พิชญถูกส่งตัวกลับมาที่พฤทธาการ นางวลัยร้องไห้ดีอกดีใจใหญ่ที่ลูกปลอดภัยกลับมา แต่ก็ต้องมาเป็นกังวลเอาอีกเมื่อลูกชาย
กลายเป็นคนไม่ค่อยพูด ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ทางคนของวิคเตอร์ เฟอร์ริงตันที่มาส่งพิชญบอกเพียงว่าวิคเตอร์จะมาพบเองใน
ไม่ช้านี้ ครอบครัวพฤทธาการต่างไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงได้เปลี่ยนใจ โดยที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะพิชญทำให้อเล็กซานเดอร์
เปลี่ยนไปแล้ววิคเตอร์กลัวว่าจะซ้ำรอยอลัน
ปัญหาเหมือนจะยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อที่ทำงานเกิดปัญหาขึ้นมาอีก งานก่อสร้างที่ทางบริษัทพฤทธาการได้มาถูกป่วน งาน
เดินต่อไม่ได้เมื่อเสป็คของถูกสับเปลี่ยนทำให้ต้องมีการตรวจสอบกันยกใหญ่ ชื่อเสียงที่กำลังจะดีขึ้นก็กลับดิ่งลงเหว ทำให้โรค
เก่าของนายพรตกำเริบจนล้มป่วยลงไปอีกครั้ง
ด้วยวัยที่สูงขึ้น ประกอบกับความเครียดจากทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวส่งผลต่อสุขภาพ นายพรตเกิดอาการหน้ามืดจนหกล้ม
ลงไปศีรษะฟาดพื้น นางวลัยที่ได้ยินเสียงโครมครามรีบไปดูที่มาของเสียง ก่อนจะเห็นผู้เป็นสามีนอนแน่นิ่ง เลือดสีแดงฉานนอง
พื้นไปหมด นางวลัยกรีดร้องแทบสิ้นสติทำให้พงศกรและพิชญรีบรุดมาดูและนำตัวนายพรตส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที
+++++++++++++
เปียวรีบมาที่โรงพยาบาลเมื่อทราบข่าวโดยมีอลันขับรถมาให้ ทำไมช่วงนี้เขาถึงพัวพันอยู่กับโรงพยาบาลอยู่เรื่อยๆก็ไม่รู้ เมื่อไป
ถึงอาการของนายพรตก็น่าเป็นห่วงอยู่มาก ฟังจากที่พงศกรบอกคือพ่อล้มหัวฟาดพื้นและเสียเลือดมาก ตอนนี้คณะแพทย์ก็กำลัง
ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เวลาผ่านไปอย่างยาวนานในความรู้สึกของคนรออย่างครอบครัวพฤทธาการ ทุกคนต่างนั่งไม่ติด ผู้ช่วย
แพทย์เปิดประตูออกมาบอกว่าเลือดกรุ๊ปโอขณะนี้มีไม่พอ ญาติคนไหนพอจะมีเลือดกรุ๊ปนี้บ้าง พงศกรกับพิชญขยับตัวทันที แต่
เปียวกลับนิ่งอึ้งเมื่อตนเองให้เลือดไม่ได้ มันหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่เขาคิดว่าพ่อเลือดกรุ๊ปเดียวกับเขา เพราะแม่เป็นบี แล้ว
พ่อ...
“ทำไมล่ะ ทำไมล่ะพี่ชาย ทำไมผมให้เลือดพ่อไม่ได้ล่ะ ทำไม?”
เปียวหันไปคาดคั้นเอากับพี่ชาย เขาเครียดเรื่องพ่อจนควบคุมสติไม่ได้ ยิ่งมารู้ว่าตนเองให้เลือดกับพ่อไม่ได้อีก ในหัวจึงมีแต่คำ
ว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด
“เปียว เดี๋ยวเปียว ใจเย็นๆก่อนนะ”
พงศกรพยายามดึงสติน้องกลับมา ชายหนุ่มหันไปมองอลันอย่างขอความช่วยเหลือ อลันเข้าไปรั้งตัวเปียวออกมาให้พงศกรได้
เข้าไปให้เลือดผู้เป็นพ่อ เปียวทำได้แค่มองตามพี่กับน้องของตนเองไปเท่านั้น เด็กหนุ่มเดินตามแรงดึงของอลันมานั่งที่เก้าอี้
ปากก็ยังคงพึมพำถามแต่ว่าทำไม
“ทำไมล่ะอลัน?”
