นมา ผมก็เลยเอามาขยายให้ฟังกันต่อ ทำให้จบไม่ลงซะที 

ซึ่งครั้งนั้นที่พูดไว้ ผมก็ไม่เคยนึกว่า มันจะลงเอยแบบนี้ แบบที่มันดีเกินจะฝันถึง

เลยถือโอกาสให้มัน แฮปปี้เอนดิ้ง เหมือนนิยายเจ้าชายเจ้าชาย (ไม่ผิดครับ ไม่ใช่เจ้าชายเจ้าหญิง อย่างที่คิด)

หลังจากที่ไดอารี่เล่มนี้ปิดลง ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ชีวิตมันจะผกผันต่อไปยังไง ก็ไม่มีใครคาดเดาได้

……What lies in the future is a mystery to us all
No one can predict the wheel of fortune as it falls...
(Goodbye to Love :The Carpenters)

แต่ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขดีกับคนที่เรารัก และรักเรา ผมว่ามันคุ้มค่ามากแล้วสำหรับตัวเอง

....ชีวิตดี๊ดี.....


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-10-2015 15:17:27


Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย


        เป็นเวลาเกือบปี ที่คุณพ่อคุณแม่ของพี่นิวไม่ได้กลับมาบ้านเลย แต่เราก็ไมได้ห่วงอะไรมากมาย

เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ท่านก็โทรมาคุยเป็นระยะ ๆ ให้เรารู้ว่าท่านสบายดี

         กว่าเราจะพร้อมหน้ากัน เมื่อนั้นก็ใกล้จะถึงเทศกาลทำบุญประจำปีของตระกูลพี่นิว

ซึ่งก็ใกล้เคียงกับวันเชงเม้งของครอบครัวผม และผมก็คงจะกลับไปร่วมงานที่บ้าน 

ส่วนบ้านพี่นิวก็เตรียมตัวไปบ้านใหญ่ที่ต่างจังหวัด  แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น

ผมก็ถูกซักถามถึงหน้าที่การงาน จนแทบจะเรียกได้ว่าซักฟอก

ด้วยความห่วงใยจากคุณพ่อและคุณแม่

“เป็นไงเรา หน้าที่การงานไปถึงไหนแล้ว”

“ไม่ถึงไหนหรอกครับพ่อ รายนี้ขี้เกียจจะตาย”

       คนที่ไม่มีใครถามกลับเป็นคนตอบแทนผม....ก็....ตามนั้นแหละครับ

       ก็ไม่รู้สินะ......ยิ่งทำงานไปนาน ๆเข้า ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมินเฉยต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นทุกวัน

“ที่ทำงานมีขั้นตอนการเลื่อนตำแหน่งยังไงเหรอลูก”

      จากที่นั่งอยู่บนโซฟาเหยียดขาตามสบายเมื่อครู่ คุณพ่อก็ขยับตัวนั่งตรง แสดงถึงความใส่ใจอย่างจริงจัง

ตั้งคำถามเอาตรง ๆ แบบนี้ ดูท่าท่านคงจะรู้สึกกังวลกับตำแหน่งงานของผมอยู่ไม่น้อย

อาจจะเป็นเพราะผมนั่งตำแหน่งนี้มาหลายปีแล้ว  เพื่อนพนักงานที่สอบเข้าทำงานได้พร้อม ๆ กับผม

หลายคนกำลังสอบตำแหน่งผู้จัดการกันด้วยซ้ำไป  แต่เรื่องของเป้าหมายในชีวิต ของใครก็ของคนนั้น

จะให้เหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้

 “ก็......เมื่อก่อนจะมีสอบแบบ e-learning* ครับ สอบผ่านขั้นต้นเมื่อไร

ก็เสนอชื่อเลื่อนเป็นผู้มีอำนาจลงนามตามลำดับไป”

(*e-learning เป็นระบบงานที่ออกแบบมาเพื่อให้พนักงานศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่านระบบเครือข่าย ของธนาคาร ซึ่งมีการเปิดสนามสอบปีละ 2-3 ครั้ง ให้พนักงานที่รักความก้าวหน้าได้ลงสมัคร โดยจัดหมวดหมู่ของวิชาที่ใช้สอบไว้เป็นชุด ๆ สอบผ่านแต่ละชุด ก็สามารถปรับตำแหน่งขึ้นไปทีละระดับ ข้อสอบก็ทำผ่านคอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทำงานประจำวันกันนั่นแหละครับ แต่ในวัน-เวลาที่สอบ ซึ่งเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะทำการล็อคหน้าจอไม่ให้เราเข้าไปสืบค้นคำตอบในระบบงานได้)


“แล้วเราผ่านหรือยัง”

“ผ่านแล้วครับ”

“ถึงระดับไหนแล้วล่ะ”

“ผ่านระดับรองผู้จัดการแล้วครับ”

“แล้วยังไม่ปรับตำแหน่งให้หรือยังไง”

“ถ้ามีการเปิดสอบสัมภาษณ์ตำแหน่งรองผู้จัดการ ผมก็มีสิทธิ์ยื่นใบสมัครเข้ารับการพิจารณาครับ”

       ตอนนี้ถ้าจะเทียบตำแหน่งทางบัญชี ผมก็คงเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีน่ะแหละ

แต่ชื่อมันอลังการจนเกินหน้าเกินตาไปเยอะครับ เพราะว่า นอกจากตำแหน่งจะมีชื่อเรียกเฉพาะแล้ว

ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ ว่าใครเหนือกว่าใครด้วยการเติมคำว่า “อาวุโส” ห้อยท้ายไว้อีกต่างหาก

“มีโอกาสไหมลูก”

     ผมเหลือบไปมองพี่นิวที่ทำหูผึ่งรอฟังอยู่ข้าง ๆ

“มีครับ แต่ว่า....”

“แต่เขาไม่สอบครับพ่อ”

“อ้าว..../เอ๊อ....”

       ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ อุทานพร้อมกัน สายตาสามคู่พุ่งมาที่เป้าหมายเดียวคือ ผม

จากนั้นก็มีคำถามว่า “ทำไม” เหมือนอีกหลาย ๆ คนที่สงสัย

“ไม่ใช่ว่าผมไม่รักความก้าวหน้านะครับคุณพ่อคุณแม่”

       ไม่ว่าจะกี่คนที่ถาม จะกี่ปีที่ผ่านไป ผมก็จะมีเหตุผลเดียวที่บอกใครต่อใครได้ 

ซึ่งแน่ล่ะ  ผมคงไม่กล้าบอกคนอื่น ๆถึงเหตุผลที่แท้จริงอยู่แล้ว

        มันน้ำเน่าเกินไปถ้าใครได้ฟัง......แต่.....

        มันสำคัญตรงที่บอกใครไม่ได้มากกว่า

“ตำแหน่งรองผู้จัดการมันมีแค่ตำแหน่งเดียวในแต่ละสาขาน่ะครับ ถ้าผมได้เลื่อนขึ้นไปจริง ๆ

ก็อาจจะต้องโยกย้ายไปที่อื่นที่มีอัตราว่าง แม้แต่ต่างจังหวัดที่ไกลออกไป ผมก็ต้องย้ายไปตามคำสั่ง

เพราะสาขาที่ตั้งอยู่ในเมืองที่เจริญอย่างบ้านเรา คนที่เขามีผู้ใหญ่สนับสนุนก็คงจะวางตัวไว้หมดแล้ว”

“แล้วคิดว่าพ่อไม่มี?”

      พี่นิวหันขวับ ไปทางเจ้าของเสียงทันทีที่ท่านพูดจบ

“พ่อรู้จักใครเหรอครับ”

“มันก็มีบ้าง”

คุณพ่อลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับ สิ่งที่เรียกว่า “เส้นสาย”

“แต่ผมไม่ได้ใช้เส้นสายนะครับ จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้ขยันอย่างที่พี่นิวพูดน่ะแหละ”

“อย่างนูนี่ ไม่เรียกว่า ไม่ขยันนะ เรียกว่า ขี้เกียจเลยจะถูกกว่า”

        .....แหม่.....พี่นิวครับ..........ถ้าไม่คิดจะเข้าข้าง ก็อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมได้ไหมครับ.....

ถ้าไม่ติดว่ารักมากนะ ผมได้ออกแรงฟาดฟันคนบางคนแถวนี้ไปแล้ว

“งั้นเราก็ย้ายไปรับตำแหน่ง จะที่ไหนก็ช่าง ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องได้ย้ายกลับมาอยู่ดี

พ่อเชื่อว่านโยบายของธนาคารก็คงอยากจะให้พนักงานอยู่ในท้องถิ่นบ้านเกิดมากกว่า”

“แต่มันไม่มีจุดหมายนี่ครับ จะต้องรอไปถึงเมื่อไรถึงจะได้ย้ายกลับมาก็ไม่รู้ ผมมีคนที่ต้องห่วงใยตั้งหลายคน

พ่อกับแม่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน เขาก็คงไม่อยากให้ผมห่างหูห่างตาไปไหนไกล ๆ

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน คิดถึงขึ้นมา อยากจะไปหาเมื่อไรก็ได้

อีกอย่างหนึ่งผมดูตัวอย่างจากรุ่นพี่ที่ย้ายไปรับตำแหน่งที่อื่น หลายคนแทบจะไม่มีโอกาส

ได้กลับบ้านเกิดเลยจนเกษียณ ซึ่งผมคงรอเวลานานขนาดนั้นไม่ได้ ผมเองก็ไม่ได้เก่งกาจ

จนถึงกับสามารถเรียกร้องหรือต่อรองกับเจ้านายให้ได้ตามความต้องการของตัวเอง

เพราะงั้น เรื่องจะเล่นเส้นให้ได้ย้ายกลับ มันคงเป็นไปไม่ได้ 

แต่พูดจริง ๆ ผมเองก็ไม่ได้อยากย้ายไปไหน พอ ๆ กับที่ไม่อยากใช้เส้นสาย

ในการขยับตำแหน่งนั่นแหละครับ แค่ได้เข้ามาทำงานด้วยเส้นสาย ก็เรียกว่าโชคดีมากแล้ว”

