อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ  (อ่าน 88781 ครั้ง)

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #90 เมื่อ20-05-2012 00:51:40 »

รันทดชะมัด...


 :z3:

cksong2008

  • บุคคลทั่วไป
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #91 เมื่อ20-05-2012 09:58:16 »

สะเทือนอารมณ์อย่างแรง คนอ่านอย่างผมรู้สึกกดดันตามไปด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ
ปืนอย่าใจแข็งเลยครับ เดี๋ยวปอเข้ามหาลัยแล้วไปเจอคนใหม่ คนที่เสียใจก็คือปืนนั่นแหละ
เอาใจช่วยทั้งคู่.......ส่วนพี่เอก.... Get out!!!!
ปล.ขอเป็นแฟนคลับคุณ NOO ด้วยคับคร๊าบ ^_^

ออฟไลน์ luv_khun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #92 เมื่อ20-05-2012 10:19:50 »

เฮ้อ....ปืน นะปืน คิดมากแทน คนอื่นไปหมด

กลายเป็นปอบอกรักก่อน ซะงั้น

แต่ในมุมความเป็นผู้ใหญ่กว่าปอ

ความลำบากใจก็คงตกที่ปืนนั่นแหละ

เห็นใจทั้งคู่

ในโลกความเป็นจริง ก็คงมีอีกหลายคู่

ที่อยูในสถานะการณ์แบบนี้

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #93 เมื่อ20-05-2012 10:37:24 »

คิดเยอะเกินไป
หรือป่าวพี่ปืน
ชีวิตคนเรามันสั้น
ทำมัยไม่ทำตามใจที่เรา
อยากทำบ้างอนาคต
ยังมาไม่ถึงคิดไปไกลล่ะ :L1:

ออฟไลน์ choijiin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-5
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #94 เมื่อ20-05-2012 11:50:34 »

เฮ้ออออออออออออออ
 :เฮ้อ:
สงสารพี่ปูน สงสารน้องปอ
พอใจตรงกันแล้วก็มีอุปสรรคอีกแล้ว
เข้าใจพี่ปืนนะว่าไม่อยากให้พ่อแม่ปอเสียใจ
แต่แบบนี้ทั้งพี่ปืนกับน้องปอก็ต้องเสียใจด้วยไม่ใช่เหรอ??
ไม่มีวิธีไหนเลยเหรอที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขอ่ะ กระซิกๆ
 :impress3: :o12:

ปลล.ตบอิพี่เอก
 :beat:

zaabbo

  • บุคคลทั่วไป
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #95 เมื่อ20-05-2012 12:48:25 »

ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ก็ชอบอยู่นะครับ แต่ยิ่งอ่านยิ่งไม่ชอบเรื่องแนวนี้เลยมันทำให้เครียด ทุกวันนี้ชีวิตก็เครียดพอละ คงไม่ได้อยู่อ่านจนจบต้องขอโทษด้วย ยังไงก็ขอให้มีคนติดตามเยอะๆนะครับ คงมีคนชอบดราม่าเยอะอยู่  :bye2:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
«ตอบ #96 เมื่อ20-05-2012 13:25:46 »

ปืนมีสำนึกดีนะ กตัญญู มีความรับผิดชอบ ไม่มักง่าย เห็นแก่ตัว
แม้มันอาจจะทำให้ตนกับคนที่รักไม่สมหวังก็ตาม
แต่ว่า! ไม่เห็นต้องไปคบเอกเลยนะ มันทำร้ายทั้งปืนทั้งปอทั้งเอกเลย!



ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #97 เมื่อ20-05-2012 19:24:58 »



สายัณห์สวัสดิ์ครับ

บวกเป็ดให้ทุกคนเสร็จแล้ว ผมจะโพสท์ต่อละน้า

ขอบคุณคนอ่าน ขอบคุณคนเม้นท์ ขอบคุณคนที่บอกลาด้วยครับ










      เสียงเคาะประตูตอนนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ ยังกะเฝ้าคอยดูอยู่งั้นแหละ

      “ไงปอ ทำไมป่านนี้ยังไม่นอน”

      ปืนส่งเสียงทักออกไปทั้งที่นั่งหันหลังให้ ด้วยความมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่ ๆ

      “ไม่น่าถามเลยพี่ปืน ผมบอกแล้วว่าจะมาถามข่าว”

      “ไม่ได้บอก”

      เบาะข้าง ๆ ตัวยุบลง เพราะเจ้าคนอยากรู้อยากเห็นทรุดตัวลงนั่งแรง ๆ

      “บอก! ผมบอกก่อนจะกลับห้องไง พี่ปืนไม่ได้ยินเหรอ”

      แน่ะ! ขึ้นเสียง ไปกินรังแตนที่ไหนมา

      “ไม่ได้ยินว่าจะมา แต่ได้ยินว่าจะโทรมา”

      “พี่ปืนอ่ะ ก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องมาโยกโย้เลย เล่ามาให้หมดนะ”

      “จะรู้ไปทำไมเล่า เรื่องของผู้ใหญ่”

      “ทีตอนนั้นบอกพี่เอกให้พูดต่อหน้าผม ทีอย่างงี้อ่ะไม่เล่า”

      ความจำดีอีกนะ

      “เล่าไม่ถูก อยากรู้อะไรถามมาดีกว่า”

      “เอางั้นก็ได้ พี่ปืนเป็นแฟนกับพี่เอกมานานเท่าไหร่แล้ว ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เลย”

      “จะรู้ได้ไง ก็พี่ไม่ได้เป็น”

      “ก็วันนั้นที่พี่เอกเค้า....”

      “ไม่ว่าวันนั้นปอจะเห็นอะไร แต่พี่ไม่ได้เป็นแฟนพี่เอก พี่ยังชอบผู้หญิงอยู่ เข้าใจนะ”

      “ถ้างั้นก็แล้วไป ผมรู้สึกไม่ดีเลย ตอนที่คิดว่าพี่ปืนคบกับพี่เอก ทั้งที่เค้ายังมีพี่เต้ยอยู่ทั้งคน”

      “พี่ไม่เลวอย่างนั้นหรอกน่า และที่สำคัญพี่ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

      “ครับ เรื่องนั้นผมทราบแล้ว....ย้ำจริง” ปอบ่นอุบอิบต่อท้าย

      จริงสินะ เขาพูดเองเออเองมาตลอดตั้งแต่ที่เห็นพี่เอกกับพี่ปืนอยู่ด้วยกันในห้องวันนั้น

ไม่เคยมีคำพูดคำไหนของพี่ปืนที่ยืนยันความคิดของเขา พี่ปืนจะชอบผู้ชายได้ยังไงกัน

ก็ที่เขาเคยรู้มาน่ะพี่ปืนเป็นเสือผู้หญิงคนหนึ่งเลยนี่นา

      ปอก้มหน้าซ่อนแววตาหม่นหมองของตัวเอง เขาไม่น่าแอบหวังเลยว่าพี่ปืนจะตอบว่า

ชอบพี่เอก  เป็นแฟนกับพี่เอกอะไรทำนองนั้น

เขาไม่ควรคิดเลยเถิดไปว่า ถ้าพี่ปืนรู้สึกชอบพี่เอกได้ พี่ปืนก็อาจจะเปลี่ยนใจมารักเขาได้เหมือนกัน

...เฮ้อ...หยุดคิด ๆ เขาต้องย้ำตัวเองว่าเราเป็นพี่น้องกันเท่านั้น...พี่น้อง ๆ ๆ ๆ

      “อ้าว! แล้วไหนว่าจะถาม ไม่อยากถามแล้วรึไง”

      “แล้วพี่เอกเค้ามาทำไมล่ะครับพี่ปืน ผมไม่เคยเห็นเค้ามามืด ๆ ค่ำ ๆ อย่างนี้เลย”

      “เค้ามาขอเป็นแฟน แต่พี่ไม่ตกลงด้วยหรอกนะ ก็บอกแล้วว่าพี่ชอบผู้หญิง”

      “ครับ”

      “มีอะไรจะถามอีกรึป่าว”

      ปอส่ายหน้า

      “ไม่มีก็ไปนอนได้แล้ว”

      ปอลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง กลับห้องไปก็ไม่รู้จะนอนหลับตาลงรึเปล่า เขายังรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ อยู่เลย

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกังวลใจทำไมนักหนา รู้มาตั้งแต่ต้นแล้วด้วยซ้ำว่าพี่ปืนเห็นเขาเป็นแค่น้อง

ยังจะเหลือความหวังอะไรอีก อุตส่าห์ลงไปนั่งที่ล็อบบี้ข้างล่าง คอยดูว่าถ้าพี่เอกกลับไปแล้ว

เขาจะได้ขึ้นมาถามเรื่องราวกับพี่ปืน ถ้าจะรอถามพรุ่งนี้เช้าน่ะเหรอ เขาคงจะคลั่งตายด้วยความอยากรู้ไปซะก่อน

แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นกลับทำให้รู้สึกแย่กว่าเก่าด้วยซ้ำ

        พี่ปืนก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ตอบคำถามจบแล้วก็ไล่ให้เขาไปนอนซะงั้น แล้วยังนั่งซะห่าง หน้าก็ยังไม่มอง

    รายการโทรทัศน์มันน่าสนใจนักรึไง ละครน้ำเน่าแม่งดูอยู่ได้ ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากแย่งผู้ชาย

มันมีอะไรดีนักนะผู้หญิงถึงได้ตบตีแย่งชิงกันนัก มันไม่รักก็ไม่ต้องไปเอามันดิ อยู่คนเดียวก็ได้วะ

ไม่มีใครรักก็ไม่เห็นจะต้องง้อ

      ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยังไม่ทันจะเดินให้ถึงประตู ปอก็หันหลังขวับ เดินมาแย่งรีโมทในมือพี่ปืนกดปิดโทรทัศน์ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพาล แต่เห็นท่าทางพี่ปืนที่สนใจโทรทัศน์มากกว่าเขาแล้วปอทั้งน้อยใจ ทั้งโมโห....งี้ก็อย่าดูมันเลย

      “อะไรเนี่ยปอ”

      ปืนเงยหน้าขึ้นมองคนหน้างอง้ำ ที่ยืนค้ำหัว ในมือยังกำรีโมท หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงลมหายใจ

....ดูมันทำยังวัวกะทิงก่อนจะขวิดมาธาดอร์เลย นึกได้อย่างนี้ปืนก็อมยิ้มเห็นเป็นเรื่องขำ

ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกขัดเวลาของความบันเทิง แต่ไม่เข้าใจมากกว่าว่าปอเป็นอะไร

เห็นเดินออกไปดี ๆ ยังไงถึงเป็นอย่างงี้ไปได้

      “เป็นอะไรอยู่ ๆ มาปิดโทรทัศน์พี่เนี่ย”

      ไม่มีคำตอบ นอกจากลมผ่านจมูกที่ยังดังฟึดฟัด

      “พี่ปืนไม่สนใจผมเลย”

      “อ้าว!”

      “ผมอุตส่าห์เปิดโอกาสให้พี่สองคนคุยกัน ยอมลงไปนั่งให้ยุงกัดอยู่ที่ล็อบบี้นู่น”

   อ้าว....พี่ปืนก็นึกว่าปอกลับไปรอที่ห้อง

   “กลับขึ้นมาแทนที่พี่ปืนจะสนใจผมมั่ง ก็เอาแต่ดูโทรทัศน์ ทำไมอ่ะ มีอะไรน่าดูนักเหรอ ไอ้ละครแย่งผู้ชายเนี่ย

รู้งี้ผมไปหลับไปนอนซะนานแล้ว ไม่มานั่งถ่างตาเป็นห่วงอยู่อย่างงี้หรอก”

      “ใจเย็น ๆ สิปอ เป็นอะไรอ่ะ เมื่อกี้ปอถามมาพี่ก็ตอบดี ๆ แล้วพี่ก็เห็นว่ามันดึกแล้วเลยให้ไปนอน

ไม่ได้ไล่ซะหน่อย มีอะไรก็ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา”

      ปืนค่อย ๆปลอบอย่างใจเย็น เพราะปอดูจะฉุนเฉียวอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป เขาก็ว่าได้ตอบคำถามไปทุกคำถามแล้ว

จะว่าไปก็ใช่ว่าจะมีสาระอะราสักเท่าไรนัก ส่วนละครที่ว่าน่ะ ปืนก็แทบจะไม่ได้ดูหรอก

ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีดาราคนไหนเล่นมั่ง ในหัวเขามีแต่แผนการณ์ที่จะเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกของปอ

ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเลย แต่ตอนนี้คงต้องปลอบให้ปอหายโมโหซะก่อน....มั้ง

      “แล้วจะให้พี่ทำยังไง ไหนลองบอกมาซิ จะได้ทำให้ถูกใจ”

  ปอยังนิ่งเฉยแต่ตาแดง ๆ แล้วน้ำที่คลอ ๆอยู่ก็หยดแหมะ

   “อ้าว…อะไรอีกล่ะเนี่ย”

    ปืนดึงปอให้นั่งลงข้าง ๆ เอื้อมแขนอ้อมไหล่ปอโอบเข้ามาอิงอกตัวเอง

   “เป็นอะไรครับ พักนี้บ่อน้ำตาตื้นจริง พี่ทำอะไรไม่ถูกใจปอเหรอ”

    แทนที่ปอจะหยุดร้องไห้ กลับยิ่งไปกันใหญ่ ถึงกับสะอื้นจนไหล่ไหวสะเทือน

ปืนได้แต่ลูบเส้นผมยาวเรียบลื่นที่ถูกรวบไว้ด้วยยางเส้น....(ไม่โรแมนติกเอาซะเลย ทำไมไม่ปล่อยผมว้าปอ)

      “พี่ปืนรำคาญผมเหรอครับ”

      “ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก พี่แค่ไม่อยากเห็นปอร้องไห้”

  ....เห็นแล้วพี่ยิ่งทุกข์ใจต่างหาก

      “บอกพี่ได้รึยังว่าร้องไห้ทำไม”

       ปอส่ายหน้า แล้วก็ยังก้มงุด ๆ อยู่กับอกปืนไม่ยอมพูดจา

    ปืนได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่รอให้ปอหยุดร้องไห้

    กว่าจะปลอบเสร็จก็ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว ไป ๆมา ๆ ปอก็ไม่ยอมกลับห้องของตัวเอง

เดือดร้อนปืนต้องนอนตัวเกร็งตลอดคืนอีกแล้ว...เฮ้อ...ทำไมมันทรมานนักว้า

        พระเจ้าคงลงโทษเขาเข้าแล้ว แต่ก่อนนี้ ปืนไม่สนหรอกว่า ผู้หญิงรึว่าผู้ชาย

สบตากันแล้วปิ๊งปั๊งก็เอาแล้ว เลี้ยวรถเข้าโรงแรมได้เลย เรียกว่าไม่เคยอดอยาก

      แต่ดูเขาตอนนี้สิ คนที่รักมานอนซุกอยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ แต่ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้

นึกจะจูบจะกอดก็ต้องหาเหตุผลมาระงับใจตัวเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ปอ

ไหนจะต้องระวังอาการไม่ให้ปอรู้ความในใจอีก เวรกรรมอะไรอย่างนี้หนอ



      ปอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารง่าย ๆ ใส่เป้ให้พร้อมออกเดินทางก่อนหกโมงเช้า

ใคร ๆ อาจจะชอบไปทะเลกันตอนสาย ๆ กะไปกินเที่ยงริมทะเล ไม่ก็ไปบ่าย ๆ นั่งเล่นจนถึงเย็นย่ำค่ำมืดถึงค่อยกลับบ้าน

แต่ปอนึกมานานแล้วว่าถ้าไปทะเล เขาอยากไปตอนเช้ามืด รอแสงแรกของวัน

เพราะที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นจากทะเล เวลาที่แสงตะวันสาดจับระลอกคลื่นคงจะระยิบระยับน่าดู

แต่ไม่มีรถส่วนตัวก็คงทำฝันให้เป็นจริงยากหน่อย เพราะกว่าจะออกจากบ้าน ไหนจะเรียกรถ

ถึงจะมีคิวรถโดยสารที่ออกเวลาเช้ามืด พี่ปืนก็ไม่ไปอยู่ดี ห่วงอยู่นั่นแหละ

ไอ้ความปลอดภัยน่ะ หน้าตามันเป็นยังไงก็ไม่รู้

         แต่ปอก็เชื่อพี่ปืน ไม่ว่าอะไรที่พี่ปืนบอก เขาไม่เคยขัดมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าจะมีใครที่เขาเชื่อมากกว่าก็คงเป็นป๊ากับแม่ละมั้ง

         วันนี้อาจจะยังไม่ได้นั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า แต่ก็เคยคิดว่าคงมีสักวันที่เขาจะได้นั่งรอพร้อม ๆ ใครคนหนึ่งที่เขารัก

เวลานั้นคงเป็นช่วงเวลาของความสุขที่คงไม่มีวันลืมได้เลย แต่ใครล่ะที่จะมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน

ในใจน่ะมีคำตอบอยู่แล้วชัดเจน  แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ คน ๆ นั้นไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา

ดังนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ฝันไว้คงไม่มีวันเป็นจริง


      ทะเลเรียบ ๆ ตอนเช้าก็น่าดูไปอีกแบบ คลื่นลมสงบ อารมณ์ก็พลอยสงบตามไปด้วย

สองสามวันมานี้ ปอรู้สึกตัวเองเลยว่า หงุดหงิดง่าย แต่พยายามไม่แสดงออก อย่างน้อยพี่ปืนต้องไม่รู้ว่าเขาหงุดหงิด

ไม่งั้นก็คงเดาได้ว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องอะไร เพราะช่วงนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน หรือติดต่อใคร

คอร์สติวก็หยุดหมดแล้ว ที่เขาบอกพี่ปืนไปว่าเขาจะพยายามตัดใจให้ได้ก็จะไม่น่าเชื่อถือ

ถ้าเขาเผลอแสดงอะไรออกไปให้จับได้ พี่ปืนอาจจะทำตัวห่างเหินเขาไปอีกก็เป็นได้

เขายอมรับได้ถ้าพี่ปืนจะไปรักใครก็ตาม แต่คงทำใจไม่ได้เลย

ถ้าพี่ปืนจะถอยห่างจากชีวิตเขาออกไปทุกที

จนสุดท้ายไม่เหลือความสัมพันธ์ใด ๆ


       ทรายเปียกอัดตัวกันแน่น แต่ก็ยังนุ่ม ไอเย็นจากเนื้อทรายแทรกซึมผ่านฝ่าเท้าขึ้นมาสู่ร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นอย่าง

ประหลาด คลื่นลูกเล็ก ๆ พลิ้วกระทบหาด ซึมลงผืนทรายแล้วม้วนลอดใต้คลื่นลูกใหม่ลงทะเล

เป็นอย่างนี้ระลอกแล้ว ระลอกเล่า ปอนั่งมองลีลาของมันอย่างไม่รู้เบื่อ ทั้งที่แดดเริ่มจะแรงขึ้นทุกทีจนรู้สึกแสบผิวนิด ๆ

       พี่ปืนยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นสนห่างออกไป แต่ปอว่านั่งตรงนั้นคงจะได้ยินเสียงคลื่นไม่ชัดเท่าไร

ก็เลยจัดของกินให้พี่ปืนไว้ตรงนั้นให้เสร็จก่อน ส่วนตัวเองก็ถือนมกล่องเดียว เดินมานั่งบนทรายชื้น ๆ

ที่ผิวด้านบนโดนแดดจนแห้งเป็นผงละเอียดหมดแล้ว

        ที่บ้านปอเป็นถิ่นภูเขา ระหว่างทางก็ผ่านเทือกเขาแทบจะตลอดทาง ในเมืองก็ยังเป็นพื้นที่สูงแบบภูเขา

เป็นจังหวัดเดียวของภาคที่ไม่มีพื้นที่ส่วนไหนติดทะเลเลย เขาก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับทะเล

เพียงแต่ในยามที่จิตใจว้าวุ่น แม้จะเฝ้ามองภูเขาแล้วก็ยังไม่สงบลงได้ ธรรมชาติที่สงบสงัด

น่าจะบรรเทาอาการที่เขากำลังเป็นอยู่ได้ ดีกว่าจะนั่งหมกตัวอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปอเลือกที่จะมาทะเลในยามที่ร้างผู้คน


      ปอเหลียวหลังไปมองอีกที ก็พบว่าปืนไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวซะแล้ว

ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้กำลังพูดคุยด้วยท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม หน้าตายิ้มยั่วซะจนน่าหมั่นไส้

อารมณ์ที่เพิ่งจะสงบ เริ่มจะพลิ้วเป็นระลอกคลื่นทีละน้อย

อุตส่าห์เตรียมตัวมาสงบจิตสงบใจถึงที่นี่ ยังมีมารมาผจญจนได้สิน่า







ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #98 เมื่อ20-05-2012 19:29:39 »




      ทรายสีตุ่น ๆไม่เนียนละเอียด แถมยังคลุกเคล้าไปด้วยเปลือกหอยแหลก ๆเต็มไปหมด

      ทะเลวันนี้ก็สีขุ่น...อ้อ....คงเพราะฟ้าไม่ใส มีแต่เมฆแผ่นขาวทึบแผ่สยายซะเต็มท้องฟ้า

แดดก็เริ่มแรงซะจนสะท้อนน้ำเป็นเกล็ดระยิบระยับแยงตาจนพร่าไปหมดแล้ว

      ปูลมตัวเล็ก ๆ วิ่งกันให้พล่าน อย่างไม่รู้ทิศทาง ดูแล้วกึ่งรำคาญกึ่งลุ้นว่ามันจะหารูของมันเจอมั้ย

พอคลื่นซัดฝั่งทีนึง เจ้าปูพวกนั้นมุดหายลงไปในทรายเปียกฉ่ำน้ำอย่างว่องไว

      จบลงไปอีกฉาก

      ปอเหลียวซ้ายแลขวาหาที่พักสายตา ก็เห็นมีแต่เกาะเล็กเกาะน้อยกลางทะเลที่ไร้ชีวิตชีวา ชวนให้เบื่อหน่าย

      เขาหยิบเศษไม้ที่ถูกคลื่นซัดมาทิ้งเกลื่อนหาด จรดปลายด้านเรียวลากไปบนเนื้อทรายเปียกที่เบียดตัวกันแน่น

รอยทรายแยกเป็นทางไปตามแนวที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นรูปเป็นร่าง แต่พอหยุดสายตามองถึงได้รู้ว่า

มันเป็นลายเส้นที่ต่อกันเป็นรูปปืนอย่างง่าย ๆ ราวกับภาพวาดของเด็กชวนให้แปลกใจว่า

ในหัวของเขาคิดถึงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวจริง ๆเหรอเนี่ย

      ปออกแรงเหวี่ยงเศษไม้ออกไปในทะเล เหมือนจะให้สิ่งที่ออกมาจากความคิดโดยไม่รู้ตัว

กระเด็นหวือตามไม้นั้นไปด้วย

      “ปอ กลับเถอะ แดดชักจะแรงแล้ว”

      เสียงคนที่ชื่อเดียวกับรูปที่เพิ่งวาดลงบนทราย ตะโกนมาจากด้านหลัง

แต่ประโยคถัดมานี่สิที่ปอไม่นึกอยากจะเดินกลับไปหาเลยให้ตาย

      “มารู้จักพี่นิดหน่อยนี่มา เดี๋ยวพี่เค้าจะพาเราไปกินแต่เตี้ยมเจ้าอร่อยกัน”

      บอกตัวเองว่าต่อให้เลิศรสขนาดไหน อารมณ์นี้ปอไม่นึกอยากชิมเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้ารู้ว่ามาพักสมองเช้านี้จะเจอมลพิษชนิดไหน ปอขอนอนซุกผ้าห่มอยู่กับห้องดีกว่า



     หลังจากครั้งแรกที่ปอเห็นพี่ปืนกับผู้หญิงคนนั้นที่ริมทะเล เขาก็ยังได้เจออีกบ้าง 2-3 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึงเดือน

ไปกินข้าวด้วยกันสองหน กับที่เจอกันโดยบังเอิญที่ไหนสักแห่ง แต่ระหว่างสองคนนั้น

ปอไม่รู้ว่าเคยนัดเจอกันตามลำพังบ้างรึเปล่า การพบปะกันที่จัดว่าถี่พอสมควร ยังไม่ได้ทำให้ปอปักใจว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน

ถึงกระนั้นมันก็รบกวนจิตใจเขาไม่น้อย  ปัดยังไงก็ไม่พ้นไปจากห้วงความคิดซะที

เคยคิดที่จะหลบลี้หนีหน้า เผื่อว่าการที่ไม่เห็นกันคงจะทำให้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วปอก็แพ้ใจตัวเอง เพราะเขาเคยลองมาแล้วครั้งหนึ่งว่า

ยิ่งเขาพาตัวเองห่างออกมาเท่าไร   เขากลับยิ่งทุรนทุรายอยากจะเจอ

แล้วถ้ายังไม่ได้เจอ...โลกทั้งใบก็แทบจะกลายเป็นนรกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

      เขาจะต้องพบเจอกับความรู้สึกทรมานแบบนี้ไปถึงเมื่อไร ตัดใจรึก็แสนจะยากเย็น

      จะมีใครบ้างมั้ยที่จะช่วยให้เขาพ้นไปจากแรงกดดันอันมหาศาลระหว่างความรู้สึกอยากรัก และอยากเลิกรักนี้ซะที

      ปอทนเห็นพี่ปืนเปลี่ยนผู้หญิงคนแล้วคนเล่าในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ตั้งแต่เขาเพิ่งจะเตรียมตัวเอ็นทรานซ์

จนตอนนี้ก็เปิดเทอมแล้ว ได้แต่หวังว่า เพื่อนใหม่และสังคมใหม่ในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้เขามีกิจกรรม

ที่ทำให้หายฟุ้งซ่านไปได้บ้าง

         นึกดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาผ่านช่วงเวลาของการสอบแข่งขันมาได้ยังไง ทั้งที่น่าจะเป็นช่วงที่ทารุณที่สุดด้วยซ้ำ

ด้วยความเป็นห่วงของพี่ปืนที่มีต่อปอ ทำให้ต้องแวะมาหาที่ห้องนี้บ่อย ๆ มาทีไรก็จะมีของกินของใช้ติดมือมาฝาก

และที่ขาดไม่ได้ก็ผู้หญิงนี่แหละ ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่ปืนแวะมาโดยไม่หนีบผู้หญิงมาด้วย

แม้กระทั่งเวลาเช้าสุด ๆที่ใคร ๆ เพิ่งจะตื่นนอน พี่ปืนก็ยังแวะเอาอาหารเช้ามาฝาก

เขาไม่อยากจะรับรู้แล้วว่า ทั้งคู่เพิ่งจะกลับเข้ามา เพื่อที่จะทำอะไร ๆกันตลอดเช้า

หรือว่ากำลังจะออกไปหลังจากมีอะไร ๆ กันมาทั้งคืน

ที่ไม่อยากคิดเพราะพอเริ่มคิด ภาพในหัวมันก็เริ่มฉายออกมาโดยอัตโนมัติ

ช่องว่างในอกมันก็เริ่มบีบรัดหัวใจจนเจ็บขึ้นทุกที ๆ เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกเจ็บแบบนั้นมันช่างทรมานเสียจนต้องปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมาอย่างหมดอาย

จนสุดท้ายปอก็เรียนรู้ที่จะหยุดภาพความคิดอันร้ายกาจนั้นด้วยการหันมาทุ่มเทเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบให้เต็มที่

ผลของความพยายามทำให้เขาสอบได้คณะที่ตั้งใจเลือกเพียงคณะเดียวที่เป็นการกระทำเพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ตัวเองว่า

เขาจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาดก็จะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านซึ่งก็แน่ล่ะ ที่เขาคงจะหมดโอกาสได้อยู่ใกล้พี่ปืนอีก

      ทั้งที่ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเจ็บ แต่ปอก็บอกให้ตัวเองเลิกรักพี่ปืนไม่ได้ รักแล้วก็ต้องรักอยู่อย่างนั้นไม่ว่าพี่ปืนจะเป็นยังไง

ปอก็ยังคงรักอย่างไม่มีเงื่อนไข หัวใจของเขาพร้อมจะแหลกไปกับการกระทำของพี่ปืน

ขอให้ได้รัก ได้อยู่ใกล้ ๆ ดีกว่าที่จะไม่ได้เห็นกันอีกเลย



      ปอเป็นเด็กปีหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ คนที่ไม่พักในหอของมหาวิทยาลัย

เนื่องจากจำนวนห้องพักที่จำกัด ซึ่งโดยสิทธิ์ของเด็กต่างจังหวัดเขาสามารถทำเรื่องขอหอพักได้ตั้งแต่วันรายงานตัวแล้ว

แต่ปอก็ไม่ได้ทำเพราะเขาเบื่อกฎเกณฑ์ของหอพักก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ถ้าอยู่หอใน

เขาคงจะไม่ค่อยได้พบพี่ปืนบ่อยนัก อย่างดีก็คงได้เจอแค่เสาร์อาทิตย์ ซึ่งพี่ปืนคงไม่ได้อยู่คนเดียวแน่

แล้วเขาจะแทรกตัวเข้าไปตอนไหนได้ล่ะ

        ถึงปอจะค่อย ๆ ถอยห่างจากพี่ปืนตั้งแต่ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาเป็นแขกประจำห้อง

แต่ที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอก็คือเรื่องดูแลเสื้อผ้าทั้งของเขาและของเจ้าของห้อง

เพราะยังไง ๆ ปอก็อยากเป็นคนดูแลมันด้วยตัวเองอยู่

    ทีแรกเขาบอกว่าขอเอาเครื่องซักผ้าไปไว้ที่ห้องของตัวเอง จะได้ไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของพี่ปืน

    (ที่อาจจะมีใครอยู่เป็นเพื่อนแล้ว)

     แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ เพราะกลัวว่าปอจะต้องรับภาระเรื่องค่าน้ำค่าไฟ ทั้งที่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรกะอีค่าไฟ

ที่มันจะเพิ่มอีกไม่กี่ร้อยบาท แต่ปอก็ตามใจพี่ปืนเพราะส่วนลึกในใจแล้ว เขาหวังเพียงแค่ให้ได้วนเวียนอยู่ใกล้พี่ปืนเท่านั้นเอง

ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า ยิ่งใกล้ก็คงยิ่งเจ็บ

   ...เจ็บลึก เจ็บนาน เจ็บจนเกินเจ็บ และไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะหลุดพ้นจากความเจ็บนี้ได้ซะที

    แต่ไม่แน่นะ...สักวันปอคงเจ็บจนชินชา จนไม่รู้จักอีกแล้วว่าความเจ็บมันเป็นเช่นไร



      เขามาแต่เช้าเหมือนทุกครั้ง ซักผ้าเสร็จเร็วเท่าไร เสื้อผ้าก็ได้รับแดดเร็วขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ปอไม่เคยบอกพี่ปืนเวลาที่ถูกชมว่า ผ้าที่เขาซักให้จะหอมกรุ่นกว่าผ้าที่จ้างซักตามร้าน

ปอได้แต่ยิ้มพยักหน้ารับคำ พี่ปืนก็มักจะเออออเอาเองว่า เพราะเราใช้น้ำยาที่มีคุณภาพดี เลือกกลิ่นที่เราชอบ

ปอก็ไม่เคยเฉลยว่า ผ้าที่ตากแดดจนแห้งสนิทต่างหาก ที่ทำให้ผ้าหอมไม่มีกลิ่นเหม็นอับ

แต่ยกความดีให้น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่มไปเถอะ ยังไงก็ได้  ขอให้พี่ปืนพอใจ

และปอก็ยังได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข แค่นี่ก็จบ


      พี่ปืนออกไปทำงานตามเวลาเป๊ะ และปอก็จงใจที่จะมาในเวลาที่เจ้าของห้องออกไปแล้ว

มาถึงเขาก็ลงมือทำงานไปเรื่อย ๆ เปิดเพลงฟังเบา ๆ ระหว่างที่เครื่องกำลังปั่นผ้าไป ปอก็เข้าครัวเตรียมอาหารอย่างเคย

แต่คงเตรียมไว้สำหรับมื้อเย็นเท่านั้น เพราะกลางวันพี่ปืนไม่เคยกลับมากินข้าวที่ห้อง

การเดินทางที่ไม่มีรถส่วนตัวเป็นพาหนะค่อนข้างลำบากในการทำเวลา โดยเฉพาะเวลาพักเที่ยงแค่หนึ่งชั่วโมงมันก็น้อยไป


      ทำงานเพลินจนลืมเวลาหันไปมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะเที่ยง คงเป็นเพราะแดดที่แผดเปรี้ยงอยู่นอกหน้าต่าง

ทำให้รู้สึกตัวว่าวันนี้อากาศออกจะร้อนกว่าธรรมดา แดดแรงแบบนี้ เสื้อผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่ตอนสายป่านนี้คงจะแห้งหมดแล้ว

      ปอกำลังจะเดินไปเปิดประตูเพื่อจะขึ้นไปเก็บผ้าที่ตากไว้บนดาดฟ้า ประตูก็เปิดผลัวะ เข้ามาก่อน

      “อ้าว! พี่ปืน ทำไมมาป่านนี้อ่ะ มีอะไรรึป่าวครับ แล้วนี่พี่ปืนกินข้าวรึยัง”

      “นึกอยู่เหมือนกันว่าปอน่าจะอยู่ห้องพี่”

      พี่ปืนยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้ายิ้มกริ่ม ดวงตาสดใส เห็นแล้วอยากจะกระโดดกอดซะให้หนำใจ

      “มีอะไรกะผมเหรอ”

      “ไปกินข้าวกันป่ะ”

      ปืนจ้องหน้าเจ้าคนร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

      “ทำไม ยืนงงอยู่ได้ ไปกินข้าวกัน”

      “ไม่ทำงานเหรอครับ”

      “กินเสร็จก็กลับไปทำ”

      ปอเหลือบดูนาฬิกาที่ผนัง แล้วบ่นอุบ แต่ฟังก็รู้ว่าแฝงความห่วงใย

      “เดี๋ยวพี่ปืนเข้างานสาย”

      “ก็ถ้ามัวแต่โอ้เอ้ ก็ได้สายจริง ๆ ล่ะทีนี้”

      “ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย”

      ปอก้มมองสารรูปตัวเองที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีอ่อนกับกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายเสมอเข่าสีตุ่น ๆ

ปืนมองตามไปก็รู้หรอกว่า ปอคงไม่อยากเดินเคียงกับเขา ที่สวมชุดทำงานเรียบร้อย

ถึงจะไม่ได้ผูกเนคไท เพราะออกมาข้างนอกอย่างนี้ทั้งร้อนทั้งอึดอัด แต่ก็ดูมีมาด และเท่สะดุดตาไม่ใช่น้อย (คิดเอาเอง)

      “ไปเหอะน่า แค่ไปกินข้าวแถว ๆ นี้เดี๋ยวเดียวไม่เสียเวลาหรอก เสร็จแล้วพี่มาส่ง แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”

      “ผมกำลังจะไปเก็บผ้าบนดาดฟ้า เสร็จแล้วก็มากินข้าว”

      “แล้วทำอะไรกินน่ะ”

      “ยังเลยครับ ผมเตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว มีหมูหมักกระเทียมพริกไทยอยู่หน่อยนึงก็ว่าจะทอดกินกับข้าว”

      “งั้นก็ไปกัน มื้อนี้ไม่ต้องทำ”

      ปืนดึงมือปอลากออกจากห้อง ก่อนจะปิดประตูตามหลังให้เรียบร้อย

      “เดี๋ยวซี่ ผมยังไม่ใส่รองเท้าเลย”