อลันรั้งตัวเปียวมากอดด้วยความสงสาร ลูบแขนเด็กน้อยที่กำลังหลงทางอย่างปลอบโยน นางวลัยเบือนสายตาไปมองประตูห้อง
ฉุกเฉินแทนการมองเปียวกับอลัน เรื่องของเปียว เรื่องที่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจแต่พูดออกไปไม่ได้
พงศกรกับพิชญกลับออกมาหลังจากนั้น ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เปียวยังคงนั่ง
พิงไหล่อลันอยู่อย่างนั้น เจ้าของไหล่เองก็ไม่ได้ขยับไปไหน จนในที่สุดแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดก็ออกมาพร้อมกับข่าวดี ทุกคนต่าง
ก็มีรอยยิ้ม นางวลัยถึงกับปล่อยโฮอีกครั้ง พิชญกอดปลอบมารดาทั้งที่ตนเองก็อยากจะร้องไห้เต็มแก่เพราะความดีใจเช่นกัน
เมื่อรู้ว่าบิดาปลอดภัยแล้ว เปียวจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ อลันก็เดินตามเด็กหนุ่มไปช้าๆ พงศกรหันมาเห็นจึงเดินตามน้อง
มาอีกคน ปล่อยให้นางวลัยกับพิชญกอดปลอบกันอยู่หน้าห้อง
“เปียว”
พงศกรเอ่ยเรียกน้องชาย เปียวหยุดเดินแต่ไม่ได้หันกลับมามองผู้เป็นพี่
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
“เปียว…”
“นะครับพี่ชาย”
เมื่อน้องย้ำบอกอีกครั้งพงศกรจึงต้องล่าถอย ชายหนุ่มถอนใจบางเบา ก่อนหันไปหาอลันที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันนั้น
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปนัก ผมฝากน้องผมด้วยนะครับมิสเตอร์แอล”
อลันพยักหน้า ตบบ่าพงศกรก่อนก้าวเดินตามเปียวไป มองตามน้องชายคนรองแล้วพงศกรก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
มากไปกว่าการมองน้องเดินจากไปเท่านั้น เมื่อเปียวกับอลันออกไปแล้วพงศกรก็กลับมาหามารดากับน้องชายคนเล็กอีกครั้ง ทาง
นี้ก็น่าห่วงพอกัน
+++++++++++++
หลังจากที่นายพรตอาการดีขึ้นและถูกย้ายออกจากห้องไอซียูแล้ว เปียวก็มาเฝ้ามาดูแล นายพรตเห็นเช่นนั้นก็นึกสะท้อนใจ ตน
เองไม่เคยได้ใส่ใจดูแลลูกคนนี้เท่าที่ควร ซ้ำยังนำปัญหาไปโยนให้อยู่บ่อยครั้ง แต่เปียวก็ยังไม่เคยทอดทิ้งเขา ไม่เคยทอดทิ้ง
พฤทธาการแม้สักครั้ง เปียวถามนายพรตว่าทำไมไม่บอกเรื่องที่ป่วยหนักขนาดนี้ให้ตนเองรู้บ้าง ต้องให้รู้จากหมอ ทำไมตนเอง
ถึงไม่เคยจะรู้อะไรเลย
“ผมเป็นห่วงพ่อนะครับ คราวหลังถ้าพ่อมีอะไรพ่อก็บอกนะ เราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข” เปียวบอกพ่อด้วยรอยยิ้ม แต่มันกลับดู
เศร้าหมองเหลือเกินในสายตานายพรต
“แกเป็นเด็กดีนะเปียว ทั้งที่พ่อไม่เคยได้ดูแลแกอย่างจริงๆจังๆสักครั้ง แต่แกก็ยังคอยดูแลพ่ออยู่ตลอด เฮ้อ…” ชายสูงวัยถอน
หายใจหนักหน่วง
“ก็พ่อเป็นพ่อผมนี่ครับ” เปียวบอกออกมาทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันใช่แน่หรือเปล่า
“เปียว”
“ครับ?”