“มีแต่คนที่เขาทะเยอทะยาน อยากจะไต่เต้าให้มีตำแหน่งสูง ๆ กันทั้งนั้นแหละ

มีแต่เราล่ะมั้งที่สวนกระแสอย่างนี้”

      คุณพ่อเปรยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ผม

ส่วนคุณแม่ก็นั่งอยู่ข้างคุณพ่อบนโซฟาตรงกันข้ามกับเราสองคน มือของคุณพ่อกุมมือคุณแม่ไว้หลวม ๆ

เหมือนเป็นความเคยชิน ผมเหลือบตามองดูแล้วอยากจะยิ้ม แต่ที่ทำไปก็เพียงมอง

แล้วนึกถึงตัวเองในวันหนึ่งข้างหน้า ที่ผมจะได้อยู่เคียงข้างพี่นิว และกอบกุมมือกันไว้แบบนี้บ้าง

“เหตุผลที่ผมไม่สอบเลื่อนตำแหน่งอย่างที่บอกไปแล้วมันก็ใช่อยู่ครับ แต่มันก็ยังมีเหตุผลอื่นอีกข้อ”

 ……..เหตุผลที่บอกใครไม่ได้

     แต่สำหรับครอบครัวซึ่งรู้สถานภาพระหว่างผมกับพี่นิวดีอยู่แล้ว

ซ้ำยังเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างไม่เป็นทางการผมคงไม่จำเป็นต้องปิดบัง

เพียงแต่ผมลังเลว่าจะพูดต่อไปยังไงดี อยู่ ๆ จะโพล่งออกไป ผมก็ออกจะกระดากอยู่เหมือนกัน

“ไหนลองว่ามาซิ ไอ้เหตุผลที่ว่านั่นน่ะ ดูท่าว่ามันจะสำคัญสินะ”

     ผมจ้องหน้าคนที่ยังไม่ละสายตาไปจากผมตั้งแต่โดนคุณพ่อยิงคำถามแรก ๆ

     ในขณะที่พี่นิวขยันเหน็บแนมผมตลอดการสนทนา แต่แววตาที่มองมาก็ยังอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ

อย่างที่ผมเคยได้รับเสมอมาในเวลาที่ผมต้องการ  เขารู้ดีทีเดียวล่ะว่า เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร

แม้ว่าผมจะไม่เคยบอกเขาออกมาตรง ๆ ก็ตาม

“สำหรับใครหลายคนอาจจะยอมแลกอะไรหลายอย่างได้ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

 แต่สำหรับผมแล้ว  ถ้ามันต้องแลกกับความสุข ผมก็ขอปฏิเสธ.....หลายปีที่ผ่านมา

ผมได้อยู่ในบ้านนี้อย่างสมาชิกคนหนึ่ง  เหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่ง

ผมรู้สึกเป็นหนี้คุณพ่อคุณแม่มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะสุขจะทุกข์

ก็คอยช่วยเหลือประคับประคองราวกับลูกแท้ ๆ  ผมคิดอยู่เสมอว่า

หากมีอะไรที่ผมสามารถตอบแทนได้ ผมก็พร้อมจะทำทันที

......ยิ่งสิ่งนั้นจะทำให้คนที่เรารักมีความสุข ผมก็ยิ่งเต็มใจ”

       ผมหันไปมองพี่นิว......คนที่ผมรักที่สุดทั้งชีวิตก็คือคน ๆนี้.....

ลูกชายอันเป็นที่รักเพียงคนเดียวของบ้าน  เพียงแค่ผมทำให้คนที่ผมรักมีความสุข

 ก็เท่ากับได้ตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยแล้ว

  “เพราะพี่นิวเป็นลูกชายคนเดียว แถมยังเป็นหลานคนโตของตระกูล

ทุกคนต่างก็ห่วงใยเขา ผมเองก็เหมือนกันครับ....ผมอยากจะดูแลเขา

อยากทำให้เขามีความสุข เพราะเมื่อไรที่เขามีความสุข ผมก็สุขไปด้วย”

      ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ จนผมได้ยินเพียงเสียงของตัวเองก้องไปมาอยู่ในห้องนั่งเล่น

รู้สึกตกใจจนต้องชะงักคำพูดไว้เพียงนั้น ก่อนจะพยายามรวบรวมคำพูดประโยคต่อไป ให้ตรงใจที่สุด

       คนที่ถูกกล่าวถึงยื่นมือมากุมมือของผมเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ.....

      ผมสบตาเขาอีกครั้งเพื่อเรียกกำลังใจที่จะพูดต่อ
“ที่ผ่านมา ด้วยวัยและการไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ทำให้เราต่างก็เสียเวลาไปนานหลายปี

ผมรู้ดีว่าช่วงเวลานั้นมันทุกข์ทรมานขนาดไหน  มาวันนี้ ผมไม่อยากให้เราต้องอยู่ในสภาพนั้นอีกแล้วครับ

ผม.....ไม่อยากแยกจากเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม........เพราะเขาเป็นคนสำคัญ.......

เป็นคนที่ผมอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่กับเขาให้มากที่สุด.......ให้นานที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

ตำแหน่งที่สูงขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องสูงตาม พร้อม ๆ กับภาระหน้าที่ ที่คงจะแบ่งเวลาของเราออกไปอีก

สิ่งที่ได้มา มันเทียบไม่ได้เลยกับคนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม 

ใคร ๆ อาจจะมองว่ามันไร้สาระ แต่สำหรับผม.....ชีวิตที่ไม่มีพี่นิว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ยังไง”


         จบคำพูดยาว ๆ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ....นิ่ง


        พี่นิวส่งยิ้มมาให้แทนคำขอบคุณ พร้อมกับบีบมือผมแน่นขึ้น

ผมเห็นน้ำใส ๆ คลออยู่ในหน่วยตาของเขา  ผมรู้ว่าเขารู้สึกซาบซึ้งกับความตั้งใจของผม

ที่จะทำเพื่อ “ความสุขของเรา”  แต่ยิ่งไปกว่านั้น พี่นิวยังไม่ลืมว่า

เราสองคนเสียเวลาไปมากเท่าไร กว่าจะมีวันนี้ได้


………………


 “ว่ายังไงแม่”

      คุณพ่อถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามคู่ชีวิตที่รอสบตาอยู่ข้าง ๆ

“ไม่ว่ายังไงค่ะพี่ใหญ่.......น้อยเข้าใจลูก”

       คุณแม่ตอบคุณพ่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ก็.....นะ ถ้าเลือกแล้วว่า อย่างไหนมันดีสำหรับเรา

พ่อก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฝืนใจให้นูต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบเหมือนกัน

แล้วถ้าคิดว่าจะไม่เสียใจในวันหน้าที่จะไม่ได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานเหมือนเพื่อนฝูง

.....ก็ตามใจแล้วกัน”

       ผมยกมือไหว้ขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่.....ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ

และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของผม  อันที่จริง ผมซาบซึ้งดีอยู่แล้วว่า

ท่านทั้งสองมีเมตตาต่อผมมากเพียงไหน

“แม่ก็เดาไว้อยู่แล้วล่ะว่า เพราะลูกชายตัวดีของแม่ ทำให้นูไม่อยากไปไหน”

       คุณแม่เปรยยิ้ม ๆ แล้วมองไปที่ลูกชาย

“แม่พูดแบบนี้เหมือนผมเป็นตัวถ่วงความเจริญเลยนะครับเนี่ย”

        แล้วเสียงหัวเราะก็ลั่นครืน เปลี่ยนบรรยากาศจริงจังในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่

ให้กลับมากรุ่นไปด้วยไออุ่นแบบครอบครัวเหมือนเดิม

“ที่จริง....แม่เคยอยากได้ลูกสาวนะ”

       คุณแม่โปรยยิ้มและหันมามองผม

“เพราะคิดว่าลูกสาวคงจะใกล้ชิดแม่ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน

ก็อย่างที่นิวเคยพูดน่ะแหละว่าอยากมีน้อง แต่แม่ก็มีไม่ได้เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง

ได้เขามาคนหนึ่งนี่ก็ลุ้นกันตั้งแต่รู้ตัวว่าท้องจนวันคลอดเลย”

       ผมเคยได้ยินญาติ ๆ ของพี่นิวพูดถึงเรื่องนี้มาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้โดยตรงจากปากคุณแม่

ถึงได้ตระหนักในความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อลูกชาย รวมไปถึงการให้ความเข้าใจอย่างไม่มีข้อแม้

ซึ่งความเมตตาที่ผมได้รับจากท่านก็สืบเนื่องมาจากเหตุผลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

“เพราะมีลูกคนเดียวก็เลยทำให้แม่ต้องห่วงยิ่งกว่าห่วง จะว่าหวงด้วยก็ได้

ยังเคยคิดอยู่ว่า ถ้าวันหนึ่งนิวต้องแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง พ่อกับแม่จะทำยังไง

เราสองคนคงจะกลายเป็นตาแก่ยายแก่ที่เฝ้าบ้านอยู่อย่างเหงา ๆ

แล้วก็ทำได้แค่คอยเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ”

         คุณแม่เบนสายตาไปมองคุณพ่อแล้วยิ้ม เหมือนจะขอการสนับสนุน ซึ่งคุณพ่อก็ยิ้มรับ

“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ผมไม่ทิ้งให้พ่อกับแม่เฝ้าบ้านตามลำพังหรอก”