      ปืนใจร้อนเกินไปหน่อย เจ้าปอก็แทบคว่ำคะมำลงไปเพราะมัวแต่คีบอีแตะ

ในขณะที่ปืนก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาออกเดินโดยไม่เหลียวดูข้างหลัง

      “แวะเปลี่ยนรองเท้าก่อนนะครับ”

      “ไม่ต้อง ไปกินข้าวที่ร้านใกล้ ๆ นี่เอง ไม่ได้พาไปช็อปปิ้งในห้าง”

      “แล้วจะรีบไปไหนนักหนาเนี่ย ดูสภาพผมสิพี่ปืนก็”

      “เดี๋ยวพี่เข้างานบ่ายไม่ทันไง”

      ไอ้ที่จะเดินลงมาดี ๆ ก็กลายเป็นทั้งลากทั้งจูง สภาพที่คนเห็นก็ยังกะคุณผู้ชายกับเด็กรับใช้ก็ไม่ปาน

      “ขึ้นรถ”

      คำสั่งของพี่ปืนไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะคนถูกออกคำสั่งกำลังยืนงง

มองตรงไปก็เห็นรถโฟร์วีลสีทรายจอดนิ่งสนิท นอกจากนี้ก็มีรถเข็นขายผลไม้อีกคัน ซึ่งไม่น่าจะขึ้นได้

      พี่ปืนเปิดประตูด้านผู้โดยสารรอให้ ‘เจ้าชายปอ’ เสด็จขึ้นรถทรงด้วยอาการงง ๆ

ใบหน้าที่ยิ้มก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าปอมองไปทั่วรถ เหลียวหน้า เหลียวหลัง

      “รถใครครับ”

      “ของพี่”

      “อย่ามาอำ พี่ปืนเอารถใครมา....ผมว่า...มันดูคุ้น ๆ”

      “เจ้าของเค้าไม่ใช้แล้ว เค้ายกให้”

      “หือ”

      ปืนเคลื่อนรถออกอย่างนิ่มนวล เลี้ยวขึ้นถนนใหญ่ทิศทางที่ออกไปนอกเมือง

      “ไปกินที่แหลมดีกว่า”

      คนนั่งหลังพวงมาลัย รำพึงเบา ๆ

      “อะไรน้า....จะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็กลับมาทำงานไม่ทันหรอก”

      ปอโวยวายเสียงดัง ก็ริมทะเลน่ะ มันไม่ไกลก็จริง แต่แค่ชั่วโมงเดียว ไปกลับก็คงไม่มีทางทันหรอก ไหนจะกินข้าวกินปลาอีกล่ะ

      “ไม่ทันก็ไม่ทำไง กินก่อน พี่หิวจะตายชัก ปออ่ะ ไม่หิวรึไง แล้วนี่เมื่อเช้ามัวแต่ทำงานไม่ได้กินอะไรอีกเลยใช่มั้ย”

      “ผมกินนมไปกล่องนึง”

      “ให้มันได้ยังงี้สิ ทีกับพี่นะ บังคับให้กินสารพัด แต่ตัวเองผอมจนหนังจะติดกระดูกอยู่แล้วเห็นป่าว

กลับบ้านเมื่อไหร่แม่คงดุพี่ว่าไม่ดูแลปอ”

      “แม่เคยดุรึไง”

      ปอค้อนควับ ปืนอดจะเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้

     จริงของปอ แม่ของปอไม่เคยดุหรอก ออกจะเกรงใจเสียด้วยซ้ำ นี่ถ้าแม่รู้ว่าเขาต่างหากที่มีปอคอยดูแล

แม่จะว่ายังไง ทั้งเสื้อผ้า ความเป็นอยู่ ห้องพักเรียบร้อยน่าอยู่ก็เพราะปอคอยจัดให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ

ทั้งที่ไปเรียนแทบทุกวัน แต่ช่วงไหนที่ไม่มีชั่วโมงเรียน ปอก็จะกลับมาทำงานบ้าน ทั้งห้องตัวเอง และห้องของปืน

ห้องปอไม่เคยรกเพราะเจ้าของห้องอยู่อย่างมีระเบียบ ข้าวของเก็บจัดให้เป็นที่เป็นทางไม่เคยจะรกตา

มาเหนื่อยเอากับห้องของปืนที่ร้อยวันพันปีถึงจะได้จัดอะไรต่ออะไรให้เข้าที่เข้าทาง

แต่ก่อนนี้ก็จ้างแม่บ้านประจำอพาร์ทเม้นท์ทำความสะอาดเสียอาทิตย์ละครั้ง

แต่เมื่อมีปอมาดูแลให้ แม่บ้านก็ไม่เคยได้รับค่าจ้างจากปืนอีกเลย จนเดี๋ยวนี้ปืนแทบจะลืมชื่อแกไปแล้ว

      ทะเล...ทะเล...ทะเล

      เที่ยง ๆ แดดจ้า ฟ้าใส ทะเลก็เป็นสีครามจริง ๆ แต่มองฝ่าแดดออกไปแล้วแสบตาน่าดู

แว่นกันแดดเลนส์สีชมพูอมม่วงถูกยื่นส่งมาให้ทันที ปอรับมาสวมโดยไม่คัดค้านซักคำ

แล้วก็ต้องแปลกใจว่า ฟ้าที่เห็นเป็นสีครามเมื่อกี้ ดูสดตาขึ้นกว่าเดิมมากมาย

      “ทะเลสีสวยใช่มั้ย”

      “ครับแปลกจัง”

      “พี่ก็ว่าแปลกดี ทีแรกพี่ลองใส่ของเพื่อนเห็นว่าสีสวยดี สีนี้ยังไม่เห็นวางขายนะต้องสั่ง”

      “แพงมั้ยครับ”

      ปอถอดออกมาพลิกดูยี่ห้อ R…

      “เกือบหมื่น”

      “โห แพงอ่ะพี่ปืน ซื้อมาได้ไงอ่ะอีแค่แว่นกันแดด”

      ปอทำหน้าทำตางกจนดูตลกทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตัวเองก็ใช้นาฬิกาเรือนละ"สามหมื่น”

      “ก็คงแบบเดียวกับนาฬิกาเรือนละสามหมื่นของปอละมั้ง”

      ปอหัวเราะก๊ากขำมุกของพี่ปืน เพราะนึกถึงวันที่เขาให้นาฬิกาเป็นที่ระลึกแล้วพี่ปืนไม่กล้ารับ หาว่าแพงเกินไป

      “แล้วพี่ปืนได้มาราคาเท่าไหร่ล่ะครับ”

      “สองพันห้า”

      “ก็ยังแพงอยู่ดี”

      “ไม่หรอก ถ้าเทียบกับดวงตาที่ทั้งชีวิตคนเรามีได้แค่คู่เดียว หมดแล้วหมดเลย ไม่มีสแปร์

ถ้าจ่ายตังค์แค่ ร้อยเก้าเก้า แล้วได้แว่นมาทำร้ายดวงตา พี่ว่าปล่อยให้มันบอดเพราะดูแสงอาทิตย์ไปเถอะ

อย่างน้อยจะได้บอกตัวเองว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้เห็นดวงอาทิตย์ด้วยตาตัวเองแล้ว”

      “พูดอะไรดี ๆ กับเค้าก็เป็นเหมือนกันนะเนี่ย”

      “เดี๋ยวเถอะเจ้านี่ เก่งใหญ่แล้วนะพักนี้ กล้าว่าพี่เหรอ”

      “โอ๊ย! เจ็บนะ พี่ปืนนี่ โขกลงมาได้ หัวคนนะ”

      “ก็เออสิ ถ้ายังกล้าว่าพี่อีก จะโขกอีก เอาให้เจ็บกว่านี้อีก”

      ปืนขู่พร้อมเสียงหัวเราะ บรรยากาศวันนี้ช่างต่างกับวันก่อนโน้นที่ปอมานั่งเล่นริมหาดยามเช้า

วันที่ใครก็ไม่รู้มานั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพี่ปืน และนับจากวันนั้น พี่ปืนก็มีแต่ผู้หญิงเข้ามาวนเวียนในชีวิตมิได้ขาด

แต่วันนี้มีแค่เขากับพี่ปืนสองคนเท่านั้น จะเก็บเกี่ยวความสุขนับจากวินาทีเป็นต้นไป

เผื่อว่าเมื่อกลับไปถึงห้อง จะได้มีเรื่องราวให้นึกถึงด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขบ้าง





ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #99 เมื่อ20-05-2012 19:35:14 »





       พี่ปืนขยันสร้างความประหลาดใจให้ปออยู่เรื่อย

       เมื่อเดือนที่แล้วก็ซื้อรถ ถึงจะเป็นรถมือสอง แต่สภาพรถดีมาก เพราะเจ้าของไม่ค่อยได้ใช้งาน

ขับไปทำงานจอดทิ้งไว้ทั้งวันแล้วก็ขับกลับบ้าน วันหยุดถ้าไม่ได้ออกไปไหนไกล ๆ ก็ใช้รถแฟน

       ก็รถพี่เอกนั่นแหละ ตอนที่พี่เอกขอย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อดูแลคุณพ่อคุณแม่ รถคันนี้ก็เลยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

เพราะบ้านอยู่ติดกับที่ทำงานแบบประตูถัดไปเลยทีเดียว แถมที่บ้านก็ยังมีรถใช้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยให้ปืนในราคาถูกแสนถูก

      “พี่เอกบอกว่ายกให้ฟรีพี่ก็คงไม่รับ เลยจำใจขายให้ถูก ๆ”

       ก่อนจะซื้อพี่ปืนขับไปให้เพื่อนที่ขายรถมือสองตีราคาให้ พอรู้ว่าสภาพนี้ขายห้าหกแสนเต็นท์ไหน ๆ ก็รีบตะครุบ

พี่ปืนรีบทำเรื่องขอกู้สวัสดิการทันที แต่ไป ๆ มา ๆ พี่เอกกลับโอนเงินคืนเข้าบัญชีพี่ปืนทันทีครึ่งหนึ่ง

ตอนนี้ก็เลยมีเงินเหลือพอที่จะสร้างเรื่องประหลาดใจให้ปออีกเรื่อง


       ทาวน์เฮาส์สองชั้นบนเนื้อที่ 50 ตารางวา ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ก็พอมองเห็นว่าน่าอยู่

เพราะเพดานไม่เตี้ยเหมือนทาวน์เฮาส์ทั่วไป ตัวบ้านเป็นบ้านแฝด มีพื้นที่ว่างให้ทำอะไรได้อีกเยอะแยะ

ปอเล็งไว้แล้วว่าจะขุดสระปลูกบัว แต่พอพูดขึ้นมาก็มีคนขัดคอ

      “บ้านเราหันหน้าไปทางทิศใต้ บัวจะไม่ได้แดดแล้วเมื่อไหร่จะออกดอก”

      ปอเปลี่ยนใจเป็นปลูกหญ้าเขียว ๆ ให้พรืดไปเลย เอาไว้ปูเสื่อนั่งเล่น

      “พี่ว่าวางโต๊ะเก้าอี้ดีกว่า รับแขกก็ได้ ไม่ต้องนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”

      โอเค....ปอขอทำซุ้มปลูกไม้เลื้อยกันแดดแล้วกัน จะได้ดูร่มรื่น

      “ต้องคอยตัดแต่งดูแล ไม่งั้นก็จะรก ไม่สวย พี่ว่าทำเป็นศาลาเล็ก ๆ ดีกว่า”

      “ที่เท่าแมวดิ้นตายเนี่ยนะพี่ปืน ถ้าทำศาลาก็ต้องใช้เนื้อที่กว้างกว่านี้ ไม่งั้นหลังคาศาลาก็ชนกับกำแพงบ้านพอดี

เดินสองก้าวก็ถึงชายคาบ้านแล้วจะทำศาลาทำไมอีก นั่งใต้ชายคาไปเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ

แล้วนี่น่ะ  มันเรื่องอะไรพี่ปืนถึงได้คอยขัดคอผมทุกเรื่อง ไหนว่าชวนผมอยู่ด้วยอยากทำไรก็ได้ไง

แล้วพอผมออกความเห็น พี่ปืนก็ไม่ให้ทำ ไม่เอาแล้ว ผมกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์อย่างเดิมดีกว่า”

      นั่นเป็นการสนทนาเมื่อเช้า ที่ปอไปดูบ้านกับพี่ปืน

      โครงการบ้านของเจ้าของคนเดิม แต่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลตัวเมืองเท่าโครงการที่แล้วที่เคยไปดูกัน

แต่หลังนี้ไม่ใหญ่โตมากมายนัก เพราะสร้างบนที่ดินแปลงเล็กกว่า แต่ราคาที่ดินแพงกว่าโครงการที่แล้วเท่าตัว

เพราะเป็นตัวเมืองรอบนอก ถึงจะไม่ติดถนนใหญ่ แต่ก็อยู่ต้น ๆ ซอย ไปมาสะดวก ถนนก็กว้าง

ทั้งโครงการมีแค่ 10 หลัง ปืนจองเป็นรายแรกก็เลยได้บ้านหลังริม ซึ่งที่ดินที่ติดต่อกันยังไม่มีสิ่งปลูกสร้าง

แต่เจ้าของคงจะมาดูแลอยู่ เพราะล้อมรั้วแล้วปลูกไม้ผลร่มรื่น

ก็เพราะอย่างนี้แหละทำให้การขุดสระบัวข้างบ้านของปอต้องยกเลิก เพราะร่มไม้บังแดดหมด


      พี่ปืนแอบไปจองบ้านตั้งแต่เมื่อไรปอก็ไม่รู้ มารู้เอาตอนที่ขึ้นโครงหลังคาแล้ว พี่ปืนถามว่าปออยากได้บ้านสีอะไร

 เขาก็ตอบไปว่าสีขาวครีมดูโปร่งโล่งสะอาด เวลาจะผ่านไปกี่ปี สีขาวครีมก็ยังร่วมสมัย ไม่เชย

ว่าแล้วก็พากันไปดูการก่อสร้าง ระหว่างที่บ้านกำลังเป็นรูปเป็นร่าง ปอก็ไม่เคยออกความเห็นว่าตัวเองต้องการอะไร

นอกจากพี่ปืนจะมาถามเป็นเรื่อง ๆไป

     จนบ้านจวนจะเสร็จ ถึงได้มาคิดกันว่าบริเวณพื้นที่ว่างที่เหลือจะทำอะไรดี ปอรู้สึกสนุกกับการจินตนาการสวนสวยข้างบ้าน

ถึงกับไปเดินดูร้านต้นไม้ในเวลาว่าง เลือกไปเลือกมาก็มาลงตัวที่สระบัว ความฝันของปออยากมีสระบัวใหญ่

ที่ปลูกบัวหลวงก้านยาว ๆ กลีบบัวบาง ๆ โดนลมพัดพลิ้วไหวไปมา ต้องแดดยามเช้า

ปอเคยดูหนังที่คู่พระคู่นางพายเรือแหวกไปตามกอบัว  แล้วก็อยากจะมีโอกาสสักครั้ง

ที่จะได้พายเรือท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้น

      แต่ตอนนี้แม้แต่สระบัวเล็ก ๆยังฝันยากเย็น เพราะบ้านน้อยหลังนิดเดียว

คงไม่สามารถประดังประเดความฝันของปอลงไปได้ทั้งหมด แล้วไหนยังจะมีคนร่วมฝันที่ขยันขัดคออยู่ทั้งคน

...คิดแล้วก็เพลียใจซะจริง ๆ

      พี่ปืนบอกว่าตั้งใจจะซื้อบ้านก่อนจะซื้อรถตั้งแต่โครงการที่แล้ว แต่ที่พลาดไปก็ดีเหมือนกันเพราะถูกใจบ้านหลังนี้มากกว่า

ความจริงปอว่าน่าจะขอบคุณพี่เอกด้วยซ้ำ ถ้าพี่เอกไม่นึกอยากซื้อบ้านอยู่ใกล้ ๆพี่ปืน ป่านนี้เราก็คงอยู่ที่นั่น

ซึ่งไกลจากตัวเมืองมากกว่านี้ เดินทางก็ลำบากกว่านี้ ต่อให้มีรถก็เหอะ แถมพี่เอกยังขายรถให้ในราคาถูกยังกะให้เปล่า

พี่เอกคงรักพี่ปืนมาก ปออยากจะรู้จังว่าพี่เต้ยรู้เรื่องระหว่างพี่เอกกับพี่ปืนแค่ไหน

      น่าสงสารพี่เอกตรงที่ทำยังไงพี่ปืนก็คงรักพี่เอกไม่ได้ ปอเข้าใจเพราะหัวอกเดียวกันกับพี่เอก ที่รักผู้ชายด้วยกัน

แต่ผู้ชายคนที่เรารักกลับไม่ได้มีหัวใจสีเดียวกัน

      ส่วนพี่เต้ยก็น่าสงสารตรงที่ พี่เอกไม่ได้รัก ที่อยู่ด้วยกันได้ก็เพราะต่างก็เติมส่วนที่ขาดให้กันและกัน

      หันมามองตัวเอง ปอไม่นึกอยากสงสารตัวเอง เพราะเขาคงไม่ใช่คนแรกที่ผิดหวังจากความรัก

ยิ่งความรักที่ไม่ธรรมดาอย่างที่ใคร ๆ เค้ามีกัน ก็ยิ่งมีคนอกหักอย่างปอล้นโลก


      ปืนปิดประตูห้องเบา ๆ ยังกับว่าถ้าเผลอทำเสียงดังขึ้นมา ปอจะแตกดังโพละ เห็นนั่งหน้ามุ่ยมาตั้งแต่ในรถแล้ว

ปกติปอจะชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง เปิดเพลงจากเครื่องเล่นคลอไปด้วย ขาไปยังดี ๆ อยู่

แต่ขากลับนี่สิ นั่งกันมาเงียบ ๆไม่อึดอัดมั่งรึไง ส่วนเขาน่ะ อึดอัดแต่ไม่กล้าพูดอะไรสักแอะ

      เผลอขัดคอไปนิดเดียวจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่จะแกล้งนะ ก็เห็นอยู่ว่า ที่ว่างข้างบ้านด้านนั้นน่ะ มันได้เงาจากต้นไม้ข้างบ้าน

ตอนเช้า ๆ แล้วยังได้เงาของตัวบ้านตอนบ่ายอีก แล้วบัวจะเอาแดดที่ไหนมาออกดอกกันเล่า ปลูกหญ้ายังดีซะกว่า

ส่วนสนามหญ้าจะปล่อยให้โล่งก็เสียดายเนื้อที่ วางเก้าอี้หมู่ซักชุด สวนก็สวยขึ้นมาได้ เอาไว้นั่งเล่นก็ได้ รับแขกก็ได้

ดีจะตาย...ปอยังไม่ถูกใจ

      แล้วจะทำจะซุ้มไปทำไม สร้างศาลากันฝนซะอีกหน่อย จะได้นั่งได้ทุกฤดู ไม่ใช่ว่าพอฝนตกก็ได้แต่นั่งมองอยู่ในบ้าน

นาน ๆ ไป เก้าอี้เหล็กก็ผุ พลาสติกก็คงกรอบ ถ้าเป็นม้าหินก็ชื้นจนขึ้นตะไคร่ ต้องออกแรงขัดอีก

      แนะให้ขนาดนี้ยังไม่ถูกใจ...เฮ้อ...ปอเอ๊ย...พี่ปืนไม่รู้จะเอาใจยังไงดีแล้ว

      เพราะสุดท้ายก็คงมีแต่ปอที่จะต้องคอยดูแลมันบ่อย ๆ พี่ปืนน่ะเหรอ นอกจากขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ยังไม่ค่อยจะมีเวลาอีกต่างหาก

      “วันนี้ทำอะไรกินดีอ่ะปอ”

      เงียบ

      “มีกับข้าวสดรึป่าว”

      ปืนเดินไปเปิดตู้เย็น เห็นมีผักสดสองสามอย่าง กุ้งกับหมูแล้วก็อะไรอีกไม่รู้

แต่เท่าที่เห็นก็น่าจะพอทำแกงจืดไม่ก็ผัดผักได้สักจาน นอกนั้นเขาก็นึกไม่ออกว่าจะแปรรูปอาหารสดยังไงให้กินได้

      “พี่หุงข้าวนะ เดี๋ยวปอจะได้ทำแค่กับข้าว”

      “ใครบอกว่าผมจะทำกับข้าว”

      “อ้าว....พี่ทำเป็นซะเมื่อไหร่ล่ะ รึว่าจะออกไปกินข้างนอกกัน....ก็ได้นะ”

      ปืนค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย ที่ปอเริ่มอ้าปากพูดบ้าง ไม่อยากให้ปอโกรธเลย เขาอยากเห็นใบหน้าใส ๆ

มีรอยยิ้มมากกว่าจะบูดบึ้ง

      “กินพิซซ่ามั้ย”

      คนชอบพิซซ่ายังนั่งหน้าตูมทำหูทวนลม ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ

      “สั่งมากินมั้ยล่ะ ถ้าไม่อยากออกไปล่ะก็”

      ปอลุกขึ้นเดินไปหยิบรีโมทที่โต๊ะเล็ก มากดเปิดโทรทัศน์ ไม่สนใจคำเชิญที่ปกติไม่เคยต้องถามซ้ำ

       ปืนถือเอาอาการนิ่งเฉยของปอเป็นการตอบรับ ทั้งที่พิซซ่าไม่ใช่อาหารที่ชอบกิน หรือแม้แต่จะนึกอยากกินในเวลานี้

ก็ไม่ใช่  แต่ตอนนี้ทำให้ปออารมณ์หายบูดย่อมสำคัญกว่า เพราะดูจะโกรธนานกว่าทุก ๆ ครั้ง

      ยกหูโทรศัพท์ได้ ปืนก็สั่งเมนูที่ปอชอบอย่างไม่ลังเล เพราะจำได้ขึ้นใจแล้วว่า นอกจากพิซซ่าแล้ว

จะต้องสั่งเครื่องเคียงอะไรบ้างที่ปอชอบ กี่ที ๆ ก็ไม่พ้นปีกไก่ มันฝรั่ง แล้วก็สปาเก็ตตี้สำหรับตัวเอง

ก็คงมีไอ้เจ้านี่แหละที่ปืนคุ้นรสชาติมากกว่าอย่างอื่น

      ยังไม่ทันจะวางหูได้สนิท คนที่เคยชอบพิซซ่าก็ลุกขึ้นมายกหูบ้าง ปืนหน้าเหวอเพราะปอสั่งไก่

ระหว่างที่พูดสั่งของ ลูกกะตาเขียว ๆ นั่นก็จ้องมองปืนตลอดเวลา สั่งเสร็จก็กลับไปนั่งที่เดิม

โดยมีปืนส่งสายตาตามไปอย่างมึนงง

      “สั่งมาทำไมเยอะแยะอ่ะปอ”

      ปืนเสียงอ่อยหลังจากตั้งสติได้

      “ก็ผมอยากกินไก่”

      “แล้วทำไมไม่บอกก่อนพี่จะสั่งล่ะ เมื่อกี้พี่ก็ถามแล้ว”

      “ผมตอบตอนไหนว่าจะกิน”

      “ก็...”

      เออ...ก็ใช่หรอก แต่ว่า

      “พี่เห็นปอกินทุกทีนี่นา ของชอบไม่ใช่เหรอ”

      “แต่วันนี้ผม...ไม่....อยาก....กิน”

      ปอพูดเน้นทีละคำเบา ๆ ไม่ได้ขู่ตะคอกแต่สายตาคุกคามเห็นได้ขัด

      “นี่โกรธที่พี่ไม่เห็นด้วยเรื่องจัดสวนใช่มั้ย”

      “เปล๊า”

      ปอยักไหล่ ท่าทางน่าหมั่นไส้

      “บ้านพี่ปืน ผมจะไปโกรธทำไม เมื่อเจ้าของบ้านเค้าไม่เห็นด้วย”

      “อย่าพูดอย่างนี้นะ พี่บอกกี่หนแล้วว่ามันเป็นบ้านของเราสองคน”

      “ผมไปมีสิทธิ์มีส่วนอะไรกันครับ เงินก็เงินพี่ปืน ไปตกลงซื้อกันตอนไหนผมไม่รู้ไม่เห็นด้วยซะหน่อย”

      “ไม่ประชดจะได้มั้ยเนี่ย ฮึ ปอ”

      ปอยักไหล่ เบี่ยงหน้าไปดูโทรทัศน์ ไม่สนใจปืนอีก

      ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ปอก็ยังตั้งหน้าตั้งตาดูโทรทัศน์ต่อไปโดยไม่สนใจคนร่วมห้อง

ปืนก็นั่งอยู่ที่เดิมในบรรยากาศที่เหมือนคนแปลกหน้าสองคนถูกบังคับให้อยู่ร่วมกัน

ปืนนั่งรอจนกระทั่งไก่ที่ปอสั่งมาถึงก่อน เขาเป็นคนไปเปิดประตูและเตรียมที่จะจ่ายเงิน

แต่ธนบัตรเท่าราคาไก่ถูกยื่นตัดหน้าพร้อมกับปอยื่นอีกมือมารับถุงอาหารที่สั่งเดินเข้าไปเตรียมภาชนะในครัวเล็ก

      ปืนถอยกลับมานั่งที่เดิมได้ไม่ทันไร กริ่งเรียกหน้าประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เขาเดินไปรับกล่องพิซซ่า จ่ายเงินเสร็จแล้วเอาไปวางบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตู

โลกของปืนเหลือแค่สี่คูณสี่เมตร


      ไม่เข้าใจเลยว่าปอโกรธอะไรกันนักหนา ทำไมไม่ฟังเหตุผลของพี่ปืนบ้าง

บ้านที่คิดว่าจะเป็นวิมานของเราสองคน เริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจตั้งแต่ยังไม่ย่างเท้าเข้าไปอยู่เลย

เขาอยากให้ปอหายโกรธ และก็รู้ว่าจะต้องทำยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำอย่างที่ปอต้องการ

แต่พอเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วภาระการดูแลบ้านคงตกเป็นหน้าที่ของปอ ก็เลยอยากตัดปัญหานี้เสียก่อน

ซึ่งดูเหมือนปอจะไม่เข้าใจ นั่นเพราะปอยังเด็ก การมองเห็นปัญหาที่จะเกิดในอนาคตเป็นเรื่องเหลือวิสัย

หรือถึงแม้ว่าจะพอรู้ แต่ความอยากได้อย่างที่ฝันไว้ ก็ทำให้มองข้ามปัญหานั้นไป

และพอทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ต้องการ คนที่ต้องมานั่งแก้ปัญหาก็คือผู้ใหญ่กว่าอย่างเขา

ปืนไม่ชอบเลยถ้าจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป

ทั้งที่มองเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าโดยไม่พยายามป้องกัน


      ปืนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้อง ไม่ดังมาก

แต่คงเป็นเพราะความกังวลเรื่องปอ ทำให้ปืนรู้สึกตัวทันที

      เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟเพราะข้างนอกมืดสนิทแล้ว ก่อนจะเดินไปปลดล็อกเปิดเข้ามาแล้วยืนคาอยู่ตรงช่องประตู

      “พิซซ่าเย็นชืดหมดแล้ว ทำไมพี่ปืนไม่ออกมากินล่ะครับ”

      เห็นหน้าจ๋อย ๆของปอ ใจปืนก็อ่อนยิ่งกว่าอ่อน ไม่เคยเลยที่เค้าจะคิดเคืองโกรธปอ

แม้กระทั่งเจ้าตัวปัญหาทำท่างอนง่อดแง่ด ปืนก็พร้อมที่จะเข้าใจ ถึงเวลานี้

อะไรที่คั่งค้างในใจก่อนจะผล็อยหลับ ปืนก็ลืมมันไปหมดแล้ว

      “เมื่อกี้พี่ง่วงน่ะ เลยอยากนอน”

      ปืนโอบไหล่ปอให้ออกเดิน

      “แล้วเราอ่ะกินไก่หมดแล้วเหรอ”

      ปอส่ายหน้าน้อย ๆ จนผมที่เคลียบ่าส่ายไหวไปมา ปืนลูบหัวเบาๆ สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของเส้นผม

ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอแตะริมฝีปากลงไป

      “สั่งมาเยอะจนกินคนเดียวไม่หมดละสิ”

      “ผมเผื่อท้องไว้กินพิซซ่าพร้อมพี่ปืนตะหากเล่า”

      อย่าเลยปอ ที่แท้ก็ยังอยากจะกินของชอบ แต่ยังดื้อแพ่ง เจ้าแง่แสนงอนเอาซะจนปืนนึกเอ็นดูปนหมั่นไส้

เลยเปลี่ยนจากลูบผมเบาๆ เป็นยีหัวแทน

      “โอ๊ย! พี่ปืนอ่ะ อย่าดิ ผมยุ่งหมดแล้วอ่ะ”




       กว่าบ้านจะเสร็จสมบูรณ์จนเข้าอยู่ได้ ก็มีอันได้ถกเถียงกันเรื่องความชอบความเหมาะสม

ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ก็ต้องให้พอดีกับงบประมาณที่เตรียมไว้ด้วย ไหนจะวงเงินกู้สวัสดิการของปืนอีก

อย่าคิดเลยว่าจะได้เงินเป็นก้อน เพราะปืนขอกู้สร้าง ไม่ใช่กู้ซื้อ เงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างเหมา

ต้องเบิกออกมาเป็นงวดถูกต้องตามระเบียบ จนบ้านสร้างเสร็จ ถึงมาตั้งต้นคิดกันว่า

แล้วเฟอร์นิเจอร์ล่ะห้องนอนสามห้อง ยังไม่มีเตียงมีตู้เลยสักชิ้นอย่าว่าแต่ชุดรับแขกที่จะวางกลางบ้านเลย

แต่ยังไงก็ยังภูมิใจว่าบ้านทั้งหลังได้รับการตกแต่งสมบูรณ์แบบพอสมควร ด้วยน้ำพักน้ำแรงของทั้งสองคน

      และที่ปอประทับใจพี่ปืนที่สุดก็คืออ่างบัวหลวงใบใหญ่สี่ใบที่เรียงรายตามขอบสนามและทางขึ้นโรงจอดรถ

ถึงจะไม่มีสระบัวใหญ่ให้พายเรือเก็บดอกบัวเล่น แค่นี้ปอก็ยิ้มจนหน้าบานทุกครั้งที่ได้เห็นแล้ว

      ปัญหาที่ตามมาก็คืองบประมาณที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ปอพยายามไม่รบกวนพี่ปืนจนเกินความจำเป็น

ด้วยการไม่เอ่ยว่าอยากได้โน่นได้นี่ เพราะพี่ปืนจะรับไปเป็นภาระของตัวเองซะทั้งหมด

ไม่ยอมรับเงินของปอเลยซักแดงเดียว

     “บ้านโล่ง ๆ ก็ดีไปอย่างอ่ะพี่ปืน ทำความสะอาดง่าย ไม่มีซอกหลืบให้ฝุ่นเกาะ

ผมลากไม้ถูปื้ดไปปื้ดมาไม่กี่เที่ยวก็สะอาดหมดทั้งหลัง”

      ก็เป็นมุมมองในด้านดีนะ แต่คงต้องมีอย่างน้อยก็โต๊ะกินข้าวล่ะ

      “ทำยังกะไม่เคยนั่งกับพื้นหนิพี่ปืน”

      ปอแกล้งว่า เมื่อปืนบ่นว่าจะต้องซื้อโต๊ะกินข้าวสักชุด

      “ไม่กี่ตังค์หรอกน่า ดูที่มันพอใช้ได้ไปก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็ให้มันพอมีที่วางข้าวของเวลาเตรียมอาหารบ้าง”

       และแล้วโต๊ะกินข้าวที่ว่าไม่กี่ตังค์ของปืนก็ถูกสั่งมาจากร้านของลูกค้าที่ปืนรู้จักดี

เจ้าของร้านขายให้ในราคาสูงกว่าต้นทุนนิดหน่อย แต่กระนั้นเงินที่ต้องออกจากกระเป๋าไปก็เป็นเรือนหมื่น

ไม่รู้มันจะแพงไปไหนกะอีโต๊ะกินข้าว

      “ไหนว่าเอาแค่พอใช้ได้ไงอ่ะพี่ปืนอ่ะ ดูซิเสียตังค์ไปตั้งเยอะ”

      “แต่มันก็สวยใช่มั้ยล่ะ พี่ชอบ”

      “แต่มันแพง”

      “นี่พี่ก็เลือกชุดเล็กแล้วนะ แค่สี่ที่ พี่ชอบชุดหกที่มากกว่า แต่ไม่รู้จะเอามาทำไม

เพราะเราก็อยู่กันแค่นี้ อีกอย่างราคามันมากกว่านี้เท่าตัวแน่ะ”

      เมื่อมีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ลดราคาให้เป็นพิเศษ ปืนก็ย่ามใจ สั่งทั้งตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะทำงาน มาอีกหนึ่งชุด

แถมเจ้าของร้านยังให้ผ่อนรายเดือนได้ โดยไม่ต้องผ่านเครดิตของอีอะไร หรือว่าเฟิร์สอะไร

เพราะเครดิตของพี่ปืนเหนือกว่าอยู่แล้ว (หน้าที่การงานมันค้ำคอโดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน)

      ทีแรกปืนจะสั่งมาให้ครบทั้งสามห้อง แต่ปอก็ขัดขึ้นว่า อยู่กันแค่สองคน สั่งของสำหรับสองห้องก็พอ

แต่พอเลือกของได้แล้ว คิดราคาเตรียมจ่ายเงิน ปอก็ตาโต เพราะค่าเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด (เท่าที่จำเป็นต้องใช้)

แพงกว่าไอ้โต๊ะกินข้าวไฮโซนั่นถึงสี่ห้าเท่า

      “เอาชุดเดียวก็พอเหอะพี่ปืน ผมนอนตรงไหนก็ได้ แค่ที่นอนผืนเดียวก็อยู่ได้แล้ว”

      “ไม่ได้หรอก จะนอนเข้าไปยังไงเจ็บหลังตาย ไม่ใช่นอนเล่นประเดี๋ยวประด๋าวนี่ ไม่เป็นไรหรอก

เถ้าแก่เค้าเชื่อใจให้ผ่อนตั้งปีแน่ะ แต่พี่คงผ่อนไม่ถึงปีหรอก โบนัสออกก็ค่อยเอามาโปะ

เกรงใจเค้าเหมือนกัน ดอกเบี้ยเค้าก็ไม่คิด แถมยังลดราคาให้เป็นพิเศษอีก”

      “แต่ผมนอนได้จริง ๆ นะ”

      “แล้วเสื้อผ้าล่ะจะทำไง แขวนไว้โล่ง ๆได้เหรอ ทั้งฝุ่น ทั้งดูรกตา ปอทนได้เหรอ”

ก็ปืนรู้นี่นาว่าปอน่ะเจ้าระเบียบขนาดไหน ตู้เสื้อผ้าใบเดียวเขายังพอมีเงินจ่ายหรอกน่า

      “งั้นผมขอตู้ใบเดียวนะ”

      “โต๊ะเขียนหนังสือ วางชุดคอมฯ อีกตัวแล้วกัน”

      “โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว พี่ปืนอ่ะ จะอะไรกันมากมาย คอมเครื่องเดียววางตรงไหนก็ได้ ผมค่อยหาโต๊ะเล็ก ๆ

มาวางซักตัวแล้วนั่งเล่นกับพื้นก็ได้น่า”

      จะอนาถไปกันใหญ่แล้วปอ พี่ปืนไม่ได้แร้นแค้นขนาดนั้นนะ แต่ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมยังไง

ปอก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอม

      “พี่ปืนยังมีภาระต้องผ่อนค่าบ้านอีก เอางี้แล้วกันผมจะออกเงินค่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนของผมเอง

...อย่า ๆ ไม่ต้องมาอ้างเรื่องบ้านใคร พี่ปืนบอกผมเองว่าบ้านของเราสองคน พี่ปืนจ่ายค่าบ้านไปเป็นล้าน

ผมไม่ได้ช่วยซักบาท.......ไม่ต้องพูด!!”