“ยังมีอีกเรื่องที่พ่อยังไม่ได้บอกแก”
เปียวมองพ่อย่างสงสัย สีหน้าของนายพรตดูเคร่งเครียดจนเปียวหวั่นใจ...
++++++++++++++
เปียวกลับมาที่บ้านเมื่อได้ฟังคำสารภาพจากนายพรต เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา สิ่งที่เขาเคยคิดและสงสัยมาโดยตลอดว่า
ตนเองนั้นใช่ลูกของบ้านนี้ไหม เหมือนเมฆหมอกที่มันคอยบังตาถูกแสงอาทิตย์กวาดล้างไปหมด ความจริงทุกอย่างที่เคยอยากรู้
วันนี้เขาก็ได้รู้
เด็กหนุ่มตรงไปที่ห้องทำงานของนายพรต ห้องนี้ตั้งแต่ไปอยู่กับอลันเขาก็ไม่เคยได้เข้ามาเลยสักครั้ง ณ ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลง
ไป สายตาของเด็กหนุ่มไล่มองรูปครอบครัวของลุงพชรที่ถูกนำมาแขวนไว้ที่นี่ ทั้งยังที่โต๊ะทำงานตัวเก่งของพ่อ ไม่สิ ไม่ใช่พ่อ
ของเขาสักหน่อย
‘ยังมีอีกเรื่องที่พ่อยังไม่ได้บอกแก’ นายพรตเอ่ยนำ สีหน้าหนักใจ
‘อะไรครับ?’
เปียวแทบจะกลั้นใจถามคำถามนั้นออกไป เขาหวาดหวั่นกับสิ่งที่นายพรตกำลังจะบอก อยากจะปิดหูปิดตาต่อไป แต่ใจหนึ่งก็
อยากจะรู้ให้แน่ชัด
‘เปียว ฟังพ่อให้ดี... ความจริงแล้วพ่อกับแม่ที่แท้จริงของแกชื่อพชรกับไปรยา...’
‘…………’ เปียวนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นบิดาบอก อยากจะคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่เขากลับขำไม่ออก
‘คงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง?’
นายพรตพูดต่อ มองหน้าเปียวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป เปียวก้มหน้าต่ำสูดลมหายใจเข้าออกหนักๆ
อย่างอัดอั้น ความรู้สึกมันตื้อตันไปหมด กระบอกตาร้อนผ่าวราวกับน้ำตามันจะไหล เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆไล่ความรวดร้าวที่
เกิดขึ้นกับตนเอง ก่อนจะบอกความรู้สึกของตนเองออกมา
‘ผมเคยสงสัย เคยอยากรู้ ผมเคยถามพ่อ... ว่าผมใช่ลูกของพ่อแน่ใช่ไหม แต่ในวันนี้... ผมกลับไม่อยากรับรู้มันเลย ไม่อยาก
รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกพ่อ ไม่อยากรู้ว่าที่ผมไม่ได้รับความรักจากพ่อ เพราะผมไม่ใช่ลูก’หยดน้ำตาตกกระทบกรอบรูปในมือเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนั้น เปียวกวาดสายตามองรอบห้อง ก้าวเดินของเด็กหนุ่มช้า
ลงไป เมื่อมองรูปแต่ละใบแล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีก พาลจะไหลลงมาเสียให้ได้ ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ก้มมองดูรูปในมือ เกลี่ยปลาย
นิ้วกับรูปของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของตน ผู้ที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียกว่าพ่อกับแม่เลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เปียวยังยืนอยู่ในห้องนี้ จนเมื่ออลันตามมาที่บ้านพฤทธาการจากการบอกกล่าวของวสันต์ที่ตนให้ไปรับไปส่ง