“อ๋อ....ไม่มีทางหรอก เพราะพ่อกับแม่ชิงทิ้งเราซะก่อนแล้วไง ใครจะรอให้ถูกทิ้งกันละจ๊ะ”

       เสียงหัวเราะดัง ๆ จากทุกคนดังขึ้นอีกครั้ง ผมรู้สึกผ่อนคลายจนหมดความกังวลไปเลยว่า

ไม่ได้ถูกกดดันเรื่องหน้าที่การงานอีกแล้ว

“หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันแล้ว เราสองคนก็อยากออกมาอยู่กันประสาครอบครัว

ถึงได้ซื้อบ้านหลังนี้ไว้ ก่อร่างสร้างตัวด้วยการเปิดกิจการของตัวเอง แต่ไม่ทันไร

พ่อเขาก็ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ทิ้งให้แม่เลี้ยงลูกทางนี้คนเดียว

พร้อมกับต้องดูแลกิจการของเราไปด้วย มันผิดไปจากฝันของเราสองคนมากทีเดียว

......สิ่งที่นูคิดและทำอยู่......แม่เข้าใจ และไม่ว่ายังไง แม่ก็ขอยืนยันว่านูเป็นลูกของพ่อกับแม่

เท่า ๆ กับพี่นิวนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองขึ้นอยู่กับลูก

แม่จะยอมรับ และพร้อมจะสนับสนุนทุกทาง”

“ชะตาชีวิตนี่ก็แปลกนะลูก  บางคนกว่าจะมีกินมีใช้ จนได้เป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ สักแห่ง

ก็ดิ้นรนกันแทบตาย  แต่บางคนกลับได้มันมาง่าย ๆ ทั้งที่ไม่เคยนึกยินดีในสิ่งเหล่านั้น

มากเกินไปกว่าความสุขของคนที่เรารัก”

        คุณพ่อผู้ซึ่งไม่ค่อยจะได้พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องงาน อยู่ ๆ ก็เปรยขึ้นมา

“พ่อแต่งงานกับแม่ก็คิดแค่ว่าอยากสร้างครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกสักคนสองคน

ทำมาหากินกันไป เราอาจจะมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างก็จริง

แต่พ่อก็ไม่เคยมีเป้าหมายมากไปกว่าขอให้ได้อยู่กับครอบครัว

สร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่นไม่ให้ลูกเมียต้องลำบาก

แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง เพราะเราต้องรักษาความหวังของคนอื่น ๆ

ที่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ทอดทิ้งไม่ได้ โดยเฉพาะย่าของลูก”

         คุณย่าที่พยายามพยุงกิจการของสามีมานานนับสิบปี

หลังจากที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง  ถึงแม้ว่าคุณปู่จะสิ้นไปตอนที่ลูก ๆ ทั้งสี่คนโตแล้ว

ภาระการเลี้ยงดูจึงไม่หนักหนาสากรรจ์เท่าไร แต่การจะบริหารกิจการที่หล่อเลี้ยงหลายชีวิตในครอบครัว

ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครจะนึกว่า ผู้หญิงคนเดียวจะทำอะไรได้มากมายเพียงนี้

ลูกที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่คิดจะแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่คงได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู

และหากคุณพ่อทำเช่นนั้น ผมเชื่อว่า คุณแม่ก็คงรู้สึกผิด

ที่ยอมให้คุณพ่อเลือกทางเดินที่เห็นแก่ตัว โดยไม่คิดจะทักท้วง

         แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นคุณย่าเอง

ที่ยินยอมให้คุณพ่อปลีกตัวออกมาจากกิจการที่ดูแลรับผิดชอบมาตลอดเท่าอายุของพี่นิว

ถึงแม้ว่าคุณย่าจะไม่ได้เต็มใจ เพราะต้องโอนอ่อนผ่อนตามมติของคนอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

.....ด้วยวัยที่ร่วงโรยลงมากแล้ว

จิตใจของหญิงสูงวัยท่านนั้น คงล้าเกินกว่าจะแข็งขืน ดึงดันให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการเหมือนที่ผ่านมา

...ท่านคงรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องวางมือเสียที



มีต่อนะครับ....ขอจัดหน้าก่อน
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-10-2015 15:37:38


“คิดอะไรไม่หลับไม่นอน......หือ”

     วงแขนที่อ้อมมารัดรอบลำตัวหลวม ๆ พร้อมกับคางที่เกยลงมาบนไหล่

ทำให้ผมต้องเบี่ยงหน้าไปหา พร้อมกับจรดปลายจมูกไปพอดีกับขมับของเขา

“คิดถึงทุก ๆ คน”

“เยอะไปไหมนั่น” พี่นิวหัวเราะเบา ๆ อย่างที่รู้ว่าผมพูดไปอย่างนั้นเอง

“ผมเป็นหนี้ครอบครัวพี่นิวมากจัง”

“หือ??”

       น้ำหนักบนไหล่หายไป ในขณะที่ใบหน้าหล่อ ๆ กับแววตาที่มีคำถามก็ยื่นเข้ามาจนชิด

       ผมมองไปในความมืดนอกตัวบ้านอย่างไม่มีจุดนำสายตา

เห็นเพียงแสงไฟวับแวมจากบ้านหลังอื่นในละแวกเดียวกัน เบื้องบนคือท้องฟ้าไร้ดาว

ในคืนที่มีแต่กลุ่มเมฆก้อนหนาเตรียมพร้อมที่จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำได้ทุกเมื่อ.....

บ่งบอกถึงฤดูกาลที่ไม่ค่อยปกติ ด้วยเป็นหน้าร้อนที่ร้อนเสียจนแทบลืมว่าฝนตกแล้วจะฉ่ำเย็นเช่นไร

         ที่ระเบียงห้องของเรา.......ที่เดิม ซึ่งผมหมั่นเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการตกแต่งสวนเล็ก ๆ

และหาต้นไม้มาปลูกอยู่เรื่อยเมื่อว่างเว้นจากงานประจำอันหนักหน่วง ทำให้เราสองคนชอบที่จะมายืนคลอเคลีย

หนีความอุดอู้ในห้องนอนบ่อย ๆ  โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ที่มีทั้งความมืด และแผงไม้เลื้อย

ช่วยบดบังเราสองคนจากสายตาคนภายนอก

“พูดแบบนี้คิดอะไรอยู่”

       พี่นิวถามต่อ เพราะผมนิ่งไปนาน.....ก็ไม่รู้จะพูดยังไงนี่นา

       ไม่รู้จริง ๆ ว่าผมจะใช้คำไหนดี ถึงจะแทนความรู้สึกตอนนี้ได้อย่างตรงความหมายที่สุด

“คิดหลายเรื่องเลยครับ”

“ยกมาสักเรื่องซิ พี่อยากฟัง”

          เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน  อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานมาก

มีหลากหลายเรื่องราวเหลือเกินที่ผ่านเข้ามาให้เราร้องไห้  และยิ้มได้

.......จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้า   ระหว่างน้ำตากับรอยยิ้ม

อย่างไหนที่ผมจะได้รับมากกว่ากัน  รู้แต่ว่าวันนี้ผมปลาบปลื้มใจ จนอยากจะร้องไห้

.......ถึงแม้จะมีน้ำตา แต่มันก็แทนความสุขที่เอ่อล้นจนผมไม่สามารถจะสรรหาคำใด ๆ มาบรรยายได้เลย

“ทำไมผมถึงได้รับแต่สิ่งดี ๆ จากบ้านนี้ล่ะครับพี่นิว”

“ก็เพราะนูเป็นลูกของพ่อกับแม่ไง....เป็นเท่า ๆ กับที่พี่เป็น”

“แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้......มันมากเกินไป”

        ผมหมุนตัวกลับมาจ้องหน้าหาคำตอบที่อยากฟัง

“ไม่ต้องไปโอนบ้านเป็นชื่อผมนะครับ”

        ผมรวบรัดเข้าเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่สบายใจมาตั้งแต่ตอนที่พูดคุยกันพร้อมหน้า

“ได้ไง ก็แม่บอกมา”

“ก็อย่าให้รู้”

“สักวันก็ต้องรู้”

.................

“ผมไม่เห็นอยากได้เลย แค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว.....พี่นิวว่าไหม”

          ผมโอบแขนไปรอบเอวที่เริ่มจะกลายเป็นพุงกะทิ ซบหน้าลงบนไหล่กว้างที่เริ่มหนาขึ้นตามวัย

สูดกลิ่นไออบอุ่นกลิ่นเดิม ๆที่คุ้นเคย

“ก็อยากจะว่าตามนั้นหรอก แต่ยังไงพี่ก็เห็นด้วยกับแม่ไปแล้ว”

“ใครจะมารู้ ถ้าเราไม่บอก ผมว่าคุณแม่ไม่เรียกดูโฉนดหรอกมั้งครับ....เนอะ”

“ไม่อะ”

   “ฮื้อ”

         ส่งเสียงออกไปให้เขารู้ว่ากำลังขัดใจผมอยู่ แต่พี่นิวก็ไม่สน กลับโยกตัวผมเหวี่ยงเบา ๆ

อย่างที่ไม่ได้ทำแบบนี้มาตั้งนานแสนนานแล้ว.....อาจจะเป็นเพราะเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่ 

อารมณ์ที่จะมานัวเนีย กอดกัน.....โยกเยกเอยน้ำท่วมเมฆ....เหมือนสมัยวัยหวาน มันไม่หลงเหลืออีกแล้ว

ครั้งนี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกอยากอ้อนเขาขึ้นมาตะหงิด ๆ

   “พี่นิว”

   “หือ”

   “เรายังรักกันเนอะ”

   “หึ ๆ อารมณ์ไหนเนี่ย”