    ปืนกำลังจะอ้าปากค้านว่าก็มันกู้ซื้อในนามเขา ปอก็รีบห้าม

   “ผมรู้น่าว่ามันเป็นเงื่อนไขการกู้อ่ะ ไม่ต้องย้ำ ทีนี้ในเมื่อพี่ปืนให้ผมเป็นเจ้าของร่วมพี่ปืนก็ต้องยอม

ให้ผมได้ควักกระเป๋าตัวเองมั่ง แล้วไม่ต้องมาคัดค้านนะ ไม่งั้นผมจะกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์ตามเดิม”

      แล้วปืนก็จนมุมตรงนี้เอง สุดท้ายก็ได้เฟอร์นิเจอร์สำหรับสองห้องจนครบ โดยส่วนของปืนเขาจะผ่อนกับทางร้าน

ส่วนปอขอจ่ายเป็นเงินสด ด้วยความเกรงใจที่ได้ลดราคาเป็นพิเศษ พอได้คืบเจ้าปอก็จะเอาศอก

จะออกเงินซื้อชุดรับแขกอีกชุด เลยโดนปืนเอาคืน

      “ไหนว่านั่งกับพื้นได้ไง...ก็นั่งไป รอพี่ผ่อนชุดแรกหมดก่อน ไม่งั้นก็รอโบนัสปีหน้า”



      จบเรื่องนี้ก็มาเจออีกเรื่อง

      เรื่องขึ้นบ้านใหม่ปืนไม่เห็นว่ามันจะจำเป็นตรงไหน เขาไม่ใช่คนที่จะยึดถืออะไรมากมาย

แต่เมื่อผู้ใหญ่หลาย ๆ คนพูดติงขึ้นมา ก็เลยต้องทำ โดยเฉพาะแม่ของเขาเอง อุตส่าห์ทิ้งพ่อให้เฝ้าร้านคนเดียว

หอบสังขารมาเยี่ยมเพื่อจะพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ

      พอมาเห็นบ้านโล่ง ๆ ของปืนเท่านั้นแหละ แม่ก็โวยวายใหญ่

      “ไซที่บ้านลูกแลเป็นบ้านยาจกพันนี้ หา ไอ้ปืน”

      (ทำไมบ้านลูกดูยังกะบ้านยาจกแบบนี้...ฮึ! ไอ้ปืน)

      “บ้านยาจกไหร ราคาเทียมล้านล่ะแม่”

      (บ้านยาจกอะไรราคาเป็นล้านล่ะแม่)

      “เออ...แม่ก็โร้และว่าบ้านมันแพง แต่ที่แหลงนั้น กะโหมเครื่องใช้ไม้ขอยโด้ บ้านทั้งบ้านยังแค่โต๊ะกินข้าว

กับโต๊ะวางทีวีแค่หั้นหนา”

      (เออ...แม่ก็รู้ว่าบ้านน่ะมันคงแพง แต่ที่แม่พูดถึงน่ะพวกเครื่องใช้ไม้สอยต่างหาก บ้านทั้งบ้านมีแค่โต๊ะกินข้าวกับโต๊ะ

วางทีวีเนี่ยนะ)

    แม่กราดนิ้วไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของปอ

      (เฮ้อ…..พอและ ขี้เกียจแปล ปกติบ้านปืนพูดภาษาใต้ครับ)

      “ทีวีที่ไหนล่ะแม่ก็พูดเรื่อยเปื่อย เค้าเรียกคอมพิวเตอร์ตะหาก อย่ามาทำบ้านนอก”

      ปืนแกล้งว่าแม่เป็นบ้านนอก เพราะว่าแม่เองก็ชอบทำตัวแบบนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆที่เขารู้ว่าแม่จบปริญญาตรีเหมือนกัน

แค่ไม่ได้ใช้ความรู้ตามที่เรียนมาเท่านั้นเอง ด้วยความที่แม่เป็นลูกสาวคนเดียว

เลยต้องมาดูแลกิจการโรงสีของตากับยายที่แก่ลงทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้โรงสีข้าวก็ปิดไปแล้ว

เพราะนาข้าวถูกขายไปทำนากุ้งเกือบหมด ที่นาข้างเคียงที่เคยปลูกข้าวได้ก็พลอยได้รับผลกระทบจากน้ำเค็ม

ที่ปล่อยเข้ามาในบ่อเลี้ยงกุ้ง แม่ก็เลยเปลี่ยนอาชีพมาเปิดร้านขายข้าวสารแทน คนที่เคยทำนาปลูกข้าวกินเอง

เดี๋ยวนี้ต้องมาซื้อข้าวสารที่ร้านแม่กันเป็นแถว

      “จะอะไรก็ช่างเถอะ ไหนพาแม่ไปดูห้องนอนแกหน่อยซิ มีอะไรมั่ง อย่าบอกว่ายังนอนพื้นกระดานนะ”

      “บ้านนอกอีกและ ก็เห็นอยู่ว่าบ้านผมปูกระเบื้อง”

      เห็นห้องนอนแล้วแม่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หันมาไล่เบี้ยเรื่องอื่นต่อ

      “แล้วไหนน้องที่เอาเค้ามาอยู่ด้วย ลูกเต้าเหล่าใคร รู้จักกันยังไง แกเนี่ยนะ จะทำอะไร ยังไง

ไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลย นี่ดีนะ ที่ลูกเค้าเป็นผู้ชาย ถ้าเอาลูกสาวเค้าเข้าบ้านไม่บอกแม่ซักคำล่ะมีเรื่องแน่”

      “ใครจะทำอย่างนั้นเล่าแม่ก็”

      แล้วแม่คิดว่าเป็นผู้ชายแล้วผมจะไม่คิดอะไรเหรอ

      “ปอเค้าไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยน่ะ บ่ายก็คงกลับ”

      “แล้วไปรู้จักกันยังไง แม่ว่ามันแปลก ๆนะ รู้หัวนอนปลายเท้ารึป่าว”

      เป็นครั้งแรกที่ปืนเล่าเรื่องปอให้แม่ฟัง ตั้งแต่เริ่มรู้จัก แต่เว้นรายละเอียดบางเรื่องเพราะไม่งั้นคงเล่าไม่จบในวันเดียวแน่

      “อ๋อ...ก็แล้วไป มาอยู่อย่างนี้ก็ดี พ่อแม่เค้าจะได้ไม่เป็นห่วง แล้วแกก็อย่าเอาเปรียบน้องล่ะ

ไอ้ที่ให้เค้าซักผ้ารีดผ้าให้น่ะ แกก็ช่วยเค้าได้นี่ แค่เอาผ้ายัดเข้าเครื่องปั่น แกก็มีเวลานั่งกระดิกเท้าดูทีวีได้ตั้งนานสองนาน”

      “แม่นี่ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยนะ ใครเลี้ยงผมให้ทำอะไรไม่เป็นล่ะ”

      “ตากะยายแกโน่น ไม่ต้องมาโทษแม่ พอจะใช้ให้ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน เค้าก็ไล่แกไปอ่านหนังสือ

แกน่ะมันหลานตาหลานยาย”

      “อ้าว แล้วไม่ใช่ลูกแม่เหรอ”

      “แค่เบ่งออกมาเท่านั้นแหละ สอนได้ที่ไหนล่ะ”

      “เอ...เท่าที่ยายเล่าน่ะ แม่ไม่ได้สอนนะ แต่แม่น่ะชอบใช้ผมทำโน่นทำนี่ เวลาเพื่อนมันด่าไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน

ผมเลยไม่โกรธ เพราะมันเรื่องจริง”

      ปืนทำหน้าล้อเลียนแม่ตัวเอง และแม่ก็แค่ค้อนแต่พองาม แต่ไม่เคยโกรธ ระหว่างเขากับแม่

มีความเป็นเพื่อนกันมากกว่าความเป็นแม่ลูกกันซะอีก คงเป็นเพราะแม่แต่งงานเมื่ออายุยังน้อย มีลูกก็เร็ว

ถึงตอนนี้แม่ก็ยังดูไม่แก่ แต่ชอบแต่งตัวเชยๆ ทำตัวบ้านนอก ๆ ยิ่งความคิดความอ่านของแม่แล้วทันสมัยที่สุด

ในบรรดาคนละแวกนั้นในวัยเดียวกันเลยทีเดียว

      แม่ของปืนคนเดียวคงสร้างความประหลาดใจได้ไม่มากพอ ตอนบ่ายปอก็กลับมาพร้อมกับแม่ของปอ

เป็นการพบปะโดยมิได้นัดหมาย แม่ ๆ นี่เค้าห่วงลูกกันทุกคนจริง ๆ นะ แค่ปืนบอกแม่ว่าเขาสร้างบ้านเสร็จแล้ว

(ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะบอก) แม่ก็ชื่นชมลูกของตัวเองว่าดีแล้ว จะได้สร้างเนื้อสร้างตัว ลงหลักปักฐาน

แล้วก็ตามด้วยคำสั่งว่า ให้นิมนต์พระมาทำพิธีขึ้นบ้านใหม่

ปืนคาดว่า แม่คงจะมาบงการเรื่องงานขึ้นบ้านใหม่เป็นรายการต่อไป

      ข้างเจ้าปอก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าย้ายมาอยู่บ้านพี่ปืน (เผื่อจะส่งอาหารแห้งขนมนมเนยมาให้)

ก็ได้คำแนะนำตามมาว่าบอกพี่ปืนให้ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ แล้วก็มาปรากฎตัวที่บ้านในวันเดียวกัน

      ดูเหมือนว่ารังสีของความเป็นแม่จะแผ่ขยายจนรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อสองลูกชาย

ทั้งสองแม่หลังจากที่ได้รับการแนะนำเบื้องต้น ก็ทักถามกันไปมาด้วยอัธยาศัยไมตรี ดูจะเข้ากันได้ดีจนน่าแปลกใจ

ถามประวัติแล้วก็นับเป็นคนรุ่นดียวกันได้ คุยกันถูกคอจนลืมเวลา

ตกเย็นก็มีเมนูอร่อย ๆจากฝีมือสองแม่ช่วยกันทำอาหารอวดฝีมือตัวเองกันใหญ่ คนที่อิ่มอร่อยโดยไม่ต้องลงมือก็คือสองลูกชาย


      พอถึงเวลานอน สองแม่ก็จัดแจงห้องพักของตัวเองเสร็จสรรพ ปอถูกไล่ให้มานอนที่ห้องของปืน

พร้อมกับผ้าห่มผืนที่ใช้ทุกคืน เรื่องเตียงไม่เป็นปัญหา เพราะห้องปืนเป็นเตียงคิงไซส์

ต่อให้ปอนอนดิ้นยังไงก็คงไม่ถีบเขาตกเตียงแน่ แต่สองแม่น่ะคงจะต้องนอนขดตัวนิดหน่อย

เพราะเป็นเตียงเดี่ยว ขนาดหกฟุตครึ่ง แต่อย่างสองแม่คงจะสามัคคีแบ่งมุมกันนอนได้ลงตัวละมั้ง

นึกแล้วปืนก็ขำในใจ เขาเองก็รู้สึกถูกชะตากับปอตั้งแต่แรกเจอ มาถึงรุ่นแม่ดูว่าจะเข้ากันได้ดี

จนไม่มีอะไรน่าห่วง เขาอยากจะรู้ว่าถ้าสองพ่อมาเจอกันจะเกิดอะไรขึ้น

แต่โอกาสอย่างว่าคงน้อย เพราะป๊าของปอก็ห่วงร้านกลัวจะเสียรายได้

ส่วนพ่อของเขาก็ต้องอยู่โยงเฝ้าร้าน ไม่ได้กลัวจะเสียรายได้หรอก

แต่ลูกค้ามาเห็นร้านปิดก็ต้องไปซื้ออีกร้านที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโล เค้าคงลำบาก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
« ตอบ #99 เมื่อ: 20-05-2012 19:35:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #100 เมื่อ20-05-2012 19:38:36 »



      ใกล้เวลานอนปืนก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายบอกไม่ถูก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

แต่ยังมีแม่ ๆ นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ความจริงมันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ปืนรู้ตัวดี ว่าเขาควรจะทำตัวยังไง

แต่ก็อย่างว่า คนมันมีพิรุธในใจ รู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อปอมันไม่ถูกทำนองคลองธรรม

และคงไม่มีแม่คนไหนยอมรับได้ ทั้งที่รู้ตัวดีว่าปืนไม่มีวันทำให้แม่ของปอผิดหวัง แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

วันนี้ทั้งวัน แม่ของปอก็เล่าให้แม่ของเขาฟังซะหมดเปลือกว่า ปืนเป็นคนมีน้ำใจยังไง

ไหนจะทำหน้าที่ ‘พี่ชาย’ ช่วยดูแลปอราวกับน้องชายแท้ ๆ จนป๊ากับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง

แม่ของเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พยักพเยิด ทำท่าภูมิอกภูมิใจยังกะเป็นคนเลี้ยงดูลูกชายมากับมือ

(แม่บอกไงว่าตากับยายเลี้ยงน่ะ)


      ปอเข้านอนเรียบร้อยแล้วเมื่อปืนเข้าห้องตอนสี่ทุ่มเศษ อุตส่าห์เว้นที่ไว้ให้ปืนได้กลิ้งเกลือกกว่าครึ่งเตียง

ในฐานะที่เป็นเจ้าของห้อง (แต่ความจริงปอตัวเล็กตะหาก) ปืนนั่งลงที่ขอบเตียงด้านที่ยังว่าง เหลือบตามองปอ

เห็นใบหน้าที่หลับตาพริ้ม ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจากส่วนลึกของหัวใจ ก็ไหลหลั่ง ถั่งท้นออกมาแทบจะล้นอก

ผมดำยาวสยายแผ่เต็มหมอนนุ่ม ริมฝีปากสีชมพูสดหุบสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับสนิท หลับได้ทั้ง ๆ ที่ห้องยังสว่างจ้าด้วยแสงไฟ

      ปืนเปิดไฟที่โต๊ะหัวเตียง แล้วเดินไปปิดไฟกลางห้อง แสงสลัวจากไฟดวงน้อย

ยิ่งทำให้ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด

อะไรบางอย่างที่เคยหลับใหลอยู่ก้นบึ้งของหัวใจปืนกำลังตื่นตัว

เหมือนจะบังคับให้ปืนก้มหน้าลงไปจนชิด ปลายจมูกโด่งแตะลงบนแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา ตามด้วยหน้าผาก

เว้นชั่วอึดใจก่อนจะแตะริมฝีปากเบาๆ ลงบนกลีบปากสีชมพูสดของคนที่ยังหลับใหล

....พอแล้วปืน...อีกเสียงดังขึ้นจากเบื้องลึกที่ยังพอมีสติ

      ปืนรีบยันตัวขึ้น ถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนปิดโป๊ะไฟ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างตัดใจเต็มที

นอนแล้วก็ใช่ว่าจะหลับตาลงง่าย ๆ กลายเป็นว่าปืนนอนลืมตาโพลง อยู่ในความมืด

จนได้ยินเสียงรถผ่านหน้าบ้าน ที่เขาจำได้ว่าเป็นของร้านขายกับข้าวสดที่จะออกไปจ่ายตลาดตอนตีสามทุกวัน

นี่มันผ่านมาตั้งห้าหกชั่วโมงโดยที่เขาไม่ได้หลับเลยเหรอเนี่ย

      พลิกตัวกลับมาอีกด้านแก้อาการเมื่อยขบ ก็หันมาเจอตัวต้นเหตุที่ทำให้ปืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเข้าอีก

...เฮ้อ....ไปดีกว่า ยังไงซะค่ำคืนนี้เขาคงข่มตาหลับไม่ลงแล้ว

      ปืนลุกขึ้นเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว พยายามทำอะไรไม่ให้เกิดเสียง กลัวจะรบกวนคนกำลังหลับ

(เกิดตื่นขึ้นมาตอนนี้ เขาคงตีหน้าไม่ถูก เพราะพิรุธในใจนี่แหละ)น้ำท่าไม่ต้องอาบกันล่ะ

เสร็จเรียบร้อยปืนก็เดินออกจากห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถติดมือออกมาด้วย

      เสียงรถแล่นออกจากบ้านในยามวิกาล ทำให้ปอนึกแปลกใจ สงสัยว่าป่านนี้พี่ปืนจะไปไหน

ตอนที่คนข้าง ๆ ขยับตัวพลิกไปพลิกมา ปอก็รู้สึกตัวแล้วล่ะ แต่ยังรู้สึกง่วงงุนอยู่ก็เลยนอนหลับตาเฉย ๆ

ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ลืมตาดูว่าพี่ปืนทำอะไร ได้ยินเสียงรถอีกทีเมื่อนั้นก็คงขับรถออกจากบ้านไปแล้ว

....เช้ามืดอย่างนี้พี่ปืนจะไปไหนกัน



      จนฟ้าสว่างแล้วปอก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่หายตัวไปก่อนฟ้าจะสาง ถึงวันนี้พี่ปืนจะอยู่ระหว่างลาพักร้อนก็เถอะ

แต่จะไปไหนน่าจะบอกให้รู้กันบ้างนี่นา รึกลัวว่าปอจะขอตามไปด้วย คิดขึ้นมาได้ปอก็รู้สึกขุ่นใจนิด ๆ

....พี่ปืนคงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวกับใครมั้ง ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านนี้ ปอไม่เคยเห็นว่าจะพาผู้หญิงคนไหนมาค้างที่บ้าน

เหมือนตอนอยู่อพาร์ทเมนท์เลย เลือดของความเป็นหนุ่มคงร่ำร้องหาทางระบายออกซะบ้าง

      ก็เข้าใจดีนะว่าพี่ปืนก็ผู้ชายธรรมดา ๆคนหนึ่ง ความต้องการทางเพศของวัยหนุ่มมันต้องร้อนแรงเป็นเรื่องของธรรมชาติ

แต่ทำไมหัวใจปอถึงเจ็บร้าวได้ขนาดนี้ ทำใจมานานนักหนา แต่ก็ไม่เคยจะระงับความรู้สึกนี้ได้ซะที

แค่นึกภาพว่า ตอนนี้เขาไปอยู่กับใคร กำลังทำอะไรกัน ปอก็ร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่

จนแม่ ๆ ที่กำลังคุยปรึกษากันเรื่องงานขึ้นบ้านใหม่ หันมามองเป็นระยะ ๆ แม่รู้แล้วว่าพี่ปืนไม่อยู่บ้าน

เพราะไม่เห็นรถจอดอยู่ แต่ไม่มีใครใส่ใจจะถามสักคนว่าพี่ปืนหายไปตอนไหน ไปไหน เมื่อไหร่จะกลับ

แค่แม่ของปอบ่นไปหน่อยเดียวว่า อุตส่าห์ทำเกี้ยมอี๋ไว้ให้ เดี๋ยวเส้นจะแข็งซะก่อนมันจะไม่อร่อย....เท่านั้นเอง


      ปอนั่งกระสับกระส่ายในบ้านก็แล้ว ออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็แล้ว พี่ปืนก็ยังไม่มา

กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่อยากเข้าไปนั่งให้แม่ ๆ ผิดสังเกต ก็เลยนั่งเล่นมันที่ซุ้มไม้เลื้อยตรงมุมหน้าบ้าน...

ที่ ๆ พี่ปืนบอกว่ามุมนี้ทำให้ปอ ก็เลยไม่ทำแล้วศาลงศาลา อุตส่าห์ไปหาต้นเล็บมือนางมาลงให้

แค่ทำโครงให้มันเลื้อยก็พอ ตอนนี้ซุ้มยังไม่ใหญ่ แต่พอได้ร่มเงาจากต้นไม้ข้างบ้านก็นั่งเล่นได้ ไม่ร้อน

      กลิ่นดอกเล็บมือนางหอมอบอวล กล่อมอารมณ์ให้ปอค่อย ๆ คลายความกระวนกระวายไปได้

นั่งคิดอะไรไปเพลิน ๆ รถคันที่คุ้นตาก็มาจอดหน้าบ้าน ปอรีบไปเปิดประตูบานใหญ่ให้พี่ปืนเคลื่อนเข้ามาจอด

      “มานั่งทำอะไรตรงนี้”

      “พี่ปืนไปไหนมา”

      สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ปอหน้างอง้ำนิด ๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้ก็คงจะง้ำยิ่งกว่านี้หรอก

แต่ตอนนี้เย็นลงแล้ว ปอก็แค่ออด ๆ แบบงอน ๆ

      “ไปขับรถเล่นน่ะ พี่นอนไม่หลับ”

      “เป็นอะไรครับ ทำไมนอนไม่หลับ”

      จากหน้าที่งอ ๆ ของปอก็กลายมาเป็นห่วงใยแทน

      “ไม่มีอะไรหรอก มันไม่หลับซะเฉย ๆ เท่านั้นเอง”

      “เรื่องงานขึ้นบ้านใหม่ใช่มั้ยครับ แม่คงพูดซะจนพี่ปืนกังวลเลยดิ”

      เปล่าหรอก...แต่ปืนจะอ้างอะไรล่ะ ที่จะไม่ให้มาเกี่ยวกับปอ ก็เลยพยักหน้ารับคำไป

      “ไม่ต้องห่วงนะครับ นู่นแน่ะ นั่งปรึกษากันตั้งแต่ไก่โห่เลยมั้ง ผมว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเชิญแขก”

      “ม่ายอ่ะ พี่ไม่เชิญแขกนะ วุ่นวายพี่ไม่ชอบ นิมนต์พระมาทำพิธีอย่างเดียวก็พอ ที่ทำงานพี่ก็ไม่ได้บอกใครด้วย

ที่ลาพักร้อนก็ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร เค้าก็นึกว่าลาตามปกติ แต่ปอจะชวนเพื่อนมาก็ได้นะ

เห็นแม่ว่าจะทำอาหารถวายเพล พี่ว่าคงเผื่อเลี้ยงแขก ไม่ก็แจกคนข้างบ้านด้วยแน่เลย”

      “ผมก็ไม่คิดจะบอกใครหรอกครับ เรื่องในครอบครัวเราเอง ผมก็ไม่ชอบวุ่นวายเหมือนกัน

แต่แม่บอกว่าจะบอกอาเจ็กกับอี๊ เสียดายจังหยินไม่อยู่ ไม่งั้นจะได้เจอกันมั่ง”

      “คิดถึงเหรอ”

      “ก็งั้นแหละครับพี่ปืน ตั้งแต่เจอกันบนรถไฟหนนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย โทรศัพท์ก็นาน ๆ จะคุยซักที

ผมว่าแม้แต่เบอร์ผมหยินก็อาจจะเผลอลบออกด้วยซ้ำไปมั้ง”

      “คิดไปได้นะเรา เค้าก็คงคิดถึงปออยู่หรอก อย่างน้อยก็โตมาด้วยกัน”

      “ครับ เออ....แล้วนี่พี่ปืนจะไปไหนรึป่าวครับวันนี้”

      “ว่าจะคุยกับแม่เรื่องงานนั่นแหละ เผื่อเค้าคิดการใหญ่ พี่จะได้เบรค ๆ ไว้มั่ง”

      พูดไม่ทันขาดคำ แม่ของพี่ปืนก็เรียกมาจากหน้าประตูบ้าน

      “ปืนมาพอดี แม่จะไปซื้อของนะ ไปส่งแม่ในเมืองหน่อย แล้วเราจะไปไหนก็ไป”

      “แล้วแม่จะไปไหนล่ะ ผมขับรถให้ก็ได้ ผมว่างทั้งวันอยู่แล้ว”

      “ไม่ต้องหรอก แม่ไปกันสองคนดีกว่า นะเจ๊นะ”

      แม่ของปืนหันไปถามความเห็นแม่ของปอ แล้วก็มองหน้าพี่ปืน รอคำตอบ

      “ครับ”

      แม่พี่ปืนยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน

      “แล้วแม่จะไปกันตอนไหนเหรอครับ”

      “สาย ๆหน่อยค่อยไป เอ้า....เข้ามากินอะไรได้แล้ว เจ๊เค้าทำเกี้ยมอี๋ไว้ให้อร่อยดี แม่ไม่ได้กินมานานแล้ว

....เจ๊นี่ฝีมือทำอาหารดีจริง ๆนะคะ”

      เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วมาจากในบ้าน โต้ตอบกันถ้อยทีถ้อยชม ประสาแม่ที่รักลูก ห่วงลูก มีเสียงหัวเราะประปราย

ฟังแล้วมีความสุข ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริง ๆ

      ปอกับพี่ปืนเดินคลอกันอ้อมข้างบ้าน เพื่อจะเข้าไปในครัวทางประตูหลังบ้านโดยไม่ต้องผ่านห้องรับแขก

      “พี่ปืนไปไหนมาเหรอครับ”

      ปอถามซ้ำ เหมือนยังไม่จุใจกับคำตอบ

      “ก็ขับรถไปเรื่อย ๆ”

      แต่ปืนกลับตัดบท เพราะไม่อยากให้ปอถามต่อ

      “สามสี่ชั่วโมงเนี่ยนะ เผาน้ำมันเล่นรึไงอ่ะครับ”

      “ขับไปจอดนั่งเล่นอะไรเงี้ยะ ไม่มีอะไรหรอก”

      เสียงเรียบ ๆ แบบนี้ ปอก็รู้แล้วว่าตัวเองคงจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพี่ปืนมากเกินไป

ก็เลยหยุดคำถามไว้แค่นี้ แต่จะว่าไป เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา

ในเมื่อก็รู้อยู่แก่ใจว่า พื่ปืนคงออกไปตามประสาชายหนุ่ม อาจจะไปหาใครสักคนที่เคยคุ้น แล้วก็

....ไม่คิด...เขาจะไม่คิดอะไรต่อจากนี้ เพราไม่งั้นน้ำตามันจะปริ่มออกมาให้พี่ปืนเห็นอีก

ทีนี้พี่ปืนก็จะรู้ว่าปอยังตัดใจจากพี่ปืนไม่ได้อย่างที่เคยพูดไว้ แล้วความสัมพันธ์และความรู้สึกดี ๆ ที่พี่ปืนมีให้

ก็อาจจะเปลี่ยนไป แม้แต่ความเป็นพี่เป็นน้องก็คงจะหายไปด้วย

      ส่วนปืนไม่คิดจะบอกปอให้รู้ว่าเขาไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่ริมทะเลเป็นชั่วโมง ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

นั่งฟังเสียงลม เสียงคลื่นเบา ๆ ไปจนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็กลับ นานนับชั่วโมงกว่าที่เขาจะดับอารมณ์ใคร่

ที่มันประทุขึ้นมาก่อนออกจากบ้านให้หมดลงไปได้

      เจ้าปอคงจะงอนถ้ารู้ว่าเขาไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่ชวน เพราะนั่นเป็นความใฝ่ฝันของปอเลยก็ว่าได้

ปืนก็คิดไว้เหมือนกันว่าจะชวนกันไปสักครั้ง ก่อนซื้อรถก็ไม่มีโอกาสได้ไป เพราะการเดินทางไม่สะดวก

แต่พอมีรถแล้วก็หาจังหวะไม่ได้สักที ไอ้จังหวะบังเอิญแบบเมื่อคืนนี้มันก็มาโดยที่ไม่ตั้งใจซะด้วย



      ปืนมาร้องอ๋อเอาตอนบ่ายจัด เมื่อสองแม่กลับมาจากธุระที่บอกให้ปืนไปส่ง และที่ตามหลังมาก็คือรถหกล้อบรรทุกเฟอร์นิเจอร์เต็มคันรถ

ดูคร่าว ๆ แล้วปืนก็คะเนได้ว่า ห้องนอนห้องที่สามที่ยังว่าง ต่อไปนี้ก็คงไม่ว่างแล้ว เพราะตู้เตียงโต๊ะครบชุดเป็นไม้เนื้อดำทั้งชุด

ชุดรับแขกที่ดูดีหน่อย แต่ราคาคงไม่หน่อย และอะไรอื่น อีกสองสามชิ้นสำหรับครัว (ที่ควรจะมีแม่บ้านดูแล)

และห้องรับแขก เห็นแล้วปืนกับปอก็สบตากันยิ้ม ๆเป็นทีเข้าใจกันว่า...แม่คงทั้งรักทั้งห่วงตามประสา

ซึ่งคงต้องรับไว้นั่นแหละ ที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรกว่าจะไปซื้อมาให้ ก็เพราะกลัวปืนจะปฎิเสธ ก็เลยมัดมือชก

ซื้อมาให้แบบนี้ ยังไงก็ต้องรับไว้อยู่ดี

      “อย่าว่าแม่เจ้ากี้เจ้าการเลยนะปืน”

      แม่ปอออกตัวด้วยท่าทีเกรงใจ โธ่..แม่ครับ ปืนสิต้องเกรงใจที่เป็นฝ่ายได้

      “วันงานขึ้นบ้านใหม่มันจะดูโล่ง ๆ ไป อย่างน้อยก็เผื่อแขกผู้ใหญ่ที่เราต้องรับรองในบ้านนะลูกนะ

ชุดรับแขกแบบนี้ก็ดูเรียบ ๆ แม่ก็คิดว่าปืนคงไม่ชอบอะไรที่มันใหญ่โต เทอะทะหรอกมั้งลูก ใช่มั้ย”

      ปืนไหว้ขอบคุณแม่ของปอด้วยความซาบซึ้งใจ

      “ผมเกรงใจน่ะครับ กะว่าจะค่อย ๆ ซื้อของเข้าบ้าน ไม่ได้รีบร้อนอะไร

อีกอย่างบ้านเราก็ไม่ค่อยจะได้รับแขกเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้วส่วนมากก็เพื่อนฝูงกันทั้งนั้น

ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้ครับ”

      “ถือว่าแม่ให้เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่แล้วกันนะลูก”

      นอกนั้นก็เป็นของแม่ปืนที่ถือโอกาสซื้อของให้ลูกชายเหมือนกัน ก็คงจะหมดไปหลายสตางค์อยู่หรอก

ปืนรู้สึกตื้นตันไม่ทันไร แม่ก็บอกออกมาซะก่อน

      “แม่จ่ายไปหลายตังค์เลยเที่ยวนี้ แต่ไม่เป็นไร ตากับยายให้มาเยอะ บอกว่าให้แม่ดูว่าปืนขาดเหลืออะไร

ก็ให้ซื้อหาให้เรียบร้อย”

      สรุปว่าปืนยังไม่ทันได้ขอบคุณแม่ของตัวเอง แม่ก็รีบเฉลยก่อนว่า เงินที่ซื้อของในส่วนของแม่เป็นเงินของตากับยาย

ที่ในอนาคตเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า จะตกเป็นของปืนทั้งหมด รวมทั้งที่ดินที่เคยเป็นผืนนารวม ๆ แล้วไม่รู้กี่สิบไร่

ที่ปืนแค่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่อาณาเขตกว้างไกลแค่ไหนไม่เคยไปตามดู

      มีแม่มาอยู่จัดงานให้ก็ดีไปอย่าง เพราะปืนเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพิธีทางศาสนากับพิธีการที่เป็นมงคลอะไรเท่าไหร่

(ยังไม่เคยบวชเรียนเลยค้าบบบ) ระหว่างที่แม่ ๆเตรียมงานกันไป ปืนกับปอก็มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น

ปืนไปส่งปอเรียนแล้ว ถ้าไม่มีคาบเรียนต่อ ก็รอรับกลับ แต่ถ้าปอต้องทำงานต่อ หรือว่ามีกิจกรรม เขาก็กลับมาบ้าน

ให้แม่ได้เห็นหน้าได้อาศัยไหว้วานให้ไปโน่นมานี่ สุดแท้แต่จะนึกได้


      จนถึงวันงานขึ้นบ้านใหม่ปืนก็ยังไม่ต้องทำอะไรอยู่ดี นอกจากไปรับพระที่วัดมาทำพิธีสวดที่บ้าน กับรับแขก

ซึ่งก็เป็นเพื่อนบ้านซะส่วนใหญ่...บอกตรง ๆ ว่าปืนไม่รู้จักเพื่อนบ้านสักเท่าไร นอกจากบ้านติดกัน บ้านตรงกันข้าม

กับบ้านที่ขายของชำ กับข้าวสด แต่ที่พร้อมใจกันมาวันนี้แทบจะหมดซอยก็ฝีมือแม่ ๆนี่เอง แม่ของเขาบอกว่า

      “รักษาเพื่อนบ้านไว้ไม่เสียหลายหรอกลูก จะได้เป็นหูเป็นตากัน เจอกันก็ทักทายกันมั่ง ไม่อยากไปสุงสิงอะไรนัก

ก็อยู่แต่ในบ้านเรา แต่ไอ้ที่เดินออกไปแล้วไม่มีใครทักถามเลยนี่มันก็เกินไปหน่อย เทศกาลก็มีของเล็ก ๆน้อย ๆ ให้กันมั่ง

แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว”

      แขกที่ปืนไม่คาดฝันมาพร้อมกับของขวัญหนึ่งกล่อง พี่เอกนั่นเอง

พี่เอกบอกว่า รู้จากพี่ก้อย (คนที่เป็นพี่เลี้ยงสอนงานปืนไง จำกันได้รึป่าว)

เพราะบังเอิญโทรศัพท์ติดต่อกันเรื่องงานเมื่อสองสามวันก่อน     

      “ซื้อบ้านจนได้สินะปืน”

      พี่เอกพูดขึ้นพร้อมกับส่งของขวัญให้ เป็นเครื่องกรองน้ำอย่างดี ขนาดว่าเครื่องนิดเดียวก็เป็นหมื่น ๆ แล้ว

      “บ้านพี่เป็นตัวแทนขาย”

     พี่เอกบอก
   
     “ของผมไม่ได้เป็นตัวแทนขายครับพี่ปืน แต่ก็อยากให้”

       เต้ยพูดแขวะเล็ก ๆ จนพี่เอกหมั่นไส้ เลยดีดหน้าผากเบา ๆ ไปทีนึง

      “พูดมาก บอกว่าไม่ต้อง ๆ ก็ยังจะไปหามาจนได้ ของขวัญของพี่ก็เหมือนของเต้ยน่ะแหละ”

      “จะเหมือนได้ไงครับ พี่เอกไม่ได้ควักทุนอะไรเลย อยู่ ๆ ก็ไปหยิบของที่บ้านมาห่อของขวัญ

นี่ของผมสิ ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงเลยนะพี่ปืน”

      ปืนขำอาการหยอกล้อของทั้งคู่ที่เขาไม่ค่อยจะเคยเห็น จะว่าเพราะไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ใช่

เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพี่เอกเองก็คงจะรักเต้ยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ คงคิดว่ายังมีตัวเลือก

ก็อยากจะเลือกใครที่ตรงใจสุด ๆ สักคน แต่สุดท้ายแล้วคงแพ้ใจเต้ย ที่ไม่ว่าพี่เอกจะทำเจ้าชู้กับใคร เต้ยก็ทนได้...ทนเพราะรัก

      อีกคนที่เกินความคาดหมายก็คือหยิน มาพร้อมครอบครัว ปอทำท่าดีอกดีใจมากมาย จนปืนเห็นแล้วหมั่นไส้เสียจริง ๆ

ทั้งที่เขาเองเป็นคนชักจูงให้ปอหันเหความสนใจจากเขาไปที่หยิน เพราะไหน ๆ ก็เป็นคู่หมายกันอยู่

แต่พอมาเห็นอาการหน้าบานไม่หุบที่ทั้งคู่แสดงความสนิทสนมกันก็อดที่จะบาดใจกับภาพบาดตาไม่ได้