เวลาเปียวจะไปเฝ้าพ่อ ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องทำงานที่เปียวอยู่ มองรูปที่ถูกแขวนไว้รอบๆห้องแล้วก็พอจะเดาได้เลาๆว่าเกิด
อะไรขึ้น อลันเดินเข้าไปหาเปียวที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง เพียงรั้งเบาๆร่างเพรียวนั้นก็โผเข้ามากอด
“ผมไม่เหลือใครแล้วอลัน”
เปียวซุกใบหน้ากับอกของอลันอย่างหาที่พึ่ง เขาเหมือนอยู่ตัวคนเดียวแล้วในเวลานี้ อลันลูบหลังปลอบใจเด็กหนุ่ม คนที่ทำ
ทุกอย่างเพื่อคนในครอบครัวมาโดยตลอด แต่เมื่อวันหนึ่งต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจมาโดยตลอดนั้นไม่ใช่ มันคงเกินจะรับ
ไหวจริงๆ
“ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้เลย”
“ชู่ว ไม่เป็นไรนะเปียว ไม่เป็นไร เด็กดี”
อลันกอดเด็กน้อยของเขาเอาไว้อย่างนั้น คอยกระซิบปลอบใจกันอยู่ไม่ขาด จนเปียวสงบลงได้อลันถึงได้พากลับบ้าน นั่งรถมา
ด้วยกันเปียวก็เอาแต่เงียบ จนรถวิ่งมาได้สักพักเปียวถึงบอกว่าอยากไปมูลนิธิของคุณอัญชัน อลันจึงบอกคนขับรถให้เปลี่ยนทิศ
ทาง
เมื่อมาถึงมูลนิธิตามที่เด็กหนุ่มต้องการแล้วอลันก็ปล่อยให้เด็กน้อยของเขานั่งมองเด็กๆไปเงียบๆ ก่อนแยกตัวไปคุยกับคุณแม่
คุณอัญชันเมื่อรู้เรื่องเข้าก็เป็นกังวลไปด้วย ท่านพอรู้เรื่องของเปียวมาบ้างยังอดสงสารไม่ได้ แต่ตัวเปียวที่คิดมาตลอดว่านั่นคือ
ครอบครัวของตนเองล่ะ เมื่อรู้เรื่องนี้แล้วจะรู้สึกเช่นไรกัน
เปียวนั่งมองเด็กน้อยในมูลนิธิแล้วรู้สึกหมองหม่น มันเหมือนตัวเขาในตอนนี้ มืดมน ไร้หนทางไป คุณแม่อัญชันเดินมานั่งด้วย
เปียวหันมามองคุณแม่ก่อนหันกลับไปมองเด็กๆอีกครั้ง
“เปียวเหมือนกับเด็กๆที่นี่เลยนะครับ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่”
พอยิ่งพูดก็เหมือนจะยิ่งตอกย้ำตนเอง คุณอัญชันมองเด็กหนุ่มอย่างสงสารจับใจ
“โถ เปียว ไม่เอานะลูก ไม่คิดแบบนั้นนะ อย่างน้อยๆเปียวก็ยังมีแม่นะ ถ้าเปียวไม่รังเกียจผู้หญิงแก่คนนี้ ก็คิดเสียว่าแม่คือแม่
ของเปียวนะลูก” ท่านเอ่ยบอกด้วยความอารี พอมีคนปลอบเปียวกลับยิ่งแย่ พาลจะอ้อนเอาเสียให้ได้
“แม่ครับ เปียวไม่เหลือใครแล้ว ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ใช่ของเปียว ไม่ใช่พ่อแม่เปียว”
คุณอัญชันโอบกอดร่างเพรียวนั้น ความอบอุ่นที่เปียวไม่เคยได้รับทำให้น้ำตาของเด็กหนุ่มรินไหลอีกครั้ง อลันที่ยืนมองสถาน
การณ์อยู่ตลอดเดินเข้ามาหา เปียวที่กอดกับคุณแม่อัญชันอยู่เงยหน้ามามองมิสเตอร์แอลด้วยแววตาแสนเศร้า อลันเช็ดน้ำตาให้
ก่อนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้หัวใจคนฟังชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้าง
“กลับบ้านกันนะเปียว บ้านของเรา”
++++++++++++++