   “อารมณ์อยากอ้อน” ผมตอบกลั้วหัวเราะ

   “รักครับ”

   “ผมก็รักพี่นิวนะครับ”

        รางวัลของการบอกรักเป็นการกดจูบกลางกระหม่อมแรง ๆ พร้อมกับอ้อมกอดที่แน่นขึ้นอีกเท่าตัว

   “อึ้บ.....หายใจไม่ออก อย่ารัดแน่นแบบนี้สิ”

            ผมประท้วงให้อ้อมกอดคลายออก ถึงได้เอนลงซบหน้ากับไหล่แน่น ๆ อีกครั้ง

   “แม่อยากให้นูมั่นใจ แม่คงกลัวว่า ถ้าเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันอีก นูจะหนีกลับไปอยู่บ้าน

แล้วทิ้งให้ลูกแม่ทุกข์ใจอยู่คนเดียว”

   “จนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจผิดอีกแล้วล่ะครับ....เฮ้อ....รู้สึกเหมือนตัวเองมีแต่ได้กับได้ยังไงไม่รู้อะพี่นิว”

   “ช่าย.....ได้ทั้งลูกชายกับบ้านพร้อมที่ดินอีกหนึ่งหลัง”

                ถึงจะหมั่นไส้ถ้อยคำที่เข้าข้างตัวเองแบบนั้น แต่นั่นก็เป็นความจริงล้วน ๆ ที่ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้

   “จำได้ไหม ว่าแม่เคยบอกจะโอนบ้านเป็นชื่อนูตั้งนานแล้ว”

             ผมพยักหน้าหงึก ๆ

   “ไม่คิดว่าคุณแม่จะเอาจริงนี่นา”

   “รู้ไหม....ในขณะที่นูวิตกเรื่องที่พี่จะต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ผู้ใหญ่รับปากกันไว้

แต่แม่กลับกลัวว่า ถ้านูรู้สึกไม่มั่นคง นูก็อาจจะจากไป.....แม่เขารักนูมากนะ

พี่เป็นลูก พี่รู้ดี พี่ยังเคยแอบคิดเลยว่า ถ้าถึงวันที่ต้องแต่งงานจริง ๆ พี่คงต้องระเห็จออกไปจากบ้านหลังนี้แน่ ๆ

เพราะแม่จะกลับมาอยู่กับนูเอง”

   “จริงหรือครับ”

         ผมรำพึงออกไปเสียงแผ่ว คล้ายมันไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบจริงจังนัก

   “อืม”

   “พี่นิวครับ”

   “หืม”

   “ผมมีอีกหลายคำถามที่อยากรู้”

   “ก็ถาม”

   “คู่หมั้นพี่อะ”

   “ไม่มีแล้ว”

   “ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงถอนหมั้นล่ะครับ”

   “เขาไม่อยากรอมั้ง”

   “ก็เห็นรอมาได้ตั้งเป็นปี ๆ ทำไมอยู่ ๆ ถึงไม่อยากรอ”

   “ก็คงเห็นแล้วว่ารอไปก็ไม่มีประโยชน์”

   “เขารู้ว่าพี่มีผม?”

   “เปล่า.....เขารู้ว่า พี่ไม่ใช่ตัวจริง แต่งไปก็ไม่มีโอกาสได้เป็นเมียเจ้าของกิจการ

อย่างมากก็เป็นได้แค่เมียผู้จัดการแผนกโยธา ที่วิ่งไปวิ่งมาตามไซต์งานต่างจังหวัด เวลาจะจู๋จี๋กันแทบไม่มี”

   “แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวสินะครับ”

“ผู้ใหญ่ตกลงกันมาแต่ครั้งปู่ยังอยู่ ถ้าพี่ไม่มีนูอยู่ก่อนแล้ว บางทีพี่ก็อาจจะทำตามข้อตกลงของปู่ก็ได้”

“เพราะผลจากการประชุมบอร์ดใช่ไหมครับ การสืบทอดตำแหน่งถึงเปลี่ยนไป

แล้วก็เลยมีผลถึงเรื่องการหมั้นไปด้วย”

   “จะว่าไปแล้ว พี่เองก็ไม่รู้หรอกนะ....พวกเรารุ่นลูก รุ่นหลาน ไม่มีใครรู้หรอกว่า

เรื่องสืบทอดตำแหน่งผู้บริหารเป็นความคิดของปู่หรือเปล่า เราอยู่กันแบบนี้ก็เพราะย่าทั้งนั้น 

หรืออาจจะเริ่มที่พ่อเป็นลูกชายคนโต แล้วก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารมากกว่าใคร

แต่ไม่ว่าอย่างไหนมันก็ทำให้กิจการของเราอยู่มาได้....ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีที่มายังไง

พี่ก็ยังเคารพนับถือย่าไม่เปลี่ยนแปลง”

   “นั่นสิครับ ถึงคุณพ่อจะเป็นประธาน แต่คุณย่าก็ไม่เคยปล่อยมือเลย ผมก็ว่าคุณย่าต้องทั้งเก่ง ทั้งแกร่ง

ไม่งั้นคงคุมกิจการมานานขนาดนี้ไมได้”

   “ใช่....ยี่สิบกว่าปีที่พ่อเป็นผู้บริหาร น้อยครั้งที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านความเห็นของย่า

ก็ขนาดพ่อยังต้องฟังย่า แล้วคนอื่นจะไม่ฟังย่าได้ยังไง”

   “เรื่องหมั้นของพี่นิวมันยกเลิกกันง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอครับ คุณย่าไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอครับ ที่ผิดคำพูด”

   “เราต่างก็รู้เหตุผลที่ฝ่ายโน้นยกเลิกการหมั้น คนที่เสียคำพูดและเสียหน้าไม่ใช่ฝ่ายเรา

และถึงจะเป็นแบบนี้กิจการของเราก็ต้องพึ่งพากันต่อไปอยู่ดี ระหว่างสองตระกูลมันไม่ใช่เรื่องบาดหมางหรอกนะ”

   “บทจะง่ายมันก็แสนง่ายแบบนี้เองเหรอครับ”

   “ก็แค่ทางฝ่ายหญิงบอกเลิก พี่ก็เป็นอิสระ....แค่นั้น”

         ถึงยังไงผมก็ว่ามันง่ายเกินไปอยู่ดี ถ้าเหตุผลที่ฝ่ายหญิงถอนหมั้นคือไม่ขอเป็นภรรยาของลูกหลาน

ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของกิจการ ผมว่า....ไอ้เรื่องที่ว่า ทำไมพี่นิวถึงจะไม่ได้ตำแหน่งนั้นนี่แหละ

คือประเด็นหลัก และ......และ.....และ.......ทางฝ่ายนั้นรู้ได้อย่างไร.........

ก็คงไม่ยากเพราะกิจการครอบครัวที่ต้องเกื้อหนุนกัน ย่อมต้องรู้ความเคลื่อนไหวกันบ้างเป็นธรรมดา

           ถามเองตอบเองแล้วผมก็ได้คำตอบ

   “ถ้างั้นการที่คุณพ่อลงจากตำแหน่ง ก็เป็นต้นเหตุให้ฝ่ายหญิงถอนหมั้น คุณพ่อไม่โดนคุณย่าตำหนิเหรอครับ”

   “ถ้าพ่อมีเหตุผลพอ และย่าอยู่ในภาวะจำยอม ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไร ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก”

   “อะไรคือภาวะที่คุณย่าจำยอมครับ.........ผมละลาบละล้วงเรื่องครอบครัวของพี่เกินไปหรือเปล่า”

         พี่นิวนิ่งไปจนผมกลัวว่าคำถามที่ค่อย ๆ คืบไปตามคำตอบของพี่นิว

จะกลายเป็นการก้าวล่วงไปถึงครอบครัวของเขา  โดยเฉพาะคำถามของผมเกี่ยวกับคุณย่าด้วยแล้ว

ต่อให้อยากรู้แค่ไหน ถ้าพี่นิวไม่เต็มใจบอก ผมก็ต้องหยุด

   “ลืมไปแล้วเหรอ ว่านูก็เป็นคนในครอบครัวพี่ด้วยเหมือนกัน”

             เป็นอีกครั้งที่คำตอบของเขาทำให้ลมหายใจผมแทบสะดุด

   “ถ้าจะเอาคำตอบจริง ๆ ก็ต้องบอกว่า พี่นี่แหละที่สร้างภาวะจำยอมขึ้นมาต่อรองย่า”

   “ฮื้อ???....”