เลยต้องหาทางเลี่ยงไปรับแขกห่าง ๆ

      ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งปอทั้งหยิน มีเรื่องพูดคุยไถ่ถามกันไม่รู้จบ จนคนรอบตัวกลายเป็นคนนอกสำหรับทั้งคู่ไปซะแล้ว

พวกผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้คุยกันไปตามสบาย ไม่เรียกใช้ ไม่เรียกหา แถมยังส่งสายตาเอ็นดูให้เสียอีก

ซุ้มต้นเล็บมือนางของปอก็เลยกลายเป็นมุมส่วนตัวที่ใคร ๆ ก็ได้แค่มองมา แต่ไม่อยากรบกวน

      “นึกยังไงถึงได้ย้ายมาอยู่บ้านพี่ปืนหือปอ”

      คำถามของหลินเล่นเอาปออึ้ง พูดไม่ออกไปอึดใจ

      “เค้าชวนเหรอ”

      ปอลองทบทวนก็รู้สึกเหมือนพี่ปืนจะไม่เคยชวนตรง ๆ นะ แต่ถ้าถามเรื่องชวนไปดูโครงการบ้านจัดสรรล่ะก็...เป็นประจำ

จนกลายเป็นเรื่องของเราสองคนไปแล้ว ถ้าได้ข่าวว่าที่ไหนมีโครงการใหม่ ๆ ทำเลน่าสนใจเป็นต้องชวนกันไป

แล้วพอตกลงใจได้ว่าชอบบ้านหลังนี้ ก็วางแผนร่วมกันว่าจะทำยังไง ตั้งแต่เรื่องเงินไปถึงเรื่องสร้างบ้าน จัดสวน

จนมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา พี่ปืนเป็นคนออกเงินซื้อก็จริง แต่ก็พูดได้เต็มปากว่า กว่าจะมาเป็นบ้านอย่างที่เห็น

ความฝันของพี่ปืนกับความฝันของปอก็กลายเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออก

      “ไม่เคยหรอก”

      ปอตอบตรง ๆ

      “แต่....ไม่รู้ดิหยิน ตั้งแต่เริ่มคุยกันเรื่องบ้าน เราก็มีความรู้สึกว่า คงได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน

แล้วพี่ปืนเค้าก็ถามความเห็นเราตลอดนะ เราปรึกษากันทุกเรื่อง จะตกแต่งบ้านแบบไหนพี่ปืนก็ถามเราทุกที

ก็ถ้าเค้าไม่อยากให้เรามาอยู่ด้วย เค้าจะถามเราทำไมอ่ะ ว่ามั้ย”

      “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกปอ พี่ปืนเค้าอาจจะอยากได้คนช่วยคิด เพราะคิดคนเดียวมันก็ได้แค่มุมมองเดียว

เค้าถามปอได้ เค้าก็อาจจะถามคนอื่นไปด้วยเหมือนกันอ่ะแหละ”

      “หยินว่างั้นเหรอ”

      ปอเริ่มใจเสีย ที่หยินพูดก็มีส่วนถูกนะ ที่ปอย้ายเข้ามาอยู่โดยที่พี่ปืนไม่ชวนเป็นเพราะปอแสดงทีท่าให้เห็นว่า

อยากมาอยู่ด้วยเหลือเกิน จนพี่ปืนต้องตกกระไดพลอยโจนหรือเปล่า

      “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิเล่า เราก็แค่ถามเฉย ๆ เพราะปอไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับเค้าจริง ๆ ซักหน่อย

แต่เราก็ดูออกนะว่าพี่ปืนกับปอน่ะ สนิทสนมกันมาก ดูเหมือนพี่น้องกันยิ่งกว่าเราที่โตมาด้วยกันซะอีก”

      “ใช่ เราก็มีแค่พี่ปืนนี่แหละที่สามารถคุยปรึกษาได้ทุกเรื่อง เพื่อนที่มหาลัยก็ไม่ได้รู้สึกสนิทใจกันแบบนี้”

      “ก็แหงล่ะสิ ปอรู้จักพี่ปืนมาก่อนเพื่อนที่มหาลัยนี่นา”

      “พี่ปืนเค้าเป็นคนดีนะ เราประทับใจเค้าตั้งแต่ครั้งที่เค้าช่วยเหลือเราเรื่องเงินค่าเรียนพิเศษทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

แรก ๆเราก็แค่อยากทำดีตอบแทนเค้า แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้คิดเรื่องตอบแทนแล้วล่ะหยิน”

“ใช่ เค้าเป็นคนดีมากเลยล่ะปอ คิดดูซิ ใครจะกล้าให้คนที่ไม่รู้จักยืมเงินตั้งหลายพัน แล้วจะแน่ใจ

ได้ไงว่าจะไม่โดนเบี้ยวน่ะ”

      “ตอนที่เรามารู้ทีหลังว่าเค้าพักอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกับที่เราเช่าอยู่ เราก็ยิ่งดีใจนะ ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กัน

เราจะได้มีโอกาสรู้จักเค้ามากขึ้น แล้วก็ได้ตอบแทนอะไรเค้าบ้าง ยิ่งตอนนี้เราได้รู้จักพี่ปืนมากขึ้น

เราก็ยิ่งอยากทำให้เค้าทุกอย่าง อยากดูแลให้เค้ามีความสุข คนโสดแบบนั้นน่ะ ต้องมีใครซักคนคอยดูแลบ้าน

ดูแลเรื่องเสื้อผ้า เรื่องอาหารการกินให้ เค้าจะได้ทำงานให้เต็มที่อย่างไม่ต้องกังวล เลิกงานก็ไม่ต้องวิ่งหาของกินนอกบ้าน

จะไปทำงานก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้า บ้านช่องสะอาดน่าอยู่ เพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนก็ไม่อายเค้าว่าบ้านช่องรกเป็นรังหนู”

      ตลอดเวลาที่พูดความในใจออกมา ปอคงไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาฉายแววอ่อนโยนอ่อนหวานขนาดไหน

ทุกคำที่ปอพูดถึงสิ่งที่ทำให้พี่ปืน มันคงจะเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าคนพูดจะเป็นภรรยา หรือว่าที่ภรรยา

ที่คอยดูแลสามีตามประสาแม่ศรีเรือน แต่นี่เป็นปอ แล้วไอ้แววตาเชื่อม ๆ ที่มองเข้าไปในบ้าน

หยินมองตามไปก็เห็นคนที่ปอกำลังพูดถึงเดินไปเดินมา อย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกล่าวถึง ก็ยิ่งทำให้แปลกใจว่า

พี่น้องคงไม่ส่งสายตาแนว ๆ นี้ให้กันแน่ ๆ ถึงหยินจะไม่มีพี่มีน้องก็ไม่ได้โง่นะ ว่าไอ้แววตาแบบนี้น่ะมัน.......

      “แล้วพี่ปืนล่ะ เค้ารู้สึกยังไงที่ปอมาอยู่ในบ้าน”

      ปอทำหน้างง ๆ กับคำถาม

      “ก็...เค้าอึดอัดรำคาญมั้ย ผู้ชายโสดที่เค้าอยู่คนเดียวจนเป็นนิสัยอ่ะนะ เค้าจะรักอิสระมาก ไม่ชอบให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการ

อยากจะทำอะไร ไปไหน ก็ไม่ต้องตอบคำถามใคร ไม่ต้องรายงานใคร แล้วก็ไม่ต้องพะวงว่าจะใครจะบ่นเวลาที่เค้ากลับบ้านดึก ๆ

แล้วต้องมาเปิดประตูให้ จะหิ้วใครมาที่บ้านก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”

      “พูดยังกะมารู้มาเห็นจริง ๆ งั้นแหละ ว่าคนโสดเค้าอยู่ยังไง”

      “แหม...ถึงไม่เคยเห็น แต่ประสบการณ์ขั้นที่สองเราก็พอมีหรอกปอ อ่านจากหนังสือเอามั่ง

แล้วเพื่อนผู้ชายที่มหาลัยเราก็เยอะแยะ เวลามันพูดกันในกลุ่มน่ะ มันไม่ค่อยจะคิดหรอกว่าเราเป็นผู้หญิงน่ะ

เผลอ ๆ บางทีมันก็มาเล่าเรื่องที่มันมีอะไร ๆกับแฟนมันให้ฟัง เรานะฟังมาซะจนจะปฏิบัติได้เองอยู่แล้วเนี่ย”

      “ฮ่า ๆ หยินนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ พูดอะไรขวานผ่าซากยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังพูดได้ แถมยังร้ายกว่าเดิมอีกแน่ะ”

      “นี่...ไม่ต้องมาว่าเรานะ”

      หยินฟาดหนัก ๆ ไปที่ต้นแขนปอ จนเจ้าตัวบ่นเจ็บมือ เพราะฟาดแรงไปหน่อย

      “แทนที่เราจะบ่นเจ็บ หยินกลับบ่นเจ็บมือ”

      “โดนกระดูกอ่ะดิ นี่พี่ปืนเค้าเลี้ยงตัวเองยังไงเนี่ย อดมื้อกินมื้อเหรอ ถึงได้มีแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างเงี้ยะ...ฮะ”

      “หนังหุ้มกระดูกที่ไหน เค้าออกจะหุ่นดี”

      “เชอะ...หุ่นดีต้องอย่างพี่ปืนนู่น สูง ๆ ไหล่กว้าง ๆนะ สะโพกเพรียว ขายาวตรงเวลาถอดเสื้อก็ต้องมีกล้ามหน่อย

ซิกแพ็กอ่ะ รู้จักมั้ย”

      “ทำมาพูดยังกะเคยเห็นของเค้า”

      “หูย...ไม่ต้องเห็นกะตาหรอกย่ะ มองทะลุเสื้อผ้าเข้าไปก็จิ้นได้แล้ว”

      “ยังจะทะลึ่งอีก เดี๋ยวจะฟ้องพี่ปืน”

      “ฮิฮิ ไม่ต้องฟ้องหรอก ว่าง ๆ ไว้ปลอดคนนะ จะขอให้พี่ปืนถอดโชว์ซะเลย”

      ปอได้แต่ส่ายหน้าให้กับความห่ามปนทะลึ่งของหยิน ตั้งแต่เล็กจนโต เขามีหยินเป็นทั้งพี่น้อง ทั้งเพื่อนเล่น

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า สองครอบครัวหวังจะให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก

ต่อให้ปอไม่รักพี่ปืน ต่อให้ปอรู้สึกรักผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป เขาก็คงไม่มีวันรักหยินอย่างสามีภรรยาได้แน่

ความรักความผูกพันธ์ระหว่างเรา มันแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมากมาย เขาเชื่อว่า

ในโลกนี้คงมีแต่หยินเท่านั้นที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น และยอมรับได้อย่างไม่นึกรังเกียจ

ยิ่งไปกว่านั้น หยินจะเป็นคนส่งเสริมไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้ปอมีความสุข

สักวันเถอะ เขาจะบอกให้หยินรู้เป็นคนแรกว่า เขาเป็นอะไร

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #101 เมื่อ20-05-2012 20:14:46 »

ครอบครัวนี้เค้ารักกันดีจัง :L1:

ออฟไลน์ KuMaY

  • คนไม่สำคัญ ทำไรก็ผิด
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #102 เมื่อ20-05-2012 21:34:38 »

ทำร้ายกันไปก็ทำร้ายกันมานะ พี่ปืนกะปอเนี๊ยะ :m16:
แม่ๆน่ารักอ่ะ เข้ากันดีจริงๆ o13

ออฟไลน์ choijiin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-5
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #103 เมื่อ21-05-2012 00:23:27 »

กระซิกๆ
 :impress3:
ทำไมมันหน่วงยังงี้ค้าคุณนู
เหมือนพี่ปืนกับน้องปอจะอยู่กันแบบมีความสุข
แต่ต่างฝ่ายก็ต้องเก็บความรักไว้ข้างใน
อ่านแล้วอยากร้องไห้
 :monkeysad:
เพราะจริงๆไม่ค่อยชอบเรื่องดราม่าเท่าไหร่
แต่เรื่องนี้มันติดไปแล้ว
ก็ต้องขอติดตามคุณนูต่อไปแหละค่ะ
ไม่มีทิ้งกันไปก่อนอยู่แล้ว
แต่ว่าตอนจบคงจะแฮปปี้ใช่มั้ยคะ?
 :m26:
ไม่งั้นขอลาตายก่อนคนแรกเลยค่ะ
สงสารคนอ่านหน่อยนะคะ กระซิกๆ
 :sad2: :impress:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #104 เมื่อ21-05-2012 15:02:34 »

พี่เอกก็ดีเนอะ สปอร์ตอ่ะ ขายรถให้ถูกๆ ให้เครื่องกรองเป็นหมื่น กลับไปรักกับเต้ยก็ดีแล้วล่ะ
ทุกอย่างในตอนนี้รู้สึกสดใสขึ้นเยอะ
ถึงทั้งคู่จะยังต้องเก็บกดความรักไว้ในใจ แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันต่อ
งอนๆง้อๆกัน เรียนรู้กันไป
ชอบหยิน เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมความรักของปอ

ออฟไลน์ luv_khun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
«ตอบ #105 เมื่อ21-05-2012 19:11:20 »

โอย..ตามอ่านกว่าจะทัน  :เฮ้อ: เหนื่อย
เตรียมพร้อม สำหรับการเป็นครอบครัวละนะ

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #106 เมื่อ21-05-2012 22:58:08 »



คืนนี้เำืกือบจะไม่ได้โพสท์แล้วครับ เพิ่งกลับเข้าบ้านตอนสองทุ่มนี่เอง

งานเยอะมากกกกกก

พอดีตอนนี้ต้องไปช่วยงานที่ต่างสำนักงาน อะไร ๆ ก็ไม่เข้ามือซักอย่าง

โต๊ะทำงานก็ไม่ใช่ของเรา ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่คุ้นมือ

งานมันก็เลยขลุกขลัก ชวนให้หงุดหงิดเอาง่าย ๆ

ได้อาบน้ำปะแป้งหอม ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย

จะโพสท์ซักสองสามตอนนะครับ

คิดถึงคอมเม้นท์ ไม่มาไม่ได้เลยเชียว  :pig2:













    ปอยังเก็บคำถามของหยินที่เขาไม่ได้ตอบมาคิดต่อ ว่าพี่ปืนเคยรู้สึกอึดอัดมั่งมั้ย ที่ปอย้ายเข้ามาอยู่ด้วย

แต่อย่างหนึ่งที่ปอแน่ใจก็คือ พี่ปืนคงจะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างแล้ว เพราะตอนอยู่ที่เก่า

พี่ปืนยังเคยพาผู้หญิงมาค้างคืนด้วย

    แต่ที่นี่พี่ปืนไม่เคยพาใครมานอกจากเพื่อน อยากจะระบายอารมณ์ก็ต้องไปที่อื่น ซึ่งคงไม่ค่อยจะสะดวกนัก

แต่ว่า....บ้านไม่ใช่โรงแรมม่านรูดนะ ถึงได้คิดจะพาใครต่อใครมาค้างอ้างแรมได้น่ะ ดีแล้วล่ะ

ที่พี่ปืนไม่คิดจะพาใครมา ให้บ้านยังคงเป็นบ้านที่อบอุ่นปลอดภัยต่อไป

และที่สำคัญ จะได้ไม่มีภาพที่เหยียบย่ำทำร้ายหัวใจปอวนเวียนอยู่ในบ้านด้วย

      “แอบมาหลบตรงนี้เอง”

      ฝ่ามือหนัก ๆ กดลงมาบนบ่าปอเบา ๆ แล้วเจ้าของฝ่ามือก็เดินอ้อมหลังมานั่งตรงข้ามกัน

      “ไม่ได้หลบซักหน่อย ผมมาส่งหยินกลับบ้านแล้วก็มานั่งเล่นน่ะครับ”

      “ดูวุ่นวายดีจังเลยนะครับวันนี้”

      “ไม่หรอกครับพี่เอก วันงานก็เป็นแบบนี้แหละ ทุกคนที่มาก็มาเป็นเกียรติให้เรานี่ครับ แล้วพี่เต้ยล่ะครับ ไปไหนแล้ว”

      “อยู่ในครัวกับแม่ของปอนั่นแหละ กำลังถามสูตรอาหาร กลับไปว่าจะทำให้พี่กิน”

   พี่เอกพูดแล้วก็หัวเราะหึหึ

      “ดีจัง”

      “อะไรดีครับ สูตรอาหารน่ะเหรอ”

      “ไม่ใช่ครับ พี่เอกกับพี่เต้ยได้อยู่ด้วยกันต่างหากที่ผมว่าดี”

      “ก็เกือบไป”

      ปอเหลือบตาขึ้นมองหน้าพี่เอกตรง ๆ

      “ตอนที่พี่ย้ายกลับบ้านพี่ไม่ได้บอกเต้ยหรอกนะ เค้าตามพี่ไปทีหลัง

ลาออกจากงานทุกแห่งที่ทำอยู่ ขายคอนโดฯ ขายรถ”

      “อ้าว...ผมไม่ทราบเลยนะครับเนี่ย”

      “เค้ากล้ามากที่ทำแบบนั้น เพราะเท่ากับทุบหม้อข้าวแล้วไปตายดาบหน้า ถ้าพี่ไม่โอเค เค้าก็จะคว้าง

อย่างน้อยก็คงต้องหางานใหม่ เริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด”

      “พี่เต้ยเค้าคงรักพี่เอกมาก”

      “ใช่ บ้ามากด้วย เค้าโทรไปหาพี่ที่ทำงาน พี่ก็นึกว่าเค้าโทรจากที่นี่คุยไปคุยมาซักพัก

เค้าก็บอกว่าตอนนี้เขาเปิดบัญชีอยู่ที่แบ็งก์ตรงข้ามกับที่ทำงานพี่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีที่อยู่

ไม่รู้ว่าคืนนี้จะค้างที่ไหน”

      พี่เอกเล่าไปพลาง ปากก็ยิ้มไปด้วย

      “พี่เอกก็เลยชวนเค้าพักที่บ้านใช่มั้ยครับ”

      “เปล่าครับ พี่บอกว่า ตรงหัวมุมถนนมีโรงแรมที่พออยู่ได้แห่งนึง ค่าห้องไม่แพงให้อยู่ไปก่อน

แล้วพี่จะหาห้องเช่า ไม่ก็บ้านเช่าให้”

      “โห พี่เอกใจร้ายอ่ะ”

      “ก็ใครใช้ให้มาไม่บอกเล่า ถ้าพี่อยากให้มาพี่ก็ชวนแล้วล่ะสิครับปอ”

      “แล้วพี่เต้ยว่าไงครับ”

      พี่เอกเล่าให้ฟังต่อว่า พี่เต้ยยอมเช็คอินที่โรงแรมโดยไม่โต้แย้งแม้แต่คำเดียว

พี่เอกบอกว่าจะแวะไปหาตอนเลิกงาน พี่เต้ยก็รอ

      “หลังจากนั้นพี่ก็ให้เต้ยไปอยู่ห้องเช่าที่คอนโดฯของญาติ ๆ เค้าให้ราคาพิเศษ แนะนำงานให้ด้วย

เต้ยเค้าก็ทำทั้ง ๆ ที่เงินเดือนน้อยกว่าที่เค้าเคยได้เกือบครึ่ง พี่ถามเค้าว่าจะทนอยู่ไปทำไม

ที่นี่มันไม่มีอนาคตเหมือนที่ที่เค้าเคยอยู่หรอก รู้มั้ยเค้าตอบพี่ว่าไง”

      ปอส่ายหน้า

      “เค้าบอกว่าอนาคตที่ไม่มีพี่อยู่ด้วย สำหรับเค้ามันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว...พี่ฟังแล้วก็อึ้งเลย”

      “โห พี่เต้ยอ่ะ สุดยอดเลยครับ”

      “อืม....พี่ก็มาคิดอยู่หลายวันนะครับ ตอนนั้นเต้ยอยู่ที่นั่นมาเกือบสามเดือนแล้ว เงินเก็บก็มีแต่จะพร่องไป

เพราะเงินเดือนที่ได้รับมันก็นิดเดียวจริง ๆ แต่เค้าก็ไม่เคยบอกพี่มารู้เองทีหลังตอนเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีเค้า”

      พี่เอกมองตาปอตรง ๆ เหมือนอยากจะสื่ออะไรกับปอซักอย่าง

      “ในชีวิตพี่รักใครจริง ๆ อยู่สองคนเท่านั้น คนแรกที่พี่รักก็คือปืน พี่มั่นใจเพราะไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน

ถึงตอนนี้พี่ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

    ปอหน้าเข้มขึ้นจนตัวเองก็รู้สึกได้ว่าเผลอแสดงอารมณ์หวงออกไปแล้ว

    “แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะปืนไม่ได้รู้สึกเหมือนพี่ ส่วนเต้ยพี่มารักเค้าทีหลัง เพราะความรักที่เค้ามีให้พี่

อดทนกับพี่มาตลอด ทำทุกอย่างให้ไม่เคยปริปาก พี่แพ้ใจเค้าจริง ๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะพี่พอใจเค้าอยู่ก่อนแล้ว

ก็เลยรักเค้าได้ไม่ยาก”

        “ผมก็คิดอย่างนั้นนะครับ พี่เต้ยคงรักพี่เอกมาก จนลืมรักตัวเอง ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาเพื่อพี่เอก

ผมยังนึกไม่ออกว่า ถ้าพี่เอกปฏิเสธพี่เต้ยจะเป็นยังไง”

      “เต้ยเค้าไม่ได้ลืมรักตัวเองหรอกครับปอ เพราะเค้ารักตัวเองต่างหาก เค้าถึงได้ยอมทุกอย่างเพื่อ่ให้ได้อยู่กับพี่

เค้ารู้ว่าอยู่ที่ไหนกับใครแล้วเค้าจะมีความสุข....ก็เหมือนกับปืนที่เค้ารู้ว่าเค้าอยู่กับใครแล้วเค้าถึงจะมีความสุข

เค้าถึงปฏิเสธพี่อย่างไม่มีเยื่อใย”

      พี่เอกพูดแปลก ๆ ซึ่งปอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

      “แล้วปอล่ะ รู้ตัวเองรึเปล่าว่าที่ปออยู่กับปืนทุกวันนี้เพราะอะไร ถ้าได้คำตอบเมื่อไหร่ ปอก็คงจะเข้าใจว่า

เพราะอะไรปืนถึงไปไหนไม่ได้ รักใครไม่ได้ แล้วก็ต้องมาอยู่กันสองคนแบบนี้”

      โอย....วันนี้มันวันอะไร มีแต่คนทิ้งคำถาม ทิ้งปริศนาไว้ในหัวปอ ตอนสายก็หยิน ตอนบ่ายก็พี่เอก

ปอก็ไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าใครหรอกนะ แต่พอคิดตามไปด้วย

คำตอบที่ได้มันก็เหมือนเข้าข้างตัวเองยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #107 เมื่อ21-05-2012 23:13:05 »




     “มองหน้าพี่ทำไมเหรอปอ”

      “เอ้อ...ป่าวครับ”

      ปอปฏิเสธด้วยคำพูดติดปาก ทั้ง ๆ ที่ปืนสังเกตอยู่นานแล้ว ปอก็ยังไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา

กวาดข้าวใส่ช้อนจะป้อนเข้าปาก แต่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนเขี่ยอาหารในจานเล่นยังไงยังงั้น

      “ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องกินนะ เอาจานไปเก็บเหอะ พี่นั่งกินคนเดียวได้”

      ปอไม่รับคำ แต่ก็รวบช้อนส้อมในจานอย่างอ้อยอิ่ง ตอนที่เดินเอาจานไปวางในอ่างล้างก็ยังดูเลื่อนลอยพิกล

      ปืนเก็บโต๊ะอาหารหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ไม่อยากกินต่อเหมือนกัน แต่พยายามไม่ให้ดูเป็นว่าเขาเองก็รู้สึกตื้อ

กินอะไรไม่ลงที่เห็นปอดูแปลกไป ปอมีท่าทางแบบนี้ตั้งเต่เมื่อเช้าแล้ว หลังจากรับโทรศัพท์จากใครก็ไม่รู้

เห็นกดรับสายแล้วก็เดินไปนั่งคุยที่ซุ้มต้นเล็บมือนางเป็นนานสองนาน

      แม่ ๆ แยกย้ายกันกลับบ้านช่องห้องหอของตัวเองไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ปืนรับหน้าที่ไปส่งที่สถานีรถโดยสาร

โดยปอขอเฝ้าบ้าน แล้วพอปืนกลับจากไปส่งแม่ก็เห็นปอในอาการเบลอ ๆ เลื่อนลอยตั้งแต่นั้นจนบัดนี้


      อุปาทานหรือเปล่านะ ที่ปืนรู้สึกเหมือนว่า บ้านเป็นบ้านขึ้นมาอย่างที่อยากจะให้เป็น บางทีการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่

อาจจะเป็นกุศโลบายเชิงจิตวิทยาของคนโบราณที่ต้องการให้คนในบ้านเกิดความรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ และอนาคตที่จะมีร่วมกันต่อไป ปืนกำลังรู้สึกแบบนั้น และเขาก็อยากรู้ว่าปอคิดเหมือนกันหรือเปล่า

แต่ดูท่าตอนนี้คงยังไม่ได้คำตอบจากปอ ก็ดูท่าทางสินั่น

      ปืนเริ่มทนไม่ไหว ความห่วงใยมันรุมเร้าซะจนอยากจะเอ่ยปากถาม

ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของปอนัก

ปอโตแล้ว คงอยากจะจัดการกับชีวิตของตัวเองมากกว่าเอาหลังพิงปืน คอยยึดไว้เป็นหลักตลอดไป

และปืนก็เห็นควรว่าเขาน่าจะทิ้งระยะห่างจากปอบ้าง ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง

ความรักความหวังดีของปืนควรจำกัดขอบเขต ไม่งั้นปอคงไม่เป็นผู้ใหญ่ซะที

      แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแทรกขึ้นก่อนที่ปืนจะทันได้พูดอะไร

      ปอคว้าโทรศัพท์ของตัวเองที่ตั้งอยู่ไม่ห่างตัวนัก ราวกับรอคอยเสียงเรียกเข้าจากมันมาตลอดเวลา

      “อืม....ได้สิ แล้วนี่อยู่ไหนเหรอ”

      “......”

        “อ้าว....เหรอ รอแป๊บนึงนะ”

        เสียงปอเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ พร้อมกับเท้าที่ก้าวออกนอกประตูบ้านเดินไปที่รั้วทำท่าชะโงก โยกตัว

สอดส่ายสายตาออกไปนอกประตู มองหาอะไร หรือใคร

      เสียงเปิดประตูบานเล็กให้คนข้างนอกลอดตัวเข้ามา ปืนได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามาในตัวบ้าน

อึดใจหนึ่งเจ้าของเสียงใส ๆ ที่พูดจาฉาดฉาน บอกแววฉลาด ก็ปรากฎตัวตรงช่องประตู

      หยินในชุดกระโปรงยืดตัวสั้นเลยสะโพกครึ่งคืบกับเสื้อรัดรูป แขนกุด สีหวานใส

ในรูปลักษณ์ที่ปืนไม่คุ้นตาเดินเยื้องย่างด้วยทีท่ามั่นใจอย่างสาวเปรี้ยว เข้ามาหา แล้วยกมือไหว้ปืนอย่างเรียบร้อย

      ปืนรับไหว้ยิ้ม ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

      “นึกว่าสาวน้อยที่ไหน ที่แท้ก็น้องหยินนี่เอง วันนี้แต่งตัวสวยกว่าเมื่อวันงานอีกนะครับ มีนัดกับใครเป็นพิเศษรึป่าว”

      “ก็กำลังจะนัดอยู่เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะพี่ปืน”

      หยินทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวติดกับปืน กระแซะเข้ามาจนชิดพนักเท้าแขนที่ปืนวางแขนของตัวเองอยู่

      “ไปดูหนังกับหยินหน่อยสิคะ เหงาอ่ะ ไม่มีใครว่างไปเป็นเพื่อนหยินเลย”

      “พี่เหรอ”

      ปืนคาดไม่ถึงว่าหยินจะกล้าเอ่ยปากชวนเขาไปดูหนัง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยอยู่ตามลำพังกับหยินด้วยซ้ำไป

ความสนิทสนมที่มีต่อกันก็ผ่านปอเป็นตัวกลางทุกครั้ง แต่อยู่ ๆ มาชวนไปดูหนัง มันออกจะก้าวหน้าเร็วไปหน่อย

      หยินพยักหน้า

      “หยินชวนปอแล้วเค้าไม่ว่าง นะคะพี่ปืน ไปเป็นเพื่อนหยินหน่อยนะ”

      “พี่ไม่ชอบดูหนังครับ น้องหยินลองชวนเพื่อนคนอื่นดูดีมั้ย”

      “พี่ปืนไม่ชอบไม่เป็นไรค่ะ แค่ไปเป็นเพื่อนก็พอ นะพี่ปืนนะ หยินไม่มีใครไปด้วยเลยอ่ะ”

       เหวอ.....แบบนี้ก็มีด้วย ปืนบอกไม่ชอบดูหนังหยินกลับบอกไม่เป็นไร

       ด้วยนิสัยที่ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น สุดท้ายปืนก็จำใจไปดูหนังเป็นเพื่อนหยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้แต่ปอที่รู้นิสัยและควรจะเข้าข้างพี่ปืน ช่วยปฏิเสธหยิน ก็ยังนั่งเฉย

แถมยังบอกให้พาหยินไปเลี้ยงข้าวก่อนไปส่งที่บ้านอีกต่างหาก...มันเรื่องอารายว้า...

      หนังก็น่าเบื่อ แทบจะพูดได้เต็มปากว่าเขาหาวตลอดเรื่อง ตั้งแต่ฉากแรก จนฉากสุดท้าย

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าห่าม ๆ แก่น ๆ อย่างหยินจะชอบหนังรักโรแมนติกแบบนี้

      “พี่ว่าเราโทรชวนปอมากินข้าวด้วยกันดีมั้ยครับน้องหยิน”

      ปืนถามความเห็นพลาง มือขวาก็พยายามรูดดึงออกจากการเกาะกุมของหยินไปพลาง

เพราะตั้งแต่ออกจากโรงหนังจนเดินมาขึ้นรถ หยินยังไม่ยอมปล่อยมือเขาเลย

      “ไม่ต้องโทรหรอกค่ะพี่ปืน หยินว่าเราไปกินกันสองคนน่ะแหละดีแล้ว หยินหิวแล้วด้วย กว่าปอจะมาหยินก็หิวไส้ขาดกันพอดีสิคะ”

      “เอ้อ....งั้นพี่ว่าเราซื้ออะไรกลับไปกินที่บ้านดีกว่ามั้ย ไม่เสียเวลาด้วย เดี๋ยวพี่โทรถามปอว่าอยากกินอะไร

 แล้วเราไปซื้อกัน พี่ว่ามันไม่เสียเวลาด้วย แล้วยังได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วย ดีมั้ยครับ กินกันหลายคนอร่อยดีนะครับ”

      ปืนเสนอทางออกที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด และไม่พัวพันกับตัวเองที่สุด แต่หยินก็ยังไม่ค่อยจะชอบใจนัก

      “ก็ตามใจพี่ปืนแล้วกันนะคะ เพราะถ้าซื้อไปกินที่บ้าน เดี๋ยวพี่ปืนก็ต้องมาส่งหยินที่บ้านอยู่ดี

ย้อนไปย้อนมา เสียเวลาด้วย เปลืองน้ำมันด้วย แล้วหยินขอบอกไว้ก่อนนะคะพี่ปืนต้องออกมาส่งหยินที่บ้านด้วย

ห้ามบอกให้หยินโดยสารรถรับจ้าง ฮึ่”

      หยินทำท่าทางเจ้าแง่แสนงอน จนปืนชักละล้าละลัง ไม่นึกว่าแค่ออกมาเป็นเพื่อนดูหนัง มันจะบานปลายไปเป็นเรื่องอื่น

      “เอางี้...พี่ปืนไปกินข้าวทีร้านป๊าดีกว่าป่ะ หยินเลี้ยงพี่ปืนเอง อยากกินอะไรว่ามาเลย หยินจะบอกกุ๊กทำให้เป็นพิเศษ”

       อาหารมื้อค่ำสำหรับปืน ผ่านพ้นไปอย่างทรมานและเต็มไปด้วยอาการลุ้นว่าเมื่อไหร่หยินจะเอามือออกไปจากตัวเขาซะที

เพราะตลอดเวลาเจ้าหล่อนจะขยันตักโน่นนี่ใส่จานให้เขาชิม พอจะชวนคุยอะไรบ้าง ก็ต้องเอามือมาแตะแขน แตะขา

เผลอ ๆก็เอาแก้มมาแนบต้นแขนของปืนซะดื้อ ๆ เป็นภาพลักษณ์ใหม่ของหยินที่ปืนไม่เคยรู้และไม่คิดว่าจะได้เห็น

      หยินสาวน้อยแรกรุ่นที่เจอกันครั้งแรก ออกจะแก่น ๆ ห้าว ๆ ออกแนวหญิงปนชาย ไม่กลัวใครแบบนักเลงนิด ๆ

ไม่ใช่หญิงไทยใจกล้า ไม่กลัวชายแบบนี้ เปรี้ยวจนเข็ดฟัน


      อย่าคิดว่านั่นเป็นครั้งเดียวที่หยินมีโอกาสได้ล่วงเกินปืน...(เอาเข้าไป) เพราะหลังจากอาหารค่ำมื้อนั้นแล้ว

หยินก็มักจะมาที่บ้านบ่อย ๆ ในวันหยุด นึกว่าจะนั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนปอก็เปล่า พอปอไปเปิดประตูให้ก็เดินมานั่งใกล้ปืนซะทุกที

เรียกว่าปืนอยู่ไหน หยินก็จะหาจนเจอ นอกจากปืนจะทำอะไรอยู่ในห้องนอนนั่นแหละที่หยินจะไม่บุกเข้าไป (ก็ยังดี)

หลัง ๆ ถ้าปืนรู้ตัวก่อนก็จะหลบอยู่ในห้อง คิดว่าจะพ้น สุดท้ายปอก็มาตามให้ลงไปข้างล่างอยู่ดี

แต่ปืนก็พอใจว่ามีเวลาได้ผ่อนลมหายใจ พอไม่ให้อึดอัดบ้าง

      “พี่ปืนลงไปกินข้าวกันครับ”

      ปอมาตามอย่างเคย

      “เดี๋ยวพี่ตามไปนะ”

      ปืนพูดพลางถอนหายใจ

      “เป็นไรรึป่าวอ่ะพี่ปืน”

      “หือ”

      ปอเดินเข้ามาหยุดข้างโต๊ะที่ปืนกำลังจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ

      “ทำไมเหรอ”

      “ก็พี่ปืนดูเบื่อ ๆ ไม่สบายรึป่าวครับ”

      “ป่าวหรอก จัดของอยู่ไง จะให้พูดอะไรอ่ะ”

      “แต่ผมว่าพี่ปืนไม่อยากบอกผมมากกว่า”

      “ทำไมพี่ต้องทำอย่างงั้นล่ะ”

      “ผมจะไปรู้พี่เหรอ”

      อ้าว....ทำเสียงสะบัด ออกอาการงอนซะแล้ว จะบอกดีมั้ยเนี่ย ว่าปืนเบื่อญาติปอเต็มทีแล้ว

หนังสือหนังหาไม่เรียน เข้านอกออกในบ้านผู้ชายเป็นว่าเล่น ตื๊อซะจนน่าเกลียด

จากที่ปืนเคยเอ็นดูว่า หยินเป็นเด็กแก่น ๆ น่ารัก ๆ ตอนนี้เขาเริ่มรำคาญ  หยินคนเดิมหายไปไหนไม่รู้

เขาเห็นสาวน้อยเปรี้ยวจี๊ด ทำตัวแป็นตุ๊กแกเกาะไม่ยอมปล่อย ไปไหนยังกะเงาตามตัว

ปืนก็คิดซะว่าเป็นน้องเป็นนุ่ง เขาแก่กว่าตั้งหลายปี (ได้ข่าวว่าอายุหยินเท่าปอนะปืน)

หยินคงไม่คิดกับเขาเชิงชู้สาวหรอก แต่ยิ่งนานวัน หยินก็แสดงออกชัดเจนขึ้นทุกที

ข้างเจ้าปอก็ดูเหมือนจะสนับสนุนกลาย ๆ ทั้งที่นั่นน่ะ คู่หมายของตัวเองแท้ ๆ

ทำไมมันพัลวันพัลเกอย่างนี้ได้

      ปืนวางปึกกระดาษรายงานกองสุดท้ายไว้ในแฟ้ม เลื่อนไปไว้ด้านข้างโต๊ะก่อนจะหันมามองปอเต็มตา

      “แล้วปอล่ะเป็นอะไร”

      “ผม?...ผมเป็น....เป็นอะไร”

      แน่ะ ตะกุกตะกักเชียว ว่าแต่พี่ปืน เราก็มีความในใจเหมือนกันแหละน่า

      “พี่อยากรู้ว่าปอคิดอะไรอยู่”

      “ผมคิดอะไรเหรอครับ”

       ปืนเลิกคิ้ว เป็นเชิงถาม ก็ดูเถอะ ปืนถามคำ ปอก็ย้อนกลับมาเป็นคำถามได้ทุกคำ จะไม่ให้ผิดสังเกตได้ยังไง

แต่ที่ปืนไม่เข้าใจก็เรื่องที่ เขาสงสัยว่าปอจะรู้เห็นเป็นใจกับหยิน ในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเขา

เพราะหยินเคยไปหาเขาที่ทำงาน (ทั้งที่ไม่เคยไป) แล้วก็รอกลับบ้านพร้อมเขา โดยอ้างว่าจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน

ทั้งที่บ้านตัวเองก็ออกจะเป็นร้านอาหารมีชื่อ วันหยุดก็ขยันมาเยี่ยมบ้านซะจนหัวกระไดไม่แห้ง มาแต่เช้า

ถ้าไม่ชวนออกข้างนอกก็อยู่จนเย็นค่ำ กินข้าวเย็นเสร็จ ปืนก็ต้องพาไปส่ง...มันเรื่องอะไร

ชีวิตของปืนวนวียนอยู่อย่างนั้น ไม่เคยสงบสุขมาสองอาทิตย์แล้ว

อยากตะโกนลั่น ๆ ว่า กูรำคาญ ก็กลัวน้องจะเสียใจ

      สิ่งที่หยินทำไป ถึงแม้ปืนจะไม่ยินดี และคงไม่มีวันจะสนองตอบได้ แต่ปืนยังหาวิธีที่นุ่มนวลเพื่อจะบอกกับหยินตรง ๆ ไม่ได้

อย่างน้อยเขาก็ยังเอ็นดูแบบน้องสาว (ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารรสเลิศ....ผู้เขียน) เป็นคู่หมายของปอ

ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็ให้เกียรติเขารับรองราวกับลูกชาย จะทำอะไรลงไป เขาก็ต้องระวังความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวด้วย

      ปืนเดินไปปิดประตู สำรวจล็อกให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมานั่งขอบเตียง

      “พักนี้หยินมาบ้านเราบ่อย ๆทำอะไรแปลก ๆ ปอไม่รู้สึกผิดสังเกตมั่งเหรอ”

      “ก็...ก็ไม่...เอ้อ…ไม่เห็นแปลกตรงไหนนี่ครับ”

      “ไม่ไปเรียนหนังสือเนี่ย ไม่แปลกเลยรึไง ยังไม่ปิดเทอมนะปอ”

      “หยินเค้าลาออกแล้ว”

      “ลาออก?”