เปียวกับอลันมาที่บ้านพฤทธาการในวันต่อมา เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวานเมื่อรู้สึกว่ายังมีอีกคนคอยอยู่เคียงข้างกัน เมื่อรถมา
จอดลงที่หน้าตัวบ้านก็ให้แปลกใจที่เห็นรถยนต์ยี่ห้อหรูจากฝั่งตะวันตกมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านเช่นนี้ เปียวหันไปมองอลันก่อนจะรีบ
เข้าไปในบ้าน ก้าวเดินของเปียวชะงักเมื่อเห็นว่าพิชญกำลังจะถูกใครคนหนึ่งพาตัวไป
พิชญดิ้นรนจะให้หลุดพ้นจากการฉุดดึงของชายต่างชาติร่างสูงใหญ่คนนั้น คนรับใช้ที่รายรอบอยากที่จะเข้าไปช่วย แต่ชาย
ฉกรรจ์ตัวสูงใหญ่อีกสองคนที่ยืนกางกั้นอยู่นั้นทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไป
“บอกว่าไม่ไปไง ไอ้ฝรั่งบ้ากาม ปล่อยนะเว้ย!”
เสียงต่อว่าด่าทอของพิชญยังคงดังอยู่อย่างนั้น เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าคนที่กระทำการฉุดกระชากอยู่นั้นทั้งเตะทั้งถีบเท่าที่โอกาส
จะอำนวย โดนบ้างไม่โดนบ้างก็ช่าง จนเปียวก้าวเข้าไปใกล้แล้วดึงตัวน้องออกมา ดวงตาสีน้ำทะเลมองปราดทำให้เปียวรู้สึก
หนาวยะเยือกไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็ยังคงมองตอบไม่ถอย เด็กหนุ่มดันตัวพิชญให้กำบังอยู่ด้านหลังของตนเองมากขึ้น อลันที่
ก้าวเข้ามาถึงหยุดกึกเมื่อเห็นแน่ชัดว่าชายต่างชาติตัวโตคนนั้นเป็นใคร มองจ้องชายหนุ่มคนนั้นราวกับเห็นตัวประหลาด
“อเล็กซ์?”
เสียงของอลันทำให้คนทั้งสามหันไปมอง เปียวแปลกใจที่อลันรู้จักชายคนนี้ด้วย อเล็กซานเดอร์ เฟอร์ริงตัน เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำ
ทะเลหันไปตามเสียงเรียก มองตอบคนเรียกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาทำอะไรที่นี่?”
อลันเอ่ยถามอย่างแปลกใจที่เห็นคนๆนี้ที่นี่ ไม่มีคำตอบจากอเล็กซานเดอร์นอกจากเบือนสายตาไปมองพิชญที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เปียว พิชญก็มองตอบกลับมาอย่างไม่ยอมกัน ก่อนที่อเล็กซานเดอร์จะเดินออกจากบ้านพฤทธาการไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อลันมองตามอย่างรู้สึกเป็นกังวลใจ การที่อเล็กซานเดอร์มาที่นี่ วิคเตอร์ เฟอร์ริงตันย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่
TBCขอบคุณทุกท่าน ทุกกำลังใจ ทุกบวกหนึ่งบวกเป็ดน้อยเช่นเคยค่า เดี๋ยวดึกๆแวะมาบวกคืนค่ะ
ว่าจะมาให้เร็วขึ้น แต่ก็มาเวลาเดิมอีกละ 4 วัน T^T
ปล. สังเกตไหมว่าแต่ละตอนมันยาวขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากตัดแบ่ง กลัวเสียอารมณ์กัน ยิ่งกว่าจะมาแต่ละทีก็แสนนาน
ขอบคุณทุกท่านที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ ยินดีต้อนรับท่านที่เข้ามาใหม่ด้วยค่ะ
วันใหม่ค่ะ
++++++++++
จิ้มบวกให้ทุกท่านเรียบร้อยค่ะ