              ไม่งงไหวหรือครับ

   “และเพราะว่าพ่อรู้จักลูกตัวเองดี.....รู้ว่า ไม่ว่ายังไง พี่ก็จะไม่ทิ้งนู”

            ถ้อยคำหนักแน่นขนาดนี้ ไม่ให้รางวัลก็ดูใจร้าย....ว่าไหม

              ผมแตะริมฝีปากพี่นิวแผ่ว ๆ ด้วยปากของตัวเอง แทนคำขอบคุณ

   “มันเริ่มมาจากเรื่องที่พี่ขอออกมาตั้งบริษัท.....พี่บอกย่าว่า พี่อยากมีอาณาจักรที่ตัวเองสร้างมากับมือเหมือนปู่

แต่ย่าไม่เห็นด้วย บอกว่าพี่ยังไม่มีประสบการณ์  ให้ทำกับที่บ้านไปก่อน พูดยังไงย่าก็ไม่ยอม

ก็เลยพบกันครึ่งทาง ความจริงย่าคงกลัวว่าถ้าวันหนึ่งปีกกล้าขาแข็ง พี่จะออกมาเต็มตัว

ก็เลยให้เงินมาลงหุ้นด้วย อย่างน้อยขอมีหุ้นสักครึ่งหนึ่ง ก็ทำให้พี่ต้องฟังเสียงย่า”

“ทำแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า พี่นิวจะปฏิเสธตำแหน่งประธานได้นี่ครับ ก็แค่มีกิจการของตัวเองเพิ่มเข้ามา”

“ปัญหามันอยู่ที่ คนอื่น ๆไม่มีใครรู้ว่าย่าเอาเงินส่วนตัวมาลงหุ้นกับพี่ เงินก้อนนั้นถึงต้องให้พ่อรับหน้าแทน

....นูคงเข้าใจ มันเหมือนเป็นการเอาเปรียบพี่น้องคนอื่น ๆ ที่เขาก็อาจจะอยากมีกิจการของตัวเองเหมือนกัน

แล้วถ้าย่าให้เหตุผลว่า ย่ามีเงินก้อนหนึ่งที่ตั้งใจจะแบ่งให้หลานคนอื่น ๆด้วย เพียงแต่พี่ได้มาก่อน

นูคิดว่าจะมีกี่คนที่ยอมเข้าใจ แล้วถ้าเขาจะเอาอย่างบ้าง จนในที่สุด

ไม่มีลูกหลานคนไหนอยากจะทำงานกับครอบครัวอีกต่อไป กิจการของเราจะเป็นยังไง”

“หมายความว่าพี่นิวทำให้คุณย่าต้องยอมจำนน โดยอ้างเรื่องนี้น่ะเหรอครับ”

 “พี่ยอมเดินตามเกมย่า  ทั้งที่ตอนแรกพี่แค่ไม่อยากอยู่ใต้ปีกของที่บ้านตลอดไป

เรื่องของเรื่องก็เพราะพี่มีนู พี่คิดว่าถ้าตั้งตัวได้แล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกัน

โดยที่ย่าไม่สามารถมาบังคับให้พี่ทำตามใจได้อีก แต่ย่าเป็นคนหยิบยื่นโอกาสให้พี่เอง

คงหวังแค่อยากจะถ่วงให้พี่อยู่ในอำนาจต่อไป ขนาดย่าสบประมาทไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป

ว่ากิจการของพี่จะไม่รอด แต่ก็ยังให้เงินมาลงทุน....ย่ายอมจ่าย

เพราะคิดว่าสุดท้ายพี่ก็ต้องกลับไปรับตำแหน่งต่อจากพ่ออยู่ดี”

“แบบนี้ก็เท่ากับพี่นิวแบล็คเมล์คุณย่าสิครับ.....มิน่าล่ะ วันนั้นคุณย่าถึงว่าพี่นิวเจ้าเล่ห์”

         ผมนึกสงสารคุณย่าขึ้นมาเสียแล้วสิครับ ข้อเสนอที่จะผูกมัดหลานชายคนโปรดกลับย้อนมาเล่นกลเอาเสียได้

คุณพ่อกับลูกชายเหมือนแท็กทีมกันเลย

“มันก็ไม่เชิงนะ อย่าลืมสิครับ ว่าพี่ทำเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนะ....หรือว่านูอยากให้พี่แต่งงานกับคนอื่น”

“แหม....พูดแบบนี้มันก็.....”

“พี่นิวครับ ผมถามจริง ๆนะ คุณพ่อเกษียณเพราะอยากพักผ่อนจริง ๆ หรือว่า อยากจะปลดภาระตำแหน่งประธานกันแน่”

   “ทั้งสองอย่าง”

   “เหรอครับ”

   “แม่ก็ดีใจที่พ่อเลือกทำอย่างนี้ และไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอะไรให้พ่อทำอย่างนี้  สิ่งที่แม่กับพี่ดีใจที่สุดก็คือ

ครอบครัวของเรายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม....เท่าเดิม ไม่มีใครหายไปไหน ไม่มีใครเพิ่มเข้ามา 

แบบนี้มันพอดีที่สุดแล้วสำหรับครอบครัวเรา”

               พอดีที่สุดอย่างที่พี่นิวว่า.....ก็คือมีผมรวมอยู่ด้วยสินะ

              ผมคิดว่า “คำตอบ” ที่ผมเคยสงสัย วันนี้ก็ได้เฉลยตัวเองออกมาแล้ว

โดยที่ผมไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน ที่ผ่านมาผมไม่เคยปริปากอยากรู้อะไรเพราะเหตุที่คิดเสมอว่า

มันเป็นเรื่องเฉพาะครอบครัวของพี่นิว หากแต่เมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมด กลับกลายเป็นว่า

ตัวผมเองต่างหาก ที่เป็นปัจจัยให้เกิดการตัดสินใจของคนทั้งบ้าน 

              นอกจากคำว่า “โชคดี” แล้ว ยังมีคำไหนที่แทนความหมายเดียวกัน แต่ยิ่งใหญ่กว่าอีกไหมครับ

....ผมอยากได้คำนั้นเหลือเกิน

   “พี่นิวครับ พรุ่งนี้เราไปแบงก์กันนะ”

   “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ นูจะไปเคลียร์งานเหรอ”

   หันไปดูหน้าคนถาม......จ๋อยเชียว

   “เปล่าครับ ผมจะไปถอนเงินที่สาขาในห้าง.....ไปด้วยกันนะ”





(ยังมีต่อครับ......ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไดอารี่หน้าสุดท้าย)


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-10-2015 15:48:49



             วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ตระเวนเยี่ยมเยียนญาติมิตร หลังจากที่ไปอยู่ทางเหนือเสียนาน

ยิ่งคุณพ่อด้วยแล้ว ตั้งแต่บริหารกิจการของครอบครัวอย่างคร่ำเคร่ง

ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบปะเพื่อนฝูงและคนคุ้นเคยกันอย่างปลอดโปร่งเลย

นอกจากว่าจะพบเจอกันบ้างในงานสังสรรค์ธุรกิจ หรือสมาคมต่าง ๆ ตามแต่โอกาส

          ผมกับพี่นิวกลับจากทำธุระที่แบงก์มาถึงบ้านเอาช่วงบ่าย

หลังจากที่เราอิ่มมื้อเที่ยงมาจากร้านสุกี้ชื่อคุ้นหูร้านเดิม วันนี้ผมเห็นน้องผู้ชายที่เป็นเด็กเสิร์ฟ

ขอแลกที่ยืนกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้โต๊ะของเรา เพื่อจะมายืนเต้นข้าง ๆ พี่นิว

ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าส่งสายตาล้อเลียนไปให้พี่นิว ซึ่งนั่งทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราว

แล้วตบรางวัลน้องคนนั้นด้วยทิปเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากการเต้นนั้นจบลง

   “ถามจริง พี่นิวรู้หรือเปล่าว่าน้องคนนั้นเขาไม่ได้ยืนข้างโต๊ะเราตั้งแต่แรก”

                ผมแกล้งถามขึ้นเมื่อเราขึ้นมาอยู่บนรถเตรียมกลับบ้านกัน

   “รู้”

   “อ๋อ....มิน่าล่ะ ถึงได้ทิปน้องเขาไปตั้งเยอะ”

               ผมแกล้งทำทีเหมือนตัวเองไม่พอใจ

   “หาเรื่องแล้วไหมล่ะ”

   “ก็ทุกทีไม่เห็นจะทำอะไรแบบนี้นี่นา”

   “เขาอุตส่าห์มีความพยายามขนาดนั้น จะให้พี่ทำเฉยก็น่าสงสารแย่สิ”

   “แล้วใบร้อยที่ให้ไปน่ะ แอบเขียนเบอร์โทรไว้หรือเปล่า”

   “แกล้งถามใช่ไหมเนี่ย”

              พี่นิวขมวดคิ้ว เสียงเริ่มขุ่น

   “ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นหรอกครับ ขำดี น้องผู้หญิงหน้าเหวอเลย ตอนที่พี่นิวยื่นทิปให้น้องคนนั้นน่ะ

อาจจะคิดว่า ถ้าเขายืน เขาก็คงได้ไป”

   “พี่ถึงได้ไม่เอาเงินทอนไง วันนี้เรากินสุกี้ที่แพงที่สุดในโลกเลยรู้ไหม”

   “อย่าทำบ่อยแล้วกันครับ สุกี้มื้อละสองพันกินกัน 2 คนนี่มันออกจะเกินไปหน่อย”

            คุณพ่อกับคุณแม่กลับถึงบ้านคล้อยหลังเราสองคนไม่นาน  ก่อนท่านจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง

ผมก็ทันได้บอกให้ท่านลงมารับของว่างตอนบ่ายจัด วันนี้ผมสั่งข้าวเกรียบปากหม้อที่หน้าปากซอยไว้

เจ้านี้เพิ่งย้ายครอบครัวมาจากต่างจังหวัด แค่ข้าวของที่ใช้ทำอาหาร ดูสะอาดไม่พอ ยังมีรสชาติอร่อยอีกด้วย

ผมอุดหนุนเขาเป็นประจำ จนรู้สึกว่า ไปซื้อขนมปากหม้อทีไร มักจะได้แถมมาด้วยทุกที  จนพี่นิวเริ่มแซวว่า

สงสัยป้าแกจะยกลูกสาวให้ เพราะทุกครั้งจะต้องได้เจอน้องเขาตักขนมให้ตลอด




                 มุมโปรดของครอบครัวก็ไม่พ้น หน้ามุข ที่เต็มไปด้วยกอกล้วยไม้ของคุณแม่

ที่ผมหาต้นใหม่มาแทนต้นเก่าที่เฉาตายไปเกือบหมด  คุณแม่มาเห็นยังนึกว่าเป็นของเก่า

แต่เพราะผมเคยเล่าให้ฟัง ก็เลยชื่นชมผมเสียใหญ่ว่าปลูกต้นไม้เก่ง......ไอ้ผมจะบอกว่ามีคนสวนมาช่วยดูแล

คุณแม่ก็จะชมเก้อเสียเปล่า ๆ ก็เลยนิ่งไว้

   “ปากหม้อเจ้านี้ไส้เค็มรสกำลังดีนะ แต่ไส้หวานแม่ขอผ่านนะจ๊ะ วันนี้รับแกงกะทิมาเต็มที่แล้ว”

   “พ่อก็เหมือนกัน วันนี้กินขนมจีน 3 น้ำยาไปเต็มที่เลย กะทิทั้งนั้น”

   “เป็นไงครับขนมจีน 3 น้ำยา”

            พี่นิวถาม ซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกัน

   “ก็น้ำยาปักษ์ใต้ น้ำพริก แล้วก็แกงเขียวหวานไง”

   คุณแม่ตอบ

   “อ๋อ.....นึกว่ามีสูตรใหม่ที่ไหน ผมจะได้ไปชิม”

   “แล้วเราสองคนวันนี้ไม่ไปไหนเหรอ วันหยุดนะลูก ไม่ไปพักผ่อน ดูหนัง ฟังเพลงนอกบ้านบ้างล่ะ”

   “วันนี้ผมชวนพี่นิวไปทำธุระมาแต่เช้าแล้วครับ กลับก่อนคุณแม่เดี๋ยวเดียว

จริง ๆ แล้ววันหยุดผมชอบอยู่บ้านมากกว่า ออกไปข้างนอกมีแต่เรื่องเสียเงิน”

   “งก!”

   “เอ๊...ว่าน้องทำไม  ดีสิ....แม่ยังชอบอยู่บ้านเลย แต่ยังไงแม่ก็อยากให้เราไปเปิดหูเปิดตาบ้างนะ

หมกตัวอยู่แต่ในบ้านจะไม่ทันโลกเอา”

   “ครับคุณแม่”

           ผมหันไปสบตาพี่นิว เป็นเชิงบอกว่า.....ธุระที่ไปจัดการที่แบงก์มา จะทำตอนนี้ล่ะนะ......

พอเขายิ้มให้ ผมก็ลุกขึ้นไปเอาของสิ่งหนึ่ง แล้วกลับมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าคุณพ่อ

   “อะไร”

              คุณพ่อเลิกคิ้วถาม เมื่อผมส่งซองยาวให้

   “โบนัสปีนี้ของผมทั้งหมดครับ”

   “ให้พ่อ?”

            คุณพ่อรับไปเปิดออกดู....มันเป็นดร๊าฟท์สั่งจ่ายชื่อคุณพ่อ ด้วยตัวเลขที่ไม่ได้มากมายอะไร

สำหรับผู้บริหารที่เคยอยู่กับตัวเลขหลักร้อย ๆ ล้านมาก่อนอย่างคุณพ่อ แต่ท่านคงทราบดีว่า

มันเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยสำหรับพนักงานแบงก์ตัวเล็ก ๆอย่างผม

   “ให้พ่อทำไม.....ทำไมไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะลูก”

            ผมก้มลงกราบที่ตักคุณพ่อ แล้วพูดตอบ

   “ผมไม่มีอะไรจะตอบแทนสิ่งที่คุณพ่อทำให้ผม ก็มีแต่โบนัสที่เป็นเหมือนรางวัลของคนทำงาน

ที่จะแสดงความรู้สึกขอบคุณจากใจของลูกคนหนึ่งที่จะให้พ่อได้”

   “พ่อก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าความเป็นพ่อหรอก”

   “แต่การที่คุณพ่อลาออกจากตำแหน่ง ทั้งที่ยังสามารถทำงานได้ เพียงเพราะอยากให้ผมได้ยืนอยู่ที่เดิม

มันก็มากเกินไป สำหรับลูกนอกไส้อย่างผมเหมือนกันครับ”

   “พูดอะไรอย่างนั้น เห็นลูกเป็นทุกข์ พ่อจะนิ่งเฉยอยู่ได้ยังไง แล้วสิ่งที่พ่อทำไป 

ก็ไม่ใช่เพราะนูคนเดียว แม่เขาก็อยากให้พ่อทำแบบนี้มานานแล้ว แต่จังหวะมันมาตอนนี้

ทุกคนก็เลยดูเหมือนจะสมหวังกันไปหมด.......เอ้า.....เอาคืนไป ถือเสียว่าพ่อรับแล้ว

ขอบใจนะลูก แค่นี้พ่อก็ดีใจแล้ว ที่นูเป็นเด็กกตัญญู”

            ผมรับซองคืนมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพราะไหน ๆ ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้คุณพ่อ

   “งั้นผมบริจาคในนามคุณพ่อได้ไหมครับ”

   คุณพ่อคุณแม่สบตากันยิ้ม ๆ แล้วก็พยักหน้า

   “ก็ตามใจลูก”







      

                  หลังจากงานทำบุญรวมญาติผ่านพ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็กลับเหนือตามเดิม

ส่วนบ้านเราก็ได้ต้อนรับญาติผู้ใหญ่อีกท่าน ที่เดี๋ยวนี้ชักจะมาบ่อยขึ้น

              เมื่อครั้งที่คุณย่ามาอยู่บ้านเราครั้งแรก  การชงชาให้คุณย่า ถือว่าควรแล้วที่จะปรนนิบัติ

ต่อญาติผู้ใหญ่ของคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ได้แต่เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะวางตัวให้ท่านเอ็นดู

หรือแม้ไม่เอ็นดู ก็ขอเพียงอย่าให้ท่านชังน้ำหน้า ก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว

           แต่วันนี้ การชงชาแบบเดิม ชุดชาเดิม ๆ เสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ท่านเดิม

กลับเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่คล้ายจำใจต้องทำ กลายเป็นทำด้วยความเต็มใจ และดีใจที่ได้ทำให้ท่าน

ภูมิใจที่ท่านไว้วางใจให้เราทำให้ มันช่างต่างกันเหลือเกิน กับในวันเก่า ๆ



               ผมกำลังเติมน้ำในกระติกไฟฟ้าแล้วเสียบปลั๊ก

บนโต๊ะมีชุดกาแฟเนื้อเนียนสีไข่ไก่พร้อมจานรอง 3 ชุด กาชงน้ำชาที่โรยใบชารอไว้แล้ว

โถน้ำตาล โกโก้สำเร็จรูปชนิด ทรีอินวัน และจานเปลสำหรับใส่ของขบเคี้ยว....

ทั้งหมดถูกเตรียมไว้เป็นอาหารว่างสำหรับคน 3 คน มองออกไปที่หน้ามุข ข้างกอกล้วยไม้

คุณย่ากับหลานชายคนโปรด กำลังคุยกันอย่างออกรส รอเวลาน้ำชายามบ่าย


   
             
             รอยยิ้มของผมผุดขึ้นที่ริมฝีปาก หยั่งรากแห่งความสุขลงไปถึงหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

           
             นึกย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่านมา นับจากวันที่ความรักของเราเริ่มต้นขึ้น มันไม่มีอะไรง่ายเลยจริง ๆ

แต่การที่เราสองคนก้าวเดินมาถึงวันนี้แล้ว ผมก็อดที่จะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้



              ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า จะ 10 ปี 20 ปี ผมก็พร้อมจะเผชิญ

              ตราบเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะอยู่เคียงข้างผมตลอดไป

              คนที่ผมไม่จำเป็นต้องถามว่า....พี่ครับ รับผมบ้างไหมครับ.....อีกต่อไป

              แต่เขาจะเป็นผู้ชายคนที่อยู่ให้ผมบอกรักไปอีกนานเท่านาน


              “ผมรักพี่นิวนะครับ”





 :mew1:

มาถึงปกหลังแล้วครับ
ขอบคุณ เพื่อนพ้องน้องพี่ทุก  ๆคนที่ติดตามกันมาตลอด
ขอบคุณมาก ๆครับ   :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 11-10-2015 15:53:35
 เย้เย้.......... มาแล้ววววววววววววว:pig4: :pig4: :pig4:
หายไปนานนนนนมากกกกก(ก-ล้านตัวครับ)
อ่านก่อนครับ
 :mew1:
ขอบคุณน้องนูที่นำเรื่องราวดีๆมาให้ได้อ่าน
ได้รู้จักคนเขียน น้องโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่รักและเข้าใจลูก
โชคดีที่มีพี่นิวที่รักและมั่นคงต่อน้อง แถมด้วยคุณย่าที่คิดว่า
ตอนนี้คงหลงหลานนอกใส้อีกคนแล้ว
ขอให้ชีวิตรักของน้องที่มีพี่นิวครอบครัวของพี่นิวราบรื่นและสุขสมบูรณ์ตลอดไป
ขอบคุณอีกครั้งในเรื่องราวทั้งหมดที่ถ่ายทอดมา ยินดีกับความสุขของน้อง
ขอบคุณที่ทำให้เราได้รู้จักและรับรู้เรื่องราวต่างๆที่มีทั้งสุขและทุกข์ตลอดระยะเวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ
ยินดีที่พ่อแม่ของน้องเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนดีมีจิตใจที่ดี เป็นที่รักและยอมรับของคนอื่นโดนเฉพาะครอบครัวพี่นิว
ขอให้น้องนูและพี่นิวรักกันยืดยาวตลอดไปครับ
 :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-10-2015 22:41:31
ขอบคุณนูเช่นกัน
ที่มาถ่ายทอดบันทึกชีวิตรักให้ได้อ่าน
มีเยอะแยะมากมาย ที่จะเก็บเกี่ยวไปใช้

มีเรื่องที่ทำให้คนอ่านมีน้ำตาตลอดเลย
ร้องไห้กับความทุกข์ในความรักของนู
แม้แต่ความสุขขอนู คนอ่านก็ร้องไห้(ตื้นตันไปกับนู)

ัขออวยพรให้นูกับนิวมีความสุขกันตลอดไปเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-10-2015 22:58:56
เธอเป็นมากกว่ารัก
เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต

นู&นิว
สองคนเติมให้กันจนครบเต็ม

ถึงตอนนี้
ดีใจด้วยจริงๆ

ป้อล่อ..
ประทับใจเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง
ขอบคุณจากใจ


หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: แก้วมาลูน ที่ 16-10-2015 21:59:28
ประทับใจมากครับ ยิ่งรู้ว่าเป็นเค้าโครงมากจากเรื่องจริงยิ่งประทับใจมากครับ ผมพึ่งเข้ามาอ่านเมื่อวาน เผลอแปีบเดียวจบซะงั้น เป็นคู่รักที่รักกันยาวนานมากคู่หนึ่งครับ ผ่านอุปสรรคร้ายๆมาด้วยกัน มันทำให้เรารู้ซึ้งถึงความรักทั้งสองคน นับถือความรักของพี่นูและพี่นิวมากครับ โชคดีที่ได้มาอ่านเรื่องราวดีๆของพี่ทั้งสองคน ขอบคุณจริงๆครับ ปล.ผมคนเชียงใหม่ไม่เคยไปทะเลทางใต้เลยจริงๆ คงสวยมาก ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: LEO ที่ 17-10-2015 01:15:45
เพิ่งอ่านจบ    ขอบคุณนักเขียนสำหรับเรื่องนี้ครับ  ยินดีและเป็นกำลังใจให้กับความรักของทั้งคู่ครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 17-10-2015 09:41:08
จบแล้ววววว ขอให้มีความสุขมากๆๆๆๆๆ ตลอดไปนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-10-2015 16:49:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: makone ที่ 18-10-2015 20:12:38
 :pig4: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: คนอ่าน ที่ 27-12-2015 11:47:02
ไดอารี่ช่วงหลังๆเนี่ย
เราอ่านไปยิ้มไปตลอดเลย
น่ารักมากๆขอให้มีความสุขมากๆ
ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่าเลยน่ะค่ะ
คุณนูคุณนิว  น่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 29-12-2015 12:11:40
คิดถึงน้องนูกับพี่นิวเนาะ
เขียนจบคนเขียนก็หายไปเลย
ยังไงก็ขออวยพรเนื่องในโอกาสจะขึ้นปีใหม่

ขอให้น้องนูกับพี่นิวครองรักกันยืดยาว มีสุขภาพที่แข็งแรงเจริญในหน้าที่การงาน
คิดหวังสิ่งใดขอให้ได้ดังความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการตลอดปีใหม่และตลอดไปเทอญ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 30-12-2015 07:19:41
อ่า เรื่องนี้มีสองอารมณ์ มาม่ากะแฮปปี้ แต่กว่าจะแฮปปี้
เล่นเอาหน่วงหัวใจ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 07-04-2016 01:42:53
อ่านรวดเดียวจบเรื่องเลยค่ะ ตอนต้นเรื่องรู้สึกลุ้นน่าดูเลยว่าตอนจบจะแฮปปี้มั้ย พอเริ่มกลางเรื่องตอนที่ี่พี่นิวไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยจนถึงไปเรียนเมืองนอกร้องไห้ตลอดหลายชั่วโมงเลย พอเรียนจบกลับมาแล้วเริ่มมีเรื่องคู่หมั้นอีก โอย บ่อน้ำตาแตกอีกแล้ว ต่อถึงตอนจบประทับใจมากจริงๆเลยค่ะ ขอบคุณน้องนูที่เรียบเรียงไดอารี่มาให้อ่่านนะค่ะ คิดถึงพี่นิวกับน้องนูมากค่ะ มีเวลาแวะเข้ามาทักทายกันบ้างนะค่ะ อัพเดทเรื่องราวปัจจุบันก้อได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 22-06-2016 23:58:56
กว่าจะลงเอยกันได้นี่หน่วงแล้วหน่วงอีก นอยด์แล้วนอยด์อีก หายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็แฮปปี้ขอให้รักกันนาน ๆ นะ  และก็ขอนับถือในความรักเดียวใจเดยวของนูจริง ๆ ประเสริฐแท้พ่อคุณ

 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 23-06-2016 21:23:14
ชอบเรื่องนี้มาก ขอบคุณคุณนู ที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ รับรองว่าคนอ่านหลายๆคนได้ข้อคิดจากเรื่องนี้ไปเยอะแน่ๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: top_fy ที่ 01-07-2016 18:24:02
ขอบคุณเรื่องราวความรักดีๆนะครับพี่นู ขอให้พี่2คนรักกันตลอดไปนะครับ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-07-2016 19:53:19
แวะเข้ามาอ่ายหน้าสุดท้ายอีกรอบ
ก็ยังน้ำตาไกลอีกรอบ เห็นความสุขของนู
ก็ทำให้ย้อนไปนึกถึงความทุกข์ของนูก่อนจะสุข
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: gang ที่ 26-11-2016 00:47:26
คิดถึง คุณ นู ครับบ นานเลยกว่าจะได้เข้ามาอ่านอีกครั้ง  ถ้ามีโอกาศกลับมาอ่าน ก็ขอให้คุณนู ทักทาย ในข้อความนะครับ  และหวังว่ายังไม่ลืมกันนะครับ 
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 26-11-2016 09:57:17
   :hao3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Anong2013 ที่ 26-11-2016 21:35:55
ผมพื่งได้มาอ่านเรื่องของพี่นูพี่นิวชอบมากเลยครับ .. ปี2016 แล้วสินะพวกพี่เป็นไงบ้าง ? ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมใช่มั้ย ?  ส่งข่าวมาให้ทราบกันบ้างนะพี่ .. ถึงผมจะมาอ่านเรื่องของพี่ช้าไปแต่ก็ขอบคุณพี่มากคับที่เอาเรื่องดีๆมาให้ได้อ่าน.. เมื่อไหร่จะได้อ่านนิยายของพี่อีกคับพี่นูพี่นิว... ผมอยากมีความรักเหมือนพวกพี่บ้างจังแต่ชาตินี้ควจะไม่มีความรักแบบพวกพี่หรอกเนอะ.. ผมเป็นคนลาวที่ได้อ่านนนิยายของพี่นูกับพี่นิวมีความสุขมากเลย ..  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-02-2017 11:04:29
สุขสันต์วันแห่งความรักครับ พี่นิวน้องนู
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 18-04-2017 23:27:59
เย้ คราวนี้อ่านจบจริงๆแล้ว
คราวที่แล้ว นึกว่าคุณนูจบแค่นั้น

มาอ่านอีกรอบ ยังมีน้ำตาและความซาบซึ้งเหมือนเคย
ขอให้สบายดี ไม่เจ็บไม่ป่วยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ 3.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 09-06-2017 14:19:31
 :katai1:  :z3:   ว่าแล้ว วันนั้นเข้มดูแปลกๆ

บอกเลย โคตรผิดหวังในตัวเข้มอ่ะ

เพื่อนที่รักมากที่สุด  :m15:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIES:THE FORTH PAGE 21.10.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-06-2017 05:27:13
 :z3: :z3:  :ling1:   :katai1:

ว่าแล้วไง พี่นิวอ่ะ โอ๊ย ทำร้ายกันเกินไปแล้ว

 :m15: มันเหมือนๆกับผิดหวังมากๆ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@ตอนพิเศษ....เหตุการณ์ที่เพิ่งเปิดเผย 12.11.2555
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-06-2017 05:54:06
 :o12:  พี่เนย์นี่ดูแปลกๆยังไงชอบกลตั้งแต่ที่
มาเที่ยวที่บ้านกับพี่นิวแล้วนะคะ

เดี๋ยวนะ เงาคนที่มืดๆตอนนั้นคงไม่ใช่พี่เนย์ใช่ไหมคะ
และไหนจะตอนที่รร.อีก ที่พี่นูรอพี่นิวคุยกับแพร
ดูมีท่าทีแปลกๆ พี่เนย์รู้เรื่องพี่นูกับพี่นิวแล้วแน่ๆเลย

และตอนนี้พี่เนย์แอบชอบพี่นูอยู่แน่ๆเลยอ่ะ   :sad4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 15.11.2555 (21.00 น)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-06-2017 06:28:18
 :sad4: :sad4:

พี่นูอ่ะ  ฮือ โอ๊ย ไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้น

พี่ทนได้ไงอ่ะ พอแล้ว พอเถอะ เจ็บเกินไป :z3:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE FIFTH PAGE 17.11.55
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-06-2017 07:07:22
           :a9: :a14: :a3: :a11: :a1:
     
:o   :a5:   พีคไปอีกค่ะ  ทั้งเรื่องพี่พิม เรื่องพี่นิวเอง

ไหนจะเรื่องพี่เดฟ...  แต่เขามีแฟนเป็นผญ.ไม่ใช่หรอ

แล้วทำไม เกิดอะไรขึ้น ถึงได้มาทำแบบนั้นกับพี่นิว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@SERIES : THE SIXTH PAGE 24.11.2555 (2รีพลาย)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-06-2017 07:51:21


WARNING




ก็ "ชีวิต" อ่ะ ทำไงได้ ผมก็อยากโชคดีมีความสุขเหมือนใคร ๆ ทั้งโลกน่ะแหละ


ชอบประโยคนี้ของพี่จัง

..........................


 :sad4: :hao5: :katai1:

โอ๊ย พี่นู พี่โคตรเก่งเลย เจอเรื่องราวร้ายๆแต่ละเรื่อง

ขอให้มีความสุขมากๆ อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE SEVENTH PAGE 16.02.56
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-06-2017 03:41:46
 o22 o22 o22

เป็นกำลังใจให้พี่นูนะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 16.05.56 (00.30น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-06-2017 04:04:01
 :ling1: :ling1:  :z3: :z3:  :katai1: :katai1:

 :serius2:  :a5:  :sad4:  :m15:

อีกแล้วนะพี่นิว โอ๊ยพี่นูอ่ะ เจ็บซ้ำเจ็บซาก

ยังดัอยู่ไหมหัวใจอ่ะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ @ SERIE : THE 8TH PAGE 20.05.56 (00.45น.)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-06-2017 04:26:50
 :katai1: :z3:

ถ้าคนที่พี่นิวรักและคนๆนั้นไม่ใช่พี่นู

คงไม่ต้องนึกให้อยาก มันคงจะจบตั้งแต่ตอนที่

ไปเรียนต่อนอกแล้วอ่ะ 


หัวใจพี่นูสุดยอดมาก รับแต่ละเรื่องมาเกินบรรยาย

แล้วความรักที่มีให้พี่นิวมันต้องมากโคตรๆ

ขนาดพี่นิวไปมีอะไรกับคนอื่น ถึงจะเจออุบัติเหตุ

เรื่องนั้นมาให้ได้คิด แต่คนอื่นคงไม่คิดได้อย่างพี่นูอ่ะ

ไม่ดีกัน ไม่ยกโทษให้และคงเลิกกันไปแล้ว

 :hao5: :sad4: เพราะนี่แค่ได้อ่านเรื่องราว

ที่พี่นูได้แบ่งปันมานี่ยังรู้สึกเจ็บ หน่วงไปหมด

ถึงขนาดร้องไห้ออกมาด้วย มันเจ็บจนเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-06-2017 06:29:40
 :110011: :z7: :angellaugh2:
:mc3: :mc3: :mc3: :mc3:
:mc2: :mc2: :m2: :m2:
:m3: :m3:

ในที่สุด ฮือ ดีใจด้วยนะคะพี่นู

ขอให้มีความสุขมาก คอยเคียงข้างกันตลอดไปนะคะ

อุปสรรคใดๆก็ให้ผ่านไปโดยง่าย

ให้พบเจอแต่ความโชคดี ไม่เจ็บไม่ไข้ตลอดไปทั่งคู่นะคะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 09-02-2018 21:03:25
ขอบคุณ สำหรับเรื่องราวดีๆ.. ของความรัก ความอดทน ความเสียสละ ของนู ที่มีให้กับพี่นิว

และขอบคุณ ความรัก ที่พี่นิว คืนกลับให้กับนู ให้นู ได้สมหวัง ในตอนท้ายตอบแทน กับสิ่งที่ทุ่มเทมา.. มีความสุขสักทีน่ะ

สำหรับเรา. เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ.. อ่านจบแล้วรู้สึก ตื้นตันกับความรักของพี่ทั้งคู่ รู้สึกว่ามันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มาก

เป็นสิ่งที่ ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ สำหรับความอดทนและเสียสละ

โดยเฉพาะนูให้กับพี่นิวในตอนแรก(ที่พี่นิวไปเรียนกทม.และต่างประเทศแถมยังแนบจม.มาเหมือนจะบอกเลิก อ่านตอนนี้มันเจ็บปวดใจมากๆ:อินมาก)

  ขนาดเราที่ปรารถนาจะมีรักแท้สักครั้ง ยังรู้สึกว่ายากเลยค่ะ

 ขอเก็บเรื่องราว ของนูกับพี่นิวไว้ เป็นกะลังใจ ให้ตัวเราเอง ได้เผื่อแผ่ ความรักให้คนรอบข้าง เหมือนอย่างที่พวกพี่ ได้เผื่อแผ่ไปให้คนรอบตัวด้วยเช่นกัน

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ

 สุดท้าย ขอให้ทั้งคู่ มีความสุขมากๆ ผ่านทุกปัญหาไปได้ และมีความรักที่มั่นคงตลอดไปน่ะคะ..เอาใจช่วยค่ะ

^____^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-02-2018 00:30:25
มาอ่านอีกรอบ ยังร้องไห้ตาบวมปูดเหมือนเดิม
ช่วงชีวิตที่เขียนนี่มันเศร้ามากจริงๆนะ
แต่ก็ดีใจที่ทั้งสองคนฝ่าฟันจนผ่านมาได้
ขอให้มีความสุขเสมอๆนะคะ นิว นู ^^
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: หยดน้ำผึ้ง ที่ 17-08-2018 10:54:55
ทำไมเพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้!!!

ประทับใจมากกกกกกกกกกก ค่ะ มีความสุขมากๆ อ่านจบแล้วกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ 555555 กลายเป็นอ่าน 2 รอบเลยแล้วมาเม้น

อ่านแล้วเศร้า อ่านแล้วซึ้ง ประทับใจความรักของคุณนู กับคุณนิว มากๆ ค่ะ ยากมากๆ ที่จะหาคนที่มั่นคงขนาดนี้ เราประทับใจในตัวคุณนูมากๆ เลย ที่สามารถรักใครคนนึงได้มากขนาดนี้ คุณนิวโชคดีจริงๆ ที่มีคุณนูอยู่ข้างๆ ยากมากที่จะเจอคนที่อดทน และให้อภัย เรื่องที่ยากจะรับไหว

ต้องขอขอบคุณคุณนูที่เสียสละเวลามาเขียนเล่าให้เราได้อ่านนะคะ พอมันมีอยู่บนอินเตอร์เนทแล้วเรารู้สึกโชคดีที่ได้กดเข้ามาเจอเรื่องนี้ มีความสุขมากๆ เลยค่ะ

ขอบคุณคุณนูด้วยใจจริงๆ ค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 19-09-2018 07:48:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: artit ที่ 20-09-2018 21:27:45
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 26-09-2018 09:44:52
คิดถึงคนเขียนครับ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 19-02-2020 23:27:25
อ่านถึงตอนที่พี่นิวไปเรียนต่างประเทศแล้วทิ้งจดหมายไว้ให้นูตัดสินใจ เราว่าใจร้ายมาก อำมหิตมากจริงๆ4ปีเลยนะ คนนึงเฝ้ารอแต่อีกคนกลับมีสังคมใหม่แต่ก็ยังเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยคำพูด เราไม่รู้ว่าอนาคตคุณสองคนจะเป็นยังไงนะ แต่เราอยากให้คุณนิวลองบ้าง ลองรอดู ลองโดนบ้าง บอกตรงๆว่าแค้นแทน อยากให้นูตัดเค้าออกจากชีวิตไปเลย อิน5555



Edit อ่านถึงตอนคุณนูเข้ากับคุณนิวเคลียร์ใจกัน รับรู้หมดทุกเรื่องแต่เชื่อปะ เราไม่รู้สึกดีขึ้นเลย คุณนิวเห็นแก่ตัว ทำเป็นอยากห่างเพราะกลัวความเป็นเกย์ กลัวเพื่อนรู้ กลัวญาติรู้ แล้วคุณมารักคุณนูทำไม ปล่อยไปสิ ใจๆหน่อย แบบนี้เรียกกั๊ก เราน้ำตาซึมเลยพูดตรงๆ ถ้าคุณนูอยุ่ตรงหน้าแล้วต้องกราบให้เลิกกับคุณคนนี้เราก็ยอม5555 อิน



Editรอบสอง อ่านถึงตอนคุณนูกินยา เอาจริงๆเราด่าผิดคนมาตลอด5555 คุณนิวจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ที่คุณนูเสียใจก็เพราะตัวคุณนูเองนั่นแหละ เราแอบเข้าใจว่าเพราะมันเป็นรักแรก ทุกคนก็เคยงี่เง่ามาก่อนทั้งนั้นอะเนอะ จะอ่านแบบเงียบๆละกันไม่อิน ไม่ต่อว่าคุณนิวละ เสียหมาเลยเรา5555


Edit อ่านถึงหน้า14ละ เราคงหยุดแค่ตรงนี้พอ ใจเราบาง5555 เอาล่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณคนเขียน เขียนสนุกมากและเราอินมากจริงๆ อาจจะเม้นเกินเลยหรือใช้คำพูดไม่เหมาะสมต้องขออภัยไว้ก่อนนะคะ เจตนาเราไม่ได้จะล่วงเกินแต่อินมาก

สุดท้าย เราอ่านไม่จบก็จริงเพราะเราเหนื่อยที่จะลุ้น รู้สึกปีนเขาอ่านมาก อารมณ์สวิง5555 เราเลยอยากบอกว่าถึงจะไม่จบแต่เป็นกำลังใจให้นะคะ เรื่องนี้ตั้งแแต่ปี2013 มันก็นานมาแล้ว แต่ดีใจค่ะที่ได้อ่าน ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: koolilook ที่ 31-03-2020 04:06:29
รักเลย
ขอบคุณเรื่องราวของความรักที่มั่นคง  สวยงาม  เสียสละ  เด็ดเดี่ยว  ของคุณนูและคุณนิวมากครับ
แล้วเขากดให้เป็ดกันยังไงเหรอครับ :3123: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-10-2020 19:50:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 08-07-2021 22:42:41
 :-[
หัวข้อ: Re: พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ@Series ที่ลงเอย : ไดอารี่หน้าสุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Nattarat ที่ 06-10-2023 12:01:35
กลับมาอ่านเรื่องราวของพี่นิวและน้องนูอีกครั้ง ยังประทับใจเหมือนเดิมเลยค่ะ ขอให้คู่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีความสุขนะคะ อยู่ดูแลกันและกันไปตลอด มาอัพเดทเรื่องราวดีๆ ในตอนนี้บ้างนะคะ คิดถึงพี่นิวกับน้องนู