      “เค้าบอกเจ็กกะอี๊แล้วด้วย”

      “ทำไมหยินถึงลาออก”

      “เค้าเบื่อเรียนแล้วมั้ง พูด ๆ อยู่ว่าจะมาเรียนสายอาชีวะที่นี่”

      “เค้าคิดอะไรของเค้าน่ะ”

      ปืนพูดกลั้วหัวเราะ งง ๆ กับพฤติกรรมของหยินไม่พอ ยังมาได้ยินอะไรที่นึกไม่ถึงเข้าอีก

หยินนี่ทำอะไรธรรมดา ๆ กะใครเค้าไม่เป็นเลยสินะ

      “หยินเค้าชอบหาประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ พอได้อย่างที่เค้าต้องการแล้ว เค้าก็หาอะไรอย่างอื่นทำอีก”

      ปอเดินมายืนตรงหน้าปืน ตั้งใจจะย้ำให้ปืนเข้าใจการกระทำของหยิน

      “เค้าไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกครับพี่ปืน แค่ไม่ชอบอยูในกรอบ เค้าอาจจะคิดอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

แต่ทั้งหมดก็ทำเพื่อความฝันของเค้าเองน่ะครับ”

      “เฮ้อ! ไม่เข้าใจอ่ะ ลูกคนรวย ๆ เค้าคิดอะไรกัน พ่อแม่มีเงินส่งเสียให้เรียน แต่กลับไม่ชอบเรียน

ชอบหาประสบการณ์ตามความฝันของตัวเอง มันจะเป็นความจริงได้รึป่าวก็ไม่รู้”

      “แต่ผมว่าเค้ากล้าหาญมากเลยนะครับพี่ปืน อยากทำอะไรเค้าก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ฝืน ชีวิตเป็นของเค้าเอง ผมสิ...”

      “ทำไม”

      “ป่าวครับ”

      ปอเดินหันหลังกลับไปที่ประตู ทำท่าจะเปิดออกไป

      “ไปกินข้าวกันเหอะพี่ปืน หยินเค้ารอเรานานแล้ว”

      ปืนพยักหน้าก่อนจะบอกให้ปอลงไปก่อน เหลือกระดาษโน้ตที่เขาต้องเรียบเรียงอีกสองสามแผ่น

ก่อนจะเก็บทั้งหมดลงกระเป๋าเอกสาร

      ลงมาถึงโต๊ะอาหาร ทุกอย่างก็พร้อมอยู่แล้ว   

      “พี่ปืนช้าจัง กับข้าวจะเย็นซะหมดแล้วนะคะ”

      “เก็บของอยู่น่ะครับ ที่จริงกินกันไปก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอพี่”

      “ไม่ได้สิคะ พี่ปืนอาวุโสสุด ต้องมาตัดริบบิ้น”

      “ริบบิ้นอะไรเหรอ”

      “โถ่ พี่ปืนอ่ะ ขำ ๆ ไม่เป็นมั่งรึไงคะ เราสองคนก็แค่อยากรอ นะปอนะ”

      ปอพยักหน้ายิ้มจืด ๆ หยิบจานช้อนออกมาวางเตรียมที่หัวโต๊ะให้ปืน

(ตรงไหนหว่า หัวโต๊ะ ก็มันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสนะ จำได้...ผู้เขียน)…(ก็มุมประจำของพี่ปืนเค้าแหละ…ปอ)

      ก็อย่างเคย...หยินจะคอยตักนู่นตักนี่ใส่จานปืนไม่ได้หยุดหย่อน จนปืนต้องยกจานหนี

      “พอแล้วครับ ที่อยู่ในจานพี่ก็จะกินไม่หมดอยู่แล้ว”

      “พอก็ได้ค่ะ แต่พี่ปืนต้องกินให้หมดนะคะ วันนี้ฝีมือหยินทำกับข้าวเองค่ะ

ถามปอเค้าว่าพี่ปืนชอบกินอะไร จะได้ซื้อของสดมาให้ครบ”

      “น้องหยินไม่น่าลำบากเลยนะครับ พี่กินอะไรก็ได้ เดินไปซื้อแกงถุงที่ปากซอยก็ยังได้

....อ้าว...ปออิ่มแล้วเหรอ”

      “ครับ อิ่มแล้ว ผมขอตัวไปทำรายงานก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องเอาไปเรียบเรียงกับเพื่อนในกลุ่มอีก

ถ้าทำไม่เสร็จจะทำให้งานส่วนรวมเสียไปด้วย”

      ปืนมองตามหลังปอ ที่เดินไปวางจานในอ่างล้าง

      “หยิน ถ้าพี่ปืนกินเสร็จแล้ววางจานไว้นะ เดี๋ยวเรามาล้างเอง ขอเวลาซักครึ่งชั่วโมง

 พี่ปืนครับกินเสร็จแล้วพาหยินไปส่งบ้านด้วยนะครับ แล้วก็ไม่ต้องดึงดันล้างจานล่ะ ผมบอกแล้วว่าจะลงมาทำเอง”

      ปอเดินขึ้นบ้านไป ทั้งที่ในสมองกับหัวใจกำลังสับสนเต็มที

      เขาคิดถูกรึเปล่า ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่หยินต้องการ โดยไม่สนใจว่าปืนจะรู้สึกยังไง

อยู่กันมาเป็นปี ๆ ทำไมปอจะไม่รู้ว่าพี่ปืนอึดอัดเอามาก ๆ กับการกระทำของหยินที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจ

อยากลองเล่นเกมอะไรสักอย่าง ที่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ไม่ได้ให้ผลดีอะไรกับหยินเลย

ส่วนกับปอ ผลจะออกมาเป็นยังไงก็สุดรู้ เขารู้แต่ว่าตอนนี้เขาปวดใจเหลือเกิน กับภาพต่าง ๆ ที่ปรากฎตรงหน้า

กับเรื่องราวที่หยินเล่าให้ฟัง เวลาที่ไปไหนมาไหนกับพี่ปืน

      เรื่องรายงานเป็นเพียงข้ออ้างที่เขาจะไม่ต้องทนดู ทนฟัง สิ่งที่ทำให้ใจต้องเจ็บ ไม่มีหรอกงานที่ว่าน่ะ

มันเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะ ตอนนี้เขาไม่มีงานอะไรที่ต้องทำ มันว่างจนเกินไปด้วยซ้ำ

จะอ่านหนังสือเพื่อทบทวนตำรับตำรา อย่างที่เคยทำเสมอ จิตใจมันก็ฟุ้งซ่านสิ้นดี

ตัวหนังสือที่เรียงรายเป็นบรรทัด มันกลายเป็นโซ่เส้นเล็ก ๆที่บีบรัด และพันธนาการหัวใจให้เจ็บปวดรวดร้าว

จนลมหายใจแทบจะขาดห้วง

อีกนานมั้ยน้อ...หยินจึงจะหยุดเล่มเกมทรมานหัวใจปอแบบนี้ซะที

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #108 เมื่อ21-05-2012 23:19:28 »

       

       ครึ่งชั่วโมงผ่านไปด้วยความว่างเปล่า ป่านนี้พี่ปืนคงไปส่งหยินแล้ว ปอค่อยรู้สึกคลายจากอาการเศร้าหมองลงบ้าง

ออกจากห้องของตัวเองเดินลงบันไดมา เพื่อจะไปเก็บจานชามล้างให้เรียบร้อยก่อนพี่ปืนจะกลับเข้ามา

เขาจะได้ขึ้นไปซุกตัวอยู่ในห้อง วันนี้ยังไม่อยากพบเจอใบหน้าที่จะทำให้รู้สึกหวิวไหวจนใจแทบขาด

       ย่างเท้าลงเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย ปอก็แทบทรุดลงทั้งตัว เพราะภาพที่เห็นในห้องรับแขก

คือชายหญิงกอดรัดกันแนบแน่น บดจูบกันอย่างลืมโลก ไม่รับรู้ความเป็นไปรอบ ๆตัว

คนหนึ่งก็เพื่อนที่เหมือนน้อง อีกคนก็รักราวกับดวงใจ

   ......อีกแล้วหรือนี่

     ที่ปอรู้สึกเหมือนถูกมีดปลายแหลมบาดลึกลงบนเนื้ออ่อน ๆ ที่เรียกว่าหัวใจ

     กว่าจะรู้ตัวว่าร้องไห้ น้ำตาเม็ดโป้ง ก็หยาดลงถึงปลายคาง ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไม่เป็นรูปเป็นร่าง

จากภาพคนสองคนยืนกอดกันอยู่ห่างออกไป ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น

         มือที่เข้ามากุมนั้นใหญ่ นุ่มและอุ่น ทว่าแข็งแกร่งนัก เสียงของเขาแหบพร่าแต่อ่อนโยน

ปลุกปลอบให้ปอหยุดร้องไห้ แต่แรงสะท้อนในช่องอก เป็นระลอก กลับยิ่งทำให้ปอร้องไห้และสะอื้นหนักขึ้น

หยุดเมื่อไรคงแน่นไปทั้งอก ระบายมันออกมาซะยังจะดีกว่า

        แต่....พอแล้วเขาไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ ยิ่งยืนอยู่นานเท่าไร ก้อนแข็ง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

ก็คงจะระเบิดออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น

       ปอก้มหน้า ดึงมือช้า ๆ ออกจากการเกาะกุมที่ไร้ความหวังใด ๆ เขาหันหลังให้กับคนคู่นั้น

ก้าวขาขึ้นบันไดอย่างอ่อนแรง ได้ยินเสียงสองเสียงเรียกตามหลังมา ปอก็ไม่คิดจะเหลียวกลับไปดู

ตอนนี้บอกตัวเองว่าขอหลบไปเช็ดน้ำตาให้ตัวเองก่อน

       ปอรู้ว่าความทุกข์ในใจที่เขาเจออยู่นี้ ไม่ใช่ความผิดของพี่ปืน ที่รักตอบปอไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของหยิน

ที่มาสะกิดความรู้สึกที่เขาพยายามกดมันลงไป และเขาคิดว่าตัวเองก็ไม่ผิดเหมือนกันที่จะรู้สึกรักใครสักคน

ก็แค่รักใครที่ไม่ควรรัก รักแล้วก็เลิกไม่ได้

      ห้องทั้งห้องช่างอ้างว้างเหลือเกินในเวลาที่รู้สึกว่าหัวใจไร้ที่พักพิง เขานอนมองเพดานอยู่นานเท่าไรไม่รู้เลย

น้ำตารินลงเปียกหมอนจนชุ่ม จนรู้สึกเย็นชื้นที่ท้ายทอย แต่ตอนนี้เขาหยุดร้องไห้แล้ว และกำลังปล่อยความคิดของตัวเอง

ล่องลอยไปเรื่อย ๆ นับจากวันที่ได้รู้จักผู้ชายตัวโต ๆ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว เนคไทสีเข้ม

      คนอะไรแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า รองเท้าหนังสีดำเป็นมัน กับกางเกงสีดำดูคมเข้ม

หล่อสมาร์ทบาดใจเสียจริง ๆ จำได้ว่าตัวเองรู้สึกสะดุดตาใบหน้าคม ๆ ที่โผล่พ้นเคาน์เตอร์ก่อนอื่นเลย

โชคดีที่วันนั้นเขากดคิวได้พนักงานหนุ่มรูปงามคนนั้นพอดี ยิ่งมาเห็นเต็มตาตลอดลำตัว

ปอก็ยิ่งประทับใจ ทั้งหล่อ ทั้งใจดี สมแล้วที่สาวรักสาวหลง เขาเองยังหลงเลย

ภูมิใจซะไม่มีล่ะ ที่มีพี่ชายเท่ ๆ หล่อ ๆ กะเค้าขึ้นมาบ้าง

...รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ยามที่ปอนึกถึงช่วงแรก ๆ ที่ยังเห่อพี่ชายคนใหม่

      ความรู้สึกนั้นมันผันแปรไปตั้งแต่เมื่อไรหนอ


      เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ใกล้ๆ เขาวางมันทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง คร้านจะเอื้อมมือไปหยิบ

ปล่อยให้ดังไปเถอะ เขายังไม่พร้อมจะคุยกับใคร ถ้าสำคัญนัก พรุ่งนี้เช้าโทรมาใหม่ก็แล้วกัน

...นั่นไง เสียงเงียบไปแล้ว

      ปอพลิกตัวนอนตะแคง กอดอกคู้เข่าแนบลำตัว รู้สึกหนาวหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

ระหว่างหยินกับพี่ปืน มันเริ่มต้นตรงไหนนะ

      อ้อ...นึกออกละ

      หยินถามเขาเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเรา เขาก็บอกไปตามตรง ว่าเขามีแค่ความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน

และคงเป็นอื่นไปไม่ได้ หยินพยักหน้าบอกว่า หยินก็เหมือนกัน เราสองคนจับมือกันแน่นและยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ

      หยินถามเขาตรง ๆ ว่าเขารักพี่ปืนมากมั้ย ตอนนั้นปองง ไม่กล้าตอบ

ไม่แน่ใจว่าคำนั้นมีความหมายยังไงในความรู้สึกของคนถาม จนกระทั่งหยินบอกว่า หยินสังเกตแววตาของปอ

ทุกครั้งที่มองพี่ปืน ไม่เหมือนแววตาที่ผู้ชายมองกัน และมันก็เกินกว่าแววตาที่น้องชายจะมองพี่ชายอย่างชื่นชม

      “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย”

      ปอตวัดเสียงไม่พอใจที่หยินพูดจี้ถูกจุด แต่ก็ไม่ได้โกรธ อาจจะมีอาย ๆ ปนบ้าง ถึงจะสนิทกันมากแค่ไหน

เรื่องนี้ปอก็ยังไม่อยากบอกหยินอยู่ดี

      “จะปากแข็งก็ตามใจนะ มีอะไรไม่บอก เราก็แค่รู้สึกว่าปอกำลังมีความรักก็แค่นั้น ไม่เห็นจะต้องมาทำฉุนเฉียวใส่เลย”

      “ไม่ได้ฉุนเฉียวนะ ก็หยินพูดอะไรก็ไม่รู้”

      “ไม่รู้จริงอ่ะ ปอไม่รู้แล้วพี่ปืนเค้ารู้รึป่าวล่ะ”

      “หยินนี่พูดจาวกวน พี่ปืนรู้เรื่องอะไร”

      “เฮ้อ!...วันนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”

      หยินถอนใจอย่างรำคาญ ๆ แล้วก็พุ่งตรงประเด็น

      “ปอ...ปอรักพี่ปืนใช่มั้ย…อ้ะ ไม่ต้องตอบ ฟังเราอย่างเดียวพอ พี่ปืนเค้าคงยังไม่รู้ตัวหรอกมั้งว่าเค้าเองก็ใจเดียวกับปอ

...ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องพูด บอกให้ฟังเราไง”

       ปออ้าปากประท้วง แต่หยินขึงตาใส่ก่อน เลยต้องนิ่งฟัง

      “เราว่ามันไม่ง่ายเลยนะที่จะทำให้ผู้ชายคนนึงที่ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดายอมรับว่าตัวเองเป็นอะไรที่ไม่เหมือนผู้ชาย

ทั่ว ๆ ไป แล้วยังมีอุปสรรคสำคัญคือครอบครัวของทั้งสองฝ่ายน่ะ”

      วันนั้นปอฟังหยินพูดอะไรต่ออะไรยาวมาก ก็วันที่จัดงานขึ้นบ้านใหม่นั่นแหละ

มีคนสองคนมาเปิดประเด็นเรื่องพี่ปืนไว้ในหัวปอถึงสองคน นอกจากหยินก็คือพี่เอก

นอกจากการพูดคุยวันนั้นแล้ว ก็เกิดเรื่องอะไรต่ออะไรตามมาอีกหลายเรื่อง

จนที่สุดของที่สุดก็คืนนี้ ที่ปอได้เห็นภาพบาดตาบาดใจจากคนที่ปอรักทั้งสองคน

      ก่อนหน้าที่หยินจะทำตัวเป็นแขกประจำบ้าน เราสองคนมีข้อตกลงเล็ก ๆ กันอยู่

ปอยังขำว่าหยินคิดจะทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะเข้าท่า แต่ละครั้งที่หยินมาดักพบพี่ปืน

ก็ได้ปอนี่แหละคอยส่งข่าวทั้งที่ไม่ค่อยเต็มใจ หยินเองก็บอกว่าแค่ลองใจพี่ปืน

อยากรู้ว่าเป็นอย่างที่หยินคิดหรือเปล่า ตอนนั้นปอได้แต่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

แต่ถึงห้ามหยินก็คงไม่รับฟัง นิสัยอยากทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ แก้ยังไงก็ไม่หายซะที

      ขอให้สิ่งที่ปอเห็นเป็นแค่การลองใจอย่างที่หยินว่า ความจริงแล้วต่อให้หยินรักพี่ปืนจริง ๆ

แล้วสองคนนี้ได้ลงเอยกันจริง ๆ ปอก็คงร่วมรู้สึกยินดีไปด้วย แต่ปอก็รู้อยู่เต็มอกว่าหยินไม่ได้คิดกับพี่ปืนในแง่นั้น

แล้วพี่ปืนล่ะ ผู้ชายอ่ะนะ ต่อให้ไม่รักก็มีเซ็กส์ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่รักนั่นแหละ

      โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ปอหยิบมันมาดูอย่างเกียจคร้าน

      ....หยิน....

      ไม่อยากคุยกะใครเลย แต่ถ้าไม่กดรับหยินคงจะคิดว่าปอโกรธ

      “มีอะไรเหรอหยิน”

      ปอพยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด แต่รู้สึกว่ามันก็ยังอู้อี้เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

      “เป็นอะไรรึป่าว”

      ......

      “อืม ไม่น่าถามเนอะ แต่เราคิดว่าปอต้องเข้าใจเรานะ”

      “เข้าใจ”

      น้ำเสียงยังราบเรียบ ไม่บอกอารมณ์คนพูด

      “เหอะ ตอนนี้เรารู้ว่าปอต้องสียใจมาก แต่เชื่อเรานะ ไม่นานหรอก ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่เราคิด

แต่จำไว้ว่าไม่มีใครช่วยปอได้ทุกอย่าง ถ้าปอไม่ช่วยตัวเองบ้าง”

      “แค่นี้ใช่มั้ย”

      “อืม...วันนี้ปออาจจะเสียน้ำตาบ้าง แต่ถ้าปอไม่รู้จักตัดสินใจทำอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป

ปอจะต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต”

      ........

      “จำไว้นะ ไม่มีใครช่วยปอได้ตลอดหรอก ถ้าปอไม่ช่วยตัวเองประเดี๋ยวถ้ามีใครมาเคาะประตูก็เปิดรับเค้าซะด้วย

แล้วก็เริ่มคิดได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป”

      “ใครจะมา”

      “ก็คอยดูสิ บ้านนั้นมันจะมีใครซักกี่คนเล่า”

      “อืม”

      “พี่ปืนน่ะอยู่ในกำมือปอแล้วนะ”

      ตื้ด......

      หึหึ....ปอหัวเราะขำคำพูดของหยิน พี่ปืนอยู่ในกำมือเหรอ....ตลกล่ะ


      ในวินาทีที่ปอเปิดประตูออกไป เห็นใครคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า หลังจากที่ได้ยินเสียงก๊อก ๆ เบา ๆ 

เขาบอกตัวเองได้ทันทีว่า จะไม่มีวันปล่อยให้คน ๆ นี้หลุดลอยไปแน่ ๆ แต่ก่อนที่ปอจะตัดสินใจคว้าไว้

เขาต้องทำให้ตัวเองแน่ใจว่า แวบแรกที่เขาเห็นเงาอะไรบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ตาฝาด

      “เป็นอะไรไป”

      “ป่าวครับ”

      ปอหันหลังเดินกลับมานั่งขอบเตียง หยิบหมอนที่หนุนนอนจนน้ำตาเปียกชุ่มมากอด หลบด้านเปียกไว้ชิดลำตัว

      “โกรธพี่เหรอ”

      ปอส่ายหน้า

      “พี่ขอโทษ”

      “ไม่ต้องหรอกครับ พี่ปืนจะขอโทษผมทำไม ในเมื่อพี่ปืนไม่ได้ทำผิดต่อผมซะหน่อย”

      “อ้า...ก็พี่....ก็ปอ...”

      ไปไม่ถูกเลยพี่ปืน ปอคิดว่าเขาพูดถูกที่สุดแล้วนะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ปืนจะต้องขอโทษ

นอกเสียจากว่าจะรู้สึกผิด แต่ผิดตรงไหนล่ะ ผิดที่จูบหยินแล้วปอไปเห็นเหรอ....เรื่องของคนจูบกัน

เขาสิต้องขอโทษที่เสือกลูกกะตาไปดูคนเค้ากำลังจู๋จี๋กัน (ถึงหยินจะบอกว่าแค่ลองใจก็เถอะ)

อย่างน้อยมันก็เป็นการเสียมารยาทไม่ใช่เหรอ

      “พี่ปืนควรจะขอโทษหยินมากกว่าที่ไปล่วงเกินเค้า”

      ปอเหลือบตามองร่างสูง ๆ ที่ยืนนิ่งตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ

      “รึว่าพี่ปืนชอบหยินจริง ๆ ก็ตกลงกันซะให้ดี หยินเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งน้องของผม

ถ้าเค้าได้คนดี ๆ อย่างพี่ปืนผมก็หมดห่วง”

      “จะไปกันใหญ่แล้วนะปอ พี่ไม่เคยคิดอะไรกับหยินแบบนั้นซักหน่อย”

      “แล้วไปทำกับเค้าอย่างนั้นทำไมล่ะครับ อย่าบอกนะว่าหยินให้ท่าพี่ปืนก่อนน่ะ”

      “ใช่”

      “พี่ปืน!!!”

      ปอแทบจะตะโกนใส่หูคนตรงหน้า

      “ก็มันจริงนี่ เค้าท้าพี่ก่อนนะ”

      “แล้วพี่ปืนก็รับท้าเหรอ เค้าท้าว่าอะไรล่ะครับ ถึงกับต้องเอาปากชนกันแบบนั้นน่ะ”

      “ก็หยิน....”

      แล้วพี่ปืนก็ไม่กล้าพูด ปอไม่แน่ใจว่าหยินท้าอะไรพี่ปืน แต่ก็คิดว่าคงเป็นอะไรที่ร้ายแรง

จนทำให้พี่ปืนจนตรอกถึงขนาดทำแบบนั้นได้

      “ไม่มีเหตุผลเลยนี่ครับ”

      “ไม่ต้องมาไล่ต้อนพี่ แล้วปอล่ะ ทำไมต้องเดินหนีขึ้นบ้าน ทั้งที่พี่เรียกตั้งไม่รู้จักกี่ครั้ง ก็ไม่ยอมหยุด

แล้วพี่ก็เห็นนะว่าปอร้องไห้”

       ปอค้อนวงใหญ่ ที่ถูกอีกฝ่ายตอกย้ำ

      “ตาบวมหมดแล้วดูสิ”

      พี่ปืนเชยคางปอให้เงยขึ้นเพื่อจะดูร่องรอยของคนขี้แย ปอไม่หลบสายตาปล่อยให้สายตาสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น

จนรู้สึกมือที่จับปลายคางสั่นน้อย ๆ แล้วพี่ปืนก็เป็นฝ่ายเมินหลบไปก่อน

      “รีบเข้านอนเหอะ พรุ่งนี้เรียนเช้าไม่ใช่เหรอ คอยดูนะตาจะบวมปูดให้ได้อายเพื่อนกันมั่งหรอก

นี่ถ้าเพื่อนถามจะบอกว่าอะไรเนี่ย...ฮึ”

      “อกหัก”

      ปอก้มหน้างุดกับหมอนที่กอดไว้ แล้วพูดใส่มันเบา ๆ แต่ก็ยังมีเสียงลอดออกมาให้คนแถวนี้ได้ยิน

      “หือ?...ปอว่าอะไรนะ”

      “ป่าว”

      “เหรอ นึกว่าพูดกับพี่”

      พื่ปืนสะบัดหัวเบา ๆ จะผละไป

      “ไปเอาผ้าชุบน้ำอุ่นให้ผมหน่อยสิครับ”

      “เอามาทำไม”

      ปืนชะงักเท้าที่เตรียมจะก้าว

      “เอามาประคบตาอ่ะ มันจะได้ยุบ”

      “หายเหรอ”

      “ทีแผลบวมช้ำมันยังหายเลยนี่นา ตาก็เหมือนกันแหละน่า”

      “งั้นลงไปข้างล่างกัน เดี๋ยวพี่ทำให้”

      “ไม่เอาอ่ะ พี่ปืนเอาขึ้นมาให้หน่อยนะครับ ผมอยากนอน”

        พูดไปปอก็ทำท่าเอนตัวลงนอน แต่พอวางหมอนลงกับฟูก เท่านั้นเองพี่ปืนก็ดิ่งมาที่ปอ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ถามออกมาด้วยเสียงแหบพร่าแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง

      “นี่ร้องไห้ขนาดนี้เชียวเหรอฮึ...ปอ”

      มือใหญ่แข็งแรง ไล้นิ้วไปบนปลอกหมอนเปียก ๆ ที่ยังเป็นรอยแผ่กว้างให้เห็นเด่นชัด

....ก็มันยังกะน้ำหกใส่ลงไปทั้งแก้วนี่นา

      “ฮื้อ พี่ปืนอ่ะ ไหนบอกไปเอาน้ำอุ่นมาให้ผมไง”

       ปืนพูดอะไรไม่ออก เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก ลำคอก็ตีบตันเสียจนรู้สึกว่า

ถ้าไม่รีบหายใจลึก ๆ ตัวเองอาจจะขาดใจตายได้

      กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่เขาทำให้น้องต้องร้องไห้ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งปืนก็ต้องแข็งใจ

เพราะมันเป็นธรรมดาอยู่เองที่การจะตัดใจจากคนที่รัก มันต้องทนทรมานใจไปสักระยะ

ปอเจ็บก็ใช่ว่าพี่ปืนจะไม่เจ็บนะ.....แต่ระหว่างเรามันจะเกิดขึ้นไม่ได้

....ความรักที่จับต้องไม่ได้ เป็นจริงไม่ได้

      หรือว่าเขาจะคิดผิดที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ พาปอมาอยู่ร่วมบ้านกันเป็นครอบครัว

  หวังแค่เพียงความเป็นพี่เป็นน้องจะยังคงอยู่ต่อไป

      หยินนี่ร้ายนัก ทำตัวเป็นสาวเปรี้ยวเที่ยวยั่วยวนผู้ชาย ที่แท้ก็....

      ปืนย้อนนึกถึงเมื่อประมาณสามสี่ชั่วโมงที่แล้ว ก่อนจะไปส่งสาวน้อยคนนั้นที่บ้าน

      “พี่ปืนไม่รู้สึกอะไรกับหยินมั่งเหรอ”

      หยินย่างเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ไม่สนใจคำชวนของปืนที่บอกให้ไปขึ้นรถเพื่อเขาจะไปส่งที่บ้าน

      “หือ?”

      ปืนแทบไม่เชื่อหู ไม่เชื่อลูกกะตาตัวเอง ที่สาวน้อยคนที่คุ้นเคยจะกล้าทำท่าชะม้อยชะม้ายชายตาให้เขา

ราวกับสาวร้อนสวาทก็ไม่ปาน พักนี้ก็ขยันนุ่งกระโปรงสั้นซะจริง ๆ ความยาวก็แทบจะไม่พอดีฝ่ามือ

ส่วนเสื้อนั่นก็แนบเนื้อรัดรูปซะจนเห็นสัดส่วนชัดเจน แทบไม่ต้องจินตนาการอะไรต่อ

เป็นน้องเป็นนุ่งแท้ ๆ จะฟาดซะให้หายซ่า

      “หยินไม่น่ารักเหรอ”

      “ก็น่ารักตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป”

      ปืนตอบแค่พอพ้นไปที แล้วสาวเท้าเดินนำออกมาจนถึงบริเวณชุดรับแขก เขาต้องแสดงให้หยินเห็นว่า

เขาไม่ได้คิดอะไรกับรูปร่างกลมกลึงในชุดยั่วยวนนั้นเลยซักนิด จะได้เลิกคิดนอกลู่นอกทางกับเขาซะที

      “เพื่อนหยินเค้าว่าหยินน่าฟัดทั้งนั้นแหละ”

      “ทำไมพูดจาไม่น่ารักอย่างนี้ พ่อแม่มาได้ยินเข้าจะว่ายังไง”

      ปืนเอ็ดเสียงแข็ง ให้รู้ซะบ้างว่า เป็นสาวเป็นนางทำปากรั่วอย่างนี้จะพาลเสียไปถึงพ่อแม่

สาวน้อยยักไหล่ เดินตามมาประชิด เอื้อมแขนเรียวมาเกี่ยวไหล่ปืน ใบหน้าแหงนเงยเป็นนางแมวยั่วสวาท

เห็นแล้วอยากจะฟาดซักเปรี้ยง แต่ปืนก็ยังยืนเฉย ๆ รอดูซิว่าจะไปถึงไหน

      “โอ๊ย! เค้าชินแล้วล่ะค่ะพี่ปืน ก็ไม่เห็นเหรอ เวลาพี่ปืนไปกินข้าวที่บ้านหยินน่ะ

แม่เค้าทำตาเขียวไปงั้นแหละ อย่างมากก็ตีซักเผียะ”

      ปืนปัดแขนเรียว ๆ ออกจากไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง

      “พอเหอะน้องหยิน พี่ก็ยอมให้น้องหยินแสดงอะไรต่ออะไรมามากแล้วนะ แต่พี่ขอบอกไว้ก่อนว่า

พี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของน้องหยิน จะมาทำอาการแบบนี้มันไม่เหมาะ น้องหยินเป็นผู้หญิง

ไม่ควรปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับผู้ชายแบบนี้ มันมีแต่จะเสียหาย”

      “อ๊อ....แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะคะ จะเสียหายรึป่าว”

      “ผู้ชายเค้าไม่เสียหายอะไรหรอก ยิ่งผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เค้าก็ถือว่าเต็มใจ

เกิดปัญหาอะไรทีหลัง จะไปให้เค้ารับผิดชอบเค้าก็ไม่เล่นด้วย”

      ปืนพยายามอดทน ค่อย ๆ อธิบายให้หยินเข้าใจ แต่ดูเหมือนหยินจะไม่ได้รับรู้อะไรเลย

ยังคงตาเยิ้มเสียงใสใส่ปืนหนักขึ้นกว่าเก่าซะอีก

      “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หยินหมายความว้า....”

      หยินตวัดแขนขึ้นมาโอบรอบคอใหม่

      “ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง พี่ปืนว่า....มันจะมีอะไรเสียหายรึป่าว”

      ปืนอึ้ง

      “แบบว่าไม่ใช่หยิน แต่เป็นปอ พี่ปืนจะเล่นด้วยมั้ยคะ”

      “พูดอะไรเนี่ยน้องหยิน”

      ปืนเริ่มสั่น สองมือแกะหนวดปลาหมึกที่พันเกี่ยวรอบคอพัลวัน แต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะหลุดออกง่าย ๆ

หรือเพราะว่าเขาไม่มีแรง ร่างตรงหน้าเริ่มเบียดเข้ามาชิด

      “พี่ปืนไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เวลาที่หยินกอดแบบนี้”

      “ปล่อย...น้องหยิน”   

      “พี่ปืนก็บอกหยินมาก่อนสิคะ ว่าถ้าไม่ใช่หยินแต่เป็นปอ พี่ปืนจะรู้สึกดีกว่านี้มั้ย จะกอดตอบมั้ย”

      “อย่ามาพูดบ้า ๆ แบบนี้นะน้องหยิน ปอมาเกี่ยวอะไรด้วย”

      “ปากแข็งทั้งคู่เชียวนะ หยินก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะปากแข็งกันไปถึงไหน คนอื่นอาจจะไม่ทันสังเกต

แต่หยินเห็นนะ เวลาพี่ปืนมองดูปอน่ะ มันไม่เหมือนพี่ชายมองน้องชายซักนิด ส่วนปอก็เหมือนกัน”

     “นี่ กลับบ้านไปเลย ถ้าน้องหยินพูดเหลวไหลแบบนี้ พี่จะไม่ไปส่งบ้านแล้วนะ”

       “พอถูกจับได้ก็รีบไล่เชียวนะคะ”

       “จับได้อะไร น้องหยินพูดอะไรไม่รู้เรื่อง พี่กับปอก็อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ใคร ๆ ก็เห็น”

       “ก็นั่นสิคะ ก็พยายามให้เค้าเห็นแบบนั้นนี่นา คนที่เค้าไม่ได้เข้ามาเห็นอย่างที่หยินเห็นอยู่ทุกวันก็คงไม่รู้หรอก

รึไม่อีกทีก็คงคิดไม่ถึงเอาเลย แม่ปอก็เถอะ คงไม่รู้หรอกมั้งว่า....”

       “น้องหยินหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาพูดอะไรเหลวไหล”

       “แน่ใจเหรอคะว่าหยินพูดเหลวไหล หยินไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสีประสานะคะพี่ปืน ไม่ต้องมาทำเนียน

ไอ้สายตาแบบเนี้ยะ เห็นแล้วมันฟ้องไอ้ที่อยู่ในใจพี่ปืนหมดแหละ พี่ปืนรู้มั้ยคะ ว่าปอน่ะเค้าคิดว่าพี่ปืนไม่ได้มีใจให้เค้าเลย

แต่หยินเห็น หยินบอกปอแล้วแต่เค้าก็ไม่เชื่อหยิน”

       ปืนทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ทำอะไรก็ไม่ได้ ปฏิเสธไปหมดทุกทางแล้ว หยินก็ยังไม่เชื่อ

ก็นะ....เด็กคนนี้มันฉลาด ตาไว แถมรู้เท่าทันคนไปซะหมด เพียงแต่ปืนไม่ทันตั้งตัว

ว่าจะต้องมายืนให้หยินต้อนซะจนมุมวันนี้เท่านั้นเอง

       “พี่ก็ไม่ใช่เด็กที่น้องหยินจะมาหลอกล่อเล่น ๆ เหมือนกัน ตามใจนะ ถ้าน้องหยินปักใจอย่างนั้นพี่ก็ไม่รู้จะว่ายังไง

แต่พี่ยืนยันว่า พี่กับปออยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ไม่ได้คิดอะไรนอกลู่นอกทางอย่างที่น้องหยินเข้าใจ”

      ....พี่ไม่ได้โกหกนะน้องหยิน....อยู่กันอย่างพี่อย่างน้องจริง ๆ แต่ความในใจเป็นยังไงอ่ะ มันอีกเรื่องหนึ่ง

      “แล้วพี่ก็เป็นผู้ชายแท้ ๆ ร้อยเปอร์เซ็น ถึงพี่จะไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องหยิน มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะ

ชอบ...เอ้อ....ผู้ชาย”

      “อ๊ะ เหรอออออ”

      หยินยิ้มเจ้าเล่ห์เข้าใส่ ดูน่าหมั่นไส้ซะ

      “พิสูจน์สิคะ”

      “พิสูจน์อะไร”

      “พิสูจน์ว่าพี่ปืนเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไงคะ”

      “ทำไมต้องพิสูจน์ พี่เป็นอะไรพี่รู้ตัวดี”

      “พิสูจน์ให้หยินแน่ใจหน่อย”

      “ถ้าพี่ไม่ล่ะ”

      “งั้นหยินก็ว่าตัวเองคิดถูก...คอนเฟิร์ม”

      “พี่ไม่จำเป็นต้องทำให้น้องหยินแน่ใจ แค่พี่รู้ตัวเองดีก็พอ”

      “งั้นก็ช่วยพิสูจน์ให้หยินมั่นใจหน่อยสิคะว่าพี่ปืนไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายด้วยกัน

 หยินจะได้ช่วยให้ปอหักใจจากพี่ปืนได้เร็ว ๆ มันดีกว่าการที่ต่างคนต่างซื้อเวลากันอยู่อย่างนี้

จะรักไม่รักก็บอกออกมาให้ชัดเจน ไม่ต้องมาทำหน้าชื่นอยู่ด้วยกันแบบพี่น้อง ทั้งที่มันไม่ใช่”

      “ใครบอกว่ามันไม่ใช่ พี่ไม่รู้ว่าน้องหยินต้องการอะไรกันแน่ บอกมาแล้วกันว่าพี่ต้องพิสูจน์ยังไง”

      แล้วบทพิสูจน์ของหยินก็ทำเอาน้องต้องร้องไห้โดยที่ปืนไม่ได้ตั้งใจ ความจริงหยินต่างหาก

ที่เริ่มต้นโน้มคอเขาลงไปจูบก่อน แล้วปืนก็รู้สึกว่าหยินบดริมฝีปากลงมาอย่างตั้งใจจะให้เคลิบเคลิ้ม

แต่ให้ตายเถอะ ที่เขาไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย มันไม่คุ้มเลยที่ไปท้าอะไรพิเรนทร์แบบนั้น

เขาเองรู้ดีว่า นานมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์กับใครคนไหน

อย่าว่าแต่กับผู้หญิงคนที่เคยมีอะไรด้วยเลย แม้แต่กับผู้ชายคนไหนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากแม้แต่จะสัมผัส

ทั้งที่ก็เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นไบ แต่ตอนนี้ปืนไม่รู้แล้วว่าเขาเป็นอะไรกันแน่

รู้เพียงอย่างเดียวว่าปอคนเดียวเท่านั้นที่หัวใจเขาต้องการ

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #109 เมื่อ21-05-2012 23:25:04 »

   

       เสียงลงบันไดตึง ๆ บอกให้รู้ว่าคนที่เดินลงมารีบขนาดไหน ปืนกำลังสวมถุงเท้าอีกข้างที่เหลือเสร็จพอดี

ปอก็กระหืดกระหอบมายืนตรงหน้า

       “นึกว่าไม่ทันซะอีก”

       “มีอะไรเหรอ รึว่าจะออกไปพร้อมพี่”

       สังเกตเห็นชุดนักศึกษาที่ปอสวมมาเรียบร้อยพร้อมกับเป้คู่กาย ปืนก็เดาได้ไม่ยาก แต่ทีอดจะแปลกใจไม่ได้

เพราะปอไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเช้าขนาดนี้มาก่อน

       “ครับ พี่ปืนไปส่งผมนะ”

       ปืนก้มมองข้อมือ นาฬิกาเรือนสามหมื่น (ที่ปอให้เป็นที่ระลึก) บอกว่าเขามีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะเปิดแบ็งก์

นั่นหมายความว่า เขามีเวลาเตรียมงานก่อนเวลาไม่มาก ปืนลังเลไม่นานก็พยักหน้า ไม่รู้ว่าปอเห็นหรือเปล่า

เพราะว่า....นู่น เผ่นแผล็วไปเปิดประตูรถยัดเป้ใบเก่งเข้าไปวางบนที่นั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรั้วเตรียมไว้รอให้ปืนเอารถออก

       ระหว่างทางปอชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เหมือนว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตาสองข้างที่บวมเพราะร้องไห้ก็ยุบแล้ว

เพราะได้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ

       ปืนจอดรถเทียบหน้าคณะของปอเหมือนทุกครั้งที่เคยมาส่งกัน ดูเหมือนเพื่อนของปอจะรอกันอยู่ใต้ตึก

พอเปิดประตูลงไปได้ ก็โบกมือกันไสวเชียว

       “ผมเลิกก่อนเที่ยงนะพี่ปืนแล้วจะไปหาที่แบ็งก์”

       ประตูปิดดังปัง จากนั้นเจ้าของเสียงก็รีบจ้ำไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ปืนได้แต่ออกรถมาด้วยความมึนงง

กับความเปลี่ยนแปลงข้ามคืนของปอ ร่างบาง ๆ ที่มีส่วนสูงไม่เกินชายไทยมาตรฐาน ก้าวกระโดดขึ้นบันไดหน้าตึกอย่างร่าเริง

รอยยิ้มกว้าง กับประกายตาสดใส ที่ทิ้งสายตาไว้ก่อนลงจากรถพร้อมคำบอกเล่าแกมบังคับไม่ให้ปืนไปไหน

นอกจากรออยู่ที่ทำงาน

       ดูจะเป็นลางดีที่ปอไม่ได้หมกมุ่นกับเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาไปมากมายเมื่อคืนนี้ แต่ทำไมปืนถึงตะหงิด ๆ ในใจก็ไม่รู้

....แต่เอาเหอะ ขอเพียงปอไม่ร้องไห้ เขาก็สุขใจแล้ว หนำซ้ำปอยังยิ้มแย้มแจ่มใสเริงร่าราวกับต้นไม้ได้ฝนแบบนี้

เขายังจะกังวลใจไปทำไมอีก


       ข้าวแกงธรรมดา ๆ แต่วันนี้ปืนรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อยกว่าทุกวัน ไม่รู้เป็นเพราะไอ้คนตรงหน้านี่หรือเปล่า

แกงส้มยอดมะพร้าวกับกุ้ง ยอดมะพร้าวเปื่อยไปหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกัน นิ่มดี ไม่ต้องเคี้ยวมากก็แหลกพร้อมกลืนลงคอได้เลย

กุ้งตัวเล็กไปหน่อย แต่ก็สดนะ ปลาทอดกระเทียมรสอ่อน แต่ก็ดี รสชาติจะได้ไม่ไปแข่งกับหมูทอดน้ำปลาของโปรดของเด็กตะกละ

วันนี้มีผัดผักกะหล่ำปลี แต่ปอไม่ชอบก็ไม่สั่ง ทั้งที่เป็นของชอบของปืน จะสั่งเพิ่มก็มีเสียงห้าม

       “พอแล้วพี่ปืน กับข้าวเยอะแยะ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก เสียดาย”

       “แต่มื้อนี้ไม่มีผักเลยนะ”

       “ก็ผมไม่ชอบกะหล่ำปลีนี่นา เหม็นเขียว”

       “แล้วจะกินผักมั่งได้มั้ยเนี่ย”

       “ก็กินนะครับแต่ไม่ใช่กะหล่ำอ่ะ หมูทอดน้ำปลานี่อร่อยนะครับ หมูนุ่มดี เค้าปรุงไม่เค็มเกินไปด้วย”

       พูดเรื่องกินผักล่ะเป็นงี้ทุกที โดยเฉพาะกะหล่ำปลีนี่ไม่รู้เป็นไง ไม่ชอบเอาจริง ๆ จัง ๆ

วันไหนปืนอยากกิน ก็ต้องหาซื้อ เพราะคนไม่ชอบกะหล่ำปลี จะไม่ยอมผัดให้ แถมไม่ซื้อหัวกะหล่ำปลีสดติดบ้านเอาซะอีก

       เสร็จจากมื้อเที่ยงปอก็แบมือยื่นมาตรงหน้า อะไร...จะขอตังค์รึไง

       “กุญแจรถครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับ”

       “ใครจะขับ”

       “ผมไง”

       “ไปแอบหัดตอนไหน”

       “แอบอะไรกันเล่า ผมขับรถเป็นตั้งแต่ม.4 แล้ว ผมอ่ะลูกพ่อค้านะครับ ป๊าใช้ให้รับส่งของประจำแหละ”

       ไม่รู้นี่หว่า....ว่าแล้วปืนก็ล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถให้ไป ก็ห่วงอยู่นะ ไม่เคยรู้ว่าปอขับรถได้

แต่ถ้าป๊าใช้งานเป็นประจำก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกมั้ง

       ปอคว้าหมับทั้งมือคนยื่น ทั้งกุญแจที่อยู่ในมือ  แทนที่จะฉวยไปแค่กุญแจ เล่นเอาปืนต้องเหลียวหน้าเหลียวหลัง

กลัวใครจะเห็นผิดสังเกต

       “เลิกเรียนแล้วผมจะรีบมานะครับ”

       ปอเดินแกมวิ่งไปที่รถ ก่อนขึ้นไป ยังโบกมือให้ปืนที่ยืนส่งอยู่หน้าแบ็งก์ ปืนยืนมองตามไปด้วยใจที่ยังเต้นระทึก

เนื่องจากการกระทำเมื่อครู่ของปอยังไม่ตกตะกอน อะไรที่ตะหงิด ๆอยู่เมื่อเช้า ตอนนี้เริ่มจะก่อกวนเขาอีกแล้ว


       ปอขับรถอย่างสบายอารมณ์ เห็นพี่ปืนทำหน้าเอ๋อ ๆ แล้วอยากจะขำซะให้กลิ้ง นิสัยซน ๆที่เคยฝังไว้ลึก ๆ ข้างใน

วันนี้เขาจะงัดมันออกมาใช้กับพี่ปืน เอาให้หัวปั่นไปเลย ล่อหลอกกับหัวใจเขามาหลายหน ถึงเวลาน้องปอจะเอาคืนละนะพี่ปืน

       จากวันนี้ไปปอจะควบคุมพี่ปืนไม่ให้ห่างสายตา เมื่อไรที่ว่างจากเรื่องเรียนและเรื่องกิจกรรม จะคลอเคลียซะ

ให้เบื่อกันไปข้างนึงเลยเชียว

       ปอเชื่อมั่นในสิ่งที่หยินบอก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยินแนบแน่นและมั่นคง ราวกับพี่น้อง ต่างคนก็ต่างคิดเหมือนกัน

คือปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข และพลอยทุกข์ใจไปด้วยเมื่ออีกฝ่ายเจอมรสุมในชีวิต หยินบอกว่าพี่ปืนก็ไม่ต่างอะไรกับเขา

ปอก็ยังลังเล แต่เมื่อคืนนี้เขาว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นร่องรอยของความรักและความห่วงใยในแววตาของพี่ปืน

       น้องปอไม่ใช่เด็กแล้วนะครับพี่ปืน....มีหัวใจ และรักเป็น อย่าทำเป็นเล่นกับความรักอย่างนี้ ชีวิตเรามันแสนสั้น

ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ ทำไมเราไม่แสวงหาความสุขให้หัวใจอิ่มเอิบ เขาอาจจะฝันเฟื่องมากไปที่คิดว่าความรักแบบนี้

มันจะเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ แต่นาทีนี้ เมื่อต่างคนต่างใจตรงกัน ทำไมเราจะปล่อยให้มันลอยผ่านไปเฉย ๆ ล่ะ

...ปอจะคว้าพี่ปืนไว้ให้ได้คอยดูนะ     


       การจะตื่นแต่เช้าและออกจากบ้านพร้อมพี่ปืนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับปอ เพราะปกติมีเรียนสาย ไม่ก็บ่าย

ต่อให้มีคาบเรียนจนถึงค่ำ ก็ยังไม่น่าเหน็ดเหนื่อยเท่ากับการต้องตื่นเช้าแบบนี้ แต่ปอก็อาศัยแรงบันดาลใจ

จากพี่ปืนนี่แหละ ทำให้สะบัดตัวเองออกจากที่นอนได้ในที่สุด จนตอนนี้เขาเริ่มชินกับการตื่นพร้อมพี่ปืน

และด้วยความที่วัยรุ่นอย่างปอไม่ต้องเสียเวลานานกับการแต่งตัว ทำให้เขามีเวลาเตรียมอาหารเช้าสำหรับพี่ปืนได้ด้วย

       ในขณะที่ปืนพิถีพิถันกับการติดกระดุมเสื้อเชิ้ตขาว สอดสายเข็มขัดกับหูกางเกง บรรจงจัดปมเนกไท

และสวมรองเท้าหนังดำเป็นมัน ปอก็ต้มน้ำชงกาแฟให้พี่ปืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาหารเช้าก็แสนง่าย

เพราะพี่ปืนก็ใช่ว่าจะเลือกกินของวิเศษ ปอแค่เดินไปข้างบ้าน หยิบปาท่องโก๋ที่ทอดตั้งแต่ตีห้า มาสิบคู่

พี่ปืนก็กินได้กินดี (เลี้ยงง้ายง่ายเน้อะ) บางวันก็เป็นข้าวเหนียวหน้าสังขยา หน้าปลา หน้ากุ้ง อะไรสักห่อ สองห่อ

พี่ปืนก็ตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนปอได้นมกล่องบ้าง น้ำเต้าหู้บ้าง แค่นี้ก็แน่นท้องแล้ว

ไอ้ครั้นจะไม่กินอะไรเลย พี่ปืนก็เซ้าซี้คะยั้นคะยอซะจนปอต้องตามใจ

       วันไหนที่ปอเรียนแค่ช่วงเช้า ก็นัดพี่ปืนกินข้าวเที่ยงกัน บางทีก็นัดเจอที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย

พี่ปืนก็อุตส่าห์ขับรถมา เสร็จจากมื้อเที่ยงปอก็ตีรถไปส่งพี่ปืนที่ทำงาน ก่อนจะมานอนเล่นที่บ้านรอเวลาไปรับพี่ปืนตอนเย็น

คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากกว่าช่วงไหน ๆ ที่ผ่านมา แต่ปอจะไม่ขอแค่นี้หรอกนะ

เขาจะต้องได้มากกว่านี้ในวันต่อไป


       วันนี้มีฝนหลงฤดูตกลงมาแต่เช้า ซึ่งเป็นวันที่ปอไม่มีเรียน เพราะอาจารย์ขอเลื่อนไปสอนวันเสาร์

พี่ปืนก็เลยให้ปอไปส่งที่ทำงาน แล้วเอารถกลับมาเผื่อปอจะใช้

       แต่พอถึงที่ทำงาน ยังไม่ทันที่ปอจะลงจากรถ เอาร่มกางไปส่งพี่ปืนที่หน้าบันไดขึ้นสำนักงาน

ใครก็ไม่รู้ปราดเข้ามาเอาร่มมาเทียบตรงประตูรถด้านพี่ปืนนั่งพอดี ดูว่าจะเด็กกว่าพี่ปืนไม่กี่ปี

น่าจะเป็นพนักงานใหม่ ปอมองทะลุกระจกหน้ารถด้วยความสนใจใคร่รู้ ในขณะที่พี่ปืนหน้าบานยิ้มไม่หุบ

แล้วก็เดินไปกับเขา โดยไม่หันมาสบตาปอสักนิดเลย

       พอใกล้เที่ยง พี่ปืนก็โทรมาบอกว่าวันนี้จะพาน้องใหม่ไปเลี้ยงข้าว ปอไม่ต้องไป

....เออ...ให้มันได้อย่างงี้นะ ต้องเป็นไอ้หนุ่มคนเมื่อเช้าแน่ ๆ เลย แต่ก็เอาเหอะ กะอีแค่รับน้องใหม่

ปอเองก็ยังต้องเจอ...แต่ไอ้อาการหน้าบานของพี่ปืนเมื่อเช้านี้มันยังไง ๆ ก็ไม่รู้

 ไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ปืนส่งยิ้มแบบนั้นให้ใคร

       ใกล้เวลาเลิกงานของพี่ปืน ปอก็เอารถไปจอดรอที่ด้านข้างที่ทำงาน เปิดประตูรถออกมายืนโต๋เต๋แถวนั้นเป็นการฆ่าเวลา

หลายคนทะยอยเดินลงมาแล้ว ปอรออยู่พักใหญ่ ๆ ตอนที่คาดว่าใคร ๆ น่าจะกลับกันหมดแล้ว

พี่ปืนถึงได้ปรากฏตัวพร้อมใครอีกคน....ไอ้คนเมื่อเช้าน่ะเอง

       “ปอ นี่พี่นู.....นู นี่ปอ”

       “หวัดดีครับพี่นู”

       ปอยกมือไหว้ตามอาวุโส...เห็นว่าแก่กว่าหรอกนะ แต่ในใจเริ่มที่จะไม่ชอบไอ้หน้าขาวคนนี้ซะแล้ว

       “หวัดดีครับ”

       ไม่ต้องมายิ้มเลย ไม่ได้อยากรู้จัก

       “เดี๋ยวไปส่งพี่นูที่บ้านก่อนนะ กุญแจอ่ะ”

       ปอยื่นกุญแจส่งให้ เอื้อมมือไปเปิดประตูจะก้าวขึ้นไปนั่ง แล้วก็ชักเท้ากลับเกือบไม่ทัน

       “ปอไปนั่งข้างหลังนะ พี่กับพี่นูมีเรื่องจะคุยกัน”

       โหย....อะไรกันนักกันหนาเนี่ย คุยกันที่ทำงานทั้งวัน ไม่พอรึไง มีต่อในรถอีก...ปอได้แต่เขม่นเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

กับสีหน้าที่เรียบเฉย ภาวนาว่าขอให้เขาเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ให้สนิท พีปืนจะไม่ชอบเลย

ถ้าปอเผลอแสดงอาการไม่มีสัมมาคารวะออกไป เขายังไม่อยากผิดใจกับเพื่อนพี่ปืน

เพราะกลัวพี่ปืนจะไม่ชอบใจ กับเพื่อน ๆ ของเขาพี่ปืนต้อนรับด้วยท่าทีเป็นมิตร ยิ้มแย้มไม่มีที่ติเสมอ

เขาก็จะทำแบบเดียวกัน อย่างน้อยก็เพื่อมารยาทอ่ะนะ


       บ้านพี่นูอยู่ไกลจากที่ทำงานมากทีเดียว แทบจะออกนอกเมืองก็ว่าได้ ดูแล้วคงไม่มีรถส่วนตัวมา

ตอนเย็นพี่ปืนมาส่ง แล้วตอนเช้ามายังไง

    แล้วความก็มากระจ่างเอาตอนที่พี่นูลงจากรถ

    “ตอนเช้ามารับนะ เจ็ดโมงครึ่งเสร็จทันมั้ย”

       “ไม่เป็นไรครับพี่ปืน ตอนเช้าพี่ผมเค้าไปส่งอยู่แล้ว”

       “เอางั้นเหรอ แล้วตอนเย็นทำไมเค้าไม่ไปรับล่ะ”

       “เค้าเลิกงานไม่เป็นเวลาครับ ผมกลับเองสะดวกกว่า ขอบคุณพี่ปืนมากครับ ที่มาส่ง แต่พรุ่งนี้ผมคงไม่รบกวนแล้ว”

       “อย่าบอกนะว่าจะขี่ไอ้มอไซไปอ่ะ”

       “ทำไมอ่ะครับ ผมก็ขี่ของผมอยู่ทุกวัน ร่อนมันจนทั่วเมืองแล้วล่ะครับ”

       “แต่ที่ทำงานมันไกลนะ จะเหนื่อยซะเปล่า ๆ พี่ว่า พี่มารับที่บ้านดีกว่ามั้ย”

       “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ แล้วอีกอย่าง ไปไหนมาไหนคนเดียวจนชินแล้วครับ เวลามีใครมารอแล้วผม...เอ้อ....”

       “ทำไมเหรอ”

       “รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้ครับ”

       “อ้าว.. อย่างงี้ก็มีด้วย งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าวันไหนไม่อยากขี่ รึว่าฝนตก ต้องการใช้บริการ ก็โทรหาพี่ได้ทุกเวลานะ”

       “ขอบคุณครับพี่ปืน...ขอบคุณนะครับปอ”

       “ครับ”

       จะมาขอบคุณทำไมกันเนี่ย ไม่ได้ขับรถให้นั่งซะหน่อย คิดไปอย่างงั้น แต่ปอก็ยังอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้

ก็หน้าตาพี่นูยิ้มใสซื่อขนาดนั้น นี่ถ้ารู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จะขอบคุณเขาแบบนี้มั้ยนะ

       พอพี่ปืนออกรถ ปอก็ก้าวขาข้ามไปนั่งที่เบาะหน้าทันที หันไปเห็นพี่ปืนอมยิ้มที่มุมปาก

แถมได้ยินเสียงหัวเราะในคอแว่วมาเบา ๆ แล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เผลอตัวกระแทกหมัดไปที่ต้นแขนพี่ปืน

...ก็ไม่แรงหรอก ทำเป็นสะดุ้งไปได้

       “อะไร...เจ็บนะ”

       ปากพูดว่าเจ็บ แต่นัยน์ตาระยิบระยับเชียว ตกค้างมาจากคนที่ลงไปเมื่อตะกี้แน่เลย

       “ก็ผมหมั่นไส้”

       “หมั่นไส้ใคร ใครไปทำอะไรให้ ตอนไหน”

       “หมั่นไส้พี่ปืนไง อารมณ์ดีจริงนะครับ”

       “อ้าว...คนอารมณ์ดีก็ว่า...หึหึ”

       หัวเราะอีกล่ะ ท่าทางจะชื่นมื่นเกินไปซะแล้ว

       “ผมหิวข้าวแล้วอ่ะ”

       “ทำไมหิวแต่วัน นี่มันไม่ทันจะหกโมงเลยนะ”

       “ก็ข้าวเที่ยงยังไมได้กินนี่นา”

       “แล้วทำไมไม่กิน อยู่ได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้เป็นโรคกระเพาะกันมั่งหรอก”

       “ก็พี่ปืนไม่ให้ผมไปกินข้าวด้วยนี่”

       “แล้วมันเกี่ยวกันที่ไหนเล่าปอ พี่บอกแล้วว่าเลี้ยงน้องใหม่ ก็พี่นูนี่ไง เค้าเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือนเลย

พอดีช่วงนี้เค้าเปลี่ยนรอบพักกลางวัน มาเป็นรอบเดียวกับพี่ ก็เลยถือโอกาสเลี้ยงรับซะหน่อย

แล้วพี่ก็เป็นพี่เลี้ยงสอนงานเค้าด้วย”

       “ไม่รู้อ่ะ แค่นั้นไม่เห็นต้องกีดกันผมเลยหนิ กินด้วยกันก็ได้”

       “อ้าว....เอ๊ะ..ปอ ทำไมวันนี้งอแง”

       “ผมไม่ได้งอแงนะ ก็แค่เลี้ยงข้าว ทำไมต้องไปกันสองคน ผมไปกินด้วยไม่ได้รึไง รึว่าพี่ปืนไม่อยากให้ผมไปเป็นก้าง”

       “เกเรอีกต่างหาก”

       “ผมไม่ได้เกเรนะ ผมแค่อยากกินข้าวกับพี่ปืน มันผิดตรงไหนเหรอ”

       รถจอดหน้าบ้านพอดี ปอกระโดดลงอย่างรู้หน้าที่เพื่อไปเปิดประตูรั้ว

บ้านเรายังไม่มีเงินพอจะมีรีโมทเปิดปิดประตูรั้วอย่างบ้านคนรวย ๆ แค่ซื้อบ้านเงินก็หมดแล้ว

แถมเฟอร์นิเจอร์ ยังต้องมีสปอนเซอร์เลย ดีนะที่พี่ปืนมีเงินกู้สวัสดิการพนักงาน ดอกเบี้ยแสนถูก

ไม่งั้นป่านนี้ก็ยังอยู่คอนโด แสนอุดอู้อยู่นั่นเอง (แหม อยู่มาได้ตั้งนาน เพิ่งจะมานึกว่ามันอุดอู้)

       ปิดประตูรั้วตามหลังเสร็จ ปอก็จ้ำเอา ๆ ขึ้นบันไดเข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่กับบ้าน

พร้อมที่จะเข้าครัว

         เดี๋ยวนี้ฝีมือทำกับข้าวของปอก้าวหน้าไปมาก เพราะว่าพอติดขัดตรงไหนก็โทรถามแม่

ยิ่งตอนนี้ปอมีคนให้ถามเพิ่มมาอีกคน...ก็แม่ของพี่ปืนไง เขาก็เลยทำอาหารได้หลากหลายขึ้น

แม่ของพี่ปืนมักจะให้ทำอาหารไทยพื้น ๆ ที่บางทีก็หากินในร้านอาหารตามสั่งไม่ได้ เพราะผักบางอย่าง

ไม่เป็นที่นิยมของคนเมือง มีอยู่วันหนึ่งที่ปอทำผักเหลียงต้มกะทิ  พี่ปืนเห็นแล้วตาโต กินข้าวได้มากเป็นพิเศษ

แค่นี้ปอก็ยิ้มหน้าบาน ปลื้มอกปลื้มใจไปหลายวัน (คนโบราณบอกว่าเสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตาย...นู)

       วันนี้ปอลงมือทำกับข้าวที่ปอแสนเกลียด แต่เป็นของโปรดของพี่ปืน เมื่อเช้านี้ไปเดินดูร้านขายกับข้าวสดใกล้ ๆบ้าน

ได้กุ้งทะเลสด ๆตัวขนาดนิ้วโป้งมาครึ่งกิโล ปอก็จัดการเด็ดหัวเหลือแต่หางใส่ช่องแข็งไว้แล้ว ได้กะหล่ำปลีขนาดย่อมมาหัวนึง

พี่ปืนกินคนเดียวก็ยังเหลือ แครอทเหลือท่อนสั้น ๆ อยู่ในตู้เย็นเหลือจากปั่นน้ำผักเมื่อสองวันก่อน

กุ้งที่เหลือก็ต้มยำน้ำใส ใส่แต่เครื่องต้มยำก็แล้วกัน...ก็เมื่อเช้าอ่ะสิ ปอกะไว้แล้วว่าจะเอาเห็ดฟางที่เห็นขยุ้ม ๆ

กองไว้ในตะกร้าเล็ก กะว่าน่าจะพอใส่ต้มยำซักหม้อ(เล็ก) ยัยหัวฟูนั่นมาจากไหนไม่รู้ จับเทลงถุงขึ้นตาชั่งเฉยเลย

รู้งี้ปอบอกแม่ค้าไว้ก่อนดีกว่า เห็ดฟางน่ะของชอบปอซะด้วย

       ได้เวลาตั้งโต๊ะ ทั้งผัดกะหล่ำปลีกับกุ้ง ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวกุ้ง ก็วางกันสะพรึ่บอยู่บนโต๊ะอาหาร

ข้าวร้อน ๆ ควันฉุยจากหม้อไฟฟ้าถูกตักใส่จาน รออีกคนมาร่วมวง พี่ปืนลงมาเห็นกับข้าวบนโต๊ะคงทำหน้าแปลก ๆแน่เลย

เพราะเมนูวันนี้มีแต่กุ้ง ก็ดันซื้อมาตั้งครึ่งกิโล เก็บไว้ก็จะไม่สด กิน ๆ ให้หมดทีเดียวดีกว่า

       “ปอ เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกนะ เค้าเลี้ยงน้องใหม่กัน”

       “อะไรนะครับ”

       ปอมองพี่ปืนในชุดลำลอง เสื้อโปโลสีเขียวน้ำทะเล กางเกงผ้าเดอนิมสีครีม หิ้วรองเท้าหนังสีทรายไว้มือข้างหนึ่ง

เตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอกเต็มที่ ดูก็รู้ว่าอาหารมื้อนี้พี่ปืนคงไม่กิน

       “ก็ไหนว่าพี่ปืนเลี้ยงไปแล้วเมื่อเที่ยงไง”

       “นั่นน่ะพี่เลี้ยงเอง ที่ไม่ได้ให้ปอไปด้วยก็เพราะบางทีเราคุยกันเรื่องงาน แล้วปอก็เป็นคนนอก

เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะที่จะเปิดเผย แต่คืนนี้น่ะ พี่ ๆ หลายคนเค้าชวนกันไปดื่ม”

       “อ้อ...ครับ ผมเป็นคนนอก งั้นพี่ปืนก็ไปเถอะครับ ผมกินคนเดียวได้”

       ปอเก็บจานช้อนส้อมเข้าที่หนึ่งชุด เพราะอีกคนไม่มาร่วมวง แล้วเดินออกไปหน้าบ้าน เตรียมเปิดประตูรั้วให้อย่างเคย

       พี่ปืนถอยรถออกไปจอดที่ถนนหน้าบ้าน แล้วลงมาหาก่อนที่ปอจะปิดประตูรั้ว

       “พี่จะรีบกลับ ที่จริงตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไม่อยู่นาน ผัดกะหล่ำปลีน่ะ เดี๋ยวจะกลับมากินนะ

เป็นครั้งแรกที่พี่จะได้กินของโปรดด้วยฝีมือปอ ยังไงก็ไม่พลาดอยู่แล้ว”

       พี่ปืนยีผมยาว ๆ ของปออย่างมันเขี้ยว รู้ด้วยว่าปอตั้งใจทำให้ แค่นี้ปอก็ยิ้มออกแล้ว

       “ครับ ผมจะรอกินพร้อมพี่ปืนนะ”


 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
« ตอบ #109 เมื่อ: 21-05-2012 23:25:04 »





ออฟไลน์ choijiin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-5
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #110 เมื่อ21-05-2012 23:46:00 »

พี่ปืน!!!
ทำไมทำงี้
เดี๋ยวแม่ตบกลิ้งเลยเว้ยเฮ้ย
 :beat:  :angry2:

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #111 เมื่อ22-05-2012 14:31:17 »

ตอนนี้เซ็งอิตาพี่ปืนจัง :m16:

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #112 เมื่อ22-05-2012 15:15:38 »

อ้างถึง
อย่าว่าแต่กับผู้หญิงคนที่เคยมีอะไรด้วยเลย แม้แต่กับผู้ชายคนไหนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากแม้แต่จะสัมผัส
ทั้งที่ก็เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นไบ แต่ตอนนี้ปืนไม่รู้แล้วว่าเขาเป็นอะไรกันแน่
รู้เพียงอย่างเดียวว่าปอคนเดียวเท่านั้นที่หัวใจเขาต้องการ

ประทับใจจัง  :m1:
ดีค่ะ เพราะตอนนี้น้องปอจะรุกแล้วนะ
คุณนูในเรื่องนี่คนเดียวกับคนเขียนป่ะเนี่ย แหม มาเป็นก้างน้องปอได้ไง

cksong2008

  • บุคคลทั่วไป
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #113 เมื่อ23-05-2012 19:00:59 »

รบกวนน้องปอช่วยตบบ้องหูไอ้พี่ปีนซักทีสิ เริ่มรำคาญแล้วน๊ะ  :z6:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
«ตอบ #114 เมื่อ23-05-2012 20:54:05 »

สำหรับเงื่อนไขที่คุณนูจะมาอัพนั้น ... รับได้ค่ะ ^ ^ ขอบคุณนะคะ

แล้วก็มาอัพยาวสมใจคนอ่าน อิอิ แต่ไม่ประทับใจอีตาปืนเลย ให้ตายเถอะ    :m16:
อยากจับเอาหัวโขกแรงๆ ฮึ้ย!

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
«ตอบ #115 เมื่อ23-05-2012 23:40:33 »


ผมก็หมั่นไ้ส้ปืนมัน   :m16:





   ปัญหาเรื่องพนักงานใหม่ของพี่ปืนยังไม่จบลงแค่นั้น เป็นเพราะพี่ปืนเป็นคนมีน้ำใจ

แล้วก็ช่างเป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ตกเย็นถึงต้องคอยไปส่งที่บ้านเป็นประจำ

วันไหนที่พี่นูไม่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไปทำงาน พี่ชายจะเป็นคนไปส่ง

และบ่อยครั้งที่ไม่ได้ไปรับกลับ ปอได้ยินทั้งคู่คุยกันตอนขากลับที่นั่งไปด้วยกันว่า

พี่ชายพี่นูทำงานเลิกไม่เป็นเวลา พี่นูถึงได้อาศัยกลับกับพี่ปืน


      นับวันปอยิ่งได้รู้จักตื้นลึกหนาบางในตัวพี่นูมากขึ้น จนคุ้นเคยกันมากกว่าเดิม

จะเรียกว่าสนิทสนมก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก  แต่ก็คุยกันมากขึ้น

เพราะการที่ปอไปรับพี่ปืนที่ทำงานตอนเย็นทุกวัน ทำให้ได้เจอหน้าพี่นูบ่อย ๆ

ก็เป็นไปอย่างที่พี่นูเคยบอกว่า วันไหนขี่มอเตอร์ไซค์มาเอง พี่นูก็กลับเอง

บางวันก็โดยสารรถพี่ปืน ระหว่างทางก็ได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันมากขึ้น


      วันนี้ปอก็มารับพี่ปืนอย่างเคย แล้วพี่นูก็กลับบ้านด้วยกัน แต่คราวนี้พี่ปืนชวนพี่นูไปนั่งเล่นที่บ้านก่อน

กินข้าวปลาอาหารเสร็จแล้วจะไปส่ง ได้ยินว่าพี่นิวไปต่างจังหวัด พี่นูต้องอยู่บ้านคนเดียว กินข้าวคนเดียวคงไม่อร่อย

      “รบกวนปอหน่อยนะครับ”

      “ไม่เป็นไรครับ ปกติก็กินกันแค่สองคนพี่ปืน มีพี่นูมาร่วมวงก็ครึกครื้นดีครับ

พี่นูอยากกินอะไรบอกผมนะครับ ผมทำให้”

      “เอางั้นเหรอ พี่ว่าเราช่วยกันทำดีกว่า แวะซื้ออาหารสดก่อนกลับดีมั้ยครับพี่ปืน

ผมจะทำหมูทอดขมิ้นให้ลองชิม”

      “ก็ไอ้หมูทอดกระเทียมล่ะมั้งนู อะไรที่ทอด ๆ น่ะของชอบปอเค้าเลย

พี่กินอะไรไม่ยากหรอก ไม่ต้องคิดเมนูพิเศษให้ยุ่งยาก”

      “งั้นแวะตลาดนัดก่อนเข้าบ้านนะครับ จะได้ดูของสด ๆไปด้วย”

       เป็นอันว่าได้ผักสด เนื้อสดมาทำอาหารเย็นกินกันมากมายไปหมด

ปอได้สูตรหมูทอดขมิ้นมาอีกแล้ว ดูเหมือนจะธรรมดา แต่การซอยใบมะกรูดเป็นฝอย

โรยลงไปในกะทะก่อนจะทอดหมู ช่วยขับให้กลิ่นหมูคลุกขมิ้นหอมชวนกินขึ้น

เครื่องปรุงเหมือนหมูทอดกระเทียมพริกไทยอย่างที่พี่ปืนบอก เพียงแต่ตำขมิ้นสดคลุกลงไปด้วยแค่นั้นเอง

และเทคนิคก็อยู่ที่การหั่นเนื้อหมูตามลายขวางให้บางพอที่จะทำให้เนื้อหมูกรอบนุ่มนี่เอง

      ส่วนของปอก็ทำไก่ผัดน้ำพริกเผาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ กับต้มแซ่บกระดูกหมู

มีกับข้าวสำเร็จที่ซื้อมาจากตลาด แม่ค้าบอกว่าเป็นผัดเผ็ดแลน 

(ก็ตะกวดนั่นแล....ผมจะเอาภาพมาลงให้ดูก็เกรงใจพี่น้องที่ไม่ชอบหน้ามัน

 แต่อยากจะบอกว่า เนื้อมันหรอยจังหูจริง ๆนะครับ)

      ยังไม่ทันจะได้เริ่มลงมือกินมื้อเย็น พี่ปืนก็ตั้งวงซะแล้ว ดูท่าพี่นูคงไม่ใช่นักดื่มเพราะนั่งอยู่นาน

จนเหล้าพี่ปืนหมดไปครึ่งขวด กับโซดาไม่กี่ขวด แต่พี่นูเพิ่งจะจิบเบียร์เป็นขวดที่สอง

ปอเรียกว่าจิบเพราะอาการพี่นูเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ส่วนของปอก็น้ำอัดลมสีดำ

กินซะจนในท้องเต็มไปด้วยน้ำ สุดท้ายข้าวในหม้อก็ไม่พร่องเลยแม้แต่เม็ดเดียว

      โทรศัพท์ของปอดังขึ้น ขณะที่ปอคิดว่าควรจะแยกวงได้แล้ว ดูท่าว่าเขาจะต้องเป็นคนขับรถไปส่งพี่นูที่บ้านแน่ ๆ

เพราะคนที่ชวนตั้งวง แถมยังอาสาไปส่งบ้าน นั่งคอพับคออ่อนอยู่กับโซฟา   

      และแล้วก็งานเข้า เมื่อทางปลายสายซึ่งเป็นเพื่อนในคณะที่ทำงานกลุ่มเดียวกันบอกว่า

เอกสารที่เตรียมไว้สำหรับการพรีเซนต์พรุ่งนี้ติดไปกับรถเพื่อนอีกคนนึง ที่อยู่คนละคณะ

และตอนนี้เพื่อนคนนั้นก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้ว เพื่อไปงานศพของญาติผู้ใหญ่

      “แล้วทำไมเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ล่ะวะไอ้เวท”

      ปอหัวเสียกับคำบอกเล่าที่ฟังดูแล้วขาดความรับผิดชอบของเพื่อนที่เป็นคนเก็บเอกสารทั้งหมด

      “ก็ไอ้เหมมันกลับถึงบ้านแล้วเห็นแฟ้มเอกสารวางอยู่เบาะหลังรถอ่ะมันก็เลยโทรมาถามกูถึงได้รู้”

      ฝ่ายโน้นตอบมาเสียงอ่อย ๆ เพราะรู้ตัวว่าผิดเต็มประตู เรื่องลืมเอกสารไว้ในรถคนอื่นก็ยังพอว่า

แต่รถคันนั้นตอนนี้มันอยู่อีกจังหวัดนึง ห่างกันประมาณ 200 กว่ากิโลเมตรจะถ่อไปยังไงปอยังไม่มีหนทางเลย

บ้านเพื่อนคนนั้นอยู่ตรงไหนก็ไม่เคยรู้ เพิ่งจะได้รู้จักกันตอนรับน้องนี่แหละ คิดแล้วยิ่งเครียด

ไม่น่าฝากงานไว้กับคนแบบนี้เลย

      “โถ่โว้ย! แล้วป่านนี้จะไปทำอะไรทันวะ”

      “กูเก็บไฟล์ไว้บางส่วนอ่ะ มึงมาดูหน่อยได้ป่าว ว่าต้องเพิ่มอะไรอีก”

      ปอลังเลว่าจะเอาไงดี พี่ปืนก็หมดสภาพ ไปส่งพี่นูไม่ได้แน่ งานก็ต้องทำ เพื่อน ๆ ไปรอปออยู่ที่หอไอ้เวทแล้ว

ถ้าเขาไม่ไป ก็ต่องานกันไม่ได้ เพราะข้อมูลดิบส่วนที่เป็นเปเปอร์เขาเป็นคนเก็บ

ที่เสียเวลามากคือการลอกข้อมูลพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ข้อมูลสถิติอีกประมาณสิบตัวอย่าง

คงต้องใช้เวลาทำกันทั้งคืน…ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำเสร็จหรือไม่   

      “เพื่อนโทรมาเหรออออ...ปอ”

      พี่ปืนยังมีแก่ใจส่งเสียงอ้อแอถามมา

      “ครับพี่ปืน ผมคงไปค้างที่หอไอ้เวทนะคืนเนี้ยะ ต้องทำรายงานใหม่ทั้งฉบับ พรุ่งนี้สาย ๆ มีพรีเซนต์ด้วย”

    ปอมองไปที่พี่นูแล้วบอกต่อ

      “ผมไปส่งพี่นูเลยดีกว่า พี่ปืนคงไม่ไหวแล้วมั้ง”

      “ไม่เป็นไรหรอกปอ รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้พี่นิวมารับก็ได้”

      “นีววววค้าววววจามาถูกเหรอออออ....ค้าววววม่ายเคยมาบ้านพี่น้า”

      พูดออกไปแบบนั้นแล้วพี่ปืนจะช่วยอะไรได้เหรอครับพี่ปืนครับ

      “จะยากอะไรครับ สมัยเรียนผมก็เคยมาบ้านเพื่อนหลายครั้ง มันอยู่ซอยถัดจากบ้านพี่ปืนไปหน่อยเดียวเอง

พี่นิวเค้าก็รู้จัก ผมอ่ะเจ้าถิ่นนะครับพี่ปืน”

      “เออ....ลืมปายยยย”

      “ผมไปได้แน่นะครับพี่นู พี่ชายจะมารับแน่นะ ถ้ายังไงผมไปส่งก่อนก็ได้”

      “ไปเถอะ พี่นิวเค้าไม่มีปัญหาหรอก โทรบอกคำเดียวก็มาแล้ว ปอไม่ต้องห่วงนะ พี่ปืนเนี่ย เดี๋ยวพี่จัดการให้”

      พี่นูคงจะมองออกว่านอกจากปอจะห่วงเรื่องพี่นูจะกลับบ้านยังไงแล้ว ปอยังห่วงพี่ปืนอีกว่า

หลังจากพี่นูกลับแล้วพี่ปืนคงจะหลับไปกับโซฟาตลอดคืนแน่ ๆ

      “งั้นผมฝากด้วยนะครับ ถ้าไม่ใช่งานด่วนผมก็ไม่ไปเหมือนกัน ปกติผมก็ไม่เคยไปค้างที่อื่นหรอกครับ

ห่วงเค้า ยิ่งไม่ค่อยจะรู้สติแบบนี้ผมไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวเลยครับ”

      “พี่ก็คงจะค้างไม่ได้หรอกปอ แต่เอาเหอะ กว่าพี่นิวจะมาก็คงดึกหน่อย พี่จะอยู่เป็นเพื่อนพี่ปืนก่อนก็แล้วกัน

ไม่ต้องห่วงนะ...อีกแก้วสองแก้วก็พับแล้ว”

      ประโยคท้ายพี่นุกระซิบเบา ๆ แค่ได้ยินกันสองคน

      “อาราย ๆ สองโคนนี้ ซู้บบบซี้บบบรายกานนนน”

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
«ตอบ #116 เมื่อ23-05-2012 23:42:34 »




************************NOO**************************




         หลังจากปอออกไปไม่นาน สถานการณ์เป็นไปตามที่ผมทำนาย ปืนพับกลิ้งลงไปบนโซฟาอย่างไม่เป็นท่า

ผมได้โอกาสโทรหาพี่นิว แต่เค้าก็ไม่รับสาย มันทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก

เพราะปกติถ้าไม่ติดประชุม รึว่าอยู่ระหว่างพูดคุยกับลูกค้า พี่นิวจะรับสายผมแทบจะทันที

เพราะเค้าจะตั้งเสียงเรียกเข้าไว้เป็นเพลงโปรดของผม แต่นี่ผมต่อสายมาสองสามเที่ยวแล้ว

ปล่อยให้มันตัดสายไปเอง ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

         ผมเก็บโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยขวดเหล้ากับโซดา จานกับข้าวที่ยังไม่ค่อยพร่องเท่าไหร่

จานเปล่าผมเก็บล้างจนเรียบร้อย เพราะไม่อยากปล่อยทิ้งไว้ถึงรุ่งเช้า

ยังไงซะผมว่าคืนนี้ปอคงไม่กลับบ้าน อาจจะกลับเช้าแล้วรีบไปพรีเซ็นต์งานกับอาจารย์ทันที

แค่นี้ไม่เหลือบ่าฝ่าแรง อยู่กับพี่นิวผมก็เคยเก็บทำบ่อยไป เวลาที่แม่บ้านไม่อยู่บ้าน

         กลับมานั่งมองปืน แล้วชักสงสาร ทิ้งไว้ตรงนี้กว่าจะถึงเช้าก็คงเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว

รุ่งเช้ายังต้องไปนั่งเคาน์เตอร์บริการลูกค้าทั้งวัน....ผมเลยตัดสินใจที่จะแบกปืนขึ้นไปบนห้อง

         หนักไม่ใช่เล่นนะเนี่ย

         ปืนตัวสูงกว่าผมเกือบจะเท่าพี่นิว แต่ไม่กำยำเท่า ก็คงนิสัยเจ้าสำอางนี่แหละ ที่ทำให้ปืนหมั่นออกกำลังกาย

ดูแลหุ่นให้เพรียวอย่างมีกล้ามเนื้อ ผมเองยังอดชื่นชมรูปร่างเค้าไม่ได้เลย เค้าเคยพูดเล่นในกลุ่มเพื่อนว่า

อยากเป็นนายแบบ ถ้าไม่ติดว่าหน้าบ้าน ๆ ตัวดำ ๆ เค้าก็คงได้ไปเดินบนแคทวอล์คไปแล้ว ผมก็เห็นจริง

(แต่ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้หลงตัวเองขนาดนั้นหรอก) เพราะเค้าจัดว่าเป็นคนหน้าตาคมคายทีเดียว

ผิวของปืนใส ๆ ไม่ขาว ดูรู้ว่าเป็นคนผิวสองสีค่อนข้างคล้ำ แต่พออยู่ในร่มนานเข้า ผิวก็เลยไม่คล้ำ

มันดูเนียน ๆ ด้วยซ้ำไป แบบนี้มั้ยที่เค้าเรียกกันว่าผิวสีน้ำผึ้ง ผมก็ไม่รู้หรอก

แต่คิดว่าถ้าชะโลมน้ำมันลงบนเนื้อตัว คงน่าดูมิใช่น้อย

(อิอิ....อย่าหาว่าผมลามกนะ ผมมีสิทธิ์คิดนี่นา)


         กว่าผมจะประคองกึ่งลากปืนมาถึงห้องได้ก็เล่นเอาหอบ ต้องคอยส่งเสียงบอกปืนให้ยกขาขึ้นก้าว

เรียกชื่อให้พอรู้สติบ้าง พอถึงประตูห้องแรกหน้าบันได ผมก็คิดว่าเป็นห้องของปืน

แต่เหลือบไปเห็นรูปของปอที่ตั้งบนโต๊ะทำงาน ผมก็เลยปิดประตู แล้วเดินเลยมาที่ห้องติดกัน

มีอีกห้องที่อยู่ตรงกันข้าม แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ ซึ่งเผอิญผมคิดถูก ไม่งั้นก็คงเหนื่อยกว่านี้

         แต่พอผมปลดแขนปืนให้นอนลงบนเตียง ไอ้แขนคู่นั้นกลับตวัดมาเกี่ยวคอผมไว้อีกครั้ง

พร้อมกับเสียงงึมงำ ที่จับคำไม่ได้ว่าพูดอะไร ผมปลดมันออกอีกครั้ง แล้วพยายามยกตัวเองออกมาก็ยังไม่ทันอยู่ดี

         “พี่ปืนปล่อยผมก่อน”

         “ปออออ....”

         คราวนี้ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของปืนชัดเจนอยู่ในแก้วหูของผม มันทำให้ผมตาสว่าง

มองเห็นพฤติกรรมต่าง ๆ นานาระหว่างคนสองคน ที่ส่อถึงความสัมพันธ์แบบเดียวกับผมและพี่นิว

         ผมอึ้งไปอึดใจ จะว่าแปลกใจก็ไม่เชิง ผมเคยสงสัยแววตาหวง ๆ ของปออยู่เหมือนกัน

แต่ไม่อยากจะเก็บมาคิดต่อ เพราะผมเองก็ใช่ว่าจะอยากให้ใครมารับรู้ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผมกับพี่นิว

จนทั้งสองคนคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน (ก็ไอ้ความที่ชื่อเราคล้องจองกัน ใครต่อใครถึงไม่ค่อยจะสงสัยว่ามันจะไม่ใช่)

         ผมว่าผมหยุดนิ่งไปแค่อึดใจเดียวนะ แต่ไอ้อึดใจนั้นกลับทำให้ผมเสียหลักจากแรงกระชากของคนเมา

จนล้มทับลงไปบนตัวของปืน ไม่น่าเชื่อว่าตะกี้นี้เอง ผมยังเป็นคนแบกร่างใหญ่ ๆ ที่ป้อแป้ร่างนี้ขึ้นมาบนห้อง

แต่ตอนนี้ผมกลับสู้แรงคนเมาไม่ได้เลย

         ปืนพลิกตัวผมลงข้างล่าง จมูกของปืนระดมปะพรมไปทั่วหน้าผม พึมพำชื่อปอ ไม่ขาดปาก

ลมหายใจที่รดใบหน้าผมมีแต่กลิ่นเหล้าชวนให้คลื่นเหียน ผมไม่ได้รังเกียจคนดื่มเหล้า ผมไม่ได้รังเกียจปืน

เพียงแต่ผมไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับการกระทำจ้วงจาบที่ปืนกำลังทำอยู่

ก่อนที่ปืนจะทำให้ผมรู้สึกเกลียดและขยะแขยงกับการกระทำที่ขาดสติในเวลานี้

ผมควรตัดสินใจทำอะไรซักอย่างให้ตัวเองพ้นจากสถานการณ์คาบลูกคาบดอกแบบนี้ไปก่อน

         ผมพยายามปัดป้องเท่าที่ทำได้เพราะแขนผมยังเป็นอิสระ ในขณะที่ขาของผมถูกปืนกดทับไว้ทั้งสองข้าง

ลำตัวใหญ่ของปืนทับลงบนตัวผมเต็ม ๆ ทำให้อึดอัด หายใจติดขัด

จนผมเริ่มหอบกับการต้องออกแรงโดยที่ไม่มีผลลัพธ์อะไรในทางบวกเลย

(และผมกำลังจะโดนบวก...ช่วยด้วยยยยย)

         อะไรไม่รู้ทำให้ผมเอานิ้วจิ้มไปที่เอวของปืน ร่างใหญ่มีอาการสะดุ้งเป็นการตอบสนอง

ผมเริ่มมองเห็นทาง จากที่เอานิ้วเดียวจิ้มสะเอว ผมก็เปลี่ยนเป็น จี๋ไปที่เอวของปืนทั้งสองข้างติดต่อกัน

ไม่น่าเชื่อว่าปืนดิ้นพราด ๆ ลงจากตัวผม แถมยังหัวเราะราวกับจะขาดใจ สุดท้ายก็นอนหงายผึ่งหอบแฮ่ก ๆ

โดยมีผมนั่งมองผลงานของตัวเองอยู่ข้าง ๆ....ผมหลุดขำ ที่คนตัวโต ๆ อย่างปืนมาตายน้ำตื้น

กะอีแค่โดนจี๋สะเอว ก็หมดสภาพซะแล้ว

         ความรู้สึกผมตอนนั้นไม่ได้เกลียดปืนเพราะมีน้ำหนักของความเข้าใจมาถ่วงไว้ 

ผมมองออกว่า ปืนคงแอบรักปอ ถึงได้แสดงความต้องการออกมาเวลาที่ไม่รู้สติ

โดยมีจิตใต้สำนึกเป็นตัวผลักดัน ส่วนปอ ถ้าผมมองไม่ผิด ผมว่าปอเองก็ออกจะหวง ๆ ปืนเหมือนกัน

ดูท่าว่าสองคนนี้คงยังจด ๆ จ้อง ๆ กันอยู่ ไม่เปิดใจคุยกันให้รู้เรื่องซะที


         โดยนิสัยผมชอบช่วยเหลือเพื่อนอยู่แล้ว อะไรที่ผมทำได้ผมจะไม่อยู่เฉย

แต่เรื่องของคนจะรักกัน หรือไม่รักกัน ผมไม่อยากข้องแวะเลย ดีไม่ดี

จะกลายเป็นเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอไปซะอีก

ยิ่งความรักที่มันไม่เหมือนปกติที่สังคมทั่วไปยอมรับ ผมยิ่งไม่อยากชี้นำ

เรื่องของผมกับพี่นิว ถ้าไม่ใช่เพราะผมรักเค้ามาตั้งแต่ยังเรียนมอต้น ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ค่อยคิดถึงสังคมแวดล้อมมากมาย

ผมก็อาจจะไม่กล้าเริ่มต้นในเวลาที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยกับใคร ๆ แล้วอย่างนี้ผมจะมีหน้าไปช่วยให้คนสองคนรักกัน

ในแบบที่ผมเป็นอยู่ มันรู้สึกขัดแย้งในตัวเองยังไงไม่รู้

         แต่ลึก ๆในใจผม มีเสียงเล็ก ๆ บอกว่าความรักรูปแบบไหน ๆ ก็ล้วนแล้วแต่จรรโลงโลก จรรโลงใจ

ของคนที่เป็นคู่รักกัน บางคนแสวงหา แต่ไม่เคยได้พบ บางคนได้รักแล้วก็จำต้องลาจากกันทั้งที่ยังรัก

ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย มันก็ทรมานได้เท่า ๆ กัน แล้วในเมื่อคนสองคนที่มีหัวใจตรงกัน

อยากมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ถึงไม่สามารถแสดงความรักต่อกันได้...มันน่าเสียดายนะ

         ดูเหมือนปืนจะค่อยสร่างเมาบ้างแล้ว คงหัวเราะซะเหนื่อยนั่นแหละ เค้านอนมองหน้าผมแบบงง ๆ

นัยน์ตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้ายังดูคว้าง ๆ

         “นู”

         ปืนทำท่าลุกขึ้นอย่างยากลำบาก อดไม่ได้ตามเคยผมก็เลยต้องเข้าไปช่วยพยุง คราวนี้ผมรู้สึกปลอดภัย

ไม่คิดว่าเค้าจะทำอะไรผมอย่างเมื่อกี้อีก

         “ใครพาพี่มานอนห้องนี้”

         “ผมเอง แล้วนี่ไม่ใช่ห้องพี่ปืนเหรอ”

         “นี่ห้องปอ”

         “อ้าว....ผมเปิดห้องโน้นเห็นรูปปอตั้งอยู่บนโต๊ะ เลยคิดว่าเป็นห้องปอ”

         “เจ้านั่นเอาไปวางไว้ตอนไหนไม่รู้สิ”

         พี่ปืนยิ้มมุมปาก พร้อมกับส่ายหน้า

         “มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาก่อนเหรอครับ”

         พี่ปืนปฏิเสธทำให้ผมเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้กระจ่างชัดมากขึ้น ปอคงนึกหวงพี่ปืนเอากับผมด้วย

         “นูไม่โกรธพี่เหรอ”

         “เรื่องอะไรล่ะครับ”

         ผมแกล้งถามทั้งที่รู้แล้วว่าปืนหมายถึงเรื่องที่เค้าลวนลามผม ผมคิดว่าตอนทำเค้าคงไม่รู้สึกตัวหรอก

แต่ตอนหัวเราะเพราะบ้าจี้คงได้สติบ้างแล้ว อาจจะมีมึน ๆ นิดหน่อย พอได้นอนนิ่ง ๆ ทบทวนก็คงพอจะนึกออก

         “ไม่อ่ะครับ พี่ปืนไม่รู้ตัวหนิ”

         “อืม...นูไม่คิดจะบอกใครใช่มั้ย”

         “ถ้าใครของพี่ปืนหมายถึงปอละก้อ ผมคงไม่บอกหรอกครับ กลัวเค้าเสียใจแต่ผมอาจจะเล่าให้พี่นิวฟัง”

         “พี่จะโดนพี่ชายนูอัดรึป่าวเนี่ย ไปรังแกน้องเค้าน่ะ”

         ปืนพูดขำ ๆ แต่สีหน้าไม่ขำไปด้วยเลย

         ผมจ้องหน้าปืนนิ่ง ๆ แล้วตัดสินใจพูดความจริง

         “พี่นิวไม่ใช่พี่ชายผม”

         ปืนเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ คงงงกับเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ก็ยังตั้งสติได้

         “หนักเข้าไปอีก....เฮ้อ...พี่ไม่รู้เลยนะเนี่ย”

         ผมก็ไม่ได้คิดจะประกาศให้ใครรู้หนิ

         “งั้นนูก็คงรู้แล้ว”

         ปืนสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดอะไร แต่ในใจผมรู้สึกสงสารทั้งคู่

มันมีบางส่วนที่คล้าย ๆ ชีวิตผมกับพี่นิว ต่างกันที่จุดเริ่มต้น ซึ่งผมว่าในที่สุดแล้ว

ถ้าทั้งคู่ตกลงกันได้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเปิดเผยรึป่าว

เห็นอยู่แล้วว่าต่างก็เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

ปอนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นลูกโทน ส่วนปืนยังมีน้องสาวอยู่อีกคน

พื้นฐานความคิดของคนในครอบครัวของเราค่อนข้างจะเหมือนกันตรงที่

ยากที่จะยอมรับความแปลกแยกแตกต่างจากสังคมที่เราอาศัยอยู่

ส่วนเราเป็นลูก ความรู้สีกแคร์คนในสังคมอาจจะไม่มากเท่าไหร่

แต่เราจะห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวมากกว่า เพราะไม่ว่าจะทำอะไร

สุดท้ายแล้วมันก็จะสะท้อนกลับมาสั่นสะเทือนครอบครัวเราเสมอ

         “ผมก็ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องพี่ปืนนะครับ แต่ทำไมพี่ปืนถึงไม่บอกปอเค้าไปตรง ๆ ล่ะ พี่ปืนไม่รู้เหรอ

ว่าปอเค้ารู้สึกยังไงกับพี่ปืน”

         “รู้ ปอเค้าบอกพี่เอง”

         “นั่นน่ะสิ ผมก็ว่าปออ่ะดูไม่ยาก แต่พี่ปืนสิผมยังไม่ค่อยแน่ใจ ก็ถ้าพี่ปืนรู้อย่างงี้แล้วทำไมไม่เปิดใจคุยกันล่ะครับ

ผมว่าพี่ปืนโชคดีจะตาย ที่ปอก็รักพี่ปืน”

         “ไม่ได้หรอก พี่รู้สึกเหมือนทรยศป๊ากับแม่ของปอ เค้าฝากให้พี่ดูแล ไว้ใจพี่ทุกอย่าง

อยู่ ๆจะให้พี่ทำแบบนั้น พ่อแม่ที่ไหนเค้าก็คงไม่ชอบใจ”

         “อยู่กันแบบนี้ไม่อึดอัดแย่เหรอครับ”

         “พี่ทนได้”

         “แล้วปอทนได้เหรอ”

         “เค้าบอกพี่เองว่าเค้าจะพยายามตัดใจจากพี่”

         “ทำไมปอเค้าถึงจะตัดใจ พี่ปืนปฏิเสธเค้าไปเหรอ”

         “ป่าวหรอก ปอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่รักเค้า”

         “อ้าว....”

         ปืนค่อย ๆ เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ระหว่างเค้ากับปอให้ผมฟัง

(แค่บางส่วน...และมันทำให้ผมสนใจที่จะซักถามเค้าถึงเรื่องราวอย่างละเอียดในเวลาต่อมา)

ผมได้แต่รับฟังโดยไม่ได้ออกความห็น มันดูงี่เง่ามากที่คนสองคนรักกันแล้วไม่สามารถจะแสดงความรักต่อกันได้

แม้จะอยู่กันตามลำพัง ตลอดเวลาฝ่ายหนึ่งต้องคอยซ่อนความรู้สึก ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนความรู้สึก

เพียงเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่ารสหวานซ่านซ่าของความรักนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

มันน่าเสียดายน้อยอยู่หรือ


         ผมออกจากบ้านปืนมาด้วยความตั้งใจที่จะผสานความรู้สึกของสองคนนี้ให้มันลงตัวซะที

แต่ผมคงไม่บอกอะไรพี่นิวหรอก ให้เค้ารู้แค่ว่า ผมมากินเหล้าบ้านเพื่อนร่วมงานที่เค้ารู้จักเพียงผิวเผิน

แล้วบังเอิญเพื่อนเมาไปส่งผมไม่ได้แค่นี้พอแล้ว ถึงเค้าจะไม่ใช่คนขี้หึง

แต่ถ้าบอกว่าปืนมีความรักแบบเดียวกับเรา พี่นิวเค้าอาจจะระแวงขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง

มันจะกลายเป็นรอยร้าวระหว่างเราซะเปล่า ๆ

         หลายวันต่อมาผมได้มีโอกาสพูดคุยกับปอโดยไม่มืปืนร่วมวงด้วย อาศัยความเป็นรุ่นพี่ที่อาวุโสกว่า

บวกความเจ้าเล่ห์อีกนิดหน่อย ผมต้อนให้ปอยอมคายทุกอย่างออกมาจากปากตัวเอง

ทำให้ผมรู้ว่าที่คิดไว้แต่แรกไม่ผิดเลยซักนิดเดียว แถมยังได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่า คืนที่ผมแบกปืนขึ้นไปบนห้องนอน

ปอเป็นคนเอารูปของตัวเองไปวางในห้องปืน เค้าตั้งใจให้ผมรู้ว่าอย่าแหยม

แต่มันกลับกลายเป็นว่าผมดันพาปืนไปผิดห้องซะนี่

         “ทีแรกผมไม่ชอบหน้าพี่นูเลย”

         ปอบอกผมว่าเค้าไม่ชอบผม เพราะผมมักจะเข้ามาแทรกระหว่างเค้ากับปืนเสมอ

เค้าบอกว่าผมแย่งเวลาที่เค้าจะได้อยู่กับปืนตามลำพังไป แต่พอนานเข้าเค้าก็รู้สึกว่า

การที่มีผมเป็นเพื่อนกลับทำให้เค้ารู้สึกใกล้ชิดกับปืนมากขึ้น

         “เพราะพี่ปืนไม่ไปไหนไงครับ แต่ก่อนนี้ก็ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อน กว่าจะกลับบางทีก็ดึก

ผมเข้านอนแล้ว ทั้งที่ผมตัดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยออกไปหมด จะได้มีเวลาอยู่กับเค้า

ก็เหมือนเรายังไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ แต่พอพี่นูเข้ามา พี่ปืนก็ย้ายที่สังสรรค์มาเป็นที่บ้านแทน

แล้วเพื่อนพี่ปืนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมาหรอก เค้าไม่ชอบบรรยากาศที่บ้าน เค้าชอบฟังเพลง

มีนักร้องเด็กเสิร์ฟมานัวเนีย แต่พี่ปืนไม่ชอบ พอได้พี่นูเป็นเพื่อนดื่มก็เลยไม่ไปไหน แบบนี้ผมชอบมากกว่า”

         เป็นงั้นไป...มันได้ผลดีโดยที่ผมไม่ตั้งใจเลย ผมแค่พยายามหาทางให้คู่นี้เค้าเปิดใจเข้าหากันมากขึ้น

ด้วยการทำความสนิทสนมคุ้นเคย แล้วก็หาโอกาสให้ปืนเผยท่าทีที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้ปอได้รู้

แต่ดู ๆ ไป ปอเองก็พยายามช่วยตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ยังทำไม่ถูกทาง อาจจะเพราะปอยังเป็นวัยรุ่น

น่าจะยังไม่เคยจีบผู้หญิงด้วยซ้ำ พอจะเริ่มจีบผู้ชายด้วยกันก็ยิ่งเริ่มไม่ถูก อาศัยความจริงใจที่มี

ทำให้ปอรู้จักเอาใจใส่ดูแลปืน แต่ผมว่านี่ไม่ใช่วิธีมัดใจให้ผู้ชายคนนี้ดิ้นไม่หลุด

....และผมกำลังทำความรู้จักนิสัยของปืนเพื่อช่วยปออีกทาง

(เค้าเรียกว่า...เจือก....ป่าวหว่า)   



         ************************NOO**************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2012 23:56:46 โดย ์NOO »

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
«ตอบ #117 เมื่อ23-05-2012 23:44:16 »

“พี่ปืนไปส่งผมที่คณะหน่อยนะครับ วันนี้มีกิจกรรมแต่เช้า”

    “พี่ไม่เคยเห็นปอทำกิจกรรมวันหยุดนานแล้วนะ นึกยังไงขึ้นมา”

           “ก็ไม่นึกไงหรอกครับ รุ่นพี่เค้าบังคับมา บอกว่าถ้าไม่ไปเค้าจะให้เพื่อน ๆแอนตี้พวกที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรม

แล้วผมก็โดนหมายหัวมาหลายหนแล้วด้วย”

         ปืนเดินไปหยิบกุญแจรถ เดินมายืนข้าง ๆปอที่กำลังสวมรองเท้าอยู่

         “พี่ก็เคยถามปอแล้วน้า ว่าปอทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมั่งรึป่าว แต่ปอก็บอกว่าไม่มี

ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเราหลบเลี่ยงมาตลอด”

         “ก็มันเสียเวลานี่ครับพี่ปืน”

         ปอตอบหน้างอ ๆ ช่างไม่รู้ซะบ้างเลยนะพี่ปืน ว่าเวลาแต่ละวันของปอจะมีความหมายขึ้นมามากมายแค่ไหน

ตอนที่ได้อยู่กับพี่ปืน กิจกรรมทั้งหลายแหล่ ปอก็เคยทำมาแล้วตอนอยู่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ

ก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้ปอมีความสุขขึ้นมาได้ วัน ๆ ก็เอาแต่ว้าก ว้าก ว้าก แล้วก็ว้าก

จะพูดจากันดี ๆ แบบไม่ต้องข่มขู่จะได้มั้ยเล่ารุ่นพี่

         “แต่มันช่วยให้เราปรับตัวเองเข้าสู่สังคมของผู้ใหญ่ได้ง่ายขึ้นนะปอ กิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่มหาวิทยาลัยจัด

ก็ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้ แล้วปอยังจะได้พบเพื่อนมากขึ้น ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน

ทำให้เราหูตากว้างขวาง มีแต่ได้ ไม่มีเสีย”

         “ก็ผมอยากอยู่กับพี่ปืนหนิ”

         ปอก้มหน้าบ่นอุบอิบอยู่ในคอ ปืนเอื้อมมือไปลูบผมสลวยเบา ๆ ปอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นมองคนที่ตัวโตกว่าบอกความรู้สึกภายในใจจนไม่เหลืออะไรให้คลางแคลง

         “พี่อยากให้ปอโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความรับผิดชอบ ชีวิตช่วงนี้ของปอน่ะ ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ใหญ่เชียวนะ

ปอเองก็ต้องเรียนรู้ ต้องหาประสบการณ์ ไว้เพื่ออนาคต บางอย่างที่เราจะได้จากการทำกิจกรรมน่ะ

มันไม่มีในหลักสูตรหรอกนะปอ เราต้องเลือกเก็บเกี่ยวเอาเอง แล้วถ้าปอไม่เข้าไปหามัน

ปอก็จะพลาดในขณะที่เพื่อน ๆเค้าได้ พี่ได้แต่คอยแนะนำบ้าง เตือนบ้าง แต่ถ้าปอไม่รับ

พี่ก็คงไม่ยัดเยียดให้ปอต้องฝืนใจทำ”

         “พี่ปืนเบื่อรึป่าวที่ต้องคอยดูแลผม”

         “ถามอะไรอย่างงั้นล่ะปอ ถ้าพี่เบื่อจะชวนปอมาอยู่ด้วยกันเหรอ”

         “งั้นเราอยู่กันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ”

         “ได้สิ ยังไงพี่ก็ต้องอยู่ที่นี่วันยังค่ำ ปอนั่นแหละ เรียนจบแล้วก็อาจจะไปเรียนต่อที่ไหนอีก

ไม่งั้นก็กลับไปอยู่บ้านที่โน่น ดีไม่ดี พี่แหละที่จะต้องอยู่เฝ้าบ้านของเราไปคนเดียว”

         ....บ้านของเรา.....

    ฟังแล้วอบอุ่นดีจังเลย ปอลุกขึ้นยืน ส่วนสูงของปอเทียบได้แค่แผงไหล่กว้างของคนตรงหน้าเท่านั้น

เล็งอยู่อึดใจเดียวปอก็ยอมแพ้อารมณ์ของตัวเอง เอื้อมแขนโอบรอบตัวพี่ปืน

แนบใบหน้ากับแผ่นอกแข็งแกร่งที่แสนอบอุ่น...มันให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่มีอะไรเทียบได้เลยทีเดียว

แผ่นหลังของปอสัมผัสได้ถึงแขนของพี่ปืนที่โอบปอไว้แนบอกเช่นกัน

         “วันนี้พี่ปืนพูดแบบนี้ แล้ววันหน้าพี่ปืนยังจะพูดแบบนี้อยู่รึป่าว”

         “วันนี้รึวันไหนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนความคิดของพี่ได้หรอก”

         “สัญญานะครับ ว่าพี่ปืนจะไม่ทิ้งผม พี่ปืนจะไม่ทิ้งน้องคนนี้ ไม่ว่าต่อไปพี่ปืนจะมีใครเข้ามาเป็นคู่ชีวิต

พี่ปืนก็จะดูแลผมตลอดไป”

         “พี่สัญญา ไม่ว่าปอจะไปอยู่ที่ไหน พี่ก็จะยังอยู่ตรงนี้ ปอกลับมาเมื่อไหร่ก็จะได้เจอพี่เสมอ”

ออฟไลน์ NuNew

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-2
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
«ตอบ #118 เมื่อ23-05-2012 23:46:22 »

     


        “พี่ปืนมารับผมหน่อย”

         ปืนรับโทรศัพท์ของปอตอนใกล้จะเลิกงานแล้ว วันนี้เจ้าตัวดีไม่มีเรียน แต่แจ้นไปทำกิจกรรมของชมรม

ตั้งแต่เช้า ซึ่งปืนเป็นคนไปส่งที่หน้าคณะตามเคย จากที่เคยมีเป้แค่ใบเดียว หลัง ๆ ปอจะมีถุงใส่ข้าวของ

สำหรับใช้ในกิจกรรมบ้าง ของกินขบเคี้ยวบ้าง คงรู้สึกสนุกกับกิจกรรมขึ้นบ้างแล้ว

         เดี๋ยวนี้เวลาปืนไปรับไปส่ง ปอจะมีเพื่อนฝูงล้อมหน้าล้อมหลังไม่ได้ขาด

จากที่เคยยืนเกาะกลุ่มกันห่าง ๆ รอปอเดินไปหาก็เข้ามาช่วยหิ้วสัมภาระคนละชิ้นสองชิ้น

ปืนรู้สึกดีใจที่ปอมีสังคมเพื่อนวัยเดียวกัน ไม่ได้เกาะติดเขาเหมือนเมื่อก่อน

แต่อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะหวิวไหวไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ปอเรียกหาตลอดเวลาอีกแล้ว

...คงถึงวันที่ปืนต้องทำใจว่าน้องจะต้องโต

         รถปืนเข้าเทียบข้าง ๆ กลุ่มเพื่อนที่เริ่มจะกระจัดกระจายแยกย้ายกันกลับบ้าน กลับหอพัก

บางคนกำลังเอามอเตอร์ไซค์จากลานจอดใต้ตึกออกมา มีการร่ำลา โบกไม้โบกมือหยอย ๆ

แต่ในกลุ่มนั้นปืนยังมองหาคนที่จะมารับไม่เห็น เขายังจอดรถ แล้วนั่งรออย่างใจเย็น

คิดว่าปอคงอยู่ แถว ๆนี้ เสร็จธุระกับเพื่อนแล้วก็คงเดินมาเอง

         เวลาล่วงไปเกือบครึ่งชั่วโมง นักศึกษากลุ่มที่ไปทำกิจกรรมร่วมกันกับปอ ทยอยกลับกันหมดแล้ว

ทั่วทั้งลานจอดรถว่างเปล่า มีเพียงรถของปืนเพียงคันเดียว ฟ้าเริ่มสลัวลงเรื่อย ๆ

แสงไฟฟ้าบนเสาที่เรียงรายตามถนนคอนกรีตหน้าตึกสว่างพรึ่บไล่หลังตะวันที่ลับลงไปทางทิศตะวันตก

ปืนเริ่มกระวนกระวาย จนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ของปอ

         สัญญานโทรศัพท์ดังเป็นระยะ รอเจ้าของเครื่องกดรับ ปืนรอจนมันถูกตัดไปเอง ก็ไม่มีวี่แววว่าปอจะรับสาย

กดออกอีกสองสามรอบก็ได้ผลไม่ต่างจากเดิม ใจของปืนลุกเป็นไฟ

ทีแรกก็โกรธ ที่ปอเป็นฝ่ายโทรนัดแล้วตัวเองก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

แต่สักพักความโกรธก็กลายเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่

...คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับปอ

แต่ช่วงเวลาจากที่ปืนรับสายแล้วออกรถจนมาถึงมหาวิทยาลัย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

จะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นได้เหรอ แล้วถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ ที่นี่ก็น่าจะมีอะไรที่มันดูโกลาหลบ้าง

หรือไม่ก็ มีเพื่อนของปอคนใดคนหนึ่ง คอยบอกข่าวปืนบ้าง หรือไม่งั้นน่าจะมีใครสักคนโทร.......


    สัญญานโทรศัพท์ในมือปืนดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่น ปืนหยุดคิดทุก ๆอย่างเมื่อมองเห็นเบอร์ที่เรียกเข้า

พร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก

         อึดใจใหญ่ ๆ หลังจากกดวางสาย กว่าที่ร่างเล็ก ๆ ที่ดูมอมแมมกว่าที่ปืนเห็นครั้งสุดท้ายจะเดินออกมา

จากตึกคณะ ตอนที่รับสายปอบอกว่าขอแวะเข้าห้องน้ำก่อน ปอเดินมากับเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งถือเป้ให้

อีกคนถือถุงใส่ของใบเขื่อง พอเดินมาถึงหน้าตึก เห็นรถปืนจอดอยู่ ก็หยุดคุยกับเพื่อน แล้วแยกย้ายกันไปคนละทาง

ส่วนปอโบกมือให้ปืนพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้  คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง อีกมือหิ้วถุง กำลังจะก้าวเดินลงบันได

แต่นั่น.......ปืนน่ะเห็นแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองอยู่ในรถ

         ปืนเห็นปอก้าวเท้าพลาด แล้วค่อย ๆ ร่วงตกจากบันไดชั้นบนสุดของหน้ามุขลงมาถึงข้างล่าง

ก็ไม่กี่ขั้นหรอก แต่คงจ็บพอสมควร ปืนนั่งขำอยู่บนรถรอให้เจ้าตัวยุ่งลุกขึ้นเดินมาเอง

อยากปล่อยให้พี่ปืนรอ โดยไม่บอกไม่กล่าวดีนัก

         ร่างเล็ก ๆ ที่กองอยู่บนพื้นค่อย ๆขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่ดูเก้ ๆ กัง ๆ พิกล

ขาข้างซ้ายเหมือนจะรับน้ำหนักไม่ได้ พอแตะพื้นก็กระเด้งขึ้น ถุงที่ถืออยู่หลุดลงไปกองกับพื้น

ปืนเพ่งมองฝ่าความสลัวยามใกล้ค่ำออกไป รู้สึกผิดสังเกต เหมือนปอจะมีอาการเจ็บที่ขาข้างซ้าย

เพราะทำท่าโขยกเขยกอย่างเห็นได้ชัด เขาผลักประตูรถออกไปทันทีที่ตระหนักว่า

ปอคงไม่ใช่แค่หกล้มตกบันไดธรรมดา

         “พี่ปืนผมเจ็บ”

         “เป็นอะไรเนี่ย”

         พอถึงตัวปอ ปืนถึงได้เห็นว่า เท้าข้างซ้ายที่เขาเห็นว่าห่อหุ้มด้วยสีขาว

แท้จริงแล้วไม่ใช่รองเท้าผ้าใบเหมือนอีกข้าง เพราะแสงสลัวยามโพล้เพล้

ทำให้มองเห็นไม่ถนัดว่า สีขาวของรองเท้านั้น ดูมัวซัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและคราบสกปรก

แต่เท้าข้างซ้ายของปอถูกพันด้วยผ้ากอซหลายทบซะหนาจนดูเหมือนรองเท้า

         “เป็นแผล”

         “รู้แล้ว ไปโดนอะไรมา”

         ปอยิ้มยิงฟัน แต่หน้าแหย ไม่รู้ว่าเจ็บเท้ากับเจ็บตัวจากตกบันได อะไรจะมากกว่ากัน

         “เลือดซึมด้วย ปอบอกพี่มาซิ ไปโดนอะไร”

         ปืนเสียงเข้มขึ้น คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ ก็ดูเถอะ ไปทำกิจกรรมอะไรกันมาถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อขนาดนี้

         “นิดหน่อยเองพี่ปืน”

         ปืนจ้องตาวาว ปอทำคอย่นแต่ไม่ยักกะบอกสักที

         “ไปหาหมอก่อนแล้วกัน”

         ปืนช้อนใต้แขนปอเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นยืน ตั้งหลักได้ ปอก็ก้าวเขยก ๆ ไปอย่างยากเย็น

ปืนพ่นลมออกจากจมูกอย่างขัดใจ แล้วช้อนตัวปอขึ้นอุ้มเดินซะเลย

         “พี่ปืน ปล่อยผมลงนะ”

         “พูดมาก อยู่นิ่ง ๆ ได้มั้ย”

         “แล้วจะอุ้มทำไมเล่า ผมเดินเองได้”

         “ท่านี้เค้าเรียกเขยกไม่ใช่เดิน แล้วพี่ก็รำคาญด้วย”

         “เดี๋ยวใครมาเห็น”

         “ช่างหัว”

         น้ำหนักปอไม่ใช่ว่าจะเบาหรอก ปีนี้โตขึ้นเยอะเลย แต่ปืนทนดูน้องเดินเขยกอย่างยากลำบากไม่ได้

ก้าวแต่ละทีก็คงเจ็บไปถึงไหน ๆ

         “พี่ปืน...”

         “เงียบน่า หนักนะ”

         ปืนหัวเราะเบา ๆ เพื่อทำให้ตัวเองผ่อนคลายลงไปด้วย บอกได้เลยว่าอารมณ์ของเขาเมื่อตะกี้มันปรี๊ดมาก

ที่เห็นปอเจ็บตัวแบบนั้น จะทำตัวเองหรือใครทำก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ คิดอย่างเดียวว่าเค้าไม่อยากเห็นปอเจ็บ

มันคอยแต่จะเจ็บแทนทุกที

         ไปถึงคลินิกที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาแค่สิบนาที แต่กว่าจะได้คิวเข้าพบหมอ

ปืนแทบจะกระชากประตูไปลากหมอออกมาให้ดูแผลน้องซะให้รู้แล้วรู้รอด

เพราะเลือดที่ค่อย ๆ ซึมออกมาจนเปียกผ้ากอซชุ่มขึ้นทุกที พยาบาลก็ไม่มี

มีแต่ผู้ช่วย ที่จัดยากับจัดการข้อมูลคนไข้อยู่ 2 คน



         “บอกได้รึยังว่าไปโดนอะไรมา”

         ปืนถามเมื่อจัดให้ปอนั่งในรถเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ ไม่ทันจะออกรถซะด้วยซ้ำ

ก็ที่อุตส่าห์ใจเย็นไม่ถาม ไม่เซ้าซี้ ไม่เข้าไปยืนฟังในห้องตรวจก็ดีเท่าไรแล้ว รออย่างอดทน

ให้เจ้าตัวดีเอ่ยปากออกมาเอง ก็ยังไม่มีทีท่า

         “เหยียบเศษแก้วครับ”

         “เดินยังไงไปเหยียบเอาได้ ไม่ได้ใส่รองเท้ารึไง”

         “ปกติก็ใส่อยู่ แต่ตอนที่โดนน่ะผมถอดไว้ที่ปากหลุม”

         “ปากหลุม? หลุมอะไร”

         “ขุดหลุมฝังเศษอาหารกับขยะที่ย่อยสลายได้ไงครับ”

         “ขุดเองเหรอเราน่ะ”

         “ป่าวครับ เพื่อนเค้าขุดกัน งานส่วนของผมเสร็จแล้ว กำลังล้างตัวกัน ผมกลัวรองเท้าเปียกก็ถอดไว้

ทีนี้ตอนผมเดินกลับไปหยิบรองเท้าที่ปากหลุม ผมเห็นแก้วพลาสติกปนอยู่กับเศษอาหารด้วย

ใครคงทิ้งแก้วน้ำลงไปในถุงขยะ”

         “อ้อ...นิสัยมักง่าย แล้วมันเกี่ยวกับปอยังไง”

         “ผมเห็นแล้วอดไม่ได้นี่นา ก็เลยกระโดดลงไปในหลุม จะหยิบมันขึ้นมา แล้วก็ไม่รู้ใครอีก

ที่ทิ้งเศษขวดแตก ๆ ลงไปในถุงขยะด้วย ผมไม่เห็นเลยเหยียบเข้าไปเต็มเท้าเลย”

         “ให้มันได้อย่างงี้สิน่า เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ ๆเลยนะ”

         “ไม่เป็นเรี่องได้ไงล่ะครับ เราไปรณรงค์ชาวบ้านเรื่องสุขอนามัย สอนให้เค้าดูแลสิ่งแวดล้อม

เราก็ต้องทำให้เค้าเห็นด้วยสิครับว่าต้องทำยังไง อะไรไม่ถูกก็ต้องแก้ไขทันที

ชาวบ้านที่เค้ามาร่วมกิจกรรมก็ยังไม่กลับนะ พอเค้าเห็นผมลงไปเก็บขยะแล้วยังเจ็บตัว

เค้ายิ่งศรัทธาสิ่งที่เราตั้งใจทำให้เค้าเข้าไปอีก”

         “แล้วมันคุ้มเหรอที่ตัวเองต้องมาเจ็บตัวแบบนี้น่ะ”

         “ผมว่าคุ้มนะครับ แต่เจ็บจังเลยอ่ะพี่ปืน หมอเค้ากลัวเป็นบาดทะยัก เค้าก็เลยฉีดยาให้แล้วก็ให้ยามากินตั้งแยะ

ไอ้ยาบาดทะยักผมต้องกินมันไปตั้ง 10 วันแน่ะพี่ปืน”

         ปอหยิบถุงยาออกมาพลิกไปพลิกมาดูยาสามสี่ชนิดที่ต้องกินจนกว่าจะหมด

 ปืนเห็นแล้วอมยิ้ม เพราะรู้ว่าเจ้านี่ไม่ชอบกินยาเอาซะเลย

         “ดีแล้ว เล่นกระโดดลงไปคลุกขยะในหลุม ไม่รู้เจอเชื้ออะไรต่อมิอะไรเข้ามั่ง บาดทะยักน่ะ

มันอันตรายถึงตายเชียวนะ”

         “ผมต้องกินมันทุก 6 ชั่วโมงเชียวนะครับ”

         ปอพลิกถุงยาในมือไปมา บ่นเบา ๆ   
     
         “อืม....ไม่เป็นไร คืนนี้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้จะได้ไม่พลาด”

         “ไปเรียนผมก็ต้องพกมันไปทุกที่เลยนะครับ”

         มือขาว ๆ ยังกำถุงยาไว้ในมือ เรื่องกินยายังไม่จบ

         “ใช่ แล้วพี่จะโทรไปทุก 6 ชั่วโมงเตือนให้ปอกินยานะ”

         “พี่ปืนนนนน”

         คนป่วยตวาดแว้ดออกมาอย่างขัดใจ พร้อมกับกำถุงทุบลงไปบนตักตัวเอง

         “ทำไม”

         ปืนหัวเราะหึ ๆ ขำคนไม่อยากกินยา ตอนนี้ทำหน้าคว่ำ ฟันขบริมฝีปากล่างจนน่ากลัวว่าจะเจ็บ

         “ผมต้องกินให้หมดใช่ป่าว”   

         “รู้แล้วจะถามทำไมเนี่ย”

         “พี่ปืนว่ามันจะขมมั้ย”

         “ก็ลองเอาแตะ ๆ ลิ้นดูซักนิดก่อนจะกลืนแล้วกัน”

         “ผมเกลียดยาพาราอ่ะ ทำไมมันต้องขมนะ”

         หมดจากยาบาดทะยัก ก็หยิบถุงยาพารามาพลิกดูใหม่ จะว่าไปไม่ต้องจ่ายยาตัวนี้มาก็ได้

มันเป็นยาประจำบ้าน ที่แทบทุกบ้านมักจะมี แต่ถ้าไม่จ่ายมาพร้อม ๆ กัน หมอคงคิดค่ารักษาไม่ถูกอะนะ

         “ที่ไม่ขมก็มี แต่หมอไม่รู้จ่ายยี่ห้ออะไรมาให้นี่สิ”

         “ถ้าไม่มีไข้ผมก็ไม่ต้องกินก็ได้ครับหมอบอก”

         “พี่ว่ามื้อแรกนี่กินเหอะ กันไว้ก่อน”

         กว่าปอจะหมดความสนใจเรื่องยา ก็เกือบจะถึงบ้านพอดี บ้านดูมืดไปหมด

เพราะไม่ได้เปิดไฟไว้เลย น่าจะต้องติดตั้ง Timer Switch โคมไฟที่หัวเสาซะแล้ว

ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้กลับบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ เลยไม่ค่อยได้นึกถึง

         ปืนจอดรถลงไปเปิดประตูรั้ว แล้วกลับขึ้นมาขับรถเข้าบ้าน พอจอดรถได้

ปอก็เปิดประตูเลื่อนตัวลงไปยืนด้วยความเคยชินแล้วก็ต้องร้องโอ๊ย เพราะเอาเท้าข้างที่เจ็บลงไปรับน้ำหนักก่อน

บวกกับอาการเคล็ดจากที่ตกบันได คงแทบน้ำตาร่วง

         “ทำไมไม่ระวังเลยนะปอ”

         ปากบ่นไปงั้นเอง แต่ปืนก็ห่วงน้องแทบบ้า พอถึงตัวปอ ปืนก็ช้อนใต้ข้อพับขา ขึ้นอุ้ม

คราวนี้ปอไม่ท้วงอะไรอีก ได้แต่นิ่งเงียบ แต่มือไม้ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน

         “กอดไหล่พี่”

         แขนเรียว ๆ ของปอยกขึ้นกอดไหล่ เลื่อนโอบรอบคอปืนอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ

ปืนไม่รู้ว่าตัวเองอมยิ้มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งจะรู้ตัวตอนถึงประตูบ้าน และอ้าปากบอกให้ปอไขกุญแจประตู

         “ไขประตูหน่อย”

         ออกจะทุลักทุเล ที่ปอจะต้องล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมา 

ในขณะที่ตัวลอยอยู่กับพื้น นั่นยิ่งทำให้ปืนคลี่ยิ้มจนแก้มแทบปริ

         “กุญแจอยู่ในกระเป๋าเสื้อพี่นี่”

         “แล้วก็ไม่บอกแต่แรกหนิ”

         เห็นหน้าโกรธ ๆ งอน ๆ ทำปากยื่น ปืนก็ยิ่งขำด้วยความเอ็นดู แต่ก็ต้องร้องโอ๊ย

เพราะคนหยิบกุญแจไม่หยิบเปล่า แต่ยังฝากรอยจิกไว้บนเนื้อใต้ผ้า มันเจ็บน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ

ก็ตรงนั้นมันพอดีกับติ่งเนื้อสีเข้มนี่นา จิกแม่นจริงนะปอ ตั้งใจหรือเปล่าไม่รู้

         ประตูถูกผลักให้เปิดออก ปืนหยุดรอหน้าประตูให้ปอเปิดสวิทช์ไฟกลางบ้าน ขืนเข้าไปทั้งมืด ๆ

พอดีพอร้ายได้ล้มลุกคลุกคลานกันทั้งคู่ เขาก้าวเดินไปวางปอลงบนโซฟาอย่างทะนุถนอม
   
         เจ็บตัวคราวนี้คงงดกิจกรรมไปอีกหลายวัน ปืนกะว่าให้งดซักครึ่งเดือนท่าจะดี ใกล้สอบปลายภาคแล้วด้วย

ช่วงนี้จะได้มีเวลาอยู่ติดบ้าน คงได้อ่านหนังสือเต็มที่หน่อย

         ตลอดระยะที่ปอยังเจ็บเท้า ปืนต้องคอยดูแลตลอด จนปืนชักสงสัยว่า เท้าเจ็บรึว่าโดนตัดขากันแน่

เพราะปอไม่ยอมขึ้นลงบันไดเอง จะเดินเหินก็ต้องคอยประคอง ยิ่งไปกว่านั้น

ตอนนี้ ปออพยพมานอนห้องปืนเรียบร้อยแล้ว

         “เวลาผมเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนพี่ปืนจะได้ช่วยผมไง”

         พอปืนทำหน้าเหวอปอก็บอกว่า

         “ผมเดินไม่ถนัด ลื่นหกล้มไปจะว่าไง”

         ที่ปืนเหนื่อยล้าลำเค็ญที่สุดก็ตอนปลุกให้มากินยากลางดึกนี่แหละ ยังกะรู้ว่าต้องตื่นมากินยา

ปอช่างปลุกยากปลุกเย็นซะจริง ๆ ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้ ปืนต้องป้อนยาป้อนน้ำ

ทั้งที่คนป่วยยังหลับตา กินยาเสร็จปุ๊บก็ล้มตัวลงนอนปั๊บ ปืนเดินไปวางแก้วน้ำที่โต๊ะ

กลับถึงเตียงต้องฉุดแขนให้ลุกขึ้นมานั่ง

         “รอซักสิบนาทีสิปอ เดี๋ยวค่อยนอน”

         ปอคอพับคออ่อนเป็นเด็กแรกเกิด จนปืนต้องนั่งซ้อนหลังให้ปอได้นั่งพิง

            “ก็มันง่วง”

         ว่าแล้วก็เอนตัวลงมาเต็ม ๆ ทั้งเมื่อย ทั้งง่วง แต่ปืนก็ต้องรอสักพักให้ยาไหลลื่นลงกระเพาะไปก่อน

ถึงจะจับปอให้นอนลง สิบวันของการดูแลคนป่วยอาการ “โคม่า” ทำเอาปืนแทบล้มป่วยตาม

เพราะนอนพักผ่อนไม่พอ หน้าตาหมองคล้ำจนลูกค้าที่คุ้นเคยกันเอ่ยทัก

ว่าไปทำอะไรมา ถึงดูซูบโทรมขนาดนี้ ส่วนคนป่วย “โคม่า” กลับหน้าตาสดใสเปล่งปลั่งหายวันหายคืน

แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่ปืนอยากเห็น และอยากจะให้เป็น

         เขาอยากเห็นปอสดใส ยิ้มได้ทุกวัน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีชีวิตที่สวยงาม สนุกสนานตามวัย

อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ....ดีที่สุดแล้ว

         อาการเดินเขยกของปอหายไป เพราะแผลสมานกันดีแล้ว แต่กว่าที่แผลจะแห้งดี

ทั้งปืนและปอต้องใช้ความอดทนกันคนละอย่าง

         ปืนจะล้างแผลให้น้องทุกเช้า ครั้งแรกที่เปิดแผล ปืนถึงกับมือไม้สั่น

เพราะปากแผลที่ยาวแทบจะเต็มฝ่าเท้าปอไม่ลึกมากนัก และหมอก็ไม่ได้เย็บแผล

 เห็นแล้วปืนแทบไม่อยากมอง เงยหน้าขึ้นมองปอ ปืนก็ยิ่งใจเสีย

เพราะใบหน้าที่เคยขาวเรื่อ ๆ กลับซีดเผือด ริมฝีปากสั่น ๆ แต่เจ้าตัวก็พยายามเม้มและกดไว้ไม่ให้ปืนเห็น

คงมีแววตาที่ระริกไหวด้วยหยาดน้ำบาง ๆ...ปืนรู้ว่าปอต้องเจ็บ แต่พยายามอดทน

เขาเองก็ต้องอดทนที่จะดูให้เต็มตาเพื่อจะทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย

         (ทำไมไม่ไปล้างแผลที่คลินิก....นั่นเป็นคำถามที่ทั้งสองคนไม่ได้คิดถึงเลย

ผมถามทั้งคู่ในวันที่ผมบันทึกเรื่องราว....เขามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม แต่ไม่มีคำตอบ

สำหรับผม...ผมคิดเอาเองว่า น่าจะเป็นความตั้งใจที่จะดูแลกันและกันของคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

คิดได้ก็ทำเลย...ไม่ต้องมีเหตุผลสนับสนุนว่า ทำไมเราถึงอยากทำอะไรให้คนที่เรารัก....นู)

         อาหารการกินตลอดระยะเวลานั้นเป็นที่น่าปวดหัวสำหรับปืน คนป่วยดูจะต้องการการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ

ดีอยู่อย่างที่ปอไม่ได้อยากนึกกินของหายาก แต่ของหาง่ายของปอก็อยู่ไกลบ้าน

และไม่เคยสั่งแบบธรรมดากะใครเค้า

         กระเพาะปลาก็ต้องเจ้านั้น(พิเศษไม่ใส่หน่อไม้)

         ผัดไทยก็ต้องเจ้านี้ (พิเศษไม่ใส่ถั่วงอก)

         ก๋วยเตี๋ยวราดหน้ายอดผัก (ติดใบมาเมื่อไหร่ก็เขี่ยทิ้ง)

         หมูสะเต๊ะทีละห้าสิบไม้ (ไม้นึงเท่านิ้วก้อย)

         ไก่ย่างรสจัด (ไม่ต้องสับ เพราะกระดูกแตกกินยาก)

         ข้าวเหนียวไก่ทอด เนื้อหน้าอก ส่วนอื่นไม่เอา (เจ้านี้ต้องคอยคิวนานโคตร)

         ขนมเบื้องอันเล็ก (พิเศษครีมเยอะ ๆ)

         ขนมไข่มด ทีละยี่สิบลูก (ต้องเจ้าที่ทำไส้ถั่วดำ)

         แต่ถึงยังไงปืนก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายหรือไม่อยากทำอะไรให้ปอ ยิ่งเวลาที่เห็นปอกินได้กินดี

ก็เหมือนจะพลอยรู้สึกอิ่มไปด้วย อิ่มอกอิ่มใจนั่นน่ะของแน่ แต่การที่มีใครบางคนนั่งกินข้าวด้วยกัน

กินไปคุยไป ไม่รู้สรรหาเรื่องอะไรมาคุยนักหนา อาหารธรรมดาก็แทบจะกลายเป็นอาหารทิพย์ไปเลย



         การสอบปลายภาคของปอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ท่าทางเจ้าตัวจะพอใจกับตัวเองที่มีเวลาอ่านหนังสือเต็มที่

บางวันมีเพื่อนมาติวกันที่บ้านใต้ซุ้มเล็บมือนางสุดโปรดของปอนั่นเอง

         ก่อนจะพาเพื่อนมาที่บ้าน ปอจะขออนุญาตปืนก่อนทุกครั้ง ครั้งละสามสี่คน ซึ่งก็ไม่บ่อย

และไม่เคยตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันที่ปืนอยู่บ้าน เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขา

ทั้งที่จริงปืนก็ไม่เคยห้าม ทำให้ปืนยิ่งรู้สึกเอ็นดูปอมากขึ้น ๆ ทุกวัน

การหักห้ามใจไม่ให้รักปอดูจะยากเย็นเหลือเกิน ถ้าวันที่ปอต้องจากไปมีชีวิตของตัวเองมาถึง

ปืนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไง จะทนได้มั้ย จะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวโดยไม่มีปอต่อไปได้หรือเปล่า

         “เมื่อไหร่จะย้ายกลับไปนอนห้องตัวเองเนี่ย”

         ปืนอาบน้ำเสร็จออกมาเจอปอนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงในชุดนอน

ขาก่ายอยู่กับหมอนข้างใบเขื่องของปืน ที่ปอถือวิสาสะเอาไปนอนกอดทุกคืน

ด้วยข้ออ้างว่า เอาของตัวเองมาอีกใบก็เต็มเตียงไม่มีที่จะนอนกันพอดี ปืนไม่ได้ว่าอะไร

เพราะปกติหมอนข้างก็เป็นแค่เครื่องประดับประจำเตียงอยู่แล้ว

         “ทำไมเหรอครับ นอนด้วยกันแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ”

         “หายแล้วก็กลับไปนอนห้องตัวเองได้แล้ว พี่ไม่ต้องปลุกปอมากินยาแล้วนี่”

         “พี่ปืนรำคาญเหรอครับ”

         เสียงอ่อย ๆ ของปอ ทำให้ปืนเบนความสนใจจากตู้เสื้อผ้าหันมามอง

         “เปล่าหรอก ก็ต่างคนต่างมีห้องส่วนตัว พี่ก็คิดว่า....”

         “อ้อ....พี่ปืนอยากเป็นส่วนตัว...ครับ ผมย้ายกลับก็ได้ แต่ว่า พรุ่งนี้นะ”

         “พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

         “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องอธิบายหรอก ผมเข้าใจแล้ว”

         รายการโทรทัศน์ต่อจากนั้น ไม่น่าสนใจสำหรับปืนหรอก แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาดูอยู่ได้โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ต่างคนก็ต่างจ้องไปที่จอสี่เหลี่ยมข้างหน้า ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างที่เคยเป็น

         “ผมนอนก่อนนะครับ”

         ปอวางรีโมทไว้ข้าง ๆ ปืน ก่อนจะขยับตัวลงหนุนหมอน หันหลังให้ปืน ไม่นานหลังจากนั้น

ปืนก็ไม่รู้จะนั่งหลังขดหลังแข็งไปเพื่ออะไร ก็ลุกไปปิดไฟ ปิดโทรทัศน์ กลับมาล้มตัวลงนอนบ้าง
     
         ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของปอสม่ำเสมอ ปืนตะแคงหน้ามามองแผ่นหลังของปอ

ด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

         ยอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่า เขารู้สึกดีมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อตื่นขึ้นมาทุกเช้า

ภาพแรกที่เขาเห็นเป็นร่างบางที่นอนขดอยู่ข้าง ๆ กำลังหลับตาพริ้ม

ผมดำสลวยปอยเล็ก ๆ เคลียอยู่ข้างแก้มใส ๆ และสยายอยู่บนหมอน

บางเช้าอาจจะหันหลังให้ แต่แผ่นหลังนั้นก็แนบชิดอยู่กับแขนของปืน

เขาไม่ขออะไรมากเลย ขอแค่ตื่นขึ้นมาได้เห็นคน ๆ นี้เป็นคนแรกของวัน

คงทำให้วันทั้งวันของปืนมีความหมายอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

         แต่นั่นแหละ เขาออกปากไปแล้วให้ปอกลับไปนอนห้องเดิม จะทำยังไงได้ล่ะคราวนี้

ปากหนอปาก ทำไมไม่คิดให้ดีก่อนพูดนะ


         ค่ำคืนต่อมาก็เป็นไปตามที่ปืนพูดไว้ หลังอาหารแล้วปอก็ไปนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก

ซึ่งไม่ได้ทำอย่างนี้มานานเท่ากับที่ปอเท้าเจ็บนั่นแหละ

         ตอนที่เท้าเจ็บ ปืนจะพยุงปอขึ้นบ้านไปอาบน้ำ ทำแผลเสร็จแล้วก็นั่งดูโทรทัศน์ในห้อง

จนกว่าจะง่วงนอนก็ผล็อยหลับไปตรงนั้น ในขณะที่ปืนอาจจะกำลังทำงานบ้าง ดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนบ้าง

         ปืนเดินขึ้นบ้านไปก่อน ปล่อยให้ปอดูโทรทัศน์ไปคนเดียว เพราะที่ห้องของปอไม่มี

เคยบอกว่าจะซื้อให้ปอก็ไม่เอา บอกว่าแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวพอแล้ว ถ้าอยากดูโทรทัศน์ก็จะดูข้างล่าง

         ดึกแล้วเมื่อปืนได้ยินเสียงปอเดินผ่านหน้าห้องของตัวเองไป เสียงเปิดประตูห้อง แล้วปิดตามหลังเบา ๆ

ปืนปิดไฟเตรียมตัวเข้านอน หลังจากที่ยืนรีรออยู่หน้าประตูเป็นนาน

คิดว่าปอคงไม่มาเคาะประตูขอมานอนด้วยแน่แล้ว เขาก็จะได้นอนบ้าง

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับไปที่เตียงนอน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเข้ม ๆของปืนได้ทันที

         “มีอะไรเหรอปอ”

         ปืนเปิดประตูรับ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับมันไม่เคยปรากฏรอยยิ้มมาก่อน

         “แอร์ห้องผมเสียอ่ะพี่ปืน”

         “อืม....มานอนห้องพี่มั้ยล่ะ”

         “ได้เหรอครับ”

         “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

         “ก็เมื่อคืนพี่ปืนให้ผมกลับไปนอนห้องตัวเองหนิ”

         “ตอนนั้นพี่ไม่รู้ว่าแอร์เสียนี่นา สงสัยไม่ได้ใช้นานมั้ง มันเลยเสีย”

         “งั้นผมนอนห้องพี่ปืนจนกว่าจะซ่อมแอร์เสร็จได้มั้ยครับ”

         “ก็ตามใจแล้วกัน เข้าหน้าร้อนแล้วด้วยนี่...แต่ปีนี้ หน้าร้อนมันมาเร็วกว่าปีก่อนนะพี่ว่า

...ไป ๆ.....ไปนอนได้แล้ว พี่ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

         “ผมไปเอาหมอนข้างมาก่อนนะครับ แปบนึง”

         “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเตียงจะแคบไป เอาของพี่ก็ได้”


         ปอคงนอนไปสักพักแล้ว ถึงได้รู้สึกว่ามันร้อนเกินจะทนได้ ถึงได้เดินมาเคาะเรียก

เพราะระยะเวลาที่เดินเข้าห้อง กับตอนนี้ทิ้งห่างกันพอสมควร ปืนคิดแล้วก็ยิ้มออกมาอีกโดยไม่รู้ตัว

    เขาเพิ่งหาทางออกได้เมื่อหัวค่ำนี่เอง ตอนที่ปอนั่งดูโทรทัศน์ข้างล่าง

เขาก็รีบขึ้นมาสับสวิทช์แอร์หน้าห้องของปอ ไม่มีกระแสไฟเข้าเครื่อง แอร์ก็ไม่เดิน

แต่ปอคงนึกไม่ถึงหรอก เพราะสวิทช์นั่นมีไว้เผื่อตอนที่มันเสียจริง ๆ แล้วให้ช่างมาซ่อมต่างหาก





        .......โถ่ พี่ปืน นึกว่าตัวเองฉลาดนักเหรอ ผมเปิดแอร์แล้วมันไม่ทำงาน ผมก็เที่ยวลองมันไปหมดแหละ

พี่ปืนคงจะลืมไปว่า บ้านผมขายเครื่องไฟฟ้า กะอีสวิทช์ไฟแหกตาผมไม่ได้หรอกน่า

....ปอนอนนึกในใจอย่างกระหยิ่ม


ออฟไลน์ choijiin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +445/-5
Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
«ตอบ #119 เมื่อ24-05-2012 00:02:06 »

อร๊ายยยยยยยยยยยยย
 :impress2:
ชักจะร้ายกาจใหญ่แล้วนะสองคน
เดี๋ยวนี้แผนเยอะนะ
 :m12:

พี่นูของน้องปอนี่คือคุณนูของคนอ่านหรอกเหรอเนี่ย
 :a5:
คงไม่ว่าคนอ่านใช่มั้ยคะ
ที่เคยแอบหมั่นไส้ที่เข้ามาเป็น กขค ของพี่ปืนกับน้องปอ
 :m23:
เค้าผิดไปแย้วค่า
 :m5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด