พิมพ์หน้านี้ - อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NuNew ที่ 08-05-2012 00:05:29

หัวข้อ: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-05-2012 00:05:29
  รับกติืกาักันก่อนครับ

แล้วเดี๋ยวมาทักทายกัน


บันทึกเพิ่มเติม 9/5/2555

ผมคงไม่ได้ระบุชื่อตอนนะครับ ไม่สามารถจริง ๆ

เรื่องนี้ผมเขียนจากความทรงจำ + คำบอกเล่า แล้วก็เอามาัดัดแปลงใ้ห้มันเป็นนิยาย

เพราะงั้นมันก็จะไหลไปเรื่อย ๆ บางตอนสั้น บางตอนยาว บางตอนก็จะเพ้อ ๆ

เพราะคนเขียนก็ออกแนวเ้พ้อเจ้อเล็กน้อย





ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะ
ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง

เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควาน
ตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ...........
.
.
เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า............
.........
บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้
เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน

ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด  คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกัน

การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน
แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต
และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่น

ช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ    เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆ
ก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเอง
เพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง

ส่วนการพูดคุยนั้น  ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์
ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย

ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้
หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชาย
เข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

5.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

6.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

7.ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง

8.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
ให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่า
แล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ด
เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

9.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

10.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

11.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

12.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน




เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆ

หุหุ

admin
thaiboyslove.com
.......................................
                                                            วันที่ 3 ธ.ค. 2551

วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7


เรียน   ท่านสมาชิกทุกท่านทราบและโปรดดำเนินการอย่างเคร่งครัด

เรื่อง  กฎกติกาและมารยาท


          กรุณาอ่านข้อความข้างล่างที่แนบมาด้วยข้าล่างนี้   ด้วยความระมัดระวังยิ่ง

เพราะเป็นบรรทัดฐานที่พึงยึดและปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถพิจารณาเป็นอื่นได้

หากผู้ใดฝ่าฝืน  ทางเราจะดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป


      จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน

                                                                                 นับถือ

                                                                            อิเจ้  โมดุเรเตอร์




......................................
หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าคงได้รับความร่วมมือจากทุกท่านนะครับ

ถ้าพบเห็นกระทู้ได้ละเมิดกฎข้างต้น Webmaster,Administrator,Moderator สามารถลบกระทู้ดังกล่าวได้ทันที โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

หากผู้ได้ฝ่าฝืน การทำการดังกล่าว ทาง Webmaster,Administrator,Moderator จะมี message ไปแจ้งเตือน

หากยังกระทำความผิดดังกล่าวอีก ทางWebmaster,Administrator,Moderator จะลบaccoutสมาชิกท่านนั้นออกจากระบบทันที


ขอบคุณในความร่วมมือ

พูห์

Junrai_Hyper

Global Moderator
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-05-2012 00:14:45
 

เป็นเรื่องแรกที่ผมขอเอามาโพสท์ที่เล้าเป็ดนี้นะครับ

ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้เข้ามาด้วยซ้ำ

ผมเพิ่งจะสมัครเป็นสมาชิกเมื่อไม่กี่วันนี่เอง

หวังว่าจะได้รับตอบรับที่ดีจากผู้อ่านทุกท่านนะครับ


ขอเล่าที่มาก่อนซักหน่อยนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ผมเคยโพสท์ไว้ที่เว็บนึงนานมาแล้ว และพอเว็บนั้นปิดไป

ผมก็ไม่ได้ลงที่ไหนอีกเลย มันยังคงเป็นไฟล์เล็ก ๆ ที่ผมเก็บไว้ในเมล์อยู่นั่นเอง

แล้วอยู่มาวันนึง เมื่อเร็ว ๆนี้ ก็มีคนที่เคยอ่านที่เว็บเก่านั้น อยากจะอ่านมันซ้ำ

ผมก็เลยตัดสินใจที่เอามาลงอีกครั้ง

อย่างน้อยก็ไว้เป็นอนุสรณ์ว่าครั้งนึงผมก็แต่งนิยายจบกะเค้าได้เหมือนกัน

ขอฝากตัวเป็นสมาชิกด้วยคนครับ



 

       ปืนเป็นหนุ่มโสด รูปหล่อ ปากหวาน (เวลาจะฉอเลาะสาว)  พูดเพราะ (ได้ถ้าอยากทำ) อายุอานามไม่มาก แค่ 25

เหมาะที่จะเลี้ยงดูใครเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เลี้ยงใครสักคน ยังคงลอยละล่องไปท่ามกลางหมู่ภมรและภุมรี

อย่างสนุกสนาน อาศัยความมั่นคงในอาชีพและรูปร่างหน้าตา เป็นต้นทุนในการหาความสุขสำราญในชีวิตไปวัน ๆ

อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย

   งานการที่ปืนทำตั้งแต่เรียนจบก็คืองานธนาคาร ที่เปิดรับสมัครตอนที่เขาเรียนจบพอดี

หลังจากที่ไม่ได้เปิดรับพนักงานมากว่าสองปี ดังนั้นปืนจึงเป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อน ที่เด็กสุดท่ามกลางรุ่นพี่

(แปลว่าทำงานมาก่อน) แต่ถ้าว่ากันตามวัยนั้นมีตั้งแต่รุ่นน้าขึ้นไปจนถึงรุ่นป้า รุ่นลุงนั่นทีเดียว

..แต่ขอโทษ....


   “ในที่ทำงานน่ะนะ ต่อให้อายุเท่าไหร่ก็มีแต่รุ่นพี่ ไม่มีแก่กว่านี้ จำไว้นะจ๊ะน้องปืน”

น่าน...พี่ก้อย พี่เลี้ยงที่สอนงานเป็นคนแรกกำชับก่อนจะเปิดหลักสูตร ถ้าปืนไม่ยอมรับกฎเหล็กข้อนี้

คงไม่ผ่านโปรเป็นแน่


   
     ช่วงต้นฤดูร้อน เป็นเวลาที่เด็กนักเรียนมัธยมปลายกำลังติวเพื่อสอบเอ็นทรานซ์กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในจังหวัดที่ปืนอยู่นับว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาค จึงมีสถานศึกษายอดนิยมอยู่หลายแห่งด้วยกัน

พร้อมกันนั้นก็มีสถาบันกวดวิชามากมายมาตั้งรกรากทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

(และพากันรวยเอา..รวยเอา)

 เด็กนักเรียนที่ตั้งใจจะติวเข้มก่อนเอ็นทรานซ์ต่างพากันหลั่งไหลมาเพื่ออัพเดทแนวข้อสอบกันอย่างล้นหลาม

จากทั่วสารทิศที่ใกล้เคียง ทำให้หอพัก อพาร์ทเมนท์ แมนชั่น คอร์ท แฟลต คอนโดฯ เกสท์เฮ้าส์

 หรือแม้แต่บ้านที่แบ่งห้องให้เช่า ที่อยู่ในละแวกเดียวกับสถาบันกวดวิชา แทบไม่มีห้องว่าง

        ปืนก็อาศัยอพาร์ทเมนท์มาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ จนกระทั่งทำงานแล้วก็ยังไม่ไปไหน

(เพราะค่าเช่าถูก...นอกจากราคาถูกแล้วยังแถมลูกสาวเจ้าของอพาร์ทเมนท์ให้ด้วยโดยเจ้าของไม่เคยรู้)

อพาร์ทเมนท์ของปืนอยู่ใกล้สถาบันกวดวิชาตั้งสองแห่ง เช้าขึ้นมาก็จะมีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กรุ่นพวกนั้น

จนต้องรีบลุกขึ้นมาชะโงกหน้ามอง (หาเหยื่อ)

   “สด...กรอบ...ทั้งน้านนน” ปืนจุ๊ปากด้วยความมันเขี้ยว

   
    ได้รับประทานอาหารทางสายตาแต่เช้าอย่างนี้ ปืนก็ให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นที่สุด

 อาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพปืนก็แต่งหล่อออกจากห้อง ชุดทำงานของปืนก็แค่เชิร์ตขาวธรรมดาคู่กับสแล็คสีเข้ม ๆ

ผูกเนคไทที่มีสัญญลักษณ์ของธนาคาร....เรียบแต่ดูดี ใคร ๆ มักจะไปผูกเนคไทกันก่อนจะได้เวลาเปิดที่ทำการ

แต่ปืนชอบที่จะผูกไปให้เสร็จ จะได้เดินยืดออกจากห้องพักอย่างเต็มภาคภูมิ

(มันรู้ตัวว่าหล่อหนิ...ช่วยไม่ได้)

        เช้านี้ปืนเดินออกมาเหมือนทุกวัน ปิดประตูล็อคกุญแจได้ก็เดินไปรอลิฟท์ที่สุดทางเดิน

เสียงคนเดินตามมาข้างหลัง คุยกันไปเถียงกันไปเบา ๆ

   “ไม่มีหาดูหมดแล้ว”

 เสียงนุ่ม ๆ ของวัยรุ่นหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล

   “เอามาด้วยรึป่าว”

 อีกคนเสียงห้าวกว่านิดหน่อย ถามขึ้นมาเหมือนไม่แน่ใจ

   “เอามาดิ ตอนอยู่บนรถยังเห็นอยู่เลย”

   “เออ…จำได้ ๆ ยังแวะเติมเงินค่าโทรศัพท์ที่ตู้เอทีเอ็ม.ก่อนขึ้นรถเลย  เฮ้ย! แล้วมันหายไปไหนอ่ะ”

   “นั่นดิ สงสัยต้องโทรบอกแม่ให้ส่งตังค์มาใหม่แล้วมั้ง”

 เสียงแรกฟังดูสิ้นหวัง เหมือนกำลังจะร้องไห้

        ปืนกดลิฟท์รอ สองคนนั้นก็มาหยุดอยู่ข้าง ๆ ระหว่างรอลิฟท์กำลังมา ปืนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสองคน

 พลางทายเล่น ๆ ว่า เสียงนุ่มหู น้ำเสียงน่ารัก ๆ เป็นของคนไหน คนที่ยืนติดกับเขารูปร่างเล็กแต่หนาล่ำใบหน้าคม

คิ้วเข้ม ผิวสีคล้ำกว่าอีกคนที่ดูเพรียวบางกว่ากัน และสูงกว่าเล็กน้อย ผิวขาวสะอาด ปากนิด จมูกหน่อย

ใบหน้าบอกอารมณ์เศร้า เขาขอเดาว่า คงเป็นคนนี้แหละ เพราะหน้าตาดูว่าวิตกกังวล คงเป็นคนที่พูด

คล้ายว่าจะหาของไม่เจอ ลิฟท์เปิดออก ปืนรีบเดินเข้าไป ก่อนจะรีบหันกลับมาเพื่อจะมองใบหน้าให้ชัด ๆ

...น่ารักจริง ๆ ด้วย ดูดิ...ปากงี้แดงน่าจูบชะมัด


   ชื่นตาชื่นใจพอสมควรก็ขึ้นรถไปทำงานอย่างสบายใจ กว่าจะจบคอร์สติว  เขาคงมีโอกาสพาตัวเข้าไปใกล้ชิดได้

 ยิ่งมาอยู่ชั้นเดียวกันแบบนี้ ก็ไม่น่าจะเกินความสามารถ

   
     ช่วงเช้าเมื่อเปิดทำการมักจะเป็นเวลาที่ว่างจากลูกค้า....8.30 น.นับว่าสายพอสมควรสำหรับการออกทำมาหากิน

แต่นั่นแหละ  ห้างยังเปิด 9โมงครึ่งได้เลย ออฟฟิศส่วนใหญ่ก็เปิด 8โมง  กว่าจะมาเดินบัญชีที่ธนาคารก็ยามสาย

ไม่ก็หลังเที่ยงไปแล้ว...แล้วก็ไปยุ่งอีกทีตอนใกล้จะปิดทำการ ลูกค้าจะรีบเอาเงินมาเข้าบัญชี

ให้ทันตัดเช็คในช่วงเย็นก่อนจะปิดระบบจริง ๆ

        สายหน่อยลูกค้าทะยอยกันเข้ามาใช้บริการหนาตาพอสมควร ปืนละสายตาจากลิ้นชักเก็บเงิน

เมื่อเสียงคิวเรียกเข้าเคาน์เตอร์ของเขาแล้ว

   “พี่ครับ ผมจะขอเบิกเงินจากบัญชี แต่ว่าไม่มีสมุดได้มั้ยครับ”

 ปืนเงยหน้าขึ้นมองลูกค้าตรงหน้าเต็มตา...ไอ้หนุ่มเมื่อเช้านี่หว่า

   “ได้ครับ ก็ใช้บัตรเอทีเอ็มไปกดที่ตู้ได้เลย”

   “แต่บัตรผมหาย”

 หน้าตามันเหมือนจะร้องไห้...เห็นแล้วน่าสงสารจัง

   “หายแล้วก็ทำใหม่ได้”

ปืนนึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินโดยไม่ตั้งใจเมื่อเช้า สงสัยว่าไอ้หนุ่มคนนี้คงไม่ได้อยู่ที่นี่แหงเลย

อีกอย่างอพาร์ทเมนท์ของเขาช่วงนี้เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่มาติวก่อนเอ็นฯ สงสัยคงจะมาจากต่างจังหวัด

   “บัญชีผมอยู่ที่.....ครับ”

 เขาเคยชื่อจังหวัดเกือบใต้สุดแดนสยามออกมา....งานเข้าล่ะสิ

   “งั้นก็ต้องกลับไปทำบัตรใหม่ที่นั่นนะครับ แต่ถ้าน้องจะเบิกเงินก็ต้องมีสมุดคู่ฝากมาด้วย” ปืนชี้แจงระเบียบให้ฟังชัด ๆ (สมัยนั้น

เทคโนโลยียังไม่ทันสมัยถึงขนาดที่ทำบัตรเอทีเอ็มต่างสาขาได้)

   “สมุดผมก็หาย”

อารายฟระ....โตเป็นควายแล้วยังรักษาของแค่นี้ไม่ได้เลยเหรอวะเนี่ย....ปืนเริ่มจะระอา

   “อ้าว! แล้วจะทำยังไงดีล่ะครับ”

   “ผมก็ไม่รู้ พี่ช่วยผมหน่อยได้มั้ยครับ ตอนนี้ผมไม่มีตังค์เลย คิดว่ามาถึงธนาคารก็จะเบิกเงินได้

 แล้วนี่ผมก็ไปสมัครติวมาแล้วเมื่อเช้านี้ เค้านัดจ่ายค่าเรียนตอนบ่ายโมง...ถ้าผมไม่มีเงิน....”

 หน้าใส ๆ ใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ ปืนเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงดี

   แล้วความคิดของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็ผุดพรายขึ้นมาทันที

   “เอางี้ดีมั้ย พี่ให้น้องยืมเงินไปลงทะเบียนเรียนก่อน ตอนนี้ก็โทรไปบอกที่บ้านให้ส่งเงินผ่านระบบโอนเงินด่วนมา

ได้เงินมาแล้วก็ค่อยมาคืนพี่”

   หน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราค่อยมีสีหน้าดีขึ้นที่ปืนช่วยหาทางออกให้ แต่มันดันนึกหาทางออกอื่นแทน

   “มีโอนเงินด่วนด้วย ใช่สิผมก็ลืมไป ขอบคุณมากครับพี่ ผมไม่ต้องยืมเงินพี่แล้วแค่โทรไปบอก

ให้ที่บ้านโอนมาแล้วผมรอรับได้เลย ขอบคุณมากครับ”

 ดูท่าทางมันดีใจ หน้าบานเป็นดอกไม้ได้ฝนเชียว

   หนุ่มหน้าใสถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้รับลูกค้าตรงโถงกว้าง กดโทรศัพท์มือเป็นระวิง

กดแล้วยกหูฟัง....แล้วเอาลงมาดู....กดใหม่อีกที

.....เอาลงมาดู.....แล้วกดอีก....

   ปืนเดาว่าคงจะ ’ไม่มีสัญญานตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก’ หน้าใส ๆ ที่เริ่มบานเมื่อครู่หุบลงทีละน้อย

แล้วลุกขึ้นเดินมาหาปืนด้วยนัยน์ตาละห้อย

   เขาถอดนาฬิกาข้อมือออกแล้วส่งให้ปืน...Rolex....ถึงจะไม่ใช่เรือนทองคำ แต่ดูก็รู้ว่ามีราคามิใช่น้อย

   “พี่ยึดนาฬิกาผมไว้นะครับ ราคาของมันน่าจะเกินสามหมื่น ผมขอยืมเงินพี่หมื่นนึง

ไว้ถ้าผมติดต่อทางบ้านให้โอนเงินมาได้แล้ว ผมจะมาไถ่คืน”

   โห! ไอ้หนู....ยืมทีละหมื่นเลยเหรอ

   “ทำไมยืมเยอะจัง แล้วถ้าพี่ไม่มีจะให้ล่ะ”

 ปืนแกล้งแหย่หน่อยเดียว น้ำตาซึมเชียวนะไอ้หนู

   “งั้นผมขอยืมแค่ค่าลงทะเบียนก็ได้ หกพัน....นะครับพี่ ช่วยผมหน่อย”

 ออดอ้อนซะอย่างนี้ มีเหรอที่ปืนจะปฏิเสธได้ลงคอ

   แต่อย่าคิดนะว่าจะได้อะไรไปฟรี ๆ ก่อนออกจากบ้านแม่สอนมารึเปล่าล่ะน้องว่าของฟรีไม่มีในโลก

   ปืนยอมแลกเงินหมื่นกับนาฬิกา ไม่ใช่เพราะโลภ อยากได้ของแพง แต่มาคิดดูแล้วว่า

ไอ้น้องคนนี้ก็น่ารักไม่ใช่เล่น หน้าตาขาว ๆ ใส ๆ ที่เห็นเมื่อเช้านั้น (ด้วยอาการแอบดู)

เทียบกันไม่ได้เลยเมื่อเห็นใกล้ ๆ แบบนี้ ตอนที่ปืนบอกไอ้หนุ่มนั่นว่า ให้ลงไปรอข้างล่างหน้าตู้ ATM.

 ประเดี๋ยวเขาจะตามไปน่ะ ปืนแกล้งชะโงกหน้าไปกระซิบ

 เพื่อจะได้เห็นแก้มเนียน ๆ ใส ๆ ที่เป็นสีชมพูระเรื่อใกล้ ๆ

แถมยังแอบสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อีกต่างหาก

   พอลงไปถึงข้างล่าง เขาก็บอกให้น้อง ซึ่งเขารู้ชื่อแล้วว่า ‘ปอ’ พยายามติดต่อที่บ้าน

ให้โอนเงินด่วนมาที่ธนาคารของเขา แล้วตอนบ่ายให้ปอมารับได้เลย

แต่ให้เอาเงินของเขาไปจ่ายค่าสมัครติวให้เรียบร้อยก่อน

   “ที่จริงถ้าเงินด่วน ผมรอรับเลยก็ได้นะครับพี่”

   “ไม่เป็นไร ไปทำธุระให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า เสร็จแล้วมาหาพี่ที่นี่นะ”

   ปอรับคำแล้วรีบไป....เออ...เด็ก ๆ นี่มันซื่อดีแท้ ๆ ปืนมีเหตุผลที่จะซื้อเวลา ก็คือ

สร้างความผูกพัน หรือ บุญคุณติดค้าง หรือ อะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก

ให้เขาได้ใกล้ชิดปอมากขึ้น ถึงมันจะดูเจ้าเล่ห์ไปหน่อย...แต่บอกตัวเองว่า

เขาแค่ถูกชะตาเด็กคนนี้แค่นั้นเองล่ะน่า....


   
ปอมานั่งรอเขาตั้งแต่บ่ายสอง เป็นช่วงที่งานกำลังยุ่งสุด ๆ เพราะใกล้เวลาที่ธนาคารจะปิดทำการ

 ปืนเห็นตั้งแต่แรกที่ปอเดินมา แต่เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะทักทาย

พอเงยหน้าขึ้นกะจะให้ปอรู้ว่าเขาเห็นปอแล้ว ปอก็ดันก้มหน้า แล้วพอถึงเวลาปิดประตูที่ทำการ

ปืนก็ไม่เห็นปอซะแล้ว

   เขารีบปิดบัญชีส่งเงินให้แคชเชียร์ ก่อนจะขออนุญาตหัวหน้ากลับบ้านก่อนเวลา

ซึ่งก็อีกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพราะมัวแต่เป็นห่วงเจ้าเด็กนั่น

ป่านนี้จะไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ถึงเขาจะรู้ว่าปอพักอยู่ที่เดียวกันกับเขา

มันก็ไม่ช่วยให้หายกระวนกระวายใจไปได้เลย ไม่ใช่เพราะเงินหกพันที่เด็กนั่นขอยืมไป

เพราะนาฬิกาเรือนละสามหมื่นยังอุ่น ๆ อยู่ในกระเป๋า

ปืนก็บอกตัวเองไม่ถูกว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องเป็นห่วงมันขนาดนี้....

นอกจากเป็นห่วง เขายังแคร์มันอีกด้วย กลัวว่าปอจะโกรธที่ต้องนั่งรอเขานาน ๆ

เขาก็ลืมไป  ไม่น่าบอกให้มันรีบมาทั้งที่เขายังต้องทำงาน

 เด็กนั่นเลยต้องมานั่งรอเสียเวลาและอาจจะเสียอารมณ์ด้วยก็ไม่แน่


   ปืนเดินลงบันไดมาชั้นล่างจนกระทั่งถึงลานจอดรถก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของปอ

หรือว่าจะกลับอพาร์ทเมนท์ไปแล้ว แต่ปอไม่รู้นี่นาว่าเขาพักอยู่ที่เดียวกัน

เด็กหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ อย่างนั้นคงไม่คิดจะผิดคำพูดกับเขาหรอก

   “มีเด็กนักเรียนมารอคุณปืนครับ”

 ลุงยามเดินมาบอกเมื่อเห็นปืนลงมา

   “ไหน...อยู่ไหน”

สายตาก็พยายามสอดส่าย

   “อยู่ในห้องผมแน่ะครับ รอจนหลับ ผมก็เลยให้ไปนอนในห้อง”

 ลุงยามพาเขาเดินไปที่ห้องพักเล็กที่ปกติจะเก็บสัมภาระของยามที่ธนาคารจ้างไว้ตลอด24ชั่วโมง

   เจ้าปอนอนหลับน่าสงสารเชียว เก้าอี้พับสำหรับนอนเล่นของยามตัวนิดเดียว

ถึงเจ้าปอจะยังไม่เป็นหนุ่มโตเต็มที่ แต่แขนขาที่ยาวเก้งก้างคงทำให้นอนไม่สบายนัก

   “ตื่น ๆ”

ปืนเขย่าตัวปลุก ปอก็ลืมตาทันทีเหมือนจะรออยู่ตลอดเวลา

   “อ้าว! พี่เลิกงานแล้วเหรอครับ”

   “ฮื่อ…ไปกลับบ้าน”

   “พี่...ผมติดต่อแม่ไม่ได้อ่ะ”

คงเป็นเรื่องที่ยังกังวลอยู่ ปอถึงได้พูดขึ้นเป็นประโยคแรก เปืนพยักหน้า ไม่ได้ว่าอะไร

   “ผมยังไม่มีเงินคืนพี่เลยนะครับ”

ปืนก็พยักหน้าอีก

   “ผมยังไม่ได้กินข้าว”

   “มื้อไหน”

ปืนสงสัย เพราะนี่มันยังไม่เย็นพอที่ปอจะโอดครวญได้ว่ายังไม่กินข้าว

   “ตอนเที่ยง”

   “แล้วหิ้วท้องอยู่ทำไม”

   “ก็พี่บอกว่าลงเรียนเสร็จแล้วให้กลับมาหาพี่ที่นี่”

   “พี่ก็ไม่ได้ห้ามกินข้าวนี่”

   “แต่ผมเหลือเงินแค่ค่ารถกลับมาหาพี่เนี้ย ตังค์ก็หมดแล้ว”

..เวร...ปืนบ่นในใจ นี่เขาผิดสินะ

   สุดท้ายก็ต้องพาปอไปกินข้าวก่อนจะกลับเข้าอพาร์ทเมนท์

   “ขอบคุณครับพี่ที่เลี้ยงข้าว แล้วก็ทุก ๆ อย่างด้วย ถ้าผมไม่ได้พี่ช่วยคงแย่แน่เลย”

   “ไม่เป็นไร มีอะไรช่วยได้พี่ก็อยากจะช่วย แล้วนี่อยู่ห้องไหน”

 ปืนเดินนำไปที่ลิฟท์

“ผมอยู่ชั้นสาม พี่ปืนไม่ต้องไปส่งผมหรอก แค่นี้ผมไปเองได้ ขอบคุณมากครับ”

 ปอรีบยกมือไหว้ขอบคุณ “พรุ่งนี้ถ้าผมติดต่อที่บ้านได้ผมจะไปหาพี่ที่ทำงานนะครับ”

   “เอาเบอร์โทรพี่ไว้ดีกว่า แล้วค่อยคุยว่าจะเอายังไง บอกเบอร์นายมาซิ”

ปืนกดหมายเลขที่ปอบอกแล้วกดออก

   “มีปัญหาอะไรให้พี่ช่วยก็โทรเบอร์นี้แล้วกัน”

ลิฟท์เปิดออก แล้วปืนก็ก้าวเข้าไป แต่อีกคนยังไม่ยอมตามมา

   “มีไร”

 ปืนถาม

   “ผมไปเองได้ พี่ปืนกลับเถอะ แค่นี้ผมก็เกรงใจมากแล้ว”

   “เออ...พี่ก็กำลังกลับอยู่นี่ไง”

ปืนยิ้ม เขายังไม่ได้บอกเจ้านี่ว่าเขาก็พักอยู่ที่เดียวกัน ชั้นเดียวกันนั่นแหละ

ปอคงจำเขาไม่ได้ว่าเคยลงลิฟท์พร้อมกันเมื่อตอนเช้านี้เอง

   “แต่พี่...”

   “พี่อยู่ชั้นสามห้อง สามหนึ่งสอง”

   เห็นหน้าเจ้าปอครึ่งยิ้มครึ่งงง ช่างถูกใจปืนซะจริง ๆ เขาก็อยากจะเห็นสีหน้างง ๆ ตอนที่รู้ว่าพักอยู่ที่เดียวกันแบบนี้แหละ


   “แล้วพี่ปืนก็ไม่บอกผม”

   “บอกทำไมเดี๋ยวก็รู้เอง”

 ปืนพูดยิ้ม ๆ พอใจที่ได้เห็นหน้างอ ๆของปอ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงต่อว่าเล็ก ๆ แบบงอน ๆ

แต่แอบดีใจของอีกฝ่าย

   ปืนไปส่งปอที่หน้าห้องก่อนจะเดินย้อนมาที่ห้องของตัวเอง

 แต่พอหันหลังปิดประตูกำลังจะล็อก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

   “อ้าว! ตามมาทำไม”

   “ผมอยากเห็นห้องพี่ปืนอ่ะครับ ขอผมเข้าไปหน่อยนะ”

   เขาจำเป็นต้องถอยให้เจ้าปอเข้ามา เด็กหนุ่มเดินไปรอบห้อง เปิดประตูออกไปที่ระเบียง

ชะโงกหน้าลงไปมองข้างล่าง

   “นี่มันชั้นสามนะ เดี๋ยวก็หัวทิ่มลงไปหรอก”

ปืนคว้าไหล่สองข้างของเจ้าปอเข้ามาชิดอกด้วยความหวาดเสียว

เพราะมันเล่นชะโงกจนออกไปตั้งครึ่งตัว ปอหันมายิ้มแหย แล้วเดินกลับเข้าห้องไปนั่งเล่นที่โต๊ะคอมฯต่อ

แต่ปืนยังรู้สึกอุ่น ๆ ที่อกอยู่เลย เมื่อกี้ตอนที่คว้าปอเข้ามาแนบอก มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

   “พี่ปืน...ว่าง ๆ ผมมาเล่นคอมฯห้องพี่ได้ป่ะ”

   “ถ้าพี่ไม่มีงานนะ”

   “ขอบคุณครับ”


   สองหนุ่มต่างวัยนั่งซักถามกันเรื่องส่วนตัวที่พอจะเปิดเผยได้

ปืนก็เลยได้รู้ว่า ปอเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่ ที่บ้านขายของหนีภาษีประเภทเครื่องไฟฟ้า

อยู่ที่ด่าน.........ของทางใต้ การค้าช่วงนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะมีเหตุปัจจัยจากความไม่สงบ

แต่ก็ยังพอมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ เพราะพ่อแม่ตั้งใจจะส่งลูกชายคนเดียวให้เรียนสูง ๆ

จึงเริ่มเก็บเงินเก็บทองตั้งแต่แต่งงานกัน ตอนนี้ฐานะจึงมั่นคงเป็นปึกแผ่น

   “บ้านที่นี่ก็มีนะครับ แต่ให้เค้าเช่าทำกิจการเกี่ยวกับทัวร์อะไรนี่แหละ เป็นตึกกลางใจเมืองแถวถนน......”

   อุวะ....แพงนะนั่นน่ะ.....

ปอเอ่ยชื่อถนนสายหลักกลางใจเมืองจริง ๆ เฉพาะที่ดินตรงนั้นเวลาจะซื้อจะขายเค้าไม่ขายกันเป็นห้องนะ

แต่คิดกันเป็นตารางวาเลยทีเดียว ปืนจำราคาประเมินไม่ได้เพราะไม่ได้ทำงานด้านสินเชื่อ

แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีลูกค้าเอาตึกแถวบนถนนสายนั้นมาวางเป็นประกันการกู้เงิน

เป็นตึกแถว 4 ชั้น เนื้อที่ห้องเดียว

(ประมาณ 25 ตารางวา จัดสรรแบบที่ดินสมัยเก่าจะกว้างกว่าปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 18-20 ตารางวาเท่านั้น)

ราคาประเมินประมาณ 20 ล้าน แต่ถ้าซื้อขายจะมากกว่านี้ อาจจะได้ที่ราคา 30 ล้าน

“แล้วเพื่อนที่เดินไปด้วยกันเมื่อเช้าล่ะ”

 ปืนบอกปอไปแล้วว่าเขาเห็นปอตอนลงลิฟท์ด้วยกัน

“มันไปแล้วครับ มันขออาศัยผมแค่คืนเดียว รอแฟนมันตามมาเช่าหออยู่ด้วยกัน

ผมเจอมันตอนที่มาจ่ายเงินค่าเรียน แล้วก็เลยแยกกัน แต่เราก็ยังโทรติดต่อกันได้ครับ”

“เออ...ก็ดี ที่ยังมีเพื่อนบ้าง มาอยู่เมืองใหญ่ ๆ อย่างนี้ ถ้าไม่คุ้น เดี๋ยวหลง”

“ไม่หลงหรอกครับ แถวนี้ผมเคยมา ผมมาติวที่นี่เป็นปีที่สองแล้ว ปีที่แล้วก็มา”

เออ...ทำไมปืนไม่ยักเห็น

“แต่ผมไปอยู่กับเพื่อนที่หอพักหลังโรงเรียนหญิง แม่มันกับแม่ผมเป็นเพื่อนกันก็เลยให้อยู่ด้วยกัน

จะได้มีเพื่อน”

 มิน่า...ถ้าอยู่แถวนี้คงไม่หลงหูหลงตาปืนหรอก

“เอ้า! ไปนอนได้แล้วปะ พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นแต่เช้า เราล่ะ มีเรียนกี่โมง”

“ช่วงเช้า 9 โมง พักเที่ยงแล้วต่อตอนบ่ายถึง 4 โมงครับ”

“เออ....ขยันเรียนเข้านะ จะได้ไม่เสียเงินเปล่า ค่าเรียนแพงนะนั่น สมัยพี่น่ะไม่มีปัญญาได้เรียนหรอก

บ้านพี่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร”

“แม่ก็บอกผมแบบนี้แหละ ถึงเราจะพอมีตังค์แต่ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือย แม่สอนให้ผมประหยัด”

ประหยัดที่ไหน....อพาร์ตเมนท์เนี่ย ปืนอยู่มาตั้งแต่แรก ถึงได้ราคาลูกค้าประจำ

 แต่ถ้าเช่าอยู่ชั่วคราวมันราคาสองเท่าเชียวนะ

ปอคงจะเดาจากสีหน้าไม่ค่อยเชื่อของปืนก็เลยพูดต่อ

“แต่ที่นี่มันใกล้ที่เรียนอ่ะครับ ผมมาสำรวจเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เลยขอแม่ พอดีกับทีเพื่อนผมคนนั้นมันไม่ได้มาเรียนด้วย

แม่ก็เลยยอม แต่ผมก็ดีใจนะที่ได้มาเจอพี่ปืน แพงแค่นี้ก็คุ้มครับ”

แน่ะ....มีหยอดให้ดีใจนะเจ้าปอ

ปืนรู้สึกเอ็นดูปออยู่มากเหมือนกัน เพราะดูท่าทางจะเป็นเด็กที่พูดเป็น คือพูดอย่างมีสัมมาคารวะ รู้กาลเทศะ

แถมหน้าตาดี ปืนนึกชมพ่อแม่ของปออยู่ในใจว่าช่างสอนลูกได้น่ารักดีจริง ๆ


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-05-2012 00:18:00

วันรุ่งขึ้น ปอก็ได้รับเงินโอนจากทางบ้าน แต่ยังไม่มีโอกาสได้เบิกเงินเพราะไปติวทุกวัน กว่าจะเลิกเรียน

ธนาคารก็ปิดแล้ว กลายเป็นภาระของปืนที่จะต้องเอาเอกสารมาให้ปอลงชื่อที่ห้องพัก แล้ววันรุ่งขึ้นอีกวัน

ถึงจะเบิกเงินออกมาให้ได้

“ไปพร้อมพี่ตอนเช้ามั้ย เบิกเงินเสร็จแล้วกลับมาเรียนน่าจะทัน”

 ปืนเสนอทางเลือกแต่เจ้าตัวดูจะไม่สนใจ

“ไม่ดีกว่า ผมต้องรีบไปแต่เช้า ไม่งั้นไม่มีที่นั่งดี ๆอ่ะ นั่งข้างหลังมองวีดีโอไม่ชัด

นะ...พี่ปืนเบิกให้ผมนะ”

“เออ...แล้วไม่กลัวพี่อมเงินนายเหรอ”

 ปืนแกล้งลองใจ

“ไม่กลัว ดี...ผมจะได้เกาะพี่ปืนกินไปตลอดเลย”

...ซะงั้น


นับตั้งแต่วันนั้น เจ้าปอก็เริ่มที่จะมีปืนเป็นสรณะ ตกเย็นก็มานั่งรอพี่ปืนที่ล็อบบี้ของอพาร์ทเมนท์

พอถูกถามเข้าก็บอกว่า

“ผมมารอกินข้าวพร้อมพี่”

“พี่กินมาแล้ว”

“อ้าว!“

พอหน้าใส ๆ เริ่มจ๋อยลง ปืนก็อดใจอ่อนไม่ได้สักที

“แต่พี่กินก๋วยเตี๋ยวได้อีก”

“งั้นเราไปร้านป้านวยนะครับ พี่กินก๋วยเตี๋ยว ผมกินข้าวผัด”

 เออ...ไปก็ไป....แพ้ทางมันจนได้

“ทีหลังอย่ารอเลย บางทีพี่ก็อาจจะเลิกค่ำ เพราะงานเยอะ ไม่ก็มีประชุม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกินอะไรรองท้องก่อนก็ได้”

 เฮ้อ!...ปืนได้แต่ถอนใจ แล้วก็ต้องกินข้าวเย็นสองรอบอยู่หลายครั้ง จนในที่สุด

ก็ต้องเป็นฝ่ายรองท้องมาจากร้านข้างที่ทำงานก่อนจะมากินของจริงพร้อมเจ้าปอ

...สงสารที่มันต้องรอนาน ๆ แล้วยังต้องนั่งกินคนเดียว กลัวมันจะเหงา


เย็นวันหนึ่งหลังจากวันแรกที่รู้จักกันได้สักสองอาทิตย์ ปืนก็พบใครอีกคนมานั่งรอกินข้าวเย็นพร้อมกับเขา

 คราวนี้เป็นผู้หญิง

“พี่ปืนมาแล้ว”

เจ้าปอทำท่าดีใจจนแทบจะกระโดดเข้าหาเขาทีเดียว

“พี่ปืนแม่มา”

 ปอลากแขนพี่ปืนเข้าไปหาผู้หญิงกลางคนหน้าตาบอกว่ามีเชื้อสายจีนท่าทางใจดี ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้รับแขก

“สวัสดีครับ”

ปืนไหว้ทำความเคารพ อีกฝ่ายรับไหว้แล้วยังลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ ๆ จับไม้จับมืออย่างสนิทสนมด้วยรอยยิ้ม

 ราวกับว่าได้รู้จักกันมานาน

“คนนี้เองพี่ปืน หน้าตาก็ดี แถมยังใจดีอีกด้วย แม่ขอบคุณมากนะปืน ที่ช่วยดูแลน้อง”

น่าน...เป็นแม่คนที่สองของปืนเข้าแล้วไง

“ไม่เป็นไรครับ”

ไม่รู้จะตอบอะไรดี เพราะตั้งตัวไม่ทัน ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองกลายเป็นความดีโดยไม่รู้ตัว

เสือปืนก็เลยได้แต่ยิ้มรับ

“ปอโทรเล่าให้แม่ฟัง ว่าได้พี่ชายแล้ว เจ้านี่เค้าอยากมีพี่มีน้อง แต่ก็นั่นแหละ แม่ก็มีเค้าแค่คนเดียว

นี่พอเจอพี่ชายใจดีก็เลยติด ปืนรำคาญน้องรึเปล่า”

“ไม่ครับ ไม่เลย ปอเป็นเด็กดีมากครับ”

“จะดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ได้ แม่ฝากน้องด้วยนะปืน”

“แหม! ผมไม่กล้าดุหรอกครับ ปอเค้าดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้ว”

แม่เล่นฝากฝังให้เป็นน้องชายกันอย่างนี้ ปืนชักจะพูดไม่ออกเอาเลย ไอ้ที่ทำเจ้าเล่ห์เพทุบายไว้ตั้งแต่ต้น

ทำให้ปืนไม่กล้าทำตามที่เคยคิดไว้ซะแล้ว...จะกลับตัวทันมั้ยวะนายปืนเอ๊ย...

“ไปทานข้าวกันเถอะ แม่จองโต๊ะไว้แล้วที่ภัตตาคาร........”

นี่ก็เหลาชั้นเลิศ ค่าอาหารก็แพงเป็นที่หนึ่ง ลำพังปืนคงไม่กล้าเข้า จ่ายค่าอาหารทีกระเป๋าแทบฉีกอย่างนี้

ยอมกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางดีกว่า แต่ไหน ๆ ลาภปากมาทั้งที ก็ไม่ควรปฏิเสธให้ผู้ใหญ่เสียน้ำใจ

“ขอบคุณครับ งั้นผมขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าประเดี๋ยวนะครับ คุณ...เอ้อ...คุณแม่รอผมเดี๋ยวเดียว”

ปืนลังเลชั่วเสี้ยววินาทีว่าจะเรียกสุภาพสตรีตรงหน้าว่าอะไรดี ก็ตัดสินใจได้....แม่ก็แม่วะ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ แม่จองไว้ตอนทุ่มครึ่ง ดึกไปมั้ย รึว่าเลื่อนเป็นหกโมงครึ่งดี”

 นี่ก็ยังไม่ทันจะหกโมง กว่าจะได้เวลาอาหารออก ปืนคิดว่าตัวเองคงหิวตายพอดี

เขาคำนวณเวลาในใจอย่างรวดเร็ว แต่งตัวใหม่แบบไม่ต้องอาบน้ำให้เสียเวลา (ไม่ให้มิเตอร์ค่าน้ำขึ้นด้วย)

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที รวมเวลารอลิฟท์ขึ้นลงเป็นสิบห้านาที นับเวลาเดินจากจากอพาร์ตเมนท์

...อืม....

“เลื่อนเวลาก็ดีครับ ประเดี๋ยวดึกเกินไป พรุ่งนี้น้องต้องเรียนแต่เช้า”

เหตุผลที่อ้างเรื่องน้อง ฟังดูมีน้ำหนัก เวลาอาหารจึงร่นเข้ามาให้พอดีกับที่ปืนต้องการ

(ประโยชน์เข้าข้างตัวเองเห็น ๆว่ะปืน)

นึกว่าจะต้องหารถโดยสารเสียแล้ว เมื่อปืนเดินออกจากอพาร์ตเมนท์กลับมีรถพร้อมคนขับ

รอที่จะพาพวกเขาไปภัตตาคารจีนกลางเมือง

“รถของบริษัททัวร์ที่เค้าเช่าตึกเราน่ะ มาทีไรเค้าก็มารับมาส่งแม่ทุกที ไม่เคยคิดค่าเช่ารถด้วยนะ

แม่ล่ะเกรงใจเค้าจริง ๆ แต่ถ้าไม่รับน้ำใจเค้าจะเสียใจมากกว่า ก็ดีนะ สะดวกดีเหมือนกัน

 แม่เองก็ไม่ค่อยคล่องเส้นทางเท่าไหร่ นี่ประเดี๋ยวก็จะสั่งอาหารใส่กล่องไปเผื่อเด็ก ๆ ที่ออฟฟิศด้วย”

โห...ไม่ใช่ขี้ไก่เลยนะ บริษัททัวร์ที่ว่านั่น ปืนก็รู้จักชื่อเสียงดี ว่าเป็นเป็นบริษัทยอดนิยม

ที่ลูกทัวร์จะเลือกใช้บริการก่อนบริษัทอื่น

            ลูกค้ารายนี้ไม่ได้ใช้บริการกับธนาคารของปืน เพราะระยะทางห่างกัน ไม่สะดวกที่เค้าจะมาใช้บริการ

ซึ่งเป็นธรรมดาของลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเลือกธนาคารใกล้บ้าน แล้วบริษัทนี้อยู่กลางเมืองที่มีธนาคารตั้งอยู่ทุกถนนให้เลือก

อืม...ปืนมองการณ์ไกลถึงขนาดว่า

ถ้าเค้าสามารถเข้าถึงลูกค้ารายนี้ได้ เค้าก็อาจจะชักจูงให้ลูกค้ามาใช้บริการกับเขาได้เหมือนกัน

....ฝันไปโน่น....

   

    เมนูอาหารที่ถูกสั่งไว้ล่วงหน้า และบริการอย่างเป็นกันเองที่ได้รับ ทำให้ปืนพอจะเดาได้ว่า

ระหว่างร้านนี้กับแม่ของปอจะต้องมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

และคำตอบก็เฉลยออกมาเพียงแค่เสิร์ฟจานแรกเท่านั้นเอง

“ซ้อ....เป็นไงอร่อยถูกปากรึป่าว”

หนุ่มใหญ่ร่างเล็ก เดินทักทายแม่ (ของปอ) อย่างยิ้มแย้ม ถามเหมือนจะเป็นคนปรุงอาหารเองเลยนะ

“รสชาติดีเหมือนเดิมเลย อาหมง นั่ง ๆ ๆ กินด้วยกันมา”

แม่ (ของปอ) ทักทายตอบด้วยรอยยิ้มยินดีไม่ต่างกัน

“ไม่ดีกว่าซ้อ ตามสบายเลย ผมกินทุกวันจนเลี่ยนแล้ว”

 ท่าจะรวยนะ มีเงินมากินเหลาได้ทุกวัน

“ก็เปลี่ยนเป็นขายเคเอฟซีบ้างซี เปลี่ยนรสชาติ”

“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....แล้วไม่มีใครบอกซ้อเหรอว่าร้านของเรามีไก่ทอดแบบนั้นเสิร์ฟด้วยอ่ะ”

“อ้าว! แล้วทำไมไม่ยกมา ไม่รู้เหรอว่าอาปอชอบที่สุดเลย”

“ฮ้า!...จริงเหรออาตี๋....เอ้า! เด็ก ๆ ไปยกไก่สูตรเด็ดมาเร็ว ๆ”

ฟังแค่นี้ ปืนก็รู้แล้วว่าที่เดามาตั้งแต่ต้นน่ะผิดหมด ที่แท้หนุ่มใหญ่ที่เข้ามาร่วมวงก็เป็นเจ้าของร้านนี่เอง

“ขอบคุณครับเจ็ก”

ปอยิ้มพร้อมกับไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ได้น่ารัก ปืนก็ว่าแล้วว่าเด็กคนนี้พื้นฐานการอบรมดี

“แล้วนี่ อาหมง พี่ชายอาปอ...คุณปืน”

“ฮ้า! พี่ชาย...ซ้อ....หมายความว่า....”

 อาหมงทำท่าตกใจที่แม่(ของปอ) แนะนำลูกชายตัวโตเบ้อเริ่ม

“ม่ายช่าย....”

 แล้วแม่ก็เลยเล่าเรื่องของปืนที่ช่วยเหลือปอตอนมาสมัครเรียนกับติวเตอร์ให้ฟัง

“โห....คุณปืนนี่เป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ ขอบคุณ ๆ อาตี๋นี่ผมรักเหมือนลูกชายคนนึงเลย

 เพราะว่าเกิดวันเดียวกับลูกสาวผม โตมาด้วยกันเลยแหละ”

 และอีกต่าง ๆ นานา จนปืนไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แต่ยิ้มรับคำชม (ประเภทบ้ายอไง)

เป็นอันว่าอาหารมื้อนี้ อาหมงไม่เก็บตังค์ แถมยังได้ติ่มซำรสเลิศ กลับไปฝากพนักงานที่บริษัททัวร์อีกกล่องใหญ่

“นาน ๆ ซ้อจะมาซักที ให้ผมได้เลี้ยงขอบคุณซ้อบ้างเถอะ”

ปืนนั่งฟังเรื่องราวแต่หนหลังที่เล่าสู่กันฟังก็พอจะทราบว่าที่ปอกับหยิน (ลูกสาวอาหมง)

เติบโตมาด้วยกันก็เพราะแม่ (ของปอ) เป็นคนเอาไปเลี้ยงให้

เนื่องจากตอนนั้นครอบครัวอาหมงกำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่กับร้านอาหารจีนซึ่งสมัยนั้นเป็นแค่ห้องแถวเล็ก ๆ

กว่าจะมีวันนี้ได้ก็ผ่านความทุกข์ยากมาหลายครั้งหลายหน แต่ละครั้งก็จะมี ‘ซ้อ’ คอยช่วยเหลือตลอดเวลา

“ฝากบอกเฮียด้วยนะซ้อว่าทิ้งร้านมาเที่ยวบ้างเถอะ ตอนนี้อาตี๋ก็มาเรียนที่นี่ด้วย เราจะได้ร่วมกินข้าวด้วยกันซักมื้อ

อาตี๋กับอาหยินจะได้เจอหน้ากันบ้าง”

“โฮ้ย! รายนั้นเค้าห่วงร้าน ยิ่งตอนนี้ค้าขายไม่ค่อยคล่อง ก็จะยิ่งทิ้งไม่ได้ใหญ่เลย ลูกค้ามาถึงร้านเจอร้านปิดนี่เสียดายเงิน

แทนที่จะได้ก็สูญ”

“ตามใจ ๆ เรื่องค้าขายนี่ผมไม่ว่าอยู่แล้ว เอาเป็นว่าว่าง ๆ แล้วกันนะซ้อ มาเมื่อไหร่ก็แวะมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ

ผมกับอานีไม่ไปไหนอยู่แล้ว หลังร้านนี่ก็เป็นบ้านเราเอง ความจริงอาตี๋มาเรียนที่นี่ก็ไม่น่าจะต้องไปเช่าหออยู่นะ

มาอยู่กับผมก็ได้ ดีซะอีกจะได้เจอกับอาหยินทุกวัน”

แม่มองหน้าปอ แต่เจ้าลูกชายกลับยิ้มหน้าทะเล้นแล้วส่ายหน้า

“เด็กเดี๋ยวนี้เค้าชอบอิสระ ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ก็ไม่ห่วงอะไรแล้ว เค้ามีพี่ชายแล้วหนิ”

แม่พูดแล้วมองมาที่ปืนยิ้ม ๆ เป็นการยืนยันคำพูด



     คืนนั้นเจ้าปอนอนกอดแม่โดยไม่ได้แวะมากวนปืนเหมือนทุกคืน จะว่าไปก็ดีที่จะได้มีเวลาทำอะไรเป็นส่วนตัวบ้าง

แต่คิดอีกทีปืนก็ว่ามันว่าง ๆ เหมือนห้องมันจะกว้างกว่าที่เคยเป็นยังไงก็ไม่รู้


          เช้าขึ้นมาปืนก็เจอแม่กับปอรออยู่ที่ล็อบบี้พร้อมหน้ากัน

“แม่จะกลับวันนี้เลยนะปืน ห่วงป๊าเค้าน่ะ อยู่คนเดียวไม่มีใครคอยเตือนให้กินข้าวกินปลา”

เออ...ปืนเลยได้พ่อเพิ่มมาอีกคน

“ปอดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก อย่ากวนใจพี่เค้ามาก เค้าต้องทำงาน แล้วอย่าดื้อให้พี่เค้าต้องกลุ้มใจ

ถ้าเค้าเบื่อเดี๋ยวเค้าจะไม่มาดูแล แม่ต้องพาเรากลับไปอยู่บ้านไม่รู้ด้วย”

 ปืนรู้ว่านี่เป็นคำขู่ทีเล่นทีจริงของแม่ แต่ก็อดจะเสียวสันหลังไม่ได้ว่า

....นี่ถ้าลูกเค้าเป็นอะไรในมือปืนจะว่ายังไงเนี่ย

“แม่ไม่ต้องห่วงนะ ปอไม่รบกวนพี่ปืนหรอก”

คำว่า ‘ปอไม่รบกวนพี่ปืนหรอก’ ปืนยังได้ยินจากปากมันในครั้งต่อ ๆ มาอีกหลายต่อหลายครั้ง

จนคำนั้นไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะกลายเป็นว่าเวลามันไม่ได้อย่างใจ มันก็จะเอามางอดแง่ดใส่ปืนซะทุกที

ด้วยความที่ปืนไม่ยอมตามใจ


แต่ละวันผ่านไป ปืนก็เริ่มคุ้นชินกับการที่มีปอมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เวลาอยู่ในห้องพักของตัวเอง

ทั้ง ๆ ที่ปอก็มีห้องเป็นของตัวเอง แต่ไม่ค่อยจะได้ใช้ประโยชน์จากห้องนั้นสักเท่าไร

   ถ้าจะลงตารางเวลาแต่ละวันก็คงเหมือน ๆ กัน คือ เช้าขึ้นมาปอจะมาเคาะเรียกที่หน้าห้องเป็นประจำ

เนื่องจากห้องของปืนเป็นทางผ่านไปสู่ลิฟท์ ลงมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ของตัวเอง

ปอเดินไปติวเตอร์ ส่วนปืนก็ขึ้นรถโดยสารไปทำงาน

(ระยะทางไม่กี่โล นั่งรถสองแถวในท้องถิ่น ประมาณสิบห้านาทีถึง)

ตกเย็นเลิกงานก็กลับมากินข้าวพร้อมกัน หรือไม่ก็อาจจะนัดไปเจอกันที่ร้านอาหารนอกบ้าน

 อาจจะเป็นร้านอร่อย ๆ สักร้าน หรือไม่ก็เป็นศูนย์อาหารของศูนย์การค้าใดศูนย์การค้าหนึ่งใกล้ ๆ

 ถ้าหากต้องซื้อของใช้เข้าบ้านในวันนั้น กินเสร็จ ซื้อของเสร็จก็กลับที่พัก เจ้าปอแยกตัวไปอาบน้ำ

แทนที่จะเข้านอนเลยก็ดันมานอนเขลงอยู่ที่ห้องของปืน ดูโทรทัศน์บ้าง เล่นเกมคอมฯบ้าง

 แล้วแต่ว่าวันไหนเครื่องคอมฯจะว่าง เพราะบางวันปืนก็หอบงานกลับมาทำที่ห้อง

“ประหยัดของตัวเอง แต่มาเปลืองที่พี่นะเจ้านี่”

“ไม่นะ ผมก็มาอยู่เป็นเพื่อนไง บางทีผมก็ช่วยงานพี่ปืนได้เห็นป่าว”

เออ...มันลำเลิก ก็จริงอยู่ที่ปืนใช้โปรแกรมคอมฯบางอย่างไม่คล่อง เพราะสมัยก่อนการเรียนคอมฯก็ค่อนข้างแพง

เครื่องคอมฯยิ่งแล้วใหญ่ ฐานะอย่างครอบครัวปืนไม่มีปัญญาซื้อไว้ให้ลูกซ้อมมือหรอก

มีให้แค่ค่าเล่าเรียนก็ดีถมไปแล้ว

มันมาเปิดคอมฯใช้สักสิบหน ช่วยงานปืนได้แค่หนเดียว มันยังมีหน้ามาลำเลิกกับเขานี่ มันน่าซัดซะให้น่วมนะไอ้เนี่ย

แต่ไม่ว่ายังไง การมีปออยู่ใกล้ ๆ ทุกวันก็กลายเป็นว่า.....เรามีเรา....ม่ายช่าย 

กลายเป็นน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เพราะปอถูกฝึกให้ช่วยตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ ให้ทำงานบ้านเป็น

โดยเฉพาะซักเสื้อผ้าของตัวเอง (โยนเข้าตู้ฝาหน้า ทั้งซัก ทั้งอบ แล้วผึ่งให้แห้งภายในสิบห้านาที)

ซักเสร็จแล้วก็ยังรีดผ้าเองได้เรียบกริบอีกด้วย จนเดี๋ยวนี้ปืนไม่ต้องส่งผ้าซักที่ร้านอีกแล้ว

ยกเว้นเสื้อสูทที่ใส่ในที่ทำงาน แต่ปืนต้องจ่ายค่าแรงเจ้าปอด้วยการให้มันเอาผ้าของตัวเองมาซักรวมกันด้วย

 ด้วยข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเองอย่างที่สุดของเจ้าปอ

“คิดดูนะพี่ปืน เดี๋ยวนี้พี่ปืนไม่ต้องดองผ้าไว้หลายวันรอให้ที่ร้านมาเก็บไปซักอาทิตย์ละหน ผมซักผ้าสามวันหนนึง

 ผ้าก็ไม่มีกลิ่นอับด้วย เราซื้อน้ำยาซัก น้ำยาปรับผ้านุ่มเอง แถมด้วยน้ำยารีดผ้าเรียบ เราก็เลือกกลิ่นที่เราชอบได้เลย

 แทนที่จะต้องทนกับกลิ่นน้ำยาเหมาโหลที่ร้านเค้าซื้อเป็นแกลลอนอ่ะ หอมก็ไม่หอม แล้วเวลาเค้ารีดเสื้อขาว ๆ

 ของพี่ปืนน่ะ เค้าก็จะปรับไฟแรงให้ผ้าเรียบเร็ว ไม่สนใจหรอกว่า ไฟแรง ๆ จะทำให้ผ้าขาวหมองได้

นี่ผมก็ดูแลเสื้อผ้าให้พี่ปืนเอง เห็นมั้ยเสื้อก็ทั้งหอม ทั้งขาว อย่างผมนี่หาได้ที่ไหนอีก””

เหรอ....ปืนก็เพิ่งรู้ว่าที่เขาต้องซื้อเสื้อทำงานสีขาวบ่อย ๆ เพราะเห็นสีมันไม่ขาวแล้วน่ะ

มันมีต้นเหตุมาจากการใช้ไฟแรงรีดผ้านี่เอง...โธ่! ก็คนมันไม่เคยทำเองนี่หว่า อยู่บ้านแม่ก็ทำให้

ออกมาอยู่เองถ้าจะหาเมียมารีดให้ก็ต้องลงทุนไปสู่ขออีก ค่าสินสอดตั้งเท่าไหร่ เก็บเงินไว้เที่ยวไว้กินก่อนดีกว่า

ค่อยคิดหาเมีย ตอนนี้มีเมียรายวันแบบไม่ต้องเสียตังค์ไปก่อนแล้วกัน

ครอบครัวเป็นเรื่องของอนาคตยังอีกไกล....ดูมันคิดไปได้


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-05-2012 08:14:40
 :กอด1:นึกว่าใครที่แท้คนกันเอง 


อ่านที่เวปโน้นยังไม่จบ ดีใจจังที่น้องนูเอามาลงที่เวปนี้


 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 08-05-2012 12:52:43
ผมชอบเรื่องนี้นะ 


ตามอ่านมาตั้งแต่เวปเก่าแล้วหล่ะ


ดีใจจังที่ได้กลับมาอ่านอีก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: Pakbung Mazo ที่ 08-05-2012 13:44:29
มารอค่า :)
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำแข็งใส ที่ 08-05-2012 15:11:02
ว๊าย  :mc4: ดีใจจะได้อ่านเรื่องนี้อีกครั้ง

 :กอด1: Noo 
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 00:21:23
:กอด1:นึกว่าใครที่แท้คนกันเอง 
อ่านที่เวปโน้นยังไม่จบ ดีใจจังที่น้องนูเอามาลงที่เวปนี้
 :mc4: :mc4:

หวัดดีครับพี่เอก เหมือนเราไม่ได้เจอกันมาซักครึ่งศตวรรษเลยเนอะ


ผมชอบเรื่องนี้นะ 
ตามอ่านมาตั้งแต่เวปเก่าแล้วหล่ะ
ดีใจจังที่ได้กลับมาอ่านอีก

คนที่เค้าชวนให้มาลงที่นี่ เค้าก็บอกผมว่า มีสมาชิกจากเว็บโน้นมาอยู่ที่นี่หลายคน
ผมก็ว่าจะมาขอไออุ่นจากคนคุ้นเคยแถว ๆ นี้แหละครับ
 


มารอค่า :)

ลงใหม่คราวนี้คงไม่ต้องรอนานแล้วครับ เพราะเขียนจบหมดแล้ว
ไม่เหมือนเว็บเก่า รอกันเป็นชาติ 555
 



ว๊าย  :mc4: ดีใจจะได้อ่านเรื่องนี้อีกครั้ง

 :กอด1: Noo

:กอด1: คืนคุณน้ำแข็งใส ผมก็ดีใจครับ เหมือนได้เจอมิตรเก่า

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 00:26:23



อีกไม่กี่วันคอร์สติวของปอก็จะจบลงแล้ว พอดีกับได้เวลาสอบเอ็นทรานซ์ที่ปอต้องกลับบ้านซะที คณะที่ปอเลือกเป็นอันดับต้น ๆ

อยู่ในกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ อันดับสุดท้ายอยู่ที่นี่ ก็ตอนนั้นยังไม่รู้จักพี่ปืนนี่นา อุตส่าห์เลือกที่นี่ตั้งคณะนึงแน่ะ ก็เพราะ คุณแม่

ขอร้องนะ ใจจริงปออยากไปเผชิญชีวิตนักศึกษาในกรุงเทพมากกว่า ถ้าไหน ๆ จะต้องไปเรียนไกลบ้านล่ะก้อ แต่ตอนนี้สิ ปอกลับ

มานั่งนึกเสียดาย....รู้งี้เลือกที่นี่ทั้งหมดทุกอันดับก็จะดีหรอก ปอรู้ตัวเองว่าถ้าว่าตามความสามารถล้วน ๆ ปอก็น่าจะติดคณะใด

คณะนึงของม.ที่นี่แน่นอนอยู่แล้ว....(เรียกว่าโม้ป่าววะ)....

ทำยังไงดีถึงจะได้เรียนที่นี่ ได้อยู่กับพี่ชายที่แสนดีอย่างพี่ปืนกันนะ

ส่วนปืนพอใกล้วันปอกลับบ้าน ก็ชักจะรู้สึกเหงาล่วงหน้าขึ้นมาแล้ว

ห้องคงกว้างกว่าเดิม...... เมื่อไม่มีไอ้คนตัวเล็กๆ มาเดินเกะกะ

เสื้อผ้าใครจะซักจะรีดให้.....คงต้องส่งซักเจ้าเดิม อาจจะต้องซื้อเสื้อขาวบ่อย ๆ อีกแล้ว

นึกถึงตอนต้องกินข้าวคนเดียว ก็เริ่มมีอาการอาหารไม่ย่อยขึ้นมารำไร แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงอยู่มาได้ว้า....ไอ้ปืน


“พี่ปืน ไปเที่ยวบ้านผมมั้ย” ปอเอ่ยปากชวน

วันนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่อยู่ติดห้องทั้งคู่ ไม่รู้จะออกไปไหน แดดหน้าร้อนก็ร้อนซะ....อยากเย็นก็ต้องเดินห้าง แต่ก็ต้องฝ่า

ความร้อนไปก่อน แต่ในเมื่อยู่ห้องก็เย็นเหมือนกัน ก็เลยขอยืมดีวีดี หนังสนุก ๆ จากร้านใต้

อพาร์ทเมนท์มาดูก็เพลินดี ดูไปหลับไป

   “ไม่เอาหรอก กลัวระเบิด”

   “ไม่มี้...ผมยังมาถึงที่นี่ได้เลย มาได้ก็กลับได้ ที่บ้านผมน่ะไม่มีเหตุร้ายหรอกครับ เราต่างคนต่างทำมาหากิน อยู่กันอย่างญาติ

เมืองเล็ก ๆอ่ะครับพี่ปืน รู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร”

   “บ้านนายน่ะไม่มีเหตุ แต่ก่อนจะถึงบ้านนายอ่ะ มันผ่านกี่ด่านล่ะ จะเกิดเหตุตอนไหนใครจะรู้”

ปืนแกล้งทำท่าว่ากลัว แต่ความจริงเขาก็รู้ว่าตลอดระยะทาง จะมีด่านทหารและตำรวจเป็นจุด ๆ คอยระวังรักษาความปลอดภัย

เป็นที่รู้กันว่าถ้าจะเดินทางไกล ๆภายในเขตนี้ ต้องรักษาเวลาทั้งขาไปและขากลับ รวมทั้งต้องพยายามอย่าทำตัวให้เป็นจุดเด่น

โดยไม่จำเป็น เขาเคยไปช่วยงานที่สาขาแถวนั้นเมื่อปีที่แล้ว บรรยากาศไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่นั่นแหละ พอมีเหตุขึ้นแต่ละครั้งก็

ผวากันไปนาน คนนอกพื้นที่ก็พลอยไม่กล้าย่างกรายเข้ามา

“คนเรานะพี่ปืน ถึงที่ตายมันก็ตายได้ไม่เลือกสถานที่ เลือกเวลาและวิธีการหรอกนะครับ”

หนอย...ไอ้ตัวเล็กทำมาสอน ไอ้ที่กลัวน่ะ กลัวไม่ตาย แต่มันดันเจ็บรึไม่ก็พิการ กลายเป็นภาระญาติพี่น้องหรอกว้า...

“เอ...เย็นนี้ใครอยากกินพิซซ่ามั่งเนี่ย” ปืนเรียกร้องความสนใจ

“จริงอ่ะพี่ปืน ผมอยากกินตั้งหลายวันแล้ว แต่พี่กลับเย็นทุกวันเลยไม่กล้าชวนอ่ะ”

“แล้วทำไมไม่ไปชวนเพื่อน”

“ไปกับเพื่อนก็โดนหารดิ ไปกับพี่ปืนผมไม่ต้องเอากระเป๋าตังค์ไปก็ยังได้”

“อ้อ....ไอ้นี่ หลอกกินฟรีนี่หว่า”

“น่า...นะ คิดซะว่าเป็นค่าจ้างซักผ้ารีดผ้านะครับ พี่ปืนที่แสนใจดี”

เออ...ไอ้ปืนมันบ้ายอ เสียรู้เด็กอีกแล้วเหรอวะเนี่ย แต่อย่างว่าแหละ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า แถมมีงานมีเงินเดือน จะหลอกกินของ

เด็กก็น่าเกลียด (กินเด็กล่ะว่าไปอย่าง)


ตกลงก็เลยต้องตามใจเด็ก ทั้งที่ปืนเองไม่ได้ชอบพิซซ่าเป็นพิเศษ แต่เวลาเห็นปอกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็พลอยเจริญอาหาร

ไปด้วย ดังนั้นพิซซ่าขอบชี้สถาดใหญ่ กับวิงแซ่บสองกล่องก็หมดไปในเวลาไม่ช้าไม่นาน ที่เหลือก็มีเศษเฟรนช์ฟรายด์ท่อนสั้น ๆ

กับเป็บซี่ 2 ลิตรก้นขวด แล้วอย่าคิดว่ารวมพลังหารสองนะ ตอนปืนหยิบชิ้นแรกเข้าปาก เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าปอมันกินชิ้นที่ 2

หมดไปครึ่งนึง...เปล่า....ปืนไม่ได้ต่อให้มันหรอก ก็แค่หยิบจานแบ่งมา 2 ใบเตรียมแก้วน้ำ สำหรับ 2 คน หยิบน้ำแข็งใส่แก้ว แล้ว

รินเป๊บซี่ แค่นี้เอง พิซซ่าชิ้นแรกของเจ้าปอก็ละลายในปากเรียบร้อยแล้ว ปืนกิน 2 ชิ้นก็เริ่มที่จะจุกแอ้กแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่

ของเจ้าปอจัดการเลียถาด....เอ้ย...เก็บถาด ฐานที่มันกินเป็นคนสุดท้าย แต่ว่า...

“พี่ปืนล้างจาน ล้างแก้วนะ”

“ใช้พี่อีกแล้วนะปอ”

“ก็เดี๋ยวจานแตก ผมโดนพี่ดุอีกอ่ะ”

“มาถ่างตาดูมาว่านี่น่ะ มันจานเมลามีน ไม่ใช่กระเบื้อง”

“อ๋อ...เหรอ.....” อย่ามาทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม “พี่ปืนเปลี่ยนมาใช้เมลามีนมะไหร่เหรอ”

“ก็เมื่อเอ็งทำใบที่หกแตกเมื่อสามวันก่อนไง ที่เปลี่ยนเพราะว่ามันไม่มีใช้แล้วโว้ย”

ปืนก็รอดตัวจากการล้างจานไปได้

“เคร้ง!!!”

“อะไรอีกอ่ะปอเอ๊ย!!” ปืนตะโกนถามจากหน้าโทรทัศน์

“แก้วน้ำอ่ะพี่ปืน” เสียงตะโกน จ๋อย ๆ จืด ๆ ลอดออกมาจากในครัวเล็ก

....กูนึกแล้ว....เออ....พรุ่งนี้จะซื้อแก้วกระดาษ ใช้แล้วทิ้งแมร่งมันเลย ไม่ต้องล้าง



หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 09-05-2012 00:28:41
พี่นูมาลงเล้านี้แล้ว o13
คิดถึงพี่นูจัง :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 00:30:34


คืนสุดท้ายแล้วสินะ พรุ่งนี้สาย ๆ ที่บ้านปอก็จะมารับ คราวนี้ป๊าขับรถมาเอง เพราะวันก่อนแม่กลับไปบอกว่าอาหมงชวนให้มา

เที่ยวบ้าง ก็เลยถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนกัน แล้วก็รับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับไปด้วย เจ้าตัวดีก็เลยหน้าระรื่น ดีใจที่นาน ๆ ทีจะ

มีโอกาสได้เที่ยวนอกบ้านพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว

“สมัยผมเด็ก ๆ แม่บอกว่าป๊าจะพาไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดบ่อยมาก บางทีไปเที่ยวชายทะเล บางทีก็ไปเที่ยวน้ำตก มีหนนึง

ไปถึงเขาใหญ่แน่ะพี่ปืน” ฟังมันทำน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจราวกับว่ามันจำได้งั้นแหละว่าแต่ละแห่งแต่ละที่หน้าตามันเป็นยังไง

“จำได้เหรอ ทำมาคุย”

“ถึงจำไม่ได้ผมก็รู้น่าว่ามันคงจะมีความสุข อย่างน้อยผมก็รู้ว่าป๊ากับแม่ต้องมีความสุขแน่ ๆ เพราะว่าเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ลูกก็น่า

รัก”

“ไอ้ขี้โม้ ชมตัวเองก็ได้”

“ไม่ได้โม้...ที่บ้านมีรูปผมสมัยเด็กเพียบเลย ไปเที่ยวไหนป๊าก็จะถ่ายรูปผมกับแม่เก็บไว้เยอะแยะไปหมด แล้วผมตอนเด็ก ๆ ก็

น่ารักจริง ๆ นะ”

“เอ้า!! ยังคุยไม่เสร็จ”

“โธ่! พี่ปืนฟังผมหน่อยดิ ก็ตอนผมเปิดอัลบั้มของตัวเองดูอ่ะนะ ผมก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักจัง ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเป็นตัวเอง

เพราะโตแล้วหน้ามันก็เปลี่ยนไง แม่ก็เลยบอกว่านั่นน่ะ ผมเอง”

ถึงตอนนี้ก็ยังน่ารัก....รู้ตัวมั้ยเนี่ย...เจ้าปอ


“พี่ปืน”

เสียงเรียกของปอดึงเขาขึ้นมาจากหลุมความคิด ที่นับวันจะหมกหมุ่นแต่เรื่องความน่ารักของปอ ที่พยายามเท่าไร ปืนก็ไม่อาจจะ

เปลี่ยนแปลงความรู้สึกให้เป็นอื่นไปได้ จะว่าไปนี่ก็เป็นความรู้สึกแรกที่เขาได้พบหน้าปอที่หน้าลิฟท์ ยิ่งย้ำลึกและหนักแน่น เมื่อ

พบกันอย่างไม่คาดฝันที่แบ็งก์ที่ปืนทำงานอยู่ หน้าใส ๆ เสียงนุ่ม ๆ แล้วยังเนื้อนิ่ม ๆ ที่ปืนเผอิญได้สัมผัสเป็นบางครั้งอย่างตั้งใจ

บ้างไม่ตั้งใจบ้าง โดยน้องมันไม่เคยรู้ตัว

สิ่งเหล่านี้คอยแต่จะย้ำเตือนว่าแท้ที่จริงก้นบึ้งของหัวใจปืน หลงรักไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้เข้าเต็ม ๆ แต่ทำยังไงมันก็คงไม่มีวัน

เป็นจริงไปได้ เพราะปอไม่ได้มีใจโน้มเอียงฝักใฝ่เพศเดียวกันอย่างที่ปืนเป็นอยู่ ปืนรู้จากปากปอเองเลยว่ามันกำลังติดหญิงที่นั่ง

ข้าง ๆ ในชั่วโมงติว ถึงขนาดสัญญากันว่า จะติดต่อกันตลอดไม่ให้ห่างหาย แม้ว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วก็ตาม

“ตกลงจะไปเที่ยวบ้านผมมั้ย พรุ่งนี้ป๊าจะขับรถมาเอง เราจะได้แวะเที่ยวระหว่างทางกลับบ้านด้วยไง”

“ไปยังไงเล่าปอ พี่ทำงานนะ ต้องลางานล่วงหน้า หายไปเฉย ๆ ได้ที่ไหน”

“พรุ่งนี้พี่ปืนก็ไปลาซะสิ วันมะรืนเราเดินทางกัน ป๊ากับแม่ก็ค้างที่นี่ซะคืนนึง พอดีเลย ป๊าจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป”

วางแผนไว้เสร็จสรรพ ปืนคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ถ้าป๊ากับแม่ของปอไม่ขัดข้อง เขาก็อยากติดรถไปด้วย ส่วนขากลับก็กลับรถทัวร์มา

คนเดียว อย่างน้อยก็จะได้ยืดเวลาที่จะได้เห็นหน้าไอ้ตัวเล็กอีกวันสองวัน



รุ่งขึ้นปืนก็ลางานได้สมดังความตั้งใจ เพราะตอนเช้าเจ้าปอรีบมาคอนเฟิร์มว่าอย่าลืมลางาน ป๊ากับแม่จะมาถึงราว ๆ เที่ยง ปอบอก

ว่าจะไปรับปืนที่ทำงานเพื่อไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แต่เขาบอกว่า ช่วงพักเที่ยงแค่ชั่วโมงเดียว เข้าทำงานสายก็ไม่ได้ มันผิด

ระเบียบ กินข้าวแบบรีบ ๆ ก็ไม่อร่อยแถมเสี่ยงกับโรคลำไส้อีกด้วย ขอผัดเป็นมื้อเย็นก็แล้วกัน อันนี้ปอก็เลยเห็นด้วย ปืนคาดว่าถ้า

เป็นมื้อเย็นก็คงได้ไปกินที่ร้านอาหารของอาเจ็กหมงอีกแน่เลย....ยังไงก็ลาภปากล่ะวะ (แผนสูงอีกตามเคบนะปืน)

แต่ทำยังไง ๆ ระหว่างวันปืนก็ไม่ค่อยจะมีสมาธิทำงานเอาซะเลย พอคิดไปถึงวันที่ปอกลับไปอยู่บ้าน แล้วก็ คงไม่ได้เจอกันอีก

ปืนก็รู้สึกใจหายวับไปทุกที ทั้งที่อยู่ตามลำพังมาได้ตั้งนานนม เหงาขึ้นมาก็หาใครมาช่วยแก้เหงา จะ ชายหรือหญิงปืนก็เคยมา

แล้วทั้งนั้น....เอาน่า....หนนี้ถ้าเหงานัก อย่างดีก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่เห็นต้องวิตกจริตไปล่วงหน้าเลยนี่หว่า

ขนาดปลอบตัวเองอย่างนั้น ก็ไม่วายจะคิดเรื่องเดิมขึ้นมาแวบ ๆ จนผลสุดท้าย ตอนเย็นปืนก็ทำงานพลาดจนได้

“เงินขาด 2,000“ ปืนสรุปยอดเงินสดคงเหลือตอนสิ้นวัน ก่อนส่งแคชเชียร์

“หาดูดี ๆ รึยัง ผ่านรายการผิดรึป่าว” เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ หันมาช่วยพลิกรายการบนสลิปเพื่อช่วยตรวจสอบอีกครั้ง

“ช่วยดูอีกทีก็ดีนะ เอาเฉพาะครึ่งวันบ่ายแล้วกัน เพราะช่วงเช้าผมตรวจสอบก่อนไปทานข้าวแล้ว”

ใช้เวลาไป 15 นาที เพื่อนก็ส่ายหน้า

“ไม่น่าเลยปืน คุณทำงานละเอียดมาตลอด แล้ววันนี้เป็นอะไรไป ผมสังเกตมาแต่เช้าแล้วนะว่าคุณเหมือนไม่ค่อยสบายอ่ะ”

“ก็นิดหน่อย” จะให้บอกไงล่ะว่า เขากำลังกังวลเรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่เพราะเจ็บป่วยอะไร

“นั่นสิ ก็พอดีแหละ พรุ่งนี้คุณก็ได้ลาอยู่แล้ว พักผ่อนแล้วกันนะ”

ปืนพยักหน้า แต่ในใจคิดอยู่....ถ้าไม่สบายจริง ๆ ก็เห็นจะลาป่วยไม่ใช่ลาพักร้อนเตรียมเที่ยวอย่างนี้

เป็นอันว่าปืนต้องชดเงินสดที่ขาดหายไปจากบัญชี เพื่อให้ปิดบัญชีเงินสดได้ลงตัว ทั้งที่เขาไม่เคยสับเพร่าขนาดนี้มาก่อน

รายการนี้เป็นไปได้ทั้ง รับเงินจากลูกค้าขาดไป หรือไม่ก็อาจจะจ่ายเงินลูกค้าเกินไป ซึ่งถ้าเป็นรายการจ่าย ผู้รับก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า

ได้เงินไปเกิน แต่ที่ไม่คืนคงเพราะคิดว่าลาภลอย ลูกค้าประเภทนี้ ปืนถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามมาทวงคืน....ช่างหัวมัน (ก็จะ

เอาคืนกะใครล่ะว้า...มันนึกม่ายออกอ่ะ) ส่วนรับเงินขาด ถือว่าเป็นความสับเพร่าของปืนเต็ม ๆ เพราะบางทีผู้ฝากเงินไม่ได้ตั้งใจ

(ก็ค่อยตามไปทวงกันชาติหน้านะ)



หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 00:33:49
พี่นูมาลงเล้านี้แล้ว o13
คิดถึงพี่นูจัง :กอด1:



น้องเมย์อ่านจบแล้วหนิเนอะ

มีคนจะเอามาโพสท์ให้ แ่ต่พี่นูงก 555

อยากโพสท์เองมากกว่า ของของเรา อยากรับผิดชอบด้วยตัวเองครับ

 :กอด1:  คิดถึงน้องเมย์เหมือนกันครับ

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 09-05-2012 00:54:38


น้องเมย์อ่านจบแล้วหนิเนอะ

มีคนจะเอามาโพสท์ให้ แ่ต่พี่นูงก 555

อยากโพสท์เองมากกว่า ของของเรา อยากรับผิดชอบด้วยตัวเองครับ

 :กอด1:  คิดถึงน้องเมย์เหมือนกันครับ



เมอ่านจบแล้ว แต่เมจะอ่านใหม่อีกอ่ะ o3
ถ้าพี่นูไม่มาต่อนะ จะทวงยิกๆๆๆๆๆเลย o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 14:42:11


ตกเย็นปืนก็กลับที่พักก่อนเวลาเลิกงานด้วยข้ออ้างว่าไม่ค่อยสบาย ไหนจะเรื่องเงินสดขาดและต้องชดใช้เอง เป็นอันว่ารอดตัวไม่

มีใครว่าอะไร ทั้งนี้ ปืนแค่คิดว่าอยากกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ปอ เพราะเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยเต็มที

ป๊าของปอเป็นผู้ใหญ่ใจดี อายุในราว 50ปีแล้ว มากกว่าแม่ถึงสิบปี กว่าจะแต่งงานกันก็อายุเยอะแล้วทั้งคู่ ทางการแพทย์บอกว่า

มีลูกตอนอายุมากแล้วค่อนข้างเสี่ยงต่อการที่เด็กจะผิดปกติทางสมอง แต่ถ้าอยู่ในความดูแลของหมอ และดูแลสุขภาพดี ๆ ก็ไม่มี

ปัญหา ของปอก็คงเป็นประการหลัง ที่ป๊ากับแม่คงจะดูแลทั้งตัวเองและลูกตั้งแต่ยังตั้งท้อง ทำให้ปอเป็นเด็กร่าเริง ดูแล้วออกจะ

จีเนียส ซะด้วยซ้ำ

“ป๊าขอบใจนะที่ดูแลปออย่างดี เจ้านี่เค้าอยากมีพี่ชายมาตั้งนานแล้ว แต่ป๊าไม่ไหว มีคนเดียวก็ต้องหยุด เพราะอายุเยอะแล้ว แต่ก็

ดีที่ได้ปืนมาเป็นพี่ชายนะ...ไงล่ะ ชอบมั้ยพี่ชายแบบนี้” ป๊าพูดกับปืน แล้วหันไปถามลูกชาย ก่อนจะชวนกันออกไปทานข้าวเย็น

ที่ร้านอาเจ็กหมง

“ผมชวนพี่ปืนไปเที่ยวบ้านเราด้วยนะป๊า”

“ก็ดีสิ แล้วไม่ทำงานเหรอ” ป๊ามีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างจริงใจ

“ผมลางาน 3 วันครับ ถ้าป๊าไม่ว่าอะไร ผมรบกวนด้วยนะครับ”

“ไม่รบกวน ๆ ลูกชายจะไปเที่ยวบ้านทั้งที ใช่มั้ยเฮีย” แม่รีบพูดตอบรับลูกชายนอกไส้จนปืนรู้สึกเขิน

“ดี ๆ มาคราวนี้มีแต่เรื่องดี ๆ เดี๋ยวก็ได้พบอาหมงอีก ไปกินข้าวฉลองกันดีกว่า”

ปืนรู้สึกว่าตัวเองโชคดี ที่ผู้ใหญ่ของปอให้ความเอ็นดูและเป็นกันเอง ราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งป๊าและแม่ มีท่าทีต้อนรับปืนเข้า

เป็นสมาชิกของครอบครัวตั้งแต่พบกันครั้งแรกทั้งคู่  แต่ปืนคงจะดีใจได้อย่างบริสุทธิ์ใจมากกว่านี้ ถ้าในใจของตัวเองไม่มีพิรุธ....

เพราะปืนไม่ได้อยากเป็นพี่ชายของปอ


ระหว่างนั่งไปในรถ ซึ่งป๊าขับ ให้แม่นั่งคู่ไปข้างหน้า  ส่วนปืนก็นั่งฟังเจ้าปอคุยอยู่ที่เบาะหลัง

“พี่ปืน” ปืนหันไปมองหน้าเจ้าปอที่เรียกชื่อเขาแล้วไม่ยอมพูดอะไรต่อ

“ไม” เขาหันหน้าไป ก็เห็นมือของปอที่ยื่นมาตรงหน้า

“ผมให้พี่ปืนเป็นที่ระลึก” ปอวางนาฬิกาเรือนสามหมื่นลงในมือปืน ซึ่งเขาจำได้ว่าปอให้มาเพื่อค้ำประกันเงินยืมในวันแรกที่เจอ

กัน และหลังจากได้คืนแล้วก็ใส่ติดข้อมือมาตลอด

“ให้พี่ทำไม ของแพง ๆ อย่างนี้”

“ผมอยากให้พี่ปืนคิดถึงผม”

“เออ...มันก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว” ไม่ได้หลงรักใครบ่อย ๆนี่หว่า

“จริงอ่ะ....แต่ผมอยากให้”

“เก็บไว้เถอะ พี่มีของพี่แล้ว”

“รับไปเถอะปืน กลับไปบ้าน เจ้าปอเค้ายังมีอีกหลายเรือน”

เสียงป๊าพูดมาจากด้านหน้าของรถ ปืนก็ยิ่งทึ่ง.....บ้านนี้เค้าให้ของคนเป็นว่าเล่นอย่างนี้เลยนะ รู้ก็รู้ล่ะว่ารวย แต่นาฬิกาเรือนละ

สามหมื่นไม่ใช่ของที่จะเอามาแจกกันเล่น ๆ นะ

“แต่ผมรับไม่ได้หรอกครับ ราคามันสูงเกินไป” ปืนตอบเสียงอ่อย การปฏิเสธผู้ใหญ่ที่หวังดี ปืนก็ไม่อยากจะทำ ถ้าราคามันจะน้อย

กว่านี้สักนิดอ่ะนะ

“2-3 พัน ไม่เท่าไหร่หรอกครับพี่ปืน แล้วผมก็ไม่ค่อยได้ใส่ด้วย”

“หา!! ว่าไงนะ 2-3 พัน รึว่า 2-3 หมื่น” ปืนหูผึ่งกับราคาที่เจ้าปอพูด เพราะมันต่างจากราคาแรกถึงสิบเท่า

ป๊ากับแม่หัวเราะเสียงดัง แล้วแม่ก็พูดว่า

“ไปหลอกพี่เค้าไว้แล้วพูดไม่เหมือนเดิมล่ะสิเจ้าปอ”

“ป่าวนะพี่ปืน....ไอ้นี่อ่ะ ราคาจริงมันสามหมื่นเจง ๆ แต่ของผมเป็นก็อปเกรดเอ ราคาก็เลยเหลือสามพัน”

“สามพันรึว่า 2-3 พัน” ปืนคาดคั้น ตาเขียวปั้ด

“ก็...สองกว่า  ๆ เกือบสามพันอ่ะ” เสียงเจ้าปอดังแค่อุบอิบ ๆ

“ไม่รู้เรอะเจ้าปอว่าพี่เค้าทำแบ็งก์ เราต้องพูดตัวเลขกับเค้าตรง ๆ เห็นมั้ย เลยถูกจับได้เลย” ป๊าหัวเราะไปตลอดทาง ถูกใจที่ปืน

จับโกหกเจ้าปอได้

“หนอย!!  แล้วดันจะหลอกเอาเงินพี่ไปตั้งหมื่น ดีนะที่ไหวตัวทันให้แค่ค่าลงทะเบียน”

“จะเท่าไหร่ผมก็ไม่คิดจะเบี้ยวนี่ครับพี่ปืน ผมแค่อยากได้ตังค์เยอะหน่อย ติดกระเป๋าไว้แค่นั้นเอง”

“แม่ก็ขอโทษปืนด้วยนะที่ไม่ได้บอกตั้งแต่มาคราวที่แล้ว เพราะแม่รู้ว่ายังไงเราก็ต้องคืนเงินให้ปืนอยู่ดี ตอนที่ปอเค้าเล่าว่าทำไม

ปืนถึงกล้าให้เงินเค้ามา แม่ก็คิดว่า คงเป็นเพราะปืนมีจิตใจดี ถึงได้คิดเรื่องช่วยเหลือปอก่อนใช่มั้ยปอ”

“ใช่ครับแม่ เพราะก่อนที่ผมจะโทรหาแม่ พี่ปืนเสนอผมแล้วว่าจะให้ผมยืมเงินไปลงทะเบียนก่อน พอได้เงินโอนมาแล้วค่อยคืน”

“นั่นไง...แม่กับป๊าคุยกันก็คิดเหมือนกันเลยว่า เราเจอคนที่มีจิตใจดี ลูกเราก็เลยโชคดีไง จริงมั้ยป๊า”

“จริงจ้ะแม่”

เลยทำเอาปืนทั้งเขิน ทั้งละอาย ปน ๆ กันไป เพราะว่าแรกเริ่มของความคิดที่จะให้ความช่วยเหลือมันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด แต่

มันเป็นเรื่องที่เขาตั้งใจจะผูกมัดเจ้าปอด้วยเหตุผลอย่างอื่น.....แต่ในใจปืนก็แย้งกันเองว่า แค่ครั้งแรกเท่านั้นหรอกนะที่เขาใช้เล่ห์

เพทุบาย แต่หลังจากนั้นแล้วมันคือความรู้สึกจากใจของเขาล้วน ๆ แล้วไหนจะคำชื่นชม สรรเสริญเยินยออย่างจริงใจจากผู้ใหญ่

ทั้งสอง ทำให้ปืนไม่มีวันที่จะกล้าทำร้ายจิตใจท่านได้เลย


ที่ร้านอาหารจีนของอาหมงคืนนี้ลูกค้ามากเป็นพิเศษ ไม่รู้เทศกาลอะไร โต๊ะที่ครอบครัวของปอสั่งจองไว้ก็เลยต้องยกให้ลูกค้า

ที่ไม่ได้จองล่วงหน้า เพราะเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัด ป๊ากับแม่ของปอ ไม่อยากให้อาหมงเสียรายได้ เพราะสำหรับคนกัน

เอง นั่งโต๊ะไหนก็เหมือนกัน อาหมงก็เลยเชิญเข้าไปในบ้านแทน

บ้านของอาหมงก็ไม่ใช่อื่นไกล เป็นด้านหลังของร้านซึ่งมีเนื้อที่ลึกถึงสามสิบเมตร ทะลุถนนสองสาย เพียงแต่ด้านหลังที่ติดกับ

ถนนอีกสายหนึ่งเปิดให้ร้านเสริมสวยเช่าพื้นที่ด้านล่าง พื้นที่ตั้งแต่ชั้นสองไปถึงชั้นสี่ เป็นที่พักอาศัยของครอบครัวอาหมง วันนี้

แทนที่จะได้กินอาหารเหลาราคาสุดแพง ปืนก็รู้สึกผิดหวังนิด ๆ (ตะกละนะเนี่ย)

ภรรยาของอาหมงเป็นคนปรุงอาหารทุกจาน เครื่องปรุงก็ไม่แตกต่างจากครัวของเหลาเลย

“เป็ดย่างสูตรของเราเองนะเฮีย น้ำซอสที่ราดเราปรุงให้ไม่เหมือนใคร ขิงเราก็ดองเอง ชิมดูซิ ถูกปากรึเปล่า”

จบคำเชิญชวน ป๊าก็ใช้ตะเกียบคีบเป็ดย่างใส่ปาก แล้วก็ร้อง ฮ้อ!! เป็นอันว่าอร่อย การพูดคุยอย่างออกรสสลับกับการบริโภค

อาหารรสเลิศ ซึ่งหลังจากเป็ดย่างก็ตามติด ๆ ด้วยปลาเต๋าเต้ยหม้อไฟ ปลากะพงนึ่งบ๊วย แต่จานที่ดูประหลาดจนไม่กล้าชิม ก็คือ

ก้างปลาทอดกรอบ แม้แต่ป๊าเองยังงง ๆ กับเมนูนี้เลย

“มันกินได้เหรอหมง”

“นี่แหละสุดยอดเลยเฮีย ก็ไอ้ปลาเต๋าเต้ยที่เราแล่เอาแต่เนื้อไง ก้างกับกระดูกมันแทนที่จะทิ้งซะเปล่า ๆ ก็เอามาทอดให้กรอบ

แถมมีประโยชน์ด้วยนาเฮียนา….กินกระดูกบำรุงกระดูกไงเฮีย”

“เรอะ....เดี๋ยวนี้คนเรากินกระทั่งก้างปลาเลยเหรอเนี่ย”

“โธ่.....ป๊าก็ ปลาเต๋าเต้ยน่ะมันถูก ๆซะที่ไหนล่ะ โลละตั้งหลายร้อย จะทิ้งก้างให้เสียของทำไมล่ะ ไหนลองชิมซิ....อื้ม....กรอบ

อร่อยจริง ๆ ด้วยอาหมง”

หลังจากคำรับรองของแม่ปอ ทุกคนก็เลยรุมกันคีบก้างปลาเต๋าเต้ยทอดกรอบกันคนละหนุบคนละหนับ

ขณะที่ใคร ๆ กำลังอร่อยกับอาหารบนโต๊ะ ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังปัง เหมือนกับใครทำของหนัก ๆ ตกลงบนโต๊ะ แล้วก็ตามมาด้วย

เสียงตะโกนลั่นบ้านของสาวน้อย

“หิว ๆ ป๊า แม่ หิวอ่ะ”

“นั่นแหละ เค้าล่ะ” อาหมงส่ายหน้า แต่น้ำเสียงก็บอกถึงความเอ็นดูลูกสาวคนเดียวชัดเจน

สิ้นเสียงอาหมง เจ้าของเสียงก็เดินมาถึงโต๊ะอาหารพอดี

“แม่....ป๊า” เด็กสาววัยรุ่น รูปร่างเก้งก้าง ผิวขาวอย่างลูกคนจีน ตัดผมสั้นแค่ติ่งหู ทักเสียงดัง แล้วเดินไปกอดแม่ของปอ อีก

ฝ่ายกอดตอบแล้วจูบแก้มลูกสาวนอกไส้สองข้างดังฟอด

“คิดถึงจังเลย แม่มาเมื่อไหร่อ่ะป๊า”

ผู้ใหญ่ทั้งโต๊ะมองหน้าที่เปื้อนยิ้มกันไปมา ขำคำถามที่หลุดออกจากปากของผู้มาใหม่ เพราะหยินเรียกป๊าและแม่ของปอเหมือน

กับที่เรียกป๊าและแม่ของตัวเอง ก็เลยไม่รู้ถามใคร และใครจะเป็นคนตอบ

“อือ...หยินลืม” เมื่อเจ้าตัวนึกได้เองก็เลยหัวเราะ

เสียงหัวเราะนั้นมาสะดุด หยุดลงเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าร่วมโต๊ะด้วย แล้วสายตาก็ป้อนคำถามว่า ‘ใคร’

“ไหว้พี่ปืนเค้าสิหยิน” แม่ปอแนะนำ หยินก็ยกมือไหว้ตามอย่างว่าง่าย

“พี่ปืนเป็นพี่ชายเรา” ปอทึกทัก ส่วนหยินทำหน้างงหนักกว่าตอนที่ยังไม่รู้จักเสียอีก

“นั่งลง ๆ กินข้าวก่อน ตะโกนมาแต่ไกลว่าหิวไง” เก้าอี้ข้าง ๆ อี๊นีถูกเลื่อนออกให้นั่ง แต่ลูกสาวกลับไถลเดินไปนั่งใกล้ปอแทน

“นั่งด้วยดิ”

ปืนได้โอกาสสำรวจใบหน้าทุกคนในที่นั้น เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไป ผู้ใหญ่ทั้งสี่ที่มีฐานะเป็นพ่อแม่ ต่างก็

อมยิ้มเหมือนถูกอกถูกใจอะไรซักอย่าง ซึ่งปืนก็คิดเอาว่าคงเป็นเพราะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสองครอบครัว ได้ระลึก

ความหลังร่วมกัน หลังจากที่ไม่ได้พบปะกันเป็นเวลานาน

เรื่องราวที่มาของพี่ชายปอ ถูกเล่าขานให้หยินได้ฟังเป็นคนสุดท้ายของครอบครัว ซึ่งสาวน้อยรับรู้ด้วยความทึ่งและชื่นชม ปืนคิด

ว่าเขาไม่ได้เข้าข้างตัวเอง เมื่อมองเห็นแววตาที่ว่านั้น ยามที่หยินมองสบมา เล่นเอาปืนเขินอีกเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้

บ้านนี้ (เจ็กหมงกับอี๊นี)  ท่าทางจะเลี้ยงลูกแบบตามใจสุด ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจนมากจากกิริยาอาการที่หยินแสดงออก คำพูดคำ

จา ไม่ได้ก้าวร้าว แต่ก็ตรงไปตรงมา ดูไปดูมา เจ้าปอน่าจะสลับร่างกับหยินนะ คนหนึ่งพูดจาเรียบร้อย อีกคนดูโผงผาง แก่น ๆ

“แต่หนูไม่ยอมเป็นน้องพี่ปืนหรอก” อะไรแว่ว ๆ นะ ปืนเริ่มดึงตัวเองกลับมาร่วมวงอย่างรวดเร็ว

“ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะหยิน ไม่น่ารักเลย” อี๊นีปรามลูกสาวเบา ๆ

“ใช่ เค้าอายุมากกว่าเราตั้งเยอะ เป็นพี่อาปอ ก็เป็นพี่ของเราด้วย” เจ็กหมงเสริม

“หนูอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า”

คราวนี้พ่อแม่ทั้งสี่คนหันมามองลูกสาวจอมแก่นเป็นตาเดียว

“หนูจะเป็นแฟนพี่ปืน”

“ไฮ้! เด็กคนนี้พูดจาแก่แดด” คนเป็นแม่ตีเผียะเข้าที่แขนเรียว ๆ ของลูกสาวอย่างไม่จริงจังนัก

ส่วนปืนรู้สึกร้อนผ่าวจากใบหน้าไปจนถึงใบหู คาดว่ามันคงแดงก่ำไปด้วยความเขินอาย....เด็กอะไร...ช่างกล้านะ...เลยได้แต่ก้ม

หน้าก้มตาไม่กล้ามองหน้าผู้ใหญ่คนไหน ทั้งที่ไม่ได้เป็นความผิดของเขาซะหน่อยที่หยินกล้าพูดจาออกมาแบบนี้ หันไปสบตากับ

ปอพอดี เห็นเจ้านั่นก็ทำหน้าแปลก ๆ ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง

“หนูจองละนะพี่ปืน ห้ามควงใครด้วย รอหนูโตก่อนแล้วค่อยควงหนู”

“พอ ๆ อาหยิน เรานี่ยิ่งโตยิ่งพูดจาเหลวไหล ขอโทษพี่เค้าเร็ว” เจ๊กหมงเอ็ดลูกสาว แต่อย่างไรก็ไม่ได้เจืออารมณ์ไม่พอใจ ยิ่งย้ำ

ให้ปืนรู้สึกว่า ที่สาวเจ้าเอาแต่ใจได้ขนาดนี้ก็เพราะไม่ได้ดุว่าให้จริงจัง แค่ปราม ๆ พอให้รู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยก็เท่านั้น

หยินพูดแบบนั้นยิ่งทำให้ปืนรู้สึกอึดอัดจนอยากจะหลุดออกไปจากสถานการณ์ขณะนี้ ก็พอดีปอพูดขึ้นมา

“หยินอ่ะชอบพูดเล่นเรื่อยเลย รู้ทั้งรู้ว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน” อ้าว!...ไหงงั้นล่ะปอ

มิน่า....ดูว่าใคร ๆ ก็หน้าบานเป็นจานเชิงกันทั้งนั้น ปืนน่าจะเดาได้ตั้งแต่แรก....น่าจะตั้งแต่วันแรกที่มากินข้าวที่นี่คราวก่อนด้วยซ้ำ

จำได้ว่า เจ๊กหมงบอกว่า ปอกับหยินน่าจะได้มีโอกาสพบกันบ้าง....เพื่ออะไร....ก็เพื่อจะได้ ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นน่ะสิ....

ปืนเอ๊ยปืน....จากทีแรกว่าคงอกหักเพราะปอน่าจะชอบหญิง ก็กลายเป็นว่ามาถึงทางตันสวรรค์ปิดตาย แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้น้อง

ชายน่ารัก ๆ มาหนึ่งคน แถมด้วยน้องสะใภ้ห่าม ๆ เฮ้ว ๆ อีกคน แล้วยังไงเสียปืนเองก็ใช่ว่าจะอดอยากปากแห้งกับความรักซะเมื่อ

ไหร่ ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม เมื่อไม่มีเจ้าปอมาวนเวียนใกล้ๆ ก็แค่นั้น
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 09-05-2012 14:48:23
...สวัสดีน้องนู เราเคยคุยกันแล้ว พี่อ่านเรื่องนี้จบแล้วเหมือนกัน
...ยินดีต้อนรับสู่เล้าเป็ด เข้ามาให้กำลังใจน้องนูเฉยๆๆๆ 555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 09-05-2012 15:33:30
พี่ปืนอย่าเพิ่งคิดไปไกล
เอาใจช่วยนะค๊า :L2:

ครอบครัวน้องปอ
อบอุ่นกันดีจัง :กอด1:

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 09-05-2012 17:33:42
 :กอด1: :3123:เป็นกำลังใจ



หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 09-05-2012 17:37:53
 :กอด1: :กอด1:เป็นกำลังใจจร้า
หัวข้อ: Re: คนนี้แหละที่พี่อยากได้ เดี๋ยวมาลงตอนหม่ห้นค+ตอนพิศษ
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 09-05-2012 20:11:24
ขออ่นด้วย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบค่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 09-05-2012 22:23:09


กว่าจะได้ลากลับคืนนั้น ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว กินข้าวเสร็จแล้วก็ต่อด้วยของหวาน ซึ่งปืนก็ล่อซะเต็มคราบ ไม่นึกว่าอาหารที่บ้านก็

อร่อยไม่แพ้ที่เหลาเลย...ไม่เสียเที่ยวจริง ๆ

กลับมาถึงห้องพัก ปืนก็เดินไปส่งครอบครัวของปอที่ห้อง

“เอ...ผมว่าผมไปนอนห้องพี่ปืนดีกว่านะแม่”

“ไปกวนพี่เค้าทำไม นอนกับแม่นี่แหละ เดี๋ยวปูผ้านวมที่พื้นหน้าเตียงอ่ะแหละ ให้ป๊านอน”

“อ้าว! ไหงเป็นป๊าล่ะแม่ เจ้าปอแหละนอนพื้น พรุ่งนี้ป๊าต้องขับรถ ขอนอนหลับสบาย ๆดีกว่า” แล้วป๊าก็เดินผิวปากไปหยิบ

ผ้าเช็ดตัว เดินเข้าห้องน้ำ

“เอ้า! จะเอายังไงก็แล้วแต่ ป๊าจองเตียงล่ะนะ” ไม่วายหันมาสั่งเสียก่อนจะปิดประตูนะป๊า

“งั้นปอไปนอนห้องพี่ดีกว่า เตียงออกกว้าง...ปะปอ” ปืนชวนอย่างมีน้ำใจ....ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น....แต่ลึก ๆ แล้วปืนก็คิดว่าดี

เหมือนกัน จากกันคราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกรึเปล่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงอาทิตย์ที่จะได้เห็นหน้าปอแล้ว ขอเก็บความทรงจำดี ๆ

เกี่ยวกับปอไว้ให้มากที่สุดก็แล้วกัน

ปืนเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไปก่อน รู้สึกถึงบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในจิตใจของตัวเอง ความจริงก็ใช่ว่าจะไม่เคยอยู่กันตาม

ลำพังกับเจ้าปอมาก่อน แต่กี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยที่จะนอนค้างคืนด้วยกัน เพราะห้องพักก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ ง่วงเมื่อไรปอก็เดินกลับไป

นอนที่ห้องได้

“พี่ปืน ผมนอนเลยนะ” เจ้าปอซึ่งอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยมาจากห้องของตัวเองแล้ว ก็คลานขึ้นเตียง ขยับไปริมด้านซ้าย คว้า

ผ้าห่มมากอดได้ก็หลับตา

“อืม” ปืนเดินทำโน่นทำนี่ ให้วุ่นวาย สักพักก็ชะเง้อมองเจ้าปอทีว่าหลับแน่ ๆ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า จะเข้านอนบ้าง ยังไม่ทันไรก็มี

เสียงของคนที่คิดว่าหลับดังขึ้น

“เมื่อไหร่จะนอนเนี่ยพี่ปืน ไฟมันแยงตาผมนะ”

“อ้าว! นึกว่าหลับแล้ว”

“หลับลงได้ไง สว่างโร่ออกงี้” ปอปัดผ้าห่มไปไว้ข้างตัว พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาหาปืน

“ทีกลางวันทำไมหลับได้หลับดี” ปืนผลักหัวทุย ๆ ของเจ้าปอล้อ ๆ

“มันเหมือนกันที่ไหนอ่ะพี่ปืน คนมันง่วงเวลาไหนก็หลับได้หมดแหละ”

“งั้นแปลว่าตอนนี้ไม่ง่วงดิ”

“ง่วง แต่ตอนนี้หายง่วงแล้ว” ว่าแล้วปอก็ลุกขึ้นนั่ง หยิบหมอนมากอด

“งั้นมาคุยกันดีกว่า” พูดไปแล้วปืนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคุยอะไร....ก็แค่อยากเห็นหน้า

“คุยไรอ่ะครับ”

“อะไรก็ได้”

“พี่ปืนอยากคุยก็คุยมาดิ”

“แล้วปอไม่อยากคุยเหรอ”

“ไม่รู้จะคุยอะไรนี่นา”

“งั้นก็นอนแล้วกัน” หมดอารมณ์ว่ะ ปืนเองก็ไม่รู้จะเริ่มคุยเรื่องอะไรดี เพราะที่ผ่านมาหนึ่งเดือน ก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันมากพอที่

จะไม่ต้องถามเรื่องส่วนตัวกันอีกแล้ว หลังจากการทำความความรู้จัก ขั้นตอนต่อไปก็ต้องทำความเข้าใจ แต่ว่า....ปืนคงไม่มีโอกาส

ที่จะได้ทำขั้นตอนนี้ซะแล้ว เพราะอีกไม่กี่วัน ปอก็ต้องก้าวเดินไปสู่อนาคตของตัวเอง ที่คงไม่มี ‘พี่ปืน’ คนนี้อีกต่อไป

“พี่ปืน”

“หือ”

“ผมไม่อยากเรียนที่กรุงเทพแล้วอ่ะ”

“อะไรยังไม่ทันจะสอบเลย ไม่อยากเรียนซะแล้ว” ปืนยิ้ม ขำในความคิดที่ไม่อยู่กะร่องกะรอยของปอ

“ผมไม่เอ็นฯดีมั้ย”

“เดี๋ยวโดนเลย เตรียมตัวมาขนาดนี้แล้วไม่สอบ นี่มันอนาคตนะ ไม่ใช่หนังการ์ตูน”

ปอเงียบไป ปืนหันไปเห็นสีหน้าที่ดูหมกมุ่นอยู่กับความคิดของปอ แล้วก็นึกอยากรู้ว่า อะไรทำให้ปอไม่อยากสอบเอ็นทรานซ์

“นึกยังไงไม่อยากสอบ”

“ไม่อยากไปกรุงเทพ”

“ก็ไหนว่าเลือกที่นี่ด้วยไงล่ะ”

“ก็เผื่อว่ามันได้อันดับต้น ๆ อ่ะพี่ปืน”

“โห! ไอ้ขี้คุย นี่แน่ใจขนาดนี้เลยเหรอวะ เอาให้มันติดจริง ๆ ซะก่อนดีมั้ยค่อยคิดอีกทีอ่ะ...ฮึ”

“ผมพูดจริงนะพี่ปืน....เออ...เอางี้ดีกว่า ผมบอกป๊ากับแม่ว่าผมจะเอ็นฯปีหน้า เลือกที่นี่ให้หมดทุกอันดับเลยดีมั้ย”

“อย่าพูดเป็นเล่น ป๊ากับแม่เค้าอยากเห็นอนาคตที่ดีของเรา อย่าทำให้เค้าเสียใจสิ”

“แล้วที่ผมคิดนี่มันทำให้อนาคตไม่ดีตรงไหนเหรอพี่ปืน” มันถามจริง ๆ รึมันจะกวนบาทากันแน่เนี่ย

“แล้วทำไมต้องเสียเวลาไปอีกทั้งปีด้วยล่ะ”

“ผมว่าแม่กับป๊าไม่น่าจะว่าอะไรนะ ที่จริงเค้าไม่ได้อยากให้ผมเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพตั้งแต่แรกแล้ว แต่ผมดื้อเอง เค้าก็ไม่
อยากขัดใจ”

“ไปถามเค้าก่อนดีมั้ย แต่สำหรับพี่นะ พี่อยากให้สอบ ได้ที่ไหนก็เรียนไป ทุกคณะที่ปอเลือกมันก็เป็นสิ่งที่ปอชอบไม่ใช่เหรอ

แล้วทำไมเกิดจะมาเปลี่ยนใจเอาตอนนี้ ไหนบอกเหตุผลดี ๆ พี่มาซักข้อซิ”

“ผม....อือ....ช่างมันเหอะ ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงผมบอกป๊ากับแม่ ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ปอพูดตัดบท หันไป

วางหมอนที่เดิมแล้วลงนอน

“นอนกันเร็วพี่ปืน พรุ่งนี้ป๊าว่าจะออกแต่เช้า”

ยังไม่ทันจะคิดทำอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงปอดังอู้อี้ เพราะหน้าจมอยู่กับหมอน

“ปิดไฟด้วยนะครับพี่ปืน”

เออ....รู้แล้ว

ปืนเดินไปปิดไฟ แล้วกลับมานอนที่เตียง ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ช่างหลับง่ายหลับ

ดายซะจริง ในขณะที่ปืนยังอยู่ในวังวนความคิดตัวเอง




จะดีสักแค่ไหน ถ้าสิ่งที่ปอพูดเมื่อกี้จะเป็นความจริง ถ้าปอได้เรียนที่นี่ ก็เป็นไปได้ว่าเขากับปอก็ต้องได้พบกันอีกแน่นอน ต่อให้

ปอต้องอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยก็เถอะ เสาร์อาทิตย์เขาก็ไปรับมาขลุกอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ยังได้ เย็น ๆ ก็ไปกินข้าวด้วยกัน ปืน

เข้าไปหาปอในมหาวิทยาลัยก็ได้ ดีซะอีก ข้าวในม.น่ะถูกกว่าข้างนอก แถมยังอร่อยอีกต่างหาก มีหลายอย่างให้เลือก ยังกับฟู้ด

เซ็นเตอร์ของห้างสรรพสินค้าเลย

ถ้ามีวันหยุดติดกันหลาย ๆ วัน ก็ออกต่างจังหวัดไปเที่ยวทะเล ภูเขา น้ำตก ถ้าปอเหงา ก็ชวนเพื่อน ๆ ไปกันหลาย ๆ คน ตั้งแคมป์

กันซะเลย หรือบางทีอาจจะไปเที่ยวบ้านปอดี ไปสานสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวซะหน่อย

ปืนนอนคิดฟุ้งซ่านไปคนเดียวจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มาตื่นเอาจริง ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดไปแล้วล่วงหน้า ไม่มีอะไร

เลยที่จะเป็นความจริงไปได้




ปืนรับฟังผลเอ็นทรานซ์ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะว่าดีใจไปกับปอก็ใช่ ที่ปอสอบติดมหาวิทยาลัยการเมืองชื่อดังของประเทศ

ถึงจะได้แค่อันดับสองก็เถอะ แต่คิดอีกที ก็เสียดายนักหนาที่ปอน่าจะสอบได้ที่นี่ ที่ปืนรออยู่ทุกวันว่าจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน

(คนละห้อง) อีกครั้ง



“พี่ปืนครับ ผมจะแวะหาก่อนขึ้นกรุงเทพนะ ผมจะมารถไฟขบวน......รับด้วยนะครับ”

ปอโทรศัพท์มาบอกล่วงหน้า ก่อนวันเดินทาง เห็นว่าป๊ากับแม่ไม่ได้มาด้วยเพราะนัดกับเพื่อน ๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่นี่ เพื่อจะเดินทาง

โดยสารรถไฟขึ้นกรุงเทพพร้อมกัน

“รุ่นพี่เค้าจะไปรับที่หัวลำโพงอ่ะพี่ปืน ผมตื่นเต้นจังไม่เคยนั่งรถไฟไกล ๆ แบบนี้เลยอ่ะ” ปอพูดพลางหัวเราะขำความเปิ่นของตัว

เอง




วันนัดพบมาถึง ปืนก็ไปรออยู่ก่อนแล้ว เห็นปอเดินลงจากรถไฟมาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบ กับเป้สะพายหลังใบโต

“ผมยาวขึ้นแล้วหนิ” ปืนทัก ผมของปอเส้นเล็กนุ่มสีดำสนิท และเหยียดตรง เมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรกก็ดูมันทื่อ ๆ ชี้ ๆ แต่ตอนนี้

เริ่มจะประต้นคอ ก็เลยดูน่ารักไปอีกแบบ

“ผมจะไว้ผมยาวล่ะพี่ปืน ฝันมานานแล้ว ว่าถ้ายาวถึงกลางหลังเมื่อไหร่ ผมจะถักผมเปีย” ปอพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข การที่

ได้พบพี่ชายนอกไส้อีกครั้งก่อนจะไปเรียนไกลถึงกรุงเทพ ทำให้ปอมีกำลังใจขึ้นเยอะ

“พี่ปืนถักเปียเป็นรึป่าว”

“ฮึ” ปืนส่ายหน้า ทำหน้าตาประหลาด

“ทำไมอ่ะครับ”

“ก็แล้วทำไมต้องทำเป็นล่ะ”

“ก็ไว้ทำให้ผมไง”...เฮ้อ...ไอ้เด็กบ้านี่ ยิ่งวันมันยิ่งเพี้ยน....แต่ปืนก็ว่ามันน่ารักอยู่ดี

โทรศัพท์ปอดังขึ้น ปอวางกระเป๋าลงกับพื้นชานชาลา ก่อนจะล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ครับ เนย……..ถึงแล้ว กำลังจะเข้าบ้าน.............ก็อพาร์ทเมนท์ที่เคยอยู่แหละครับ แต่คราวนี้มาพักกับพี่ชาย...............ก็ใช่

ครับผมเป็นลูกคนเดียว แต่พี่ปืนอ่ะ ผมรักเหมือนพี่ชายไง.................ผมไปรอที่ห้องพี่ปืนแล้วกันครับ...................ครับเดี๋ยว

เจอกัน”

“ปะพี่ปืน”

“ใครเหรอ” ปืนถามออกไปอย่างสงสัยเต็มที ฟังดูว่านัดเจอกันที่อพาร์ทเมนท์ของเขานะ แต่เขายังไม่รู้เลยว่าจะได้ต้อนรับใคร

“เนยครับ”

“ก็ใครล่ะ นัดเจอที่ห้องพี่เหรอ”

“ครับ พี่ปืนไม่ว่าใช่มั้ย” ปอถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพราะก่อนจะนัดเนยก็ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน

“ไม่ว่าหรอก แต่เนยนี่น่ะใคร”

“ก็คนที่นั่งข้าง ๆ ผมตอนติวไง ผมยังไม่ได้บอกพี่ปืนเลย ก็มันลืมอ่ะ”

“บอกอะไรล่ะ แล้วมีอะไรที่พี่ควรรู้เหรอ”

“ผมกับเนยตกลงจะคบกันเป็นแฟนนะ เนี่ย เนยก็สอบได้ที่เดียวกับผมแต่คนละคณะล่ะ โชคดีจริง ๆ แต่ถึงจะสอบติดกันคนละที่
ผมก็ยังคิดจะคบกับเนยอยู่ดีแหละ แล้วตอนนี้ก็.......................”


เสียงของปอค่อย ๆ แผ่วลงจนปืนไม่ได้ยินเรื่องที่ปอกำลังพูด เพราะโสตประสาทไม่รับรู้อะไรต่อไป

อุตส่าห์ดีใจว่าปอยังนึกถึงพี่ปืน ก่อนจะเดินทางไปเรียนซะไกล เขาเองก็กำลังวางแผนว่าจะทำอะไรดี ๆด้วยกัน ระหว่างที่ปอยัง

พักอยู่กับเขา เก็บไว้เป็นความประทับใจ เผื่อวันข้างหน้าปอจะได้นึกถึงว่ายังมี ‘คนรู้จัก’ อยู่ที่นี่ ที่เขาสามารถแวะมาได้ทุกเวลา

แต่กลายเป็นว่า ระหว่างที่อยู่ที่นี่สองสามวัน ปอกลับนัดใครอีกคนไว้รอท่า

หัวใจของปืนทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ขึ้นมาแบบนี้ได้นะ

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบค่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 10-05-2012 03:15:06
ปอช่างทำร้ายจิตใจพี่ปืนได้ลงคอ :o12:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบค่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: Pakbung Mazo ที่ 10-05-2012 16:14:32
ปออออ ทำไมทำกับพี่ปืนแบบนี้
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 9/5/2555 รอบค่ำ
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 10-05-2012 23:13:31
ตอนนี้เวปที่คนเข้าเยอะๆก้เปบนี้แหล่ะครับ


พี่เสียดายนิยายในเวปเก่า   หลายเรื่องเลยที่ชอบ  แต่โดนลบ   เห้อออออ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 115/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2012 00:49:35


ปอไปกรุงเทพเดือนกว่าแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็ที่อพาร์ทเมนท์นี่เอง ปืนคิดจะไปส่งที่สถานีรถไฟ

อย่างน้อยก็ขอยืดเวลาที่จะได้เห็นหน้าปอออกไปอีกหน่อย แต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ

เมื่อปอบอกว่า

“ที่บ้านเนยเค้าจะไปส่งนะพี่ปืน ดีเหมือนกัน ไม่งั้นเราก็ต้องเหมารถรับจ้างไป เพราะสมบัติผมมันเยอะ

ดูดิ..เอามาจากบ้านก็กระเป๋าสามใบแล้ว มาถึงนี่ยังได้ของกินของใช้เพิ่มมาอีก พี่ปืนอ่ะ ขนอะไรต่ออะไรมาให้ผมก็ไม่รู้”

อ้าว! ผิดอีก....ไอ้ปืน

ตลอดสามวันที่ปอมาพักกับปืนมันเป็นวันทำงาน จึงไม่ได้มีเวลามาเสวนากันมากมายนอกจากหลังมื้อเย็นไปแล้ว

ซึ่งก็แน่นอนที่ปืนจะต้องกินข้าวมื้อเย็นคนเดียว ส่วนปอมีนัดกับเนยทุกวัน มีบ้างที่สองคนนั้นชวนไปกินข้าวด้วย

แต่ปืนก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง บอกตัวเองว่า กินคนเดียวน่าจะคล่องคอกว่ากันเยอะ

ทำไมไม่รู้ปืนไม่อยากเห็นปอเวลาที่อยู่กับเนย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับปอ

จากที่เขาเคยได้รับความสนใจจากปอเต็มที่ เพราะปอจะมีแต่ ‘พี่ปืน’ เท่านั้น

แต่นับจากวันที่เนยก้าวเข้ามา ปืนเหมือนไม่มีตัวตนไปแล้วสำหรับปอ



สัมผัสครั้งสุดท้ายที่ปืนยังคงตราไว้ในความรู้สึกก็คือ อ้อมกอดของปอก่อนจะเดินจากไปขึ้นรถของบ้านเนย

ที่จอดรอรับอยู่หน้าอพาร์ทเมนท์ ปืนรู้สึกอุ่นวาบซาบซ่านอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เขารู้ว่าปอคงไม่ได้คิดอะไร

นอกจากความนับถือฉันท์พี่ชายที่ปอไม่เคยมี แต่สำหรับปืน เขารู้แต่ว่าเวลาที่เขาอยู่กับปอมันช่างมีความสุขเหลือเกิน

เขาอยากจะมีปออยู่ข้าง ๆ เขาตลอดไปอย่างนี้


.....มีปอ....โลกของปืนดูสว่างสดใส วันที่ปอจากไป ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายมันดูแห้งแล้งลงอย่างบอกไม่ถูก

....ช่างมันเถอะ....อย่างดีก็เหงาหน่อย ไม่นานก็หาย

....ปืนบอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้น


ปืนกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม เที่ยวเตร่ กินเหล้าเคล้านารี หวังว่าจะทำให้เขาลืมปอได้ในเร็ววัน

แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนัก เพราะเมื่อกลับมาถึงห้องพัก เขาก็รู้สึกเหงาอย่างเดิม

ชีวิตของปืนวนเวียนไปอย่างนี้วันแล้ววันเล่า จนวันหนึ่งปืนก็ได้รับโทรศัพท์จากปอ

“พี่ปืนเป็นไงมั่ง”

“ก็ดีหนิ”

เขาพยายามทำเสียงเรียบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่อยากให้ปอจับได้ว่าเขาตื่นเต้นยินดีเพียงไหนที่ได้ยินเสียง

“ผมไม่อยู่อ่ะ เที่ยวดึกอีกรึป่าว”

ปอถามล้อ ๆ เพราะพอจะรู้ว่าปืนก็นักเที่ยวนักดื่มคนหนึ่ง

“ก็มีมั่ง”

“ระวังรักษาสุขภาพด้วยนะ แก่แล้ว อย่าหักโหมรู้มั้ย”

ปืนหัวเราะเบา ๆ

“ไอ้เด็กแก่แดด ไม่ต้องมาทำเป็นสั่งสอน แล้วนี่เปิดเทอมแล้วใช่มั้ย”

“ครับ แต่ไม่ค่อยได้เรียนหรอก ช่วงนี้กิจกรรมรับน้องเกือบทุกวันเลย”

“อย่ามัวเพลินล่ะ จะเที่ยวจะเล่นก็แบ่งเวลาให้ดี “

“คร้าบ...คุณพ่อ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่เหลวไหลเด็ดขาด ผมกับเนยสัญญากันว่าจะช่วยกันเรื่อง.....”

มาอีกแล้ว ชื่อที่ไม่อยากได้ยิน ปืนอดทนฟังปอพูดถึงแฟนโดยไม่ขัดคอ จนปอเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย

“พี่ปืน ผมได้คุยกับรุ่นพี่คณะ เค้าพูดถึงแนวการเรียนคณะผมอ่ะ”

“ก็ดีหนิ จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”

“แต่ผม....ไม่รู้สิ ผมว่ามันไม่ใช่แนวที่ผมถนัดนะ แต่ช่างเหอะ ไหน ๆ ก็สอบได้แล้ว ยังไงผมก็จะเรียนให้จบแหละ

มันคงไม่ยากเกินไปจริงมั้ยพี่ปืน”

“ใช่ พี่เชื่อว่าปอทำได้อยู่แล้ว แต่ยังไงก็ต้องแบ่งเวลาเรียน เวลาพักผ่อนให้ดี ๆ นะ อยู่ห่างบ้านอย่างนี้เจ็บป่วยขึ้นมา

ไม่มีใครให้อ้อนเหมือนอยู่ที่บ้านรู้มั้ย”

“โห! อ้อนอะไรกัน ผมโตแล้วนะ ไม่มีแล้วลูกอ้อนน่ะ”

ปอหัวเราะมาตามสาย

“ก็ดีแล้ว”

“พี่ปืน เมื่อไหร่จะหาพี่สะใภ้ให้ผมซะทีล่ะ”

 อยู่ ๆเจ้าปอก็เปลี่ยนเรื่องคุยซะงั้น

“ไม่มีหรอก ใครเค้าจะมาอยู่กับพี่ ไม่เห็นจะมีอะไรดี”

“ใครบอก พี่ปืนของผมดีที่สุด ผมยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้นะครับ ถ้าไม่ได้พี่ปืน ผมก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า

อาจจะเอ็นฯไม่ติด อาจจะผิดหวังจากผลเอ็นฯจนต้องฆ่าตัวตาย”

“เฮ้ย!...พูดอะไรอย่างนั้น”

ปืนตกใจจนเผลอเสียงดังใส่โทรศัพท์

“เป็นอะไรพี่ปืน ผมพูดเล่น เสียงดังไปได้ แก้วหูแตกเลยผม”

“เออ...ขอโทษ ใครใช้ให้พูดเล่นไม่เป็นมงคลล่ะวะ”

“ดึกแล้วพี่ ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ”

“อืม....เป็นเด็กดีล่ะ”

“ครับ แค่นี้นะครับ”

“อืม”

“พี่ปืน”

“หืม”

“ผมคิดถึงพี่ปืนนะครับ”

.............

“พี่ก็เหมือนกัน”

เป็นคืนแรกหลังจากที่ปอไปกรุงเทพ ที่ปืนนอนหลับทั้งที่มีรอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปาก




สามเดือนของชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐสอนอะไรปอหลายอย่าง ทั้งเรื่องเรียน กิจกรรม และความรัก

ช่วงแรกของเปิดเทอมเต็มไปด้วยกิจกรรมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ตามมาด้วยกีฬาเชื่อมความสามัคคีทั้งหลายแหล่

ปอไม่รังเกียจกิจกรรมที่ประดังประเดกันเข้ามา แม้ว่าบางครั้งเวลากิจกรรมกับเวลาเรียนจะซ้อนกันบ้าง

ปอก็พยายามที่จะตามเลคเชอร์ให้ทัน เขารู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่มีการเรียนเป็นตัวประกอบและมีความรักเป็นกำลังใจ

แต่ระยะหลัง ๆ เขาเริ่มสลับให้การเรียนเป็นตัวนำ กิจกรรมเป็นตัวประกอบ แต่กำลังใจกลับเริ่มลดน้อยถอยลง

 โดยมีสาเหตุมาจากคนสองคนเริ่มที่จะไม่มีเวลาให้กันแล้ววันของการแตกหักก็มาถึง

“ปอลืมวันเกิดเนย”

 คำแรกที่กล่าวหาก็ทำเอาปอจนมุมซะแล้ว

“วันเกิดเหรอ”

ปอทำหน้างง เปล่าเลยปอไม่ได้ลืม เขาไม่เคยรู้ต่างหาก

“เมื่อวันเสาร์ไง ใคร ๆ ก็ไป แล้วปอก็มัวแต่ซ้อมเชียร์”

“เอ่อ...ผมขอโทษนะเนย”

 ขอโทษทั้ง ๆที่ไม่ได้ผิดอะไรเนี่ยแหละ แต่เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นปอก็ยอมทำ

“ก่อนหน้านี้ก็ผิดนัด”

ก็ถูก หนนั้นปอกำลังคุยกับรุ่นพี่ติดพันอยู่ จะปลีกตัวก็เกรงใจ

“ผมบอกเนยแล้ว”

 ปอไม่ชอบที่จะขุดคุ้ยเรื่องเดิม ๆ ที่เคยสร้างปัญหาระหว่างกันมาพูดซ้ำซาก

“แล้วอีกหลาย ๆ ครั้งที่ปอไม่ได้ไปทานข้าวเย็นกับเนย”

“บางวันผมเลิกเรียนค่ำ บาง...”

“ทุกครั้งปอก็มีข้อแก้ตัวไม่เคยซ้ำกันเลย”

“แต่ผมไม่เคยโกหกเนยนะ”

“พอเถอะ นับจากนี้ปอไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวมาบอกเนยอีกแล้ว”

“หมายความว่าไง”

“หมายความว่าเราเลิกกัน เนยไม่ทนปออีกแล้ว”

“ทำไมมันง่ายอย่างงี้อ่ะเนย”

 ปอทำหน้างง หัวสมองรู้สึกว่างเปล่า

“ง่ายเหรอ ไม่ง่ายเลยนะปอ เรามาด้วยกัน คบกันมาก็หลายเดือน เนยเองไม่เคยให้โอกาสใครเข้ามาจีบ

เพราะถือว่าเนยมีปออยู่แล้ว ทั้งที่มีคนสนใจอยากเป็นแฟนเนยไม่รู้เท่าไหร่ แล้วสุดท้ายปอก็ทำให้เนยเสียใจ

 เวลาที่ปอไปสนุกกับกิจกรรม ปอรู้มั้ยว่าเนยต้องอยู่คนเดียว ทำอะไร ๆคนเดียว ในขณะที่เพื่อน ๆเนยเค้าไปกับแฟน

มีแฟนมาคอยเทคแคร์ แต่ปอทำอะไรให้เนยบ้าง”

“ผมคิดว่าเนยจะเข้าใจ”

ท่าทางเนยมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่กำลังพูด แม้แต่ปอเองก็รู้ว่าสิ่งที่เนยพูดไม่ได้ผิดความจริง แต่ทำไมเนยไม่เคยบอกเขาว่า

เนยต้องการอะไร นั่นมันทำให้เขาเหมาเอาเองว่าเนยเข้าใจและรับได้ และเขาก็มั่นใจในสิ่งที่ทำมาตลอด

“เข้าใจสิปอ เนยเข้าใจ แต่ไม่เอาอีกแล้ว เนยก็อยากได้คนที่เข้าใจเนยเหมือนกัน เมื่อไม่ได้จากปอ

เนยไปหาจากคนอื่นก็ได้”

“เนยคิดดีแล้วเหรอ”

“จะบอกอะไรให้นะปอ เนยคิดมานานแล้ว ให้โอกาสปอมาหลายครั้ง แล้วผลที่ได้รับก็เหมือน ๆ กัน”

“แต่เนยไม่เคยบอกผมแบบนี้ ผมคิดว่าเราเข้าใจกันดี”

“เนยก็หวังให้ปอเข้าใจด้วยตัวเอง เมื่อปอไม่สนใจ เนยก็ไม่รู้ว่าเราจะคบกันต่อไปเพื่ออะไร”

มีด้วยหรือ หวังจะให้คนอื่นเข้าใจตัวเองโดยที่ไม่เคยถาม ไม่เคยบอกกัน....ใครมันจะไปรู้ใจคนอื่นได้ทะลุปรุโปร่ง

เอาเถอะ...รอให้เนยอารมณ์ดีกว่านี้ปอจะลองเข้าไปง้อดูอีกที พูดอะไรกันไปตอนนี้ก็มีแต่จะยิ่งแย่ลง



แต่ปอไม่เคยง้อเนยสำเร็จ ราวกับว่าเนยเองก็รอโอกาสที่จะบอกเลิกกับปออยู่เหมือนกัน เพียงแต่เหตุผลที่จะอ้าง

มันยังไม่มีน้ำหนักมากพอ แต่คำพูดที่กล่าวหากันครั้งสุดท้าย มันคงเพียงพอสำหรับเนยแล้วกระมัง

ที่จะยุติความสัมพันธ์ลงได้เราคงมาสุดทางแล้วจริง ๆ



การถูกปฏิเสธจากผู้หญิงที่เขารัก ทำให้ปอสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปจนหมด

กิจกรรมที่เคยทำด้วยความรู้สึกสนุกสนานก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เขาไม่อยากเข้าร่วมอีกต่อไป

เรื่องขำขันในที่ประชุม ปอก็มองไม่เห็นแง่ขัน แถมยังรู้สึกรำคาญ

เรื่องเล่าตลก ๆ ทะลึ่ง ๆ ที่เพื่อนฝูงเล่าสู่กันฟังเป็นประจำเสียอีก

ปอรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น

หนักเข้าก็พาลไม่อยากพบหน้าใครคนเดียวที่ปอนึกถึงก็คือพี่ชายนอกไส้


ปอกดโทรศัพท์ทันที อีกฝ่ายก็รับทันใจเหมือนกัน

“พี่ปืน”

“อืม....มีไร หายไปนานหนิ เรียนหนักเหรอ”

แค่ได้ยินเสียงปอก็รู้สึกว่าอะไร ๆ ที่กำลังทับถมในใจมันสลายไปอย่างรวดเร็วจนรู้สึกดีขึ้น

เวลานี้ปอต้องการคนที่เข้าใจเขามากที่สุด เพื่อที่จะเรียกความมั่นใจในตัวเองกลับคืนมา

“ก็เรื่อย ๆ ครับ แต่เรื่องอื่นมันหนัก”

“กิจกรรมล่ะสิ....บอกแล้วว่าต้องแบ่งเวลาให้ดี ไม่งั้นการเรียนเราจะแย่ลงรู้มั้ย”

“ไม่ใช่กิจกรรมหรอกพี่ปืน”

“แล้วเรื่องอะไร”

……….

“ปอ.....เป็นอะไร” ปืนได้ยินเหมือนเสียงสะอื้นที่ปลายสาย

“พี่ปืน ผมอยากกลับบ้าน”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2012 01:17:07
คืนนี้ลงแค่ตอนเดียวก่อนนะครับ

ผมมัวแต่จัดหน้าใหม่อยู่ ตอนที่เปิดด้วย IE ย่อหน้ามันตลก ๆ

แต่จัดแล้วก็ไม่รู้จะหายรึป่าว เฮ้อ....แ่ย่จัง ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องแบบนี้ซะด้วย

ใครมีคำแนะนำเก๋ ๆ กระซิบใน PM หน่อยนะครับ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 11-05-2012 14:14:01
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆและเป็นเรื่องราวในความทรงจำเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
ขอต้อนรับนักเขียนท่านใหม่นร้าครับ น้องนูคนน่ารัก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 11-05-2012 14:43:06
 :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: kingkakingka ที่ 11-05-2012 16:04:48
สนุกๆมากเลยบค่ะ

มาต่อไวๆนะค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 11-05-2012 20:18:19
นึกถึงพี่ปืนขึนมาเชียวล่ะ  หนูน้อย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 11-05-2012 22:08:18
รออ่านอีกค๊าฟ


จำได้แค่เนื้อเรื่องลางๆ   อยากอ่านให้ลึกซึ้งอีก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2012 23:02:45


โพสท์เสร็จแล้วผมจะแวะมาใหม่นะครับ อ้อ ผม + น้องเป็ดให้ทุกคนด้วย

ตอนนี้ แทนคำขอบคุณได้เพียงเท่านี้ครับ

เทคนิคอื่นยังทำไม่เป็น รึว่า มันต้องมีั level ก็ค่อยว่ากันไป






“มีอะไรรึป่าว ไหนเล่าให้พี่ฟังก่อนซิ”

 ปืนพยายามบังคับเสียงไม่ให้แสดงออกถึงความร้อนรนในใจมากจนเกินไป อย่างน้อยเขาต้องตั้งสติ

เพื่อจะรับรู้ปัญหาของปอ เพราะถ้าเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แล้วเขาจะช่วยแก้ปัญหาของปอได้ยังไง

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังนะ”

“อ้าว! ก็บอกพี่มาตอนนี้เลยสิปอ ทำไม...เป็นอะไร”

“เดี๋ยวผมขึ้นไปนะ ผมรอลิฟท์อยู่”

 รอลิฟท์? ปืนงง ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“แล้วนี่อยู่ไหน”

“ผมอยู่ข้างล่าง เค้าซ่อมลิฟท์อยู่อ่ะ”

โธ่เอ๊ย! ที่แท้ปอก็มาถึงอพาร์ทเมนท์แล้ว นั่นยิ่งทำให้ปืนยิ่งร้อนรนทนไม่ไหว จนรออยู่ในห้องเฉย ๆ ไม่ได้

“งั้นก็อยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวพี่ลงไป”

ปอโทรศัพท์มาจากที่ล็อบบี้นี่เอง...มิน่า หน้าจอโทรศัพท์มันถึงโชว์เบอร์ส่วนตัว

ปืนก็นึกว่าใช้เครื่องสาธารณะที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพ


ปืนกระโจนลงจากบันไดราวติดปีกก็ว่าเร็วแล้ว แต่ก็ยังไม่ทันใจอยู่ดี

สารรูปปอเท่าที่เห็น ทรุดโทรมผิดตา ไรหนวด และเคราจาง ๆ เป็นเงา

ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวคงไม่ได้เอาใจใส่ตัวเองอย่างที่เคยทำ

ปืนเห็นแล้วปวดหนึบไปทั้งใจ.....แค่เดาเอาเองก็มีหวังถูก ไม่ใช่เรื่องเรียน ไม่ใช่เรื่องกิจกรรม

 ก็เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียว

“พี่ปืน” ปอแทบจะถลาเข้ามากอดปืนไว้ทั้งตัว แต่ปืนไหวตัวก่อน มันไม่ใช่สถานที่ที่จะทำอะไรประเจิดประเจ้อได้

ปืนยังต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่ เพราะหน้าที่การงานและสังคมที่แวดล้อมตัวเขา

ถึงปอจะยังไม่ได้คิดอะไรกับปืนนอกจากคำว่า ‘พี่ชาย’ แต่ปืนก็ไม่กล้ารับประกันตัวเองว่าเขาจะเก็บอาการได้ดีแค่ไหน

         “ทำไมหน้าตาดูไม่ได้แบบนี้”

        ปืนลากแขนปอให้เดินตามไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกติดผนังด้านหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากเคาน์เตอร์

 เพราะมีต้นไม้และฉากบังตากั้นอยู่ และทันทีที่นั่งลงได้ ปอก็กลับไปเป็นปอคนเดิมในวันที่เจอปืนเป็นครั้งแรก

ที่ดูหวาดหวั่น และไม่มั่นใจ

          ใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มเฉียงขึ้น เหนือดวงตาดำในกรอบตาคม แววตาที่เคยสดใสร่าเริง วันนี้ยังเหลือร่องรอยแดงช้ำ

ที่บอกไม่ได้ว่าเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก หรือ เป็นเพราะอดหลับอดนอนกันแน่

ปืนรู้เพียงว่าปอคงได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก  น้ำใส ๆ ที่คลอเบ้าจวนเจียนจะหยดก็เป็นอันหยาดลงบนแก้มขาว

ที่ตอนนี้ซีดสลดหมดสีสัน ริมฝีปากแดงฉ่ำระเรื่อกลับซีดมิหนำซ้ำยังแตกแห้งเป็นขุย

   “พี่ปืน”

   ปืนเข้าใจดีว่าปอคงจะบอบช้ำเต็มที แต่ปอจะรู้มั้ยว่า พี่ปืนคนนี้ก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่าปอเลย

   “มีเรื่องอะไร เนยใช่มั้ย”

   “เนยเค้าบอกเลิกผมแล้วอ่ะพี่ปืน เค้าบอกว่าผมไม่สนใจเค้า ไม่เข้าใจเค้า”

   “ก็ยังไงล่ะ”

ปืนได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเองถามออกไป

   “ผมไม่รู้จริง ๆนะพี่ปืนว่าเนยเค้าเกิดวันไหน เค้าเลี้ยงฉลองวันเกิดกัน แล้วผมไม่ได้ไป เค้าหาว่าผมลืมวันเกิดเค้า

 ผมไม่เคยรู้เลยว่าเค้าไม่พอใจที่ผมมัวแต่ทำกิจกรรม เค้าไม่เคยบอกผมว่าเราต้องไปทานข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน

 ไม่เคยบอกผมว่าทุกครั้งที่เค้าเห็นเพื่อนอยู่กับแฟนมันทำให้เค้าน้อยใจที่ผมไม่ใส่ใจเค้าแบบนั้นบ้าง เค้าไม่เคยบอกผม

แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงอ่ะพี่ปืน ฮือ ๆ”

   โธ่ถังเอ๊ย! เจ้าปอ ช่างไม่เดียงสาซะจริง ๆ คนที่เค้ารักกันอ่ะนะ ไม่ต้องรอให้เค้าบอกหรอก....

ความรักมันจะสอนเองว่าเราควรจะทำอะไรเพื่อคนที่เรารักบ้าง เหมือนกับที่ปืนก็กำลังทำอยู่นี่ไง

   ปืนได้แต่ลูบหัวปลอบใจปอ ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ เพราะหัวใจตัวเองก็กำลังระบมไปหมด

   “แล้วทำไมไม่คุยกันดี ๆ บอกให้เค้าเข้าใจรึป่าว ผู้หญิงอ่ะนะ เวลาโกรธก็ไม่ฟังอะไรหรอก

รอให้เค้าอารมณ์เย็นลง ก็พอจะพูดกันได้”

              “ไม่มีทางหรอกพี่ปืน เค้าบอกเลิกผมได้สองสามวัน เค้าก็ควงผู้ชายคนใหม่ให้ผมเห็น

ผมอุตส่าห์ตามไปง้อที่หอเค้าตั้งหลายครั้ง เนยเค้าก็ไล่ผมยังกะหมูกะหมา อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว

....พี่ปืน ผมไม่กลับไปแล้วนะ”

   ปืนปล่อยให้ปอฟูมฟายสักพักก็ค่อยซาลง ปอยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างง่าย ๆ

เห็นแล้วปืนอยากจะเป็นคนจูบซับน้ำตานั่นเสียเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้

มีเงื่อนไขอะไรตั้งหลายอย่างที่ทำให้ปืนไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเอง

และยิ่งกว่าเงื่อนไขใด ๆ ปืนต้องนึกถึงแม่กับป๊าของปอให้มาก ๆ ท่านทั้งสองคงอยากเลี้ยงหลาน

 และปืนเองก็ไม่สามารถทำให้ท่านสมหวังได้....ลำบากจังว่ะ

ทำไมต้องมาหลงรักไอ้เด็กคนที่มันเป็นลูกชายคนเดียวด้วยวะ เออ....ก็พูดไปได้ ยังกับว่าปอมันคิดจะโอเคกับปืนงั้นแหละ

   “แล้วนี่ไม่เรียนรึไง ถึงได้กลับมาตอนนี้เนี่ย ช่วงนี้มันกำลังสอบไม่ใช่เหรอ”

   “ผม....”

   “เอางี้ดีกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วขึ้นไปคุยกันข้างบนก่อนแล้วกัน ไหนกระเป๋า”

   ปืนเหลียวซ้ายแลขวาหากระเป๋าเสื้อผ้าของปอ

   “ไม่มี ผมไม่ได้เอาอะไรมาเลย”

   ปืนถึงกับอึ้งไปเลย อะไรของมันเนี่ย

   “ไป ๆ ขึ้นห้องก่อน”

   แต่ด้วยเหตุที่ลิฟท์ยังซ่อมอยู่ ทั้งคู่ก็เลยต้องเดินขึ้นบันไดแทน ยังขึ้นไม่พ้นชั้นแรกดีด้วยซ้ำ

เจ้าปอก็ทำท่าจะทรุดนั่งลงตรงที่พักบันไดนั่นเอง

   “ผมเดินไม่ไหวอ่ะพี่ปืน”

 เสียงอ่อย ๆ ท่าทางเหมือนจะหมดลมหายใจเอาดื้อ ๆ ทำให้ปืนต้องลงทุนหมดตัว

   “เอ้า! ขึ้นมา”

 ปืนย่อตัวลงให้ปอเกาะหลังเขา

   “พี่ปืน”

 ปอท่าทางตกใจ คงคิดไม่ถึงว่าปืนจะทำได้ขนาดนี้ แต่เพื่อปอน่ะเหรอ น้อยกว่านี้ได้ไงสำหรับปืน

   “มาเหอะ จะได้ไปอาบน้ำนอนซักตื่น แล้วค่อยคุยกันนะ”


   ท่าทางหงอย ๆ ที่ตะกายเกาะหลังปืน ทำให้เขาแทบหลั่งน้ำตา ก่อนจะจากกัน ปอยังดูร่าเริง สดใส ราวกับนก

ที่พร้อมจะกางปีกร่อนไปในท้องฟ้ากว้างเพียงแค่ไม่กี่เดือนปีกก็หักกลับมาซะแล้ว

จะมีทางไหนที่พี่ปืนจะช่วยซ่อมแซมปีกให้ปอได้รึเปล่าหนอ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2012 23:10:30


กว่าจะพาตัวเองกับเจ้าปอที่เกาะหลังขึ้นมาถึงห้องได้ ปืนก็แทบจะรากเลือด ก็มันหนักไม่ใช่เล่นนี่นา

ปอสูงขึ้นมากเท่า ๆ กับเขาแล้ว เพียงแต่โปร่งบางกว่ากันหน่อย ตามประสาวัยรุ่นที่ยังโตไม่เต็มที่

   ปืนปล่อยปอลงยืนกับพื้น เพื่อรูดการ์ดผ่านประตูเข้าห้อง หันไปดูปอยืนก้มหน้า ไหล่ห่อคอตก

เห็นแล้วปืนก็คิดแค้นคนที่ช่างทำกับปอได้ลงคอ

ประเดี๋ยวเถอะ จะถามให้ได้เรื่องเลย ปืนมีความเชื่ออยู่ว่า ปอเป็นเด็กที่อ่อนโยน และช่างเอาใจมาแต่ไหนแต่ไร

การที่เนยบอกเลิกกับปอต้องมีเหตุผลที่ฟังได้ ไม่งั้นปืนไม่ยอมแน่ ยังหรอก....ปืนยังไม่รู้จะทำยังไงกับไอ้ตัวต้นเหตุ

หรือบางทีปืนอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลยก็เป็นได้ แต่เวลานี้ เขารู้แค่ว่า ถ้ามันอยู่ใกล้ ๆ มันต้องเจ็บตัวแน่

   “เข้าห้องป่ะ”

หลังไหล่ที่บอบบางของปอ ยิ่งทำให้ปืนรู้สึกอยากปกป้อง ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำให้ปอของเขาต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้

มันควรต้องชดใช้

   “อาบน้ำนะ เดี๋ยวพี่ทำโจ๊กให้กิน เสร็จแล้วจะได้นอนซักงีบ”

 ก็โจ๊กซองสำเร็จรูปนั่นแหละ หนุ่มโสดอย่างเขา ช่วยตัวเองได้แค่นี้ก็เยี่ยมแล้ว ปืนพูดพลาง

หยิบผ้าขนหนู เสื้อยืดและกางเกงใส่สบาย ๆ ยื่นให้ปอ ซึ่งก็รับด้วยท่าทีซังกะตาย

   “ผมไม่หิว”

   “กินนิดนึงก็ยังดี โจ๊กใส่ไข่นะ ใส่น้ำเยอะ ๆ กลืนได้เลย ไม่ต้องเคี้ยว”

ปืนไม่เคยเอาใจใครมากเท่านี้นะ แต่คราวนี้เขาเต็มใจทำทุกอย่างให้ปอ นี่ถ้าเกิดมันอยากกินหูฉลามน้ำแดง

สงสัยปืนก็คงต้องวิ่งออกไปซื้อให้มั้ง

   ปอเดินระทดระทวยไปเข้าห้องน้ำ ปิดประตูไปสักพักใหญ่ ก็ตะโกนออกมา

   “พี่ปืน แปรงสีฟันอ่ะ”

   “อ้อ...เดี๋ยวนะ มันอยู่ข้างนอก”

 ปืนหยิบแปรงสีฟันที่มักจะซื้อเก็บไว้ออกมาจากชั้นวางของใช้ที่อยู่ในครัวเล็ก

   “ออกมาเอามะ”

ปืนเคาะประตูสองสามที ก็ไม่มีทีท่าว่าปอจะเปิด

   “ปอ....เปิดประตูซิ”

   “ไม่ได้ล็อคอ่ะ พี่ปืนเปิดเข้ามาเลย”

   ปอตะโกนตอบมาท่ามกลางเสียงน้ำจากฝักบัวดังซู่ซ่า ปืนนึกรู้ว่าถ้าเปิดเข้าไปจะเจออะไร มือเริ่มสั่น

ยังไม่กล้าพอที่จะเปิด  ถึงจะสนิทสนมกันแค่ไหน แต่ก็ยังไม่เคยเลยซักครั้งที่ทั้งคู่จะเปิดเนื้อเปลือยตัวให้เห็นกันจะ ๆ

อย่างน้อยก็ต้องมีกางเกงว่ายน้ำตัวน้อยเป็นปราการด่านสุดท้าย ปืนยืนสองจิตสองใจอยู่สักพัก

ปอก็ตะโกนออกมาอีกที

   “พี่ปืน แปรงอ่ะ”

   “มาแล้ว ๆ”

 ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ไม่ได้ผิดไปจากมโนภาพซักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ปืนค่อย ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ปอยังเหลือด่านสุดท้ายเกาะติดสะโพกเพรียวอยู่....ไม่น่าคิดไปล่วงหน้าเล้ย.....ไอ้ปืน

   “พี่ปืนยาสระผมเข้าตา แสบอ่ะ”

   “ลืมตาดิ เปิดฝักบัวแรง ๆ หน่อย ให้น้ำมันชะออกไป”

   “เปิดให้หน่อย ผมมองไม่เห็น”

เออ...ไอ้เจ้านี่ มันไม่ยอมช่วยตัวเองเอาซะเลย บ่นในใจไปงั้นเองเพราะปืนก็เอื้อมมือไปเปิดให้อยู่ดี

ความที่กลัวน้ำจะกระเด็นใส่เสื้อผ้า ปืนก็ต้องเอื้อมซะสุดแขน มัวแต่มองก็อกน้ำ ไม่ทันดูว่าไอ้คนที่มันบอกว่าแสบตา

 ตอนนี้มันลืมตาได้ทั้งสองข้าง พร้อมกับหยิบฝักบัวที่แขวนอยู่ออกมารดใส่ปืนเต็ม ๆ จนเปียกแฉะตั้งแต่ชั้นนอกถึงชั้นใน

   “เฮ้ย! อะไรเนี่ย เปียกหมดเลย”

   “ฮ่า ๆ ๆ”

คนที่จะเป็นจะตายอยู่เมื่อสิบนาทีที่แล้ว ตอนนี้หัวเราะปากกว้าง เสียงดังคับห้องน้ำ

   “เล่นอะไรเนี่ย”

 เปล่าหรอก ปืนไม่ได้โกรธอะไรเลย กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของปอ ดีกว่าเห็นน้ำตาเป็นไหน ๆ

   “พี่ปืนก็มาอาบน้ำกะผมอีกรอบมั้ยอ่ะ”

   “ซนแล้วไอ้เจ้าปอ พี่อาบแล้ว”

   “เราไม่เคยอาบน้ำด้วยกันเลยนะพี่ปืน”

   คิดอะไรของมันอยู่เนี่ย

   “สมัยเด็ก ๆ ผมเคยเห็นเพื่อนมันอาบน้ำกับพี่ชายมันดูแล้วน่าสนุก ผมยังแอบอิจฉามันเลย

อยากมีพี่ชายอย่างนั้นมั่ง ตอนนี้ผมก็มีพี่ปืนแล้ว พี่ชายจะไม่อาบน้ำกับน้องชายหน่อยเหรอครับ”

   เฮ้อ.....ปืนทนลูกอ้อนได้ที่ไหน แพ้เจ้าปออีกตามเคย สองคนเล่นน้ำกันจนตัวซีด กว่าจะออกมาเช็ดตัวได้

แต่ปืนก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ปอสระผมให้ปืนทั้งที่มันก็มีอยู่กระจุกนึงเนี่ยแหละ แต่มีคนนวด ๆ เกา ๆ

มันก็สบายดีเหมือนกัน ส่วนผมของปอสระจนสะอาดแล้ว ปืนก็เลยชะโลมครีมนวดให้ ผมของปอเริ่มยาวเลยบ่า

 เส้นเล็กนุ่มมือดีจริง ๆ จากนั้นก็ผลัดกันถูหลัง ปืนมีรังบวบสำหรับถูตัว นาน ๆ จะได้ใช้ซักที แต่ก็ไม่เคยใช้ถูหลัง

 เพราะเอื้อมไม่ถึง คราวนี้ได้เจ้าปอช่วยถูให้ ก็เจ็บ ๆ มัน ๆ ดี

   “พี่ปืนไม่ไปลงอ่างกะเค้ามั่งเหรอ”

ปอหมายถึงสถานอาบ อบ นวด ที่ปืนเลิกไปนานแล้ว

   “ทะลึ่ง เป็นเด็กเป็นเล็กมารู้เรื่องอ่าง”

ปืนหมั่นไส้ ก็เลยเอาแปรงที่กำลังสางผมให้ปอ เคาะกะโหลกไปทีนึง

เจ็บก็คงไม่เจ็บสักเท่าไร แต่มันดันแหกปากร้องซะ

   “โอ๊ย!....เด็กเล็กที่ไหน ผมโตแล้วนะ”

   ปอคลำหัวป้อย ๆ

   “ถามจริง พี่ปืนเที่ยวอีกรึป่าวอ่ะ”

   “ถามทำไม”

   “อยากรู้”

   “อยากรู้รึอยากไป”

   “ก็จะพาไปมะล่ะ”

   “นี่แน่ะ....ยิ่งโตยิ่งทะเล้นนะ”

   “ไม่ไปก็ได้”

 นิ่งไปอึดใจ ปอก็เกิดคำถามใหม่

“แล้วตกลงพี่ปืนไม่มีแฟนซักคนเลยเหรอ”

   “มายุ่งอะไรเรื่องพี่อีกล่ะเนี่ย”

   ปอถามมา ปืนก็ตอบไปบ้าง โยกโย้เอาบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำตอบไปจริง ๆ ปืนแค่เห็นปอพูดคุยได้เรื่อย ๆ

ก็เลยคิดว่าดีกว่าปล่อยให้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว ซึ่งอาจจะทำให้ปอเศร้าซึมลงไปอีก

   หลังจากเป่าผมให้ปอจนแห้งสนิท ปืนก็ให้นอนบนเตียง นั่นก็บ่ายคล้อยแล้ว ดูเหมือนปอจะสดชื่นขึ้น

พูดคุยได้อย่างร่าเริง ยังมีเสียงหัวเราะบ้าง แค่นี้ปืนก็สบายใจแล้ว แต่อย่านึกนะว่าปืนจะลืมสาเหตุที่ทำให้ปอเป็นแบบนี้

เขาแค่รอเวลาให้ปอได้พักผ่อนจริง ๆ จัง ๆ สักวันสองวัน คราวนี้ล่ะ ปืนจะเริ่มสอบสวนต้นสายปลายเหตุซะที
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 11-05-2012 23:17:50
 

ย่างเข้าวันที่สาม ปืนก็รู้สึกว่าปอเริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม ดูหนัง ฟังเพลง เล่มเกมออนไลน์ได้

แถมบางทีมีร้องเพลงหงุงหงิง ๆ อีกต่างหาก น่าจะถึงเวลาที่ต้องพูดเรื่องที่ปืนยังคาใจได้ซะที
   
   ดังนั้น หลังจากพิซซ่าเดลิฟเวอรี่ ถาดใหญ่ มันฝรั่งทอด กับปีกไก่ ตบท้ายด้วยเป็บซี่ผ่านไปเรียบร้อย

 โดยที่ไม่มีแก้วแตกสักใบ (เพราะเป็นแก้วเมลามีน) ปืนก็เริ่มต้นบทสนทนา

   “แล้วนี่จะขึ้นกรุงเทพเมื่อไหร่เนี่ยฮึ ปอ”

   ปอเช็ดมือ เช็ดปาก ก่อนจะตอบหน้างอ ๆ

   “ผมบอกแล้วว่าไม่กลับไปแล้ว พี่ปืนก็ยังจะมาถาม”

   ไอ้เจ้านี่พูดจาเป็นเด็กอมมือ

   “ถึงไม่คิดจะกลับไปเรียน ก็ต้องกลับไปจัดการอะไร ๆ ให้มันเรียบร้อยก่อน”

   ปอเงยหน้าจากถาดพิซซ่าเปล่า ๆ ที่กำลังลำเลียงลงถุงขยะ

   “ถ้าผมไม่ไปอ่ะ”

   “อย่างน้อยก็ต้องไปลาออกจากมหาวิทยาลัย จัดการเรื่องหอพัก”

 ปืนพยายามให้สติ

   “แล้วข้าวของทั้งหลายแหล่ถ้าไม่อยากขนมาก็ทิ้งไว้งั้นก็ได้ตามใจ”

เสียดายเหมือนกันนะเว้ย

   “ผมไม่อยากไป ไม่รู้จะมองหน้าเพื่อนได้ยังไง”

   “แล้วปอไปทำอะไรที่มันเสียหายเหรอ ถึงต้องอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร”

 ปืนเสียงอ่อนลง

   ปอส่ายหน้า ดูมันสลดลงจนเห็นได้ชัด จากที่อารมณ์พอจะรื่นเริงบ้าง ก็กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว

   “พร้อมจะเล่าให้พี่ฟังรึยัง”

   “ผมไม่อยากพูดถึง”

   “ก็ตามใจ งั้นพี่ก็คงไม่มีอะไรจะพูดกับเราอีกแล้ว”

 ปืนขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ ลองทำเป็นไม่สนใจดูซิ จะทำยังไงต่อไป เรียนก็ไม่เรียน แต่ไม่ยอมไปลาออก

จะเอายังไงก็ไม่เลือกเอาสักทาง ปืนอยากจะช่วยก็เลยไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน

   “ไม่รู้ป๊ากับแม่จะว่ายังไงมั่ง ถ้าผมจะไปลาออก”

   “พี่ถึงถามปออยู่นี่ไงว่าตัดสินใจว่าไง เพราะก่อนที่จะเราจะทำอะไรกันต่อไป ปอต้องคุยกับที่บ้านก่อน”

   “พี่ปืนไปเป็นเพื่อนผมได้มั้ย”

 ปอช้อนตามองปืน ต่อให้ปอไม่ใช้แววตาขอร้อง ปืนก็ต้องตอบคำเดียวกันว่า

   “ได้”

ปืนตอบอย่างไม่ลังเล เพราะเท่าที่ทนดูอาการเงื่องหงอยของปอมาหลายวัน มันก็ทำร้ายจิตใจเขามากพอดูอยู่แล้ว

ถ้าเพียงแต่จะทำให้ปอมีกำลังใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ทำชีวิตให้ดีขึ้น ไม่จมปลักกับเรื่องรักน้ำเน่า

ยากกว่านี้ปืนก็เต็มใจทำเพื่อปอ

   “ไปกรุงเทพนะ”

 ปอย้ำเหมือนกลัวว่าปืนจะเข้าใจผิด

   “ไปบ้านปอด้วยยังได้”

 แค่ปอบอกว่าอยากให้ปืนอยู่เคียงข้างในวันที่ต้องการกำลังใจ ไม่มีทางที่ปืนจะปฏิเสธ

   “จริงนะ”

 ปอทิ้งอะไร ๆ ทุกอย่างที่อยู่ในมือ ริมฝีปากที่เริ่มฉ่ำด้วยเลือดฝาดคลี่ขยายยิ้มจนเห็นไรฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

แววตาเปล่งประกายสุกใส เพียงเท่านี้ที่ปืนอยากจะเห็นบนใบหน้าของปอ ไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่เขาลงไปรับที่ล็อบบี้

เมื่อสองสามวันก่อน พร้อมกับร่างกายที่ซูบโทรม

   “ไม่จริงมั้ง”

 ปืนยิ้มรับ และปอเองก็คงรู้ว่าคำพูดของปืนแค่ล้อเล่น ปืนจึงได้รับอ้อมกอดแน่น ๆ แบบเต็มเวอร์ชั่นจากปอ

   “ถ้าไม่มีพี่ปืนซะคนผมจะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้ ขอบคุณครับ ผมรักพี่ปืนที่สุดเลย”

   ....พี่ก็...รักปอ....ที่สุดเหมือนกัน...

   ปืนไม่กล้าเอ่ยคำเดียวกันกับที่ปอพูดออกมา ด้วยแน่ใจว่ารักที่ปอพูดถึงคงไม่เหมือนที่เขารู้สึกอยู่ในใจ

 และเขาพยายามบอกตัวเองเสมอมาว่า จะพยายามเปลี่ยนความรู้สึกนั้นซะใหม่ เพื่อความสัมพันธ์ที่ถาวรกว่า

 ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า ปืนกลัวว่าวันหนึ่งถ้าปอล่วงรู้ความจริงในใจ เขาอาจจะเสียปอไป

แต่ถ้าเขารักปออย่างน้องชายได้เมื่อไร ความเป็นพี่เป็นน้องมันย่อมจะยั่งยืนกว่าอยู่แล้ว เขาต้องเลือกเอาทางหนึ่งสินะ

 แม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญก็ต้องลอง อย่างน้อยปอก็จะไม่มีวันออกจากชีวิตของเขาไปเป็นแน่

   รุ่งขึ้นปืนคงต้องรีบลางาน หลังจากตกลงกับปอได้ว่า คงต้องไปหาป๊ากับแม่ที่บ้านก่อน

    “โทรไปก็ได้มั้งพี่ปืน”

 ปอเสนอทางเลือกที่ปืนไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว

    “เรื่องใหญ่ขนาดนี้โทรไปก็คงทำให้ป๊ากับแม่ไม่สบายใจเปล่า ๆ ถ้าอยากจะให้เค้าเข้าใจ

ก็ต้องไปอธิบายกันยาว ๆ ที่บ้านนู่น พูดทางโทรศัพท์ไม่เห็นหน้าเห็นตา เค้าจะยิ่งกังวล”

   “แล้วถ้าป๊ากับแม่ไม่เห็นด้วย ผมจะทำไงอ่ะพี่ปืน”

สีหน้าปอเริ่มวิตก เพราะอยู่ ๆ จะบอกที่บ้านว่าจะลาออกจากมหาวิทยาลัย มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

แถมสถานศึกษาที่อุตส่าห์สอบเขาได้ ก็ออกจะมีหน้ามีตา ใคร ๆ ก็อยากจะได้โอกาสอย่างนั้น

แต่นี่โอกาสอยู่ในมือแล้วแท้ ๆ กลับรักษาไว้ไม่ได้ มันก็น่าที่จะให้พ่อแม่เสียใจอยู่หรอกนะ

   “อย่าว่าแต่ป๊ากับแม่เลยที่จะไม่เห็นด้วย แม้แต่พี่ก็คิดอย่างนั้น”

   “พี่ปืนอ่ะ....ก็ไหนจะว่าจะไปเป็นเพื่อนไง”

 ปอกระเง้ากระงอด

   “ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นด้วยหนิ เพราะปอเองก็ไม่เคยอธิบายให้พี่ฟังนี่นา ว่ามีเหตุผลอะไร

ถึงกับจะต้องลาออก ที่พี่ไม่คัดค้านก็เพราะพี่ถือคติว่า ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน”

...โห...โบราณนะนั่น

   “เรื่องเรียนก็ต้องตามใจคนเรียน อีกอย่างปอจะเรียนอะไร พี่ก็ไม่ได้ ไม่เสีย แล้วแต่ปอ ไม่เรียนก็ตามใจ

อยากเสียโอกาสที่จะมีอนาคตดี ๆ ก็เรื่องของปอ ชีวิตของปอ พี่ก็ให้ได้แค่กำลังใจ”

   ปอนิ่งสงบไปอึดใจหนึ่ง ถึงพี่ปืนจะช่วยเหลือ ก็เหมือนจะทำไปเพราะไม่มีทางเลือกซะมากกว่า

 แต่ที่จะให้พูดออกมามันก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดที่น่าอับอายของตัวเอง ทั้งที่กำลังจะลืมแท้ ๆ

    “ที่ผมกลับไปไม่ได้อีกแล้วก็เพราะแฟนคนใหม่ของเนย เป็นรูมเมทของผมเอง”

   ปอเริ่มเล่าด้วยประโยคธรรมดา ๆ แต่ทว่าเสียดใจคนฟังดีแท้ ๆ

   “เวลาที่มันคุยโทรศัพท์ในห้อง ผมได้ยินทุกคำ มันจะออกไปไหน มีนัดกันยังไง ผมไม่อยากรู้ก็ต้องได้รับรู้

ผมจะย้ายหอก็ยังไม่รู้จะย้ายไปไหน ห้องว่างยังไม่มี แล้วความจริงเพื่อนคนนี้มันก็ดีกับผม

ถ้าตัดเรื่องเนยออกไป  เราคงจะคบกันเป็นเพื่อนสนิท แต่พอมีเรื่องนี้เข้ามา ก็เหมือนกับผม

เสียเพื่อนดี ๆ ไปหนึ่งคน”

   ปอเล่าว่า ทีแรกก็ไม่เคยรู้ว่าแฟนใหม่ของเนยเป็นใคร จนกระทั่งวันที่ปอไปหาเนยที่หอพักหญิง

เพื่อที่จะง้อขอคืนดี ก็ไปเจอเพื่อนคนนี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ขณะที่นั่งรอก็คุยกันไปเรื่อย ๆ จนเนยเดินตรงเข้ามา

 แล้วเข้าไปยึดแขนเพื่อนคนนั้นแหละ ปอถึงเข้าใจว่าอะไรมันเป็นอะไร

   “ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ใคร ๆ ที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นมองผมอย่างสมเพช

เพื่อนมันก็ไม่บอกผมซักคำว่ามันเป็นแฟนใหม่ของเนย แล้วเวลาที่มันบอกผมว่ามันไม่กลับหอ

แต่จะไปค้างคืนกับแฟนก็คงเป็นเนยนี่เอง พี่ปืนคิดดู ใคร ๆ เค้ารู้เรื่องผมกันทั้งนั้น

ผมกลายเป็นไอ้งั่งอยู่คนเดียว เดินไปทางไหนเห็นเค้าซุบซิบแล้วหันมามองกัน

 ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเค้ากำลังพูดเรื่องของผม เป็นพี่ปืนจะทนได้มั้ย”

   ปอพูดเสียงสั่นเครือ ก้มหน้าไหล่ลู่ อย่างคนที่หมดแล้วซึ่งความมั่นใจในตัวเอง น้ำตาหยดแหมะลงบนกางเกง

จนเปียกเป็นวงสีเข้ม ปืนไม่คิดว่าเรื่องมันจะน่าอดสูถึงขนาดนี้ ปืนคงได้แค่อยู่เคียงข้าง คอยปลอบใจ

และเป็นกำลังใจให้ เพราะการจะฟื้นจากสภาพที่บอบช้ำทางจิตใจ คงมีแต่เจ้าของหัวใจเท่านั้น

ที่จะเยียวยาตัวเองได้

   ปอร้องไห้อย่างหนักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ปืนได้ทำสิ่งที่ไม่กล้าจะทำในวันแรกที่ปอกลับมา

นั่นคือการกอดประคองปอไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับถ่ายทอดความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจเขาออกมา

สุดแท้แต่ว่าปอจะรับรู้มันได้หรือเปล่า เขาจูบกระหม่อมเบา ๆ ลูบหลังไหล่ ที่สั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้น

ส่วนปอเองก็ตอบรับด้วยการกอดปืนแน่นขึ้น แรงสั่นสะเทือนจากอาการสะอื้นยังไม่จาง ปอก็พูดขึ้นมา

   “พี่ปืนอย่าทิ้งผมนะ รู้มั้ย ตอนที่ผมอยู่ที่โน่น ผมคิดถึงพี่ปืนที่สุด ถ้าพี่ปืนอยู่ด้วย

บางทีผมอาจจะยังไม่กลับบ้านก็ได้  แต่นี่เพราะผมไม่มีใครเลย เพื่อนที่คบกันผมก็ไม่กล้าไว้ใจ

ไม่รู้ว่ามันจริงใจกับผมรึป่าว คิดดูก็แล้วกัน ขนาดเรื่องเนยมีแฟนใหม่ พวกมันต้องรู้แน่ ๆ ว่าเป็นใคร

 ก็ยังไม่มีใครบอกผมซักคน ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรกันอยู่  แต่ผมรู้สึกว่าผมกลายเป็นตัวตลก

ต่อหน้าผมมันไม่กล้าหัวเราะ แต่ลับหลังผมล่ะ มันอาจจะขำกลิ้งกันไปเลยก็ได้”

   “อย่ามองในแง่ร้ายอย่างนั้นสิปอ บางทีเค้าอาจจะสงสารปอ กลัวว่าถ้าบอกแล้วปอจะเสียใจ

หรือไม่บางทีก็คงอยากให้ปอได้เห็นเองกับตา เพราะพูดไปปออาจจะไม่เชื่อ”

   “ผมก็ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆอ่ะแหละพี่ปืน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นรูมเมทของผมเอง ทำไมมันทำกับผมได้”

   “ช่างมันเถอะ พี่ดีใจที่คนเลว ๆ อย่างนั้นหลุดออกจากชีวิตปอไปซะได้ ตัวเลือกมันเยอะขึ้นมั้ง

เนยก็เลยเสียดาย คิดว่าถ้าหยุดอยู่แค่ปอ เค้าจะเสียโอกาส แต่พี่เชื่อนะว่า พฤติกรรมอย่างที่เนยทำอยู่นี่

 คงไม่ทำให้เค้าได้พบคนดี ๆ หรอก พี่ค่อนข้างมั่นใจด้วยซ้ำไปว่าแฟนใหม่ของเนยเป็นนักฉวยโอกาส

พอได้จังหวะก็เสียบ ถ้าเค้าจริงใจก็น่าจะคุยกับปอก่อนที่จะคบกับเนย”

   ปืนลูบหัวปอเบา ๆ ตอนนี้ปอหยุดร้องไห้แล้ว แต่ยังเกาะปืนในท่าเดิม

   “ไปล้างหน้าล้างตาดีกว่า แล้วก็เลิกเสียใจให้คนเลว ๆ ที่ไม่จริงใจกับเรา จะได้มีแรงทำเรื่องดี ๆมั่ง”

   “พี่ปืน....ถ้าเสร็จเรื่องแล้ว ผมมาอยู่กับพี่ปืนได้มั้ย ผมไม่อยากแยกห้องไปอยู่คนเดียว”

   “เอาไว้คุยกับป๊ากับแม่ก่อน เรื่องจะอยู่ที่ไหนไม่ใช่ปัญหาที่ต้องรีบแก้นี่นา”

   “ก็บอกมาก่อนไม่ได้รึไง ผมจะได้บอกแม่ว่าผมจะอยู่กับพี่ปืน จะไม่เหลวไหล ปีหน้าผมจะเอ็นฯใหม่

เลือกที่นี่ที่เดียว ไม่ไปแล้วกรุงเทพอ่ะ”

   เฮ้อ! ปืนก็อยากอยู่หรอกนะ ถ้าต่างคนต่างก็ใจตรงกัน มันก็คงจะดี เพราะได้อยู่กับคนที่ปืนรัก

มีหรือจะไม่ชอบ แต่นี่ปืนต้องฝืนแสดงตัวเป็นพี่ชายนะ อะไรที่มันฝืน ๆ น่ะ ไม่รู้จะหลุดวันไหน

เกิดเจ้าปอมันจับได้แล้วรังเกียจพี่ชายกลายพันธุ์ขึ้นมา ปืนก็คงต้องเสียปอไป

ความรู้สึกดี ๆ ที่มี ที่เป็นอยู่ในวันนี้คงจะสลายไปในพริบตา

   “แล้วพี่จะให้เค้าหาห้องใกล้ ๆ กันให้นะ”

   “พี่ปืนรังเกียจผมเหรอ”

ดูหน้าเศร้า ๆ ของปอแล้ว ปืนก็แทบจะรีบปฏิเสธ แต่เขาต้องนึกเผื่ออนาคต ปอไม่รู้ แต่เขารู้อยู่เต็มอก

เขาต้องคิดถึงคำว่า ‘ถ้า’ ก่อนเสมอ ก่อนที่อะไรบางอย่างจะเกิด และไม่อาจจะแก้ไขได้

วันนั้นเขานี่แหละที่จะเสียใจมากกว่าใคร

   “ถ้ารังเกียจจะให้อยู่ด้วยเหรอ ตั้งกี่วันมาแล้วเนี่ย แต่บางทีพี่มีเพื่อนมาหา ปออาจจะรำคาญ

 แล้วห้องก็นิดเดียว ข้าวของของเราสองคนวางกันเต็มห้อง คงแทบจะไม่มีที่ว่างให้นั่งเล่นนอนเล่นแน่เลย”

   เป็นเหตุผลที่ปืนพอจะหาได้ในตอนนี้ และปอก็เห็นด้วย ก็เป็นอันว่า ถ้าปอตั้งใจจะอยู่ที่นี่จริง ๆ

ปืนก็ไม่ต้องทนฝืนใกล้ชิดปอ โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันคงทรมานน่าดูถ้าคนเราต้องฝืนตัวเองทุกเมื่อเชื่อวัน


   ***********************************************************************




CarToonMiZa    เอาใจช่วยนะค๊า   :L2:  :กอด1: >  ช่วยผมรึช่วยใครครับ  คนนี้ชอบกอด ผมมั่ง  :กอด1:
mild-dy    มารับเรื่องใหม่ > ใหม่ที่นี่ เก่ามาจากที่อื่น อย่าว่ากันนะครับ
roseen   :กอด1: :3123:เป็นกำลังใจ > ชื่นนนนจายย ขอบคุณครับพี่เอก
Tiamo_jamsai :กอด1: :กอด1:เป็นกำลังใจจร้า > คนที่นี่กอดเก่งนะครับ ผมก็ชอบนะ :กอด1:
[aoihimeko ขออ่นด้วย  > เข้าใจว่า ขออ้อน….อ้อนผมมั้ยครับ
KuMaY  ปอช่างทำร้ายจิตใจพี่ปืนได้ลงคอ :o12:  >  เค้าผลัดกันน่ะน้องเม
Pakbung Mazo ปออออ ทำไมทำกับพี่ปืนแบบนี้   >  อ่านไปเรื่อย ๆนะครับ คู่นี้เค้าพอ ๆกัน
daboo พี่เสียดายนิยายในเวปเก่า   หลายเรื่องเลยที่ชอบ > ที่นี่นิยายก็เยอะนะครับ เรียกว่าเยอะมากกกกกจะถูกกว่า
โดดเดี่ยวแต่ไม่ > ไม่เดียวดาย……..พี่กล้วยยยยยยยยยยยยย
kingkakingka  สนุกๆมากเลยบค่ะ  >  ขอบคุณครับ หัวเราะไป น้ำตาคลอไปในบางครั้ง อิอิ
silverphoenix  นึกถึงพี่ปืนขึนมาเชียวล่ะ  หนูน้อย >  ผมชอบนกฟีนิกซ์ครับ คิดถึงดัมเบิลดอร์เลย




 :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 11/5/2555 รอบแรก
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 11-05-2012 23:37:27
อิอิ       ตามอ่านแบบระยะประชิดเลย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 13/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2012 23:18:44
 

เสาร์-อาทิตย์นี้ผิดแผนไปหน่อย

ผมกะว่าจะลงให้ได้ทุกวันอย่างน้อยวันละโพสท์

นี่ไง...ผมก็เลยไม่้กล้าสัญญาว่าจะลงวันไหน

กลัวจะทำไม่ได้ตามสัญญา

แต่ที่แน่ ๆ คือ ลงให้จนจบครับ

เหมือนที่เคยสัญญาไว้ทุกที่ ๆ ได้โพสท์

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะครับ

จากทีแรกที่คิดว่า แค่มาตามคำขอของคนที่เคยเป็นแฟนนิยายของผม

แต่ตอนนี้รู้สึกดีจัง ที่มีคนเข้ามาติดตาม


 :pig4:









      เป็นเพราะอาทิตย์นี้มีลองวีคเอนด์ ปืนก็เลยมีเวลาจัดการธุระให้ปออย่างสบาย ๆ ถึงแปดวัน

ทั้งที่ลาพักร้อนแค่ 5 วันเท่านั้น วันแรกก็นั่งรถไปบ้านปอเพื่อขออนุญาตลาออกจากมหาวิทยาลัย
 
ป๊ากับแม่ของปอเป็นพ่อแม่ที่รักลูกมาก ให้ความสำคัญกับความรู้สึกด้านจิตใจของปอก่อนเรื่องอื่น
 
อาจจะเป็นเพราะปอเป็นลูกคนเดียว และไม่เคยทำตัวเหลวไหลให้กลุ้มใจ แถมยังมีผลการเรียนดี
 
เมื่อปอรับปากจะเอ็นฯใหม่ในปีถัดไป และเลือกเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้านกว่ากรุงเทพก็ยิ่งดีใจใหญ่

พร้อมทั้งให้การสนับสนุนเมื่อปอบอกว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ตลอดครึ่งปีที่เหลือ

     “ปออยากเรียนคอมฯ เพิ่ม แล้วก็ว่าจะลงเรียนสนทนาภาษาอังกฤษด้วย”

      “บ้านเรามันไม่มีที่สอนภาษอังกฤษดัง ๆ ด้วยซี แต่แม่มีคนรู้จักเค้าเป็นอาจารย์สอนที่ปีนัง
 
ให้เค้ามาสอนตัวต่อตัวดีมั้ยลูก”

   “ไม่ใช่นะแม่ ที่ว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆอ่ะ ปอหมายความว่าปอจะไปอยู่กับพี่ปืน ที่โน่นมีที่เรียนเยอะแยะ
 
ก็ที่เคยเรียนปีที่แล้วอ่ะแม่ ปออยากจะลงซ้ำบางคอร์สด้วย”

      “ทำไมต้องไปเรียนถึงโน่น ที่นี่ก็พอมีที่เรียนนะ”

      ป๊าซึ่งนั่งเงียบอยู่นานเริ่มออกความเห็น ซึ่งปกติมักจะให้แม่เป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าลองป๊าออกเสียง
 
ไม่ว่าจะเข้าข้างใคร ก็จะไม่มีคนคัดค้าน

      “พี่ปืน”

      แล้วปอก็หันมาหาตัวช่วยที่ชื่อปืนอีกแล้ว เอาไงล่ะทีนี้ ถ้าเหตุผลของปืนโดนใจป๊า ก็เป็นอันว่า

เจ้าปอต้องได้กลับไปกับเขาแน่ ๆ แต่ถ้าไม่โดน....

     “ผมขอออกความเห็นส่วนตัวได้มั้ยครับ”

    “ว่าไงล่ะ จะเข้าข้างเจ้าปอมันอีกล่ะสิ”

   ป๊าดักคอ

     “เอ่อ...มันก็ไม่เชิงหรอกครับป๊า....ปอขอพี่คุยกับป๊ากับแม่เป็นการส่วนตัวได้มั้ย”

      ปืนหันไปถามเหมือนจะขออนุญาต แต่ถ้าปอพอจะรู้จักปืนอยู่บ้างก็คงจะเข้าใจสายตาที่แปลได้ว่า....

ถ้าไม่ออกพี่ไม่ช่วย....   

      ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจแต่ปอก็ยอมเดินออกไปหน้าร้าน ปอไม่รู้ว่าพี่ปืนจะชักแม่น้ำสักกี่สาย

เพื่อโน้มน้าวให้ป๊าเชื่อ แต่มั่นใจได้เลยว่า ยังไงซะพี่ปืนก็ต้องช่วยปอเหมือนทุกครั้ง

     “ผมไม่อยากให้ปอได้ใจว่าผมเข้าข้าง ก็อย่างที่ทราบกันแล้วว่าปอกำลัง....อกหัก จะให้อยู่บ้าน

ที่นี่ก็เงียบเหงาเกินไป ถึงจะมีเวลาเรียนบ้าง ทำงานบ้างแต่ก็พอมีเวลาเหลือเฟือที่จะคิดเรื่องเก่า ๆ

ยิ่งปอเป็นลูกคนเดียว เค้าไม่มีเพื่อนที่จะคอยคุยด้วย ถึงเค้าจะโทรหาผมคุยกันได้ ก็เมื่อผม

กลับจากทำงานแล้ว ไม่ก็วันหยุด นอกนั้นก็คงไม่รู้จะคุยกับใคร”

     “ที่นี่ก็มีเพื่อนเยอะแยะ คบกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่สนิทกว่าปืนเหรอ”

       ป๊าแย้งเสียงเรียบ เดาไม่ออกว่าเห็นด้วยหรือว่าเห็นต่างจากปืน

      “เพื่อนที่นี่เค้าไม่เรียนหนังสือแล้วนะครับ หลายคนกลายเป็นพ่อค้า ช่วยงานที่บ้าน
 
การคิดการมองชีวิตก็เริ่มที่จะแตกต่างกันไปแล้ว เพื่อนที่พอจะพูดคุยได้ก็ไปเรียนหนังสือที่อื่น

บางคนก็ขาดการติดต่อ”

     “คิดว่าปืนเป็นเพื่อนที่ปอมันจะคุยได้ดีกว่าคนอื่นงั้นสิ”

      “ก็....ผมไม่คิดขนาดนั้นหรอกครับป๊า แต่ถ้าปออยากจะเรียนพิเศษช่วงที่กำลังว่าง ที่โน่นดูจะดีที่สุด

ยังไงเค้าก็ปรึกษาผมได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว อยู่ด้วยกันผมก็พอจะดูแลได้ แต่ถ้าไปอยู่ที่อื่นผมคงไม่มีเวลาไปตามดูให้”

     “อยู่ที่บ้านป๊ากับแม่ก็ดูแลได้”

      “แต่เรื่องแหล่งความรู้คงสู้ที่โน่นไม่ได้แน่”

      ป๊าเกาคางเบา ๆ อย่างใช้ความคิดอึดใจหนึ่ง ซึ่งมันพอที่จะทำให้ปืนได้ลุ้นคำตอบ

      “นี่มันจ้างเท่าไหร่เนี่ย”

      “โอ๊ะ! เปล่าเลยป๊า ผมแค่พูดจากมุมมองของผมนะ”

      “เฮ้อ! ไม่ต้องรีบปฏิเสธขนาดนั้นก็ได้ ก็แค่อยากฟังคารมน่ะ นะแม่นะ”

      ป๊าหันไปพยักเพยิดกับแม่ที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ฟังอย่างเดียวแต่ไม่เสริม ไม่ค้านอะไรทั้งนั้น

ก็คงอย่างที่ป๊าบอกว่าอยากฟังคารมปืน ว่าจะอ้างอะไร แล้วที่สุดปืนก็ต้องรับปากดูแลลูกชายคนเดียวให้

โดยที่ป๊ากับแม่ไม่ต้องขอร้อง

      “แล้วจะอยู่กันยังไง”

      “ทีแรกปอจะอยู่ห้องผม แต่ผมไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้อยู่ แต่เพราะห้องมันก็ไม่ได้กว้างขวางอะไร

อยู่สองคนมันค่อนข้างอึดอัด ยิ่งเวลามีเพื่อนมาหาที่ห้อง คงไม่รู้จะให้นั่งตรงไหนล่ะครับ

ผมก็เลยคิดว่าหาห้องใกล้ๆ กันผมจะได้ดูแลเค้าได้”

      “เอางั้นเหรอแม่”

      “ก็แล้วแต่ป๊า แต่ค่าเช่ามันก็ไม่น้อยนะ ยิ่งอยู่ไปนาน ๆก็ยิ่งกินเงิน”

      สมกับที่เป็นผู้รักษาเงินประจำบ้านเลยแม่ของปอเนี่ย เพราะขนาดปืนเองก็ยังคิดว่า

ค่าเช่าห้องมันเหมือนเอาเงินไปทิ้งเปล่า ๆ แล้วไม่ได้กรรมสิทธิ์อะไรในห้องนั้นเลย

ปืนก็เลยมีโครงการที่จะกู้สวัสดิการพนักงานเพื่อซื้อบ้านสักหลัง แต่ตอนนี้เขาลังเลระหว่างซื้อบ้านก่อน

หรือว่าซื้อรถก่อนดี    ถ้าซื้อบ้าน ภาระผูกพันมันไม่ต่ำกว่า 20 ปีเห็น ๆ แต่ซื้อรถอย่างดีก็ผ่อน 5 ปีเอง
 
ผ่อนรถหมดค่อยซื้อบ้านก็ยังไม่สาย แต่คิดวนกลับมาอีกที ปืนก็เสียดายค่าเช่ารายเดือนไม่น้อย

....ค่อยเก็บไปคิดอีกที

      “ปืน...”

      เสียงเรียกของแม่ช่วยดึงปืนกลับมาจากห้วงความคิด

      “ครับ”

      “ไม่ได้ยินล่ะสิ แม่เค้าว่า กลับมาจากกรุงเทพเมื่อไหร่โทรมาบอกด้วย จะไปจัดการเรื่องที่พักของปอให้”

      “ครับ ก็คงสักสามวัน ผมว่าจะขึ้นเครื่องไป เร็วดี ไปถึงก็จัดการเรื่องลาออกให้เสร็จก่อน

แล้วก็จัดการเรื่องข้าวของที่หอพัก เห็นปอว่าจะไม่เอากลับมา ผมก็ไม่ทราบว่าปอขนซื้ออะไรมากรึเปล่า

แต่โดยทั่วไปที่หอพักเค้าก็มีเตียง ตู้ โต๊ะไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่างอื่นก็คงไม่ค่อยมีราคาค่างวดอะไร

ทิ้งไว้ให้เพื่อนที่ห้องเค้าใช้ก็คงได้”

      เรื่องสุดท้ายที่พูดออกไป ปืนไม่ค่อยแน่ใจ เพราะความสัมพันธ์ของคู่นี้ดูท่าจะเปลี่ยนเป็นลบไปซะแล้ว

      “ปืนก็จัดการไปตามที่เห็นสมควรแล้วกันนะ ปืนเป็นผู้ใหญ่กว่าน้อง ยังไงแม่ก็ไว้ใจปืนได้อยู่แล้ว”

       มาอีกแล้ว ไอ้ความไว้เนื้อเชื่อใจเนี่ย จะว่าดีมันก็ดีนะ รู้สึกดีที่มีคนมอบความไว้วางใจให้เรา

แต่มองอีกมุม ปืนว่ามันเป็นภาระเหลือเกิน คงไม่ดีหากจะทำให้เค้าผิดหวังหรือเสียความรู้สึก
 
ก็ไม่ใช่เพราะป๊ากับแม่ไว้ใจเขาหรอกหรือ ปืนถึงไม่กล้าที่จะมีท่าทีกับปอเกินไปกว่าคำว่าพี่ชาย

อย่างทุกวันนี้




      เที่ยวบินที่โดยสารมาถึงกรุงเทพเอาตอนสาย ๆ ดังนั้นบ่ายวันเดียวกัน ปอก็คะยั้นคะยอให้ปืน

ไปเป็นเพื่อนเพื่อยื่นใบลาออกกับทางมหาวิทยาลัย อีกหลายวันกว่าจะเปิดเทอม ทำให้นักศึกษา

ดูบางตาลงหน่อย ดูท่าปอคงไม่ค่อยสบายใจนักถ้ามีคนพลุกพล่านเหมือนในช่วงเปิดเทอม

      ปืนเลือกพักในโรงแรมใกล้ ๆ แม้ว่าราคาค่าที่พักค่อนข้างสูง เพราะจะไปพักในหอซึ่งปอยังมีสิทธิ์อยู่

ปอก็ไม่เอา

      “ผมคงมองหน้าเพื่อนไม่ติด”

      “ทำยังกะเป็นความผิดของเรางั้นแหละ”

      “พี่ปืนไม่มาเป็นผมไม่รู้หรอก”

      ปอค้อนปะหลับปะเหลือก ในขณะที่ปืนรู้สึกว่า ปอช่างเปราะบางซะเหลือเกิน

ถึงเขาจะไม่เคยเจอเรื่องแบบเดียวกับปอ ก็พอจะรู้ว่ามันก็น่าจะอาย แต่ไม่ใช่อายที่ถูกแฟนทิ้ง

แต่อายเพราะ...กูไม่น่าเอามันมาเป็นแฟนตั้งแต่แรก...กูมันตาต่ำ...หรือไม่ก็อาย

เพราะไม่ชอบที่จะตกเป็นเป้าสายตาใครมากกว่า แต่สำหรับปอคงรู้สึกอายที่ถูกเนยบอกเลิก

ดีไม่ดีอาจจะคิดด้วยซ้ำไปว่าเขามีอะไรบางอย่างบกพร่องเสียจนผู้หญิงทนไม่ได้ก็เลยไปมีแฟนใหม่

ถึงทำให้ปอหมดความมั่นใจขนาดนี้

      ปืนจะต้องทำยังไงนะ ปอถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ไม่ต้องมาดมั่นนักก็ได้

แต่ขอให้ปอยืนหยัดด้วยตัวเองได้อย่างเดิม ไม่ใช่ต้องเอนหลังพิงปืนแบบนี้เรื่อยไป

ถึงจะอยากเป็นฮีโร่ให้ปอพึ่งพาแค่ไหนก็ตาม แต่ปืนก็สำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตปอไม่ได้มีแค่เขา

สักวันปอก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ปอจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี

ชีวิตในวันข้างหน้าของปอจะต้องก้าวหน้าและรุ่งเรือง ส่วนปืนไม่อยากคิดเลยว่า

เขาเองจะยังมีที่ยืนอยู่ในชีวิตปอในวันนั้นหรือเปล่า เขาขอแค่วันนี้เขายังได้ยืนข้าง ๆปอ

ได้มองเห็นความเป็นไปในทางที่ดี และที่สำคัญเขาจะทำให้ปอยิ้มได้สดใสเหมือนที่เขาเคยประทับใจ

มันคงดีถ้าเขาจะได้ชื่นชมกับรอยยิ้มนั้นตลอดไป

      กว่าจะยื่นเอกสารเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ ๆ จวนเย็น มีเวลาเหลือพอที่จะเข้าไปสำรวจข้าวของ

ที่หอพักให้เสร็จก่อนค่ำ ระหว่างที่เดินไปก็ปรึกษากันไปพลาง

     “ผมว่าจะยกของใช้ส่วนตัวบางอย่างให้เพื่อน จะได้ไม่ต้องขนกลับให้เกะกะ”

      “อะไรมั่งล่ะ”

      “ก็มีเครื่องเสียง...ที…”

     “เอากลับ”
 
      ปืนสวนขึ้นทันที

      “ทีวี”

     “เอากลับ”

     “โห...พี่ปืนขนไปทำไมให้ยุ่งยาก”

      “แล้วจะทิ้งไว้ทำไม”

      “ไม่ใช่ของดีเด่อะไรนักหรอก ผมซื้อไว้ดูแก้เหงาแค่นั้นเอง”

      “มันยังใช้ได้ไม่ใช่เหรอ”

      “ก็...ได้อ่ะมันได้ แต่เอากลับมันก็...”

     “ใช้ได้ก็เอากลับ หรือว่าจะยกให้รูมเมท”

      “ไม่มีทาง….เอากลับก็ได้ แต่กล่องมันอ่ะ ผมทิ้งไปหมดแล้วนะ”

      “ให้มันได้อย่างงี้ดิ...เออ...ไปหาเอาข้างหน้าแล้วกัน”

      สุดท้ายทุกอย่างก็สำเร็จด้วยฝีมือปืน เสื้อผ้าของปอมีไม่มาก เพราะวัน ๆ ก็สวมแต่ชุดนักศึกษา

ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ พวกอ่างซักผ้าใบเล็ก (สำหรับซักน้องชาย) ถังน้ำ ไม้แขวนเสื้อ ชั้นวางของ

และอื่น ๆ อีกมากมาย ปอรวบรวมใส่ลังกระดาษที่ขอซื้อมาจากร้านขายของข้างมหาวิทยาลัย

ยกลงมาให้แม่บ้านที่ดูแลหอพัก

      “อย่าเหลือไว้ให้มันได้ใช้ พี่ปืนรู้มั้ย บางทีสบู่อาบน้ำ ยาสระผม มันก็มาใช้ของผม

ที่ไม่เคยว่าอะไรมันก็เพราะเห็นเป็นเพื่อนร่วมห้อง ผมไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย แต่ดูมันทำ”

      ให้มันได้อย่างนี้สิปอ....กับบางคนถึงจะแสดงน้ำใจไปมันก็ไม่สำนึกหรอก

.....เนยจะรู้มั้ยเนี่ยว่าเจอกับคนแบบไหน ก็ดี..........สมน้ำหน้ามันทั้งคู่แหละ

      กว่าจะเก็บของเสร็จก็เกือบสองทุ่ม ปืนขนของลงมาห้องคอมมอนรูม ฝากคนดูแลหอไว้ก่อน

ค่อยเหมารถมาเอาของในวันเดินทางกลับทีเดียวเลย (ติดสินบนด้วยของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ

ที่ปอเก็บลงกล่องไว้....ป้าแกยิ้มรับหน้าบานไปเลย)

      “ไม่แวะไปทักทายเพื่อนมั่งเหรอ”

      “ไม่ดีกว่า อีกอย่างไม่รู้ว่ามีใครอยู่มั่ง เจอกันก็ไม่รู้ว่าเค้าจะทักผมรึป่าว”

     ปอกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจขนาดหนัก จนปืนอดห่วงไม่ได้ว่า ปอจะดูแลตัวเองได้ดีเหมือนเดิมมั้ย

ปอคนเดิมที่ร่าเริงจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า แต่ไม่ว่าปอจะเป็นยังไง

พี่ปืนคนนี้ก็จะยังคงอยู่ข้าง ๆ จนกว่าปอจะไม่ต้องการ

      “งั้นหาข้าวกินแล้วกลับโรงแรมเลยนะ”

      ยังไม่ทันจะก้าวออกไปพ้นหอพัก ก็สวนกับรูมเมทที่ปอไม่อยากพบหน้าสักนิดเดียว ยังดีที่มันไม่มากับ

 ‘คนอื่น’ ที่ปืนเกลียดยิ่งกว่า ตอนมันแย่งปอไปจากเขา (คิดเหมาเอาเองคนเดียว) ก็เหม็นหน้าไปพอแรงแล้ว

 ยิ่งมาทำให้ปอต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ปืนยิ่งเกลียดร้อยเท่าพันทวี ถ้าไม่ติดที่ว่าปืนเป็นผู้ชาย

ที่ยังต้องรักษาความเป็นสุภาพบุรุษไว้ คงได้ชกหน้าสวย ๆ ให้เยินกันบ้าง

      “เอ่อ...ปอ”

       รูมเมทของปอเป็นเด็กหนุ่มผิวขาว ส่วนสูงไม่เกินไปกว่าความสูงของปอ หน้าตาเข้ม ๆ

จะเรียกว่าหน้าตาดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก (เพราะปืนว่าปอหน้าตาดีกว่า)

      ปอไม่ตอบ ได้แค่พยักหน้าให้ แล้วก็ทำท่าจะเดินผ่านเลยไปซะเฉย ๆ ไอ้หนุ่มนั่นก็เลยเกี่ยวติดแขนปอไว้

ไม่ยอมปล่อยให้เดินผ่านไปง่าย ๆ

      “มีไร”

      น้ำเสียงของปอฟังดูไม่เป็นมิตร แต่ยังยอมหยุดฟัง

      “เรื่องเนย”

      อีกฝ่ายท่าทางกลัว ๆ กล้า ๆ

      “ไม่เกี่ยวกับเราหนิ”

       ปอยังไม่ใยดีเหมือนเดิม

     “เราอยากขอโทษ”

      “ไม่จำเป็นหรอก”

      “จำเป็นสิ นายจะได้ไม่เข้าใจผิด”

     “โห...มีอะไรที่เรายังเข้าใจไม่ถูกอีกเหรอ”

      ปอยิ้มเยาะ ๆ

      “ปอ...”

       ไอ้หนุ่มนั่นหันมามองหน้าปืนเป็นเชิงบอกว่า ปืนเป็นคนนอก

      “อยากพูดไรก็พูดมาตรงนี้แหละ พี่เค้ารู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว”

     เพื่อนปอถอนหายใจก่อนจะปล่อยมือ

      “นายคิดว่าเราไม่บอกเรื่องที่เรากับเนยคบกันใช่มั้ย”

      ปอยังนิ่งฟัง

      “ความจริงเนยเป็นคนสัญญากับเราว่าเค้าจะบอกนายเอง เราอยากบอกตั้งแต่แรกที่รู้ว่า

นายกับเนยเลิกกันแล้วว่า เราขอจีบเนยได้มั้ย แต่....”

      “นี่นายชอบเนยรึว่าคิดจะฟันเล่น”

      เพื่อนปอคงจะตีความว่าปอยังห่วงใยเนยประสาคนรักเก่า ก็เลยรีบระล่ำระลักบอกว่า

     “เราชอบเนยจริง ๆนะ เราชอบตั้งแต่วันแรก ๆ ที่รับน้องแล้ว แต่พอรู้ว่าเป็นแฟนนายเราก็ไม่คิดจะยุ่ง

พักหลังที่นายทำกิจกรรม เนยเค้าเจอเราเค้าก็ถามถึงเรื่องนายตลอด ก็เลยได้คุยกันมากขึ้น

เราบอกตรง ๆ นะว่าเรารักเนยมาก เราสัญญากับนายว่าเราจะดูแลเนยเป็นอย่างดี

จะไม่ทำให้เนยต้องเสียใจเป็นอันขาด”

      “นี่นายพล่ามอะไรวะ นายจะคบกัน จะดีจะร้ายใส่กันมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราอีกแล้ว”

      “ปอ...นายอย่าโกรธเราเลยนะ เรายังอยากเป็นเพื่อนกับนายอยู่ ไหน ๆ ก็ต้องนอนห้องเดียวกัน

เราไม่อยากให้มีเรื่องขุ่นใจ”

      “อ๋อ....ไม่แล้วล่ะเรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วง เราไปลาออกจากมหาลัยเรียบร้อยแล้ว

อีกวันสองวันเราทำธุระเสร็จก็จะกลับบ้าน ไม่อยู่นานหรอก ตอนนี้ข้าวของของเราในห้องนั้นก็ขนออกมาหมดแล้ว

 เราขอให้นายโชคดีกับความรักของนายก็แล้วกัน แต่บอกไว้อย่างนึงนะ ที่เราถามว่านายรักจริงรึหลอกฟันน่ะ

 เราก็ไม่ได้ห่วงเค้าหรอก ผู้หญิงอย่างเนยน่ะ เอาตัวรอดกับเรื่องแบบนี้ได้อยู่แล้ว

เราก็แค่อยากรู้อะไรเพิ่มขึ้นจากเดิมแค่นั้นเอง”

      “นี่นายลาออกเหรอ แค่เรื่องนี้น่ะนะ”

     “ก็ไม่เชิงนะ เราเพิ่งจะคิดได้ซักพักแล้วล่ะว่า เราไม่เหมาะกับที่นี่ พอเรากลับบ้านเราถึงได้รู้ว่า

เราคิดถึงบ้านเป็นบ้า แล้วก็อยากอยู่บ้านมากกว่า ความจริงเราไม่ควรเลือกสอบเข้าที่นี่เลยด้วยซ้ำ

แต่ก็นั่นแหละ มหาลัยที่มีชื่อเสียงว่าเข้ายากอ่ะมันท้าทาย แต่พอเข้ามาได้แล้วก็งั้น ๆ

สู้เราเลือกอยู่ในที่ ๆ เหมาะกับเราจะดีกว่า”

      ปอพูดจบก็หันมามองปืนเหมือนจะบอกให้รู้ว่า ที่ ๆ เหมาะกับปอคือที่ไหน ปืนก็ตอบ

ด้วยการส่งรอยยิ้มให้กำลังใจกลับมา ตอนนี้ปอรู้สึกดีขึ้นมากจนสามารถคุยกับเพื่อนได้

โดยไม่ตะขิดตะขวงใจเหมือนตอนแรก คงเป็นเพราะได้รู้ว่า เขาได้สลัดอะไรบางอย่างที่ชั่วร้าย

ออกไปจากชีวิตอย่างไม่ควรเสียดาย ด้วยความร่วมมือโดยไม่ตั้งใจจากเพื่อนคนนี้

      “นายไม่โกรธเรื่องเรากับ....”

      “ไม่ ๆ ๆ....ไม่โกรธ เอาเป็นว่าเราขอให้นายมีความสุขกับสิ่งที่นายเลือกแล้วกัน งั้นเราไปก่อนนะ”

     ปอบอกลาเพื่อน คงจะเป็นการลาชั่วนิรันดร์ล่ะปอคิด สำหรับคนคู่นี้เขาปลีกตัวออกมาได้

ก็เรียกว่าบุญท่วมหัว

      “โชคดีนะปอ ถ้าแวะมาที่นี่ก็อย่าลืมมาหาเรามั่งแล้วกัน”

      ปอไม่คิดจะตอบรับเพราะคงไม่มีวันที่ปอจะทำอย่างนั้นแน่ เจอกันแค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับเวลาที่สูญเสียไป

      ปืนเก็บความสงสัยไว้ในใจกับท่าทีของปอที่เปลี่ยนไปได้ไม่ทันข้ามวัน ซึ่งหลังจากออกมาจากหอพัก

ปอกลับชวนปืนไปเดินเล่นในห้างเพื่อซื้อของฝากป๊ากับแม่ จากที่ในครั้งแรก ตกลงกันว่ากินข้าวแล้ว

ก็จะกลับโรงแรมเลย ด้วยความที่ไม่อยากออกไปพบผู้คน

      แต่จะยังไงก็ช่าง แค่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี ปืนก็พอใจแล้ว เขาไม่อยากเห็นปอซึมเศร้า

ยังนึกด้วยซ้ำว่าการมากรุงเทพคราวนี้จะเป็นย้ำความระทมบ่มความเศร้าให้ปอหรือเปล่า
 
แต่ก็ดูเหมือนว่าปืนคงไม่ต้องกังวล ก็ดูกิริยาอาการที่มีชีวิตชีวาของปอสิ มันเรียกรอยยิ้มของปืน

ได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว

      “ยิ้มอะไรอ่ะพี่ปืน”

     ปอหันมาเห็นตอนที่ปืนยิ้มพอดี

      “คนอารมณ์ดีก็ยิ้มได้ไม่ต้องมีสาเหตุ”

      “เออ...พี่ปืนก็เป็นไปได้”

     "พี่ดีใจที่ปอโต้ตอบเพื่อนไปแบบนั้น"
 
     "เพราะผมมีพี่ปืนอยู่ข้าง ๆ ไง"


    ปอยิ้มกว้าง แล้วหันไปหยิบผ้าไหมเนื้อเนียนแถบยาวสำหรับคลุมไหล่หรือพันคอสำหรับผู้หญิง

ขึ้นมาถามความเห็นของปืน

    “พี่ปืนว่าแม่จะชอบมั้ย”

    “ถามพี่แล้วจะรู้มั้ยเนี่ย”

    ปืนใช้นิ้วมือทบผ้าเข้าด้วยกันแล้วขยี้เบา ๆ

    “เนื้อนุ่มเนียนดีนะ ไม่หนา อากาศไม่เย็นก็ห่มได้เอาสวยอย่างเดียว แต่แม่จะใช้เหรอ”

   “นั่นดิ มันดูสุภาพสตรีจังเลยนะพี่ปืน แล้วแม่ก็...นะ บางทีผมก็อยากให้แม่แต่งตัวสวย ๆ
 
เป็นเถ้าแก่เนี้ยมั่ง แต่ดูดิ ขนาดงานแต่งงานตามโรงแรมแม่ยังใส่เสื้อตัว กระโปรงตัว ไม่เห็นจะนุ่งผ้าไหม

ใส่ผ้าทอเหมือนใครต่อใครเลย”

    “แล้วมันไม่ดีตรงไหนเหรอ”

    “ผมไม่ได้ว่าไม่ดี แต่บางทีก็อยากให้แม่สวย ๆไง...ซื้อไปแล้วกันนะ เผื่อบางทีมันจะจุดประกาย

ให้แม่ลุกขึ้นมาทำสาวกะเค้ามั่ง”

    เจ้าปอนี่คิดแปลก ๆ ปืนก็เป็นผู้ชายที่สนใจการแต่งตัว เพื่อให้ภาพลักษณ์และบุคลิกดูดีอยู่เสมอ

แต่ก็ไม่เคยที่จะคิดอย่างที่ปอคิดมาก่อน แม่ของปืนเองก็งี้แหละ ดูจะไม่ต่างจากแม่ปอเท่าไร

อาจจะเป็นเพราะแม่เป็นคนทำมาหากิน ไม่ใช่คุณน้ำคุณนายมาจากไหน จะซื้อหาเสื้อผ้าแต่ละชุด

ก็ต้องคิดว่าใช้ได้นาน อีกทั้งต้องได้ใช้อย่างคุ้มค่า

    จำได้ว่าเสื้อผ้าชุดที่แม่ตัดใหม่เพื่อไปถ่ายรูปวันที่เขารับปริญญา จนบัดนี้

เขาก็ยังเห็นแม่หยิบมาใส่ไปงานเลี้ยงอยู่เรื่อยตามแต่โอกาส แบบเสื้อดูก็รู้ว่าไม่ทันสมัย

แต่คนอายุขนาดแม่คงไม่มาคิดเรื่องอินเทรนด์แล้วมั้ง

    “ถ้าแม่ไม่ใช้ก็อย่าว่าแล้วกัน”

    “ไม่ว่าหรอก แค่บอกราคาให้เสียดายก็พอ ขี้คร้านจะหยิบมาใช้ไม่ทัน”

    ช่างรู้นิสัยกันดีซะจริง สมกับที่เป็นลูกแม่เชียวนะเจ้าปอ

    “พี่ปืน ผมหิวน้ำ”

    “ก็ไปซื้อดิ”

    “เลือกของอยู่”

    “ไปก่อนเดี๋ยวค่อยมาดูต่อ”

    “พี่ปืนแหละไปซื้อให้หน่อย ผมซื้อพลาง ๆ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”

    นี่ปืนเป็นพี่หรือเป็นทาสกันแน่เนี่ย....แต่ก็เต็มใจทำให้ปอเหมือนทุกเรื่อง

     ....ก็แค่ไปซื้อน้ำ….

    ปืนแก้ตัวให้ตัวเอง แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ป๊ากับแม่มักจะพูดขึ้นมาดักคอเขาเกือบทุกครั้ง

    ‘เข้าข้างเจ้าปออีกแล้วล่ะสิ’

    หลายครั้งที่ปืนเห็นนิสัยทั้งดีและไม่ดีของปอ เขาก็มักจะหาเหตุผลมาสนับสนุน

หรือไม่ก็แก้ตัวแทนอยู่ร่ำไป ไม่รู้ว่าวันไหนเจ้านี่คงได้เสียคนเพราะปืนไม่เคยขัดใจกันบ้าง

    ปืนกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำอัดลมในมือ ก็เห็นปอยืนรออยู่ก่อนแล้ว พอปืนมาถึงก็ชวนกลับโรงแรม

    “อ้าว! แล้วไหนว่าจะซื้อของ”

    “ซื้อเสร็จแล้ว”

    “พี่ไปแป๊บเดียวเนี่ยนะ”

    “ก็เห็นมะล่ะว่าไม่เสียเวลา...ปะ กลับ”

    “ถ้ารู้ว่าแป๊บเดียวอย่างงี้ พี่รอให้ปอซื้อให้เสร็จ ๆ ซะ แล้วไปซื้อน้ำด้วยกันซะก็ดี

เหมือนถูกหลอกใช้เลยนะเนี่ย”

    เจ้าปอหัวเราะชอบใจ

    “เสร็จแล้วก็ไปเถอะน่า จะบ่นทำไมเนี่ย”

    ปอคว้าข้อมือปืนฉุดให้ออกเดินซะที เพราะนี่ก็ดึกแล้ว อีกสักพักก็คงได้เวลาห้างปิด

    กลับมาถึงโรงแรม พอเข้าห้องได้เจ้าปอก็นอนแผ่หราลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า

ปืนก็รู้สึกเหนื่อย ๆ เหมือนกัน เพราะตั้งแต่ลงจากเครื่องก็ไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่เดินเรื่องเอกสารลาออกของปอ

ไปจนกระทั่งเก็บข้าวของที่หอพักเสร็จ ยังมีแรงไปเดินห้างอีกแน่ะ

   ไอ้การเดินช็อปปิ้งแบบนี้ปืนก็ร้างลามานานแล้ว เขาไม่ใช่วัยรุ่นที่ยังสนุกกับการเดินดูสินค้า

ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้างขอให้ได้ดูว่าที่ไหนมีอะไร วัยอย่างปืนเรียกว่าเป็นวัยที่รู้ใจตัวเองดีแล้ว

ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ชุดทำงานก็มีแบบมาตรฐานอยู่แล้ว เสื้อผ้าชุดลำลองก็ไอ้ยี่ห้อเดิม ๆ

ที่เคยใช้ อาจจะเลือกสีเลือกแบบใหม่ ๆบ้าง แต่ก็ไม่เคยเดินสำรวจของแปลกหูแปลกตาให้เสียเวลา

ซึ่งบางทีก็ไม่ได้อะไรติดมือมาเลย

    แต่กับปอ ปืนเดินได้ทุกร้าน ทั้งเสื้อผ้าวัยรุ่นที่ปอถูกใจ ของฝากป๊ากับแม่ ญาติสนิทบางคน

กับเพื่อนสนิทอีกนิดหน่อย ปออาจจะถามความเห็นเขาบ้าง ปืนก็ไม่เคยเบื่อหน่ายหรือรำคาญ

กลับรู้สึกสนุกด้วยซ้ำไป เขาพอใจแล้วที่ได้มีส่วนร่วมในทุกจังหวะชีวิตของปอ

    “ไปอาบน้ำก่อนไปค่อยมาคลุกบนที่นอน”

    “เดี๋ยวดิ เหนื่อยนะเนี่ย”

    “ทีงี้ทำมาบ่น อีตอนเดินขึ้น ๆ ลง ๆ ซื้อของน่ะ ไม่รู้สึกอะไรมั่งเหรอ เดินลิ่ว ๆ ไม่มีหันมามองพี่หรอก”

    “อ้าว! ผมก็เห็นพี่ปืนเดินตามมาติด ๆ”

    “ก็งั้นสิ ขืนไม่ตามติด ๆ มีหวังได้หลงกันมั่งหรอก นึกจะผลุบหายเข้าไปร้านไหนก็ไม่ส่งซิกกันก่อน

 ดีนะว่าพี่คอยสังเกต ไม่งั้นได้เดินหากันจ้าละหวั่น เมื่อยหนักกว่านี้อีกจะบอกให้”

    “โด่...ที่แท้ก็เมื่อยเหมือนกัน เอาเหอะ คืนนี้จะนวดให้”

    “ไม่ต้องเลย ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะได้อาบมั่ง เหนียวตัวจะตายอยู่แล้ว”

    “อาบพร้อมกันปะ” ปอนึกสนุก ท่าทางบอกว่าเอาจริง

    “ไม่เอา”

    “ไปเหอะ สนุกออก...นะ”

    “ชวนเป็นเด็กไปได้….ไปเลย อย่ามาเถลไถล ดึกแล้วจะได้รีบนอน”

    ปอลุกขึ้นทำท่าอิดออด แต่ก็ยอมเดินเข้าห้องน้ำไปดี ๆ

    เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งหรอกที่ปืนไม่ได้ตามใจปอ ซึ่งก็หมายความว่าปืนก็ขัดใจตัวเองเหมือนกัน

ทำไมปืนจะไม่อยากทำอย่างที่ปอชวน ก็การได้อาบน้ำด้วยกัน มันก็ต้องมีการสัมผัสเนื้อตัวกันบ้าง

ได้แนบชิดกับคนที่เราพึงใจใครล่ะไม่ชอบ แต่ปืนกลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวเผลอทำอะไรลงไป

ที่อาจจะทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิตน่ะสิ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 13/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2012 23:22:29
ปอเดินออกมาจากห้องน้ำเนื้อตัวยังมีหยดน้ำเกาะ แล้วก็ไม่ยอมเช็ดซะให้แห้งก่อน มาเจอแอร์เย็น ๆ

เดี๋ยวก็ไม่สบายกันบ้างหรอก ปืนทนดูไม่ได้อีกตามเคย ต้องลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนมาห่มให้....แล้วดูมัน

ยังมีหน้ามายิ้มตาหยีอีกนะ

   “ทีหลังอย่าเดินตัวเปียกออกมาอีก โดนแอร์จะไม่สบาย”

   ปืนบ่นเบา ๆ

   “ผมไม่กระหม่อมบางอย่างนั้นหรอกน่าพี่ปืน....อาบน้ำเย็น ๆ ออกมาโดนแอร์เนี่ย สดชื่นที่สุดเลย

หายเมื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียวแหละ”

   “เค้ามีแต่แช่น้ำอุ่นให้หายปวดเมื่อย”

   “นั่นมันพี่ปืน เอามั้ย เดี๋ยวผมผสมน้ำอุ่นให้แช่ในอ่าง เสร็จแล้วมานอนให้ผมนวด”

    ฟังเจ้าปอพูด มันคลับคล้ายคลับคลาอยู่นะ หวังว่าปอคงไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรออกมา

   “ไม่ต้องหรอก ขอบใจ พี่ทำเองได้” ปืนเดินไปหยิบชุดนอน เลี้ยวเข้าห้องน้ำ

   “ถึงผมจะไม่ใช่น้องนาง ลงอ่างกับพี่ปืนไม่ได้ แต่ผมก็นวดเก่งน้า แม่ยังเคยให้นวดบ่อยไป

ไม่ลองหน่อยเหรอคร้าบ”

   นึกแล้ว

   “ไอ้ทะลึ่ง”

   ก่อนประตูห้องน้ำจะปิดลง ปืนยังได้ยินเสียงปอหัวเราะแว่ว ๆ ถึงจะหมั่นไส้คำเชิญชวนที่น่าลอง

แต่ปืนก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ กับอารมณ์ร่าเริงของปอที่ค่อย ๆ กลับมาเหมือนเดิม ปืนจะยังต้องการอะไรมากไปกว่า

การที่ปอยิ้มได้เต็มหน้า หัวเราะได้เต็มเสียง.....ไม่มีอีกแล้ว

   ปอนอนดูทีวีอยู่บนเตียงแล้ว เมื่อปืนเสร็จจากอาบน้ำ ออกมาในสภาพที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย

   “ยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ” หันไปมองนาฬิกา ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว

   “อ้าว! ก็ผมรอนวดให้อยู่หนิ”

   “เอาจริงเหรอ” จะว่าไป ปืนก็ยังปวดเมื่อยอยู่จริง ๆ นั่นแหละ

   “พื่ปืนเอาจริง ผมก็นวดจริง”

    ปอขยับลุกขึ้นจากเตียงตัวเอง กระโดดขึ้นมาอีกเตียงที่ยังคลุมผ้าห่มตึงเปรียะ

   ปืนล้มตัวลงนอนแล้วพลิกตัวคว่ำลง

   “อ้าว! ไงล่ะ ให้ผมนวดตรงไหน”

   “เมื่อยน่อง” ปืนพูดทั้งที่ยังหลับตา พอได้อาบน้ำ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ความง่วงงุนก็ถามหาทันที

 แต่ยังคงรู้สึกถึงฝ่ามือนุ่มหยุ่นที่สัมผัสหนัก ๆ เป็นจังหวะไปตามลำขาอย่างสม่ำเสมอ

ปืนค่อย ๆ ผ่อนคลายความเมื่อยล้าทีละน้อย สบายจนเผลอครางออกมาอย่างลืมตัว

   “อือ....”

   “ง่วงแล้วเหรอพี่ปืน”

   “อือ...”

   “ง่วงก็หลับไปเลยก็ได้นะ ผมจะนวดไปเรื่อย ๆ”


   ปืนค่อย ๆ ดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ มารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้สว่าง มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้าเริ่มจะสางแล้ว

แต่ฟ้าที่นี่กับฟ้าที่บ้านช่างต่างกันเหลือเกิน ปืนไม่ค่อยจะได้เห็นผืนฟ้าที่นี่เป็นสีฟ้า อย่างที่เคยเห็นที่บ้านเลย

มากี่ครั้ง มองไปกี่หน ก็เห็นแต่ฟ้าที่มัว ๆ ซัว ๆ แต่กระนั้น เช้านี้ก็ยังรู้สึกแช่มชื่น กระชุ่มกระชวยต่างจากวันอื่น ๆ

ก็เจ้าตัวดีมันมานอนเบียดอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ขาเรียว ๆ ก่ายอยู่บนขาของปืน หน้าผากมน ๆ

ก็ซุกอยู่กับไหล่ของปืน เตียงตัวเองมีก็ไม่รู้จักไปนอน มานอนเบียดกันอยู่ได้

....แต่มันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

   ปืนนอนนิ่ง ๆ พยายามไม่ขยับตัว กลัวปอตื่น ความรู้สึกดี ๆ อย่างนี้จะพลอยหายไปด้วย

ขอเก็บเอาไว้นาน ๆ หน่อยได้มั้ย อยากทำอะไรมากกว่านี้ อย่างเช่น ก้มลงไปจูบหน้าผากนั่นสักที....ก็ไม่กล้า

..........เดี๋ยวปอตื่น

   ปืนนอนมองหน้าปอพลางก็คิดถึงตอนแรก ๆ ที่เริ่มรู้จักกัน ปอเป็นแค่เด็กมอปลายที่กำลังเตรียมเอ็นฯ

ร่างบาง ๆ หน้าตาเด๋อ ๆ แต่ก็น่ารักสุดใจ มาถึงวันนี้ปอโตกว่าเดิมนิดหน่อย แขนขาเริ่มมีกล้ามเนื้อ

แสดงให้เห็นว่าเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว จากที่แค่รู้สึกว่าน่ารัก น่าเอ็นดู ตอนนี้ปืนกลับเห็นแววเซ็กซี่ในตัวปอขึ้นมา

เวลาผ่านไปไม่ทันข้ามปี เด็กผู้ชายช่วงนี้ช่างโตเร็วซะจริง.....แล้วเขาเองล่ะ ปีนี้ปืนก็ครบเบญจเพส

กำลังย่างเข้าปีที่ 26 ห่างจากปอตั้งหกเจ็ดปี จะมีทางที่ปอจะมองเห็นปืนเป็นอื่นไปได้มั้ยนะ

นอกจากคำว่าพี่ชาย

   ปืนนอนคิดวนเวียนเรื่องเดิม ๆ สลับกับมองหน้าปอไปเรื่อย ๆ จนแดดแจ๋อยู่นอกหน้าต่าง

เรียกว่าสายมากแล้ว เอื้อมมือหยิบนาฬิกาที่วางไว้ที่หัวนอนมาดู เป็นเวลาแปดโมงกว่า ๆ

....นี่เขานั่งมองปอเฉย ๆ นิ่ง ๆ มากว่าสองชั่วโมงเชียวหรือ ทำไมเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วนักนะ

ปืนยังไม่อิ่มเลย มองเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันเบื่อ

   ปอขยับตัวท่าทำบิดขี้เกียจ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองปืน หัวยุ่ง หน้ายับ ขี้ตากรังปอก็ยังน่ารักในสายตาปืน

   “พี่ปืนตื่นนานยัง”

    พูดไปอ้าปากหาวไป ปืนก็ยังฟังรู้เรื่องว่าปอถามว่าอะไร

   “นานแล้ว” ปืนขยับตัวบ้าง นอนนิ่ง ๆ ท่าเดียวนาน ๆ ออกจะเมื่อย

   “หลับสบายจัง”

   “แล้วทำไมไม่ไปนอนเตียงตัวเอง”

   อุตส่าห์เสียค่าห้องสองเตียง อย่างงี้มันขาดทุนนะเว้ย

   “ไม่รู้ดิ พอง่วงผมก็ล้มตัวนอนนวดพี่ปืนไปด้วย หลับตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย”

    ปอลุกขึ้นจากเตียงไปยืนบิดขี้เกียจอวดทรวดทรงองค์เอวอยู่ตรงหน้าปืน....แหม...มันน่าขย้ำนักนะ

   “หายเมื่อยยังเนี่ย”

    ปอถาม

   “อืม....”

    ปืนลุกขึ้นบ้าง นอนนิ่ง ๆ ดูหุ่นเจ้าปอ เดี๋ยวจะพาลฟุ้งซ่านซะเปล่า ๆ

   “พี่อาบน้ำก่อนดีกว่า ปออ่ะ สั่งอะไรมากินก่อนมั้ย แล้วค่อยอาบน้ำ”

   “อย่าเลย เราอาบน้ำแล้วไปหาอะไรกินข้างนอกกันดีกว่า อาหารที่นี่แพงจะตาย”

   “ถ้าหิวก็ไม่ต้องหิ้วท้องรอหรอก เดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหา สั่งมากินได้เลย

มันไม่ได้หมดเปลืองไปซักเท่าไหร่หรอกกะอีแค่มื้อสองมื้อ”

   “ผมว่าแทนที่จะสั่งมากิน เรารีบอาบน้ำแล้วไปเร็ว ๆดีกว่า”

   “ก็ตามใจ”

   ปืนหยิบชุดชั้นใน เดินเข้าห้องน้ำ กำลังจะปิดประตู ไอ้ตัวดีก็รีบคว้าบานประตูไว้ก่อน

   “อาบด้วยดิ”

   “อารายเนี่ย”

   “อาบพร้อม ๆ กันจะได้เร็ว ๆ ไง”

   มันบอกหน้าตาเฉย

   “น่าอย่ามากเรื่องนักเลย อาบพร้อมกันน่ะดีแล้ว ประหยัดเวลา ผมหิวแล้วด้วย”

   ไอ้เด็กบ้านี่มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรซะบ้างเลย ว่าปืนจะต้องอดทนอดกลั้น กักเก็บอารมณ์ (ใคร่) ขนาดไหน

 จะพูดจะห้ามไปเดี๋ยวมันก็อ้างเรื่องที่มันอิจฉาเพื่อนมันกับพี่ชายอาบน้ำด้วยกันขึ้นมาอีก แล้วปืนก็ต้องใจอ่อนอยู่ดี

 อย่าพูดมันเลยวะ....อาบน้ำเย็น ๆ ก็แล้วกันเผื่อมันจะช่วยคลายความร้อน (รุ่ม) ได้มั่ง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 13/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 13-05-2012 23:24:29
         อาหารเช้าราคาเยาจากร้านใกล้ ๆ โรงแรมก็ทำให้อิ่มได้  ความจริงปืนก็ไม่ใช่

คนที่กินหรูเลิศมาจากไหน ข้าวแกงธรรมดาก็ฟาดมานักต่อนักแล้ว ขอให้อิ่มเป็นพอ เขาห่วงก็แต่ปอนั่นแหละ

ยิ่งช่วงหลังปอดูซูบผอมผิดตา ปืนก็อยากจะดูแลให้ปอมีน้ำมีเนื้อขึ้นกว่าเดิมหน่อย

แต่ปอเองก็เป็นคนกินง่าย....เด็กหนุ่มก็แบบนี้แหละ กำลังโตวันโตคืน ก็ดูเอาเถอะ อยู่กับปืนทั้งวันทั้งคืน

กินอิ่มนอนหลับ เรื่องทุกข์ใจค่อย ๆ จางหาย ปอก็เริ่มกลับมามีสีสันเหมือนเดิมแล้ว แก้มเต่ง ๆ เริ่มมีเลือดฝาด

ยิ่งเวลาที่โดนแดดยามเช้าส่องก็ยิ่งซับเป็นสีแดงเรื่อ ริมฝีปากก็อูมอิ่มน่า....

         “พี่ปืน วันนี้เราไปไหนกันดีอ่ะ”

         อยู่ ๆ เจ้าปอก็ส่งเสียงขัดจังหวะความคิดขึ้นมา

         “เอ้อ....แล้วปออยากไปไหนล่ะ”

         ปืนย้อนถามกลับให้ปอเป็นฝ่ายเลือก

         “ที่จริงก็ไม่อยากไปไหนหรอก แต่เราไม่เคยมาเที่ยวด้วยกันเลย ผมอยากพาพี่ปืนเที่ยว”

         “ก็แล้วแต่ปอแล้วกัน”

         “ว่าแต่พี่ปืนจะไหวป่าว เกิดเมื่อยขึ้นมาอีก ผมมิต้องนวดให้อีกรอบเหรอเนี่ย”

         หนอย! ไอ้เด็กนี่ เมื่อคืนมันเป็นฝ่ายเชิญชวนซะขนาดนั้น ทำยังกะว่าถูกปืนบังคับแน่ะ

         “ลำบากนักก็ไม่ไปก็ได้วะ กลับไปนอนที่โรงแรมแล้วกัน”

         “โห...มีงอนนะ ผมแค่ล้อเล่น คืนนี้ถ้าพี่ปืนเมื่อยอีก ผมก็นวดให้อีกยังได้”

         ตลอดวันที่เหลือจนกระทั่งยามเย็นมาเยือน ทั้งสองคนก็ยังไม่กลับเข้าโรงแรม เดินเล่นเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลา

เข้าห้างโน้น ออกห้างนี้ จนปืนขาแทบลาก เจ้าปอจัดเป็นนักช็อปคนหนึ่ง ทีแรกที่บอกว่าจะพาพี่ปืนเที่ยว

ปืนก็นึกว่าน่าจะไปตามสวนสนุก หรืออย่างน้อยก็น่าจะเป็น สวนสัตว์เขาดินละเอ้า (แม้ว่ามันจะดูเชย)

ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าการพาเที่ยวก็คือการพาปืนมาเสียเงินแท้ ๆ ถุงใส่ข้าวของอยู่ในมือสองมือของตัวเองยังไม่พอ

ยังอยู่ในมือปืนอีกไม่รู้เท่าไร พะรุงพะรังกันทั้งคู่ล่ะว่างั้น

         “มีแต่ของผมซะเมื่อไหร่ ของพี่ปืนอ่ะ น้อยนักเหรอ”

         พอปืนแกล้งบ่นว่าหนัก ไม่มีมือจะถือ เจ้าปอก็สวนมาว่ายังงี้แหละ มันน่า...??..ปิดปากซะดีมั้ย

         “ก็ใครชวนซื้อโน่นซื้อนี่ล่ะ”

         “พี่ปืนไม่เอาก็ได้นี่นา อย่านะ อย่ามาโทษผมฝ่ายเดียว”

         ปอทำหน้าคว่ำ

         “เออ...ก็ไม่ได้โทษหรอก แต่ว่า....พอรึยังล่ะ พี่เมื่อย พี่เหนื่อย พี่หิว”

     ....หิวจนแทบจะกินคนแถวนี้ด้วยความมันเขี้ยว

         “อ้าว!  แล้วก็ไม่บอก กินไรดีอ่ะ ในห้างมันก็มีแต่ฟู้ดเซ็นเตอร์นะพี่ปืนที่มันง่าย ๆ หรือว่าพี่ปืนอยากกินอะไร”

         “อะไร ๆ ก็กินเข้าไปเถอะปอ เสร็จแล้วจะได้รีบ ๆ กลับ”

         และแล้ว ‘อะไร ๆ’  ที่ปืนพูดก็จบลงที่พิซซ่าอย่างที่คาดไว้ในใจ เพราะเพิ่งจะเดินผ่านร้านนั้นมาเมื่อสักครู่นี่เอง

         ก่อนกลับโรงแรม ปืนก็จำเป็นต้องแวะร้านขายกระเป๋าเป็นร้านสุดท้าย

         “ซื้อไปทำไมพี่ปืน ยังกะได้เดินทางบ่อย ๆ งั้นแหละ ปีนึง ๆ พี่ปืนขึ้นมาอบรมกี่หนกันเชียว”

         ปอมองกระเป๋าลากใบใหญ่ขนาดที่ตัวเองก็ยังลงไปนอนขดได้อย่างงง ๆ

         “ก็ไอ้สัมพารกพวกนี้มันจะมีที่เก็บมั้ยละนั่น ถ้าไม่หาอะไรใหญ่ ๆ ใส่มันไว้รวมกันน่ะ”

         เจ้าปอทำปากรูปตัวโอ แก้มป่อง ทำท่าว่าเข้าใจ ปืนเห็นแล้วให้นึกอยากจุ๊บแก้มป่อง ๆ นั่นซะจริง

แล้วก็ต้องปลงกับตัวเองว่า คงได้แค่คิดอยู่ในใจ

         บางทีปืนมานึกดูว่า เขาจะอยู่ในสภาพนี้ได้อีกนานแค่ไหน การจะทนเก็บกักความรู้สึกให้มันอยู่แค่ภายในใจ

มันต้องอึดอัดแน่ ๆ เขารู้ตัวดี แต่จะให้ปืนเปิดเผยความรู้สึกนี้กับปอเขาก็ทำไม่ได้อีก แล้วการที่ต้องเก็บอะไรเอาไว้นาน ๆ

ปืนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีวันที่มันจะระเบิดออกมาหรือเปล่า และถ้าวันนั้นมาถึง แรงระเบิดมันคงมหาศาล

มันจะทำร้ายใครบ้างก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันคงทำร้ายตัวปืนเอง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ปืนไม่อยากมีวันนั้นเลย

         “พี่ปืนอิ่มแล้วไปไหนต่อดี”

         นี่มันยังไม่หมดแรงรึไงเนี่ย ปืนล่ะแทบจะลงนอนเหยียดซะตรงนี้ให้มันหายเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว

ดูท่าเจ้าปอคงจะอ่านสายตาปืนออกมั้ง ก็เลยรีบเปลี่ยนความตั้งใจ

         “กลับกันเลยก็ดีเนอะพี่ปืนเนอะ เดินต่อเดี๋ยวผมอดใจไม่ไหวได้ซื้อกันอีกจะขนกันไม่ไหว”

         “คิดได้งั้นก็ดี พี่จะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว ยังกับว่าที่บ้านเราไม่มีขาย ขนซื้อเข้าไปทำไมตั้งมากมาย

ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรองเท้า มันก็ไอ้ยี่ห้อที่ในห้างบ้านเรามันก็มีนั่นแหละ”

         “แต่ที่นี่มันลดราคาเยอะกว่านะพี่ปืน ที่โน่นอ่ะจะลดหนัก ๆ ทั้งทีก็สินค้าล้างสต็อค เคยมั้ย

จะลด50เปอร์เซ็นทั้งเคาน์เตอร์อ่ะ” เออ...ก็จริงของมัน

         “แล้วรองเท้าที่นี่แบบมันก็มากกว่า เคยมั้ยเจอแบบถูกใจบางทีไม่มีไซส์ แล้วนี่ทั้งถูกใจทั้งถูกเงิน

ยังไม่เอาอีก”
         ไม่เอากะผีอ่ะสิ เฉพาะรองเท้าของปืนก็สามคู่เข้าไปแล้ว ของมันอีกสองคู่ ที่เหลืออีกเป็นสิบถุง

ก็เสื้อผ้าที่ปอเลือกให้ บอกว่าเหมาะกับปืนอย่างงั้นอย่างงี้ ส่วนของตัวเองก็ซื้อเอา ๆ

ไม่ถามความเห็นของปืนสักคำ

        ปืนนึกถึงพ่อตอนที่แม่ซื้อของใช้มาให้ พ่อก็ไม่เคยปริปากบ่นว่าไอ้โน่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ชอบ มีแต่ก้มหน้าก้มตาใส่

ชอบมากหน่อยก็ใส่บ่อย ๆ ชอบน้อยหน่อย ก็ใส่บ้างพอให้แม่เห็น จะได้ไม่น้อยใจว่าซื้อมาแล้วพ่อไม่ชอบ

         ปืนสำรวจความรู้สึกตัวเองตอนนี้ก็ใกล้เคียงพ่อเข้าไปทุกที ปอชี้ให้ซื้ออะไรปืนก็พยักหน้าหงึกหงักไม่ค้านซักคำ

ปืนหยิบอะไรที่ปอบอกว่าไม่เข้าท่า ไม่เหมาะกับปืน ก็ไม่ดื้อไม่โวยอีกนั่นแหละ

         ถ้าเขามีปอช่วยดูแลเรื่องส่วนตัวให้อย่างนี้ ปืนก็ว่าคงไม่จำเป็นที่ปืนจะต้องมองหาแม่บ้านซะแล้วละมั้ง

แต่ความจริงก็คือ สักวันปอจะต้องไปมีครอบครัวของตัวเอง แล้ววันนั้นใครจะมาช่วยดูแลปืนอย่างนี้

ยิ่งอยู่กับปอไปนาน ๆ ยิ่งจะทำให้ปืนเคยตัว ชักจะทำอะไรไม่เป็น ช่วยตัวเองไม่ได้เข้าไปทุกที

         จะว่าไปทุกวันนี้ตั้งแต่มีปอมาอยู่ร่วมห้อง เจ้านี่ก็ทำทุกอย่างให้ปืนเหมือนเมื่อตอนที่มาติวหนังสือก่อนเอ็นฯนั่นเลย

ไหนจะซักผ้า รีดผ้า ทำความสะอาดบ้าน จะมีก็เรื่องอาหารการกินที่ต้องฝากท้องไว้กับร้านอาหารนอกบ้าน

จนเดี๋ยวนี้คนรับจ้างซักผ้าให้ปืน ชักจะเขม่น ๆ เพราะขาดรายได้ไปไม่น้อย ด้วยความที่ปืนเป็นขาประจำ

และไม่เคยโวยวายเหมือนบางราย ที่พอผ้าไม่เรียบก็บ่น ผ้าไม่หอมก็บ่น ส่งผ้าช้าก็บ่น แถมปืนยังจ่ายเงินตรงเวลา

ไม่เคยต้องให้ทวง ไม่ใช่ว่าปืนจะเป็นคนดิบดีอะไรนักหนา แต่เป็นเพราะรำคาญ ขี้เกียจจะเถียง

เสื้อผ้าส่งไม่ทัน ไม่มีจะใส่ ปืนก็ซื้อเพิ่มดีกว่า ปัญหาอะไร ๆ ก็แล้วแต่ คิดเสียว่า

เราไปแก้ไขข้อบกพร่องคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น แก้ที่ตัวเองล่ะดีที่สุด ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น


         กลับมาถึงห้องพักเกือบสองทุ่ม ปืนวางสัมพารกในมือได้ก็ถลาคว่ำหน้าลงบนเตียงนอนด้วยความเหนื่อยล้า

ยังไม่ทันไรเลย ปีนี้ปืนเพิ่งจะย่าง 26 แต่เดินช็อปปิ้งกับปอแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองแก่กว่านั้นมากมาย

คงเป็นผลมาจากการที่เขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไร เลิกงานแล้วก็เข้าผับเพื่อดื่มกิน ออกจากผับได้

ก็หิ้วหญิงติดมือมานอนด้วย เพิ่งจะมาเลิกหิ้วก็ตอนที่รู้จักกับปอนี่เอง เพราะใจมันหมดอยากซะดื้อ ๆ

เห็นผู้หญิงแล้วปืนเฉย ๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อน หมายตาคนไหนไว้แล้วไม่ได้เป็นต้องทุรนทุราย

นึกย้อนกลับไปมองตัวเองแล้วยังแปลกใจว่า เขาเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่พบปอ หรือว่า จริง ๆ

แล้วมันฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจเขามาตั้งแต่เกิด ก่อนนี้เขาก็เคยมาแล้วทั้งสองอย่าง หญิงก็ได้ชายก็ได้

เสพสุขได้เหมือน ๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้ ปืนไม่มองใครอีกเลย ไม่ว่าหญิงหรือชาย ปืนมีแค่ปอคนเดียวเท่านั้น

บางเวลาที่นึกสนุกกับใครสักคน แค่นึกถึงหน้าปอ ปืนก็หันหลังได้ทันทีอย่างไม่ลังเล

         “พี่ปืน ไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวผมนวดให้อีก”

         “อืม”

         ปืนรับคำแต่ยังไม่อยากลุกขึ้น

         ปอออกแรงดึงแขนที่ปืนใช้ซบหน้าแทนหมอน คะยั้นคะยอให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำ

         “ไปเร็ว เดี๋ยวผมจะอาบมั่ง ร้อน เหม็นเหงื่อด้วย”

         พี่ไม่เห็นรู้สึกเหม็นเลย....ปืนนึกโต้ตอบอยู่ในใจ

         “ผมถอดรองเท้าให้นะ”

         ปืนรู้สึกว่ารองเท้าหลุดออกจากฝ่าเท้าไปแล้ว แต่ก็ยังนอนนิ่ง ๆ รอดูท่าเจ้าปอว่าจะทำอะไรต่อไป

จากถอดรองเท้า ก็ถอดถุงเท้า แล้วเจ้าตัวยุ่งก็จับปืนพลิกให้นอนหงาย ลงมือรูดเข็มขัดออกจากหูกางเกงก่อน

         ปืนนอนหลับตา ใจเต้นตึก ๆ ตั้ก ๆ ลุ้นอยู่ว่ามันจะไปถึงไหน ต่อจากเข็มขัด มันก็เป็นกางเกงละสิทีนี้

         “ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลยพี่ปืน ถ้ายังไม่ลุก ผมอาบก่อนนะ แล้วอย่ามาเร่งด้วยขอบอก

เพราะผมจะนอนแช่น้ำอุ่นในอ่าง”

         เจ้าปอถอยออกไปยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าเตียง ปืนลืมตาขึ้นมองยิ้ม ๆ แล้วก็ได้แต่ถอนใจ

....นี่เขาหวังจะให้อะไรมันเกิดขึ้นงั้นหรือ ?
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 13/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 13-05-2012 23:44:21
วู๊วววววววววววววววววว     o13



ต่ออีกๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 13:42:16
 
    กว่าจะออกจากโรงแรมได้ก็เล่นเอาเหนื่อยพอแรง เพราะข้าวของที่ช่วยกันขนซื้อเมื่อวานนี้

ขามามีกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กมากันคนละใบ แต่ขากลับนี่นอกจากกระเป๋าลากใบมโหฬาร

อย่างที่ปืนไม่เคยนึกอยากจะซื้อมาใช้ก็ยังมีเป้ที่มันงอกออกมาจากกระเป๋าปอเมื่อคืนนี้

      “ผมพับใส่กระเป๋ามาเผื่อเหลือเผื่อขาดอ่ะพี่ปืน”

    รู้จักที่จะรอบคอบเหมือนกันนะ แต่ก็ยังเอาไม่อยู่นั่นแหละ แล้วนี่ต้องไปเอาโทรทัศน์กับเครื่องเสียงที่หอพักอีก

ถึงได้รีบตื่นรีบเช็คเอ๊าท์จากโรงแรม ทีนี้ก็ต้องมาวางแผนว่าจะไปเอาของพวกนั้นยังไง เรียกรถแท็กซี่อ่ะของแน่อยู่แล้ว

แต่ไปโน่นมั่ง นี่มั่ง คงหลายตังค์อยู่ แต่ช่างเถอะเอาสะดวกก็แล้วกัน คิดได้อย่างนั้นปืนก็ให้เด็กยกกระเป๋า

เรียกรถหน้าโรงแรมเข้ามาให้


      ดีนะที่ปืนวางแผนไว้แล้วว่าขากลับต้องกลับรถไฟ เพราะเผื่อไว้ว่าสัมภาระของปอจะเยอะ บินกลับ

อาจจะยุ่งยากมากเรื่อง ก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ แถมยังจะมากเกินกว่าที่คิดซะอีกมั้ง หันไปมองไอ้ตัวภาระ

มันหน้าตาอย่างนี้นี่เอง แต่ปืนก็เต็มใจเป็นที่สุด

      การขนข้าวของขึ้นรถ แล้วขนถ่ายลงจากรถเมื่อถึงสถานีรถไฟ ทุลักทุเลพอสมควร เห็นปอตัวเล็ก ๆ บาง ๆ

อย่างนี้ก็อย่าได้ประมาทไปเชียว กระเป๋าใบใหญ่ที่เพิ่งซื้อปอก็ยกลงจากรถแท็กซี่ไหว ไอ้แท็กซี่เฮงซวย

ตอนขึ้นมันก็ช่วยกันดิบดีกับเด็กยกประเป๋าที่โรงแรม พอถึงปลายทางกลับไม่ลงมาช่วยเอาดื้อ ๆ ซะงั้น

จากที่คิดว่าจะไม่เอาตังค์ทอนจากเงินที่บอกไว้ที่มิเตอร์ ก็เลยเตรียมเหรียญเล็กเหรียญน้อยไว้ให้เสร็จสรรพ

....อย่าเอาเลยมึงเงินทิป เงินแถม...ปืนไม่ให้เหลือไปสักบาท สัมภาระทั้งหลายกองอยู่บนพื้นจนแทบไม่น่าเชื่อว่า

เขาสองคนจะพากันมาได้ ก็คิดดู กล่องโทรทัศน์กับกล่องเครื่องเสียงก็น้ำหนักไม่ใช่น้อย ๆ

คงต้องเรียกรถขนสัมภาระมาช่วยลำเลียง แต่ปอกลับอาสาที่จะทะยอยขนของบางส่วนไปก่อน

หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วว่ารถไฟขบวนล่องใต้ที่จะโดยสารขากลับจะเข้าเทียบชานชาลาไหน

ระหว่างที่เขาขนก็ให้ปืนเฝ้าของที่เหลือไว้ก่อน แต่ปืนไม่เห็นด้วย

   “เรียกรถขนสัมภาระมาเหอะปอ ของไม่ใช่น้อย ๆ แล้วก็หนักไม่ใช่เล่น จะขนให้เหนื่อยทำไม

จากตรงนี้เข้าไปข้างในก็ไม่ใช่ว่าใกล้นะ”

   ปืนมองดูเม็ดเหงื่อที่เกาะขมับและกำลังไหลลงมารวมกันที่ใต้คางของปอ แล้วอยากหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋า

ออกมาซับให้ถ้าไม่ติดว่าที่ตรงนี้มีใครผ่านไปผ่านมา หันมาเห็นคงดูไม่ดี ปืนก็คงทำตามใจตัวเองไปแล้ว

ปอยกไหล่ ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ราวกับจะอ่านใจปืนได้

    “เค้าคิดค่าขนเป็นชิ้นนะพี่ปืน หลายตังค์นะเนี่ย”

      “ไอ้ที่เสียไปกับค่าของมากกว่านี้ตั้งเท่าไหร่ มาเสียดายกับความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ

แค่นี้ ช่างมันเหอะ อ้อ! นั่นไง มาแล้วคันนึง”

      ปืนขยับยกมือเรียก แต่ไม่ทัน เพราะกลุ่มคนที่ยืนถัดจากเขาไปข้างหน้าอยู่ใกล้รถเข็นมากกว่า
   
   ...อดเลย...ปืนนึกในใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่ก็เพิ่งจะเที่ยงเศษ ยังมีเวลาอีกนานกว่ารถไฟจะออก

มีเวลาให้เดินไถลเล่นซะจนเบื่อด้วยซ้ำไป อีกคันที่ตามมาระยะไม่ห่างกัน ก็ถูกเรียกไปก่อนอีกแล้ว

ปืนกับปอหันมาสบตากัน ปรึกษากันด้วยสายตา ปอก็พยักหน้า หันหลังเดินไปที่ห้องสัมภาระ

ไปเรียกที่ต้นทางซะเลยดีกว่าจะมายืนรอคันแล้วคันเล่า เพราะข้าวของที่กองอยู่ตรงบริเวณรับ-ส่งผู้โดยสาร

ซึ่งอยู่ด้านนอกสุด ยังดีที่ไม่อยู่นอกชายคาให้แดดส่องหัวเท่านั้นเอง ที่ตรงนี้คงไม่อยู่ในสายตาของคนรับจ้างขนของ

   ในที่สุดทั้งคู่ก็พาสัมภาระมาถึงโบกี้รถไฟได้อย่างราบรื่นในราคาเกือบสองร้อยบาท ปอทำหน้าขมึงทึง

เพราะรู้ว่าถูกโก่งราคา แต่จะให้ทำไงก็จ้างเค้ามาแล้ว เงินเล็กน้อยปืนไม่อยากให้เป็นเรื่อง ปอก็เรียกใช้ให้คุ้ม

โดยการให้ขนของขึ้นไปวางบนโบกี้ให้ด้วย เป็นเรื่องบังเอิญที่โบกี้หมายเลขที่จองมาจอดอยู่พอดี

พร้อมกับเปิดแอร์เย็นฉ่ำรอผู้โดยสาร ที่จริงก็เหลือเวลาอีกชั่วโมงเศษ ๆ ก็จะได้เวลารถออก

จึงมีการติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศ ก็เรียกว่าโชคดีที่ไม่ต้องขนขึ้นรถเอง

แต่ปลายทางล่ะ....ค่อยแก้ปัญหาเอาก็แล้วกัน เพราะยังไงรถก็จอดที่สถานีชุมทางปลายทาง

นานพอที่จะเขาจะขนของลงได้หมดก่อนรถไฟจะออกจากสถานีอยู่แล้ว
 
      “เหนื่อยจังเลยพี่ปืน”

    ปอทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับปืน หลังจากบ่นเสร็จ แทนที่จะไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้าม

จากนั้นก็ถอดรองเท้าเหลือแต่ถุงเท้าสีขาวสะอาด ยกขาขึ้นพาดบนเก้าอี้ พร้อมกับเอนลงมาซบไหล่ปืน

เขารับรู้ได้ถึงรอยเปียกชื้นของเหงื่อบนใบหน้าของปอ ที่ซึมลงมาเปียกเสื้อของเขาเองจนรู้สึกเย็น ๆ

คราวนี้ปืนก็เลยได้ทำตามใจตัวเองซะที

    เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อซับใบหน้าข้างที่ตะแคงขึ้น

      “ไม่หิวข้าวเหรอ”
 
      ปืนถามพลางเช็ดหน้าปอไปพลาง

    “ก่อนออกจากโรงแรมกินมาตั้งเยอะ ยังไม่หิวหรอก แต่เดี๋ยวผมจะไปหาของกินเล่นแถว ๆ นี้นะ
   
พี่ปืนอยากได้อะไรมั้ย”

    ปืนส่ายหน้าแทนคำตอบ

    “งั้นเดี๋ยวผมมา จะเอาเบียร์มาฝากนะครับ”

    ปืนยิ้มรับ ไอ้เด็กช่างรู้ใจ ร้อน ๆ เหนื่อย ๆ อย่างนี้ได้เบียร์เย็นเฉียบเทลงไปในคอคงรู้สึกดีขึ้น

เขามองตามหลังปอไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ เอ็นดู เป็นห่วง ซึ้งใจ สารพัดความรู้สึกที่ผุดพลุ่งขึ้นมา

ล้วนแต่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก มันปนเปกันไปหมด อยู่ในช่องอกข้างซ้ายของเขานี่
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 13:45:08
      รถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงตรงเวลา ไม่รู้ทำไมสิน่า ขาขึ้นกรุงเทพล่ะสายได้ทุกที

บางเที่ยวเสียเวลาเป็นชั่วโมง ๆ ก็ยังเคย

   ปืนเองชอบนั่งรถไฟมากกว่าเครื่องบิน ถ้าพอมีเวลา เพราะได้นั่งชมวิวทิวทัศน์ไปตลอดเส้นทาง

ตกกลางคืนก็เหมือนมีคนไกวเปลให้นอน แกว่งไปแกว่งมา เพลินดี แต่ถ้าครั้งไหนเจอโบกี้สุดท้ายก็แย่หน่อย

เพราะมันจะแกว่งซะจนนอนไม่หลับเอาเลยทีเดียว

    เบียร์เย็น ๆ หมดไปแล้ว ที่ต้องรีบซดเพราะไม่มีถังน้ำแข็งสำหรับแช่ เบียร์ไม่เย็นก็ไม่อร่อย

ส่วนเจ้าคนที่ซื้อมาให้ เอนหลับอยู่ที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน ขายาว ๆ พาดมาฝั่งที่ปืนนั่ง เวลานอนหลับอย่างนี้

ดูเหมือนปอจะเด็กลงไปอีกหลายปี แก้มใส ๆ ปากแดง ๆ นั่นก็ยั่วยวนซะจริง ปืนรู้สึกตัวเอง

ยังกับกำลังชดใช้กรรมยังไงไม่รู้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นจะต้องอดทนอดกลั้นกับความรู้สึกอยากขนาดนี้เลย

เพราะคู่ขา คู่นอน สำหรับปืนก็พอหาได้ บางคนก็ดูดีเข้าขั้นเป็นนางแบบได้ด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะสวยเพราะผ่านการทำศัลยกรรมก็เถอะ แต่ควงคู่ไปไหนมาไหนก็ไม่อายใคร บทบาทบนเตียง

ก็เรียกได้ว่ามืออาชีพ  อาการอยาก ๆ อย่างนี้ถ้าไม่ได้ระบายออกซะบ้าง ปืนคงอึดอัดตายกว่าจะถึงเวลานอน

ที่เจ้าหน้าที่บนรถไฟจะมาปูเตียงและปิดม่านให้ดูเป็นส่วนตัวขึ้น คิดได้อย่างนั้นปืนก็ลุกขึ้นจะไปจัดการตัวเองที่ห้องน้ำ

ถึงบรรยากาศจะไม่รื่นรมย์สักเท่าไร แต่ก็ยังนับว่าสะอาดกว่าตู้รถไฟบางขบวน เพราะขบวนนี้เป็นรถด่วนระหว่างประเทศ

ที่ต้องรักษาหน้าตาของประเทศกันหน่อย ยังไม่ทันจะก้าวพ้นจากที่นั่งก็ได้ยินเสียงเรียกของปอ

   “พี่ปืนไปไหน”
 
      “ไป...ห้องน้ำ”

    “ถึงไหนแล้วครับ”

   “เกือบถึงราชบุรีแล้ว จะกินก๋วยเตี๋ยวลวกรึป่าว”

   “ดีครับผมชอบ”

   “ดูไว้แล้วกัน เดี๋ยวพี่มา”

    ปืนเดินไปห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้จริง ๆ เพียงแต่เปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปเลย ก็ยังไงดีล่ะ อารมณ์อยากมันหดหายไป

ตั้งแต่คำแรกที่ปอมันทักแล้วนั่นแหละ ปืนก็เลยแค่ระบายเบียร์ที่ดื่มไปสองกระป๋องออกไปให้ท้องโล่งแค่นั้นเอง

หลังจากนั้นก็เดินไถลไปตามตู้อื่น ๆ ในขบวน ผ่านไปที่ชั้นสามซึ่งเป็นที่นั่งอย่างเดียวไม่ปูเตียง

และไม่มีไอเย็นของเครื่องปรับอากาศ เรียกว่าเป็นชั้นประหยัด สภาพผู้โดยสารค่อนข้างแออัด

แทบจะไม่มีที่ว่างตรงทางเดิน แต่ปืนก็เลาะ เลียบไปเรื่อย ๆ จนถึงท้ายขบวนซึ่งเป็นช่องประตูโล่ง ๆ

ไม่มีบานปิดเปิด แต่มีโซ่คล้องเอาไว้หลวม ๆ ดูแล้วไม่น่าจะปลอดภัย เพราะถ้าเด็กเล็กเดินเพ่นพ่านมาถึงตรงนี้

ก็อาจจะตกจากรถไฟได้ ปืนไม่อยากนึกภาพ เพราะมันดูสยดสยองเกินไป

   ยืนได้เดี๋ยวเดียว ปืนก็รู้สึกเหมือนมีใครมายืนใกล้ๆ เพราะได้กลิ่นอ่อน ๆ ของโคโลญจ์ผู้หญิง

หันไปดูก็เห็นเด็กสาวแรกรุ่น ยืนกอดอกมองปืนเฉย สบตากันก็ยังไม่หลบ

  จะเอายังไงกันเนี่ย.....ปืนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ขนาดที่ผู้หญิงเห็นแล้วต้องวิ่งเข้าใส่

แต่สายตาที่จ้องมองมาของเด็กสาวคนนี้บอกปืนอย่างนั้น เขาไม่มีอารมณ์จะสนองตอบใครทั้งนั้นในตอนนี้

กำลังรู้สึกว้าวุ่นใจ คิดจะผ่อนคลายเงียบ ๆ คนเดียวก็ดันมีใครไม่รู้ตามมาป่วนจนได้ เขาตัดสินใจ

ที่จะเดินย้อนกลับไปทางเดิม ติดตรงที่เด็กสาวยังยืนขวางทางแคบ ๆ อยู่

ถึงปืนจะเบี่ยงจนตัวลีบ ก็ยังจะเสียดสีกันจนได้

   “ขอโทษครับ”

     ปืนเอ่ยออกไป พร้อมอากัปกิริยาก้าวเท้า เป็นภาษากายที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้ว่า เขากำลังขอทาง แต่จนแล้วจนรอด

เด็กสาวก็ไม่ทีท่าว่าจะเข้าใจ ปืนโบกมือไปด้านข้าง...น้องจะไปท้ายขบวนก็ไป แต่พี่จะเดินเข้าข้างใน

....ภาษามือพร้อมภาษาตาสื่อออกไปคราวนี้ เรียกรอยยิ้มของเด็กสาวตรงหน้าจนเห็นไรฟันเรียงตัวเรียบ

ทาบกับริมฝีปากสีชมพูที่ดูก็รู้ว่าถูกแต่งแต้ม

   “นี่พี่ปืนจำหยินไม่ได้จริง ๆ เหรอ”

   เสียงพูดห้วน ๆ กับใบหน้ายิ้มแย้ม เริ่มคุ้นหน้าปืนขึ้นมาทันทีที่ถูกทวงถาม

      “อ้าว! โทษที”

    “นึกว่าสาวไหนมาอ่อยให้ล่ะสิ”

   เฮ้อ!...ปากคอนะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม่คุณเอ๊ย ปืนแก้เขินที่ถูกจับความรู้สึกได้ ด้วยการเกาศรีษะ

ทั้งที่ไม่มีอาการคัน เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ แต่เป็นกันเองจากหยินได้อีก

  “ไปไหนมาอ่ะพี่ปืน”

  “ไปกรุงเทพครับ”
 
  “ธุระเหรอ”

  “ครับ”

  “มาคนเดียว?”

  “เอ่อ...มากับปอ”

   สาวน้อยดีดตัวผึงยืนตัวตรง

   “ปอมาด้วยเหรอ ไหนอ่ะ”

   พูดพลาง สายตาก็สอดส่ายไปทั่ว จะเห็นได้ไง ปอนั่งห่างออกไปตั้งห้าหกโบกี้

   “อยู่ชั้นสองตู้นอนแน่ะ”

  ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรกะใคร หยิน สาวน้อยผู้ห้วนห้าวก็เดินฉับ ๆ ไปโดยไม่ต้องรอภาษากายของปืนให้ชักช้า

ที่เดินนำหน้านั่นก็คงไม่รู้หรอกว่า ปอนั่งอยู่ตู้ไหน แต่ดูท่าแม่คุณ เดินไปก็เหลียวมองไปอย่างไม่ต้องการคำบอกกล่าวของปืน

ก็คงเจอเข้าจนได้แหละ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 13:59:52
นั่นไง

   “ไงปอ”

   ทันทีที่เห็นก็ยิ้มร่าเข้าใส่ปอ ซึ่งดูจะเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวหยินไปแล้ว ที่เป็นคนยิ้มง่าย ร่าเริง

และตรงไปตรงมา

  “อ้าว! หยิน มาไงอ่ะ”

  หยินหย่อนก้นลงบนที่นั่งของปืน ทำให้ปืนต้องมานั่งกับปอแทน ม้านั่งที่นั่งคนเดียวได้สบายแม้ว่าจะนั่งฉีกแข้งฉีกขา

ก็แคบลงไปถนัด ต้นขาของปืนแนบสนิทกับต้นขาของปอ รวมทั้งด้านข้างไปตลอดลำตัว จนปืนรู้สึกวูบ ๆ วาบ ๆ

ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวกันนะถึงได้มีอาการแบบนี้ แต่....อาการที่มันหดหายไปเมื่อครู่เริ่มจะมาเยือนอีกแล้ว

จนปืนหนาว ๆ ร้อน ๆ กลัวจะมีใครสังเกตเห็น มือเอื้อมคว้าหมอนย่น ๆ หุ้มผ้าขาวซึ่งเจ้าหน้าที่บนรถไฟนำมาวางไว้ให้

มาวางบนตักของตัวเอง ก็น่าจะพอพรางตาได้บ้างนะ

  “ไปธุระที่กรุงเทพให้แม่มา” หยินตอบ

  “เราก็กลับจากลาออกที่มหาลัย”

  “ลาออก? เฮ้ย! พูดเป็นเล่น ลาออกทำไม”

  อาการแปลกใจของหยินแลเลยมาทางปืน ก่อนจะหันไปสนใจปอต่อ

  “ทำไมอ่ะ มีปัญหาอะไรเหรอ อุตส่าห์สอบเข้าไปได้แล้วแท้ ๆ เรายังอยากจะเรียนที่ดี ๆ แบบนั้นแลย”

  “ก็มีปัญหาหลายเรื่องอ่ะ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับเรารู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับที่นั่น”

   “ไม่เหมาะยังไงว้า ตอนเลือกคณะก็เลือกเอง ไม่เห็นจะมีใครบังคับ แล้วตอนนี้จะมาบอกว่าไม่เหมาะ”

      “มันไม่เกี่ยวกับคณะที่เราเลือกหรอกหยิน เราคงไม่คุ้นเคยกับสังคมแล้วก็ความเป็นอยู่แบบนั้นมากกว่า

เราชอบอะไรที่สบาย ๆ ไม่แก่งแย่งแข่งขัน แล้วก็ไม่ต้องแข่งกับเวลาด้วย”

      อันนี้หยินเห็นจริงเหมือนปอ

     “ก็จริง แต่เราก็จำเป็นต้องอยู่หนิ เค้าส่งให้มาเรียนแล้วก็ต้องเรียนให้จบ กว่าจะขอออกจากบ้าน

มาอยู่อย่างอิสระเสรีได้นี่ก็แทบตาย ปอก็รู้ว่าแม่กับป๊าของปอยังต้องมาขอกับแม่กับป๊าของเราเลย”

     “เออ...จริงดิ แล้วนี่ถ้าอาเจ็ก กับอี๊นีรู้ว่าเราลาออก ไม่ได้อยู่กรุงเทพแล้ว จะยังให้หยินเรียนต่อไปอีกมั้ยเนี่ย”

     ปอนึกขึ้นได้ว่า แม่กับป๊า บอกอาเจ็กกับอี๊นีว่า ไม่ต้องห่วงหยิน เพราะปอก็จะมาอยู่ด้วย ถึงจะเรียนคนละที่

แต่ถ้ามีปัญหาก็ติดต่อกันได้ไม่ลำบากอะไร เป็นการช่วยรับรองให้หยินได้ไปเรียนในเมืองหลวง ที่เจ้าตัวเคยใฝ่ฝันนักหนา

ว่าสักวันจะต้องได้มาเรียน เหมือนรุ่นพี่หลายคนที่กลับไปแนะแนวน้อง ๆ ที่โรงเรียนเก่า

     “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ปอยังไม่ได้บอกแม่กับป๊าเราใช่มั้ย”

     “แต่แม่กับป๊าเรารู้แล้ว พี่ปืนบอกว่าต้องของอนุญาตก่อน ไม่งั้นเราก็ไม่บอกหรอก”

     หยินหันมายิ้มให้ปืน

     “ดีแล้วล่ะปอ ไม่บอกไม่ได้หรอกเรื่องใหญ่ขนาดนี้เนี่ย ถ้าเค้ารู้ทีหลังก็คงจะเสียใจ ให้รู้กันไปตอนนี้

คุยกันด้วยเหตุผล ยังไงก็รับได้อยู่แล้ว เพราะปอไม่เคยเหลวไหล ที่ปอลาออกจะต้องมีเหตุผลจริงมั้ย”

     “แล้วปอมีเหตุผลแค่ที่บอกเราเนี่ยเหรอ”

     หยินทำหน้าคล้ายจะไม่เชื่อ อาจจะด้วยวัยที่เท่ากัน และความสนิทสนมที่มีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้จักนิสัยใจคอกันดี

หยินมั่นใจว่าต้องมีสาเหตุมากกว่านั้น

     “ก็เรื่องเพื่อนนิดหน่อย แล้วเราก็อยากกลับมาเรียนใกล้บ้านด้วย อยู่อย่างนั้นเหมือนตัวคนเดียว เวลามีปัญหา

เรารู้สึกเคว้งคว้างยังไงไม่รู้”

  “ปีหน้าจะเอ็นฯ ใหม่เหรอ ทำไมไม่เรียนไปก่อนซักปีล่ะ เผื่อจะได้โอนหน่วยกิตได้มั่ง ไม่ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด”

  หยินเสียดายทั้งเวลา และโอกาสที่น้อยคนนักจะทำได้อย่างปอ แถมบางคนพอเอ็นทรานซ์ไม่ได้คณะที่ตั้ง

ความหวังไว้ก็ทำลายชีวิตตัวเองอย่างคนสิ้นคิด หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการทำร้ายคนที่อยู่ข้างหลังอีกไม่รู้กี่คน

ที่แน่ ๆ ก็คือพ่อกับแม่ที่ทุ่มเททั้งความรัก ความห่วงใย แรงกายแรงใจ เพื่ออนาคตของลูก

    “ช่างมันเหอะ ไม่เท่าไหร่หรอก”
 
     ปอพูดตัดบทเหมือนอยากจะให้บทสนทนาเรื่องเรียนมันจบ ๆ ไป ก็มันตัดสินใจไปแล้ว มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์

ปออาจจะดูเป็นคนไม่ค่อยจะมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดนัก แต่ถ้าลองได้ตัดสินใจทำแล้ว ก็จะยอมรับผลของมันเสมอ

และน้อยครั้งที่จะรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น

     “ก็เราห่วง”

     “ขอบใจนะ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

     สีหน้าของปอไม่ได้แสดงความรู้สึกเสียดาย นั่นทำให้หยินพูดออกไปว่า

     “ถึงจะเปลี่ยนได้ ปอก็ไม่เปลี่ยน ทำไมเราจะไม่รู้”

     สองคนส่งยิ้มให้กันอย่างคนที่รู้ใจกันมานาน ปืนมองคนโน้นที คนนี้ที แล้วสรุปได้ว่าตัวเองกลายเป็นคนนอกไปซะแล้ว

ก็เลยคิดได้ว่า ไม่รู้ตัวเองจะมานั่งทนดูความสนิทสนมของเค้าไปทำไมกัน

     “ที่นั่งหยินอยู่ตรงไหนครับ”

     “ตู้โน้นแน่ะค่ะ”

     หยินพยักหน้าไปด้านท้ายขบวนที่เพิ่งจะเดินย้อนกลับมา มันก็ชั้นสามน่ะสิ ปืนมองตามด้วยความรู้สึกงงงัน

เพราะฐานะทางบ้านของหยินไม่ใช่ธรรมดา เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของภัตตาคารชื่อดังของเมือง

แต่ยังไงถึงเดินทางด้วยพาหนะที่แสนจะมัธยัสถ์ขนาดนี้ ทั้งที่มีอันจะจ่ายค่าเครื่องบินก็ยังได้

     “หยินบอกแม่ว่าขึ้นเครื่องอ่ะพี่ปืน แล้วหยินก็อุ๊บอิ๊บเงินส่วนที่เหลือเข้าบัญชีเก็บไว้ นั่งรถไฟชั้นสามถูกดี

เหลือเงินตั้งเยอะแน่ะ”

     หยินบอกเล่าราวกับมานั่งอยู่ในใจปืนงั้นแหละ

     “อยากได้เงินทำไมไม่ขอดี ๆ ล่ะครับ”

     ปืนอดไม่ได้ที่จะถามให้หายสงสัย

     “เค้าก็ส่งเงินให้ใช้อยู่แล้ว แต่หยินอยากได้เยอะ ๆ นี่”

     “จะเก็บเอาไปทำอะไรนักหนา”

      ปอบ่นแล้วยิงคำถามต่อ

     “แล้วอี๊เค้าให้ไปทำธุระอะไรเหรอหยิน”

     “ไปรับของที่สั่งไว้อ่ะ พอดี ป๊าไม่ว่างขึ้นมาเอาเอง ก็เลยอาสาเอาลงมาให้ ที่จริงตอนนี้เราก็เปิดเรียนแล้วนะ

แต่ช่วงแรก ยังไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้อาจารย์ไม่ได้สอนอะไรมาก หาตังค์ก่อนดีกว่า”

     “พี่เดินไปดูของที่ตู้โน้นให้หยินก่อนนะ ทิ้งไว้เดี๋ยวใครไม่รู้มาหยิบไป”

     ปืนพูดแทรกขึ้น แล้วออกเดินไปตามช่องว่างระหว่างเก้าอี้นั่งทั้งสองฟาก หลังจากที่หยินบอกตำแหน่งของที่นั่ง

     “แล้วจะบอกได้ยังว่าจะหาเงินไปทำอะไรเยอะ ๆ”

     “เราก็มีความฝันของเรามั่งอ่ะดิ”

   หยินพูดยิ้ม ๆ แค่นึกถึงความฝันของตัวเองก็ทำให้เป็นสุขได้แล้ว

     “ฝันอะไร เท่าที่ได้มาเรียนกรุงเทพอย่างที่ฝันยังไม่พอรึไง”

     “นี่มันแค่จุดเริ่มต้น”

     “เออ...ยังจะฝันอะไรต่ออีกอ่ะ ฝันซะจนฟุ้งซ่านแล้วมั้งตัวเองอ่ะ”

     “เราอยากมีร้านขายตุ๊กตา”

     “โธ่เอ๊ย นึกว่าฝันอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ซะอีก”

     “ทำไมต้องฝันให้มันยิ่งใหญ่ด้วยเล้า.…ฝันเล็ก ๆก็ทำมันให้ได้ซะก่อนเถอะ”

     “แล้วปอล่ะ มีฝันอะไรกะเค้ามั่งป่าว”

     หยินทิ้งท้ายคำถามที่ปอไม่เคยคิดถึงมาก่อน เพราะปอไม่ค่อยจะคิดอะไรไปข้างหน้าไกล ๆ เรียนจบทีละช่วงชั้น

 ก็แค่คิดว่าจะเรียนต่อที่ไหน จะเรียนสายวิชาอะไร อนาคตอยากจะประกอบอาชีพอะไร ปอยังไม่เคยนึกไปถึงด้วยซ้ำ

ที่ปอเรียนต่อชั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ คงเป็นเพราะคนรุ่นปอที่อยู่แถวบ้าน ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนต่อกันในเมืองใหญ่ ๆ

หรือไม่ก็เข้ากรุงเทพกันหมด และที่ปอพยายามเรียนไห้เก่ง ๆ ก็แค่อยากจะให้ป๊ากับแม่ภูมิใจ

ที่ต้องหาที่เรียนพิเศษเสริมความรู้ก็เพราะมันช่วยให้เขามีความรู้กว้างขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น

ส่วนเป้าหมายในอนาคตอย่างที่หยินเรียกว่าความฝัน ปอเพิ่งจะสำเหนียกว่า มันช่างว่างเปล่าในความคิด

อย่างที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย

   
   ปืนให้หยินมานอนแทนที่เขา และเขาไปนั่งชั้นสามแทน ด้วยเหตุที่ชั้นสามเป็นที่นั่งเบาะแข็ง ๆ

ม้านั่งตัวหนึ่งต้องนั่งถึงสองคน ง่วงขึ้นมาก็ได้แต่นั่งหลับ ไม่ก็ฟุบหน้าในท่านั่งชันเข่าบนเก้าอี้

คงทั้งเมื่อยทั้งอึดอัด รำคาญคนที่นั่งข้าง ๆ จนเหลือจะกล่าว

   ปืนเป็นผู้ชายลำบากแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย แต่หยินกลับปฏิเสธ เพราะคุ้นเคยซะแล้ว ทุกครั้งที่ต้องเดินทางขึ้นลง

ระหว่างบ้านกับกรุงเทพ หยินไม่เคยตีตั๋วที่แพงกว่านี้  ยกเว้นถ้าป๊ากับแม่จะเป็นคนจองตั๋วให้ ก็ได้โดยสารตู้นอน

สบายหน่อย แต่นั่นก็ นานแสนนานซักครั้ง เพราะหยินมักจะขอจองเองโดยไม่ให้ที่บ้านรู้

แล้วเก็บเงินส่วนเกินไว้ในบัญชีธนาคาร

     ‘สบายมาก’

     หยินพูดเมื่อปอบ่นว่าหยินคงลำบากแย่กว่าจะทำความฝันให้สำเร็จได้

     ‘ฝันที่เราต้องฝ่าฟันกว่าจะไปถึงจุดหมายได้มันมีค่ามากนะปอ  ทำให้เราอดทน บากบั่น

   ทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ว่าเราก็สามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง’

      แต่สุดท้ายปอก็เป็นคนตัดสินซะเอง

     “หยินขึ้นไปนอนเตียงบนละกัน แล้วเราลงมานอนกับพี่ปืนที่เตียงล่าง”

  “ไม่เอา เดี๋ยวการ์ดรถเค้ามาเห็นเค้าปรับเอา”

   ปืนปฏิเสธเสียงหลง เจ้าปอจะรู้มั้ยว่าเขาไม่ได้กลัวไอ้ค่าปรับไม่กี่สิบกี่ร้อยนั่นหรอก

แต่เขากลัวว่าอาการที่เพิ่งจะสงบอย่างยากเย็นเมื่อกลางวัน มันจะหวนกลับมาเล่นงานเขาต่างหากเล่า

เตียงรึมันก็กว้างดีหรอกนะถ้าจะนอนคนเดียว แต่ลองเบียดกันสองคน เนื้อแนบเนื้อซะขนาดนี้

ปืนไม่แน่ใจตัวเองเลยว่าเขาจะอดกลั้นอารมณ์ที่มันระริก ๆ อยู่ข้างในได้แค่ไหน


     สามทุ่มแล้ว ผู้โดยสารตู้ที่ปืนโดยสารมาก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด นาน ๆ จะมีเสียงไอ จาม เสียงพูดคุยงึมงำเบาๆ

อย่างเกรงอกเกรงใจจากเตียงใดเตียงหนี่ง

  “สองคนนั้นน่ะ อาบน้ำตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ ระวังนะ ไม่รู้กลิ่นใครเป็นกลิ่นใคร ตีกันให้ยุ่งแหละ”

  เสียงแซวของหยินดังมาเบา ๆ ก่อนจะปีนบันไดขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นบน ที่อยู่ห่างจากหลังคารถแค่นั่งคู้หลังหัวก็ชนเพดานแล้ว

  “แล้วตัวเองอ่ะ อาบน้ำแล้วเหรอ”

     ปอสวนกลับมาจากหลังม่านที่ชักปิดเตียงล่างไว้

     “อาบแต่เช้าเหมือนกัน แต่เรานอนคนเดียวไม่มีใครมาดมกลิ่นนี่”

     “พี่ปืน ผมเหม็นสาบป่าว”
 
     ได้ยินเสียงปอถามปืนเบา ๆ หยินก็ได้แต่หัวเราะคิก ก่อนจะหยิบเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กขึ้นเสียบหูฟัง

ปิดการติดต่อกับใคร ๆ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างสุขใจ เพราะเที่ยวนี้เสียเงินค่ารถทู้ก….ถูก แต่ได้นอนสบ๊าย…สบาย

ไม่สนใจคนลำบากสองคนกำลังงึมงำกันอยู่ที่เตียงล่าง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 14:07:40
“นอนไปเถอะ เหม็นแล้วไง จะไปอาบน้ำที่ไหน ห้องอาบน้ำอ่ะนะ ลองดูก็ได้

อาบไปอาบมายังไม่ทันจะล้างสบู่ให้หมดฟอง เกิดน้ำหยุดกะทันหันจะว่าไง”

   ปืนพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ ซึ่งเป็นการอำพรางจังหวะการเต้นระรัวของหัวใจ ที่มันกระดอนอยู่ในอก

เพราะคืนนี้เขาได้นอนแนบชิดกับปออย่างที่ไม่เคยชิดเท่านี้มาก่อน แล้วหันหลังล้มตัวนอนชิดริมด้านนอก

พลอยทำให้ปอต้องนอนลงไปด้วย

  “พี่ปืนหมอนหนุนไม่สบายเลยอ่ะ”

  “ทำไมเหรอ”

  “มันแบนเต๊ดแต๋ แล้วยังต้องแบ่งกันหนุนอีกอ่ะ”

   ปืนยกหมอนทั้งใบให้คนบ่นว่านอนไม่สบาย แล้วเขาก็ต้องลุกขึ้นมากลางดึก เพื่อที่จะหยิบกระเป๋าใบเล็ก

มาหนุนแทนหมอน แต่ดูท่าจะไม่นุ่มพอ ก็เลยรื้อกระเป๋าเสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูมาพับรองไว้อีกชั้น ส่วนหมอนยู่ ๆ

ก็ยกให้จ้าปอไป นอนไปได้สักพัก นึกว่าจะหมดเรื่อง

   “พี่ปืนแอร์เย็นจัง”

   ปืนก็เลยต้องลุกขึ้นมาเกลี่ย ๆ ผ้าห่มผืนที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ให้คลุมร่างคนขี้หนาวจนมิดชิด

แล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง คราวนี้ถึงสงบลงได้ซะที ปืนเองก็รู้สึกง่วงเต็มที ถึงจะอยากดูแลปอให้นอนหลับอย่างสบาย

แต่เขาเองก็ต้องการพักผ่อนด้วยเหมือนกัน ดังนั้นพอหัวถึงหมอน…เอ้อ…กระเป๋า ปืนก็หลับเป็นตาย

   เสียงล้อเหล็กบดลงบนรางเหล็กดังเอี๊ยดลั่นยาว ๆ ก่อนจะหยุดสนิท ซึ่งน่าจะเป็นสถานีสำคัญที่ไหนสักแห่ง

ปืนก็ไม่ได้สนใจจะจำ แต่จำได้ขึ้นใจว่าคืนนั้นปอนอนซุกอยู่กับอกเขา ทั้ง ๆ ที่ยังหลับสนิท

ปืนเองก็ไม่รู้ว่าเขาพลิกตัวหันกลับเข้าหาปอตอนไหน อาจจะเพราะเมื่อยที่ต้องนอนตะแคงท่าเดียวอยู่นาน

ร่างกายมันก็เลยสั่งการให้พลิกตะแคงอีกข้าง ส่วนปอก็คงเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศ

และอุณหภูมิยามดึก ที่เย็นลงเรื่อย ๆ ถึงได้หันเข้าหาไออุ่นที่อยู่ใกล้ ๆ ตามสัญชาตญาน

   ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากชานชาลาสาดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามา ปืนจ้องมองใบหน้าใสกระจ่าง

ที่หลับตาพริ้ม สองจิตสองใจว่าจะทำอะไรตามที่หัวใจเรียกร้องสักครั้งจะดีมั้ย แต่ยังไม่ทันที่สมองจะสั่งการต่อไป

หัวใจของปืนก็สั่งแทนให้ก้มลงแตะจมูกกับแก้มนวล ๆ ของปอ….ก็แค่แผ่ว ๆ ใครจะกล้าลงจูบหนัก ๆ

ทั้งที่ก็อยากจะทำใจจะขาด เดี๋ยวเกิดปอตื่นขึ้นมาเพราะปืนย้ำแรงไปหน่อย เป็นได้มองหน้ากันไม่ติดพอดี

   เป็นอีกคืนที่ปืนหลับไปทั้งที่แต้มรอยยิ้มบนริมฝีปากจาง ๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 14-05-2012 16:45:47
โอ๊ะ! นี่มัน...แนวที่ช้านชอบนี่ :oni2: แอบรักแอบหวังดีและมีอุปสรรค(แต่หวังว่าอุปสรรคคงไม่มากนะ :monkeysad:)
ชอบตอนที่ปืนให้ปอขี่หลัง โรแมนติกอ่ะ ปอคงซึ้งเนอะ นึกถึงซีรี่ส์เกาหลีเลย
ปอนี่ก็ช่างยั่วโดยไม่รู้ตัว ชอบขออาบน้ำด้วยอยู่เรื่อย แต่คุณนูไม่เห็นบรรยายอะไรมั่งเลย ตัดฉึบตลอด :o12:
ตอนที่นอนด้วยกันบนรถไฟก็ชอบ เคยนอนเหมือนกัน นอนคนเดียวยังรู้สึกแคบ สองคนนี่ต้องมีก่ายกันมั่ง ไม่งั้นเมื่อยแย่
จุดที่ทำใจยากคือปอเป็นลูกคนเดียว ถ้ารักกับปืนก็ไม่มีหลานให้พ่อแม่อ่ะนะ
ติดตามๆค่า
+โหวต+เป็ด :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 14-05-2012 18:53:24
สงสารพี่ปืนแท้ๆ
 :sad4:
เข้าใจความรู้สึกเลยนะ
แบบว่ารักน้องแต่แสดงออกไม่ได้
แววว่ามาม่า ไวไวในอนาคตของพี่ปืนท่าจะหลายชามน่าดู
คนอ่านหัวใจอ่อนแอนะคะ กระซิกๆ
 :o12:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: kiyomaro ที่ 14-05-2012 19:24:13
มาทักทายคุณนู  ไม่รู้จะจำกันได้รึป่าว 
เอาพวงมาลัยมาคล้องแล้วก้หอมแก้มซ้ายแก้มขวาเหมือนเดิม ฮี่ ฮี่
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 14-05-2012 21:20:20
เอาใจช่วยพี่ปืน

ให้ใจทั้งสองตรงกัน

 :call:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 14-05-2012 23:25:14
พี่นูลงยาว
อ่านตาแฉะเลย
แต่เมชอบนะ o13
 :กอด1: เป็นกำลังใจให้พี่นู
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 23:57:48




 :เฮ้อ:

 ดึกเกินไปสำหรับคนที่ต้องตื่นไปทำงานตอนเช้า แต่ก็อยากจะรีับลงให้จบเร็ว ๆ ครับ

เพราะผมเขียนจบหมดแล้ว ไม่อยากยืดเยื้อให้ต้องรอนาน เหมือนที่เคยลงไว้ที่เว็บเก่า

ไป ๆ มา ๆ เลยเขียนไม่จบ

ขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาทักทายกันนะครับ   :pig4:

คุณkiyomaro เคยใช้user อะไรล่ะครับ ลองบอกมาผมน่าจะจำได้นะ

แบบว่าโดนหอมแก้มแล้วผมมักไม่ืลืมอ่ะ จะต้องเอาคืนให้ได้  :z1:









    ฟ้าสางเอาเมื่อใกล้สถานีสำคัญอีกแห่ง อีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงสถานีปลายทาง ที่จะต้องลงแล้ว

ปืนสลัดผ้าห่มออกจากตัวเบา ๆ กลัวจะรบกวนคนที่กำลังหลับสบาย แล้วลุกออกมานอกเตียง มองเห็นผู้โดยสาร

ที่ตื่นขึ้นมารับแสงแรกของวัน  เพียงไม่กี่คนเท่านั้น จัดแจงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก ยาสีฟันพร้อมแปรง

อุปกรณ์ทำความสะอาดใบหน้า เดินโซเซตามจังหวะเคลื่อนของรถไฟไปที่อ่างแสตนเลสที่ข้อต่อเชื่อมระหว่างตู้

มีผู้หญิงสองคน สองวัยกับเด็กเล็กอีกคนกำลังทำธุระอยู่หน้าอ่างน้ำ ซึ่งปืนคิดว่าพอจะรอได้

ดีกว่าจะเดินโซเซ กลับไปแล้วต้องกลับมาใหม่ เพื่อจะเจอว่ามีคนอื่นใช้พื้นที่ต่อ

    หญิงสาวที่อ่อนวัยกว่า หันมาส่งยิ้มให้ปืนทั้ง ๆ ที่ฟองยาสีฟันยังเต็มปาก จะรู้มั้ยนั่น ว่ามันชวนคลื่นไส้

มากกว่าจะทำให้อยากยิ้มตอบ ปืนเบือนหน้าหนีก่อนจะอาเจียรออกมาจริง ๆ ทั้งที่คงมีแต่น้ำย่อย

เพราะเช้านี้ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ก่อนจะเดินส่ายลำตัวออกไปอย่างอ้อยอิ่ง หญิงสาวคนนั้น

ก็ยังไม่วายหันมาเล่นหูเล่นตากับปืน นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ปล่อยให้ลอยชายอย่างนี้หรอก

ยิ่งได้ที่นอนเตียงล่างก็ยิ่งสะดวก ปิดม่านเข้าก็เหมือนสวรรค์ บนรางเหล็ก แต่นั่นมันเมื่อก่อนที่ปืนยังไม่เจอกับปอ

ทุกวันนี้ปืนแทบจะหายใจเป็นปอทุก ๆ นาทีอยู่แล้ว ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งทรมานหัวใจสิ้นดี อยู่ใกล้แสนใกล้

ทำได้แค่จุ๊บแก้มเบา ๆ ถ้าไม่ง่วงจนตาแทบปิด เมื่อคืนปืนคงลำบาก แสนสาหัส กว่าจะข่มอารมณ์ให้มันนิ่งสงบลงได้

       เสร็จธุระกลับมาที่เตียง มันก็กลายเป็นเบาะที่นั่งสองฟากสองตัวเหมือนเดิม โดยมีปอนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

เพ่งสายตาออกไปนอกหน้าต่างกระจก

      “ไปล้างหน้าล้างตาไปปอ”

      ปืนส่งอุปกรณ์ที่ถืออยู่ในมือให้ปอ เจ้านั่นก็รับไปด้วยท่าทางแปลก ๆ ดูไม่ค่อยจะเต็มใจ ปืนส่งผ้าขนหนูผืนเล็ก

ที่ยังชื้นนิดหน่อยจากการที่เขาใช้เช็ดหน้า แต่ปอไม่รับ หันไปรูดซิปเป้หยิบเอาของส่วนตัวออกมาแทน

   “จะกินอะไรมั้ย เดี๋ยวพี่จะสั่งห้องเสบียง”

   “ไม่ครับ”

   ปอพูดน้อยไม่เหมือนเก่า ดูแปลก ๆ แต่ปืนก็คิดไปว่าคงเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม หลับไม่สบาย ก็เลยหงุดหงิด

แต่หลังจากที่ปอกลับมาที่นั่งด้วยหน้าตาหมดจด ก็ยังดูว่าอารมณ์ขุ่น ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ

   “เป็นอะไรไป เช้านี้หน้าตามู่ทู่”

   ปืนเริ่มเย้าแหย่ด้วยคำพูดออกไปก่อน

    “ป่าว”

     แล้วประโยคชวนคุยมันก็ด้านอย่างที่ไม่เคยเป็น เมื่อปอไม่มีทีท่าว่าจะโต้ตอบอะไรลักษณะเดียวกันออกมาเลย

     “หยินไปไหนแล้วล่ะ”

     “กลับไปเอาของที่ที่นั่งเค้า”

     “ไม่หิวรึไง”

    “ไม่ครับ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว กลับไปกินที่บ้านก็ได้”

    “แต่พี่หิวนี่”

    “พี่ปืนหิวก็สั่งอะไรมากินสิครับ”

    “แล้วเราล่ะ”

    “ท้องไม่ได้ติดกันซะหน่อย จะมายุ่งอะไรกับผมนักหนาเนี่ย....ฮะ”

     ปอลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปทางห้องเสบียงที่อยู่ค่อนไปทางหัวขบวน หลังจากทิ้งระเบิดอารมณ์ไว้ลูกหนึ่ง

ให้ปืนนั่งงงอยู่คนเดียว อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เขาไม่เคยเห็นปอเป็นอย่างนี้มาก่อน

เมื่อคืนก็ยังคุยกันดี ๆ อยู่แท้ ๆ ตอนเช้าที่ปืนตื่นไปทำธุระก่อน ปอก็ยังไม่ตื่นซะด้วยซ้ำ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น

ระหว่างที่ปืนไม่อยู่ ตอนที่ทั้งหยินและปอตื่นมาเจอหน้ากัน สองคนนั่นอาจจะปะทะคารมกัน ขณะที่ยังงัวเงีย.

...ก็ไม่น่าเป็นไปได้ ปกติปอไม่ใช่คนฉุนเฉียวง่าย ๆ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง ทั้งที่อยากรู้

แต่ถ้าคิดจะถามเอากับปอก็เลิกคิดไปได้เลย เรื่องนี้ต้องถามหยิน

   แต่โอกาสที่จะถามหยินก็ยังไม่มา ไม่มีจังหวะที่จะได้อยู่ตามลำพังพอให้ถามกันได้เลย

นับจากที่หยินล้างหน้าล้างตา แล้วกลับมานั่งด้วยกันที่โบกี้ชั้นสอง พร้อมด้วยสัมภาระอีกสองสามชิ้น

สองคนนั่นก็คุยกันไปเรื่อย ๆ จนปืนกลายเป็นคนอื่นไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ปืนไม่คิดจะลุกเดินไปที่อื่น

เพราะใกล้จะถึงปลายทางแล้ว ก็จำต้องทนนั่งมองความสนิทสนมของทั้งคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     ปอดูมีชีวิตชีวาเมื่อได้คุยกับหยิน นั่นทำให้ปืนคิดได้ว่า หยินคงไม่ใช่สาเหตุ และตลอดระยะทาง

ที่เหลือก่อนรถไฟจะเข้าเทียบชานชาลา ปืนก็แทบจะไม่ได้อ้าปากคุยกับใครเลย โดยเฉพาะปอ

เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ชั่วข้ามคืน และยิ่งไม่เข้าใจว่า

อะไรเป็นสาเหตุให้ปอเย็นชา มึนตึงกับเขาถึงเพียงนี้แค่ชั่วข้ามคืน

     เขากับปอแยกกับหยินที่สถานีรถไฟนั่นเอง ต่างคนก็ต่างเรียกรถรับจ้าง เพราะไปกันคนละเส้นทาง

     “ให้ที่บ้านมารับไม่ได้หรอกเดี๋ยวความแตกว่าเราไม่ได้ตีตั๋วเครื่องบินมา”

     หยินบอกกลั้วหัวเราะก่อนจะแยกทางกันในเช้านั้น ช่างเป็นเด็กที่ร่าเริง แต่เจ้าเล่ห์ซะนี่กระไร

ในความคิดของปืน สำหรับเขาหยินดูเป็นคนเปิดเผย สนุกสนาน กล้าได้กล้าเสีย และคงจะน่ากลัว

เวลาที่คิดอยากจะได้อะไร เพราะดูท่าจะเป็นคนมีความพยายามในทุก ๆ ทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ถึงอพาร์ทเมนท์ปุ๊บ ปอก็รีบเดินนำหน้าไปที่เคาน์เตอร์ก่อนอื่น เพื่อถามหาห้องว่าง

     “มีอยู่ชั้นสองนะคะ แต่ประตูห้องน้ำเสียยังไม่ได้ซ่อม รออีกวันสองวัน ให้ช่างซ่อมให้เสร็จก่อนจะดีกว่า”

     “งั้นผมจองห้องนี้แหละ ซ่อมเสร็จแล้วโทรไปบอกผมที่ห้องด้วยนะ”

     ปืนมองตามอย่างงง ๆ  เพราะไม่เคยมีการพูดคุยกันมาก่อนว่า ปอจะแยกห้องออกมาทันทีที่กลับจากกรุงเทพแล้ว

แต่ตกลงกันไว้ว่าจะโทรไปบอกแม่ให้มาจัดการเรื่องที่พักให้ต่างหาก

    “ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วยล่ะปอ”

    ปืนถามขึ้นระหว่างที่อยู่ในลิฟท์

    “ทำไมล่ะครับพี่ปืน ก็จะเร็วจะช้า ผมก็ต้องแยกห้องออกมาอยู่ดี”

    “ก็ไหนแม่บอกว่าจะมาจัดการให้ไง”

     “ไม่เป็นไรหรอก ผมจัดการเองได้ เดี๋ยวคืนนี้โทรหาแม่ให้โอนเงินค่าห้องมาให้ก็ได้...เหมือนกันนั่นแหละครับ”

     ไม่เหมือนกันหรอก.....ปืนคิด

     เพราะการที่ปอจัดการอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง โดยที่ไม่ได้ปรึกษาปืนมาก่อน

แถมยังไม่เป็นไปตามที่ตกลงกับทางบ้านไว้ตั้งแต่แรก มันคล้ายเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง

ที่ทำให้ปืนมองเห็นว่าระยะห่างระหว่างเขากับปอ มันเริ่มจะถ่างออกเรื่อย ๆ และเกินกว่าที่ปืนจะคาดเดาได้ว่า

มันจะออกมาในรูปไหน


    สัมภาระของปอที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากกรุงเทพ ไม่ได้ถูกนำขึ้นมาไว้บนห้องของปืน

แต่ฝากไว้ที่ห้องเก็บของชั้นล่างของอพาร์ทเมนท์ ซึ่งต้องจ่ายค่าเก็บรักษารายวัน

ทั้งที่ปืนก็บอกว่าให้เอาไว้บนห้องก่อน ย้ายไปอยู่ห้องชั้นสองเมื่อไหร่ก็ค่อยขนลงไปก็ยังได้

ดีกว่าจะต้องเสียเงินค่าฝากเป็นไหน ๆ

    “ไม่เป็นไรครับ ไว้ข้างล่างนี่แหละ ไม่ต้องขนขึ้น ๆ ลง ๆ ให้เหนื่อยเปล่า ๆ ผมไม่อยากรบกวนพี่ปืน”

    นั่นเป็นเหตุผลของปอที่ฟังยังไงปืนก็ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ยับยั้งอะไร เพราะท่าทีที่แปลกเปลี่ยนของปอเอง

ชวนให้ปืนรู้สึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ ที่เขากลายเป็นคนที่ปอไม่อยากรบกวนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

แล้วไอ้คำว่า ‘รบกวน’ มันก็สะดุดหูซะจนแทบจะทำใจไม่ได้ ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะคิดอย่างนั้น

ที่ผ่านมาเขายินดีและเต็มใจทำให้ยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป และปอเองก็ไม่เคยเลย

ที่จะใช้คำพูดทำนองนี้กับเขา มันเกิดอะไรขึ้น นับวันข้อกังขาในใจปืนก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ


    กว่าที่จะได้รับแจ้งจากผู้ดูแลอพาร์ทเมนท์ว่า ห้องที่จองไว้พร้อมเข้าอยู่ได้ บรรยากาศในห้องพักของปืน

ก็อึมครึมเสียจนมันสร้างความกดดันให้ปืนเครียดมากขึ้นทุกวัน จากที่เคยรีบกลับบ้านมา

เพื่อจะได้กินข้าวพร้อมกันอย่างที่เคยปฏิบัติ ปืนก็ต้องหางานอะไรทำฆ่าเวลาในที่ทำงาน

เพื่อจะได้กลับบ้านค่ำหน่อย หรือไม่งั้นก็ชวนเพื่อนที่คุ้นเคยกันไปนั่งดื่มฆ่าเวลา แต่บ่อยนักคงไม่ได้

หลายคนมีภาระครอบครัว ต้องกลับไปกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากัน การที่ปืนจะไปนั่งหย่อนใจคนเดียว

มันก็เหงาและอ้างว้างจนเกินไป ที่เขารู้สึกไปได้ถึงเพียงนี้เพราะเขาเริ่มตระหนักว่าระหว่างเขากับปอ

มันได้เปลี่ยนไปแล้ว อย่างที่เขาเคยนึกหวั่นใจ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 14-05-2012 23:58:58


     ปอย้ายของออกจากห้องพักของปืนตั้งแต่เช้า หลังจากที่ปืนออกไปทำงานได้ไม่นาน

ข้าวของที่อยู่ในห้องพักมีแค่เสื้อผ้าสองกระเป๋าเล็กใบหนึ่ง ใหญ่ใบหนึ่ง กับของใช้ส่วนตัวอีกบ้าง

ขนย้ายคนเดียวไม่นานก็เรียบร้อย แค่ยังไม่ได้จัดเรียงให้เป็นระเบียบเท่านั้น ห้องพักสะอาดสะอ้าน

เพราะแม่บ้านมาทำให้แล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ปอแค่ปูที่หลับปัดที่นอนก็เป็นอันเข้าอยู่ได้เลย

คืนนี้เขาจะมีที่นอนเป็นของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่พักอาศัยอยู่กับปืนมาเป็นเดือน ซึ่งทำให้ปอรู้สึกเกรงใจ

…ใช่ปอเกรงใจปืนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตั้งแต่รู้จักกันมา สนิทสนมกันจนปอคิดว่าปืนเป็นพี่ชายแท้ ๆ

อยากได้อะไร อยากทำอะไร อยากไปไหน แค่ปอเอ่ยปาก ปืนไม่เคยขัดใจเลยสักครั้ง

อาจจะมีบ้างที่ไม่ได้รับการสนองตอบในทันที นั่นเพราะปืนยังมีภาระเรื่องงานที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน

แต่สุดท้ายแล้ว ปอก็ไม่เคยผิดหวัง


     หลายวันมานี้เขากับปืนแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย ดูเหมือนต่างคนจะต่างเลี่ยง เขารู้ว่าปืนจงใจที่จะกลับให้ดึกขึ้น

บางคืนตอนที่ปืนกลับมา ปอแกล้งนอนหลับตาหันหลังให้ไม่ทักถาม อยากให้ปืนเข้าใจว่าเขาหลับแล้ว

เขาได้กลิ่นเหล้าจากตัวปืนแรงมาก ก็ไม่รู้ว่าปืนเมาหรือเปล่า แต่ปืนก็ทำธุระส่วนตัวจนเสร็จได้กระทั่งเข้านอน

ซึ่งก็เตียงเดียวกันนั่นแหละ เพราะมีเตียงเดียว ปอนึกอยากไปนอนที่โซฟาหน้าโทรทัศน์

แต่กลัวปืนจะหาว่าเขารังเกียจ เขาเป็นแค่คนอาศัย ไม่อยากให้เจ้าของบ้านไม่สบายใจ ก็เลยยังปฏิบัติเหมือนเดิม

แค่มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย ปอไม่เข้าใจอะไรมากนัก ทั้งตัวเองแล้วก็ปืน นับตั้งแต่ค่ำคืนบนโบกี้รถไฟ


     กลิ่นบุหรี่ลอยมาตามลม ขณะที่ปอยืนอยู่ที่ระเบียงหลังของห้องพัก ช่างบังเอิญว่าเหนือขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น

ก็คือห้องของปืนที่เขาเพิ่งจะจากมา และตอนนี้ปืนก็คงยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงเหมือนเขา ดีไม่ดีอาจจะมองลงมาเห็น

ปอก็เลยก้าวถอยหลังหลบเข้ามาข้างในตามสัญชาตญาน...เขายังไม่อยากเผชิญหน้าปืนตอนนี้

ข้อแรกปืนสั่งไว้ว่าจะไปเมื่อไรให้บอกก่อน แต่เขาก็ไม่รอ ไม่บอก คล้ายจะหนีเสียด้วยซ้ำไป

ข้อสอง หลายครั้งที่เขาตีหน้าไม่ถูกเวลาสบตาปืน แววตาเศร้า ๆ ปนคาดหวัง ทำให้ปอใจแป้ว

รู้สึกว่าตัวเองผิดทุกที เหมือนคนใจจืดใจดำ ทำเหมือนคนที่ไม่เคยสนิทสนมกันจนแทบจะนับเป็นพี่น้องแท้ ๆกันได้เลย

  แต่ปอเหมือนน้ำท่วมปาก พูดไม่ออก บอกไม่ถูกว่า เขาสับสนแค่ไหนกับสิ่งที่ปืนปฏิบัติกับเขาคืนนั้น

ปืนคงคิดว่าเขาหลับ ก็ใช่ล่ะ ปอหลับสนิทเกือบตลอดทาง เพียงแต่ขณะนั้น เป็นช่วงที่เขารู้สึกตัว

แบบงัวเงียนิด ๆ ง่วงงุนหน่อย ๆ และยังรู้ตัวดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก้ม

ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดเบา ๆ ยังรู้สึกได้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้

   ปอลูบแก้มข้างนั้นช้า ๆ ไออุ่น....มันก็ยังคงอุ่น แค่คิดปอก็ใจหวิว ๆ วูบ ๆ....ไม่รู้เขาเป็นอะไรไป

รู้สึกดีแต่ก็ตกใจในขณะเดียวกัน ไม่ใช่ว่าปอจะไม่รู้ว่ามีความรักในเพศเดียวกัน สมัยมัธยมเขาเคยเห็น

เพื่อนหญิงคบกันเป็นคู่ เห็นเพื่อนผู้ชายที่กิริยาอาการดูแตกต่างไปจากเขาก็เคย แต่ไม่เคยเห็นใครคบกันอย่างจริงจัง

   ระหว่างที่เรียนในมหาวิทยาลัยปอก็เคยเห็นมาบ้างที่ผู้ชายจับคู่กันเอง นัวเนียกันราวกับคู่รัก

ใหม่ ๆมันก็แปลกในความรู้สึก แต่สักพักก็เริ่มชินว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เขาไม่เคยคาดคิดว่า

เหตุการณ์ในทำนองนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

      ปืนรู้สึกกับปอแบบไหน ที่ผ่านมาปืนคิดเช่นนั้นกับเขามาตลอดเวลา และรอที่จะแสดงอาการฉันท์คนรัก

หรือว่าเพิ่งจะมาเป็น เพิ่งจะมารู้สึกกันแน่ เพราะปอรู้ว่าที่ผ่านมาปืนมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมานับไม่ถ้วน

เป็นไปได้หรือที่ปืนจะเปลี่ยนมามีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันได้ แล้วเขาเองล่ะ เขาก็เพิ่งจะอกหักจากเนยนะ

นั่นไม่ใช่ข้อพิสูจน์หรือว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ได้มีใจชื่นชอบเพศเดียวกัน

      แต่แล้วความรู้สึกก้นบึ้งในใจปอก็กลับแย้งเบา ๆ

   เหตุใดตัวเขาเองถึงได้โหยหาไออุ่นอย่างคืนนั้นล่ะ ทำไมถึงใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้พี่ปืน

ทำไมไม่กล้าสบตาคู่นั้นตรง ๆ ทำไมถึงใจหายที่ต้องแยกมาอยู่คนเดียว

...ทำไมและทำไม ล้วนแล้วไม่มีคำตอบให้กระจ่างใจสักคำตอบเดียว


      เสียงโทรศัพท์ดังแว่ว ๆ มาจากในห้อง มีคน ๆ เดียวที่รู้ว่าปออยู่ห้องนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้

ใจหนึ่งอยากจะทำหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ แต่อีกใจกลับสั่งให้เดินเข้าไปยกหู ไม่ต้องโต้ตอบคำใดออกไปก็ยังได้

ขอแค่ได้ยินเสียงคนทางโน้นก็พอ เสียงกริ่งดังอยู่สักพักแล้วหยุดไป ปอเดินกลับเข้าห้อง นั่งลงบนเตียง

แล้วเพ่งมองราวกับจะรอคอยวินาทีที่มันจะกริ่งอีกครั้ง

   แล้วมันก็ดังขึ้นจริง ๆ

   “ปอครับ”

   เสียงถอนหายใจเบา ๆ ถ้าไม่เป็นเพราะปอกำลังกลั้นหายใจ ก็แทบจะไม่ได้ยิน

   “เป็นยังไงห้องใหม่”

   “ก็เหมือน ๆ ที่ห้องพี่ปืนแหละครับ”

   “ขาดเหลืออะไรรึป่าว มีอะไรก็บอกพี่นะ”

   “ไม่มีอะไรครับ ผมอยู่ได้”

   ปอตอบออกไปอย่างที่คิดว่าน่าจะดีที่สุดที่จะทำให้ไม่ต้องห่วงกังวล จะได้ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเขาอีก

   “ทำไมไม่รอพี่กลับมาก่อนล่ะ”

   นึกแล้วว่ายังไงเสีย ปืนก็ต้องถาม เป็นปอก็คงคาใจเหมือนกัน เพราะเราเคยทำอะไรร่วมกันมาตลอด

ธุระของคนหนึ่ง อีกฝ่ายแทบจะไม่เคยต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำไป การช่วยเหลือที่ไม่ต้องร้องขอลักษณะนั้น

มันคงจะค่อย ๆ หายไป เพราะปอตั้งใจว่าเขาจะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่ต้องพึ่งพาพี่ปืนอีกต่อไป

แม้ว่าแรก ๆ มันคงจะยากหน่อย และอาจจะเคว้งคว้างอยู่บ้างแต่มันก็จำเป็น ใคร ๆ ก็เคยผ่านภาวะโดดเดี่ยวกันมาทั้งนั้น

และเขาเหล่านั้นก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี ปอก็คงทำได้เช่นเดียวกัน

   “ผมอยากทำให้มันเรียบร้อยแต่เช้า กว่าพี่ปืนจะกลับมาก็ค่ำทุกที ไหนจะเหนื่อยมาจากที่ทำงานอีก

ผมไม่อยากรบกวน”

   “ก็ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย มะรืนนี้ก็วันเสาร์แล้ว ย้ายกันแต่เช้าก็ยังได้”

   “ไม่เป็นไรหรอกพี่ปืน ผมอยากทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ ไป จะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไม่ต้องมาคอยกังวล”

   “กังวลเรื่องอะไร”

   “เอ้อ....กังวล...เรื่อง....ก็เรื่องของที่ฝากเค้าไว้ข้างล่างนั่นแหละ ฝากไว้นาน ๆ ก็เปลืองเงิน

ค่าห้องก็จ่ายแล้ว เดี๋ยวขาดทุน”

   ปอพูดปนเสียงหัวเราะ ซึ่งเขาคิดว่ามันคงช่วยให้ความเป็นกันเองกลับคืนมาบ้าง

   “แม่โทรมามั่งมั้ย ว่าอะไรรึป่าว”

   “ผมคุยกับแม่ตั้งแต่วันที่ให้โอนเงินมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยอีกเลยครับ แต่แม่รู้แล้วว่าผมจะย้ายออกมาวันนี้”

   “งั้นเดี๋ยวพี่คงต้องโทรไปคุยกับแม่ปอซักหน่อย รับปากไว้ว่าจะดูแลปอให้ แต่ก็ทำไม่ได้”

   “โทรทำไม ผมบอกแม่แล้ว แม่ไม่เห็นว่าอะไรเลย ผมโตแล้ว พี่ปืนไม่ต้องมาคอยดูแลหรอก

ที่ผมออกมาอยู่ตามลำพังก็เพื่อจะพิสูจน์ให้รู้ว่าผมดูแลตัวเองได้ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะว่าพื่ปืนผิดคำพูด

ผมบอกแม่ให้เข้าใจแล้ว”

   “ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ อย่างน้อยพี่ก็จะได้ถามสารทุกข์สุกดิบมั่ง หรือว่าพี่ไม่ควรโทรไป”

   น้ำเสียงของปืนที่ตอบกลับมา ราวกับจะรู้ว่าปอพยายามตัดทุกเรื่องที่จะต้องเกี่ยวข้องกับปืน

เขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้สักหน่อย แต่ปอก็ทำใจลำบากเหลือเกิน ที่จะต้องมารับรู้ว่าความรู้สึกของปืนในวันนี้

ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้น ปอกลับตอบตัวเองไม่ได้เลยว่า ที่จริงแล้วเขาอยากให้มันดำเนินไปแบบไหน

ย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว หรือจะปล่อยให้มันดำเนินไปตามความรู้สึกของใจ

ปอก็ยิ่งทำใจได้ลำบากกว่า....เขาเป็นผู้ชายนะ เคยมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอในเพศตรงข้าม

แล้วอยู่ ๆ จะเกิดมีความรู้สึกรักเพศเดียวกัน มันจะเป็นไปได้ยังไง

....ไม่มีทาง เขาไม่มีทางที่จะเป็นแบบนั้นเป็นอันขาด แล้วป๊ากับแม่ก็คงรับไม่ได้ด้วย

แบบนี้แหละดีแล้ว....ปอสรุปกับตัวเอง ก่อนจะบอกลาปืนทางโทรศัพท์  แล้วล้มตัวลงนอน
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 15-05-2012 00:30:04
น่านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
 :z3:
ตรูว่าแล้วว่าน้องปอต้องรู้แน่เลย
โธ่ๆๆพี่ปืนน่าสงสารเกินไปแล้ว
 :o12:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 15-05-2012 01:21:05
อ๊ากกกกก  โกรธปอโว้ยยยยย

//หยาบคายสักเล็กน้อย  อารมณ์มันขึ้น 555

เชื่อมั้ย ตอนกำลังพิมนี่น้ำตาไหลเลยนะ
ปอใจร้ายชะมัด  ไม่มีพี่ปืนแล้วจะรู้สึก  เฮอะ!

+1 ให้จ้าาาา  อยากอ่านต่อม๊ากกกก  มาไวๆน้าา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 15-05-2012 03:26:40
รอตอนต่อไปนะครับ

เมื่อไหร่จะลงเอยกันซักทีนะ พี่น้องคู่นี้   :z10:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-05-2012 13:01:46
ปอก็คิดได้ถูกต้องนะ แต่สงสารปืน โดนเมินแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 15/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 15-05-2012 14:37:37
       วันเวลาของปืนกับปอสวนทางกันนับแต่นั้น ปืนนับไปนับมาได้เกือบจะสามเดือนแล้ว

หลังจากคืนที่ปอย้ายออกไป เขาโทรศัพท์ติดต่อกับแม่ของปอเป็นระยะ ๆ แรก ๆอาทิตย์ละครั้ง

ต่อมาก็ลดลงเรื่อย ๆ จนเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้โทรไปเกือบเดือนแล้ว....ก็ไม่มีเรื่องจะคุย


     เดือนแรกปืนยังพบหน้าปอบ้างไม่มีการหลบหน้าหลบตาอย่างที่ปืนนึกกลัว แต่การพูดคุยทักทายนั้น

ก็ค่อนข้างห่างเหินปืนพยายามที่จะแสดงให้ปอรู้สึกว่า เขาเป็นที่พึ่งพาได้เสมอเหมือนเดิม

ไม่ว่าปอจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

     แต่นับวันความพยายามของปืนก็ดูจะไร้ผล นอกจากปอจะไม่แวะมาหาประสาคนคุ้นเคยกันแล้ว

ปืนก็อยากจะมั่นใจเหลือเกินว่า ปอจงใจที่จะหลีกเลี่ยงการทักทายกันในที่ต่าง ๆอีกด้วย

       เขาแทบจะไม่รู้ความเป็นไปของปอเลยถ้าไม่โทรถาม ใหม่ ๆ ก็มีเรื่องให้ถามหลายเรื่อง

ทั้งการเรียนและความเป็นอยู่โดยทั่วไป แต่ทุกคำถามก็ได้รับคำตอบที่เหมือนจะบอกปืนเป็นนัย ๆว่า

หยุดยุ่งกับปอเสียที

      ‘ผมไปติวที่เดิมครับ ไม่มีอะไรน่าหนักใจ อาจารย์ก็สอนดี’

      ‘ผมไปเรียนทุกวันครับ ช่วงเช้าถึงเที่ยงกับตอนเย็นไปจนถึงสองทุ่ม ไม่มีเวลาไปไหนเลย’

      ‘เสาร์อาทิตย์ผมไปหอสมุด แล้วก็ไปสปอร์ตคลับบ้าง’

      ไม่เหลือช่องว่างตรงไหนให้ปืนได้แทรกเข้าไปในชีวิตของปออีกแล้วละมั้ง  สุดท้ายเขาก็ต้องยอมแพ้

ไม่ติดต่อปออีกถ้าไม่จำเป็น ซึ่งความจำเป็นที่ว่า ก็ไม่เคยมีมาเลยสักครั้ง นอกจากความคิดถึงที่เขามีให้ปอสม่ำเสมอ

อยู่ห่างกันแค่เพดานกั้น แต่ราวกับอยู่ห่างกันไกลแสนไกล ห้วงเวลาของเขากับปอเดินทางเป็นเส้นขนาน

ราวกับอยู่กันคนละมิติ

   
      ธนาคารที่ปืนทำงานอยู่มีโครงการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลใหม่ เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

และเพื่อให้ทันสมัยกับโลกธุรกิจหมุนเร็วในปัจจุบัน  โดยทุ่มทุนมหาศาลซื้อซอฟท์แวร์จากต่างประเทศ

และเทกระเป๋าซื้อฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ล่าสุด  และที่สำคัญต้องมีบุคคลากรที่มีความสามารถรุ่นแร

กเข้ารับการฝึกอบรมการใช้งานระบบใหม่

      ปืนเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลจำนวนห้าสิบคนจากสาขาทั่วประเทศ ที่เข้ารับการอบรมเมื่อเดือนที่เล้ว

ร่วมกับพนักงานในเขตนครหลวงและปริมณฑลอีกยี่สิบคน เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถมากพอ

ที่จะเป็นวิทยากรเดินสายไปทั่วประเทศ เพื่อสอนงานพนักงานในพื้นที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่

ซึ่งปืนอยู่ในทีมที่รับผิดชอบสาขาในเขตพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง 5 จังหวัด จบหลักสูตรใช้เวลาอบรมสองสัปดาห์

โดยใช้สถานที่อบรมในกรุงเทพ ซึ่งเต็มไปด้วยทฤษฎีล้วน ๆ ปืนพกความเครียดกลับมาเต็มหัว

เพราะถูกคาดหวังว่าจะต้องเผยแพร่ความรู้ให้พนักงานในเขตรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี

     
     กลับมาได้วันเดียวก็ต้องเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทางไปอบรมพนักงานสาขาในจังหวัดใต้สุด

ปืนคงมีเวลาแวะไปเยี่ยมแม่กับป๊าของปอได้บ่อย ๆ เพราะกว่าจะอบรมเสร็จก็คงหลายวัน

นับเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้มีเรื่องคุยกับปอ เขาจะลองถามปอว่ามีอะไรจะฝากถึงที่บ้านมั้ย

แต่คราวนี้ปืนไม่โทรศัพท์หรอก ได้ยินแค่เสียงคงไม่พอที่จะทำให้หายคิดถึงได้

สองเท้าก้าวยาว ๆ ลงบันไดหนีไฟไปที่ชั้นสอง

      ปืนเคาะประตูสองสามที เจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา

      ไม่ได้เห็นปอตั้งแต่ก่อนที่ปืนจะไปอบรมที่กรุงเทพเป็นเดือน จนถึงวันนี้ก็เดือนเศษ ๆ แล้ว

ปืนฉีกยิ้มกว้างขวางทันทีที่หน้าใส ๆ ของปอโผล่มาให้เห็นตรงบานประตูที่แง้มออก

     “พี่ปืน”

     “เป็นไงมั่งปอ สบายดีมั้ย”

     “ครับ พี่ปืนล่ะ”

     “ก็ดี”

      อะไรจะเป็นทางการขนาดนั้น....ปอมีท่าทีขัดเขิน ในขณะที่ปืนแทบจะกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ซะให้ได้

ด้วยความคิดถึงล้นอก และอยากจะระบายออกมาให้ปอได้รับรู้บ้าง

     “พี่ปืนมีอะไรรึป่าว ที่จริงโทรมาก็ได้”
 
     โทรมาจะได้เห็นหน้าเหรอปอเอ๊ย

     “ไม่เป็นไร พี่อยากมาดูความเป็นอยู่ของปอเหมือนกัน”

      สิ่งที่ปืนพูดออกไปไม่ได้ครึ่งของความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้เลย เขาอยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากได้ยินเสียง

อยากเห็นรอยยิ้ม แต่ที่เหนืออื่นใด เขาอยากให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม และปอกลับไปอยู่ที่ห้องเดียวกัน

ถึงห้องจะคับแคบเมื่อมีคนสองคนเดินสวนกันไปมา ข้าวของของเราสองคนก็เต็มห้องไปหมด จนไม่มีที่ทางจะรับแขก

ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะการมีปออยู่ด้วยทำให้ห้องที่เคยว่างเปล่ากลับอบอุ่นและน่าอยู่ขึ้น

ทำให้วันหยุดของปืนมีความหมายมากกว่าคำว่าวันหยุดแต่กลายเป็นวันแห่งความสุข

      ปอถอยหลังให้ปืนเดินผ่านประตูเข้ามาภายใน ปืนดูซูบไปเล็กน้อย วันนี้ยังไม่โกนหนวดโกนเครา

ซึ่งออกจะผิดวิสัยของหนุ่มแบ็งก์อย่างปืน ซึ่งชอบที่จะให้ตัวเองสะอาด สะอ้าน ดูดีอยู่เสมอ

เสิ้อยืดโปโลที่สวมอยู่ก็ไม่เนี้ยบเท่าที่ปอเคยเห็น ดูยังกับเสื้อเก่าเก็บ ชายเสื้อดูจะย้วย ๆ เสียด้วยซ้ำ

ชั่วระยะเวลาไม่นาน ปืนเปลี่ยนแปลงไปมากจนปอไม่อยากจะเชื่อสายตา

     “จะไปไหนเหรอปอ”

      ปืนถามด้วยความแปลกใจ ที่มองเห็นกระเป๋าเป้สะพายหลังใบเก่งของปอวางอยู่ข้าง ๆ

กองเสื้อผ้าสามสี่ชุดบนเตียง

     “กลับบ้านครับพี่ปืน”

     เยส!!....ทำไมจังหวะมันช่างพอเหมาะพอดีอย่างนี้นะ ปืนนึกกระหยิ่มในใจ ทั้งที่สีหน้ายังวางเฉย

     “ไม่มีเรียนเหรอ”

     “จบไปสองคอร์สแล้วครับ บ่ายนี้อีกคอร์สนึง ผมว่าจะไปซักอาทิตย์ กลับมาก็สมัครเรียนภาษาอังกฤษพอดี

วิชาอื่นผมว่าจะหยุดซักเดือน ขอพักสมองซักหน่อย”

     พูดยาว ๆ ก็เป็นนะปอ พี่ปืนนึกว่าถามคำตอบคำเป็นอยู่อย่างเดียวซะแล้ว

     “จะไปเมื่อไหร่ เรียนเสร็จเหรอ”

     “ไม่ครับ ผมว่าจะไปพรุ่งนี้เช้า”

   เยส!!...อีกซักครั้ง ปืนนึกขอบคุณอะไรก็ได้ที่ทำให้จังหวะของเขากับปอ ประสานกันได้อย่างลงตัวในครั้งนี้

หลังจากที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และปืนแทบจะต้องชอกช้ำระกำใจมาตลอดสามเดือนกว่า ๆ

     “ซักเจ็ดโมง เช้าไปมั้ย”

   ปอเลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ....ก็คงไม่เข้าใจหรอก เพราะปืนเล่นสรุปเอาดื้อ ๆ ว่า ก็ในเมื่อพรุ่งนี้เช้า

เขาก็ต้องเดินทางอยู่แล้ว ให้ปอนั่งไปด้วยกันก็คงไม่เป็นไร รถตู้ของสำนักงานบริหารภาคใต้ตอนล่างของธนาคาร

มีคนโดยสารไปแค่หกคนรวมคนขับรถ จะมีปอนั่งไปด้วยอีกคนคงไม่คับแคบลงสักเท่าไร มีแต่จะทำให้บรรยากาศในรถ

(สำหรับปืน) อบอวลไปด้วยละอองแห่งความสุขปนมากับแอร์เย็นฉ่ำไปตลอดทางล่ะไม่ว่า

      แล้วคำว่า ‘ได้ครับ’ จากปากของปอก็สร้างความพึงพอใจ จนต้องระบายออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

    ...คงจะกว้างที่สุดจากระยะเวลานับถอยหลังไปสามเดือนเศษ ตั้งแต่วันที่ปอ ย่างเท้าออกจากห้องของปืนนั่นแหละ


     ปอปิดประตูตามเมื่อส่งปืนที่หน้าห้องแล้ว เขานึกถึงช่วงสุดท้ายก่อนที่ปืนจะกลับออกไป

หลังจากคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งส่วนใหญ่ปืนจะถามปอซะมากกว่า เวลาสองชั่วโมงผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

แล้วจึงมาปิดท้ายที่เวลานัดในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หน้าอพาร์ทเมนท์

   “รถมารับประมาณเจ็ดโมงนะ แต่ถ้าตื่นไม่ทันก็บอกพี่จะได้ให้เค้าไปรับคนอื่น ๆ ก่อนแล้วค่อยย้อนกลับ

มารับเราสองคนทีหลัง”

  “ทันครับพี่ปืน พี่เป็นหัวหน้าทีมนะ ทำอย่างงั้นได้ไง เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะว่าเพราะผมทำให้ต้องเสียเวลาไปด้วย”

   “ดีแล้วล่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”

   ปืนยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงบอกลาแต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อปอเรียกเขาไว้

   “พี่ปืนหยิบเสื้อมาใส่ผิดรึป่าวน่ะ”

   ปืนทำหน้าเหวอ ก้มลงดูเสื้อที่ตัวเองสวม....ก็เสื้อเขานี่หว่า มีอะไรแปลกงั้นหรือ

   “ผมนึกว่าพี่หยิบผ้าขี้ริ้วมาใส่แทนเสื้อน่ะ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ขอโทษนะครับ มันดูโทรมมากเลยอ่ะ พี่ปืนรู้ตัวรึป่าว”

   แล้วประตูห้องก็งับสนิท ไม่เปิดช่องให้ปืนทำหน้ายักษ์ใส่เขาได้

   ปอยิ้มน้อย ๆ ให้กับช่วงเวลาสองชั่วโมงที่เพิ่งผ่านไป รู้สึกราวกับความหนักหน่วงที่ถ่วงหัวใจมาหลายเดือน

 ได้ผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว เขารู้สึกตัวเบาจนแทบจะลอยล่องไปในอากาศได้

ปอลองกระโดดตัวลอยขึ้นจากพื้นก็รู้สึกคึกคักขึ้น ลองอีกทีคราวนี้กระโดดจากพื้นขึ้นไปบนเตียง

แรงยืดหยุ่นของเตียงสปริงส่งร่างของปอให้กระดอนจนเสียหลักล้มพับไปนอนหมอบอย่างไม่เป็นท่า

เขาพลิกตัวหงายขึ้นมองเพดานห้อง แต่ในความคิดกลับทะลุเลยเพดานขึ้นไปถึงชั้นสามเข้าไปในห้อง

...ป่านนี้พี่ปืนกำลังทำอะไร คงจะกำลังจัดกระเป๋าเสื้อผ้า หรือไม่ก็นอนดูโทรทัศน์ หรืออาจจะกำลังนอนอ่านหนังสือ

....หรือว่าจะไม่อยู่ในห้อง

   มือไวเท่าความคิด ปอคว้าโทรศัพท์กดเลขห้องของปืนทันที เสียงปลายสายตอบมา

   “ห้อง......ครับ”

   “เอ่อ....มะ....ไม่ออกไป....ไปไหนเหรอครับพี่ปืน”

   “อ้าว! ปอมีอะไรรึป่าว”

   “คือผม.....ผมอยากเอ้อ....”

   “หรือว่าไม่ไปแล้ว”

   “ไปครับไป ผมโทรบอกแม่แล้วว่าจะกลับก็ต้องกลับ เดี๋ยวแม่รอเก้อ”

     “แล้วมีอะไรรึป่าว”

     “เย็นนี้เลี้ยงพิซซ่าผมนะ ผมอยากกิน แต่ไม่มีเพื่อนอ่ะ กินคนเดียวไม่อร่อยเลย”

      ปอพูดออกไปอย่างที่เคยนึกบ่อย ๆ เวลาที่สั่งพิซซ่ามากินที่ห้อง หรือแม้แต่เวลาออกไปกินที่ร้านคนเดียวก็เถอะ

มันเหงาจับใจที่ต้องนั่งกินคนเดียว พิซซ่าที่เคยชอบ กลายเป็นเมนูต้องห้าม

เพราะมันคอยเตือนให้นึกถึงคนที่เคยกินด้วยกันอยู่เสมอ

   “ได้เลย ไปกินที่ร้านนะ พี่จะได้ซื้อของฝากป๊ากับแม่ปอด้วย”

   “ครับพี่ปืน”

   ปอวางโทรศัพท์พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยังหุบไม่ลง พอสบตาตัวเองในกระจกถึงได้รู้ตัว ปอก้าวเข้าไปจนชิดบานกระจกเงา

เพ่งดูหน้าตัวเองก็เห็นผิวแก้มซ่านจนเป็นสีแดงเรื่อ ๆ เขาควรต้องยอมรับสักทีใช่มั้ยว่า การที่มีพี่ปืนป้วนเปี้ยนอยู่ในชีวิต

มันทำให้วันคืนของเขามีความหมายขึ้นมามากอย่างคาดไม่ถึง


   ไม่ได้กินพิซซ่าด้วยกันมานานพอดู ปืนรู้ว่าเป็นของชอบของปอ และการที่ปอยอมรับกับเขาว่ากินพิซซ่าคนเดียวไม่อร่อย

ก็น่าจะหมายความว่า ปอเริ่มจะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว แต่จนแล้วจนรอดปืนก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรทำให้ปอ

ทำตัวเหินห่างกับเขาเป็นนานสองนาน และการที่ปอกลับมาเหมือนเดิม เป็นเพราะปอลืมเรื่องราวที่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

....ปอให้อภัยในความผิดของเขา หรือว่าปอคิดขึ้นมาได้ว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่ ปืนไม่รู้อะไรเลย

แม้แต่จะเดาก็เดาไม่ออก คงได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไป และทำให้สถานการณ์ระหว่างเขากับปอกลับมาเป็นปกติเร็ว ๆ

   “กินใหญ่เลย พี่นึกว่าจะกินไม่หมดนะเนี่ย”

   “หมดดิพี่ปืน ผมไม่ได้กินมาสองเดือนแล้วนะ ชวนเพื่อนมาก็ไม่เจริญอาหารเลย”

   “เพื่อนแย่งกิน แล้วเราก็กินไม่ทันเค้าล่ะสิ”

   “ไม่ใช่ซักหน่อย ไม่มีคนจ่ายตังค์ให้ต่างหาก”

   ปอยิ้มกวน ๆ ทั้งที่คราบซอสยังเลอะไปทั้งปาก ปืนก็ยังเห็นว่าน่ารัก

(ทีแม่สาวที่แปรงฟันบนรถไฟกลับว่าน่าเกลียด ลำเอียงนะไอ้ปืน)

   “ซื้ออะไรไปฝากแม่ดีล่ะปอ”

   “แล้วแต่พี่ปืนดิ ตังค์พี่นี่นา”

   “พี่เลือกไม่ถูก ไม่รู้ว่าป๊ากับแม่ชอบอะไร ปอเลือกแล้วกันพี่จ่ายตังค์เอง”

   “พี่ปืนให้อะไร เค้าก็ถูกใจไปหมดแหละครับ จะเป็นลูกรักมากกว่าผมอีกนะ”

   “ไม่หรอก เค้าคงเกรงใจพี่มากกว่า แต่พี่ก็ไม่ได้อยากให้เค้าเกรงใจนะ แม่ชอบพูดเรื่องเก่าเรื่อยเลย”

   “ก็เค้าซาบซึ้งนี่นา เพราะถ้าพี่ไม่ช่วยผมตอนนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร”

   ปอเท้าความเรื่องเก่าทีไร ปืนเป็นต้องเขินจนเอามือลูบท้ายทอยทุกที  ตอนนั้นเค้าแค่อยากจะใกล้ชิด

ไม่เคยคิดเลยว่าความรู้สึกของเขาจะถลำลึกกว่านั้นไปมาก

   “ยิ่งป๊านะ ไม่ต้องพูดถึง บอกให้ผมขยันตั้งใจเรียนจะได้มีงานมีการทำดี ๆ อย่างพี่ปืน”

   “งานอย่างพี่น่ะหนักนะ ปอเรียนดีกว่าพี่ต้องไปได้ดีกว่าอาชีพพนักงานธนาคารอยู่แล้ว

แถมที่บ้านยังมีกิจการค้าขายเป็นของตัวเอง ดีไม่ดี ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาทำงานที่ได้เงินเดือนสูง ๆ อีก”

   “โห พี่ปืนคิดไปไกลจัง ผมยังไม่ทันได้สอบเรียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ”

   “ตอนนี้ยัง แต่พี่รู้ว่าปอก็กำลังเตรียมตัวอย่างดี เอ็นฯปีหน้าก็คงได้ที่ดี ๆ อีกนั่นแหละ

   “ผมก็พยายามอยู่นะครับ แต่ก็ไม่รู้จะทำได้ดีแค่ไหน ผมตั้งเข็มเอาไว้แค่คณะเดียว ไม่เหวี่ยงแหเหมือนปีทีjแล้ว

 จะได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบให้เต็มที่ นี่ผมก็ลองทำข้อสอบของปีก่อน ๆ ดูนะ แล้วก็ทำได้เยอะด้วย”

   ปอมีท่าทีที่มุ่งมั่นในการเตรียมตัวสอบครั้งนี้มาก ข้อสอบเก่า ๆ ของปีที่ผ่านมาเขาก็ซื้อมาลองทำ

 ไหนจะอาจารย์ที่สอนพิเศษสรรหามาให้อีก เขาคิดว่าคงจะครอบคลุมเนื้อหากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นไปแล้ว

   “เลือกคณะเดียวเกิดพลาดขึ้นมา ก็ไม่ต้องเรียนกันพอดี”

   ปืนเริ่มวิตกแทน

   “โธ่! พี่ปืน ไงมาตัดกำลังใจกันอย่างงี้อ่ะ”

   ปอท้วงอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่าปืนห่วง

   “พี่น่ะให้กำลังใจปอตลอดแหละ แค่ไม่อยากให้ปอเสียโอกาส เลือกคณะอะไรที่ชอบอีกซักคณะดีมั้ย”

   ปอส่ายหน้า

   “พี่ปืนรู้มั้ย ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะผมพยายามกดดันตัวเองว่าต้องทำให้ได้  ไม่งั้นผมจะก็จะเคว้งคว้างไปอีกปี

อีกอย่างนึง ที่มอนี้มีคณะที่ผมอยากเรียนแค่คณะเดียว  ถ้าผมเลือกคณะอื่นสำรองไว้อย่างที่พี่ปืนว่ามันก็จะลงเอยเหมือนปีนี้

ที่ผมไม่ยอมทนอะไรที่เรารู้สึกไม่กลมกลืนแล้วก็ทิ้งมันกลางคัน”

   “อ้าว! ไม่ใช่เพราะเนยหรอกเหรอ”

   “นั่นก็ด้วย แต่แค่เรื่องนั้นมันไม่ได้สั่นคลอนความเป็นอยู่ของผมมากเท่าไหร่หรอก  ไม่มีแฟนก็ดี

ผมจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องคอยพะวงเอาใจใคร  แต่เรื่องเรียนกับกิจกรรมต่างหาก

ที่ทำให้ผมเบื่อที่อยู่กับมันทุก ๆ วัน  เบื่อที่จะทำในสิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมจะทำไปเพื่ออะไร

ทั้ง ๆ ที่ไมได้ชอบเลยซักนิดเดียว พี่ปืนน่าจะเคยผ่านความรู้สึกอึดอัด เวลาที่ต้องจำใจทำอะไร

ที่มันขัดแย้งกับความต้องการของตัวเองจริงมั้ย”

   ปืนรู้สึกว่าปอโตขึ้น คิดอย่างคนที่เข้าใจตัวเองและรู้จุดมุ่งหมายในชีวิต หรือจะเป็นผลพวงมาจาก

การที่ได้ย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง ถ้าเช่นนั้นปืนคงต้องปล่อยให้ปอได้อยู่ในแบบที่เขาได้เลือกแล้วใช่มั้ย

ปืนคงเป็นได้เพียงคนที่เฝ้ามองปอเติบโตด้วยความห่วงใยใช่หรือไม่

   ....อืม....แบบนี้คงจะดีกว่าสินะ


   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมื่อปอกำลังยกเป้ขึ้นสะพายไหล่ อีกไม่ถึงห้านาทีก็เจ็ดโมงเช้า

ปอคิดว่าเขากระโจนลงบันไดเดี๋ยวเดียวก็ถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ทันเวลานัดพอดี

   “เสร็จรึยังปอ”

   “เสร็จพอดีตอนพี่ปืนเคาะประตูแหละครับ”

   ชายหนุ่มสองคนเดินลงบันไดมาถึงล็อบบี้ เรียกความสนใจจากสายตาสาว ๆ ที่นั่ง ๆ เดิน ๆ อยู่แถวนั้นได้มากพอดู

คนที่สูงใหญ่กว่าสวมเสื้อยืดโปโลสีน้ำทะเลกางเกงผ้าเวสปอยท์สีเข้ม อีกคนที่ร่างเล็กและบางกว่า

สวมเสื้อยืดคอกลมแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์ ใบหน้าทั้งคู่หมดจดสะอาดสะอ้านพอ ๆ กัน

เพียงแต่คนตัวโตผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย และมีใบหน้าคมเข้มแบบชาวใต้ แต่คนตัวเล็กผิวขาว

 หน้าตาเกลี้ยงเกลาปากนิดจมูกหน่อยสไตล์วัยรุ่นเกาหลี ผมดำยาวเคลียบ่า สะบัดพริ้วยามก้าวเดินเร็ว ๆ

   รถตู้จอดรออยู่แล้วเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงริมฟุตปาธ ประตูถูกเลื่อนออก ทั้งปืนและปอมุดเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังสุด

   “เก็บที่นอนไว้ให้คุณปืน เผื่อง่วงขึ้นมาจะได้เหยียดสบาย ๆ”

   เพื่อนร่วมงานหนุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่เบาะหน้าถัดจากเขาไป หันมาพูดล้อ ๆ

   “น้องชายเหรอคุณปืน”

   “อ่า...ครับ ชื่อปอ...คนนี้พี่หมอก”

   ปืนแนะนำผู้ชายคนแรกที่ทักเขาให้ปอยกมือไหว้ก่อน

   “ที่นั่งคู่พี่หมอกก็พี่เอก พี่ผู้หญิงผมยาวชื่อพี่มล อีกคนก็พี่น้ำ ส่วนคนข้างหน้าสุดชื่อพี่ภพ 

คนสำคัญที่ถ้าไม่มีเขาเราก็ไปไม่ได้ พี่จ๋าย โชเฟอร์ของเราเอง”

   ปอไหว้จนครบทุกคนพร้อมกับส่งรอยยิ้มใส ๆ

   “น้องชายคนละพ่อคนละแม่ล่ะสิปืน”

   “ก็แหงล่ะครับ น้ำ ดูสีผิวก็รู้แล้ว”

   ปืนพูดไปหัวเราะไป ก็ปอดูยังไงก็มีเชื้อจีน ในขณะที่เขาดูก็รู้ว่ามีบรรพบุรุษทำไร่ทำนาแน่ ๆ

   “หน้าตาน่ารักนะน้องปอ ยังเรียนอยู่ใช่มั้ยคะ”

   พี่มลชวนคุย ขณะที่รถเคลื่อนออกไปสู่การจราจรบนท้องถนน

   “ครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว กำลังเตรียมตัวเอ็นฯใหม่ปีหน้านี้แหละครับ”

   “งั้นพี่ขอให้โชคดีนะคะ ปีนี้เอ็นฯไม่ติดไม่เป็นไร ปีหน้าลองใหม่”

   “ใครว่าเอ็นฯไม่ติด นี่น่ะสอบเข้าที่ม......ได้นะครับ แต่ไม่ชอบก็เลยลาออกไม่อยากเสียเวลาไปเปล่า ๆ

เอาเวลามาเตรียมตัวสอบคณะที่เค้าชอบดีกว่า”

   ปืนรีบชี้แจง

   “โอ้โห เก่งจังเลยน้องปอ พี่น้ำเสียดายแทนนะเนี่ย”

   “ผมก็เสียดายครับ แต่เสียดายเวลามากกว่า สู้เรามาเริ่มต้นใหม่ ได้เรียนอะไรที่เราชอบดีกว่า”

   “เออ....แล้วนี่จะกลับบ้านกี่วัน ขากลับจะกลับพร้อมพวกพี่ก็ได้นะ”

   พี่หมอกเอ่ยชวนอย่างมีน้ำใจ

   “ตั้งใจจะอยู่ซักอาทิตย์นึงครับ แต่ไม่แน่ผมอาจจะขอติดรถกลับด้วยก็ได้ พวกพี่ไม่รังเกียจนะครับ”

   “รังเกียจอะไร น้องปืนแท้ ๆ”

   น้ำพูด   

   .....ไม่แท้เว้ย....

   “ก็ไม่แน่นะ ลองถามหัวหน้าทีมเค้าก่อนมั้ย”

   พี่หมอกแกล้งแซวปืน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีม ปืนได้แต่ยิ้มกว้าง เขาก็เพิ่งรู้นี่แหละว่า ปอเปลี่ยนแผนจะกลับด้วยกัน

...เฮ้อ! จะมีอะไรสุขใจเท่านี้เป็นไม่มีอีกแล้ว

   ทีมงานของปืนเข้าพักที่โรงแรมที่ได้จองไว้ล่วงหน้า แต่ปืนขอยกเลิกส่วนของจ๋าย เพราะเขาจะไปพักบ้านของปอแทน

 โดยยกสิทธิของเขาให้จ๋ายคนขับรถ และยังทำให้คนเข้าพักครบคู่พอดีอีกด้วย

   “ประหยัดให้แบ็งก์น่ะครับ”

   ปืนบอกกับทีมงานทั้งหมดว่าบ้านของปออยู่ในตลาด ถ้ามีเวลาว่างพอเขาจะชวนไปกินข้าวที่บ้าน

   (ชวนยังกะบ้านตัวเองเลยนะไอ้ปืน)

   (ปรึกษาเจ้าปอแล้วเว้ย!!!)

   ทีมงานไม่มีใครคัดค้านอยู่แล้วเพราะยังไงปืนก็เป็นหัวหน้าทีม ใครล่ะจะกล้า แล้วอีกอย่าง จ๋ายจะได้นอนโรงแรมดี ๆ

กับพวกเขาด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องไปหาเช่าโรงแรมที่ราคาย่อมเยากว่านี้ เพราะเกินกว่าสิทธิการเบิก

ของตำแหน่งพนักงานขับรถ

   การอบรมพนักงานผ่านไปได้ด้วยดี อุปสรรคมีเพียงเรื่องเดียวก็คือเวลา  เนื่องจากพื้นที่แถบนี้ยังคงมีปัญหาการก่อการร้าย

อย่างต่อเนื่อง มองจากสายตาคนภายนอกดูจะน่ากลัว  แต่ความจริงแล้ว ในเขตตัวเมืองไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

พนักงานที่มาจากสาขาต่าง ๆ  ทั้งสามจังหวัดที่จะมาอบรมต่างหาก ดูจะน่าเป็นห่วงมากกว่าในเรื่องของสวัสดิภาพ

ระหว่างการเดินทาง  ดังนั้นผู้บริหารจึงให้พนักงานที่มาอบรมพักอยู่ในโรงแรมจนกว่าการอบรมจะสิ้นสุด

 ก็ดีไปอย่างที่ปืนและลูกทีมจะได้ไม่ต้องตระเวณไปตามสาขา ซึ่งนั่นก็นับว่าเสี่ยงพอสมควร

เหตุการณ์ร้ายมักจะเกิดในช่วงเช้าตรู่ หรือไม่ก็ช่วงหัวค่ำ ซึ่งเป็นเวลาที่ออกเดินทางเสียด้วย

   วันที่เดินทางกลับเป็นไปอย่างที่ปืนภาวนา นั่นก็คือปอเดินทางกลับพร้อมกัน  ทั้งที่ใจจริงเขาก็อยากจะให้ปอได้อยู่กับ

ครอบครัวนาน ๆ เพราะใช่ว่าปอจะได้มีโอกาสกลับบ้านบ่อย ๆ  ซึ่งมีสาเหตุมาจากทั้งเรื่องการเรียน

และสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะสงบนัก

   “กลับเลยก็ดีเหมือนกันลูก เดินทางไปกับพี่ ๆเค้า แม่กับป๊าจะได้ไม่ห่วง”

   แม่พูดด้วยอย่างตัดใจ ต่างก็รู้ดีว่าตั้งแต่ปอออกจากบ้านไป ที่บ้านก็เงียบเหงาลงมาก แต่ที่ต้องยอมก็เพื่ออนาคต

และความปลอดภัยในชีวิตของลูกชายคนเดียว

   “ฝากน้องด้วยนะปืน มีอะไรก็ดุด่าว่ากล่าวได้เลย”

   “ครับแม่”

   “ผมดูแลตัวเองได้น่าแม่ก็”

   ทั้งปืนและปอพูดขึ้นพร้อมกัน

   “ค่าเช่าตึกแม่ให้เค้าโอนเข้าบัญชีของปอแล้วนะ ต่อไปแม่จะไม่โอนเงินให้แล้ว  ปอก็ต้องใช้จ่ายระมัดระวังหน่อย

เดือน ๆ หนึ่งค่าเช่าก็ไม่น้อย แม่ว่าจะพอค่าเทอมได้ตลอดปีซะด้วยซ้ำไป พี่ปืนน่ะหมั่นดูบัญชีปอให้แม่ด้วยนะลูก

ถ้าปอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ก็ช่วยโทรบอกแม่ที”

   “ครับ”

   “ผมจะใช้อย่างประหยัดครับแม่ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่จ่าย จะกินจะใช้แต่ของพี่ปืน”

   “เฮ้ย!...”

   ปืนร้อง ส่วนเจ้าปอหันมายิ้มหน้าทะเล้นใส่

   “ไปรบกวนพี่เค้าได้ยังไง ของตัวเองก็มี แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังรู้มั้ย”

   แม่กำชับก่อนจะส่งทั้งสองคนขึ้นรถตู้ออกเดินทางกลับ ปืนยึดที่นั่งเดิมเหมือนตอนขามา  ปอทำท่าจะไปนั่งเบาะหน้า

แต่ใคร ๆ ก็นั่งเป็นคู่อยู่แล้วยังกะจองตั๋วล่วงหน้า ก็เลยมานั่งกับปืนเหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่าทำไมปอถึงไม่อยากนั่งกับเขา

 ปืนว่าสถานการณ์ระหว่างเขากับปอก็ดีขึ้นนะ ช่วงเวลาที่พักอยู่บ้านปอ ก็พูดคุยหยอกล้อสนิทสนมกันดี

แต่พอขึ้นรถทำไมถึงกลับเป็นอย่างนี้ไปได้

   “ปอมานั่งข้างหน้ากับพี่มั้ยครับ”

   พี่เอกซึ่งอาวุโสที่สุดในทีมหันมาชวนปอไปนั่งที่เบาะหน้า ปืนมองปออย่างแปลกใจ เพราะพี่เอกไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุย

โดยเฉพาะกับปอก็เพิ่งจะรู้จักกันตอนขามานี่เอง ระหว่างอบรมก็ได้คุยกันบ้าง ปืนคิดว่าแทบจะไม่มีเวลาคุยกันเสียด้วยซ้ำ

 แล้วนี่สนิทกันถึงขนาดชวนไปนั่งด้วยกัน จะไม่ให้แปลกใจยังไงไหว

   แล้วเจ้าตัวดีก็ปฏิบัติตามหน้าตาเฉย ลุกขึ้นจากที่นั่งข้างปืนออกไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อหน้าระรื่นอยู่ที่เบาะหน้าโน่น

ตอนนี้อารมณ์เบิกบานที่พกมาเต็มหัวใจกลายเป็นพายุทอร์นาโดไปซะแล้ว....ปอไปสนิทกับพี่เอกตอนไหน

แล้วพี่เอกนึกยังไงถึงมาตีสนิทกับปอ ทั้งที่เขาเป็นคนพามา จะเรียกว่าเป็นน้องชายก็ว่าได้

   ปืนหวาดหวั่นยังไงบอกไม่ถูก ก็พี่เอกน่ะ เกย์ต้นฉบับเลยเชียวนะ เจ้าปอไม่มีทางดูออกหรอก ไร้เดียงสาปานนั้น

จะไปทันเสือเขี้ยวคมอย่างพี่เอกได้ยังไง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 14/5/2555 รอบดึก
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 15-05-2012 14:54:27
หน่วงจัง o22
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 15/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 15-05-2012 15:05:23
พี่ปืน...ดีเกิ๊นนนนน
ไม่โกรธอะไรสักอย่าง
คนอ่านนี่สิ  โกรธนำไปไกล  555
อยากให้ปอได้รู้สักที  ว่าไม่มีพี่ปืนจริงๆมันเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 15/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 15-05-2012 15:35:05
เห็นชื่อปุ๊บกดเข้ามาทันทีเลย ตอนแรกคิดอยู่ว่าชื่อพ้องรึเปล่าเนี่ย (มันจะพ้องทั้งชื่อนิยาย-ชื่อคนเขียนได้ไงเนาะ)
ใช่เลยตัวจริงเสียงจริง  :กอด1:ดีใจจริงๆนะเนี่ย :pig2:ยินดีต้อนรับน้องนู กด+ กดเป็ด ต้อนรับเลยจ้ะ
พาพี่ปืนน้องปอมาเป็นขวัญใจชาวเล้าแล้ว
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 15/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-05-2012 17:26:00
ขามาเหมือนจะดี ตอนลาแม่ก็ยังดีอยู่ ไหงขากลับน้องปอไม่อยากนั่งกับพี่ปืนแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 15/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 15-05-2012 19:29:50
น้องปอทำไมไม่น่ารักเลยอ่ะ
 :serius2:
รู้ก็รู้ยังทำให้พี่ปืนเสียใจอยู่นั่นอ่ะ
แบบนี้คุณแม่(?)ไม่ปลื้มนะคะ
 :a14:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 16-05-2012 23:56:42




บวกเป็ดให้ แทนกำลังใจที่ผมได้รับจากทุกคนนะครับ

ขอบคุณครับ  :pig4:

ดีใจจัง มีคนที่จำผมได้เข้้ามาอ่านเรื่อย ๆ

หวังว่าจะไม่เบื่อผมไปซะก่อน

ช่วงต่อไปผมอาจจะไม่ได้ทักชื่อของทุกคนนะครับ อาจจะไม่ตอบทีละคอมเม้นท์

ขอสงวนหน้าโพสท์ไว้เผื่อว่าจะได้หานิยายได้ง่ายหน่อย

แต่ขอให้รู้ว่าผมอ่านทุกถ้อยคำจริง ๆ

  :3123:

ม่ะ....อ่านต่อกัน















 “ปอ ขอพี่คุยหน่อยได้มั้ย”

   ปืนพูดขึ้นหลังจากประตูลิฟท์ปิดลง

   “มีอะไรเหรอครับ”

   “พี่ขึ้นไปเก็บของแล้วจะลงมา”

   “พี่ปืนจะมาคุยที่ห้องผมเหรอ”

   “ได้มั้ย”

   ปอพยักหน้า พอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดออก เขาก็ก้าวออกไปพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลังคู่ใจ

ออกเดินแบบไม่เหลียวหลัง

   อาการพยักหน้าที่ไม่ใช่คำเชิญให้ไปคุยที่ห้อง ก็ทำเอาปืนแทบจะเปลี่ยนใจไม่อยากคุย แต่เขาไม่อยากให้ปอเสียท่าพี่เอก

   ....ก็ไม่รู้ล่ะนะ ว่าพี่เอกคิดจะสานสัมพันธ์กับปออย่างที่เขาระแวงหรือเปล่า แต่เขาไม่อยากให้ปอใกล้ชิดกับพี่เอกล่ะเป็นดีที่สุด

เห็นเงียบ ๆ ขรึม ๆ อย่างนั้น พี่เอกล่ะร้ายน่าดู ขนาดแฟนเก่ายังโดนซ้อมจนต้องหามเข้าโรงพยาบาล แค่แสดงความหึงหวง

ไม่เป็นที่ไม่เป็นทาง  คนอารมณ์แรง มือหนักตีนหนักอย่างนั้น อย่าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า

   ปืนรีบวางข้าวของกองลงกับพื้น แล้วเดินกลับลงไปที่ห้องของปอทันที ก็ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน

   รู้แต่ว่าเขาร้อนใจมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้

    อดจะคิดไปต่าง ๆ นานาไม่ได้ ว่าพี่เอกจะติดต่อปอก่อนที่เขาจะทันได้ออกปากเตือน
   
    หรือไม่ก็อาจจะนัดปอไปกินข้าวกันโดยที่เขาไม่รู้

      อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ ขณะที่ปอนั่งคู่ไปกับพี่เอกที่เบาะหน้า ก็มันนานตั้งสี่ชั่วโมงเชียวนะที่อยู่บนรถน่ะ

ใครจะไปรู้ว่า ทั้งคู่คุยอะไรกันบ้าง

   กว่าปอจะมาเปิดประตูให้เขาเข้าไป ปืนก็รู้สึกเหมือนรอเป็นสิบนาที ไม่ใช่แค่อึดใจ

   “เคาะซะรัวเชียวพี่ปืน ผมกระโดดมาแทบไม่ทัน”

   “เอ้อ...พี่ขะ...ขอโทษ”

    อ้าว...แล้วยังไง ปืนกลับอึกอักอ้ำอึ้งซะเอง ทั้งที่เขาน่าจะพูดได้คล่องลิ้น ก็ไอ้ที่จะมาบอกน่ะ เพื่อตัวของปอเองนะ

เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้หมุนหน้าคอมฯ ที่ยังเปิดโปรแกรมบางอย่างค้างไว้

   “กำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

   “ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ๆ น่ะครับ กำลังจะนอนเล่น ก็พอดีพี่ปืนเคาะรัวอยู่หน้าประตูอ่ะแหละ”

   บรรยากาศชวนให้อึดอัด อาจจะเป็นปืนที่รู้สึกไปเอง เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันอัดอยู่ในใจจะบอกไอ้ตัวต้นเหตุก็ไม่ได้

มิฉะนั้นความสัมพันธ์ที่เพิ่งจะต่อติดหมาด ๆ อาจจะสะบั้นลงอีกครั้ง แต่ไอ้เรื่องที่ตั้งใจจะมาบอกก็ติดอยู่ปลายลิ้นนี่เอง

ไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยประโยคไหนดี....ใคร ๆ หลายคนคงเคยมีอาการที่คันปากอยากพูด

แต่ก็กลัวผลที่ตามมา จะไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย
 
   คิดอีกที เขาตระหนกตกใจไปก่อนรึเปล่าที่คิดว่าพี่เอกกำลังจะสานสัมพันธ์กับปอ แค่เรียกไปนั่งด้วยกันที่เบาะหน้า

มันสรุปได้อย่างนั้นจริงๆหรือ

   แต่ว่า...ไม่มีเหตุผลอื่นเลยนี่นา ที่พี่เอกจะชวนปอไปนั่งด้วย ปอมากับเขา ที่นั่งข้างหลังก็ว่างพอ

แล้วปอก็ไม่ใช่คนเมารถ ที่ต้องให้นั่งเพ่งถนนข้างหน้าตลอดเวลา เพื่อแก้อาการเมา

   “พี่ปืนมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

   ปอเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน แต่ยังไม่ทันไรเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง

   “สงสัยจะเป็นคนส่งพิซซ่า”

   ปอพึมพำลอย ๆ ก่อนจะก้าวยาว ๆ ไปเปิดประตู

   ปืนก็เลยได้โอกาสสังเกตว่าปอสูงขึ้นกว่าเดิม ขาที่เคยเห็นว่าขาว ๆ เรียว ๆ ตอนนี้ก็ยาวขึ้น และได้รูปได้ร่างสวย

มีแค่ไรขนบาง ๆ ที่มากกว่าผู้หญิงนิดหน่อย ขายาว ๆ คู่นั้นก้าวเข้ามาใกล้ปืนพร้อมกับคำถาม

   “พี่ปืนมองอะไรน่ะ...ขาผมเหรอ”

   ปืนรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ๆ รีบเงยหน้าขึ้น ก็สบตาที่มองตรงมาขำ ๆ

   “ก็...เออ...อืม...พี่ว่าปอสูงขึ้นนะ”

   “ครับ ก็ผม 19 แล้วนะพี่ปืน สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วตั้ง 6 เซ็นแน่ะ”

   ปอวางพิซซ่าของโปรดลงบนโต๊ะหนังสือ ที่ตอนนี้โล่งสะอาด แต่ยังมีหนังสือวางเป็นตั้งอย่างมีระเบียบ

รวมอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปหยิบแก้วน้ำที่เป็นแก้วจริง ๆ เนื้อใส ตักน้ำแข็งเกร็ดใส่แก้วสองใบ

เทเครื่องดื่มเรียบร้อยก่อนจะยื่นส่งให้ปืน

     ทั้งหมดที่ปอทำ เคยเป็นสิ่งที่ปืนมักจะเป็นฝ่ายทำให้ ตลอดเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของเขา

แต่วันนี้ปอกลับเป็นฝ่ายทำให้เขาบ้าง มันให้ความรู้สึกดีจริง ๆ นะ และยิ่งดีขึ้นไปอีก

เมื่อปอหยิบพิซซ่าใส่จานใบเล็กส่งมาให้ปืน

   “ไม่กลัวแก้วแตกแล้วเหรอ”

   ปืนล้อ เพราะแก้วกับปอ เป็นอะไรที่อยู่ใกล้กันไม่ได้ แก้วจะเป็นฝ่ายแพ้ไปเสียทุกที ปืนเสียเงินซื้อแก้วไปหลายโหล

ในตอนนั้น  แต่ก็ไม่เคยนึกเสียดาย เมื่อเทียบกับวันคืนแสนสุขที่ผ่านเข้ามา

   “ก็ยังแตกอยู่เรื่อย ๆ แหละครับ แต่ผมก็ชอบมากกว่าแก้วพลาสติก”

   ปอหยิบพิซซ่าใส่ปาก ท่าทางเคี้ยวหนุบหนับดูน่าอร่อย

   “ชอบซะจริงนะ พิซซ่าเนี่ย”

   ปืนหยิบใส่ปากบ้าง....มันก็งั้น  ๆ สำหรับปืน ข้าวแกงจานนึง หรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวสักชาม ยังจะถูกปากเขามากกว่า

อาหารฝรั่งที่ดูยังไงก็เหมือนขยะ ศิลปะที่พอมองเห็นก็แค่สีสันของอาหารที่จัดวางให้เป็นจังหวะดูสวยงาม รสชาดก็จืด ๆ

ไอ้จะปรุงพริกขี้หนูแบบอาหารบ้านเรา มันก็จะผิดสูตรเค้าไปซะอีก แต่ปืนก็เอร็ดอร่อยกับมันได้ทุกที

ขอแค่ให้คนที่กินเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ใครอื่น แต่ต้องเป็นคน ๆนี้เท่านั้น

   “ก็มันอร่อยนี่นา ไม่ได้กินด้วยกันมาตั้งนานแล้วนะครับ”

   “ตั้งนานที่ไหน จำไม่ได้เหรอ ก่อนไปหาแม่น่ะเพิ่งจะไปนั่งกินที่ร้านด้วยกันอยู่เลย”

   “ก็ใช่ แต่ผมหมายความว่า ก่อนหน้านี้เราไม่ได้กินอะไรด้วยกันนานแล้วต่างหาก”

   “งั้นเย็นนี้ไปกินอะไรอร่อย ๆ กันมั้ย”

   ปืนรีบฉวยโอกาสชวน

   “กินอะไรล่ะครับ”

   “ก็ปออยากกินอะไรล่ะ”

   “พี่ปืนเลี้ยงนะ”

   “แล้วพี่เคยให้เราเป็นคนจ่ายซะที่ไหนล่ะฮึ”

   “ผมล้อเล่น รู้น่าว่าพี่ปืนน่ะศักดิ์ศรีมาก ไม่ยอมให้ผมจ่ายเงินให้ ไม่ว่าจะค่าอะไร แต่นี่อ่ะ.....”

   ปอชี้ไปที่ถาดพิซซ่าที่วางบนโต๊ะแล้วยิ้มใส่ตาปืน

   “ผมจ่ายนะ เป็นครั้งแรกที่พี่ปืนยอมให้ผมจ่ายตังค์”

   ตั้งตัวไม่ทันน่ะสิไม่ว่า ก็ใครจะไปรู้ว่าปอสั่งพิซซ่ามากิน แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวจะดีใจที่ได้มีโอกาสจ่ายเงิน

ทำยังกับว่าแข่งขันเกมอะไรสักอย่างแล้วได้เข้ารอบงั้นแหละ ส่วนปืน....พิซซ่าชิ้นนี้อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาก็ว่าได้

   ในที่สุดเวลาของอาหารเย็นกับคนที่ถูกใจก็ผ่านไปโดยที่ปืนยังไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปอย่างที่ตั้งใจไว้เลย

บอกจริง ๆ ว่าเขากลัวคำถามที่ออกจากปากจะทำลายบรรยากาศดี ๆ เหล่านี้ไป

   เอาน่า...รอดูไปอีกสักระยะดีกว่า บางทีพี่เอกอาจจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับปอ

เพราะตอนนี้ยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่ด้วยกัน ถึงจะไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ในกลุ่มเพื่อนฝูงก็เป็นที่รู้กันว่า

พี่เอกมีรสนิยมชัดเจนขนาดไหน โชคดีที่แรกรู้จักกัน พี่เอกยังรักเหนียวแน่นกับแฟนคนที่อยู่ด้วยกันตอนนั้น

(ซึ่งไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ และยิ่งไม่ใช่คนที่ถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพราะฝ่าเท้าพิฆาติของพี่แก)

 มิฉะนั้น ปืนก็อาจจะเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นของพี่เอกอีกคนก็ได้   



   ไม่มีวันไหนที่ปืนไม่คิดถึงเจ้าคนที่อยู่ห้องชั้นล่างที่มีระเบียงตรงกัน

   หลายครั้งที่ปืนมักจะชะโงกหน้าลงไปมอง ทั้งที่ก็คงมองเห็นเพียงแค่ขอบระเบียงกับอะไรอีกนิดหน่อย

เช่นรองเท้าแตะผ้าลายทวีตตี้สีเหลืองสด  ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่กับราวโครเมี่ยมทรงเตี้ย เพื่อไม่ให้โผล่พ้นระเบียง

(เจ้าของอพาร์ทเมนท์ห้ามขาดไม่ให้โชว์ราวตากผ้านอกระเบียง)

   แค่เท่านั้นมันก็ทำให้ปืนปั่นป่วนในหัวใจ กระวนกระวายเพราะความคิดถึง อยากเจอหน้า

ปั่นป่วนวุ่นวายใจหลายวันเข้า ก็เริ่มจะทนคิดถึงไม่ไหว ทำเนียนโทรชวนไปกินข้าว

ก็ได้รับคำปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ทำให้ปืนได้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ปอมีสังคมของตัวเอง

จนไม่เหลือเวลาให้เขาอีกแล้ว ถึงแม้ส่วนใหญ่กิจกรรมแต่ละวันของปอจะหมดไปกับการเรียนพิเศษ 

การเข้าห้องสมุด เข้าร้านหนังสือ แต่ทุกที่ ทุกเรื่อง เจ้านั่นไม่เคยขาดเพื่อน

แม้กระทั่งจะกินข้าวเย็นก็ยังมีนัดกับเพื่อน แล้วคนต่างวัยอย่างปืนน่ะหรือ จะเข้าไปร่วมแจมกิจกรรมที่ว่าเหล่านั้นได้

   ....เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว.....เขาในฐานะพี่ชาย (นอกไส้) ที่รับปากพ่อแม่ของปอว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี

ก็เบาใจไปได้อย่างหนึ่งว่า ปอจะไม่เหงา การมีเพื่อนสักสองสามคนในเมืองใหญ่ ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ

เพราะเท่ากับช่วยให้ปอได้ปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันได้ การแลกเปลี่ยนทัศนะของคนวัยเดียวกัน

ช่วยให้มีโลกทรรศน์กว้างไกล ยิ่งถ้าได้เพื่อนดี ก็คงได้รับประสบการณ์ดี ๆ ไปด้วย ปืนเชื่อว่าปอคงจะมีจิตสำนึกดีมากพอ

ที่จะกลั่นกรองเพื่อนประเภทที่เรียกว่า “คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” แทนที่จะ “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด”


   ปืนทนกินข้าวเย็นคนเดียวอยู่หลายวัน ก็เกิดความรู้สึกว่าจะกระเดือกไม่ลงอีกแล้ว ก็เลยหาเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศ

ไปกินอาหารจีนบ้างดีกว่า และคงไม่มีที่ไหนที่จะอร่อยถูกปากเท่าที่ร้านของอาเจ็กหมง

(ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วปืนก็จะได้ลดราคาเป็นพิเศษอีกต่างหาก)   

   ลูกค้าเข้าร้านแน่นขนัดเช่นเคย และที่ทำให้ดูคึกคักก็คงเป็นโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ที่เป็นโต๊ะขนาดสิบที่นั่ง

มีคนนั่งล้อมรอบโต๊ะเต็มเหยียด แถมยังมีเสียงเฮฮาส่งมาเป็นระยะ ปืนหันไปมองนิดเดียวก็ละความสนใจ

เดินไปนั่งที่โต๊ะริมผนัง ซึ่งเป็นโต๊ะขนาดสสามนั่ง วางอาหารได้สามจานแบบพอดี ๆ

   อาหารทั้งโต๊ะถูกกวาดลงไปอยู่ในท้องเขาเรียบร้อย โดยมีเสียงเฮฮาของโต๊ะใหญ่ดังมาเป็นระยะ ๆ

ถึงจะไม่ค่อยได้สนใจแต่มันก็ลอยมาเข้าหูอย่างเลี่ยงไม่ได้ กินเสร็จแล้วปืนก็ไม่รอช้า จัดการชำระค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว

(ด้วยราคาลดห้าสิบเปอร์เซ็น) ก็ลุกออกมาโดยไม่ได้สนใจว่าจะเป็นที่สนใจของใคร

   “พีปืน”

   เสียงเรียกกระหืดกระหอบ แทรกด้วยเสียงวิ่งตึกตักที่ตามมาข้างหลัง ทำให้ปืนต้องหันกลับไปดูด้วยความแปลกใจ

เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของปอ อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจที่ปอจะมาที่ร้านอาหารของญาติตัวเอง

ปืนแค่เสียดายที่เขาไม่รู้ว่าปอจะมา ไม่อย่างนั้นก็คงได้กินอาหารเย็นด้วยกัน

อาหารมื้อนี้จะเอร็ดอร่อยขนาดไหนหนอ

   “จะกลับแล้วเหรอครับ”

   “แล้วปอล่ะมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “ตั้งแต่ก่อนค่ำแน่ะ พี่เอกเค้าชวนมาเลี้ยงวันเกิดแฟนเค้า”

   “พี่เอก?...แฟน?”

   ปืนถามแบบงง ๆ

   “วันเกิดแฟนพี่เอกไง พี่ปืนไม่รู้จักแฟนพี่เอกเหรอครับ”

   “ก็รู้...รู้จักสิ”

   “นั่นแหละครับ พี่เต้ยเค้าสอนพิเศษคณิตศาสตร์ที่โรงเรียน สอนดีมากด้วย ผมลงเรียนกับแกสองสามคอร์สแล้ว

เพราะแกสอนเข้าใจง่ายดี”

   ปืนพยักหน้า พยายามคิดตามที่ปอเล่า แล้วก็เลยเข้าใจว่า ที่แท้เขาวิตกไปเองที่คิดว่าพี่เอกจะจีบปอ

ความจริงปอกับเต้ยแฟนพี่เอกรู้จักกัน พี่เอกก็อาจจจะเคยเห็นหน้าปอ ตอนไปรับเต้ยที่ โรงเรียนกวดวิชา

แต่ไว้ทีหลัง ปืนจะถามซะให้กระจ่าง ว่าใช่อย่างที่เขาคิดรึเปล่า

   ปืนรู้จักเต้ยแฟนพี่เอกวันที่ขึ้นไปอบรมหลักสูตรใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ เท่าที่รู้ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนสนิทที่จะไม่รู้ว่า

เต้ยเป็นแฟนของพี่เอก เพราะคู่นี้ไม่เคยปิดบังความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในทุกที่ทุกเวลา แต่ปอล่ะ

ปอรู้มานานหรือยังว่าคู่นั้นเป็นอะไรกัน ปอเข้าใจความรักระหว่างชายกับชายได้ดีขนาดไหน

ดีพอที่จะมีความรู้สึกเช่นนั้นตอบเขาได้หรือเปล่า ถ้าวันนี้ปอรู้สึกกับปืนแค่พี่ชาย

วันข้างหน้ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักแบบที่ปืนต้องการได้มั้ย


   ที่แท้โต๊ะใหญ่ที่ส่งเสียงเฮฮา ก็คือโต๊ะกินเลี้ยงงานวันเกิดของเต้ยนั่นเอง เพียงแต่โต๊ะนั้นตั้งอยู่ด้านในสุด

 เมื่อปืนเดินจากประตูหน้าไปเลือกที่นั่งอีกด้านก็เลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนรู้จักรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

และคนในโต๊ะนั้นก็คงอยู่ในอารมณ์สนุกสนานจนไม่ได้สังเกตว่าใครจะเข้า ใครจะออก

   “พี่เอกเค้าจะไปต่อกันที่ผับ เค้าชวนผมแต่ผมไม่มีเพื่อนไม่อยากไปนั่งเหงาคนเดียวอ่ะ”

   “เพื่อนออกเต็มโต๊ะ จะเหงาได้ไง”

   “เค้าไม่ไปกันหรอก พี่เอกชวนผมคนเดียว”

   “อ้าว! แล้วทำไมชวนแค่ปอคนเดียว”

   “พี่เอกเค้าไม่ชอบเพื่อนคนอื่นของพี่เต้ย เค้าว่ามีแต่เพื่อนกิน”

   “อ้าว! ก็ชวนเค้ามากิน จะให้เค้าทำอะไรอ่ะ”

   พี่เอกนี่คิดอะไรประหลาด ไม่ใช่ว่าปืนไม่เข้าใจ หรือไม่รู้นิสัยพี่เอก ที่อ้างเรื่องเพื่อนกินน่ะ ข้ออ้างเห็น ๆ

และที่ปืนว่าประหลาดก็ตรงที่พี่เอกนึกยังไงถึงชวนปอแค่คนเดียว จะว่ามีแผนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะไปกับเต้ย

คงไม่กล้าทำอะไรรุ่ม่ร่ามกับปอ ถ้าพี่เอกจะคิดจะจีบปอต่อหน้าเต้ยก็คงคิดผิดไปมากเลยล่ะ

เพราะแฟนคนนี้ไม่เหมือนคนที่โดนซ้อมจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลหรอก เต้ยเคยเป็นนักกีฬาอากิโด้สมัยที่เรียนมัธยม

ถึงจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านักกีฬาประจำจังหวัด แต่ฝีไม้ลายมือแค่นั้นก็คงเอาพี่เอกซะอยู่หมัดแน่นอน

   “พี่ปืนไปกับผมนะ”

   “เฮ้ย! จะไปยังไง เค้าไม่ได้เชิญ”

   “ทำไมต้องเชิญด้วยอ่ะ ใคร ๆ ก็ไปกันได้ทั้งนั้นแหละ ไปเที่ยวผับนะไม่ใช่ไปงานแต่งงานจะได้รอให้การ์ดเชิญน่ะ”

   ฟังมันพูดเอาแต่ได้ งานฉลองวันเกิดใครมันจะอยากให้มีคนนอกเข้าไปร่วมแจม

   “ก็ไหนว่าเค้าฉลองวันเกิดเต้ยไง มากินกันเค้าก็ไม่ชวน ปอก็ไม่เห็นจะบอกอะไรพี่นี่ ไหนจะของขวัญก็ไม่ได้เตรียมให้เค้า

จะเอาหน้าที่ไหนไปนั่งกับเค้าล่ะฮึ”

   “งั้นพี่ปืนก็เป็นเจ้ามือที่ผับก็ได้....นะ...นะ พี่ปืนนะ ผมอยากไปอ่ะ”

   ดูท่ามันจะอยากไปมาก ถึงขนาดจับมือปืนไปเขย่าเบา ๆ แถมยังส่งสายตาออดอ้อนซะปืนจะใจอ่อนอยู่รอมร่อ

ดีที่นึกอะไรขึ้นมาได้

   “เป็นด็กเป็นเล็ก ใครเค้าจะให้เข้า เกิดเค้าตรวจบัตรขึ้นมามิซวยกันหมดเหรอ”

   “ผมสิบเก้าแล้วนะพี่ปืน”

   “แล้วไงล่ะ”

   ปืนเผลอลืมไปว่าปอไม่ใช่ผู้เยาว์อีกแล้ว แต่มันก็ยังไม่สมควรอยู่ดี

   “ผมไม่เคยเข้าผับเลยอ่ะพี่ปืน สนุกป่าวไม่รู้นะ”

   เห็นท่าทางปอที่ดูตื่นเต้นแล้ว ปืนก็อดจะนึกเอ็นดูไม่ได้

   “ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก คนก็เยอะ เสียงก็ดังไม่รู้เสียงอะไรเป็นเสียงอะไร จะคุยกันก็ไม่ค่อยจะได้ยิน

ของก็แพง....”

   สิ่งที่ปืนพูดออกไปล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ปอไม่น่าจะชอบ เพราะเจ้านี่ บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ดื่มไม่เป็น

แล้วก็รำคาญสถานที่ที่มีเสียงดังหนวกหูเป็นที่สุด คงจะเป็นผลมาจากการที่ปอเกิดในเมืองเล็ก ๆ

ที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งบันเทิงเริงใจตามแบบของคนในเมืองใหญ่ ความเป็นอยู่ในครอบครัวก็เรียบง่าย

เขายังออกจะแปลกใจด้วยซ้ำว่าทำไมคราวนี้ปอถึงได้คะยั้นคะยอเขานัก


   ปืนนั่งรอที่เก้าอี้พักสำหรับลูกค้าที่หน้าร้านอาหาร ในขณะที่ปอเดินกลับเข้าไปในร้าน เพื่อร่ำลาอาเจ็กหมง

พร้อมกับบอกพี่เอกและเต้ยให้ตามมาสมทบ ไม่นานนักทั้งสามคนก็เดินออกมาพร้อมกัน

   “ไง พี่ว่าปืนไม่ค่อยจะชอบนั่งผับไม่ใช่เหรอ ทำไมเที่ยวนี้ยอมได้ล่ะ”

   พี่เอกเดินโอบไหล่เต้ย ที่กำลังยกมือไหว้ปืน เพราะเต้ยรุ่นเด็กกว่า

   “ปอเค้าอยากให้ไปเป็นเพื่อนน่ะครับพี่ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่นาน ๆ ทีก็ดีเหมือนกัน”

   “นั่นสิ พี่ว่าวัยอย่างเรามานั่งที่แบบนี้กลัวเด็กมันล้อเอา”

   “แหม พูดยังกับคนอายุซัก40 เลยนะพี่เอก”

   เต้ยยิ้มอวดเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก ดูเหมือนเด็กซน ๆ แต่ใครที่ได้รู้จักก็คงจะรู้ดีว่านี่น่ะ ภาพลวงตาชัด ๆ

บทเต้ยจะโหดขึ้นมา ก็จับพี่เอกที่สูงเกือบร้อยแปดสิบทุ่มลงไปนอนกับพื้นได้สบาย ๆ ทั้งที่เต้ยก็ไม่ได้ใหญ่หนา

ล่ำบึ้ก ก็แค่กล้ามเนื้อแข็งแรงอย่างคนที่ยังออกกำลังกายสม่ำเสมอเท่านั้นเอง

   “รถพี่จอดตรงโน้นแน่ะ...ปะ”

   พี่เอกยังตระกองกอดหวานใจไว้ในอ้อมแขน ยังกับกลัวใครจะแย่ง เห็นอย่างนั้นปืนก็อยากจะโอบไหล่

ปอดูมั่งเหมือนกัน แต่ไม่เอาดีกว่า ยอมเป็นเสือสิ้นลายเพราะเจ้านี่ไปโดยไม่รู้ตัว เขากลัวว่าจะได้กอดแค่ครั้งนี้

ครั้งเดียว แล้วต่อจากนั้นความสัมพันธ์ก็ขาดสะบั้น....เขาคงทนไม่ได้

   ให้ตายเถอะ ไม่เคยรู้สึกทรมานใจเท่านี้มาก่อนเลย

   ค่ำคืนในผับสำหรับปืนออกจะน่าหน่าย ซึ่งถ้าไม่มีปอที่นั่งหน้าระรื่น ตื่นตาตื่นใจไปซะทุกซอกทุกมุม

ปืนว่าเขาคงจะแจวอ้าวตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกไปแล้ว ขอกระดกแก้วเหล้าในบรรยากาศที่เป็นธรรมฃาติหน่อยดีกว่า

หรือถ้าจะนั่งในร้าน ก็ขอร้านที่มีแค่เสียงเพลงเบาสบาย ชนแก้วกับคนถูกใจ แค่นี้ก็แฮ็ปปี้กลับไปนอนหลับได้สบาย

   กว่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะกลับได้แล้ว ก็เลยเที่ยงคืนไปไม่น้อย รวมเวลาที่ร่างกายรับมลพิษเข้าไปเกือบสี่ชั่วโมง

ปืนไม่ได้แตะของมึนเมามากนัก จิบนิด ๆ หน่อย ๆ พอไม่ให้นั่งเป็นเบื้อ ไม่มีอาการอ้อแอ้ ลิ้นไก่สั้น แทบจะไม่รู้รส

รู้กลิ่นแอลกอฮอล์เลยด้วยซ้ำ คนเดียวที่ดูจะป้อแป้กว่าใครเพื่อนก็เจ้าปอนี่แหละ บอกแล้วเชียวว่าอย่า ๆ ไม่เคยจะเชื่อกันบ้างเลย

   ‘ก็ผมอยากลองหนิ อุตส่าห์ให้พี่ปืนมาเป็นเพื่อนแล้วนะ’

   ตอนมันพูดก็ไม่ได้นึกอะไรมากหรอก ก็ตามที่บอกแหละ ให้มาเป็นเพื่อนเพราะพี่เอกก็คู่เต้ย ถ้าปืนไม่มาด้วย ปอก็นั่งคนเดียว

 เป็นภาระให้คู่รักต้องชวนคุยเปล่า ๆ ไม่งั้นปอก็ต้องนั่งน้ำลายบูดอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้ปืนได้สำนึกแล้วว่า

ที่ให้มาเป็นเพื่อนน่ะ หมายความถึงต้องหิ้วปีกมันกลับไปบ้านด้วย เพราะเมาไม่รู้เรื่องเลย

   “ไหวมั้ยปืน พี่ช่วยมั้ย”

   พี่เอกขับรถมาส่งหน้าที่พักของปืนแล้วยังอุตส่าห์มีน้ำใจถามถึงอีก แต่เจ้าปอก็ตัวแค่นี้ ไม่ได้หนักหนาอะไร

เคยแบกขึ้นบันไดวันที่ช่างมาซ่อมลิฟท์เสียด้วยซ้ำไป แล้วกะอีแค่ประคองเดินเข้าลิฟท์นี่น่ะสบายมาก

   “ไหวครับพี่เอก ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”

   “ไม่เป็นไรครับพี่ปืน มาส่งเจ้ามือเลี้ยงวันเกิดทั้งที พี่เอกไม่ต้องควักตังค์ แค่นี้เล็กน้อย”

   เต้ยบอกขอบคุณปืนที่เลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มทั้งโต๊ะ แทนการให้ของขวัญวันเกิดก่อนจะออกรถ

   “ปอ...ปอ.....เดินไหวมั้ย”

   ปืนตบแก้มใสเบา ๆ เพื่อเรียกสติคนที่อยุ่ในอ้อมแขน

   “หือ...หวายดิ”

   คอพับคออ่อนซะขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มีแรงพูดได้นะเจ้าปอ

  ปืนทั้งประคองทั้งลากร่างบาง ๆ ที่เริ่มมีเนื้ออย่างหนุ่มแรกรุ่นของปออย่างทุลักทุเล

ที่จริงก็มีวิธีที่น่าจะดูดี และไม่ลำบากลำบนกว่านี้นะ แต่สภาพปอตอนนี้คงไม่สามารถจะเกาะหลังปืนได้เหมือนคราวที่แล้ว

อีกวิธีที่ปืนคิดได้แต่ไม่กล้าทำก็คือ ช้อนปอขึ้นอุ้มทั้งตัวน่ะง่ายสุด

แต่ทั้ง รปภ. ทั้งแม่บ้านยังนั่งดูโทรทัศน์ที่ล็อบบี้มั่ง เดินไปเดินมามั่งใครล่ะจะกล้า

ดังนั้นทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดตรงชั้นสอง ปืนก็ทำอย่างใจคิดโดยไม่รอช้า

   “พีปืนนนน”

   ปอดิ้นขลุกขลักทั้งที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง

   “เรียกทำไม เดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว”

   “โผมม่ายกลาบห้องน้า”

   อ้าว!...ปืนชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน

   “แล้วจะไปไหน”

   “ปายนอนด้วยน้า”

   ไม่ต้องให้พูดซ้ำ ปืนก็รีบจ้ำขึ้นบันไดหนีไฟไปทันที เพราะได้ยินเสียงลิฟท์เปิด ขืนเดินย้อนกลับไปทางเก่าแล้วใช้ลิฟท์

 เป็นได้จ๊ะเอ๋กับคนที่กำลังจะออกจากลิฟท์แน่ ๆ

   ปอคงจะโตขึ้นภายในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หรือไม่งั้นปืนก็คงแก่ขึ้นจนแรงถดถอย

ถึงได้รู้สึกเหนื่อย หอบหายใจจนตัวโยน พอวางปอลงบนเตียงได้ ตัวเองก็นอนแผ่บ้าง

   หายเหนื่อยแล้ว ปืนก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำความสะอาดให้ปอ

เพราะพอได้ที่หลับที่นอนสบายตัวก็ได้ยินเสียงเจ้าตัวกรนเบา ๆ ตามมา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-05-2012 00:04:40



        ปืนหยิบอ่างใบเล็กใส่น้ำอุ่น เหยาะโคโลญจ์กลิ่นลาเวนเดอร์ที่ตัวเองชอบลงไป

แล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเนื้อนุ่มมาซับน้ำบิดจนหมาด ลูบไปตามใบหน้าของปอที่ยังหลับสนิท

เจ้าตัวทำเสียงอืออาเหมือนจะรำคาญที่โดนก่อกวนเวลานอนอันแสนสุข ปืนอดที่จะอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

เนื้อตัวนอกร่มผ้าของปอได้รับการทำความสะอาดแต่เพียงเบา ๆ เกรงว่าคนที่กำลังหลับสบายจะตื่นขึ้นมาซะก่อน

   หน้าก็เช็ดแล้ว

   ซอกคอก็แล้ว

   แขนทั้งสองข้าง และ ฝ่ามือ กระทั่งนิ้วมือ ปืนก็เช็ดเบา ๆ ทีละนิ้ว ทีละนิ้ว

   ทีนี้ก็เหลือ....

   ไม่กล้าว่ะ

   เกิดปอตื่นขึ้นมาตอนที่เขากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ไม่รู้จะร้องโวยวายเอาซะขนาดไหน

   .....................

   นอนทั้งอย่างนั้นแล้วกันนะปอ พี่ก็อยากทำให้อยู่หรอก แต่มือไม้มันสั่น ๆ น่ะ ควบคุมตัวเองไมได้เลย
 
ผิดพลาดพลั้งเผลอไป จะมองหน้ากันไม่ติด พี่ไม่อยากเป็นอย่างที่แล้วมา ที่เราไม่คุยกันต่างคนต่างหลบหน้า

จนบัดนี้พี่ก็ไม่แน่ใจว่าทำอะไรให้ปอขุ่นเคือง

   ใช่เหตุการณ์คืนนั้นหรือเปล่าหือ.....ปอ

   ………………

   คืนนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าว ปืนคิดว่างั้นนะ หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายตัวเองซะหอมกรุ่นแล้ว

(ตัวเองยังอยากจะสะอาด ทีกับน้องกับนุ่งล่ะปล่อยให้มันดองเค็ม)

   เหลือบมองคนที่นอนแขนขาป่ายเปะปะไปทั่วเตียง ก็คงจะร้อนน่าดู เพราะชายเสื้อเลิกขึ้นมา

จนเห็นหน้าท้องขาวเนียนเรียบ ไรขนบาง ๆ สีอ่อนเป็นเงาซุกตัวอยู่ใต้ขอบกางเกง ชักนำสายตาให้มองต่ำลงไปได้อีก

....เฮ้อ!....ปืนถอนหายใจหนักหน่วง พยายามเปลี่ยนทิศทางของสายตาออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง

   ย้ายสายตาไปที่อื่นได้เดี๋ยวเดียว ก็อดที่ปรายตากลับมามองหน้าคนนอนหลับไม่ได้

   นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ กันอย่างนี้ ปอนึกสนุกอะไรขึ้นมาถึงได้หัดกินเหล้าก็ไม่รู้

นี่ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าจะว่ายังไง ที่ปืนไม่ดูแล ปล่อยให้ลูกเค้าทำตัวเหลวไหลแบบนี้ ทั้งที่รับปากกันไว้ซะดิบดี

สำหรับวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปมันคงไม่แปลกที่จะสังสรรค์ด้วยเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ พอให้ครึกครื้นแต่สำหรับครอบครัวปอ

กลับเป็นเรื่องเสียหาย คงเป็นด้วยว่าปอยังอยู่ในวัยเรียน และป๊าของปอก็ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ขยันทำมาหากิน

เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกอยู่เสมอ

   เอาเถอะ นิด ๆ หน่อย ๆ คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ปืนเองก็ไม่คิดจะให้ปอติดเหล้าซะหน่อยนี่นา

   ปอนอนกระสับกระส่ายน่าดู ขยับแขนขาอยู่ตลอด จนปืนต้องลุกขึ้นไปหยิบอ่างใส่น้ำมาเช็ดตัว

 ให้อีกรอบ

   เอาวะ....

   ปืนค่อย ๆ พลิกตัวปอทีละข้าง เช็ดตัวให้โดยไม่ต้องถอดเสื้อ แค่ฝ่ามือแตะเนื้อเนียน ๆ นุ่ม ๆของปอ

สติของปืนก็แทบกระเจิง สู้กัดฟันทำให้เสร็จ ๆ ไปจะได้นอนบ้าง

   ถึงท่อนล่างนี่ท่าจะลำบากหน่อย เพราะคงล้วงเข้าไปไม่ได้ ปืนแกะกระดุมกางเกงยีนส์ รูดซิปลง

จากนั้นค่อย ๆ รูดลงมาตามเรียวขา แค่เห็นผ้าชิ้นเล็กที่ห่อหุ้มปอน้อย ปืนก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ

แล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะนัก ก่อนจะเอาผ้าหมาดเช็ดไปตามขาแข้งที่เรียวขาวของปอ

รู้ทั้งรู้ว่ามือของตัวเองมันสั่น ๆ แต่มาขนาดนี้แล้ว จะให้ทำไง ปอเองก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาโวยวาย

ก็เลยจัดการเช็ดตัวให้จนสำเร็จเสร็จสิ้น เขาใส่กางเกงผ้าฝ้ายเนื้อเบาให้ปอเป็นอันดับสุดท้าย

ครั้นจะปล่อยให้ขาขาว ๆ ล่อตาล่อใจก็กลัวจะระงับกิเลสตัณหาที่พลุ่งพล่านของตัวเองไม่ไหว

   กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนก็ปาเข้าไปตีสามกว่า ๆ ดีว่าพรุ่งนี้ก็ยังเป็นวันหยุดงาน ไม่งั้นจะมีแรงลากสังขาร

หน้าตาสะโหลสะเหล ไปทำงานได้รึเปล่าก็ไม่รู้


   ไอ้การทำงานเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ของชาวบ้านนี่ก็เป็นภาระหนักหนาอยู่นะ

เวลาที่ปืนกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัด เพื่อนบ้านบางคนเคยพูดว่า โชคดีจังที่ได้จับเงินล้าน

ถึงจะไม่ใช่เงินเราก็เถอะ เพราะไม่ใช่ว่าจะได้เห็นเงินกองเป็นตั้งง่าย ๆ

   ปืนได้แต่ยิ้ม ทั้งที่อยากจะบอกเหลือเกินว่า มันเป็นทุกข์แสนสาหัสน่ะไม่ว่า ที่ต้องมารับผิดชอบเงินคนอื่น

 เกินก็เข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้ ต้องตั้งพักรอลูกค้ามาทวงถาม แต่ขาดขึ้นมาล่ะเดือดร้อนต้องชดใช้เอง

 (เพราะนึกไม่เคยออกว่า ของลูกค้ารายไหน) เพราะฉะนั้นเขาจะต้องมีสติสัมปชัญญะ

และสมาธิตลอดเวลาที่ทำงานกับเงิน ถ้ายังไม่อยากเข้าเนื้อ แต่กระนั้นก็ไม่วาย ได้ชดเงินที่ขาดเป็นครั้งคราว

ใครมันจะไปนึกออกว่าลูกค้ารายไหนให้เงินไม่ครบ หรือว่ารายไหนที่เราจ่ายเงินแถมไป 

(ใช่ ถ้ารู้มันก็คงไม่ขาดไม่เกินหรอกว้า)


   ปืนเป็นคนที่โบราณเรียกว่า ‘นอนไว’ เพราะแค่มีอะไรผิดปกติ อย่างเสียงดังแค่เพียงแว่ว ๆ

หรือ คนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ขยับเพียงนิดเดียว ปืนก็รู้สึกตัวตื่นทันที ยิ่งคนที่นอนร่วมเตียงเมื่อคืนนี้

เป็นคนที่ปืนเฝ้าห่วงหาอาวรณ์ ทั้งยามหลับยามตื่น เขาก็มีอันสะดุ้ง กลัวว่าปอจะเป็นอะไรไป

ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรมากมายเกินกว่าอาการปวดหัว อันสืบเนื่องมาจากเมาค้างหรอก

แต่เท่าที่จำได้เจ้านี่เวลาไม่สบายล่ะงอแงน่าดูเชียว สมัยที่มาเรียนกวดวิชาก่อนเอ็นทรานซ์

ปอเคยเป็นไข้ สาเหตุก็เพราะเดินตากฝนไปเรียน แล้วยังนั่งเรียนในห้องแอร์นานถึงสองขั่วโมงอีกด้วย

ไข้ไม่จับก็ให้มันรู้ไป

   หนนั้นปืนต้องวิ่งซื้อโจ๊กบ้าง ข้าวต้มบ้าง เพราะปอเจ็บคอกินอะไรไม่ได้เลย เป็นอย่างนี้อยู่สองวันกว่าไข้จะสร่าง

 ระหว่างนั้นปืนก็ลางานไม่ได้เสียด้วย เพราะพนักงานลาพักผ่อนไปคนนึง ถ้าปืนลาอีกก็คงเหลือคนทำงานน้อยลง

 เพื่อน ๆ คงจะเหนื่อยมากขึ้น เขาเองก็เกรงใจ เลยแค่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา เอารถของแบ็งก์ขับไปดูแลปอ

ที่อพาร์ทเมนท์เพื่อความสะดวกรวดเร็วตอนช่วงพักเที่ยง ตกเย็นก็ต้องรีบกลับมาด้วยความเป็นห่วง

   ดูท่าตอนนี้ก็ไม่น่าจะต่างกับตอนนั้น เพียงแต่คราวนี้ปวดเพราะอาการแฮงก์โอเวอร์ไม่ใช่เพราะตากฝน

เสียงครางโอดโอยของปอดังแผ่ว ๆอยู่ข้างหู เหลือบไปดูถึงได้เห็นว่าปอนอนซุกตัวอยู่ข้าง ๆ ไหล่เขานี่เอง

 หน้าตายู่ยี่เชียว....ก็ไม่เคยกินนี่น้าปอ เตือนแล้วก็ไม่ยอมฟัง

   ....ผมอยากลองกินนี่ ถึงได้ชวนพี่ปืนมาเป็นเพื่อนไง....อืม...ปืนยังจำได้

   “พี่ปืน ปวดหัวอ่ะ”

   ปอยกมือขึ้นกุมหัว ปลายนิ้วขยุ้มผมเพื่อบรรเทาอาการปวดตุบ ๆ

   “ลุกไหวมั้ย”

   หน้ายู่ยี่ส่ายไปมา

   “ยังกับจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เลยอ่ะ”

   เสียงก็ยิ่งแผ่วหวิวเข้าไปอีก บอกให้รู้ว่าอาการปวดคงมิใช่น้อยเลย สำหรับคนไม่เคยลิ้มรสแอลกอฮอล์

   “นอนเฉย ๆ ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพี่มา”

   ปืนลุกขึ้นจากเตียง ตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์ น้ำต้มไว้ตั้งแต่เมื่อคืนยังร้อนจัดอยู่ในกระติก

เพราะพออุณหภูมิลดลงมันก็ต้มใหม่ ปกติปืนไม่เคยเสียบปลั๊กค้างไว้อย่างนี้ให้กินไฟเปล่า

เพราะไม่เคยอุตริลุกขึ้นมาหาอะไรร้อน ๆ ดื่มตอนดึก ๆ แต่คราวนี้ถือเป็นเหตุฉุกเฉิน

เผื่อปอลุกขึ้นมาเขาจะได้ชงอะไรให้ดื่มแก้อาการเมาค้าง

   ทั้งที่ตายังปิด แต่ปอก็จิบน้ำอะไรบางอย่างในถ้วยกระเบื้องที่ปืนนำมาจ่อที่ปาก แล้วก็ทำหน้าเบ้

   “แหยะ ขมอ่ะ”

   ปอไม่ค่อยจะดื่มกาแฟ สำหรับปอ มันก็แค่เครื่องดื่มหวาน ๆ เย็น ๆ แก้กระหาย ไม่ได้เป็นคนติดกาแฟอย่างปืน

 พอมาเจอกาแฟแก่จัด ไม่มีความหวานเจือปนก็เลยบ่นเป็นธรรมดา

   “นี่แหละ จะได้สร่างเมา”

   “จะอ้วกแทนอ่ะดิ”

   “วิ่งเข้าห้องน้ำให้ทันแล้วกัน อย่ามาอ้วกรดที่นอน”

   ปืนหัวเราะหึ ๆ ไม่ต้องบนที่นอนหรอก แค่ลองอ้วกใส่ห้องสิ เป็นอยู่ไม่ติดล่ะคราวนี้ กว่ากลิ่นอ้วกของคนเมาจะจาง

 คงต้องเปิดประตูหน้าประตูหลัง ระบายอากาศกันทั้งวันแน่ ๆ

   ปอขยับยิ้มนิดนึงแล้วก็กลับนิ่วหน้า เพราะอาการบีบรัดที่ขมับ พาให้ระบมไปทั้งหัว

   “เดี๋ยวกินอะไรซักนิดแล้วกินยานอนนะ รอหน่อยแล้วกัน พี่จะ   รีบไปรีบมา”

   คนเมาค้างเผลอพยักหน้ารับคำ ก็เลยร้องโอยออกมาให้ปืนได้ขำอย่างเอ็นดูก่อนจะไปทำธุระส่วนตัว

 แล้วจะได้รีบไปซื้ออะไรอุ่น ๆ มารองท้องให้ปอได้กินยาแก้ปวดหัว

   เกือบเที่ยงปอถึงตื่นเต็มตา หลังจากที่กินข้าวกินยา และได้นอนเต็มอิ่ม แต่หน้าใส ๆ ของปอก็ยังดูเซียว ๆ

   “เข็ดจนตายเลยอ่ะพี่ปืน”

   ปอลุกขึ้นนั่งเท้าศอกสองข้างลงบนเข่า สองมือเสยผมดำสลวยที่ยาวเคลียไหล่ปัดไปให้พ้นใบหน้า

 ปืนผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดเมล์ของที่ทำงานเพื่ออ่านข่าวสารของแบ็งก์ หันมามองปอ

   “จะถอนหน่อยมั้ย”

   “ถอนอะไรครับ”

   ปืนหัวเราะหึ ๆ รู้ว่าปอไม่ค่อยเข้าใจภาษาคนกินเหล้านัก

   “ก็กินเข้าไปอีกซักแก้วไง เค้าเรียกถอน อาการจะได้ดีขึ้น”

   ปอทำหน้าเหวอ โบกไม้โบกมือพัลวัน

   “ไม่เอาแล้ว เลิกเด็ดขาด ไม่รู้กินกันเข้าไปได้ยังไง”

   “ให้มันจริงนะ ทีหลังก็อย่ามาชวนพี่แล้วกัน”

   “ไม่เกี่ยวกันนี่ ผมบอกว่าไม่กินเหล้า ไม่ได้บอกว่าไม่ไปเที่ยวผับซะหน่อย”

   อ้าว ! ไอ้นี่ชักจะเจ้าเล่ห์ใหญ่แล้ว

   “อย่าให้ถึงกับติดเที่ยวก็แล้วกัน แม่กับป๊าจะว่าพี่ไม่ดูแลน้อง”

   “ผมโตแล้วน่าพี่ปืน ไม่ต้องมาดูแลยังกับผมเป็นเด็กมัธยมก็ได้”

   ปอทำหน้างอ ที่ดูยังไงก็ยังเป็นเด็กสำหรับปืนอยู่ดี

   “เอ้า! ถ้าไม่ใช่เด็กแล้วก็ลุกขึ้นไปอาบแต่งตัว เดี๋ยวจะได้ไปกินข้าวกัน”

   ปืนเดินมาที่เตียง เก็บผ้าห่มพับให้เรียบร้อยไว้ที่ปลายเตียง ตบหมอนสองใบให้ฟู เป็นเชิงไล่ให้คนนอนตื่นสาย

ขยับตัวไปทำอย่างที่บอก

   ก่อนหน้านี้ปืนมีหมอนหนุนแค่ใบเดียว กับหมอนข้างอีกใบ นั่นก็พอแล้วสำหรับคนโสดที่อยู่ตามลำพังอย่างเขา

 แต่นับจากที่ปอมาค้างกับเขาครั้งแรก ก่อนเดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ปืนก็จัดหาเครื่องนอนอีกชุดหนึ่ง

ทั้งหมอนหนุน หมอนข้างและผ้าห่ม ไว้สำหรับปอ แล้วก็ไม่เคยเก็บ ยังคงวางเคียงคู่กันไว้บนเตียง

ราวกับปอไม่เคยจากไปไหน เขาไม่รู้ว่าทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่ามันอุ่นอกอุ่นใจบอกไม่ถูก

แม้ว่ามันจะเหมือนเป็นการสร้างเงาของปอไว้หลอกตัวเอง แต่เมื่อคืนนี้ปืนก็ดีใจว่าอย่างน้อย

เงานั้นก็เป็นจริงขึ้นมาได้แค่คืนหนึ่งก็ยังดี
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 17-05-2012 00:09:40


     กว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มวัยกำลังกินกำลังนอนจะหมดลงได้ ปืนก็ต้องเคี่ยวเข็ญซะแทบแย่

ออกจะผิดวิสัยไปหน่อยที่วันนี้ปอยอมกินสุกี้ ทั้งที่ปกติไม่เห็นจะชวนกิน

   “อยากกินอะไรน้ำ ๆ ร้อน ๆ”

   ข้อเสนอของปอตอนเลือกร้านอาหาร ทำให้ปืนนึกถึงเมนูนี้

   “ข้าวต้มไง”

   “เพิ่งจะกินเมื่อเช้าเอง ข้าวต้มอีกแล้วเหรอ”

   หน้าเซียว ๆ ของปอ ดูแขยงขยาดชื่ออาหารยังไงก็ไม่รู้

   “งั้นไปกินสุกี้กันมั้ย”

   ตัวเลือกนี้เป็นอันผ่าน ปืนรู้สึกว่าพักนี้ชักจะเดินเข้าห้างบ่อยกว่าเดิม ไม่ได้ช็อปป้ง ช็อปปิ้งอะไรหรอก

แค่เข้ามากินอาหารเท่านั้นแหละ แล้วก็ไม่ใช่ว่าปืนกินอาหารข้างทางไม่เป็น แต่ในห้างมันมีทุกอย่างครบวงจรนี่นา

เอามันตั้งแต่ตื่นเช้า ไปจนจะหลับตานอน ถ้าไม่คิดจะไปไหนเลยนั่งเล่นเดินเล่น ทั้งกินทั้งซื้อของ ก็หมดไปวันนึงแล้ว

ถ้าจะถามว่าปืนชอบกินอาหารนอกบ้านรึก็ไม่เลย  ปืนชอบนั่งกินอาหารในบ้านแบบสบาย ๆ เขาติดรสมือแม่ด้วยซ้ำไป

กินอะไรที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าอาหารที่แม่ทำให้กิน (ยกเว้นร้านอาเจ็กหมงนะ) แต่จะทำไงได้

ในเมื่อเขายังต้องเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ไปวัน ๆ แถมไม่มีรถขับ จะให้ตระเวณไปกินข้าวที่ไหนไกล ๆ คงไม่ไหว

นอกจากจะไม่สะดวกแล้ว ยังเจอกับคนขับรถรับจ้างที่ขูดรีด เรียกค่าเช่าเหมาแพงเกินเหตุเข้าไปอีก

   เอ....หรือว่าถึงเวลาที่เขาควรจะมีบ้านสักหลัง ไม่ต้องใหญ่โต เพราะมันคงจะอ้างว้างเกินไป

เอาแค่ห้องนอนสักสองห้องเผื่อแขกไปใครมา มีห้องเอนกประสงค์ทั้งนั่งเล่น ทั้งรับแขก

ห้องครัวเล็ก ๆ พอที่จะประกอบอาหารง่าย ๆ กินกันสองคน (กับปอ)

คงไม่ต้องถึงกับโขลกเครื่องแกง ขูดมะพร้าวมาคั้นน้ำกะทิ แค่จะทำแกงเพียงแค่ถ้วยเดียวหรอก

   แล้วความคิดนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมา เมื่อเดินผ่านชั้นเครื่องนอน ที่เต็มไปด้วยที่นอน หมอน ผ้าห่ม

วางเรียงรายคละสีคละลายกันอย่างน่าดู ซึ่งตอนนี้ปืนก็เดินเลี้ยวเข้าไปเลือกผ้าปูที่นอนโดยมีปอเดินตามมาติด ๆ

   “พี่ว่าจะซื้อบ้าน”

   ปืนยังไม่ละสายตาจากผ้าปูที่นอนสีฟ้าเหลือบเทา ที่กำลังคลี่ออกมาดูลวดลาย สีสัน

   “ฮื่อ ก็ดีนี่ครับ”

   “ไปดูกันมั้ย ลูกค้าที่แบ็งก์เค้ากำลังเริ่มโครงการใหม่ น่าสนใจ ราคาก็ไม่แพง”

   “แล้วแต่พี่ปืนสิครับ ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ แม่เคยบอก”

   “พี่จะชวนปอไปอยู่ด้วยกัน ก็ต้องไปเลือกด้วยกันสิ”

   ปอทำหน้าแปลกใจ แล้วรีบถาม

   “ไปอยู่ยังไง เดี๋ยวพี่ปืนมีครอบครัว ผมก็ไปเป็นส่วนเกินอ่ะดิ”

   “แล้วตอนนี้มีรึป่าวล่ะ พี่ไม่คิดจะซื้อหรอกนะ ถ้าต้องอยู่คนเดียวน่ะ”

   แต่ในใจปืนอยากจะตอบเหลือเกินว่า....ถ้าได้อยู่กับปอตลอดไป เขาก็ไม่สนใจที่จะมีหรอกครอบครัวที่ปอพูดถึงน่ะ

   “ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมซักหน่อย พี่ปืนซื้อบ้านก็เตรียมสร้างครอบครัวของตัวเองไปดิ เดี๋ยวผมก็จะเอ็นฯใหม่แล้ว

ถ้าได้ก็จะไปอยู่หอพักของมอ”

   “ให้มันได้ก่อนเหอะน่า แล้วค่อยมาว่า”

   “ก็นั่นแหละ แล้วพี่ปืนก็ต้องอยู่คนเดียว ผมไปอยู่ด้วยซะที่ไหน”

   ....อย่าพูดจาอะไรแข็งขันอย่างนั้นสิปอ พี่ฟังแล้วใจหายยังไงไม่รู้ ใจคอจะทิ้งกันไปจริง ๆอ่ะ....

   “ไปดูด้วยกันก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้เลย”

   “ก็ได้ ผมไปเป็นเพื่อนพี่ปืนแล้วกันครับ”

   ให้มันได้อย่างนี้สิปอ ถ้าถูกใจปอ พี่ปืนจะยอมกู้แบ็งก์ผ่อนบ้านซัก 20 ปี จะทำให้บ้านเป็นวิมานของเราให้ได้

....เฮ้อ.....ฝันไปรึป่าววะปืนเอ๊ย



   วันต่อมาปืนก็ชวนปอไปดูบ้านหลังที่ว่า โครงการบ้านจัดสรรแห่งนี้เป็นของลูกค้าที่เพิ่งจะขอวงเงินสินเชื่อกับแบ็งก์

ในการทำโครงการชุดนี้ ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าของโครงการก็เดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เรียกว่าเป็นลูกค้าที่มีเครดิตอยู่ในเกณฑ์ดี

 ที่แบ็งก์ปล่อยสินเชื่อให้ได้โดยไม่ต้องกังวล แถมปืนยังมีความคุ้นเคยเป็นพิเศษเสียอีก ถึงกับเอ่ยปากว่า

 ถ้าเขาต้องการจะซื้อบ้าน จะได้ลดราคาเป็นพิเศษ

   โครงการนี้มีบ้าน 3 ชุด ชุดแรกอยู่ด้านหน้าหมู่บ้านติดถนนใหญ่ เป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งไม่อยู่ในความสนใจของปืนเลย

 ชุดที่สองเป็นทาวน์เฮ้าส์บ้านแฝดชั้นเดียวบนเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา อันนี้น่าสน ราคาก็ไม่แพงเกินไป

ส่วนพื้นที่ว่างด้านข้าง ปืนชอบว่าจะได้ปลูกต้นไม้ได้บ้าง เขาเองก็เบื่อห้องเช่า พื้นที่จำกัดที่มองไปทางไหน

ก็เห็นแต่ฝาผนังเต็มที เสียอย่างเดียวที่ด้านหนึ่งจะต้องอาศัยฝาผนังร่วมกับบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกัน

   ส่วนบ้านเดี่ยวบนเนื้อที่ 100 ตารางวานั้นปืนชอบที่สุด ขนาดก็ไม่ใหญ่เกินไป สร้างเกือบจะตรงกลางของที่ดิน

ทำให้ห่างจากบ้านที่อยู่ติดกันอย่างไม่ต้องกลัวว่าจะทนรำคาญเสียงรบกวน (ถ้ามี) ที่สำคัญ หมดห่วงเรื่องไฟไหม้บ้าน

 บ้านใครไม่ระวังก็โดนไปคนเดียว ไม่ต้องเดือดร้อนบ้านอื่น

   แต่ราคา....เฮ้อ!

   เงินเก็บที่มีอยู่ดาวน์บ้านหลังนี้แล้วไม่เหลือเลยสักบาท ไอ้ที่คิดจะซื้อรถเล็ก ๆ สักคันเป็นอันพับไป

ถ้าจะเอาให้ได้จริง ๆ แต่ถ้าเลือกบ้านแฝด เขาก็ดาวน์รถได้อีกคัน ผ่อนทั้งรถ ผ่อนทั้งบ้าน

เงินเดือนก็ยังใช้ได้สบาย ๆไม่ตึงตัว

   “พี่ปืนชอบแบบไหนครับ”

   “พี่อยากได้บ้านเดี่ยว ไม่วุ่นวายดี”

   “เหมือนกันเลย ผมว่าราคามันสูงเหมือนกันนะครับ พี่ปืนจะไหวเหรอ แล้วหมู่บ้านชานเมืองแบบนี้

ถ้าไม่มีรถส่วนตัว พี่ปืนไปทำงานลำบากแน่ ๆเลย ไหนจะต้องออกไปขึ้นรถหน้าหมู่บ้าน

ไปถึงถนนใหญ่แล้วก็ใช่ว่าจะหารถโดยสารได้ง่าย ๆ”

   “นั่นสิ ทีแรกยังไม่ได้คิดหรอกเรื่องการเดินทางน่ะ แต่พอมาเห็นจริง ๆ แล้ว สงสัยพี่ต้องเอากลับไปคิดเป็นการบ้านซะแล้ว”

   ปืนมองบ้านหลังที่ชอบอย่างอาลัยอาวรณ์ อยากได้ก็อยาก แต่เรื่องการเดินทางก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ยิ่งที่ทำงานของเขา

ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ จากหมู่บ้านถ้าขึ้นรถโดยสารคงใช้เวลาไม่ต่ำครึ่งชั่วโมง นี่ยังไม่นับเวลาที่จะต้องมายืนรอรถนะ

แล้วถ้าวันฝนตก....โฮ้ย!! ทำไมไอ้การจะมีบ้านสักหลังมันถึงได้ลำบากยากเย็นนักนะ

   แต่เอาเถอะ....ใคร ๆ เค้ายังมีบ้านเป็นของตัวเองกันได้นี่นา

   สองมือสองเท้าเท่ากัน จะมายอมสิ้นท่าหมดหนทางแบบนี้ได้ยังไง

   กำลังเดินดูบ้านตัวอย่าง ปืนก็เหลือบไปเห็นรถยนต์คันที่ดูคุ้นตา แต่คนที่ก้าวลงมาจากประตูด้านคนขับยิ่งคุ้นตากว่า

   “พี่เอกแน่ะพี่ปืน”

   เออ...รู้แล้ว ปืนหันไปมองหน้าปอเป็นเชิงรับคำว่าเห็นเหมือนกัน

   พี่เอกเดินรี่ตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม   

          ทำไมต้องเป็นเวลานี้ด้วยวะ....ปืนเข่นเขี้ยวด้วยความหมั่นไส้ในใจ

          เขาไม่เคยไว้ใจพี่เอกอีกเลย ตั้งแต่วันที่กลับจากอบรมสาขาเขตสามจังหวัด

แม้แต่วันที่ไปฉลองวันเกิดแฟนพี่เอกคืนนั้น ปืนก็ไม่สนิทใจอยู่ดี

ไม่รู้ล่ะ ก็เขาเป็นห่วงปอนี่นา ทั้งห่วงทั้งหวง บอกไม่ถูก   
         
               นั่น....ดูมัน พี่เอกเหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเขากับปอมาที่นี่ด้วยกัน ท่าทางที่เดินลงจากรถจึงดูมั่นใจนักหนา

   “หวัดดีครับพี่เอก”

   เป็นเจ้าปอที่มือไม้อ่อนยกขึ้นไหว้พี่เอกตามมารยาท

   “หวัดดีปอ มาดูบ้านกันเหรอปืน”

   ไม่หรอกมั้ง....ถามมาได้ ลูกกะตามีไว้ทำไมวะ

   “พอดีเลย พี่ก็สนใจบ้านที่นี่เหมือนกัน เจ้าของโครงการเค้าเป็นลูกค้าแบ็งก์เรานี่”

   “ครับ”

   ปืนตอบรับไปแกน ๆ....ก่อนที่ลูกค้ารายนี้จะมาขอวงเงินสินเชื่อที่สาขาของปืน ก็เข้าไปที่สาขาของพี่เอกก่อนนั่นแหละ

 แต่เจรจากันยังไงไม่รู้ลูกค้าถึงถอยกลับมาตั้งหลัก จนมีคนแนะนำให้มาพบผู้จัดการสาขาของปืน

สุดท้ายก็อนุมัติสินเชื่อให้ไป นี่ก็ร่วม 2 ปีแล้ว ตั้งแต่โครงการนี้ลงเฟสแรกและประสบความสำเร็จจนเริ่มเฟสที่สอง

ที่ปืนกำลังจะตัดสินใจซื้อ

   “เออ...ปืนสนิทกับเจ้าของโครงการรึป่าว”

   “ทำไมเหรอครับ”

   ปืนทำหน้าเซ่อ ทั้งที่รู้ว่าพี่เอกจะพูดอะไรต่อไป

   “เผื่อจะได้ราคาพิเศษไง”

   ว่าแล้วเชียว

   “ไม่สนิทหรอกพี่ ผมไม่ได้ทำสินเชื่อนี่ จะได้คุ้นเคยกัน”

   “แล้วพอจะมีใครพูดต่อรองราคาได้มั้ยล่ะ”

   กรูนี่แหละ....แต่เรื่องอะไรจะบอก เกิดพี่เอกซื้อบ้านโครงการนี้ขึ้นมาได้เซ็งตาย ปืนไม่อยากได้เพื่อนบ้านแบบนี้

 ยิ่งถ้ามีปอมาอยู่ด้วย ยิ่งอันตราย

   “เต้ยไม่มาด้วยเหรอครับพี่เอก”

   ปืนถามถึงแฟนพี่เอก เผื่อจะเตือนสติได้บ้าง หากพี่เอกมีพิรุธในใจ จะได้ฉุกคิดว่าปืนรู้ทัน

   “วันนี้มีสอนน่ะ แต่ปอคงไม่ได้เรียนกับเต้ยแล้วมั้ง ถึงได้มาดูบ้านแทนที่จะเข้าเรียน”

   “ยังเรียนอยู่ครับ แต่วันนี้พี่เต้ยสอนม.ต้น ส่วนของผมเป็นคอร์สติว เรียนตอนเย็นทุกวันเลยครับ”

   “อ้อ...งั้นเหรอ พี่ก็ลืมไปว่าปอกำลังรอเอ็นฯใหม่”

   “แล้วปืนดูหมดทุกแบบรึยัง”

   “ไม่หมดหรอกครับพี่เอก ผมเลือกดูที่ชอบจริง ๆ น่ะ”

   “หลังไหนเหรอ พี่อ่ะชอบบ้านเดี่ยว แต่เนื้อที่มันน้อยไปหน่อย”

   “ก็ซื้อมันสองแปลงติดกันเลยสิครับ จะได้กว้าง ๆ”

   ประชดแม่งเลย....อวดร่ำอวดรวยดีนัก แปลงนึงตั้ง 100 ตารางวา ยังว่าน้อย ราคามันก็ใกล้สามล้านเข้าไปแล้ว

สองแปลงมันจะเป็นเท่าไหร่เข้าไปล่ะ แค่แปลงเดียวปืนก็หืดขึ้นคอแล้ว

   เป็นอันว่าโครงการซื้อบ้านก็พับไป ด้วยความหวาดระแวงของปืนเองที่คิดว่า พี่เอกอยากใกล้ชิดปอ

ทั้งที่รู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยเลย ทั้งแบบบ้านก็ถุกใจ ราคาก็พอสู้ไหว เสียนิดเดียวที่อยู่ไกลตัวเมืองไปหน่อย

อยากจะสะดวกปืนก็ต้องซื้อรถอีกคัน แต่คิดดูแล้วก็คงพอไหว ถ้ายังไงกลับไปบ้านขอเงินแม่มาสมทบก็คงได้

   ไม่เป็นไร ดวงสร้างเนื้อสร้างตัวคงยังมาไม่ถึง ปืนบอกตัวเองให้รอไปก่อนก็ได้

ดีเสียอีก เงินที่แม่ก็เก็บไว้กินดอกไปพลาง ๆ แต่ก็น่าเสียดายนะ แค่คน ๆ เดียวทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิด

เปลี่ยนความตั้งใจเนี่ย นึกอยากจะสาปแช่งแต่ก็กลัวจะผูกเวรผูกกรรมกันไปถึงชาติไหน ๆ



   หลายวันถัดมา ปืนก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่เอก ถามถึงเรื่องบ้านทำเอาปืนงง

   “ตกลงปืนจะเลือกหลังไหน พี่ว่าจะไปดูอีกทีเย็นนี้ ปืนว่างมั้ยจะได้ไปด้วยกัน”

   “ผมยังไม่ตัดสินใจหรอกครับพี่เอก อาจจะยังไม่ซื้อ”

   “อ้าว! ทำไมล่ะ พี่นึกว่าปืนชอบนะ”

   น้ำเสียงดูจะผิดหวังกับคำตอบของปืน

   “ก็ชอบน่ะสิครับ แต่ว่า...”

   “ชอบก็ไปด้วยกันเย็นนี้เลย ไปจองไว้ก่อน จะได้เลือกที่สวย ๆ”

   “แต่ผม...”

   “เอางี้ เลิกงานแล้วพี่ไปรับที่สาขานะ”

   “เดี๋ยวครับ ผม....”

   พี่เอกวางหูไปแล้ว ปืนวางโทรศัพท์ลงกับแป้น ยังรู้สึกงงเหมือนถูกฆ้อนทุบหัวอยู่เลย

บทพี่แกจะรวบรัดตัดความก็สรุปเอาเองดื้อ ๆ นี่คิดจะรวบหัวรวบหางปอให้ได้ใช่มั้ยพี่เอก....อย่าหวังเลยวะ

ต่อให้อยากได้บ้านโครงการนั้นแค่ไหน แต่ปืนก็เห็นแก่สวัสดิภาพของปอมากกว่า

เพราะมันหมายถึงสวัสดิภาพของหัวใจตัวเองด้วย แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมานั่งรอให้พี่เอกมารับด้วยล่ะ

รีบชิ่งดีกว่า ให้มันรู้ไปว่าจะตามไปถึงที่บ้าน

   แต่ทว่าปืนคิดผิด

   เพราะพี่เอกตามมาถึงอพาร์ทเมนท์ของปืนจริง ๆ ด้วย คนอะไรจะมุ่งมั่นได้ถึงขนาดนี้

   “พี่รีบออกจากที่ทำงานเลยนะ กลัวปืนจะรอนาน ที่ไหนได้ หนีกลับบ้านซะนี่”

   พี่เอกยังพูดไปยิ้มไป ไม่ยักโกรธ ทั้งที่น่าจะรู้ตัวว่าปืนตั้งใจหนีหน้า

   “ผมขอโทษนะครับพี่เอก พอดีผมไม่ค่อยสบาย เลยกลับมาก่อน”

   “ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าพี่รู้ว่าปืนไม่สบาย พี่จะได้รีบไปรับมาส่งบ้าน ไม่ใช่ว่าจะคะยั้นคะยอให้ไปวันนี้ซักหน่อยนี่นา”

   ลงอีรูปนี้ปืนก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้ ก็พี่เอกออกจะแสดงน้ำใจเสียจนปืนไม่กล้าแม้แต่จะปฏิเสธออกไปตรง ๆ

   “แล้วนี่เป็นอะไรมากรึเปล่า พี่พาไปหาหมอมั้ย”

   ไม่พูดเปล่า พี่เอกยังเอื้อมมือมาอังที่หน้าผากปืนซะงั้น....เขาบอกตอนไหนว่าเป็นไข้ตัวร้อนเนี่ย

   “ผมแค่ปวดหัวน่ะครับ คงจะเครียดเรื่องงานไปหน่อย”

   ไปได้น้ำขุ่น ๆนะ ปวดหัวตัวไม่ร้อนก็มีนี่หว่า ไหน ๆ ริจะโกหกก็ต้องไถลไปให้ตลอดแหละ

   “กินยารึยัง”

   ความอาทรที่แฝงมากับคำพูดสั้น ๆ ทำให้ปืนอดไม่ได้ที่จะต้องช้อนตาขึ้นมอง

ใบหน้าพี่เอกแทบจะปะทะกับใบหน้าของปืนเข้าพอดี จนปืนต้องผงะออกมา

   “ครับ ๆ กะ....กินแล้ว”

   “งั้นก็พักผ่อนแล้วกันพี่ไม่กวนล่ะ พรุ่งนี้ถ้ายังไม่ดีขึ้น พี่ว่าปืนลาป่วยดีกว่านะ เครียด ๆแล้วยังไปทำงานทุกวัน

มันจะยิ่งสะสม”

   เออ...รู้หรอกวะ ว่าไม่สบายเค้าให้ลาป่วยได้ ก็ธนาคารเดียวกัน มันก็ระเบียบอันเดียวกันน่ะแหละ



   รุ่งขึ้นอีกวัน พี่เอกยังอุตส่าห์โทรมาตามตื๊อปืนด้วยเรื่องเดิม

   “หายดีแล้วเหรอปืน”
               
   “ครับพี่เอก กินยาแล้วนอนพักก็หาย”

   “งั้นไปดูบ้านกันนะ เดี๋ยวพี่ไปรับ”

   “ผมอ่า....”

   “รอแป็บนึง พี่กำลังสตาร์ทรถ เดี๋ยวคงถึงก่อนปืนเลิกงานนั่นแหละ อย่าหนีกลับบ้านไปซะก่อนล่ะ เดี๋ยวปอจะไม่มีเพื่อน”

   “หา....พี่เอกว่าไงนะ....พี่เอก...พี่...”

   นั่น....ทิ้งปริศนาไว้แล้ววางสาย มันน่ายันไปซักดอกให้หายหมั่นไส้ พี่เอกหมายความว่ายังไงที่ว่า

เดี๋ยวปอจะไม่มีเพื่อนเนี่ย

   แต่ปืนไม่ต้องรอนานเลย ที่พี่เอกบอกว่ารอแป็บนึงก็เป็นอย่างที่บอกจริง ๆ ยังกับว่าตอนที่โทรศัพท์คุยกัน

พี่เอกอยู่ห่างจากนี่ไม่ถึงสิบนาที

   ...ไม่ถึงสิบนาที....

   ....ปอจะไม่มีเพื่อน....

   เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่า ตอนที่คุยกัน พี่เอกอยู่ที่สปอร์ตคลับ ปืนเริ่มใจไม่ดี เพราะเขารู้ว่าวันนี้ปอจะไปว่ายน้ำที่นั่น

   แล้วคำตอบก็เดินผ่านประตูเข้ามา ไม่ต้องให้ปืนได้สงสัยต่อไป พี่เอกคงไปรับปอที่สปอร์ตคลับ

แล้วยังใช้สิทธิ์ของการเป็นพนักงานขอให้ รปภ.เปิดประตูผ่านเข้ามาได้อย่างสบาย ๆ

 โดยมีอีกสองคนที่เดินตามมาติด ๆ

   “เสร็จรึยังปืน”

   พี่เอกถามปืน หลังจากเดินทักทายใครต่อใครอีกสี่ห้าคนที่รู้จักกัน เพราะว่าได้เคยร่วมงานกันมาบ้าง

บางคนก็เคยเจอเวลาที่ไปอบรมหลักสูตรต่าง ๆร่วมกัน

   “อีกนิดหน่อยครับ”

   คำตอบที่ไม่ตรงกับใจหลุดออกไปโดยไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นแม้แต่น้อย นี่กระมังที่เค้าเรียกว่าตกกระไดพลอยโจน

ปืนมองตามหลังพี่เอกที่เดินเข้าห้องผู้จัดการด้วยสายอาฆาต หันมาอีกทีก็สบตาปอเข้าอย่างจัง

เพราะเจ้าของหน้าใสปากแดงนั่นกำลังจ้องปืนอยู่ด้วยสายตาที่บอกว่าไม่เข้าใจ

....ปืนคงไม่คิดจะเฉลยกับปอหรอก ดีไม่ดี จะกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอกไปซะ

..ไม่ต้องรู้หรอกปอ แต่พี่ปืนจะไม่ยอมให้ปอต้องกลายเป็นของเล่นของพี่เอกแน่ ๆ

   เสร็จจากการตรวจนับเงินสดในมือส่งให้ผู้รักษาเงิน ปืนก็เดินพิรี้พิไร เก็บงานส่วนอื่น ๆ

จนไม่รู้จะถ่วงเวลาด้วยการทำงานอะไรดี ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานจะรวมหัวกันขับไล่ไสส่งปืนให้รีบออกไปพร้อมกับพี่เอก

ทั้ง ๆที่พี่แกก็ช่างมีน้ำอดน้ำทนรอได้โดยไม่ปริปากบ่นหรือออกปากเร่งปืนเลยแม้แต่นิดเดียว

   “พี่เค้ารอนานแล้วแน่ะปืน”

   พี่ก้อย พี่เลี้ยงสมัยเริ่มงานของปืนสะกิดสีข้าง พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ก็มีแค่พี่ก้อยแหละ ที่ปืนทั้งรักทั้งเกรงใจ

เพราะว่าทักษะในการทำงานของปืนก็มีพี่ก้อยเป็นคนถ่ายทอดให้ เมื่อแกเตือนมาปืนก็ต้องฟัง....ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ก้อยนะ

ปืนไม่สนหรอกจะบอกให้

   เดินมาถึงที่รถได้ พี่เอกก็จัดแจงหาตำแหน่งที่นั่งให้ทุกคน ปืนได้แต่อ้าปากหวอกับคำเชื้อเชิญที่ไม่ถามความสมัครใจสัก

นิด.....แต่ก็นะ....ตั้งแต่ถูกชวนกึ่งบังคับให้ไปดูบ้าน (ที่ปืนไม่อยากได้แล้ว) พี่เอกก็มีวิธีที่ทำให้ใคร ๆ ต้องยอมทำตาม

โดยที่โต้แย้งไม่ทันอยู่แล้ว

   “ปอนั่งกับพี่เต้ยเค้าก็แล้วกัน เค้าจะได้ช่วยติวให้ด้วย ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีสอบย่อยไม่ใช่เหรอ

ปืนมานั่งข้างหน้ากับพี่นี่มา”

   เส้นทางจากที่ทำงานของปืนไกลจากจุดหมายปลายทางกันคนละฟากเมืองเลยทีเดียว

แต่เป็นเพราะว่ามีถนนเลี่ยงเมืองช่วยร่นระยะทาง และแก้ปัญหาการจราจรคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วนยามเย็นไปได้มาก

แทนที่จะเสียเวลาถึงครึ่งชั่วโมงไปกับป้อมไฟจราจรตลอดเส้นทาง ก็เลยใช้เวลาแค่เพียงสิบห้านาทีก็ถึง

ถ้าปืนต้องขึ้นรถโดยสารน่ะเหรอ คงใช้เวลาอยู่บนรถเกือบชั่วโมงเลยมั้ง นอกจากว่าจะเรียมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

ให้ไปส่งถึงที่ในราคาเหมาจ่ายที่แพงซะจนไม่อยากจ่าย

   เต้ยดูจะชอบบ้านตัวอย่างที่พี่เอกพามาดูมาก เดินดูเสียจนทั่วรอบแล้วรอบเล่า เดินไปก็วาดภาพไปว่า

มุมนี้จะจัดเป็นห้องรับแขก มุมโน้นนั่งเล่น  ห้องนอนใหญ่สีครีม ห้องนอนเล็กสีชมพู แต่คนที่คอยเออออห่อหมก

กลับไม่ใช่พี่เอก กลายเป็นเจ้าปอของปืนไปเสียได้ ปืนเลยได้โอกาสเก็บข้อมูลความฝันของปอมิให้ตกหล่น

เผื่อว่ามีโอกาสได้ซื้อบ้านเป็นของตัวเอง (ซึ่งคงไม่ใช่โครงการนี้แน่) เขาจะตกแต่งให้ถูกใจปอไปเสียมุมเลยคอยดู

   “เป็นไงปืน พี่ว่าเราเลือกมุมด้านในก็ดีนะ ไม่พลุกพล่าน แล้วด้านนั้นก็ติดกับพื้นที่ว่างสุดเขตโครงการพอดี

ได้ยินว่าเจ้าของโครงการเค้าจะปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างไปอีกนาน ยังไงก็คงไม่ปลูกบ้านเพิ่มตรงนั้นอยู่แล้ว

เพราะเป็นที่ดินชายธง ทำได้อย่างดีก็สวนหย่อมไม่ก็สนามเด็กเล่นปืนจะเอาหลังริมรึว่าถัดเข้ามาล่ะ”

   “แล้วแต่พี่เอกเถอะ ผมยังไงก็ได้”

   เพราะปืนจะไม่เอาบ้านโครงการนี้อยู่แล้ว แล้วยังไม่คิดจะบอกพี่เอกอีกด้วย ก็ทำไมล่ะ จะเสียเงินซื้อบ้านทั้งที

ก็ต้องเลือกจนถูกใจนั่นแหละ เพราะราคามันไม่ใช่บาทสองบาท

   แต่นี่อะไรยังไม่ทันได้จองเลยด้วยซ้ำ ปืนก็ชักไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนบ้านซะแล้ว เรื่องอะไรจะเสียเงินซื้อ

แล้วยังต้องคอยหวาดระแวงจนหมดความสุขไปด้วยเล่า
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mamaUM ที่ 17-05-2012 00:10:18
เห้อออ  ชอบพี่ปืนจัง ...

รออ่านตอนต่อไปนะคะ ><
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: posh ที่ 17-05-2012 00:34:33
พี่เอกเล็งพี่ปืนชัวร์
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Na_RimKLonG ที่ 17-05-2012 02:14:51
หรือพี่เอกจะจีบพี่ปืน
เอ๊ะยังไง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 17-05-2012 11:09:46
พี่เอกนี่ยังงัยกันแน่ :really2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 17-05-2012 11:51:26
พี่เอกแปลกๆ ทำไมต้องอยากให้ปืนไปดูบ้านขนาดนั้น
ตกลงชอบปอหรือปืนกันแน่
แต่ก็ดูรักเต้ยดีอยู่นี่
ปอก็ดูว่าไม่ให้ความหวังปืน แต่ก็ไว้ใจ ไปนอนด้วยทั้งเมาๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 17-05-2012 12:14:24
พี่เอกนี่ชักยังไงๆ
 :o
ตัวเองก็มีเมียอยู่แล้วนิ
มาก้อร่อก้อติกพี่ปืนอยู่นั่นแหละ
แถมพี่ปืนก็ไม่รู้ตัวอีก ซื่อเกินมั้ยพี่ปืนเอ๊ย
มัวแต่ห่วงน้องมัน ตัวเองแหละที่ไม่ปลอดภัย
 :freeze:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: luv_khun ที่ 17-05-2012 16:40:40
เคยอ่านอีกบอร์ดมาเหมือนกัน  นานมากกกกแล้ว จนจำเรื่องไม่ค่อยได้  คุ้นๆชื่อเรื่อง  แต่จำชื่อคนแต่งได้ Noo

ดีใจที่เอามาลงที่นี่อีก  ขอบคุณนะ :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: takkie ที่ 17-05-2012 18:10:34
ขอบคุณครับคุณนู

เห็นคนที่เข้ามาอ่านแล้ว ผมก็ปลื้มแทน

นึกว่ามีแค่ผมที่อยากอ่าน

จะติดตามพี่ปืนกับน้องปอที่นี่นะครับ


 :กอด1:

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 16/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 17-05-2012 19:11:09
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะปืน มัวแต่ห่วงปอๆอยู่นั่น หึ หึ หึ ห่วงตัวเองเทอะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:25:25



ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ

คุณ mamaUM > อย่าเพิ่งใจอ่อนกับปืนนะ ที่จริงอ่ะมันร้าย

คุณ posh คุณ Na_RimKLonG คุณ CarToonMiZa คุณ $VAN$ คุณ choijiin > คอนิยายแน่เลย อ่านปุ๊บเดาได้ปั๊บ มีแต่ปืนแหละที่มันยังโง่อยู่ 555 จะโดนงาบแล้วยังไม่รู้ตัวอีก

ครับคุณ luv_khun > นานมากกกกก จนผมก็ลืมนึกถึงคนที่เคยอ่านค้างไว้ที่โน่น ไม่นึกว่ายังมีคนจำได้ ดีใจจังครับ

 คุณ takkie > เป็นคนชวนผมมานี่แท้ ๆ ทำไมมาช้ากว่าใครเค้าล่ะ

yayee2 >   :กอด1:  พี่ยาหยี



ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ อ่านต่อเลยครับ














     ปอรีบตื่นแต่เช้าทั้งที่เป็นวันเสาร์ เพื่อจะขนตะกร้าผ้าที่ใช้แล้วขึ้นไปซักที่ห้องของปืนเช่นทุกเสาร์

ที่ผ่านมานับแต่แยกห้องออกมาอยู่ตามลำพัง  แต่วันนี้เช้ากว่าปกติหน่อย เพราะนัดกันไว้ว่าจะไปดูหนังรอบเช้า

จากนั้นค่อยไปกินข้าวเที่ยงกันต่อ  อิ่มแล้วก็จะไปเดินย่อยอาหารซื้อของใช้เข้าบ้าน

      วันนี้ปอถลกผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนมาซักเสียด้วย เพราะดองมาทั้งอาทิตย์แล้ว

ทั้งที่ปกติ ทุกวันพุธจะเป็นวันที่จะต้องทำความสะอาดของพวกนี้

แต่เพราะปอมัวแต่คร่ำเคร่งกับการสอบวัดผลการเรียนรู้ของโรงเรียนกวดวิชา

ทำให้งานหลาย ๆ อย่างถูกพักไว้ และเอาเวลามาทบทวนความรู้แทน

ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะพี่เต้ยบอกว่าคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ของเขาสูงเป็นที่สองของกลุ่ม

ส่วนที่หนึ่งก็ได้เจ้าประจำที่เคยได้ไปหนที่แล้ว (มันเก่งขนาดนี้แล้วมันจะมาเรียนพิเศษเพื่อ)

     
      ห้องของปืนอยู่เหนือขึ้นไปอีกชั้น ปอก็เลยเดินขึ้นบันไดเอา ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งในยามเช้า

จะว่าไปแล้วไม่ว่าเวลาไหน ปอก็เดินขึ้นบันไดทุกที เพราะมันก็แค่ชั้นเดียวเองไม่รู้จะใช้ลิฟท์ไปทำไม
 
      เคาะประตูห้องพอเป็นพิธีแล้วปอก็เสียบการ์ดปลดล็อก การ์ดนี้ปืนให้ไว้นานแล้ว

ตั้งแต่ครั้งที่มาเรียนพิเศษเตรียมเอ็นฯ ให้ไว้เผื่อปอจะมาซักผ้ารีดผ้าทั้งของตัวเองและของปืน

แล้วปอก็อุ๊บอิ๊บไว้ไม่เคยคืน ปืนเองก็ไม่เคยทวงถาม

     ประตูเปิดออกเห็นห้องรับแขกโล่ง ๆ ที่เจ้าของเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ แต่ตัวเองกลับเข้าไปอาบน้ำผิวปากเป็นเพลง

ไปพร้อม ๆ กัน

 (ฟังยังไงก็ไม่เห็นจะเป็นเพลง ถ้าเป็นเสียงนกเสียงกาล่ะว่าไม่ถูก )

      ปอเดินไปยัดผ้าที่หิ้วมาเข้าตู้ซัก แล้วเดินไปหยิบตะกร้าผ้าของปืนมาซักรวมกัน

ผงซักฟอกยี่ห้อไหน ๆ ที่โฆษณาว่าสะอาดหมดจด พลังซักสูง ขจัดคราบสกปรกได้ชะงัดนัก

ปอกับปืนลองกันมาไม่รู้จักกี่ยี่ห้อ สุดท้ายก็มาลงเอยที่น้ำยาซักผ้าสินค้าขายตรงยี่ห้อหนึ่ง

      นึกถึงวันที่ตกลงกันเรื่องน้ำยาซักผ้าแล้วปอก็ยังรู้สึกขำเล็ก ๆ

      “แพงโคตรอ่ะปอ”

      “ก็ผมแพ้ผงซักฟอกหนิพี่ปืน”

      ปอยื่นมือสองข้างที่เต็มไปด้วยขุยของผิวหนังที่ลอกเป็นแผ่น ๆ อย่างน่ากลัวให้ปืนดู

เห็นแล้วปืนก็ทำสีหน้าว่าสงสารปอ คว้ามือที่เคยขาวนุ่มนิ่มมาลูบไล้เบา ๆ

      “พี่ซักเองก็ได้ ปอไม่ต้องทำดีมั้ย”

      “ไม่เอ๊า...”

      ปอตอบกลับมาด้วยโทนเสียงสูงกว่าปกติ เมื่อปืนเอ่ยปากที่จะทำงานนั้นซะเอง

เพราะทนเห็นอาการแพ้ผงซักฟอกของปอไม่ได้ ทั้งที่ปืนเองก็ใช่ว่าจะชอบซักผ้า

      “พี่ปืนทำงานเหนื่อยแล้ว ยังจะให้มาซักผ้าได้ไง ผมอ่ะไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนอกจากไปเรียนวันละไม่กี่ชั่วโมง

ผมทำได้ ผมอยากทำให้พี่ปืนด้วย....ใช้น้ำยาเหอะ....นะ ราคามันสูงแต่ไม่แพงนะขวดนึงใช้ได้ตั้งนาน

.....ไม่รู้จะขี้เหนียวไปถึงไหน”

      ประโยคหลังเสียงอุบอิบเบาหายลงไปในลำคอ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ปืนได้ยิน

      “จะขี้เหนียวไปไหน ถ้าไม่ใช่เพราะจะเก็บตังค์ซื้อบ้านน่ะ”

      ปืนตอบกลับมาเสียงนุ่ม อ่อนโยนซะจนปอต้องเงยหน้าขึ้นมองให้แน่ใจว่า ปืนไม่ได้โกรธที่เขา

เผลอพูดถึงนิสัยช่างประหยัดมัธยัสถ์ของปืน (ที่เรียกสั้น ๆ ว่าขี้เหนียว)

      “งั้นผมออกค่าน้ำยาซักผ้าเองก็ได้ ไม่อยากรบกวนพี่ปืนมากไปกว่านี้ แค่ที่พี่ปืนให้มาใช้เครื่องซักผ้าที่ห้อง

ผมก็สะดวกสบายมากพอแล้ว ผมแพ้ผงซักฟอกเอง พี่ปืนก็ไม่ควรต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”

     ด้วยประโยคเด็ดนี้ทีเดียว ที่ทำให้ปืนตัดใจซื้อน้ำยาซักผ้าขวดละหลายร้อยเพื่อรักษาสภาพผิวหนัง

และฝ่ามือของปอไม่ให้ลอกเป็นขุย....นี่ก็เพิ่งขวดที่สองเอง บอกแล้วว่ามันใช้ได้ตั้งนาน

      ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับเสียงผิวปากหยุดชะงักลง

      “อ้าว! มานานรึยังปอ”

      ปอละสายตาจากตู้ซักผ้าที่ตัวเองกำลังแยกผ้าขาวและผ้าสีอ่อนลงซักก่อน
         
      “ตะกี้เองครับ พี่ปืนกินไรรึยัง”

      “ชงกาแฟเผื่อพี่แล้วกัน”

      ปืนเดินเข้าห้องนอน เสียงเปิดตู้เสื้อผ้าดังอยู่หลังบานประตูที่ไม่ได้ปิด

      “งั้นเดี๋ยวผมลงไปซื้อปาท่องโก๋ข้างล่างก่อนนะ”

      ปอตะโกนบอกก่อนจะวิ่งตึง ๆ ลงลิฟท์มาหน้าอพาร์ทเมนท์ที่มีของกินวางขายไม่มาก

แต่ก็พอมีของชอบให้เลือกซื้อ

      คำพูดคุยอย่างสนิทสนมง่าย ๆ สบาย ๆ ระหว่างเขากับปืนกลับมาเหมือนเก่า

ความประดักประเดิดค่อย ๆ หายไป  อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างก็ต้องการให้เป็นแบบนี้

แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ปอเองเด็กกว่าปืนก็ไม่ค่อยกล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่ก็รอทีท่าอยู่ตลอดเวลาว่า

เมื่อไหร่ที่ปืนก้าวเข้ามาแค่เพียงครึ่งก้าว   เขาก็พร้อมจะกระโดดออกไปทั้งตัว


      เขาเคยฝังความรู้สึกของตัวเองอยู่กับความไม่แน่ใจ ที่ก่อตัวขึ้นมาในคืนบนรถไฟ 

ปอยอมรับกับตัวเองได้อย่างเต็มใจว่า เขารู้สึกอบอุ่นที่มีปืนเคียงข้างในทุกเวลาที่เขาเรียกหา

และคิดตลอดมาว่า นั่นเพราะเขาอยากมีพี่ชายสักคนอย่างที่เคยเห็นเพื่อนในวัยเด็กมีกัน

พี่ชายที่คอยดูแล ช่วยเหลือ ปกป้อง และเป็นเพื่อนเล่น

ความเงียบเหงาในวัยเด็กไม่ได้ทำร้ายปอมากนัก เขายอมรับได้กับการที่ต้องเป็นลูกคนเดียว

ที่ไม่เคยขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่...ก็แค่ไม่มีพี่ชาย ปอเคยปลอบใจตัวเองว่า

ไม่มีพี่มีน้องก็ดีไปอย่าง ที่จะไม่มีใครมาแย่งความรักส่วนนี้ไป ยิ่งเวลาที่เห็นพี่น้องคนอื่นแย่งของเล่นกัน

ปอก็คิดว่าดีเหมือนกันที่เขาไม่มีใครมาคอยแย่ง

      ยิ่งใกล้ชิดกับปืน ปอก็ยิ่งติด พอเวลาห่างกัน ปอก็ยิ่งคิดถึง แต่ก็บอกตัวเองว่า

คงเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับการมีปืนอยู่ใกล้ ๆ คอยช่วยเหลือ ดูแลทุกอย่าง จะคิดจะทำอะไรก็ไม่เคว้งคว้าง

อะไรที่มันกลายเป็นความเคยชิน พอขาดไปมันก็ต้องมีความรู้สึกโหยหาเป็นธรรมดา

ยิ่งช่วงที่ปอเรียนอยู่กรุงเทพยิ่งแล้วใหญ่ เขาคิดถึงปืนบ่อย ๆ และพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคม

เพื่อนฝูงและสิ่งแวดล้อมใหม่ให้ได้ การที่ปอมีเนยช่วยให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากนัก

เพราะถึงยังไงก็เป็นคนที่คุ้นเคย พอที่จะพูดคุยปรับทุกข์กันได้ แต่ก็ยังไม่วายเกิดปัญหาขึ้นมาอีก


      ตอนที่ปอคิดว่าเขากำลังจะปรับตัวเข้ากับใครต่อใครได้ เนยก็กลับมาตีจากอย่างกะทันหัน

ชนิดที่ปอเองนอกจากตั้งตัวไม่ทันแล้ว ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนที่กำลังคบหาเป็นแฟนกัน

แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุผลที่เนยบอกเขามันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างของเนยเพื่อที่จะปัดความผิดให้พ้นตัว

กว่าที่ปอจะยืนหยัดได้อย่างมั่นเท้าอีกครั้ง ก็ใช้เวลาไม่น้อย

และถ้าไม่มีพี่ปืนเขาอาจจะใช้เวลาในการฟื้นตัวมากกว่านี้ก็เป็นได้

      จนวันนี้ปอยอมรับได้อย่างเต็มหัวใจแล้วว่า เขาอยากมีพี่ปืนเคียงข้างอย่างนี้เรื่อยไป

ปืนเองก็คงจะคิดเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์บนรถไฟคืนนั้นคงไม่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ที่ทำให้ปอเริ่มหวั่นไหวด้วยอารมณ์อ่อนหวานที่กรุ่นขึ้นมาในหัวใจ

แค่ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดแก้มยังมีอิทธิพลกับปอได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เพียงแต่คืนนั้น เขายังตกใจ หวั่นกลัวกับอารมณ์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

และปอเองก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขาได้ อารมณ์นั้นช่างแปลกนักในความรู้สึก

มันแปลกและน่าตกใจเสียจนปอต้องขอเวลาทบทวนมันสักกระยะ ซึ่งตอนนี้ปอพร้อมแล้ว

สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะเป็นไป ปัญหาข้างหน้าที่มันยังไม่เกิด

ปอไม่อยากเก็บมาคิดให้จิตใจเศร้าหมองไปเปล่า ๆ แค่เริ่มคิดว่าป๊ากับแม่จะว่ายังไงบ้าง

ที่ลูกชายคนเดียวกลายมาเป็นแบบนี้ ปอก็เริ่มจะท้อใจซะแล้ว ดังนั้นตัดปัญหาที่ยังไม่เกิดออกไปซะ

เพราะตราบใดที่พี่ปืนยังอยู่เคียงข้างกันไม่หนีหายไปไหน ปอก็มีพลังใจล้นเหลือที่จะต่อสู่ฝ่าฟันไปด้วยกันกับพี่ปืนอยู่แล้ว


      ประตูปิดล็อกเมื่อปอกลับขึ้นมาบนห้อง เขาก็ว่าตัวเองไม่ได้กดล็อกนี่นา แต่ก็ไม่เป็นไร

เพราะการ์ดยังอยู่ในกระเป๋ากางเกง ปอรูดการ์ดเปิดประตูเข้าไปด้วยความคุ้นเคยราวกับเป็นเจ้าของห้องคนหนึ่ง

แล้วเดินไปวางของไว้บนโต๊ะรับแขกที่มีถ้วยกาแฟที่เขาชงทิ้งไว้วางอยู่ก่อนแล้ว

ประตูห้องนอนยังปิดอยู่ ไม่รู้ว่าพี่ปืนมัวแต่ทำอะไร จนกาแฟเย็นชืดหมดแล้ว เขาลงไปข้างล่างไม่นานนัก

และปืนก็ไม่น่าจะใช้เวลาแต่งตัวนานขนาดนี้.....จะแต่งหล่อไปไหน ยังไม่ได้จะออกไปกันตอนนี้ซะหน่อย

อย่างเร็วที่สุดก็ต้องซักผ้าให้เสร็จก่อน แล้วปอยังต้องลงไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องของตัวเองอีก

      ปอส่ายหน้าน้อย ๆ หยิบถ้วยกาแฟถ้วยเดิมไปเก็บ แล้วชงถ้วยใหม่มาวาง

ก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องเรียกปืนให้ออกมา

      “พี่ปืน”

      เคาะประตูได้สองก๊อก ปอก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำขานรับ
   
     แต่ภาพที่ปอเห็นกลับเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเลยและไม่เคยเห็นมาก่อน

     ปืนไม่ได้กำลังแต่งตัว ไม่ได้แม้แต่จะเลือกอะไรมาสวมใส่ซักชิ้น ประตูตู้เสื้อผ้าบานคู่ยังเปิดค้าง

แต่คนที่เขาเห็นว่านุ่งผ้าเช็ดตัวก่อนที่เขาจะลงไปข้างล่าง ตอนนี้ผ้าชิ้นนั้นหลุดไปกองบนพื้นหน้าเตียง

มีเพียงร่างเปลือยเปล่าที่ถูกทาบทับด้วยใครอีกคนที่ยังสวมเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย และพร้อมจะปลดให้หลุดออกไป

จากร่างกายได้ทุกเวลา ทั้งคู่กำลังนัวเนียอยู่บนเตียงกลางห้องนอนกว้างของปืน

      เตียงกว้างที่ปอเคยมานอนค้างเป็นบางครั้ง

      เตียงที่ปูผ้าสีฟ้านวล ที่ปอเลือกให้ด้วยตัวเองเมื่อตอนที่ไปซื้อของเข้าบ้านครั้งสุดท้าย

แต่ตอนนี้ผ้าปูนอนผืนนั้นยับยู่ดูไม่ได้ เพราะสองร่างที่กำลังก่ายเกยกันบนเตียงนั้น


ปืนกำลังผละออกจากร่างใหญ่ที่กดทับเขาอยู่ข้างบน ในขณะที่ปอน้ำตากลบตาไปแล้ว

เท้าทั้งสองกำลังก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว

ได้ยินเสียงเรียกชื่อปอแว่ว ๆ อยู่ข้างหลังสองสามครั้งก่อนจะเงียบไป

เมื่อปอกระแทกประตูห้องปิดดังปัง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:33:25



 จะว่าเป็นโชคหรือเคราะห์ก็เหลือจะเดา เพราะมันจบไม่สวย ดีไม่ดีอาจจะมองหน้าปืนไม่ติดอีกต่อไป

ส่วนไอ้เด็กนั่นก็ช่างเถอะ นักเรียนของเจ้าเต้ย ไม่เกี่ยวอะไรกับเอกอยู่แล้ว หนุ่มใหญ่ท่าทางสุขุม

ที่ตอนนี้มีรอยฟกช้ำประทับอยู่บนข้างแก้มและมุมปาก ยกมือขึ้นลูบตรงนั้นเบา ๆ แล้วก็ต้องสูดปาก

เพราะมันระบม....เห็นนิ่ง ๆ ไม่รู้นะเนี่ยว่าต่อยก็เป็น แต่ก็ดี

เหมือนได้กินแกงไตปลาเวลาที่รู้สึกเบื่ออาหารยังไงยังงั้นเลย

(แกงไตปลา เป็นอาหารประจำถิ่นใต้ มีเครื่องในปลาเป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อนำมาปรุงอาหาร

ต้องใช้เครื่องแกงผสมเครื่องเทศให้มีรสเผ็ดร้อน มีรสเค็มนำ รับประทานเป็นกับข้าว

หรือ เป็นน้ำแกงขนมจีนก็อร่อย รับประทานกับผักสดหลาย ๆชนิด)

      ความจริงก็ตั้งใจจะมาชวนปืนไปดูบ้านที่จองไว้ด้วยกัน หลังที่เขาจองไว้มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว

แต่ของปืนยังไม่ถึงไหนเลย เขาก็แค่อยากจะมารับไปดูบ้าน เพราะปืนไม่มีรถไปเอง อาจจะไม่สะดวก

อีกหน่อยก็จะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ความสนิทสนมที่มีอยู่เดิมจะได้แน่นแฟ้นเข้าไปอีก

      เขาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองใจร้อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็เลยทำให้เสียเรื่อง จากนี้ไปคงต้องทิ้งระยะไว้สักหน่อย

กว่าที่จะพูดคุยกันได้เหมือนเดิม ตัวเขาเองน่ะไม่เป็นไร โดนแค่นี้เจ็บน้อยกว่ามดกัดซะอีก กลัวแต่ว่าปืนจะไม่ชอบใจ

พาลเกลียดน้ำหน้าจนไม่ยอมพูดด้วยแล้วเขาจะทำยังไง เขาเล็งของเขาไว้ตั้งนาน

ตั้งแต่ตอนที่ไปอบรมหลักสูตรระบบงานใหม่ที่กรุงเทพพร้อมกัน บังเอิญปืนพักอยู่ห้องเดียวกับเพื่อนที่เอกสนิทด้วย

ก็เลยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดระยะเวลาของการอบรม นิสัยใจคอของปืนเป็นที่ถูกใจของเอกมาก

ลักษณะเป็นคนใจกว้าง พูดคุยสบาย ๆ อารมณ์ดี ถึงจะไม่ใช่คนขี้เล่น แต่ก็พอจะมีอารมณ์ขัน

ได้ใกล้ชิด พูดคุยกันทุกวัน เอกไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย ไม่เหมือนคู่รักที่เอกเคยคบหาด้วย ที่หลังจากเสร็จกิจแล้ว

แทบอยากจะสลัดให้ห่างกาย แม้แต่เต้ยคนที่นอนร่วมเตียงคนปัจจุบันก็ไม่ใช่กรณียกเว้น

เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น หมดอารมณ์ใคร่ ก็พลอยหมดอารมณ์รัก

หมดอารมณ์ที่จะคลอเคลียนัวเนียไปด้วย

      ตอนที่เอกมาถึงอพาร์ทเมนท์ เห็นปอเดินออกไปทางร้านค้า ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเขาตั้งใจจะมาหาอีกคน

เลยไม่สนใจจะทัก พอขึ้นไปถึงห้องของปืน เอกกำลังจะเคาะประตูอยู่แล้วเชียวแต่พอลองจับลูกบิดประตู

ก็พบว่ามันเปิดออกได้อย่างง่ายดาย เอกก็เลยถือวิสาสะเดินเข้าไปถึงห้องนอน ซึ่งมองจากทางเข้า

ก็เห็นบานประตูห้องนอนแง้มอยู่ อะไรบางอย่างดลใจให้เอกก้าวเข้าไปเงียบ ๆ

แล้วสายตาของเขาพลันได้เห็นเรือนร่างกำยำแข็งแกร่งของชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมาย

ร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำตาลจางกระตุกหัวใจของหนุ่มใหญ่อย่างเอกให้เต้นผิดจังหวะ มัดกล้ามแน่น ๆ

กับแผงอกแต้มสีน้ำตาลแดงจัดเป็นตุ่มไตสองข้าง กระชากอารมณ์ของเอกให้กระเจิดกระเจิง

ริมฝีปากแห้งผากจนต้องใช้ปลายลิ้นออกมาแตะเลียให้ชื้น

มองต่ำลงมาถึงช่วงล่าง เอกยิ่งรู้สึกถึงกระแสเลือดในกายวิ่งพล่านไปรวมอยู่ตรงจุดเดียวกัน

จนไม่สามารถบังคับปฏิกิริยาของมันได้

ไม่ทันได้คิดยับยั้งชั่งใจเอกก็ได้ทำตามอารมณ์ปรารถนาของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว


      ผลที่ได้ถึงมันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและปืนชะงักงันไปเล็กน้อย

แต่เอกก็อดที่จะอมยิ้มให้กับสิ่งที่เขากระทำลงไปไม่ได้

อย่างน้อยเขาก็ได้เห็นเรือนร่างแข็งแกร่งสมบูรณ์ยามที่ไร้อาภรณ์ปิดบัง

จำได้ติดตาทีเดียวว่ามันยั่วยวนหัวใจเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้กอดปืนแบบเต็มอ้อมแขน ได้จูบฟอนเฟ้นไปตามเนื้อตัวของปืน

แม้จะพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เอกเกิดความมุ่งมั่นจะคว้าปืนมานอนแนบข้างให้ได้สักวัน


      **************************************************************
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:37:53
     หลังจากผลักไอ้คนที่นอนทับเขาออกห่างได้แล้ว

ปืนก็ลืมตัวเกือบจะกระโจนออกจากห้องทั้ง ๆ เปลือยกายอย่างนั้น จำได้ว่าเขาตะโกนเรียกปอเสียสุดเสียง

แต่ผลที่ได้ก็คือ ไอ้หน้าด้านคนนั้น กลับกอดรัดเขาจากด้านหลัง แล้วผลักให้ลงไปนอนคว่ำหน้าบนเตียงเหมือนเดิม

ยังไม่ทันที่มันจะล้มตัวตามลงมา ปืนก็พลิกตัวนอนหงายงอเข่าดีดผึงออกไปสุดแรง แต่ก็พลาด

มันกลับเบี่ยงตัวไปด้านข้างทัน

....ไวชิบ!

      คราวนี้ถือโอกาสที่มันไม่ทันตั้งตัว ปืนดีดตัวลุกขึ้นกำหมัดชกออกไปเต็มแรง หนนี้ได้ผล

ไอ้พี่เอกหน้าหัน เลือดออกซิบ ๆ ที่มุมปาก แต่มือของปืนก็ออกจะเจ็บ ๆ อยู่เหมือนกัน

คนอะไรวะ ชกซะหน้าหันยังมาแสยะยิ้มให้อีก

      “ทำบ้าอะไรเนี่ยพี่เอก”

      ปืนตวาดออกไปสุดเสียง ทั้งตกใจที่โดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ทั้งโมโหที่ปอวิ่งหนีไป โดยที่เข้าใจอะไรผิด ๆ

ก็เพราะไอ้พี่เอกคนเดียว แล้วดูมันซิ ยังจะมาทำหน้าเป็นยืนจ้องอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้องอีก

ปืนรีบคว้าผ้าขนหนูที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมานุ่งอย่างลวก ๆ ก่อนที่จะสึกหรอไปมากกว่านี้

      “ไม่บ้านะ ก็พี่....”

      พี่เอกหน้าสลดลงจนเห็นได้ชัด จากที่เมื่อกี้ยังทำตาวาว ๆ อยู่เลย

      “ไม่บ้าอะไรได้ พุ่งเข้ามาฟัดผมเนี่ย ไม่เรียกว่าบ้าแล้วจะเรียกว่าอะไร”

      “เรียกว่ารักไง ทำไม....พี่รักปืนนี่มันบ้านักเหรอ แล้วที่พี่ทำน่ะเค้าเรียกกอดไม่ใช่ฟัด”

      เออ....รู้หรอกว่ากอด แต่ไอ้ที่ผลักลงไปคว่ำหน้าบนเตียง แล้วคลุกซะผ้าปูยับย่นน่ะ มันเกินกว่ากอดไปเยอะแล้ว

แต่ไอ้ที่มาบอกว่ารักทำเอาปืนสะดุดใจอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆที่มีเต้ยอยู่ทั้งคน ยังมีหน้ามาบอกว่ารักเขาได้เต็มปาก

เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพี่เอกมาจากคนอื่นว่าพี่เอกเจ้าชู้อย่างร้าย

เจอเข้ากับตัวเองวันนี้ปืนว่าพี่เอกร้ายกว่าที่เขาคิดเสียอีก

      “หมัดหนักเหมือนกันนะเราน่ะ”

      ปืนลูบข้อนิ้วมือของตัวเอง รู้สึกถึงอาการปวดระบมไม่น้อยเลย

      “อีกซักหมัดมั้ยล่ะ”

      “เปลี่ยนเป็น.....”

      เห็นสลดอยู่เมื่อกี้ยังจะยื่นหน้ามาทำปากจู๋ใส่อีก ปืนก็เลยสวนหมัดลอย ๆ ออกไป เผื่อจะโดนเฉี่ยว ๆ มั่งก็ยังดี

ที่ไม่ทำน่ะไม่ใช่ว่ามีใจให้หรอกนะ แต่ปืนยังเจ็บมืออยู่ต่างหาก ไม่ใช่นักมวยนี่หว่า จะได้ทนทานต่อแรงกระแทก

      “ปอ”

      ปืนพึมพำ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า คนที่วิ่งออกไป ป่านนี้จะเตลิดไปถึงไหน แล้วพกเอาอารมณ์ชนิดไหนไปด้วย

เรียกก็ไม่หยุด เขาเกือบจะวิ่งตามไปแล้วดีที่นึกได้ว่าไม่มีผ้าติดตัวสักชิ้น ไม่งั้นผู้คนได้แตกตื่นกันทั้งฟลอร์แน่

      ปืนรีบสวมเสื้อผ้าเท่าที่จะคว้าได้ หันไปดูพี่เอกก็ยังนั่งที่ปลายเตียง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนซะงั้น

หมั่นไส้ก็หมั่นไส้ มันน่าใส่อีกสักตุ้บสองตุ้บ แต่ไม่มีเวลาแล้ว เขาต้องไปตามหาปอก่อน

      “ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับพี่อยู่นะ เรายังไม่จบกันแค่นี้หรอก”

      ปืนทิ้งท้ายไว้ก่อนจะออกมา


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:42:52
ปอไม่ได้กลับห้องของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล

เพราะรู้ตัวเองว่าไม่พร้อมจะพบหน้าใครในตอนนี้

ดาดฟ้าของอพาร์ทเม้นทตอนสาย ๆ ไม่มีคนเลย ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะมีใครขึ้นมาอยู่แล้ว

แต่ปอชอบมานั่งเล่นตอนค่ำ ๆ มองดูฟ้า ดูดาว ไม่มีจุดหมายอะไรในการมอง นอกจากปล่อยสมองให้ว่างเปล่า


      พื้นดาดฟ้าเป็นปูนซีเมนต์เรียบ ๆ มีถังเก็บน้ำถังใหญ่วางเรียงราย กำแพงทั้งสี่ด้านความสูงแค่เมตรเดียว

พื้นปูนบางแห่งมีตะไคร่น้ำเกาะเขียวพรึ่ด ไม่ค่อยน่าดู ไม่มีกระทั่งร่มเงาหลบแดด

นอกจากชายคาที่ยื่นออกมาจากบานประตูเหนือบันไดหนีไฟที่ปอเพิ่งจะปีนขึ้นมา

      ปอเคยใช้เป็นที่นั่งเล่นในยามที่ไม่รู้จะไปไหนช่วงที่เขาหลบหน้าปืน

บนนี้มีเก้าอี้ไม้เก่า ๆ อยู่สองตัว ตั้งเข้าหากัน

มีโต๊ะเหล็กใกล้ผุคั่นตรงกลาง วางอยู่ใต้ชายคาชิดผนัง

คงมีใครสักคน หรือสักคู่เคยมานั่งพูดคุย พักผ่อนกันตรงนี้ ยามที่ไม่อยากให้ใครรบกวน

      แดดไม่แรง อากาศไม่ค่อยร้อน อาจจะเพราะเพิ่งจะเป็นยามสาย

มุมนี้อยู่ด้านทิศใต้ ไม่ได้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกที่จะรับแดดเช้าตรง ๆ

ปอหันไปด้านตะวันออกที่เป็นภูเขา ที่บ้านของเขาก็เต็มไปด้วยเทือกเขา

เส้นทางที่ผ่านไปสู่บ้านก็ต้องผ่านหุบเขา เห็นแล้วก็เลยคิดถึงบ้านขึ้นมาจับใจ

      เวลาที่สับสน คิดอะไรไม่ออก ปอเคยมีป๊า มีแม่ คอยให้กำลังใจ ชี้แนวทางให้ตัดสินใจ และไม่เคยบังคับ

เขาคุ้นเคยกับการตัดสินใจด้วยตัวเองมาตลอด ค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนวัยเดียวกันเสียด้วยซ้ำ

เพราะอย่างนี้เมื่อปอขอมาเรียนกวดวิชาในเมืองใหญ่จึงไม่มีใครคัดค้าน

ถึงแม้ว่าจะมีครอบครัวอาเจ็กหมงที่รู้จักกันดีตั้งรกรากอยู่นี่ ปอกับครอบครัวก็ไม่เคยไปรบกวน

ป๊ากับแม่ปล่อยให้ลูกชายดูแลตัวเอง ยิ่งเดี๋ยวนี้มีพื่ปืนเป็นลูกชายอีกคน ยิ่งไม่ต้องห่วงเพราะรู้ว่าปออยากมีพี่ชาย

ทำยังไงก็ได้ ให้พี่ชายคนนี้ไม่ไปไหน ปอยอมหมด

แต่ป๊ากับแม่คงยังไม่รู้ว่าปอไม่อยากได้แค่พี่ชายซะแล้ว ปอคิดไกลไปมากกว่านั้น



หลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความไม่แน่ใจอยู่นาน ปอก็ตัดสินใจได้ว่า อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิดไป

ปอเห็นตัวอย่างชีวิตคู่ของพี่เอกกับพี่เต้ยมาแล้ว ก็ดูมีความสุขดี ไม่ต้องแคร์ใคร แค่มีเรา ความสุขก็เกิดได้

ปอผ่านวันเวลาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมานานเท่าชีวิตของเขา ได้พี่ชายแสนดีมาคนหนึ่งก็นับว่าโชคดีแล้ว

แต่ความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่า ที่ปอไม่เคยคาดฝันว่าจะเกิดขึ้นกับเขาได้ ก็แวะเวียนมาให้ฉกฉวยอย่างง่ายดาย

จะปล่อยให้ผ่านไปเฉย ๆ ปอคงโง่เต็มที

      แต่ใจเอ๋ยใจ.....ยังไม่ทันที่ปอจะเอื้อมมือคว้า ทำไมทุกอย่างถึงลอยหาย

      น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้ง รินออกมาจนเปียกแก้มอีกครั้ง ปอปล่อยให้มันไหลไปรวมกันที่ปลายคาง

มองดูมันหยดลงบนขากางเกงเป็นดวงสีเข้ม ถ้าปล่อยเสียงร้องโฮออกมาได้ก็คงดี

แต่ปอกลับร้องไม่ออก ระลอกความรู้สึกเจ็บหนึบที่กดแน่นในช่องอกมันช่างทรมานเสียจริง

นึกถึงภาพที่ยังติดตาทีไร ความเจ็บนั่นก็กดหนักขึ้นทุกที น้ำตาร่วงพรูจนกลั้นสะอื้นต่อไปไม่ไหว

เขาปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ไปโดยไม่มีเสียง ให้หัวใจมันคร่ำครวญเสียให้พอ

เจ็บคราวนี้ทำไมมันถึงได้ร้าวในหัวใจนัก ไม่เหมือนคราวที่เลิกกับเนยเลย


      ปอถอนสะอื้นเฮือก พยายามเรียกสติกลับคืนมา

ในหัวค่อยโล่ง เมื่อได้ปลดปล่อยอะไร ๆ ออกไปซะบ้าง

ปอถามตัวเอง.....แล้วเขาจะทำอะไรต่อไปดี
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:47:11
      ปืนเดินจนเมื่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าปอหายไปอยู่ที่ไหน แต่เขาก็หยุดตามหาไม่ได้

  ที่แรกที่คิดได้ก็คือห้องของปอ ทั้งที่รู้อีกแหละว่าปอคงไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็ต้องลอง

  เคาะประตูได้สองสามทีไม่มีการตอบรับ  ปืนก็ลงลิฟท์ไปหาที่ล็อบบี้ ถามที่เคาน์เตอร์ก็บอกว่าไม่เห็น

ปืนคร้านจะสวนว่ามัวแต่คุยโทรศัพท์ มันคงเห็นหรอก....แล้วจะไปถามมันทำไม

      เขาตระเวณไปทั่วบริเวณอพาร์ทเมนท์ ไม่คิดหรอกว่าปอจะไปไหนไกล ๆ น้ำตาอาบหน้าซะขนาดนั้น

อย่างดีก็คงจะหลบ ๆ อยู่แถวสวนหย่อมใกล้ ๆ แต่เดินวนรอบแล้วรอบเล่า ปืนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของปอ

(แหวกสุมทุมพุ่มไม้ดูมั่งดีมั้ยเนี่ย)

      ลงทุนเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างเหมาจ่ายให้ช่วยพาตระเวณรอบเมืองที่ ๆ คิดว่าปอน่าจะไป

สปอร์ตคลับ สวนสาธารณะ ร้านไอติมที่ปอชอบมานั่งกิน จนตะวันตรงหัว ปืนก็เริ่มท้อ


      .....ไปอยู่ที่ไหนน่ะปอ.....รู้บ้างมั้ยว่าพี่ปืนเป็นห่วงแค่ไหน


      ปืนไปเคาะประตูห้องของปออีกที ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ถ้าไม่โกรธจนไม่อยากเจอหน้า ปอก็คงไม่ได้อยู่ในห้อง

ปืนไม่มีเบอร์โทรของเพื่อนที่เรียนกวดวิชากับปอสักคน ไม่งั้นก็จะลองโทรถามดู เผื่อจะหลบไปอยู่กับเพื่อน

ส่วนเต้ยปืนไม่มีเบอร์โทร ถึงจะมีก็ไม่คิดจะโทรถาม และไม่คิดจะไปถามเอากับเต้ยด้วย เกลียดหน้าไอ้พี่เอกตัวการ

(แล้วเต้ยมันผิดตรงไหนวะปืน)


      ปืนเดินทอดอาลัยกลับห้องของตัวเอง จนปัญญาที่จะไปตามหาปอแล้ว

  ทั้งที่ห่วงแสนห่วง ในหัวใจนี่ร้อนยังกะไฟสุม เข้าห้องแล้วก็คงนั่งไม่ติด ได้แต่หวังว่าปอคงจะรีบกลับมาคุยกันให้เข้าใจ

เพราะที่จริงแล้วปืนไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดกับพี่เอกแม้แต่นิดเดียว เหตุการณ์ที่เกิดก็ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปืนลนลานรีบกดรับ.....ปอแน่ ๆจะให้พี่ปืนไปรับที่ไหนก็บอกมาเถอะ

      “ปืนนี่แม่นะ”

      ยังไม่ทันได้อ้าปาก เสียงที่ลอดมาตามสายก็แสดงตัวเสียก่อน

      “สวัสดีครับแม่”

      ปืนฝืนทำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่ตอนนี้แทบอยากร้องไห้ ก็แม่ปอโทรมา แต่ปอกลับไม่อยู่

แล้วสาเหตุที่ไม่อยู่ก็เนื่องมาจากตัวเอง แต่จะให้ปืนพูดให้แม่ของปอฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่ได้

คนเป็นพ่อเป็นแม่คงห่วงลูกชายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ความผิดทั้งหมดนี่ ปืนจะไปคิดบัญชีกับพี่เอกคนเดียวเลย....คอยดู

      “เป็นไงมั่ง สบายดีมั้ย”

      “ครับแม่ ผมสบายดี”

      “ปอเกเรกับปืนมั่งรึเปล่า นี่แม่ก็เพิ่งคุยกับเค้ามานะ”

      ปืนได้แต่อ้าปากค้าง กะจะถามว่าปออยู่ไหน ก็กลัวแม่จะสงสัยเอา เลยได้แต่นิ่งฟัง

      “เห็นว่ากำลังซักผ้าอยู่ เสร็จแล้วจะออกไปซื้อของกัน”

      “ครับ”

      ปืนก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นั่นมันเหตุการณ์เมื่อเช้า ก่อนที่เรื่องเลวร้ายมันจะเกิดขึ้น

      “ถ้าเค้ากวนให้ซื้อโน่นซื้อนี่ก็อย่าไปตามใจนักนะ”

      ขอแค่ปอไม่เป็นอะไร อยากได้อะไรพี่ปืนจะหาให้หมดทุกอย่าง

      “นี่ก็บ่นว่าปืนไม่รู้ไปไหน กำลังรอกินข้าวเที่ยงอยู่ แล้วนี่ปืนไม่ได้อยู่ที่ห้องหรอกเหรอ ทำไมถึงกินข้าวผิดเวลาอย่างนี้

ไม่ได้นะลูก ต้องระวังเรื่องกินให้เป็นเวลา ไม่งั้นโรคกระเพาะจะถามหารู้มั้ย อย่าว่าแม่เซ้าซี้เลยนะ”

      “ไม่หรอกครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงผม แล้วปอ....เอ้อ....รอผมที่ไหนเหรอครับแม่”

      “ก็อยู่ที่ห้องไง เค้าบอกว่ากำลังซักผ้า แม่บอกแล้วนี่”

      “อ้อ!....ครับ  คือผมลืม”

      “งั้นแม่ไม่กวนล่ะนะ นี่ก็โทรมาคุยเฉย ๆ ไม่ได้เจอกันนานแม่คิดถึงน่ะ อยากถามสารทุกข์สุกดิบด้วย

ถามปอ รายนั้นก็ว่าสบายดีทุกที นี่ขนาดแม่บอกให้โทรบอกพี่ปืนว่า รอกินข้าวยังไม่ยอมโทรเลย

บอกว่าไม่อยากกวนพี่ปืน แหม....เด็กคนนี้ยังไงของเค้าก็ไม่รู้นะ”

      “คือผม.....”

      “ไม่ต้องแก้ตัวแทนน้องเลย ปืนนี่ก็ชอบแก้ตัวให้ทุกที ไปรีบกลับไปกินข้าวซะ แล้วแม่ค่อยโทรมาหาใหม่นะลูก”

      “ครับ สวัสดีครับแม่”

      ปืนแทบจะกระโจนขึ้นบันไดตั้งแต่ที่แม่ปอบอกว่า ปอรออยู่ที่ห้องแล้ว ติดที่ตอนนั้นอยู่ในลิฟท์

แล้วความที่สติไม่อยู่กะเนื้อกะตัว แทนที่จะเรียกลิฟท์ขาขึ้น ก็ดันเรียกขาลง ให้มันไปรับคนที่ชั้นใต้ดินก่อนแล้วถึงจะมาส่งชั้นสาม

....ใครเคยเป็นแบบนี้มั้ยเนี่ย

      พอเปิดประตูเข้าไปได้ ปืนก็สอดส่ายสายตาหาปอไปทั่วห้อง ที่ตู้ซักผ้า....ไม่มี

  ฝาตู้เปิดอยู่แปลว่าซักเสร็จแล้ว ห้องน้ำก็เปิดประตูทิ้งไว้ ไม่มีแม้แต่เงาของปอ

      ปืนสาวเท้าไปเปิดประตูห้องนอน....ก็ไม่มี…แล้วปอจะเข้ามาทำไมในนี้เล่า

      งั้นคงเป็นที่ระเบียงห้อง.....ไม่มี

      ไหนแม่บอกว่าปออยู่ในห้องไง เดินไปทั่วห้องซึ่งก็ไม่ได้ลึกลับจนต้องพลิกธรณีหา ปืนยิ่งกระวนกระวายใจ

  แล้วที่แม่บอกว่าปอรออยู่ที่ห้องล่ะ มันห้องไหน

  ในเมื่อเขาก็เพิ่งจะขึ้นมาจากห้องของปอก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่บอกว่าปอกำลังซักผ้า

      ปอครับ....ปออยู่ที่ไหน รู้มั้ยว่าพี่ปืนจะบ้าตายอยู่แล้วเพราะความเป็นห่วง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 18-05-2012 00:51:26
      ปืนลังเลว่าจะกระโจนลงบันไดไปชั้นสองที่ห้องของปอก่อนหรือจะขึ้นลิฟท์ไปบนดาดฟ้าดี

ถ้าปอกำลังตากผ้าก็ต้องไปดาดฟ้า แต่ถ้าไม่....ปอจะกลับเข้าห้องของตัวเองไปทำอะไร

....คิดสิคิด.....

   เขาไม่อยากไปถึงตรงนั้นแล้วพบว่าปอไม่อยู่ ควานหาตัวมาตั้งแต่ตอนสาย จนป่านนี้ยังไม่เห็นหน้าค่าตาเลย

เท่าที่แม่บอกเพียงทำให้ปืนเบาใจว่าปอไม่ได้หนีหายไปไหนก็เท่านั้น แต่ความรู้สึกของปอล่ะ

แม่ไม่รู้นี่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่  ไม่รู้ว่าเมื่อเช้าปอได้รับความกระทบกระเทือนทางใจขนาดไหน

รับรองได้ว่าปอไม่มีทางปริปากบอกแม่แน่ว่าตัวเองวิ่งหนีพี่ปืนด้วยใบหน้านองน้ำตา


      เขาแทบจะรอให้ประตูลิฟท์เปิดไม่ไหว ถ้าไม่คิดว่าเช้านี้วิ่งวุ่นจนหัวหมุน และอ่อนเปลี้ยเพลียใจเสียเหลือเกิน

ปืนก็คิดว่า ดาดฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกสี่ชั้น  เขาสามารถพิชิตได้เร็วกว่าไอ้ลิฟท์เต่าตัวนี้แน่ ๆ

ออกจากลิฟท์ได้ก็ไต่บันไดไปอีกสิบสี่ขั้น....อีกนิดเดียวเองนะปอ

      ผ้าปูนอนสีสว่างผืนกว้าง โบกล้อลมอยู่บนราวเชือกที่ถูกขึงไว้จนตึง ทุกทีปอจะต้องร้องขอให้ปืนช่วย

ถ้ามันหย่อนเสียจนชายผ้าห้อยลงระเรี่ยพื้น ปลอกหมอนเข้าชุดกัน พาดอย่างมีระเบียบถัดกันไป

เสื้อผ้าของเราสองคน ที่ปอชอบดุเวลาที่ปืนแขวนกับไม้แล้วไม่พับปกเสื้อพร้อมกลัดกระดุมให้เรียบร้อย

      “กลับด้านด้วยนะพี่ปืน แล้วพับปกด้วย ไม่งั้นแดดเลียสีซีดหมดหรอก แล้วอย่าลืมติดกระดุมล่ะ

ลมมันแรงเดี๋ยวพัดเสื้อไปตกถึงไหน ๆ ผมไม่รู้ด้วยนะ”

      แต่คราวนี้ปืนไม่ได้อยู่ช่วย มัวแต่ไปหาข้างนอกโน่น ทั้งที่จริงปอก็อยู่แถว ๆ นี้เอง

  ....ทำไมเขาไม่คิดให้ดีก่อนนะว่าปอชอบมานั่งเล่นบนนี้เสมอ

      “เวลาเหงาคิดถึงบ้าน ผมจะขึ้นมามองภูเขาด้านโน้น”

      ปอพยักพเยิดไปทางทิศตะวันออก ที่มีแนวเขาประจำท้องถิ่นทอดตัวจากทิศเหนือจรดทิศใต้

ถึงแม้ภูเขาที่นี่ จะไม่ใหญ่โตทมึนทึบเหมือนที่บ้าน แต่ก็ทำให้ปอคลายความคิดถึงลงได้ทุกครั้งที่ได้เห็น


      เดินวนจนทั่วลานโล่งกว้างเกือบครึ่งไร่ ก็ไม่รู้ว่าจะเดินหาให้มันได้อะไร ในเมื่อมันก็โล่งอย่างที่เห็น

ไม่มีซอกหลืบให้หลบซ่อนตัวได้เลย แดดบ่ายแรงจัดจนปืนแสบไปทั้งหน้า ร้อนสียเหงื่อชุ่มหลังไปหมดแล้ว

เหลืออีกที่เดียวที่สุดท้ายที่ปืนจะไป....ห้องของปอ

      แต่ตอนนี้ปืนบอกได้เลยว่าหมดแรง หมดทั้งแรงกาย แรงใจ ไม่น่าเชื่อว่า

แค่ปอหายไปจากสายตาไม่ทันถึงครึ่งวันดี เขากระวนกระวาย ใจหายวิบ ๆ ได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้า........

      ปืนสลัดหัวให้ความคิดร้าย ๆ ที่ผุดขึ้นในหัวหลุดออกไป เขาไม่อยากคิดถึงวันที่เขาจะไม่มีปอ

แค่ตอนนี้....ขณะนี้ที่ไม่รู้แน่ว่าปออยู่จุดไหน หัวใจของปืนยังถูกบีบรัดเสียจนแทบจะหาจังหวะเต้นไม่เจอ

ขออย่าให้วันนั้นมาถึงเลยนะ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทนได้แค่ไหน

      ใครบอกกันนะว่าบันไดขาลงไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้น จะเถียงให้คอเป็นเอ็นเลย

เพราะทุกย่างก้าวต้องเกร็งเสียจนหน้าขาล้าไปหมดแล้ว

ปืนรีบก้าวเร็วขึ้นเพื่อลดอาการเกร็งให้น้อยลง มันก็แค่ช่วยลดอาการล้าได้บ้าง

แต่ความรุ่มร้อน ทุรนทุราย ไม่ได้ลดลงไปเลย

      ปืนก้าวไปตามทางเดินแล่นกลางระหว่างห้องพักสองฟากอย่างรวดเร็ว ยิ่งใกล้เข้าไปใจปืนก็ยิ่งเต้น.....ปอต้องอยู่

*

*

*

      ปืนนวดมือตัวเองอย่างหัวเสีย เคาะประตูก็แล้ว ตบประตูก็แล้ว ไม่มีทีท่าว่าคนข้างในจะเปิดประตูออกมา

คิดได้อย่างเดียวว่า ปอไม่ได้อยู่ในห้อง

ก่อนจะเคาะประตูบานทึบนั้น ปืนเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นใจว่า เขาจะปลอบปอยังไง

จะบอกปอว่ายังไงว่า เหตุการณ์อุบาทว์นั่นไม่ได้เกิดจากตัวเขาสักนิด

แต่แล้วคำอธิบายทั้งหลายก็หยุดอยู่แค่เพียงความคิด

ไม่ได้หลุดออกจากริมฝีปากแม้สักคำเมื่อแน่ใจว่า ต่อให้เคาะจนมือบวมก็จะไม่มีใครมาเปิดประตู


      สุดปัญญาที่พี่ปืนจะไปตามหาปอแล้วนะ ขอนอนพักเอาแรงก่อนแล้วกัน

แล้วปืนก็พบว่าทั้งเนื้อทั้งตัว เค้ามีแค่โทรศัพท์มือถือที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง

กับกระเป๋าเงินที่เหน็บอยู่ในกระเป๋าหลัง.....ตายโหง ทำไมมันซวยอย่างงี้วะตู



      กว่าที่ปืนจะเข้าห้องของตัวเองได้ก็สะบักสะบอมน่าดู รอแม่บ้านเป็นนานกว่าจะได้มาสเตอร์คีย์มาจัดการให้ 

สลัดรองเท้าออกไปคนละทิศละทางแล้ว ตอนนี้ปืนหัวหมุนเป็นลูกข่าง ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไร

นอกจากจิบกาแฟที่ปอชงทิ้งไว้ให้ก่อนลงไปซื้อของเช้าข้างหน้าอพาร์ทเมนท์ กับน้ำดื่มอีกขวด

ระหว่างที่เรียกรถรับจ้างตามหาปอ นอกนั้นไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เรื่องหิวก็ต่างหาก

และไอ้ที่เหนื่อยจนหมดแรงก็อีกต่างหาก

     ตอนนี้ปืนเห็นโซฟาที่อยู่กลางห้องเหมือนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปแล้ว รูดเสื้อออกทางหัวเหวี่ยงออกจากแขนได้

ปืนก็ทำท่าถลาร่อนลงไป หมายใจจะหลับเสียให้สาสมกับที่เปลี้ยไปหมดทั้งตัว

      แต่ไอ้กองผ้าแพรที่ขยุ้มอยู่บนตัวใครอีกคน ที่กำลังหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่สิ

ทำเอาปืนหายง่วง หายเหนื่อย หายเพลียเป็นปลิดทิ้ง

และที่กำลังเข้ามาแทนที่ก็คืออารมณ์โกรธกรุ่นแบบควันออกหู ที่ปืนแทบจะไม่เคยแสดงให้ใครได้เห็น

      แรงกระชากผ้าแพรออกจากตัวปอที่นอนขดอยู่บนโซฟา ทำเอาคนที่กำลังหลับเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

หน้าตาที่บอกว่าเสียขวัญไม่ได้ทำให้ความโกรธที่กำลังพุ่งอยู่ในตัวปืนลดลงมีแต่ จะยิ่งสะใจมากขึ้น

      ปอมองพี่ปืนอย่างไม่เข้าใจ หน้าพี่ปืนตอนนี้ถมึงทึงน่ากลัวที่สุด ดวงตาลุกวาว เสียงพ่นลมหายใจผ่านโพรงจมูก

ดังจนปอนึกถึงมังกร นี่ถ้ามีไฟพุ่งออกมาด้วยก็คงเหมือนจริง ๆ ผิวเนื้อพี่ปืนกลายเป็นสองสีดูน่าตลก

ส่วนลำแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเกรียมเป็นสีแดงคล้ำเหมือนโดนแดดเผา โดยเฉพาะใบหน้าที่แก้มทั้งสองแดงสุก

พรุ่งนี้ก็คงเห็นเป็นรอยไหม้ อีกวันสองวันก็คงลอกเป็นขุยน่าเกลียด แผงอกตึงแน่นยังเป็นสีน้ำตาลนวล

เห็นแล้วปอก็อดอมยิ้มไม่ได้....ก็มันดูตลก เหมือนม้าลายตัวโต ๆ

      “ยังจะมีหน้ามายิ้ม!”

      เสียงที่ตวาดดังคับห้อง ทำให้ปอหายงงว่าทำไมพี่ปืนถึงทำหน้ายังกะโกรธใครมาเป็นร้อยชาติ

เขากลายเป็นต้นเหตุของความโกรธของพี่ปืนเหรอเนี่ย

      “พี่ปืนเป็นอะไร”

      เสียงที่หลุดออกไปเพียงแผ่ว ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ กลับยิ่งโหมให้อารมณ์โกรธกระพือหนักขึ้นไปอีก

      ทั้งความหิว ความเหนื่อย และความเครียดที่สุมรุมปืนมาตั้งแต่เช้า ตั้งต้นกระหน่ำใส่ปอไม่ยั้ง

เหมือนปืนจะไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่พยายามอธิบาย

      “พี่เที่ยวตระเวณตามหาปอจนทั่วเมือง ตั้งแต่เช้ายันบ่าย กลับมาหาที่ห้องก็ไม่เจอ แม่โทรมาบอกว่าซักผ้าอยู่ในห้อง”

      “ผมซักผ้ารอพี่ปืนไงครับ”

      “ตามมาดู เห็นแต่เครื่องซักผ้าเปิดอ้าซ่าไว้ พี่ก็นึกว่าปอจะตากผ้าอยู่บนโน้น”

      “ผมขึ้นไปตากผ้าเสร็จก็ลงมา”
   
      “วิ่งกลับลงมาเรียกที่ห้องก็ไม่มี ทุบประตูจนมือจะหัก”

      “ผมเอาตะกร้าผ้ามาเก็บไม่ได้แวะที่ห้องซักหน่อย รอพี่ปืนจนหลับ”

      “จะไปไหนทำอะไรก็ไม่เห็นบอก รู้มั่งมั้ยว่าใครเค้าห่วงจนจะเป็นบ้า พี่ตามหาเสียทั่วแทบจะพลิกธรณีหาแล้ว

อยู่ ๆมานอนหลับเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้น่ะ ไม่สนใจเลยใช่มั้ยว่าใครจะเดือดร้อนหาซะจนหัวหมุน

เที่ยววิ่งร้องไห้ยังกับเป็นบ้าออกไปอย่างนั้น ใครเห็นเค้าจะนึกว่ายังไง เค้าคงหาว่าพี่รังแกปอล่ะสิ

แทนที่จะกลับมาคุยกันที่ห้อง ก็หายหัวไปไหนไม่รู้ แม่โทรมาพี่ก็ได้แต่อ้ำอึ้ง ไม่กล้าพูดอะไรออกไป กลัวแม่จะไม่สบายใจ

แล้วเราล่ะโทรไปหาแม่น่ะ ฟ้องอะไรไปบ้าง บอกไปรึป่าวว่าพี่มันเลวยังไง”

      ปอได้แต่มองแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงเพราะแรงโมโหของปืนด้วยความน้อยใจ

  นี่เขาเป็นฝ่ายผิดสินะ ปอกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไปอย่างยากเย็น

      ปอจะรู้เหรอพี่ปืนว่า จะมีใครออกไปตามหาในเวลาอย่างนั้น....เวลาที่ควรจะเป็นของคนสองคน

และประตูห้องที่เปิดค้างไว้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่า คนสองคนไม่ได้มีสติสัมปชัญญะจะรับรู้ไตร่ตรองว่าใครจะเข้าจะออก

โดยเฉพาะพี่ปืนนั่นแหละ รู้ทั้งรู้ว่าปอกำลังจะกลับขึ้นมา ทำไมถึงได้ทำร้ายจิตใจกันด้วยการพาใครก็ไม่รู้มาเสพสุขกัน

เพียงแค่ปอคล้อยหลัง ถึงจะไม่เคยรู้ว่าปอรู้สึกยังไงกับพี่ปืน แต่อย่างน้อยก็น่าจะคิดบ้างสิว่า...ปอเป็นน้องนะ

ขอให้ปอได้เก็บภาพพี่ชายที่แสนดีไว้ไม่ได้หรือ

      “พี่ปืนพูดอะไร ผมเหรอจะฟ้องแม่ ก็แค่โทรไปหาเฉย ๆ แล้วแม่ก็ถามถึง ผมก็บอกว่าจะออกไปซื้อของกัน

แล้วก็รอกินข้าวพร้อมพี่ปืน ผมเคยทำอย่างนั้นเหรอครับ เคยทำให้พี่ปืนดูแย่ในสายตาพ่อกับแม่เหรอ

แต่ต่อให้ผมพูด เค้าก็คงไม่เชื่อหรอกคิดว่าผมแกล้งล้อเล่น พี่ปืนรู้มั้ยครับว่าทำไม”

      ว่าจะไม่แล้วเชียว....น้ำตาเจ้ากรรมมันก็ดันไหลออกมาอีกจนได้ จะร้องไปทำไมวะ

  เท่าที่ร้องไห้มาตลอดเช้ายังไม่หนำใจใช่มั้ยไอ้ปอ

      ปืนได้แต่อึ้ง เห็นน้ำตาของปอแล้ว ปืนก็นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที….ถูกของปอ

ทั้งที่ความจริงปืนก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่เคยสักครั้งที่ปอจะทำ

      “เพราะเค้ารู้ว่าผมอยากอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่มีพี่ปืน แล้วรู้มั้ยครับ ว่าทำไมผมถึงอยากอยู่ในที่ที่มีพี่ปืน”

      ปืนได้แต่นิ่งอึ้ง

      “เพราะผมรักพี่ปืน ได้ยินมั้ยครับ”

      กว่าที่ความหมายที่ได้ยินจะซึมซับเข้าไปในหัว ปอก็วิ่งออกจากห้องไปอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 18-05-2012 02:03:49
รีบไปปรับความเข้าใจกันนะ

น้องก็รักพี่เหมือนกันแหละ  :-[
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 18-05-2012 09:19:38
ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก



ค้างครับ



ผมรออ่านต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 18-05-2012 11:51:50
ว้าว ปอเป็นฝ่ายบอกรักก่อน คาดไม่ถึงจริงๆ
เอ้าปืนรีบไปง้อน้องซะนะ ดันไปเหวี่ยงใส่ซะมากมาย

ว่าแต่เอกไม่ได้คิดอะไรกับปอเลยเหรอเนี่ย แล้วตอนนั่งรถนั่นเรียกไปนั่งด้วยทำไม :really2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 18-05-2012 12:08:11
 :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 18-05-2012 12:24:53
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 :sad4:
พี่ปืนใจร้ายทำไมไปว่าน้องแบบนี้เล่า
แทนที่เจอน้องแล้วจะรีบกอดให้เต็มที่
ดันไปดุไปว่าน้องอีก
แบบนี้คนอ่านจะย้ายข้างนะขอบอก
 :m16:
น้องปอกลับมาหาพี่ปืนเถอะน้า กระซิกๆ
 :o12:
คุณนูคะ มันค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
 :z3:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 18-05-2012 14:23:47
หึ หึ ปืนเอ๊ยยยย...
 :กอด1: :จุ๊บๆ:น้องนู
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 18-05-2012 15:13:02
ในที่สุด  น้องปอก็ใจตรงกันสักที
คนอ่านก็พลอยดีใจไปกับเขาด้วย
ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะง้อน้องสำเร็จรึป่าวก็เถอะ
อิอิ
+1 ให้จ้ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 18-05-2012 23:58:11
เศร้าอ่ะ :monkeysad:
พี่ปืนง้อด่วนๆ o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 18/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 19-05-2012 10:26:38
ตามมาอ่านจากลิงค์ที่มีคนแนะนำ(อีกแล้ว ^ ^)

สนุกค่ะ อย่าลืมมาต่อจนจบตามสัญญานะคะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 00:02:53



วันหยุดแล้ววววววววว.......เพิ่งจะได้โพสท์ครับ

ตลอดทั้งวันก็เขียนนิยายเรื่องอื่นไปด้วย

เล่นเกมไปด้วย แหะ ๆ

ทำงาน 5 หยุด 2 ขอเหลวไหลนิดนึงครับ


อื่มมมมมม

ผมขอออกตัวก่อนว่า ผมเป็นคนไม่ค่อยมีวินัยกับการโพสท์นิยายเท่าไหร่นะครับ

แบบว่า......ทุกวัน วันเว้นวัน อะไรเงี้ยะ ผมทำไม่ได้ (ด้วยหลายสาเหตุ)

เพราะงั้นก็จะมีแต่สัญญาใจว่าจะไม่ทิ้งกระทู้

แค่นี้รับได้มั้ยครับ       
 

ขอบคุณทุกคอมเ้ม้นท์ที่เป็นกำลังใจให้ผมเสมอ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่

เห็นแล้วมีความสุขทุกทีเลย 










       ปืนกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟา อย่างหมดเรี่ยวแรง ความพยายามที่จะหาปอให้เจอตั้งแต่เช้าสูญเปล่า

อย่างไม่มีหนทางแก้ไข ความกังวลว่าปอหายไปไม่ได้แม้สักครึ่งหนึ่งของความกังวลที่เขาเป็นอยู่ขณะนี้

      พี่ปืนก็รักปอ.....แต่มีอะไรบ้างที่พี่ปืนจะทำได้ ไม่เห็นหนทางเลยสักนิด

      ใคร ๆ ก็บอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม เมื่อสองใจตรงกัน ก็ยิ่งก่อให้เกิดความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเปรียบ

  ....ไม่เห็นจะจริงเลย ดูอย่างเขานี่ไง....มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่เขาคิดว่าปอไม่ได้รักเสียอีก

  ....เพราะเขารักตอบปอไม่ได้.....

        พี่ปืนรักปอไม่ได้.....ไม่ได้อยากทำร้ายหัวใจปอนะ แต่พี่ปืนทำร้ายป๊ากับแม่ของปอไม่ได้

ปอเป็นแก้วตาดวงใจของท่านทั้งสอง ถึงท่านจะให้ปอเลือกอนาคตเอง ไม่ได้ขีดเส้นชะตาชีวิตให้เดิน

แต่ก็คงไม่ได้หมายความว่า ปอจะเลือกรักใครก็ได้ อย่างน้อยการพูดคุยของครอบครัวปอกับอาเจ็กหมงในคืนนั้น

ก็คงจะเป็นการบอกให้รู้เป็นนัย ๆ แล้วว่า ต่อไปจะได้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน

แล้วพี่ปืนจะยืนอยู่ตรงไหนในชีวิตของปอกันเล่า

การที่พี่ปืนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลปอแทน เท่ากับว่าท่านได้วางทั้งหัวใจและชีวิตไว้ในอุ้งมือพี่ปืนแล้ว

มีเพียงสองสิ่งที่ทำได้คือเป็นลูกชายอีกคนของท่าน และเป็นพี่ชายของปอเท่านั้น


      *

      *

      *

      ปืนลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเทน้ำดังอยู่ไม่ห่างตัวนัก หลังไหล่เล็ก ๆที่กำลังหันด้านข้างให้

ทั้งคุ้นตาและเจนใจจนต้องเขม้นมองอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด

      “ปอ”

      “ตื่นแล้วเหรอครับพี่ปืน”

      รอยยิ้มบนริมฝีปากของคนตัวเล็กตรงหน้า ดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย

ทำให้ปืนต้องมองไปรอบ ๆ ตัวและทบทวนเหตุการณ์ไปพร้อมกัน

      “เช็ดหน้าหน่อยนะครับ”

      มือน้อย ๆ ซับผ้าหมาดน้ำไปตามใบหน้าและลำคอเบา ๆ เอาลงซักน้ำในอ่างใบย่อมอีกที บิดให้หมาด

แล้วซับไปตามลำแขนเรื่อยไปจนถึงฝ่ามือ ปืนคว้ามือที่กำผ้าเปียกมากุมไว้ในอุ้งมือตัวเอง

อยากยกมือนี้ขึ้นจรดริมฝีปากจูบปลอบขวัญปอแทนคำขอโทษ

      “ปอ พี่....”

      “ไม่ต้องพูดหรอกครับพี่ปืน ผมเข้าใจ”

      “แต่พี่....”

      “นอนเฉย ๆ นะครับ เช็ดตัวเสร็จแล้วพี่ปืนนอนต่ออีกหน่อยดีกว่า ตอนที่พี่ปืนหลับ ผมเตรียมอาหารมื้อเย็นไว้แล้ว

ค่ำนี้เรากินราดหน้าทะเลกันนะ”

      “พี่ไม่นอนต่อดีกว่า ขอไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัวเต็มทีไม่รู้นอนลงไปได้ยังไง”

      “คงเพลียน่ะครับ เพราะออกไปทั้งวัน แถมแดดก็ออกเปรี้ยง อาบน้ำเย็น ๆก็ดีนะจะได้สดชื่นขึ้น

พี่ปืนออกมาก็พอดีผมตั้งโต๊ะเสร็จ”

      อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทุกอย่างก็พร้อมอยู่บนโต๊ะแล้ว อาหารที่ไม่ใช่เมนูพิเศษ

...ก็แค่เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดแห้งกับน้ำสำหรับราดหน้า ปรุงด้วยผักคะน้าสียังเขียวสด กุ้งตัวอวบสีชมพู

ปลาหมึกสดเนื้อขาวบอกความสด เนื้อปลากะพงชุบแป้งทอดดูน่ากิน

แต่อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าล่ะมั้ง


      โต๊ะกลมตัวเล็กสำหรับสองคนนั่ง ปูด้วยผ้าตาสีฟ้าขาว แจกันปักดอกไม้สดเป็นพุ่มเล็กช่วยเพิ่มบรรยากาศ

ยังขาดก็แต่เชิงเทียน....ท่าจะบ้าละปืน....ก็แค่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า จะวิลิศมาหราไปเพื่อ

      “กินมืด ๆ เดี๋ยวมองไม่เห็นพริกอ่ะครับ”

      ปอพูดออกมาราวกับจะรู้ว่าปืนคิดอะไรอยู่ แล้วปืนก็หันไปดูพริกน้ำส้มที่ลอยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าสามสี..เขียว แดง เหลือง

      “กินเผ็ดไม่ได้แล้วจะใส่พริกทำไมล่ะเอ๊อ”

      “ราดหน้าไม่ใส่พริกน้ำส้มมันจะได้รสชาติเหรอพี่ปืนก็”

      การสนทนาค่อย ๆ เข้ารูปเข้ารอย เพราะทั้งคู่ต่างพร้อมใจกันไม่พูดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ

บางทีการปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไปสักนิดอาจจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม

ปืนยอมรับว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะบอกปอว่าเขาตัดสินใจยังไง หลังจากได้ยินคำบอกรักที่ปอโพล่งออกมา

      “ปอ....พี่อยากพูดกับปอเรื่องวันนี้”

      “กินก่อนนะครับ ผมทำสุดฝีมือเลย เคยแต่ช่วยแม่ทำนิด ๆ หน่อย ๆ เพิ่งจะลงมือเองก็หนนี้แหละ

กินอิ่มแล้วต้องชมผมด้วยนะ”

      “เมนูนี้ไม่เคยทำให้กินเลยนี่นา แถมทำครั้งแรกจะให้พี่ชม ไม่มั่นใจเกินไปหน่อยเร้อ”

      “น่า...ชมหน่อยนะ ผมจะได้มีกำลังใจเอาไปปรับสูตรให้ถูกปากพี่ปืนไง”

      แค่คำแรกปืนก็ต้องชมออกมาจากใจจริง

      “หืม....อร่อยจริง ๆ ด้วย”

      “ขอบคุณครับ ผมจะได้บอกแม่ว่าพี่ปืนชอบรสนี้ วันหลังจะได้ถามสูตรเมนูอื่นมั่ง”

      จบจากของคาว ปอก็เสิร์ฟของหวานต่อ

      “วันนี้มันวันอะไรน้า พ่อครัวคนเก่งขยันใหญ่ มีขนมหวานเสิร์ฟซะด้วย”

      “ผมไม่ได้ทำเองหรอกครับ ซื้อเค้ามาน่ะ ทับทิมกรอบเจ้าประจำของพี่ปืนไง”

      “มิน่า หน้าตาคุ้น ๆ”

      ปืนตักขนมหวานเข้าปาก แต่เห็นปอไม่มีถ้วยขนมวางตรงหน้าก็ถามขึ้น

      “แล้วปอไม่กินล่ะ”     
         
      “ผมอิ่มจะแย่แล้วล่ะครับ”

      “อิ่มอะไร พี่เห็นปอกินไปนิดเดียว ไม่ถึงครึ่งของพี่ด้วยซ้ำ”

      “ก็ผม...ก็ตอนทำผมก็ทำไปชิมไปตั้งเยอะแล้วนี่ครับ นี่ก็เผื่อท้องไว้กินเป็นเพื่อนพี่ปืนอีกครึ่งนึงไง”

      เฮ้อ!...เอาเหอะ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วไป พี่รู้นะว่าปอคงกินอะไรไม่ลง ที่จริงแล้วพี่ก็เหมือนปอนั่นแหละ

แต่เห็นปอตั้งใจทำออกอย่างนี้ ก็เลยกินซะสองชาม กลัวปอจะเสียน้ำใจ

ปืนผลักถ้วยขนมหวานออกห่างตัว รู้สึกตื้อขึ้นมาจนต้องวางช้อน

      “อ้าว! ไม่กินให้หมดล่ะครับ ของชอบพี่ปืนไม่ใช่เหรอ”

      “อิ่มแปล้เลยปอ พี่กินก๋วยเตี๋ยวไปสองชามแล้วปอก็เห็น”

      “แต่มันยังมีอีกตั้งเยอะ”

      “ปอไม่เห็นช่วยพี่กินหนิ....ยกเข้าตู้เย็นไปก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยกินต่อ”

      ปืนนั่งหน้าจอโทรทัศน์ โดยที่ประสาทการรับรู้ไม่ได้ทำงาน ก็คงจะเช่นเดียวกับคนที่นั่งกอดหมอนบนพื้นใกล้กัน

ท่านั่งเอาคางเกยหมอน ทำตาลอยจะบอกว่ากำลังดูละครสนุกอยู่ก็คงไม่ใช่

เพราะในขณะที่ตัวละครกำลังหัวเราะกันสนุกสนาน

แต่ปืนกลับรับรู้ถึงอาการหงอยเหงาของปอได้อย่างชัดเจน

      “ง่วงเหรอปอ”

     “.......”

        “ปอ....”

         ?

        “ปอ”

      ปอสะดุ้งแล้วขานรับ

       “ครับพี่ปืน”

      “พี่ปืนว่าอะไรนะ”

      “เปล่าหรอก พี่แค่ถามว่าปอง่วงรึยัง”

      “ยังเลย พี่ปืนจะนอนแล้วเหรอ งั้นผมกลับห้องก็ได้”

      “ไม่หรอก พี่ยังไม่ง่วง นั่งคุยกันก่อนดีกว่า”

      “ครับ”

      แล้วปอก็หันไปดูละครต่อด้วยอาการเดิม

      “พี่อยากจะขอโทษปอเรื่องเมื่อบ่ายน่ะ”

      “เรื่องอะไรครับ”

      ปอหันมาถาม

      “ที่พี่ตะโกนเสียงดังใส่ปอ”

      “ช่างมันเถอะครับ พี่ปืนอุตส่าห์ออกไปตามหาผม แต่ผมกลับมานอนหลับสบายในห้อง ก็สมควรให้โกรธหรอก”

      “แต่พี่ก็ไม่ควรระบายอารมณ์ใส่ปออย่างนั้น”

      “นิดหน่อยน่ะ พี่ปืนก็ไม่ได้โกรธผมจริง ๆ หรอก...ใช่มั้ยครับ ไม่งั้นเราก็คงไม่ได้มานั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันแบบนี้หรอก

จริงมั้ยพี่ปืน”

      ปอขยับเข้ามานั่งข้าง ๆ ขาปืน สายตาที่เงยขึ้นมองสบตาปืนชวนให้อยากก้มลงไปโอบกอด

แล้วปลอบประโลมเรียกขวัญเสียเหลือเกิน แต่เท่าที่ทำได้ปืนก็แค่ลูบผมปอเบา ๆ

      “ผมรู้ว่าพี่ปืนลำบากใจที่จะ....”

      ปอหยุดพูดดื้อ ๆ จนปืนต้องจ้องรอคำพูดที่ยังไม่จบประโยค

      “ถ้าการที่ผม...รักพี่ปืนทำให้พี่ปืนต้องยุ่งยากใจ ผมก็จะพยายามไม่รัก”

      ได้ด้วยเหรอปอ...พี่ปืนยังทำไม่ได้เลย   

      “แต่ขอผมอยู่ใกล้ ๆ พี่ปืนได้มั้ยครับ เรากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนะครับ ผมสัญญาว่าต่อไป

จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของพี่ปืน จะไม่ก้าวก่าย จะไม่ทำให้พี่ปืนต้องวุ่นวายออกตามหาอย่างวันนี้”

      ปืนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกอย่างที่ปอพูดมา เขาไม่เคยมีปัญหา มีแต่จะต้องการให้มันเป็นไปอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำ

อยากบอกให้ปอรู้ว่า เขาเองก็มีใจรักตอบปอเช่นกัน

      แต่มันจะดีเหรอ....

      ปอซบหน้าลงบนต้นขาเขา ปืนรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่อุ่นชื้นซึมผ่านกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อเบาจนเปียกถึงผิวเนื้อใต้ผ้า

ใจแข็งไว้นะปืน....เพราะถ้าใจอ่อนเมื่อไร คนที่เสียใจที่สุดก็คงเป็นป๊ากับแม่ของปอที่กำลังรอความสำเร็จของลูกชาย

อย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่บ้าน

      ไมใช่เรื่องดีเลยที่จะต้องมารับรู้ว่าเขามีส่วนทำให้ลูกชายคนเดียวต้องกลายเป็นคนเบี่ยงเบนทางเพศ

ไหนจะคู่หมายของปออีก  หยินเองก็เป็นเด็กน่ารัก ถ้าไม่นับถึงความก๋ากั่นเกินขอบเขต

ก็เรียกได้ว่าเป็นเด็กดีมีความคิดความอ่านก้าวหน้าเกินวัย ดูแล้วทั้งคู่ก็เหมาะสมกันดี

สองครอบครัวจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันสมความตั้งใจ ไม่ควรที่ถูกทำลายเพราะเขา

      “พี่ปืนรู้จักเค้ามานานแล้วเหรอครับ”

      ปอถามเสียงเบาดังอู้อี้ เพราะยังนั่งในท่าเดิม ถึงปอจะไม่เอ่ยถึงใครหรือเรื่องอะไร ปืนก็เข้าใจดี

ว่าปอหมายถึงเรื่องที่เห็นเมื่อเช้านี้

      “เคยร่วมงานกันบ่อย ๆ ถึงรู้จักกันไม่นาน ก็สนิทกันเร็ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ปอคิดหรอกนะ

พี่กับเค้าก็แค่ร่วมงานกันเฉย ๆ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเค้าคิดอะไรกับพี่”

      “แล้วพี่ปืน....ชอบ...เอ้อ...ชอบ...”

      “ชอบเค้าอ่ะเหรอ...ก็ไม่ได้เกลียดนะ รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงานก็เท่านั้น”

      “ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง....”

      ปอเงยหน้าขึ้นมองปืน แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาเมื่อพูดประโยคต่อมาด้วยเสียงแผ่วเบาแต่รัวเร็ว

      “พี่ปืนชอบผู้ชายรึป่าว แบบว่า...เป็น.....เป็นเกย์รึป่าว”

      “หือ?”

      ปืนอึ้ง เพราะไม่คิดว่าปอจะยิงคำถามตรง ๆ แบบนี้ อีกทั้งยังไม่เคยเตรียมคำตอบสำหรับคำถามแบบนี้ด้วย

เขาเคยผ่านสมรภูมิรักทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย เรียกว่าได้ทั้งสองแบบ แต่เท่าที่จำได้ ตั้งแต่เขารู้จักปอ

ปืนก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลย ถ้าจะเคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยก็เป็นเพราะธรรมชาติเรียกร้องซะมากกว่า

กับผู้ชายด้วยกันยิ่งอยู่นอกเหนือความคิดของปืนไปเสียด้วยซ้ำ

      “ถ้าพี่ปืนไม่ชอบ แล้วพี่ปืนปล่อยให้เค้าทำอะไร ๆ ได้ยังไง พี่ปืนมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันด้วยเหรอครับ”

      …………..

      “พี่ปืน ผมขอโทษ”

      ปอโหย่งตัวขึ้นคุกเข่า สายตาวิงวอนขอลุแก่โทษ เขาแค่อยากจะถามให้แน่ใจว่าพี่ปืนเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า

อยากรู้ว่าถ้าไม่มีผู้ชายคนนั้น พี่ปืนจะรักเขาได้มั้ย แต่กลับกลายเป็นว่าคำถามเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

ดูจะทำร้ายพี่ปืนของเขาตรงจุดเสียแล้ว  เมื่อพี่ปืนหยุดมือที่กำลังลูบผมเขาเบา ๆ

สายตาที่พี่ปืนมองเขามันดูเจ็บปวด ตัดพ้อ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

    “ผมขอโทษ”

    ปอพูดซ้ำ ๆ เขาไม่รู้จะหาคำไหนมาช่วยเยียวยาความเจ็บปวดที่เขาเห็นในดวงตาคู่คมของพี่ปืนให้มันบรรเทาเบาบางลงได้

         “ผมขอโทษที่ถามไม่คิด พี่ปืนตีผมก็ได้ครับ อย่านิ่งเฉยแบบนี้”

         “ไม่หรอก ปอไม่ได้ผิดอะไร”

         ปืนพูดด้วยเสียงแหบเครือ เขาคิดอย่างที่พูด ปอไม่ผิดที่ถามเขาด้วยคำถามที่เขาตอบไม่ได้ เขาต่างหากที่ผิด

       ...ผิดที่รักปอทั้งที่ไม่ควรจะรัก และเขาต้องไถ่ความผิดนั้นด้วยการไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้

เขารู้ว่าปอถามเขาด้วยเหตุผลอะไร แต่ไม่ว่าเขาจะตอบปอยังไง ความรักระหว่างเขากับปอมันก็ไม่มีวันเป็นจริงไปได้

        .....ตัดใจเสียวันนี้เถอะปอ อย่าเลือกเดินทางที่มันจะทำร้ายหัวใจ และทำลายครอบครัวของปอเลย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 00:11:22


       อาการใจจะขาดที่ใครเคยพูดกันมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เจ็บจนลืมหายใจ พอทำท่าจะหายใจมันก็แน่นในอก

เห็นน้ำตาของปอทีไรหัวใจปืนมันเป็นอย่างนี้ไปเสียทุกที

      ปืนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนจะเรียกพลังจากทุก ๆ ส่วนของร่างกายมารวมที่อกข้างซ้าย

ให้มีเรี่ยวแรงพอที่จะตอบคำถามของปอให้กระจ่าง ก่อนที่มันจะหยุดเต้นไปเสียก่อน

      “ปอเป็นน้องของพี่นะ อยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะ พี่จะตอบทุกอย่าง แล้วที่ปอถามว่าพี่ชอบผู้ชายรึเปล่า

พี่ก็จะบอกว่า ใครก็ได้ที่เค้ารักเรา แล้วเราก็รักเค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงรึผู้ชาย ถ้ามีความรักให้แก่กันด้วยความจริงใจ

ก็คงไม่แปลกอะไรที่เราจะปล่อยใจไปกับความรักนั้น”

   ปืนเข้าข้างตัวเองว่า การที่เขาพูดถึงความรักอย่างเป็นกลาง มันจะให้ผลดีกับปอมากกว่าที่จะปิดกั้นความรู้สึก

บางรูปแบบที่สังคมรอบข้างยังไม่อาจจะัยอมรับได้ อย่างไรเสียปืนก็ยังอยากให้ปอเห็นว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม

      “ถ้างั้นผู้ชายคนนั้นเค้าเป็นคนรักของพี่ปืนเหรอครับ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

      ปืนสงสัยว่า ‘ผู้ชายคนนั้น’ ที่ปอพูดหมายถึงใคร หรือว่าปอจะจำไม่ได้ว่าผู้ชายที่บุกรุกห้องนอนของปืนเมื่อเช้า

เป็นคนใกล้ตัว

      “พี่ปืนคงคบกับเค้ามานานแล้วสินะครับ เค้าถึงได้เข้าถึงเนื้อถึงตัวพี่ปืนขนาดนั้น”

      นั่นไง....ปอจำไม่ได้จริง ๆ แหละว่าเป็นพี่เอก

      “ไม่เคยหรอก เพราะพี่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ แต่เมื่อเช้าคงจะได้จังหวะมั้ง ไม่มีใครอยู่

ปอเองก็คงไม่ได้ล็อกประตูก่อนจะออกไป แล้วยังมาเจอห้องนอนก็เปิดทิ้งไว้อีก พี่กำลังแต่งตัว

ก็เลยไม่ทันระวังว่าเช้าขนาดนั้นใครจะมาเยี่ยมเรา”

      “งั้นก็ผมเองที่ปล่อยให้เค้าเข้ามาลวนลามพี่ปืนได้”

      “อย่าโทษตัวเองเลยปอ พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นซักหน่อย มันก็แค่เหตุบังเอิญ แล้วพี่ก็ป้องกันตัวเองได้”

    ...ใช่...ปล่อยออกไปหนึ่งหมัด นิ้วยังระบมไม่หาย

      “หมายความว่าจริง ๆ แล้วเค้าไม่ใช่คนรักของพี่ปืนใช่มั้ยครับ”

      “นี่ปอจำพี่เอกไม่ได้เหรอ”

      “อะไรนะ...พี่ปืน....พี่เอกเหรอครับ”

      “แต่พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเค้าหรอกนะ ปอก็รู้ว่าพี่เอกน่ะเจ้าชู้แค่ไหน ตอนที่ปอกลับบ้านแล้วพี่ไปอบรมสาขาน่ะ

พี่เอกเค้าทำท่าสนใจปอจนพี่นึกว่าพี่เอกคิดอะไรกับปอเสียอีก”

      “ทื่ไหนได้ พี่เอกคงจ้องพี่ปืนตลอดเวลาอ่ะ แล้วเค้านะทำเป็นมาตีสนิทกับผม หลอกถามเรื่องเกี่ยวกับพี่ปืนตั้งหลายอย่าง”

      “พี่เอกหลอกถามเรื่องของพี่เหรอ เค้าถามอะไรมั่ง”

      ปืนไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะอยู่ในความสนใจของพี่เอก ก็เห็นมีแฟนอยู่ตลอดไม่เคยขาดคนควง

แล้วเขากับพี่เอกก็เพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้

      “ก็ถามว่าผมกับพี่ปืนอยู่ห้องเดียวกันรึป่าว รู้จักกันได้ไง รู้จักกันนานรึยัง เพราะว่าบ้านผมอยู่โน่น

คนละทิศกับบ้านเดิมของพี่ปืนเลย”

      “แล้วปอเล่าให้เค้าฟังแค่ไหน”

      “ผมก็เล่าไปเรื่อย มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนี่ครับ ผมบอกพี่เอกไปด้วยว่าเราเคยอยู่ห้องเดียวกันพักนึง

ก่อนที่ผมจะแยกออกไป ดูพี่เอกจะสนใจเป็นพิเศษอ่ะ ว่าทำไมผมถึงต้องแยกห้อง”

      “แล้วปอบอกพี่เอกเหรอว่าเรา….”

      ปืนยั้งคำพูดว่า..ไม่พูดจากัน...ไว้แค่ปลายลิ้น ไม่อยากย้ำเตือนเรื่องเก่า ๆที่มันผ่านไปแล้ว
 
      “เรื่องอะไรผมจะบอกล่ะครับ เรื่องในครอบครัวเราพี่เอกไม่เกี่ยวอะไรด้วยนี่ ผมบอกว่าห้องมันคับแคบไปหน่อย

ถ้าเพื่อนผมกับเพื่อนพี่ปืนมาหาเราพร้อม ๆ กัน”

      “อ้าว! แล้วมันไม่ใช่เหตุผลนี้หรอกเหรอ ที่ปอย้ายออกไปน่ะ”

      “เออะ...เอ่อ...มันก็...ใช่นะ”

      “แสดงว่า....มันต้องมีเหตุผลอื่นอีกงั้นสิ”

      ทั้งที่พอจะเดาออกอยู่ก่อนแล้ว ว่าปอย้ายออกไปไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ แต่ปืนก็ยังไม่รู้ชัด

      ปออ้ำอึ้ง

      “ว่าไง”

      “ผม...”

      “เราควรจะคุยกันให้เข้าใจซะทีนะปอ ไหนบอกว่าจะกลับมาเป็นน้องชายของพี่เหมือนเดิม

แล้วเดี๋ยวนี้น้องชายมีความลับกับพี่ชายด้วยเหรอ”

      “ครับ”

  ปอก้มหน้ารับคำยอมจำนน

      “ผมจะพูดเรื่องนี้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แล้วจะไม่พูดถึงอีก ผมสัญญาว่าหลังจากคืนนี้ ผมจะเป็นปอคนเดิม

เป็นน้องชายของพี่ปืน ถ้าสิ่งที่ผมพูดทำให้พี่ปืนลำบากใจ ผมก็ขอโทษ ขอแค่พี่ปืนอย่ารังเกียจผม”

“พี่เต็มใจรับฟังทุกเรื่องที่ปอพูดเสมอ ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็อยากให้ปอรู้ว่าพี่ไม่มีวันรังเกียจปอ”

      “ขอบคุณครับ ผมดีใจที่ได้ยินพี่ปืนพูดอย่างนี้”

      เสียงนุ่ม ๆ เบา ๆ เริ่มต้นเล่าถึงความรู้สึกตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นครั้งที่สอง

ที่ปอเปิดเปลือกตัวเองให้ปืนได้ฟัง ครั้งแรกด้วยเรื่องของเนย แต่อย่างไรก็ตาม

ปืนก็สังเกตความแตกต่างของปอได้อย่างชัดเจน

      ครั้งนั้นปอเหมือนเด็กที่สับสน หวาดระแวง และดูเศร้าซึม แต่คราวนี้แววตาของปอ

เต็มไปด้วยความแน่วแน่และมุ่งมั่น เขารู้สึกได้ถึงความมั่นใจในตัวเองที่นับวันปอจะมีมากขึ้น

      “ตอนนั้นผมอยู่กับพี่ปืนต่อไปไม่ได้ เพราะผมไม่เข้าใจพี่ปืน และพี่ปืนก็ไม่เหมือนเดิม

ผมอยากออกห่างมาซักพักเผื่อจะคิดอะไร ๆ โดยที่ไม่ต้องมีความรู้สึกที่มีต่อพี่ปืนมาครอบงำ”

      …….

      “หลายเดือนที่ผ่านมา พี่ปืนรู้มั้ยว่าผมแทบจะหาความสุขไม่ได้เลย

ทั้ง ๆที่ผมเป็นคนดิ้นรนที่จะแยกห้องออกไปเองแท้ ๆ พอเอาเข้าจริง ๆ

ผมกลับโหยหาความรู้สึกอบอุ่นเหมือนตอนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมต้องเผชิญกับความเงียบเหงาทุกเมื่อเชื่อวัน

ผมไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อน ทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นลูกโทนน่าจะชินกับการอยู่ตัวคนเดียวด้วยซ้ำ

แต่กลายเป็นว่าผมไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไร เพราะทำคนเดียวมันไม่สนุก ไม่เพลิน

ผมอยากได้เพื่อน ผมก็เริ่มหันเข้าหาเพื่อนในโรงเรียนมากขึ้น แต่มันก็ชดเชยกันไม่ได้

ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมผมถึงไม่หายเหงาซะที แค่ผมไม่เจอพี่ปืน ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน

ไม่ได้ไปไหนทำอะไรด้วยกันอย่างเคย มันทำให้ผมว้าเหว่ได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

...ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร”

      …….

      “ตอนที่พี่ปืนจะไปอบรมแล้วยังมีแก่ใจชวนผมกลับบ้าน ผมดีใจมากที่พี่ปืนนึกถึงผม

ผมคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะผมคิดถึงบ้าน ดีใจที่ได้กลับบ้าน ขากลับพี่เอกชวนผมไปนั่งด้วยกัน

เค้าถามผมหลายอย่างเกี่ยวกับพี่ปืน ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าเค้าอยากรู้ไปทำไม คิดแค่ว่าเค้าคงอยากชวนคุยเฉย ๆ

หลายเรื่องที่ผมตอบเค้าไป ยิ่งทำให้ผมแปลกใจตัวเองว่า ทำไมผมถึงจดจำเรื่องราวของพี่ได้มากมายนัก

แล้วยังรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดถึง”

      …….

      “กลับมาถึงห้อง ผมก็คิดแทบจะตลอดเวลาว่าผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเพราะเราได้กลับมาคุยกันเหมือนเดิมใช่มั้ย

ผมไม่กล้ายอมรับ ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหมือนใคร ๆ ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ

เพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ปืนเปลี่ยนไปหรือที่จริงมันไม่เคยเปลี่ยนก็ไม่รู้ แต่ผมต่างหากที่ไม่เข้าใจ”

      ปอเงยหน้ามองปืน แววตาเศร้าสบตาปืนทั้งที่น้ำตาคลอ

      “ตอนนั้นผมกลัวมาก แล้วก็สับสนมากด้วย ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองจะเป็น....เกย์”

      โธ่!....ปอ

      ปืนโอบปอไว้ในอ้อมกอด ซบหน้าลงบนเส้นผมอ่อนสลวยหอมกรุ่นของปออย่างรักใคร่

ไม่ง่ายเลยกับการที่ปอจะยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ว่าตัวเองมีวิถีชีวิตและความคิดที่เปลี่ยนไปเป็นเกย์

      สำหรับบางคนที่อยู่ในสังคมเมืองใหญ่ ๆ อาจจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ปืนที่มาจากบ้านนอกมาอยู่ในเมืองหลายปีแล้ว

เขาถึงได้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา มีตัวอย่างให้ดูถมเถไป ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ภาพยนตร์ นักร้อง ดารา

หรือแม้แต่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาหลาย ๆแห่ง ก็มีให้เห็นกันเกร่อ

...แต่นั่น ไม่ใช่สังคมแบบที่ปอเคยอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย ก็คงยากที่ปอจะปรับความรู้สึกให้ทัน

      “ก่อนหน้านั้นคอร์สคณิตศาสตร์เปลี่ยนคนสอนใหม่เป็นพี่เต้ย ผมชอบพี่เค้าเพราะสอนสนุก

สอนอะไรที่ดูยากให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมก็เริ่มจะติดพี่เต้ย จนผมมารู้ว่าพี่เต้ยมีแฟนเป็นผู้ชายซึ่งตอนนั้น

ผมไม่รู้ว่าเป็นพี่เอก ผมฟังพี่เต้ยเล่าเรื่องแฟนจอมเจ้าชู้ จนเรียกได้ว่ารู้จักดีก่อนที่จะเห็นตัวซะอีก

ตอนที่ผมเจอพี่เอกก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นคนเดียวกันกับแฟนพี่เต้ย”

      ……

      “กลับมาเรียนวันแรกน่ะแหละผมถึงได้รู้ เพราะพี่เอกเค้าไปรอรับพี่เต้ยตอนเลิกเรียน พี่เต้ยแนะนำให้ผมรู้จัก

เราต่างคนก็ต่างเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล ผมก็ยิ่งรู้สึกสนิทใจที่จะคบกับพี่เอก กับพี่เต้ยขึ้น

จนถึงกับไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง  จากที่ไม่ค่อยไปไหนกับใคร ผมก็เริ่มมีสังคมมากขึ้น”

      …..

      “อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ได้ยินพี่เต้ยพูดถึงพี่เอกบ่อย ๆ ผมก็เริ่มชินกับความรักแบบนี้ว่าไม่เห็นจะผิดตรงไหน

ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะรักกันได้ ขอแค่เราจริงใจกับความรัก กับคนที่เรารัก มันก็เพียงพอแล้ว”

      …..

      “แล้วผมเองก็คิดว่าพี่ปืนน่าจะมีใจให้ผมบ้าง”

      “หือ”

      “ลืมเรื่องที่พี่ปืนทำกับผมบนโบกี้รถไฟคืนนั้นแล้วเหรอครับ”

      ปออ้อมแอ้มถามไม่เต็มเสียง เล่นเอาปืนแทบสะดุ้งกับคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของปอ

      “มะ...ไม่....ไม่ลืม แต่....แต่...”

      “นั่นแหละครับ พอผมเริ่มยอมรับความรู้สึกตัวเองได้ ก็คิดเข้าข้างตัวเองไปว่า

พี่ปืนก็คงคิดกับผมไม่ต่างกัน ถึงได้...จูบแก้มผม”

      …..

      “ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่คิดไว้มันผิดหมด”

      ไม่นะปอ...ไม่ผิดเลยซักนิดเดียว….เสียงนั้น แค่ลั่นอยู่ในอกปืนเท่านั้น

แม้จะอยากยืนยันปืนก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป ปอกำลังจะเปลี่ยนความคิด และต้องตัดใจจากเขาได้ในไม่ช้า

.......นี่มิใช่หรือที่เขาอยากให้มันเป็นไป

      “ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมคงเป็นได้แค่น้องชายของพี่ปืนเท่านั้น แต่พี่ปืนไม่ต้องห่วงนะครับ

ผมจะไม่ทำให้พี่ปืนต้องยุ่งยากใจเป็นอันขาด”



      ปืนนอนไม่หลับตลอดคืน เช้าขึ้นมาถึงได้เห็นร่องรอยของคนอดนอนอย่างเด่นชัด

คำพูดของปอวนเวียนอยู่ในความหัวจนจิตใจปืนเองว้าวุ่น ทั้งที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า

จะไม่ยอมตกเป็นทาสอารมณ์ของตัวเอง และจะพยายามทำทุกทางให้ปอลืมความรู้สึกที่มีต่อเขาให้ได้

เรื่องรักระหว่างเขากับปอไม่ควรเกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ปืนก็จำเป็นที่จะต้องหยุดไว้แค่นี้

ก่อนที่ทั้งเขาและปอจะถลำลึกเลยเถิดไปจนยั้งไม่อยู่ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 00:15:31
      จากวันที่เกิดเรื่องมาจนถึงวันนี้เกือบครึ่งเดือน ปืนยังไม่เคยเจอหน้าพี่เอกเลยซักครั้ง

ส่วนเต้ยนั้นปืนก็ไม่เคยจะถามจากปอว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ก็คาดว่าถ้าเขาหรือแม้แต่ปอไม่ปริปากพูดอะไรออกไป

เต้ยก็คงไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อุบาทว์เกิดขึ้นที่ห้องของปืน โดยที่ไอ้พี่เอกเป็นตัวการ เพราะไอ้ตัวการคงจะไม่พูดอะไรแน่ ๆ

      เขาได้ข่าวว่าพี่เอกขายดาวน์บ้านหลังนั้นไปแล้ว เพราะเจ้าของโครงการบ้านเป็นลูกค้าที่สาขาของปืน

มาเดินบัญชีแทบทุกวัน   ส่วนสาเหตุที่ขายก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าของโครงการบอกว่าพี่เอกบ่นว่าไกลไป

แต่ปืนค่อนข้างแน่ใจว่า เป็นเพราะพี่เอกรู้ว่าปืนไม่ได้ซื้อบ้านหลังข้าง ๆต่างหาก

    หลังจากเหตุการณ์วันนั้นปืนก็เลยค่อย ๆ ทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ที่ได้รู้จักพี่เอกมา ก็เพิ่งจะผิดสังเกตหลายเรื่อง

เพียงแต่ตลอดเวลานั้นพี่เอกมีแฟน มีคู่ควงไม่เคยขาด ปืนก็นึกไปว่าเป็นความสนิทสนมแบบเพื่อนฝูง

ที่คุยกันถูกคอก็เท่านั้น   หารู้ไม่ว่าพี่เอกคิดจะขย้ำเขาตลอดเวลา

.....นี่ถ้ารู้ตัวก่อน ปืนคงจะระวังไม่ให้พี่เอกเข้าถึงตัวได้แน่ ๆ



      อีกเดือนกว่า ๆ ก็ได้เวลาเอ็นทรานซ์อีกแล้ว ปืนสังเกตเห็นปอขยันขึ้นมากมาย นอนก็ดึกขึ้น

แต่การลงเรียนคอร์สติวกลับน้อยลง อย่างวันนี้ปกติปอจะมีเรียนตอนเย็นไปจนถึงสองทุ่ม แต่พอจบคอร์สปกติแล้ว

ก็ไม่คิดจะสมัครเรียนต่อ เพราะคลาสนี้จะเต็มไปด้วยน้องม.6 ที่ลงเรียนเพื่อการกวดวิชาเป็นพิเศษ

      “ผมไม่อยากเรียนคลาสเดียวกับรุ่นน้อง ๆ รู้สึกว่าตัวเองแก่ ๆ ยังไงไม่รู้อ่ะ”

      ปอทำหน้ามุ่ย...เดี๋ยวก็แก่ไปจริง ๆ หรอกเอ๊อ...

      “แล้วทั้งห้องน่ะ มีเราอายุมากกว่าใครเพื่อนรึไง”

      “ก็ไม่หรอกครับ ผมรู้สึกไปเองน่ะ แต่ผมก็เตรียมตัวสม่ำเสมอมาตลอดนะ ถึงไม่ได้ลงคอร์สติวก็คงไม่เป็นไร

หาแนวข้อสอบมาทำเองก็คงได้”

      “ประมาทไปรึป่าว”

      “โธ่! พี่ปืนอ่ะ เรียนเยอะหนักสมองจะตาย นี่ผมว่าจะชวนพี่ปืนไปนอนเล่นริมทะเลซักคืนเชียวนะ ไปป่าว”

      “ก็ดีนะ ปีนี้พี่ลาพักร้อนไปไม่กี่วันเลย จะหมดปีอยู่แล้ว เดี๋ยวหมดสิทธิ์ลา”

      “ไป......ไป......ไป........”

      ปอทำท่าคิด

      “เกาะสมุยมั้ย”

      ปืนพูดถึงเกาะใหญ่ในอ่าวไทย ก็ไกลออกไปหน่อยแถมต้องนั่งเรือออกไปอีกทอด ปืนคงต้องลาทั้งอาทิตย์
   
      “อยากไปครับ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

      ปืนเสนอชื่อเกาะในทะเลอันดามัน ใกล้เข้ามาแต่เป็นอีกฝั่งของด้ามขวาน

      “น่าสนใจนะครับ ผมยังไม่เคยไปเลย แต่เอ็นฯให้เสร็จก่อนดีกว่า”

      “เกาะหลีเป๊ะเอ้า!”

      “นั่งเรือนานโคตรอ่ะ”

      “เกาะกระดานมั้ย ใกล้เข้ามาหน่อย เช้าไปเย็นกลับ”

      “อื่มมมม”

      ปอทำท่าคิดซะนานจนปืนขี้เกียจรอฟัง

      “หาด..........แล้วกัน”

      พูดจบปืนก็รีบลุกขึ้นเดินหนี หมั่นไส้ไอคนเรื่องมาก โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา เขาก็เลยประชดมันเสียส่งไป

ดูซิจะว่ายังไง   เพราะหาดที่ว่านั่นอยู่หากจากบ้านไปแค่ 30 กิโลเมตรเอง

      “ก็ดีเหมือนกันนะพี่ปืน เช้าไปเย็นกลับได้สบาย ๆ ทะเลเหมือนกัน

...เอาตามนี้แหละ วันเสาร์นี้เลยนะครับ ผมจะได้เตรียมรายการอาหารไปปิคนิคกัน”

      เห็นอาการร่าเริงแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็ต้องส่ายหน้าให้กับความน่าเอ็นดูของปอ

ซึ่งคงไม่รู้ตัวหรอกว่าโดนประชดเข้าให้แล้ว

      “พี่ปืนอยากกินไรบอกมาเลย ถ้าเป็นเมนูใหม่ ๆ ผมจะได้หัดทำก่อน แต่ถ้าไม่ยุ่งยากผมจะได้เตรียมเครื่องปรุง”

      “อะไร ๆ ก็ทำไปเถอะ พี่ก็กินได้ทุกอย่างที่ปอทำนั่นแหละ”

      “งั้น....พรุ่งนี้เย็นเราไปซื้อของกันนะครับ เดี๋ยวผมไปดูก่อนดีกว่าว่าขาดเหลืออะไร”

     ปอเดินออกจากห้องไป ประตูห้องปืนยังไม่ทันงับสนิทดี แขกที่ปืนไม่เต็มใจต้อนรับก็เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย

ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มตามแบบฉบับหนุ่มสุขุมลุ่มลึกที่ปืนคุ้นเคย แต่ท่าทีแบบนี้เขารู้ซะแล้วว่ามันหลอกตา

ภายในน่ะยังกับเสือร้ายที่จ้องจะขย้ำเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ปอเดินตามมาห่าง ๆ สายตาจับจ้องแผ่นหลังของพี่เอกไม่วางตา

      “มีอะไรครับพี่เอก ถึงมาเอาป่านนี้”

      “แวะมาเฉย ๆน่ะ”

      พี่เอกตอบ และคงรู้สึกว่ามีใครอีกคนกำลังจ้องอยู่ด้านหลัง จึงหันไปมอง

      “อ้าว! ปอ นึกว่าจะกลับไปที่ห้องซะอีก”

      “ผมยังไม่เสร็จธุระกับพี่ปืนน่ะครับ”

      ปอก้าวเดินเข้ามานั่งที่โซฟา ปักหลักแบบเรือทิ้งสมอ คว้าหมอนอิงมากอด หยิบหนังสือที่อยู่ใกล้มือมาพลิกดู

       ...จะรู้เรื่องมั้ยน่ะว่าในหนังสือเขาว่ายังไงบ้าง

      “พี่มีธุระจะคุยกับปืนหน่อยนึงน่ะปอ”

      “ก็คุยไปสิครับ ผมไม่ได้เกะกะอะไรไม่ใช่เหรอ”

      นั่น...กวนได้อีกเจ้าปอ

      “มีอะไรก็พูดมาเถอะพี่เอก อันที่จริงผมคิดว่าเราไม่น่าจะมีอะไรคุยกันนะครับ”

      “ทำไมตัดสัมพันธ์กันแบบนี้ล่ะปืน”

      พี่เอกขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าจะคว้ามือปืนไปกุมไว้เสียด้วย หางตาของปืนรู้สึกเหมือนเจ้าปอขยับตัวทันที

แต่ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น

      “พี่อยากคุยส่วนตัว”

      ไม่พูดเปล่า ทำเป็นเหลือบตาไปทางประตูห้องนอน....รู้ทันนะเว้ย...ถึงไม่ได้ทำอะไร

แต่ไอ้ที่จะให้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวระดับนั้นน่ะเมินซะเถอะ เขาสงวนสิทธิ์ไว้ให้เจ้าปอคนเดียวเท่านั้นแหละ

      “ตรงนี้ก็คุยได้ ผมกับปอก็พี่น้องกัน พี่เอกพูดมาผมก็ต้องเล่าให้ปอฟังทีหลังอยู่ดี”

      “แต่ว่านี่มัน...”

      “งั้นก็ไม่ต้องคุยก็ได้นะครับ เพราะผมไม่มีธุระอะไรกับพี่เอกอยู่แล้ว”

      “ก็ได้ ๆ”

      ปืนโบกมือไปที่เก้าอี้เดี่ยวตรงข้ามกัน แล้วเขาก็นั่งเก้าอี้เดี่ยวอีกตัว ส่วนโซฟาตัวยาวมีปอนั่งอยู่ก่อนแล้ว

คั่นระหว่างเขากับพี่เอก  ปอหันหน้ามามองปืนที แล้วหันไปมองพี่เอกอีกที ก่อนจะก้มลงอ่านอะไรที่อยู่ในมือต่อไป

ท่าทางที่เหมือนจะไม่สนใจ  แต่ปืนก็รู้ว่า ใบหูเล็ก ๆ ขาว ๆ กำลังกางผึ่งคอยฟังเต็มที่เชียวแหละ

      “พี่ขายบ้านไปแล้วนะ”

      “ครับ”

      “มันไกลน่ะ ไปมาไม่ค่อยสะดวก”

      ปืนไม่ตอบ แต่ทำหน้ารู้ทัน

      “อ้ะ ๆ บอกก็ได้ เพราะพี่รู้ว่าปืนไม่ได้ซื้อบ้านหลังข้าง ๆ ไง”
 
       ก็แค่นั้น

      “พี่อยากรู้ว่าทำไม”

      “เงินไม่พอครับ มันแพงไป”

      “ไม่จริงหรอก”

      “แล้วพี่เอกว่าความจริงเป็นไงล่ะครับ”

      “ปืนจะหลบหน้าพี่”

      “โห สำคัญตัวเองผิดไปรึป่าวครับพี่เอก ผมจะหลบหน้าพี่ทำไม พี่ต่างหากที่ควรจะหลบหน้าผม”

       ทำมาเป็นรู้ทัน ก็ไม่เชิงว่าอยากหลบหน้านะ แต่ถ้าบอกว่าไม่อยากเจอหน้าจะถูกกว่า

      “ไม่เห็นมีอะไรต้องหลบนี่ พี่อยากเจอปืนทุกวันเสียด้วยซ้ำ”

        โถ่....ไอหน้าด้าน

      “พี่เอกมีธุระอะไรกับผมกันแน่ พูดมาเลยดีกว่า”

      “ก็....”

       พอปืนจิกเข้าเรื่อง หนุ่มใหญ่มาดมั่นก็เริ่มมีทีท่าไม่มั่นเหมือนเคย ออกจะแปลกไปจากที่เคยเห็น

ท่าทางขยับมือไม้ แขนขา สายตาก็คอยแต่จะเหลือบมองปอ ที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้ อ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อย

ยังกับเนื้อหาที่อยู่ในนั้นมันน่าสนใจเสียเต็มประดา

      “ปืน...พี่ขอร้องล่ะ ขอพี่คุยส่วนตัวซักครู่ได้มั้ย”

      “ผมว่าเราไม่มีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องคุยกันนะครับ”

      “พี่ว่าปืนรู้แน่ว่าพี่จะพูดเรื่องอะไรต่างหาก ถึงได้ไม่ยอมเปิดโอกาสให้พี่ได้พูดเลย”

      “ถ้ายังงั้นผมว่าพี่เอกก็น่าจะรู้ต่อไปอีกว่า ผมจะตอบว่าอะไร จริงมั้ยครับ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดกัน

เพราะทั้งคำถามคำตอบเราต่างก็รู้อยู่แก่ใจ”

      “ปืน...”

      “เอาล่ะ ๆ ผมจะกลับห้องล่ะครับ”

      ปอวางหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดแทรกขึ้น

      “พี่เอกมีอะไรก็พูดกับพี่ปืนซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ส่วนพี่ปืนมีอะไรที่ไม่เข้าใจกันก็คุยกันดี ๆ

ผมนั่งขวางอยู่อย่างนี้มันคงไม่จบง่าย ๆ ขอโทษนะครับที่อยู่เป็นก้าง ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่สองคนจะเอายังไงกัน

แต่ดูท่าแล้วถึงเช้าผมก็คงไม่รู้...ผมไปล่ะ”

      ปอขว้างหมอนอิงที่อยู่ในมือส่งให้ปืนแรง ๆ ตั้งใจจะให้กระแทกหน้าแต่ปืนก็รับไว้ได้ทันซะก่อน

ปืนส่งสายตาตามไปก็เห็นแววตาเหมือนจะตัดพ้อ น้อยใจอยู่ในทีตอบกลับมา

      ...อยากบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ได้อยากจะปรับความเข้าใจกับพี่เอกหรอก

แต่คำพูดนั้นมันก็จุกอยู่แค่คอหอย จำต้องกลืนมันกลับลงไป

      “แล้วผมจะโทรมานะพี่ปืน”

      ปอบอกทิ้งท้ายก่อนจะปิดบานประตูเบา ๆ

      พี่เอกยิ้มออกมาบาง ๆ ตามด้วยเสียงถอนหายใจโล่งอก ในขณะที่ปืนเริ่มจะเสียวอยู่ในอก

จะบอกว่าไม่กลัวรึก็ไม่อยากจะโกหกตัวเอง เขาไม่ลืมสัมผัสจ้วงจาบของพี่เอกในวันนั้น

แค่นึกถึงก็แทบจะอยากหลับตาปี๋    ถ้ามันจะทำให้ลืมภาพและสัมผัสนั้นให้หมดไปจากใจได้นะ

เคยแต่เป็นฝ่ายเริ่มแล้วค่อยรุก แต่พอกลายมาเป็นฝ่ายถูกรุกบ้าง ปืนก็รู้สึกแปลก ๆ

โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยอยู่ในความคิดความสนใจมาก่อน  แถมยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวล่วงหน้า

บอกเลยว่าปืนยังทำใจไม่ได้

      “ปอนี่เป็นเด็กดีจริง ๆนะ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร”

      “พอเถอะครับพี่เอก ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นให้เสียเวลา พี่จะเอายังไงกับผมก็ว่ามาเลย”

      “นี่...พี่ไม่ได้มาเจรจาทำศึกนะ ถึงจะต้องมาตกลงอะไรอย่างเป็นทางการขนาดนี้”

      พี่เอกไม่พูดเปล่า ยังลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินเข้ามาจนชิดเก้าอี้ของปืน ที่พยายามทำใจกล้าไม่ลุกหนี

ก็นี่มันบ้านของเขาเองนี่นา จะต้องไปกลัวอะไร ผิดพลาดพลั้งไปก็แจ้งข้อหาบุกรุกเคหสถานซะก็หมดเรื่อง
 
     ...หัวหมอได้อีก

      “กินข้าวรึยัง”

      “ครับ ผมเรียบร้อยแล้ว”

      “แต่พี่ยังไม่กินอะไรเลย หิวด้วย”

      แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาวะ

      “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

      “ขี้เกียจออกไป”

      “งั้นทำอะไรให้พี่กินหน่อยได้มั้ย หิวจริง ๆ นะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงนู่น”

      ....แล้วพี่จะหิ้วท้องรอใครไม่ทราบ....

      “นะ อะไรพี่ก็กินได้หมด ทำให้กินหน่อยนะ”

      “ผมทำไม่เป็นหรอก หิวขึ้นมาก็ซื้อเอา”

      “พี่ทำเป็น งั้นขอยืมครัวหน่อยนะ”

      ว่าแล้วก็ก้าวยาว ๆเข้าไปในครัว.....อารายวะ....จะไม่รอให้เขาบอกอนุญาตก่อนรึยังไง...

  ปืนได้แต่มองตามไปอย่างงง ๆ กับความเป็นกันเอง ที่พี่เอกแสดงออกมา ดูพี่เอกมันรู้ซะอีกว่าครัวอยู่ตรงไหน

เดินไปสำรวจเคาน์เตอร์เสร็จแล้วก็เดินมาเปิดตู้เย็น คุ้ย ๆ เขี่ย ๆ ก็ได้ไข่มาสองฟอง มะเขือเทศ กับผักอะไรขยุกขยุย

ที่เจ้าปอซื้อมาเก็บไว้ หันมาชูของในมือให้ดู ยักคิ้วให้ปืนทีนึงแล้วก็ไปทำอะไรง่วนอยู่ตรงเคาน์เตอร์

ปืนไม่อยากจะให้ความสนใจมากนัก โดยนิสัยแล้วเขาก็ไม่ค่อยจะขัดอะไรใครเท่าไหร่

เว้นซะแต่ว่ามันจะทำให้เขาเดือดร้อนรำคาญจนเกินไป ก็อาจจะพูดบ้าง และตอนนี้ที่เขาทำเป็นไม่สนใจ

ไม่ใส่ตามองก็เพราะพยายามข่มอารมณ์โกรธที่กำลังปุด ๆ อยู่ข้างใน

หวังว่าเสร็จเรื่องกินแล้ว จะได้พูดกันให้จบเรื่องซะที
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 00:18:12
       หลังจากได้กลิ่นหอม ๆ กวนจมูกมาพักใหญ่ ปืนยืดคอมองที่โต๊ะอาหาร

เห็นชามแก้วใบใหญ่ที่ไม่ค่อยได้หยิบมาใช้บรรจุน้ำซอสสีแดงข้น ๆ อยู่เต็มชาม

ข้าง ๆ กันมีเส้นสะปาเก็ตตี้สีเหลืองนวลรองด้วยผักขยุกขยุยสีเขียว 2 จาน

       “มากินกันได้แล้วครับ”

      พ่อครัวจำแลงเชิญชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่มันย่อง เพราะอยู่หน้าเตาไฟ

คงร้อนน่าดู เม็ดเหงื่อผุดที่ข้างขมับกับปลายจมูก ดูตลกแต่ก็น่าทึ่ง

เนื่องจากเห็นพี่เอกในคราบพนักงานที่สวมเชิ้ตขาวผูกเนกไทมาตลอด

ไม่คิดว่าจะมีอารมณ์พ่อครัวแบบนี้กะเค้าเหมือนกัน นึกอีกทีก็สงสาร

ปืนเลยเดินไปเปิดพัดลมดูดอากาศ ปิดหน้าต่างทุกบานแล้วเปิดแอร์ให้

พี่เอกเลยยิ่งได้ใจ ส่งยิ้มมานัยน์ตาเยิ้มเห็นแล้วชวนหมั่นไส้

      ทั้งที่มื้อเย็นเพิ่งผ่านไปหยก ๆ แต่กลิ่นหอม ๆ ที่โชยมาเข้าจมูกก็ชวนให้น้ำลายสอ

พี่เอกจัดการตักซอสราดเส้นที่อยู่ในจานจนชุ่ม ส่งให้ปืนก่อนจะจัดการของตัวเองบ้าง

จะว่าเห็นแก่กินมั้ยเนี่ย ถ้าปืนจะบอกว่า พี่เอกทำอาหารได้อร่อยน่ากินจริง ๆ ซอสที่เห็นข้น ๆ นั้น

มีเห็ดแชมปิญองหั่นเป็นชิ้น กับไข่เป็นริ้ว ๆ ปนอยู่ด้วย ไม่มีเนื้อหมูเนื้อไก่สักนิด แต่มันก็ได้รสชาติอย่างไม่น่าเชื่อ

      นอกจากทำอาหารให้กินแล้ว ยังเก็บล้างถ้วยจานชามให้เรียบร้อย รวมทั้งจานอาหารของปืน

      .....ก็จะทำไมล่ะ เขาไม่ได้เรียกร้องให้พี่เอกทำให้กินนะ แล้วไอ้การเก็บกวาดครัวให้สะอาดเอี่ยมเหมือนเดิม

ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของคนที่เป็นต้นคิดทำอาหารมื้อนี้ด้วย

      “อ้าซซซซ”

      พี่เอกกลับมานั่งแปะลงบนตัวโซฟา ขายาว เหยียดออกอย่างสบายอารมณ์

หัวพิงพนักเอียงหน้ามาทางปืนที่กำลังจ้องโทรทัศน์ไม่วางตา

      “ถ้าได้อยู่กับปืนทุกวันอย่างนี้ก็ดี”

      ปืนเหลือบตามองอย่างหวาดระแวง

      “ไม่ทำอะไรหรอกน่า คราวก่อนมันอดใจไม่ไหวเท่านั้นเอง”

      พี่เอกหัวเราะในลำคอ เมื่อยื่นมือมาลูบขาปืนเล่นเบา ๆ แล้วปืนสะดุ้งหดขาขึ้นบนเก้าอี้

แถมขยับตัวออกห่างทันทียังกะต้นไมยราบเวลาโดนใครเอามือไปแตะ

      ไว้ใจไม่เคยได้เลยนะ

      “คุยได้ยังธุระของพี่น่ะ”

      ปืนมองพี่เอกด้วยหางตา ชักจะเริ่มรำคาญคนท่ามากขึ้นมาหน่อย ๆ

      “แหม ข้าวไม่ทันจะเรียงเม็ดเลย จะชวนคุยเรื่องเครียด ๆ ไปทำไมกันครับ”

      พี่เอกทำเสียงอ้อน....น่ารักตายล่ะ

      “ไม่ได้กินข้าว ไม่ต้องรอให้เรียงเม็ดหรอก ไอ้ขนมจีนฝรั่งน่ะ เดี๋ยวมันก็ย่อย”

      เงียบไปอึดใจใหญ่ ๆ พี่เอกก็ค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ คงพยายามเลือกคำพูดให้ฟังดูดี

      “ปืนอาจจะเห็นว่าพี่มีใครต่อใครตลอดเวลา แต่พี่อยากจะบอกว่า ไม่เคยรู้สึกกับใครแบบที่รู้สึกกับปืนเลยนะ

ปืนก็รู้ว่าพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง พี่ไม่เคยรู้หรอกว่า ผู้ชายที่เค้ารักผู้หญิงน่ะเค้าเป็นกันยังไง

กับน้อง ๆ ที่พี่เคยอยู่ด้วยกัน พี่ก็แค่ชวนมาอยู่เป็นเพื่อนกัน ทำอะไรร่วมกัน

มีเพื่อนอยู่ด้วยกันมันก็ช่วยแชร์อะไรต่อมิอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ทั้งค่าใช้จ่าย ทั้งความรู้สึก ดีกว่าอยู่คนเดียว

ส่วนเรื่องเซ็กส์น่ะมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ใกล้ชิดกันมันก็เกิดอารมณ์ใคร่เป็นธรรมดา

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะขาดไม่ได้”

      ….แต่ก็เห็นมีไม่ได้ขาดนี่หว่า....

      “แต่กับปืนมันไม่เหมือนกัน ตั้งแต่ที่ได้รู้จัก พี่ก็รู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ ๆปืน อยากเห็นหน้าทุกวัน

พอรู้ว่าปืนจะซื้อบ้าน พี่ก็ตัดสินใจซื้อด้วย ทั้งที่ไม่เคยคิดมาก่อน จนใคร ๆก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

เพื่อนมันยังถามว่าพี่นึกยังไง เพราะพี่เคยพูดเสมอว่าพี่ตัวคนเดียว พ่อแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว

เพราะท่านก็อยู่ของท่านไปไม่เดือดร้อน เงินเดือนพี่ก็ใช้คนเดียว กินเที่ยวบ้าง เก็บบ้าง ซื้อบ้านก็เป็นภาระเปล่า ๆ”

      ……....

      “แต่พี่ก็ยอมเพราะอยากอยู่ใกล้ปืน อย่างน้อย ได้อยู่บ้านติดกัน ก็คงได้เจอกันบ่อย ๆ”

      ยิ่งฟังปืนก็ยิ่งแปลกใจว่าเขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าพี่เอกจะคิดกับเขาไปได้มากมายขนาดนี้

เท่าที่เห็นก็ออกจะเป็นผู้ชายเต็มตัว แถมยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว

ส่วนเขาเองก็แมนไม่น้อยไปกว่ากัน อะไรจะพิศวาสหลงใหลได้ปลื้มกับเขานัก

      “ปืนคงคิดว่าพี่ชอบผู้ชายแบบเต้ย เพราะก่อนหน้าเต้ย พี่ก็มีแต่ผู้ชายที่ดูนุ่มนิ่มแบบเดียวกัน

พี่ก็ไม่รู้หรอกนะทำไมถึงได้ชอบปืน...รักเลยล่ะเอ้า”

      ....อย่าพู้ดดด...ตรูขนลุกไปหมดแล้ว....

       “คบกับพี่ได้มั้ย พี่รู้ว่าปืนยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่หรอก แต่ถ้าปืนรักปอได้ ปืนก็น่าจะรักพี่ได้เหมือนกันนะ”

       ปืนผงะ พี่เอกรู้ได้ยังไง อาการของเขามันเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ

       “สงสัยว่าทำไมพี่รู้ใช่มั้ย”

        พี่เอกถาม

       "เพราะปืนอยู่ในสายพี่ตลอดเวลาไง ทีแรกที่ปืนแนะนำว่าเป็นน้อง พี่ก็ไม่ได้นึกอะไร

แค่แปลกใจว่าปืนกับปอ อายุห่างกันตั้งมาก ทำไมถึงสนิทกันจนนับพี่นับน้องกันได้ก็เท่านั้น

แล้วพี่ก็เริ่มผิดสังเกตว่าปืนแคร์ปอมากเกินไป ดูแลใกล้ชิดเกินไป ไม่เหมือนพี่น้องผู้ชายเค้าทำกัน

มาแน่ใจจริง ๆ ตอนขากลับ เพราะพี่แกล้งชวนปอมานั่งข้างหน้าด้วยกัน

 พี่เห็นปืนอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยมั่นใจว่า ปืนต้องรักปอเกินกว่าคำว่าน้อง”

      ….ไอรู้ดี....

      “แล้วพี่ก็ว่าตัวเองคิดไม่ผิด ที่รู้สึกว่าปอก็ดูจะหวงปืนเกินกว่าน้องชายจะหวงพี่ชาย...ใช่มั้ยครับ”

   เรื่องนี้ปืนก็เพิ่งรู้เมื่อเร็ว ๆนี้เอง พี่เอกมองได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่เมื่อไรกัน

      “พี่เอกพูดขึ้นมาทำไม”

      “ก็ไม่ทำไม แค่อยากให้แน่ใจว่าพี่คิดไม่ผิด...ใช่มั้ยปืน”

      พี่เอกชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แกล้งถามย้ำเขาไปงั้นแหละ ทั้งที่คงพกความมั่นใจมาเต็มที่

      “ผมไม่เห็นมันจะหนักหัวใคร”

      ถูกจี้จุดเข้าปืนก็ชักจะอดไม่ไหว ทั้งที่ปกติเขาไม่ใช่คนจุดเดือดต่ำแบบนี้

      “อย่าหยาบคายกับพี่สิครับ”

      พี่เอกลูบหลังมือปืนเบา ๆ ไม่ใช่จะล่วงเกิน แต่เหมือนจะปลอบให้ปืนใจเย็นลงมากกว่าซึ่งมันก็ได้ผล

อารมณ์ร้อนไปก็ไม่ช่วยอะไร ปืนยังไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมพี่เอกต้องพูดถึงเรื่องเขากับปอขึ้นมา
 
      “แต่ปอคงจะไม่รู้นะครับ ว่าปืนน่ะรักแก ทำไมไม่บอกน้องเค้าไปล่ะครับ”

      ปืนเริ่มขะยุกขะยิก ไม่รู้ว่าพี่เอกจะมาไม้ไหนกันแน่ ใจเขาเริ่มกระวนกระวาย

ถ้าพี่เอกกำลังจะใช้จิตวิทยากับเขา มันก็กำลังจะได้ผล

      “บอกไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ….ทำไมถึงบอกไม่ได้”

      ยังจะมาทำตาเจ้าเล่ห์     
     
      “กลัวที่บ้านเค้าจะรู้ล่ะสิ เพราะน้องยังเด็ก ไม่ก็ ที่บ้านเค้าอาจจะรับไม่ได้”

      “ไม่ใช่เรื่องของพี่เอกเลยนะครับ”

      พี่เอกพยักหน้า แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

      “ก็แปลว่ายังไงก็ไม่มีหวัง ถูกมั้ย”

      ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพี่เอกพูดถูก แต่พอได้ยินใครพูดเข้าหูจริง ๆ ปืนกลับรู้สึกเจ็บแปลบ ๆในอกขึ้นมาทันที

ทั้งที่ทำใจ ทั้งที่ตัดใจ มาตั้งนานแล้ว

      “เปิดใจให้พี่บ้างสิครับ ไหน ๆความรักของปืนกับปอก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พี่รักปืนนะ

พี่จะทำให้ปืนมีความสุข พี่จะทำให้ปืนลืมปอให้ได้”

      “มันลืมกันไม่ได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรอกครับพี่เอก มาพูดกับผมแบบนี้ แล้วเต้ยล่ะ พี่จะเอาเค้าไปไว้ที่ไหน”

      “เต้ยเค้ารู้ดีว่า เราอยู่กันด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย ไม่มีอะไรผูกมัด

เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยากหยุด อีกฝ่ายก็ต้องยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข”

      “ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอพี่เอก ผมว่าเต้ยเค้ารักพี่นะ”

      “พี่ก็รักเต้ย ถึงได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน แต่มันก็จบลงแล้วตั้งแต่พี่รู้จักปืน พี่เคยบอกเค้าแล้วด้วยว่าพี่พบคนที่พี่รักแล้ว

เมื่อไหร่ที่เราตกลงกันได้ เต้ยก็จะจากไปโดยดี”

      “หา! พี่เอกบอกเต้ยเหรอว่าพี่...เอ้อ...รักผม”

      “เปล่า พี่แค่บอกว่าพี่เจอคนที่พี่รักแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร เค้าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นี่”

      โห เลือดเย็นว่ะพี่เอก...ถ้าเต้ยเกิดรักพี่เอกขึ้นมาจริง ๆ แล้วไม่ยอมไป มันไม่ยุ่งนุงนังกันไปใหญ่เหรอเนี่ย

อย่าว่าเป็นเขาหรือว่าใครเลยที่จะมาแทนที่เต้ยน่ะ ยังไงมันก็เจ็บเท่ากัน เพราะผลมันคือการถูกทิ้ง

อย่าคิดว่ามีการตกลงมาก่อนล่วงหน้าแล้วมันจะไม่เจ็บปวด เพราะวันที่ตกลงกัน

ความรักมันอาจจะยังไม่ฝังรากลงลึกอย่างวันนี้ เขาไม่อยากเป็นมือที่สามในชีวิตรักของใคร

ยิ่งเป็นพี่เอกยิ่งไม่อยากร่วมเวรร่วมกรรมเสียส่งไป

      “ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ผมสงสารเต้ย เค้าผิดตรงไหนพี่เอกถึงได้ขอเลิกกับเค้าเพื่อจะมีคนใหม่”

      “ไม่มีใครผิดหรอกครับ ก็แค่เราไม่รักกันแล้ว ก็ต่างคนต่างไป เต้ยเค้ารู้กติกาดี ไม่ต้องห่วงนะครับ”

      “ผมไม่ได้ห่วงหรอก แค่ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พิ่ทิ้งเต้ย และที่สำคัญผมไม่ได้รักพี่เอก”

      “รู้น่า แต่พี่จะทำให้ปืนรักพี่ซักวัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่ปืนจะงมงายอยู่กับปอ

เพราะยังไงก็ไม่มีวันที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างคนรักหรอกจริงมั้ย”

      “นั่นมันก็เรื่องของผม ถ้าพี่คิดว่าพี่จะทำให้ผมรักพี่ได้ล่ะก็ จะลองดูก็เอา

แต่ผมหวังว่า พี่จะไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันไปบอกปอหรอกนะ”

      “ทำไมพี่ต้องบอกล่ะ ปืนเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ายังไงก็จะเล่าให้ปอฟังอยู่ดีน่ะ”

       เออ...จริงด้วย เขากลัวไปเองว่า พี่เอกอาจจะไปพูดอะไรให้ปอรู้ว่าคนที่เขารักเป็นใคร

เขากลัวว่ามันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังปอ ทั้งที่ก็รู้ว่ายังไงมันก็ไม่มีอนาคต


      พี่เอกกลับเอาตอนสี่ทุ่ม...นั่งซะนาน แล้วก็พูดมันอยู่เรื่องเดียวจนปืนชักจะคล้อยตาม

ไม่ใช่เรื่องที่ปืนตกลงยอมเป็นแฟนพี่เอกหรอก แต่ปืนมองเห็นทางที่จะทำให้ปอเลิกรักเขาได้อย่างเด็ดขาด

มันอาจจะดูใจร้ายที่ทำให้ปอต้องเสียใจ แต่ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้

ปอก็คงจะยังอยู่ในวังวนที่ว่างเปล่า ตราบใดที่ปืนยังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน

     ....ถึงเวลาที่เขาควรจะทำอะไรให้จริง ๆ จัง ๆเสียที เขาหวังเพียงอย่างเดียวว่า

พี่เอกจะไม่ปากโป้ง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 20-05-2012 00:51:40
รันทดชะมัด...


 :z3:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 20-05-2012 09:58:16
สะเทือนอารมณ์อย่างแรง คนอ่านอย่างผมรู้สึกกดดันตามไปด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ
ปืนอย่าใจแข็งเลยครับ เดี๋ยวปอเข้ามหาลัยแล้วไปเจอคนใหม่ คนที่เสียใจก็คือปืนนั่นแหละ
เอาใจช่วยทั้งคู่.......ส่วนพี่เอก.... Get out!!!!
ปล.ขอเป็นแฟนคลับคุณ NOO ด้วยคับคร๊าบ ^_^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: luv_khun ที่ 20-05-2012 10:19:50
เฮ้อ....ปืน นะปืน คิดมากแทน คนอื่นไปหมด

กลายเป็นปอบอกรักก่อน ซะงั้น

แต่ในมุมความเป็นผู้ใหญ่กว่าปอ

ความลำบากใจก็คงตกที่ปืนนั่นแหละ

เห็นใจทั้งคู่

ในโลกความเป็นจริง ก็คงมีอีกหลายคู่

ที่อยูในสถานะการณ์แบบนี้
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 20-05-2012 10:37:24
คิดเยอะเกินไป
หรือป่าวพี่ปืน
ชีวิตคนเรามันสั้น
ทำมัยไม่ทำตามใจที่เรา
อยากทำบ้างอนาคต
ยังมาไม่ถึงคิดไปไกลล่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 20-05-2012 11:50:34
เฮ้ออออออออออออออ
 :เฮ้อ:
สงสารพี่ปูน สงสารน้องปอ
พอใจตรงกันแล้วก็มีอุปสรรคอีกแล้ว
เข้าใจพี่ปืนนะว่าไม่อยากให้พ่อแม่ปอเสียใจ
แต่แบบนี้ทั้งพี่ปืนกับน้องปอก็ต้องเสียใจด้วยไม่ใช่เหรอ??
ไม่มีวิธีไหนเลยเหรอที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขอ่ะ กระซิกๆ
 :impress3: :o12:

ปลล.ตบอิพี่เอก
 :beat:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: zaabbo ที่ 20-05-2012 12:48:25
ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ก็ชอบอยู่นะครับ แต่ยิ่งอ่านยิ่งไม่ชอบเรื่องแนวนี้เลยมันทำให้เครียด ทุกวันนี้ชีวิตก็เครียดพอละ คงไม่ได้อยู่อ่านจนจบต้องขอโทษด้วย ยังไงก็ขอให้มีคนติดตามเยอะๆนะครับ คงมีคนชอบดราม่าเยอะอยู่  :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 19/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 20-05-2012 13:25:46
ปืนมีสำนึกดีนะ กตัญญู มีความรับผิดชอบ ไม่มักง่าย เห็นแก่ตัว
แม้มันอาจจะทำให้ตนกับคนที่รักไม่สมหวังก็ตาม
แต่ว่า! ไม่เห็นต้องไปคบเอกเลยนะ มันทำร้ายทั้งปืนทั้งปอทั้งเอกเลย!


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 19:24:58


สายัณห์สวัสดิ์ครับ

บวกเป็ดให้ทุกคนเสร็จแล้ว ผมจะโพสท์ต่อละน้า

ขอบคุณคนอ่าน ขอบคุณคนเม้นท์ ขอบคุณคนที่บอกลาด้วยครับ










      เสียงเคาะประตูตอนนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ ยังกะเฝ้าคอยดูอยู่งั้นแหละ

      “ไงปอ ทำไมป่านนี้ยังไม่นอน”

      ปืนส่งเสียงทักออกไปทั้งที่นั่งหันหลังให้ ด้วยความมั่นใจว่าไม่ผิดตัวแน่ ๆ

      “ไม่น่าถามเลยพี่ปืน ผมบอกแล้วว่าจะมาถามข่าว”

      “ไม่ได้บอก”

      เบาะข้าง ๆ ตัวยุบลง เพราะเจ้าคนอยากรู้อยากเห็นทรุดตัวลงนั่งแรง ๆ

      “บอก! ผมบอกก่อนจะกลับห้องไง พี่ปืนไม่ได้ยินเหรอ”

      แน่ะ! ขึ้นเสียง ไปกินรังแตนที่ไหนมา

      “ไม่ได้ยินว่าจะมา แต่ได้ยินว่าจะโทรมา”

      “พี่ปืนอ่ะ ก็เหมือนกันแหละ ไม่ต้องมาโยกโย้เลย เล่ามาให้หมดนะ”

      “จะรู้ไปทำไมเล่า เรื่องของผู้ใหญ่”

      “ทีตอนนั้นบอกพี่เอกให้พูดต่อหน้าผม ทีอย่างงี้อ่ะไม่เล่า”

      ความจำดีอีกนะ

      “เล่าไม่ถูก อยากรู้อะไรถามมาดีกว่า”

      “เอางั้นก็ได้ พี่ปืนเป็นแฟนกับพี่เอกมานานเท่าไหร่แล้ว ทำไมผมไม่เห็นจะรู้เลย”

      “จะรู้ได้ไง ก็พี่ไม่ได้เป็น”

      “ก็วันนั้นที่พี่เอกเค้า....”

      “ไม่ว่าวันนั้นปอจะเห็นอะไร แต่พี่ไม่ได้เป็นแฟนพี่เอก พี่ยังชอบผู้หญิงอยู่ เข้าใจนะ”

      “ถ้างั้นก็แล้วไป ผมรู้สึกไม่ดีเลย ตอนที่คิดว่าพี่ปืนคบกับพี่เอก ทั้งที่เค้ายังมีพี่เต้ยอยู่ทั้งคน”

      “พี่ไม่เลวอย่างนั้นหรอกน่า และที่สำคัญพี่ไม่ได้ชอบผู้ชาย”

      “ครับ เรื่องนั้นผมทราบแล้ว....ย้ำจริง” ปอบ่นอุบอิบต่อท้าย

      จริงสินะ เขาพูดเองเออเองมาตลอดตั้งแต่ที่เห็นพี่เอกกับพี่ปืนอยู่ด้วยกันในห้องวันนั้น

ไม่เคยมีคำพูดคำไหนของพี่ปืนที่ยืนยันความคิดของเขา พี่ปืนจะชอบผู้ชายได้ยังไงกัน

ก็ที่เขาเคยรู้มาน่ะพี่ปืนเป็นเสือผู้หญิงคนหนึ่งเลยนี่นา

      ปอก้มหน้าซ่อนแววตาหม่นหมองของตัวเอง เขาไม่น่าแอบหวังเลยว่าพี่ปืนจะตอบว่า

ชอบพี่เอก  เป็นแฟนกับพี่เอกอะไรทำนองนั้น

เขาไม่ควรคิดเลยเถิดไปว่า ถ้าพี่ปืนรู้สึกชอบพี่เอกได้ พี่ปืนก็อาจจะเปลี่ยนใจมารักเขาได้เหมือนกัน

...เฮ้อ...หยุดคิด ๆ เขาต้องย้ำตัวเองว่าเราเป็นพี่น้องกันเท่านั้น...พี่น้อง ๆ ๆ ๆ

      “อ้าว! แล้วไหนว่าจะถาม ไม่อยากถามแล้วรึไง”

      “แล้วพี่เอกเค้ามาทำไมล่ะครับพี่ปืน ผมไม่เคยเห็นเค้ามามืด ๆ ค่ำ ๆ อย่างนี้เลย”

      “เค้ามาขอเป็นแฟน แต่พี่ไม่ตกลงด้วยหรอกนะ ก็บอกแล้วว่าพี่ชอบผู้หญิง”

      “ครับ”

      “มีอะไรจะถามอีกรึป่าว”

      ปอส่ายหน้า

      “ไม่มีก็ไปนอนได้แล้ว”

      ปอลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง กลับห้องไปก็ไม่รู้จะนอนหลับตาลงรึเปล่า เขายังรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ อยู่เลย

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกังวลใจทำไมนักหนา รู้มาตั้งแต่ต้นแล้วด้วยซ้ำว่าพี่ปืนเห็นเขาเป็นแค่น้อง

ยังจะเหลือความหวังอะไรอีก อุตส่าห์ลงไปนั่งที่ล็อบบี้ข้างล่าง คอยดูว่าถ้าพี่เอกกลับไปแล้ว

เขาจะได้ขึ้นมาถามเรื่องราวกับพี่ปืน ถ้าจะรอถามพรุ่งนี้เช้าน่ะเหรอ เขาคงจะคลั่งตายด้วยความอยากรู้ไปซะก่อน

แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นกลับทำให้รู้สึกแย่กว่าเก่าด้วยซ้ำ

        พี่ปืนก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ตอบคำถามจบแล้วก็ไล่ให้เขาไปนอนซะงั้น แล้วยังนั่งซะห่าง หน้าก็ยังไม่มอง

    รายการโทรทัศน์มันน่าสนใจนักรึไง ละครน้ำเน่าแม่งดูอยู่ได้ ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากแย่งผู้ชาย

มันมีอะไรดีนักนะผู้หญิงถึงได้ตบตีแย่งชิงกันนัก มันไม่รักก็ไม่ต้องไปเอามันดิ อยู่คนเดียวก็ได้วะ

ไม่มีใครรักก็ไม่เห็นจะต้องง้อ

      ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยังไม่ทันจะเดินให้ถึงประตู ปอก็หันหลังขวับ เดินมาแย่งรีโมทในมือพี่ปืนกดปิดโทรทัศน์ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

รู้หรอกว่าตัวเองกำลังพาล แต่เห็นท่าทางพี่ปืนที่สนใจโทรทัศน์มากกว่าเขาแล้วปอทั้งน้อยใจ ทั้งโมโห....งี้ก็อย่าดูมันเลย

      “อะไรเนี่ยปอ”

      ปืนเงยหน้าขึ้นมองคนหน้างอง้ำ ที่ยืนค้ำหัว ในมือยังกำรีโมท หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงลมหายใจ

....ดูมันทำยังวัวกะทิงก่อนจะขวิดมาธาดอร์เลย นึกได้อย่างนี้ปืนก็อมยิ้มเห็นเป็นเรื่องขำ

ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกขัดเวลาของความบันเทิง แต่ไม่เข้าใจมากกว่าว่าปอเป็นอะไร

เห็นเดินออกไปดี ๆ ยังไงถึงเป็นอย่างงี้ไปได้

      “เป็นอะไรอยู่ ๆ มาปิดโทรทัศน์พี่เนี่ย”

      ไม่มีคำตอบ นอกจากลมผ่านจมูกที่ยังดังฟึดฟัด

      “พี่ปืนไม่สนใจผมเลย”

      “อ้าว!”

      “ผมอุตส่าห์เปิดโอกาสให้พี่สองคนคุยกัน ยอมลงไปนั่งให้ยุงกัดอยู่ที่ล็อบบี้นู่น”

   อ้าว....พี่ปืนก็นึกว่าปอกลับไปรอที่ห้อง

   “กลับขึ้นมาแทนที่พี่ปืนจะสนใจผมมั่ง ก็เอาแต่ดูโทรทัศน์ ทำไมอ่ะ มีอะไรน่าดูนักเหรอ ไอ้ละครแย่งผู้ชายเนี่ย

รู้งี้ผมไปหลับไปนอนซะนานแล้ว ไม่มานั่งถ่างตาเป็นห่วงอยู่อย่างงี้หรอก”

      “ใจเย็น ๆ สิปอ เป็นอะไรอ่ะ เมื่อกี้ปอถามมาพี่ก็ตอบดี ๆ แล้วพี่ก็เห็นว่ามันดึกแล้วเลยให้ไปนอน

ไม่ได้ไล่ซะหน่อย มีอะไรก็ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา”

      ปืนค่อย ๆปลอบอย่างใจเย็น เพราะปอดูจะฉุนเฉียวอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป เขาก็ว่าได้ตอบคำถามไปทุกคำถามแล้ว

จะว่าไปก็ใช่ว่าจะมีสาระอะราสักเท่าไรนัก ส่วนละครที่ว่าน่ะ ปืนก็แทบจะไม่ได้ดูหรอก

ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีดาราคนไหนเล่นมั่ง ในหัวเขามีแต่แผนการณ์ที่จะเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกของปอ

ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเลย แต่ตอนนี้คงต้องปลอบให้ปอหายโมโหซะก่อน....มั้ง

      “แล้วจะให้พี่ทำยังไง ไหนลองบอกมาซิ จะได้ทำให้ถูกใจ”

  ปอยังนิ่งเฉยแต่ตาแดง ๆ แล้วน้ำที่คลอ ๆอยู่ก็หยดแหมะ

   “อ้าว…อะไรอีกล่ะเนี่ย”

    ปืนดึงปอให้นั่งลงข้าง ๆ เอื้อมแขนอ้อมไหล่ปอโอบเข้ามาอิงอกตัวเอง

   “เป็นอะไรครับ พักนี้บ่อน้ำตาตื้นจริง พี่ทำอะไรไม่ถูกใจปอเหรอ”

    แทนที่ปอจะหยุดร้องไห้ กลับยิ่งไปกันใหญ่ ถึงกับสะอื้นจนไหล่ไหวสะเทือน

ปืนได้แต่ลูบเส้นผมยาวเรียบลื่นที่ถูกรวบไว้ด้วยยางเส้น....(ไม่โรแมนติกเอาซะเลย ทำไมไม่ปล่อยผมว้าปอ)

      “พี่ปืนรำคาญผมเหรอครับ”

      “ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก พี่แค่ไม่อยากเห็นปอร้องไห้”

  ....เห็นแล้วพี่ยิ่งทุกข์ใจต่างหาก

      “บอกพี่ได้รึยังว่าร้องไห้ทำไม”

       ปอส่ายหน้า แล้วก็ยังก้มงุด ๆ อยู่กับอกปืนไม่ยอมพูดจา

    ปืนได้แต่ถอนใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่รอให้ปอหยุดร้องไห้

    กว่าจะปลอบเสร็จก็ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว ไป ๆมา ๆ ปอก็ไม่ยอมกลับห้องของตัวเอง

เดือดร้อนปืนต้องนอนตัวเกร็งตลอดคืนอีกแล้ว...เฮ้อ...ทำไมมันทรมานนักว้า

        พระเจ้าคงลงโทษเขาเข้าแล้ว แต่ก่อนนี้ ปืนไม่สนหรอกว่า ผู้หญิงรึว่าผู้ชาย

สบตากันแล้วปิ๊งปั๊งก็เอาแล้ว เลี้ยวรถเข้าโรงแรมได้เลย เรียกว่าไม่เคยอดอยาก

      แต่ดูเขาตอนนี้สิ คนที่รักมานอนซุกอยู่ข้าง ๆ แท้ ๆ แต่ไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้

นึกจะจูบจะกอดก็ต้องหาเหตุผลมาระงับใจตัวเอง เพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ปอ

ไหนจะต้องระวังอาการไม่ให้ปอรู้ความในใจอีก เวรกรรมอะไรอย่างนี้หนอ



      ปอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารง่าย ๆ ใส่เป้ให้พร้อมออกเดินทางก่อนหกโมงเช้า

ใคร ๆ อาจจะชอบไปทะเลกันตอนสาย ๆ กะไปกินเที่ยงริมทะเล ไม่ก็ไปบ่าย ๆ นั่งเล่นจนถึงเย็นย่ำค่ำมืดถึงค่อยกลับบ้าน

แต่ปอนึกมานานแล้วว่าถ้าไปทะเล เขาอยากไปตอนเช้ามืด รอแสงแรกของวัน

เพราะที่นี่พระอาทิตย์ขึ้นจากทะเล เวลาที่แสงตะวันสาดจับระลอกคลื่นคงจะระยิบระยับน่าดู

แต่ไม่มีรถส่วนตัวก็คงทำฝันให้เป็นจริงยากหน่อย เพราะกว่าจะออกจากบ้าน ไหนจะเรียกรถ

ถึงจะมีคิวรถโดยสารที่ออกเวลาเช้ามืด พี่ปืนก็ไม่ไปอยู่ดี ห่วงอยู่นั่นแหละ

ไอ้ความปลอดภัยน่ะ หน้าตามันเป็นยังไงก็ไม่รู้

         แต่ปอก็เชื่อพี่ปืน ไม่ว่าอะไรที่พี่ปืนบอก เขาไม่เคยขัดมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าจะมีใครที่เขาเชื่อมากกว่าก็คงเป็นป๊ากับแม่ละมั้ง

         วันนี้อาจจะยังไม่ได้นั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า แต่ก็เคยคิดว่าคงมีสักวันที่เขาจะได้นั่งรอพร้อม ๆ ใครคนหนึ่งที่เขารัก

เวลานั้นคงเป็นช่วงเวลาของความสุขที่คงไม่มีวันลืมได้เลย แต่ใครล่ะที่จะมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน

ในใจน่ะมีคำตอบอยู่แล้วชัดเจน  แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ คน ๆ นั้นไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา

ดังนั้นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ฝันไว้คงไม่มีวันเป็นจริง


      ทะเลเรียบ ๆ ตอนเช้าก็น่าดูไปอีกแบบ คลื่นลมสงบ อารมณ์ก็พลอยสงบตามไปด้วย

สองสามวันมานี้ ปอรู้สึกตัวเองเลยว่า หงุดหงิดง่าย แต่พยายามไม่แสดงออก อย่างน้อยพี่ปืนต้องไม่รู้ว่าเขาหงุดหงิด

ไม่งั้นก็คงเดาได้ว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องอะไร เพราะช่วงนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน หรือติดต่อใคร

คอร์สติวก็หยุดหมดแล้ว ที่เขาบอกพี่ปืนไปว่าเขาจะพยายามตัดใจให้ได้ก็จะไม่น่าเชื่อถือ

ถ้าเขาเผลอแสดงอะไรออกไปให้จับได้ พี่ปืนอาจจะทำตัวห่างเหินเขาไปอีกก็เป็นได้

เขายอมรับได้ถ้าพี่ปืนจะไปรักใครก็ตาม แต่คงทำใจไม่ได้เลย

ถ้าพี่ปืนจะถอยห่างจากชีวิตเขาออกไปทุกที

จนสุดท้ายไม่เหลือความสัมพันธ์ใด ๆ


       ทรายเปียกอัดตัวกันแน่น แต่ก็ยังนุ่ม ไอเย็นจากเนื้อทรายแทรกซึมผ่านฝ่าเท้าขึ้นมาสู่ร่างกายทำให้รู้สึกสดชื่นอย่าง

ประหลาด คลื่นลูกเล็ก ๆ พลิ้วกระทบหาด ซึมลงผืนทรายแล้วม้วนลอดใต้คลื่นลูกใหม่ลงทะเล

เป็นอย่างนี้ระลอกแล้ว ระลอกเล่า ปอนั่งมองลีลาของมันอย่างไม่รู้เบื่อ ทั้งที่แดดเริ่มจะแรงขึ้นทุกทีจนรู้สึกแสบผิวนิด ๆ

       พี่ปืนยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นสนห่างออกไป แต่ปอว่านั่งตรงนั้นคงจะได้ยินเสียงคลื่นไม่ชัดเท่าไร

ก็เลยจัดของกินให้พี่ปืนไว้ตรงนั้นให้เสร็จก่อน ส่วนตัวเองก็ถือนมกล่องเดียว เดินมานั่งบนทรายชื้น ๆ

ที่ผิวด้านบนโดนแดดจนแห้งเป็นผงละเอียดหมดแล้ว

        ที่บ้านปอเป็นถิ่นภูเขา ระหว่างทางก็ผ่านเทือกเขาแทบจะตลอดทาง ในเมืองก็ยังเป็นพื้นที่สูงแบบภูเขา

เป็นจังหวัดเดียวของภาคที่ไม่มีพื้นที่ส่วนไหนติดทะเลเลย เขาก็ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับทะเล

เพียงแต่ในยามที่จิตใจว้าวุ่น แม้จะเฝ้ามองภูเขาแล้วก็ยังไม่สงบลงได้ ธรรมชาติที่สงบสงัด

น่าจะบรรเทาอาการที่เขากำลังเป็นอยู่ได้ ดีกว่าจะนั่งหมกตัวอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปอเลือกที่จะมาทะเลในยามที่ร้างผู้คน


      ปอเหลียวหลังไปมองอีกที ก็พบว่าปืนไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวซะแล้ว

ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้กำลังพูดคุยด้วยท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม หน้าตายิ้มยั่วซะจนน่าหมั่นไส้

อารมณ์ที่เพิ่งจะสงบ เริ่มจะพลิ้วเป็นระลอกคลื่นทีละน้อย

อุตส่าห์เตรียมตัวมาสงบจิตสงบใจถึงที่นี่ ยังมีมารมาผจญจนได้สิน่า






หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 19:29:39



      ทรายสีตุ่น ๆไม่เนียนละเอียด แถมยังคลุกเคล้าไปด้วยเปลือกหอยแหลก ๆเต็มไปหมด

      ทะเลวันนี้ก็สีขุ่น...อ้อ....คงเพราะฟ้าไม่ใส มีแต่เมฆแผ่นขาวทึบแผ่สยายซะเต็มท้องฟ้า

แดดก็เริ่มแรงซะจนสะท้อนน้ำเป็นเกล็ดระยิบระยับแยงตาจนพร่าไปหมดแล้ว

      ปูลมตัวเล็ก ๆ วิ่งกันให้พล่าน อย่างไม่รู้ทิศทาง ดูแล้วกึ่งรำคาญกึ่งลุ้นว่ามันจะหารูของมันเจอมั้ย

พอคลื่นซัดฝั่งทีนึง เจ้าปูพวกนั้นมุดหายลงไปในทรายเปียกฉ่ำน้ำอย่างว่องไว

      จบลงไปอีกฉาก

      ปอเหลียวซ้ายแลขวาหาที่พักสายตา ก็เห็นมีแต่เกาะเล็กเกาะน้อยกลางทะเลที่ไร้ชีวิตชีวา ชวนให้เบื่อหน่าย

      เขาหยิบเศษไม้ที่ถูกคลื่นซัดมาทิ้งเกลื่อนหาด จรดปลายด้านเรียวลากไปบนเนื้อทรายเปียกที่เบียดตัวกันแน่น

รอยทรายแยกเป็นทางไปตามแนวที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นรูปเป็นร่าง แต่พอหยุดสายตามองถึงได้รู้ว่า

มันเป็นลายเส้นที่ต่อกันเป็นรูปปืนอย่างง่าย ๆ ราวกับภาพวาดของเด็กชวนให้แปลกใจว่า

ในหัวของเขาคิดถึงเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวจริง ๆเหรอเนี่ย

      ปออกแรงเหวี่ยงเศษไม้ออกไปในทะเล เหมือนจะให้สิ่งที่ออกมาจากความคิดโดยไม่รู้ตัว

กระเด็นหวือตามไม้นั้นไปด้วย

      “ปอ กลับเถอะ แดดชักจะแรงแล้ว”

      เสียงคนที่ชื่อเดียวกับรูปที่เพิ่งวาดลงบนทราย ตะโกนมาจากด้านหลัง

แต่ประโยคถัดมานี่สิที่ปอไม่นึกอยากจะเดินกลับไปหาเลยให้ตาย

      “มารู้จักพี่นิดหน่อยนี่มา เดี๋ยวพี่เค้าจะพาเราไปกินแต่เตี้ยมเจ้าอร่อยกัน”

      บอกตัวเองว่าต่อให้เลิศรสขนาดไหน อารมณ์นี้ปอไม่นึกอยากชิมเลยแม้แต่นิดเดียว

ถ้ารู้ว่ามาพักสมองเช้านี้จะเจอมลพิษชนิดไหน ปอขอนอนซุกผ้าห่มอยู่กับห้องดีกว่า



     หลังจากครั้งแรกที่ปอเห็นพี่ปืนกับผู้หญิงคนนั้นที่ริมทะเล เขาก็ยังได้เจออีกบ้าง 2-3 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึงเดือน

ไปกินข้าวด้วยกันสองหน กับที่เจอกันโดยบังเอิญที่ไหนสักแห่ง แต่ระหว่างสองคนนั้น

ปอไม่รู้ว่าเคยนัดเจอกันตามลำพังบ้างรึเปล่า การพบปะกันที่จัดว่าถี่พอสมควร ยังไม่ได้ทำให้ปอปักใจว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน

ถึงกระนั้นมันก็รบกวนจิตใจเขาไม่น้อย  ปัดยังไงก็ไม่พ้นไปจากห้วงความคิดซะที

เคยคิดที่จะหลบลี้หนีหน้า เผื่อว่าการที่ไม่เห็นกันคงจะทำให้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วปอก็แพ้ใจตัวเอง เพราะเขาเคยลองมาแล้วครั้งหนึ่งว่า

ยิ่งเขาพาตัวเองห่างออกมาเท่าไร   เขากลับยิ่งทุรนทุรายอยากจะเจอ

แล้วถ้ายังไม่ได้เจอ...โลกทั้งใบก็แทบจะกลายเป็นนรกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ

      เขาจะต้องพบเจอกับความรู้สึกทรมานแบบนี้ไปถึงเมื่อไร ตัดใจรึก็แสนจะยากเย็น

      จะมีใครบ้างมั้ยที่จะช่วยให้เขาพ้นไปจากแรงกดดันอันมหาศาลระหว่างความรู้สึกอยากรัก และอยากเลิกรักนี้ซะที

      ปอทนเห็นพี่ปืนเปลี่ยนผู้หญิงคนแล้วคนเล่าในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ตั้งแต่เขาเพิ่งจะเตรียมตัวเอ็นทรานซ์

จนตอนนี้ก็เปิดเทอมแล้ว ได้แต่หวังว่า เพื่อนใหม่และสังคมใหม่ในมหาวิทยาลัยจะช่วยให้เขามีกิจกรรม

ที่ทำให้หายฟุ้งซ่านไปได้บ้าง

         นึกดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาผ่านช่วงเวลาของการสอบแข่งขันมาได้ยังไง ทั้งที่น่าจะเป็นช่วงที่ทารุณที่สุดด้วยซ้ำ

ด้วยความเป็นห่วงของพี่ปืนที่มีต่อปอ ทำให้ต้องแวะมาหาที่ห้องนี้บ่อย ๆ มาทีไรก็จะมีของกินของใช้ติดมือมาฝาก

และที่ขาดไม่ได้ก็ผู้หญิงนี่แหละ ไม่เคยมีครั้งไหนที่พี่ปืนแวะมาโดยไม่หนีบผู้หญิงมาด้วย

แม้กระทั่งเวลาเช้าสุด ๆที่ใคร ๆ เพิ่งจะตื่นนอน พี่ปืนก็ยังแวะเอาอาหารเช้ามาฝาก

เขาไม่อยากจะรับรู้แล้วว่า ทั้งคู่เพิ่งจะกลับเข้ามา เพื่อที่จะทำอะไร ๆกันตลอดเช้า

หรือว่ากำลังจะออกไปหลังจากมีอะไร ๆ กันมาทั้งคืน

ที่ไม่อยากคิดเพราะพอเริ่มคิด ภาพในหัวมันก็เริ่มฉายออกมาโดยอัตโนมัติ

ช่องว่างในอกมันก็เริ่มบีบรัดหัวใจจนเจ็บขึ้นทุกที ๆ เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกเจ็บแบบนั้นมันช่างทรมานเสียจนต้องปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมาอย่างหมดอาย

จนสุดท้ายปอก็เรียนรู้ที่จะหยุดภาพความคิดอันร้ายกาจนั้นด้วยการหันมาทุ่มเทเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบให้เต็มที่

ผลของความพยายามทำให้เขาสอบได้คณะที่ตั้งใจเลือกเพียงคณะเดียวที่เป็นการกระทำเพื่อเพิ่มแรงกดดันให้ตัวเองว่า

เขาจะพลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาดก็จะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านซึ่งก็แน่ล่ะ ที่เขาคงจะหมดโอกาสได้อยู่ใกล้พี่ปืนอีก

      ทั้งที่ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเจ็บ แต่ปอก็บอกให้ตัวเองเลิกรักพี่ปืนไม่ได้ รักแล้วก็ต้องรักอยู่อย่างนั้นไม่ว่าพี่ปืนจะเป็นยังไง

ปอก็ยังคงรักอย่างไม่มีเงื่อนไข หัวใจของเขาพร้อมจะแหลกไปกับการกระทำของพี่ปืน

ขอให้ได้รัก ได้อยู่ใกล้ ๆ ดีกว่าที่จะไม่ได้เห็นกันอีกเลย



      ปอเป็นเด็กปีหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ คนที่ไม่พักในหอของมหาวิทยาลัย

เนื่องจากจำนวนห้องพักที่จำกัด ซึ่งโดยสิทธิ์ของเด็กต่างจังหวัดเขาสามารถทำเรื่องขอหอพักได้ตั้งแต่วันรายงานตัวแล้ว

แต่ปอก็ไม่ได้ทำเพราะเขาเบื่อกฎเกณฑ์ของหอพักก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง ถ้าอยู่หอใน

เขาคงจะไม่ค่อยได้พบพี่ปืนบ่อยนัก อย่างดีก็คงได้เจอแค่เสาร์อาทิตย์ ซึ่งพี่ปืนคงไม่ได้อยู่คนเดียวแน่

แล้วเขาจะแทรกตัวเข้าไปตอนไหนได้ล่ะ

        ถึงปอจะค่อย ๆ ถอยห่างจากพี่ปืนตั้งแต่ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาเป็นแขกประจำห้อง

แต่ที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอก็คือเรื่องดูแลเสื้อผ้าทั้งของเขาและของเจ้าของห้อง

เพราะยังไง ๆ ปอก็อยากเป็นคนดูแลมันด้วยตัวเองอยู่

    ทีแรกเขาบอกว่าขอเอาเครื่องซักผ้าไปไว้ที่ห้องของตัวเอง จะได้ไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของพี่ปืน

    (ที่อาจจะมีใครอยู่เป็นเพื่อนแล้ว)

     แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ เพราะกลัวว่าปอจะต้องรับภาระเรื่องค่าน้ำค่าไฟ ทั้งที่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรกะอีค่าไฟ

ที่มันจะเพิ่มอีกไม่กี่ร้อยบาท แต่ปอก็ตามใจพี่ปืนเพราะส่วนลึกในใจแล้ว เขาหวังเพียงแค่ให้ได้วนเวียนอยู่ใกล้พี่ปืนเท่านั้นเอง

ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่า ยิ่งใกล้ก็คงยิ่งเจ็บ

   ...เจ็บลึก เจ็บนาน เจ็บจนเกินเจ็บ และไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะหลุดพ้นจากความเจ็บนี้ได้ซะที

    แต่ไม่แน่นะ...สักวันปอคงเจ็บจนชินชา จนไม่รู้จักอีกแล้วว่าความเจ็บมันเป็นเช่นไร



      เขามาแต่เช้าเหมือนทุกครั้ง ซักผ้าเสร็จเร็วเท่าไร เสื้อผ้าก็ได้รับแดดเร็วขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ปอไม่เคยบอกพี่ปืนเวลาที่ถูกชมว่า ผ้าที่เขาซักให้จะหอมกรุ่นกว่าผ้าที่จ้างซักตามร้าน

ปอได้แต่ยิ้มพยักหน้ารับคำ พี่ปืนก็มักจะเออออเอาเองว่า เพราะเราใช้น้ำยาที่มีคุณภาพดี เลือกกลิ่นที่เราชอบ

ปอก็ไม่เคยเฉลยว่า ผ้าที่ตากแดดจนแห้งสนิทต่างหาก ที่ทำให้ผ้าหอมไม่มีกลิ่นเหม็นอับ

แต่ยกความดีให้น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่มไปเถอะ ยังไงก็ได้  ขอให้พี่ปืนพอใจ

และปอก็ยังได้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุข แค่นี่ก็จบ


      พี่ปืนออกไปทำงานตามเวลาเป๊ะ และปอก็จงใจที่จะมาในเวลาที่เจ้าของห้องออกไปแล้ว

มาถึงเขาก็ลงมือทำงานไปเรื่อย ๆ เปิดเพลงฟังเบา ๆ ระหว่างที่เครื่องกำลังปั่นผ้าไป ปอก็เข้าครัวเตรียมอาหารอย่างเคย

แต่คงเตรียมไว้สำหรับมื้อเย็นเท่านั้น เพราะกลางวันพี่ปืนไม่เคยกลับมากินข้าวที่ห้อง

การเดินทางที่ไม่มีรถส่วนตัวเป็นพาหนะค่อนข้างลำบากในการทำเวลา โดยเฉพาะเวลาพักเที่ยงแค่หนึ่งชั่วโมงมันก็น้อยไป


      ทำงานเพลินจนลืมเวลาหันไปมองนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะเที่ยง คงเป็นเพราะแดดที่แผดเปรี้ยงอยู่นอกหน้าต่าง

ทำให้รู้สึกตัวว่าวันนี้อากาศออกจะร้อนกว่าธรรมดา แดดแรงแบบนี้ เสื้อผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่ตอนสายป่านนี้คงจะแห้งหมดแล้ว

      ปอกำลังจะเดินไปเปิดประตูเพื่อจะขึ้นไปเก็บผ้าที่ตากไว้บนดาดฟ้า ประตูก็เปิดผลัวะ เข้ามาก่อน

      “อ้าว! พี่ปืน ทำไมมาป่านนี้อ่ะ มีอะไรรึป่าวครับ แล้วนี่พี่ปืนกินข้าวรึยัง”

      “นึกอยู่เหมือนกันว่าปอน่าจะอยู่ห้องพี่”

      พี่ปืนยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้ายิ้มกริ่ม ดวงตาสดใส เห็นแล้วอยากจะกระโดดกอดซะให้หนำใจ

      “มีอะไรกะผมเหรอ”

      “ไปกินข้าวกันป่ะ”

      ปืนจ้องหน้าเจ้าคนร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้า เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

      “ทำไม ยืนงงอยู่ได้ ไปกินข้าวกัน”

      “ไม่ทำงานเหรอครับ”

      “กินเสร็จก็กลับไปทำ”

      ปอเหลือบดูนาฬิกาที่ผนัง แล้วบ่นอุบ แต่ฟังก็รู้ว่าแฝงความห่วงใย

      “เดี๋ยวพี่ปืนเข้างานสาย”

      “ก็ถ้ามัวแต่โอ้เอ้ ก็ได้สายจริง ๆ ล่ะทีนี้”

      “ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย”

      ปอก้มมองสารรูปตัวเองที่สวมเสื้อยืดคอกลมสีอ่อนกับกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายเสมอเข่าสีตุ่น ๆ

ปืนมองตามไปก็รู้หรอกว่า ปอคงไม่อยากเดินเคียงกับเขา ที่สวมชุดทำงานเรียบร้อย

ถึงจะไม่ได้ผูกเนคไท เพราะออกมาข้างนอกอย่างนี้ทั้งร้อนทั้งอึดอัด แต่ก็ดูมีมาด และเท่สะดุดตาไม่ใช่น้อย (คิดเอาเอง)

      “ไปเหอะน่า แค่ไปกินข้าวแถว ๆ นี้เดี๋ยวเดียวไม่เสียเวลาหรอก เสร็จแล้วพี่มาส่ง แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอ”

      “ผมกำลังจะไปเก็บผ้าบนดาดฟ้า เสร็จแล้วก็มากินข้าว”

      “แล้วทำอะไรกินน่ะ”

      “ยังเลยครับ ผมเตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว มีหมูหมักกระเทียมพริกไทยอยู่หน่อยนึงก็ว่าจะทอดกินกับข้าว”

      “งั้นก็ไปกัน มื้อนี้ไม่ต้องทำ”

      ปืนดึงมือปอลากออกจากห้อง ก่อนจะปิดประตูตามหลังให้เรียบร้อย

      “เดี๋ยวซี่ ผมยังไม่ใส่รองเท้าเลย”

      ปืนใจร้อนเกินไปหน่อย เจ้าปอก็แทบคว่ำคะมำลงไปเพราะมัวแต่คีบอีแตะ

ในขณะที่ปืนก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาออกเดินโดยไม่เหลียวดูข้างหลัง

      “แวะเปลี่ยนรองเท้าก่อนนะครับ”

      “ไม่ต้อง ไปกินข้าวที่ร้านใกล้ ๆ นี่เอง ไม่ได้พาไปช็อปปิ้งในห้าง”

      “แล้วจะรีบไปไหนนักหนาเนี่ย ดูสภาพผมสิพี่ปืนก็”

      “เดี๋ยวพี่เข้างานบ่ายไม่ทันไง”

      ไอ้ที่จะเดินลงมาดี ๆ ก็กลายเป็นทั้งลากทั้งจูง สภาพที่คนเห็นก็ยังกะคุณผู้ชายกับเด็กรับใช้ก็ไม่ปาน

      “ขึ้นรถ”

      คำสั่งของพี่ปืนไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะคนถูกออกคำสั่งกำลังยืนงง

มองตรงไปก็เห็นรถโฟร์วีลสีทรายจอดนิ่งสนิท นอกจากนี้ก็มีรถเข็นขายผลไม้อีกคัน ซึ่งไม่น่าจะขึ้นได้

      พี่ปืนเปิดประตูด้านผู้โดยสารรอให้ ‘เจ้าชายปอ’ เสด็จขึ้นรถทรงด้วยอาการงง ๆ

ใบหน้าที่ยิ้มก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าปอมองไปทั่วรถ เหลียวหน้า เหลียวหลัง

      “รถใครครับ”

      “ของพี่”

      “อย่ามาอำ พี่ปืนเอารถใครมา....ผมว่า...มันดูคุ้น ๆ”

      “เจ้าของเค้าไม่ใช้แล้ว เค้ายกให้”

      “หือ”

      ปืนเคลื่อนรถออกอย่างนิ่มนวล เลี้ยวขึ้นถนนใหญ่ทิศทางที่ออกไปนอกเมือง

      “ไปกินที่แหลมดีกว่า”

      คนนั่งหลังพวงมาลัย รำพึงเบา ๆ

      “อะไรน้า....จะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็กลับมาทำงานไม่ทันหรอก”

      ปอโวยวายเสียงดัง ก็ริมทะเลน่ะ มันไม่ไกลก็จริง แต่แค่ชั่วโมงเดียว ไปกลับก็คงไม่มีทางทันหรอก ไหนจะกินข้าวกินปลาอีกล่ะ

      “ไม่ทันก็ไม่ทำไง กินก่อน พี่หิวจะตายชัก ปออ่ะ ไม่หิวรึไง แล้วนี่เมื่อเช้ามัวแต่ทำงานไม่ได้กินอะไรอีกเลยใช่มั้ย”

      “ผมกินนมไปกล่องนึง”

      “ให้มันได้ยังงี้สิ ทีกับพี่นะ บังคับให้กินสารพัด แต่ตัวเองผอมจนหนังจะติดกระดูกอยู่แล้วเห็นป่าว

กลับบ้านเมื่อไหร่แม่คงดุพี่ว่าไม่ดูแลปอ”

      “แม่เคยดุรึไง”

      ปอค้อนควับ ปืนอดจะเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้

     จริงของปอ แม่ของปอไม่เคยดุหรอก ออกจะเกรงใจเสียด้วยซ้ำ นี่ถ้าแม่รู้ว่าเขาต่างหากที่มีปอคอยดูแล

แม่จะว่ายังไง ทั้งเสื้อผ้า ความเป็นอยู่ ห้องพักเรียบร้อยน่าอยู่ก็เพราะปอคอยจัดให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ

ทั้งที่ไปเรียนแทบทุกวัน แต่ช่วงไหนที่ไม่มีชั่วโมงเรียน ปอก็จะกลับมาทำงานบ้าน ทั้งห้องตัวเอง และห้องของปืน

ห้องปอไม่เคยรกเพราะเจ้าของห้องอยู่อย่างมีระเบียบ ข้าวของเก็บจัดให้เป็นที่เป็นทางไม่เคยจะรกตา

มาเหนื่อยเอากับห้องของปืนที่ร้อยวันพันปีถึงจะได้จัดอะไรต่ออะไรให้เข้าที่เข้าทาง

แต่ก่อนนี้ก็จ้างแม่บ้านประจำอพาร์ทเม้นท์ทำความสะอาดเสียอาทิตย์ละครั้ง

แต่เมื่อมีปอมาดูแลให้ แม่บ้านก็ไม่เคยได้รับค่าจ้างจากปืนอีกเลย จนเดี๋ยวนี้ปืนแทบจะลืมชื่อแกไปแล้ว

      ทะเล...ทะเล...ทะเล

      เที่ยง ๆ แดดจ้า ฟ้าใส ทะเลก็เป็นสีครามจริง ๆ แต่มองฝ่าแดดออกไปแล้วแสบตาน่าดู

แว่นกันแดดเลนส์สีชมพูอมม่วงถูกยื่นส่งมาให้ทันที ปอรับมาสวมโดยไม่คัดค้านซักคำ

แล้วก็ต้องแปลกใจว่า ฟ้าที่เห็นเป็นสีครามเมื่อกี้ ดูสดตาขึ้นกว่าเดิมมากมาย

      “ทะเลสีสวยใช่มั้ย”

      “ครับแปลกจัง”

      “พี่ก็ว่าแปลกดี ทีแรกพี่ลองใส่ของเพื่อนเห็นว่าสีสวยดี สีนี้ยังไม่เห็นวางขายนะต้องสั่ง”

      “แพงมั้ยครับ”

      ปอถอดออกมาพลิกดูยี่ห้อ R…

      “เกือบหมื่น”

      “โห แพงอ่ะพี่ปืน ซื้อมาได้ไงอ่ะอีแค่แว่นกันแดด”

      ปอทำหน้าทำตางกจนดูตลกทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตัวเองก็ใช้นาฬิกาเรือนละ"สามหมื่น”

      “ก็คงแบบเดียวกับนาฬิกาเรือนละสามหมื่นของปอละมั้ง”

      ปอหัวเราะก๊ากขำมุกของพี่ปืน เพราะนึกถึงวันที่เขาให้นาฬิกาเป็นที่ระลึกแล้วพี่ปืนไม่กล้ารับ หาว่าแพงเกินไป

      “แล้วพี่ปืนได้มาราคาเท่าไหร่ล่ะครับ”

      “สองพันห้า”

      “ก็ยังแพงอยู่ดี”

      “ไม่หรอก ถ้าเทียบกับดวงตาที่ทั้งชีวิตคนเรามีได้แค่คู่เดียว หมดแล้วหมดเลย ไม่มีสแปร์

ถ้าจ่ายตังค์แค่ ร้อยเก้าเก้า แล้วได้แว่นมาทำร้ายดวงตา พี่ว่าปล่อยให้มันบอดเพราะดูแสงอาทิตย์ไปเถอะ

อย่างน้อยจะได้บอกตัวเองว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้เห็นดวงอาทิตย์ด้วยตาตัวเองแล้ว”

      “พูดอะไรดี ๆ กับเค้าก็เป็นเหมือนกันนะเนี่ย”

      “เดี๋ยวเถอะเจ้านี่ เก่งใหญ่แล้วนะพักนี้ กล้าว่าพี่เหรอ”

      “โอ๊ย! เจ็บนะ พี่ปืนนี่ โขกลงมาได้ หัวคนนะ”

      “ก็เออสิ ถ้ายังกล้าว่าพี่อีก จะโขกอีก เอาให้เจ็บกว่านี้อีก”

      ปืนขู่พร้อมเสียงหัวเราะ บรรยากาศวันนี้ช่างต่างกับวันก่อนโน้นที่ปอมานั่งเล่นริมหาดยามเช้า

วันที่ใครก็ไม่รู้มานั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกกับพี่ปืน และนับจากวันนั้น พี่ปืนก็มีแต่ผู้หญิงเข้ามาวนเวียนในชีวิตมิได้ขาด

แต่วันนี้มีแค่เขากับพี่ปืนสองคนเท่านั้น จะเก็บเกี่ยวความสุขนับจากวินาทีเป็นต้นไป

เผื่อว่าเมื่อกลับไปถึงห้อง จะได้มีเรื่องราวให้นึกถึงด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขบ้าง




หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 19:35:14




       พี่ปืนขยันสร้างความประหลาดใจให้ปออยู่เรื่อย

       เมื่อเดือนที่แล้วก็ซื้อรถ ถึงจะเป็นรถมือสอง แต่สภาพรถดีมาก เพราะเจ้าของไม่ค่อยได้ใช้งาน

ขับไปทำงานจอดทิ้งไว้ทั้งวันแล้วก็ขับกลับบ้าน วันหยุดถ้าไม่ได้ออกไปไหนไกล ๆ ก็ใช้รถแฟน

       ก็รถพี่เอกนั่นแหละ ตอนที่พี่เอกขอย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อดูแลคุณพ่อคุณแม่ รถคันนี้ก็เลยไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

เพราะบ้านอยู่ติดกับที่ทำงานแบบประตูถัดไปเลยทีเดียว แถมที่บ้านก็ยังมีรถใช้อยู่แล้ว ก็เลยปล่อยให้ปืนในราคาถูกแสนถูก

      “พี่เอกบอกว่ายกให้ฟรีพี่ก็คงไม่รับ เลยจำใจขายให้ถูก ๆ”

       ก่อนจะซื้อพี่ปืนขับไปให้เพื่อนที่ขายรถมือสองตีราคาให้ พอรู้ว่าสภาพนี้ขายห้าหกแสนเต็นท์ไหน ๆ ก็รีบตะครุบ

พี่ปืนรีบทำเรื่องขอกู้สวัสดิการทันที แต่ไป ๆ มา ๆ พี่เอกกลับโอนเงินคืนเข้าบัญชีพี่ปืนทันทีครึ่งหนึ่ง

ตอนนี้ก็เลยมีเงินเหลือพอที่จะสร้างเรื่องประหลาดใจให้ปออีกเรื่อง


       ทาวน์เฮาส์สองชั้นบนเนื้อที่ 50 ตารางวา ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่ก็พอมองเห็นว่าน่าอยู่

เพราะเพดานไม่เตี้ยเหมือนทาวน์เฮาส์ทั่วไป ตัวบ้านเป็นบ้านแฝด มีพื้นที่ว่างให้ทำอะไรได้อีกเยอะแยะ

ปอเล็งไว้แล้วว่าจะขุดสระปลูกบัว แต่พอพูดขึ้นมาก็มีคนขัดคอ

      “บ้านเราหันหน้าไปทางทิศใต้ บัวจะไม่ได้แดดแล้วเมื่อไหร่จะออกดอก”

      ปอเปลี่ยนใจเป็นปลูกหญ้าเขียว ๆ ให้พรืดไปเลย เอาไว้ปูเสื่อนั่งเล่น

      “พี่ว่าวางโต๊ะเก้าอี้ดีกว่า รับแขกก็ได้ ไม่ต้องนั่งอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”

      โอเค....ปอขอทำซุ้มปลูกไม้เลื้อยกันแดดแล้วกัน จะได้ดูร่มรื่น

      “ต้องคอยตัดแต่งดูแล ไม่งั้นก็จะรก ไม่สวย พี่ว่าทำเป็นศาลาเล็ก ๆ ดีกว่า”

      “ที่เท่าแมวดิ้นตายเนี่ยนะพี่ปืน ถ้าทำศาลาก็ต้องใช้เนื้อที่กว้างกว่านี้ ไม่งั้นหลังคาศาลาก็ชนกับกำแพงบ้านพอดี

เดินสองก้าวก็ถึงชายคาบ้านแล้วจะทำศาลาทำไมอีก นั่งใต้ชายคาไปเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ

แล้วนี่น่ะ  มันเรื่องอะไรพี่ปืนถึงได้คอยขัดคอผมทุกเรื่อง ไหนว่าชวนผมอยู่ด้วยอยากทำไรก็ได้ไง

แล้วพอผมออกความเห็น พี่ปืนก็ไม่ให้ทำ ไม่เอาแล้ว ผมกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์อย่างเดิมดีกว่า”

      นั่นเป็นการสนทนาเมื่อเช้า ที่ปอไปดูบ้านกับพี่ปืน

      โครงการบ้านของเจ้าของคนเดิม แต่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลตัวเมืองเท่าโครงการที่แล้วที่เคยไปดูกัน

แต่หลังนี้ไม่ใหญ่โตมากมายนัก เพราะสร้างบนที่ดินแปลงเล็กกว่า แต่ราคาที่ดินแพงกว่าโครงการที่แล้วเท่าตัว

เพราะเป็นตัวเมืองรอบนอก ถึงจะไม่ติดถนนใหญ่ แต่ก็อยู่ต้น ๆ ซอย ไปมาสะดวก ถนนก็กว้าง

ทั้งโครงการมีแค่ 10 หลัง ปืนจองเป็นรายแรกก็เลยได้บ้านหลังริม ซึ่งที่ดินที่ติดต่อกันยังไม่มีสิ่งปลูกสร้าง

แต่เจ้าของคงจะมาดูแลอยู่ เพราะล้อมรั้วแล้วปลูกไม้ผลร่มรื่น

ก็เพราะอย่างนี้แหละทำให้การขุดสระบัวข้างบ้านของปอต้องยกเลิก เพราะร่มไม้บังแดดหมด


      พี่ปืนแอบไปจองบ้านตั้งแต่เมื่อไรปอก็ไม่รู้ มารู้เอาตอนที่ขึ้นโครงหลังคาแล้ว พี่ปืนถามว่าปออยากได้บ้านสีอะไร

 เขาก็ตอบไปว่าสีขาวครีมดูโปร่งโล่งสะอาด เวลาจะผ่านไปกี่ปี สีขาวครีมก็ยังร่วมสมัย ไม่เชย

ว่าแล้วก็พากันไปดูการก่อสร้าง ระหว่างที่บ้านกำลังเป็นรูปเป็นร่าง ปอก็ไม่เคยออกความเห็นว่าตัวเองต้องการอะไร

นอกจากพี่ปืนจะมาถามเป็นเรื่อง ๆไป

     จนบ้านจวนจะเสร็จ ถึงได้มาคิดกันว่าบริเวณพื้นที่ว่างที่เหลือจะทำอะไรดี ปอรู้สึกสนุกกับการจินตนาการสวนสวยข้างบ้าน

ถึงกับไปเดินดูร้านต้นไม้ในเวลาว่าง เลือกไปเลือกมาก็มาลงตัวที่สระบัว ความฝันของปออยากมีสระบัวใหญ่

ที่ปลูกบัวหลวงก้านยาว ๆ กลีบบัวบาง ๆ โดนลมพัดพลิ้วไหวไปมา ต้องแดดยามเช้า

ปอเคยดูหนังที่คู่พระคู่นางพายเรือแหวกไปตามกอบัว  แล้วก็อยากจะมีโอกาสสักครั้ง

ที่จะได้พายเรือท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้น

      แต่ตอนนี้แม้แต่สระบัวเล็ก ๆยังฝันยากเย็น เพราะบ้านน้อยหลังนิดเดียว

คงไม่สามารถประดังประเดความฝันของปอลงไปได้ทั้งหมด แล้วไหนยังจะมีคนร่วมฝันที่ขยันขัดคออยู่ทั้งคน

...คิดแล้วก็เพลียใจซะจริง ๆ

      พี่ปืนบอกว่าตั้งใจจะซื้อบ้านก่อนจะซื้อรถตั้งแต่โครงการที่แล้ว แต่ที่พลาดไปก็ดีเหมือนกันเพราะถูกใจบ้านหลังนี้มากกว่า

ความจริงปอว่าน่าจะขอบคุณพี่เอกด้วยซ้ำ ถ้าพี่เอกไม่นึกอยากซื้อบ้านอยู่ใกล้ ๆพี่ปืน ป่านนี้เราก็คงอยู่ที่นั่น

ซึ่งไกลจากตัวเมืองมากกว่านี้ เดินทางก็ลำบากกว่านี้ ต่อให้มีรถก็เหอะ แถมพี่เอกยังขายรถให้ในราคาถูกยังกะให้เปล่า

พี่เอกคงรักพี่ปืนมาก ปออยากจะรู้จังว่าพี่เต้ยรู้เรื่องระหว่างพี่เอกกับพี่ปืนแค่ไหน

      น่าสงสารพี่เอกตรงที่ทำยังไงพี่ปืนก็คงรักพี่เอกไม่ได้ ปอเข้าใจเพราะหัวอกเดียวกันกับพี่เอก ที่รักผู้ชายด้วยกัน

แต่ผู้ชายคนที่เรารักกลับไม่ได้มีหัวใจสีเดียวกัน

      ส่วนพี่เต้ยก็น่าสงสารตรงที่ พี่เอกไม่ได้รัก ที่อยู่ด้วยกันได้ก็เพราะต่างก็เติมส่วนที่ขาดให้กันและกัน

      หันมามองตัวเอง ปอไม่นึกอยากสงสารตัวเอง เพราะเขาคงไม่ใช่คนแรกที่ผิดหวังจากความรัก

ยิ่งความรักที่ไม่ธรรมดาอย่างที่ใคร ๆ เค้ามีกัน ก็ยิ่งมีคนอกหักอย่างปอล้นโลก


      ปืนปิดประตูห้องเบา ๆ ยังกับว่าถ้าเผลอทำเสียงดังขึ้นมา ปอจะแตกดังโพละ เห็นนั่งหน้ามุ่ยมาตั้งแต่ในรถแล้ว

ปกติปอจะชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง เปิดเพลงจากเครื่องเล่นคลอไปด้วย ขาไปยังดี ๆ อยู่

แต่ขากลับนี่สิ นั่งกันมาเงียบ ๆไม่อึดอัดมั่งรึไง ส่วนเขาน่ะ อึดอัดแต่ไม่กล้าพูดอะไรสักแอะ

      เผลอขัดคอไปนิดเดียวจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่จะแกล้งนะ ก็เห็นอยู่ว่า ที่ว่างข้างบ้านด้านนั้นน่ะ มันได้เงาจากต้นไม้ข้างบ้าน

ตอนเช้า ๆ แล้วยังได้เงาของตัวบ้านตอนบ่ายอีก แล้วบัวจะเอาแดดที่ไหนมาออกดอกกันเล่า ปลูกหญ้ายังดีซะกว่า

ส่วนสนามหญ้าจะปล่อยให้โล่งก็เสียดายเนื้อที่ วางเก้าอี้หมู่ซักชุด สวนก็สวยขึ้นมาได้ เอาไว้นั่งเล่นก็ได้ รับแขกก็ได้

ดีจะตาย...ปอยังไม่ถูกใจ

      แล้วจะทำจะซุ้มไปทำไม สร้างศาลากันฝนซะอีกหน่อย จะได้นั่งได้ทุกฤดู ไม่ใช่ว่าพอฝนตกก็ได้แต่นั่งมองอยู่ในบ้าน

นาน ๆ ไป เก้าอี้เหล็กก็ผุ พลาสติกก็คงกรอบ ถ้าเป็นม้าหินก็ชื้นจนขึ้นตะไคร่ ต้องออกแรงขัดอีก

      แนะให้ขนาดนี้ยังไม่ถูกใจ...เฮ้อ...ปอเอ๊ย...พี่ปืนไม่รู้จะเอาใจยังไงดีแล้ว

      เพราะสุดท้ายก็คงมีแต่ปอที่จะต้องคอยดูแลมันบ่อย ๆ พี่ปืนน่ะเหรอ นอกจากขี้เกียจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ยังไม่ค่อยจะมีเวลาอีกต่างหาก

      “วันนี้ทำอะไรกินดีอ่ะปอ”

      เงียบ

      “มีกับข้าวสดรึป่าว”

      ปืนเดินไปเปิดตู้เย็น เห็นมีผักสดสองสามอย่าง กุ้งกับหมูแล้วก็อะไรอีกไม่รู้

แต่เท่าที่เห็นก็น่าจะพอทำแกงจืดไม่ก็ผัดผักได้สักจาน นอกนั้นเขาก็นึกไม่ออกว่าจะแปรรูปอาหารสดยังไงให้กินได้

      “พี่หุงข้าวนะ เดี๋ยวปอจะได้ทำแค่กับข้าว”

      “ใครบอกว่าผมจะทำกับข้าว”

      “อ้าว....พี่ทำเป็นซะเมื่อไหร่ล่ะ รึว่าจะออกไปกินข้างนอกกัน....ก็ได้นะ”

      ปืนค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย ที่ปอเริ่มอ้าปากพูดบ้าง ไม่อยากให้ปอโกรธเลย เขาอยากเห็นใบหน้าใส ๆ

มีรอยยิ้มมากกว่าจะบูดบึ้ง

      “กินพิซซ่ามั้ย”

      คนชอบพิซซ่ายังนั่งหน้าตูมทำหูทวนลม ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ

      “สั่งมากินมั้ยล่ะ ถ้าไม่อยากออกไปล่ะก็”

      ปอลุกขึ้นเดินไปหยิบรีโมทที่โต๊ะเล็ก มากดเปิดโทรทัศน์ ไม่สนใจคำเชิญที่ปกติไม่เคยต้องถามซ้ำ

       ปืนถือเอาอาการนิ่งเฉยของปอเป็นการตอบรับ ทั้งที่พิซซ่าไม่ใช่อาหารที่ชอบกิน หรือแม้แต่จะนึกอยากกินในเวลานี้

ก็ไม่ใช่  แต่ตอนนี้ทำให้ปออารมณ์หายบูดย่อมสำคัญกว่า เพราะดูจะโกรธนานกว่าทุก ๆ ครั้ง

      ยกหูโทรศัพท์ได้ ปืนก็สั่งเมนูที่ปอชอบอย่างไม่ลังเล เพราะจำได้ขึ้นใจแล้วว่า นอกจากพิซซ่าแล้ว

จะต้องสั่งเครื่องเคียงอะไรบ้างที่ปอชอบ กี่ที ๆ ก็ไม่พ้นปีกไก่ มันฝรั่ง แล้วก็สปาเก็ตตี้สำหรับตัวเอง

ก็คงมีไอ้เจ้านี่แหละที่ปืนคุ้นรสชาติมากกว่าอย่างอื่น

      ยังไม่ทันจะวางหูได้สนิท คนที่เคยชอบพิซซ่าก็ลุกขึ้นมายกหูบ้าง ปืนหน้าเหวอเพราะปอสั่งไก่

ระหว่างที่พูดสั่งของ ลูกกะตาเขียว ๆ นั่นก็จ้องมองปืนตลอดเวลา สั่งเสร็จก็กลับไปนั่งที่เดิม

โดยมีปืนส่งสายตาตามไปอย่างมึนงง

      “สั่งมาทำไมเยอะแยะอ่ะปอ”

      ปืนเสียงอ่อยหลังจากตั้งสติได้

      “ก็ผมอยากกินไก่”

      “แล้วทำไมไม่บอกก่อนพี่จะสั่งล่ะ เมื่อกี้พี่ก็ถามแล้ว”

      “ผมตอบตอนไหนว่าจะกิน”

      “ก็...”

      เออ...ก็ใช่หรอก แต่ว่า

      “พี่เห็นปอกินทุกทีนี่นา ของชอบไม่ใช่เหรอ”

      “แต่วันนี้ผม...ไม่....อยาก....กิน”

      ปอพูดเน้นทีละคำเบา ๆ ไม่ได้ขู่ตะคอกแต่สายตาคุกคามเห็นได้ขัด

      “นี่โกรธที่พี่ไม่เห็นด้วยเรื่องจัดสวนใช่มั้ย”

      “เปล๊า”

      ปอยักไหล่ ท่าทางน่าหมั่นไส้

      “บ้านพี่ปืน ผมจะไปโกรธทำไม เมื่อเจ้าของบ้านเค้าไม่เห็นด้วย”

      “อย่าพูดอย่างนี้นะ พี่บอกกี่หนแล้วว่ามันเป็นบ้านของเราสองคน”

      “ผมไปมีสิทธิ์มีส่วนอะไรกันครับ เงินก็เงินพี่ปืน ไปตกลงซื้อกันตอนไหนผมไม่รู้ไม่เห็นด้วยซะหน่อย”

      “ไม่ประชดจะได้มั้ยเนี่ย ฮึ ปอ”

      ปอยักไหล่ เบี่ยงหน้าไปดูโทรทัศน์ ไม่สนใจปืนอีก

      ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ปอก็ยังตั้งหน้าตั้งตาดูโทรทัศน์ต่อไปโดยไม่สนใจคนร่วมห้อง

ปืนก็นั่งอยู่ที่เดิมในบรรยากาศที่เหมือนคนแปลกหน้าสองคนถูกบังคับให้อยู่ร่วมกัน

ปืนนั่งรอจนกระทั่งไก่ที่ปอสั่งมาถึงก่อน เขาเป็นคนไปเปิดประตูและเตรียมที่จะจ่ายเงิน

แต่ธนบัตรเท่าราคาไก่ถูกยื่นตัดหน้าพร้อมกับปอยื่นอีกมือมารับถุงอาหารที่สั่งเดินเข้าไปเตรียมภาชนะในครัวเล็ก

      ปืนถอยกลับมานั่งที่เดิมได้ไม่ทันไร กริ่งเรียกหน้าประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เขาเดินไปรับกล่องพิซซ่า จ่ายเงินเสร็จแล้วเอาไปวางบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตู

โลกของปืนเหลือแค่สี่คูณสี่เมตร


      ไม่เข้าใจเลยว่าปอโกรธอะไรกันนักหนา ทำไมไม่ฟังเหตุผลของพี่ปืนบ้าง

บ้านที่คิดว่าจะเป็นวิมานของเราสองคน เริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจตั้งแต่ยังไม่ย่างเท้าเข้าไปอยู่เลย

เขาอยากให้ปอหายโกรธ และก็รู้ว่าจะต้องทำยังไง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำอย่างที่ปอต้องการ

แต่พอเขารู้ว่าสุดท้ายแล้วภาระการดูแลบ้านคงตกเป็นหน้าที่ของปอ ก็เลยอยากตัดปัญหานี้เสียก่อน

ซึ่งดูเหมือนปอจะไม่เข้าใจ นั่นเพราะปอยังเด็ก การมองเห็นปัญหาที่จะเกิดในอนาคตเป็นเรื่องเหลือวิสัย

หรือถึงแม้ว่าจะพอรู้ แต่ความอยากได้อย่างที่ฝันไว้ ก็ทำให้มองข้ามปัญหานั้นไป

และพอทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ต้องการ คนที่ต้องมานั่งแก้ปัญหาก็คือผู้ใหญ่กว่าอย่างเขา

ปืนไม่ชอบเลยถ้าจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไป

ทั้งที่มองเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าโดยไม่พยายามป้องกัน


      ปืนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้อง ไม่ดังมาก

แต่คงเป็นเพราะความกังวลเรื่องปอ ทำให้ปืนรู้สึกตัวทันที

      เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟเพราะข้างนอกมืดสนิทแล้ว ก่อนจะเดินไปปลดล็อกเปิดเข้ามาแล้วยืนคาอยู่ตรงช่องประตู

      “พิซซ่าเย็นชืดหมดแล้ว ทำไมพี่ปืนไม่ออกมากินล่ะครับ”

      เห็นหน้าจ๋อย ๆของปอ ใจปืนก็อ่อนยิ่งกว่าอ่อน ไม่เคยเลยที่เค้าจะคิดเคืองโกรธปอ

แม้กระทั่งเจ้าตัวปัญหาทำท่างอนง่อดแง่ด ปืนก็พร้อมที่จะเข้าใจ ถึงเวลานี้

อะไรที่คั่งค้างในใจก่อนจะผล็อยหลับ ปืนก็ลืมมันไปหมดแล้ว

      “เมื่อกี้พี่ง่วงน่ะ เลยอยากนอน”

      ปืนโอบไหล่ปอให้ออกเดิน

      “แล้วเราอ่ะกินไก่หมดแล้วเหรอ”

      ปอส่ายหน้าน้อย ๆ จนผมที่เคลียบ่าส่ายไหวไปมา ปืนลูบหัวเบาๆ สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของเส้นผม

ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอแตะริมฝีปากลงไป

      “สั่งมาเยอะจนกินคนเดียวไม่หมดละสิ”

      “ผมเผื่อท้องไว้กินพิซซ่าพร้อมพี่ปืนตะหากเล่า”

      อย่าเลยปอ ที่แท้ก็ยังอยากจะกินของชอบ แต่ยังดื้อแพ่ง เจ้าแง่แสนงอนเอาซะจนปืนนึกเอ็นดูปนหมั่นไส้

เลยเปลี่ยนจากลูบผมเบาๆ เป็นยีหัวแทน

      “โอ๊ย! พี่ปืนอ่ะ อย่าดิ ผมยุ่งหมดแล้วอ่ะ”




       กว่าบ้านจะเสร็จสมบูรณ์จนเข้าอยู่ได้ ก็มีอันได้ถกเถียงกันเรื่องความชอบความเหมาะสม

ซึ่งกว่าจะตกลงกันได้ก็ต้องให้พอดีกับงบประมาณที่เตรียมไว้ด้วย ไหนจะวงเงินกู้สวัสดิการของปืนอีก

อย่าคิดเลยว่าจะได้เงินเป็นก้อน เพราะปืนขอกู้สร้าง ไม่ใช่กู้ซื้อ เงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างเหมา

ต้องเบิกออกมาเป็นงวดถูกต้องตามระเบียบ จนบ้านสร้างเสร็จ ถึงมาตั้งต้นคิดกันว่า

แล้วเฟอร์นิเจอร์ล่ะห้องนอนสามห้อง ยังไม่มีเตียงมีตู้เลยสักชิ้นอย่าว่าแต่ชุดรับแขกที่จะวางกลางบ้านเลย

แต่ยังไงก็ยังภูมิใจว่าบ้านทั้งหลังได้รับการตกแต่งสมบูรณ์แบบพอสมควร ด้วยน้ำพักน้ำแรงของทั้งสองคน

      และที่ปอประทับใจพี่ปืนที่สุดก็คืออ่างบัวหลวงใบใหญ่สี่ใบที่เรียงรายตามขอบสนามและทางขึ้นโรงจอดรถ

ถึงจะไม่มีสระบัวใหญ่ให้พายเรือเก็บดอกบัวเล่น แค่นี้ปอก็ยิ้มจนหน้าบานทุกครั้งที่ได้เห็นแล้ว

      ปัญหาที่ตามมาก็คืองบประมาณที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ปอพยายามไม่รบกวนพี่ปืนจนเกินความจำเป็น

ด้วยการไม่เอ่ยว่าอยากได้โน่นได้นี่ เพราะพี่ปืนจะรับไปเป็นภาระของตัวเองซะทั้งหมด

ไม่ยอมรับเงินของปอเลยซักแดงเดียว

     “บ้านโล่ง ๆ ก็ดีไปอย่างอ่ะพี่ปืน ทำความสะอาดง่าย ไม่มีซอกหลืบให้ฝุ่นเกาะ

ผมลากไม้ถูปื้ดไปปื้ดมาไม่กี่เที่ยวก็สะอาดหมดทั้งหลัง”

      ก็เป็นมุมมองในด้านดีนะ แต่คงต้องมีอย่างน้อยก็โต๊ะกินข้าวล่ะ

      “ทำยังกะไม่เคยนั่งกับพื้นหนิพี่ปืน”

      ปอแกล้งว่า เมื่อปืนบ่นว่าจะต้องซื้อโต๊ะกินข้าวสักชุด

      “ไม่กี่ตังค์หรอกน่า ดูที่มันพอใช้ได้ไปก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็ให้มันพอมีที่วางข้าวของเวลาเตรียมอาหารบ้าง”

       และแล้วโต๊ะกินข้าวที่ว่าไม่กี่ตังค์ของปืนก็ถูกสั่งมาจากร้านของลูกค้าที่ปืนรู้จักดี

เจ้าของร้านขายให้ในราคาสูงกว่าต้นทุนนิดหน่อย แต่กระนั้นเงินที่ต้องออกจากกระเป๋าไปก็เป็นเรือนหมื่น

ไม่รู้มันจะแพงไปไหนกะอีโต๊ะกินข้าว

      “ไหนว่าเอาแค่พอใช้ได้ไงอ่ะพี่ปืนอ่ะ ดูซิเสียตังค์ไปตั้งเยอะ”

      “แต่มันก็สวยใช่มั้ยล่ะ พี่ชอบ”

      “แต่มันแพง”

      “นี่พี่ก็เลือกชุดเล็กแล้วนะ แค่สี่ที่ พี่ชอบชุดหกที่มากกว่า แต่ไม่รู้จะเอามาทำไม

เพราะเราก็อยู่กันแค่นี้ อีกอย่างราคามันมากกว่านี้เท่าตัวแน่ะ”

      เมื่อมีร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ลดราคาให้เป็นพิเศษ ปืนก็ย่ามใจ สั่งทั้งตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะทำงาน มาอีกหนึ่งชุด

แถมเจ้าของร้านยังให้ผ่อนรายเดือนได้ โดยไม่ต้องผ่านเครดิตของอีอะไร หรือว่าเฟิร์สอะไร

เพราะเครดิตของพี่ปืนเหนือกว่าอยู่แล้ว (หน้าที่การงานมันค้ำคอโดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน)

      ทีแรกปืนจะสั่งมาให้ครบทั้งสามห้อง แต่ปอก็ขัดขึ้นว่า อยู่กันแค่สองคน สั่งของสำหรับสองห้องก็พอ

แต่พอเลือกของได้แล้ว คิดราคาเตรียมจ่ายเงิน ปอก็ตาโต เพราะค่าเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด (เท่าที่จำเป็นต้องใช้)

แพงกว่าไอ้โต๊ะกินข้าวไฮโซนั่นถึงสี่ห้าเท่า

      “เอาชุดเดียวก็พอเหอะพี่ปืน ผมนอนตรงไหนก็ได้ แค่ที่นอนผืนเดียวก็อยู่ได้แล้ว”

      “ไม่ได้หรอก จะนอนเข้าไปยังไงเจ็บหลังตาย ไม่ใช่นอนเล่นประเดี๋ยวประด๋าวนี่ ไม่เป็นไรหรอก

เถ้าแก่เค้าเชื่อใจให้ผ่อนตั้งปีแน่ะ แต่พี่คงผ่อนไม่ถึงปีหรอก โบนัสออกก็ค่อยเอามาโปะ

เกรงใจเค้าเหมือนกัน ดอกเบี้ยเค้าก็ไม่คิด แถมยังลดราคาให้เป็นพิเศษอีก”

      “แต่ผมนอนได้จริง ๆ นะ”

      “แล้วเสื้อผ้าล่ะจะทำไง แขวนไว้โล่ง ๆได้เหรอ ทั้งฝุ่น ทั้งดูรกตา ปอทนได้เหรอ”

ก็ปืนรู้นี่นาว่าปอน่ะเจ้าระเบียบขนาดไหน ตู้เสื้อผ้าใบเดียวเขายังพอมีเงินจ่ายหรอกน่า

      “งั้นผมขอตู้ใบเดียวนะ”

      “โต๊ะเขียนหนังสือ วางชุดคอมฯ อีกตัวแล้วกัน”

      “โอ๊ย! ไม่เอาแล้ว พี่ปืนอ่ะ จะอะไรกันมากมาย คอมเครื่องเดียววางตรงไหนก็ได้ ผมค่อยหาโต๊ะเล็ก ๆ

มาวางซักตัวแล้วนั่งเล่นกับพื้นก็ได้น่า”

      จะอนาถไปกันใหญ่แล้วปอ พี่ปืนไม่ได้แร้นแค้นขนาดนั้นนะ แต่ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมยังไง

ปอก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอม

      “พี่ปืนยังมีภาระต้องผ่อนค่าบ้านอีก เอางี้แล้วกันผมจะออกเงินค่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนของผมเอง

...อย่า ๆ ไม่ต้องมาอ้างเรื่องบ้านใคร พี่ปืนบอกผมเองว่าบ้านของเราสองคน พี่ปืนจ่ายค่าบ้านไปเป็นล้าน

ผมไม่ได้ช่วยซักบาท.......ไม่ต้องพูด!!”

    ปืนกำลังจะอ้าปากค้านว่าก็มันกู้ซื้อในนามเขา ปอก็รีบห้าม

   “ผมรู้น่าว่ามันเป็นเงื่อนไขการกู้อ่ะ ไม่ต้องย้ำ ทีนี้ในเมื่อพี่ปืนให้ผมเป็นเจ้าของร่วมพี่ปืนก็ต้องยอม

ให้ผมได้ควักกระเป๋าตัวเองมั่ง แล้วไม่ต้องมาคัดค้านนะ ไม่งั้นผมจะกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์ตามเดิม”

      แล้วปืนก็จนมุมตรงนี้เอง สุดท้ายก็ได้เฟอร์นิเจอร์สำหรับสองห้องจนครบ โดยส่วนของปืนเขาจะผ่อนกับทางร้าน

ส่วนปอขอจ่ายเป็นเงินสด ด้วยความเกรงใจที่ได้ลดราคาเป็นพิเศษ พอได้คืบเจ้าปอก็จะเอาศอก

จะออกเงินซื้อชุดรับแขกอีกชุด เลยโดนปืนเอาคืน

      “ไหนว่านั่งกับพื้นได้ไง...ก็นั่งไป รอพี่ผ่อนชุดแรกหมดก่อน ไม่งั้นก็รอโบนัสปีหน้า”



      จบเรื่องนี้ก็มาเจออีกเรื่อง

      เรื่องขึ้นบ้านใหม่ปืนไม่เห็นว่ามันจะจำเป็นตรงไหน เขาไม่ใช่คนที่จะยึดถืออะไรมากมาย

แต่เมื่อผู้ใหญ่หลาย ๆ คนพูดติงขึ้นมา ก็เลยต้องทำ โดยเฉพาะแม่ของเขาเอง อุตส่าห์ทิ้งพ่อให้เฝ้าร้านคนเดียว

หอบสังขารมาเยี่ยมเพื่อจะพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ

      พอมาเห็นบ้านโล่ง ๆ ของปืนเท่านั้นแหละ แม่ก็โวยวายใหญ่

      “ไซที่บ้านลูกแลเป็นบ้านยาจกพันนี้ หา ไอ้ปืน”

      (ทำไมบ้านลูกดูยังกะบ้านยาจกแบบนี้...ฮึ! ไอ้ปืน)

      “บ้านยาจกไหร ราคาเทียมล้านล่ะแม่”

      (บ้านยาจกอะไรราคาเป็นล้านล่ะแม่)

      “เออ...แม่ก็โร้และว่าบ้านมันแพง แต่ที่แหลงนั้น กะโหมเครื่องใช้ไม้ขอยโด้ บ้านทั้งบ้านยังแค่โต๊ะกินข้าว

กับโต๊ะวางทีวีแค่หั้นหนา”

      (เออ...แม่ก็รู้ว่าบ้านน่ะมันคงแพง แต่ที่แม่พูดถึงน่ะพวกเครื่องใช้ไม้สอยต่างหาก บ้านทั้งบ้านมีแค่โต๊ะกินข้าวกับโต๊ะ

วางทีวีเนี่ยนะ)

    แม่กราดนิ้วไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของปอ

      (เฮ้อ…..พอและ ขี้เกียจแปล ปกติบ้านปืนพูดภาษาใต้ครับ)

      “ทีวีที่ไหนล่ะแม่ก็พูดเรื่อยเปื่อย เค้าเรียกคอมพิวเตอร์ตะหาก อย่ามาทำบ้านนอก”

      ปืนแกล้งว่าแม่เป็นบ้านนอก เพราะว่าแม่เองก็ชอบทำตัวแบบนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆที่เขารู้ว่าแม่จบปริญญาตรีเหมือนกัน

แค่ไม่ได้ใช้ความรู้ตามที่เรียนมาเท่านั้นเอง ด้วยความที่แม่เป็นลูกสาวคนเดียว

เลยต้องมาดูแลกิจการโรงสีของตากับยายที่แก่ลงทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้โรงสีข้าวก็ปิดไปแล้ว

เพราะนาข้าวถูกขายไปทำนากุ้งเกือบหมด ที่นาข้างเคียงที่เคยปลูกข้าวได้ก็พลอยได้รับผลกระทบจากน้ำเค็ม

ที่ปล่อยเข้ามาในบ่อเลี้ยงกุ้ง แม่ก็เลยเปลี่ยนอาชีพมาเปิดร้านขายข้าวสารแทน คนที่เคยทำนาปลูกข้าวกินเอง

เดี๋ยวนี้ต้องมาซื้อข้าวสารที่ร้านแม่กันเป็นแถว

      “จะอะไรก็ช่างเถอะ ไหนพาแม่ไปดูห้องนอนแกหน่อยซิ มีอะไรมั่ง อย่าบอกว่ายังนอนพื้นกระดานนะ”

      “บ้านนอกอีกและ ก็เห็นอยู่ว่าบ้านผมปูกระเบื้อง”

      เห็นห้องนอนแล้วแม่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หันมาไล่เบี้ยเรื่องอื่นต่อ

      “แล้วไหนน้องที่เอาเค้ามาอยู่ด้วย ลูกเต้าเหล่าใคร รู้จักกันยังไง แกเนี่ยนะ จะทำอะไร ยังไง

ไม่เคยเล่าให้แม่ฟังเลย นี่ดีนะ ที่ลูกเค้าเป็นผู้ชาย ถ้าเอาลูกสาวเค้าเข้าบ้านไม่บอกแม่ซักคำล่ะมีเรื่องแน่”

      “ใครจะทำอย่างนั้นเล่าแม่ก็”

      แล้วแม่คิดว่าเป็นผู้ชายแล้วผมจะไม่คิดอะไรเหรอ

      “ปอเค้าไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยน่ะ บ่ายก็คงกลับ”

      “แล้วไปรู้จักกันยังไง แม่ว่ามันแปลก ๆนะ รู้หัวนอนปลายเท้ารึป่าว”

      เป็นครั้งแรกที่ปืนเล่าเรื่องปอให้แม่ฟัง ตั้งแต่เริ่มรู้จัก แต่เว้นรายละเอียดบางเรื่องเพราะไม่งั้นคงเล่าไม่จบในวันเดียวแน่

      “อ๋อ...ก็แล้วไป มาอยู่อย่างนี้ก็ดี พ่อแม่เค้าจะได้ไม่เป็นห่วง แล้วแกก็อย่าเอาเปรียบน้องล่ะ

ไอ้ที่ให้เค้าซักผ้ารีดผ้าให้น่ะ แกก็ช่วยเค้าได้นี่ แค่เอาผ้ายัดเข้าเครื่องปั่น แกก็มีเวลานั่งกระดิกเท้าดูทีวีได้ตั้งนานสองนาน”

      “แม่นี่ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยนะ ใครเลี้ยงผมให้ทำอะไรไม่เป็นล่ะ”

      “ตากะยายแกโน่น ไม่ต้องมาโทษแม่ พอจะใช้ให้ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน เค้าก็ไล่แกไปอ่านหนังสือ

แกน่ะมันหลานตาหลานยาย”

      “อ้าว แล้วไม่ใช่ลูกแม่เหรอ”

      “แค่เบ่งออกมาเท่านั้นแหละ สอนได้ที่ไหนล่ะ”

      “เอ...เท่าที่ยายเล่าน่ะ แม่ไม่ได้สอนนะ แต่แม่น่ะชอบใช้ผมทำโน่นทำนี่ เวลาเพื่อนมันด่าไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน

ผมเลยไม่โกรธ เพราะมันเรื่องจริง”

      ปืนทำหน้าล้อเลียนแม่ตัวเอง และแม่ก็แค่ค้อนแต่พองาม แต่ไม่เคยโกรธ ระหว่างเขากับแม่

มีความเป็นเพื่อนกันมากกว่าความเป็นแม่ลูกกันซะอีก คงเป็นเพราะแม่แต่งงานเมื่ออายุยังน้อย มีลูกก็เร็ว

ถึงตอนนี้แม่ก็ยังดูไม่แก่ แต่ชอบแต่งตัวเชยๆ ทำตัวบ้านนอก ๆ ยิ่งความคิดความอ่านของแม่แล้วทันสมัยที่สุด

ในบรรดาคนละแวกนั้นในวัยเดียวกันเลยทีเดียว

      แม่ของปืนคนเดียวคงสร้างความประหลาดใจได้ไม่มากพอ ตอนบ่ายปอก็กลับมาพร้อมกับแม่ของปอ

เป็นการพบปะโดยมิได้นัดหมาย แม่ ๆ นี่เค้าห่วงลูกกันทุกคนจริง ๆ นะ แค่ปืนบอกแม่ว่าเขาสร้างบ้านเสร็จแล้ว

(ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะบอก) แม่ก็ชื่นชมลูกของตัวเองว่าดีแล้ว จะได้สร้างเนื้อสร้างตัว ลงหลักปักฐาน

แล้วก็ตามด้วยคำสั่งว่า ให้นิมนต์พระมาทำพิธีขึ้นบ้านใหม่

ปืนคาดว่า แม่คงจะมาบงการเรื่องงานขึ้นบ้านใหม่เป็นรายการต่อไป

      ข้างเจ้าปอก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าย้ายมาอยู่บ้านพี่ปืน (เผื่อจะส่งอาหารแห้งขนมนมเนยมาให้)

ก็ได้คำแนะนำตามมาว่าบอกพี่ปืนให้ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ แล้วก็มาปรากฎตัวที่บ้านในวันเดียวกัน

      ดูเหมือนว่ารังสีของความเป็นแม่จะแผ่ขยายจนรับรู้ได้ซึ่งกันและกัน ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อสองลูกชาย

ทั้งสองแม่หลังจากที่ได้รับการแนะนำเบื้องต้น ก็ทักถามกันไปมาด้วยอัธยาศัยไมตรี ดูจะเข้ากันได้ดีจนน่าแปลกใจ

ถามประวัติแล้วก็นับเป็นคนรุ่นดียวกันได้ คุยกันถูกคอจนลืมเวลา

ตกเย็นก็มีเมนูอร่อย ๆจากฝีมือสองแม่ช่วยกันทำอาหารอวดฝีมือตัวเองกันใหญ่ คนที่อิ่มอร่อยโดยไม่ต้องลงมือก็คือสองลูกชาย


      พอถึงเวลานอน สองแม่ก็จัดแจงห้องพักของตัวเองเสร็จสรรพ ปอถูกไล่ให้มานอนที่ห้องของปืน

พร้อมกับผ้าห่มผืนที่ใช้ทุกคืน เรื่องเตียงไม่เป็นปัญหา เพราะห้องปืนเป็นเตียงคิงไซส์

ต่อให้ปอนอนดิ้นยังไงก็คงไม่ถีบเขาตกเตียงแน่ แต่สองแม่น่ะคงจะต้องนอนขดตัวนิดหน่อย

เพราะเป็นเตียงเดี่ยว ขนาดหกฟุตครึ่ง แต่อย่างสองแม่คงจะสามัคคีแบ่งมุมกันนอนได้ลงตัวละมั้ง

นึกแล้วปืนก็ขำในใจ เขาเองก็รู้สึกถูกชะตากับปอตั้งแต่แรกเจอ มาถึงรุ่นแม่ดูว่าจะเข้ากันได้ดี

จนไม่มีอะไรน่าห่วง เขาอยากจะรู้ว่าถ้าสองพ่อมาเจอกันจะเกิดอะไรขึ้น

แต่โอกาสอย่างว่าคงน้อย เพราะป๊าของปอก็ห่วงร้านกลัวจะเสียรายได้

ส่วนพ่อของเขาก็ต้องอยู่โยงเฝ้าร้าน ไม่ได้กลัวจะเสียรายได้หรอก

แต่ลูกค้ามาเห็นร้านปิดก็ต้องไปซื้ออีกร้านที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโล เค้าคงลำบาก

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 20-05-2012 19:38:36


      ใกล้เวลานอนปืนก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายบอกไม่ถูก ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

แต่ยังมีแม่ ๆ นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ความจริงมันก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ปืนรู้ตัวดี ว่าเขาควรจะทำตัวยังไง

แต่ก็อย่างว่า คนมันมีพิรุธในใจ รู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อปอมันไม่ถูกทำนองคลองธรรม

และคงไม่มีแม่คนไหนยอมรับได้ ทั้งที่รู้ตัวดีว่าปืนไม่มีวันทำให้แม่ของปอผิดหวัง แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

วันนี้ทั้งวัน แม่ของปอก็เล่าให้แม่ของเขาฟังซะหมดเปลือกว่า ปืนเป็นคนมีน้ำใจยังไง

ไหนจะทำหน้าที่ ‘พี่ชาย’ ช่วยดูแลปอราวกับน้องชายแท้ ๆ จนป๊ากับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง

แม่ของเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พยักพเยิด ทำท่าภูมิอกภูมิใจยังกะเป็นคนเลี้ยงดูลูกชายมากับมือ

(แม่บอกไงว่าตากับยายเลี้ยงน่ะ)


      ปอเข้านอนเรียบร้อยแล้วเมื่อปืนเข้าห้องตอนสี่ทุ่มเศษ อุตส่าห์เว้นที่ไว้ให้ปืนได้กลิ้งเกลือกกว่าครึ่งเตียง

ในฐานะที่เป็นเจ้าของห้อง (แต่ความจริงปอตัวเล็กตะหาก) ปืนนั่งลงที่ขอบเตียงด้านที่ยังว่าง เหลือบตามองปอ

เห็นใบหน้าที่หลับตาพริ้ม ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจากส่วนลึกของหัวใจ ก็ไหลหลั่ง ถั่งท้นออกมาแทบจะล้นอก

ผมดำยาวสยายแผ่เต็มหมอนนุ่ม ริมฝีปากสีชมพูสดหุบสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับสนิท หลับได้ทั้ง ๆ ที่ห้องยังสว่างจ้าด้วยแสงไฟ

      ปืนเปิดไฟที่โต๊ะหัวเตียง แล้วเดินไปปิดไฟกลางห้อง แสงสลัวจากไฟดวงน้อย

ยิ่งทำให้ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด

อะไรบางอย่างที่เคยหลับใหลอยู่ก้นบึ้งของหัวใจปืนกำลังตื่นตัว

เหมือนจะบังคับให้ปืนก้มหน้าลงไปจนชิด ปลายจมูกโด่งแตะลงบนแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบา ตามด้วยหน้าผาก

เว้นชั่วอึดใจก่อนจะแตะริมฝีปากเบาๆ ลงบนกลีบปากสีชมพูสดของคนที่ยังหลับใหล

....พอแล้วปืน...อีกเสียงดังขึ้นจากเบื้องลึกที่ยังพอมีสติ

      ปืนรีบยันตัวขึ้น ถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนปิดโป๊ะไฟ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างตัดใจเต็มที

นอนแล้วก็ใช่ว่าจะหลับตาลงง่าย ๆ กลายเป็นว่าปืนนอนลืมตาโพลง อยู่ในความมืด

จนได้ยินเสียงรถผ่านหน้าบ้าน ที่เขาจำได้ว่าเป็นของร้านขายกับข้าวสดที่จะออกไปจ่ายตลาดตอนตีสามทุกวัน

นี่มันผ่านมาตั้งห้าหกชั่วโมงโดยที่เขาไม่ได้หลับเลยเหรอเนี่ย

      พลิกตัวกลับมาอีกด้านแก้อาการเมื่อยขบ ก็หันมาเจอตัวต้นเหตุที่ทำให้ปืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเข้าอีก

...เฮ้อ....ไปดีกว่า ยังไงซะค่ำคืนนี้เขาคงข่มตาหลับไม่ลงแล้ว

      ปืนลุกขึ้นเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว พยายามทำอะไรไม่ให้เกิดเสียง กลัวจะรบกวนคนกำลังหลับ

(เกิดตื่นขึ้นมาตอนนี้ เขาคงตีหน้าไม่ถูก เพราะพิรุธในใจนี่แหละ)น้ำท่าไม่ต้องอาบกันล่ะ

เสร็จเรียบร้อยปืนก็เดินออกจากห้องโดยไม่ลืมที่จะหยิบกุญแจรถติดมือออกมาด้วย

      เสียงรถแล่นออกจากบ้านในยามวิกาล ทำให้ปอนึกแปลกใจ สงสัยว่าป่านนี้พี่ปืนจะไปไหน

ตอนที่คนข้าง ๆ ขยับตัวพลิกไปพลิกมา ปอก็รู้สึกตัวแล้วล่ะ แต่ยังรู้สึกง่วงงุนอยู่ก็เลยนอนหลับตาเฉย ๆ

ระหว่างนั้นก็ไม่ได้ลืมตาดูว่าพี่ปืนทำอะไร ได้ยินเสียงรถอีกทีเมื่อนั้นก็คงขับรถออกจากบ้านไปแล้ว

....เช้ามืดอย่างนี้พี่ปืนจะไปไหนกัน



      จนฟ้าสว่างแล้วปอก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่หายตัวไปก่อนฟ้าจะสาง ถึงวันนี้พี่ปืนจะอยู่ระหว่างลาพักร้อนก็เถอะ

แต่จะไปไหนน่าจะบอกให้รู้กันบ้างนี่นา รึกลัวว่าปอจะขอตามไปด้วย คิดขึ้นมาได้ปอก็รู้สึกขุ่นใจนิด ๆ

....พี่ปืนคงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวกับใครมั้ง ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านนี้ ปอไม่เคยเห็นว่าจะพาผู้หญิงคนไหนมาค้างที่บ้าน

เหมือนตอนอยู่อพาร์ทเมนท์เลย เลือดของความเป็นหนุ่มคงร่ำร้องหาทางระบายออกซะบ้าง

      ก็เข้าใจดีนะว่าพี่ปืนก็ผู้ชายธรรมดา ๆคนหนึ่ง ความต้องการทางเพศของวัยหนุ่มมันต้องร้อนแรงเป็นเรื่องของธรรมชาติ

แต่ทำไมหัวใจปอถึงเจ็บร้าวได้ขนาดนี้ ทำใจมานานนักหนา แต่ก็ไม่เคยจะระงับความรู้สึกนี้ได้ซะที

แค่นึกภาพว่า ตอนนี้เขาไปอยู่กับใคร กำลังทำอะไรกัน ปอก็ร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่

จนแม่ ๆ ที่กำลังคุยปรึกษากันเรื่องงานขึ้นบ้านใหม่ หันมามองเป็นระยะ ๆ แม่รู้แล้วว่าพี่ปืนไม่อยู่บ้าน

เพราะไม่เห็นรถจอดอยู่ แต่ไม่มีใครใส่ใจจะถามสักคนว่าพี่ปืนหายไปตอนไหน ไปไหน เมื่อไหร่จะกลับ

แค่แม่ของปอบ่นไปหน่อยเดียวว่า อุตส่าห์ทำเกี้ยมอี๋ไว้ให้ เดี๋ยวเส้นจะแข็งซะก่อนมันจะไม่อร่อย....เท่านั้นเอง


      ปอนั่งกระสับกระส่ายในบ้านก็แล้ว ออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้านก็แล้ว พี่ปืนก็ยังไม่มา

กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่อยากเข้าไปนั่งให้แม่ ๆ ผิดสังเกต ก็เลยนั่งเล่นมันที่ซุ้มไม้เลื้อยตรงมุมหน้าบ้าน...

ที่ ๆ พี่ปืนบอกว่ามุมนี้ทำให้ปอ ก็เลยไม่ทำแล้วศาลงศาลา อุตส่าห์ไปหาต้นเล็บมือนางมาลงให้

แค่ทำโครงให้มันเลื้อยก็พอ ตอนนี้ซุ้มยังไม่ใหญ่ แต่พอได้ร่มเงาจากต้นไม้ข้างบ้านก็นั่งเล่นได้ ไม่ร้อน

      กลิ่นดอกเล็บมือนางหอมอบอวล กล่อมอารมณ์ให้ปอค่อย ๆ คลายความกระวนกระวายไปได้

นั่งคิดอะไรไปเพลิน ๆ รถคันที่คุ้นตาก็มาจอดหน้าบ้าน ปอรีบไปเปิดประตูบานใหญ่ให้พี่ปืนเคลื่อนเข้ามาจอด

      “มานั่งทำอะไรตรงนี้”

      “พี่ปืนไปไหนมา”

      สองเสียงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ปอหน้างอง้ำนิด ๆ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้ก็คงจะง้ำยิ่งกว่านี้หรอก

แต่ตอนนี้เย็นลงแล้ว ปอก็แค่ออด ๆ แบบงอน ๆ

      “ไปขับรถเล่นน่ะ พี่นอนไม่หลับ”

      “เป็นอะไรครับ ทำไมนอนไม่หลับ”

      จากหน้าที่งอ ๆ ของปอก็กลายมาเป็นห่วงใยแทน

      “ไม่มีอะไรหรอก มันไม่หลับซะเฉย ๆ เท่านั้นเอง”

      “เรื่องงานขึ้นบ้านใหม่ใช่มั้ยครับ แม่คงพูดซะจนพี่ปืนกังวลเลยดิ”

      เปล่าหรอก...แต่ปืนจะอ้างอะไรล่ะ ที่จะไม่ให้มาเกี่ยวกับปอ ก็เลยพยักหน้ารับคำไป

      “ไม่ต้องห่วงนะครับ นู่นแน่ะ นั่งปรึกษากันตั้งแต่ไก่โห่เลยมั้ง ผมว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเชิญแขก”

      “ม่ายอ่ะ พี่ไม่เชิญแขกนะ วุ่นวายพี่ไม่ชอบ นิมนต์พระมาทำพิธีอย่างเดียวก็พอ ที่ทำงานพี่ก็ไม่ได้บอกใครด้วย

ที่ลาพักร้อนก็ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร เค้าก็นึกว่าลาตามปกติ แต่ปอจะชวนเพื่อนมาก็ได้นะ

เห็นแม่ว่าจะทำอาหารถวายเพล พี่ว่าคงเผื่อเลี้ยงแขก ไม่ก็แจกคนข้างบ้านด้วยแน่เลย”

      “ผมก็ไม่คิดจะบอกใครหรอกครับ เรื่องในครอบครัวเราเอง ผมก็ไม่ชอบวุ่นวายเหมือนกัน

แต่แม่บอกว่าจะบอกอาเจ็กกับอี๊ เสียดายจังหยินไม่อยู่ ไม่งั้นจะได้เจอกันมั่ง”

      “คิดถึงเหรอ”

      “ก็งั้นแหละครับพี่ปืน ตั้งแต่เจอกันบนรถไฟหนนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย โทรศัพท์ก็นาน ๆ จะคุยซักที

ผมว่าแม้แต่เบอร์ผมหยินก็อาจจะเผลอลบออกด้วยซ้ำไปมั้ง”

      “คิดไปได้นะเรา เค้าก็คงคิดถึงปออยู่หรอก อย่างน้อยก็โตมาด้วยกัน”

      “ครับ เออ....แล้วนี่พี่ปืนจะไปไหนรึป่าวครับวันนี้”

      “ว่าจะคุยกับแม่เรื่องงานนั่นแหละ เผื่อเค้าคิดการใหญ่ พี่จะได้เบรค ๆ ไว้มั่ง”

      พูดไม่ทันขาดคำ แม่ของพี่ปืนก็เรียกมาจากหน้าประตูบ้าน

      “ปืนมาพอดี แม่จะไปซื้อของนะ ไปส่งแม่ในเมืองหน่อย แล้วเราจะไปไหนก็ไป”

      “แล้วแม่จะไปไหนล่ะ ผมขับรถให้ก็ได้ ผมว่างทั้งวันอยู่แล้ว”

      “ไม่ต้องหรอก แม่ไปกันสองคนดีกว่า นะเจ๊นะ”

      แม่ของปืนหันไปถามความเห็นแม่ของปอ แล้วก็มองหน้าพี่ปืน รอคำตอบ

      “ครับ”

      แม่พี่ปืนยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน

      “แล้วแม่จะไปกันตอนไหนเหรอครับ”

      “สาย ๆหน่อยค่อยไป เอ้า....เข้ามากินอะไรได้แล้ว เจ๊เค้าทำเกี้ยมอี๋ไว้ให้อร่อยดี แม่ไม่ได้กินมานานแล้ว

....เจ๊นี่ฝีมือทำอาหารดีจริง ๆนะคะ”

      เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วมาจากในบ้าน โต้ตอบกันถ้อยทีถ้อยชม ประสาแม่ที่รักลูก ห่วงลูก มีเสียงหัวเราะประปราย

ฟังแล้วมีความสุข ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริง ๆ

      ปอกับพี่ปืนเดินคลอกันอ้อมข้างบ้าน เพื่อจะเข้าไปในครัวทางประตูหลังบ้านโดยไม่ต้องผ่านห้องรับแขก

      “พี่ปืนไปไหนมาเหรอครับ”

      ปอถามซ้ำ เหมือนยังไม่จุใจกับคำตอบ

      “ก็ขับรถไปเรื่อย ๆ”

      แต่ปืนกลับตัดบท เพราะไม่อยากให้ปอถามต่อ

      “สามสี่ชั่วโมงเนี่ยนะ เผาน้ำมันเล่นรึไงอ่ะครับ”

      “ขับไปจอดนั่งเล่นอะไรเงี้ยะ ไม่มีอะไรหรอก”

      เสียงเรียบ ๆ แบบนี้ ปอก็รู้แล้วว่าตัวเองคงจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพี่ปืนมากเกินไป

ก็เลยหยุดคำถามไว้แค่นี้ แต่จะว่าไป เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา

ในเมื่อก็รู้อยู่แก่ใจว่า พื่ปืนคงออกไปตามประสาชายหนุ่ม อาจจะไปหาใครสักคนที่เคยคุ้น แล้วก็

....ไม่คิด...เขาจะไม่คิดอะไรต่อจากนี้ เพราไม่งั้นน้ำตามันจะปริ่มออกมาให้พี่ปืนเห็นอีก

ทีนี้พี่ปืนก็จะรู้ว่าปอยังตัดใจจากพี่ปืนไม่ได้อย่างที่เคยพูดไว้ แล้วความสัมพันธ์และความรู้สึกดี ๆ ที่พี่ปืนมีให้

ก็อาจจะเปลี่ยนไป แม้แต่ความเป็นพี่เป็นน้องก็คงจะหายไปด้วย

      ส่วนปืนไม่คิดจะบอกปอให้รู้ว่าเขาไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่ริมทะเลเป็นชั่วโมง ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

นั่งฟังเสียงลม เสียงคลื่นเบา ๆ ไปจนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็กลับ นานนับชั่วโมงกว่าที่เขาจะดับอารมณ์ใคร่

ที่มันประทุขึ้นมาก่อนออกจากบ้านให้หมดลงไปได้

      เจ้าปอคงจะงอนถ้ารู้ว่าเขาไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่ชวน เพราะนั่นเป็นความใฝ่ฝันของปอเลยก็ว่าได้

ปืนก็คิดไว้เหมือนกันว่าจะชวนกันไปสักครั้ง ก่อนซื้อรถก็ไม่มีโอกาสได้ไป เพราะการเดินทางไม่สะดวก

แต่พอมีรถแล้วก็หาจังหวะไม่ได้สักที ไอ้จังหวะบังเอิญแบบเมื่อคืนนี้มันก็มาโดยที่ไม่ตั้งใจซะด้วย



      ปืนมาร้องอ๋อเอาตอนบ่ายจัด เมื่อสองแม่กลับมาจากธุระที่บอกให้ปืนไปส่ง และที่ตามหลังมาก็คือรถหกล้อบรรทุกเฟอร์นิเจอร์เต็มคันรถ

ดูคร่าว ๆ แล้วปืนก็คะเนได้ว่า ห้องนอนห้องที่สามที่ยังว่าง ต่อไปนี้ก็คงไม่ว่างแล้ว เพราะตู้เตียงโต๊ะครบชุดเป็นไม้เนื้อดำทั้งชุด

ชุดรับแขกที่ดูดีหน่อย แต่ราคาคงไม่หน่อย และอะไรอื่น อีกสองสามชิ้นสำหรับครัว (ที่ควรจะมีแม่บ้านดูแล)

และห้องรับแขก เห็นแล้วปืนกับปอก็สบตากันยิ้ม ๆเป็นทีเข้าใจกันว่า...แม่คงทั้งรักทั้งห่วงตามประสา

ซึ่งคงต้องรับไว้นั่นแหละ ที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรกว่าจะไปซื้อมาให้ ก็เพราะกลัวปืนจะปฎิเสธ ก็เลยมัดมือชก

ซื้อมาให้แบบนี้ ยังไงก็ต้องรับไว้อยู่ดี

      “อย่าว่าแม่เจ้ากี้เจ้าการเลยนะปืน”

      แม่ปอออกตัวด้วยท่าทีเกรงใจ โธ่..แม่ครับ ปืนสิต้องเกรงใจที่เป็นฝ่ายได้

      “วันงานขึ้นบ้านใหม่มันจะดูโล่ง ๆ ไป อย่างน้อยก็เผื่อแขกผู้ใหญ่ที่เราต้องรับรองในบ้านนะลูกนะ

ชุดรับแขกแบบนี้ก็ดูเรียบ ๆ แม่ก็คิดว่าปืนคงไม่ชอบอะไรที่มันใหญ่โต เทอะทะหรอกมั้งลูก ใช่มั้ย”

      ปืนไหว้ขอบคุณแม่ของปอด้วยความซาบซึ้งใจ

      “ผมเกรงใจน่ะครับ กะว่าจะค่อย ๆ ซื้อของเข้าบ้าน ไม่ได้รีบร้อนอะไร

อีกอย่างบ้านเราก็ไม่ค่อยจะได้รับแขกเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้วส่วนมากก็เพื่อนฝูงกันทั้งนั้น

ไม่ต้องพิธีรีตองก็ได้ครับ”

      “ถือว่าแม่ให้เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่แล้วกันนะลูก”

      นอกนั้นก็เป็นของแม่ปืนที่ถือโอกาสซื้อของให้ลูกชายเหมือนกัน ก็คงจะหมดไปหลายสตางค์อยู่หรอก

ปืนรู้สึกตื้นตันไม่ทันไร แม่ก็บอกออกมาซะก่อน

      “แม่จ่ายไปหลายตังค์เลยเที่ยวนี้ แต่ไม่เป็นไร ตากับยายให้มาเยอะ บอกว่าให้แม่ดูว่าปืนขาดเหลืออะไร

ก็ให้ซื้อหาให้เรียบร้อย”

      สรุปว่าปืนยังไม่ทันได้ขอบคุณแม่ของตัวเอง แม่ก็รีบเฉลยก่อนว่า เงินที่ซื้อของในส่วนของแม่เป็นเงินของตากับยาย

ที่ในอนาคตเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า จะตกเป็นของปืนทั้งหมด รวมทั้งที่ดินที่เคยเป็นผืนนารวม ๆ แล้วไม่รู้กี่สิบไร่

ที่ปืนแค่รู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่อาณาเขตกว้างไกลแค่ไหนไม่เคยไปตามดู

      มีแม่มาอยู่จัดงานให้ก็ดีไปอย่าง เพราะปืนเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพิธีทางศาสนากับพิธีการที่เป็นมงคลอะไรเท่าไหร่

(ยังไม่เคยบวชเรียนเลยค้าบบบ) ระหว่างที่แม่ ๆเตรียมงานกันไป ปืนกับปอก็มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น

ปืนไปส่งปอเรียนแล้ว ถ้าไม่มีคาบเรียนต่อ ก็รอรับกลับ แต่ถ้าปอต้องทำงานต่อ หรือว่ามีกิจกรรม เขาก็กลับมาบ้าน

ให้แม่ได้เห็นหน้าได้อาศัยไหว้วานให้ไปโน่นมานี่ สุดแท้แต่จะนึกได้


      จนถึงวันงานขึ้นบ้านใหม่ปืนก็ยังไม่ต้องทำอะไรอยู่ดี นอกจากไปรับพระที่วัดมาทำพิธีสวดที่บ้าน กับรับแขก

ซึ่งก็เป็นเพื่อนบ้านซะส่วนใหญ่...บอกตรง ๆ ว่าปืนไม่รู้จักเพื่อนบ้านสักเท่าไร นอกจากบ้านติดกัน บ้านตรงกันข้าม

กับบ้านที่ขายของชำ กับข้าวสด แต่ที่พร้อมใจกันมาวันนี้แทบจะหมดซอยก็ฝีมือแม่ ๆนี่เอง แม่ของเขาบอกว่า

      “รักษาเพื่อนบ้านไว้ไม่เสียหลายหรอกลูก จะได้เป็นหูเป็นตากัน เจอกันก็ทักทายกันมั่ง ไม่อยากไปสุงสิงอะไรนัก

ก็อยู่แต่ในบ้านเรา แต่ไอ้ที่เดินออกไปแล้วไม่มีใครทักถามเลยนี่มันก็เกินไปหน่อย เทศกาลก็มีของเล็ก ๆน้อย ๆ ให้กันมั่ง

แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว”

      แขกที่ปืนไม่คาดฝันมาพร้อมกับของขวัญหนึ่งกล่อง พี่เอกนั่นเอง

พี่เอกบอกว่า รู้จากพี่ก้อย (คนที่เป็นพี่เลี้ยงสอนงานปืนไง จำกันได้รึป่าว)

เพราะบังเอิญโทรศัพท์ติดต่อกันเรื่องงานเมื่อสองสามวันก่อน     

      “ซื้อบ้านจนได้สินะปืน”

      พี่เอกพูดขึ้นพร้อมกับส่งของขวัญให้ เป็นเครื่องกรองน้ำอย่างดี ขนาดว่าเครื่องนิดเดียวก็เป็นหมื่น ๆ แล้ว

      “บ้านพี่เป็นตัวแทนขาย”

     พี่เอกบอก
   
     “ของผมไม่ได้เป็นตัวแทนขายครับพี่ปืน แต่ก็อยากให้”

       เต้ยพูดแขวะเล็ก ๆ จนพี่เอกหมั่นไส้ เลยดีดหน้าผากเบา ๆ ไปทีนึง

      “พูดมาก บอกว่าไม่ต้อง ๆ ก็ยังจะไปหามาจนได้ ของขวัญของพี่ก็เหมือนของเต้ยน่ะแหละ”

      “จะเหมือนได้ไงครับ พี่เอกไม่ได้ควักทุนอะไรเลย อยู่ ๆ ก็ไปหยิบของที่บ้านมาห่อของขวัญ

นี่ของผมสิ ซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงเลยนะพี่ปืน”

      ปืนขำอาการหยอกล้อของทั้งคู่ที่เขาไม่ค่อยจะเคยเห็น จะว่าเพราะไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ใช่

เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพี่เอกเองก็คงจะรักเต้ยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ คงคิดว่ายังมีตัวเลือก

ก็อยากจะเลือกใครที่ตรงใจสุด ๆ สักคน แต่สุดท้ายแล้วคงแพ้ใจเต้ย ที่ไม่ว่าพี่เอกจะทำเจ้าชู้กับใคร เต้ยก็ทนได้...ทนเพราะรัก

      อีกคนที่เกินความคาดหมายก็คือหยิน มาพร้อมครอบครัว ปอทำท่าดีอกดีใจมากมาย จนปืนเห็นแล้วหมั่นไส้เสียจริง ๆ

ทั้งที่เขาเองเป็นคนชักจูงให้ปอหันเหความสนใจจากเขาไปที่หยิน เพราะไหน ๆ ก็เป็นคู่หมายกันอยู่

แต่พอมาเห็นอาการหน้าบานไม่หุบที่ทั้งคู่แสดงความสนิทสนมกันก็อดที่จะบาดใจกับภาพบาดตาไม่ได้

เลยต้องหาทางเลี่ยงไปรับแขกห่าง ๆ

      ไม่ได้เจอกันนาน ทั้งปอทั้งหยิน มีเรื่องพูดคุยไถ่ถามกันไม่รู้จบ จนคนรอบตัวกลายเป็นคนนอกสำหรับทั้งคู่ไปซะแล้ว

พวกผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้คุยกันไปตามสบาย ไม่เรียกใช้ ไม่เรียกหา แถมยังส่งสายตาเอ็นดูให้เสียอีก

ซุ้มต้นเล็บมือนางของปอก็เลยกลายเป็นมุมส่วนตัวที่ใคร ๆ ก็ได้แค่มองมา แต่ไม่อยากรบกวน

      “นึกยังไงถึงได้ย้ายมาอยู่บ้านพี่ปืนหือปอ”

      คำถามของหลินเล่นเอาปออึ้ง พูดไม่ออกไปอึดใจ

      “เค้าชวนเหรอ”

      ปอลองทบทวนก็รู้สึกเหมือนพี่ปืนจะไม่เคยชวนตรง ๆ นะ แต่ถ้าถามเรื่องชวนไปดูโครงการบ้านจัดสรรล่ะก็...เป็นประจำ

จนกลายเป็นเรื่องของเราสองคนไปแล้ว ถ้าได้ข่าวว่าที่ไหนมีโครงการใหม่ ๆ ทำเลน่าสนใจเป็นต้องชวนกันไป

แล้วพอตกลงใจได้ว่าชอบบ้านหลังนี้ ก็วางแผนร่วมกันว่าจะทำยังไง ตั้งแต่เรื่องเงินไปถึงเรื่องสร้างบ้าน จัดสวน

จนมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา พี่ปืนเป็นคนออกเงินซื้อก็จริง แต่ก็พูดได้เต็มปากว่า กว่าจะมาเป็นบ้านอย่างที่เห็น

ความฝันของพี่ปืนกับความฝันของปอก็กลายเป็นเนื้อเดียวกันจนแยกไม่ออก

      “ไม่เคยหรอก”

      ปอตอบตรง ๆ

      “แต่....ไม่รู้ดิหยิน ตั้งแต่เริ่มคุยกันเรื่องบ้าน เราก็มีความรู้สึกว่า คงได้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน

แล้วพี่ปืนเค้าก็ถามความเห็นเราตลอดนะ เราปรึกษากันทุกเรื่อง จะตกแต่งบ้านแบบไหนพี่ปืนก็ถามเราทุกที

ก็ถ้าเค้าไม่อยากให้เรามาอยู่ด้วย เค้าจะถามเราทำไมอ่ะ ว่ามั้ย”

      “มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกปอ พี่ปืนเค้าอาจจะอยากได้คนช่วยคิด เพราะคิดคนเดียวมันก็ได้แค่มุมมองเดียว

เค้าถามปอได้ เค้าก็อาจจะถามคนอื่นไปด้วยเหมือนกันอ่ะแหละ”

      “หยินว่างั้นเหรอ”

      ปอเริ่มใจเสีย ที่หยินพูดก็มีส่วนถูกนะ ที่ปอย้ายเข้ามาอยู่โดยที่พี่ปืนไม่ชวนเป็นเพราะปอแสดงทีท่าให้เห็นว่า

อยากมาอยู่ด้วยเหลือเกิน จนพี่ปืนต้องตกกระไดพลอยโจนหรือเปล่า

      “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิเล่า เราก็แค่ถามเฉย ๆ เพราะปอไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับเค้าจริง ๆ ซักหน่อย

แต่เราก็ดูออกนะว่าพี่ปืนกับปอน่ะ สนิทสนมกันมาก ดูเหมือนพี่น้องกันยิ่งกว่าเราที่โตมาด้วยกันซะอีก”

      “ใช่ เราก็มีแค่พี่ปืนนี่แหละที่สามารถคุยปรึกษาได้ทุกเรื่อง เพื่อนที่มหาลัยก็ไม่ได้รู้สึกสนิทใจกันแบบนี้”

      “ก็แหงล่ะสิ ปอรู้จักพี่ปืนมาก่อนเพื่อนที่มหาลัยนี่นา”

      “พี่ปืนเค้าเป็นคนดีนะ เราประทับใจเค้าตั้งแต่ครั้งที่เค้าช่วยเหลือเราเรื่องเงินค่าเรียนพิเศษทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

แรก ๆเราก็แค่อยากทำดีตอบแทนเค้า แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้คิดเรื่องตอบแทนแล้วล่ะหยิน”

“ใช่ เค้าเป็นคนดีมากเลยล่ะปอ คิดดูซิ ใครจะกล้าให้คนที่ไม่รู้จักยืมเงินตั้งหลายพัน แล้วจะแน่ใจ

ได้ไงว่าจะไม่โดนเบี้ยวน่ะ”

      “ตอนที่เรามารู้ทีหลังว่าเค้าพักอยู่อพาร์ทเมนท์เดียวกับที่เราเช่าอยู่ เราก็ยิ่งดีใจนะ ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กัน

เราจะได้มีโอกาสรู้จักเค้ามากขึ้น แล้วก็ได้ตอบแทนอะไรเค้าบ้าง ยิ่งตอนนี้เราได้รู้จักพี่ปืนมากขึ้น

เราก็ยิ่งอยากทำให้เค้าทุกอย่าง อยากดูแลให้เค้ามีความสุข คนโสดแบบนั้นน่ะ ต้องมีใครซักคนคอยดูแลบ้าน

ดูแลเรื่องเสื้อผ้า เรื่องอาหารการกินให้ เค้าจะได้ทำงานให้เต็มที่อย่างไม่ต้องกังวล เลิกงานก็ไม่ต้องวิ่งหาของกินนอกบ้าน

จะไปทำงานก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้า บ้านช่องสะอาดน่าอยู่ เพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนก็ไม่อายเค้าว่าบ้านช่องรกเป็นรังหนู”

      ตลอดเวลาที่พูดความในใจออกมา ปอคงไม่รู้ตัวเลยว่า แววตาฉายแววอ่อนโยนอ่อนหวานขนาดไหน

ทุกคำที่ปอพูดถึงสิ่งที่ทำให้พี่ปืน มันคงจะเป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าคนพูดจะเป็นภรรยา หรือว่าที่ภรรยา

ที่คอยดูแลสามีตามประสาแม่ศรีเรือน แต่นี่เป็นปอ แล้วไอ้แววตาเชื่อม ๆ ที่มองเข้าไปในบ้าน

หยินมองตามไปก็เห็นคนที่ปอกำลังพูดถึงเดินไปเดินมา อย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกล่าวถึง ก็ยิ่งทำให้แปลกใจว่า

พี่น้องคงไม่ส่งสายตาแนว ๆ นี้ให้กันแน่ ๆ ถึงหยินจะไม่มีพี่มีน้องก็ไม่ได้โง่นะ ว่าไอ้แววตาแบบนี้น่ะมัน.......

      “แล้วพี่ปืนล่ะ เค้ารู้สึกยังไงที่ปอมาอยู่ในบ้าน”

      ปอทำหน้างง ๆ กับคำถาม

      “ก็...เค้าอึดอัดรำคาญมั้ย ผู้ชายโสดที่เค้าอยู่คนเดียวจนเป็นนิสัยอ่ะนะ เค้าจะรักอิสระมาก ไม่ชอบให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการ

อยากจะทำอะไร ไปไหน ก็ไม่ต้องตอบคำถามใคร ไม่ต้องรายงานใคร แล้วก็ไม่ต้องพะวงว่าจะใครจะบ่นเวลาที่เค้ากลับบ้านดึก ๆ

แล้วต้องมาเปิดประตูให้ จะหิ้วใครมาที่บ้านก็ไม่ต้องเกรงใจใคร”

      “พูดยังกะมารู้มาเห็นจริง ๆ งั้นแหละ ว่าคนโสดเค้าอยู่ยังไง”

      “แหม...ถึงไม่เคยเห็น แต่ประสบการณ์ขั้นที่สองเราก็พอมีหรอกปอ อ่านจากหนังสือเอามั่ง

แล้วเพื่อนผู้ชายที่มหาลัยเราก็เยอะแยะ เวลามันพูดกันในกลุ่มน่ะ มันไม่ค่อยจะคิดหรอกว่าเราเป็นผู้หญิงน่ะ

เผลอ ๆ บางทีมันก็มาเล่าเรื่องที่มันมีอะไร ๆกับแฟนมันให้ฟัง เรานะฟังมาซะจนจะปฏิบัติได้เองอยู่แล้วเนี่ย”

      “ฮ่า ๆ หยินนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ พูดอะไรขวานผ่าซากยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังพูดได้ แถมยังร้ายกว่าเดิมอีกแน่ะ”

      “นี่...ไม่ต้องมาว่าเรานะ”

      หยินฟาดหนัก ๆ ไปที่ต้นแขนปอ จนเจ้าตัวบ่นเจ็บมือ เพราะฟาดแรงไปหน่อย

      “แทนที่เราจะบ่นเจ็บ หยินกลับบ่นเจ็บมือ”

      “โดนกระดูกอ่ะดิ นี่พี่ปืนเค้าเลี้ยงตัวเองยังไงเนี่ย อดมื้อกินมื้อเหรอ ถึงได้มีแต่หนังหุ้มกระดูกอย่างเงี้ยะ...ฮะ”

      “หนังหุ้มกระดูกที่ไหน เค้าออกจะหุ่นดี”

      “เชอะ...หุ่นดีต้องอย่างพี่ปืนนู่น สูง ๆ ไหล่กว้าง ๆนะ สะโพกเพรียว ขายาวตรงเวลาถอดเสื้อก็ต้องมีกล้ามหน่อย

ซิกแพ็กอ่ะ รู้จักมั้ย”

      “ทำมาพูดยังกะเคยเห็นของเค้า”

      “หูย...ไม่ต้องเห็นกะตาหรอกย่ะ มองทะลุเสื้อผ้าเข้าไปก็จิ้นได้แล้ว”

      “ยังจะทะลึ่งอีก เดี๋ยวจะฟ้องพี่ปืน”

      “ฮิฮิ ไม่ต้องฟ้องหรอก ว่าง ๆ ไว้ปลอดคนนะ จะขอให้พี่ปืนถอดโชว์ซะเลย”

      ปอได้แต่ส่ายหน้าให้กับความห่ามปนทะลึ่งของหยิน ตั้งแต่เล็กจนโต เขามีหยินเป็นทั้งพี่น้อง ทั้งเพื่อนเล่น

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า สองครอบครัวหวังจะให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก

ต่อให้ปอไม่รักพี่ปืน ต่อให้ปอรู้สึกรักผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไป เขาก็คงไม่มีวันรักหยินอย่างสามีภรรยาได้แน่

ความรักความผูกพันธ์ระหว่างเรา มันแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นมากมาย เขาเชื่อว่า

ในโลกนี้คงมีแต่หยินเท่านั้นที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น และยอมรับได้อย่างไม่นึกรังเกียจ

ยิ่งไปกว่านั้น หยินจะเป็นคนส่งเสริมไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้ปอมีความสุข

สักวันเถอะ เขาจะบอกให้หยินรู้เป็นคนแรกว่า เขาเป็นอะไร
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 20-05-2012 20:14:46
ครอบครัวนี้เค้ารักกันดีจัง :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 20-05-2012 21:34:38
ทำร้ายกันไปก็ทำร้ายกันมานะ พี่ปืนกะปอเนี๊ยะ :m16:
แม่ๆน่ารักอ่ะ เข้ากันดีจริงๆ o13
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 21-05-2012 00:23:27
กระซิกๆ
 :impress3:
ทำไมมันหน่วงยังงี้ค้าคุณนู
เหมือนพี่ปืนกับน้องปอจะอยู่กันแบบมีความสุข
แต่ต่างฝ่ายก็ต้องเก็บความรักไว้ข้างใน
อ่านแล้วอยากร้องไห้
 :monkeysad:
เพราะจริงๆไม่ค่อยชอบเรื่องดราม่าเท่าไหร่
แต่เรื่องนี้มันติดไปแล้ว
ก็ต้องขอติดตามคุณนูต่อไปแหละค่ะ
ไม่มีทิ้งกันไปก่อนอยู่แล้ว
แต่ว่าตอนจบคงจะแฮปปี้ใช่มั้ยคะ?
 :m26:
ไม่งั้นขอลาตายก่อนคนแรกเลยค่ะ
สงสารคนอ่านหน่อยนะคะ กระซิกๆ
 :sad2: :impress:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 21-05-2012 15:02:34
พี่เอกก็ดีเนอะ สปอร์ตอ่ะ ขายรถให้ถูกๆ ให้เครื่องกรองเป็นหมื่น กลับไปรักกับเต้ยก็ดีแล้วล่ะ
ทุกอย่างในตอนนี้รู้สึกสดใสขึ้นเยอะ
ถึงทั้งคู่จะยังต้องเก็บกดความรักไว้ในใจ แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันต่อ
งอนๆง้อๆกัน เรียนรู้กันไป
ชอบหยิน เป็นคนฉลาด ช่างสังเกต น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมความรักของปอ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 20/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: luv_khun ที่ 21-05-2012 19:11:20
โอย..ตามอ่านกว่าจะทัน  :เฮ้อ: เหนื่อย
เตรียมพร้อม สำหรับการเป็นครอบครัวละนะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-05-2012 22:58:08


คืนนี้เำืกือบจะไม่ได้โพสท์แล้วครับ เพิ่งกลับเข้าบ้านตอนสองทุ่มนี่เอง

งานเยอะมากกกกกก

พอดีตอนนี้ต้องไปช่วยงานที่ต่างสำนักงาน อะไร ๆ ก็ไม่เข้ามือซักอย่าง

โต๊ะทำงานก็ไม่ใช่ของเรา ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่คุ้นมือ

งานมันก็เลยขลุกขลัก ชวนให้หงุดหงิดเอาง่าย ๆ

ได้อาบน้ำปะแป้งหอม ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย

จะโพสท์ซักสองสามตอนนะครับ

คิดถึงคอมเม้นท์ ไม่มาไม่ได้เลยเชียว  :pig2:













    ปอยังเก็บคำถามของหยินที่เขาไม่ได้ตอบมาคิดต่อ ว่าพี่ปืนเคยรู้สึกอึดอัดมั่งมั้ย ที่ปอย้ายเข้ามาอยู่ด้วย

แต่อย่างหนึ่งที่ปอแน่ใจก็คือ พี่ปืนคงจะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างแล้ว เพราะตอนอยู่ที่เก่า

พี่ปืนยังเคยพาผู้หญิงมาค้างคืนด้วย

    แต่ที่นี่พี่ปืนไม่เคยพาใครมานอกจากเพื่อน อยากจะระบายอารมณ์ก็ต้องไปที่อื่น ซึ่งคงไม่ค่อยจะสะดวกนัก

แต่ว่า....บ้านไม่ใช่โรงแรมม่านรูดนะ ถึงได้คิดจะพาใครต่อใครมาค้างอ้างแรมได้น่ะ ดีแล้วล่ะ

ที่พี่ปืนไม่คิดจะพาใครมา ให้บ้านยังคงเป็นบ้านที่อบอุ่นปลอดภัยต่อไป

และที่สำคัญ จะได้ไม่มีภาพที่เหยียบย่ำทำร้ายหัวใจปอวนเวียนอยู่ในบ้านด้วย

      “แอบมาหลบตรงนี้เอง”

      ฝ่ามือหนัก ๆ กดลงมาบนบ่าปอเบา ๆ แล้วเจ้าของฝ่ามือก็เดินอ้อมหลังมานั่งตรงข้ามกัน

      “ไม่ได้หลบซักหน่อย ผมมาส่งหยินกลับบ้านแล้วก็มานั่งเล่นน่ะครับ”

      “ดูวุ่นวายดีจังเลยนะครับวันนี้”

      “ไม่หรอกครับพี่เอก วันงานก็เป็นแบบนี้แหละ ทุกคนที่มาก็มาเป็นเกียรติให้เรานี่ครับ แล้วพี่เต้ยล่ะครับ ไปไหนแล้ว”

      “อยู่ในครัวกับแม่ของปอนั่นแหละ กำลังถามสูตรอาหาร กลับไปว่าจะทำให้พี่กิน”

   พี่เอกพูดแล้วก็หัวเราะหึหึ

      “ดีจัง”

      “อะไรดีครับ สูตรอาหารน่ะเหรอ”

      “ไม่ใช่ครับ พี่เอกกับพี่เต้ยได้อยู่ด้วยกันต่างหากที่ผมว่าดี”

      “ก็เกือบไป”

      ปอเหลือบตาขึ้นมองหน้าพี่เอกตรง ๆ

      “ตอนที่พี่ย้ายกลับบ้านพี่ไม่ได้บอกเต้ยหรอกนะ เค้าตามพี่ไปทีหลัง

ลาออกจากงานทุกแห่งที่ทำอยู่ ขายคอนโดฯ ขายรถ”

      “อ้าว...ผมไม่ทราบเลยนะครับเนี่ย”

      “เค้ากล้ามากที่ทำแบบนั้น เพราะเท่ากับทุบหม้อข้าวแล้วไปตายดาบหน้า ถ้าพี่ไม่โอเค เค้าก็จะคว้าง

อย่างน้อยก็คงต้องหางานใหม่ เริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด”

      “พี่เต้ยเค้าคงรักพี่เอกมาก”

      “ใช่ บ้ามากด้วย เค้าโทรไปหาพี่ที่ทำงาน พี่ก็นึกว่าเค้าโทรจากที่นี่คุยไปคุยมาซักพัก

เค้าก็บอกว่าตอนนี้เขาเปิดบัญชีอยู่ที่แบ็งก์ตรงข้ามกับที่ทำงานพี่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีที่อยู่

ไม่รู้ว่าคืนนี้จะค้างที่ไหน”

      พี่เอกเล่าไปพลาง ปากก็ยิ้มไปด้วย

      “พี่เอกก็เลยชวนเค้าพักที่บ้านใช่มั้ยครับ”

      “เปล่าครับ พี่บอกว่า ตรงหัวมุมถนนมีโรงแรมที่พออยู่ได้แห่งนึง ค่าห้องไม่แพงให้อยู่ไปก่อน

แล้วพี่จะหาห้องเช่า ไม่ก็บ้านเช่าให้”

      “โห พี่เอกใจร้ายอ่ะ”

      “ก็ใครใช้ให้มาไม่บอกเล่า ถ้าพี่อยากให้มาพี่ก็ชวนแล้วล่ะสิครับปอ”

      “แล้วพี่เต้ยว่าไงครับ”

      พี่เอกเล่าให้ฟังต่อว่า พี่เต้ยยอมเช็คอินที่โรงแรมโดยไม่โต้แย้งแม้แต่คำเดียว

พี่เอกบอกว่าจะแวะไปหาตอนเลิกงาน พี่เต้ยก็รอ

      “หลังจากนั้นพี่ก็ให้เต้ยไปอยู่ห้องเช่าที่คอนโดฯของญาติ ๆ เค้าให้ราคาพิเศษ แนะนำงานให้ด้วย

เต้ยเค้าก็ทำทั้ง ๆ ที่เงินเดือนน้อยกว่าที่เค้าเคยได้เกือบครึ่ง พี่ถามเค้าว่าจะทนอยู่ไปทำไม

ที่นี่มันไม่มีอนาคตเหมือนที่ที่เค้าเคยอยู่หรอก รู้มั้ยเค้าตอบพี่ว่าไง”

      ปอส่ายหน้า

      “เค้าบอกว่าอนาคตที่ไม่มีพี่อยู่ด้วย สำหรับเค้ามันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว...พี่ฟังแล้วก็อึ้งเลย”

      “โห พี่เต้ยอ่ะ สุดยอดเลยครับ”

      “อืม....พี่ก็มาคิดอยู่หลายวันนะครับ ตอนนั้นเต้ยอยู่ที่นั่นมาเกือบสามเดือนแล้ว เงินเก็บก็มีแต่จะพร่องไป

เพราะเงินเดือนที่ได้รับมันก็นิดเดียวจริง ๆ แต่เค้าก็ไม่เคยบอกพี่มารู้เองทีหลังตอนเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีเค้า”

      พี่เอกมองตาปอตรง ๆ เหมือนอยากจะสื่ออะไรกับปอซักอย่าง

      “ในชีวิตพี่รักใครจริง ๆ อยู่สองคนเท่านั้น คนแรกที่พี่รักก็คือปืน พี่มั่นใจเพราะไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน

ถึงตอนนี้พี่ก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

    ปอหน้าเข้มขึ้นจนตัวเองก็รู้สึกได้ว่าเผลอแสดงอารมณ์หวงออกไปแล้ว

    “แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะปืนไม่ได้รู้สึกเหมือนพี่ ส่วนเต้ยพี่มารักเค้าทีหลัง เพราะความรักที่เค้ามีให้พี่

อดทนกับพี่มาตลอด ทำทุกอย่างให้ไม่เคยปริปาก พี่แพ้ใจเค้าจริง ๆ ซึ่งก็คงเป็นเพราะพี่พอใจเค้าอยู่ก่อนแล้ว

ก็เลยรักเค้าได้ไม่ยาก”

        “ผมก็คิดอย่างนั้นนะครับ พี่เต้ยคงรักพี่เอกมาก จนลืมรักตัวเอง ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาเพื่อพี่เอก

ผมยังนึกไม่ออกว่า ถ้าพี่เอกปฏิเสธพี่เต้ยจะเป็นยังไง”

      “เต้ยเค้าไม่ได้ลืมรักตัวเองหรอกครับปอ เพราะเค้ารักตัวเองต่างหาก เค้าถึงได้ยอมทุกอย่างเพื่อ่ให้ได้อยู่กับพี่

เค้ารู้ว่าอยู่ที่ไหนกับใครแล้วเค้าจะมีความสุข....ก็เหมือนกับปืนที่เค้ารู้ว่าเค้าอยู่กับใครแล้วเค้าถึงจะมีความสุข

เค้าถึงปฏิเสธพี่อย่างไม่มีเยื่อใย”

      พี่เอกพูดแปลก ๆ ซึ่งปอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก

      “แล้วปอล่ะ รู้ตัวเองรึเปล่าว่าที่ปออยู่กับปืนทุกวันนี้เพราะอะไร ถ้าได้คำตอบเมื่อไหร่ ปอก็คงจะเข้าใจว่า

เพราะอะไรปืนถึงไปไหนไม่ได้ รักใครไม่ได้ แล้วก็ต้องมาอยู่กันสองคนแบบนี้”

      โอย....วันนี้มันวันอะไร มีแต่คนทิ้งคำถาม ทิ้งปริศนาไว้ในหัวปอ ตอนสายก็หยิน ตอนบ่ายก็พี่เอก

ปอก็ไม่ได้ฉลาดน้อยไปกว่าใครหรอกนะ แต่พอคิดตามไปด้วย

คำตอบที่ได้มันก็เหมือนเข้าข้างตัวเองยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-05-2012 23:13:05



     “มองหน้าพี่ทำไมเหรอปอ”

      “เอ้อ...ป่าวครับ”

      ปอปฏิเสธด้วยคำพูดติดปาก ทั้ง ๆ ที่ปืนสังเกตอยู่นานแล้ว ปอก็ยังไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา

กวาดข้าวใส่ช้อนจะป้อนเข้าปาก แต่ดูยังไง ๆ ก็เหมือนเขี่ยอาหารในจานเล่นยังไงยังงั้น

      “ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องกินนะ เอาจานไปเก็บเหอะ พี่นั่งกินคนเดียวได้”

      ปอไม่รับคำ แต่ก็รวบช้อนส้อมในจานอย่างอ้อยอิ่ง ตอนที่เดินเอาจานไปวางในอ่างล้างก็ยังดูเลื่อนลอยพิกล

      ปืนเก็บโต๊ะอาหารหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ไม่อยากกินต่อเหมือนกัน แต่พยายามไม่ให้ดูเป็นว่าเขาเองก็รู้สึกตื้อ

กินอะไรไม่ลงที่เห็นปอดูแปลกไป ปอมีท่าทางแบบนี้ตั้งเต่เมื่อเช้าแล้ว หลังจากรับโทรศัพท์จากใครก็ไม่รู้

เห็นกดรับสายแล้วก็เดินไปนั่งคุยที่ซุ้มต้นเล็บมือนางเป็นนานสองนาน

      แม่ ๆ แยกย้ายกันกลับบ้านช่องห้องหอของตัวเองไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ปืนรับหน้าที่ไปส่งที่สถานีรถโดยสาร

โดยปอขอเฝ้าบ้าน แล้วพอปืนกลับจากไปส่งแม่ก็เห็นปอในอาการเบลอ ๆ เลื่อนลอยตั้งแต่นั้นจนบัดนี้


      อุปาทานหรือเปล่านะ ที่ปืนรู้สึกเหมือนว่า บ้านเป็นบ้านขึ้นมาอย่างที่อยากจะให้เป็น บางทีการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่

อาจจะเป็นกุศโลบายเชิงจิตวิทยาของคนโบราณที่ต้องการให้คนในบ้านเกิดความรู้สึกถึงความเป็นครอบครัว

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ และอนาคตที่จะมีร่วมกันต่อไป ปืนกำลังรู้สึกแบบนั้น และเขาก็อยากรู้ว่าปอคิดเหมือนกันหรือเปล่า

แต่ดูท่าตอนนี้คงยังไม่ได้คำตอบจากปอ ก็ดูท่าทางสินั่น

      ปืนเริ่มทนไม่ไหว ความห่วงใยมันรุมเร้าซะจนอยากจะเอ่ยปากถาม

ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้อยากจะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของปอนัก

ปอโตแล้ว คงอยากจะจัดการกับชีวิตของตัวเองมากกว่าเอาหลังพิงปืน คอยยึดไว้เป็นหลักตลอดไป

และปืนก็เห็นควรว่าเขาน่าจะทิ้งระยะห่างจากปอบ้าง ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง

ความรักความหวังดีของปืนควรจำกัดขอบเขต ไม่งั้นปอคงไม่เป็นผู้ใหญ่ซะที

      แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังแทรกขึ้นก่อนที่ปืนจะทันได้พูดอะไร

      ปอคว้าโทรศัพท์ของตัวเองที่ตั้งอยู่ไม่ห่างตัวนัก ราวกับรอคอยเสียงเรียกเข้าจากมันมาตลอดเวลา

      “อืม....ได้สิ แล้วนี่อยู่ไหนเหรอ”

      “......”

        “อ้าว....เหรอ รอแป๊บนึงนะ”

        เสียงปอเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ พร้อมกับเท้าที่ก้าวออกนอกประตูบ้านเดินไปที่รั้วทำท่าชะโงก โยกตัว

สอดส่ายสายตาออกไปนอกประตู มองหาอะไร หรือใคร

      เสียงเปิดประตูบานเล็กให้คนข้างนอกลอดตัวเข้ามา ปืนได้ยินเสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามาในตัวบ้าน

อึดใจหนึ่งเจ้าของเสียงใส ๆ ที่พูดจาฉาดฉาน บอกแววฉลาด ก็ปรากฎตัวตรงช่องประตู

      หยินในชุดกระโปรงยืดตัวสั้นเลยสะโพกครึ่งคืบกับเสื้อรัดรูป แขนกุด สีหวานใส

ในรูปลักษณ์ที่ปืนไม่คุ้นตาเดินเยื้องย่างด้วยทีท่ามั่นใจอย่างสาวเปรี้ยว เข้ามาหา แล้วยกมือไหว้ปืนอย่างเรียบร้อย

      ปืนรับไหว้ยิ้ม ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว

      “นึกว่าสาวน้อยที่ไหน ที่แท้ก็น้องหยินนี่เอง วันนี้แต่งตัวสวยกว่าเมื่อวันงานอีกนะครับ มีนัดกับใครเป็นพิเศษรึป่าว”

      “ก็กำลังจะนัดอยู่เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะพี่ปืน”

      หยินทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวติดกับปืน กระแซะเข้ามาจนชิดพนักเท้าแขนที่ปืนวางแขนของตัวเองอยู่

      “ไปดูหนังกับหยินหน่อยสิคะ เหงาอ่ะ ไม่มีใครว่างไปเป็นเพื่อนหยินเลย”

      “พี่เหรอ”

      ปืนคาดไม่ถึงว่าหยินจะกล้าเอ่ยปากชวนเขาไปดูหนัง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยอยู่ตามลำพังกับหยินด้วยซ้ำไป

ความสนิทสนมที่มีต่อกันก็ผ่านปอเป็นตัวกลางทุกครั้ง แต่อยู่ ๆ มาชวนไปดูหนัง มันออกจะก้าวหน้าเร็วไปหน่อย

      หยินพยักหน้า

      “หยินชวนปอแล้วเค้าไม่ว่าง นะคะพี่ปืน ไปเป็นเพื่อนหยินหน่อยนะ”

      “พี่ไม่ชอบดูหนังครับ น้องหยินลองชวนเพื่อนคนอื่นดูดีมั้ย”

      “พี่ปืนไม่ชอบไม่เป็นไรค่ะ แค่ไปเป็นเพื่อนก็พอ นะพี่ปืนนะ หยินไม่มีใครไปด้วยเลยอ่ะ”

       เหวอ.....แบบนี้ก็มีด้วย ปืนบอกไม่ชอบดูหนังหยินกลับบอกไม่เป็นไร

       ด้วยนิสัยที่ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น สุดท้ายปืนก็จำใจไปดูหนังเป็นเพื่อนหยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้แต่ปอที่รู้นิสัยและควรจะเข้าข้างพี่ปืน ช่วยปฏิเสธหยิน ก็ยังนั่งเฉย

แถมยังบอกให้พาหยินไปเลี้ยงข้าวก่อนไปส่งที่บ้านอีกต่างหาก...มันเรื่องอารายว้า...

      หนังก็น่าเบื่อ แทบจะพูดได้เต็มปากว่าเขาหาวตลอดเรื่อง ตั้งแต่ฉากแรก จนฉากสุดท้าย

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าห่าม ๆ แก่น ๆ อย่างหยินจะชอบหนังรักโรแมนติกแบบนี้

      “พี่ว่าเราโทรชวนปอมากินข้าวด้วยกันดีมั้ยครับน้องหยิน”

      ปืนถามความเห็นพลาง มือขวาก็พยายามรูดดึงออกจากการเกาะกุมของหยินไปพลาง

เพราะตั้งแต่ออกจากโรงหนังจนเดินมาขึ้นรถ หยินยังไม่ยอมปล่อยมือเขาเลย

      “ไม่ต้องโทรหรอกค่ะพี่ปืน หยินว่าเราไปกินกันสองคนน่ะแหละดีแล้ว หยินหิวแล้วด้วย กว่าปอจะมาหยินก็หิวไส้ขาดกันพอดีสิคะ”

      “เอ้อ....งั้นพี่ว่าเราซื้ออะไรกลับไปกินที่บ้านดีกว่ามั้ย ไม่เสียเวลาด้วย เดี๋ยวพี่โทรถามปอว่าอยากกินอะไร

 แล้วเราไปซื้อกัน พี่ว่ามันไม่เสียเวลาด้วย แล้วยังได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วย ดีมั้ยครับ กินกันหลายคนอร่อยดีนะครับ”

      ปืนเสนอทางออกที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด และไม่พัวพันกับตัวเองที่สุด แต่หยินก็ยังไม่ค่อยจะชอบใจนัก

      “ก็ตามใจพี่ปืนแล้วกันนะคะ เพราะถ้าซื้อไปกินที่บ้าน เดี๋ยวพี่ปืนก็ต้องมาส่งหยินที่บ้านอยู่ดี

ย้อนไปย้อนมา เสียเวลาด้วย เปลืองน้ำมันด้วย แล้วหยินขอบอกไว้ก่อนนะคะพี่ปืนต้องออกมาส่งหยินที่บ้านด้วย

ห้ามบอกให้หยินโดยสารรถรับจ้าง ฮึ่”

      หยินทำท่าทางเจ้าแง่แสนงอน จนปืนชักละล้าละลัง ไม่นึกว่าแค่ออกมาเป็นเพื่อนดูหนัง มันจะบานปลายไปเป็นเรื่องอื่น

      “เอางี้...พี่ปืนไปกินข้าวทีร้านป๊าดีกว่าป่ะ หยินเลี้ยงพี่ปืนเอง อยากกินอะไรว่ามาเลย หยินจะบอกกุ๊กทำให้เป็นพิเศษ”

       อาหารมื้อค่ำสำหรับปืน ผ่านพ้นไปอย่างทรมานและเต็มไปด้วยอาการลุ้นว่าเมื่อไหร่หยินจะเอามือออกไปจากตัวเขาซะที

เพราะตลอดเวลาเจ้าหล่อนจะขยันตักโน่นนี่ใส่จานให้เขาชิม พอจะชวนคุยอะไรบ้าง ก็ต้องเอามือมาแตะแขน แตะขา

เผลอ ๆก็เอาแก้มมาแนบต้นแขนของปืนซะดื้อ ๆ เป็นภาพลักษณ์ใหม่ของหยินที่ปืนไม่เคยรู้และไม่คิดว่าจะได้เห็น

      หยินสาวน้อยแรกรุ่นที่เจอกันครั้งแรก ออกจะแก่น ๆ ห้าว ๆ ออกแนวหญิงปนชาย ไม่กลัวใครแบบนักเลงนิด ๆ

ไม่ใช่หญิงไทยใจกล้า ไม่กลัวชายแบบนี้ เปรี้ยวจนเข็ดฟัน


      อย่าคิดว่านั่นเป็นครั้งเดียวที่หยินมีโอกาสได้ล่วงเกินปืน...(เอาเข้าไป) เพราะหลังจากอาหารค่ำมื้อนั้นแล้ว

หยินก็มักจะมาที่บ้านบ่อย ๆ ในวันหยุด นึกว่าจะนั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนปอก็เปล่า พอปอไปเปิดประตูให้ก็เดินมานั่งใกล้ปืนซะทุกที

เรียกว่าปืนอยู่ไหน หยินก็จะหาจนเจอ นอกจากปืนจะทำอะไรอยู่ในห้องนอนนั่นแหละที่หยินจะไม่บุกเข้าไป (ก็ยังดี)

หลัง ๆ ถ้าปืนรู้ตัวก่อนก็จะหลบอยู่ในห้อง คิดว่าจะพ้น สุดท้ายปอก็มาตามให้ลงไปข้างล่างอยู่ดี

แต่ปืนก็พอใจว่ามีเวลาได้ผ่อนลมหายใจ พอไม่ให้อึดอัดบ้าง

      “พี่ปืนลงไปกินข้าวกันครับ”

      ปอมาตามอย่างเคย

      “เดี๋ยวพี่ตามไปนะ”

      ปืนพูดพลางถอนหายใจ

      “เป็นไรรึป่าวอ่ะพี่ปืน”

      “หือ”

      ปอเดินเข้ามาหยุดข้างโต๊ะที่ปืนกำลังจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ

      “ทำไมเหรอ”

      “ก็พี่ปืนดูเบื่อ ๆ ไม่สบายรึป่าวครับ”

      “ป่าวหรอก จัดของอยู่ไง จะให้พูดอะไรอ่ะ”

      “แต่ผมว่าพี่ปืนไม่อยากบอกผมมากกว่า”

      “ทำไมพี่ต้องทำอย่างงั้นล่ะ”

      “ผมจะไปรู้พี่เหรอ”

      อ้าว....ทำเสียงสะบัด ออกอาการงอนซะแล้ว จะบอกดีมั้ยเนี่ย ว่าปืนเบื่อญาติปอเต็มทีแล้ว

หนังสือหนังหาไม่เรียน เข้านอกออกในบ้านผู้ชายเป็นว่าเล่น ตื๊อซะจนน่าเกลียด

จากที่ปืนเคยเอ็นดูว่า หยินเป็นเด็กแก่น ๆ น่ารัก ๆ ตอนนี้เขาเริ่มรำคาญ  หยินคนเดิมหายไปไหนไม่รู้

เขาเห็นสาวน้อยเปรี้ยวจี๊ด ทำตัวแป็นตุ๊กแกเกาะไม่ยอมปล่อย ไปไหนยังกะเงาตามตัว

ปืนก็คิดซะว่าเป็นน้องเป็นนุ่ง เขาแก่กว่าตั้งหลายปี (ได้ข่าวว่าอายุหยินเท่าปอนะปืน)

หยินคงไม่คิดกับเขาเชิงชู้สาวหรอก แต่ยิ่งนานวัน หยินก็แสดงออกชัดเจนขึ้นทุกที

ข้างเจ้าปอก็ดูเหมือนจะสนับสนุนกลาย ๆ ทั้งที่นั่นน่ะ คู่หมายของตัวเองแท้ ๆ

ทำไมมันพัลวันพัลเกอย่างนี้ได้

      ปืนวางปึกกระดาษรายงานกองสุดท้ายไว้ในแฟ้ม เลื่อนไปไว้ด้านข้างโต๊ะก่อนจะหันมามองปอเต็มตา

      “แล้วปอล่ะเป็นอะไร”

      “ผม?...ผมเป็น....เป็นอะไร”

      แน่ะ ตะกุกตะกักเชียว ว่าแต่พี่ปืน เราก็มีความในใจเหมือนกันแหละน่า

      “พี่อยากรู้ว่าปอคิดอะไรอยู่”

      “ผมคิดอะไรเหรอครับ”

       ปืนเลิกคิ้ว เป็นเชิงถาม ก็ดูเถอะ ปืนถามคำ ปอก็ย้อนกลับมาเป็นคำถามได้ทุกคำ จะไม่ให้ผิดสังเกตได้ยังไง

แต่ที่ปืนไม่เข้าใจก็เรื่องที่ เขาสงสัยว่าปอจะรู้เห็นเป็นใจกับหยิน ในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเขา

เพราะหยินเคยไปหาเขาที่ทำงาน (ทั้งที่ไม่เคยไป) แล้วก็รอกลับบ้านพร้อมเขา โดยอ้างว่าจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน

ทั้งที่บ้านตัวเองก็ออกจะเป็นร้านอาหารมีชื่อ วันหยุดก็ขยันมาเยี่ยมบ้านซะจนหัวกระไดไม่แห้ง มาแต่เช้า

ถ้าไม่ชวนออกข้างนอกก็อยู่จนเย็นค่ำ กินข้าวเย็นเสร็จ ปืนก็ต้องพาไปส่ง...มันเรื่องอะไร

ชีวิตของปืนวนวียนอยู่อย่างนั้น ไม่เคยสงบสุขมาสองอาทิตย์แล้ว

อยากตะโกนลั่น ๆ ว่า กูรำคาญ ก็กลัวน้องจะเสียใจ

      สิ่งที่หยินทำไป ถึงแม้ปืนจะไม่ยินดี และคงไม่มีวันจะสนองตอบได้ แต่ปืนยังหาวิธีที่นุ่มนวลเพื่อจะบอกกับหยินตรง ๆ ไม่ได้

อย่างน้อยเขาก็ยังเอ็นดูแบบน้องสาว (ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารรสเลิศ....ผู้เขียน) เป็นคู่หมายของปอ

ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็ให้เกียรติเขารับรองราวกับลูกชาย จะทำอะไรลงไป เขาก็ต้องระวังความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวด้วย

      ปืนเดินไปปิดประตู สำรวจล็อกให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมานั่งขอบเตียง

      “พักนี้หยินมาบ้านเราบ่อย ๆทำอะไรแปลก ๆ ปอไม่รู้สึกผิดสังเกตมั่งเหรอ”

      “ก็...ก็ไม่...เอ้อ…ไม่เห็นแปลกตรงไหนนี่ครับ”

      “ไม่ไปเรียนหนังสือเนี่ย ไม่แปลกเลยรึไง ยังไม่ปิดเทอมนะปอ”

      “หยินเค้าลาออกแล้ว”

      “ลาออก?”

      “เค้าบอกเจ็กกะอี๊แล้วด้วย”

      “ทำไมหยินถึงลาออก”

      “เค้าเบื่อเรียนแล้วมั้ง พูด ๆ อยู่ว่าจะมาเรียนสายอาชีวะที่นี่”

      “เค้าคิดอะไรของเค้าน่ะ”

      ปืนพูดกลั้วหัวเราะ งง ๆ กับพฤติกรรมของหยินไม่พอ ยังมาได้ยินอะไรที่นึกไม่ถึงเข้าอีก

หยินนี่ทำอะไรธรรมดา ๆ กะใครเค้าไม่เป็นเลยสินะ

      “หยินเค้าชอบหาประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ พอได้อย่างที่เค้าต้องการแล้ว เค้าก็หาอะไรอย่างอื่นทำอีก”

      ปอเดินมายืนตรงหน้าปืน ตั้งใจจะย้ำให้ปืนเข้าใจการกระทำของหยิน

      “เค้าไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกครับพี่ปืน แค่ไม่ชอบอยูในกรอบ เค้าอาจจะคิดอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น

แต่ทั้งหมดก็ทำเพื่อความฝันของเค้าเองน่ะครับ”

      “เฮ้อ! ไม่เข้าใจอ่ะ ลูกคนรวย ๆ เค้าคิดอะไรกัน พ่อแม่มีเงินส่งเสียให้เรียน แต่กลับไม่ชอบเรียน

ชอบหาประสบการณ์ตามความฝันของตัวเอง มันจะเป็นความจริงได้รึป่าวก็ไม่รู้”

      “แต่ผมว่าเค้ากล้าหาญมากเลยนะครับพี่ปืน อยากทำอะไรเค้าก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ฝืน ชีวิตเป็นของเค้าเอง ผมสิ...”

      “ทำไม”

      “ป่าวครับ”

      ปอเดินหันหลังกลับไปที่ประตู ทำท่าจะเปิดออกไป

      “ไปกินข้าวกันเหอะพี่ปืน หยินเค้ารอเรานานแล้ว”

      ปืนพยักหน้าก่อนจะบอกให้ปอลงไปก่อน เหลือกระดาษโน้ตที่เขาต้องเรียบเรียงอีกสองสามแผ่น

ก่อนจะเก็บทั้งหมดลงกระเป๋าเอกสาร

      ลงมาถึงโต๊ะอาหาร ทุกอย่างก็พร้อมอยู่แล้ว   

      “พี่ปืนช้าจัง กับข้าวจะเย็นซะหมดแล้วนะคะ”

      “เก็บของอยู่น่ะครับ ที่จริงกินกันไปก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอพี่”

      “ไม่ได้สิคะ พี่ปืนอาวุโสสุด ต้องมาตัดริบบิ้น”

      “ริบบิ้นอะไรเหรอ”

      “โถ่ พี่ปืนอ่ะ ขำ ๆ ไม่เป็นมั่งรึไงคะ เราสองคนก็แค่อยากรอ นะปอนะ”

      ปอพยักหน้ายิ้มจืด ๆ หยิบจานช้อนออกมาวางเตรียมที่หัวโต๊ะให้ปืน

(ตรงไหนหว่า หัวโต๊ะ ก็มันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสนะ จำได้...ผู้เขียน)…(ก็มุมประจำของพี่ปืนเค้าแหละ…ปอ)

      ก็อย่างเคย...หยินจะคอยตักนู่นตักนี่ใส่จานปืนไม่ได้หยุดหย่อน จนปืนต้องยกจานหนี

      “พอแล้วครับ ที่อยู่ในจานพี่ก็จะกินไม่หมดอยู่แล้ว”

      “พอก็ได้ค่ะ แต่พี่ปืนต้องกินให้หมดนะคะ วันนี้ฝีมือหยินทำกับข้าวเองค่ะ

ถามปอเค้าว่าพี่ปืนชอบกินอะไร จะได้ซื้อของสดมาให้ครบ”

      “น้องหยินไม่น่าลำบากเลยนะครับ พี่กินอะไรก็ได้ เดินไปซื้อแกงถุงที่ปากซอยก็ยังได้

....อ้าว...ปออิ่มแล้วเหรอ”

      “ครับ อิ่มแล้ว ผมขอตัวไปทำรายงานก่อนนะครับ พรุ่งนี้ต้องเอาไปเรียบเรียงกับเพื่อนในกลุ่มอีก

ถ้าทำไม่เสร็จจะทำให้งานส่วนรวมเสียไปด้วย”

      ปืนมองตามหลังปอ ที่เดินไปวางจานในอ่างล้าง

      “หยิน ถ้าพี่ปืนกินเสร็จแล้ววางจานไว้นะ เดี๋ยวเรามาล้างเอง ขอเวลาซักครึ่งชั่วโมง

 พี่ปืนครับกินเสร็จแล้วพาหยินไปส่งบ้านด้วยนะครับ แล้วก็ไม่ต้องดึงดันล้างจานล่ะ ผมบอกแล้วว่าจะลงมาทำเอง”

      ปอเดินขึ้นบ้านไป ทั้งที่ในสมองกับหัวใจกำลังสับสนเต็มที

      เขาคิดถูกรึเปล่า ที่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่หยินต้องการ โดยไม่สนใจว่าปืนจะรู้สึกยังไง

อยู่กันมาเป็นปี ๆ ทำไมปอจะไม่รู้ว่าพี่ปืนอึดอัดเอามาก ๆ กับการกระทำของหยินที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจ

อยากลองเล่นเกมอะไรสักอย่าง ที่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ไม่ได้ให้ผลดีอะไรกับหยินเลย

ส่วนกับปอ ผลจะออกมาเป็นยังไงก็สุดรู้ เขารู้แต่ว่าตอนนี้เขาปวดใจเหลือเกิน กับภาพต่าง ๆ ที่ปรากฎตรงหน้า

กับเรื่องราวที่หยินเล่าให้ฟัง เวลาที่ไปไหนมาไหนกับพี่ปืน

      เรื่องรายงานเป็นเพียงข้ออ้างที่เขาจะไม่ต้องทนดู ทนฟัง สิ่งที่ทำให้ใจต้องเจ็บ ไม่มีหรอกงานที่ว่าน่ะ

มันเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะ ตอนนี้เขาไม่มีงานอะไรที่ต้องทำ มันว่างจนเกินไปด้วยซ้ำ

จะอ่านหนังสือเพื่อทบทวนตำรับตำรา อย่างที่เคยทำเสมอ จิตใจมันก็ฟุ้งซ่านสิ้นดี

ตัวหนังสือที่เรียงรายเป็นบรรทัด มันกลายเป็นโซ่เส้นเล็ก ๆที่บีบรัด และพันธนาการหัวใจให้เจ็บปวดรวดร้าว

จนลมหายใจแทบจะขาดห้วง

อีกนานมั้ยน้อ...หยินจึงจะหยุดเล่มเกมทรมานหัวใจปอแบบนี้ซะที
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-05-2012 23:19:28
       

       ครึ่งชั่วโมงผ่านไปด้วยความว่างเปล่า ป่านนี้พี่ปืนคงไปส่งหยินแล้ว ปอค่อยรู้สึกคลายจากอาการเศร้าหมองลงบ้าง

ออกจากห้องของตัวเองเดินลงบันไดมา เพื่อจะไปเก็บจานชามล้างให้เรียบร้อยก่อนพี่ปืนจะกลับเข้ามา

เขาจะได้ขึ้นไปซุกตัวอยู่ในห้อง วันนี้ยังไม่อยากพบเจอใบหน้าที่จะทำให้รู้สึกหวิวไหวจนใจแทบขาด

       ย่างเท้าลงเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย ปอก็แทบทรุดลงทั้งตัว เพราะภาพที่เห็นในห้องรับแขก

คือชายหญิงกอดรัดกันแนบแน่น บดจูบกันอย่างลืมโลก ไม่รับรู้ความเป็นไปรอบ ๆตัว

คนหนึ่งก็เพื่อนที่เหมือนน้อง อีกคนก็รักราวกับดวงใจ

   ......อีกแล้วหรือนี่

     ที่ปอรู้สึกเหมือนถูกมีดปลายแหลมบาดลึกลงบนเนื้ออ่อน ๆ ที่เรียกว่าหัวใจ

     กว่าจะรู้ตัวว่าร้องไห้ น้ำตาเม็ดโป้ง ก็หยาดลงถึงปลายคาง ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไม่เป็นรูปเป็นร่าง

จากภาพคนสองคนยืนกอดกันอยู่ห่างออกไป ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น

         มือที่เข้ามากุมนั้นใหญ่ นุ่มและอุ่น ทว่าแข็งแกร่งนัก เสียงของเขาแหบพร่าแต่อ่อนโยน

ปลุกปลอบให้ปอหยุดร้องไห้ แต่แรงสะท้อนในช่องอก เป็นระลอก กลับยิ่งทำให้ปอร้องไห้และสะอื้นหนักขึ้น

หยุดเมื่อไรคงแน่นไปทั้งอก ระบายมันออกมาซะยังจะดีกว่า

        แต่....พอแล้วเขาไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ ยิ่งยืนอยู่นานเท่าไร ก้อนแข็ง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

ก็คงจะระเบิดออกมาเร็วขึ้นเท่านั้น

       ปอก้มหน้า ดึงมือช้า ๆ ออกจากการเกาะกุมที่ไร้ความหวังใด ๆ เขาหันหลังให้กับคนคู่นั้น

ก้าวขาขึ้นบันไดอย่างอ่อนแรง ได้ยินเสียงสองเสียงเรียกตามหลังมา ปอก็ไม่คิดจะเหลียวกลับไปดู

ตอนนี้บอกตัวเองว่าขอหลบไปเช็ดน้ำตาให้ตัวเองก่อน

       ปอรู้ว่าความทุกข์ในใจที่เขาเจออยู่นี้ ไม่ใช่ความผิดของพี่ปืน ที่รักตอบปอไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของหยิน

ที่มาสะกิดความรู้สึกที่เขาพยายามกดมันลงไป และเขาคิดว่าตัวเองก็ไม่ผิดเหมือนกันที่จะรู้สึกรักใครสักคน

ก็แค่รักใครที่ไม่ควรรัก รักแล้วก็เลิกไม่ได้

      ห้องทั้งห้องช่างอ้างว้างเหลือเกินในเวลาที่รู้สึกว่าหัวใจไร้ที่พักพิง เขานอนมองเพดานอยู่นานเท่าไรไม่รู้เลย

น้ำตารินลงเปียกหมอนจนชุ่ม จนรู้สึกเย็นชื้นที่ท้ายทอย แต่ตอนนี้เขาหยุดร้องไห้แล้ว และกำลังปล่อยความคิดของตัวเอง

ล่องลอยไปเรื่อย ๆ นับจากวันที่ได้รู้จักผู้ชายตัวโต ๆ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว เนคไทสีเข้ม

      คนอะไรแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า รองเท้าหนังสีดำเป็นมัน กับกางเกงสีดำดูคมเข้ม

หล่อสมาร์ทบาดใจเสียจริง ๆ จำได้ว่าตัวเองรู้สึกสะดุดตาใบหน้าคม ๆ ที่โผล่พ้นเคาน์เตอร์ก่อนอื่นเลย

โชคดีที่วันนั้นเขากดคิวได้พนักงานหนุ่มรูปงามคนนั้นพอดี ยิ่งมาเห็นเต็มตาตลอดลำตัว

ปอก็ยิ่งประทับใจ ทั้งหล่อ ทั้งใจดี สมแล้วที่สาวรักสาวหลง เขาเองยังหลงเลย

ภูมิใจซะไม่มีล่ะ ที่มีพี่ชายเท่ ๆ หล่อ ๆ กะเค้าขึ้นมาบ้าง

...รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ยามที่ปอนึกถึงช่วงแรก ๆ ที่ยังเห่อพี่ชายคนใหม่

      ความรู้สึกนั้นมันผันแปรไปตั้งแต่เมื่อไรหนอ


      เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ใกล้ๆ เขาวางมันทิ้งไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง คร้านจะเอื้อมมือไปหยิบ

ปล่อยให้ดังไปเถอะ เขายังไม่พร้อมจะคุยกับใคร ถ้าสำคัญนัก พรุ่งนี้เช้าโทรมาใหม่ก็แล้วกัน

...นั่นไง เสียงเงียบไปแล้ว

      ปอพลิกตัวนอนตะแคง กอดอกคู้เข่าแนบลำตัว รู้สึกหนาวหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

ระหว่างหยินกับพี่ปืน มันเริ่มต้นตรงไหนนะ

      อ้อ...นึกออกละ

      หยินถามเขาเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเรา เขาก็บอกไปตามตรง ว่าเขามีแค่ความรู้สึกเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน

และคงเป็นอื่นไปไม่ได้ หยินพยักหน้าบอกว่า หยินก็เหมือนกัน เราสองคนจับมือกันแน่นและยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ

      หยินถามเขาตรง ๆ ว่าเขารักพี่ปืนมากมั้ย ตอนนั้นปองง ไม่กล้าตอบ

ไม่แน่ใจว่าคำนั้นมีความหมายยังไงในความรู้สึกของคนถาม จนกระทั่งหยินบอกว่า หยินสังเกตแววตาของปอ

ทุกครั้งที่มองพี่ปืน ไม่เหมือนแววตาที่ผู้ชายมองกัน และมันก็เกินกว่าแววตาที่น้องชายจะมองพี่ชายอย่างชื่นชม

      “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย”

      ปอตวัดเสียงไม่พอใจที่หยินพูดจี้ถูกจุด แต่ก็ไม่ได้โกรธ อาจจะมีอาย ๆ ปนบ้าง ถึงจะสนิทกันมากแค่ไหน

เรื่องนี้ปอก็ยังไม่อยากบอกหยินอยู่ดี

      “จะปากแข็งก็ตามใจนะ มีอะไรไม่บอก เราก็แค่รู้สึกว่าปอกำลังมีความรักก็แค่นั้น ไม่เห็นจะต้องมาทำฉุนเฉียวใส่เลย”

      “ไม่ได้ฉุนเฉียวนะ ก็หยินพูดอะไรก็ไม่รู้”

      “ไม่รู้จริงอ่ะ ปอไม่รู้แล้วพี่ปืนเค้ารู้รึป่าวล่ะ”

      “หยินนี่พูดจาวกวน พี่ปืนรู้เรื่องอะไร”

      “เฮ้อ!...วันนี้เราจะคุยกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย”

      หยินถอนใจอย่างรำคาญ ๆ แล้วก็พุ่งตรงประเด็น

      “ปอ...ปอรักพี่ปืนใช่มั้ย…อ้ะ ไม่ต้องตอบ ฟังเราอย่างเดียวพอ พี่ปืนเค้าคงยังไม่รู้ตัวหรอกมั้งว่าเค้าเองก็ใจเดียวกับปอ

...ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องพูด บอกให้ฟังเราไง”

       ปออ้าปากประท้วง แต่หยินขึงตาใส่ก่อน เลยต้องนิ่งฟัง

      “เราว่ามันไม่ง่ายเลยนะที่จะทำให้ผู้ชายคนนึงที่ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดายอมรับว่าตัวเองเป็นอะไรที่ไม่เหมือนผู้ชาย

ทั่ว ๆ ไป แล้วยังมีอุปสรรคสำคัญคือครอบครัวของทั้งสองฝ่ายน่ะ”

      วันนั้นปอฟังหยินพูดอะไรต่ออะไรยาวมาก ก็วันที่จัดงานขึ้นบ้านใหม่นั่นแหละ

มีคนสองคนมาเปิดประเด็นเรื่องพี่ปืนไว้ในหัวปอถึงสองคน นอกจากหยินก็คือพี่เอก

นอกจากการพูดคุยวันนั้นแล้ว ก็เกิดเรื่องอะไรต่ออะไรตามมาอีกหลายเรื่อง

จนที่สุดของที่สุดก็คืนนี้ ที่ปอได้เห็นภาพบาดตาบาดใจจากคนที่ปอรักทั้งสองคน

      ก่อนหน้าที่หยินจะทำตัวเป็นแขกประจำบ้าน เราสองคนมีข้อตกลงเล็ก ๆ กันอยู่

ปอยังขำว่าหยินคิดจะทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะเข้าท่า แต่ละครั้งที่หยินมาดักพบพี่ปืน

ก็ได้ปอนี่แหละคอยส่งข่าวทั้งที่ไม่ค่อยเต็มใจ หยินเองก็บอกว่าแค่ลองใจพี่ปืน

อยากรู้ว่าเป็นอย่างที่หยินคิดหรือเปล่า ตอนนั้นปอได้แต่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

แต่ถึงห้ามหยินก็คงไม่รับฟัง นิสัยอยากทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ แก้ยังไงก็ไม่หายซะที

      ขอให้สิ่งที่ปอเห็นเป็นแค่การลองใจอย่างที่หยินว่า ความจริงแล้วต่อให้หยินรักพี่ปืนจริง ๆ

แล้วสองคนนี้ได้ลงเอยกันจริง ๆ ปอก็คงร่วมรู้สึกยินดีไปด้วย แต่ปอก็รู้อยู่เต็มอกว่าหยินไม่ได้คิดกับพี่ปืนในแง่นั้น

แล้วพี่ปืนล่ะ ผู้ชายอ่ะนะ ต่อให้ไม่รักก็มีเซ็กส์ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่รักนั่นแหละ

      โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ปอหยิบมันมาดูอย่างเกียจคร้าน

      ....หยิน....

      ไม่อยากคุยกะใครเลย แต่ถ้าไม่กดรับหยินคงจะคิดว่าปอโกรธ

      “มีอะไรเหรอหยิน”

      ปอพยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด แต่รู้สึกว่ามันก็ยังอู้อี้เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

      “เป็นอะไรรึป่าว”

      ......

      “อืม ไม่น่าถามเนอะ แต่เราคิดว่าปอต้องเข้าใจเรานะ”

      “เข้าใจ”

      น้ำเสียงยังราบเรียบ ไม่บอกอารมณ์คนพูด

      “เหอะ ตอนนี้เรารู้ว่าปอต้องสียใจมาก แต่เชื่อเรานะ ไม่นานหรอก ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่เราคิด

แต่จำไว้ว่าไม่มีใครช่วยปอได้ทุกอย่าง ถ้าปอไม่ช่วยตัวเองบ้าง”

      “แค่นี้ใช่มั้ย”

      “อืม...วันนี้ปออาจจะเสียน้ำตาบ้าง แต่ถ้าปอไม่รู้จักตัดสินใจทำอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป

ปอจะต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต”

      ........

      “จำไว้นะ ไม่มีใครช่วยปอได้ตลอดหรอก ถ้าปอไม่ช่วยตัวเองประเดี๋ยวถ้ามีใครมาเคาะประตูก็เปิดรับเค้าซะด้วย

แล้วก็เริ่มคิดได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป”

      “ใครจะมา”

      “ก็คอยดูสิ บ้านนั้นมันจะมีใครซักกี่คนเล่า”

      “อืม”

      “พี่ปืนน่ะอยู่ในกำมือปอแล้วนะ”

      ตื้ด......

      หึหึ....ปอหัวเราะขำคำพูดของหยิน พี่ปืนอยู่ในกำมือเหรอ....ตลกล่ะ


      ในวินาทีที่ปอเปิดประตูออกไป เห็นใครคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า หลังจากที่ได้ยินเสียงก๊อก ๆ เบา ๆ 

เขาบอกตัวเองได้ทันทีว่า จะไม่มีวันปล่อยให้คน ๆ นี้หลุดลอยไปแน่ ๆ แต่ก่อนที่ปอจะตัดสินใจคว้าไว้

เขาต้องทำให้ตัวเองแน่ใจว่า แวบแรกที่เขาเห็นเงาอะไรบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ตาฝาด

      “เป็นอะไรไป”

      “ป่าวครับ”

      ปอหันหลังเดินกลับมานั่งขอบเตียง หยิบหมอนที่หนุนนอนจนน้ำตาเปียกชุ่มมากอด หลบด้านเปียกไว้ชิดลำตัว

      “โกรธพี่เหรอ”

      ปอส่ายหน้า

      “พี่ขอโทษ”

      “ไม่ต้องหรอกครับ พี่ปืนจะขอโทษผมทำไม ในเมื่อพี่ปืนไม่ได้ทำผิดต่อผมซะหน่อย”

      “อ้า...ก็พี่....ก็ปอ...”

      ไปไม่ถูกเลยพี่ปืน ปอคิดว่าเขาพูดถูกที่สุดแล้วนะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ปืนจะต้องขอโทษ

นอกเสียจากว่าจะรู้สึกผิด แต่ผิดตรงไหนล่ะ ผิดที่จูบหยินแล้วปอไปเห็นเหรอ....เรื่องของคนจูบกัน

เขาสิต้องขอโทษที่เสือกลูกกะตาไปดูคนเค้ากำลังจู๋จี๋กัน (ถึงหยินจะบอกว่าแค่ลองใจก็เถอะ)

อย่างน้อยมันก็เป็นการเสียมารยาทไม่ใช่เหรอ

      “พี่ปืนควรจะขอโทษหยินมากกว่าที่ไปล่วงเกินเค้า”

      ปอเหลือบตามองร่างสูง ๆ ที่ยืนนิ่งตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ

      “รึว่าพี่ปืนชอบหยินจริง ๆ ก็ตกลงกันซะให้ดี หยินเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งน้องของผม

ถ้าเค้าได้คนดี ๆ อย่างพี่ปืนผมก็หมดห่วง”

      “จะไปกันใหญ่แล้วนะปอ พี่ไม่เคยคิดอะไรกับหยินแบบนั้นซักหน่อย”

      “แล้วไปทำกับเค้าอย่างนั้นทำไมล่ะครับ อย่าบอกนะว่าหยินให้ท่าพี่ปืนก่อนน่ะ”

      “ใช่”

      “พี่ปืน!!!”

      ปอแทบจะตะโกนใส่หูคนตรงหน้า

      “ก็มันจริงนี่ เค้าท้าพี่ก่อนนะ”

      “แล้วพี่ปืนก็รับท้าเหรอ เค้าท้าว่าอะไรล่ะครับ ถึงกับต้องเอาปากชนกันแบบนั้นน่ะ”

      “ก็หยิน....”

      แล้วพี่ปืนก็ไม่กล้าพูด ปอไม่แน่ใจว่าหยินท้าอะไรพี่ปืน แต่ก็คิดว่าคงเป็นอะไรที่ร้ายแรง

จนทำให้พี่ปืนจนตรอกถึงขนาดทำแบบนั้นได้

      “ไม่มีเหตุผลเลยนี่ครับ”

      “ไม่ต้องมาไล่ต้อนพี่ แล้วปอล่ะ ทำไมต้องเดินหนีขึ้นบ้าน ทั้งที่พี่เรียกตั้งไม่รู้จักกี่ครั้ง ก็ไม่ยอมหยุด

แล้วพี่ก็เห็นนะว่าปอร้องไห้”

       ปอค้อนวงใหญ่ ที่ถูกอีกฝ่ายตอกย้ำ

      “ตาบวมหมดแล้วดูสิ”

      พี่ปืนเชยคางปอให้เงยขึ้นเพื่อจะดูร่องรอยของคนขี้แย ปอไม่หลบสายตาปล่อยให้สายตาสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น

จนรู้สึกมือที่จับปลายคางสั่นน้อย ๆ แล้วพี่ปืนก็เป็นฝ่ายเมินหลบไปก่อน

      “รีบเข้านอนเหอะ พรุ่งนี้เรียนเช้าไม่ใช่เหรอ คอยดูนะตาจะบวมปูดให้ได้อายเพื่อนกันมั่งหรอก

นี่ถ้าเพื่อนถามจะบอกว่าอะไรเนี่ย...ฮึ”

      “อกหัก”

      ปอก้มหน้างุดกับหมอนที่กอดไว้ แล้วพูดใส่มันเบา ๆ แต่ก็ยังมีเสียงลอดออกมาให้คนแถวนี้ได้ยิน

      “หือ?...ปอว่าอะไรนะ”

      “ป่าว”

      “เหรอ นึกว่าพูดกับพี่”

      พื่ปืนสะบัดหัวเบา ๆ จะผละไป

      “ไปเอาผ้าชุบน้ำอุ่นให้ผมหน่อยสิครับ”

      “เอามาทำไม”

      ปืนชะงักเท้าที่เตรียมจะก้าว

      “เอามาประคบตาอ่ะ มันจะได้ยุบ”

      “หายเหรอ”

      “ทีแผลบวมช้ำมันยังหายเลยนี่นา ตาก็เหมือนกันแหละน่า”

      “งั้นลงไปข้างล่างกัน เดี๋ยวพี่ทำให้”

      “ไม่เอาอ่ะ พี่ปืนเอาขึ้นมาให้หน่อยนะครับ ผมอยากนอน”

        พูดไปปอก็ทำท่าเอนตัวลงนอน แต่พอวางหมอนลงกับฟูก เท่านั้นเองพี่ปืนก็ดิ่งมาที่ปอ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ถามออกมาด้วยเสียงแหบพร่าแทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง

      “นี่ร้องไห้ขนาดนี้เชียวเหรอฮึ...ปอ”

      มือใหญ่แข็งแรง ไล้นิ้วไปบนปลอกหมอนเปียก ๆ ที่ยังเป็นรอยแผ่กว้างให้เห็นเด่นชัด

....ก็มันยังกะน้ำหกใส่ลงไปทั้งแก้วนี่นา

      “ฮื้อ พี่ปืนอ่ะ ไหนบอกไปเอาน้ำอุ่นมาให้ผมไง”

       ปืนพูดอะไรไม่ออก เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในอก ลำคอก็ตีบตันเสียจนรู้สึกว่า

ถ้าไม่รีบหายใจลึก ๆ ตัวเองอาจจะขาดใจตายได้

      กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่เขาทำให้น้องต้องร้องไห้ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งปืนก็ต้องแข็งใจ

เพราะมันเป็นธรรมดาอยู่เองที่การจะตัดใจจากคนที่รัก มันต้องทนทรมานใจไปสักระยะ

ปอเจ็บก็ใช่ว่าพี่ปืนจะไม่เจ็บนะ.....แต่ระหว่างเรามันจะเกิดขึ้นไม่ได้

....ความรักที่จับต้องไม่ได้ เป็นจริงไม่ได้

      หรือว่าเขาจะคิดผิดที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ พาปอมาอยู่ร่วมบ้านกันเป็นครอบครัว

  หวังแค่เพียงความเป็นพี่เป็นน้องจะยังคงอยู่ต่อไป

      หยินนี่ร้ายนัก ทำตัวเป็นสาวเปรี้ยวเที่ยวยั่วยวนผู้ชาย ที่แท้ก็....

      ปืนย้อนนึกถึงเมื่อประมาณสามสี่ชั่วโมงที่แล้ว ก่อนจะไปส่งสาวน้อยคนนั้นที่บ้าน

      “พี่ปืนไม่รู้สึกอะไรกับหยินมั่งเหรอ”

      หยินย่างเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ไม่สนใจคำชวนของปืนที่บอกให้ไปขึ้นรถเพื่อเขาจะไปส่งที่บ้าน

      “หือ?”

      ปืนแทบไม่เชื่อหู ไม่เชื่อลูกกะตาตัวเอง ที่สาวน้อยคนที่คุ้นเคยจะกล้าทำท่าชะม้อยชะม้ายชายตาให้เขา

ราวกับสาวร้อนสวาทก็ไม่ปาน พักนี้ก็ขยันนุ่งกระโปรงสั้นซะจริง ๆ ความยาวก็แทบจะไม่พอดีฝ่ามือ

ส่วนเสื้อนั่นก็แนบเนื้อรัดรูปซะจนเห็นสัดส่วนชัดเจน แทบไม่ต้องจินตนาการอะไรต่อ

เป็นน้องเป็นนุ่งแท้ ๆ จะฟาดซะให้หายซ่า

      “หยินไม่น่ารักเหรอ”

      “ก็น่ารักตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป”

      ปืนตอบแค่พอพ้นไปที แล้วสาวเท้าเดินนำออกมาจนถึงบริเวณชุดรับแขก เขาต้องแสดงให้หยินเห็นว่า

เขาไม่ได้คิดอะไรกับรูปร่างกลมกลึงในชุดยั่วยวนนั้นเลยซักนิด จะได้เลิกคิดนอกลู่นอกทางกับเขาซะที

      “เพื่อนหยินเค้าว่าหยินน่าฟัดทั้งนั้นแหละ”

      “ทำไมพูดจาไม่น่ารักอย่างนี้ พ่อแม่มาได้ยินเข้าจะว่ายังไง”

      ปืนเอ็ดเสียงแข็ง ให้รู้ซะบ้างว่า เป็นสาวเป็นนางทำปากรั่วอย่างนี้จะพาลเสียไปถึงพ่อแม่

สาวน้อยยักไหล่ เดินตามมาประชิด เอื้อมแขนเรียวมาเกี่ยวไหล่ปืน ใบหน้าแหงนเงยเป็นนางแมวยั่วสวาท

เห็นแล้วอยากจะฟาดซักเปรี้ยง แต่ปืนก็ยังยืนเฉย ๆ รอดูซิว่าจะไปถึงไหน

      “โอ๊ย! เค้าชินแล้วล่ะค่ะพี่ปืน ก็ไม่เห็นเหรอ เวลาพี่ปืนไปกินข้าวที่บ้านหยินน่ะ

แม่เค้าทำตาเขียวไปงั้นแหละ อย่างมากก็ตีซักเผียะ”

      ปืนปัดแขนเรียว ๆ ออกจากไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง

      “พอเหอะน้องหยิน พี่ก็ยอมให้น้องหยินแสดงอะไรต่ออะไรมามากแล้วนะ แต่พี่ขอบอกไว้ก่อนว่า

พี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของน้องหยิน จะมาทำอาการแบบนี้มันไม่เหมาะ น้องหยินเป็นผู้หญิง

ไม่ควรปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับผู้ชายแบบนี้ มันมีแต่จะเสียหาย”

      “อ๊อ....แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะคะ จะเสียหายรึป่าว”

      “ผู้ชายเค้าไม่เสียหายอะไรหรอก ยิ่งผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เค้าก็ถือว่าเต็มใจ

เกิดปัญหาอะไรทีหลัง จะไปให้เค้ารับผิดชอบเค้าก็ไม่เล่นด้วย”

      ปืนพยายามอดทน ค่อย ๆ อธิบายให้หยินเข้าใจ แต่ดูเหมือนหยินจะไม่ได้รับรู้อะไรเลย

ยังคงตาเยิ้มเสียงใสใส่ปืนหนักขึ้นกว่าเก่าซะอีก

      “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ หยินหมายความว้า....”

      หยินตวัดแขนขึ้นมาโอบรอบคอใหม่

      “ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง พี่ปืนว่า....มันจะมีอะไรเสียหายรึป่าว”

      ปืนอึ้ง

      “แบบว่าไม่ใช่หยิน แต่เป็นปอ พี่ปืนจะเล่นด้วยมั้ยคะ”

      “พูดอะไรเนี่ยน้องหยิน”

      ปืนเริ่มสั่น สองมือแกะหนวดปลาหมึกที่พันเกี่ยวรอบคอพัลวัน แต่ไม่มีทีท่าว่ามันจะหลุดออกง่าย ๆ

หรือเพราะว่าเขาไม่มีแรง ร่างตรงหน้าเริ่มเบียดเข้ามาชิด

      “พี่ปืนไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ เวลาที่หยินกอดแบบนี้”

      “ปล่อย...น้องหยิน”   

      “พี่ปืนก็บอกหยินมาก่อนสิคะ ว่าถ้าไม่ใช่หยินแต่เป็นปอ พี่ปืนจะรู้สึกดีกว่านี้มั้ย จะกอดตอบมั้ย”

      “อย่ามาพูดบ้า ๆ แบบนี้นะน้องหยิน ปอมาเกี่ยวอะไรด้วย”

      “ปากแข็งทั้งคู่เชียวนะ หยินก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะปากแข็งกันไปถึงไหน คนอื่นอาจจะไม่ทันสังเกต

แต่หยินเห็นนะ เวลาพี่ปืนมองดูปอน่ะ มันไม่เหมือนพี่ชายมองน้องชายซักนิด ส่วนปอก็เหมือนกัน”

     “นี่ กลับบ้านไปเลย ถ้าน้องหยินพูดเหลวไหลแบบนี้ พี่จะไม่ไปส่งบ้านแล้วนะ”

       “พอถูกจับได้ก็รีบไล่เชียวนะคะ”

       “จับได้อะไร น้องหยินพูดอะไรไม่รู้เรื่อง พี่กับปอก็อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ใคร ๆ ก็เห็น”

       “ก็นั่นสิคะ ก็พยายามให้เค้าเห็นแบบนั้นนี่นา คนที่เค้าไม่ได้เข้ามาเห็นอย่างที่หยินเห็นอยู่ทุกวันก็คงไม่รู้หรอก

รึไม่อีกทีก็คงคิดไม่ถึงเอาเลย แม่ปอก็เถอะ คงไม่รู้หรอกมั้งว่า....”

       “น้องหยินหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาพูดอะไรเหลวไหล”

       “แน่ใจเหรอคะว่าหยินพูดเหลวไหล หยินไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสีประสานะคะพี่ปืน ไม่ต้องมาทำเนียน

ไอ้สายตาแบบเนี้ยะ เห็นแล้วมันฟ้องไอ้ที่อยู่ในใจพี่ปืนหมดแหละ พี่ปืนรู้มั้ยคะ ว่าปอน่ะเค้าคิดว่าพี่ปืนไม่ได้มีใจให้เค้าเลย

แต่หยินเห็น หยินบอกปอแล้วแต่เค้าก็ไม่เชื่อหยิน”

       ปืนทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ทำอะไรก็ไม่ได้ ปฏิเสธไปหมดทุกทางแล้ว หยินก็ยังไม่เชื่อ

ก็นะ....เด็กคนนี้มันฉลาด ตาไว แถมรู้เท่าทันคนไปซะหมด เพียงแต่ปืนไม่ทันตั้งตัว

ว่าจะต้องมายืนให้หยินต้อนซะจนมุมวันนี้เท่านั้นเอง

       “พี่ก็ไม่ใช่เด็กที่น้องหยินจะมาหลอกล่อเล่น ๆ เหมือนกัน ตามใจนะ ถ้าน้องหยินปักใจอย่างนั้นพี่ก็ไม่รู้จะว่ายังไง

แต่พี่ยืนยันว่า พี่กับปออยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ไม่ได้คิดอะไรนอกลู่นอกทางอย่างที่น้องหยินเข้าใจ”

      ....พี่ไม่ได้โกหกนะน้องหยิน....อยู่กันอย่างพี่อย่างน้องจริง ๆ แต่ความในใจเป็นยังไงอ่ะ มันอีกเรื่องหนึ่ง

      “แล้วพี่ก็เป็นผู้ชายแท้ ๆ ร้อยเปอร์เซ็น ถึงพี่จะไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องหยิน มันก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะ

ชอบ...เอ้อ....ผู้ชาย”

      “อ๊ะ เหรอออออ”

      หยินยิ้มเจ้าเล่ห์เข้าใส่ ดูน่าหมั่นไส้ซะ

      “พิสูจน์สิคะ”

      “พิสูจน์อะไร”

      “พิสูจน์ว่าพี่ปืนเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไงคะ”

      “ทำไมต้องพิสูจน์ พี่เป็นอะไรพี่รู้ตัวดี”

      “พิสูจน์ให้หยินแน่ใจหน่อย”

      “ถ้าพี่ไม่ล่ะ”

      “งั้นหยินก็ว่าตัวเองคิดถูก...คอนเฟิร์ม”

      “พี่ไม่จำเป็นต้องทำให้น้องหยินแน่ใจ แค่พี่รู้ตัวเองดีก็พอ”

      “งั้นก็ช่วยพิสูจน์ให้หยินมั่นใจหน่อยสิคะว่าพี่ปืนไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายด้วยกัน

 หยินจะได้ช่วยให้ปอหักใจจากพี่ปืนได้เร็ว ๆ มันดีกว่าการที่ต่างคนต่างซื้อเวลากันอยู่อย่างนี้

จะรักไม่รักก็บอกออกมาให้ชัดเจน ไม่ต้องมาทำหน้าชื่นอยู่ด้วยกันแบบพี่น้อง ทั้งที่มันไม่ใช่”

      “ใครบอกว่ามันไม่ใช่ พี่ไม่รู้ว่าน้องหยินต้องการอะไรกันแน่ บอกมาแล้วกันว่าพี่ต้องพิสูจน์ยังไง”

      แล้วบทพิสูจน์ของหยินก็ทำเอาน้องต้องร้องไห้โดยที่ปืนไม่ได้ตั้งใจ ความจริงหยินต่างหาก

ที่เริ่มต้นโน้มคอเขาลงไปจูบก่อน แล้วปืนก็รู้สึกว่าหยินบดริมฝีปากลงมาอย่างตั้งใจจะให้เคลิบเคลิ้ม

แต่ให้ตายเถอะ ที่เขาไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย มันไม่คุ้มเลยที่ไปท้าอะไรพิเรนทร์แบบนั้น

เขาเองรู้ดีว่า นานมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์กับใครคนไหน

อย่าว่าแต่กับผู้หญิงคนที่เคยมีอะไรด้วยเลย แม้แต่กับผู้ชายคนไหนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากแม้แต่จะสัมผัส

ทั้งที่ก็เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นไบ แต่ตอนนี้ปืนไม่รู้แล้วว่าเขาเป็นอะไรกันแน่

รู้เพียงอย่างเดียวว่าปอคนเดียวเท่านั้นที่หัวใจเขาต้องการ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 21-05-2012 23:25:04
   

       เสียงลงบันไดตึง ๆ บอกให้รู้ว่าคนที่เดินลงมารีบขนาดไหน ปืนกำลังสวมถุงเท้าอีกข้างที่เหลือเสร็จพอดี

ปอก็กระหืดกระหอบมายืนตรงหน้า

       “นึกว่าไม่ทันซะอีก”

       “มีอะไรเหรอ รึว่าจะออกไปพร้อมพี่”

       สังเกตเห็นชุดนักศึกษาที่ปอสวมมาเรียบร้อยพร้อมกับเป้คู่กาย ปืนก็เดาได้ไม่ยาก แต่ทีอดจะแปลกใจไม่ได้

เพราะปอไม่เคยไปมหาวิทยาลัยเช้าขนาดนี้มาก่อน

       “ครับ พี่ปืนไปส่งผมนะ”

       ปืนก้มมองข้อมือ นาฬิกาเรือนสามหมื่น (ที่ปอให้เป็นที่ระลึก) บอกว่าเขามีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะเปิดแบ็งก์

นั่นหมายความว่า เขามีเวลาเตรียมงานก่อนเวลาไม่มาก ปืนลังเลไม่นานก็พยักหน้า ไม่รู้ว่าปอเห็นหรือเปล่า

เพราะว่า....นู่น เผ่นแผล็วไปเปิดประตูรถยัดเป้ใบเก่งเข้าไปวางบนที่นั่ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรั้วเตรียมไว้รอให้ปืนเอารถออก

       ระหว่างทางปอชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ เหมือนว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตาสองข้างที่บวมเพราะร้องไห้ก็ยุบแล้ว

เพราะได้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ

       ปืนจอดรถเทียบหน้าคณะของปอเหมือนทุกครั้งที่เคยมาส่งกัน ดูเหมือนเพื่อนของปอจะรอกันอยู่ใต้ตึก

พอเปิดประตูลงไปได้ ก็โบกมือกันไสวเชียว

       “ผมเลิกก่อนเที่ยงนะพี่ปืนแล้วจะไปหาที่แบ็งก์”

       ประตูปิดดังปัง จากนั้นเจ้าของเสียงก็รีบจ้ำไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ปืนได้แต่ออกรถมาด้วยความมึนงง

กับความเปลี่ยนแปลงข้ามคืนของปอ ร่างบาง ๆ ที่มีส่วนสูงไม่เกินชายไทยมาตรฐาน ก้าวกระโดดขึ้นบันไดหน้าตึกอย่างร่าเริง

รอยยิ้มกว้าง กับประกายตาสดใส ที่ทิ้งสายตาไว้ก่อนลงจากรถพร้อมคำบอกเล่าแกมบังคับไม่ให้ปืนไปไหน

นอกจากรออยู่ที่ทำงาน

       ดูจะเป็นลางดีที่ปอไม่ได้หมกมุ่นกับเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาไปมากมายเมื่อคืนนี้ แต่ทำไมปืนถึงตะหงิด ๆ ในใจก็ไม่รู้

....แต่เอาเหอะ ขอเพียงปอไม่ร้องไห้ เขาก็สุขใจแล้ว หนำซ้ำปอยังยิ้มแย้มแจ่มใสเริงร่าราวกับต้นไม้ได้ฝนแบบนี้

เขายังจะกังวลใจไปทำไมอีก


       ข้าวแกงธรรมดา ๆ แต่วันนี้ปืนรู้สึกว่ารสชาติมันอร่อยกว่าทุกวัน ไม่รู้เป็นเพราะไอ้คนตรงหน้านี่หรือเปล่า

แกงส้มยอดมะพร้าวกับกุ้ง ยอดมะพร้าวเปื่อยไปหน่อย แต่ก็ดีเหมือนกัน นิ่มดี ไม่ต้องเคี้ยวมากก็แหลกพร้อมกลืนลงคอได้เลย

กุ้งตัวเล็กไปหน่อย แต่ก็สดนะ ปลาทอดกระเทียมรสอ่อน แต่ก็ดี รสชาติจะได้ไม่ไปแข่งกับหมูทอดน้ำปลาของโปรดของเด็กตะกละ

วันนี้มีผัดผักกะหล่ำปลี แต่ปอไม่ชอบก็ไม่สั่ง ทั้งที่เป็นของชอบของปืน จะสั่งเพิ่มก็มีเสียงห้าม

       “พอแล้วพี่ปืน กับข้าวเยอะแยะ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก เสียดาย”

       “แต่มื้อนี้ไม่มีผักเลยนะ”

       “ก็ผมไม่ชอบกะหล่ำปลีนี่นา เหม็นเขียว”

       “แล้วจะกินผักมั่งได้มั้ยเนี่ย”

       “ก็กินนะครับแต่ไม่ใช่กะหล่ำอ่ะ หมูทอดน้ำปลานี่อร่อยนะครับ หมูนุ่มดี เค้าปรุงไม่เค็มเกินไปด้วย”

       พูดเรื่องกินผักล่ะเป็นงี้ทุกที โดยเฉพาะกะหล่ำปลีนี่ไม่รู้เป็นไง ไม่ชอบเอาจริง ๆ จัง ๆ

วันไหนปืนอยากกิน ก็ต้องหาซื้อ เพราะคนไม่ชอบกะหล่ำปลี จะไม่ยอมผัดให้ แถมไม่ซื้อหัวกะหล่ำปลีสดติดบ้านเอาซะอีก

       เสร็จจากมื้อเที่ยงปอก็แบมือยื่นมาตรงหน้า อะไร...จะขอตังค์รึไง

       “กุญแจรถครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับ”

       “ใครจะขับ”

       “ผมไง”

       “ไปแอบหัดตอนไหน”

       “แอบอะไรกันเล่า ผมขับรถเป็นตั้งแต่ม.4 แล้ว ผมอ่ะลูกพ่อค้านะครับ ป๊าใช้ให้รับส่งของประจำแหละ”

       ไม่รู้นี่หว่า....ว่าแล้วปืนก็ล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจรถให้ไป ก็ห่วงอยู่นะ ไม่เคยรู้ว่าปอขับรถได้

แต่ถ้าป๊าใช้งานเป็นประจำก็คงไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกมั้ง

       ปอคว้าหมับทั้งมือคนยื่น ทั้งกุญแจที่อยู่ในมือ  แทนที่จะฉวยไปแค่กุญแจ เล่นเอาปืนต้องเหลียวหน้าเหลียวหลัง

กลัวใครจะเห็นผิดสังเกต

       “เลิกเรียนแล้วผมจะรีบมานะครับ”

       ปอเดินแกมวิ่งไปที่รถ ก่อนขึ้นไป ยังโบกมือให้ปืนที่ยืนส่งอยู่หน้าแบ็งก์ ปืนยืนมองตามไปด้วยใจที่ยังเต้นระทึก

เนื่องจากการกระทำเมื่อครู่ของปอยังไม่ตกตะกอน อะไรที่ตะหงิด ๆอยู่เมื่อเช้า ตอนนี้เริ่มจะก่อกวนเขาอีกแล้ว


       ปอขับรถอย่างสบายอารมณ์ เห็นพี่ปืนทำหน้าเอ๋อ ๆ แล้วอยากจะขำซะให้กลิ้ง นิสัยซน ๆที่เคยฝังไว้ลึก ๆ ข้างใน

วันนี้เขาจะงัดมันออกมาใช้กับพี่ปืน เอาให้หัวปั่นไปเลย ล่อหลอกกับหัวใจเขามาหลายหน ถึงเวลาน้องปอจะเอาคืนละนะพี่ปืน

       จากวันนี้ไปปอจะควบคุมพี่ปืนไม่ให้ห่างสายตา เมื่อไรที่ว่างจากเรื่องเรียนและเรื่องกิจกรรม จะคลอเคลียซะ

ให้เบื่อกันไปข้างนึงเลยเชียว

       ปอเชื่อมั่นในสิ่งที่หยินบอก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยินแนบแน่นและมั่นคง ราวกับพี่น้อง ต่างคนก็ต่างคิดเหมือนกัน

คือปรารถนาให้อีกฝ่ายมีความสุข และพลอยทุกข์ใจไปด้วยเมื่ออีกฝ่ายเจอมรสุมในชีวิต หยินบอกว่าพี่ปืนก็ไม่ต่างอะไรกับเขา

ปอก็ยังลังเล แต่เมื่อคืนนี้เขาว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นร่องรอยของความรักและความห่วงใยในแววตาของพี่ปืน

       น้องปอไม่ใช่เด็กแล้วนะครับพี่ปืน....มีหัวใจ และรักเป็น อย่าทำเป็นเล่นกับความรักอย่างนี้ ชีวิตเรามันแสนสั้น

ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ ทำไมเราไม่แสวงหาความสุขให้หัวใจอิ่มเอิบ เขาอาจจะฝันเฟื่องมากไปที่คิดว่าความรักแบบนี้

มันจะเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ แต่นาทีนี้ เมื่อต่างคนต่างใจตรงกัน ทำไมเราจะปล่อยให้มันลอยผ่านไปเฉย ๆ ล่ะ

...ปอจะคว้าพี่ปืนไว้ให้ได้คอยดูนะ     


       การจะตื่นแต่เช้าและออกจากบ้านพร้อมพี่ปืนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับปอ เพราะปกติมีเรียนสาย ไม่ก็บ่าย

ต่อให้มีคาบเรียนจนถึงค่ำ ก็ยังไม่น่าเหน็ดเหนื่อยเท่ากับการต้องตื่นเช้าแบบนี้ แต่ปอก็อาศัยแรงบันดาลใจ

จากพี่ปืนนี่แหละ ทำให้สะบัดตัวเองออกจากที่นอนได้ในที่สุด จนตอนนี้เขาเริ่มชินกับการตื่นพร้อมพี่ปืน

และด้วยความที่วัยรุ่นอย่างปอไม่ต้องเสียเวลานานกับการแต่งตัว ทำให้เขามีเวลาเตรียมอาหารเช้าสำหรับพี่ปืนได้ด้วย

       ในขณะที่ปืนพิถีพิถันกับการติดกระดุมเสื้อเชิ้ตขาว สอดสายเข็มขัดกับหูกางเกง บรรจงจัดปมเนกไท

และสวมรองเท้าหนังดำเป็นมัน ปอก็ต้มน้ำชงกาแฟให้พี่ปืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาหารเช้าก็แสนง่าย

เพราะพี่ปืนก็ใช่ว่าจะเลือกกินของวิเศษ ปอแค่เดินไปข้างบ้าน หยิบปาท่องโก๋ที่ทอดตั้งแต่ตีห้า มาสิบคู่

พี่ปืนก็กินได้กินดี (เลี้ยงง้ายง่ายเน้อะ) บางวันก็เป็นข้าวเหนียวหน้าสังขยา หน้าปลา หน้ากุ้ง อะไรสักห่อ สองห่อ

พี่ปืนก็ตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนปอได้นมกล่องบ้าง น้ำเต้าหู้บ้าง แค่นี้ก็แน่นท้องแล้ว

ไอ้ครั้นจะไม่กินอะไรเลย พี่ปืนก็เซ้าซี้คะยั้นคะยอซะจนปอต้องตามใจ

       วันไหนที่ปอเรียนแค่ช่วงเช้า ก็นัดพี่ปืนกินข้าวเที่ยงกัน บางทีก็นัดเจอที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย

พี่ปืนก็อุตส่าห์ขับรถมา เสร็จจากมื้อเที่ยงปอก็ตีรถไปส่งพี่ปืนที่ทำงาน ก่อนจะมานอนเล่นที่บ้านรอเวลาไปรับพี่ปืนตอนเย็น

คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากกว่าช่วงไหน ๆ ที่ผ่านมา แต่ปอจะไม่ขอแค่นี้หรอกนะ

เขาจะต้องได้มากกว่านี้ในวันต่อไป


       วันนี้มีฝนหลงฤดูตกลงมาแต่เช้า ซึ่งเป็นวันที่ปอไม่มีเรียน เพราะอาจารย์ขอเลื่อนไปสอนวันเสาร์

พี่ปืนก็เลยให้ปอไปส่งที่ทำงาน แล้วเอารถกลับมาเผื่อปอจะใช้

       แต่พอถึงที่ทำงาน ยังไม่ทันที่ปอจะลงจากรถ เอาร่มกางไปส่งพี่ปืนที่หน้าบันไดขึ้นสำนักงาน

ใครก็ไม่รู้ปราดเข้ามาเอาร่มมาเทียบตรงประตูรถด้านพี่ปืนนั่งพอดี ดูว่าจะเด็กกว่าพี่ปืนไม่กี่ปี

น่าจะเป็นพนักงานใหม่ ปอมองทะลุกระจกหน้ารถด้วยความสนใจใคร่รู้ ในขณะที่พี่ปืนหน้าบานยิ้มไม่หุบ

แล้วก็เดินไปกับเขา โดยไม่หันมาสบตาปอสักนิดเลย

       พอใกล้เที่ยง พี่ปืนก็โทรมาบอกว่าวันนี้จะพาน้องใหม่ไปเลี้ยงข้าว ปอไม่ต้องไป

....เออ...ให้มันได้อย่างงี้นะ ต้องเป็นไอ้หนุ่มคนเมื่อเช้าแน่ ๆ เลย แต่ก็เอาเหอะ กะอีแค่รับน้องใหม่

ปอเองก็ยังต้องเจอ...แต่ไอ้อาการหน้าบานของพี่ปืนเมื่อเช้านี้มันยังไง ๆ ก็ไม่รู้

 ไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ปืนส่งยิ้มแบบนั้นให้ใคร

       ใกล้เวลาเลิกงานของพี่ปืน ปอก็เอารถไปจอดรอที่ด้านข้างที่ทำงาน เปิดประตูรถออกมายืนโต๋เต๋แถวนั้นเป็นการฆ่าเวลา

หลายคนทะยอยเดินลงมาแล้ว ปอรออยู่พักใหญ่ ๆ ตอนที่คาดว่าใคร ๆ น่าจะกลับกันหมดแล้ว

พี่ปืนถึงได้ปรากฏตัวพร้อมใครอีกคน....ไอ้คนเมื่อเช้าน่ะเอง

       “ปอ นี่พี่นู.....นู นี่ปอ”

       “หวัดดีครับพี่นู”

       ปอยกมือไหว้ตามอาวุโส...เห็นว่าแก่กว่าหรอกนะ แต่ในใจเริ่มที่จะไม่ชอบไอ้หน้าขาวคนนี้ซะแล้ว

       “หวัดดีครับ”

       ไม่ต้องมายิ้มเลย ไม่ได้อยากรู้จัก

       “เดี๋ยวไปส่งพี่นูที่บ้านก่อนนะ กุญแจอ่ะ”

       ปอยื่นกุญแจส่งให้ เอื้อมมือไปเปิดประตูจะก้าวขึ้นไปนั่ง แล้วก็ชักเท้ากลับเกือบไม่ทัน

       “ปอไปนั่งข้างหลังนะ พี่กับพี่นูมีเรื่องจะคุยกัน”

       โหย....อะไรกันนักกันหนาเนี่ย คุยกันที่ทำงานทั้งวัน ไม่พอรึไง มีต่อในรถอีก...ปอได้แต่เขม่นเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

กับสีหน้าที่เรียบเฉย ภาวนาว่าขอให้เขาเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ให้สนิท พีปืนจะไม่ชอบเลย

ถ้าปอเผลอแสดงอาการไม่มีสัมมาคารวะออกไป เขายังไม่อยากผิดใจกับเพื่อนพี่ปืน

เพราะกลัวพี่ปืนจะไม่ชอบใจ กับเพื่อน ๆ ของเขาพี่ปืนต้อนรับด้วยท่าทีเป็นมิตร ยิ้มแย้มไม่มีที่ติเสมอ

เขาก็จะทำแบบเดียวกัน อย่างน้อยก็เพื่อมารยาทอ่ะนะ


       บ้านพี่นูอยู่ไกลจากที่ทำงานมากทีเดียว แทบจะออกนอกเมืองก็ว่าได้ ดูแล้วคงไม่มีรถส่วนตัวมา

ตอนเย็นพี่ปืนมาส่ง แล้วตอนเช้ามายังไง

    แล้วความก็มากระจ่างเอาตอนที่พี่นูลงจากรถ

    “ตอนเช้ามารับนะ เจ็ดโมงครึ่งเสร็จทันมั้ย”

       “ไม่เป็นไรครับพี่ปืน ตอนเช้าพี่ผมเค้าไปส่งอยู่แล้ว”

       “เอางั้นเหรอ แล้วตอนเย็นทำไมเค้าไม่ไปรับล่ะ”

       “เค้าเลิกงานไม่เป็นเวลาครับ ผมกลับเองสะดวกกว่า ขอบคุณพี่ปืนมากครับ ที่มาส่ง แต่พรุ่งนี้ผมคงไม่รบกวนแล้ว”

       “อย่าบอกนะว่าจะขี่ไอ้มอไซไปอ่ะ”

       “ทำไมอ่ะครับ ผมก็ขี่ของผมอยู่ทุกวัน ร่อนมันจนทั่วเมืองแล้วล่ะครับ”

       “แต่ที่ทำงานมันไกลนะ จะเหนื่อยซะเปล่า ๆ พี่ว่า พี่มารับที่บ้านดีกว่ามั้ย”

       “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ แล้วอีกอย่าง ไปไหนมาไหนคนเดียวจนชินแล้วครับ เวลามีใครมารอแล้วผม...เอ้อ....”

       “ทำไมเหรอ”

       “รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้ครับ”

       “อ้าว.. อย่างงี้ก็มีด้วย งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าวันไหนไม่อยากขี่ รึว่าฝนตก ต้องการใช้บริการ ก็โทรหาพี่ได้ทุกเวลานะ”

       “ขอบคุณครับพี่ปืน...ขอบคุณนะครับปอ”

       “ครับ”

       จะมาขอบคุณทำไมกันเนี่ย ไม่ได้ขับรถให้นั่งซะหน่อย คิดไปอย่างงั้น แต่ปอก็ยังอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้

ก็หน้าตาพี่นูยิ้มใสซื่อขนาดนั้น นี่ถ้ารู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จะขอบคุณเขาแบบนี้มั้ยนะ

       พอพี่ปืนออกรถ ปอก็ก้าวขาข้ามไปนั่งที่เบาะหน้าทันที หันไปเห็นพี่ปืนอมยิ้มที่มุมปาก

แถมได้ยินเสียงหัวเราะในคอแว่วมาเบา ๆ แล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เผลอตัวกระแทกหมัดไปที่ต้นแขนพี่ปืน

...ก็ไม่แรงหรอก ทำเป็นสะดุ้งไปได้

       “อะไร...เจ็บนะ”

       ปากพูดว่าเจ็บ แต่นัยน์ตาระยิบระยับเชียว ตกค้างมาจากคนที่ลงไปเมื่อตะกี้แน่เลย

       “ก็ผมหมั่นไส้”

       “หมั่นไส้ใคร ใครไปทำอะไรให้ ตอนไหน”

       “หมั่นไส้พี่ปืนไง อารมณ์ดีจริงนะครับ”

       “อ้าว...คนอารมณ์ดีก็ว่า...หึหึ”

       หัวเราะอีกล่ะ ท่าทางจะชื่นมื่นเกินไปซะแล้ว

       “ผมหิวข้าวแล้วอ่ะ”

       “ทำไมหิวแต่วัน นี่มันไม่ทันจะหกโมงเลยนะ”

       “ก็ข้าวเที่ยงยังไมได้กินนี่นา”

       “แล้วทำไมไม่กิน อยู่ได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้เป็นโรคกระเพาะกันมั่งหรอก”

       “ก็พี่ปืนไม่ให้ผมไปกินข้าวด้วยนี่”

       “แล้วมันเกี่ยวกันที่ไหนเล่าปอ พี่บอกแล้วว่าเลี้ยงน้องใหม่ ก็พี่นูนี่ไง เค้าเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงเดือนเลย

พอดีช่วงนี้เค้าเปลี่ยนรอบพักกลางวัน มาเป็นรอบเดียวกับพี่ ก็เลยถือโอกาสเลี้ยงรับซะหน่อย

แล้วพี่ก็เป็นพี่เลี้ยงสอนงานเค้าด้วย”

       “ไม่รู้อ่ะ แค่นั้นไม่เห็นต้องกีดกันผมเลยหนิ กินด้วยกันก็ได้”

       “อ้าว....เอ๊ะ..ปอ ทำไมวันนี้งอแง”

       “ผมไม่ได้งอแงนะ ก็แค่เลี้ยงข้าว ทำไมต้องไปกันสองคน ผมไปกินด้วยไม่ได้รึไง รึว่าพี่ปืนไม่อยากให้ผมไปเป็นก้าง”

       “เกเรอีกต่างหาก”

       “ผมไม่ได้เกเรนะ ผมแค่อยากกินข้าวกับพี่ปืน มันผิดตรงไหนเหรอ”

       รถจอดหน้าบ้านพอดี ปอกระโดดลงอย่างรู้หน้าที่เพื่อไปเปิดประตูรั้ว

บ้านเรายังไม่มีเงินพอจะมีรีโมทเปิดปิดประตูรั้วอย่างบ้านคนรวย ๆ แค่ซื้อบ้านเงินก็หมดแล้ว

แถมเฟอร์นิเจอร์ ยังต้องมีสปอนเซอร์เลย ดีนะที่พี่ปืนมีเงินกู้สวัสดิการพนักงาน ดอกเบี้ยแสนถูก

ไม่งั้นป่านนี้ก็ยังอยู่คอนโด แสนอุดอู้อยู่นั่นเอง (แหม อยู่มาได้ตั้งนาน เพิ่งจะมานึกว่ามันอุดอู้)

       ปิดประตูรั้วตามหลังเสร็จ ปอก็จ้ำเอา ๆ ขึ้นบันไดเข้าห้องส่วนตัวของตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่กับบ้าน

พร้อมที่จะเข้าครัว

         เดี๋ยวนี้ฝีมือทำกับข้าวของปอก้าวหน้าไปมาก เพราะว่าพอติดขัดตรงไหนก็โทรถามแม่

ยิ่งตอนนี้ปอมีคนให้ถามเพิ่มมาอีกคน...ก็แม่ของพี่ปืนไง เขาก็เลยทำอาหารได้หลากหลายขึ้น

แม่ของพี่ปืนมักจะให้ทำอาหารไทยพื้น ๆ ที่บางทีก็หากินในร้านอาหารตามสั่งไม่ได้ เพราะผักบางอย่าง

ไม่เป็นที่นิยมของคนเมือง มีอยู่วันหนึ่งที่ปอทำผักเหลียงต้มกะทิ  พี่ปืนเห็นแล้วตาโต กินข้าวได้มากเป็นพิเศษ

แค่นี้ปอก็ยิ้มหน้าบาน ปลื้มอกปลื้มใจไปหลายวัน (คนโบราณบอกว่าเสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนตาย...นู)

       วันนี้ปอลงมือทำกับข้าวที่ปอแสนเกลียด แต่เป็นของโปรดของพี่ปืน เมื่อเช้านี้ไปเดินดูร้านขายกับข้าวสดใกล้ ๆบ้าน

ได้กุ้งทะเลสด ๆตัวขนาดนิ้วโป้งมาครึ่งกิโล ปอก็จัดการเด็ดหัวเหลือแต่หางใส่ช่องแข็งไว้แล้ว ได้กะหล่ำปลีขนาดย่อมมาหัวนึง

พี่ปืนกินคนเดียวก็ยังเหลือ แครอทเหลือท่อนสั้น ๆ อยู่ในตู้เย็นเหลือจากปั่นน้ำผักเมื่อสองวันก่อน

กุ้งที่เหลือก็ต้มยำน้ำใส ใส่แต่เครื่องต้มยำก็แล้วกัน...ก็เมื่อเช้าอ่ะสิ ปอกะไว้แล้วว่าจะเอาเห็ดฟางที่เห็นขยุ้ม ๆ

กองไว้ในตะกร้าเล็ก กะว่าน่าจะพอใส่ต้มยำซักหม้อ(เล็ก) ยัยหัวฟูนั่นมาจากไหนไม่รู้ จับเทลงถุงขึ้นตาชั่งเฉยเลย

รู้งี้ปอบอกแม่ค้าไว้ก่อนดีกว่า เห็ดฟางน่ะของชอบปอซะด้วย

       ได้เวลาตั้งโต๊ะ ทั้งผัดกะหล่ำปลีกับกุ้ง ต้มยำกุ้ง ไข่เจียวกุ้ง ก็วางกันสะพรึ่บอยู่บนโต๊ะอาหาร

ข้าวร้อน ๆ ควันฉุยจากหม้อไฟฟ้าถูกตักใส่จาน รออีกคนมาร่วมวง พี่ปืนลงมาเห็นกับข้าวบนโต๊ะคงทำหน้าแปลก ๆแน่เลย

เพราะเมนูวันนี้มีแต่กุ้ง ก็ดันซื้อมาตั้งครึ่งกิโล เก็บไว้ก็จะไม่สด กิน ๆ ให้หมดทีเดียวดีกว่า

       “ปอ เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกนะ เค้าเลี้ยงน้องใหม่กัน”

       “อะไรนะครับ”

       ปอมองพี่ปืนในชุดลำลอง เสื้อโปโลสีเขียวน้ำทะเล กางเกงผ้าเดอนิมสีครีม หิ้วรองเท้าหนังสีทรายไว้มือข้างหนึ่ง

เตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอกเต็มที่ ดูก็รู้ว่าอาหารมื้อนี้พี่ปืนคงไม่กิน

       “ก็ไหนว่าพี่ปืนเลี้ยงไปแล้วเมื่อเที่ยงไง”

       “นั่นน่ะพี่เลี้ยงเอง ที่ไม่ได้ให้ปอไปด้วยก็เพราะบางทีเราคุยกันเรื่องงาน แล้วปอก็เป็นคนนอก

เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะที่จะเปิดเผย แต่คืนนี้น่ะ พี่ ๆ หลายคนเค้าชวนกันไปดื่ม”

       “อ้อ...ครับ ผมเป็นคนนอก งั้นพี่ปืนก็ไปเถอะครับ ผมกินคนเดียวได้”

       ปอเก็บจานช้อนส้อมเข้าที่หนึ่งชุด เพราะอีกคนไม่มาร่วมวง แล้วเดินออกไปหน้าบ้าน เตรียมเปิดประตูรั้วให้อย่างเคย

       พี่ปืนถอยรถออกไปจอดที่ถนนหน้าบ้าน แล้วลงมาหาก่อนที่ปอจะปิดประตูรั้ว

       “พี่จะรีบกลับ ที่จริงตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไม่อยู่นาน ผัดกะหล่ำปลีน่ะ เดี๋ยวจะกลับมากินนะ

เป็นครั้งแรกที่พี่จะได้กินของโปรดด้วยฝีมือปอ ยังไงก็ไม่พลาดอยู่แล้ว”

       พี่ปืนยีผมยาว ๆ ของปออย่างมันเขี้ยว รู้ด้วยว่าปอตั้งใจทำให้ แค่นี้ปอก็ยิ้มออกแล้ว

       “ครับ ผมจะรอกินพร้อมพี่ปืนนะ”


 
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 21-05-2012 23:46:00
พี่ปืน!!!
ทำไมทำงี้
เดี๋ยวแม่ตบกลิ้งเลยเว้ยเฮ้ย
 :beat:  :angry2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 22-05-2012 14:31:17
ตอนนี้เซ็งอิตาพี่ปืนจัง :m16:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 22-05-2012 15:15:38
อ้างถึง
อย่าว่าแต่กับผู้หญิงคนที่เคยมีอะไรด้วยเลย แม้แต่กับผู้ชายคนไหนเขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากแม้แต่จะสัมผัส
ทั้งที่ก็เคยคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นไบ แต่ตอนนี้ปืนไม่รู้แล้วว่าเขาเป็นอะไรกันแน่
รู้เพียงอย่างเดียวว่าปอคนเดียวเท่านั้นที่หัวใจเขาต้องการ

ประทับใจจัง  :m1:
ดีค่ะ เพราะตอนนี้น้องปอจะรุกแล้วนะ
คุณนูในเรื่องนี่คนเดียวกับคนเขียนป่ะเนี่ย แหม มาเป็นก้างน้องปอได้ไง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 23-05-2012 19:00:59
รบกวนน้องปอช่วยตบบ้องหูไอ้พี่ปีนซักทีสิ เริ่มรำคาญแล้วน๊ะ  :z6:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 21/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 23-05-2012 20:54:05
สำหรับเงื่อนไขที่คุณนูจะมาอัพนั้น ... รับได้ค่ะ ^ ^ ขอบคุณนะคะ

แล้วก็มาอัพยาวสมใจคนอ่าน อิอิ แต่ไม่ประทับใจอีตาปืนเลย ให้ตายเถอะ    :m16:
อยากจับเอาหัวโขกแรงๆ ฮึ้ย!
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-05-2012 23:40:33

ผมก็หมั่นไ้ส้ปืนมัน   :m16:





   ปัญหาเรื่องพนักงานใหม่ของพี่ปืนยังไม่จบลงแค่นั้น เป็นเพราะพี่ปืนเป็นคนมีน้ำใจ

แล้วก็ช่างเป็นห่วงคนรอบข้างเสมอ ตกเย็นถึงต้องคอยไปส่งที่บ้านเป็นประจำ

วันไหนที่พี่นูไม่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไปทำงาน พี่ชายจะเป็นคนไปส่ง

และบ่อยครั้งที่ไม่ได้ไปรับกลับ ปอได้ยินทั้งคู่คุยกันตอนขากลับที่นั่งไปด้วยกันว่า

พี่ชายพี่นูทำงานเลิกไม่เป็นเวลา พี่นูถึงได้อาศัยกลับกับพี่ปืน


      นับวันปอยิ่งได้รู้จักตื้นลึกหนาบางในตัวพี่นูมากขึ้น จนคุ้นเคยกันมากกว่าเดิม

จะเรียกว่าสนิทสนมก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก  แต่ก็คุยกันมากขึ้น

เพราะการที่ปอไปรับพี่ปืนที่ทำงานตอนเย็นทุกวัน ทำให้ได้เจอหน้าพี่นูบ่อย ๆ

ก็เป็นไปอย่างที่พี่นูเคยบอกว่า วันไหนขี่มอเตอร์ไซค์มาเอง พี่นูก็กลับเอง

บางวันก็โดยสารรถพี่ปืน ระหว่างทางก็ได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันมากขึ้น


      วันนี้ปอก็มารับพี่ปืนอย่างเคย แล้วพี่นูก็กลับบ้านด้วยกัน แต่คราวนี้พี่ปืนชวนพี่นูไปนั่งเล่นที่บ้านก่อน

กินข้าวปลาอาหารเสร็จแล้วจะไปส่ง ได้ยินว่าพี่นิวไปต่างจังหวัด พี่นูต้องอยู่บ้านคนเดียว กินข้าวคนเดียวคงไม่อร่อย

      “รบกวนปอหน่อยนะครับ”

      “ไม่เป็นไรครับ ปกติก็กินกันแค่สองคนพี่ปืน มีพี่นูมาร่วมวงก็ครึกครื้นดีครับ

พี่นูอยากกินอะไรบอกผมนะครับ ผมทำให้”

      “เอางั้นเหรอ พี่ว่าเราช่วยกันทำดีกว่า แวะซื้ออาหารสดก่อนกลับดีมั้ยครับพี่ปืน

ผมจะทำหมูทอดขมิ้นให้ลองชิม”

      “ก็ไอ้หมูทอดกระเทียมล่ะมั้งนู อะไรที่ทอด ๆ น่ะของชอบปอเค้าเลย

พี่กินอะไรไม่ยากหรอก ไม่ต้องคิดเมนูพิเศษให้ยุ่งยาก”

      “งั้นแวะตลาดนัดก่อนเข้าบ้านนะครับ จะได้ดูของสด ๆไปด้วย”

       เป็นอันว่าได้ผักสด เนื้อสดมาทำอาหารเย็นกินกันมากมายไปหมด

ปอได้สูตรหมูทอดขมิ้นมาอีกแล้ว ดูเหมือนจะธรรมดา แต่การซอยใบมะกรูดเป็นฝอย

โรยลงไปในกะทะก่อนจะทอดหมู ช่วยขับให้กลิ่นหมูคลุกขมิ้นหอมชวนกินขึ้น

เครื่องปรุงเหมือนหมูทอดกระเทียมพริกไทยอย่างที่พี่ปืนบอก เพียงแต่ตำขมิ้นสดคลุกลงไปด้วยแค่นั้นเอง

และเทคนิคก็อยู่ที่การหั่นเนื้อหมูตามลายขวางให้บางพอที่จะทำให้เนื้อหมูกรอบนุ่มนี่เอง

      ส่วนของปอก็ทำไก่ผัดน้ำพริกเผาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ กับต้มแซ่บกระดูกหมู

มีกับข้าวสำเร็จที่ซื้อมาจากตลาด แม่ค้าบอกว่าเป็นผัดเผ็ดแลน 

(ก็ตะกวดนั่นแล....ผมจะเอาภาพมาลงให้ดูก็เกรงใจพี่น้องที่ไม่ชอบหน้ามัน

 แต่อยากจะบอกว่า เนื้อมันหรอยจังหูจริง ๆนะครับ)

      ยังไม่ทันจะได้เริ่มลงมือกินมื้อเย็น พี่ปืนก็ตั้งวงซะแล้ว ดูท่าพี่นูคงไม่ใช่นักดื่มเพราะนั่งอยู่นาน

จนเหล้าพี่ปืนหมดไปครึ่งขวด กับโซดาไม่กี่ขวด แต่พี่นูเพิ่งจะจิบเบียร์เป็นขวดที่สอง

ปอเรียกว่าจิบเพราะอาการพี่นูเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ส่วนของปอก็น้ำอัดลมสีดำ

กินซะจนในท้องเต็มไปด้วยน้ำ สุดท้ายข้าวในหม้อก็ไม่พร่องเลยแม้แต่เม็ดเดียว

      โทรศัพท์ของปอดังขึ้น ขณะที่ปอคิดว่าควรจะแยกวงได้แล้ว ดูท่าว่าเขาจะต้องเป็นคนขับรถไปส่งพี่นูที่บ้านแน่ ๆ

เพราะคนที่ชวนตั้งวง แถมยังอาสาไปส่งบ้าน นั่งคอพับคออ่อนอยู่กับโซฟา   

      และแล้วก็งานเข้า เมื่อทางปลายสายซึ่งเป็นเพื่อนในคณะที่ทำงานกลุ่มเดียวกันบอกว่า

เอกสารที่เตรียมไว้สำหรับการพรีเซนต์พรุ่งนี้ติดไปกับรถเพื่อนอีกคนนึง ที่อยู่คนละคณะ

และตอนนี้เพื่อนคนนั้นก็กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้ว เพื่อไปงานศพของญาติผู้ใหญ่

      “แล้วทำไมเพิ่งมารู้เอาตอนนี้ล่ะวะไอ้เวท”

      ปอหัวเสียกับคำบอกเล่าที่ฟังดูแล้วขาดความรับผิดชอบของเพื่อนที่เป็นคนเก็บเอกสารทั้งหมด

      “ก็ไอ้เหมมันกลับถึงบ้านแล้วเห็นแฟ้มเอกสารวางอยู่เบาะหลังรถอ่ะมันก็เลยโทรมาถามกูถึงได้รู้”

      ฝ่ายโน้นตอบมาเสียงอ่อย ๆ เพราะรู้ตัวว่าผิดเต็มประตู เรื่องลืมเอกสารไว้ในรถคนอื่นก็ยังพอว่า

แต่รถคันนั้นตอนนี้มันอยู่อีกจังหวัดนึง ห่างกันประมาณ 200 กว่ากิโลเมตรจะถ่อไปยังไงปอยังไม่มีหนทางเลย

บ้านเพื่อนคนนั้นอยู่ตรงไหนก็ไม่เคยรู้ เพิ่งจะได้รู้จักกันตอนรับน้องนี่แหละ คิดแล้วยิ่งเครียด

ไม่น่าฝากงานไว้กับคนแบบนี้เลย

      “โถ่โว้ย! แล้วป่านนี้จะไปทำอะไรทันวะ”

      “กูเก็บไฟล์ไว้บางส่วนอ่ะ มึงมาดูหน่อยได้ป่าว ว่าต้องเพิ่มอะไรอีก”

      ปอลังเลว่าจะเอาไงดี พี่ปืนก็หมดสภาพ ไปส่งพี่นูไม่ได้แน่ งานก็ต้องทำ เพื่อน ๆ ไปรอปออยู่ที่หอไอ้เวทแล้ว

ถ้าเขาไม่ไป ก็ต่องานกันไม่ได้ เพราะข้อมูลดิบส่วนที่เป็นเปเปอร์เขาเป็นคนเก็บ

ที่เสียเวลามากคือการลอกข้อมูลพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ข้อมูลสถิติอีกประมาณสิบตัวอย่าง

คงต้องใช้เวลาทำกันทั้งคืน…ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำเสร็จหรือไม่   

      “เพื่อนโทรมาเหรออออ...ปอ”

      พี่ปืนยังมีแก่ใจส่งเสียงอ้อแอถามมา

      “ครับพี่ปืน ผมคงไปค้างที่หอไอ้เวทนะคืนเนี้ยะ ต้องทำรายงานใหม่ทั้งฉบับ พรุ่งนี้สาย ๆ มีพรีเซนต์ด้วย”

    ปอมองไปที่พี่นูแล้วบอกต่อ

      “ผมไปส่งพี่นูเลยดีกว่า พี่ปืนคงไม่ไหวแล้วมั้ง”

      “ไม่เป็นไรหรอกปอ รีบไปเถอะ เดี๋ยวพี่โทรบอกให้พี่นิวมารับก็ได้”

      “นีววววค้าววววจามาถูกเหรอออออ....ค้าววววม่ายเคยมาบ้านพี่น้า”

      พูดออกไปแบบนั้นแล้วพี่ปืนจะช่วยอะไรได้เหรอครับพี่ปืนครับ

      “จะยากอะไรครับ สมัยเรียนผมก็เคยมาบ้านเพื่อนหลายครั้ง มันอยู่ซอยถัดจากบ้านพี่ปืนไปหน่อยเดียวเอง

พี่นิวเค้าก็รู้จัก ผมอ่ะเจ้าถิ่นนะครับพี่ปืน”

      “เออ....ลืมปายยยย”

      “ผมไปได้แน่นะครับพี่นู พี่ชายจะมารับแน่นะ ถ้ายังไงผมไปส่งก่อนก็ได้”

      “ไปเถอะ พี่นิวเค้าไม่มีปัญหาหรอก โทรบอกคำเดียวก็มาแล้ว ปอไม่ต้องห่วงนะ พี่ปืนเนี่ย เดี๋ยวพี่จัดการให้”

      พี่นูคงจะมองออกว่านอกจากปอจะห่วงเรื่องพี่นูจะกลับบ้านยังไงแล้ว ปอยังห่วงพี่ปืนอีกว่า

หลังจากพี่นูกลับแล้วพี่ปืนคงจะหลับไปกับโซฟาตลอดคืนแน่ ๆ

      “งั้นผมฝากด้วยนะครับ ถ้าไม่ใช่งานด่วนผมก็ไม่ไปเหมือนกัน ปกติผมก็ไม่เคยไปค้างที่อื่นหรอกครับ

ห่วงเค้า ยิ่งไม่ค่อยจะรู้สติแบบนี้ผมไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวเลยครับ”

      “พี่ก็คงจะค้างไม่ได้หรอกปอ แต่เอาเหอะ กว่าพี่นิวจะมาก็คงดึกหน่อย พี่จะอยู่เป็นเพื่อนพี่ปืนก่อนก็แล้วกัน

ไม่ต้องห่วงนะ...อีกแก้วสองแก้วก็พับแล้ว”

      ประโยคท้ายพี่นุกระซิบเบา ๆ แค่ได้ยินกันสองคน

      “อาราย ๆ สองโคนนี้ ซู้บบบซี้บบบรายกานนนน”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-05-2012 23:42:34



************************NOO**************************




         หลังจากปอออกไปไม่นาน สถานการณ์เป็นไปตามที่ผมทำนาย ปืนพับกลิ้งลงไปบนโซฟาอย่างไม่เป็นท่า

ผมได้โอกาสโทรหาพี่นิว แต่เค้าก็ไม่รับสาย มันทำให้ผมรู้สึกกังวลมาก

เพราะปกติถ้าไม่ติดประชุม รึว่าอยู่ระหว่างพูดคุยกับลูกค้า พี่นิวจะรับสายผมแทบจะทันที

เพราะเค้าจะตั้งเสียงเรียกเข้าไว้เป็นเพลงโปรดของผม แต่นี่ผมต่อสายมาสองสามเที่ยวแล้ว

ปล่อยให้มันตัดสายไปเอง ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

         ผมเก็บโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยขวดเหล้ากับโซดา จานกับข้าวที่ยังไม่ค่อยพร่องเท่าไหร่

จานเปล่าผมเก็บล้างจนเรียบร้อย เพราะไม่อยากปล่อยทิ้งไว้ถึงรุ่งเช้า

ยังไงซะผมว่าคืนนี้ปอคงไม่กลับบ้าน อาจจะกลับเช้าแล้วรีบไปพรีเซ็นต์งานกับอาจารย์ทันที

แค่นี้ไม่เหลือบ่าฝ่าแรง อยู่กับพี่นิวผมก็เคยเก็บทำบ่อยไป เวลาที่แม่บ้านไม่อยู่บ้าน

         กลับมานั่งมองปืน แล้วชักสงสาร ทิ้งไว้ตรงนี้กว่าจะถึงเช้าก็คงเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว

รุ่งเช้ายังต้องไปนั่งเคาน์เตอร์บริการลูกค้าทั้งวัน....ผมเลยตัดสินใจที่จะแบกปืนขึ้นไปบนห้อง

         หนักไม่ใช่เล่นนะเนี่ย

         ปืนตัวสูงกว่าผมเกือบจะเท่าพี่นิว แต่ไม่กำยำเท่า ก็คงนิสัยเจ้าสำอางนี่แหละ ที่ทำให้ปืนหมั่นออกกำลังกาย

ดูแลหุ่นให้เพรียวอย่างมีกล้ามเนื้อ ผมเองยังอดชื่นชมรูปร่างเค้าไม่ได้เลย เค้าเคยพูดเล่นในกลุ่มเพื่อนว่า

อยากเป็นนายแบบ ถ้าไม่ติดว่าหน้าบ้าน ๆ ตัวดำ ๆ เค้าก็คงได้ไปเดินบนแคทวอล์คไปแล้ว ผมก็เห็นจริง

(แต่ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้หลงตัวเองขนาดนั้นหรอก) เพราะเค้าจัดว่าเป็นคนหน้าตาคมคายทีเดียว

ผิวของปืนใส ๆ ไม่ขาว ดูรู้ว่าเป็นคนผิวสองสีค่อนข้างคล้ำ แต่พออยู่ในร่มนานเข้า ผิวก็เลยไม่คล้ำ

มันดูเนียน ๆ ด้วยซ้ำไป แบบนี้มั้ยที่เค้าเรียกกันว่าผิวสีน้ำผึ้ง ผมก็ไม่รู้หรอก

แต่คิดว่าถ้าชะโลมน้ำมันลงบนเนื้อตัว คงน่าดูมิใช่น้อย

(อิอิ....อย่าหาว่าผมลามกนะ ผมมีสิทธิ์คิดนี่นา)


         กว่าผมจะประคองกึ่งลากปืนมาถึงห้องได้ก็เล่นเอาหอบ ต้องคอยส่งเสียงบอกปืนให้ยกขาขึ้นก้าว

เรียกชื่อให้พอรู้สติบ้าง พอถึงประตูห้องแรกหน้าบันได ผมก็คิดว่าเป็นห้องของปืน

แต่เหลือบไปเห็นรูปของปอที่ตั้งบนโต๊ะทำงาน ผมก็เลยปิดประตู แล้วเดินเลยมาที่ห้องติดกัน

มีอีกห้องที่อยู่ตรงกันข้าม แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ ซึ่งเผอิญผมคิดถูก ไม่งั้นก็คงเหนื่อยกว่านี้

         แต่พอผมปลดแขนปืนให้นอนลงบนเตียง ไอ้แขนคู่นั้นกลับตวัดมาเกี่ยวคอผมไว้อีกครั้ง

พร้อมกับเสียงงึมงำ ที่จับคำไม่ได้ว่าพูดอะไร ผมปลดมันออกอีกครั้ง แล้วพยายามยกตัวเองออกมาก็ยังไม่ทันอยู่ดี

         “พี่ปืนปล่อยผมก่อน”

         “ปออออ....”

         คราวนี้ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มของปืนชัดเจนอยู่ในแก้วหูของผม มันทำให้ผมตาสว่าง

มองเห็นพฤติกรรมต่าง ๆ นานาระหว่างคนสองคน ที่ส่อถึงความสัมพันธ์แบบเดียวกับผมและพี่นิว

         ผมอึ้งไปอึดใจ จะว่าแปลกใจก็ไม่เชิง ผมเคยสงสัยแววตาหวง ๆ ของปออยู่เหมือนกัน

แต่ไม่อยากจะเก็บมาคิดต่อ เพราะผมเองก็ใช่ว่าจะอยากให้ใครมารับรู้ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างผมกับพี่นิว

จนทั้งสองคนคิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน (ก็ไอ้ความที่ชื่อเราคล้องจองกัน ใครต่อใครถึงไม่ค่อยจะสงสัยว่ามันจะไม่ใช่)

         ผมว่าผมหยุดนิ่งไปแค่อึดใจเดียวนะ แต่ไอ้อึดใจนั้นกลับทำให้ผมเสียหลักจากแรงกระชากของคนเมา

จนล้มทับลงไปบนตัวของปืน ไม่น่าเชื่อว่าตะกี้นี้เอง ผมยังเป็นคนแบกร่างใหญ่ ๆ ที่ป้อแป้ร่างนี้ขึ้นมาบนห้อง

แต่ตอนนี้ผมกลับสู้แรงคนเมาไม่ได้เลย

         ปืนพลิกตัวผมลงข้างล่าง จมูกของปืนระดมปะพรมไปทั่วหน้าผม พึมพำชื่อปอ ไม่ขาดปาก

ลมหายใจที่รดใบหน้าผมมีแต่กลิ่นเหล้าชวนให้คลื่นเหียน ผมไม่ได้รังเกียจคนดื่มเหล้า ผมไม่ได้รังเกียจปืน

เพียงแต่ผมไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับการกระทำจ้วงจาบที่ปืนกำลังทำอยู่

ก่อนที่ปืนจะทำให้ผมรู้สึกเกลียดและขยะแขยงกับการกระทำที่ขาดสติในเวลานี้

ผมควรตัดสินใจทำอะไรซักอย่างให้ตัวเองพ้นจากสถานการณ์คาบลูกคาบดอกแบบนี้ไปก่อน

         ผมพยายามปัดป้องเท่าที่ทำได้เพราะแขนผมยังเป็นอิสระ ในขณะที่ขาของผมถูกปืนกดทับไว้ทั้งสองข้าง

ลำตัวใหญ่ของปืนทับลงบนตัวผมเต็ม ๆ ทำให้อึดอัด หายใจติดขัด

จนผมเริ่มหอบกับการต้องออกแรงโดยที่ไม่มีผลลัพธ์อะไรในทางบวกเลย

(และผมกำลังจะโดนบวก...ช่วยด้วยยยยย)

         อะไรไม่รู้ทำให้ผมเอานิ้วจิ้มไปที่เอวของปืน ร่างใหญ่มีอาการสะดุ้งเป็นการตอบสนอง

ผมเริ่มมองเห็นทาง จากที่เอานิ้วเดียวจิ้มสะเอว ผมก็เปลี่ยนเป็น จี๋ไปที่เอวของปืนทั้งสองข้างติดต่อกัน

ไม่น่าเชื่อว่าปืนดิ้นพราด ๆ ลงจากตัวผม แถมยังหัวเราะราวกับจะขาดใจ สุดท้ายก็นอนหงายผึ่งหอบแฮ่ก ๆ

โดยมีผมนั่งมองผลงานของตัวเองอยู่ข้าง ๆ....ผมหลุดขำ ที่คนตัวโต ๆ อย่างปืนมาตายน้ำตื้น

กะอีแค่โดนจี๋สะเอว ก็หมดสภาพซะแล้ว

         ความรู้สึกผมตอนนั้นไม่ได้เกลียดปืนเพราะมีน้ำหนักของความเข้าใจมาถ่วงไว้ 

ผมมองออกว่า ปืนคงแอบรักปอ ถึงได้แสดงความต้องการออกมาเวลาที่ไม่รู้สติ

โดยมีจิตใต้สำนึกเป็นตัวผลักดัน ส่วนปอ ถ้าผมมองไม่ผิด ผมว่าปอเองก็ออกจะหวง ๆ ปืนเหมือนกัน

ดูท่าว่าสองคนนี้คงยังจด ๆ จ้อง ๆ กันอยู่ ไม่เปิดใจคุยกันให้รู้เรื่องซะที


         โดยนิสัยผมชอบช่วยเหลือเพื่อนอยู่แล้ว อะไรที่ผมทำได้ผมจะไม่อยู่เฉย

แต่เรื่องของคนจะรักกัน หรือไม่รักกัน ผมไม่อยากข้องแวะเลย ดีไม่ดี

จะกลายเป็นเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอไปซะอีก

ยิ่งความรักที่มันไม่เหมือนปกติที่สังคมทั่วไปยอมรับ ผมยิ่งไม่อยากชี้นำ

เรื่องของผมกับพี่นิว ถ้าไม่ใช่เพราะผมรักเค้ามาตั้งแต่ยังเรียนมอต้น ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ค่อยคิดถึงสังคมแวดล้อมมากมาย

ผมก็อาจจะไม่กล้าเริ่มต้นในเวลาที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยกับใคร ๆ แล้วอย่างนี้ผมจะมีหน้าไปช่วยให้คนสองคนรักกัน

ในแบบที่ผมเป็นอยู่ มันรู้สึกขัดแย้งในตัวเองยังไงไม่รู้

         แต่ลึก ๆในใจผม มีเสียงเล็ก ๆ บอกว่าความรักรูปแบบไหน ๆ ก็ล้วนแล้วแต่จรรโลงโลก จรรโลงใจ

ของคนที่เป็นคู่รักกัน บางคนแสวงหา แต่ไม่เคยได้พบ บางคนได้รักแล้วก็จำต้องลาจากกันทั้งที่ยังรัก

ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย มันก็ทรมานได้เท่า ๆ กัน แล้วในเมื่อคนสองคนที่มีหัวใจตรงกัน

อยากมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ถึงไม่สามารถแสดงความรักต่อกันได้...มันน่าเสียดายนะ

         ดูเหมือนปืนจะค่อยสร่างเมาบ้างแล้ว คงหัวเราะซะเหนื่อยนั่นแหละ เค้านอนมองหน้าผมแบบงง ๆ

นัยน์ตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้ายังดูคว้าง ๆ

         “นู”

         ปืนทำท่าลุกขึ้นอย่างยากลำบาก อดไม่ได้ตามเคยผมก็เลยต้องเข้าไปช่วยพยุง คราวนี้ผมรู้สึกปลอดภัย

ไม่คิดว่าเค้าจะทำอะไรผมอย่างเมื่อกี้อีก

         “ใครพาพี่มานอนห้องนี้”

         “ผมเอง แล้วนี่ไม่ใช่ห้องพี่ปืนเหรอ”

         “นี่ห้องปอ”

         “อ้าว....ผมเปิดห้องโน้นเห็นรูปปอตั้งอยู่บนโต๊ะ เลยคิดว่าเป็นห้องปอ”

         “เจ้านั่นเอาไปวางไว้ตอนไหนไม่รู้สิ”

         พี่ปืนยิ้มมุมปาก พร้อมกับส่ายหน้า

         “มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาก่อนเหรอครับ”

         พี่ปืนปฏิเสธทำให้ผมเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้กระจ่างชัดมากขึ้น ปอคงนึกหวงพี่ปืนเอากับผมด้วย

         “นูไม่โกรธพี่เหรอ”

         “เรื่องอะไรล่ะครับ”

         ผมแกล้งถามทั้งที่รู้แล้วว่าปืนหมายถึงเรื่องที่เค้าลวนลามผม ผมคิดว่าตอนทำเค้าคงไม่รู้สึกตัวหรอก

แต่ตอนหัวเราะเพราะบ้าจี้คงได้สติบ้างแล้ว อาจจะมีมึน ๆ นิดหน่อย พอได้นอนนิ่ง ๆ ทบทวนก็คงพอจะนึกออก

         “ไม่อ่ะครับ พี่ปืนไม่รู้ตัวหนิ”

         “อืม...นูไม่คิดจะบอกใครใช่มั้ย”

         “ถ้าใครของพี่ปืนหมายถึงปอละก้อ ผมคงไม่บอกหรอกครับ กลัวเค้าเสียใจแต่ผมอาจจะเล่าให้พี่นิวฟัง”

         “พี่จะโดนพี่ชายนูอัดรึป่าวเนี่ย ไปรังแกน้องเค้าน่ะ”

         ปืนพูดขำ ๆ แต่สีหน้าไม่ขำไปด้วยเลย

         ผมจ้องหน้าปืนนิ่ง ๆ แล้วตัดสินใจพูดความจริง

         “พี่นิวไม่ใช่พี่ชายผม”

         ปืนเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ คงงงกับเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ก็ยังตั้งสติได้

         “หนักเข้าไปอีก....เฮ้อ...พี่ไม่รู้เลยนะเนี่ย”

         ผมก็ไม่ได้คิดจะประกาศให้ใครรู้หนิ

         “งั้นนูก็คงรู้แล้ว”

         ปืนสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคิดอะไร แต่ในใจผมรู้สึกสงสารทั้งคู่

มันมีบางส่วนที่คล้าย ๆ ชีวิตผมกับพี่นิว ต่างกันที่จุดเริ่มต้น ซึ่งผมว่าในที่สุดแล้ว

ถ้าทั้งคู่ตกลงกันได้ ก็ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเปิดเผยรึป่าว

เห็นอยู่แล้วว่าต่างก็เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

ปอนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เป็นลูกโทน ส่วนปืนยังมีน้องสาวอยู่อีกคน

พื้นฐานความคิดของคนในครอบครัวของเราค่อนข้างจะเหมือนกันตรงที่

ยากที่จะยอมรับความแปลกแยกแตกต่างจากสังคมที่เราอาศัยอยู่

ส่วนเราเป็นลูก ความรู้สีกแคร์คนในสังคมอาจจะไม่มากเท่าไหร่

แต่เราจะห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวมากกว่า เพราะไม่ว่าจะทำอะไร

สุดท้ายแล้วมันก็จะสะท้อนกลับมาสั่นสะเทือนครอบครัวเราเสมอ

         “ผมก็ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องพี่ปืนนะครับ แต่ทำไมพี่ปืนถึงไม่บอกปอเค้าไปตรง ๆ ล่ะ พี่ปืนไม่รู้เหรอ

ว่าปอเค้ารู้สึกยังไงกับพี่ปืน”

         “รู้ ปอเค้าบอกพี่เอง”

         “นั่นน่ะสิ ผมก็ว่าปออ่ะดูไม่ยาก แต่พี่ปืนสิผมยังไม่ค่อยแน่ใจ ก็ถ้าพี่ปืนรู้อย่างงี้แล้วทำไมไม่เปิดใจคุยกันล่ะครับ

ผมว่าพี่ปืนโชคดีจะตาย ที่ปอก็รักพี่ปืน”

         “ไม่ได้หรอก พี่รู้สึกเหมือนทรยศป๊ากับแม่ของปอ เค้าฝากให้พี่ดูแล ไว้ใจพี่ทุกอย่าง

อยู่ ๆจะให้พี่ทำแบบนั้น พ่อแม่ที่ไหนเค้าก็คงไม่ชอบใจ”

         “อยู่กันแบบนี้ไม่อึดอัดแย่เหรอครับ”

         “พี่ทนได้”

         “แล้วปอทนได้เหรอ”

         “เค้าบอกพี่เองว่าเค้าจะพยายามตัดใจจากพี่”

         “ทำไมปอเค้าถึงจะตัดใจ พี่ปืนปฏิเสธเค้าไปเหรอ”

         “ป่าวหรอก ปอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่รักเค้า”

         “อ้าว....”

         ปืนค่อย ๆ เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ระหว่างเค้ากับปอให้ผมฟัง

(แค่บางส่วน...และมันทำให้ผมสนใจที่จะซักถามเค้าถึงเรื่องราวอย่างละเอียดในเวลาต่อมา)

ผมได้แต่รับฟังโดยไม่ได้ออกความห็น มันดูงี่เง่ามากที่คนสองคนรักกันแล้วไม่สามารถจะแสดงความรักต่อกันได้

แม้จะอยู่กันตามลำพัง ตลอดเวลาฝ่ายหนึ่งต้องคอยซ่อนความรู้สึก ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนความรู้สึก

เพียงเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกัน โดยที่ไม่รู้เลยว่ารสหวานซ่านซ่าของความรักนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

มันน่าเสียดายน้อยอยู่หรือ


         ผมออกจากบ้านปืนมาด้วยความตั้งใจที่จะผสานความรู้สึกของสองคนนี้ให้มันลงตัวซะที

แต่ผมคงไม่บอกอะไรพี่นิวหรอก ให้เค้ารู้แค่ว่า ผมมากินเหล้าบ้านเพื่อนร่วมงานที่เค้ารู้จักเพียงผิวเผิน

แล้วบังเอิญเพื่อนเมาไปส่งผมไม่ได้แค่นี้พอแล้ว ถึงเค้าจะไม่ใช่คนขี้หึง

แต่ถ้าบอกว่าปืนมีความรักแบบเดียวกับเรา พี่นิวเค้าอาจจะระแวงขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง

มันจะกลายเป็นรอยร้าวระหว่างเราซะเปล่า ๆ

         หลายวันต่อมาผมได้มีโอกาสพูดคุยกับปอโดยไม่มืปืนร่วมวงด้วย อาศัยความเป็นรุ่นพี่ที่อาวุโสกว่า

บวกความเจ้าเล่ห์อีกนิดหน่อย ผมต้อนให้ปอยอมคายทุกอย่างออกมาจากปากตัวเอง

ทำให้ผมรู้ว่าที่คิดไว้แต่แรกไม่ผิดเลยซักนิดเดียว แถมยังได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่า คืนที่ผมแบกปืนขึ้นไปบนห้องนอน

ปอเป็นคนเอารูปของตัวเองไปวางในห้องปืน เค้าตั้งใจให้ผมรู้ว่าอย่าแหยม

แต่มันกลับกลายเป็นว่าผมดันพาปืนไปผิดห้องซะนี่

         “ทีแรกผมไม่ชอบหน้าพี่นูเลย”

         ปอบอกผมว่าเค้าไม่ชอบผม เพราะผมมักจะเข้ามาแทรกระหว่างเค้ากับปืนเสมอ

เค้าบอกว่าผมแย่งเวลาที่เค้าจะได้อยู่กับปืนตามลำพังไป แต่พอนานเข้าเค้าก็รู้สึกว่า

การที่มีผมเป็นเพื่อนกลับทำให้เค้ารู้สึกใกล้ชิดกับปืนมากขึ้น

         “เพราะพี่ปืนไม่ไปไหนไงครับ แต่ก่อนนี้ก็ชอบไปสังสรรค์กับเพื่อน กว่าจะกลับบางทีก็ดึก

ผมเข้านอนแล้ว ทั้งที่ผมตัดกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยออกไปหมด จะได้มีเวลาอยู่กับเค้า

ก็เหมือนเรายังไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ แต่พอพี่นูเข้ามา พี่ปืนก็ย้ายที่สังสรรค์มาเป็นที่บ้านแทน

แล้วเพื่อนพี่ปืนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมาหรอก เค้าไม่ชอบบรรยากาศที่บ้าน เค้าชอบฟังเพลง

มีนักร้องเด็กเสิร์ฟมานัวเนีย แต่พี่ปืนไม่ชอบ พอได้พี่นูเป็นเพื่อนดื่มก็เลยไม่ไปไหน แบบนี้ผมชอบมากกว่า”

         เป็นงั้นไป...มันได้ผลดีโดยที่ผมไม่ตั้งใจเลย ผมแค่พยายามหาทางให้คู่นี้เค้าเปิดใจเข้าหากันมากขึ้น

ด้วยการทำความสนิทสนมคุ้นเคย แล้วก็หาโอกาสให้ปืนเผยท่าทีที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้ปอได้รู้

แต่ดู ๆ ไป ปอเองก็พยายามช่วยตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ยังทำไม่ถูกทาง อาจจะเพราะปอยังเป็นวัยรุ่น

น่าจะยังไม่เคยจีบผู้หญิงด้วยซ้ำ พอจะเริ่มจีบผู้ชายด้วยกันก็ยิ่งเริ่มไม่ถูก อาศัยความจริงใจที่มี

ทำให้ปอรู้จักเอาใจใส่ดูแลปืน แต่ผมว่านี่ไม่ใช่วิธีมัดใจให้ผู้ชายคนนี้ดิ้นไม่หลุด

....และผมกำลังทำความรู้จักนิสัยของปืนเพื่อช่วยปออีกทาง

(เค้าเรียกว่า...เจือก....ป่าวหว่า)    (http://7bfamilyboy.com/Smileys/classic/y017.gif)



         ************************NOO**************************
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-05-2012 23:44:16
“พี่ปืนไปส่งผมที่คณะหน่อยนะครับ วันนี้มีกิจกรรมแต่เช้า”

    “พี่ไม่เคยเห็นปอทำกิจกรรมวันหยุดนานแล้วนะ นึกยังไงขึ้นมา”

           “ก็ไม่นึกไงหรอกครับ รุ่นพี่เค้าบังคับมา บอกว่าถ้าไม่ไปเค้าจะให้เพื่อน ๆแอนตี้พวกที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรม

แล้วผมก็โดนหมายหัวมาหลายหนแล้วด้วย”

         ปืนเดินไปหยิบกุญแจรถ เดินมายืนข้าง ๆปอที่กำลังสวมรองเท้าอยู่

         “พี่ก็เคยถามปอแล้วน้า ว่าปอทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมั่งรึป่าว แต่ปอก็บอกว่าไม่มี

ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเราหลบเลี่ยงมาตลอด”

         “ก็มันเสียเวลานี่ครับพี่ปืน”

         ปอตอบหน้างอ ๆ ช่างไม่รู้ซะบ้างเลยนะพี่ปืน ว่าเวลาแต่ละวันของปอจะมีความหมายขึ้นมามากมายแค่ไหน

ตอนที่ได้อยู่กับพี่ปืน กิจกรรมทั้งหลายแหล่ ปอก็เคยทำมาแล้วตอนอยู่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ

ก็ไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้ปอมีความสุขขึ้นมาได้ วัน ๆ ก็เอาแต่ว้าก ว้าก ว้าก แล้วก็ว้าก

จะพูดจากันดี ๆ แบบไม่ต้องข่มขู่จะได้มั้ยเล่ารุ่นพี่

         “แต่มันช่วยให้เราปรับตัวเองเข้าสู่สังคมของผู้ใหญ่ได้ง่ายขึ้นนะปอ กิจกรรมหลาย ๆ อย่างที่มหาวิทยาลัยจัด

ก็ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้ แล้วปอยังจะได้พบเพื่อนมากขึ้น ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน

ทำให้เราหูตากว้างขวาง มีแต่ได้ ไม่มีเสีย”

         “ก็ผมอยากอยู่กับพี่ปืนหนิ”

         ปอก้มหน้าบ่นอุบอิบอยู่ในคอ ปืนเอื้อมมือไปลูบผมสลวยเบา ๆ ปอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นมองคนที่ตัวโตกว่าบอกความรู้สึกภายในใจจนไม่เหลืออะไรให้คลางแคลง

         “พี่อยากให้ปอโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความรับผิดชอบ ชีวิตช่วงนี้ของปอน่ะ ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ใหญ่เชียวนะ

ปอเองก็ต้องเรียนรู้ ต้องหาประสบการณ์ ไว้เพื่ออนาคต บางอย่างที่เราจะได้จากการทำกิจกรรมน่ะ

มันไม่มีในหลักสูตรหรอกนะปอ เราต้องเลือกเก็บเกี่ยวเอาเอง แล้วถ้าปอไม่เข้าไปหามัน

ปอก็จะพลาดในขณะที่เพื่อน ๆเค้าได้ พี่ได้แต่คอยแนะนำบ้าง เตือนบ้าง แต่ถ้าปอไม่รับ

พี่ก็คงไม่ยัดเยียดให้ปอต้องฝืนใจทำ”

         “พี่ปืนเบื่อรึป่าวที่ต้องคอยดูแลผม”

         “ถามอะไรอย่างงั้นล่ะปอ ถ้าพี่เบื่อจะชวนปอมาอยู่ด้วยกันเหรอ”

         “งั้นเราอยู่กันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ”

         “ได้สิ ยังไงพี่ก็ต้องอยู่ที่นี่วันยังค่ำ ปอนั่นแหละ เรียนจบแล้วก็อาจจะไปเรียนต่อที่ไหนอีก

ไม่งั้นก็กลับไปอยู่บ้านที่โน่น ดีไม่ดี พี่แหละที่จะต้องอยู่เฝ้าบ้านของเราไปคนเดียว”

         ....บ้านของเรา.....

    ฟังแล้วอบอุ่นดีจังเลย ปอลุกขึ้นยืน ส่วนสูงของปอเทียบได้แค่แผงไหล่กว้างของคนตรงหน้าเท่านั้น

เล็งอยู่อึดใจเดียวปอก็ยอมแพ้อารมณ์ของตัวเอง เอื้อมแขนโอบรอบตัวพี่ปืน

แนบใบหน้ากับแผ่นอกแข็งแกร่งที่แสนอบอุ่น...มันให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่มีอะไรเทียบได้เลยทีเดียว

แผ่นหลังของปอสัมผัสได้ถึงแขนของพี่ปืนที่โอบปอไว้แนบอกเช่นกัน

         “วันนี้พี่ปืนพูดแบบนี้ แล้ววันหน้าพี่ปืนยังจะพูดแบบนี้อยู่รึป่าว”

         “วันนี้รึวันไหนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนความคิดของพี่ได้หรอก”

         “สัญญานะครับ ว่าพี่ปืนจะไม่ทิ้งผม พี่ปืนจะไม่ทิ้งน้องคนนี้ ไม่ว่าต่อไปพี่ปืนจะมีใครเข้ามาเป็นคู่ชีวิต

พี่ปืนก็จะดูแลผมตลอดไป”

         “พี่สัญญา ไม่ว่าปอจะไปอยู่ที่ไหน พี่ก็จะยังอยู่ตรงนี้ ปอกลับมาเมื่อไหร่ก็จะได้เจอพี่เสมอ”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 23-05-2012 23:46:22
     


        “พี่ปืนมารับผมหน่อย”

         ปืนรับโทรศัพท์ของปอตอนใกล้จะเลิกงานแล้ว วันนี้เจ้าตัวดีไม่มีเรียน แต่แจ้นไปทำกิจกรรมของชมรม

ตั้งแต่เช้า ซึ่งปืนเป็นคนไปส่งที่หน้าคณะตามเคย จากที่เคยมีเป้แค่ใบเดียว หลัง ๆ ปอจะมีถุงใส่ข้าวของ

สำหรับใช้ในกิจกรรมบ้าง ของกินขบเคี้ยวบ้าง คงรู้สึกสนุกกับกิจกรรมขึ้นบ้างแล้ว

         เดี๋ยวนี้เวลาปืนไปรับไปส่ง ปอจะมีเพื่อนฝูงล้อมหน้าล้อมหลังไม่ได้ขาด

จากที่เคยยืนเกาะกลุ่มกันห่าง ๆ รอปอเดินไปหาก็เข้ามาช่วยหิ้วสัมภาระคนละชิ้นสองชิ้น

ปืนรู้สึกดีใจที่ปอมีสังคมเพื่อนวัยเดียวกัน ไม่ได้เกาะติดเขาเหมือนเมื่อก่อน

แต่อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะหวิวไหวไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ปอเรียกหาตลอดเวลาอีกแล้ว

...คงถึงวันที่ปืนต้องทำใจว่าน้องจะต้องโต

         รถปืนเข้าเทียบข้าง ๆ กลุ่มเพื่อนที่เริ่มจะกระจัดกระจายแยกย้ายกันกลับบ้าน กลับหอพัก

บางคนกำลังเอามอเตอร์ไซค์จากลานจอดใต้ตึกออกมา มีการร่ำลา โบกไม้โบกมือหยอย ๆ

แต่ในกลุ่มนั้นปืนยังมองหาคนที่จะมารับไม่เห็น เขายังจอดรถ แล้วนั่งรออย่างใจเย็น

คิดว่าปอคงอยู่ แถว ๆนี้ เสร็จธุระกับเพื่อนแล้วก็คงเดินมาเอง

         เวลาล่วงไปเกือบครึ่งชั่วโมง นักศึกษากลุ่มที่ไปทำกิจกรรมร่วมกันกับปอ ทยอยกลับกันหมดแล้ว

ทั่วทั้งลานจอดรถว่างเปล่า มีเพียงรถของปืนเพียงคันเดียว ฟ้าเริ่มสลัวลงเรื่อย ๆ

แสงไฟฟ้าบนเสาที่เรียงรายตามถนนคอนกรีตหน้าตึกสว่างพรึ่บไล่หลังตะวันที่ลับลงไปทางทิศตะวันตก

ปืนเริ่มกระวนกระวาย จนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ของปอ

         สัญญานโทรศัพท์ดังเป็นระยะ รอเจ้าของเครื่องกดรับ ปืนรอจนมันถูกตัดไปเอง ก็ไม่มีวี่แววว่าปอจะรับสาย

กดออกอีกสองสามรอบก็ได้ผลไม่ต่างจากเดิม ใจของปืนลุกเป็นไฟ

ทีแรกก็โกรธ ที่ปอเป็นฝ่ายโทรนัดแล้วตัวเองก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

แต่สักพักความโกรธก็กลายเป็นความห่วงใยเข้ามาแทนที่

...คิดไปต่าง ๆ นานา กลัวจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับปอ

แต่ช่วงเวลาจากที่ปืนรับสายแล้วออกรถจนมาถึงมหาวิทยาลัย ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

จะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นได้เหรอ แล้วถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ ที่นี่ก็น่าจะมีอะไรที่มันดูโกลาหลบ้าง

หรือไม่ก็ มีเพื่อนของปอคนใดคนหนึ่ง คอยบอกข่าวปืนบ้าง หรือไม่งั้นน่าจะมีใครสักคนโทร.......


    สัญญานโทรศัพท์ในมือปืนดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่น ปืนหยุดคิดทุก ๆอย่างเมื่อมองเห็นเบอร์ที่เรียกเข้า

พร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก

         อึดใจใหญ่ ๆ หลังจากกดวางสาย กว่าที่ร่างเล็ก ๆ ที่ดูมอมแมมกว่าที่ปืนเห็นครั้งสุดท้ายจะเดินออกมา

จากตึกคณะ ตอนที่รับสายปอบอกว่าขอแวะเข้าห้องน้ำก่อน ปอเดินมากับเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งถือเป้ให้

อีกคนถือถุงใส่ของใบเขื่อง พอเดินมาถึงหน้าตึก เห็นรถปืนจอดอยู่ ก็หยุดคุยกับเพื่อน แล้วแยกย้ายกันไปคนละทาง

ส่วนปอโบกมือให้ปืนพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้  คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง อีกมือหิ้วถุง กำลังจะก้าวเดินลงบันได

แต่นั่น.......ปืนน่ะเห็นแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองอยู่ในรถ

         ปืนเห็นปอก้าวเท้าพลาด แล้วค่อย ๆ ร่วงตกจากบันไดชั้นบนสุดของหน้ามุขลงมาถึงข้างล่าง

ก็ไม่กี่ขั้นหรอก แต่คงจ็บพอสมควร ปืนนั่งขำอยู่บนรถรอให้เจ้าตัวยุ่งลุกขึ้นเดินมาเอง

อยากปล่อยให้พี่ปืนรอ โดยไม่บอกไม่กล่าวดีนัก

         ร่างเล็ก ๆ ที่กองอยู่บนพื้นค่อย ๆขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่ดูเก้ ๆ กัง ๆ พิกล

ขาข้างซ้ายเหมือนจะรับน้ำหนักไม่ได้ พอแตะพื้นก็กระเด้งขึ้น ถุงที่ถืออยู่หลุดลงไปกองกับพื้น

ปืนเพ่งมองฝ่าความสลัวยามใกล้ค่ำออกไป รู้สึกผิดสังเกต เหมือนปอจะมีอาการเจ็บที่ขาข้างซ้าย

เพราะทำท่าโขยกเขยกอย่างเห็นได้ชัด เขาผลักประตูรถออกไปทันทีที่ตระหนักว่า

ปอคงไม่ใช่แค่หกล้มตกบันไดธรรมดา

         “พี่ปืนผมเจ็บ”

         “เป็นอะไรเนี่ย”

         พอถึงตัวปอ ปืนถึงได้เห็นว่า เท้าข้างซ้ายที่เขาเห็นว่าห่อหุ้มด้วยสีขาว

แท้จริงแล้วไม่ใช่รองเท้าผ้าใบเหมือนอีกข้าง เพราะแสงสลัวยามโพล้เพล้

ทำให้มองเห็นไม่ถนัดว่า สีขาวของรองเท้านั้น ดูมัวซัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและคราบสกปรก

แต่เท้าข้างซ้ายของปอถูกพันด้วยผ้ากอซหลายทบซะหนาจนดูเหมือนรองเท้า

         “เป็นแผล”

         “รู้แล้ว ไปโดนอะไรมา”

         ปอยิ้มยิงฟัน แต่หน้าแหย ไม่รู้ว่าเจ็บเท้ากับเจ็บตัวจากตกบันได อะไรจะมากกว่ากัน

         “เลือดซึมด้วย ปอบอกพี่มาซิ ไปโดนอะไร”

         ปืนเสียงเข้มขึ้น คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ ก็ดูเถอะ ไปทำกิจกรรมอะไรกันมาถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อขนาดนี้

         “นิดหน่อยเองพี่ปืน”

         ปืนจ้องตาวาว ปอทำคอย่นแต่ไม่ยักกะบอกสักที

         “ไปหาหมอก่อนแล้วกัน”

         ปืนช้อนใต้แขนปอเพื่อพยุงให้ลุกขึ้นยืน ตั้งหลักได้ ปอก็ก้าวเขยก ๆ ไปอย่างยากเย็น

ปืนพ่นลมออกจากจมูกอย่างขัดใจ แล้วช้อนตัวปอขึ้นอุ้มเดินซะเลย

         “พี่ปืน ปล่อยผมลงนะ”

         “พูดมาก อยู่นิ่ง ๆ ได้มั้ย”

         “แล้วจะอุ้มทำไมเล่า ผมเดินเองได้”

         “ท่านี้เค้าเรียกเขยกไม่ใช่เดิน แล้วพี่ก็รำคาญด้วย”

         “เดี๋ยวใครมาเห็น”

         “ช่างหัว”

         น้ำหนักปอไม่ใช่ว่าจะเบาหรอก ปีนี้โตขึ้นเยอะเลย แต่ปืนทนดูน้องเดินเขยกอย่างยากลำบากไม่ได้

ก้าวแต่ละทีก็คงเจ็บไปถึงไหน ๆ

         “พี่ปืน...”

         “เงียบน่า หนักนะ”

         ปืนหัวเราะเบา ๆ เพื่อทำให้ตัวเองผ่อนคลายลงไปด้วย บอกได้เลยว่าอารมณ์ของเขาเมื่อตะกี้มันปรี๊ดมาก

ที่เห็นปอเจ็บตัวแบบนั้น จะทำตัวเองหรือใครทำก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ คิดอย่างเดียวว่าเค้าไม่อยากเห็นปอเจ็บ

มันคอยแต่จะเจ็บแทนทุกที

         ไปถึงคลินิกที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาแค่สิบนาที แต่กว่าจะได้คิวเข้าพบหมอ

ปืนแทบจะกระชากประตูไปลากหมอออกมาให้ดูแผลน้องซะให้รู้แล้วรู้รอด

เพราะเลือดที่ค่อย ๆ ซึมออกมาจนเปียกผ้ากอซชุ่มขึ้นทุกที พยาบาลก็ไม่มี

มีแต่ผู้ช่วย ที่จัดยากับจัดการข้อมูลคนไข้อยู่ 2 คน



         “บอกได้รึยังว่าไปโดนอะไรมา”

         ปืนถามเมื่อจัดให้ปอนั่งในรถเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ ไม่ทันจะออกรถซะด้วยซ้ำ

ก็ที่อุตส่าห์ใจเย็นไม่ถาม ไม่เซ้าซี้ ไม่เข้าไปยืนฟังในห้องตรวจก็ดีเท่าไรแล้ว รออย่างอดทน

ให้เจ้าตัวดีเอ่ยปากออกมาเอง ก็ยังไม่มีทีท่า

         “เหยียบเศษแก้วครับ”

         “เดินยังไงไปเหยียบเอาได้ ไม่ได้ใส่รองเท้ารึไง”

         “ปกติก็ใส่อยู่ แต่ตอนที่โดนน่ะผมถอดไว้ที่ปากหลุม”

         “ปากหลุม? หลุมอะไร”

         “ขุดหลุมฝังเศษอาหารกับขยะที่ย่อยสลายได้ไงครับ”

         “ขุดเองเหรอเราน่ะ”

         “ป่าวครับ เพื่อนเค้าขุดกัน งานส่วนของผมเสร็จแล้ว กำลังล้างตัวกัน ผมกลัวรองเท้าเปียกก็ถอดไว้

ทีนี้ตอนผมเดินกลับไปหยิบรองเท้าที่ปากหลุม ผมเห็นแก้วพลาสติกปนอยู่กับเศษอาหารด้วย

ใครคงทิ้งแก้วน้ำลงไปในถุงขยะ”

         “อ้อ...นิสัยมักง่าย แล้วมันเกี่ยวกับปอยังไง”

         “ผมเห็นแล้วอดไม่ได้นี่นา ก็เลยกระโดดลงไปในหลุม จะหยิบมันขึ้นมา แล้วก็ไม่รู้ใครอีก

ที่ทิ้งเศษขวดแตก ๆ ลงไปในถุงขยะด้วย ผมไม่เห็นเลยเหยียบเข้าไปเต็มเท้าเลย”

         “ให้มันได้อย่างงี้สิน่า เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ ๆเลยนะ”

         “ไม่เป็นเรี่องได้ไงล่ะครับ เราไปรณรงค์ชาวบ้านเรื่องสุขอนามัย สอนให้เค้าดูแลสิ่งแวดล้อม

เราก็ต้องทำให้เค้าเห็นด้วยสิครับว่าต้องทำยังไง อะไรไม่ถูกก็ต้องแก้ไขทันที

ชาวบ้านที่เค้ามาร่วมกิจกรรมก็ยังไม่กลับนะ พอเค้าเห็นผมลงไปเก็บขยะแล้วยังเจ็บตัว

เค้ายิ่งศรัทธาสิ่งที่เราตั้งใจทำให้เค้าเข้าไปอีก”

         “แล้วมันคุ้มเหรอที่ตัวเองต้องมาเจ็บตัวแบบนี้น่ะ”

         “ผมว่าคุ้มนะครับ แต่เจ็บจังเลยอ่ะพี่ปืน หมอเค้ากลัวเป็นบาดทะยัก เค้าก็เลยฉีดยาให้แล้วก็ให้ยามากินตั้งแยะ

ไอ้ยาบาดทะยักผมต้องกินมันไปตั้ง 10 วันแน่ะพี่ปืน”

         ปอหยิบถุงยาออกมาพลิกไปพลิกมาดูยาสามสี่ชนิดที่ต้องกินจนกว่าจะหมด

 ปืนเห็นแล้วอมยิ้ม เพราะรู้ว่าเจ้านี่ไม่ชอบกินยาเอาซะเลย

         “ดีแล้ว เล่นกระโดดลงไปคลุกขยะในหลุม ไม่รู้เจอเชื้ออะไรต่อมิอะไรเข้ามั่ง บาดทะยักน่ะ

มันอันตรายถึงตายเชียวนะ”

         “ผมต้องกินมันทุก 6 ชั่วโมงเชียวนะครับ”

         ปอพลิกถุงยาในมือไปมา บ่นเบา ๆ   
     
         “อืม....ไม่เป็นไร คืนนี้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้จะได้ไม่พลาด”

         “ไปเรียนผมก็ต้องพกมันไปทุกที่เลยนะครับ”

         มือขาว ๆ ยังกำถุงยาไว้ในมือ เรื่องกินยายังไม่จบ

         “ใช่ แล้วพี่จะโทรไปทุก 6 ชั่วโมงเตือนให้ปอกินยานะ”

         “พี่ปืนนนนน”

         คนป่วยตวาดแว้ดออกมาอย่างขัดใจ พร้อมกับกำถุงทุบลงไปบนตักตัวเอง

         “ทำไม”

         ปืนหัวเราะหึ ๆ ขำคนไม่อยากกินยา ตอนนี้ทำหน้าคว่ำ ฟันขบริมฝีปากล่างจนน่ากลัวว่าจะเจ็บ

         “ผมต้องกินให้หมดใช่ป่าว”   

         “รู้แล้วจะถามทำไมเนี่ย”

         “พี่ปืนว่ามันจะขมมั้ย”

         “ก็ลองเอาแตะ ๆ ลิ้นดูซักนิดก่อนจะกลืนแล้วกัน”

         “ผมเกลียดยาพาราอ่ะ ทำไมมันต้องขมนะ”

         หมดจากยาบาดทะยัก ก็หยิบถุงยาพารามาพลิกดูใหม่ จะว่าไปไม่ต้องจ่ายยาตัวนี้มาก็ได้

มันเป็นยาประจำบ้าน ที่แทบทุกบ้านมักจะมี แต่ถ้าไม่จ่ายมาพร้อม ๆ กัน หมอคงคิดค่ารักษาไม่ถูกอะนะ

         “ที่ไม่ขมก็มี แต่หมอไม่รู้จ่ายยี่ห้ออะไรมาให้นี่สิ”

         “ถ้าไม่มีไข้ผมก็ไม่ต้องกินก็ได้ครับหมอบอก”

         “พี่ว่ามื้อแรกนี่กินเหอะ กันไว้ก่อน”

         กว่าปอจะหมดความสนใจเรื่องยา ก็เกือบจะถึงบ้านพอดี บ้านดูมืดไปหมด

เพราะไม่ได้เปิดไฟไว้เลย น่าจะต้องติดตั้ง Timer Switch โคมไฟที่หัวเสาซะแล้ว

ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้กลับบ้านค่ำ ๆ มืด ๆ เลยไม่ค่อยได้นึกถึง

         ปืนจอดรถลงไปเปิดประตูรั้ว แล้วกลับขึ้นมาขับรถเข้าบ้าน พอจอดรถได้

ปอก็เปิดประตูเลื่อนตัวลงไปยืนด้วยความเคยชินแล้วก็ต้องร้องโอ๊ย เพราะเอาเท้าข้างที่เจ็บลงไปรับน้ำหนักก่อน

บวกกับอาการเคล็ดจากที่ตกบันได คงแทบน้ำตาร่วง

         “ทำไมไม่ระวังเลยนะปอ”

         ปากบ่นไปงั้นเอง แต่ปืนก็ห่วงน้องแทบบ้า พอถึงตัวปอ ปืนก็ช้อนใต้ข้อพับขา ขึ้นอุ้ม

คราวนี้ปอไม่ท้วงอะไรอีก ได้แต่นิ่งเงียบ แต่มือไม้ไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน

         “กอดไหล่พี่”

         แขนเรียว ๆ ของปอยกขึ้นกอดไหล่ เลื่อนโอบรอบคอปืนอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ

ปืนไม่รู้ว่าตัวเองอมยิ้มไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งจะรู้ตัวตอนถึงประตูบ้าน และอ้าปากบอกให้ปอไขกุญแจประตู

         “ไขประตูหน่อย”

         ออกจะทุลักทุเล ที่ปอจะต้องล้วงกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อหยิบกุญแจบ้านออกมา 

ในขณะที่ตัวลอยอยู่กับพื้น นั่นยิ่งทำให้ปืนคลี่ยิ้มจนแก้มแทบปริ

         “กุญแจอยู่ในกระเป๋าเสื้อพี่นี่”

         “แล้วก็ไม่บอกแต่แรกหนิ”

         เห็นหน้าโกรธ ๆ งอน ๆ ทำปากยื่น ปืนก็ยิ่งขำด้วยความเอ็นดู แต่ก็ต้องร้องโอ๊ย

เพราะคนหยิบกุญแจไม่หยิบเปล่า แต่ยังฝากรอยจิกไว้บนเนื้อใต้ผ้า มันเจ็บน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ

ก็ตรงนั้นมันพอดีกับติ่งเนื้อสีเข้มนี่นา จิกแม่นจริงนะปอ ตั้งใจหรือเปล่าไม่รู้

         ประตูถูกผลักให้เปิดออก ปืนหยุดรอหน้าประตูให้ปอเปิดสวิทช์ไฟกลางบ้าน ขืนเข้าไปทั้งมืด ๆ

พอดีพอร้ายได้ล้มลุกคลุกคลานกันทั้งคู่ เขาก้าวเดินไปวางปอลงบนโซฟาอย่างทะนุถนอม
   
         เจ็บตัวคราวนี้คงงดกิจกรรมไปอีกหลายวัน ปืนกะว่าให้งดซักครึ่งเดือนท่าจะดี ใกล้สอบปลายภาคแล้วด้วย

ช่วงนี้จะได้มีเวลาอยู่ติดบ้าน คงได้อ่านหนังสือเต็มที่หน่อย

         ตลอดระยะที่ปอยังเจ็บเท้า ปืนต้องคอยดูแลตลอด จนปืนชักสงสัยว่า เท้าเจ็บรึว่าโดนตัดขากันแน่

เพราะปอไม่ยอมขึ้นลงบันไดเอง จะเดินเหินก็ต้องคอยประคอง ยิ่งไปกว่านั้น

ตอนนี้ ปออพยพมานอนห้องปืนเรียบร้อยแล้ว

         “เวลาผมเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนพี่ปืนจะได้ช่วยผมไง”

         พอปืนทำหน้าเหวอปอก็บอกว่า

         “ผมเดินไม่ถนัด ลื่นหกล้มไปจะว่าไง”

         ที่ปืนเหนื่อยล้าลำเค็ญที่สุดก็ตอนปลุกให้มากินยากลางดึกนี่แหละ ยังกะรู้ว่าต้องตื่นมากินยา

ปอช่างปลุกยากปลุกเย็นซะจริง ๆ ปกติไม่เห็นจะเป็นแบบนี้ ปืนต้องป้อนยาป้อนน้ำ

ทั้งที่คนป่วยยังหลับตา กินยาเสร็จปุ๊บก็ล้มตัวลงนอนปั๊บ ปืนเดินไปวางแก้วน้ำที่โต๊ะ

กลับถึงเตียงต้องฉุดแขนให้ลุกขึ้นมานั่ง

         “รอซักสิบนาทีสิปอ เดี๋ยวค่อยนอน”

         ปอคอพับคออ่อนเป็นเด็กแรกเกิด จนปืนต้องนั่งซ้อนหลังให้ปอได้นั่งพิง

            “ก็มันง่วง”

         ว่าแล้วก็เอนตัวลงมาเต็ม ๆ ทั้งเมื่อย ทั้งง่วง แต่ปืนก็ต้องรอสักพักให้ยาไหลลื่นลงกระเพาะไปก่อน

ถึงจะจับปอให้นอนลง สิบวันของการดูแลคนป่วยอาการ “โคม่า” ทำเอาปืนแทบล้มป่วยตาม

เพราะนอนพักผ่อนไม่พอ หน้าตาหมองคล้ำจนลูกค้าที่คุ้นเคยกันเอ่ยทัก

ว่าไปทำอะไรมา ถึงดูซูบโทรมขนาดนี้ ส่วนคนป่วย “โคม่า” กลับหน้าตาสดใสเปล่งปลั่งหายวันหายคืน

แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่ปืนอยากเห็น และอยากจะให้เป็น

         เขาอยากเห็นปอสดใส ยิ้มได้ทุกวัน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีชีวิตที่สวยงาม สนุกสนานตามวัย

อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แหละ....ดีที่สุดแล้ว

         อาการเดินเขยกของปอหายไป เพราะแผลสมานกันดีแล้ว แต่กว่าที่แผลจะแห้งดี

ทั้งปืนและปอต้องใช้ความอดทนกันคนละอย่าง

         ปืนจะล้างแผลให้น้องทุกเช้า ครั้งแรกที่เปิดแผล ปืนถึงกับมือไม้สั่น

เพราะปากแผลที่ยาวแทบจะเต็มฝ่าเท้าปอไม่ลึกมากนัก และหมอก็ไม่ได้เย็บแผล

 เห็นแล้วปืนแทบไม่อยากมอง เงยหน้าขึ้นมองปอ ปืนก็ยิ่งใจเสีย

เพราะใบหน้าที่เคยขาวเรื่อ ๆ กลับซีดเผือด ริมฝีปากสั่น ๆ แต่เจ้าตัวก็พยายามเม้มและกดไว้ไม่ให้ปืนเห็น

คงมีแววตาที่ระริกไหวด้วยหยาดน้ำบาง ๆ...ปืนรู้ว่าปอต้องเจ็บ แต่พยายามอดทน

เขาเองก็ต้องอดทนที่จะดูให้เต็มตาเพื่อจะทำแผลให้เสร็จเรียบร้อย

         (ทำไมไม่ไปล้างแผลที่คลินิก....นั่นเป็นคำถามที่ทั้งสองคนไม่ได้คิดถึงเลย

ผมถามทั้งคู่ในวันที่ผมบันทึกเรื่องราว....เขามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม แต่ไม่มีคำตอบ

สำหรับผม...ผมคิดเอาเองว่า น่าจะเป็นความตั้งใจที่จะดูแลกันและกันของคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน

คิดได้ก็ทำเลย...ไม่ต้องมีเหตุผลสนับสนุนว่า ทำไมเราถึงอยากทำอะไรให้คนที่เรารัก....นู)

         อาหารการกินตลอดระยะเวลานั้นเป็นที่น่าปวดหัวสำหรับปืน คนป่วยดูจะต้องการการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ

ดีอยู่อย่างที่ปอไม่ได้อยากนึกกินของหายาก แต่ของหาง่ายของปอก็อยู่ไกลบ้าน

และไม่เคยสั่งแบบธรรมดากะใครเค้า

         กระเพาะปลาก็ต้องเจ้านั้น(พิเศษไม่ใส่หน่อไม้)

         ผัดไทยก็ต้องเจ้านี้ (พิเศษไม่ใส่ถั่วงอก)

         ก๋วยเตี๋ยวราดหน้ายอดผัก (ติดใบมาเมื่อไหร่ก็เขี่ยทิ้ง)

         หมูสะเต๊ะทีละห้าสิบไม้ (ไม้นึงเท่านิ้วก้อย)

         ไก่ย่างรสจัด (ไม่ต้องสับ เพราะกระดูกแตกกินยาก)

         ข้าวเหนียวไก่ทอด เนื้อหน้าอก ส่วนอื่นไม่เอา (เจ้านี้ต้องคอยคิวนานโคตร)

         ขนมเบื้องอันเล็ก (พิเศษครีมเยอะ ๆ)

         ขนมไข่มด ทีละยี่สิบลูก (ต้องเจ้าที่ทำไส้ถั่วดำ)

         แต่ถึงยังไงปืนก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายหรือไม่อยากทำอะไรให้ปอ ยิ่งเวลาที่เห็นปอกินได้กินดี

ก็เหมือนจะพลอยรู้สึกอิ่มไปด้วย อิ่มอกอิ่มใจนั่นน่ะของแน่ แต่การที่มีใครบางคนนั่งกินข้าวด้วยกัน

กินไปคุยไป ไม่รู้สรรหาเรื่องอะไรมาคุยนักหนา อาหารธรรมดาก็แทบจะกลายเป็นอาหารทิพย์ไปเลย



         การสอบปลายภาคของปอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ท่าทางเจ้าตัวจะพอใจกับตัวเองที่มีเวลาอ่านหนังสือเต็มที่

บางวันมีเพื่อนมาติวกันที่บ้านใต้ซุ้มเล็บมือนางสุดโปรดของปอนั่นเอง

         ก่อนจะพาเพื่อนมาที่บ้าน ปอจะขออนุญาตปืนก่อนทุกครั้ง ครั้งละสามสี่คน ซึ่งก็ไม่บ่อย

และไม่เคยตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันที่ปืนอยู่บ้าน เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขา

ทั้งที่จริงปืนก็ไม่เคยห้าม ทำให้ปืนยิ่งรู้สึกเอ็นดูปอมากขึ้น ๆ ทุกวัน

การหักห้ามใจไม่ให้รักปอดูจะยากเย็นเหลือเกิน ถ้าวันที่ปอต้องจากไปมีชีวิตของตัวเองมาถึง

ปืนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นยังไง จะทนได้มั้ย จะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวโดยไม่มีปอต่อไปได้หรือเปล่า

         “เมื่อไหร่จะย้ายกลับไปนอนห้องตัวเองเนี่ย”

         ปืนอาบน้ำเสร็จออกมาเจอปอนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงในชุดนอน

ขาก่ายอยู่กับหมอนข้างใบเขื่องของปืน ที่ปอถือวิสาสะเอาไปนอนกอดทุกคืน

ด้วยข้ออ้างว่า เอาของตัวเองมาอีกใบก็เต็มเตียงไม่มีที่จะนอนกันพอดี ปืนไม่ได้ว่าอะไร

เพราะปกติหมอนข้างก็เป็นแค่เครื่องประดับประจำเตียงอยู่แล้ว

         “ทำไมเหรอครับ นอนด้วยกันแบบนี้ก็ดีแล้วหนิ”

         “หายแล้วก็กลับไปนอนห้องตัวเองได้แล้ว พี่ไม่ต้องปลุกปอมากินยาแล้วนี่”

         “พี่ปืนรำคาญเหรอครับ”

         เสียงอ่อย ๆ ของปอ ทำให้ปืนเบนความสนใจจากตู้เสื้อผ้าหันมามอง

         “เปล่าหรอก ก็ต่างคนต่างมีห้องส่วนตัว พี่ก็คิดว่า....”

         “อ้อ....พี่ปืนอยากเป็นส่วนตัว...ครับ ผมย้ายกลับก็ได้ แต่ว่า พรุ่งนี้นะ”

         “พี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

         “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องอธิบายหรอก ผมเข้าใจแล้ว”

         รายการโทรทัศน์ต่อจากนั้น ไม่น่าสนใจสำหรับปืนหรอก แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาดูอยู่ได้โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ต่างคนก็ต่างจ้องไปที่จอสี่เหลี่ยมข้างหน้า ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างที่เคยเป็น

         “ผมนอนก่อนนะครับ”

         ปอวางรีโมทไว้ข้าง ๆ ปืน ก่อนจะขยับตัวลงหนุนหมอน หันหลังให้ปืน ไม่นานหลังจากนั้น

ปืนก็ไม่รู้จะนั่งหลังขดหลังแข็งไปเพื่ออะไร ก็ลุกไปปิดไฟ ปิดโทรทัศน์ กลับมาล้มตัวลงนอนบ้าง
     
         ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของปอสม่ำเสมอ ปืนตะแคงหน้ามามองแผ่นหลังของปอ

ด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

         ยอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่า เขารู้สึกดีมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อตื่นขึ้นมาทุกเช้า

ภาพแรกที่เขาเห็นเป็นร่างบางที่นอนขดอยู่ข้าง ๆ กำลังหลับตาพริ้ม

ผมดำสลวยปอยเล็ก ๆ เคลียอยู่ข้างแก้มใส ๆ และสยายอยู่บนหมอน

บางเช้าอาจจะหันหลังให้ แต่แผ่นหลังนั้นก็แนบชิดอยู่กับแขนของปืน

เขาไม่ขออะไรมากเลย ขอแค่ตื่นขึ้นมาได้เห็นคน ๆ นี้เป็นคนแรกของวัน

คงทำให้วันทั้งวันของปืนมีความหมายอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

         แต่นั่นแหละ เขาออกปากไปแล้วให้ปอกลับไปนอนห้องเดิม จะทำยังไงได้ล่ะคราวนี้

ปากหนอปาก ทำไมไม่คิดให้ดีก่อนพูดนะ


         ค่ำคืนต่อมาก็เป็นไปตามที่ปืนพูดไว้ หลังอาหารแล้วปอก็ไปนั่งดูโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก

ซึ่งไม่ได้ทำอย่างนี้มานานเท่ากับที่ปอเท้าเจ็บนั่นแหละ

         ตอนที่เท้าเจ็บ ปืนจะพยุงปอขึ้นบ้านไปอาบน้ำ ทำแผลเสร็จแล้วก็นั่งดูโทรทัศน์ในห้อง

จนกว่าจะง่วงนอนก็ผล็อยหลับไปตรงนั้น ในขณะที่ปืนอาจจะกำลังทำงานบ้าง ดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนบ้าง

         ปืนเดินขึ้นบ้านไปก่อน ปล่อยให้ปอดูโทรทัศน์ไปคนเดียว เพราะที่ห้องของปอไม่มี

เคยบอกว่าจะซื้อให้ปอก็ไม่เอา บอกว่าแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวพอแล้ว ถ้าอยากดูโทรทัศน์ก็จะดูข้างล่าง

         ดึกแล้วเมื่อปืนได้ยินเสียงปอเดินผ่านหน้าห้องของตัวเองไป เสียงเปิดประตูห้อง แล้วปิดตามหลังเบา ๆ

ปืนปิดไฟเตรียมตัวเข้านอน หลังจากที่ยืนรีรออยู่หน้าประตูเป็นนาน

คิดว่าปอคงไม่มาเคาะประตูขอมานอนด้วยแน่แล้ว เขาก็จะได้นอนบ้าง

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังกลับไปที่เตียงนอน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเข้ม ๆของปืนได้ทันที

         “มีอะไรเหรอปอ”

         ปืนเปิดประตูรับ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับมันไม่เคยปรากฏรอยยิ้มมาก่อน

         “แอร์ห้องผมเสียอ่ะพี่ปืน”

         “อืม....มานอนห้องพี่มั้ยล่ะ”

         “ได้เหรอครับ”

         “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

         “ก็เมื่อคืนพี่ปืนให้ผมกลับไปนอนห้องตัวเองหนิ”

         “ตอนนั้นพี่ไม่รู้ว่าแอร์เสียนี่นา สงสัยไม่ได้ใช้นานมั้ง มันเลยเสีย”

         “งั้นผมนอนห้องพี่ปืนจนกว่าจะซ่อมแอร์เสร็จได้มั้ยครับ”

         “ก็ตามใจแล้วกัน เข้าหน้าร้อนแล้วด้วยนี่...แต่ปีนี้ หน้าร้อนมันมาเร็วกว่าปีก่อนนะพี่ว่า

...ไป ๆ.....ไปนอนได้แล้ว พี่ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

         “ผมไปเอาหมอนข้างมาก่อนนะครับ แปบนึง”

         “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเตียงจะแคบไป เอาของพี่ก็ได้”


         ปอคงนอนไปสักพักแล้ว ถึงได้รู้สึกว่ามันร้อนเกินจะทนได้ ถึงได้เดินมาเคาะเรียก

เพราะระยะเวลาที่เดินเข้าห้อง กับตอนนี้ทิ้งห่างกันพอสมควร ปืนคิดแล้วก็ยิ้มออกมาอีกโดยไม่รู้ตัว

    เขาเพิ่งหาทางออกได้เมื่อหัวค่ำนี่เอง ตอนที่ปอนั่งดูโทรทัศน์ข้างล่าง

เขาก็รีบขึ้นมาสับสวิทช์แอร์หน้าห้องของปอ ไม่มีกระแสไฟเข้าเครื่อง แอร์ก็ไม่เดิน

แต่ปอคงนึกไม่ถึงหรอก เพราะสวิทช์นั่นมีไว้เผื่อตอนที่มันเสียจริง ๆ แล้วให้ช่างมาซ่อมต่างหาก




         .......โถ่ พี่ปืน นึกว่าตัวเองฉลาดนักเหรอ ผมเปิดแอร์แล้วมันไม่ทำงาน ผมก็เที่ยวลองมันไปหมดแหละ

พี่ปืนคงจะลืมไปว่า บ้านผมขายเครื่องไฟฟ้า กะอีสวิทช์ไฟแหกตาผมไม่ได้หรอกน่า

....ปอนอนนึกในใจอย่างกระหยิ่ม
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 24-05-2012 00:02:06
อร๊ายยยยยยยยยยยยย
 :impress2:
ชักจะร้ายกาจใหญ่แล้วนะสองคน
เดี๋ยวนี้แผนเยอะนะ
 :m12:

พี่นูของน้องปอนี่คือคุณนูของคนอ่านหรอกเหรอเนี่ย
 :a5:
คงไม่ว่าคนอ่านใช่มั้ยคะ
ที่เคยแอบหมั่นไส้ที่เข้ามาเป็น กขค ของพี่ปืนกับน้องปอ
 :m23:
เค้าผิดไปแย้วค่า
 :m5:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 24-05-2012 10:21:23
ร้ายกันทั้งคู่


๕๕๕๕๕
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 24-05-2012 13:06:07
ตอนนี้น่ารักจัง :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 24-05-2012 13:10:02
อมยิ้มเลย ตอนสุดท้าย ปืนเจ้าเล่ห์ แต่ปอรู้ทัน ฮิๆ^^
อย่างนี้ปอก็รู้แล้วสิว่าปืนก็รักปอ รอแค่เมื่อไหร่ปืนจะยอมเลิกปากแข็งใช่มะ

คุณนูในเรื่องคือคนเขียนจริงๆด้วย มาเป็นกามเทพให้คู่นี้นี่เอง  :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 24-05-2012 20:25:17
หักเหลี่ยมกันมากๆ  555

รักกันก็คบกันสักทีเท้ออออ
คนอ่านลุ้น  อิอิ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: kiyomaro ที่ 24-05-2012 21:42:11
กดเป็ด กันไป
เอากำลังใจมาฝากคุณนูด้วยจ้าาาา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 24-05-2012 22:32:09
คุณ NOO เขียนบรรยายเรื่องได้น่ารักมากๆเลยคับ  :impress2:
ผมว่าเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "ร้ายนักรักซะดีแมะ" ดีกว่าน๊ะ  o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 25-05-2012 02:13:09
พี่ปืนกะปอนี่กินกันไม่ลงจริงๆ :laugh:
อยากอ่านตอนหวานๆอ่ะ :-[
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 23/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2012 22:46:31
 

 :pig2:

choijiin > หมั่นไส้นิดหน่อยไม่เป็นไรครับ ให้หยิกแก้มได้หนึ่งที

daboo  >  ปืนร้ายกว่า ปอน่าร้ากกกกก

CarToonMiZa  >  หมายถึงคนโพสท์เนอะ (เข้าข้างตัวเองจนน่าเกลียด อิอิ)

$VAN$   >  เอ๊ ...ผมเกริ่นไว้รึยังไม่รู้นะครับ ว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงของเพื่อน

silverphoenix  >  ยังมีให้ลุ้นกันอีกหลายตอนครับ

kiyomaro   >  ขอบคุณครับ กำลังใจเหล่านี้ทำให้ผมมีแรงโพสท์ ทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย (กินแต่ข้าวร้อน 55)

cksong2008  >  ตอนตั้งชื่อเรื่อง ผมคิดเอาจากบทตอนท้าย ๆ ครับ แต่คู่นี้ไม่มีใครร้ายหรอก เพราะผมเป็นตัวร้ายซะเองแล้ว

KuMaY  >  หวานไปเดี๋ยวจะเลี่ยนนะครับน้องเม


 


แอบย่องมาตอนดึกไม่รู้จะมีใครถ่างตาอ่านรึป่าวนะครับ

แต่ก็จะโพสท์ล่ะใครจะทำไม   :really2:




หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2012 22:48:18
 





      แม้ว่าแอร์จะซ่อมเสร็จแล้ว แต่ปอก็ยังสวมรอยนอนห้องของพี่ปืนต่อ

โดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง พูดถึงเรื่องซ่อมแอร์ ปอก็ยังขำ

ตอนที่พี่ปืนปฏิเสธพัลวัน ที่ปอบอกว่าจะตามช่างมาซ่อมแอร์เอง

         “ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวพี่ให้ช่างที่ดูแลแอร์ที่แบ็งก์มาดูให้ก็ได้”

         “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ปืน ผมอยู่ว่าง ๆ ผมไปตามร้านที่เค้ามาติดตั้งดีกว่า สินค้าของเค้า

ยังไงเค้าก็ต้องมาดูแลอยู่แล้ว”

         “อย่าเลย พี่ตามช่างคนนี้เค้าไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไรเลย อย่างดีก็จ่ายแค่ค่าอะไหล่ อะไรพวกนี้แหละ”

         “แต่ร้านที่เค้าติดตั้งให้เค้าก็บอกว่าเครื่องเรามีประกันอยู่นะครับ อย่างงี้เราก็ไม่ต้องจ่ายตังค์เหมือนกัน”

         “เอาเหอะ ไว้เป็นธุระให้พี่จัดการเองดีกว่า ปอไปเรียนเหอะ เช้านี้ไปถึงแบ็งก์พี่จะโทรหาช่างเลย”

         พี่ปืนตัดบทเอาดื้อ ๆ ส่วนปอเห็นว่าดักคอพี่ปืนพอเป็นน้ำย่อยก็รามือ ไม่ต่อคำต่อไป

แอบขำในใจคนเดียวว่า พี่ปืนคงกลัวว่า ถ้าให้ปอตามช่างมา ความจะแตกเพราะช่างคงหาเจอว่า

ปัญหาที่แอร์ไม่ทำงานมันอยู่ตรงไหน หารู้ไม่ว่า คราวนี้แหละพี่ปืนได้จ่ายตังค์ค่าซ่อมแอร์แน่ ๆ

เพราะอะไหล่มันเสียจริง ๆ ด้วยฝีมือปอนี่แหละ

    นึกแล้วก็เสียดายที่จะต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ แต่ทำไงได้ พี่ปืนมาทำเหลี่ยมจัดกับปอก่อนทำไมล่ะ

อยากรู้นักว่าจะปากแข็งใจแข็งกับปอไปได้ถึงไหนกัน




         คืนนี้ที่ทำงานพี่ปืนมีงานเลี้ยงส่งพนักงานย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่สาขาอื่น

มันเป็นประเพณีว่าจะต้องมีการเลี้ยงส่ง และทุกคนควรจะไปร่วมงาน

         ตอนเย็นเลิกงานแล้ว พี่ปืนกลับมาอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วไปรับพี่นูที่บ้านตามนัด

ซึ่งขากลับก็คงไปส่งที่บ้านตามเคย

        เดี๋ยวนี้สองคนนี้เหมือนตัวจะติดกันไปซะแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนปอก็คงจะมีอาการหวงแบบเก็บกด

แต่ในเมื่อพี่นูกลายมาเป็น “พี่เลี้ยง” ของปอ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ปอจะต้องหวง

เพราะพี่นูมักจะคอยช่วยเหลือปอเรื่องพี่ปืนอยู่เสมอ

         กว่าจะได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน ก็เกือบสี่ทุ่ม ปอยังไม่หลับ แค่เบลอ ๆ แล้วก็ฝืนตัวเองไม่ให้ปิดตา

ไม่งั้นคงจะลืมตาไม่ขึ้นแน่ แล้วพอได้ยินเสียงรถ ปอก็ตาสว่างทันที แต่พอเปิดประตูรั้วออกไป

รถคันที่จอดอยู่กลับไม่ใช่รถของพี่ปืน

         ผู้ชายตัวโตลงมาจากด้านคนขับ พร้อมกับพี่นูที่นั่งคู่กันมา

        ปอนึกรู้ทันทีว่าคงเป็นพี่นิว “พี่ชาย” ของพี่นูน่ะเอง

         “สวัสดีครับพี่นิว แล้วพี่ปืนล่ะครับพี่นู”

         ปอรีบไหว้ก่อนโดยที่ไม่ต้องให้ใครแนะนำ

         “มาช่วยกันหน่อย”

         พี่นูไม่ตอบ แต่เดินไปเปิดประตูด้านหลัง ก้มตัวเข้าไปทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ จนพี่นิวทนดูไม่ไหวมั้ง

ก็เลยเดินมาฉุดแขนลากออกมายืนรอห่าง ๆ

         “ตัวเท่านี้น่ะ ไหวเหรอ”

         “ก็พี่จะยืนทำเก๊กอยู่ทำไมอ่ะ ชักช้าไม่ทันใจผมหนิ”

         พี่นูบ่นออด ๆ ทำหน้างอ ๆใส่อย่างไม่เกรงสายตาปอ

         “แล้วจะเร็วไปไหน นี่ก็รีบบึ่งซะแทบจะเหาะอยู่แล้ว”

         “ก็ง่วงอ่ะ”

         “แล้วมันความผิดของพี่เหรอ”

         ท่าทางพี่สองคนจะลืมไปว่ามีปอยืนหัวโด่อยู่ใกล้ ๆ

         “พี่นิวครับ พี่นูครับ ใจเย็น ๆครับ มีอะไรกันรึป่าว”

         “ขอโทษครับปอ”

         พี่นิวเป็นคนเอ่ยปากขอโทษ แล้วก้มลงไปประคองพี่ปืนออกมาจากเบาะหลังรถ แต่ดูทุลักทุเลเหลือเกิน

เพราะพี่ปืนหมดสติ หมดสภาพ นี่เค้าฉลองกันหนักขนาดนี้เลยเหรอ

         “ทำไมอาการน่าเป็นห่วงแบบนี้อ่ะครับพี่นู”

         “ก็....ไม่มีอะไรหรอก....ก็....ธรรมดาของคนเมาแหละ โดนคะยั้นคะยอให้ชนแก้วซะแทบไม่รู้สติ

พี่ก็เลยต้องโทรให้พี่นิวไปรับที่ร้าน ที่จริงเพื่อน ๆ เค้าก็อาสามาส่งกัน แต่พี่ว่าให้พี่นิวมาส่งดีกว่า

ก็เลยทิ้งรถพี่ปืนไว้ที่ร้าน...อ้ะ...กุญแจ”

         “ขอบคุณครับ”

         ปอเดินเข้าไปช่วยประคองอีกข้างของพี่ปืน แต่ก้าวขาไม่ตรงจังหวะกับพี่นิว

พี่ปืนก็เลยเดินกะโผลกกะเผลก ยังกะตัวหุ่นกระบอกให้พี่นูยืนขำเอาเป็นเอาตายอยู่ข้างรถ

         ....หมดมาดแมนเลย พี่ปืนของน้องปอ....

         พี่นิวแบกพี่ปืนขึ้นไปถึงห้องนอนคนเดียว โดยที่มีปอรอเปิดประตูให้

วางพี่ปืนลงกับเตียงเสร็จแล้ว พี่นิวก็ตบแก้มพี่ปืนแปะ ๆ ด้วยปลายฝ่ามือ

แล้วพึมพำงึมงำ ฟังไม่รู้เรื่องว่าบ่นอะไร แต่พอหันหน้ามาหาปอ พี่นิวก็ยิ้มให้

...โอย...เห็นพี่นิวกลางแสงไฟจ้าอย่างนี้ พี่ปืนของปอดูหมองไปเลย

ผิวหน้าพี่นิวเกลี้ยงใส จมูกก็โด่ง รอยยิ้มดูอบอุ่นชวนให้อยากอยู่ใกล้

         หันไปดูพี่ปืนที่ผิวคล้ำกว่า ใบหน้าคมเข้มกว่า คิ้วเข้มตาคม แต่ดูยังไงปอก็เห็นว่าพี่ปืนน่ารักอยู่ดี   
   
         “ล่ามไว้ให้ดี ๆ หน่อยนะครับปอ เกะกะระรานแบบนี้คราวหน้าพี่คงไม่ยั้งมือแล้วนะ”

         “ครับ”

         ปอรับคำด้วยความเคยปาก ยังไม่เข้าใจเลยว่าพี่นิวหมายถึงเรื่องอะไร

แต่ก็ช่างเหอะ ดูแลพี่ปืนสำคัญกว่า

         “ขอบคุณครับพี่นิว”

         “พี่กลับนะครับ”

         ปอยกมือไหว้แล้วเดินลงมาส่งชั้นล่าง ที่มีพี่นูยืนรออยู่ พอเห็นว่าใครมา พี่นูก็เดินจ้ำล่วงหน้าไปรอที่รถ

ปอได้ยินเสียงรีโมทกด ตอนที่พี่นูกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตู หันมาเห็นพี่นิวถือพวงกุญแจอยู่ในมือ

ถ้าพี่นูยั้งมือไม่ทันมีัหวังสัญญาณกันขโมยได้ดังลั่นซอยกลางดึกแน่ ๆ

....พี่สองคนเค้าเล่นอะไรกันเนี่ย

         “มานี่ก่อน”

         พี่นิวเรียกพี่นู

         “ทำไมอีกครับ กลับได้แล้ว”

         “มาลาน้องก่อน”

         “พี่กลับก่อนนะครับปอ”

         พี่นูตอบกลับมาทั้งที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

         “ครับ ขอบคุณมากครับ พี่นิว พี่นู”

         “เตรียมน้ำอุ่นไว้ด้วยนะครับ เผื่อตื่นขึ้นมากลางดึก ก็ให้ดื่มน้ำอุ่นหน่อย

แล้วก็หาผ้าขนหนูไว้ประคบหน่อยก็ดี เช้าขึ้นมาจะได้ไม่ระบมหนัก”

         “ครับ”

         รับคำแบบงง ๆ อีกคำ ปอก็รีบเดินไปเตรียมปิดประตูรั้ว เมื่อพี่นิวถอยรถออกจากบ้านไปแล้ว

ฟิล์มกระจกรถพี่นิวมืดมาก ยิ่งอยู่ในความมืดยิ่งมองไม่เห็นคนข้างในเลย แม้แต่เงาลาง ๆ

อืมมม....ต้องบอกให้พี่ปืนติดฟิล์มสีมืด ๆ มั่งดีกว่า ปอไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน

แต่จากนี้ไปคงต้องเตรียมอะไร ๆไว้บ้างแล้วสินะ

         กลับขึ้นไปข้างบน ปอก็ทำอย่างที่พี่นิวบอกทุกอย่าง น้ำอุ่นไม่มีปัญหา

เพราะกระติกต้มน้ำเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา

อ่างใส่น้ำ ผ้าขนหนู ได้ของครบแล้ว ปอก็จัดการเช็ดตัวให้พี่ปืน

ตอนที่ปอมีปัญหาเรื่องเนย พี่ปืนดูแลปอเป็นอย่างดี

แม้แต่ตอนไม่สบายพี่ปืนก็ไม่เคยละเลย นี่ก็ถึงคราวที่ปอจะต้องดูแลพี่ปืนบ้างแล้ว

         ปอจับพี่ปืนพลิกตัว ซ้ายที ขวาที เพื่อจะปลดเสื้อผ้าออก จะได้เช็ดตัวให้ถนัด ๆ 

เนื้อตัวพี่ปืนร้อนรุม ๆ ลมหายใจก็มีแต่กลิ่นเหล้าจนฉุนจมูก คงจะดื่มมากจริง ๆด้วย

แต่เมายังไงปอก็ไม่เคยเห็นพี่ปืนหมดสติขนาดนี้เลย

         ผ้าขนหนูผืนน้อยถูกชุบน้ำแล้วบิดออกพอหมาด เริ่มเช็ดจากหน้าผาก คิ้ว คาง

สองข้างแก้ม ไล่ลงไปถึงคอ และแผ่นอก

         ผิดวิสัยยังไงไม่รู้ พี่ปืนเมาหลับยังกับสลบ ไม่เหมือนคนเมาที่หมดสติ

ปอก็ไม่ได้สันทัดนักหนาหรอกว่าคนเมาจะต้องเป็นยังไง แต่ที่เห็นเพื่อนในกลุ่มเมาแล้วหมดสติ

ก็ยังป่ายแขนเปะปะไปมาได้ บางทียังมีเสียงฮื้อฮ้าในลำคอ เพราะรำคาญที่มีคนคอยกวน

ปอว่าถ้าพี่ปืนเป็นแบบนั้น ปอคงเบาใจกว่านี้

         น้ำสองถูกเปลี่ยนแล้ว คราวนี้ปอใส่โคโลญจน์กลิ่นอ่อนลงไปด้วย เริ่มไล่เช็ดจากที่เดิมไปเรื่อย

 อ้อ....ปอเว้นในร่มผ้าส่วนกลางลำตัวของพี่ปืนไว้นิดนึง ยังไม่กล้าเท่าที่ควร

แค่เช็ดแขน ขา ใบหน้า และลำตัว พี่ปืนก็คงพอจะสบายตัวแล้วมั้ง

         หน้าข้างซ้ายของพี่ปืนดูปูด ๆ ปอพลิกใบหน้าพี่ปืนเข้าหาตัวเอง พร้อมกับก้มลงไปดู มีรอยเขียวนิด ๆ

         “ไปโดนอะไรมาเนี่ย”

         พอดีกับพี่ปืนเริ่มขยับตัว เสียงลมหายใจติดขัด บอกว่าเจ้าตัวคงไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าไร

         ขอบตาล้อมด้วยไรขนตาเป็นแพตรงกระพริบถี่ ๆ พี่ปืนยกมือขึ้นป้อง ทำตาหยี เหมือนจะเคืองตา

ปอก็ช่างรู้อาการ จัดการเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วเดินไปปิดไฟกลางห้อง ให้แสงสว่างไม่จ้าเกินไปนัก

พี่ปืนเท้าแขนตัวเอน ๆ อยู่บนเตียงนอนมองปอด้วยสีหน้ามึนงง

         “พี่กลับบ้านได้ยังไงอ่ะปอ แล้วนูล่ะ”

         “พี่นูโทรไปตามพี่นิวให้ไปรับที่ร้านครับ”

         “นิวไปรับเหรอ”

         พี่ปืนบีบขมับตัวเอง ท่าทางจะมีอาการเจ็บปวดอยู่ในหัว

....ก็แน่ล่ะ เมาซะขนาดนั้น ไม่ปวดหัวก็เก่งเกินคนไปหน่อย

ปอรินน้ำอุ่นใส่ถ้วยมายื่นให้ตรงหน้า พี่ปืนรับไปจิบ ๆ สองสามอึกก็ส่งถ้วยคืน

         “พี่ว่าพี่เดินไปที่รถกับนูนะ จำไม่ค่อยได้ว่าไปถึงรถรึยัง แต่ที่แน่ ๆตอนนั้นไม่เห็นนิว

แล้วนูก็ไม่เห็นบอกว่าโทรตามให้มารับ แล้วเค้ามาส่งพี่ยังไงเหรอ”

         “รถพี่ปืนจอดทิ้งไว้ที่ร้านครับ พี่นูเอากุญแจมาให้ ผมวางไว้ที่หน้ากระจก”

         “พี่จำอะไรไม่ได้เลย”

         “แล้วทำไมถึงดื่มมากอย่างนี้ล่ะครับ ปกติพี่ปืนไม่เคยถึงกับต้องให้ใครแบกมาส่งเลยนะ”

         “อืมมม....นั่นสิ เสียฟอร์มชะมัด”

         “ยังจะมาห่วงฟอร์มอีก ผมห่วงพี่ปืนนะครับ พี่นิวเป็นคนแบกพี่ปืนขึ้นมานอน

ลำพังผมคงไม่ไหวหรอก พี่ปืนหลับเป็นตายเลย”

         “เฮ้ย....เกินไป”

         “ไม่เกิน ผมเหรอจะมีปัญญาแบกพี่ปืนขึ้นมาน่ะ"

         “จริงเหรอ”

         พี่ปืนครางเบา ๆ อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ อย่าว่าแต่พี่ปืนเลย ปอเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย

ก็ไม่เคยเห็นพี่ปืนในสภาพที่แย่ขนาดนี้มาก่อนนี่นา

         “พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า มันมึน ๆ งง ๆ ยังไงไม่รู้”

         “อาบน้ำอุ่นดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก นี่มันก็ดึกมากแล้ว ที่จริงผมเช็ดตัวให้พี่ปืนเรียบร้อยแล้วด้วย

จะนอนก็นอนได้เลยครับ”

         “พี่อยากรดหัวน่ะ เผื่อจะหายมึน ขอบใจนะปอ”

         “ไม่เป็นไรครับ พี่ปืนเคยดูแลผมดีกว่านี้ตั้งเยอะ ผมทำให้พี่ปืนได้แค่นี้เอง”

         “ใครว่าแค่นี้ ปอดูแลพี่ ดูแลบ้าน ถ้าไม่มีปอ บ้านก็คงไม่เป็นบ้านแบบนี้หรอก จริงมั้ย”

         พูดจบพี่ปืนก็หันหลังเดินเข้าห้องน้ำ ทิ้งไว้เพียงคำพูดเรียบง่าย ที่ได้ใจความ

พี่ปืนจะรู้มั้ยว่าปอคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว ที่เค้าบอกกันว่า บ้านคือวิมานของเราน่ะ ปอเองก็เคยได้ยินมา

ก่อนหน้านี้ก็คิดแค่ความสุขสบาย จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครว่า

แต่เดี๋ยวนี้ปอรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าบ้านมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย

         ตอนเป็นเด็ก ปอก็เป็นเทวดาน้อยของพ่อกับแม่ อาศัยอยู่ในวิมานอย่างมีความสุข

อบอุ่นไปด้วยความรักความห่วงใยอย่างล้นเหลือ

         ตอนนี้ปอโตแล้ว ไม่ได้อยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่อีกแล้ว พี่ปืนสร้างบ้านของเรา

ปอนี่แหละจะทำให้บ้านกลายเป็นวิมานของเราให้ได้ อย่างน้อยตอนนี้พี่ปืนก็รู้แล้วว่า

บ้านเป็นบ้านขึ้นมาได้ก็เพราะปอ ต่อไปปอจะทำให้พี่ปืนรู้ว่า บ้านหลังนี้จะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้

      A house is made of bricks and stone,

      but a home is made of love alone.




      โทรศัพท์เข้าแต่เช้า....พี่ปืนยังไม่ตื่นทั้งที่เสียงมันออกจะดังกลบหูซะขนาดนี้ คงเป็นผลมาจากเมื่อคืนแหละ

เพราะหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ยังไม่ทันจะได้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยดี พี่ปืนก็หาวแล้วหาวอีก

แล้วก็บ่นเจ็บที่ข้างแก้ม ที่ปอเห็นว่ามันดูช้ำ ๆ เขียว ๆ ตอนที่เช็ดตัวให้มันก็บวมปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัดว่า

พี่ปืนหน้าโย้ไปข้างหนึ่ง แต่ให้นึกยังไงพี่ปืนก็นึกไม่ออกว่าหน้าไปโดนอะไรมา แล้วก็หลับไปพร้อมกับความข้องใจ

      ปอเอื้อมไปหยิบมาดูเบอร์มันโชว์ชื่อพี่นู ก็เลยถือวิสาสะรับสาย

      “ปอนะครับพี่นู พื่ปืนยังไม่ตื่นเลย”

      “เหรอ แล้วเป็นอะไรมากรึป่าว สลบไปตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ฟื้นอีกเหรอ”

      “ตื่นมาทีนึงแล้วครับ ตอนที่ผมเช็ดตัวให้ แต่มึน ๆ ก็เลยไปอาบน้ำ หลังจากนั้นก็หลับยาวมาจนถึงตอนนี้แหละครับ

พี่นูมีธุระด่วนอะไรรึป่าว ผมปลุกให้ก็ได้นะครับ”

      “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องปลุก ไม่มีธุระอะไร พี่แค่โทรถามเฉย ๆ ว่าเป็นไงมั่ง

วันหยุดก็ให้เค้านอนไปสบาย ๆ เหอะ แล้วพี่ค่อยโทรมาใหม่”

      หลังจากที่พี่นูวางหูไป ปอก็ทำอะไรต่ออะไรเสร็จไปหลายอย่าง ตั้งแต่ซักผ้าทำอาหารเช้าตั้งไว้

เผื่อพี่ปืนจะตื่นมากิน แต่พี่ปืนก็โผเผ ตื่นขึ้นมาตอนใกล้จะเที่ยง พออาบน้ำสระผมเสร็จ ถึงได้ดูสดชื่นขึ้นมาบ้าง

ไรผมที่หน้าผากและข้างขมับเริ่มแห้ง หลังสระผม พี่ปืนชอบที่จะหวีผมเสยขึ้นไปทั้งเปียก ๆ

ตอนมาอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ ปอก็ว่ามันตลกดี เหมือนมาเฟียในหนังจีนยุคเก่า ๆ เลย นี่ถ้าใส่สูทขาว ผูกหูกระต่าย

พี่ปืนจะเหมือนเจ้าพ่อคนไหนมั้ยน้า

....ไม่หรอก...เจ้าพ่อหนังจีนไม่มีใครคมเข้มเท่าพี่ปืนของปอซักคน...ถึงแม้ว่าวันนี้แก้มจะโย้ไปข้างนึงก็เหอะ

      “ยิ้มอะไรปอ”

      ปอสะดุดความคิดลงพร้อมกับหุบยิ้มที่เพิ่งรู้ตัวตอนพี่ปืนทักนี่แหละ

      “แล้วพี่ปืนล่ะครับ หน้าแดงทำไม”

      “ย้อนเหรอ”

      “ผมขำทรงผมพี่ปืนน่ะครับ”

      คนถูกขำยกมือขึ้นลูบผมตัวเองเขิน ๆ

      “ทำไมเหรอ มันดู...ตลกอีกแล้วเหรอ”

      “ป่าวครับ”

      “แล้วทำไมต้องขำ”

      “เหอะน่า สำหรับผมน่ะ พี่ปืนไม่มีอะไรไม่ดีหรอก มาครับ กินข้าวดีกว่า

ผมทำผัดกะหล่ำปลีไว้ให้พี่ปืนด้วยนะ เมื่อเช้าได้กุ้งมาครับ ตัวไม่ใหญ่หรอกแต่มันสดดี”

      “พักนี้ปอทำแต่ของชอบของพี่ทั้งนั้นเลย กะหล่ำปลีนี่ก็ทำบ่อย แต่ตัวเองกลับไม่กิน

นี่ถ้าปอกินเป็นเพื่อนพี่ก็จะดี...เอามั้ย กินด้วยกัน ผัดซะจานใหญ่อย่างงี้ พี่กินคนเดียวไม่หมดหรอก”

      “ไม่ดีกว่าครับ ผมมีกับข้าวของผมแล้ว”

      ปอบุ้ยปากไปที่จานเปลขนาดกลาง ในนั้นมีกุ้งชุบแป้งทอดเป็นแพ น่าจะปรุงอะไรลงไปด้วย

เพราะเห็นผักใบเขียวหั่นฝอยปนอยู่ด้วย

      “อะไรน่ะ”

      “กุ้งทอดครับ แม่พี่ปืนสอนผมทำ กินกับอาจาดอร่อยดีครับ”

      “กินแต่ของทอด ๆ ผักก็ไม่กิน”

      พี่ปืนบ่นเบา ๆ ไปงั้นแหละ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อยที่ปอได้ยิน แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยของปอได้สักที

ที่จริงปอก็กินผักนะ เพียงแต่เลือกชนิดที่ตัวเองกินได้สบายปากเท่านั้นแหละ พี่ปืนก็พูดเกินไป

      ข้าวคำแรกยังไม่ทันจะเข้าปาก โทรศัพท์พี่ปืนก็ดังขึ้นซะก่อน

      “หืม”
 
      “.........”

      “เรื่องอะไร”

      “.........”

      “หา....”

      “.............................................”

      ทางโน้นพูดอะไรมามั่งก็ไม่รู้ แต่พี่ปืนวางช้อน แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่โย้เบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองปอ

ก่อนจะลุกเดินออกไปทางหน้าบ้าน เสียงพี่ปืนพึมพำตอบกลับไปบ้าง อย่างไม่ได้ใจความอะไร

ปอเหลียวมองตามหลังไป พี่ปืนก็เดินพ้นประตูหน้าบ้านไปจนไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว

      ใจนึกอยากเดินตามไปฟังบ้าง แต่นิสัยไม่ดีแบบนั้นปอไม่เคยคิดจะทำ

และคิดว่าถ้ามันเกี่ยวข้องกับปอ เดี๋ยวพี่ปืนก็คงมาเล่าให้ฟังเอง

แต่ถ้าไม่เล่าก็แปลว่าไม่เกี่ยว เป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า ปอคงไม่กล้าก้าวก่าย

      แอบเดาเล่น ๆ ว่า มันจะเกี่ยวกับแก้มข้างเป็นรอยช้ำรึป่าว (ก็พี่ปืนเค้าลูบแก้มทำหน้างง ตอนคุยโทรศัพท์)

อยู่ ๆจะมีรอยช้ำจนบวมปูดขึ้นมาแบบนี้มันต้องมีสาเหตุ แต่พี่ปืนน่ะ เมาซะจนไม่รู้เรื่อง ปอจะถามพี่นูก็ลืม

      “พี่ปืนไม่กินข้าวเหรอ”

      ปอเรียกพี่ปืนไว้ก่อนที่เค้าจะเดินขึ้นบนบ้าน อะไรของเค้ากันนะ ลืมไปรึไงว่า จานข้าวตั้งรออยู่บนโต๊ะเนี่ย

      “อืม ไม่ล่ะ ปอเก็บโต๊ะไปเลยนะ พี่รู้สึกไม่ค่อยสบาย”

      หันกลับมาครึ่ง ๆ ตัว ตอบอะไรก็ไม่ชัดเจน ยิ่งทำให้ปอแปลกใจ

ก็ตะกี้ พี่ปืนยังทำท่าอร่อยกับอาหารมื้อนี้อยู่เลยนี่นา อยู่ ๆ ทำไมถึงไม่สบายขึ้นมาดื้อ ๆ

      ปอเก็บโต๊ะเสร็จแล้ว หยิบยาแก้ปวด แก้ไข้ พร้อมกับแก้วน้ำ เดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูห้องพี่ปืน

แล้วจับลูกบิดประตูให้เปิด    แต่มันติดล็อกจากข้างใน

      “พี่ปืนครับ เป็นอะไรมากรึป่าว เปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ ทำไมต้องล็อกประตูด้วยอ่ะ”

      เสียงตอบดังลอดบานประตูออกมาโดยเจ้าของห้องไม่สนใจเสียงเคาะแต่อย่างใด

      “พี่ปวดหัวน่ะปอ ไม่มีอะไรหรอก ขอพี่พักซักแปบนะ”

      “ผมเอายามาให้ครับ กินยาก่อนนะ แล้วค่อยนอน”

      “พี่กินแล้วล่ะปอ ไม่ต้องห่วงนะ”

      ปอไม่คิดว่าพี่ปืนจะปวดหัวแล้วหายากินเองหรอก เมื่อกี้ก็เดินขึ้นบันไดมา โดยไม่ได้แวะที่ตู้ยาสักหน่อย

จะว่ามียาอยู่ในห้องก็บังเอิญเกินไป เพราะปอเป็นคนทำความสะอาดห้องด้วยตัวเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าในห้องไม่มียา

แต่เมื่อพี่ปืนยืนยันแบบนั้น ปอจะไปทำอะไรได้ ห่วงก็ห่วง

เพราะเห็นแล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ คงเป็นโทรศัพท์สายสุดท้ายนั่นแหละ

      ทำยังไงดีนะ....โทรศัพท์พี่ปืนก็เอาเข้าไปในห้องด้วย ปออยากรู้จังว่าสายสุดท้ายน่ะ ใครโทรมา

แล้วเค้าพูดอะไรกัน ถึงได้ทำให้พี่ปืนมีอาการที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้

      ช่างเหอะ...รอสักพัก ให้พี่ปืนสบายใจกว่านี้ ปออาจจะตะล่อมถามดู

ตอนนี้โทรหาพี่นูก่อนดีกว่า อยากรู้เรื่องที่ทำให้พี่ปืนแก้มโย้เต็มทีแล้ว

      “หวัดดีครับพี่นู ผมปอนะครับ”

      “หวัดดีครับปอ โทรมามีอะไรรึป่าว”

      “ผมรบกวนถามพี่นูซักเรื่องสิครับ”

      “รบกวนเลยเหรอ เรื่องอะไรล่ะ”

      “เรื่องพี่ปืนครับ”

      “ปืนเป็นอะไร มีอะไรรึป่าว”

      เสียงพี่นูถามกลับมาด้วยอาการร้อนรนระคนตกใจ

      “ไม่มีอะไรมากหรอกครับพี่นู ไม่ต้องตกใจ คือเมื่อคืนตอนที่ผมเช็ดตัวให้พี่ปืนน่ะ

ผมเห็นที่ข้างแก้มพี่ปืนเขียว ๆช้ำ ๆ ยังกะไปโดนอะไรมาเลยอ่ะครับ พี่นูอยู่กับพี่ปืนตลอดเวลารึป่าวครับ”

      “เอ้อ....ก็ตลอด...อ้า...ตอนไหนล่ะ ตอนที่อยู่ในร้านก็นั่งด้วยกันนะ แต่ว่าเค้าลุกไปไหนมั่งพี่ก็ไม่ทันสังเกตหรอก”

      “แล้วตอนขากลับล่ะครับ พี่ปืนบอกว่าเดินมาพร้อมพี่นู”

      “ครับ ปืนเค้าจะมาส่งพี่ที่บ้าน ก็เลยออกมาด้วยกัน แต่....พอดี อ้า...ปืนเค้า...เออ…

พี่เห็นว่าเค้าเมา อาจจะขับรถกลับไม่ไหวอ่ะนะ ก็เลยโทรตามพี่นิวให้มารับ แล้วปืนเค้าว่าไงเหรอ”

      น้ำเสียงพี่นูยังคงแสดงความห่วงกังวล

      “เค้าจำไม่ได้ครับ ตื่นขึ้นมาก็คลำป้อย ๆ เชียวแต่ก็ไม่รู้ตัวว่าไปทำอะไรมา”

      “คงไม่มีอะไรมั้ง อาจจะไปชนประตง ประตู ตอนเดินไปห้องน้ำเข้าก็ได้”

      “ถ้าเป็นอย่างงั้นก็ดีครับ ผมกลัวเค้าจะไปมีเรื่องกับใครมา เพราะรอยมันยังกะโดนใครชกมามากกว่าอ่ะครับพี่นู”

      “อู๊ยยยย ไม่มั้ง เมาออกอย่างงั้นจะไปมีแรงชกกะใครเค้า พี่ว่าปออย่ากังวลจนเกินไปดีกว่านะ

รอยปูด ๆ นั่นน่ะ เดี๋ยวก็หาย ไม่เสียโฉมหรอกน่า”

      “โธ่ พี่นูครับ ผมไม่ได้กลัวเสียโฉมซักหน่อย”

      ปอพูดกลั้วหัวเราะ รู้ว่าพี่นูแกล้งแซวเล่น

      ”ผมกลัวว่าเค้าไปมีเรื่องกับใครมา แล้ววันหลังไปเจอกันอีกก็ไม่รู้ตัวว่าเจอโจทก์เก่าจะเป็นเรื่องขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวต่างหาก”

      “ไม่หรอกปอ ปืนไม่ได้เป็นคนมีนิสัยนักเลงอย่างนั้นปอก็น่าจะรู้ดี...เออ แล้วนี่เค้าเป็นไงมั่งอ่ะ”

      “นี่ก็อีกเรื่องที่ผมเป็นห่วงครับพี่นู คือเมื่อกี้น่ะไม่รู้ว่าใครโทรหาพี่ปืน กำลังจะกินข้าวอยู่แล้วเชียว

อยู่ ๆ เค้าก็ลุกขึ้นไปคุยหน้าบ้าน หายไปพักนึงก็เดินขึ้นบนห้อง บอกผมว่าไม่กินแล้ว บอกแต่ว่าปวดหัว

ผมตามไปดูก็ไม่ให้เข้าห้อง ผมดูเค้าเครียด ๆอ่ะครับพี่นู ก่อนรับโทรศัพท์ก็ยังดี ๆอยู่นะ

พอวางหูเท่านั้นแหละ เปลี่ยนไปเป็นคนละอารมณ์เลย”

      “เหรอ”

      “ครับ ผมไม่รู้จะทำยังไงดี เรื่องรอยช้ำนั่นยังไม่มีคำตอบ ยังต้องมาห่วงเค้าเรื่องนี้อีก

ผมห่วงพี่ปืนจริง ๆ นะครับพี่นู หรือว่า สองเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกันครับ”

      “ฮื้อ....ไม่หรอกม้าง พี่ว่าปออย่าคิดมากเลย เอาเวลาไปดูแลพี่เค้าเหอะ”

      “งั้นแค่นี้ก่อนนะครับพี่นู ผมจะไปดูพี่ปืนก่อน”

      ปอเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไปหยุดที่หน้าห้องพี่ปืน แนบหูกับบานประตู เผื่อจะได้ยินเสียงขยับกุกกัก

จะได้รู้ว่าพี่ปืนตื่นแล้ว แต่ภายในก็ยังเงียบ หรือว่าพี่ปืนยังไม่ตื่น

....นี่ก็จะสี่โมงเย็นแล้วนะ สองสามเที่ยวแล้วที่ปอเดินขึ้นเดินลงบันได

แอบมาฟังเสียงในห้องพี่ปืน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทีท่าว่าพี่ปืนจะออกมาจากห้อง

หรือแม้แต่ส่งเสียงบางอย่างให้ปอรู้ว่าตื่นแล้ว

      จะให้เป็นกังวลไปถึงไหนกันนะครับพี่ปืน.....ปอได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินออกไปนั่งที่ซุ้มต้นเล็บมือนางอย่างเหงา ๆ

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2012 22:48:35
 

      จากบานหน้าต่างชั้นบนหลังม่านสีเข้ม ปืนมองลงไปที่ซุ้มไม้มุมโปรดของปอ

เห็นเพียงหลังบอบบางที่งองุ้ม มีเส้นผมสลวยเคลียไหล่

ปอคงน้อยใจที่พี่ปืนไม่เปิดประตูรับ แถมยังบอกปัดความหวังดีที่เอายาแก้ปวดมาให้แล้วปืนบอกว่ากินแล้ว

      เขาก็รู้หรอกว่าปอไม่เชื่อ เพราะแม่บ้านย่อมรู้ดีว่าวางอะไรไว้ที่ไหนบ้าง

แต่เวลานั้นปืนไม่อยากพบหน้าปอเลย....เรียกว่าไม่กล้าสู้หน้าจะตรงกว่า

      เขารู้สึกตัวเองเลว แปดเปื้อน ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดี ไม่มีคุณค่าพอที่ปอจะมอบความรู้สึกดี ๆ ให้

หลังจากที่รู้ว่ารอยช้ำได้มายังไง ปืนก็ไม่อยากนั่งเผชิญหน้าปอในโต๊ะอาหารอีก

การที่หลบขึ้นมาเก็บตัวในห้อง คงเป็นแค่การซื้อเวลา เพื่อที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่าง

      ‘อะไร’ ที่ควรจะยุติซะที เพราะมันไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น

ยอมเฉือนหัวใจตัวเองตอนนี้ ยังดีกว่าจะให้ปอต้องมารับรู้ว่า เขาเป็นพี่ชายที่แสนเลว

แค่เหล้าเข้าปากก็ขาดสติ ทำอะไรที่น่ารังเกียจลงไปถึงสองครั้งสองหน

ยังดีที่นูไม่คิดจะถือสา ไม่ว่าอะไรซักคำ นอกจากเตือนสติให้เขาตัดสินใจอะไรให้มันเด็ดขาดได้แล้ว

แถมยังขอโทษขอโพยที่นิวใช้กำลังตอนที่ปืนอยู่ในอาการเมาเมื่อคืนนี้

      เขาไม่อยากให้ปอต้องเจ็บมากไปกว่านี้อีกแล้ว จะรักก็รักไม่ได้ อยากอยู่ใกล้ชิดก็กลับจะเป็นปัญหาขึ้นทุกที

ปืนคิดว่าการที่ตัวเองพยายามสะกดกลั้นอารมณ์รัก อารมณ์ปรารถนาที่มีต่อปอไม่ให้มันแสดงออกมา

มันเหมือนระเบิดที่รอจุดชนวนอยู่ สำแดงฤทธิ์เดชออกมาแต่ละทีก็ทำเอาคนรอบข้างเดือดร้อน

โชคดีที่สองครั้งที่ผ่านมาไปลงที่นู (แต่นูอ่ะโชคไม่ดี) ถ้าคราวหน้าเป็นคนอื่นก็คงแย่ และจะยิ่งแย่ถ้าเป็นปอ

หากมีอะไรที่เลยเถิดจนเกินสมควร เขากลัวจะถูกเกลียด แค่รักไม่ได้ปืนก็ขื่นในหัวใจแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าถูกคนที่เรารักเกลียดหน้าปืนจะอยู่ต่อไปยังไง



      ปอยังคงไม่รู้สึกตัวเมื่อปืนเดินไปหยุดอยู่ข้างหลัง อดที่จะลูบไล้เส้นผมสลวยของคนตรงหน้าไม่ได้เลย

ก่อนที่จะพูดจาอะไรออกไปปืนขอแค่สัมผัสให้ชื่นหัวใจหน่อยเถอะ

 เพราะรู้ว่า สิ่งที่จะพูดออกไป คงทำร้ายจิตใจปอไม่น้อยเลย

อย่าว่าแต่ทำร้ายปอเลยนะ ปืนเองก็ทำร้ายจิตใจตัวเองตั้งแต่เริ่มคิดเรื่องนี้แล้วด้วยซ้ำ

      “พี่ปืน”

      เสียงเรียกพร้อมรอยยิ้มของปอ บอกได้มากมายว่ายินดีแค่ไหน

      “หายแล้วเหรอครับ”

      ปืนได้แต่พยักหน้า

      “หิวมั้ย”

      ปืนส่ายหน้า ลำคอเริ่มตีบตันขึ้นมาจนต้องกลั้นหายใจแล้วกลืนก้อนแข็ง ๆลงคอไปอย่างยากเย็น

      “นอนซะนานเลย งั้นเดี๋ยวผมไปเอาน้ำฝรั่งเย็น ๆให้นะครับ”

      ปอกระตือรือร้นรีบลุกออกจากม้านั่ง แต่ปืนฉวยข้อมือไว้ได้ก่อน

      “เดี๋ยวก็ได้ พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

      “ครับ”

      น้ำเสียงที่รับคำร่าเริง แววตาแจ่มใส เมื่อปอทรุดตัวลงนั่ง ปืนก็คลายมือออกจากข้อมือของปอ

แต่เจ้าตัวถือโอกาสพลิกมือตัวเองมากุมมือปืนไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างมาประกบ

ยังไม่พอ ปอยังมีอาการร่าเริงพอที่จะเดาะมือปืนเล่น

      “อย่าทำหน้ายับอย่างนี้สิพี่ปืน เดี๋ยวก็แก่ก่อนวัยหรอก”

      ดวงตาแป๋วจ้องเป๋งมาที่ปืน อย่างรอคอย มันทำให้ปืนอยากจะเปลี่ยนใจเหลือเกิน

แต่มาจนขนาดนี้แล้ว ปืนมองไม่เห็นว่า เขาจะช่วยตัวเองได้ยังไง

เพื่อจะรักษาความสัมพันธ์ที่สวยงามระหว่างตัวเอง ปอ และครอบครัวของปอไว้ได้

      “เทอมหน้าย้ายไปอยู่หอพักเถอะ”




      *******************************************************

      ยังมีต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 27-05-2012 22:52:45




 *******************************************************



      ปอสะอื้นซะไม่มีดี น้ำตาไหลจะหมดตัวแล้วมั้ง เย็นย่ำผ่านไปจนเลยเที่ยงคืนแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะแห้งเหือดลงได้

      หยุดไปพักเดียว น้ำตาก็ไหลพรากอีกไม่รู้จบ

      คิดถึงคำพูดของพี่ปืนขึ้นมาทีไร ปอก็แทบอยากกรีดร้องซะให้หายเจ็บปวด

ใครสักคนเคยบอกว่า ถ้าได้ระเบิดเสียงออกมาให้สุดแรง ความอึดอัด เจ็บปวด ที่มันท่วมท้นอยู่ข้างใน จะบรรเทาลงได้

แต่ทำไงปอถึงจะระเบิดมันออกมาได้...ไม่รู้เลย

      รู้แต่ว่าตอนนี้ใจมันจะขาด เหมือนหัวใจจะหลุดจากขั้ว

      เคยเห็นใบไม้ร่วงมั้ย  ยามที่มันถึงกาลจะต้องร่วงหล่น

แค่ต้องลมเพียงแผ่วเบา ขั้วของมันก็หลุดจากกิ่งอย่างง่ายดาย

คว้าง ๆ ละลิ่วลงดินอย่างช้า ๆ

......ยังไงยังงั้นเลย.....

หัวใจของปอในยามนี้มันอ่อนแอนักหนาแล้ว

 
      นานเท่าไร ที่ปอพยายามจะค้นใจพี่ปืนให้เจอว่า ที่จริงแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากปอเลย

      นานเท่าไร ที่ปออดทนรอเวลาที่พี่ปืนจะเทใจทั้งหมดให้ปอ

      นานเท่าไร ที่ปอพยายามเหลือเกินที่จะให้พี่ปืนยอมรับความรู้สึกนั้นซะที

      หมดเวลาแล้วสินะ

      …..เทอมหน้าย้ายไปอยู่หอพักเถอะ....

      .....ทำไมล่ะครับ.....

      .....พี่อยากอยู่ตามลำพัง.....

      .....แล้วใครจะดูแลพี่ปืน....
.
      .....พี่ดูแลตัวเองได้ ปอเถอะ ดูแลตัวเองดี ๆนะ......

      ....ครับพี่ปืน....

      ก็จะให้พูดอะไรได้นอกจากคำ ๆ นี้ บอกมาเถอะว่าพี่ปืนอยากให้ปอทำอะไร 

จะไม่ขัดเลย......ขอให้บอก

อะไรที่เป็นความต้องการของพี่ปืน ที่จะทำให้พี่ปืนมีความสุข

ปอจะไม่ปฏิเสธแม้แต่คำเดียว

ต่อให้หัวใจของปอถูกกรีดจนเลือดโทรมเท่าไรก็จะไม่ปริปากว่าเจ็บสักคำ



หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 27-05-2012 23:00:29
ขอบคุณจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 27-05-2012 23:01:14
แง้!!!! ค้างอีกแย้วววววววววววววววววว
 :sad5:
คุณนูใจร้ายตลอดเลยง่า
หายไปไม่คิดถึงคนอ่าน
พอกลับมาทำให้เราค้างซะขนาดนี้อีก

พี่ปืนทำไมทำแบบนี้อีกแล้ว
แบบนี้คนอ่านโกรธจริงๆนะเนี่ย
เดี๋ยวยุให้น้องปอหนีกลับบ้านเลยนี่
 o12

choijiin > หมั่นไส้นิดหน่อยไม่เป็นไรครับ ให้หยิกแก้มได้หนึ่งที

แบบนี้ทีนึงไม่พอแล้วค่ะ งอน!!!
 :a14:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 28-05-2012 13:07:00
ปอจะทำไง ถ้าออกไปอยู่หอ คงหาโอกาสเจอกันยาก

ที่คุณนูถามเรานึกไม่ออกนะคะว่ามีบอก ว่าเป็นเรื่องของเพื่อน
ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเรื่องของคุณนูเองรึเปล่า^^
แต่ฮาตอนที่บอกว่าคุณนิวขาว ใส ทำเอาปืนหมอง
555 คุณนูแอบอวยแฟนตัวเอง



หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 27/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 28-05-2012 13:09:55
หน่วงอีกแล้วววววววววววว :z3:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 29/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 30-05-2012 00:04:03


ไว้พรุ่งนี้ผมจะแวะมาทักทายครับ

อ่านเสร็จแล้วก็...

ฝันดี...ราตรีสวัสดิ์นะครับ



 :bye2:






ห้องข้างๆ ว่างแล้วเพราะเจ้าของห้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

...ยังหรอก…ปอยังไม่ได้ย้ายออกไปอยู่หอพัก แค่กลับบ้านช่วงปิดเทอมเท่านั้น

จากที่เคยวางแผนไว้ด้วยกันว่า ปิดเทอมเมื่อไรจะหาเวลาไปเที่ยวไกล ๆ กันสักที

แต่แล้วแผนเที่ยวก็ถูกยกเลิกโดยปริยาย หลังจากที่ปืนบอกให้ปอย้ายไปอยู่หอพัก

วันลาพักร้อนที่ได้รับอนุมัติแล้ว ปืนไม่ได้ขอยกเลิก เพราะคิดว่าพักผ่อนอยู่กับบ้านก็คงจะดี

แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับอยู่ในนรกก็ไม่รู้

      ปอไม่อยู่แค่ครึ่งเดือน ทำไมบ้านมันเงียบจัง รกก็รก เปิดตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ออกไปซื้อของ

ว่าจะหาอะไรมาตุนไว้เผื่อวันไหนไม่อยากออกไปกินนอกบ้าน ก็ไม่รู้จะซื้ออะไร ถึงซื้อมาก็ทำไม่เป็นอยู่ดี

สุดท้ายก็ได้แต่บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กสำเร็จรูป ขนมปัง สารพัดน้ำพริกสำเร็จรูป แล้วก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามเคย

      นูก็พลอยเงียบหายไปด้วย ช่วงนี้มีงานนิทรรศการที่มหาวิทยาลัยในท้องถิ่นจัดขึ้น

แบ็งก์ไปเปิดบู๊ทประชาสัมพันธ์ เด็กใหม่ ๆ หน้าตาดี ๆ ถูกเกณฑ์ไปช่วยงานกันหมด

ดีนะ ที่ปืนลาพักร้อนล่วงหน้าไว้ ไม่งั้นอาจจะโดนเรียกตัวไปช่วยงานด้วยก็ได้ (แอบคิดว่าตัวเองหน้าตาดี)

      ยังนึกไม่ออกว่าวันนี้จะกินอะไร....อืม...แวะไปหานูที่บู๊ทดีกว่า

ตั้งแต่คืนที่ถูกนิวชกลงไปนอนวัดพื้น ก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย

ปืนอยากจะคิดว่านูหลบหน้าด้วยซ้ำ แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมต้องหลบ

เขาซะอีก เป็นฝ่ายผิด ควรจะหลบหน้า แต่ก็ยังอยากจะเจอนูอยู่ดี มีหลายอย่างที่ปืนรู้สึกอัดอั้น

ทั้งเรื่องนู และเรื่องปอ อาจจะเป็นเพราะเรา “เหมือนกัน” นูจึงเป็นคนที่เขาอยากจะพูดด้วยมากที่สุดในตอนนี้


      ที่ในงานคนพลุกพล่านจนน่ารำคาญ เดินกันจนฝุ่นตลบไปหมด ไหนแดดจะเปรี้ยง อากาศก็ร้อนระอุ

 ร้านอาหารที่เปิดในงานดูเหมือนจะน่ากิน แต่พอเห็นว่าภาชนะที่ใส่ไม่มีอะไรปกปิด ปืนก็เดินเลยไป

บางร้านที่ใส่ตู้กระจก มีฝาเลื่อนเปิดปิดได้ พอเดินไปใกล้ ๆ ตัดสินใจจะสั่งอะไรกิน ก็ต้องถอย

เพราะมีแมลงวันเกาะอยู่ข้างในทั้งที่ตู้ก็ยังปิดสนิท...เจ้าตัวนี้มันคงกินซะอิ่มแล้ว ถึงได้ทุรนทุรายอยากจะออกมาเต็มแก่

      ทำไมแต่ก่อนนี้ปืนไม่เคยสังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เลยนะ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเดินซื้อของกินตามงานแบบนี้

แต่ทุกครั้งที่มามักจะมีเจ้าตัวเล็กนั่นมาเดินเป็นเพื่อนด้วย หันไปทางไหนก็น่าสนุกไปหมด

ร้านอาหารก็แบบเดิม ๆ ร้านแสดงสินค้าก็เดิม ๆ แต่วันนี้ปืนบอกไม่ถูกเลยว่าอากาศร้อนทำให้หงุดหงิด

หรือว่า การเดินคนเดียวมันไม่น่าสนุกกันแน่

      แล้วก็เดินมาถึงบู๊ทโดยไม่มีอะไรติดมือมาฝากนูแม้แต่ข้าวสักกห่อ รวมทั้งตัวเองก็ไม่นึกอยากพอที่จะซื้ออะไรมากิน

      เสียงเพื่อนที่ถูกเกณฑ์มาช่วยงานดังผ่านลำโพง ประกาศผลิตภัณฑ์ของแบ็งก์ที่น่าสนใจ

แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่าการเล่นเกมแจกของที่ระลึก แก้วน้ำพลาสติกสีสวย กระติกใส่น้ำดื่ม กล่องข้าว

ทุกอย่างมีตราของแบ็งก์ประทับอยู่ ของที่ต้นทุนอันละไม่กี่บาทก็ดูน่าสนใจ

ทำให้นึกอยากได้พอที่จะลงเล่นเกมแข่งขันเล็กน้อย ๆ

บางคนอาจจะคิด....ก็ดีกว่ากลับบ้านมือเปล่า....

      นูหันมาเห็นเขาแล้ว พยักหน้าเป็นเชิงให้รอก่อน ปืนเดินเข้าไปในบู๊ทหาที่นั่ง

ทุกคนที่มาล้วนแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา เนื่องจากเคยเจอกัน ตอนอบรม สัมมนาอะไรสักอย่างที่แบ็งก์จัดขึ้น

จนได้เวลาพักเที่ยง เสียงจากลำโพงก็เงียบลง ทุกคนตรงเข้าไปหยิบกล่องข้าวสวัสดิการที่มีคนเตรียมไว้ให้

นูเดินไปหยิบมาเผื่อเขา พร้อมกับน้ำอัดลมคนละกระป๋อง

      “พักร้อนทั้งทีมาเดินเล่นในงานเนี้ยะนะ”

      “ไม่รู้จะไปไหน”

      “ไหนว่าจะพาปอไปเที่ยวลันตา รึ พงันนะครับ”

      “กลับบ้านไปแล้ว”

      “อ้าว ทำไมอ่ะ ไม่เที่ยวตอนนี้แล้วจะไปตอนไหน ยังกับวันลาขอได้ง่าย ๆ ยิ่งปิดเทอมแบบนี้อ่ะนะ

มีแต่คนคิดจะลาพาลูกเที่ยว พี่ลาได้ก็บุญเท่าไหร่”

      “แล้วจะให้ทำไง ไม่มีเพื่อนไป ไปคนเดียวสนุกที่ไหน”

      “อืม...ไม่เป็นไรหนิ เค้ากลับมาก็ค่อยไปก็ได้ บอกผมมั่งแล้วกัน เผื่อพี่นิวว่างจะได้ไปด้วยกัน”

      “ไม่รู้เค้าอยากจะไปกับพี่รึป่าว”

      ปืนเขี่ยข้าวในกล่องเล่น ไม่นึกอยากกินเป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

ข้าวที่อยู่ในปากก็เกิดจะกลืนไม่ลงไปทีเดียว

      “ทำไมอ่ะ”

      “ก็...พี่ให้ปอไปอยู่หอพักเทอมหน้า”

      “ฮื้อ....มันเรื่องอะไร ปอเรียนหนักขึ้นเหรอ”

      “ป่าว...พี่ให้เค้าไปเอง ไม่อยากเห็นหน้า”

      “บ้าไปแล้วเหรอพี่ปืน”

      “นั่นสิ”

      “เกิดอะไรขึ้นบอกผมได้มั้ย”

      ปืนปิดกล่องโฟมใส่ข้าว โยนลงถุงขยะ จิบน้ำอัดลมอีกอึกก็ลุกขึ้นบอกลา

      “พี่กลับก่อนนะ”

      “อะไรอ่ะ ยังไม่ทันจะรู้เรื่อง งั้นเอางี้ดีกว่า รอผมแป๊บ ผมไปฝากเวรเพื่อนก่อน เดี๋ยวผมจะออกไปด้วย”

      “เฮ้ย....หนีงานเหรอ”

      นูหันมายักคิ้วให้ หันหลังเดินไปที่กลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่อีกด้านของบู๊ท พูดอะไรสองสามคำแล้วก็เดินกลับมาที่ปืน

      “ไปครับ เรียบร้อย”

      “เดี๋ยวผู้จัดการมาเจอจะซวยมั้ยน่ะ”

      “ไม่หรอกครับ ใครมีธุระก็ฝากกันได้ ผมโดนฝากอยู่เรื่อยแหละ พวกนั้นชอบไปเดินเล่นในงาน

เผลอ ๆ ไปโผล่ที่ตึกคณะ....นู้น ไปจีบเด็กนักศึกษา”

      “จะไปไหนอ่ะ”

      ปืนขับรถออกจากลานจอด ผู้โดยสารก็ไม่ได้บอกจุดหมายปลายทาง ส่วนเขาเองก็ไม่รู้จะไปไหนดี

ตอนแรกก็คิดแค่ว่า ไปไหนก็ได้ขอให้ออกมาพ้นชายคาบ้านก่อนเป็นพอ

      “ไม่รู้จะไปไหนก็ไปบ้านผมป่ะ”

      “เฮ้ย....นึกยังไงจะพาพี่เข้าบ้าน”

      “ก็ไม่รู้จะไปไหนไง”

      “นิวอยู่รึป่าวล่ะ”

      “เค้าไปทำงาน นี่มันเพิ่งจะเที่ยงวันเอง เที่ยงคืนนู่น กว่าจะได้เวลาเข้าบ้าน ฟ้าสว่างขนาดนี้

เค้ากลับบ้านไม่ถูกหรอก....หลง”

      “ฮ่า ๆ นินทาเว้ยวันนี้”

      ปืนแกล้งกระเซ้าเพื่อนรุ่นน้อง อีกสองสามซอยกว่าจะถึงบ้านของนู ปืนก็แวะบ้านเลขที่ 7/11 ก่อน

      “เบียร์ไม่ต้องนะพี่ปืน ที่บ้านมี ผมอยากได้ไส้กรอกนะ เวฟให้ด้วย”

      สั่งเสร็จสรรพ ปืนก็เปิดประตูรถลงไปซื้อของที่ตัวเองต้องการ ทีแรกก็ตั้งใจจะซื้อเบียร์ซักสองสามขวด

แต่ก็มีอยู่แล้วหนิ จะซื้ออีกทำไม เลยหยิบไส้กรอกที่มีคนสั่งไว้มาสองถุงเขาเองก็กินอะไรไม่ค่อยลง

กินเบียร์ตอนท้องว่างคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กินไส้กรอกพอประทังไปก่อนก็ดีเหมือนกัน

      เป็นครั้งแรกที่เหยียบเข้าบ้านนูเต็ม ๆ เท้า ทุกทีน่ะเร้อ เค้าให้จอดส่งแค่ประตูรั้วด้วยข้ออ้างเดิม ๆ

      ....ผมอาศัยเค้าอยู่น่ะพี่ปืน ไว้ผมขออนุญาตพี่นิวพาเพื่อนมาบ้านก่อนนะ ผมจะเชิญเข้าไปกินข้าวฝีมือผม.....


      เบียร์เย็นเฉียบเสิร์ฟพร้อมถั่วอบเนยเม็ดใหญ่ของชอบของปืน กับไส้กรอกจัดใส่จานมาอย่างเรียบร้อย

      “ออเดิร์ฟก่อนนะ ผมบอกป้าให้ทำยำรสจัด ๆ ให้แล้ว”

      “ไม่ต้องยุ่งยากหรอกน่า แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว”

      “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่นิวเค้าจะว่าผมรับแขกไม่ดี”

      “นิวนี่ดุมากเหรอ”

      ถามไปปืนก็นึกถึงคืนที่นิวปล่อยหมัดเข้าข้างแก้มจนเขาหมดสติ

      “ทำไมถามผมอย่างงี้อ่ะพี่”

      “พี่ได้ยินนูพูดถึง แบบกลัว ๆ เกรง ๆ ยังไงไม่รู้”

      “ไม่ดุหรอกครับ แต่เค้าค่อนข้างมีระเบียบนิดนึง ไม่เอา วันนี้ไม่ได้ให้มาพูดเรื่องผมนะ

ผมอยากรู้เรื่องปอมากกว่า ไหนพี่บอกผมมาหน่อยทำไมอยู่ ๆ ไล่ปอไปอยู่หอพัก”

      “ไม่ได้ไล่ แค่ให้ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแค่นั้นแหละ”

      “ปลอดภัยจากอะไร แล้วอยู่กับพี่ปืนไม่ปลอดภัยตรงไหน”

      “ยังจะมาถาม พี่ไม่อยากพูดถึงมันอีก”

      “ไม่พูดแล้วจะรู้กันมั้ยเล่า บอกผมมาเหอะว่าทำไม ผมฟังดูว่ามันไม่มีเค้ามาก่อนว่าพี่ปืนจะให้ปอไปอยู่หอทำไม”

      “มันน่าอาย พี่ไม่อยากพูด”

      ปืนยกสองมือปิดหน้า อึดอัดอยู่ข้างใน อยากระบายเหลือเกิน แต่เขาไม่รู้จะเริ่มยังไง

ในเมื่อคนที่นั่งตรงหน้าก็มีส่วนในสิ่งที่เขาทำด้วย แล้วยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับเขาไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อน

      “พี่ปืนหมายถึงเรื่องที่พี่ทำกับผมเหรอ”

      ปืนชะงัก นูเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย (ถ้าอยากทำ) หรือเพราะว่าเรามีเส้นทางความรักที่เหมือนกันก็ไม่รู้

แต่โดยเนื้อแท้เขารู้ว่านูเป็นคนใจกว้าง ไม่เก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นอารมณ์นานนัก

ยิ่งเรื่องที่ปืนพยายามใช้กำลังกับนูด้วยแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจเสียยิ่งกว่าตัวเขาเองซะอีก

      “โถ่เอ๊ย...เรื่องแค่นี้เอง พี่นิวจัดการให้แล้ว ผมไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”

      ปืนยิ้มขื่น ๆ นึกถึงนิวแล้วเขาก็นับถือน้ำใจ เพราะหลังจากวันที่เกิดเรื่อง นิวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พบหน้ากันตอนไปรับนูที่ทำงานก็ยังทักทายตามปกติ และยังไม่เคยเท้าความใด ๆ อีกเลย

      “แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับปอตรงไหน”

      “พี่กลัวปอรู้ว่าพี่เป็นคนไม่ดี”

      “ใครล่ะจะบอก พี่ปืนก็อย่าทำอีก แล้วความจริงมันก็เพราะเหล้า”

      “แล้วถ้าพี่เมา”

      “ไม่ยาก ก็เลิกดื่ม”

      “เฮ้อ....มันกลุ้ม”

      ปืนกระแทกหลังกับพนักพิงอย่างแรง คิดว่าทำอย่างนี้แล้วไอ้ความทุกข์ที่มันทับถมอยู่กระเด็นหลุดออกไปได้มั่งก็ยังดี

      “ผมรู้ว่าพี่ปืนกลุ้มเพราะอะไร”

      ปืนนิ่งฟังสิ่งที่นูกำลังจะพูด ปกติเขาไม่เห็นนูจะยุ่งเรื่องใคร จะมีก็แต่เขากับปอที่ดูจะใส่ใจเป็นพิเศษ

 ...ก็นั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะ ”ความเหมือน”

      “ผมก็เคยกลุ้มใจมาไม่น้อยกว่าพี่ปืนนะ ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรเลย

แต่ชีวิตเรามันก็แค่นี้ไม่รู้จะตายวันไหน ผมพยายามทำตัวเองให้มีความสุขตราบเท่าที่ผมยังมีลมหายใจอยู่

ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ยังไงก็คงเป็นอยู่อย่างนี้ไปจนตาย

ขอแค่คนอื่น ๆ ไม่ต้องมาร่วมเดือดร้อนไปกับการกระทำของผม เท่านี้ผมว่ามันก็ดีที่สุดแล้ว”

      “แล้วครอบครัวของนูล่ะ”

      “เค้าก็มีความสุขดี ถึงผมจะไม่เคยบอกเล่าอะไรให้เค้าฟัง แต่ผมก็ไม่เคยทำให้เค้าต้องอับอาย

พี่ปืนดูผมสิครับ ถ้าผมไม่บอกใครจะรู้มั้ยว่าผมเป็นอะไร บางคนอาจจะสงสัย ก็ให้เค้าสงสัยกันไป

ผมแคร์แค่คนในครอบครัวผม เค้าอาจจะรู้ แต่ตราบใดที่เค้าไม่ถาม ผมก็ไม่บอก ผมคิดว่า

การที่เค้าไม่เปิดใจรับความเป็นจริงของผม คงจะทำให้เค้าสบายใจขึ้นบ้าง”

      “แล้วถ้าวันไหนเค้าถาม”

      “ผมก็จะไม่โกหก เพราะผมคิดว่า วันที่เค้าตัดสินใจถาม คือวันที่เค้าเริ่มยอมรับในตัวผม ได้บ้างแล้ว

....ผมก็แค่รอเวลา แต่ระหว่างนี้ผมก็หาความสุขให้ตัวเองไปเรื่อย ๆ”

      “แต่พี่ไม่รู้จะทำอย่างนูได้รึป่าว”

      “ไม่หรอกครับพี่ปืน ไม่มีใครทำอย่างคนอื่นได้ ผมแค่บอกถึงสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ ว่าผมคิดยังไง

เผื่อพี่ปืนจะได้ถามใจตัวเองบ้างว่า พี่ปืนต้องการอะไรสำหรับชีวิตตัวเองต่อจากนี้

หลังจากที่พี่ปืนรู้ว่าตัวเองรักใคร พี่ปืนจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง ผมอยากให้พี่ปืนคิดถึงคนที่พี่ปืนรักด้วยว่า

ถ้าพี่ปืนยังฝืนตัวเองอยู่อย่างนี้ เค้าจะมีความสุขมั้ย ถ้าต้องทุกข์ทั้งสองคน มันจะคุ้มมั้ย”

      ได้พูดอะไรออกไปบ้างทำให้ปืนรู้สึกดีขึ้นที่มีคนมาร่วมรับรู้ เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะหันหน้าไปคุยกับใครได้

เรื่องแบบนี้สังคมที่นี่ยังไม่ค่อยจะยอมรับกันเท่าไร แล้วอีกอย่าง หน้าที่การงานของปืนมันก็ไม่เอื้อซะด้วย

นี่ยังไม่พูดถึงครอบครัวเลยนะ ลูกชายคนเดียวอย่างปืนไม่รู้จะแบกหน้าไปบอกคนที่บ้านว่ายังไง

      ดื่มเบียร์หมดไปสองขวดปืนก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ ชักมึน ๆ เหมือนกัน คงเป็นเพราะยังวันอยู่เลย

แถมท้องว่าง อาหารหนักยังไม่ตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า

      “รีบกลับก็แล้วกัน หวัดดีครับ”

      ตอนที่เดินกลับมานั่งที่ชุดรับแขก นูเพิ่งจะวางสายจากนิว หน้าตาไม่ค่อยเสบย สงสัยคงจะกลัวปืนเมาแล้วล่วงเกินนูอีก

แต่เขาตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะไม่ดื่มให้เพลินไปนัก อย่างน้อยก็ต้องพาตัวเองขับรถกลับไปนอนที่บ้าน

....ถึงจะไม่อยากกลับไปนอนในบ้านที่เหมือนนรก แต่ก็ต้องกลับอยู่ดี



      ถ้าปืนไม่เคยลิ้มรสคำว่า “บ้าน” ตอนที่มีปออยู่ด้วย เขาคงไม่อ้างว้างอย่างนี้....

แต่จะมาเรียกร้องอะไร ในเมื่อได้ทำทุกอย่างลงไปแล้ว

.....เนี่ยนะ...เค้าถึงบอกว่าให้คิดก่อนพูด

      .....ก็คิดดีแล้วนี่หว่า.....

      .....คิดดีแล้วจะมานั่งคร่ำครวญหาอะไร.....

      .....ก็แค่ตอนนี้หรอกน่า อีกหน่อยพอชินแล้วก็สบาย.....

      .....จริงหรือ?.....

      ประโยคโต้ตอบไปมาในใจ จบลงตรงที่ เขาเองก็ไม่แน่ใจนี่สิ ปืนพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนจนครึ่งค่อนคืนผ่านไป

ก็หลับตาไม่ลง มีแต่ภาพของปอตรงนั้น ตรงนี้ ปอทำอย่างนั้น ปอทำอย่างนี้ เต็มหัวไปหมด

กลางคืนช่างทรมาน กลางวันก็เหงาจับใจ


      เสียงบิดลูกบิดประตูห้องข้าง ๆเบาๆ เหมือนจะเป็นฝีมือคน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้

เพราะทั้งบ้านมีแค่ปืนคนเดียว หยิบนาฬิกามาดู

....บ่ายแล้วเหรอเนี่ย เมื่อคืนไม่รู้เคลิ้มหลับไปตอนไหน

แต่ละวันผ่านไปด้วยความเคยชินว่า ตื่นแล้วต้องอาบน้ำ ล้างหน้า....

ปืนลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวที่ปลายเตียงขึ้นมาพาดไหล่

ความชื้นจากการที่ถูกใช้เมื่อคืนนี้ยังไม่หมดไป เพราะถูกขยุ้มทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี

      อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาหาอะไรกินสินะ....เป็นความเคยชินอีกอย่าง ทั้งที่ปืนยังไม่รู้สึกหิวเลย เหมือนน้ำย่อยจะไม่ทำงาน

เหลือบไปมองห้องข้าง ๆ ประตูก็ยังปิดสนิท หัวใจปืนยิ่งห่อเหี่ยว แห้งแล้งจนไม่อยากฝืนมองนาน ๆ

ปืนเดินเรื่อย ๆ ลงมาข้างล่าง แวะรินน้ำในตู้เย็นดื่มแก้กระหาย เช้า ๆ ปืนเคยได้ดื่มกาแฟร้อน ๆ 1 ถ้วย
 
ล้างคอด้วยชาจีนร้อน ๆ 1 กา แต่ตอนนี้คนทำให้ไม่อยู่ เผลอยิ้มเยาะตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว

มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วมั้ง ปอกลับมาอีกทีก็คงจะขนของย้ายออกไปอยู่หอพักเลย

      ปืนเดินหากุญแจรถที่จำได้ว่าเมื่อคืนโยน ๆ ไว้แถวโต๊ะรับแขก....ไม่มี

      รื้อหนังสือสองสามเล่มที่วางซ้อนทับกัน...ก็ไม่เห็น

      ก้มลงดูใต้โต๊ะเผื่อว่ามันจะตกลงไป....ก็ว่างเปล่า

ถึงพื้นจะไม่ค่อยสะอาด เพราะเจ้าของบ้านไม่ค่อยจะใส่ใจทำความสะอาด แต่มันก็เรียบ โล่ง

      กวาดมือเข้าไปตามซอกเก้าอี้ทุก ๆ ตัว ทั้งที่แน่ใจว่า วางไว้บนโต๊ะ....ก็ไม่เจอ

      มันอะไรกันนักหนา เขาไมได้เมาจนขาดสติ จำอะไรไม่ได้นะ

เมื่อวานกลับมาจากบ้านนูอย่างสบาย ๆ มีกลิ่นเบียร์ติดมานิดหน่อย เบียร์สี่ห้าขวดไม่ได้ทำให้ความจำเสื่อมขนาดนั้น

      .....คร้านจะหาต่อ....ปืนคิดได้แค่นั้นก็ขึ้นไปบนห้องนอน เพื่อจะหยิบกุญแจสำรองออกมาใช้

พวงที่หายนั่น ไว้อารมณ์ดี ๆ ค่อยรื้อบ้าน หรือไม่งั้น พอทำลืม ๆ มันก็ออกมาเอง

      ประตูห้องเปิดอ้า

      คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างงงงวย เขาไม่ใช่คนเลินเล่อ ก่อนออกจากห้องมักจะปิดประตูตามหลังทุกครั้ง

(ยกเว้นตอนเมา...จำไม่ได้) แล้วนี่เพิ่งจะลงไปข้างล่างได้ไม่กี่นาที เขาไม่มีทางลืมแน่ ๆ ว่า ปิดประตูด้วยมือของตัวเองดัง’คลิก’

      หรือว่าปิดไม่สนิท แล้วล็อคประตูมันเสื่อมก็เลยเปิดเองได้....ช่างมัน

เปิดลิ้นชักโต๊ะด้านที่เก็บสารพัดกุญแจ ควานหากุญแจสำรองที่ต้องการ....

แต่มันไม่อยู่ในนี้ ถึงคราวที่ปืนงงเป็นไก่ตาแตก หาอะไรก็ไม่เจอ

ดูเหมือนอะไร ๆ มันไม่เป็นไปตามที่คิดสักอย่าง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 30-05-2012 00:06:05



 “หานี่อยู่รึป่าวครับ”

      ปืนหันขวับไปตามทิศทางของเสียงที่คุ้นเคย

      หลากหลายอารมณ์ที่ประทุขึ้นมาในเวลาเดียวกัน จนไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าไหนดี

      ตกใจ...เพราะคิดว่ามีตัวเองคนเดียวทั้งบ้าน

      ประหลาดใจ....เพราะคิดว่าเจ้าของเสียงไม่น่าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าในเวลานี้

      ดีใจ....เพราะเป็นคนเดียวที่หัวใจของปืนทั้งคิดถึงและห่วงหา ตลอดหลายวันมานี้

      ใจมันสั่น

      มือก็สั่น

      ปากก็พาลจะสั่นจนพูดอะไรออกไปไม่ได้เลย     

      “ผมขอโทษที่กลับมาก่อนกำหนดครับ แต่คิดว่าจะมาหาหอให้ได้ก่อน จะได้เอาของย้ายเข้าไปเลย

มาหาใกล้เปิดเทอมเดี๋ยวไม่เจอที่ถูกใจ”

      “ไม่เป็นไร”

      ปอเดินมาหยุดตรงหน้า พร้อมกับยื่นกุญแจให้ทั้งสองพวง

      “จะไปไหนเหรอครับ ธุระร้อนรึป่าว ถ้าไม่มีธุระอะไรด่วน ก็ไปหาหอพักเป็นเพื่อนผมได้มั้ย”   

      อะไรไม่รู้ที่ทำให้ปืนตกปากรับคำปอไป แล้วก็พาปอตระเวณหาหอพักที่ใกล้ม.ที่สุด สะดวกที่สุด

ต้องมีลานจอดรถ สะอาด มี รปภ.ตลอด 24 ชั่วโมง และที่สำคัญใช้ทั้งระบบกุญแจและ คีย์การ์ด



      สามแห่งผ่านไปก็ยังไม่ได้มาตรฐานในใจปืน...ปอไม่รู้หรอกว่า ปืนตั้งมาตรฐานไว้ยังไง

ตอนที่ลงไปดูสถานที่ ปืนให้ปอลงไปดูก่อนว่า ชอบมั้ย ส่วนรายละเอียดปืนจะเป็นคนสอบถามเอง

เท่าที่ไปดูมา ปอชอบสองแห่ง แต่ปืนยังติดใจเรื่อง รปภ. เพราะตึกสูง 5 ชั้น มีรปภ.อยู่หน้าประตูทางขึ้นแค่คนเดียว

พนักงานประจำเคาน์เตอร์ก็ไม่อยู่ประจำ ปืนยืนรอเกือบสิบห้านาที ก็ไม่เห็นมีใครเดินผ่านมาแม้แต่คนเดียว

ไม่ต้องถามหาความปลอดภัยเลย ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็

      เมื่อยังไมได้ตามที่ต้องการปืนก็ขับรถตระเวณหาต่อไป แห่งที่สี่ที่กำลังจะไป

เป็นหอพักที่อยู่ไกลออกมาจากมหาวิทยาลัยพอสมควร แต่ก็ยังไปมาสะดวก

      น้ำใส ๆ ไหลจากขมับเป็นทาง ด้วยความร้อนจากไอแดด บ่ายแก่ๆ แดดเปรี้ยง ๆ ช่างทรมานดีแท้

รถจอดติดไฟแดงเป็นคันแรก ข้าง ๆ เป็นรถมอเตอรไซค์ มีเด็กวัยรุ่นซ้อนท้ายกันมาหนึ่งคู่ เห็นแล้วร้อนแทน

ปืนเร่งแอร์ในรถให้เย็นขึ้น ควักผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมายังไม่ทันจะได้ซับเหงี่อเสียงปอก็ขัดขึ้นมาก่อน

      “ผมขอผ้าเช็ดหน้าหน่อยสิครับพี่ปืน”

      ปืนชะงักมือที่กำลังจะยกขึ้นเช็ดหน้า ส่งมันให้ปอแทน

ส่วนตัวเองก็เอื้อมมือไปที่เบาะหลังรถ แหวกเอกสาร กระดาษและหีบห่อ ควานหากล่องกระดาษซับที่หมกไว้ที่เบาะหลัง

มือของคนข้าง ๆ แตะใบหน้าของปืนด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนที่อยู่ในมือเบา ๆ ปืนหันมาทั้งตัว เลิกสนใจกระดาษซับกล่องนั้น

      “ปอ”

      “ร้อนนะครับพี่ปืน”

      ปอส่งยิ้มสดใสมาให้ แค่นี้ปืนก็คลายร้อนไปได้เยอะเลย แล้วก็นั่งนิ่ง ๆ จนปอเช็ดหน้าให้เสร็จ

ระหว่างนั้นก็มองการกระทำของปอไปเงียบ ๆ

      สัญญาณไฟเขียววาบขึ้นมาปืนก็ออกรถไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจ ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานกว่าเดิม...มากทีเดียว

มากจนต้องฮัมเพลงตามเสียงเพลงที่เปิดอยู่โดยไม่รู้ตัว

      “อารมณ์ดีเหรอครับ”

      “หือ...อ๋อ....ก็อืม เพลงเพราะดี”

      “พี่ปืนหิวรึยังครับ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”

      “นั่นสิ ปอพูดขึ้นมาพี่ก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลย แล้วปอล่ะกินอะไรรึยัง”

      “กินก่อนเข้าบ้านครับ แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรมาเผื่อพี่ปืนหรอก”

      “ไม่เป็นไร งั้นหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า อยากกินอะไรล่ะ แต่พิซซ่าไม่เอานะ พี่ขี้เกียจเลี้ยวรถกลับ ร้านมันอยู่ไกลไป”

      “แล้วแต่พี่ปืนสิครับ ผมยังไงก็ได้”

      “อืม...งั้นออกนอกเมืองไปหน่อยดีมั้ย ไหน ๆก็มาทางนี้แล้ว”

      ร้านอาหารนอกเมืองเป็นแบบสวนอาหารที่สร้างศาลากระจายไปทั่วบริเวณ มีศาลา 3 หลัง

ที่อยู่รายรอบสระน้ำสลับกับสวนหย่อมที่มีทั้งไม้ดอกและ ไม้ใบต่างดอก สีสันสวยงาม ชวนให้อารมณ์แช่มชื่น

ท่ามกลางแดดบ่ายที่แผดเผาผิวน้ำในสระดูระยิบระยับ

      อาหารอร่อยไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร ปืนรู้แต่ว่าวันนี้เขาอิ่มอย่างที่ไม่เคยรู้สึกอิ่มแบบนี้มาหลายวันแล้ว

เกือบจะครึ่งเดือนแล้วมั้ง ที่เขาแทบจะกินอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย อาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยได้ตกถึงท้อง

ไปถึงที่ทำงาน ให้แม่บ้านชงกาแฟให้ดื่มอย่างไม่ค่อยจะรู้รส มื้อเที่ยงอะไรก็ได้

อาศัยฝากท้องกับร้านข้างที่ทำงาน แล้วแต่เค้าจะตักมาให้ มื้อเย็นก็แล้วแต่จะนึกอยาก บางวันไม่อยากก็ไม่กิน

ส่วนวันหยุดก็หลังเที่ยง หาอะไรกินกันตายไปมื้อ ๆ พอแล้ว

      “อิ่มแล้วเหรอครับ”

      “กระเพาะครากเลยล่ะเนี่ย สงสัยพี่คงอิ่มไปถึงมื้อเย็นเลย”

      “งั้นผมขอพูดธุระหน่อยนะครับ”

      ปอทำหน้าเคร่งจริงจังอย่างผิดวิสัย

      “แหม ทำท่าซีเรียสจังเลย”

      ปืนหัวเราะ กลบเกลื่อนความสงสัยในท่าทีของปอ ก็จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง ปอเคยทำท่าจริงจังแบบนี้ที่ไหน

ยิ่งตอนนี้ยังมีเรื่องที่เขาทำให้ปอเสียใจที่ให้ย้ายออกไปอยู่หอพักอีกล่ะ....แต่ปืนหวังดีจริง ๆนะ

หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ดีกว่าจะให้มันเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน จนมองหน้าคนในครอบครัวของปอไม่ได้อีกต่อไป

....ปืนยังมั่นใจว่าเขามาถูกทาง

      “ไม่ซีเรียสหรอกครับพี่ปืน แต่ผมอยากได้คำตอบที่มาจากใจก็เท่านั้น”

      “ก็....เอาสิ พี่ก็ตอบปอจากใจทุกเรื่องแหละ”

      “ดีครับ งั้นพี่ปืนบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าทำไมผมต้องไปอยู่หอพัก”

      ปืนนึกหาคำตอบอะไรไม่ได้ เพราะความที่ไม่ชอบพูดโกหกพกลม ไอ้จะปั้นคำตอบที่ดูดีมีเหตุมีผล ปืนก็พูดไม่เป็น

แต่จะให้พูดเหตุผลจริง ๆ มันก็ไม่ควร

      ปืนยิ้มก่อนจะตอบว่า

      “ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากที่พี่บอกปอไปแล้วว่าพี่อยากอยู่คนเดียว”

      “แปลว่านับจากที่ผมย้ายออกไปอยู่หอพัก ผมก็จะกลายเป็นคนอื่น”

      “ไม่เกี่ยวกันซักหน่อย ก็แค่ย้ายไปอยู่หอ แต่ปอก็ยังแวะมาหาพี่ได้ เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม”

      “แล้วพี่ปืนคิดจะไปหาผมมั่งมั้ย”

      “ถ้าพี่ว่างอ่ะนะ”

      “ผมหวังว่าพี่ปืนจะมีเวลาว่างนะครับ”

      “ก็ต้องมีสิ พี่จะทิ้งปอได้ยังไง ป๊ากับแม่เค้าฝากฝังให้พี่ดูแลปอนะ จำไม่ได้เหรอ”

      “ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ เพื่อน ๆ ผมเค้ามาจากที่อื่น เค้าก็ดูแลตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

ที่บ้านผมเค้าก็รู้ดีว่า ผมดูแลตัวเองได้ ผมไม่จำเป็นต้องมีพี่ชายไว้คอยดูแลเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับพี่ปืน”

      “ก็แล้วแต่ปอนะ แต่พี่ก็ยังเป็นพี่ที่ให้คำปรึกษาปอได้เสมอ ตลอดเวลาด้วย ไม่ว่าปอจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร

ถ้าปอมีอะไรให้พี่ช่วยขอให้บอก พี่ไม่มีวันจะทิ้งปออยู่แล้ว”

      ปืนยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกปรารถนาดีทั้งหมดที่มี

ปอพยักหน้ารับอย่างยอมรับในความช่วยเหลือที่ปืนหยิบยื่นมาให้เพียงแค่นั้น...ต่างคนต่างยอมรับจุดที่ตัวเองยืนอยู่

หรือจำเป็นต้องยืนให้ได้ อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่เคยมีก็ยังไม่สูญหายไปไหน

      “จำคำพูดไว้ให้ดีนะครับพี่ปืน ผมคงมีเรื่องให้พี่ปืนช่วยแน่ ๆ เร็ว ๆ นี้แหละครับ“

      ปอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ปืนคงไม่ทันสังเกตแววตาหมายมาดที่พุ่งตรงมายังตัวเอง

เพราะมัวแต่เบือนหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีปอ ไม่อยากให้ปอรู้ว่าเขาเองก็ฝืนใจทำ


      ในที่สุดก่อนค่ำ ปอก็ได้หอพักที่ถูกใจตัวเองและถูกใจพี่ปืน (ด้วยความไม่เต็มใจเลย) นับเป็นแห่งที่หกที่ได้ไปดูมา

พี่ปืนทำยังกะปอเป็นนักเรียนมัธยม เพราะหอพักจะต้องปลอดภัย มี รปภ. 24 ชั่วโมง

เดินทางสะดวก สาธารณูปโภคพร้อม ต้องมีแต่นักศึกษากับคนทำงาน คนไม่พลุกพล่าน ไม่หนวกหู

ถึงจะเหนื่อยมากมายแต่ปอก็รู้สึกดีที่ได้รู้ว่าทุกอย่างที่ทำไป เพราะพี่ปืนห่วงปอเสมอ


      วันต่อมาก็ขนข้าวของออกจากบ้านพี่ปืนมาไว้ที่หอพักจนหมด

ไหน ๆ พี่ปืนก็ไม่ให้อยู่ด้วยแล้ว ปอก็จะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้แม้แต่ชิ้นเดียว

แต่บางส่วนที่ติดกับตัวบ้าน ที่ถูกแต่งเติมตามความคิดของปอก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ปอคงต้องทิ้งเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนบางคนคิดถึงเล่น....เป็นต้นว่า

ซุ้มไม้เลื้อยที่ปอชอบนั่ง เตียงนอน ตู้เสื้อผ้าในห้อง(ที่เคยเป็น)ของปอ

      ‘พี่เลี้ยง’ ของปอบอกว่า ให้ใจเย็นไว้ก่อน ปอคงไม่ต้องอยู่หอพักนาน

      “คนบางคนกำลังหลอกตัวเองว่าเค้าทนได้ แต่เชื่อพี่เถอะปอ ความอดทนมันมีจำกัดกันทุกคนแหละ

ไม่มีใครอยากเจ็บปวดไปตลอดชีวิต ทั้งที่มันยังมีทางออกหรอก ยกเว้นอย่างเดียว

ถ้าเค้าจะตัดสินใจบวชตลอดชีวิต อันนี้พี่ก็ช่วยไมได้ มันเกินความคาดหมายซะด้วยซี

แต่ยังไงพี่ก็ไม่เชื่อว่าคน ๆนี้จะสละทางโลกย์”

      หลังจากออกความเห็นเชิงวิจารณ์เสร็จแล้ว พี่นูก็หัวเราะอย่างสะใจ พอปอถามว่าหัวเราะทำไม พี่นูก็ตอบว่า

      “ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกคู่นึงไง”

      “อุดมการณ์อะไรครับ”

      “ลดประชากรโลก ฮ่า ๆ ๆ”


      จัดการเรื่องหอพักเสร็จปอก็ย้ายเข้ามาอยู่ทันที ไม่กลับไปค้างที่บ้านพี่ปืนอีก แต่ก็ยังไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด

พี่นูบอกว่ารอสักระยะ เผื่อจะมีอะไรดี ๆ ปอก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่พี่นูว่าน่ะ มันคืออะไร แถมพอถามไป

พี่นูก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า....ไม่รู้.....แค่อยากรอดูเฉย ๆ

ไหน ๆ ปอก็ยอมให้พี่นูโทรตามตัวมาจากบ้านแล้ว ยอมเชื่อต่อไปก็คงไม่มีอะไรเสียหาย



      อาทิตย์ต่อมาพี่นูก็ชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ ๆ เป็นบ้านสวนของเพื่อนพี่นิว

พอบอกว่าเป็นบ้านสวน  ปอก็นึกถึงแม่น้ำลำคลอง (ก็คนทำสวนน่าจะเลือกที่ที่มีน้ำหนิเนอะ)

เอาเข้าจริง สวนที่ว่านี่เป็นสวนยาง ไม่ต้องติดน้ำขนาดนั้นก็ได้ แต่ก็ยังดี ถึงไม่มีแม่น้ำ ไม่มีคลองให้กระโดดน้ำเล่น

จะมีก็แต่น้ำตกสายเล็ก ๆ เพราะสวนนี้เป็นควน (เนินเตี้ย ๆ คล้ายภูเขา)

ยางที่ปลูกก็ลดหลั่นกันไปตามทางลาดควน น้ำตกสายเล็กก็มาจากตาน้ำบนยอดควนนั่นเอง

พี่นูบอกให้จัดกระเป๋าไปพักสองคืนก็พอ ดีไม่ดีอาจจะได้พักแค่คืนเดียวก็ยังไม่แน่


      ถึงจะไม่มีลำคลองให้กระโดดเล่น แต่น้ำตกสายเล็กก็เย็นชื่นใจไม่แพ้กัน

ปอนอนแช่น้ำตั้งแต่ไปถึงตอนสาย ๆ กลับขึ้นมากินข้าวเที่ยง ก็ลงไปแช่น้ำต่อ

ข้างพี่นูก็ไม่ยอมแพ้ นั่งเล่นนอนเล่นในน้ำตกทั้งวัน ส่วนพี่นิวกับเพื่อนก็ออกตระเวณสำรวจพื้นที่สวน

ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้เข้ามาดูแลนัก ปอคิดว่า ต้นยางอายุมากเกินกว่าจะให้น้ำยางด้วยซ้ำไป

เพราะดูลำต้นสูงใหญ่ ที่ลำต้นก็มีร่องรอยการกรีดเก่า ๆ คราบน้ำยางที่เกาะเปลือกไม้ก็ดำ ๆ แห้ง ๆ

      “เพื่อนพี่นิวเค้าเพิ่งซื้อได้ไม่นาน ยังไม่มีเวลาเข้ามาดูแล เห็นว่าจะโค่นต้นยางแล้วลงปาล์มน้ำมันแทน”

      ปอไม่ค่อยจะรู้เรื่องการเกษตร ก็ฟังพี่นูเล่าแบบผ่าน ๆหู

จนผ่านไปถึงตอนเย็น ปอก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ปืน ถามว่าอยู่ที่ไหน...

ปอก็เลยนึกได้ว่า ตัวเองไม่ได้บอกพี่ปืนก่อนมา ไม่ถึงกับต้องขออนุญาต เพราะปอโตแล้ว

และพี่ปืนก็ไม่ได้ทำตัวเป็นผู้ปกครอง แต่ในความรู้สึกระหว่างกันนั้น มากล้นไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน

ปอไม่น่าลืมเลย

      “พี่ไปหาที่ห้องไม่เจอ ก็เลยลงมารอที่ล็อบบี้ พอดีแม่บ้านผ่านมาเห็น รู้ว่าปอไม่อยู่ ก็เลยบอกพี่ แล้วนี่ปออยู่ที่ไหน”

      “ผมมาเที่ยวสวนเพื่อนพี่นิวครับ พี่นูชวนมา”

      “ทำไมไม่โทรบอกพี่ซักคำ พี่จะได้ไม่มารอเก้อ”

      “ผมขอโทษครับพี่ปืน ก็พี่ปืนหายไปหลายวันแล้วหนิ โทรก็ไม่โทร....”

      “อ้อ....ที่ทำแบบนี้จะประชดที่พี่ไม่สนใจใช่มั้ย”

      “เปล่านะ...ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นซักหน่อย ก็มันลืม แล้วพี่นูก็ชวนแบบฉุกละหุกด้วย ผมอยู่เฉย ๆ มันเหงาก็เลยตามเค้ามา”

      “พี่ขอคุยกับนูหน่อย”

      ปอยื่นโทรศัพท์ให้ตามคำบัญชา ฟังเสียงพี่ปืนดูเครียด ๆ ยังไงไม่รู้ พี่นูรับโทรศัพท์ไป พร้อมกับส่งยิ้มให้ปอ

เดินห่างออกไปได้สามสี่ก้าว พี่นูก็หยุดคุยต่อ เหมือนจะไม่อยากให้ปอได้ยินสิ่งที่คุยกัน

ตอนที่เอาโทรศัพท์มาคืนก็บอกแค่ว่า สงสัยจะพักแค่คืนเดียวซะแล้ว ปอไม่ติดใจอะไรหรอก คืนเดียวก็คืนเดียว

จะว่าไปที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากสวนยางกับธารน้ำตก วันนี้เล่นมาทั้งวันก็ชุมฉ่ำพอแล้ว


      แต่ไม่ใช่หรอก ปอต่างหากที่ได้ค้างคืนแค่คืนเดียว

เพราะวันรุ่งขึ้นพระอาทิตย์ยังไม่แผดแสงสักเท่าไร  พี่ปืนก็มาโผล่ที่สวนให้ปอแปลกใจเล่น

      “สวนนี้ลูกค้าเอามาจำนองไว้กับแบ็งก์ แล้วไม่ผ่อนชำระ แบ็งก์จะฟ้องยึดทรัพย์อยู่แล้วพอดีเพื่อนนิวอยากได้สวนยาง

นูเค้าติดต่อให้ได้ค่านายหน้าตั้งหลายหมื่น แต่เค้าคืนให้เพื่อนนิวไปหมดเลย”

      เพราะเจ้าของสวนคนเก่าเป็นลูกค้าของธนาคารนี่เอง พี่ปืนถึงมาถูก ปอก็เลยจับต้นชนปลายได้ว่า

ทำไมพี่นูถึงได้ชวนปอมาด้วย แล้วยังจะบอกอีกว่าได้ค้างแค่คืนเดียว

.....พี่นูนี่ร้ายไม่ใช่เล่น.....เป็นจอมวางแผนอีกต่างหาก

      “แล้วพี่ปืนตามมาทำไมอ่ะครับ”

      “พี่มารับปอไง”

      “มารับทำไม พรุ่งนี้ผมก็กลับพร้อมพี่นูพี่นิวแล้ว”

      “ก็พี่อยากให้กลับวันนี้นี่นา อุตส่าห์ไปรับที่ห้อง ก็ไม่อยู่ซะอีก”

      “นั่นแหละ พี่ปืนไปรับผมทำไมครับ จะไปไหนรึป่าว”

      “ก็...พี่ไปรับ....ก็ที่เคยบอกว่าถ้าว่างจะแวะไปเยี่ยมไง”

      “แปลก ๆอ่ะ”

      “แปลกตรงไหน นี่เดี๋ยวเราแวะซื้อกับข้าวไปทำกันดีกว่าดีมั้ย”

      “เรา?”

      “พี่อยากกินผัดกะหล่ำปลีกุ้ง”

      “อย่าบอกว่าไปรับผมที่หอเพื่อจะให้ผมทำผัดกะหล่ำปลีให้กินนะ”

      “ทำไมเหรอ”

      “สั่งร้านไหนเค้าก็ทำให้ได้ทั้งนั้นแหละ”

      “แม่ครัวไม่ได้ชื่อปอหนิ”

       ปอเบือนหน้าออกนอกหน้าต่างรถแล้วอมยิ้มกับตัวเอง

...หรือว่าปออาจจะไม่ต้องอยู่หอพักนาน “อะไรดี ๆ”  ที่พี่นูหมายถึงกำลังจะเกิดขึ้นงั้นเหรอ???

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 30-05-2012 00:38:33
คุณนูมาแล้วววววววววววววว
คิดถึงมากเลยค่า
 :z2:  :m4:

เดี๋ยวนี้น้องปอเจ้าเล่ห์แสนกลขนาดนี้
เพราะว่ามีครูดีชื่อนูใช่มั้ยคะ
 :m12:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 30-05-2012 12:24:10
รอสักพักนะปอ
ปืนกำลังอยู่ในสภาวะต่อต้าน
รอจนเค้าทนไม่ไหวแล้ว
คงจะได้มาลดประชากรโลกกัน ฮิๆๆ :z1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: kiyomaro ที่ 30-05-2012 13:32:05
 :กอด1:
 :L2:
มาเพิ่มกำลังใจมากมายให้คุณนูจร้าาา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 30-05-2012 13:56:34
 :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 30-05-2012 20:15:40
ตอนแรกลุ้นปอ  ตอนนี้มาลุ้นปืนแทน
555
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 30-05-2012 20:24:43
ปากแข็งให้ได้ตลอดนะ ไอ้พี่ปืน  :m16:
อยากให้มีคนมาจีบปอจังเลย จะได้รู้ว่าไอ้คนปากแข็งจะทำตัวยังไง  o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 30/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 30-05-2012 21:43:28
ถ้าช่วงนี้มีคนมาสนใจปอ ปืนจะทำไงนี่ :m16:

ก็ไม่อยากให้ปออยู่หอพักนานๆหรอกนะ อยากให้ไปอยู่บ้านกับปืนมากกว่า
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-05-2012 00:02:58
 

Tiamo_jamsai  >  ขอบคุณมากกว่าครับ  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:
Choijiin   >  จะหยิกกี่ทีดีครับเดี๋ยวเอียงแก้มให้ คนนี้ขาประจำ โพสท์ปุ๊บมาปั๊บ ให้หยิกสองที  :กอด1:
$VAN$   >  อายอ่ะ  :o8:   มีคนรู้ทันเราด้วย (ก็เค้ารักของเค้า ผิดด้วยเหรอ) ตอนหน้ามีอวยกว่านี้อีก 5555
CarToonMiZa  >  :serius2:    นิยายรักนะเนี่ย มาหน่งมาหน่วงอะไรกัน
Mild-dy   >   ไม่รีบได้ป่าวครับ แต่มาเรื่อย ๆ โพสท์แต่ละครั้งผมจะลงวันที่ไว้ที่หัวข้อด้วย
Kiyomaro   >  ขอบคุณมากมายเหมือนกันครับ  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:  :pig4:
Silverphoenix   >  ผลัดกันลุ้นครับ   o13
Cksong2008  >  ผมนี่ไง อยากจีบ สงสารปืนหรอกเนี่ย  :z2:
Donutnoi  >  ใจเย็น ๆ ครับ “บ้านของเรา” ยังไงก็ต้องอยู่ด้วยกัน แต่รอก่อนน้า   o18







     แต่ทว่าสุดสัปดาห์ต่อมา และต่อ  ๆ มา พี่ปืนกลับเงียบหาย จนปอเองเริ่มไม่มั่นใจ

ทั้งที่พี่นูยังคงยืนยันหนักแน่น ก็หลังจากวันที่พี่ปืนไปรับปอที่สวนเพื่อนพี่นิววันนั้น

รุ่งขึ้นพี่นูก็โทรมาถามข่าวคราวอย่างใกล้ชิดตามประสากองเชียร์ แล้วก็เลยให้ความมั่นใจกับปอว่า

ถ้าพี่ปืนไม่คิดจะบวช  รับรองได้ว่า พี่ปืนไม่หนีปอไปไหนแน่ ขอแค่เวลาให้พี่ปืนตัดสินใจว่า

พร้อมหรือยังที่จะเผชิญกับอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไปพร้อม ๆ กับปอ



      แต่พอหลายสัปดาห์เข้า ปอก็ชักจะเซ็ง ที่ยังไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าสักที

ทั้งที่หอพักกับบ้านก็ไม่ได้ห่างไกลกันนักหนา พี่ปืนหยุดวันเสาร์อาทิตย์ อยากจะมาหาก็ย่อมทำได้

ถ้าไม่แน่ใจว่าปอว่างหรือเปล่า พี่ปืนก็น่าจะโทรมาเช็คก่อนได้

เว้นไว้แต่ว่าพี่ปืนจะไม่อยากสนใจปออีกต่อไป



      ปอกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบเก็บคะแนนอยู่ ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

ใจหนึ่งก็ว่าจะไม่รับเพราะอยากอ่านหนังสือให้จบบทก่อน แต่อีกใจก็คิดว่า เผื่อพี่ปืนจะโทรมา

เพราะวันนี้ปอติวหนังสือกับเพื่อนทั้งวันไม่อยากเสียจังหวะ ก็เลยปิดมือถือซะเลย

พอก้มลงดูเบอร์ ก็เป็นพี่ปืนจริง ๆด้วย

      “ครับพี่ปืน”

      ขานรับออกไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าปากแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว

      “วันนี้พี่โทรหาปอทั้งวัน แต่โทรไม่ติดเลย”

      “ผมปิดเครื่องตอนติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ มะรืนจะสอบเก็บคะแนน วิชานี้ผมอยากได้คะแนนดี ๆ”

      “อ๋อ งั้นก็แล้วไปเถอะ พี่นึกว่าเป็นอะไรไป แต่ทีหลังบอกพี่ก่อนได้มั้ย จะได้ไม่กังวล”

      “ผมขอโทษครับพี่ปืน แล้วนี่มีธุระอะไรรึป่าวครับ”

      “ไม่หรอก โทรมาเช็คดู นึกว่ามีอะไร แต่เมื่อกลางวันที่โทรน่ะ พี่ว่าจะชวนไปกินข้าว”

      “ผมไปไม่ได้ครับ ช่วงนั้นกำลังอ่านหนังสือเลย”

      ปอนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องสอบสำคัญกว่า

      “งั้นสอบเสร็จแล้วพี่ค่อยโทรมาใหม่นะ”

      “ครับพี่ปืน”

      เสียงโต้ตอบเงียบลงไป โดยที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก

คล้าย ๆ ต่างคนต่างจะยื้อเวลาพูดคุยออกไปให้ยาวนาน

เรื่องพูดคุยมีมากมายพอที่จะหยิบยกมาคุยได้

แต่ไม่ว่าเรื่องไหน ๆ ก็คงไม่อาจจะมาเติมเต็มความอ้างว้างในใจปอได้

      “พี่ปืน”

      “หือ”

      “ผมอยากกลับไปอยู่บ้าน”

      “อ้าว...แล้วเรื่องเรียนล่ะ”

      “ผมก็มาเรียนตามปกติไงครับ เหมือนเมื่อก่อน”

      “ยังไง.....กลับไปอยู่บ้าน แล้วจะมาเรียนตามปกติได้ยังไง”

      พี่ปืนคงเข้าใจไขว้เขวไปว่าปอหมายถึงบ้านที่ต่างจังหวัด

      “ไม่ใช่ที่บ้านผมนะครับ... ผมอยากกลับไปอยู่บ้าน...บ้านของเรา”

      เสียงตอนท้ายแผ่วลงด้วยความไม่แน่ใจในคำขอของตัวเอง ว่าเขายังมีสิทธิ์ให้ความหมายกับบ้านหลังนั้น

ว่า “บ้านของเรา” ได้อีกมั้ย

      พี่ปืนเงียบไปซะเฉย ๆ อึดใจนั้นปอได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนปลายสายได้อย่างชัดเจน....

พี่ปืนคงอึดอัดใจ และคงไม่กล้าที่จะบอกปัดว่า...ไม่ได้....

ดีไม่ดี ก็อาจจะอยากปฏิเสธด้วยมั้งว่า ไม่มี “บ้านของเรา”

      ปอตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะจบความสัมพันธ์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ระหว่างเขากับพี่ปืน

      “เอ้อ....พี่ปืนครับ ผมขอตัวก่อนนะ มีสายแทรก สงสัยเพื่อนจะโทรมาตามไปทำรายงาน

แค่นี้ก่อนนะครับ แล้ว....ค่อยคุยกันใหม่ สวัสดีครับ”

      การตัดบทดื้อ ๆ พร้อมกับปิดโทรศัพท์ ถอดซิมทิ้งลงไปในโถชักโครก ตามด้วยการกดน้ำ

ให้มันกลืนหายไปกับสายตา  ถือเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาดที่ปอทั้งเจ็บปวด ทั้งสะใจในคราวเดียวกัน....

        เจ็บปวดที่ต้องทำอะไรที่ทำร้ายหัวใจตัวเอง ด้วยการตัดขาดจากคนที่รักแสนรัก

        สะใจที่ทุกอย่างที่ทำไป เป็นไปตามความต้องการของพี่ปืนทุกประการ     

        ก็ดีแล้วนี่นะ.....เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ทำไมต้องรอให้พี่ปืนติดต่อมา

         ความรู้สึกที่อยากเป็นฝ่ายเริ่มเกมรุกเมื่อวันก่อนมันหายไปไหนหมดไม่รู้

อาจจะเป็นอารมณ์น้อยใจ ที่เหมือนถูกเสือกไสไล่ส่งออกมาจากบ้านหลังนั้น


      ปอเคยคิดว่าการที่ออกมาอยู่หอตามใจพี่ปืน จะทำให้พี่ปืนรู้สึกตัวสักทีว่าตัวเองคิดผิด

ที่จริงแล้วพี่ปืนอยากให้เราอยู่ใกล้ ๆ กัน ปอคงคิดไปเองสินะว่า   

.....คนเราถ้ารู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียอะไรไป ถึงจะมองเห็นว่าสิ่งนั้นมีตัวตน มีความหมายขึ้นมา

      ไม่รู้เลยว่า ความคิดสำเร็จรูปนั้น จะใช้ไม่ได้เลยกับคนอย่างพี่ปืน

       ต่อไปนี้การพบกันระหว่างปอกับพี่ปืน คงเป็นแค่ความบังเอิญ มันควรจะเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

ความรู้สึกดี ๆ แต่เกิดผิดที่ผิดทาง คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะทำใจยอมรับได้อย่างหน้าชื่น



      หลังจากสอบเสร็จ ปอก็ง่วนอยู่กับการค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำรายงาน เข้าห้องสมุดทีไร ก็ปิดโทรศัพท์

ไม่อยากให้ใครกวน ปอใช้เวลาในห้องสมุดครึ่งค่อนวัน เกือบทุกวัน ถึงเวลาเรียนก็ไปเรียนแล้วกลับมาค้นต่อ

เพื่อนร่วมกลุ่มก็ผลัดกันไปกินข้าว แล้วทุกคนก็รีบมาทำงานกัน เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ จนงานเสร็จสมบูรณ์

กลุ่มของปอส่งให้อาจารย์ดูก่อนกลุ่มอื่น มีแก้ไขบ้างบางจุด เพิ่มเติมรายละเอียดอีกนิดหน่อย

แต่เรียกได้ว่า กลุ่มของปอถูกตำหนิน้อยที่สุด คุ้มค่ากับการทุ่มเทจริง ๆ 



      ชีวิตแต่ละวันที่ผ่านไป ปอทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ ออกจากห้องเลกเชอร์ก็เข้าห้องสมุด

ไม่งั้นก็ติวหนังสือกับเพื่อน กลับถึงหอก็อ่านหนังสือจะเป็นบ้าเป็นหลัง

หวังเพียงอย่างเดียวว่าหนังสือจะช่วยให้ปอลืมความคิดถึงที่มีต่อพี่ปืนได้

      ใหม่ ๆ มันก็ยากเย็นเหลือเกินกับการที่จะรวบรวมสมาธิให้หันมาจดจ่ออยู่กับหนังสือตรงหน้าได้

อ่านไปได้พักหนึ่ง ปอก็ต้องย้อนกลับมาอ่านใหม่ เพราะไม่เข้าใจตัวหนังสือที่ผ่านสายตาไปเลย

ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ผ่านมา

      กว่าจะตั้งตัวได้กับการหายไปของพี่ปืน ก็ใกล้จะสอบปลายภาคอยู่รอมร่อ

ซึ่งปอต้องหมั่นเตือนตัวเองให้ใส่ใจกับหนังสือตรงหน้าทุกครั้งที่หยิบมันขึ้นมาทบทวน....

ปอรู้แล้วล่ะว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงเตือนนักว่า อย่าริรักในวัยเรียน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ถ้าสมหวังก็เหมือนมีพลังใจที่จะแบ่งปันให้กันและกัน

แต่ถ้าไม่สมหวังเหมือนปอตอนนี้...เรี่ยวแรงที่จะทำอะไรมันไม่เหลือเลย

สิ่งที่ทำให้ปอยึดมั่นไว้เป็นที่พึ่งทางใจก็คือป๊ากับแม่...และพี่ปืน


      เอาเถอะ..ถึงพี่ปืนจะเป็นคนที่ทำให้ปอปั่นปวนรวนเรตลอดมา

แต่ก็เพราะพี่ปืนนี่แหละ ที่มีส่วนช่วยให้ปอมาถึงวันนี้ได้

ที่สำคัญ....ปอไม่อยากเห็นสายตาของพี่ปืนที่แสดงความผิดหวังในตัวปอ

ไม่ว่ายังไงพี่ปืนจะต้องไม่เสียใจที่ได้ “เคย” ดูแลปอ



      ทันทีที่การบรรยายของวิทยากรในท้องถิ่นสิ้นสุดลง นักศึกษาทั้งห้องก็ลุกฮือขึ้นตามกันออกไป

เนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ฟังบรรยายมาสามชั่วโมงเต็ม ต่างคนก็คงจะเมื่อยล้า

มีแต่ปอที่ยังไม่อยากขยับ พยักหน้าให้เพื่อนบางคนที่เดินผ่านช่องทางเดิน มีสองสามคนแตะมือก่อนจะแยกย้ายกันไป

      ก็ไม่รู้จะรีบออกไปไหน ออกจากที่นี่ก็คงกลับหอ ถ้าไม่หาอะไรกินก่อน

ก็คงจะหิ้วอะไรสักอย่างเข้าไปกินอย่างซังกะตาย....มันเป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว

ชีวิตที่แห้งแล้ง แสนเงียบเหงา เพลงที่เคยเปิดฟังก็ไม่เพราะอีกต่อไป รายการโทรทัศน์ที่เคยดูก็ไม่สนุก

ไม่น่าติดตาม มีเพียงหนังสือเรียนเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็ยังมีอะไรทำบ้างเมื่อต้องอยู่คนเดียวในห้องเล็ก ๆ

ที่มีระเบียงกว้างอีก 1 เมตร ให้พอได้เดินออกไปสูดอากาศหายใจ

ไม่มีต้นไม้สีเขียว ๆ ไม่มีสนามหญ้า ไม่มีอ่างบัว....และ....ไม่มีซุ้มไม้เลื้อยให้นั่งเล่นอีกแล้ว

      “น้อง....พี่จะปิดห้องแล้วนะครับ”

      เสียงคนงานประจำตึกร้องบอกมาจากหน้าประตูบานใหญ่ ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าด้วยไฟเพดานหลายสิบดวง

มีนักศึกษาหนุ่มหน้าใส นั่งอยู่เพียงลำพัง ในมือเคาะปากกาลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ

      ปอขยับตัวลุกขึ้น คว้าหนังสือสองเล่มก้าวเดินออกจากห้องบรรยายเป็นคนสุดท้าย

      “ขอโทษครับพี่ คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

      ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันตอนที่เดินสวนทาง

      “อยู่หอในรึป่าวครับ”

      “ไม่ครับพี่ ผมอยู่หอหน้ามอ”

      “จะกลับยังไงล่ะเนี่ย รถคิวเหรอครับ”

      “เดินครับ ไม่ไกลหรอกพี่ เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึง”

      ปกติปอก็คงอาศัยขึ้นรถที่คิวรับส่ง ข้างโรงอาหาร แต่วันนี้เขาอยากเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามลำพัง

กว่าจะถึงหอก็คงได้เหงื่อ คืนนี้คงจะหลับสนิท

      “โชคดีนะครับน้อง”

      “ปอ”

      “ขอบคุณครับพี่”

      เสียงเรียกชื่อดังประสานกับเสียงอวยพรจากพี่คนงานดูแลตึก ปอหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย

 ก็พบผู้ชายสองคนกำลังก้าวเร็ว ๆ เข้ามาหา

      ”สวัสดีครับพี่นู พี่นิว

      ปอแปลกใจมากที่อยู่ ๆ สองคนนี้ก็มาปรากฏตัวตรงหน้า จะว่าบังเอิญพบกันก็คงไม่ใช่

ดูท่าจะตั้งใจมาหาซะมากกว่า

      “มาทำอะไรกันครับ ดูรีบ ๆจัง”

      “พี่มารับไปธุระด้วยกันหน่อย”

      พี่นูเป็นคนตอบข้อสงสัยของปอ

      “จะไปไหนกันเหรอครับ ไกลรึป่าว”

      “ไม่ไกลหรอก...พี่ต้องขอโทษปอด้วยนะ ที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า โทรหาแล้วมันไม่ติดน่ะ”

      “ผมเปลี่ยนเบอร์น่ะพี่นู”

      “อ้าว...ทำไมอ่ะ”

      “โทรศัพท์หายครับ”

      หวังว่าพี่นูจะจำหน้าตาโทรศัพท์เครื่องเดิมที่อยู่ในกระเป๋าของปอไม่ได้

      “แล้วจะพาผมไปไหนเหรอครับ ธุระอะไรถึงมาเกี่ยวกับผม”

      “ไปถึงก็รู้เองแหละ.....อย่าเพิ่งถามเลย”

      พี่นูหน้าเครียด ๆ จริงจังซะจนปออดที่จะหวั่นใจไม่ได้ อะไรก็ตามที่ทำให้พี่นูร้อนรนขนาดนี้

จนถึงกับต้องมาตามหา ปอไม่อยากจะคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพี่ปืน

      ปอสบตาพี่นิวก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา...ปอชอบเวลาพี่นิวยิ้มจริง ๆนะ

ปกติพี่นิวจะเป็นคนเฉย ๆ นิ่ง ๆ ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่พอยิ้มก็ดูหน้าอ่อนลงมากเลย

ถ้าไม่เคยรู้จักพี่ปืนมาก่อน ปออาจจะหลงรักพี่นิวได้ง่าย ๆ นะเนี่ย 


      (555....ล้อเล่นค้าบ ผมรักของผมอ่ะ ผมก็ว่าเค้าน่ารักอ่ะดิ....นู)

      เอาใหม่ ๆ



      ปอสบตาพี่นิวก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา ปกติพี่นิวจะเป็นคนเฉย ๆ นิ่ง ๆ แต่พอยิ้มแล้วก็ดูอ่อนโยน

ดูเหมือนพี่ชายใจดี รอยยิ้มของพี่นิวทำให้ปอค่อยคลายใจลงไปได้ว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรง

      จุดหมายปลายทางที่ปอกำลังจะไปก็คือโรงพยาบาล ปอเอะใจตั้งแต่ที่พี่นูแวะซื้อของใช้กับของเยี่ยมไข้แล้ว

ไหนจะเส้นทางที่พี่นิวขับรถมุ่งหน้าไป ก็ใช่เลย....แต่ปอไม่อยากเดาว่าเราทั้งหมดกำลังจะไปเยี่ยมใคร

แม้ว่าในใจของปอจะเต้นระทึก ด้วยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะไปเจอ จะหนัก จะเบา หรือว่าสาหัสขนาดไหน

แต่เวลานี้สิ่งเดียวที่ปอควรจะทำคือสงบใจและมีสติให้มากที่สุด

      เมื่อเห็นป้ายชื่อหน้าห้อง พี่นูจึงได้เห็นแค่อาการสงบนิ่งของปอ

      “มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่กลัวหรอกน่า”

      ปอพยักหน้าช้า ๆ มันก็ใช่....เพราะนี่ไม่ใช่ตึกผู้ป่วยอุบัติเหตุ แต่ยังไงก็เป็นที่พักสำหรับคนป่วยอยู่ดี

พี่นิวแตะบ่าปอพาเดิน ในขณะที่พี่นูเปิดประตูนำหน้าเข้าไปก่อนแล้ว แรงบีบเบา ๆที่บ่า

ช่วยให้ปอรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมามากมาย เพราะรู้ว่าพี่สองคนอยู่เคียงข้างปอและคนที่นอนอยู่ข้างในห้องเสมอ

      ใบหน้าคมคายนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงคนไข้ ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าคงจะหลับสนิท

      พี่นูบอกว่าพี่ปืนเพิ่งออกจากห้องผ่าตัดเมื่อตอนสาย ๆ

      “เค้าปวดท้องมาสองวันแล้ว หายากินเองอีกต่างหาก ไม่ได้คิดว่าไส้ติ่งอักเสบ”

      นั่นล่ะนิสัยพี่ปืน ไม่ค่อยจะสนใจอาการป่วยไข้ของตัวเอง

แต่ถ้าปอป่วยล่ะก้อ....ยังไงพี่ปืนก็ต้องพาไปหาหมอให้ได้ จะปวดหัวตัวร้อน ก็ขอให้หมอเป็นคนจ่ายยา

      “ตอนเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ให้พี่บอกปอ กลัวปอจะเป็นห่วง มาถึงนี่ได้ก็มาคนเดียว

โทรบอกพี่ให้ช่วยลางานให้เฉย ๆ พี่มาตอนที่เค้ากำลังจะเข้าห้องผ่าตัดแล้ว หมอบอกว่าทนอยู่ได้ยังไงตั้งสองวัน

ที่มานี่ก็คงจะเอะใจแล้วล่ะ ดีนะที่ไส้ติ่งไม่แตกน่ะ ไม่งั้นล่ะหมอเค้าไม่รับรองหรอก”

      ปอยกมือขึ้นแตะแก้มซูบ ๆ นั้น แล้วน้ำตาก็ปริ่ม....ทำไมไม่บอกผมสักคำ กลัวผมจะเป็นห่วง

แล้วที่ทำอยู่นี่น่ะ มันดีแล้วรึไง…

      “ตอนนี้หมอให้ระวังเรื่องติดเชื้อ ดูแลพี่ปืนให้ดี ๆ นะปอ พรุ่งนี้เช้าพี่จะมารับ”

      พี่นูบอกทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับไปพร้อมพี่นิว เป็นอันว่าปอต้องนอนเฝ้าพี่ปืนสินะ

ที่พยายามจะออกห่าง ไม่ติดต่อมาเป็นเดือน ๆ สุดท้ายก็กลับมาใกล้ยิ่งกว่าใกล้

      ปอนั่งที่โซฟาชิดผนัง เหม่อมองใบหน้าคนป่วยด้วยความคิดหลากหลาย

อุตส่าห์ทำใจจนมันยอมรับสถานภาพของตัวเองได้แล้วเชียว

การที่ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง ช่วยให้การทำใจง่ายขึ้น

ถึงจะรู้สึกคิดถึง ห่วงใยอาทรบ้าง แต่ก็ไม่พลุ่งพล่านจนทำให้ตัวเองต้องทรมานใจ

      แต่นี่....เฮ้อ....ใกล้แค่นี้....แล้วยังต้องมาดูแลตอนที่กำลังเจ็บไข้ไม่สบาย

ปอจะต้องเจอกับอะไรบ้างหนอ

      หน้าคมดูซูบเซียวอย่างเห็นได้ชัด ตื่นขึ้นมาคงเจ็บแผลเป็นอะไรเชียว

แต่พี่ปืนเป็นคนมีน้ำอดน้ำทน เจ็บแค่นี้คงไม่ปริปากอะไรแน่ ๆ ปอคงต้องสังเกตอาการเอาเองว่า

ตอนไหนที่พี่ปืนเจ็บ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ปอคงไม่ได้เข้าเรียน วิชาหนึ่งอาจารย์ไปสัมมนากลับอาทิตย์หน้า

อีกสองวิชาโดดได้เพราะเข้าเรียนประจำ ไม่เคยขาด วิชาอื่นก็ช่างมัน ค่อยตามเลกเชอร์ทีหลัง

      ความจริงแล้วอาการพี่ปืนก็ไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ อย่างมากก็คอยดูแลให้ร่างกายฟื้นเร็ว ๆ

พี่ปืนตัวโต แข็งแรง คงใช้เวลาไม่นาน
     
      ทันทีที่ใบหน้าคมเข้มนิ่วหน้า ปอก็กระโจนขึ้นจากโซฟาไปใกล้ ๆ ได้ทันที คนป่วยกระพริบตาช้า ๆ ท่าทางเพลียจัด

      “พี่ปืน”

      “ปอ....มาไง”

      “พี่นูบอกครับ...พี่ปืนเจ็บมากมั้ย”

      พี่ปืนกดหน้านิดหนึ่งแทนคำตอบรับ

      “พี่อยากไปห้องน้ำ”

      “ปะ ผมประคอง”

      พี่ปืนขยับลุกขึ้นหัวไม่ทันพ้นจากหมอน ก็ร้องโอย

      “ไหวมั้ยครับ”

      “แป๊บ”

      ว่าแล้วก็ขยับอีกครั้งช้า ๆ กว่าจะเดินไปถึงห้องน้ำได้ พี่ปืนคงทรมานน่าดู

ปอรู้สึกได้จากแรงกดเกร็งที่อยู่บนไหล่ปอ ขากลับขึ้นเตียงก็ไม่ต่างกัน

      “ไม่สบายทำไมไม่บอกผมซักคำครับ”

      ปอเริ่มซักฟอก

      “พี่เห็นปอเรียนหนัก ไหนจะติดสอบอีก”

      พี่ปืนพูดช้า ๆ เสียงเบา ๆ แผ่ว ๆ บอกอาการเพลีย แต่ปอก็ยังอยากถามให้รู้

      “ทีเรื่องไม่สำคัญยังโทรหาผมได้เลย”

      “ก็ตอนนั้นไม่รู้ว่าปอสอบอยู่”

      “ช่วงนี้ไม่มีสอบหรอกครับ แต่ถึงจะสอบผมก็มาได้ รอสอบเสร็จก่อนไงครับ แต่นี่พี่ปืนเจตนาไม่บอกให้ผมรู้ ทำไมครับ”

      “ก็พี่....”

      “อ้าว...น้องคะอย่าชวนคนไข้คุยสิคะ ให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน แล้วก็อีกครู่หนึ่งคุณหมอจะมาดูอาการนะคะ”

      โดนพยาบาลดุจนได้ นางฟ้าในชุดขาวเดินทำโน่นทำนี่ เตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วเดินออกไป

      “พี่ว่า...”

      “ค่อยคุยครับพี่ปืน พยาบาลเค้าบอกไม่ให้ผมชวนคุย พี่ปืนต้องพักมาก ๆ”

      “คุยได้”

      “ผมยังอยู่เฝ้าพี่ปืนอีกหลายวันหรอกครับ ค่อยคุยแล้วกัน”

      “ก็ปอมะ....”

      “นอนครับ พูดมาก ๆ ผมเหนื่อย เห็นจะดูแลไม่ไหว”

      พี่ปืนนอนลืมตาโพลงมาตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาตอนหัวค่ำ จนกระทั่งหมอที่มาตรวจอาการกลับไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมนอน

ท่าเหยียดขาตรง ๆ สองมือวางทาบบนหน้าอก แต่เอียงคอมามองหน้าปอ น่าจะทำให้เมื่อยซะจนคอเคล็ด

แต่พี่ปืนก็ยังนอนอยู่ในท่านั้น

      “นอนได้แล้วครับ”

      “ยังไม่ง่วงเลย”

      “งั้นเดี๋ยวผมไปขอยานอนหลับมาให้นะ”

      “เค้าไม่ให้กันพร่ำเพรื่อหรอกน่า”

      “แต่ถ้าพี่ปืนไม่นอนทั้งที่ควรจะพักผ่อนได้แล้ว ผมก็พอจะมีวิธีให้พยาบาลเค้าจัดการให้ได้แหละ”

      “โอ๊ะ...อูย....ซี้ด….”

      พี่ปืนร้องออกมาด้วยความเจ็บแผล จากการที่เผลอพลิกตัวตะแคง แล้วก็ไม่สำเร็จ

      “นอนดี ๆสิครับ”

      “ก็มันเมื่อย”

      “เค้าบอกว่าท่านอนหงายน่ะเป็นท่าที่ถูกสุขลักษณะที่สุดแล้วนะครับ”

      “แต่ไม่มีใครบอกใช่มั้ยล่ะว่ามันเมื่อยน่ะ”

      “งั้นก็ตามใจพี่ปืนแล้วกัน ยังไงก็ได้ครับ ขอให้นอนให้หลับ พักผ่อนให้เยอะ ๆ จะได้หายเร็ว ๆ ไง”

      “ก็อยากหายอยู่หรอก นอนแบบนี้มันทั้งเมื่อย ทั้งเบื่อ แถมขยับทีก็เจ็บแทบขาดใจ”

      “นอนนิ่ง ๆ เดี๋ยวก็หลับไปเองแหละครับ แถมไม่เจ็บตัวด้วย”

      ปอเดินไปปิดไฟกลางห้อง บอกให้รู้ว่าถึงเวลาที่เขาจะนอน ยังคงเหลือแสงจากไฟหรี่ดวงเล็กข้างเตียงคนไข้พอให้เห็นลาง ๆ

      “ปอจะนอนแล้วเหรอ”

      “ครับ พรุ่งนี้พี่นูจะมารับแต่เช้า ผมว่าคงจะมาก่อนจะไปทำงาน แล้วผมก็มีเรียนตอนสายไปจนถึงเที่ยง”

      “แต่ปอจะกลับมาอีกใช่มั้ย”

      “พี่นูขอให้ผมมาเฝ้าพี่ปืน ผมก็รับปากไปแล้ว ตลอดเวลาที่พี่ปืนนอนโรงพยาบาล

ผมจะนอนเป็นเพื่อนทุกวัน แต่กลางวันผมขอไปเรียนนะครับ”

      “พี่ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถึงยังไงเรื่องเรียนของปอก็สำคัญที่สุดอยู่แล้ว แค่ถามเฉย ๆว่าปอจะมาเยี่ยมพี่อีกรึป่าว”

      “รึว่าพี่ปืนจะให้ผมแค่มาเยี่ยมก็ได้นะครับ”

      “ไม่ ๆ ๆ...โอ๊ะ....โอ๊ย...”

      พี่ปืนรีบปฏิเสธ พร้อมกับยกตัวขึ้นจากที่นอน แต่ไม่ทันที่หัวจะพ้นหมอน ก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บแผล

      “แล้วจะขยับขึ้นมาทำไมล่ะครับ เห็นมั้ยก็รู้อยู่ว่าแผลมันยังใหม่ เดี๋ยวก็ไม่หายซักทีหรอก”

      ปอส่งเสียงเหมือนจะดุ ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่จริงแล้วตั้งใจดุพี่ปืน หรือว่าดุตัวเองกันแน่

เพราะพอเห็นพี่ปืนมีอาการสะดุ้งเมื่อตะกี้ ปอก็แทบจะถลาเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วงแล้ว ยังดีที่ยั้งตัวเองไว้ทัน

....อย่าเข้าไปใกล้นักเลย เท่าที่ต้องมานอนห้องเดียวกันแบบนี้

ปอก็ต้องใช้ความหนักแน่นไม่รู้ตั้งเท่าไร ให้พอที่จะรั้งใจตัวเองให้อยู่ที่เดิมได้

.....เตือนตัวเองไว้นะ อย่าได้ไปรักเค้าอีก...อย่าได้ไปรักเค้าอย่างเดิม...เท่าเดิม

เพราะเท่าที่รักอยู่ตอนนี้ มันก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่มีอนาคตเลย


      คนป่วยนอนบ่นว่าไม่หลับพักเดียว ปอไม่โต้ตอบอะไร

ทั้งห้องคงมีแต่ความเงียบในความสลัวลางของดวงไฟ หันไปดูอีกทีพี่ปืนก็หลับสนิทแล้ว

คงมีแต่ปอที่ทำยังไงก็ปิดสวิทช์ตัวเองไม่ได้สักที

ตาน่ะหลับ แต่สมองส่วนที่ควบคุมการนอนหลับเกิดไม่ทำหน้าที่ขึ้นมาซะเฉย ๆ

เพราะสมองส่วนที่ควบคุมการคิดทำงานอยู่ตลอดเวลา


      ดังนั้น พอพี่นูมาถึงโรงพยาบาลพร้อมกับพี่นิวในตอนเช้า เห็นลักษณะอาการของปอ ถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

      “พี่ไม่ควรให้ปอมาเฝ้าพี่ปืนเลย พลอยทำให้ปอต้องอดนอนไปด้วย พี่นิวครับ ผมว่าหาพยาบาลพิเศษเฝ้าปืนเถอะ

ไม่งั้นน้องปอไปเรียนไม่ไหวแน่ ปืนยังต้องนอนพักต่ออีกตั้งหลายวัน”

      “งั้นเดี๋ยวพี่ไปถามที่เคาน์เตอร์ก่อนละกัน”

      “ไม่ต้องหรอกครับพี่นิว ผมอยู่ได้ เมื่อคืนคงจะรู้สึกผิดที่ก็เลยหลับไม่สนิท เดี๋ยวคืนนี้ผมจะเอาหนังสือมาอ่าน

ที่นี่เงียบดีครับ มีสมาธิดี”

      “อ่านหนังสือก็ไปอ่านที่หอแล้วกันปอ เฝ้าคนป่วยน่ะ เดี๋ยวก็เรียกไปทำโน่นทำนี่ จะเอาสมาธิที่ไหนมาอ่าน”

      “อ้าว....ก็แล้วใครล่ะที่เป็นคนต้นคิดให้ไปรับน้องมาน่ะ พี่บอกแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าเราจะจ้างพยาบาลดูแลปืนน่ะ”

      “ก็ผมอยากให้เขาได้ดูแลกันนี่นา แต่ถ้าเป็นแบบนี้ แค่มาเยี่ยมก็พอแล้ว นะปอนะ พี่นิวน่ะ

ไปติดต่อพยาบาลพิเศษมาเลย ไม่ต้องมาทับถมผม....พลาดนิดพลาดหน่อยล่ะไม่เว้นเลยนะ อย่าให้ถึงทีผมมั่งแล้วกัน”

      พี่นิวเดินห่างออกไปด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่พี่นูยังทำหน้าเข่นเขี้ยวมองตามหลังไป

ปอเห็นภาพแบบนี้มาจนชินแล้ว แต่พี่สองคนก็ยังอยู่ด้วยกัน ยังรักกันดี ดูแล้วน่าอิจฉา...

แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าเขาสองคนจะไม่มีปัญหาเลย ปัญหาทั้งหลายที่ทยอยกันผ่านเข้ามาในชีวิต

เพียงแค่สองคนช่วยกันแก้ไขให้มันผ่านพ้นไปได้ ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจก็จะตามมา


      แต่ปอ...ยังไม่ทันที่จะได้ลงเอย ปัญหาก็เกิดซะแล้ว

      ปัญหาแรกก็คือ การยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตัวเองให้ได้

หันหน้ามาเผชิญกับความรู้สึกนั้น และสานต่อให้มันเป็นไปในทางบวก

ถ้าต่างคนต่างทำได้ การใช้ชีวิตร่วมกันอย่างที่พี่นิวกับพี่นูเป็นอยู่คงไม่ยากเย็นแสนเข็ญนัก

      แต่นี่แม้แต่ปัญหาแรก ก็ยังไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณา....ก็ดีแล้วที่ปอตัดใจได้เสียตั้งแต่ต้น

เจ็บนี้ฝังลึกแต่คงไม่นาน....ปอหวังอย่างนั้น


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 31-05-2012 01:21:12
Choijiin   >  จะหยิกกี่ทีดีครับเดี๋ยวเอียงแก้มให้ คนนี้ขาประจำ โพสท์ปุ๊บมาปั๊บ ให้หยิกสองที

วันนี้ก็มาคนแรกอีกแล้ว
แบบว่าเรารอคุณนูทุกวันเลยน้า
ถ้าตอบแบบชะนีก๋ากั่นนะคะ
ก็ต้องบอกว่าเปลี่ยนมาเป็นขอหอมสักสองฟอด
แต่เผอิญนิสัยน่ารักเรียบร้อย
บอกกับกลัวโดนต่อยค่ะเลยบอกว่าหยิกเบาๆสักทีก็พอแล้วค่ะ
 :m23: :m29:

(555....ล้อเล่นค้าบ ผมรักของผมอ่ะ ผมก็ว่าเค้าน่ารักอ่ะดิ....นู)

อันนี้อ่านแล้วแอบกรี๊ด
แบบว่าน่ารักอ่าค่ะ น่ารักทั้งคู่แหละ
 :-[

น้องปอของพี่ช่างน่าสงสาร
เมื่อไหร่พี่ปืนจะคิดได้สักทีน้อ
แค่นี้ยังเจ็บกันไม่พออีกเหรอไง แง้ๆๆๆ
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-05-2012 23:23:46
     


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา


  :กอด1:   choijiin   แล้วรีบโพสท์ทันที









   
    พี่นิวกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ทำให้รู้ว่า ปอคงต้องนอนเฝ้าพี่ปืนต่อไป...ก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไรนี่นา

ก็แค่....ห่างกันได้ก็อยากจะห่าง เพื่อสวัสดิภาพของหัวใจ และพี่สองคนก็หวังดี

แต่เมื่อไม่มีทางเลือก ปอก็ยังเต็มใจทำหน้าที่นี้อยู่ เพราะถึงยังไง

นอกเหนือไปจากผู้ให้กำเนิด พี่ปืนก็เป็นคนที่ประเสริฐที่สุดสำหรับปออยู่แล้ว

      “ผมทำได้ครับพี่นิวพี่นู กลางคืนพี่ปืนเค้าก็หลับสนิทนะครับ ไม่ได้รบกวนอะไรผมเลย

ก็แค่รู้สึกผิดที่ คืนแรก ๆอาจจะนอนไม่ค่อยหลับบ้าง แต่เดี๋ยวก็คงชินหรอกครับ”

      “งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ แล้วตอนเย็นจะให้พี่ไปรับกี่โมง....ปอเลิกเรียนตอนไหนครับ”

      “ไม่ต้องหรอกครับพี่นิว แค่ไปส่งที่หอตอนเช้านี่ก็พอแล้ว เลิกเรียนเสร็จผมมาเองได้

ว่าจะกลับไปเอาชุดนักศึกษามาเปลี่ยน เผื่อว่าตอนเช้าจะได้ไปเรียนเลยไม่ต้องแวะไปมาหลายที่”

      “ผมว่าเอางี้ดีกว่าครับพี่นิว เราไปส่งปอที่บ้าน ให้ปอเอารถปืนมาใช้ น้องจะได้สะดวก”

      พี่นูหันไปปรึกษาพี่นิว แล้วหันมาออกตัวกับปอ

      “ไม่ใช่ว่าพี่กับพี่นิวไม่อยากไปรับไปส่งปอนะ แต่แบบนี้ปอจะสะดวกกว่า ไหนจะวันที่ปืนออกจากโรงพยาบาลอีก

ถ้าวันนั้นพี่นิวบังเอิญมาไม่ได้ พี่คงไม่มีปัญญามารับคนเดียวหรอก”

      “นั่นสิครับ ทำไมพี่นูไม่หัดขับรถล่ะครับ ผมว่าจะถามหลายทีแล้วเหมือนกัน”

      พี่นูหันไปสบตาพี่นิวที่จ้องเป๋งมา  แต่ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากทั้งสองคน

      “กลับกันเหอะ ปอมีเรียนเช้าเลยรึป่าว”

      พี่นูไม่ตอบคำถาม ปอเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบมากนัก เพราะกลัวพี่นูจะเข้าใจไปว่า

ปออยากให้พี่นูมารับส่งทั้งที่ไมใช่ธุระของพี่นูซะหน่อย

      “ไม่ครับ ของผมสาย ๆ หน่อย”

      “แต่พี่ต้องไปทำงานแล้ว ไม่งั้นสายแน่”

      “งั้นพี่นิวไปส่งผมที่หอพักแล้วกันนะครับ”

      “อ้าว...ทำไมล่ะครับไปเอารถที่บ้านก่อนสิ พี่ไปส่ง”

      พี่นิวชะงักเท้าที่กำลังจะออกเดินนำไปที่ลิฟท์เพื่อจะลงไปที่ลานจอดรถ

      “ผมไปเองมาเองสะดวกกว่าน่ะครับ ถ้าวันไหนพี่สองคนไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ผมเรียกรถรับจ้างเอาก็ได้

แค่นี้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงถูกแล้ว”

      “พูดแบบนี้ได้ยังไง พี่เต็มใจนะ พี่ปืนก็เพื่อน ปอก็น้อง ถ้าพี่นิวไม่ได้ออกต่างจังหวัดปอก็โทรหาได้ตลอดเวลา

ใช่มั้ยครับพี่นิว”

      พี่นูพูดออกมาอย่างมั่นใจ แต่ลงท้ายก็ต้องให้พี่นิวรับคำอีกทีอยู่ดี

      “ครับ ได้อยู่แล้ว”

      ปอว่าพี่นิวรับคำไปงั้นเอง เพราะนึกอยากจะล้อพี่นูและพี่นูก็ดูจะรู้ทัน แต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการขึงตาใส่

แล้วก็ชวนปอเดินล่วงหน้าออกมาก่อน

      “ไปเอารถน่ะดีแล้ว เผื่อว่าตอนเลิกงานพี่นิวไม่ว่าง พี่จะได้โทรให้ปอไปรับพี่มาเยี่ยมพี่ปืน

รายนี้นะ เผลอ ๆ นึกว่าอยู่แถวนี้ที่ไหนได้ ไปต่างจังหวัดอีกแล้ว ตอนเช้าก็ทำทีไปส่งพี่ที่แบ็งก์

ไอ้เราก็เลยไม่เอารถไปเอง สุดท้ายก็ต้องอาศัยคนอื่นเค้ากลับอยู่ดี”

      “ถ้าขับรถได้ก็ไม่ต้องอาศัยใครเค้ากลับ”

      เสียงพูดเบา ๆ ลอยมาเข้าหู แต่พี่นูก็ทำไม่รู้ไม่ชี้

      “ถ้าปอไปรับ เราจะได้หาของกินอร่อย ๆ มากินยั่วน้ำลายพี่ปืนกัน”

      “นั่น....คนชอบวางแผนทำร้ายคนอื่น”

      “ส่วนปอก็จะได้กะเวลาเข้าเรียนได้ ถ้ามัวแต่รอรถรับจ้างก็อาจจะเข้าเรียนสายได้นะ”

      “มีดีอยู่ข้อเดียวก็ข้อนี้แหละ”

      พี่นูหยุดกึกหันไปจ้องคนที่เดินตามมาข้างหลัง ทำท่าเอาเรื่องเต็มที่

      “ใจคอพี่นิวจะหาเรื่องผมจนไปถึงลานจอดรถเลยมั้ยครับ”

      “ใครหาเรื่อง”

      “ก็นั่นสิครับ ผมก็ไม่รู้ใครต่อปากต่อคำกับผมทั้งที่ก็ไม่ได้พูดด้วยซะหน่อย”

      “อ๋อ ไม่ได้อยากพูดกับพี่ใช่มั้ย....ได้….แล้วใครก็อย่าพูดกับพี่ก่อนก็แล้วกัน”

      “อ้าว....พี่สองคนทำไมงี้อ่ะครับ”

      “ปอดูเค้านะ พี่พูดกับปอ แต่เค้าน่ะพูดแทรกพี่ตลอดเลย น่าโมโหมั้ยล่ะ”

      “ผมไม่เห็นว่าจะน่าโมโหตรงไหนนี่ครับ พี่นูยั่วขึ้นหนิ พี่นิวเค้าก็เลยอยากแกล้ง

แล้วประเดี๋ยวถ้าพี่นูชวนพูดก่อน พี่นิวก็จะได้ทีคอยดูเถอะ”

      “ช่างเค้าปะไร ไม่ว่าใครจะแพ้รึชนะ ตอนนี้ แต่พี่ก็ชนะตลอดศก ปอก็คอยดูเหอะ”

      พี่นูทำหน้ายิ้มอย่างเป็นต่อ จนเดินไปถึงหน้าลิฟท์ที่พี่นิวกดเรียกรอไว้แล้วเข้าไปยืนอยู่ก่อนด้านใน

ปอก็ยังเห็นพี่นูแกล้งปรายตาไปมองแบบเยาะ ๆ เย้ย ๆ ดูไปดูมาคู่นี้ก็มีเรื่องให้ปอได้ยิ้มได้ขำในวันที่หัวใจกำลังหม่นได้เสมอ

เห็นหยิก ๆ หยอก ๆ จิก ๆ กัด ๆ แต่พี่นูก็เอาใจพี่นิวเสมอต้นเสมอปลาย

และพี่นิวก็เป็นห่วงเป็นใยคอยดูแลพี่นูในทำนองเดียวกัน....เฮ้อ...อยากมีแบบนี้บ้างจัง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-05-2012 23:25:00



      ปอเดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น บางวันก็มีเพื่อนมาด้วย ซึ่งมักจะเป็นเพื่อนที่พี่ปืนก็รู้จักอยู่แล้ว

และถ้าวันไหนที่เพื่อนอยู่ด้วย พี่ปืนก็จะเหมือนคนไข้ปกติ แต่วันไหนที่อยู่ตามลำพังกับปอสองคน

พี่ปืนจะกลายร่างเป็นคนป่วยหนักไปเลยทีเดียว....อย่างวันนี้

      “ปอ”

      “ครับพี่ปืน”

      มีแค่คำขานรับ แต่เจ้าของเสียงยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเรียนที่กางอยู่บนตัก

      “ปอ...”

      เสียงเรียกดังขึ้นอีกเพราะยังไม่ได้อย่างที่ต้องการ และถ้ายังไม่ได้ เห็นทีจะเรียกไปเรื่อย ๆ

      “อะไรครับ”

      ปอเงยหน้าขึ้น เห็นคนไข้สะบัดผ้าห่มออกจากตัวไปแล้ว

      “พี่อยากเข้าห้องน้ำ”

      ที่บอกออกมาอย่างนั้น แล้วยังนอนรออยู่บนเตียง ก็เป็นอันรู้กันว่า ปอจะต้องเข้าไปพยุงอย่างงี้ทุกที....

ไม่ใช่ว่าปอไม่อยากทำอะไรให้พี่ปืนหรอก ก็แค่ไม่อยากใกล้ชิดให้มากจนเกินไป

ความจริงพี่ปืนก็ลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำได้แล้ว ผลมาจากการที่หมอบอกให้ขยับตัวบ้าง

แต่ให้ค่อย ๆ ขยับอย่างช้า ๆ ไม่ผลีผลาม ไม่งั้นแผลจะไม่หายซะที พี่ปืนก็ดูจะเชื่อฟังหมอดีอยู่หรอก

วันแรก ๆ ปอก็ต้องประคองบ้าง สามสี่วันให้หลังพี่ปืนเริ่มช่วยตัวเองได้มากขึ้น ปอก็เลยปล่อยมือ

พอดีกับเป็นจังหวะที่ปอต้องรีบทำงานกลุ่มส่ง ก็เลยนัดเพื่อนมาทำงานที่โรงพยาบาล จะได้ดูแลพี่ปืนไปด้วย

      “ครับ”

      ปอวางหนังสือลงข้างตัวแล้วก็ลุกขึ้นไปประคองอย่างว่าง่าย พี่ปืนยังตัวงอเป็นกุ้งและมีสีหน้าเจ็บนิดหน่อยเวลาที่ต้องเกร็งหน้าท้อง

ปอเองก็ได้แค่เกาะเอวให้พี่ปืนได้พาดแขนลงมาบนบ่าแล้วก็ไปส่งหน้าห้องน้ำ

      “อย่าเพิ่งไปไหนนะ พี่ทำธุระแป๊บเดียว”

      “ครับ”

      แต่ปอก็เดินกลับมาอ่านหนังสือที่โซฟาตามเดิม ห้องพักมันก็แค่นี้ ๆ โซฟาห่างจากประตูห้องน้ำแค่สองก้าว

พี่ปืนเปิดประตูออกมาปอก็ถึงตัวแล้ว

      นี่ไง....พี่ปืนชะโงกหน้าออกมา ปอก็เข้าไปประชิดพอดี

      “อย่าบ่นผมนะครับ พรุ่งนี้ผมมีสอบ”

      ปอรีบดักคอก่อนที่พี่ปืนจะทันได้อ้าปาก กลัวพี่ปืนจะดุว่า บอกให้รอทำไมไม่รอ

      “งั้นปอก็อ่านหนังสือไปแล้วกัน เดี๋ยวพี่ก็จะนอนพักแล้ว”

      ให้มันจริงเท้อะ....พอพี่ปืนล้มตัวลงนอนปอก็คลี่ผ้าห่มคลุมให้จนถึงหน้าอก พี่ปืนยังคงลืมตามองปอ

ไม่ยอมช่วยตัวเอง ปล่อยให้ปอห่มผ้าให้จนเรียบร้อย

      ล้มตัวลงนอนไม่ทันไร พี่ปืนก็เรียกอีก

      “ปอ พี่หิวน้ำ”

      “ครับ”

      ปอวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปหยิบแก้วน้ำพร้อมหลอดดูดให้ ทั้งที่จริงมันก็ห่างแค่มือเอื้อม

แต่คนไข้ที่อาการไม่หนักแล้วคงอยากให้เอาใจ

      “ลุกขึ้นสิครับ นอนอยู่อย่างนี้จะดูดน้ำยังไง”

      ปอต้องวางแก้วน้ำลงก่อน แล้วประคองไหล่หนาของคนไข้ให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนที่ปออีกนั่นแหละ

หยิบขึ้นมาวางพิงหัวเตียงให้คนไข้นั่งเอนพิงสบาย ๆ

      “เบื่อมั้ยที่ต้องมาคอยดูแลพี่”

      จิบน้ำเสร็จก็อ้าปากถาม....ถามอะไรแบบนั้นก็ไม่รู้ ไม่เคยจะรู้เลยเหรอว่าปอแคร์พี่ปืนขนาดไหน

ที่ทำอยู่นี่ไม่ได้บอกอะไรบ้างเลยหรือไง

      “ไม่หรอกครับ ตอนผมไม่สบายพี่ปืนก็ดูแลผมเหมือนกัน”

      “อืม...ตอบแทนที่พี่ทำให้ปอสินะ”

      “ไม่หรอกครับ ผมเต็มใจ ยังไงเราก็มีกันสองคนนี่ครับ”

      “งั้นถ้าพี่มีคนคอยดูแล ปอก็จะไม่มาเฝ้าใช่มั้ย”

      “ผมรู้ตัวว่าคงทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ต่างหากครับพี่ปืน บางทีคนอื่นอาจจะดูแลได้ดีกว่า

แต่ในเมื่อพี่ปืนไม่มีใคร ก็ไม่มีทางเลือกนี่ครับ”

      “ใครที่ไม่มีทางเลือก พี่รึปอ”

      “ก็ทั้งพี่ปืนทั้งผมแหละครับ พี่ปืนไม่มีทางเลือกเพราะ ไม่มีใคร แล้วก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ส่วนผม....”

      ...ไม่มีทางเลือกเพราะหัวใจผมมันดื้อ ทั้งที่รู้ว่าควรอยู่ให้ห่าง ก็ยังจะพาตัวเข้าใกล้....

      “ผมไม่มีทางเลือก เพราะพี่ปืนเป็นพี่ชายคนเดียวที่ผมมี พี่ปืนดูแลผม ทำให้ผมทุกอย่าง

ถึงเวลานี้จะให้ผมทิ้งไปได้ยังไง”

      “ขอบใจนะที่ปอไม่ทิ้งพี่”

      “ไหนว่าจะนอนไงครับ ผมจะได้อ่านหนังสือ”

      “พี่ขอนั่งอีกซักพักดีกว่า นอนเยอะ ๆ เบื่อตัวเอง ปอไปอ่านหนังสือเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว”

      พี่ปืนยิ้มให้ปอ แล้วหลับตาลง เพื่อหยุดการสนทนา ปอถอยกลับมานั่งที่เดิม พยายามปรับความรู้สึกให้นิ่ง

ไม่งั้นคงไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือแน่ ๆ พรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนน ปอคิดว่าตัวเองพร้อมพอสมควร

แต่การนั่งเฝ้าดูพี่ปืนนอนหลับอยู่ตรงหน้า ก็เป็นสาเหตุให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปได้มากมาย

คงมีเพียงหนังสือเท่านั้นที่พอจะดึงสติเอาไว้ไม่ให้นึกคิดอะไรที่มันเพ้อเจ้อ ฝันไกลเกินตัวไปกว่านี้

      “ปอ”

    ........

      “ปอ....”

      “ครับพี่ปืน”

      ปอเงยหน้าจากหนังสืออีกครั้ง

      “หมอจะให้พี่กลับบ้านวันไหน”

      “คงอีกซักสามสี่วันมั้งครับ ต้องถามพี่นู”

      “แต่พี่ยังไม่หายดีเลยนะ”

      “หมอเค้าให้ไปพักฟื้นต่อพี่บ้านครับ รอให้หายสนิท คนไข้อื่นก็ไม่ต้องใช้ห้องกันพอดี”

      “พูดเหมือนไม่มีเยื่อใยกันเลยนะ”

      อะไรของเค้าเนี่ย....ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอว่า ถ้าคนไข้อาการดีขึ้น หมอก็ต้องปล่อยกลับบ้าน

มีแต่คนไม่อยากเข้ามานอนโรงพยาบาล ปอพูดแค่นี้ทำไมต้องทำเหมือนกับว่าน้อยใจด้วยล่ะ

      “ผมพูดตามความเป็นจริงน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของผมเองตรงไหนเลย

แล้วทำไมพี่ปืนถึงคิดว่าผมไม่มีเยื่อใยล่ะครับ”

      “พี่กลับไปอยู่บ้านแล้วใครจะดูแล”

      “โห ถึงตอนนั้นพี่ปืนก็เดินปร๋อแล้วล่ะครับ ตอนนี้ก็เดินคล่องขึ้นเยอะ โดยที่ผมไม่ต้องประคองก็ยังได้”

      “กะจะทิ้งกันเลยล่ะสิ”

      “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ก็แค่เปลี่ยนจากดูแลที่โรงพยาบาลเป็นที่บ้าน ทำไมพี่ปืนถึงคิดว่าผมจะทิ้ง”

      .....คนเค้าเป็นห่วงแค่ไหน ทำไมถึงไม่รู้บ้างนะ.....

      “ก็...”

      “แค่ผมออกไปอยู่หอพักน่ะ ไม่ได้แปลว่าเราจะขาดจากกันไม่ใช่เหรอครับ รึอย่างน้อยพี่ปืนก็น่าจะรู้ว่า

ไม่มีใครปล่อยให้พี่ปืนอยู่คนเดียวตอนเจ็บไข้ไม่สบายอย่างนี้หรอก พี่นูก็คงมาดูบ้าง”

      “นูเค้าไม่ได้มีเวลามากหรอก แล้วไหนจะต้องดูแลนิวอีก ปอสัญญาว่าจะไปดูแลพี่ที่บ้านด้วยแน่นะ”

      “ไม่ต้องสัญญาหรอกครับ ผมไม่มีวันทิ้งพี่ปืนอยู่แล้ว”

      ....เว้นซะแต่ว่า พี่ปืนจะเสือกไสไล่ส่งผมไปเอง.....เหมือนที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 31-05-2012 23:25:58



  เป็นเพราะปอไม่ได้เข้าไปเอารถพี่ปืนมาใช้ตามที่พี่นิวแนะนำ เช้าวันที่พี่ปืนต้องออกจากโรงพยาบาลถึงได้วิ่งวุ่น

ทิ้งให้คนป่วยรอเป็นครึ่งค่อนวัน ทั้งที่พี่นูก็เตือนก่อนแล้วว่าวันที่ออกจากโรงพยาบาล

ถ้าพี่นิวไม่อยู่คงจะวุ่นวาย แต่ปอก็ยังใจเย็นอยู่ได้

      เรื่องของเรื่องก็เพราะปอจำไม่ได้ว่าเอากุญแจบ้านไปเก็บไว้ที่ไหน

ถ้าจะเอ่ยปากขอกับพี่ปืนก็กลัวพี่ปืนจะว่ากะอีสมบัติเล็ก ๆน้อย ๆแค่กุญแจบ้าน ปอก็ไม่มีปัญญาจะรักษา

อาจจะคิดไกลต่อไปอีกว่าปอไม่อยากจะเข้าบ้านนั้นอีก พักนี้ยิ่งน้อยอกน้อยใจง่ายอยู่

ไหนจะเรื่องที่ปอเปลี่ยนเบอร์โทร ยังไม่รู้ว่าพี่ปืนจะว่ายังไงเลย ถึงปอตั้งใจที่จะหลบหน้าหลบตา

แต่ก็ไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกพี่ปืนขนาดนั้น ไม่อยากให้พี่ปืนรู้ว่าปอตั้งใจจะตัดขาดกันจริง ๆ


      กว่าคนไข้จะได้ออกจากโรงพยาบาลก็เกือบบ่าย ทั้งที่หมอบอกให้เช็ครายการค่ารักษาได้ตั้งแต่เช้าเลยด้วยซ้ำ

สงสารพี่ปืนที่ต้องนอนรออยู่คนเดียวในห้อง ยิ่งตอนที่ปอเปิดประตูเข้าไป ดูจ๋อยสนิทเลย   

แต่พี่ปืนก็ไม่พูดอะไรสักคำนอกจาก

      “พี่รู้ว่าปอต้องมา นูโทรมาบอกว่าปอจะมารับพี่ออกจากโรงพยาบาลวันนี้ พี่ก็เตรียมตัวแต่เช้าเลย”

      “ผมเข้าไปเอารถที่บ้านมา ขอโทษนะครับ ที่มาช้า”

      “ไม่เป็นไร แค่ปอมาพี่ก็ดีใจแล้ว”

      บ้านที่เคยเป็นของ “เรา” ดูรก ๆ บอกไม่ถูก ต้นไม้ก็ไม่งาม ไม้ดอกก็ไม่ผลิช่อ

ยิ่งซุ้มไม้เลื้อยของปอยิ่งแล้วใหญ่ กิ่งก้านเกะกะซะจนเกือบจะระพื้น

เพราะช่อดอกที่ปลายกิ่งหนักจนมันโน้มต่ำแทบจะแตะยอดหญ้าอยู่แล้ว

คงไม่มีใครคอยตัดแต่งกิ่งให้มันเป็นรูปเป็นทรง ปอไม่อยู่พี่ปืนก็คงไม่มีเวลา ดีไม่ดีก็คงไม่ได้เหลียวมามองมันด้วยซ้ำ

      ปอลงจากรถเดินไปเปิดประตูรั้วออกกว้างทั้งสองบาน ขับรถขึ้นไปจอดหน้าประตูบ้าน

แล้วก็ย้อนกลับมาปิดประตูรั้ว....พี่ปืนคงยังไม่เห็นหรอกว่า ปอเปลี่ยนกุญแจประตูรั้วใหม่แล้ว

      เมื่อเช้าที่เข้าบ้านไม่ได้น่ะ ปอต้องไปตามช่างกุญแจใกล้มอที่คุ้นเคยกันมาช่วยจัดการให้

ไม่งั้นก็คงไม่มีปัญญาเอารถออกไปแน่ ๆ ส่วนประตูบ้านก็เหมือนกัน กุญแจที่พี่ปืนเคยให้ไว้

ปอก็ทำเป็นลืม ๆ ไม่สนใจจนเผลอลืมไปจริง ๆ ก็ได้ช่างมางัดให้ กว่าจะได้เข้ามาหากุญแจรถ เล่นเอาเหงื่อตก

ก็ไม่คิดจะปกปิดพี่ปืนหรอก แต่ระหว่างนี้ถ้าไม่จำเป็น ปอก็อยากจะให้พี่ปืนพักฟื้นให้หายป่วยก่อน

อยากให้พี่ปืนสบายทั้งกายทั้งใจ อยากได้อะไร จะทำให้ทุกอย่าง ไม่อยากขัดใจ

อย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนที่พี่ปืนเคยดูแลปอ และเหนืออื่นใดปอทำตามเสียงเรียกร้องเงียบ ๆ ในหัวใจตัวเองนั่นแหละ

      “พี่ปืนขึ้นไปนอนบนบ้านนะครับ”

      ปอประคองพี่ปืนเดินเข้าบ้าน ผ่านโซฟา และทำท่าจะเดินขึ้นชั้นบน
     
      “หือ...นอนข้างล่างไม่ได้เหรอ”

      พี่ปืนชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวต่อ

      “ไม่อยากขึ้นบ้านเหรอครับ ยังเจ็บแผลอยู่รึป่าว”

      “ก็ไม่มาก แต่ไม่อยากอยู่ข้างบนคนเดียว”

      “เดี๋ยวผมขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อน”

      “แต่ปอก็ต้องลงมาทำอะไรต่ออะไรข้างล่างอยู่ดีแหละ”

      “ก็มีบ้าง ครัวมันอยู่ข้างล่างนี่นาพี่ปืนก็ เสร็จธุระข้างล่างแล้วผมก็ขึ้นไปอยู่ด้วย”

      “นอนห้องพี่นะ”

      “ก็งั้นสิครับ แล้วพี่ปืนจะไปนอนห้องไหนล่ะ”

      “ไม่ใช่ พี่หมายความว่า ปอนอนด้วยกันที่ห้องพี่”

      “ผมจะกลับไปนอนหอครับพี่ปืน”

      “อ้าว....พี่นึกว่าปอจะมานอนค้างที่นี่ซะอีก”

      พี่ปืนเปลี่ยนทิศทางเดินจากหน้าบันไดขึ้นชั้นบน เป็นหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด

ทำท่าราวกับคนหมดแรงเอาดื้อ ๆ

      “ซู้ดดดด”

      ใบหน้าเหยเกขณะที่ต้องเกร็งลำตัว ตอนนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับเอามือกุมแผล

ทำให้ปอเริ่มที่จะเป็นกังวลถึงอาการที่เพิ่งจะฟื้นตัว จะทิ้งไปได้ยังไงกันนะ แต่จะให้ค้างคืนที่นี่งั้นเหรอ.....

      “พี่ปืนอยู่คนเดียวได้นี่ครับ ผมจะทำอะไรไว้ให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก

ก็ไม่ต้องลงมาทำอะไรข้างล่างอีกแล้ว แล้วผมจะมาใหม่ตอนเช้า....

มาแต่เช้าเลยก็ได้ครับ จะได้มาทำอาหารเช้าให้พี่ปืนด้วย”

      “แล้วถ้าพี่จะเข้าห้องน้ำ”

      “ห้องน้ำในห้องนอนสะดวกจะตายไปครับ เดินสองสามก้าวเอง”

      “ถ้าเผื่อพี่หิวตอนดึก ๆล่ะ”

      “ระหว่างพักฟื้น ยังไงก็ต้องกินตามเวลานะครับ จะได้กินยาตามเวลาไปด้วย ยามื้อสุดท้ายก่อนนอน

ผมจะจัดให้พี่ปืนกินก่อน แล้วค่อยกลับ”

      “ใจคอจะไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่เลยเหรอปอ แล้วถ้าพี่ตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนต่อไม่หลับล่ะพี่จะมีใครเป็นเพื่อน”

      “ถึงตอนนั้น ต่อให้ผมอยู่ด้วย ผมก็คงจะหลับสนิทนิทรารมณ์ไปแล้วล่ะครับ พี่ปืน”

      ปอพูดขำ ๆ กับอาการโยกโย้โยเยของคนไข้ที่เรื่องมากซะจริง ๆ ไม่เคยคิดว่าจะเห็นอาการงอแงของพี่ปืนเลย

ที่เค้าว่าคนป่วยกาย แล้วจิตใจก็พลอยอ่อนแอตามมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

      ในที่สุดปอก็ต้องยอมตามใจพี่ปืนจนได้ ต้องเปลี่ยนแผนการทำกิจกรรมชมรมกันเป็นการใหญ่

ไหนจะรายงานกลุ่ม ไหนจะติวหนังสือกับรุ่นพี่ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับปอ พี่ปืนต้องมาก่อนเสมอ

โดยเฉพาะตอนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้มาก ปอทิ้งเค้าไม่ลง

      ก็จะให้ปอใจดำทิ้งไปได้ยังไง ในเมื่อเห็นอยู่ทนโท่ว่าพี่ปืนต้องการปอแค่ไหน ถึงแม้ว่าความต้องการนั้น

แค่เพียงให้มีใครอยู่เป็นเพื่อน แต่ปอก็คิดว่ามันยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของปอ ที่พี่ปืนขอร้องปอเป็นคนแรก

      การดัดแปลงสภาพห้องรับแขกให้เป็นห้องนอนจึงเริ่มขึ้น

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีแต่ปอที่เป็นคนจัดการขนฟูกลงมาจากห้องนอนพี่ปืน ฟูกใหญ่ทั้งหนาทั้งหนักถูกวางไว้ชิดผนัง

ชุดรับแขกไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ก็เอาไปเรียงชิดกันไว้อีกด้าน แค่นี้ก็ได้โถงกว้าง ๆ

ที่มีแค่ที่นอน กับโทรทัศน์ พร้อมด้วยโต๊ะรับแขกสำหรับวางสิ่งของจำเป็น แขกไปใครมาไม่ต้องได้นั่งเก้าอี้กันล่ะ

      หลังจากจัดการปูที่หลับปัดที่นอนชั่วคราวเสร็จ ปอก็ลงนอนแผ่อยู่ข้าง ๆ นั่นเอง

      “เสียอยู่อย่างนะ เวลาจะลุกเนี่ย มันเจ็บเป็นบ้าเลยล่ะปอ”

      .....ก็แน่ล่ะ เพราะฟูกวางไว้กับพื้น จะลุกขึ้นครั้งใดก็ต้องเกร็งกันจนปวดแผล แล้วจะให้ปอทำยังไง

ล่ะ ขนเตียงลงมาด้วยดีมั้ยครับพี่ปืน......

      “งั้นก็ไปนอนข้างบนอย่างเดิม”

      “ไม่เอา พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวตอนปอลงมาข้างล่างนี่”

      คนเกือบจะหายป่วยรีบโวยวายก่อน กลัวปอจะทำตามที่พูด

      “งั้นก็อย่าบ่นสิครับ แค่นี้ผมก็แทบหมดแรงอยู่แล้วนะ”

      ปอก็แค่พูดขึ้นมาเพื่อให้พี่ปืนยอมรับความไม่สะดวกบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำให้ แต่พี่ปืนก็คิดไปให้เป็นเรื่องจนได้

      “พี่ขอโทษนะที่เป็นภาระให้ปอ ทำให้ปอต้องลำบาก”

      หน้าคมเข้มที่เริ่มมีไรหนวดจาง ๆ จืดเจื่อนลงจนดูน่าสงสาร

      “ไม่เอาพี่ปืนอย่าพูดอย่างนี้สิครับ....”

      ปอขยับเข้าไปใกล้ ๆที่นอนที่ปูทับด้วยผ้าปูสีน้ำตาลนวล ตรงที่พี่ปืนนั่งอยู่

      “อย่าคิดมากสิครับ ผมขอโทษที่พูดไม่คิด ผมแค่อยากจะบอกว่า ผมทำให้พี่ปืนได้ดีที่สุดแค่นี้เอง

ไม่ได้หมายความว่าผมลำบาก ต่อให้ลำบากแค่ไหน ถ้ามันอยู่ในวิสัยที่ผมจะทำได้ ผมก็เต็มใจจะทำ

ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระเลยนะครับ ผมอยากให้พี่ปืนหายเจ็บเร็ว ๆ อยากให้พี่ปืนอยู่สบาย ๆ แต่ผมก็ทำได้แค่นี้

ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษ เพราะเวลาที่ผมไม่สบาย เวลาที่ผมเป็นทุกข์

พี่ปืนดีกับผมทุกอย่าง ดูแลผมได้ดีกว่านี้เป็นหลายเท่า ผมไม่เคยลืม

แล้วที่ผมพูดแบบนี้ก็อย่าเก็บไปคิดอีกล่ะครับ ว่าผมตอบแทนที่พี่ปืนเคยทำให้”

      ทุกคำที่ปอพูดออกไปคงสื่อถึงความจริงใจที่มีให้พี่ปืน ริมฝีปากที่ยังคงซีดเซียวจึงแย้มได้


      หลังจากทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ปอคิดว่าพี่ปืนเองก็ใช้ความอดทน และช่วยเหลือดูแลตัวเองได้มากขึ้น

เพื่อผ่อนภาระของปอไปด้วย ทำให้ปอมีเวลาเรียนเต็มที่ แม้ว่าเรื่องกิจกรรมบางอย่าง

ปอจะไม่ได้มีส่วนเข้าร่วมเลยก็ตาม แต่เพื่อน ๆ ก็บอกว่าไม่เป็นไร งานส่วนของปอ

มีคนแบ่ง ๆ กันไปทำแล้ว บางคนอยากจะมาเยี่ยม

“พี่ชายของปอ” ที่บ้าน แต่ปอบอกไปว่าไม่สะดวก เพราะคนป่วยไม่พร้อมจะรับแขก

ดังนั้นระหว่างพักฟื้น ที่บ้านจึงมีแค่แขกสองคนไปมาหาสู่เป็นประจำ บางวันก็มากินข้าวด้วยกัน

บางวันก็แวะเอาของกินมาฝาก

      “เอาหมูย่างตรังมาฝาก เจ้านี้อร่อย เค้าขายวันละยี่สิบกิโล ตั้งขายไม่ถึงสองชั่วโมงเกลี้ยง”

      “ขอบคุณครับ”

      ปอยิ้มแก้มปริ พี่นิวจำได้ว่าเป็นของชอบของปอ ผ่านไปทางนั้นเมื่อไรก็มักจะซื้อมาฝาก

แต่คนป่วยกินไม่ได้ทั้งที่เป็นของชอบเหมือนกัน ได้แต่ทำหน้ามุ่ย

      “นี่ของคุณ”

      พี่นิวยื่นถุงกระดาษเนื้อหนาสีน้ำตาลไม่มีหูหิ้วที่ถูกรวบปิดปากถุงด้วยเชือกกล้วยอย่างง่าย ๆ ให้พี่ปืน

      “อะไรน่ะ”

      คนที่ชะโงกหน้าดูด้วยความสนใจไม่ใช่ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เป็นคนที่โดยสารมากับรถพี่นิว

เพื่อมาเยี่ยมพี่ปืนที่บ้านด้วยกัน พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ตาโต

      “หา....เนี่ยเหรอของเยี่ยมไข้พี่นิว”

      “ซีเรียสอะไรนักนะ”

      พี่นิวตอบเสียงเอื่อย ๆ เหมือนไม่ยินดียินร้าย
     
      พี่ปืนเปิดปากถุงมองลงไปแล้วอมยิ้ม

      “ป่วยอยู่จะกินได้ยังไง”

      พี่นูยังข้องใจไม่ลดละ   
   
      “เจ้าตัวเค้ารู้น่าว่าจะกินได้ไม่ได้ ไปเรากลับเหอะ”

      ว่าแล้วก็ลากข้อมือพี่นูให้เดินตามไปที่รถ

      แขกกลับไปแล้วโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ปอก็ยื่นหน้าเข้ามาดูของเยี่ยมไข้ด้วยคน

      “อย่าบอกว่าพี่ปืนจะกินไอ้น้ำตาลสดนี่นะครับ”

      “ทำไมเหรอ”

      “ยังต้องให้บอกอีกเหรอครับ ว่าพี่ปืนยังไม่หายดี”

      “นิดเดียวเอง”

      “ไม่ได้ครับ ของอื่นมีเยอะแยะไป ผมไม่ให้กินนะ”

      “แต่นี่มันเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินะ กินได้ ไม่มีสารพิษ”

      “กินแล้วมันจะมีผลกับร่างกายยังไงมั่งก็ไม่รู้ พี่ปืนยังไม่แข็งแรงนะครับ”

      “นิวเค้าอุตส่าห์เอามาฝาก”

      “นั่นก็ร้ายนัก เดี๋ยวพี่นูเค้าก็จัดการกันเองแหละ ส่วนพี่ปืนน่ะ ผมไม่อนุญาตนะครับ”

      พี่ปืนวางห่อกระดาษสีน้ำตาลไว้ข้าง ๆ ตัว มองด้วยความเสียดาย เห็นแล้วคงคิดถึงบ้านที่ต่างจังหวัดนู่น

ถ้าร่างกายเป็นปกติจะกินเท่าไรก็ได้ ไม่มีใครว่า แต่ตอนนี้ต้องรู้ตัวเองสิว่า กำลังพักฟื้น ร่างกายยังไม่แข็งแรงดี

ถ้าเกิดอาการแพ้รึท้องเสียขึ้นมาจะไปกันใหญ่ พี่ปืนคงไม่อยากเข้าโรงพยาบาลอีกรอบหรอกนะ

      “พี่ปืนกินข้าวก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจัดยาไว้ให้ เสร็จแล้วก็นอนเลย ผมออกไปมอซักสองชั่วโมง แล้วจะกลับ”

      “ไปทำอะไรค่ำ ๆมืด ๆ”

      “ผมไม่ได้เข้าชมรมมาหลายวันแล้ว ว่าจะไปดูงานส่วนที่เพื่อนเค้าทำไว้ให้ซะหน่อยน่ะครับ

ถ้ายังไงผมอาจจะต้องแก้ไข ก็ยังดีกว่าต้องทำเองทั้งหมด”

      พี่ปืนพยักหน้าหงอย ๆ

      “ไม่ต้องรอนะครับ ผมเอารถไปแล้วก็เอากุญแจบ้านไปด้วย กลับมาผมจะไขกุญแจเข้ามาเอง

พี่ปืนนอนดูโทรทัศน์ก่อนนะ รึว่าจะดูหนังมั้ยครับ ผมจะใส่เครื่องเล่นไว้ให้เลย”

      พี่ปืนพยักหน้าอีก ปอจัดการให้ตามที่บอกเสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้าน
     
      “ผมไปนะครับ”

      “จะเอาไปไหนน่ะ”

      พี่ปืนตะโกนถามเมื่อเห็นปอฉวยถุงเจ้าปัญหาติดมือออกมาด้วย

      “เอาไปฝากเพื่อนที่มอครับ”

      “แต่นั่นนิวเค้าเอามาฝากพี่นะ”

      “พี่ปืนกินไม่ได้หรอกครับ เก็บไว้ก็เสีย น้ำตาลสดน่ะ เค้าต้องกินทันที ไม่งั้นมันจะบูด

นี่ก็ไม่รู้พี่นิวซื้อไว้ตอนไหน อาจจะเสียแล้วก็ได้”

      “ของ ๆ พี่นะ”

   คนป่วยยังไม่วายทวงของ ทั้งที่ยังไงปอก็คงไม่ยอม

      “กินไม่ได้แล้วจะหวงไว้ทำไมครับ”

      “กินได้แต่ปอไม่ให้กินต่างหาก”

      พี่ปืนทำหน้างอ ยังกับเด็กเอาแต่ใจ....นี่แหละเอานิสัยหลานรักของตากับยายมาใช้

แต่มันไม่ได้ผลสำหรับปอหรอก

      “ผมไม่พูดด้วยแล้ว พักผ่อนนะครับ ง่วงก็หลับเลยไม่ต้องรอผม”


      (เกร็ดความรู้เล็ก ๆน้อย ๆ ครับ.....น้ำตาลสด ได้มาจากน้ำหวานของงวง ตาล คือส่วนที่เป็นช่อดอกของต้นตาล

โดยการใช้ มีดคม ๆ ปาดงวงตาลให้น้ำหวานหยด ลงในกระบอกไม้ไผ่ซึ่งรมควันให้แห้งสนิท

ที่ก้นกระบอกไม้ไผ่ใส่ไม้ฝาด เปลือกไม้ตะเคียน พะยอมหรือไม้เคี่ยม 3-4 ชิ้น เพื่อไม่ให้บูด

นำน้ำตาลสดตามปริมาณที่ต้องการ มา ต้มให้เดือด ใส่เกลือป่นเล็กน้อย)


      งานชมรมที่แค่จะมาดูความคืบหน้า ไม่มีอะไรต้องแก้ไข เพื่อน ๆที่แบ่งเอาไปทำให้ ทำได้อย่างดีไม่มีที่ติ

รุ่นพี่รับทราบแล้วว่า งานนี้ปอไม่ได้เป็นคนทำเอง ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ขอให้ออกมาเสร็จสมบูรณ์

พร้อมที่จะออกงานในเดือนหน้าได้ก็พอแล้ว ดูเหมือนรุ่นพี่จะพอใจซะด้วยซ้ำไปว่า รุ่นน้องกลุ่มนี้สามัคคีกลมเกลียวกันดี

มีอะไรก็ช่วยกันทำ ไม่ปล่อยให้งานเสีย

      แต่แทนที่งานไม่มีปัญหา ปอน่าจะกลับได้เลยก็เปล่า เพราะช่วงนี้หายหน้าไปจากกลุ่มเพื่อน

พอโผล่มาทีหนึ่งก็เลยครึกครื้น ตั้งวงกันเป็นที่สนุกสนาน เวลาล่วงผ่านไปถึงค่อนคืนเมื่อไรไม่รู้ตัว

จนเพื่อนสะกิดถามว่า แล้วใครดูแลพี่ชาย...เท่านั้นแหละ ปอถลันลุกออกจากวงไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง

ได้แต่ตะโกนบอกลากลุ่มเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่เคยจะขับรถห้อตะบึงด้วยความเร็วระดับนี้มาก่อน ก็เคยกันคราวนี้


      หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเผื่อพี่ปืนจะโทรเข้าแล้วตัวเองไม่ได้ยิน ก็ปรากฏว่าไม่มี แล้วก็นึกได้ว่า

พี่ปืนยังไม่รู้ว่าปอเปลี่ยนเบอร์โทร...ชิบ...นี่ถ้าพี่ปืนโทรหาเบอร์เดิมล่ะ จะเป็นไง จะแก้ตัวยังไงรึว่าจะพูดความจริงออกไปดี

      คิดไปคิดมายังไม่มีคำตอบ รถก็มาจอดหน้าประตูรั้วเรียบร้อยแล้ว....แสงไฟในบ้านยังเหมือนเมื่อตอนก่อนจะออกไป

ทั้งที่มันเกือบจะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อแล้ว พี่ปืนคงหลับแล้ว ตั้งแต่ไม่สบาย ปอก็ให้เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม

แต่นี่ไฟออกสว่างโร่ พี่ปืนจะหลับตาลงรึป่าวก็ไม่รู้...ไม่น่าเลยปอเอ๊ย

      คนป่วยนอนหันหลังให้ประตูบ้าน จะว่าหลับหรือเปล่าปอก็ไม่รู้หรอก โทรทัศน์ปิดแล้วมีแต่เสียงเพลงเบา ๆ

ปอเปิดประตูเข้ามาพี่ปืนก็ยังไม่ขยับตัว ก็เลยย่องขึ้นบนบ้าน เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

แล้วลงมานอนเฝ้าพี่ปืนเหมือนทุกคืน


        คิดว่าตัวเองหายไปทำธุระไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง กลับลงมาพี่ปืนก็ยังนอนท่าเดิม

....นี่เค้าไม่เมื่อยมั่งรึไง

    ที่จริงปออยากให้นอนหงายมากกว่า จะได้ไม่กระทบกระเทือนแผล แต่คนป่วยอาจจะรู้สึกสบายในท่านั้น

ก็คงแปลว่าแผลไม่เจ็บแล้ว

      ปอเดินไปปิดไฟกลางบ้าน แล้วเดินมาเปิดโป๊ะไฟที่วางไว้ข้างตัวให้มีแสงสว่างลาง ๆ

พอให้หยิบอะไรโดยไม่ต้องเปิดไฟดวงใหญ่ พอล้มตัวลงนอน ถึงได้รู้ว่าพี่ปืนยังไม่หลับ

      “พี่โทรไปทำไมไม่รับสาย”

      เสียงจากคนที่นอนหันหลังให้ เรียบสนิท ไม่มีอาการงัวเงียอย่างคนตื่นนอน

      “เอ่อ....ผม....ผมไม่ได้ยินครับ กำลังทำงานยุ่ง ๆน่ะ ขอโทษนะครับพี่ปืน”

      “ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนเบอร์โทรแล้วหรอกเหรอ”

      “เอ้อ...ผม....”

      “ไม่คิดจะบอกพี่เลยเหรอ นี่ถ้าไม่รู้จากนูซะก่อน พี่จะได้รู้มั้ยว่าปอเปลี่ยนเบอร์แล้ว”

      “ผม...”

      “เอาเถอะ ต่อไปจะพี่ไม่โทรหาปอแล้วก็แค่อยากรู้ว่าปอจะกลับตอนไหน พี่อยู่คนเดียวบ้านมันเงียบ ๆ....”

      “....พี่เหงา”

      เสียงของคนที่บอกว่าเหงา ทอดแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน

      “ผมขอโทษครับพี่ปืน”

      “ช่างเถอะ พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปว่าปออยู่แล้ว แค่....”

      คำพูดขาดลงเพียงแค่นั้น ตามมาด้วยการถอนหายใจแทน

      “เดี๋ยวนี้พี่ไม่เคยได้รู้เรื่องอะไรของปอเลย สำหรับปอ พี่คงไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว”

      “ไม่จริงนะครับพี่ปืน ถ้าผมคิดอย่างนั้นผมจะมานอนเฝ้าทุกคืนทำไม”

      พี่ปืนเงียบไป ไม่มีเสียงโต้ตอบกลับมา พอเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง ดูว่าพี่ปืนคงไม่ติดใจอะไรอีก

ปอก็ขยับตัวให้นอนสบาย ๆ ต่างคนต่างนอนกันคนละฟากของฟูก แต่สองสามคืนมาแล้วที่ตื่นเช้าขึ้นมา

ปอกลับพบว่าตัวเอง เข้าไปนอนซบกับไหล่พี่ปืน ไม่รู้ว่าพี่ปืนจะรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า

แต่ปอก็ตื่นก่อนทุกครั้ง แล้วก็ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ ส่วนพี่ปืนยังหลับสบาย

.......คงไม่รู้หรอกมั้ง


      หลาย ๆ วันเข้าความเคยชินที่ได้กลับมาอยู่ “บ้านของเรา” ก็คืนมา จนบางครั้งปอไม่ได้นึกถึงเลยว่า

ครั้งนั้นที่ตัวเองต้องระเห็จออกไปอยู่หอพัก เป็นเพราะพี่ปืนเป็นคนเสนอแกมบังคับ

จนพี่ปืนพูดเรื่องให้ปอย้ายจากหอกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ปอก็ได้สติ

      “ผมอยู่หอก็สบายดีแล้วครับ”

      “จะได้ไม่ต้องไป ๆมา ๆไง มันเหนื่อยนะ”

      “ก็แค่ชั่วคราวนี่ครับ พอพี่ปืนหายดีกลับไปทำงานได้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม”

      “อืม....พี่รู้ว่าที่ปอคิดแบบนี้ เพราะพี่เป็นคนบอกให้ปอย้ายออกไปใช่มั้ย

ปออยากให้พี่รู้สึกผิดที่เป็นคนไล่ปอออกไปอยู่ตามลำพัง”

      “ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ ความจริงแล้วผมว่าดีซะอีก ที่พี่ปืนพูดขึ้นมาตอนนั้น

เพราะผมเองจะได้เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องซะที”

      “อะไรที่ปอคิดว่ามันไม่ถูกต้อง”

      “ทุก ๆอย่าง”

      “เช่น...”

      “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”

      ปอยักไหล่ ทำท่าไม่แคร์เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เป็นแค่เรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมา

และไม่เห็นจะต้องให้ความสำคัญ สมควรที่มันจะต้องกลับไปสู่ความจริงที่ว่า

....คนสองคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน อยู่ด้วยกันนานเกินไป

และควรจะถึงเวลาไปตามทางของตัวเองได้แล้ว

      “ก็ไหนปอบอกว่าอยากมีพี่ชาย พี่ไม่ดีพอสำหรับคำนั้นแล้วรึไง”

      “พี่ปืนก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความอย่างงั้น อย่าพูดประชดผมสิครับ ผมแค่ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้

.....เอาเป็นว่า ผมออกไปอยู่หอพัก ส่วนพี่ปืนก็อยู่บ้าน ว่าง ๆ เราก็นัดเจอกัน ถ้าผมว่างก็แวะมาหาที่บ้าน

มาทำอะไรกินกัน วันไหนพี่ปืนว่างก็แวะไปหาผมที่หอบ้าง ดีมั้ยครับ”

      ทุกคำที่พูดบอกพี่ปืนไป ใช่ว่าปอจะไม่รู้สึกอะไรเลย การตัดสินใจเดินออกจากชีวิตพี่ปืนไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ก้าวแรกที่ปอได้ทำมาแล้วคือการออกมาอยู่ตามลำพัง ก็น่าจะทำให้ก้าวต่อไปง่ายขึ้น และปอน่าจะเจ็บน้อยลง

      ที่ต้องมาดูแลพี่ปืนระหว่างนี้ ก็นับว่าปอได้ใช้ความเข้มแข็งและกำลังใจทั้งหมดที่มีทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว

จะว่าไปก็เหมือนบททดสอบครั้งสำคัญที่จะทำให้ความรู้สึกที่เคยมีพลิกผันไปเป็นความรู้สึกอย่างพี่น้องตามที่พี่ปืนต้องการ

แต่โลกนี้ช่างมีบททดสอบมากมายเหลือเกิน อย่างเช่นตอนนี้ ที่พี่ปืนพยายามให้ปอกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

เพื่ออะไรปอก็ไม่อยากจะรู้ แต่ปอตั้งใจจะไม่ย้อนกลับมาเป็นอย่างเก่าอีกแล้ว

กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่ปอไม่รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนมีอะไรเสียดแทงในช่องอก

ปอต้องต่อสู้กับความอยากพบอยากเจอ อยากเห็นหน้าคนที่ตัวเองรัก

และต้องอดทนอดกลั้นต่อความคิดถึงที่มันรุมเร้าอยู่ภายในแค่ไหน....ไม่มีใครรู้

แล้วจะให้กลับมาร่วมชายคาเดียวกันอีกอย่างนั้นหรือ

กลับมาเป็นฝ่ายที่ต้องเก็บกดอารมณ์รัก ไม่ให้แสดงออกมา อย่างที่เคยทำ

ถึงแม้จะเคยทำได้ แต่ปอก็ไม่อยากทำมันอีก....ไม่อยากกลับมาทรมานอย่างนั้นอีกแล้ว

      ปอหวังว่าพี่ปืนคงไม่ผิดหวังอะไรนักกับคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของปอ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 01-06-2012 08:49:34
ทำไมจะรักกันไม่ได้ล่ะ?

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 01-06-2012 09:05:38
รออ่านต่อนะครับ


หลังๆนี้เปนตอนที่ผมไม่เคยได้อ่านเลย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 01-06-2012 11:45:25
กระซิกๆ งี้ดๆ
 :m15:  :o7:
อะไรกันนักหนอชีวิต
ทำไมต้องทรมานกันเองแบบนี้ด้วยน้องปอพี่ปืน
ยิ่งอ่านยิ่งหน่วงปวดหัวใจแทน
ตอนนี้รักกันก็บอกว่ารัก
หรือจะรอให้ทุกอย่างมันแย่ไปกว่านี้
มันปวดใจแท้ๆ
อยากให้คุณนูพาคู่นี้มาให้คนอ่านอบรมซะหน่อย
เผื่อจะตาสว่างกันซะที
 :m16:

วันนี้มาไม่ทันคุณนูเลยเสียตำแหน่ง
 :m23:
แต่ตามมาอย่างไวเลยนะคะ
 :กอด1: ด้วยความคิดถึงแล้ววิ่งหนีกลัวโดนเตะค่ะ
 :mc1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 01-06-2012 14:14:05
อ่านยาวสะใจ :z2:
ปืนคิดจะผลักไสปอ แต่ก็ยังมาอ้อน
ส่วนปอก็น้อยใจแล้วน้อยใจอีก ยังดีนะการเรียนไม่ตก
คู่นี้ช่างน่าเวียนเฮดแทน
ส่วนอีกคู่ หุๆ ขัดคอกันวันละนิดเพิ่มรสชาติชีวิตรัก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 01-06-2012 18:25:24
ตามอ่านมา5วัน เป็นอะไรที่ขัดใจมาก
ปืนเป็นคนผลักไสปอไปเอง พอปอเริ่มที่จะห่างอย่างที่หวัง
กลับเป็นคนเรียกร้องให้ปอมาอยู่ใกล้ๆ ไม่สงสารปอบ้างหรือไงนะปืน

+1+เป็ดให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 01-06-2012 18:44:15
ต้องการความหวานอ่ะ :impress3:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 01-06-2012 19:19:50
คนอุตส่าห์ทำใจได้บ้างนะปอ พี่ปืนมาทำให้ไขว้เขวอีกแล้ว แน่จริงพูดมาตรงๆสิ จะได้เข้าใจกันสักที
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 31/5/2555 (รอบดึก)
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 01-06-2012 20:31:08
พี่นูจัดเต็มอีกแล้ว o13
เพิ่งเห็นว่ามาเปิดเรื่องที่เล้า มาฉลองทันมั้ยหว่า :mc4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-06-2012 02:10:55


 แวะเข้ามากดเป็ด ตอบแทนคอมเม้่นท์ของทุกคน

จากนั้นก็จัดหน้าเตรียมโพสท ์ ใช้เวลานานไปนิด

เพราะมัวแต่คุย ๆ ๆ ๆ กับเพื่อนอีกหน้านึงอยู่ พร้อมแล้วก็ จัดไป อีกซักตอนสองตอนนะครับ


 :pig4:


ขอบคุณกำลังใจจากทุก ๆ คนที่เข้ามาเชียร์ปอ

ขอบคุณเป็นพิเศษที่มาเชียร์ที่รักของผม  :o8:





อุตส่าห์บอกว่าจัดหน้าก่อนโพสท์ แต่ผมว่ามันก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เลย

ยากอ่ะ ทำไงให้ย่อหน้าสวยกันน้า    :z3:
 












     
      วันนี้พี่ปืนกลับไปทำงานเป็นวันแรก พี่นูโทรมาบอกปอว่า เลิกเรียนแล้วให้กลับบ้านเราจะฉลองกันนิดหน่อย

ปอเองก็ตั้งใจจะไปที่บ้านอยู่แล้ว เพราะยังไม่ได้เก็บข้าวของส่วนตัวกลับหอ

คิดว่าตอนเย็นจะแวะไปเอา แล้วให้พี่ปืนมาส่ง คิดอยู่ทีเดียวว่าจะชวนเพื่อนมาสักสองสามคน

ให้มาช่วยขนฟูกขึ้นไปไว้ตามเดิม พี่นูโทรมาก็ดีแล้ว พี่นิวกับปอสองคนสองแรงคงพอไหว

ตอนที่ขนลงมาปอทำเองได้ แต่ขาขึ้นนี่มันต้านแรงโน้มถ่วงโลก พี่ปืนก็เพิ่งจะฟื้นตัว ไม่อยากให้ออกแรงมากนัก

      ตอนเข้าไปถึงห้องโถงที่บ้าน สามคนกำลังคุยอะไรกันไม่รู้ หน้าดำคร่ำเครียด พอปอมาก็หยุดคุย

แล้วพี่นูก็เอ่ยชวนปอไปเทกับข้าวใส่จาน แล้วก็อุ่นอาหารบางอย่างให้ร้อน ที่ว่าฉลองก็ไม่มีอะไรพิเศษ

นอกจากมีเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์สำหรับคนสองคน...ซึ่งก็น่าจะรู้ว่าใครเป็นต้นคิด

      ป่วยอยู่หลายวัน คงเปรี้ยวปากแย่ เอาเถอะ...ปอจะไม่ว่าอะไร เพราะหน้าที่ของปอสิ้นสุดลงแล้ว
 
ในวันที่พี่ปืนลุกขึ้นไปทำงานได้ตามปกติ

      “ปอไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านนี้แล้วเหรอ”

      พี่นูทำลายความเงียบขึ้นก่อน แต่ก็ด้วยคำพูดเบา ๆ แค่พอได้ยินกันสองคน   
   
      “ครับ...พี่นูถามทำไมเหรอ”

      ปอตอบกลับในโทนเสียงที่ไม่ต่างกัน

      “ป่าว ไม่มีอะไร นึกว่าเบื่อหอแล้ว จะได้กลับมาดูแลบ้านมั่ง”

      “ตลกแล้วพี่นู เจ้าของบ้านเค้านั่งอยู่ตรงโน้น ผมจะมาดูแลทำไมครับ”

      ปอพูดขำ ๆ

      “คิดอย่างงั้นก็ตามใจ....ต้มยำอุ่นแค่พอร้อนนะปอ แล้วยกออกไปเลย พี่จะยกพวกนี้ออกไปก่อน”

      พี่นูทำเสียงกระแทกกระทั้นคล้ายจะไม่พอใจในคำตอบของปอ แล้วไม่ได้สนใจอีก

      ก็แล้วจะให้ปอคิดยังไง บ้านของพี่ปืน ถึงแม้ว่า มันจะเต็มไปด้วยไอเดียของปอตรงโน้น ตรงนี้

มันก็ไม่ได้ทำให้บ้านนี้กลายมาเป็นบ้านของปอได้หรอก

และยิ่งเป็นไม่ได้ใหญ่ที่มันจะกลับมาเป็น “บ้านของเรา”


      พี่นิวดูจะช่างพูดขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเหล้าเข้าปาก แล้วยังกล้าพอที่จะแซวพี่นู

อย่างไม่กลัวว่าฝ่ายที่ถูกแซวจะโกรธ จะอาย ข้างพี่นูได้แต่นั่งยิ้ม ขำบ้าง หนักเข้าก็หัวเราะเอิ๊ก ๆ ชอบใจ

ส่วนพี่ปืนดูแปลกไปที่ไม่ค่อยยกแก้วเหล้าเข้าปากสักเท่าไร บางทีปอยังเห็นปล่อยให้น้ำแข็งละลายจนมันจืด

แล้วก็ถือโอกาสเททิ้ง....ดูจะผิดวิสัยอย่างไม่น่าเชื่อ

      “แล้วคุณรู้มั้ยปืน เวลาเค้าโมโหแต่ทำอะไรผมไม่ได้เค้าจะทำยังไง...นู้นนนน...เดินหนีเข้าห้อง

ปิดประตู แล้วผมจะทำไงได้ล่ะ ห้องเค้าผมก็ไม่มีกุญแจ มาสเตอร์คีย์เค้าก็เก็บไว้เอง ทีห้องเราเล่นย่ำซะเป็นเทือก

แต่ห้องตัวเองล่ะไม่ให้เราเข้า....แย่...”

      “ว่าใครแย่”

      เสียงแข็ง ๆ คาดคั้นทั้งที่แววตาระยิบระยับ อย่างที่เจ้าตัวไม่ได้โกรธจริง งอนจริง

      “ว่าตัวพี่เอ๊ง....ไม่แย่ไงไหว จะเข้าไปง้อ ก็เข้าไม่ได้ ไม่ง้อนูก็งอนไม่เลิก แล้วจะให้ทำไง

เคาะประตูโป้งๆ เดี๋ยวป้าก็จะขึ้นมาถามอีกว่าเกิดอะไรขึ้น”

      “ก็เลยนั่งหน้าหงอยอยู่หน้าห้องผมอ่ะเหรอ”

      “ใครหงอย.....ไม่มี้”

      “ครับ ไม่หงอยเลย แค่ทำหน้าให้ดูน่าสงสารแค่นั้นแหละ...เนอะ”

      “พี่นิวเหรอครับ ทำหน้าตาน่าสงสาร....ผมนึกภาพไม่ออกเลยอ่ะพี่นู”

      ปอพลอยขำไปกับการโต้ตอบอย่างไม่มีใครยอมใคร การโต้คารมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้

ปอเคยเห็นบ่อย ๆ และจะเป็นพี่นูที่ไม่ค่อยจะยอมลงให้พี่นิวง่าย ๆ แต่เวลาที่พี่นิวครึ้ม ๆ

เพราะฤทธิ์เหล้า พี่นูมักจะตามใจ ปล่อยให้พูด ไม่ขัดคอ ไม่งอแง

แถมยังโต้กลับให้กลายเป็นเรี่องสนุกไปซะอีก ก่อนนี้ปอก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่นูนัก

แต่นาน ๆ เข้าก็เริ่มชิน และค่อย ๆ เรียนรู้ว่า พี่นูมีคติประจำใจอยู่อย่าง

“อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา”

........ก็คนไม่มีสติ จะเอาอะไรกันนักหนา ในเมื่อเรามีสติกว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายคุมเกม

โดยเฉพาะเมื่อคนบ้ากับคนเมาเป็นคนที่เรารัก เราแคร์ ยังไงซะเราก็ต้องใจเย็น พอหายเมาเค้าก็ลืม

แค่เค้าไม่ลืมว่าเค้ารักเราก็พอแล้ว........


      งานฉลองสิ้นสุดเมื่อได้เวลากินยาก่อนนอนของพี่ปืน ปออยากจะว่าให้เจ็บซะจริง ๆ

ยาที่หมอให้มายังไม่ทันจะหมด ก็กินเหล้าซะแล้ว ใจคอจะอดอีกสักวันสองวันก็ไม่ได้

แต่ก็สู้เงียบไว้ดีกว่า หัดคิดอย่างพี่นูบ้าง...อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา....

      นี่ขนาดกินมั่งเททิ้งมั่ง พี่ปืนก็หน้าตาแดงก่ำซะขนาดนี้ ถ้ากระดกมันครบทุกแก้ว

สงสัยคงจะฟุบคาวงเหล้าตามเคย

      “ขึ้นบ้านไหวมั้ยครับพี่ปืน”

      “หวายค้าบ”   
                       
      แต่ปอดูแล้วท่าทางจะไม่ไหวซะมากกว่า ก็คอพับคออ่อนออกอย่างนี้ ไม่หิ้วปีกขึ้นไป

มีหวังได้ลงคลานกันล่ะ ปอยกแขนพี่ปืนขึ้นพาดบ่า สวมกอดเอวกระชับให้แน่นแล้วยกตัวให้ลุกขึ้นเดินเอง

      ....ตัวหนักนะเนี่ย เล่นทิ้งตัวพิงปอลงมาเต็ม ๆ แบบนี้กว่าจะถึงห้องนอนมีหวังเหนื่อยตาย...

เห็นเททิ้งเป็นหลายแก้ว ทำไมถึงเมาได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้นะพี่ปืน สงสัยคงเป็นเพราะไม่ได้กินเหล้านาน ๆ

หยอดลงไปได้หน่อยเดียว เมาซะไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย

      “จาปายหนาย”

      “ขึ้นบ้านครับ พี่ปืนเดินดี ๆสิ หนักอ่ะ”

      แทนที่จะเดินก้าวขาดี ๆ จะได้ผ่อนแรงกันบ้าง กลับเอนคอลงมาซบปอซะนี่...แก้มอุ่นจัดของพี่ปืน

แนบอยู่กับแก้มปอ ลมหายใจกรุ่นกลิ่นเหล้าจาง ๆ อวลอยู่ใกล้จมูก ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่มันหวิว ๆ ยังไงไม่รู้

      “ทำตัวตรง ๆ หน่อยสิครับพี่ปืน”

      พูดไปงั้นแหละ ยังกะคนเมารู้เรื่อง กว่าจะกระเตงกันขึ้นมาถึงห้องนอนได้ ก็หอบซะตัวโยนเลย

ปอจัดท่านอนให้พี่ปืนได้นอนสบาย ๆ แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกหมดทั้งแถว เตรียมเปลี่ยนชุดนอนให้

หมุนตัวจะเดินไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ แต่คนเมากลับมีแรงฉุดให้ถลากลับลงไปใหม่

ปอไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยล้มลงไปเกยพี่ปืนเต็ม ๆ

      “นอนด้วยกันนะ”

      เอ๋...ไม่มีวี่แววของอาการเมาเหมือนเมื่อกี้เลยนี่นา

      “หลอกผมว่าเมาใช่มั้ยเนี่ย”

      “ไม่ได้หลอก เมาจริง ๆ”

      “ไม่เชื่ออ่ะ ตะกี้ยังต้องให้ผมแบกขึ้นมาเลย”

      “แบกที่ไหนเล่า พี่เดินขึ้นมาเองนะ ปอแค่ช่วยประคองหน่อย ๆ เอง”

      “ปล่อยครับ ผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้”

      พี่ปืนยอมปล่อยมือแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายส่งสายตาตามมาติด ๆ จนรู้สึกร้อนหลังวาบ ๆ

ปอเปิดน้ำใส่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ แล้วเอาผ้าขนหนูชุบลงไป ก่อนจะบิดให้พอหมาด

เดินกลับมาที่ร่างที่นอนเหยียดแขนเหยียดขารอท่าอยู่....

มันน่าหมั่นไส้เนอะ หลอกให้ปอประคองขึ้นบ้าน ทั้งที่ช่วยตัวเองได้แบบนี้มันกินแรงกันชัด ๆ

      “ลุกขึ้นนั่งสิครับ”

      พี่ปืนขยับตัวทำตามอย่างว่าง่าย ใบหน้ายิ้มละไมอย่างคาดหมายว่า

จะต้องได้รับการเอาใจจากปอ...แต่เมินซะเถอะ

      ปอวางผ้าขนหนูหมาดน้ำลงบนอกแน่น ๆ แล้วรีบถอยออกมา อาการยิ้มที่เห็นอยู่

เลือนหายจากสายตาไปทันที...สมน้ำหน้า เหลี่ยมจัดนัก

      “ผมจะไปอาบน้ำ เช็ดตัวไปนะครับ”

      “อ้าว...ไม่เช็ดให้พี่อ่ะ”

      “สร่างเมาแล้วนี่ครับ ทำเองเหอะ ผมง่วง จะไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอน”

      หยิบผ้าขนหนูพาดบ่าพร้อมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอนเดินเข้าห้องน้ำไปเลยดีกว่า

ไม่อยากจะหันไปดูหน้าจ๋อยของคนแกล้งเมา

      คนไม่เมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้ ตอนนี้กำลังนอนเอกเขนกพิงหัวเตียงอยู่ เสียงรายการโทรทัศน์ภาคดึกดังแผ่ว ๆ

คงจะเป็นรายการสัมภาษณ์คนดังสักคน

      “นอนได้แล้วครับพี่ปืน ไม่เห็นมีรายการอะไรน่าสนใจเลย”

      “ดูหนังมั้ย”
   
      “ไม่อ่ะครับ ผมง่วง อยากนอนมากกว่า ช่วงนี้งานชมรมยุ่งนิดหน่อย แถมมีซ้อมเชียร์อีก

นี่ขนาดผมไม่รับตำแหน่งเชียร์ลีดเดอร์แล้วนะ”

      ปอล้มตัวลงนอนบนที่ว่างที่ถูกเว้นไว้

      “ดีแล้วที่ไม่รับน่ะ พี่เห็นเค้าซ้อมกันดึก ๆดื่น ๆ ขนาดใกล้สอบก็ยังไม่เว้น”

    (ที่จริงปืนมันหวง....นู)

      “เอ้อ...พรุ่งนี้พี่ปืนตื่นแต่เช้าหน่อยได้มั้ยครับ ผมหมายถึงตื่นก่อนเวลาน่ะ”

      ปอเริ่มธุระของตัวเอง ไหน ๆ พี่ปืนก็ไม่ได้เมา แล้วก็ยังไม่ง่วง เพราะไม่มีทีท่าว่า

จะขยับตัวลงนอนอย่างปอเลย สายตาก็ยังจับจ้องไปที่โทรทัศน์ยังกับว่าสนใจมันซะเต็มประดา

      “มีอะไรเหรอ”

      “ไปส่งผมที่หอหน่อยสิครับ สัมภาระผมเยอะแยะไปหมดเลย ตอนที่มานอนเฝ้าพี่ปืนที่นี่อ่ะ”

      “จะขนกลับไปหมดเลยเหรอ”

      พี่ปืนถามเสียงอ่อย ๆ

      “อ้าว...”

      ปอทำเป็นกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะ พลิกหน้ากลับมาเห็นแววตาพี่ปืนจ้องมาอย่างคาดหวัง

      “ผมจะกลับไปอยู่หอ แล้วถ้าไม่เอาข้าวของกลับไปผมจะใช้อะไรอ่ะครับพี่ปืน ไหนจะหนังสือเรียนอีก”

      “ไม่ไปไม่ได้เหรอ”

      อีกแล้ว...พี่ปืนทำหน้าเหมือนถูกปอทิ้งแบบนี้ จะให้รู้สึกผิดให้ได้เลยใช่มั้ย

      “ผมก็ไป ๆมา ๆ เหมือนเมื่อก่อนแหละครับ”

      “ไม่เอาหรอก ถ้าเหมือนเมื่อก่อนพี่ไม่เอาด้วย ครั้งหลังนี่ปอหายไปเลย นานกี่เดือนจำได้มั้ย

ถ้าพี่ไม่เข้าโรงพยาบาล ปอก็คงไม่มา”

      “พี่ปืนมีธุระ อยากให้ผมมาวันไหน ก็โทรไปบอกได้นี่ครับ”

      “โทรสิ ทำไมพี่จะไม่โทร แต่โทรไปทีไร ก็ติดต่อปอไมได้ซักที พี่นึกว่าปอเรียนหนัก ไม่ว่าง

พี่ก็เกรงใจไม่อยากรบกวน แล้วก็คิดว่า ถ้าปอเห็นเบอร์พี่โทรเข้าปอก็คงจะโทรกลับมาเอง

แล้วไหนล่ะ ไม่มีเลย ปอหายไปเลย เหมือนไม่อยากเจอพี่อีก”

      คำพูดเป็นชุดพรั่งพรูออกจากปากพี่ปืนบอกให้ปอรู้ว่า พี่ปืนโทรหาปอตามที่ปอคาดเอาไว้จริง ๆ

ตอนนั้นที่ปอคิดว่าถ้าไม่ได้รับสายพี่ปืน ถ้าไม่เจอหน้ากัน ปอก็จะตัดพี่ปืนได้เร็ว ๆ

มันก็คงจะใกล้เคียงความจริง ถ้าเพียงแต่พี่ปืนจะไม่ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล

ป่านนี้เราคง.....

      “แล้วความจริงที่พี่เพิ่งรู้ล่ะปอ มันหมายความว่ายังไง จนวันนี้ปอก็ยังไม่ให้เบอร์โทรใหม่กับพี่

ปอคิดจะตัดพี่จริง ๆใช่มั้ย”

      “แล้วที่พี่นูบอกพี่ปืนคืนนั้นล่ะครับ”     

      “คืนนั้นพี่ไม่ได้ขอเค้าหรอก พี่แค่โทรไปคุยกับเค้าเฉย ๆ เพราะพี่เหงา แล้วเค้าก็ถามถึงปอ

พูดไปพูดมานูก็หลุดปากออกมาว่า ปอเปลี่ยนเบอร์ใหม่แล้ว พี่ถึงได้รู้ว่าตลอดเวลาที่พี่ติดต่อปอไม่ได้เพราะอะไร”

      ปอคว้าโทรศัพท์พี่ปืนที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมากดบันทึกเบอร์ไว้ให้โดยไม่พูดไม่จา

      “มันไม่สายไปเหรอปอ”

      น้ำเสียงแผ่วโหยที่ผ่านริมฝีปากออกมากรีดน้ำตาปอได้ดีนัก แม้ว่าคนพูดจะไม่มีวี่แววว่าจะร้องไห้ด้วยซ้ำ

คนอย่างพี่ปืนคงไม่เสียน้ำตาให้ใครง่าย ๆ และปอก็เคยได้เห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

      “เดี๋ยวผมกลับไปอยู่หอพี่ปืนจะได้โทรหาผมได้”

      ก็จะให้ทำยังไง ปอเองก็รู้ตัวว่าผิดแล้วนะ ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นตัดรอนความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ

ปอแค่ช่วยตัวเอง ไม่ให้บอบช้ำมากไปกว่าเดิมต่างหาก

      ปอพลิกตัวนอนหันหลังให้พี่ปืน ไม่อยากให้เห็นว่าน้ำตากำลังจะหยด ปล่อยให้มันเปียกหมอนก็ไม่ได้

พรุ่งนี้จะเห็นเป็นดวงด่าง ๆ อยู่บนปลอกหมอน ได้แต่ดึงคอเสื้อขึ้นมาซับ ๆ เอา

      เสียงโทรทัศน์เงียบไปแล้ว ได้ยินเสียงอีกคนขยับตัวลงนอนราบ เสียงลมหายใจสะดุด

บอกให้รู้ว่าพี่ปืนยังไม่หลับ และอาจจะ....กำลังร้องไห้

      “ไม่ไปไม่ได้เหรอปอ”

      เสียงพูดที่พยายามบังคับยังไงก็ปิดไม่มิดว่า ปอคิดไม่ผิด

      “อย่างนี้ก็ดีแล้วครับพี่ปืน”

      “ถ้างั้นก็.....ตามใจ”

      น้ำเสียงที่ฟังดูราบเรียบ แต่เมื่อตามมาด้วยเสียงสูดจมูกเบา ๆ แล้วผ่อนลมหายใจช้า ๆ

ทำให้ปอได้รู้ว่า ตัวเองทำให้พี่ปืนต้องเสียน้ำตา

   .....อย่าใจอ่อนนะปอ.....

  เขาได้แต่เตือนตัวเอง เพราะไม่อยากกลับไปเจ็บปวดแบบไร้อนาคตอย่างเดิมอีกแล้ว

           
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 02-06-2012 02:18:43





  ปอไม่ได้แวะมาหาพี่ปืนแค่อาทิตย์เดียว บ้านที่รก ๆ ดูสะอาดตาขึ้นมาก

      พี่ปืนยืนจิบชาอยู่ข้างบ้าน แดดยามเช้าสาดส่องร่างสูงตรงให้โดดเด่นกลางสนามหน้าสีเขียวสด

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ปอก็คงจะนั่งเล่นอยู่ตรงซุ้มต้นเล็บมือนาง ไม่ก็กำลังพรวนดิน แต่งสวนไปตามประสา

พี่ปืนโทรชวนปอให้มาที่บ้าน บอกว่าให้ปอทำอาหารที่อยากกินให้หน่อย แต่คราวนี้ไม่ใช่ผัดกะหล่ำปลี

      “พี่อยากกินแกงเขียวหวานไก่ใส่ไข่เค็มกับขนมจีน”

      ก่อนเข้ามาปอก็เลยไปซื้อเครื่องปรุงให้พร้อม มาถึงก็จะได้ปรุงอย่างเดียว

      พี่ปืนหันมาทักปอที่กำลังจะเดินผ่านเข้าไปในครัวโดยไม่ผ่านประตูหน้าบ้าน

 แล้วก็หันไปสนใจต้นไม้กับสิ่งรอบข้างต่อ ส่วนปอตรงไปถึงครัวแล้วก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเองไป

ทำไปชิมไป มันก็เพลินจนลืมเวลา ได้ยินเสียงพี่ปืนทักใครก็ไม่รู้อยู่ที่หน้าบ้าน

ปอก็เลยชะโงกหน้าออกมาจากประตูข้างครัว ซึ่งมองตรงออกไปเป็นประตูรั้ว เห็นพวกเขายืนคุยกัน

แล้วแขกสองคนนั้นก็เดินสำรวจไปรอบบริเวณบ้าน ในขณะที่พี่ปืนเดินตามไปติด ๆ พูดคุยอะไรกันก็ไม่รู้

      แล้วก็มาถึงครัวที่ปอกำลังนั่งรอตั้งโต๊ะพร้อมพี่ปืน  ผู้หญิงคนนั้นดูไปวิจารณ์ไปอย่างมันปาก

ปอไม่ได้ยกมือไหว้เพราะไม่มีใครแนะนำให้รู้จัก แค่เดินเลี่ยงออกมานอกบ้านทางด้านข้าง

ทำให้ได้ยินสิ่งที่เขาพูดกัน ปอถึงได้รู้ว่าสองคนนั้นสนใจจะซื้อบ้านหลังนี้ และดูท่าทางพี่ปืนก็อยากจะขาย

แต่ไม่หรอกมั้ง พี่ปืนน่ะเหรอจะขายบ้านที่ตัวเองตั้งใจสร้าง แล้วเพิ่งจะย้ายมาอยู่ไม่นานมานี้เอง


    แต่ไม่นานนักแขกสองคนนั้นกลับไป โดยมีพี่ปืนตามไปส่งที่ประตูรั้ว ทันทีที่สองคนนั้นคล้อยหลังไป

รอยยิ้มที่แปะไว้บนริมฝีปากตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา พลันหายวับไปจากใบหน้า

ร่างสูงเดินช้า ๆ ไปตามทางลาดซีเมนต์ แต่ยังไม่ยอมเข้าบ้าน

สายตาที่มองสูงขึ้นไปบนบ้าน ดูอมเศร้ายังไงบอกไม่ถูก ปอได้แต่สงสัยว่าพี่ปืนกำลังคิดอะไรอยู่

      “พี่ปืนหิวรึยังครับ ผมจะได้ตั้งโต๊ะ”

      ปอถามขึ้น เมื่อเห็นพี่ปืนเดินมาเกาะประตูด้านข้างครัว พี่ปืนไม่ตอบอะไร แต่ก็เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร

ปอตักขนมจีนให้ก็แล้ว พี่ปืนก็เอาแต่เขี่ยเส้นขนมจีนในจานเล่นไปเรื่อยเปื่อย

จะให้ปอมีแก่ใจกินไปคนเดียวได้ยังไงกัน

      “เป็นอะไรไปครับ”

      “ฮึ...”

      พี่ปืนส่ายหน้า ไม่เงยขึ้นมองหน้าปอเลยสักนิด

      “ไหนบอกอยากกินขนมจีนแกงเขียวหวานไงครับ นี่ไง”

      ปอตักไข่เค็มใส่จานให้พี่ปืน เห็นของที่ชอบพี่ปืนน่าจะนึกอยากกินขึ้นบ้าง

      “ไก่ครับ”

      ปอตักให้อีก แล้วชวนคุย

      “ขนมจีนเจ้าอร่อยที่เราไปกินกันประจำไงครับ เดี๋ยวนี้เค้าแพ็คใส่ถุงขายเป็นกิโลแล้วนะครับ

ขายดีด้วย ส่งไปขายต่างอำเภออีกต่างหาก”

      พี่ปืนตักขนมจีนใส่ปากไปแกน ๆ ไม่เหมือนคนที่บอกว่าอยากกินเลย

      “พี่ปืนมีอะไร....บอกผมสิครับ”

      “ไม่มีอะไร”

      ปากบอกว่าไม่มี แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะให้ปอเชื่อก็บ้าแล้ว

      “พี่ปืนรู้จักเค้าเหรอครับ”

      “ใคร”

      สายตาที่มองปอขณะที่ถามดูว่างเปล่า เหมือนไม่รู้ว่าปอถามถึงอะไร

ถึงปอจะไม่ได้เกริ่นอะไรขึ้นมาก่อน แต่แขกที่เพิ่งจะจากไป ไม่น่าจะทำให้พี่ปืนงงงวยได้ขนาดนี้

      “สองคนเมื่อตะกี้ไงครับ เค้ามาทำไมครับ”

      “ก็เห็นแล้วหนิว่าเค้ามาดูบ้าน”

      “มาดูทำไมครับ”

      “เค้าจะซื้อ”

      พี่ปืนรวบช้อนส้อมทั้งที่ขนมจีนในจานยังไม่หมด  ปอรู้สึกได้เลยว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่

เพราะพี่ปืนไม่ใช่คนที่จะกินทิ้งกินขว้าง ยิ่งเป็นของที่บ่นอยากกิน ยังไงก็ต้องกินได้มากกว่านี้

      “จะไปไหนครับ”

      “พี่เพลีย ๆ น่ะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ จะขึ้นไปนอนต่อ ปอจะกลับตอนไหนก็ตามสบายนะ”

      ร่างสูงใหญ่ เดินลากเท้าออกไปจากห้องครัวด้วยอาการคล้ายคนสิ้นแรง

อย่าบอกนะ ว่าแค่ปอไม่ย้ายกลับมาอยู่บ้านจะทำให้พี่ปืนเป็นไปได้ขนาดนี้ ปอไม่เชื่อ....

ก็พี่ปืนไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกให้ปอย้ายไปอยู่หอพัก แล้วตอนนี้มีเหตุผลบ้าบออะไรถึงจะเปลี่ยนใจ



      ปอเจ็บนะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ มันทรมานแคไหน พี่ปืนไม่รู้หรอก

จากที่ไม่เคยรู้ใจตัวเอง จนกระทั่งยอมรับกับตัวเองได้ว่า

ปอรักผู้ชายใกล้ตัว รักคนที่ไม่มีทางจะแสดงให้ใครได้เห็นว่า ความรักของปอจริงจังและลึกซึ้งขนาดไหน

รักทั้ง ๆที่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อยู่ด้วยกันยืนยาวแค่ไหน

แต่ปอก็พยายามทุกอย่างที่จะให้ได้อยู่กับคนที่รักโดยไม่หวังเลยว่าเค้าจะรักตอบ

แล้วเมื่อวันหนึ่ง คนที่ปอรักผลักไสให้ออกห่างจากชีวิตเค้า พี่ปืนคิดว่า ปอจะรู้สึกยังไงบ้าง


      ปอเก็บโต๊ะ และอาหารทุกอย่างเข้าที่ให้เรียบร้อย หิวเมื่อไรก็คงลงมากินเองล่ะนะ

อยากจะอยู่ดูแลพี่ปืนเหมือนกัน แต่....ปอเองก็ว้าวุ่นใจเหลือเกินในตอนนี้

อยากกลับมาอยู่...ก็อยาก กลัวจะซ้ำรอยเดิม...ก็กลัว
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 02-06-2012 02:43:45
คุณนูมาแล้ววววววววววว
 :m11:
(มาคนแรกมั้ยเนี่ย  :m22:)
 :กอด1: รับขวัญด้วยความคิดถึง(อินี่เว่อร์ตลอด  :laugh:)
เดี๋ยวนี้ถ้าวันไหนคุณนูไม่มา
นัทพาลจะนอนไม่หลับเอา
เมื่อคืนถ้าไม่ปวดท้องจะนั่งรอจริงๆนะเนี่ย
 :m23:

สงสารน้องปอจัง
แต่ในใจจริงๆนัทสงสารพี่ปืนมากกว่า
เพราะตอนที่ปอไม่รู้ตัวพี่ปืนน่ะทรมานก่อนปอมาตั้งนาน
ก็เข้าใจว่าปอก็เสียใจแต่ปอทำเหมือนไม่สงสารพี่ปืนมั่งเลยง่ะ
ทางที่ดีก็คุยกันตรงๆไปเลย
ถ้าจะรักกันคนอ่านก็จะได้เตรียมตัวถือหมอน(เอ๊ะ?)
ถ้าไม่รักกันจะได้เจ็บแค่ครั้งเดียว
คนอ่านจะได้ลาตายด้วย กระซิกๆ
 :o7: :sad2:

พรุ่งนี้อย่าลืมมานะคุณนู
 :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 02-06-2012 04:24:48
พี่ปืนก็กล้าๆ หน่อยดิ  :z3:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 02-06-2012 07:28:14
เมื่อไหร่ปืนจะบอกความรู้สึกตัวเองให้ปอรู้สักที ปอก็บอกความจริงสิว่าทำไมต้องทำเป็นห่างเหิน  :serius2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 02-06-2012 07:37:28
แล้วทำไมปืนไม่บอกความรู้สึกของตัวเองกับปอสักที
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-06-2012 11:40:34
รอจ้า รอตอนต่อไปจ้า :z2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 02-06-2012 13:07:15
 :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 02-06-2012 14:13:28
โอยยย...แต่ละคนๆนี่นะ
คิดไปเองต่างๆนานา

หันหน้ามาเปิดใจคุยกันเลยสิ 
เอาแต่คิดว่าแบบนี้แบบนั้นจะดีกว่าสำหรับอีกฝ่าย
น้อยใจกันไปมาอยู่นั่นแหล่ะ  คนอ่านลุ้นๆๆๆๆๆ 
ลุ้นจนจะลุ้นไม่ขึ้นแล้วน้าาาาา

สุดท้ายคือ...ได้กันสักทีเท้อ  5555  ล้อเล่นๆๆจ้า  อิอิ

รอตอนต่อไปนะ

+1 ให้จ้าาาา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 02-06-2012 15:53:46
เสียดายบ้านเนอะ
ปืนยังกั๊กท่าทีไว้อีกเหรอ :pigangry2:
จะรอให้ปอเป็นไรไปก่อนรึไง ถึงจะเผยตัวน่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 02-06-2012 16:03:33
อ่านแล้วก็ได้แต่ร้องเฮ้อ! ไม่คุยกันแล้วจะรู้เรื่องกันไหมเนี่ย!
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 02-06-2012 20:41:11
เฮ้อ!!
อึกอัดกะ2คนนี้จริงๆ :m16:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 02-06-2012 22:22:29
ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำแข็งใส ที่ 02-06-2012 22:51:36
หน่วง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 03-06-2012 00:48:26
ปืนกับปอจะเป็นยังไงผมไม่รู้
รู้แต่ว่า ผมร้องไห้ทรมานจนจะขาดใจตายอยู่แล้วครับ  :jul1:
ทำไมความรักของคนสองคนถึงได้ทรมานขนาดนี้  :o12:  :z3:  :m15:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555 เจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้า ๆนะครับ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 01:21:31
พรุ่งนี้จะตื่นมาลงให้แต่เช้าครับ

ทันทีที่แหกขี้ตามาได้ จะรีบมาทันที

ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ตาจะปิดอ่ะ

ฝันดีครับทุก ๆ คน

คิดถึงครับ


ป.ล. เข้ามาเพื่อกดเป็ดแืืทนคำขอบคุณอย่างเดียวเลย

วันนี้นั่งรถทั้งวัน เนื้อย เหนื่อย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 2/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 03-06-2012 01:30:48
ไม่เป็นไรค่า
นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน
 :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 07:19:37



(http://www.mania.co.in/display/6556/410/278/Good_Morning_Have_a_nice_day.gif)








“ปอรู้รึป่าว พี่ปืนจะขายบ้าน”

      พี่นูโทรหาปอในอีกหลายวันต่อมา หลังจากวันฉลองที่พี่ปืนหายป่วย

วันนั้นปอจำได้ว่า พี่นูดูปั้นปึ่งกับปอเรื่องที่ปอไม่ย้ายกลับมาอยู่บ้าน

แต่ต่อหน้าทุกคนพี่นูกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากวันนั้นพี่นูก็ไม่ติดต่อปออีกเลย

ทำให้ปอแน่ใจว่าพี่นูคงจะไม่พอใจที่ปอใจดำทอดทิ้งเพื่อนเค้า

      “บ้านไหนครับ”

      “ก็จะบ้านไหน เค้ามีกี่บ้านกันล่ะ”

      พี่นูคงจะหมั่นไส้ที่ปอทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ฟังก็รู้ว่าน่าจะยังไม่หายโกรธ

      “พี่ปืนบอกพี่นูเหรอครับ”

      “ป่าว คนที่เค้าจะซื้อแวะไปที่แบ็งก์ เค้าคุยกันแล้วพี่ได้ยิน”

      “ไม่หรอกมั้งครับ บ้านเพิ่งจะเสร็จ พี่ปืนเค้าเองก็อยากได้ จะรีบขายทำไม”

      “พี่ไม่รู้ แต่ปอน่าจะรู้ดีนะพี่ว่า”

      “ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ พี่ปืนไม่ได้บอกผมซักคำ”

      “ทำไมเค้าต้องบอกปอ ถามหน่อย”
   
   ถึงคราวที่ปอต้องอึ้ง นั่นสิ....ทำไมพี่ปืนต้องบอกปอด้วย

  ”ที่พี่คิดว่าปอน่าจะรู้ เพราะหวังว่าปอจะติดต่อถามสารทุกข์สุกดิบเค้าบ้าง”

      “ผม....”

      “เวลาที่เค้าโทรหา แต่ปอไม่รับสายล่ะ คิดว่าเค้าจะทู่ซี้โทรไปอีกทำไม

พี่ไม่อยากจะว่าอะไรปอหรอกนะ ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่ แต่บอกตรง ๆว่าพี่เห็นใจพี่ปืน”

      พี่นูไม่พูดถึงเรื่องที่ปอเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์โดยไม่บอกพี่ปืน มันก็สมควรที่จะให้เค้าว่าเอา

พราะพี่นูไม่รู้ถึงความจำเป็นที่ปอต้องทำ     

      แต่ปอล่ะ...มีใครเห็นใจบ้าง

  “แล้วพี่นูจะให้ผมทำยังไง”

   “กลับไปอยู่บ้านสิ พี่คิดว่าพี่ปืนขายบ้าน เพราะปอไม่กลับไปอยู่อีกแล้ว บ้านมันจะมีความหมาย

อะไรถ้าเค้าต้องอยู่คนเดียว”

  “พี่ปืนไม่ได้บอกพี่นูเหรอครับ ว่าผมไม่ได้เป็นฝ่ายอยากออกมา”

   พี่นูถอนหายใจ

   “บอก แต่พี่ก็เคยบอกปอแล้วเหมือนกันหนิว่า เค้ากำลังหนีใจตัวเอง ปออย่าบอกว่าไม่รู้นะว่าพี่ปืนเค้ารักปอ”

  “ไม่รู้สิครับ ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าผมเข้าข้างตัวเองไปรึป่าว เค้าบอกผมว่าอยากอยู่คนเดียว

  พี่นูจะให้ผมด้านหน้าอยู่ต่อได้ยังไง ผมไม่มีสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นซักหน่อย”

  ปอปาดน้ำตาทิ้ง มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญเลย

  “ตอนที่ผมออกมาอยู่หอแล้ว ผมยังเคยขอเค้าด้วยซ้ำ ว่าผมอยากกลับไปอยู่บ้าน

....แต่เค้าไม่ตอบ จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงครับ บ้านผมก็ไม่ใช่ ไปร้องขอเค้ายังกับตัวเองหมดหนทาง

มันดูไม่มีศักดิ์ศรีเอาซะเลย”

  “พี่เข้าใจปอนะ ว่าปอรู้สึกยังไง ....เอาเถอะ พี่ก็แค่โทรมาบอก คิดอยู่เหมือนกันว่าปอน่าจะยังไม่รู้

ทีนี้ปอรู้แล้ว อยากทำอะไรก็ตัดสินใจให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”

....อะไรล่ะ ที่ปออยากทำ

...สิ่งที่อยากทำปอก็เคยบอกพี่ปืนไปแล้ว...แต่เค้ากลับไม่สนใจคำขอของปอ

...พี่ปืนยังเคยชวนปอไปอยู่อีกครั้งนะ....

...แต่นั่นมันตอนที่ปอตัดใจได้แล้ว ว่าจะไม่ย้อนกลับไปให้เจ็บอีก

...แล้วถ้าพี่ปืนขายบ้าน

...ช่างปะไร บ้านของเค้าไม่ใช่  “บ้านของเรา”

กี่ครั้งแล้วที่พี่ปืนทำให้ปอสับสนกับสิ่งที่เค้าแสดงออกมา มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไรนะ

...สัมผัสเบา ๆ ที่แก้มปอ บนรถไฟ…ครั้งนั้นปอสับสนซะจนต้องย้ายตัวเองออกไปตั้งหลักใหม่

แต่สุดท้ายก็รู้ใจตัวเองว่า โลกที่ไม่มีพี่ปืน มันไม่น่าอยู่เอาซะเลย

...ตอนที่ปอเห็นพี่เอกกำลังนัวเนียกับพี่ปืนในห้อง

ปอก็นึกว่าทั้งคู่มีอะไรกัน   เจ็บแทบตายเลยตอนนั้น

แต่แล้วก็ทำใจได้ว่า ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ ได้ดูแลพี่ปืน ปอก็มีความสุขแล้ว

ยิ่งพอมารู้ว่าที่จริงแล้วทั้งคู่ไม่มีอะไรกัน ก็ทำให้ปอเกิดความหวังครั้งใหม่ขึ้นมาอีก

แม้แต่คำพูดของพี่เอกกับหยินก็คล้ายจะตอกย้ำความเข้าใจของปอว่า

พี่ปืนก็คงมีใจให้ปอบ้าง ถ้าพี่ปืนจัดการความรู้สึกสับสนในใจตัวเองได้เมื่อไร

เราสองคนก็คงมีความสุขร่วมกันในบ้านของเรา

ความอดทนรอให้เวลานั้นมาถึงยังคงอยู่ แต่พี่ปืนเป็นฝ่ายปิดหนทางนั้นเสียเอง

จะให้ปอปรบมือข้างเดียวมันดังไม่ได้อยู่แล้ว

แล้วพอปอถอยมา พี่ปืนก็กลับจะลากปอกลับเข้าไปในวังวนเดิม....

ถ้าปอกลับเข้าไปอีก ก็คงจะต้องเจ็บอีกใช่มั้ย

แต่เสียงรบเร้าในใจก็ย้ำเตือนกระตุ้นปออยู่แทบจะตลอดเวลา....

ถึงจะไม่กลับไปอยู่ที่นั่นอีกแล้ว

แต่ควรมั้ยที่ปอจะเพิกเฉย ไม่สนใจไถ่ถามพี่ปืนสักนิด

ควรมั้ยที่ปอจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับเรื่องที่พี่ปืนจะขายบ้าน

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า พี่ปืนรักบ้านหลังนี้แค่ไหน

พี่นูบอกว่าพี่ปืนไม่อยากทนอยู่ในบ้านที่ไม่มีปอ

....แล้วทำไมถึงได้ไล่ปอออกมาอยู่ซะไกลอย่างนี้ด้วยล่ะ.....





   ปอบอกตัวเองว่า ที่พาตัวเองมาถึงที่นี่ไม่ใช่เพราะยังตัดไม่ขาดหรอก ไม่ได้มาคัดค้านเรื่องขายบ้านด้วย

ก็แค่เป็นห่วงว่า หลังจากนั้นพี่ปืนจะไปอยู่ที่ไหน แล้วที่หิ้วอาหารเช้ากับอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแยะ

ก็ไม่ได้ห่วงใยอะไรนักหนา ก็แค่มารยาทในการมาเยี่ยมเยียนตามปกติน่ะนะ

       ประตูหน้าบ้านเปิดกว้างไว้แล้ว แต่ไม่เห็นเจ้าของบ้าน

มีเสียงดังกุกกักอยู่ด้านใน ปอเดินตรงเข้าไปตามทิศทางที่คุ้นเคย

      แผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตขาว กับกางเกงสแลคยับย่นบอกปอว่าเมื่อคืนนี้พี่ปืนคงนอนทั้งชุดนี้แหละ

และถ้าเดาไม่ผิด พี่ปืนก็คงจะนอนบนโซฟาข้างล่างนี่เอง

ตอนเดินผ่านห้องรับแขก ปอก็ไม่ทันได้มอง แต่คิดว่าน่าจะมีเครื่องนอนแค่หมอนใบเดียว

      “หวัดดีครับพี่ปืน”

      ร่างสูง ๆ สะดุ้งพร้อมกับปล่อยอะไรที่อยู่ในมือให้ตกลงในอ่างล้างจานดังโครมใหญ่ ก่อนจะหันมาทั้งตัว

      “ปอ”

      อุปาทานไปมั้ง ที่ปอรู้สึกเหมือนคนตรงหน้าแทบจะถลาเข้ามาหา แล้วยั้งไว้แค่เดินเข้ามาใกล้

      “มายังไง”

       ใบหน้าคม ที่ปอคุ้นเคย วันนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราขึ้นหรอมแหรม

ผมที่เคยซอยกันท้ายทอยอย่างเรียบร้อย ตอนนี้ยาวระปกเสื้อดูรุงรัง แถมมีไรผมปรกที่ข้างหู เส้นผมชี้ฟู อย่างคนเพิ่งตื่นนอน

ดวงตาคมวับวาวที่ปอชอบมองกลับแห้งแล้ง เบ้าตาโหลลึกอย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

ที่สำคัญปอรู้ได้ทันทีว่าพี่ปืนผอมลง เพราะมันเห็นได้ชัดจากไหล่เสื้อที่เคยเต็มแน่น แต่ตอนนี้ลู่ลงจนเสื้อผ้าดูโคร่งไปหมด

      ปอรีบเบนสายตาจากการสำรวจเนื้อตัวซูบโทรมตรงหน้า แล้วตอบคำถาม

      “ผมก็มารถโดยสารตามปกติไงครับ”

      “พี่ถามผิดน่ะ พี่ตั้งใจจะถามว่า ปอมีธุระอะไรต่างหาก”

      “เดี๋ยวนี้ผมมาเยี่ยม...พี่ชาย ต้องมีธุระด้วยเหรอครับ”

      ปอเลี่ยงการสบตา ด้วยการวางข้าวของลงบนโต๊ะอาหาร เดินไปคว้าชามสำหรับใส่โจ๊กหมูร้อน ๆ

      “พี่ปืนกินอะไรรึยังครับ ผมหิวจัง ผ่านร้านโจ๊กหน้าหอก็เลยซื้อมาฝากพี่ปืนด้วย

กินด้วยกันนะครับ เจ้านี้เค้าอร่อย ผมสั่งใส่ไข่มาให้พี่ปืนด้วยนะ”

      “ขอบใจนะ”

      คำขอบใจของพี่ปืนตามมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำให้หน้าตาที่ดูซูบโทรม สดชื่นขึ้น

      “นั่งสิครับ”

      ปอเลื่อนเก้าอี้ตัวที่ใกล้สุดให้พี่ปืนนั่ง แล้วจัดการแกะถุงปาท่องโก๋เทใส่จาน

      “กาแฟนะครับ”

      พี่ปืนพยักหน้า แล้วมองตามปอเดินไปหยิบถ้วยกาแฟวางซ้อนบนจานรอง ชงกาแฟรสเข้ม

เขายังจำรสที่พี่ปืนชอบได้ ไม่หวานจัด ไม่ใส่ครีม น้ำร้อนเป็นควันฉุยทันทีที่ปอกดจากกระติกใส่ถ้วย

นิสัยพี่ปืนมักจะต้มน้ำใส่กระติกไว้เสมอไม่เคยขาด เพราะชอบดื่มชาจีนร้อน ๆ....เหมือนป๊าเลย

      “มานั่งกินด้วยกันก่อนสิปอ”

      “แป๊บเดียวครับ ผมชงกาแฟก่อน”

      แต่พี่ปืนก็ยังไม่ยอมหยิบช้อน รอจนปอวางถ้วยกาแฟไว้ตรงหน้าก่อน

แล้วพี่ปืนถึงจะจัดการกับชามโจ๊กของตัวเองบ้าง นาน ๆ ครั้งก็เงยหน้าขึ้นสบตาปออย่างมีความหมาย

บรรยากาศเก่า ๆ ยังไม่คืนมาหรอก ความเงียบยังคงปกคลุมรอบ ๆ ตัว

แต่อย่างน้อยการได้กินร่วมโต๊ะกัน ก็ทำให้อาหารอร่อยขึ้น

      “พี่ไม่ได้กินอะไรอร่อยอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ”

   พี่ปืนรำพึงด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางไปจากใบหน้า

      ปอก็อยากจะบอกพี่ปืนแบบนั้นเหมือนกัน....แต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะสานต่อเรื่องที่มันกำลังจะยุติ

ดังนั้นสิ่งที่ปอพูดโต้ตอบกลับไปจึงเป็นคนละความหมายกับที่พี่ปืนสื่อออกมาโดยสิ้นเชิง

      “อยากกินอะไรก็ซื้อกินได้หนิครับ รถก็มี เงินก็มี พี่ปืนไม่ดูแลตัวเองต่างหาก

ไม่รู้อยู่เข้าไปได้ยังไงบ้านก็รก ดูสิครับฝุ่นงี้เขลอะเชียว แล้วดูแลตัวเองมั่งรึป่าวเนี่ย

พนักงานธนาคารอะไรกัน หน้าตาดูไม่ได้เลย ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราไม่โกน

นี่เจ้านายเค้าไม่ว่าอะไรมั่งรึไงครับ”

      “งั้น พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ปอไม่ได้รีบไปไหนใช่มั้ย”

      “วันนี้ผมว่างครับ ก็เลยแวะมาเยี่ยม คงจะกลับเย็น ๆ พี่ปืนไม่ออกไปไหนใช่มั้ยครับ”

      “ไม่ ๆ ๆ ไม่ได้ไปไหน งั้นปอนั่งเล่นไปพลาง ๆนะ เดี๋ยวพี่มา”

      พี่ปืนกระโจนขึ้นบันไดทีละสองขั้น ร่าเริงยังกะปลาได้น้ำ

      “เดินดี ๆสิครับ เดี๋ยวก็ได้ตกลงมาหรอก”

      “ค้าบ”

      เสียงรับคำลอยมาจากข้างบน ตามด้วยเสียงเปิดปิดประตูดังโครม ด้วยความรีบร้อน

ปอส่ายหน้า ที่เปื้อนยิ้มของตัวเอง ด้วยความรู้สึกเอ็นดู......คนตัวโต ๆ ก็ทำตัวเหมือนเด็กได้เหมือนกันนะ


  ปออยู่ข้างล่างตามลำพัง ก็จัดเก็บถ้วยจานชามล้างคว่ำไว้อย่างเรียบร้อย

เดินออกมาหน้าบ้าน จัดเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะรับแขก

มุดไปดูใต้โต๊ะก็เจอหนังสือพิมพ์อีกกอง บนเก้าอี้นั่งมีผ้าขนหนูพาดอยู่กับพนักพิง

บนโซฟาตัวยาวมีหมอนหนุนที่มีรอยบุ๋ม นึกแล้วไม่ผิดว่าพี่ปืนคงจะไมได้ขึ้นไปนอนข้างบน

      ข้าง ๆเก้าอี้ มีขวดเบียรน์สองสามขวดล้มอิงกันอยู่กับอีกขวดที่ยังมีเบียร์เหลืออยู่กว่าครึ่ง

ปอหยิบขวดเบียร์ไปทิ้งถังขยะนอกบ้าน พร้อมกับขยะอื่นอีกถุงใหญ่ ที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นเอียน

ดูแล้วน่าจะไม่ได้จัดการเก็บทิ้งมาเป็นอาทิตย์แล้วล่ะมั้ง

      ปกติพี่ปืนไม่เคยเป็นคนหมักหมมแบบนี้ ห้องพี่ปืนที่คอนโดก็เรียบร้อยสะอาดตา 

ข้าวของจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วใส่ตะกร้ามีฝาปิด ไม่วางเกลื่อนกลาด

ผ้าขนหนูมีราวพาดพักไว้อย่างเรียบร้อย รองเท้าวางเรียงบนชั้นในตู้ที่มีบานเลื่อนเปิดปิดได้

....ก็เนี้ยบสมกับการแต่งตัวของเค้านั่นแหละ

      แต่สภาพที่เห็นตอนนี้เหมือนไม่ใช่พี่ปืนคนเดิมเลย

      กว่าพี่ปืนจะอาบน้ำแต่งตัวสะอาดเอี่ยม ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เนื้อตัวหอมฟุ้ง แล้วลงมาข้างล่าง

ปอก็เก็บกวาดห้องรับแขกเสร็จพอดี และกำลังจะไปเก็บห้องครัวต่อ

จากนั้นก็ว่าจะขึ้นไปดูบนห้องนอน....ของพี่ปืน

ส่วนห้องที่ปอเคยนอน คงถูกปิดเอาไว้เฉย ๆ ไม่ต้องเก็บกวาดก็คงจะได้

      “พี่นูบอกผมว่ามีคนจะซื้อบ้านแล้ว จริงรึป่าวครับ”

      ปอส่งคำถามที่ตัวเองอยากรู้ แต่ทำทีเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก   
   
พี่ปืนเงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือพิมพ์ที่ปอเพิ่งจะจัดไว้ใต้โต๊ะรับแขก แล้วพยักหน้าหงึก ๆ ทีนึง

เหมือนกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วหันไปรื้อหนังสือพิมพ์ออกมากองลงบนพื้น

      “พี่ปืนรื้อออกมาทำไมครับ ผมเพิ่งจะเก็บตะกี๊นี้เอง”

      “พี่ว่าจะเอาไปให้ป้าข้างบ้านแกไว้ห่อของน่ะ”

      พี่ปืนวางหนังสือพิมพ์ซ้อนกันได้ตั้งใหญ่แล้วก็เดินไปหยิบเชือกฟางออกมามัด

      “แล้วพี่ปืนจะไปอยู่ไหน”

      “ไปอยู่กับปอได้รึป่าวล่ะ”

      เสียงตอบออกมาทั้งที่มือยังเป็นระวิงจากการมัดกองหนังสือ แล้วหิ้วออกไปวางหน้าประตูบ้าน

ฟังไม่ออกว่าพูดเล่น หรือว่าหมายความตามนั้นจริง ๆ

      “หอพักนักศึกษาแคบนิดเดียว พี่ปืนจะอยู่ได้เหรอครับ อพาร์ทเมนท์ที่เคยอยู่ยังกว้างกว่าเลย”

      ปอตอบเลี่ยง ๆ หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ

      “ถ้าหอคับแคบก็มาอยู่บ้านกับพี่สิ”

      “อ้าว...ก็...”

      “ช่างเหอะ....”

   พี่ปืนโบกมือ แล้วหันไปหยิบหนังสือนิตยสารเล่มใหญ่ ออกมามัดอีกกอง

  “พี่ก็แค่ชวน ปอไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร แต่...พี่อยู่คนเดียวก็ชักจะรู้สึกว่า....บ้านมันกว้างเกินไป

คนขี้เกียจอย่างพี่ไม่ชอบทำงานบ้าน เห็นมั้ยล่ะ ฝุ่นจับตามตู้ โต๊ะ แม้แต่บนพื้นก็ไม่สะอาด

ปอมาทีไรก็ต้องเก็บกวาดให้พี่จนเหนื่อยทุกที”

      “พี่ปืนจ้างใครมาทำก็ได้หนิครับ”

      “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก พี่ย้ายไปอยู่ที่เก่าก็สิ้นเรื่อง”

       พี่ปืนยกหนังสือนิตยสารที่มัดแล้วไปกองรวมกันไว้ที่หน้าประตู

แล้วเดินกลับมานั่งเหยียดขาพิงพนักโซฟาตามสบาย สองมือหนุนท้ายทอยแหงนหน้ามองเพดาน

      “พี่เคยตั้งใจว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่พี่สร้างบ้าน ก็หมายความว่าพี่พร้อมจะลงหลักปักฐานกับใครซักคน

แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่มีใครเลย แล้วอย่างนี้จะมีบ้านไปทำไมล่ะ

ขายทิ้งแล้วไปอยู่คอนโดตามเดิมดีกว่า...ว่ามั้ย ”

      ปอเดินออกจากตรงนั้น ไม่อยากทนฟังสิ่งที่พี่ปืนกำลังพูด เพราะรู้ว่า นั่นไม่ได้ออกมาจากใจแม้แต่คำเดียว

อย่างดีก็แค่ประชด ปออยากจะตะโกนออกไปใจแทบขาดว่า...ตอนที่ปอพร้อมจะทำอย่างนั้น

พี่ปืนมัวไปทำอะไรอยู่ ถึงมองไม่เห็นว่าปออยู่ข้าง ๆ พี่ปืนเสมอ....มาบอกอะไรป่านนี้

      ปอนั่งลงใต้ซุ้มเล็บมือนางมุมโปรด หันหน้าไปทางตัวบ้าน....มันไม่ได้ใหญ่โต หรูหราอะไรเลย

บ้านสองชั้นที่ไม่มีเครื่องตกแต่งชั้นเลิศ มีเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกตามสมควร

ทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่ปืนคนเดียว

มิหนำซ้ำยังผ่อนไม่หมดเสียอีก ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นบ้านหลังนี้มาจากความตั้งใจ

....ถ้าเป็นปอจะตัดใจขายมันลงหรือเปล่านะ....


      พี่ปืนคงอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งในบ้าน ซึ่งปอก็ไม่ได้สนใจเท่าไร ปออยากใช้เวลากับตัวเองมากกว่า

สองสามชั่วโมงที่ทำอะไรต่ออะไรไปเรื่อยเปื่อย จนบ้านช่องสะอาดเป็นระเบียบเหมือนเดิม

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ปอตอบตัวเองได้เต็มปาก นั่นก็คือ ไม่ว่าปอจะออกไปอยู่ข้างนอกนานแค่ไหนก็ตาม

แต่พอได้กลับมาอยู่ตรงนี้ ได้ทำอะไรอย่างที่เคยทำเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกัน

ปอก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับบ้านหลังนี้อยู่ดี

ปอยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของที่นี่

ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าเจ้าของบ้านเค้าวางปอไว้ในฐานะอะไร....นี่ไง มันเจ็บก็อีตรงนี้เอง

      ร่างสูงปรากฎตัวที่ช่องประตู สายตาที่มองตรงมาที่ปอ หยั่งเชิง แต่ไม่ค่อยจะมั่นใจ

      “มานั่งตรงนี้สิครับพี่ปืน”

      นั่นแหละ พี่ปืนถึงได้ก้าวออกจากตัวบ้านอย่างกระตือรือร้น...ปอพอมองออก

ตั้งแต่เช้ามาแล้วที่พี่ปืนแสดงอาการของการงอนง้อออกมาให้เห็นบ้างนิดหน่อย

      ยิ่งเห็นพี่ปืนใกล้ ๆ ปอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงร่างกายที่ทรุดโทรมลงในระยะเวลาไม่กี่วัน

หลังจากที่เพิ่งฟื้นจากการผ่าตัด ริมฝีปากอิ่มที่เคยเป็นสีระเรื่อกลับแห้งแตก

แล้วคนมืออยู่ไม่สุขก็คงจะดึงหนังที่หลุดร่อนออกล่ะสิ ถึงได้มีเลือดซึมอย่างนั้น

แต่จะทำยังไงได้ พี่ปืนเป็นฝ่ายเลือกที่จะอยู่ตามลำพังเอง เลือกแล้วก็ต้องทนให้ได้

ดูอย่างปอสิ ไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกที่จะเดินจากมาสักหน่อย เจ็บแทบตายยังต้องอดทนเลย

      “คนที่มาดูบ้านคราวนั้นเหรอครับ ที่จะซื้อ”

      “ไม่ใช่หรอก พี่ไม่ขายให้คนพรรค์นั้นหรอก จะซื้อบ้านเราไปทำอะไรก็ไม่รู้ ดูไปติไป

ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ อยากได้พี่ก็ไม่ขายหรอก”

      “ก็ดีแล้วครับ วันนั้นผมยังอดหมั่นไส้ไม่ได้เลย ฟังว่าดีอยู่อย่างเดียวที่บ้านหันไปทางทิศที่ถูกโฉลกกับเค้า

ไม่พอใจอะไรซักอย่าง”

      “อืม...คนที่เค้าติดต่อมาว่าจะซื้อ เค้ายังไม่ได้มาดูหรอก พี่โพสท์รูปขึ้นเว็บน่ะ เค้าเห็นรายละเอียดแล้วสนใจ

ก็เลยไปคุยกันที่แบ็งก์ เห็นว่าจะซื้อเงินสดด้วยนะ ท่าทางคงจะมีตังค์”

      “แปลกจัง คนมีตังค์ ทำไมถึงสนใจบ้านเล็ก ๆของเราล่ะครับ”

      ปอเผลอพูดคำที่ติดปากว่า “บ้านของเรา” โดยไม่รู้ตัว พอหลุดออกไปแล้วก็เลยตามเลย

แต่ก็เห็นอยู่ว่าพี่ปืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางจะชอบใจน่าดู

      “แต่พี่ยังไม่รีบตัดสินใจหรอก เอาไว้ให้ได้ราคาดีกว่านี้ค่อยขาย”

      “เหรอครับ แต่จะว่าไปแล้ว ใคร ๆ เค้าขายบ้านก็มีแต่จะได้กำไรนะครับ พี่ปืนคิดไว้รึยังว่าจะตั้งราคาไว้ที่เท่าไหร่”

      “ยังไม่รู้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องกลบเงินกู้สวัสดิการให้หมด แล้วก็เผื่อเงินไว้สำรองอีกหน่อยก็พอ

ถามทำไม ปออยากให้พี่ขายบ้านเหรอ”

      พี่ปืนหันมาถามปอเนิบ ๆ

      “ผมจะอยากรึไม่อยากมันไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ บ้านของพี่ปืน ผมไปเกี่ยวอะไรด้วย”

      “อ้าว...อย่างน้อยเราเริ่มต้นคิดด้วยกันไง พวกต้นไม้ที่ปลูกรอบ ๆบ้าน ปอก็ช่วยหามา

แล้วก็ช่วยดูแลรดน้ำ ตัดแต่งกิ่งก้าน ลำพังพี่คงไม่มีปัญญาทำเรื่องพวกนี้หรอก

ตั้งแต่ปอไป พี่ไม่ได้ดูแลต้นไม้ให้ปอเลย มันก็เลยรกแบบนี้”

      “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าพี่ปืนไม่ค่อยมีเวลา”

      “เวลาน่ะมี แต่พี่ไม่อยากเห็นมัน”

      ....ก็ทำไมไม่โค่นมันซะเลยล่ะ....

ปอนึกหมั่นไส้ในใจ พูดมาได้นะว่าไม่อยากเห็น



      “เห็นแล้วพี่ก็อดไม่ได้ที่จะ...คิดถึงปอ”



      ปอชะงักก่อนจะหัวเราะเบา ๆแต่เป็นเสียงหัวเราะที่เยาะหยันตัวเองไม่ได้รู้สึกขบขันตรงไหนสักนิด

      “หึ ๆ มันก็ยืนต้นโด่อยู่ตรงนี้ ไม่ว่ายังไงพี่ปืนก็ต้องเห็นมันอยู่ดีแหละครับ”

      “ใช่ ยังไงก็ต้องเห็นมันอยู่ดี ไม่ว่าปอจะไปอยู่ที่ไหน พี่ก็ยังคิดถึงปออยู่ดี”

       ดวงตาคมพุ่งตรงประสานสายตาปอ บอกความในใจทุกอย่างให้ปอได้รับรู้....รู้แล้วไง?

   วันที่ปอมั่นใจในความรักที่ตัวเองมีต่อพี่ปืนเต็มเปี่ยม พี่ปืนกลับไม่ยอมรับรู้ แถมยังผลักไสให้ไกลตัว

และปอต้องเจ็บปวดกับการไม่เป็นที่ต้องการของพี่ปืน

   วันนี้พี่ปืนพร้อมแล้วที่จะให้ปออยู่ข้าง ๆ พี่ปืนก็แสดงมันออกมา

แล้ววันหน้า พี่ปืนจะบอกให้ปอลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้หรือเปล่า

      “ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยล่ะครับ ว่าพี่ปืนคิดถึงผม ผมคิดว่าผมคิดถึงพี่ปืนข้างเดียวมาตลอดซะอีก

มาบอกผมตอนนี้ทำไม พี่ปืนต้องการอะไร”

      น้ำเสียงที่กดต่ำ พร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นยืน เมื่อปอก้มลงมองร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้า

เวลานี้พี่ปืนดูตัวเล็กนิดเดียว ปอควรต้องรวบรวมกำลังใจอีกครั้งที่จะไม่ใจอ่อนไปกับภาพลวงตา วาจาลวงใจ เหล่านั้น

...ถ้าไม่อยากเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า

      “ก่อนที่จะพูดอะไรออกมา พี่ปืนคิดรึยังว่าทำร้ายผมมากี่ครั้งแล้ว หัวใจผมไม่ได้มีไว้เจ็บอีกแล้วนะครับ”

      ปอรีบพูดก่อนที่จะเดินหนีออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าจะทันได้ยินเสียงพี่ปืนพูดตอบ

      “พี่ขอโทษ แต่....พี่ต้องการปอ”

       คำพูดคำนี้ไงที่เคยอยากได้ยินนักหนา อยากหันกลับไปจังเลย

แต่ทำไมขาที่ก้าวเดินกลับไม่ยอมหยุดนะ

น้ำตาก็พาลจะไหลออกมาอีกแล้ว....รู้งี้ไม่มาหรอก

....ถ้ารู้ว่าพี่ปืนจะพูดแบบนี้ ปอจะไม่มาหรอก

....ไม่มา...จริง ๆนะ




      ไม่รู้ว่าพาตัวเองกลับมาถึงห้องได้ยังไง

  ตอนนั้นรู้แต่ว่า อยากหนีออกมาจากบ้านหลังนั้นให้เร็วที่สุด คิดว่าตัวเองแกร่งพอ นิ่งพอ

เพราะทำใจได้แล้วว่าจะคงความสัมพันธ์แบบที่พี่ปืนต้องการไว้ได้

แต่ทำไมแค่คำพูดสั้น ๆ ถึงทำให้ความตั้งใจทั้งหมดที่มี มันสั่นคลอนได้นะ

ทางที่ดีเขาไม่ไปที่นั่นอีกคงจะดีกว่า

....ช่างพี่ปืนเถอะ...

อยากจะทำอะไรก็ให้เค้าทำไป อยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป

จะเจ็บ จะป่วย จะเป็นตายร้ายดี ปอไม่สนอีกแล้ว

ต่อไปนี้ปอจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าใครจะมาบอกอะไรปอจะไม่รับรู้อีก ชีวิตใครชีวิตมัน


      ....แต่....


      ไม่ว่าปอจะคิดอะไร จะทำอะไร มันก็มีไอ้คำนี้ตามมาทุกทีสิน่า

  ....แต่...ปอเคยสัญญาไว้ว่าจะไม่มีวันทิ้งพี่ปืน....ปอจะทำยังไงกับคำสัญญา....


      เอาเหอะ...รอให้มันมาถึงก่อนแล้วค่อยคิดก็แล้วกัน.....
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 07:42:17



      โอ๊ยยยยยย.....นี่จะไม่ให้ปอได้ตั้งตัวเลยใช่มั้ย

     


 เพิ่งจะสอบปลายภาคเสร็จหมาด ๆ พี่นูก็โทรมาบอกว่าพี่ปืนจะทำเรื่องย้ายสาขา

ปอตอบไปทันทีแบบไม่ต้องคิดเลยว่า มันก็เรื่องของพี่ปืน

ถ้าย้ายสาขาแล้วดีกว่าเดิม มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็ย้ายไปสิ

จังหวัดนี้มีสาขาตั้งมากมายที่พร้อมจะรับคนทำงานอย่างพี่ปืนไปร่วมงานด้วย

แล้วทำไมพี่นูต้องโทรมาบอก

ไม่รู้รึไงว่า ปอไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงในชีวิตพี่ปืนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


      “พี่ปืนจะย้ายไปสาขาชายแดน”

      “ดีสิครับ ค้าของหนีภาษีไปด้วยเลย หารายได้เสริมไง”

       หัวใจกระตุกวูบเดียวก่อนที่ปอจะหาคำพูดที่ตรงกันข้ามกับใจ พูดออกไปได้   

      “ปอ....พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ มันไม่ตลก”

       พี่นูเสียงเข้มมาเลย

      “แล้วพี่นูจะให้ผมทำยังไง”

      “ปอ...พี่จะพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้าปอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ก็ไม่มีใครรู้หรอก

พี่เป็นคนอื่นยังรู้สึกห่วงเค้าเลย ปอก็รู้ว่าบางพื้นที่มันเสี่ยงแค่ไหน

แม้แต่ที่บ้านของปอเอง ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ก็อยู่ลำบากไม่ใช่เหรอ

พี่ได้ยินว่า พี่ปืนบอกขายบ้านได้แล้ว คนใหม่เค้ากำลังทำเรื่องขอวงเงินกู้กับเราอยู่

เสร็จจากเรื่องบ้าน ก็คงเป็นเรื่องขอย้ายนี่แหละ....แต่ความจริง....

เราน่าจะแสดงความยินดีกับพี่ปืนเค้านะ เพราะเค้าได้ตำแหน่งสูงขึ้นด้วยล่ะปอ”

      “ก็ดีสิครับ ผมว่าพี่ปืนต้องได้เป็นผู้จัดการตั้งแต่ยังหนุ่มแน่เลย”

      ปอรู้ว่าตัวเองฝืนใจทำเสียงให้ร่าเริง

ก็คงเหมือนกับที่พี่นูก็พยายามทำเป็นว่าเรื่องย้ายสาขาของพี่ปืนเป็นเรื่องดี

ถ้าเพียงแต่ สาขาที่พี่ปืนจะไป ไม่ได้อยู่ในท้องที่ที่มักจะเกิดเหตุการณ์ลอบยิงบ่อยครั้ง

      “ใช่ ดีมากเลยล่ะ ถ้าไม่ถูกดักยิงระหว่างเดินทางไปทำงานซะก่อนอ่ะนะ”

      พี่นูโยนปรมณูลูกใหญ่ใส่ปอ แล้วก็วางหูไปดื้อ ๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 07:45:44



ปอเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน

   ....ก็ไม่ได้รีบร้อนมาก แค่จะไปให้ถึงบ้านพี่ปืนก่อนที่เจ้าของบ้านจะออกไปทำงานเท่านั้นเอง

หลังจากที่ใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนหลังจากพี่นูวางสายไปแล้วว่า จะลองพูดกับพี่ปืนดีมั้ย

ให้เปลี่ยนสาขาที่จะขอย้ายเป็นสาขาใกล้ ๆ แทน

 ....เอาเถอะ ถ้าไม่อยากอยู่เมืองนี้แล้ว ย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดก็ยังดี

      แต่มันจะเลือกได้เหรอ....ถ้าที่นั่นไม่มีอัตราว่าง พี่ปืนก็ถูกส่งไปที่อื่นอยู่ดี

และไม่แน่ว่าอาจจะได้ไปลงพื้นที่เสี่ยงภัยอีกจนได้เหมือนกัน

พี่ปืนนะ....พี่ปืน จะทำอะไรคิดถึงพ่อแม่มั่งมั้ยเนี่ย

เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายคนเดียว พ่อกับแม่จะทำยังไง

ไหนจะตากับยายอีก หลานรักมีอันเป็นไป ตากับยายคงหัวใจสลาย

      ....ปอก็คง....ไม่ต่างกัน....



      ทันพอดี....

  เมื่อปอมาถึงตอนที่พี่ปืนกำลังถอยรถออกจากประตูรั้ว ปอก็เดินสวนเข้าประตูบ้านไป

พี่ปืนลงจากรถมาทักทาย หลังจากแอบไว้ริมทางเท้าเรียบร้อยแล้ว

พอสายตาเหลือบมองกระเป๋าใบใหญ่ในมือปอ พี่ปืนก็ยิ้มหน้าบานเท่าใบบัวเชียว

      “อย่าบอกนะว่าจะมาอยู่กับพี่”

      แหม...ทักแบบนี้มันน่าจะหันหลังกลับจริง ๆนะ ปออุตส่าห์แบกหน้ามาทั้งที่เจ้าของบ้านไม่ได้เชิญ

พี่ปืนจะพูดให้ปอรู้สึกชื่นใจหน่อยได้มั้ยว่า ยินดีที่ได้เห็นปอ

      “เอาน่า พี่ล้อเล่น เข้าบ้านก่อน แต่ปอมาป่านนี้พี่คงอยู่ด้วยไม่ได้แล้วนะ ไม่อยากเข้างานสายอ่ะ

  ...ก็...อืม....ห้องของปอน่ะ ถ้าไม่อยากทำความสะอาด จะนอนห้องพี่ก็ได้ ยังไงก็คงอยู่ไม่นานไม่ใช่เหรอ”

      ...อีกดอกแล้วนะ....เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจซะหนิ

  นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเองได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ปืนจนกว่าจะถึงวาระที่ต้องย้ายจริง ๆ

ปอหิ้วกระเป๋ากลับหอแน่ แต่ลึก ๆในใจปอแล้ว ไม่อยากให้มีวันนั้นเลย

      ปอเก็บกระเป๋าไว้ในห้องพี่ปืน (ก็เจ้าของเค้าเชิญแล้ว) แล้วก็ลงมาดูรอบ ๆบ้าน

พี่ปืนเก็บข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงกล่องไว้บ้างแล้ว ที่เห็นยังวางอยู่ก็เป็นของใช้ประจำวันที่จำเป็น

หวังว่าที่ปอตั้งใจจะพูดขอร้องพี่ปืนคงยังไม่สายจนเกินไป



      ปอเตรียมมื้อเย็นไว้รอท่าพี่ปืนอย่างสุดฝีมือ ต้องสร้างบรรยากาศของการเจรจาไว้ก่อนสินะ

แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สบช่องจะพูดเรื่องที่ตั้งใจซะที ส่วนพี่ปืนก็เจริญอาหาร กินหมดทุกจานที่ปอทำ

ไม่หมดได้ไง ปอเลือกทำแต่ของชอบนี่นา

      “อยากให้ปอทำกับข้าวให้พี่กินทุกมื้อแบบนี้จัง....แต่...คงไม่ได้หรอกใช่มั้ย”

      พี่ปืนถามเองแล้วก็ตอบเอง ก็ดี....ปอเองก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศเหมือนกัน

เพราะคำตอบของปอก็คือ..ครับ

...ตอนนี้ปอขอแค่ทำวันนี้ เวลานี้ให้มันดีที่สุดก็แค่นั้น

      “พรุ่งนี้ทำของเช้าให้พี่ด้วยได้รึป่าว”

      อาหารค่ำเพิ่งจะเก็บโต๊ะไม่ทันไร พี่ปืนก็เรียกร้องจะเอามื้อเช้า

      “ครับ พี่ปืนอยากกินอะไรอ่ะ เดี๋ยวผมทำให้”

      “อะไรก็ได้ ปอก็รู้หนิว่าพี่กินไม่ยาก...เฮ้อ...อยากให้ปิดเทอมนาน ๆจัง”

      “ทำไมครับ”

      “ปอจะได้ทำอาหารให้พี่กินทุกมื้อไง”

      “ใจคอจะเก็บผมไว้ก้นครัวแบบนี้อ่ะเหรอ”

      “ได้ก็ดีสิ ว่าแต่ปอจะอยู่ได้รึป่าวล่ะ”

      เอาเถอะ ยังไงปอก็มีเวลาตลอดปิดเทอมให้พี่ปืนอยู่แล้ว อยากให้ทำอะไรก็จะทำ

แค่ทำอาหารให้กินน่ะเรื่องเล็ก อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่ปอจะได้ทำอะไรเพื่อพี่ปืน



      ถึงเวลาเข้านอน พี่ปืนก็ให้ปอนอนก่อน บอกว่าเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน

เพราะอยากจะรีบ ๆ เคลียร์งานค้างก่อนที่จะส่งมอบให้คนที่จะมาแทน

ปอขึ้นไปนอนแล้วแต่ไม่หลับ ใจมันคอยนึกถึงแต่ว่าพี่ปืนกำลังจะย้ายไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย

แล้วจะเป็นยังไง จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมั้ย เท่าที่เคยได้ยินมามันก็น่ากลัวอยู่



      ....ข่มตาไม่ลง....



   นอนกลิ้งไปกลิ้งมาจนเบื่อ ก็ยังไม่หลับ ปอก็เลยเดินลงไปนั่งเป็นเพื่อนพี่ปืนซะเลย

      “เป็นไงถึงนอนไม่หลับ อย่าบอกว่าแปลกที่นะ”

      พี่ปืนถาม ทำมารู้ทันว่าปอจะตอบแบบไหน บอกแบบนั้นได้ไง เสียฟอร์มแย่

      “ป่าวหรอกครับ แต่ปกติผมไม่ค่อยได้นอนหัวค่ำอยู่แล้ว นี่มันยังไม่ถึงเวลาปกติที่ผมนอนเลย”

      “แล้วปกตินอนกี่ทุ่มล่ะ”

      “หลังเที่ยงคืนครับ อ่านหนังสือไปเพลิน ๆ เวลามันผ่านไปแบบไม่รู้ตัวน่ะพี่ปืน”

      เฉพาะช่วงสอบเท่านั้นหรอก

      “อืม”

      “งานเยอะเหรอครับ”

      “ก็ไม่เยอะหรอก แต่ทำในเวลาไม่ทันก็เลยเอากลับมาทำต่อ ไม่อยากค้างนาน”

      “แล้วคนที่เค้าจะมาแทนพี่ปืนเค้าย้ายมาจากที่ไหนเหรอครับ”

      ปอถามเผื่อไว้ว่า ถ้าคนที่มาแทน ย้ายมาจากสาขาที่ไม่มีปัญหาเรื่องความเสี่ยง พี่ปืนก็อาจจะย้ายสลับกับเค้าได้

      สีหน้าพี่ปืนสลดลง ก่อนจะตอบ

      “ไม่ได้ย้ายมาจากที่ไหนหรอก ก็อยู่ในสาขานี่แหละ”

      จบกัน งั้นพี่ปืนก็คงจะไปเสริมในอัตราที่ว่างสินะ

      ปอนั่งดูพี่ปืนทำงานเงียบ ๆ จนกระทั่งเห็นเค้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วสอดกระดาษเอกสารเข้าแฟ้ม

      “ไปนอนกันเหอะ ดูสิตาปรือแล้วก็ยังไม่ยอมขึ้นไปนอน จะฝืนอยู่ทำไมเนี่ย”

      สองคนขึ้นบันไดมาด้วยกันโดยไม่ปริปากคุยอะไรอีก ต่างคนต่างก็เข้านอน

      “ปอ”

      เสียงนุ่มถามเบา ๆ มาจากฟากตรงข้ามของเตียง     

      “ครับ”

      “นึกยังไงถึงมา”

      ปอพลิกตัวกลับไปจะตอบ หวังว่าจะได้เห็นแค่แผ่นหลังกว้าง แต่ไม่ใช่....

  ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟริมถนนส่องลอดหน้าต่าง

ปอเห็นแววตาฉ่ำหวาน ที่มองตรงมาอย่างเปิดเผย

      “ผมก็มาดูแลพี่ปืนไง....ตอนนี้มันช่วงปิดเทอมนี่ครับ”

      ปอแข็งใจทำเสียงใส ข่มความรู้สึกหวิว ๆ ที่วาบขึ้นมาตอนที่ตาสบกันในความมืด

      “ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ ป๊ากับแม่คิดถึงแย่แล้วมั้ง”

      “ไม่หรอก...ผมโตแล้ว เค้ารู้อยู่แล้วว่าซักวัน ลูกชายจะต้องออกจากบ้าน

ป๊าสอนผมให้รู้จักดูแลตัวเอง ป๊าเเคยบอกให้ผมเลือกทางเดินที่ตัวเองใฝ่ฝัน

แล้วทำมันให้ดีที่สุด เค้าไม่คิดว่าผมจะกลับไปอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำไป”

      ปอนอนตะแคง เท้าข้อศอกลงบนที่นอน ใช้ฝ่ามือหนุนข้างแก้มแทนหมอน
 
      “ผมว่าป๊าเองก็น่าจะอยากออกจากที่นั่นเหมือนกันนะครับ ยิ่งนานไปมันก็ยิ่งไม่ปลอดภัย

ไม่รู้ว่ามันจะถึงจุดจบเมื่อไหร่ คือ...ผมหมายความว่า ไม่ว่ามันจะยุติแบบไหน ป๊าก็คงอยากออกมาอยู่ดี

อย่างน้อยเค้าก็คงคิดไว้แล้วว่า พอผมเรียนจบก็คงจะหางานทำในเมืองใหญ่

มากกว่าจะกลับไปทำร้านขายเครื่องไฟฟ้าต่อจากป๊า”

      “ก็ดีนะ พี่คิดว่าป๊ามีกิจการอยู่ที่นั่น ก็อยากจะให้ปอกลับไปสานต่อ”

      “โธ่...พี่ปืน...ถ้าป๊าอยากให้ผมอยู่ตรงนั้น เค้าจะส่งผมมาเรียนไกล ๆ ทำไมล่ะครับ

จบม.6 ก็เป็นเถ้าแก่น้อยเลยไม่ดีกว่าเหรอ กะอีแค่ขายเครื่องไฟฟ้า ผมทำแทนป๊าได้มาตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้ว”

      “นั่นสิ ป๊าของปอคิดการณ์ไกลจังเลยนะ”

      “แล้วพี่ปืนล่ะครับ คิดยังไงถึงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น สาขานี้มันก็ดีอยู่แล้ว อยู่ในเมืองใหญ่ ยิ่งมีโอกาสโตเร็วไม่ใช่เหรอครับ”

      ปอรีบฉวยโอกาสวกมาที่เรื่องที่กำลังเป็นกังวลอยู่

      “อยู่ที่เดิมมันก็จะเจออะไรเดิม ๆ ไม่มีประสบการณ์ใหม่ ๆ ทัศนคติเดิม ๆ จากคนเก่า ๆ แวดวงลูกค้าหน้าเก่า ๆ

พี่ไม่คิดจะอยู่แค่นี้หนิ ปีหน้าพี่จะสอบเรียนต่อปริญญาโท ระหว่างนั้นก็หาความรู้เกี่ยวกับสายงานอื่น

แล้วพอพี่พร้อม ก็จะสมัครสอบเป็นผู้จัดการสาขา”

      อนาคตของพี่ปืนถูกเล่าออกมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้ปอรู้สึกปลาบปลื้มยินดีไปด้วย

อีกไม่นานพี่ปืนของเขาก็คงจะประสบความสำเร็จในชีวิตอีกขั้นหนึ่งแล้ว

....ต่อไปก็คงต้องคิดถึงเรื่องการมีครอบครัวสินะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 07:53:40
     


   ปืนมองคนที่นอนหันหลังให้อยู่ที่อีกด้านหนึ่ง

  เสื้อกล้ามคอกว้าง เว้าไหล่ เผยให้เห็นช่วงบ่าบอบบาง ผิวเนื้อขาวผุดผาด ละลานตาอยู่ในความมืด

ไม่คิดไม่ฝันว่า วันเวลาเช่นนี้จะหวนกลับมาอีก หลังจากที่ครั้งสุดท้าย ปอเดินหนีจากเขาไปทั้งที่น้ำตาคลอ



      ไม่ผิดหรอกที่ปอหันหลังให้เขาในวันนั้น หลังจากที่ปืนบอกความในใจที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่นึกว่าจะกล้าพูด

แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกจริง ๆ ที่เขาโหยหามาตลอดหลายเดือนมานี้

จากที่เคยสะกดไว้ได้ มันก็เริ่มประทุทีละเล็กทีละน้อย

 จนเดี๋ยวนี้ ปืนรู้สึกว่าหัวใจโดนบีบรัดทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไว้กับปอ

เขาอยากบอกปอเหลือเกินว่า....พี่ปืนไม่ได้อยากทำร้ายปอ ไม่ได้อยากปฏิเสธเยื่อใยที่เรามีต่อกัน

แต่ความเชื่อมั่นที่ป๊ากับแม่ของปอมีให้พี่ปืน มันค้ำคออยู่ ทำอะไรลงไปไม่คิดหน้าคิดหลัง จะมีหน้าไปพบป๊ากับแม่ยังไง

      แต่ไอ้สำนึกดีมันกลับทำร้ายเราทั้งคู่ สมควรแล้วที่พี่ปืนต้องเป็นคนรับความเจ็บปวดนั้น

แต่ไม่อยากให้ปอต้องพลอยเจ็บไปด้วยเลย แม้แต่นูก็ยังพลอยอึดอัดรำคาญใจไปด้วย


      .....จะอะไรก็ไม่อะไร...ความสุขของเราทั้งชีวิตนะพี่ปืน จะว่าผมหน้าไหว้หลังหลอกก็ได้ไม่ว่า

แต่ผมขอแนะนำหน่อยนะ พี่ปืนกับปออยู่ทางนี้ ป๊ากับแม่ของปออยู่ถึงโน่น

เค้าจะมารู้มาเห็นอะไร ว่าเราสองคนอยู่กันแบบไหน พอซะทีเถอะ ไอ้บทพ่อพระเนี่ย

ผมไม่เห็นว่ามันจะช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาได้ นอกจากจะทำให้ยิ่งแย่ลงทุกวัน

อยากจะรักก็รักเถอะ อยากจะอยู่ก็อยู่ จะมาทนหวานอมขมกลืนกันทำไม

จะตายจากกันวันไหนก็ยังไม่รู้....


      ตอนที่นูบอกว่าจะขอลองเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ได้ผลจะเลิกยุ่งเด็ดขาด

นูเป็นคนอื่นแท้ ๆยังทนไม่ได้ ปืนก็เลยตกลงใจว่าเป็นไงเป็นกัน เขาเองก็ไม่อยากจะเสียปอไปตลอดชีวิต

      แล้วตอนนี้ก็เลยได้ปอมานอนเคียงข้างกันสมใจ เขาไมได้ถามนูว่า ทำอีท่าไหน ปอถึงยอมกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้ง

      “ปอ....นึกยังไงถึงมา”

      “ผมก็มาดูแลพี่ปืนไง....ตอนนี้มันช่วงปิดเทอมนี่ครับ”

“ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ ป๊ากับแม่คิดถึงแย่แล้วมั้ง”

“ไม่หรอก...ผมโตแล้ว เค้ารู้อยู่แล้วว่าซักวัน ลูกชายจะต้องออกจากบ้าน ป๊าสอนผมให้รู้จักดูแลตัวเอง

ป๊าเเคยบอกให้ผมเลือกทางเดินที่ตัวเองใฝ่ฝัน แล้วทำมันให้ดีที่สุด เค้าไม่เคยหวังว่าผมจะกลับไปอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำไป”

      ปืนมองปากจิ้มลิ้มของปอขยับพูดจ๋อย ๆ ซะเพลินไปเลย

ได้แต่บอกตัวเองว่า เขาไม่น่าจะปล่อยวันเวลาให้มันผ่านไปแล้วทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดไว้เลย

นูพูดถูก ป๊ากับแม่อยู่ถึงที่โน่น ช่วงเวลาของความสุข ไม่ได้ผ่านมาบ่อย ๆ เขาโง่มากที่ไม่เคยคิดจะคว้ามันไว้

“นอนเหอะปอ พี่ง่วงจัง พรุ่งนี้งานคงยุ่งน่าดู”

ปืนเกลี่ยเส้นผมสลวยที่ระแก้มไปเกี่ยวใบหู ถึงจะอยู่ในความสลัวลาง แต่ก็เห็นได้ว่าดวงตาคู่นั้นหลุบต่ำ

ปืนอดที่ยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้ เผลอไล้แก้มนวลเบา ๆ ก่อนจะชักมือกลับด้วยความเสียดาย

      “ครับพี่ปืน”

      ปอขยับล้มตัวลงหนุนหมอนนุ่ม คว้าหมอนข้างมาก่ายกอด แต่กลับถูกอีกมือดึงออกไป

แล้วเลื่อนตัวเองเข้ามาแทนหมอนข้าง

      “กอดพี่ดีกว่า อุ่นกว่าหมอนอีก”

      “อื๊อ...ไม่เอา พี่ปืน....”

      ปอตกใจ แต่นั่นก็สายไปแล้ว ได้แต่เอามือทั้งผลักทั้งดันแผ่นอกแน่น  ๆ ให้ออกห่างจากตัว ซึ่งก็ใช่ว่าจะมีผลอะไร

      “ทำไมอ่ะ แค่กอดเฉย ๆ เอง”

      “ไม่...เอา...”

      ปอยังออกแรงผลักปืนให้ออกห่าง แต่ปืนเหรอจะยอมแพ้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

จากที่นอนอยู่ฟากเตียงข้างโน้น เขาก็เขยิบเข้าไปให้ชิดกว่าเดิม จนปอถอยห่างซะแทบจะตกเตียงอยู่แล้ว

      “พี่ปืน....เล่นอะไรเนี่ย”

      “คิดถึงอ่ะ อยากอยู่ใกล้ ๆปอ ไม่ได้เหรอ”

      ปืนหยุดการราวี เปลี่ยนมาจ้องหน้าปอนิ่ง ๆ ใบหน้าที่ห่างกันไม่เกินคืบ ทำเอาปืนต้องอดใจไม่ให้ตัวเองก้มลงจูบที่แก้มนุ่ม

      “คิดถึงก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้หนิ”

      ปอทำเสียงดุ จนปืนชักจะใจฝ่อ   
   
      “พี่อยากกอดปอ จะได้แน่ใจว่า ปอมาอยู่กับพี่จริง ๆ ไม่เหมือนทุกครั้งที่มา ๆ ไป ๆ”

      “นี่ก็เหมือนกัน...พอเปิดเทอมผมก็ไป มันก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละครับ ผมแค่มาอยู่ดูแลพี่ปืนชั่วคราวเท่านั้นนะ”

      คราวนี้ปอผลักปืนสำเร็จ แต่นั่นเป็นเพราะมือไม้ปืนมันอ่อนแรงต่างหาก

ปอลุกออกจากเตียงไปยืนอยู่กลางห้อง มือสั่น ๆ เสยผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ เปิดใบหน้าที่แดงก่ำเพราะออกแรง

ให้ปืนได้เห็นแววตาที่กำลังเต้นระริก ด้วยความตื่นตกใจ

      “ไม่เหมือนหรอกปอ คราวนี้มันจะไม่เหมือนทุกครั้ง

ที่ผ่านมาพี่ผิดเอง ที่ปล่อยให้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันผ่านไปอย่างไม่มีความหมายจนแทบจะไม่มีอะไรให้นึกถึง

นอกจากความเจ็บปวดที่ต้องอยู่ด้วยกันแบบ...กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

      “ป่วยการที่จะมาพูดอะไรตอนนี้ ผมทำใจได้นานแล้วครับ

ผมแค่อยากให้เราเหลือความสัมพันธ์อย่างพี่น้องเอาไว้บ้างเท่านั้นเอง”

      “มันเปลี่ยนไม่ได้หรอกนะปอ ไอ้ความรู้สึกที่มันเกินเลยจากคำว่าพี่น้องไปแล้วน่ะ อย่าหลอกตัวเองเลย”

      “ผมกำลังทำอยู่ครับ”

      ปอตอบอย่างหนักแน่น ปืนรู้ดีว่า ถ้าปอตั้งใจจะทำอย่างนั้น สักวันปอก็จะทำมันให้สำเร็จจนได้ แต่เขายอมไม่ได้

      “แต่พี่ทำไมได้ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้ปอเปลี่ยน เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ย”

      “พี่ปืนกำลังจะทำให้ผมสับสนอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วรู้มั้ย ผมพอแล้วนะ ไม่อยากเจ็บไปเจ็บมาอีกแล้ว

วันนี้พี่ปืนบอกว่าให้เรามาเริ่มต้นใหม่ วันหน้าพี่ปืนเกิดคิดอะไรได้ขึ้นมาอีก ผมก็ต้องระเห็จออกไปจากชีวิตพี่ปืนอีก

แล้วไหนจะอนาคตของพี่ปืนอีกล่ะ วันนึงพี่ปืนก็ต้องมีครอบครัว แล้วผมล่ะ

ผมจะอยู่ตรงไหนในชีวิตของพี่ปืน เราคงอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวไม่ได้หรอกนะครับ”

      “แต่ทั้งหมดที่ปอพูดมา มันไม่ใช่สาเหตุที่พี่ต้องตัดใจจากปอเลยนะ”

      “ผมไม่สนหรอกว่าพี่ปืนมีเหตุผลอะไรถึงได้ตีตัวออกห่างจากผม ไล่ผมไปอยู่ข้างนอกนั่น”

   ปอถอนสะอื้น

  “ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่า ตั้งแต่ผมรักพี่ปืน ผมไม่เคยมีเหตุผลอะไรที่จะเลิกรัก ผมมีแค่ความพยายาม

ที่จะทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน ผมอดทนรอเวลาที่พี่ปืนจะตอบรับผม และพร้อมที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ไม่ใช่ในฐานะพี่น้อง แต่เงื่อนไขของพี่ปืนคืออะไรก็ไม่รู้ ผมไม่เคยเข้าถึงใจพี่ปืนได้เลย

ไม่ว่าผมจะพยายามยังไง พี่ปืนก็ไม่เคยยอมรับความรู้สึกตัวเอง

ผมไม่เคยเหนื่อย ผมไม่เคยท้อ แต่พี่ปืนรู้มั้ยว่าผมเจ็บ....

ช่างมันเถอะ เจ็บแค่นี้ผมทนได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมทนไมได้ ก็คือเวลาที่พี่ปืนผลักไสผมในขณะที่ผมอยากอยู่

มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่พี่ปืนไม่ต้องการ”

      ร่างเล็กบางที่ยืนกลางห้องยังคงยืนตัวตรง อย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่ น้ำเสียงที่พูดตัดพ้อต่อว่า

หนักแน่นและมั่นคง มีเพียงนัยน์ตาคู่นั้น ที่บอกปืนว่า ความเสียใจของปอมากมายเพียงไหน

มีเพียงน้ำตาที่หยาดลงสองข้างแก้ม ที่บอกปืนว่า หัวใจของปอต้องแหลกยับไปกับการกระทำที่เห็นแก่ตัวของปืนขนาดไหน

      พี่ปืนจะไถ่ความผิดนี้ได้ยังไงล่ะปอ ช่วยบอกหน่อย

      “พี่ขอโทษ....ให้โอกาสพี่ซักครั้งได้มั้ย พี่สัญญาจะไม่ทำให้ปอต้องเสียใจอีก”

      “ไม่ครับ โอกาสของพี่ปืนมันผ่านไปแล้ว”

      “ขอโอกาสพี่อีกครั้งนะ พี่สัญญา...”

      “อย่าเลยครับ สัญญาของพี่ปืนกับความตั้งใจของผม มันสวนทางกันซะแล้ว”

      ปอเช็ดน้ำตาลวก ๆ คว้าหมอน ผ้าห่ม เดินออกจากห้องไปไม่เหลียวหลังกลับ

อารมณ์แบบนี้ ปืนเองก็ไม่กล้าเหนี่ยวรั้งไว้อีกแล้ว ปอไม่เคยที่จะเสียงแข็งกับเขาเท่าครั้งนี้

      หรือว่า ถึงคราวที่เขาจะต้องเสียปอไปจริง ๆ



        ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็น

    ผ้าห่มที่ปอหอบลงไปด้วย คงไม่อุ่นอะไรหรอก แต่ที่ปืนกลัวกว่านั้น คือกลัวปอจะหายไป

    ก็ใช่....เสื้อผ้าปอยังอยู่ข้างบน ในห้องนอนของปืน และนี่ก็ดึกมากแล้ว

คิดขึ้นมาจริง ๆ ปอก็คงไปไหนไม่ได้ แต่ปืนก็ยังกลัวว่า บางทีรุ่งขึ้น เขาอาจจะไม่เห็นปอนอนอยู่บนโซฟาแบบนี้ก็ได้

      แค่คิด ปืนก็อยากจะช้อนร่างเล็ก ๆขึ้นไปนอนบนบ้านซะด้วยกันเลย แต่ใจไม่กล้าพอ

เขาทำร้ายน้องมาหลายครั้งหลายหน อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจเลย แต่จะให้ยอมแพ้แค่นี้น่ะ.....ไม่มีทาง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 03-06-2012 10:49:18
เย้ๆๆ คุณนูมาแล้ว
 :m4:

แต่พออ่านจบ

แย้กกกกกกกกกกกกกกก
 :a5:
ทำไมมันเป็นอิหรอบนี้
น้องปออย่าโกรธพี่ปืนเลยน้า
ที่พี่เค้าทำไปน่ะ เค้ามีเหตุผลนะลูก
(ถึงเหตุผลจะน่าบ้องหูไปหน่อยก็เหอะ  o12)
ยังไงก็ลองถามใจตัวเองดีๆนะ
ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป
แล้วจะต้องเสียใจตลอดชีวิตนะทั้งสองคน

คนอ่านมันจะช้ำใจตายแล้วพ่อคุณเอ้ย
 :o7:

 :กอด1: คุณนูด้วยความคิดถึง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 03-06-2012 11:39:11
อ๊ากกกกกกกก
อะไรอีกล่ะเนี่ยคู่นี้
ไหนบอกเป็นนิยายรัก
ยังไม่มีความหวาน
เลยสักหยด :impress3:
อ่านแต่ละตอนมีแต่ชีช้ำ
ไม่ไหวไม่ไหวไม่ไหว
ได้โปรดขอความหวาน
สักนี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
มาเติมใจหน่อย :กอด1:

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 03-06-2012 12:41:54
กินมาม่าเยอะไปแล้วน่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 03-06-2012 12:49:50
ปืนไม่ยอมแพ้ก็ดีแล้ว ง้อเข้าไปเยอะๆ เด๋วปอก็ใจอ่อนน่า
ยังไงก็รักกันอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 03-06-2012 13:26:50
ผมจะให้โอกาสไอ้พี่ปืน กับ ไอ้คุณน้องปอ อีกครั้งเดียว ปรับความเข้าใจกันซะ  :m16:
ทำร้ายคนดูมาเกินพอแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้อีก ผมจะกัดลิ้นตัวเองตาย  :o12:
เฮ๊อออออ อะไรจะอินขนาดนี้นะเรา

คุณนูคร๊าบ ถ้าเขียนทำร้ายจิตใจกันอีก ผมจะให้พี่นิวข่มขืน 5 วันติด แล้วขังไม่ให้ออกไปไหนเลย คอยดู  :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 03-06-2012 13:36:14



^

^

^

ด้วยความยินดีครับคุณ cksong2008   :o8:

choijiin  >>   :กอด1:   จะมีใครตามมาเตะผมมั้ยเนี่ย

CarToonMiZa  >>   นิยายรักจริง ๆ ครับ ให้ตายเหอะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีผีโผล่มาซักตัวไง

numay  >>  ผมก็ว่างั้นแหละ  :m15:

$VAN$  >>  ฮื่อ...ปอมีพี่เลี้ยงดีครับ   o13


  :L1:   


ที่จริงนี่ก็มาถึงท้าย ๆ เรื่องแล้วนะครับ  หลังจากนี้ อาจจะมีการโพสท์ล่าช้าไปบ้าง

เนื่องจากเรื่องเดิมที่เขียนไว้ ตอนท้ายมันยืด ๆ เพราะมีอีกคู่นึงมาแจม 

ที่ต้องแจมเข้าไปเพราะว่า ตัวละครหลักของอีกเรื่องนึงของผมอยากจะมามีบทบาทในเรื่องนี้บ้าง (กลัวถูกลืม) 

แต่ว่า ต่อให้ตัดคู่นั้นออกไป เนื้อหาก็ไม่เสียครับ

ก็แค่กระชับเนื้อหาบางตอนเข้ามาด้วยการตัดบทของตัวประกอบ (หล่อ ๆ) ออกไป

คนที่เคยได้ไฟล์นิยายเรื่องนี้ไปแล้ว อ่านที่นี่แล้วอาจจะงง ๆ นิดหน่อย ก็เลยขออธิบายให้เข้าใจซะก่อนเท่านั้นเองครับ




   





 ปืนขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ

แดดยามสายลอดบานกระจกฝ้าเข้ามาทางทิศตะวันออก  แสงจ้าทำเอาปืนต้องหรี่ตา เพราะสู้แสงไม่ไหว

เมื่อคืนกว่าจะหลับตาลงได้ เวลาก็ล่วงไปเกือบย่ำรุ่ง

เขานั่งมอง...จะเรียกว่านั่งเฝ้าก็ได้....ร่างเล็ก ๆที่นอนขดบนโซฟา....

ได้แต่มอง ไม่กล้าแตะต้อง กลัวปอจะตื่น....

ตื่นขึ้นมาไม่พอใจอะไรพี่ปืนเดี๋ยวก็จะหนีไปอีก....

แต่กระนั้นปืนก็ต้องผวา เพราะบนโซฟาไม่มีร่างเล็ก ๆขดตัวอยู่แล้ว ทั้งหมอน ทั้งผ้าห่มหายไปหมดเลย

      “ปอ...”

      เงียบ...ปืนส่งเสียงเรียกออกไป ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ร่างสูงผลุนผลุนลุกขึ้นทันที หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง

ที่แรกที่จะไปดูต้องเป็นบนบ้าน เพราะในครัวยังคงมืดสลัว ประตูก็ยังปิดอยู่ ปอคงไม่ได้เข้าไปทำอะไรในนั้นหรอก

      ปืนกระโจนสองสามทีมาถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา....

หมอนใบที่ปอนอนหนุนเมื่อคืนวางอยู่ที่เดิมของมันเช่นเดียวกับผ้าห่ม เสื้อผ้ายังอยู่

เสื้อกล้ามสีตุ่น ๆ กับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเมื่อคืน อยู่ในตะกร้าผ้าเตรียมซัก


      ปืนเดินออกจากห้องตัวเองไปที่ห้องข้าง ๆ ไม่มีใครอยู่ในนั้น

เครื่องนอนยังมีผ้าคลุมไว้เหมือนเดิม ไม่มีร่องรอยว่าใครจะเข้ามาใช้

      คิ้วเข้มเริ่มขมวดมุ่นด้วยความกังวล

....ปอไปอยู่ไหน...ปืนเดินหมุนไปหมุนมา อย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ

หัวหมุนติ้ว จนคิดอะไรไม่ออก พอหมุนตัวอีกทีเพื่อที่จะย้อนกลับมาห้องของตัวเอง เพราะรู้สึกหวิวจนใจสั่น ก็ไม่ทันแล้ว

พื้นบ้านมันโคลงจนทรงตัวไม่อยู่ เอื้อมมือจะคว้าประตูที่เห็นอยู่ใกล้ ๆ ก็พลาดเป้า

แล้วต่อจากนั้น ทุกอย่างก็มืดดับไปหมด....เขาไม่รู้สึกตัวอีกเลย


      ปืนรู้สึกเย็น ๆ ชื้น ๆ ที่หน้า ใครบางคนกำลังวุ่นวายอยู่กับหน้าตา และเนื้อตัวของเขาอย่างเบามือ

สัมผัสอ่อนโยนแบบนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก....

      “ปอ”

      เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองคอแห้งผากก็ตอนที่เปล่งเสียงออกไป แล้วแสบคอ มิหนำซ้ำเสียงที่สะท้อนมาเข้าหูตัวเอง ก็แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

      “ไปไหนมา”

      “อย่าเพิ่งพูดอะไรนะครับ พี่ปืนเป็นยังไงมั่ง ปวดหัวมั้ยครับ”

      ปืนส่ายหน้า แล้วก็รีบหลับตาปี๋ เพราะรู้สึกตาลาย ห้องก็โคลงไปโคลงมา เพดานเอียงวูบราวกับจะหล่นทับ

      “บ้านหมุนอ่ะ”

      “พี่ปืนเป็นไข้นะครับ เดี๋ยวผมจะเอายาให้กิน แต่ตอนนี้พี่ปืนต้องกินข้าวต้มก่อนนะ ท้องว่างอยู่กินยาเลยไม่ดี”

      “หิวน้ำ”

      ปอวางผ้าขนหนูเปียกลงในอ่างน้ำใบย่อม หยิบแก้วน้ำยื่นให้จิบ

  “ทีละนิดครับ”

   ปืนค่อย ๆ จิบน้ำจนรู้สึกชุ่มคอขึ้น ก็เอนตัวลงนอน พลางถอนหายใจหนัก ๆ เพราะแทบไม่มี

เรี่ยวแรงเอาซะเลย

   “พี่ปืนรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”

   ปอบอกแล้วก้าวเร็ว ๆ ออกจากห้อง

       “ปอ”

       “เดี๋ยวผมมานะครับ จะไปเอาข้าวกับยามาให้”

       ปอตอบมา พร้อมกับที่ร่างเล็ก ๆ เดินตัวปลิวลงบันไดไปแล้ว

ปืนจำได้แต่ว่า เขากำลังเดินหมุนไปหมุนมา ตามหาว่าปอไปอยู่ที่ไหน

แล้วก็วูบไปไม่รู้สึกตัวอีก ความจริงอาการหวิว ๆ พื้นโคลงเคลงมันก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ก้าวขึ้นบันไดแล้วล่ะ

แต่คิดว่าตัวเองงัวเงียเพิ่งจะตื่นนอน ก็เลยไม่ได้สนใจ บวกกับอาการร้อนใจว่าปอหายไปไหนมีมากกว่า

ก็เลยไม่ใส่ใจอาการมึนหัวในเวลานั้น

      ปอกลับขึ้นมาพร้อมกับข้าวต้มหมูร้อน ๆ ควันฉุย ได้กลิ่นก็น่าอร่อย

แต่ปืนก็กินเข้าไปได้ไม่กี่คำ ทั้งที่อยากจะกินให้หมดชามอย่างที่ปอคะยั้นคะยอ

      “ผมอุตส่าห์ป้อนอ่ะ กินก็ไม่หมด”

      “ไม่ไหวอ่ะ เดี๋ยวที่กินเข้าไปแล้วมันจะออกมาหมด”

      “งั้นกินยานะครับ มีไข้นิดหน่อย เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้อีกที”

      ปอลุกขึ้นไปเปลี่ยนน้ำเพื่อมาทำความสะอาดให้ใหม่ ปืนมองตามหลังคนตัวเล็ก ๆ

ที่ไม่ว่าจะโกรธ จะน้อยใจ ยังไงก็ใส่ใจพี่ปืนคนนี้เสมอ

เขาคิดไปได้ยังไงว่าปอจะทิ้งเขาไปเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ถึงขนาดต้องไปนอนเฝ้า

      “พี่ตื่นขึ้นมาหาปอไม่เจอ เลยเดินหาทั่วบ้านเลย”

      “ทำไมต้องหา ผมก็อยู่แถว ๆนี้แหละครับ ไม่ได้ไปไหน”

      “ก็พี่อยากให้แน่ใจว่า ปอยังอยู่”

      “ผมก็เดินเล่น นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านไงครับ เช้า ๆอากาศสดชื่นจะตาย อยู่หอไม่เคยจะได้ทำแบบนี้”

      “ก็พี่ไม่เห็นหนิ ประตูบ้านก็ไม่เปิดซักบาน จะรู้ได้ไงว่าปอเดินเล่นอยู่ข้างนอก”

      “หาอะไรไม่เคยจะเจอหรอก”

      โดนปอบ่นใส่ซะอีก...ก็ถูก....คราวก่อนที่ปืนเที่ยววิ่งตามหาปอเกือบทั่วเมือง

แล้วก็มาเจอปอนอนซุกอยู่ในห้องที่อพารท์เมนท์นั่นเอง ก็เพราะหาอะไรไม่เคยเจออย่างปอว่า

ถ้าไม่สติแตก แล้วเดินหาละแวกใกล้ ๆ ซะก่อน ก็ไม่ต้องหัวหมุน หน้ามืดแบบนี้

      “นอนได้แล้วครับ”

      ปอสวมเสื้อ ติดกระดุมให้ปืน คลี่ผ้าห่มมาคลุมให้อย่างเรียบร้อย ถืออ่างใส่น้ำไปเทลงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำแล้ว

ยังไม่วายหันมาสั่งต่อ

      “นอนให้หลับนะครับ ผมจะขึ้นมาดูไข้เรื่อย ๆ ถ้าตัวร้อนผมจะเช็ดตัวให้อีก”

      “ไม่อยู่เป็นเพื่อนพี่เหรอ”

      ปอหัวเราะร่วน

      “จะให้ผมมานั่งเฝ้าทำอะไรล่ะครับ พี่ปืนก็นอนไปสิ”

      “อย่าไปไหนนะ”

      “ครับ ก็บอกแล้วไงว่าผมจะขึ้นมาวัดไข้เรื่อย ๆ งอแงเป็นเด็กไปได้”

      ปืนหลับ ๆ ตื่น ๆไปนานเท่าไรไม่รู้ แต่ระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็พอจะรู้ว่า มีใครมาเช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้

บางทีก็จับพลิกตัวไปมา อยู่นั่นแล้ว น่ารำคาญ แต่อาการง่วงงุน หัวหมุนมีมากกว่า จนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไร

      เช้าวันใหม่ของปืนดูสว่างสดใส รู้สึกตัวเองว่ามีกำลังวังชามากขึ้น แขนขาไม่เปลี้ย บ้านไม่หมุนแล้ว

แต่อาการเพลียยังตกค้างอยู่นิดหน่อย ก็เลยอยากลองขยับตัวลุกออกจากเตียงบ้าง

      พื้นยังโคลง แต่ปืนก็ค่อย ๆลากเท้าพาตัวเองไปที่หน้าต่างช้า ๆ

มองลงไปที่สนามหญ้า เห็นคนที่เจนตา ใบหน้าที่เจนใจ

แม้แต่ในห้วงที่หลับใหล เขาก็ยังเห็นใบหน้านี้ลอยเด่นอยู่ในความฝัน

ปืนตระหนักว่า ตลอดระยะเวลาที่เขานอนไม่รู้สติอยู่ตรงนี้ ปอไม่เคยห่างหายไปไหน

ชั่วชีวิตที่ผ่านมาจนเลยวัยเบญจเพสเข้านี่แล้ว ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกว่าชีวิตถูกเติมเต็มได้เท่าเวลานี้

เกือบสามปีที่เขามีปอวนเวียนอยู่ในชีวิต ลมหายใจของเขามีแค่ปอเท่านั้น จะเป็นยังไงหนอ...ถ้า....

ถ้าวันหนึ่ง ปอไม่อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้วตลอดกาล หลายเดือนที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ได้ดีว่า

ร่างกายที่มีลมหายใจ แต่หัวใจว่างเปล่า มันอ้างว้างขนาดไหน

      ถูกล่ะ....ป๊ากับแม่ไว้วางใจในตัวเขาให้ดูแลลูกชายอันเป็นที่รัก ปืนก็จะดูแลให้

แต่ในแบบอย่างของเขาเองนะ เขาได้เรียนรู้รสชาติความเจ็บปวดมาพอแล้ว

ตัวเองเจ็บปวดยังไม่หนำ ยังทำให้ปอต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

      ปอคิดว่าพี่ปืนไม่รัก ไม่ต้องการ แต่จากนี้ไป พี่ปืนจะพิสูจน์ให้ปอเห็นว่า พี่ปืนคนนี้รักปอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ทุกการกระทำในอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่เรารู้จักกัน ปอก็ได้ประจักษ์แล้วว่า พี่ปืนรักและห่วงใยปอแค่ไหน


....วันนั้น เราต่างคนต่างแสดงออกต่อกันในฐานะหนึ่ง

วันที่ความรู้สึกของปอเปลี่ยน พี่ปืนอาจจะยังไม่กล้ายอมรับ

แต่วันนี้ พี่ปืนจะเริ่มต้นใหม่...

ความรัก ความห่วงใยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พี่ปืนจะเผยให้ปอได้เห็นมันทั้งหมด
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 03-06-2012 14:57:35
 :ped149:
เชียร์ปืน
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 03-06-2012 15:28:37
...เข้ามาแซว และกดบวกให้จ้า
...ขยันเนอะ มีรอบเช้ารอบบ่ายด้วยยยยย
...พี่นิว มัวแต่ดูแลคุณย่าอยู่หรือไงนี่ (หรือว่ากลับภูเก็ตไปแล้วหว่า)เลยปล่อยให้น้องนู...ว่างงง

ปล.ถ้ามีข่าวคราว ของสองหนุ่มเจ้าของเรื่อง น้องปอกับที่รัก ช่วยขึ้นที่ชื่อเรื่องด้วยนะ จะเข้ามาอ่าน ขอบคุณล่วงหน้าจ้าาาาา :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 03-06-2012 19:04:28
รอบนี้พอทน
เริ่มจะเป็นนิยาย
รักขึ้นมาหน่อย555+
เค้าแซวเล่นนะจ๊ะ
ไม่ว่ากันเน้อ :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 03-06-2012 19:44:12
จะรอดูว่าพี่ปืนจะแสดงความรักได้ขนาดไหน

+ ให้กับความยาวและความขยันของคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 03-06-2012 20:27:49


choijiin  >>   :กอด1:   จะมีใครตามมาเตะผมมั้ยเนี่ย


อันนี้ไม่มีค่า โสดทั้งตัวของแท้แน่นอนค่า
เพราะงั้นตามสบายเลยค่า
 :o8:
(แต่คนอ่านนี่สิจะโดนต่อยเหมือนพี่ปืนมั้ยเนี่ย?  o21)

ตอนนี้อ่านจบแล้วเริ่มเห็นแสงทองรำไรแล้ว
พี่ปืนของเราตาสว่างซะที
ต่อไปก็รับบทหนักและ
ที่จะต้องพิสูจน์ให้น้องปอเห็น
ว่าตลอดมาพี่ปืนทั้งรัก ทั้งห่วงปอมากขนาดไหน
 :monkeysad:

ว่าแต่ว่าคุณนู(เสียงอ้อนวอนสุดชีวิต)
อยากอ่านแบบที่ไม่ตัดบ้างอ่ะค่า
อยากอ่านคู่คนหน้าตาดีๆแถวนี้
ที่ชอบมาแย่งซีนและคะแนนนิยมจากคนอ่านบ่อยๆ
ยังไงไว้คุยกันหลังไมค์ได้มั้ยคะ? *ทำตาปิ๊งๆ
 :impress:

แจกบวกแจกเป็ดไปโลดค่า
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 03-06-2012 20:36:33
ลุยเลยปืน !!

 :interest:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 03-06-2012 23:10:10

^
ด้วยความยินดีครับคุณ cksong2008   :o8:


เฮ้ออออ เข้าทางคุณนูซะงั้น  :เฮ้อ: สงสัยเรื่องต่อไปต้องเป็น นู&นิว แน่ๆเลย

สำหรับตอนล่าสุด ยังไงก็พอให้อภัยได้ครับ เจ้าปอกับไอ้พี่ปืนเริ่มทำให้ผู้อ่านยิ้มมุมปากได้บ้างแล้ว  :impress2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 03-06-2012 23:58:43
พี่ปืนลุยเลย :m11:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: mamaNUT ที่ 04-06-2012 00:29:16
ให้ความจริงใจและความชื่นชมไปก่อน สำหรับคนแต่ง  เอ้าเฮ ๆๆๆๆๆ

<img src="http://3.bp.blogspot.com/_EyBnPii7U5M/SYzd_yrRvcI/AAAAAAAAAo4/oKzqFfhpccg/s320/rose+peach.jpg" />
.
.
.
“อมพะนำ เล่นซ่อนหากันไปมาซ้าาาา คนอ่านตามลุ้นอย่างแรง คอยท่าว่าเมื่อไหร่ สองคนพี่น้อง( นอกไส้ ) จะลงเอยกัน  ”

มะ มา ตามติดขอบสนาม(จอ..)กันต่อไปว่า ไอ้พี่ปืนจะงัดมาตรการชนิดไหนมาพิชิตใจ( แข็งๆ )ของน้องปอ 
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 3/6/2555 รอบบ่าย
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-06-2012 10:33:57
รีบๆมาต่อนะ :z2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 12:38:36




 :a5:   ทำไมมีแต่คนเชียร์ปืน








ใบหน้าใสที่ก้ม ๆเงย ๆอยู่กับกระถางต้นไม้ข้างล่าง เงยขึ้นมองมาเหมือนจะรู้ว่าปืนกำลังจับจ้องอยู่

และพอเห็นว่าปืนโบกมือให้ ก็รีบทิ้งเสียมอันเล็กในมือลง แล้วออกวิ่งตรงเข้าบ้าน เดี๋ยวเดียวก็มายืนกระหืดกระหอบอยู่ต่อหน้า

      “ลุกขึ้นมาทำไมครับพี่ปืน”

      “ก็เมื่อย อยากขยับตัวมั่งอ่ะ”

      ปืนเอนพิงผนังริมหน้าต่าง ขาเริ่มสั่นเพราะยืนนานเกินไป

      “กลับมานั่งนี่สิครับ เดี๋ยวผมตักโจ๊กร้อน ๆให้กิน ผมทำไว้แต่เช้า อุ่นแป๊บเดียวก็กินได้แล้ว”

      “เดินไม่ไหวอ่ะ”

      ปอส่ายหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปโอบประคองกลับมาที่เตียง

      “ตอนจะลุกน่ะไหวนะครับ ทีงี้ล่ะมาทำ......”

(เว้นถ้อยคำที่ฟ้องพฤติกรรมของปืนตอนนี้ไว้หน่อย เดี๋ยวปอจะไม่น่ารัก

....แต่พฤติกรรมนั้นผมเรียกว่า “สำออย” อิอิ : NOO)     

      “ก็ตะกี๊มันไหวหนิ ยืนนาน ๆมันก็เลยเหนื่อยไง”

      “พี่ปืนตื่นนานแล้วเหรอครับ”

      “ซักพักละ”

      “แล้วทำไมไม่เรียกผม”

      “ยังกะเรียกแล้วจะได้ยิน”

      “ดีนะที่ไม่ล้มฟาดลงไปบนพื้น เพิ่งฟื้นไข้ใครเค้าให้ลุกจากเตียง...หือ....”

      “ทำไมต้องเอ็ดด้วยเล่า ก็แค่ลุกออกไปยืนที่หน้าต่างเองนะ”

      “ก็ใช่ครับ คราวนี้น่ะลุกออกไปยืนที่หน้าต่าง แล้วรู้มั้ยว่าระหว่างที่พี่ปืนนอนจับไข้ไม่รู้สึกตัวน่ะ ทำอะไรไว้มั่ง

ผมกับพี่นูสองคนยังเอาไม่อยู่ กว่าจะลากมาขึ้นเตียงได้แทบตาย”

      ....เขาทำอะไรเหรอ.....

      “ไม่ต้องมาทำหน้างง ผมรู้ว่าพี่ปืนไม่รู้สึกตัวหรอก พี่ปืนเพ้อ ละเมอ วุ่นวายไปหมด”

      “พี่เนี่ยนะ....ไม่เห็นจะจำได้เลย”

      “ดีแล้วที่จำไม่ได้น่ะ”

      อ้าว....ดีแล้วทำไมปอต้องหน้าแดงด้วยล่ะ ปืนชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นชัด  ๆว่าเขาตาไม่ฝาด

และปอก็ไม่ได้จับไข้ซะเอง

      “เอาหน้าออกไปนะ”

      ปอกางมือเต็มหน้า แล้วผลักจนปืนหงายลงไปกับเตียง

      “อุ๊ย!...ผมขอโทษครับพี่ปืน”

      “ผลักพี่ทำไมล่ะ ก็แค่อยากรู้ว่าหน้าแดงทำไม”

      “แดงที่ไหน....พี่ปืนนี่...นั่งรอดี ๆ ล่ะ แล้วอย่าลุกไปเดินเพ่นพ่านที่ไหนอีก ผมจะไปตักโจ๊กมาให้”

      “อ้าว...แล้วไม่เล่าเหรอว่าพี่ไปทำอะไรตอนไม่รู้สึกตัวน่ะ”

      “จะรู้ไปทำไมเล่า...”

      ปืนอยากรู้ เพราะเห็นอาการของปอแล้วมันผิดสังเกตอยู่ ก็จำไม่ได้จริง ๆน่ะแหละว่าเขาทำอะไรลงไป

แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอก ไม่งั้นปอก็คงไม่อยู่ให้เห็นหน้าอย่างนี้

      ...คิดได้เท่านี้ก็อดที่ยิ้มออกมาไม่ได้...

      อะไร ๆ มันคงค่อยดีขึ้นบ้างแล้วสิ ปอก็ยังดูดำดูดีเขาอยู่

คงไม่ยากถ้าเขาจะทำให้ปอใจอ่อนแล้วย้ายข้าวของกลับมาอยู่อย่างถาวร


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 12:43:48




      ....ที่ไหนได้...

      นึกว่าใจอ่อนแล้วเชียว ปอนี่ใจแข็งเกินกว่าที่ปืนคาดไว้ซะอีก

แค่ปืนโงหัวลุกจากเตียงได้ไม่ทันจะไปทำงานไหวเลย ปอก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับหอแล้ว

      “ไหนบอกจะมาดูแลพี่ตลอดปิดเทอมไง”

      สัญญาไม่เป็นสัญญา

      “นั่นมันก่อนที่พี่ปืนจะป่วยนี่ครับ”

      “แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะ”

      “ไม่รู้ล่ะ พี่ปืนหายดีแล้ว ก็อยู่คนเดียวได้แล้วนี่ครับ”

      “ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้ ปอมาหาพี่วันนั้น แล้วก็บอกว่าปิดเทอม จะมาดูแลพี่ จะทำกับข้าวให้พี่กินไง”

      “อ้อ...นี่ยังคิดจะเอาผมไปหมกไว้ในครัวอีกเหรอครับ”

      “ไม่ใช่ ก็....หมกไว้บนเตียงด้วยก็ได้”

      ปืนรีบปฏิเสธคำกล่าวหาแบบพาล ๆ ของปอ แต่ประโยคท้ายแผ่วลงหน่อย

      “อะไรนะ...”

      ปืนส่ายหน้าดิก

      “พี่ปืนพูดอะไรตะกี้น่ะ อีกทีซิ”

      “ไม่มี...อย่าไปเลยนะปอ อยู่กับพี่ก่อนไม่ได้เหรอ”

       ปืนส่งสายวิงวอนมาให้ แต่ปอกลับไม่รับสาส์นเอาซะเลย

ร่างสูงเดินไปใกล้ คว้ากระเป๋าในมือปอมาวางไว้ก่อน การที่ปอยอมปล่อยมือแต่โดยดี

มันทำให้เกิดความหวังขึ้นมาพอให้มีกำลังใจขึ้นบ้าง

      “ผมไม่ค้างนะครับ แต่จะมาดูตอนกลางวันก็แล้วกัน”

      “ตอนกลางวันพี่ไปทำงาน อยู่บ้านที่ไหนล่ะ”

      “โอเคครับ งั้นผมค่อยมาตอนเย็น มาทำกับข้าวให้ พอใจรึยังครับ”

   ปืนถอนใจเฮือก ไม่รู้จะงัดไม้ไหนมาขอร้องกันแล้ว บทจะดื้อ ก็ดื้อไม่รู้เรื่องเลยนะปอ

   “พี่ไม่ได้แค่อยากจะให้ปออยู่ในครัว เรื่องกิน พี่หากินเองได้” 

   “ก็ดีแล้วครับ งั้นว่าง ๆ ผมจะแวะมาดูบ้านให้แล้วกัน ตกลงนะครับ”

    มือเล็ก ๆคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองกลับมาไว้ในมือ แล้วเอ่ยชวน

   “ไปกันได้รึยังครับ รึว่าถ้าพี่ปืนไม่ว่าง ผมหารถกลับเองก็ได้”

     ท้ายที่สุดปอก็ยังยืนยันคำเดิม แล้วหมุนตัวเดินจากไปช้า ๆ....ทิ้งให้ปืนยืนไหล่ห่อคอตก

หมดปัญญาจะหาข้ออ้างใด ๆ ที่จะยึดปอไว้กับตัวเอง สองขาเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง

ร่างสูงทรุดตัวลงทั้งยืนอยู่เบื้องหลังคนที่กำลังเดินออกไป

โดยที่ไม่รู้ตัวว่าได้พาเอาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาไปแล้ว

      If  you leave me now, you take away the biggest part of me.

      “พี่ต้องทำยังไง ปอถึงจะยอมอยู่กับพี่”

      “อย่าคิดมากสิครับพี่ปืน ผมก็แค่กลับไปอยู่ในที่ ๆ ผมควรอยู่”

      ปืนได้ยินเสียงตอบกลับ แต่นัยน์ตาพร่าจนมองเห็นแค่หลังไหล่เลือน ๆที่เดินไปที่ประตูบ้าน

กำลังก้มตัวหยิบรองเท้ามาสวม โดยไม่หันมามองเลยสักนิด

      “วันไหนที่ผมว่าง รึว่าพี่ปืนอยากให้มาก็โทรบอกผม ผมก็มาได้ทุกวันแหละครับ

แต่ต้องเป็นช่วงปิดเทอมนะ เพราะถ้าเปิดทะ....”

      “พี่ปืน...”

      ปอกำลังนั่งที่ธรณีประตู เพื่อจะผูกเชือกรองเท้า แต่พอหันมาจะส่งยิ้มปลอบใจพี่ปืน

กลับพบกับใครคนหนึ่ง ก้มหน้าค้อมตัวอยู่ตรงที่พี่ปืนยืนอยู่เมื่อกี้ ใครคนนั้นดูราวกับคนสิ้นหวัง

และพร้อมที่จะยอมแพ้ให้แก่โชคชะตา หรืออะไรทั้งหลายที่ทำให้เขาเจ็บปวด ไหล่ไหวจนสะเทือนไปทั้งตัว

      “พี่ปืนครับ”

   ..............

      มีเพียงเสียงสะอึกหนัก ๆ เพราะผลจากการกลั้นก้อนสะอื้น ไม่ให้ตัวเองปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา

      ปวดใจสิ้นดี....เมื่อต้องเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกอดเพื่อปลอบประโลมคนตัวโต ๆ ไม่ให้ร้องไห้เนี่ย

      “อย่าร้องไห้เพราะผมเลยครับ....พี่ปืนปล่อยให้เวลามันเนิ่นนานจนเกินไป

ผมพยายามมานานเหลือเกินที่หยุดรักพี่ปืนให้ได้ มันยากนะครับรู้มั้ย

ผมไม่อยากสูญเปล่าในวันนี้ เพื่อจะรับความเจ็บปวดในวันหน้าอีก”

      ปอโอบกอดพี่ปืนไว้ทั้งตัว รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่ซึมจนเปียกชุ่มที่อกเสื้อ

ปอรู้ว่าพี่ปืนเสียใจมากแค่ไหน ซึ่งความจริงก็ไม่ต่างจากปอนักหรอก

เพียงแต่วันนี้ปอตั้งหลักได้แล้ว ปอจะเป็นฝ่ายหยุดก่อน

ปอไม่อยากก้าวเดินเคียงข้างพี่ปืนไปพร้อมกับความไม่มั่นใจว่า

วันหนึ่งวันใดพี่ปืนจะทำซ้ำแบบที่ผ่านมาอีก ซึ่งไม่แน่ว่า ถ้ามีวันนั้น

แม้แต่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องก็อาจจะไม่หลงเหลือแล้ว

      “อยู่กับพี่เถอะ พี่รักปอ”

      “ผมก็รักพี่ปืนเหมือนกันนะครับ แต่ผมกำลังเปลี่ยนตัวเองให้รักพี่ปืนแบบที่ผมควรจะรัก”

      “ไม่....ไม่ต้องเปลี่ยน....รักพี่เถอะปอ”

       พี่ปืนเงยหน้าขึ้นมองปอทั้งน้ำตา ตาคมที่เคยวาววามด้วยแววหวาน ตอนนี้แดงช้ำ

และเศร้าสร้อยจนปอสะท้อนใจ น่าแปลกที่ปอไม่ได้ร้องไห้…

แต่อย่าพูดถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจตอนนี้นะ....ปอคิดว่า

ต่อให้เอามีดมากรีดเนื้อเดี๋ยวนี้ ปอก็คงไม่รู้สึกอะไรเลย

เพราะมันคงไม่ได้ซักกระผีกของความเจ็บปวดที่มันเต้นตุ้บ ๆ อยูในหัวใจ

      “พี่สัญญาจะไม่ทำให้ปอต้องร้องไห้อีก พี่จะรักปอ ดูแลปอ

เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปชั่วชีวิต...นะปอ”

      แรงกอดรัดที่แน่นขึ้น เหมือนกับจะไม่ให้มีอะไรมาแยกจากกันได้

อ้อมแขนแข็งแรงของพี่ปืนอบอุ่นเสมอ และคงไม่มีอะไรจะอุ่นได้เท่านี้อีกแล้ว....

แต่มันจะเป็นของปอตลอดไปงั้นหรือ

      “ก็แค่วันนี้แหละครับที่พี่ปืนจะพูดแบบนี้ได้ แต่ใครจะรับประกันวันหน้าได้ล่ะครับว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

....อย่าทำให้ผมมีความหวังแบบลม ๆ แล้ง ๆ อีกเลยนะครับ ขอให้ผมได้รักพี่ปืนอย่างเต็มหัวใจ

อย่างที่ผมควรจะรักเถอะ ผมไม่อยากทุกข์ทรมานแบบเดิมอีกแล้ว”

      “แล้วพี่จะทนได้ยังไงล่ะปอ”

      “พี่ปืนของผมเข้มแข็งอยู่แล้ว อีกหน่อยพอพี่ปืนทำใจได้ พี่ปืนก็คงจะนั่งหัวเราะน้ำตาเล็ดไปเท่านั้นเอง”

   ก็เหมือนกับที่พี่ปืนเคยคิดได้มาแล้วนั่นแหละครับ

   “ผมไปนะครับ”

    พี่ปืนสงบนิ่งไปได้สักพักแล้ว ปอถึงลุกขึ้น เพื่อจะทำตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง

   “ส่วนเรื่องที่พี่ปืนจะย้ายสาขา ผมขอร้องอะไรอย่างนึงได้มั้ยครับ”

    พี่ปืนมองปอด้วยดวงตาบวมช้ำ แล้วพยักหน้า ก่อนจะเมินมองไปทางอื่น

    “ยกเลิกได้มั้ยครับ”

    “มันเป็นคำสั่ง เพราะที่นี่ไม่มีอัตราตำแหน่งใหม่ที่พี่สอบได้”

    “จำเป็นด้วยเหรอครับ ที่พี่ปืนจะต้องย้ายไปไกลขนาดนั้น”

    “ก็แล้วแต่ความเหมาะสม”

    พี่ปืนนั่งก้มหน้า จับมุมเสื้อม้วนไปม้วนมา อย่างเลื่อนลอย นั่นยิ่งทำให้ปอรู้สึกแย่ไปกว่าเก่า

ที่คิดว่าพี่ปืนเป็นคนสมัครใจที่จะย้าย แต่ที่ไหนได้ พี่ปืนโดนคำสั่งต่างหาก

    “แล้วทางโน้นน่ะ....เป็นไงมั่งครับ”

     “ก็ดี พี่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้อีก”

    “ไม่ใช่....ผมหมายถึง....สถานการณ์ทางโน้น พี่ปืนไม่ใช่คนในพื้นที่ จะลำบากนะครับ

มันอยู่ติดชายแดน จะอันตรายรึป่าว”

    “ก็ไม่หนิ ใคร ๆ เค้าก็อยู่กันได้”

    “นั่นน่ะ เค้าอยู่กันมานาน จนรู้แล้วว่าที่ไหน เมื่อไหร่ที่มันอันตราย แล้วพี่ปืนเพิ่งไปอยู่จะทำยังไง

จะมีใครคอยส่งสัญญาณเตือนมั้ยว่า ต้องทำยังไงถึงจะปลอดภัย”

     พื่ปืนรามือจากชายเสื้อ แล้วเงยหน้าขึ้นมองปอ เพื่อจะตอบคำถามอย่างจริงจัง

    “พี่ไม่เห็นว่ามันจะไม่ปลอดภัยตรงไหน จะว่าไปแล้ว ขับรถเช้าไปเย็นกลับก็ยังได้

แต่พี่ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่นั่นอีกนานเท่าไหร่ เพราะปอเองก็ไม่ให้ความหวังอะไรกับพี่

พี่ก็เลยจะขายบ้าน แล้วไปหาที่อยู่ใหม่ที่โน่นแต่พี่ก็คิดนะ ว่าถ้าปอกลับมาอยู่กับพี่เหมือนเดิม

พี่จะยอมเหนื่อยขับรถไปกลับทุกวัน พี่จะไม่ปล่อยให้ปออยู่บ้านคนเดียวเด็ดขาด”

    “จะบ้าเหรอพี่ปืน ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ จะขับรถไปกลับทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย ไหนจะเปลืองน้ำมัน

ต่อให้ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมก็ไม่ยอมให้พี่ปืนทำแบบนั้นหรอก”

    “จ๊ะเอ๋....ทำอะไรกันอยู่”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 12:53:25



เสียงขัดจังหวะการโต้เถียงดังขึ้นที่หน้าประตู แขกประจำที่ส่งเสียงทักทายหน้าตาสดใส
 
เดินเข้ามาวางถุงอาหารสองสามอย่างไว้บนโต๊ะ

    “เฮ้อ....ร้อนอ่ะ”

    “มายังไงอ่ะนู นิวล่ะ”

    “หวัดดีครับพี่นู”

    “หวัดดีครับปอ ผมเอามอไซมาครับพี่ปืน พี่นิวไม่ได้มาด้วย วันนี้เค้ามีประชุมพิเศษกับมือขวามือซ้าย”

มือขวา มือซ้าย หมายถึงลูกน้องมือดีที่ไว้ใจได้ของพี่นิว

       “คุยอะไรกัน เครียดเชียว....เอ้อ...ผมซื้อเป็ดย่างมาครับ วันนี้ขอกินข้าวเที่ยงด้วยคนนะ”

       “ได้สิครับ เดี๋ยวผมไปเทใส่จานให้นะ แต่ว่าผมคงจะอยู่กินด้วยไม่ได้”

       “อ้าว....แล้วกัน ทำไมอ่ะ”

        พี่นูถามทำหน้าเสียดาย
       
    “คือผม....”

        “ให้เค้าไปเถอะนู คนที่เค้าไม่อยากอยู่ รั้งเค้าเอาไว้ก็ป่วยการ”

        พี่ปืนพูดแทรก สายตาที่มองปอมีแต่แววตัดพ้อต่อว่า

        “ไม่ใช่ผมไม่อยากอยู่นะครับ แต่พี่ปืนน่าจะรู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่อยู่”

       “ปอจะลืมเรื่องที่ผ่าน ๆ มาซะไม่ได้เหรอ พี่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่แล้ว แต่ปอไม่ให้โอกาสพี่เลย”

       “มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะผมจะถอยหลังกลับหรอกครับ อีกอย่าง พี่ปืนก็กำลังจะมีอนาคตที่ดี

ส่วนผมก็ยังต้องเรียนอีกตั้งสองปี จะมามัวเสียเวลากับผมทำไม ยังมีอะไรดี ๆรอพี่ปืนอยู่ข้างหน้าอีกเยอะ

ผมขอแค่พี่ปืนไม่ย้ายไปที่นั่นได้มั้ย หรือไม่ก็ ไปอยู่ซักระยะแล้วค่อยทำเรื่องขอย้ายไปที่อื่น

ที่มันไม่อันตรายแบบนั้น...ได้มั้ยครับ”

      “พี่ก็ไม่เห็นว่ามันจะอันตรายมากมายจนปอจะต้องกลัวขนาดนั้นเลยนะ

ใคร ๆ เค้าก็อยู่กันได้ เพื่อนพี่ที่เค้าเคยไปอยู่ ตอนนี้เค้าก็ยังทำงานได้ อยู่ดีมีสุข

ไม่เห็นจะมีใครตกอยู่ในอันตรายขนาดต้องย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นเลยนี่”

       บรรยากาศเศร้าซึมของพี่ปืนเริ่มเจือจาง เปลี่ยนมาเป็นการโต้เถียงแทน

พี่นูนั่งอยู่ระหว่างคนสองคนที่ยิงคำพูดใส่กันไปมา แล้วมองหน้าปอที มองหน้าพี่ปืนที

ก่อนจะถามขึ้นเสียงอ่อย ๆ

      “เอ้อ....คุยเรื่องพี่ปืนย้ายสาขากันอยู่เหรอครับ”

      “ใช่ครับ...พี่นูดูพี่ปืนสิครับ เค้าไม่เคยรับรู้เลยว่าใครจะเป็นห่วงเค้าแค่ไหน

ผมเข้าใจ...ว่ามันเป็นคำสั่ง แต่พี่นูก็ทำงานที่เดียวกัน พี่นูก็ต้องรู้สิว่า ไปแล้วก็ขอย้ายกลับมาได้ ใช่มั้ยครับ”

      “อืม...ก็ใช่”

      “เค้าไม่คิดหรอกว่า พ่อแม่จะเป็นยังไงที่เค้าจะไปอยู่ในที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้น ไหนจะตากับยายอีก”

  “ปอ...เอ้อ....พี่ว่า....”

   พี่นูพยายามจะพูดบ้าง แต่ปอยังพูดไม่จบ ดูเหมือนเครื่องจะร้อนแล้ว

  “ทำไมครับ แค่เลื่อนตำแหน่งนี่ ถึงกับต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงโดยไม่คิดถึงคนข้างหลังเลยเหรอ

ผมว่าถ้าก้าวหน้าแต่ต้องเข้าไปเสี่ยงชีวิตขนาดนั้น พี่ปืนดักดานอยู่กับที่จะดีกว่ามั้ย

ไม่งั้นก็ลาออกมาหาอย่างอื่นทำยังดีซะกว่า”

      “ปอพูดเรื่องอะไรน่ะ แค่พี่ย้ายสาขาไปที่ XXX มันจะเสี่ยงกับชีวิตพี่ตรงไหน

ปอไปรู้อะไรมาผิด ๆรึป่าว สถานการณ์ไม่สงบน่ะ มันมีแต่เขตจังหวัด YYY เท่านั้นนะ

มันไม่ลุกลามมาถึงที่นี่หรอก ไม่ดูข่าวมั่งรึไง”

      “นั่นน่ะสิ”

      พี่นูพูดสนับสนุน แต่ปอตอนนี้งงกับสิ่งที่เพิ่งออกจากปากพี่ปืนอย่างมาก

ก็ไอ้ที่ปอเข้าใจไปต่าง ๆนานา จากคำบอกเล่าของพี่นูเมื่อวันก่อน มันกลายเป็นคนละเรื่องน่ะสิ

เพราะไอ้สาขา XXX มันก็แค่อำเภอติดชายแดนของจังหวัดนี้แหละ ไม่ใช่เขตจังหวัดอื่นที่ยังเป็นปัญหาสักหน่อย

      “ไหนพี่นูบอกว่าพี่ปืนจะย้ายไปสาขาชายแดนไง”

      ปอหันมาหาตัวต้นเหตุของข่าวที่ทำให้ตัวเองสับสน

      “ก็สาขาที่ XXX มันก็ติดชายแดนนะ”

       พี่นูแก้ตัวไปได้น้ำขุ่น ๆ ปอรู้หรอก และชักจะรู้ทันพี่นูแล้วว่า พี่เลี้ยงที่เคยช่วยปอวางแผนเรื่องพี่ปืน

ตอนนี้หันไปเข้ากับพี่ปืน แล้ววางแผนตลบหลังปอ

      “แต่พี่นูพูดให้ผมเข้าใจว่า พี่ปืนจะย้ายไปแถวจังหวัด YYY พี่นูยังบอกเลยว่า

ที่นั่นมันมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ยังขู่ผมด้วยว่า พี่ปืนมีโอกาสก้าวหน้าแน่ ถ้าไม่ถูกยิงซะก่อนน่ะ”

      “เฮ้ย....แช่งกันเลยเหรอนู”

      ถึงคราวพี่ปืนโวยวายออกมาบ้าง

      “แช่งที่ไหนเล่า ผมก็แค่พูดถึงสถานการณ์ที่ใคร ๆ ก็รู้...”

      “แล้วก็ปล่อยให้ผมเอาสองเรื่องมาปะติดปะต่อกันเอง โดยไม่แก้ความเข้าใจผิดซักคำ งั้นเหรอครับพี่นู”

       ปอหันไปหาเป้าหมายใหม่ ที่เป็นต้นเหตุของความเข้าใจผิดทั้งหมด ทำให้ปอกินไม่ได้นอนไม่หลับ

คิดไม่ตก ตลอดคืน จนสุดท้ายต้องหิ้วกระเป๋ามาบ้านนี้อีกครั้ง     

      “ก็...แล้วไงอ่ะ ปอจะได้รู้ตัวเองไงว่าที่จริงก็ห่วงพี่ปืนมากใช่มั้ยล่ะ บอกเค้าไปสิ ปอรู้สึกยังไง

พี่ปืนก็เหมือนกัน ผมทำให้ขนาดนี้แล้ว ถ้าพี่ปืนไม่มีปัญญายึดปอไว้อีกล่ะก็ ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วนะ”

      “เดี๋ยวนี้พี่นูไม่เข้าข้างผมแล้วใช่มั้ยล่ะ ไหนบอกว่าเข้าใจผมไง ทำไมถึงหลอกให้ผมมาที่นี่”

      “พี่หลอกปอตรงไหน ลองคิดดูดี ๆนะ พี่แค่บอกให้ปอตัดสินใจให้ดี พี่ไม่ได้บังคับปอซักคำ”

       พี่นูพูดเสียงอ่อน ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เมื่อปอเริ่มจะต่อว่าด้วยความน้อยใจจริง ๆ   
   
       “แต่พี่นูก็ใช้ความเข้าใจผิดของผม บีบผมทางอ้อมอ่ะ”

       “รับก็ได้ว่าพี่ผิดที่ปล่อยให้ปอเข้าใจผิดไปเอง แต่มันก็ดีไม่ใช่เหรอ

ที่ปอจะได้รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ เวลาน่ะนะ มันผ่านไปแล้วมันไม่ย้อนกลับมาให้เราแก้ไขอะไรได้อีกหรอก

แล้วชีวิตเรามันก็ไม่ได้ยืนยาวนักหนา มีอะไรดี ๆผ่านมาแล้วปล่อยให้มันผ่านไปน่ะ ไม่นึกเสียดายมั่งเหรอ

มีใครอีกตั้งเยอะแยะที่อยากมีใครซักคนให้รัก แต่เค้าก็ไม่มี แล้วเราล่ะ

ได้เจอคน ๆนั้นแล้วยังไม่คิดจะไขว่คว้าให้ได้มา มันไม่โง่ไปหน่อยเหรอ”

      ทั้งบ้านมีแต่ความเงียบ...พี่นูกับเสียงหายใจหนัก ๆ เพราะเหนื่อยจากการพูดจนหมดไส้หมดพุงแล้ว

ได้แต่นั่งกลอกตาไปทางปอที ทางพี่ปืนที....พี่ปืนยังนั่งอยู่ที่เดิม แต่ใบหน้าคลายความเศร้าลงบ้าง

คงมีแต่ดวงตาที่ยังเห็นรอยช้ำจากการร้องไห้ ฉายแววแห่งความหวังมาที่ปอ ไม่มีคำพูด

แต่คำถามที่ผ่านออกมาทางสายตา ทำให้ปอต้องคิดหนัก

      “ไปดีกว่า...คุยกันดี ๆ อีกซักครั้งนะปอ พี่ว่าคนบางคนน่าจะได้รับบทเรียนจากสำนึกดีเกินเหตุของตัวเองมั่งแล้ว”

      พี่นูเดินออกจากบ้านไปโดยที่ไม่มีใครทัดทาน

เพราะต่างฝ่ายต่างก็ต้องการเวลาที่จะพูดคุยอย่างเปิดอกตามลำพัง

พี่ปืนคงไม่อยากให้ตัวเองดูอ่อนแอในสายตาของเพื่อนรุ่นน้อง

ส่วนปอก็กำลังชั่งใจตัวเอง...อีกครั้ง

      “พี่นูเค้าพูดเรื่องอะไรเหรอครับ สำนึกดีอะไรนั่นน่ะ”

      “ไม่รู้สิ”

      “ตกลงว่าพี่ปืนจะไม่คุยกันดี ๆใช่มั้ยครับ”

      “ปอ....”

      “ก็ว่ามาสิครับ ถ้านั่นเป็นปัญหาของเรา ผมก็อยากฟัง”

      “มันเป็นปัญหาของพี่เอง ไม่เกี่ยวกับปอหรอก”

      “ถ้าให้ผมเดา ผมว่าปัญหานี้ทำให้พี่ปืนลังเลเรื่องของเราตลอดมาใช่มั้ยครับ”

      พี่ปืนพยักหน้าด้วย สีหน้าสำนึกผิด อย่างไม่ปิดบัง

      “พี่ไม่อยากทำให้ป๊ากับแม่ของปอต้องเสียใจ”

       คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่ปอได้ยิน นั่นมันควรจะเป็นปัญหาของปอไม่ใช่เหรอ

       “เค้าจะเสียใจเรื่องอะไรล่ะครับ”

       “ปอก็รู้.....ป๊ากับแม่อ่ะเค้าไว้ใจพี่แค่ไหน อุตส่าห์ปล่อยให้ลูกมาอยู่ทางนี้

ก็หวังจะให้พี่ดูแล แล้วถ้าพี่....พี่ทำเหมือนสมภารกินไก่วัด เค้าจะผิดหวังแค่ไหน

ปอเป็นลูกคนเดียวนะ พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกมีอนาคตที่ดี ต่อไปก็จะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง

แล้วปอก็ต้องไปเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ ให้คนในครอบครัว

ถ้าพี่เห็นแก่ตัว เก็บปอไว้เป็นของพี่คนเดียว อนาคตของปอจะเป็นยังไง....

พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ทำลายทั้งอนาคตของปอ ทำร้ายความรู้สึกของป๊ากับแม่ด้วย

...พี่จะมีหน้าไปพบท่านยังไง”

      “เนี่ยเหรอ ปัญหาของพี่ปืน”

      “อย่ามาพูดเหมือนกับมันเป็นเรื่องเล็ก ๆนะ”

      “ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่เราก็จัดการได้นี่ครับ ทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยรายงานป๊ากับแม่หนิว่า

เราอยู่กันยังไง เป็นยังไงกันมั่ง แล้วต่อให้การอยู่ร่วมกันของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น

ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าเราจะต้องบอก รึพี่ปืนอยากจะไปสู่ขอผมกับป๊ากับแม่ล่ะ”

      ปอพูดจบก็ค้อนวงใหญ่ ใบหน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด

      “ทำได้ก็ดีสิ”

      “เอ๊ะ...พี่ปืนนี่ พูดเป็นเล่นไปได้ ผมจริงจังนะ”

      “พี่จริงจังซะยิ่งกว่าปออีก ถ้าพี่ไปสู่ขอปอกับที่บ้านได้จริง ๆ

เราคงไม่ต้องประดักประเดิดกันอยู่แบบนี้เป็นนานสองนานหรอก”

      “เพราะอย่างนี้เหรอครับ ผมถึงต้องแยกออกไปอยู่หอพัก”

      “นั่นน่ะเหรอ....ก็ไม่เชิงหรอก”

      พี่ปืนอุบอิบ ไม่ขยายความคำปฏิเสธนั้น เหมือนไม่ค่อยเต็มใจจะพูดถึง

แล้วถ้าไม่พูด ปอจะรู้ได้ยังไงว่า มันสมเหตุสมผลตรงไหน

ระหว่างเรื่องที่พี่ปืนกลัวทางบ้านปอจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป กับการไล่ปอออกไปอยู่ที่อื่น

      “แปลว่าพี่ปืนไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่บ้านผมเหรอครับ”

      “ก็ทำนองนั้น”

      “พี่ปืนช่วยพูดอะไรให้ผมเข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้มั้ยครับ บางทีผมอาจจะทำใจได้มากกว่านี้

ถ้าได้รู้เหตุผลที่แท้จริงของพี่ปืน”

      “แต่พี่ว่าตอนนี้ปอเข้าใจพี่แล้ว ปอก็น่าจะกลับมาอยู่กับพี่ได้แล้วจริงมั้ย”

       ฟังเค้าซิ....รวบรัดตัดความเอาง่าย ๆ แบบนี้อ่ะนะ

      “ผมเข้าใจว่าพี่ปืนไม่อยากกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาป๊ากับแม่....ถูกมั้ยครับ”

       พี่ปืนพยักหน้า พอใจที่ปอเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย เพราะบางเรื่องมันก็ยากที่เอ่ยปากออกไป

       “แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันเลยกับเรื่องที่ผมถูกพี่ปืนเตะส่งไปอยู่นอกบ้าน”

       “ไม่ได้เตะ”

       “อย่ามาเฉไฉ”

       “พี่ว่าปอย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันเหอะ แล้วปอก็จะรู้ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากอยู่ใกล้ ๆ ปอ”

       “ไม่ดีกว่าครับ จนกว่าพี่ปืนจะบอกว่าเพราะอะไร”

       พี่ปืนเกาท้ายทอย ทำสีหน้าว่ายุ่งยากใจไม่ใช่น้อย อาการนั่งกระบิดกระบวน กระสับกระส่าย

ไม่ทำให้ปอเห็นใจสักนิด แต่ดูจะกลายเป็นพิรุธมากกว่า

      “เอ้อ...พี่...พูดไม่ถูกอ่ะ”

      “ก็พูดอย่างที่พี่ปืนคิดนั่นแหละครับ”

       พี่ปืนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ทำยังกับทหารกำลังจะออกศึก ถึงได้เรียกขวัญและกำลังใจขนาดนั้น

      “ปอว่า....คนที่เค้ารักกัน....เค้า....เป็นยังไงกันมั่งล่ะ”

       ปอเลิกคิ้วกับคำถามที่กว้างราวมหาสมุทรของพี่ปืน

      “ก็คนที่เค้ารักกัน เค้าก็อยากจะแสดงออกถึงความรักใช่มั้ยล่ะ”

      “ครับ แล้วไงเหรอ”

      “พี่....ก็....ก็เหมือนกัน”

       ปอพยักหน้าหงึกหงัก งั้นปอก็เข้าใจแล้วว่า....ทำไม
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 13:01:52
   
   
  ปืนได้แต่กลัดกลุ้มกับท่าทีของปออย่างไม่รู้วิธีที่จะจัดการตัวเองยังไงให้หายกลุ้มได้

เพราะดูว่าปอไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรด้วย ความจริงการที่ปอหิ้วกระเป๋ากลับมาอยู่บ้านอย่างถาวร

(ด้วยการคืนหอพัก) น่าจะทำให้ปืนมีความสุขอย่างที่ต้องการ

 แต่มันก็ยังไม่ใช่อย่างที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น....นี่เขาโลภมากไปหรือเปล่านะ


      เสื้อผ้า อาหาร บ้านช่อง ปอดูแลได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งช่วงปิดเทอมแบบนี้ ปอยิ่งมีเวลาว่างมาก

บางครั้งก็โทรหาแม่ปืนบ้าง โทรหาแม่ตัวเองบ้าง ถามหาสูตรของว่าง อาหารหวานคาว

ที่ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก มาลองหัดทำ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงรสชาติจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ปอก็ดูตั้งใจทำ

แต่ปืนว่ามันก็ยังขาด ๆ

      เขารู้ว่าอะไรที่มันขาด แต่เขาเรียกร้องไม่ได้

      “ปอ พี่ว่า เราย้ายมานอนห้องเดียวกันดีกว่า”

      “ทำไมเหรอครับ”

      “ก็...”

      จะบอกว่านอนคนเดียวมันเหงา ปอก็จะหัวเราะเยาะเอา ไม่ใช่ว่าปืนจะทิฐิไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองหรอก

แต่เขากลัวว่าปอคงไม่ตามใจกับเหตุผลที่เห็นแก่ตัวของเขาแน่ ๆ เขาก็เลยเลือกเหตุผลที่คนมัธยัสถ์อย่างปอต้องเข้าใจ

และพร้อมจะทำตาม

      “มันเปลืองไฟ เปลืองแอร์อ่ะ ห้องพี่ เตียงก็ออกจะกว้าง นอนสองคนได้สบาย ๆ เลย”

      ปอพยักหน้ารับ แต่ผลที่ได้ไม่ยักใช่ที่ปืนต้องการ....พอตกกลางคืน ปอปิดแอร์นอนซะงั้น

พอปืนถามปอก็ตอบกวนโทโสอย่างร้าย

      “ไม่ร้อนรึไง นอนปิดแอร์น่ะ”

      “ร้อนสิครับ”

      “อ้าว...”

      “ก็พี่ปืนบอกว่าเปลืองไฟ เปลืองแอร์ ผมก็ปิดจะได้ไม่เปลือง ทำไมเหรอครับ ผมทำอะไรผิดเหรอ”

      คำตอบของปอตรงไปตรงมา จนปืนนึกด่าตัวเองในใจว่า....ไม่ควรเลย...

แต่ก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า    ผ่านไปสักสองสามคืน ปอทนร้อนไม่ได้ก็คงย้ายมาเองน่ะแหละ

แต่ที่ไหนได้ สองสามวันหลังจากนั้น ฝนดันตกซะฟ้าฉ่ำไปหมด เลยนอนสบายไม่ต้องง้อแอร์....

แม้แต่ฟ้ายังไม่เป็นใจกับปืนเลยให้ตาย

      แล้วปืนก็เป็นคนที่ทนไม่ไหวซะเอง

      “ปอ”

      เขาเคาะประตูห้องเบา ๆ ปอก็มาเปิดให้ท่าทางเหมือนจะยังไม่นอน ทั้งที่ดึกมากแล้ว

      “มีอะไรครับพี่ปืน”

      “พี่นอนด้วยนะ”

      ปอมองสัมภาระที่ปืนหอบใส่อ้อมแขนมาด้วยแล้วตอบหน้าตาเฉย   
   
      “เข้ามาสิครับ”

      ปืนงง เดินไปวางหมอนบนเตียงอย่างไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไร หมอนปอยังไม่มีรอยบุ๋มแปลว่าปอคงยังไม่นอนจริง ๆ ด้วย

แล้วเจ้าตัวก็เดินไปนั่งที่เบาะรองนั่งบนพื้นห้อง ปืนถึงได้เห็นว่ามีหนังสือกางไว้บนโต๊ะเตี้ย

      “อ่านอะไรน่ะ”

      “ตำราอาหารครับ”

      “ดึกแล้ว ไม่ง่วงเหรอ มานอนกันเหอะ”

      ที่ปืนชวนให้นอน ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เขากลัวว่า พอเขาหลับ ปออาจจะไม่ยอมขึ้นมานอนบนเตียงก็ได้

แล้วก็คงจะมีข้ออ้างว่าเตียงมันแคบ....ก็ทำไงได้อ่ะ ปืนก็รู้ว่านอนสองคนคงจะอึดอัด

แต่ปอไม่ยอมไปนอนห้องเขาหนิ เขาก็เลยเป็นฝ่ายหอบหมอนผ้าห่มมาซะเอง

      แต่ปอก็ทำให้ประหลาดใจอีกครั้ง ด้วยการปิดหนังสือ เดินไปปิดไฟกลางห้อง แล้วมานอนอีกด้าน

โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

      “ปอ”

      “ครับ”
      “ร้อนอ่ะ”

      “ร้อนก็กลับไปนอนที่ห้องโน้นสิครับ”

      แทนที่ปอจะบอกให้เปิดแอร์ กลับไล่ให้เขากลับไปนอนห้องตัวเอง.....   ได้เลย....ปืนเดินออกไปจากห้อง

เปิดประตูห้องปอทิ้งไว้ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องตัวเองอีกที ก่อนจะเดินย้อนกลับมาห้องปออีกครั้ง

เจ้าตัวดียังนอนหันหลังให้ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ปืนเดินไปข้างเตียงช้อนปอขึ้นทั้งตัว พาเดินไปห้องของตัวเองซะเลย

      “พี่ปืน....ทำอะไรน่ะ ปล่อยผมลงนะ”

      ปอดิ้นขลุกขลัก แต่ปืนก็ยังรัดตัวไว้แน่น

      “ก็มันร้อนไง ไปห้องพี่ดีกว่า ไม่ร้อน เตียงก็กว้างกว่า”

      “ผมนอนได้ พี่ปืนทนร้อนไม่ได้ก็นอนไปคนเดียวสิ”

      ถึงเตียงใหญ่ปืนก็ค่อยวางปอลง ยืนเท้าสะเอวถอนหายใจแล้วพูดปนอาการหอบ

      “ไม่เอาอ่ะ พี่อยากนอนกับปอ”

      “ก็บอกกันดี ๆสิครับ ทำไมต้องทำยังกะลักพาตัวด้วยเล่า”

      ปอพูดไปค้อนไป แล้วหันไปตบหมอนให้ฟู คว้าหมอนข้างมากอดแล้วล้มตัวลงนอน

      “แค่นี้ใช่มั้ยครับ ที่พี่ปืนต้องการ”

      ปืนทำหน้าอึ้ง ๆ มองปอตาไม่กระพริบ เขาคิดว่าปอจะโกรธ อุตส่าห์เตรียมตั้งรับเต็มที่เลยเชียว

แต่ปอกลับไม่ว่าอะไรสักคำ อาการนิ่ง ๆ แต่รับได้ทุกสภาพของปอทำให้ปืนทำตัวไม่ถูก

บอกตัวเองไม่ได้ว่า นี่จะถือเป็นลางดีของเขาหรือเปล่า ที่ปอดูจะโอนอ่อนผ่อนตามไปซะทุกเรื่อง

      “จะยืนเหม่ออีกนานมั้ยครับ ไปปิดประตูได้แล้ว ผมจะนอน”

       แสงสลัวในห้องมืดลงอีกครั้ง เมื่อปืนเดินไปปิดประตู แล้วกลับมาล้มตัวลงหนุนหมอน

แต่ก็ยังไม่วายหันไปมองคนที่นอนหันหลังให้ ในความแปลกใจระคนไม่เข้าใจ แต่ปืนก็บอกตัวเองว่า

เขามีความสุขแล้วที่มีปอมานอนข้าง ๆ กัน

      ....และเห็นปอเป็นสิ่งแรกเมื่อลืมตาตื่นยามเช้า....
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 04-06-2012 13:04:01
อยากรู้ว่า(ไอ้)พี่ปืนจะทำไงต่อไป ^ ^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 13:07:27
     


     คืนต่อมา และต่อ ๆมา ปืนไม่ต้องไปอุ้มปอมานอนที่ห้องอีกแล้ว

ถึงเวลานอน ปืนก็จะเห็นปออยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว บางครั้งปอจะอ่านหนังสือฆ่าเวลาก่อนนอนบ้าง

และพอปืนจะนอน ปอก็เก็บหนังสือไว้ข้าง ๆ แล้วก็นอนพร้อมกัน

แต่บางครั้งถ้าปืนเข้าห้องดึกมาก ปอก็จะนอนก่อน

      ดูเหมือนว่าชีวิตเขาจะมีความสุขมากกว่าที่ผ่านมา เขาหลับสนิทได้ตลอดคืน

และยิ้มรับเช้าวันใหม่ โดยมีปอเคียงข้าง....แต่....


      ทำไมมันยังรู้สึกว่างโหวงก็ไม่รู้


      คืนนื้ปืนหวังว่าตัวเองจะคิดออกว่า อะไรที่มันหายไป อะไรที่ทำให้ภายในตัวเขา

เหมือนกับมีพื้นที่ว่างคล้ายหลุมดำที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม อะไรที่ทำให้เขาหายใจยังไงก็ไม่เคยเต็มปอด

      ปอเข้านอนแล้ว ร่างเล็ก ๆ นอนหันหลังให้เขาอย่างเคย แต่ปืนไม่เห็นแปลก

เพราะไม่ว่าจะยังไง ทุกเช้าปอก็จะอยู่ในอ้อมกอดของเขาอยู่ดี แต่คืนนี้เขาอยากหลับทั้งที่มีปออยู่ในอ้อมกอด

    ร่างกายตอบสนองความคิดทันทีด้วยการขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้วรั้งร่างเล็ก ๆ นั้นให้เข้ามาในอ้อมแขน

ไม่มีอาการขัดขืนใด ๆ เมื่อปืนสอดแขนเข้าใต้ร่างบาง แล้วให้ปอนอนหนุนไหล่เขาแทนหมอน

ปอแค่ขยับตัวยุกยิกให้นอนในท่าที่ถนัดเท่านั้น....ปืนนอนยิ้มกริ่มอย่างสุขสมอยู่ในความมืด

      กลิ่นตัวผสมกลิ่นสบู่ที่รวยรินมาเข้าจมูก ขับดันอารมณ์บางอย่างของปืนให้กระชับร่างที่อยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม

มือข้างที่ยังว่างเริ่มลูบไล้ ไต่แตะไปมาตามแขนที่เปล่าเปลือย เนื้อนุ่มลมุนมือกระตุ้นอารมณ์หวาม

จนต้องก้มลงสูดกลิ่นหอมจากตัวปอ แต่ยิ่งดอมดม ก็ยิ่งอยากจะได้มากกว่านั้น

ปืนจรดปลายจมูกลงบนแก้มใสแผ่วเบา จากแก้มไปขมับ หน้าผาก แตะไปจนทั่วหน้าก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ


      ตาสบกันในความมืด แววตาปอจับจ้อง ตื่นตระหนก

เมื่อนั้นปืนถึงรู้สึกได้ว่าปอตัวสั่นเป็นกระต่ายน้อยที่ตื่นกลัวภัยที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก

กลีบปากทื่ปืนจำได้ว่าเป็นสีชมพูราวกุหลาบแรกแย้ม ดูท้าทายให้ลิ้มลอง

ปืนแนบลงไปสัมผัสเพียงริมฝีปากจรดกันพอดี

      ปอสะดุ้ง ปลายนิ้วจิกลงบนแขนปืนพอรู้สึกได้

และเนื้อนุ่มใต้ฝ่ามือปืนก็เต้นระริกรับสัมผัสวาบหวามที่ปืนมอบให้ต่อจากนั้น....

ปอตอบรับริมฝีปากปืนที่กดลงไปอีกครั้ง คราวนี้แนบสนิทกว่าเดิม จุ่มลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นปอให้คุ้นเคย

และหลังจากนั้นปอก็ดูจะเป็นกันเองมากขึ้น ด้วยการส่งลิ้นมาในปากปืนเพื่อเอาคืนบ้าง

      ...เรียนรู้ได้เร็วจริงนะปอ...

ปืนกระหยิ่มใจมากขึ้น มากพอที่จะสัมผัสไปทั่วร่างกายของคนตัวเล็กกว่า

มือใหญ่ลากไปตลอดแนวสันหลัง สัมผัสได้ว่านุ่มเนียนราวกับแพรเนื้อดี

ปอตัวสั่นสะท้านจนต้องผวาโอบกอดปืนไว้ทั้งตัว

      ช่างเป็นราตรีที่สุดแสนหฤหรรษ์เสียนี่กระไร ปืนมอบความหวานผ่านท่วงทำนองแห่งความพิศวาส

ผนึกด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก แด่ปอเป็นครั้งแรก....

ครั้งแรกที่โดยธรรมชาติแล้ว ความหวานลมุนจะตามมาหลังจากริ้วรอยของความเจ็บปวดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

      “พี่จะพยายามให้ปอเจ็บน้อยที่สุดนะครับคนดี”

       ดวงหน้าใสพยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมกับกัดริมฝีปากเพื่อสะกัดกั้นความเจ็บที่อย่างไรเสียก็หนีไม่พ้น

แต่ปอก็รู้สึกได้ในที่สุดว่า ที่สุดปลายสายรุ้งสาดแสงเจิดจ้าราวกับประกายของดอกไม้ไฟหลากสี

มีน้ำผึ้งอุ่นที่หอมหวานรออยู่ให้ลองลิ้มชิมรสอย่างไม่รู้เบื่อ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 04-06-2012 13:09:49



      ปืนคาดว่าเช้านี้เขาต้องสดใสกว่าเดิม

  เพราะเขาได้คำตอบแล้วว่า สิ่งที่รู้สึกขาด ต้องเติมเต็มด้วยอะไรเขาถึงจะไม่รู้สึกว่ามีหลุมดำอยู่ภายในอีกต่อไป

      แต่ปืนยังไม่เข้าใจปออยู่ดี ปฏิกิริยาของปอหลังจากประสบการณ์ครั้งแรก ไม่เป็นไปดังที่คิด

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปอตื่นแต่เช้าอย่างเคย เพื่อที่จะเตรียมอาหารเช้าไว้รอเขา

แต่ดวงตาที่ไร้แววแห่งความสุข อย่างคนที่ผ่านอารมณ์รักหวานลมุนอุ่นหัวใจมาด้วยกัน

มันหมายความว่าอะไร....

เขาไม่ได้ขืนใจปอใช่มั้ย เราสองคนมีความสุขร่วมกันอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีได้

....ใช่....หรือมิใช่

      แต่ปืนก็ไม่มีเวลาหาคำตอบนานนัก เขายังต้องไปทำงาน

 แต่ให้ตายเถอะ จิตใจเขาไม่ปกติเลยที่ต้องทิ้งปริศนาในแววตาของปอไว้อย่างนี้




      อาหารมื้อไหนไม่เคยทำให้ปืนอึดอัดได้เท่ามื้อนี้อีกแล้ว

ตั้งแต่กลับจากทำงาน ปืนก็ตรงดิ่งกลับบ้าน ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาก็คือ

เขาตรงเข้าหาปอก่อนอื่น แล้วบรรจงจูบแก้มนุ่ม ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

แล้วลงมากินข้าวด้วยกัน แต่รสชาติอาหารกลับกร่อยสิ้นดี ทั้งที่ทุกอย่างก็เป็นของโปรดของปืน

      เขาไม่เข้าใจว่า จากหนุ่มน้อยที่ตอบสนองเขาทุกบททุกตอนเมื่อคืนนี้ ปอกลายเป็นซอมบี้ไปได้ยังไง

      ปืนรวบช้อนส้อม เขารู้สึกตื้อไปกับอาการเขี่ยข้าวในจานเล่นของปอ มาตั้งแต่เริ่มหยิบช้อนตักข้าวนั่นแหละ

      “อิ่มแล้วเหรอครับ”

      ปอเอ่ยถาม แต่แทนคำตอบ ปืนกลับลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้ว พูดออกไปเป็นเชิงสั่ง

      “พี่ไปรอหน้าบ้านนะ”

      นั่นแปลว่า....เราต้องคุยกัน.....

      ปอเดินมาทรุดตัวลงนั่งเงียบ ๆ ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าไม่แจ่มใส ดวงตามีแววหม่น

จนปืนต้องทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง.....เขาคิดว่าเมื่อคืนนี้เป็นสิ่งวิเศษที่สุดสำหรับเรา....

แต่มันอาจจะไม่ใช่สำหรับปอก็ได้ คงมีอะไรบางอย่างที่เขามองข้ามไป

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เขารัก

      “พี่ขอโทษ ถ้าเรื่องเมื่อคืนนี้ ปอไม่เต็มใจ”

      “ผมเต็มใจ”

      “แล้วทำไม....”

      “ทำไมผมถึงไม่มีความสุขน่ะเหรอครับ”

      ปอเงยหน้าขึ้นมองปืนเต็มตา ดวงตาเศร้าสร้อยที่เห็นมาตั้งแต่เช้า ยิ่งเศร้าหนักเข้าไปอีก

ตอนที่ปอย้อนถามปืนด้วยคำถามที่เขาอยากรู้เหลือเกิน

      “พี่ปืนรู้มั้ยครับ ทำไมผมถึงกลับมา”

      “ปอเข้าใจพี่แล้วน่ะสิ รู้แล้วใช่มั้ยว่าพี่รักปอแค่ไหน”

      “ไม่ครับ ผมยังไม่เข้าใจพี่ปืนเลย ผมแค่คิดว่าผมเข้าใจต่างหาก ผมถึงกลับมา

แล้วผมก็ได้รู้ว่า ผมไม่เคยเข้าใจพี่ปืนเลย”

      “หมายความว่ายังไง พี่ไม่เข้าใจ”

      “นั่นสิครับ ระหว่างเราไม่เคยมีอะไรที่จะเข้าใจกันได้ง่าย ๆ เลยซักเรื่อง

พี่นูบอกผมว่า คืนที่พี่ปืนเมาแล้วผมก็ฝากพี่ปืนไว้กับพี่นู ก่อนจะออกไปทำรายงานกับเพื่อน

พี่ปืนเผลอทำอะไรพี่นูไปบ้าง”

      ปืนตกตะลึงจนตัวชา....ก็ไหนนูบอกว่าจะไม่บอกใคร แล้วมันก็ยังเป็นความลับอยู่ได้ตั้งหลายเดือน

      “ตอนที่พี่ปืนเป็นไข้สูงมาก ผมเฝ้าพี่ปืนอยู่ตลอดคืน พอตอนเช้าผมก็โทรบอกพี่นูให้มาช่วย

เพราะผมรู้สึกเพลียจริง ๆ พี่นูก็มา แต่ก่อนหน้านั้นพี่ปืนเริ่มเพ้อแล้วก็โวยวายใหญ่เลยว่าผมเอาแต่หนีท่าเดียว

หาว่าผมไม่รัก พี่ปืนไม่รู้ตัวหรอกครับ ว่าทำอะไรลงไป ตอนนั้นผมตกใจมาก แล้วพี่นูก็มาช่วยดึงพี่ปืนออกไป

...เราสองคนแทบแย่เลยรู้มั้ยครับ”

      ปอยิ้มเศร้าจนปืนใจหาย

      “พี่ขอโทษ....พี่ไม่รู้ตัวจริง ๆ”

      “พี่นูหลุดปากออกมาว่า พี่ปืนเป็นอย่างนี้ทุกทีเวลาไม่มีสติ ผมควรจะอยู่ดูแลใกล้ชิดมากกว่านี้

จุดประสงค์ของพี่นูก็แค่จะบอกให้ผมย้ายกลับมาอยู่บ้านนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมยังไม่ตัดสินใจ”

    …………

   “ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้ว่าทำไมพี่ปืนถึงไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย คอยแต่จะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น

แต่เมื่อหลายวันก่อน ที่เราคุยกัน ที่พี่ปืนบอกผมว่า คนรักกันก็อยากจะแสดงความรักต่อกัน ผมถึงได้เข้าใจ

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พี่ปืนทำอะไรต่าง ๆกับผมหรือพี่นู พี่ปืนก็ไม่มีสติซักครั้ง

พี่นูบอกว่าพี่ปืนเรียกชื่อผมทั้งที่ตอนนั้นพี่นูอยู่กับพี่ปืน แล้วกับผม พี่ปืนก็พร่ำพูดแต่ชื่อของผม

มันทำให้ผมรู้ว่าตลอดเวลา หัวใจของพี่ปืนคงเรียกหาแต่ผม และผมพร้อมที่จะเสี่ยงกับความเจ็บปวดอีกครั้ง”

      “เรื่องนั้นพี่เสียใจนะปอ แต่พี่จะเลิกเหล้าเด็ดขาด พี่จะไม่ทำให้ปอต้องเจ็บอีก พี่สัญญา”

      “ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับ ว่าพี่ปืนอย่าสัญญาเลย พี่ปืนรักษามันไม่ได้หรอก

ตราบใดที่พี่ปืนไม่เคยยอมรับความรู้สึกจริง ๆของตัวเองซักที”

      “พี่ก็ยอมรับแล้วไงว่าพี่รักปอ ทำไมปอไม่เชื่อพี่”

      ปอเหมือนไม่ได้ยินที่ปืนพูด

      “ผมอยากอยู่ใกล้พี่ปืนเสมอ แต่ผมก็คิดได้แค่ในส่วนของผม ทำทุกอย่างเท่าที่หัวใจผมบอกให้ทำ

แล้วพี่ปืนล่ะครับ หัวใจของพี่ปืนบอกว่าอะไร แล้วพี่ปืนทำอะไรไปแล้วบ้าง”

      “แล้ว...พี่ต้องทำอะไรอีกเหรอปอ”

      “พี่ปืนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนะครับ”

      ปอลุกขึ้นเดินมาหาปืน สายตาแน่วแน่นั้น สบตาปืนไม่วูบไหวเลยแม้แต่น้อย

      “ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ....เมื่อหลายคืนก่อนที่พี่ปืนเคาะประตูห้องผมกลางดึก

แล้วบอกว่า อยากมานอนด้วย ผมปฏิเสธพี่ปืนหรือเปล่าครับ”

      ปืนส่ายหน้า เขายังไม่เข้าใจว่าปอต้องการบอกอะไรกันแน่

      “นั่นเพราะผมเองก็อยากอยู่ใกล้พี่ปืนด้วยเหมือนกัน แต่จะให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ก็คงไม่ใช่

ผมกลัวการถูกปฏิเสธนะครับ ผมรู้ว่าความจริงพี่ปืนอยากให้ผมไปนอนด้วยตั้งแต่วันที่พี่ปืนสั่งให้ผมปิดแอร์แล้ว”

      “พี่ไม่ได้สั่งนะ ก็แค่....”

      “ครับ พี่ปืนก็แค่ทำเจ้าเล่ห์กับผมตามเคย....ทำไมครับ ยอมรับมาตรง ๆ ว่า อยากอยู่ใกล้ ๆ ผม

ชวนผมไปนอนด้วย มันเสียศักดิ์ศรีมากนักรึไง ทำไมพี่ปืนชอบทำอะไรที่มันตรงข้ามกับความต้องการของตัวเอง

เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยครับ พี่ปืนถึงให้ผมไปให้พ้นจากบ้าน เพราะคิดเอาเองว่า

การแสดงความรักกับผมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งที่พี่ปืนไม่เคยถามผมเลยซักคำว่าผมคิดอะไรอยู่”

   ……………

       “คืนที่พี่ปืนทำตัวเป็นผู้ร้าย อุ้มผมไปนอนที่ห้อง ผมก็ไม่โวยวายซักคำ ทำไมรู้มั้ยครับ”

       ปืนรู้แล้ว....อะไรที่ยังคาใจเขาอยู่ ความจริงมันไม่เคยถูกแก้ปมเลย

ปืนแค่ไม่เก็บมาคิด  เพราะคิดว่าตัวเองได้ทุกอย่างสมใจแล้วต่างหาก

ที่แท้ทั้งหมดที่เขาทำไป และคิดว่าเป็นการทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้ปอ

กลับกลายเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เขาไม่เคยถามความสมัครใจของปอ

เพราะเข้าข้างตัวเองว่า จะยังไงปอก็รักเขาแน่ ๆ

      ความจริงแล้วปอต่างหากที่รักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาเลย

ยิ่งร้ายไปกว่านั้นปอยังซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง ในแบบที่ปืนเองไม่เคยคิดจะทำ

ปอแค่ต้องการรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง แล้วเมื่อคืนนี้ ศักดิ์ศรีของปอก็ถูกเขาย่ำยีจนไม่เหลือดี

....นี่เขาทำกับปอถึงเพียงนี้ได้ยังไง

       ปืนซบหน้าลงกับฝ่ามือ ไม่กล้าสู้หน้าปอแม้แต่น้อย

  คำรักที่เขาบอกปอ มันมีความหมายไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ปอมีให้เขาเลยด้วยซ้ำ

      “ส่วนเมื่อคืนนี้ ผมพูดอย่างไม่อายว่าผมมีความสุขมาก ประสบการณ์ครั้งแรกของผมมันไม่ได้เลวร้ายเลยนะครับ

ตรงกันข้าม....มันวิเศษที่สุด จะบอกให้อีกก็ได้ว่าผมรอเวลานี้เหมือนกัน

รอให้พี่ปืนแสดงความรักต่อผมอย่างคนรักกันจะแสดงต่อกัน เหมือนที่พี่ปืนบอกไงครับ”

      “พอเถอะปอ พี่เสียใจ พี่ขอโทษ”

      ปืนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อย่างคนที่รู้ถึงความผิดของตัวเองดี   

      “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับพี่ปืน ผมยังไม่รู้สึกเสียใจซักนิดเลย

อย่างน้อยผมก็พูดได้เต็มปากว่า เมื่อคืนนี้เราแสดงความรักต่อกันจริง ๆ

....แต่สำหรับผม....ทุกอย่างจะหยุดไว้แค่เมื่อคืนนี้เท่านั้น”

      “ปอหมายความว่าไง ไม่จริงใช่มั้ย ปอไม่คิดจะทิ้งพี่ไปไหนอีกแล้วใช่มั้ย”

       ปืนโผลุกขึ้นยืน จับไหล่ปอเขย่าเหมือนคนบ้า เขารับไม่ไหวอีกแล้ว ความรู้สึกเดี๋ยวรัก เดี๋ยวเลิก

เขาพร้อมจะทำทุกอย่างให้ปออยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เขาขาดปอไมได้อีกแล้ว

      “ไม่หรอกครับ ผมก็ยังอยู่บ้านนี้ตราบเท่าที่พี่ปืนไม่คิดจะไล่ผมออกไปไหนอีก”

       เหมือนยกก้อนหินก้อนใหญ่ ๆออกจากหัวผุ ๆ ปืนโล่งใจเสียจนต้องตะครุบปอเข้ามาไว้ในอ้อมอก

พูดพร่ำอะไรต่าง ๆ นานา ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาที่บอกว่าจะทำให้ได้ ขอเพียงให้ปออย่าไปไหนอีกเลย



      “แต่พี่ปืนคงต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่”



      ปอถอยออกจากอ้อมกอดที่คลายออกด้วยความงุนงงสงสัย

ปืนไม่รู้แล้วว่าปอจะมาไม้ไหน แต่ไม่ว่าไม้ไหน เขาก็ยินดีจะทำทุกอย่าง เพื่อไถ่โทษจากความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

ที่ทำให้ปอต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้สมค่าความรักที่ปอมีให้เขา

      “พี่ปืนต้องทำให้ผมรักพี่ปืนให้ได้”

      ปืนอ้าปากค้าง กับข้อเสนอที่ไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าที่ยืนอยู่ต่อหน้า ก็แล้วตอนนี้เขาไม่ได้ถูกรักหรอกหรือ
 
      “ปอไม่รักพี่แล้วเหรอ”

      เสียงที่เปล่งออกมาแหบโหยซะจนฟังแทบไม่ได้ยิน

      “นั่นสิครับ....ถ้าพี่ปืนอยากได้ยินคำนั้นจากผม พี่ปืนก็ต้องเริ่มซะตั้งแต่เดี๋ยวนี้”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 04-06-2012 13:21:13
บทจะหวานก็มาดื้อๆแบบนี้เนาะ!!   :o8:

ไม่ได้เชียร์(ไอ้)พี่ปืน แต่เชียร์น้องปอค่ะ 55

หวังว่าเช้ามาพายุจะไม่เข้านะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 04-06-2012 13:34:29
มายกมือเชียร์กับเค้าด้วย
แต่ไม่ใช่เชียร์พี่ปืนนะ
เชียร์คุณนูดีกว่า อุกรี๊ดดดดดด
 :o8:

ตอนนี้แอบสงสารพี่ปืนนิดๆ
แต่อย่างว่านะพี่ปืน
เรียนผูกต้องรู้จักแก้นะจ้ะ
 o18

วันนี้คุณนูมาตอนกลางวันเหมือนเมื่อวานเลย
 :กอด1:
นอนพักผ่อนอยู่บ้านใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 04-06-2012 13:39:06
นี่แน่ะสม  :z6: ไอพี่ปืน

น้องปอ จัดไปเยอะๆ เลยค่ะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 04-06-2012 19:28:13
เชียร์คุนนูดีกว่า
น่ารักกว่าตั้งเยอะ :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 04-06-2012 21:20:05
หนุ่มน้อยวัย 19.....พี่ปืนเอ้ยยยยย กินเด็กชัดๆ ฮ่าๆๆๆ  :m20: ว่าแต่ปืนอายุเท่าไหร่หว่า ผมจำไม่ได้แล้ว น่าจะอายุเท่าผมน๊า  :z2:
แต่ก็สนับสนุน ถ้าใจรัก อายุก็เป็นแค่เพียงตัวเอง อิอิ อย่าได้แคร์ครับพี่ปืนของผม(ของปอนี่หว่า)
สู้ๆ ปืนเป็นไอดอลผมไปซะแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 04-06-2012 22:10:23
แล้วจะทำไงให้ปอรักล่ะพี่ปืน อิอ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 04-06-2012 22:40:49
พี่ปืนสู้ๆ  :z2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 04-06-2012 23:44:04
เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สู้ๆนะปืน
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nongnote ที่ 05-06-2012 10:02:27
อะไรอ่ะ...ค้างงงงงงงงง...อ่านมาจนทันละก็ค้าง :m31:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 05-06-2012 13:59:16
โดนเข้าแล้วสิปืน
น้องปอใจแข็งแฮะ
รักนี้ต้องพิสูจน์เนอะ

หวังว่าตอนต่อๆไปจะหวานนนน~ ชิมิคุณนู o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 4/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 05-06-2012 14:13:07
ปืนสู้ๆ ทำให้ปอกลับมารักเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 06-06-2012 00:25:03




 :z3:

ยังไม่มีอำนาจบันดาล + ให้ใครได้

ตอนนี้ก็แจกเป็ดกันไปพลาง ๆ่ก่อนนะครับ

ทีแรกที่บอกไว้ว่า จะตัดตัวประกอบคู่นึงออกไป

พอเอาเข้าจริงมันไม่ง่ายอย่างงั้นเลยครับ

ถ้าตัดไปผมก็ต้องเรียบเรียงเรื่องช่วงท้ายใหม่หมด

ที่เีขียนไว้แล้วก็ใช่ว่าจะดี ตัดออกเลยจะยิ่งแย่ แถมจะอ่านไม่รู้เรื่องเอาด้วย

เอาเป็นว่าไม่ตัดครับ

ถ้าเผื่อตอนที่จะลงต่อไปนี้ ตัวประกอบจะกลายเป็นตัวเอก

ผมก็คงต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย  :mc4:

ิมิได้มีเจตนาจะแย่งซีนปอเลยจริง ๆ ให้ตาย   :L1:












 เป็นวันสำหรับการพักผ่อนอย่างจริง ๆ ของพี่นิว โดยมีพี่นูคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา

พอพี่นิวหลับพี่นูถึงจะปลีกตัวไปเล่นน้ำคนเดียว บางทีปอนึกสนุกก็กระโจนลงไปเล่นเป็นเพื่อนด้วย

แต่ด้วยความที่น้ำตื้นแค่ตาตุ่ม ตรงที่ลึกหน่อยก็แค่หน้าอก (ตอนนั่งแช่) จะกระโดดลงไปก็ต้องระวังให้ลงไปพอดีกับพื้นทราย

ไม่งั้นเจอหินก้อนกลม ๆ ก็อาจจะเจ็บตัวได้เหมือนกัน

      คนที่ดูน่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็นพี่ปืน เพราะปอเองก็แทบจะไม่เข้าใกล้ เลยต้องนั่งอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่

จิบเบียร์อย่างเหงา ๆนั่งมองฟ้า มองน้ำ แล้วก็มองปอเล่นน้ำ ใบหน้าพี่ปืนดูหมอง ๆ ขอบตาคล้ำ แววตาหม่น

เหมือนคนอดนอน

      ที่ปอไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้ว่ายิ่งใกล้ก็ยิ่งทำให้พี่ปืนรู้สึกแย่และบังคับตัวเองไม่ค่อยได้

ปอรู้ว่าพี่ปืนแอบมองเวลาพี่นูเอาใจพี่นิว แล้วก็คงจะนึกอยากให้ปอทำอย่างนั้นบ้าง แต่ปอไม่กล้าหรอก

อายพี่นูที่ชอบส่งสายตามาเชียร์ปอบ่อย ๆ เผลอ ๆ ก็ยังแอบล้ออีกต่างหาก

ส่วนพี่นิวมักจะเก็บอาการไว้ไม่เคยล้อปอเลย แถมยังส่งยิ้มให้กำลังใจเป็นบางทีอีกด้วย

      คืนที่สองเป็นคืนสุดท้ายที่จะพักกันที่นี่ ก็เลยตกลงว่าจะทำอาหารปิ้งย่างกลางแจ้งตรงลานซีเมนต์ริมตลิ่ง

มีเตาขนาดกลางวางอยู่ที่ระเบียงก็ย้ายออกมาวางกลางลาน ของปิ้งย่างง่าย ๆ หาได้ในท้องถิ่นแถวนั้น

เพราะไม่มีตู้เย็นที่จะเก็บอาหารสดได้ มีก็แค่ถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ให้ร้านค้าในหมู่บ้านมาส่งเพื่อจะแช่เบียร์

กับอาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความเย็นในการเก็บรักษา แต่ด้วยบรรยากาศทำให้อาหารง่าย ๆ อร่อยขึ้นเป็นทวีคูณ


      รอบ ๆ ตัวมืดสนิท มีเพียงเสียงจักจั่นอย่างเคย จะเป็นตัวเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมันร้องกันระงมเหมือนเมื่อคืนเปี๊ยบ

สายน้ำในลำธารดังแผ่ว ๆ อยู่ข้างล่าง แต่คืนนี้มีเงาสะท้อนจากคบไฟที่พี่นิวสร้างบรรยากาศ

ด้วยการเอาไปปักไว้ที่ริมตลิ่งเป็นแถวเป็นแนว ส่วนตรงลานที่นั่งกันอยู่ ก็ได้แสงจากตะเกียงที่แขวนไว้กับเสาของชายคาทั้งสี่เสา

      ปอหยิบกุ้งเผาใส่จานมาเสิร์ฟบนโต๊ะปิกนิก ที่ยกออกมาจากโรงเก็บอุปกรณ์ทำสวน

พี่ปืนกำลังเปิดเบียร์กระป๋องที่สอง แค่นี้ยังไม่เมาหรอก แต่ตาเยิ้มไปหมดแล้ว

      “แกะให้พี่หน่อย”

      ปอเหลือบมองพี่นิวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน พอพี่นิวส่งยิ้มมาให้....กำลังใจก็มา

ปอหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านขวาของพี่ปืน ซึ่งถ้าเป็นพี่นู ปออาจจะต้องเจอกับสายตาล้อเลียนซะจนไม่กล้าทำตามคำขอก็ได้

แกะกุ้งเรียบร้อยหมดแล้ว พี่นูก็ถือจานเดินลิ่ว ๆ มาที่โต๊ะบ้าง ปอก็ว่าจะถือโอกาสกลับไปดูของย่างบนเตาแทน

“ไม่ป้อนพี่ด้วยเหรอ”

  พี่ปืนกระซิบก่อนปอจะลุกขึ้นเดินออกมา หันไปก็เห็นสายตาจ้องมาอย่างมีความหวัง

ใจหนึ่งปอก็อยากจะสนองตอบอยู่หรอก ติดที่มันยังไม่ชินนี่สิ ก็เลยทำเป็นไม่ได้ยิน จะได้ไม่ต้องตอบ

...แต่อีกใจน่ะคล้อยตามไปกว่าครึ่งแล้ว

      “ปอครับ ช่วยหยิบถ้วยน้ำจิ้มตรงนั้นมาให้หน่อย”

      พี่นูถือจานเต็มสองมือ ร้องบอกปอระหว่างที่เดินสวนกัน ปอเดินไปหยิบถ้วยใบเล็กที่ใส่น้ำจิ้มสีออกเหลืองส้มไปให้

น้ำจิ้มสูตรนี้ปอทำเองกับมือมาจากบ้าน เพราะพี่นูขอไว้ว่าจะปิ้ง ๆ ย่าง ๆกันก็เลยให้ปอทำมา

รสชาติน้ำจิ้มฝีมือปอได้สูตรมาจากแม่พี่ปืน ใครได้ชิมแล้วเป็นต้องชมทุกคน ส่วนพี่ปืนไม่ต้องพูดถึง

สูตรแม่ก็ว่าอร่อยแล้ว แต่เมื่อเป็นขี้มือปอก็ยิ่งอร่อยไม่มีอะไรเปรียบ (มันเว่อร์มากกกกก)

      “โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ....ซื้ดดดดดด....อ้าสสสสส”

      วางน้ำจิ้มเสร็จ ปอคล้อยหลังออกมาไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงพี่ปืนร้องดังมาก ปอเดินกลับไปไม่ถึงเตายังสะดุ้งเพราะเสียงนั้นเลย

หันไปดู ก็เห็นท่าทางประกอบเสียง ทั้งน่าตกใจ ทั้งน่าสงสาร เพราะอาการพี่ปืนตอนนี้คงกินอะไรเผ็ดจัดเข้าไปแน่ ๆ

ปอรีบรินน้ำร้อนจากกระติกน้ำร้อนใส่ถ้วยมักใบใหญ่ เอาไปส่งให้ถึงมือ

      “น้ำครับพี่ปืน ดื่มก่อนนะครับจะได้หายผะ....”

      พี่ปืนคว้าถ้วยจากมือปอไปยังไม่ทันที่ปอจะพูดจบประโยค

      “โอววววว....”

      พี่ปืนกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะดังกึก

      “มันยังร้อนจัดอยู่อ้ะพี่ปืน”

      ปอหน้าเสีย โทษตัวเองทันที ที่ไม่ทำให้น้ำร้อนอุ่นพอที่จะดื่มได้ซะก่อน

ตอนนี้แม้กระทั่งความสว่างจากแสงตะเกียงเพียงรำไร ก็เห็นได้ชัดว่า หน้าพี่ปืนแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า ปากแดงจัด

แถมยังอ้าปากจนเห็นลิ้นแดง ๆอีกต่างหาก ก็แหงล่ะ น้ำร้อนจัดขนาดนั้น ซดเข้าไปดังโฮก ลิ้นไม่พองจนสุกก็นับว่ายังโชคดี

      “พี่ปืนผมขอโทษ คอยเดี๋ยวนะครับ”

       ปอลนลานยกถ้วยน้ำร้อนขึ้นมาเป่า พี่ปืนยังพูดไม่ออกได้แต่พ่นลมออกจากปากเพื่อระบายความเผ็ดร้อน

บวกกับความปวดแสบจากน้ำร้อนลวกลิ้นเข้าอีก ในขณะที่ปอพยายามจะทำให้น้ำร้อนกลายเป็นน้ำอุ่น

พี่ปืนจ้องมองดูปอ แล้วหันไปมองพี่นู และน่าจะด้วยความเผ็ดร้อนมากกว่าที่ทำให้พี่ปืนดูทุรนทุราย

ไม่ได้ตั้งใจจะใช้สายตากล่าวโทษใคร แต่เป็นพี่นูเองที่ร้อนตัวสารภาพความจริงออกมาเสียงอ่อย ๆ

      “ผมขอโทษครับพี่ปืน ก็แค่ล้อเล่น ไม่ได้ตั้งใจอ่ะ”

      พี่ปืนโบกไม้โบกมือด้วยภาษากายที่ไม่มีใครแปลออก แล้วหยิบเบียร์เย็น ๆ ขึ้นซดอึกใหญ่

แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการดีขื้นเท่าไร ปอวัดอุณหภูมิของน้ำร้อนด้วยการลองจิบ แล้วส่งให้พี่ปืนอีกครั้ง

      “มันไม่ร้อนจัดแล้วนะครับ แต่ก็ยังร้อนอยู่ พี่ปืนฝืนจิบหน่อยนะครับ จะได้หายเผ็ดเร็ว ๆ”

      พี่ปืนยังแสดงสีหน้าเข็ดขยาด แต่คงทนเผ็ดไม่ไหว ประกอบกับคำยืนยันจากปอว่าไม่ร้อนเท่าตะกี้

ถึงได้ยอมรับถ้วยน้ำมาจิบติด ๆกันหลายหน

      “เฮ่อออออ....ซื้ดดดด”

      หลังจากจิบไปสักพักก็ค่อยยังชั่วขึ้นจนพอจะพูดออกมาได้ ตามมาด้วยเสียงสูดจมูกพรืด

ปอหยิบกระดาษชำระส่งให้ทั้งกล่อง พี่ปืนก็ยังไม่ยอมรับ....โกรธปอเหรอเนี่ย

เมื่อไม่รับปอก็วางมันไว้ตรงหน้านี่แหละ จะหยิบไม่หยิบก็ตามใจ อยากจะโกรธก็ตามสบาย

ปอไปเกี่ยวอะไรด้วย ถึงจะมาพาลโกรธกันแบบนี้

      “ไม่เคย....ซื้ดดด....รู้สึกเผ็ดขนาดนี้มาก่อนเลย”

      แล้วพี่ปืนก็ดึงกระดาษไปสั่งน้ำมูกเบา ๆ จะหยิ่งทำไมไม่หยิ่งให้ตลอดเล่า

      “ผมขอโทษ”

      พี่นูเสียงอ่อย ๆ บอกขอโทษ แต่ลูกกะตาเต้นยิบ ๆ แฝงอารมณ์ขันซะปิดไม่มิด หรือตั้งใจจะให้พี่ปืนรู้ว่าโดนแกล้งก็ไม่แน่

      “แต่น้ำจิ้มถ้วยนี้ของผมทำมาหนิครับพี่นู แล้วมันยังไงกันแน่”

      ปอเอานิ้วแตะน้ำจิ้มเจ้าปัญหาจะส่งเข้าปาก พี่ปืนก็ปัดมือออก

      “ก็รู้ว่า...ซื้ดดดด ว่าเผ็ดขนาดพี่ยังทนไม่ไหว แล้ว....ซื้ดดดดด...จะชิมทำไม”

      “พี่ตำพริกเพิ่มน่ะปอ เมื่อเย็นตอนไปที่โรงเก็บของ เห็นสวนครัวข้าง ๆ มีพริกสีส้ม ๆเต็มต้นดูน่ากินดีอ่ะ ก็เลย....”

      “ใส่ไปกี่เม็ดล่ะครับ”

      พี่นูกางนิ้วทั้งหมดชูขึ้นทั้งสองข้าง ปอเห็นแล้วต้องกลอกตา ถ้วยแค่เนี้ย พี่นูซัดซะสิบเม็ด

ไอ้พริกพันธุ์นั้นมันก็แสนจะเผ็ดแสบร้อน บอกว่าล้อเล่นเห็นจะเชื่อไม่ลง อารมณ์นี้คงอยากจะแกล้งมากกว่า

แต่ด้วยเหตุผลอะไรปอก็ไม่เข้าใจพี่นูเหมือนกัน

      “เล่นเรงนะเรา”

      พี่นิวเอ็ดเสียงเรียบ ๆ ไม่รุนแรงถึงขั้นดุ แต่ตางี้ขุ่นเชียว (ลองดุสิ ขนาดนั้นเค้าเรียกพ่อ ไม่เรียกแฟนแล่ว....นู)

      “ไม่เป็นไร...ซื้ดดดด พอทนได้”

      พี่ปืนยังคงสูดปากตามด้วยจิบน้ำร้อนจากถ้วยเป็นระยะ ๆ

      “แต่ที่แย่...ซื้ดดดด ก็อีตอนซดน้ำร้อนเข้าไปเนี่ยแหละ ลิ้นแทบพองเลย”

      พี่ปืนไม่ได้หันมามองหน้าปอเป็นเชิงกล่าวหา แต่คำพูดที่ออกจากปากก็แปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลยว่า ที่ “แย่”

เพราะปอเอาน้ำร้อนจัดมาให้เค้าดื่ม ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ สินะ

      “ผมขอโทษ ไม่ทันคิดว่ามันจะร้อนจัด ก็แค่คิดว่าจิบน้ำร้อนแล้วมันจะหายเผ็ดเร็วขึ้นเท่านั้นเองครับ”

   ....แต่ปอก็แก้ตัวด้วยการเป่าให้หายร้อนแล้วไม่ใช่เหรอ....

      ปอพูดจบก็เดินถอยออกไปที่เตาย่าง อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก มัวตื่นเต้นกับเรื่องพี่ปืนซะจนลืม

ป่านนี้จะอาหารไหม้เกรียมไปหมดแล้วก็ไม่รู้ ปอทำเป็นหันไปเอาใจใส่เรื่องอื่น เผื่อว่าจะทำให้รู้สึกผิดเรื่องพี่ปืนน้อยลงบ้าง

      พอหายจากอาการเผ็ด พี่ปืนก็เจริญอาหารได้เหมือนเดิม ถ้วยน้ำจิ้มเจ้าปัญหายังวางที่เดิมโดยไม่มีใครแตะ

ปอก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่เอาไปทิ้งให้พ้นหูพ้นตา หลังจากที่พี่นูไปเทน้ำจิ้มถ้วยใหม่แล้ว

ปอเดินไปเดินมาอยู่หน้าเตาซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำ นอกจากคอยพลิกของบนเตาให้อังไฟอย่างทั่วถึง

ไม่กล้าเหลือบมองไปที่โต๊ะอาหาร เพราะกลัวจะได้สบสายตาโกรธ ๆ ของคนแถวนั้น

      “ปอมานั่งกินได้แล้วเหอะ ของเต็มโต๊ะไปหมดแล้ว”

      พี่นูร้องบอกให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ แต่ในสถานการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ปอไม่นึกอยากเข้าไปนั่งด้วยเลย

อาการมึนตึงของพี่ปืนทำให้ปอทำตัวไม่ถูก พี่ปืนน่าจะรู้ว่าปอไม่ได้มีเจตนาให้น้ำร้อนลวกปากเค้าซักหน่อย

ไม่รู้บ้างหรือยังไงว่า การจะทำให้พี่ปืนเจ็บตัว เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่เคยอยู่ในความคิดของปอเลย

แต่คำพูดที่ออกจากปากพี่ปืนเมื่อตะกี้ มันกลับทำร้ายความรู้สึกของปออย่างช่วยไม่ได้

       “ไม่เป็นไรครับ ผมยืนชิมโน่นชิมนี่จนอิ่มแล้วครับพี่นู”

       “มาเหอะปอ ไม่กินก็มานั่งคุยกันตรงนี้ก่อน”

       พี่นิวช่วยสนับสนุนอีกคน เขาเป็นคนที่มีน้ำใจ แต่ก็ไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้

ความเป็นเป็นผู้ใหญ่ใจดีจึงมักจะทำให้ปอรู้สึกเกรงใจจนต้องคล้อยตามอยู่เสมอ

      สายตาของพี่ปืนพุ่งเป้ามาที่ปอ แต่ปอมองไม่เห็นหรอกว่าแววตาและอารมณ์ตอนนี้เป็นแบบไหน

จะหายโกรธปอหรือยัง ด้วยแสงสลัวของตะเกียง แค่รู้สึกว่ามีสายตาพี่ปืนจับจ้องอยู่ก็ทำให้ปอแทบจะเดินขาขวิดอยู่หลายหน

จนกระทั่งเดินเข้าไปถึงโต๊ะแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามกับเจ้าของสายตานั่นแหละ

ปอถึงรู้ว่าแววตาคู่นั้นตัดพ้อต่อว่าแทนคำพูดหลายสิบคำที่ปอเคยได้ยินออกจากปากของเค้า....

ก็แล้วปอไปทำอะไรให้เล่า ปอไม่ใช่ต้นเหตุซะหน่อย ทำแบบนี้ไม่ให้ปอรู้สึกน้อยใจเลยก็คงไม่ได้

      มานั่งร่วมโต๊ะปอก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ พี่นูกับพี่นิวขยันส่งของกินใส่จานปอก็กินอย่างไม่ค่อยจะรู้รส

ส่วนพี่ปืนก็พูดคุยกับพี่สองคนไป สายตาก็เบนมาจับจ้องปอเป็นครั้งคราว แต่ปอไม่บังอาจไปต่อตาด้วย

บอกตรง ๆว่าปอไม่รู้เลยว่าตอนนี้ พี่ปืนคิดอะไรอยู่หลังจากที่คำพูดคล้ายจะกล่าวโทษปอออกจากปากแล้ว.....

รู้สึกผิดน่ะปอก็รู้สึกอยู่ แต่ทำไมถึงได้มองข้ามเจตนาดีของปอล่ะ

คนเราเวลาตกใจมันก็ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกได้ไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้มันจะผิดอะไรนักหนา
 
ปอตัดสินใจที่จะไม่นั่งเฉย ๆ ให้ตกเป็นเป้าสายตากล่าวหาของพี่ปืนอีกต่อไปแล้ว

      “ผมขอไปเดินย่อยหน่อยนะครับ”

      “พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย”

      อย่าได้นึกเชียวว่าพี่ปืนจะอาสา

      “ไม่ต้องหรอกครับ พี่นูดูแลทางนี้ไปเหอะ ผมไปใกล้ ๆ นี่เอง”



      แล้วปอก็ได้มายืนริมตลิ่งที่เดียวกับเมื่อคืน อากาศกำลังเย็นสบาย มีสายลมพัดมาเป็นระยะ

สายน้ำเบื้องล่างสะท้อนแสงสีเหลืองส้มจากคบไฟ ดูระยิบระยับแทนแสงจันทร์ที่หลบหน้าไปชั่วคราว

      ถ้าได้อยู่กลางสายธารที่เย็นฉ่ำ ท่ามกลางความมืด อาจจะทำให้ปอหายหงุดหงิด น้อยใจคนบางคนได้บ้าง

ปอนึกอยากจุ่มเท้าลงแช่ในน้ำเย็น ๆ ก็เลยไต่ลงไปข้างล่าง

   ทางลาดลงไปพอมองเห็นได้ลาง ๆจากแสงคบไฟ ปออาศัยความจำเส้นทางที่ขึ้นลงบ่อย ๆ เมื่อตอนกลางวัน

ทั้งที่มองไม่เห็นอะไรได้ชัดนัก พอได้อาศัยเกาะกอหญ้าและไม้พุ่มเตี้ยประคองตัวจนลงมาได้สมใจ

      ปอเดินลุยน้ำตื้นไปนั่งหย่อนขาที่หินผิวหน้าเรียบกลางสายน้ำ แหงนหน้าขึ้นมองดาว

ช่วยกล่อมอารมณ์ให้หายจากอาการห่อเหี่ยวไปได้บ้าง อากาศเย็นกำลังดี เพราะยังหัวค่ำ น้ำค้างก็ยังไม่แรง

ความจริงถ้าได้ลงเล่นน้ำเย็นคงช่วยผ่อนคลายได้มากกว่านี้ แต่ก็กลัวปอดบวมจะถามหาซะก่อน

       เวลาที่จิตใจเรากำลังสับสนวุ่นวาย ถ้าได้ฝังตัวเองไว้ในมุมสงบที่ไหนสักแห่ง

ก็คงจะทำให้เราหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงได้ อาจจะเพื่อหาคำตอบให้อะไรบางอย่าง

หรืออาจจะเพียงแค่ขอให้ความเงียบภายนอก สยบเสียงอึกทึกภายในจิตใจของเราเอง

   ปอก็เช่นกัน....ความรู้สึกน้อยใจพี่ปืนค่อย ๆ มลายหายไปกับความเงียบสงบ เหลือไว้เพียงความเข้าใจ

ถ้าเป็นปอเจอแบบนั้นเข้าบ้างก็คงคล้าย ๆ กัน แล้วที่จริง....พี่ปืนก็ไม่เคยโกรธปอ

สายตาที่เขม้นมองมาที่ปอเป็นเพียงปฏิกิริยาทางอารมณ์เท่านั้น

เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่ควรที่ปอจะเก็บมันมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

   พอสติกลับคืนมา ปอก็ชักจะรู้สึกว่าตรงที่นั่งอยู่นี่มัน.....มืดมาก....เงียบ....

แม้จะมีเสียงจักจั่นเรไรร้องระงม แต่มันก็ไม่ใช่เสียงที่เราจะถือเอาเป็นเพื่อนได้

หนัก ๆ เข้ากลับจะยิ่งเพิ่มความวังเวงท่ามกลางความสงบเงียบและมืดทึบของผืนป่าเสียจนต้องบอกตัวเองให้ลุกขึ้นได้แล้ว

      สายตาที่ชินกับความมืด ทำให้มองเห็นย่างก้าวได้ชัดเจนขึ้น ปอก็ไม่ได้รีบร้อนไต่หินขึ้นจากน้ำจนลืมความระมัดระวัง

แต่หินบางก้อนที่แช่น้ำนาน ๆ ก็มักมีตะไคร่เกาะ ก้าวไม่ระวังก็อาจจะลื่นได้

แล้วมืดขนาดนี้ก็ยากที่จะแยกแยะให้ออก ว่าไหนผืนดิน ไหนก้อนหินลื่น ๆ ก้าวแต่ละครั้งก็เลยเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น

ปอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำลงบนใบไม้แห้งข้างบนดังกรอบแกรบ ไม่ใครก็ใครอาจจะออกมาตามหา

ทำให้รู้สึกอุ่นใจที่มีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ

      อาศัยการเหนี่ยวพุ่มหญ้าใกล้มือเพื่อพยุงตัวไต่กลับขึ้นไป แต่ในความมืดก็บอกไม่ได้ว่า

กอไหนที่มันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักได้ แค่วาดมือไปขยุ้มแล้วก็เหนี่ยวตัวเองขึ้นจากน้ำได้เป็นพอ

คงเพราะโชคไม่ดี หรือตาไม่ดีก็ไม่รู้ ปอเจอกอหญ้าที่ก้านมันเหนียวดี แต่รากมันไม่ได้ยึดเกาะกับดินแน่นเท่าที่ควร

แถมหินที่กำลังเหยียบก็มีอันให้ลื่นไถลซะอีก หญ้าทั้งกอก็เลยถอนรากถอนโคนติดมือมา

มีผลให้ร่างที่กำลังยกตัวเองกลับรูดไถลลงไปตามทางที่ปีนขึ้นมา หล่นตุ้บกลับลงไปในน้ำ

พร้อมกับเสียงคุ้นเคยที่ตะโกนเรียกปอดังแทบจะก้องไปทั้งป่า

      “ปอ!!!!”

      ก็เพราะน้ำมันตื้นแถมข้างล่างเป็นก้อนหิน ร่วงลงไปในระดับสองเมตรมีหรือจะไม่เจ็บ แถมยังเปียกไปทั้งตัวอีก

ความเจ็บทำให้ปอร้องไม่ออก ได้แต่สูดปาก และคลำไปที่ก้นกบที่กระแทกลงไปบนหินก้อนกลม

      “พี่ปืน”

      ปอออกเสียงเรียกตอนที่ร่างสูงใหญ่เดินมาถึงชั้นล่างแล้วกำลังมองลงมาที่ปอ

ขายาว ๆก้าวลงจากตลิ่งระดับล่างสุดลงน้ำได้อย่างง่ายดาย แล้วก็จ้ำพรวด ๆ มาประคองปอให้ลุกขึ้น

      “ทำไมไม่ขึ้นทางบันได”

      “มันไกลอ่ะ”
      บันไดหินที่ทำไว้หยาบ ๆ ถึงจะไม่ไกลมาก แต่ระยะสิบเมตรมันก็ไกลเกินไปสำหรับคนขี้เกียจเดิน

ในเมื่อตรงนี้มันก็ขึ้นลงได้เหมือน ๆกัน ปอคะเนกำลังตัวเองแล้วคิดว่าทำได้ปอก็อาศัยขึ้นลงตรงนี้มาตลอดทั้งวัน

แต่นั่นมันตอนกลางวันที่มองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่านี้

      “ลุกไหวมั้ย”

      “ไหวครับ”

      ปอขยับตัวลุกขึ้น ถึงได้รู้สึกว่าปวดที่ก้นกบ ขัดยอกที่แขนนิดหน่อย คงจะเป็นตอนที่ร่วงลงมาแล้วเอาแขนค้ำไว้

ตรงข้อเท้าเคล็ดไม่ถึงกับแพลงจนเดินไม่ได้ แค่ขยับหน่อยก็แปล๊บ ๆ แต่แสบจัดตรงเข่าและขา

ที่คงจะครูดกับดินขรุขระตอนที่ตัวไถลลื่นลงมา

      เสียงพี่นิวตะโกนมาจากข้างบนแว่ว ๆว่า ปอเป็นอะไร พี่ปืนก็เลยตะโกนตอบไปว่าหกล้ม

จะได้ฟังดูไม่น่าเป็นห่วง อีกประเดี๋ยวขึ้นไปถึงก็คงรู้เอง

      พี่ปืนไม่อยากเสี่ยงพาปอปีนขึ้นทางเดิมกลัวจะร่วงลงมาอีก ซึ่งพี่ปืนก็คงจะแบกขึ้นไปไม่ไหวด้วย

ปอเลยได้เดินเขยกไปขึ้นทางบันไดจริง ๆ แต่ยังไงซะพี่ปืนก็ไม่ให้ปอได้เขยกนาน พอแตะพื้นข้างบนได้

ปอก็ถูกช้อนขึ้นอุ้มทั้งตัว

      “พี่ปืนผมเดินเองได้”

      “ชักช้า”

      จากตรงนี้ไปจนถึงลานซีเมนต์ก็แค่สิบกว่าเมตร เดินอีกนิดเดียวก็ถึง แต่เมื่อคนอุ้มเค้าเต็มใจ

ปอก็เลยอยู่นิ่ง ๆ และพอถึงที่หมายปอก็เจอสายตาล้อเลียนอีกแล้ว พี่นูกุลีกุจอเข้ามาดูขาปอก่อน

เมื่อเห็นเต็มตาว่าเลือดไหลเป็นทาง สายตาล้อเลียนที่เห็นก็เลยเปลี่ยนเป็นห่วงใยแทน

      “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่นู นิดเดียวเอง”

      “พี่นิวครับ ที่นี่มีตู้ยารึป่าว”

      พี่นูหันไปถามเพื่อนเจ้าของบ้าน ฐานที่เคยมาก่อนคนอื่นเป็นหลายหน น่าจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน   

      “ไม่รู้สิ ไม่ได้สังเกต มาแต่ละทีก็ไม่มีเหตุต้องใช้หนิ”

      (นั่น....ไม่มีประโยชน์เลยคนเรา)

      “ไม่เป็นไรครับพี่นู ผมขอน้ำอุ่นละลายเกลือก็พอ”

      “จะเอามาทำอะไร”

      พี่นูทำหน้างง คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกลือแกงละลายกับน้ำต้มสุกอาศัยใช้เป็นยาล้างแผลได้ด้วย

พอปออธิบายก็รีบไปทำมาให้ ส่วนพี่ปืนก็นั่งประกบปอไม่ไปไหนเลย ทั้งที่ปอก็ไม่ใช่คนเจ็บหนักซะหน่อย

พี่นิวนั่งจิบเบียร์เรื่อย ๆ ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะว่ามีคนที่วิ่งวุ่นอยู่แล้วคนหนึ่ง กับอีกคนที่คอยเฝ้าไข้

ก็เพียงพอแล้วสำหรับอาการเจ็บเบาะ ๆ ของปอ

      “พี่ว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีมั้ยปอ”

      “ผมว่าล้างแผลก่อนดีกว่านะครับพี่ปืน เปียกแค่กางเกงเอง เชื้อโรคที่มากับน้ำมันก็น่ากลัวอยู่นะ”

      “งั้นรออยู่นี่แหละ พี่ไปหยิบผ้าขนหนูมาให้ผลัดก่อน”

      “ไม่ต้องครับ”

      ปอคว้าแขนคนพูดไว้ รีบปฏิเสธเสียงหลง ด้วยใบหน้าแดงก่ำ นึกภาพตอนที่ตัวเองจะต้องเปลี่ยนผ้าต่อหน้าสามคนนี้

ปอบอกตัวเองว่ายอมทนหนาวอีกนิดดีกว่า แค่ล้างน้ำเกลือใช้เวลาไม่นานอยู่แล้ว

      “ทำอีท่าไหนล่ะถึงหกล้ม”

      “ไม่ได้หกล้มหรอกนิว ร่วงตกจากตลิ่งน่ะ”

      “อ้าว....ทำไงถึงตกลงไปได้ล่ะปอ”

      พี่นิวตกใจเบิกตาโต ทะลึ่งพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งถึงตัวปอ จากที่เห็นตะกี้เช้ย...เฉย

เพราะคิดตามที่พี่ปืนบอกว่าปอหกล้ม ซึ่งมันก็แค่เรื่องเด็ก ๆ

ตอนนี้ปอเลยมีพี่ปืนนั่งขนาบอยู่ข้างซ้าย พี่นิวยืนอยู่ข้างขวา ก้มลงมาดูแผลถลอกที่พี่นูคุกเข่าล้างแผลให้อยู่

แต่ละคนแสดงความห่วงใยจนปอชักจะคล้อยตามว่าตัวเองอาการหนักยังไงไม่รู้

      “ผมปีนขึ้นมาทางลัดอ่ะครับ แล้วก็เลยลื่นไถลตกลงไป”

      “สูงมั้ย”

      พี่นิวถามอย่างร้อนรน คิ้วเฉียง ๆ เริ่มขมวดเข้าหากัน

      “ไม่เท่าไหร่ครับ ไม่ถึงสองเมตรหรอก แต่ผมไม่ได้ตั้งตัวน่ะ คิดว่าเหนี่ยวกอหญ้าแล้วจะยกตัวขึ้นมาได้

แต่มันดันหลุดออกมาทั้งกออ่ะ”

      “สงสัยไอ้กอที่เราดึงกันทั้งวันตอนที่ขึ้น ๆลง ๆ มั้ง ดึงจนรากมันคลอนเลยหลุดติดมือมาด้วย”

       พี่นูเดา

      “ผมก็ว่างั้นแหละครับ เพราะผมก็เดินมันทางเดิมที่เราใช้กันประจำแหละ”

      “แล้วทำไมไม่เดินอ้อมไปทางบันไดล่ะครับปอ”

      “ก็มันต้องอ้อมตั้งไกลหนิครับพี่นิว”

      “ก็ไม่น้อยนะเนี่ย ไปอนามัยกันดีกว่ามั้ยครับ ไม่ไกลหรอก เอายาแก้อักเสบมากินซะหน่อย”

      พี่นิวเสนอ   
   
      “นั่นสิปอ พี่ว่าไปให้เค้าดูนิดนึงนะ จะได้ทำแผลด้วย”

      พี่ปืนเสริม

      “อนามัยอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ ไปกันเหอะ”

      พี่นิวฉุดแขนปอจะให้ยืน แต่พี่ปืนรีบบอกซะก่อน

      “ไม่ต้องเดี๋ยวผมอุ้มไปเอง”

      “โอ๊ย....พี่สองคนนี่อะไรนักหนา แผลกะจิ๋วเดียวเนี่ย ไม่ถึงตายหรอกน่า”

      พี่นูมองหน้าสองคนสลับกันไปมา แล้วก็บ่นเสียงดังออกมาด้วยความรำคาญ

      “ไงปอ จะไปอนามัยรึป่าว พี่จะได้เลิกล้างแผล”

      พี่นูหยุดมือรอคำตอบจากปอ

      “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนี่ครับ แผลถลอกหน่อยเดียวเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วนะครับพี่นิว พี่ปืน

ขอบคุณนะครับพี่นู ที่จริงผมทำเองก็ได้”

      “พี่ก็ว่างั้นเหมือนกัน แต่คนบางคนเค้าทำยังกะปอถูกรถสิบล้อชนแน่ะ”

      “นู!!”

      พี่นิวกระชากเสียงต่ำอย่างที่ปอไม่เคยได้ยิน แล้วสีหน้าสีตาน่ะเหรอ อย่าให้บอก

ปอเพิ่งเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก เล่นเอาสยองไปเหมือนกัน ส่วนพี่ปืนน่ะเอ๋อไปแล้ว

      พี่นูลุกขึ้นยืน ส่งอ่างน้ำเกลือกับผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ชุบน้ำล้างแผลแทนสำลีใส่ตักปอ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปเลย

      “พี่ขอโทษแทนนูด้วยนะครับปอ พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย”

      “ช่างเถอะครับพี่นิว ผมไม่ได้คิดอะไรหรอก มันก็จริงของพี่นู แค่แผลถลอกหกล้มนิดหน่อยเองครับ”

      ปอยิ้มกว้างให้พี่นิว แล้วบุ้ยหน้าให้ตามพี่นูไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคู่นี้เค้ามีอะไรกัน

ดูเหมือนตอนนี้พี่นูจะงอนพี่นิวซึ่งปอไม่รู้สาเหตุหรอก

แต่เรื่องแผลของปอถูกยกมาเป็นประเด็นในการกระฟัดกระเฟียดใส่พี่นิวแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: John Doe ที่ 06-06-2012 00:32:39
ดีใจมากเลย ในที่สุดก็ได้อ่านเรื่องนี้อีกรอบ
เคยอ่านเรื่องนี้แล้วรอบนึง แบบว่าเป็นนิยายเรื่องแรกเลยที่อดหลับอดนอนสองวัน (กลางวันเรียน) กลางคืนนิยาย เพื่อติดตาม จำได้เลยว่าตอนนั้นตามแบบ ติดมาก อ่านไปยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง จำคนเขียนได้คุณนู ^^
แต่อยู่ๆ ว่าจะกลับมาอ่านอีกรอบ... นิยายก็หายไป ช็อกมาก ไม่คิดว่านิยายสนุกๆ แบบนี้จะหายไป
แต่ในที่สุด นิยายก็กลับมาสู้อ้อมอกน้อยๆ ของเราอีกครั้ง เย้ ดีใจมาก >_<
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 06-06-2012 00:45:09
^
^
^
 :pig4:



ขอบคุณที่จำกันได้ครับ

พอเว็บนั้นปิดตัวไปผมก็ไปหาบ้านของตัวเองอยู่เป็นหลักแหล่ง

โพสท์เรื่องนี้จนจบ แล้วก็มาได้บ้านหลังใหม่ คราวนี้เก็บมันขึ้นเมล์็ไม่ได้เอามาลง

ที่มาที่นี่เพราะแฟน(นิยาย)เก่าชวนมาครับ

เค้าบอกว่ามีคนที่น่าจะรู้จักเรื่องนี้อยู่หลายคน ผมก็เลยมา ด้วยความรู้สึกว่า

ตัวเองติดค้างคนอ่่าน ที่เคยบอกว่าจะเขียนจนจบ




 :monkeysad:    ซึ้งอ่ะ แฟนเก่าจำเราได้
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 06-06-2012 00:51:32
ปืนอย่ายอมแพ้นะ...  :z10:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 06-06-2012 12:05:13
น้อยอกน้อยใจกันไป คู่ละจึกสองจึก
เมื่อไหร่จะหวานเนี่ย แง่มๆๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 06-06-2012 13:46:16
คุณนูมาแล้ววววววววว
 :m4:

ช่วงนี้รู้สึกว่าทั้งพี่ปืนทั้งปอจะคิดเล็กคิดน้อยกันจังเลยน้า
ความรักนี่มันทำให้คนเปลี่ยนไปได้เหมือนกันเนอะ
ไหนๆก็ได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว
อย่าเอาทิฐิและอารมณ์มาใช้กันเลยนะทั้งสองคน
คนอ่านอยากจะเห็นสองคนมีความสุขนะ
 :m17:

ปลล.ดูท่าทางคู่รองจะแย่งซีนจริงๆด้วยแหละคุณนู เด่นมาก
 :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 06-06-2012 17:52:50
อึดอัดใจกันอีกสักรอบ  :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 06-06-2012 18:07:58
เรื่องนี้ขาดความหวาน
อย่างมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 6/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-06-2012 19:11:53
รอตอนต่อไปนะ :call:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 7/6/2555 คืนนี้ไม่ลงครับ ขอโทษด้วยถ้ามีใครรอ
เริ่มหัวข้อโดย: BBlabong ที่ 07-06-2012 01:16:30
เย่ !! อ่านทันซะที ><
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 00:32:22


ข้ามคืนจนได้ ว่าจะให้เป็นวันที่ 7  แต่ดันเลยมาเป็นวันรุ่งขึ้น  :z3:

ถ้าไม่ง่วงซะก่อน ผมจะลงจนถึงตอนอวสานเลยนะครับ   :t3:

แต่ถ้าไม่ไหว พรุ่งนี้บ่าย รับรองจบแน่ ๆ   :a5:







      สองคนนั้นเข้าบ้านไปแล้ว ปอก็หันมาทำความสะอาดแผลต่อ แต่ถูกพี่ปืนแย่งเอาไปทำซะเอง

ปอก็ได้แต่นั่งเฉย ๆ เริ่มรู้สึกแสบ ๆ แผลมั่งแล้ว ยิ่งตอนที่พี่ปืนบิดน้ำเกลือจากผ้าเช็ดหน้าให้ไหลชะล้างหน้าแผลให้สะอาด

ยิ่งแสบจนไม่รู้จะร้องออกมาเป็นภาษาอะไรดี สงสัยว่าพี่นูคงจะใส่เกลือมือหนักไปหน่อย

      “แสบเหรอ”

   พี่ปืนถามเมื่อเห็นปอทำหน้าเหยเก พอปอพยักหน้าก็ก้มลงเป่าลมให้ ทั้งที่มันก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นสักเท่าไร

แต่ผลทางใจน่ะเกินร้อย

   "ไม่มียาทาแผลสดเลยอ่ะปอ”

   พี่ปืนทำสีหน้าเป็นกังวลเกินเหตุอีกแล้ว นี่ไงพี่นูเค้าถึงได้หมั่นไส้เอา

      “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คืนเดียวเอง พรุ่งนี้เราก็กลับบ้านกันแล้ว”

      “เดินเข้าบ้านไหวมั้ย”

      “ไหวครับ แต่ข้าวของข้างนอกนี่ยังไม่ได้เก็บเลยนะครับ”

      “ทิ้งไว้นี่แหละ ปอเจ็บอย่างนี้จะทำได้ยังไง พรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูแล้วกัน”

      พอปอลุกขึ้นยืนบนขาได้เต็มตัว ก็รู้สึกปวดระบมตรงก้นกบจนต้องทำหน้าเบ้ ร้องโอยขึ้นมาทันที

      “เป็นอะไรมากรึป่าวอ่ะปอ เจ็บตรงไหนอีก”

      ปอยังไม่ได้บอกพี่ปืนว่าปวดเคล็ดขัดยอกตรงไหนในร่างกายบ้าง นอกจากแผลภายนอกที่เห็นอยู่

      “ตอนตกลงไปก้นคงกระแทกกับหินข้างล่างอ่ะครับ”

      “แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”

      พี่ปืนขึ้นเสียงสูง แต่ไม่ได้ดุว่า ออกจะเป็นห่วง(เกินเหตุ)ด้วยซ้ำไป

      “ก็ตอนนั้นมันแค่ยอก ๆอ่ะ”

      “งั้นเข้าบ้านเลย เดี๋ยวพี่ทายาให้ แผลนี่ก็ทิ้งไว้อย่างงี้ก่อนแล้วกัน”

      พี่ปืนทำท่าจะช้อนปอขึ้นอุ้มอีก แต่คราวนี้ปอเบี่ยงตัวจะเดินเอง พี่ปืนก็ทำได้แค่ทำปากจิ๊จ๊ะขัดใจไปเท่านั้น

      “เปลี่ยนเสื้อผ้าออกก่อนแล้วไปนอนที่เตียง เดี๋ยวพี่จะทายาให้”

      ปอนุ่งผ้าขนหนูก่อนจะรูดกางเกงขอบเอวยางยืดออกไปจากตัว ตามด้วยกางเกงในสีอ่อนที่เปียกชื้น

พาดไว้ที่ราวตากผ้าขนหนู เหลือแค่เสื้อยืดตัวเดียว เสร็จแล้วค่อย ๆหย่อนตัวลงนอน

ส่วนพี่ปืนไปค้นหายานวดในเป้ของตัวเองแล้วเดินไปล้างมือในห้องน้ำให้สะอาด

พอเดินกลับมาเห็นว่าปอนอนท่าไหนก็นิ่วหน้าใส่ซะงั้น

      “นอนหงายแล้วจะนวดยังไงล่ะเนี่ย แล้วก็ถอดเสื้อออกซะด้วย ชื้นออกอย่างงั้น เดี๋ยวได้ปอดบวมตายหรอก”

      ไม่พูดเปล่า พี่ปืนดึงตัวปอให้นั่ง แล้วจับชายเสื้อดึงออกทางศีรษะ ตอนนี้ปอก็เหลือแค่ผ้าขนหนูพันกายแค่ผืนเดียว

      “แค่นวดข้อเท้าเอง นอนแบบนี้ก็ได้ครับ”

      ปอบอกหน้าตาเฉย ทำเป็นไม่รับรู้ว่าพี่ปืนหมายความว่าอะไร

      “โอเค นวดข้อเท้าก่อนก็ได้”

      พี่ปืนตีความไปอีกทาง แล้วลงมือนวดยาไปเรื่อย ๆ ยาสมุนไพรเหมือนยาหม่องแต่มีส่วนผสมอะไรบ้างก็ไม่รู้

ถูกละเลงด้วยมือใหญ่หนาเบา ๆ ฝ่ามือของพี่ปืนทั้งนุ่มทั้งอุ่น ตอนนี้ปอไม่รู้แล้วว่าที่ร้อนผิววาบ ๆ อยู่น่ะ

มันร้อนยา หรือว่าร้อนอะไร ก็พี่ปืนเล่นนวดไป ส่งสายตาไป ปอทนสบตาไม่ไหวจะให้ทำไงได้

นอกจากขยับหนังตาลงมาปิดลูกตาตัวเอง

      “อ้ะ ทีนี้นอนคว่ำ”

      “ทำไมอ่ะครับ”

      “นวดสะโพก”

      ปอดีดผึงขึ้นจากหมอนนั่งตัวตรง ทำท่าไม่ยอมให้นวด เพราะถ้าเป็นอย่างงั้น ก็ต้องเปิดผ้าขนหนูถึงไหนต่อไหนล่ะสิ

ก็ไอ้ส่วนที่มันปวดระบมอยู่น่ะ มันอยู่ตรงก้นกบพอดี แล้วมีเหรอ ที่จะนวดแค่ก้นกบ

ขนาดที่ข้อเท้าพี่ปืนยังละเลงยานวดมาจนถึงหน้าแข้งเลยนี่นา

      “ผมไม่ได้ปวดตรงนั้นนะ”

      ปอโวยวาย แต่ดูเหมือนพี่ปืนจะฟังไม่รู้เรื่อง

      “ก็ใกล้ ๆ กันน่ะแหละ นอนลง”

      “ไม่เอาอ่ะ”

      ปอถอยร่นทั้งที่ก็ไปไหนไม่ได้ไกลเลย

      “ไม่นวดยาจะหายได้ไง พรุ่งนี้ได้ระบมจนลุกไม่ขึ้นหรอก”

      “นอนพักเอาก็หายแล้วอ่ะพี่ปืน...นะ....ไม่ต้องนวดหรอก...นะครับ”

      “ไม่ได้ เดี๋ยวจะระบมหนักกว่านี้อีก ไม่เอาอย่าเกเร นอนคว่ำเร็ว”

      ปอหรี่ตามองคนที่ดูจะมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะนวดให้ได้ แต่ก็มองไม่เห็นพิรุธอะไรเลย

สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามคำสั่ง

      “เอ้า...ไม่แก้ปมผ้านุ่งแล้วจะพี่จะทายาให้ยังไงเนี่ย”

      “ก็นี่ไง ผมดึงลงไปให้ตั้งเยอะแล้วอ่ะ”

      ปอร่นขอบผ้าขนหนูลงอีกหน่อย แต่ไม่ยอมปลดออก....ก็มันอายหนิ ถึงจะเคยอาบน้ำด้วยกันก็นาน ๆ หน

แล้วมันนานมาแล้วด้วย แถมยังนุ่งเตี่ยวกันคนละตัว ไม่ได้โป๊ซะหน่อย

      “ได้ยังอ่ะ”

      ปอก้มหน้าแนบหมอน ไม่รู้ไม่เห็น ไม่สบตาจะได้ไม่ต้องอาย

      “มา พี่เอง”

      พี่ปืนจับขอบผ้าขนหนูดึงออกจากตัวอย่างเร็ว จนปอรั้งไว้ไม่ทัน ถึงผ้าจะไม่หลุดออกไปทั้งผืน

เพราะมีร่างของปอนอนทับอยู่ แต่ส่วนที่ห่อหุ้มซาละเปาน้อย ๆสองลูกน่ะ ลงไปกองที่ต้นขาแล้ว

      “พี่ปืน!!!!”

      ปอทำท่าจะคว้าผ้ากลับมาคลุม แต่พี่ปืนปัดมือออกไปซะก่อน แถมยังขู่สำทับอีกแน่ะ

      “อยู่นิ่ง ๆนะ ไม่งั้นพี่จะบีบก้นแรง ๆ ไม่น่งไม่นวดมันแล้ว”

      ปอกดหน้าลงกับหมอน เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้อีก อายก็อาย หน้างี้ร้อนไปหมดแล้ว

ยิ่งตอนที่ฝ่ามือลูบไล้ผ่านเนื้อนุ่ม ๆ ตรงนั้นตรงนี้ ทั้งที่พี่ปืนก็นวดยาอยู่ตรงใต้เอวนั่นแหละ

ทำไมมันถึงรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าได้ก็ไม่รู้ แต่จะว่าไปนอนให้เค้านวดนี่มันก็เคลิ้ม ๆ ได้เหมือนกันนะ

      “ดูซิ เขียวช้ำไปหมดเลย แล้วจะไม่ให้พี่ทายาได้ยังไง....เจ็บมั้ย...หือ....ปอ”

      “นอนเฉย ๆก็ไม่เจ็บครับ แต่ตอนเดินมันเคล็ด ๆ ปวด ๆอ่ะ”

      “ทายาแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยยังชั่วหรอก แต่ขากลับพี่ว่าแวะหาหมอหน่อยดีกว่านะ”

      “ไม่ต้องแล้วมั้งครับ ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย”

      “ที่หายไปน่ะ หนีพี่ใช่มั้ย”

      พี่ปืนวกเข้ามาถึงเหตุการณ์ก่อนที่ปอจะขอตัวไปเดินเล่น

      “ป่าวซะหน่อย....บอกแล้วไง ผมไปเดินย่อยอาหาร กินเข้าไปตั้งเยอะมันเลยแน่นท้อง”

      เสียงพี่ปืนผ่อนลมหายใจก่อนจะพูดเสียงอ่อน ๆ ไม่สนใจที่ปอยังจะปากแข็งปฏิเสธ

      “พี่ไม่ได้โกรธปอเรื่องนั้นหรอกนะ”

      “แต่พี่ปืนจ้องผมตาเขียวปั๊ดเลย”

      ปอแย้งด้วยอารมณ์งอน ๆ ทั้งที่จริงมันมืดแทบมองไม่เห็นแววตาด้วยซ้ำ

      “ปอไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก เรื่องมันก็เพราะนูเค้าอยากแกล้งพี่ แล้วเค้าก็ขอโทษแล้ว

พี่ก็ไม่ได้ถือโทษเค้า มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเลย แต่ดูเหมือนนิวจะไม่ยอม เค้าว่านูเล่นอะไรเลยเถิด”

      “มิน่า...”

      “มิน่าอะไร”

      “พี่นูอารมณ์ไม่ดีผิดสังเกต ผมว่าพี่นิวคงไม่ได้ว่าแค่นั้นหรอกมั้งครับ”

      ปอนึกถึงตอนที่พี่นูทิ้งอ่างน้ำเกลือล้างแผลให้ปอ แล้วเดินเข้าบ้าน มันไม่มีเหตุผลสักนิด

ที่พี่นูจะไม่พอใจเพียงเพราะมีคนแสดงความห่วงใยอาการของปออย่างออกนอกหน้าถึงสองคน

ปอรู้ดีว่าแม้แต่พี่นูก็ห่วงปอเหมือนกันนั่นแหละ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกอาการไม่พอใจเมื่อคนอื่นแสดงออกบ้าง

      “อืม...นิวก็ดุไปหลายคำ แล้วยังสั่งสอนซะอีก ว่านิสัยชอบแกล้งคนเวลาหมั่นไส้น่ะ เลิกได้แล้ว”

      “สั่งสอนเลยเหรอครับ....หึหึ”   

      ปอหัวเราะในคอ คู่นี้มีอะไรให้ปอแปลกใจได้เรื่อย ๆเลยนะ มันก็จริงที่พี่นิวชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย

บ่อยครั้งที่ปอเคยเห็นพี่นิวดุพี่นูเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็ก แต่ถึงกับสั่งสอนนี่ยังไม่เคย

      “นิวเค้าเป็นคนจริงจังนะ แต่ถ้าไม่เป็นแบบนี้ก็คงจะเอานูไม่อยู่เหมือนกัน”

      “แล้วผมล่ะครับ”

      อยู่ ๆปอก็ถามถึงตัวเองขึ้นมาปืนเลยตอบไม่ถูก

      “ปอทำไมเหรอ”

      ปอเงียบไป แล้วกลับซบหน้ากับหมอนถามเสียงอู้อี้   
   
      “พี่ปืนเอาผมอยู่มั้ย”

      ข้อความที่พี่ปืนตอบมา แม้ว่าปอจะไม่เห็นหน้า แต่ก็รู้ว่าคนพูดคงจะพูดทั้งที่ยิ้มจนปากฉีกแหละ

      “ใครเอาใครอยู่กันแน่....หือ.....พี่ต่างหากที่ปอเอาซะอยู่หมัดเลย รู้มั้ย”

      ต่อจากประโยคนั้น ปอก็รู้สึกถึงรอยประทับ เบา ๆตรงจุดที่ปวดระบม ปอหลับตาพริ้ม

เมื่อสัมผัสนั้นส่งผ่านไออุ่นอันนุ่มนวลมาให้ จนรู้สึกวูบวาบซาบซ่านไปถึงข้างใน

      “อ้ะ....เสร็จแล้ว นอนได้”

      พี่ปืนผละออก พร้อมกับดึงผ้าขนหนูมาปิดให้เหมือนเดิม

      เหมือนจะมีกระแสไฟฟ้าบาง ๆ ไหลเวียนอยู่รอบ ๆตัวปอ จนทำให้แขนขาชาขยับไม่ได้

จะโวยวายว่าพี่ปืนฉวยโอกาสล่วงเกินก็พูดไม่ถนัด ด้วยว่าสิ่งที่เพิ่งผ่านไปมันช่างอ่อนโยน อบอุ่นละมุนหัวใจเหลือเกิน

ขอเวลาเลี่ยงออกไปให้ห่าง ๆเตียงนอนเพื่อตั้งหลักให้ดีก่อนดีกว่า

ไม่งั้นความตั้งใจจะวัดใจพี่ปืนที่อุตส่าห์ตกลงกันไว้มีอันได้พังทะลายกันคืนนี้แน่

      “ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

      “ไม่ต้องอาบแล้ว ดึกเกินไปอากาศเย็นเดี๋ยวจะไม่สบาย ก็ได้อีกซักเรื่องหรอก แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็พอแล้ว”

      “งั้นผมขอไปล้างหน้าหน่อยนะครับ”

      “เร็ว ๆนะ พี่ง่วงแล้ว”

   ปอออกไปล้างหน้าในห้องน้ำ กลับมาถึงได้เห็นคนบ่นว่าง่วง นอนแผ่อยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
 
จากที่เดินไปกลับห้องนอนกับห้องน้ำ ปอเพิ่งจะสังเกตว่าอาการเคล็ดขัดยอกค่อยยังชั่วขึ้นมากเลย

ฝีมือนวดใช้ได้เหมือนกันนะพี่ปืนเนี่ย


     
   อีกแล้วที่ปอรู้สึกเหมือนกำลังถูกรบกวนกลางดึก พอลืมตามาดู ก็ไม่ผิดจากที่คิดเลย

เผลอไม่ได้เลยเชียวพี่ปืนนี่

      “พี่ปืน!”

      ปอผลักพี่ปืนจนหงายกลับลงไปนอน และส่งเสียงให้ดังเท่าที่จะดังได้ในเวลาดึกอย่างนี้ โดยไม่ให้รบกวนห้องข้าง ๆ

      “อีกแล้วนะครับ”

      ปอลุกออกจากเตียงเดินไปเปิดไฟกลางห้อง ไม่กลัวแล้วเรื่องเปลืองไฟ ยังไงพรุ่งนี้ก็จะกลับอยู่แล้ว

คงไม่มีความจำเป็นอะไรมากมายที่จะต้องใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟ

      “พี่รักปอ อย่าห้ามพี่เลยนะ ให้พี่ได้กอด ได้จูบปอบ้างเถอะ อกพี่จะระเบิดอยู่แล้ว”

      “แต่เราตกลงกันแล้ว”

      “ปอไม่เห็นใจพี่บ้างเหรอ พี่อยู่ใกล้ปอทีไร พี่ก็อยากกอด อยากจูบ เหมือนคู่อื่นเค้าทำกัน”

      ไม่ต้องมาอ้างคู่อื่นเลย ที่เห็นนี่ก็มีอยู่คู่เดียวแหละ

      “พี่ปืนจะเอาอย่างเค้าได้ไง เรื่องของเรามันเหมือนคู่อื่นเค้าที่ไหนล่ะ”

      “แล้วปอไม่สงสารพี่เหรอ ที่พี่ต้องทนดูคนอื่นเค้ารักกัน เห็นแล้วพี่อิจฉาแทบบ้าปอรู้มั่งมั้ย”

      ทำไมจะไม่รู้ ปอเองก็ไม่ต่างจากพี่ปืนหรอก แต่พี่ปืนยังพิสูจน์ตัวเองไม่พอ ปอหวั่นใจอยู่นี่นา

ขอเวลาให้ปอได้ทำใจอีกหน่อย แล้วปอจะตามใจพี่ปืนทุกอย่าง ไม่เกี่ยงเลย

      “ไหนพี่ปืนบอกว่าจะไม่ขออะไรมากไงอ่ะ”

   ปอสวนคำหน้าง้ำหน้างอ

   “ถ้าแค่คำว่ารัก เราไม่ต้องพูดกันก็ได้ไม่ใช่เหรอ เราสองคนรู้อยู่แก่ใจว่าเรารักกันมันก็น่าพอแล้ว  นะปอนะ”

      “แต่สำหรับผมมันมีความหมายมากนะครับ อย่างน้อยมันก็ยืนยันการกระทำที่เรามีต่อกันว่า

ไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์เพียงอย่างเดียว”

      “สำหรับปอพี่ทำไปเพราะรัก เรื่องอย่างว่า พี่ไปหาเอาที่ไหนก็ได้ แต่พี่ไม่ทำเพราะพี่อยากให้ปอรู้ว่าพี่รักปอ

ให้เกียรติปอ แล้วก็ไม่มีวันจะมีคนอื่นได้อีก พี่อดทนรอให้ปออนุญาตให้พี่ได้รักปอ แต่ทำไมปอไม่สงสารพี่บ้างเลย

อยากให้พี่ทำแค่ไหน ปอบอกมาหน่อยเถอะ อย่าให้พี่รออย่างไม่มีจุดหมายอย่างนี้เลย”

      “ขอเวลาผมอีกหน่อยได้มั้ยครับ ผมก็อยากให้พี่ปืนมีความสุข แต่ว่าเรื่อง....นั้นน่ะ

มันต้องมาจากการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดฉวยโอกาสเอาแต่ใจฝ่ายเดียวอย่างนี้”

      “พี่ไม่ได้ฉวยโอกาสนะ ถ้าจะพูดให้ถูก พี่มีสิทธิ์ที่จะยุ่งกับปอได้ตั้งนานแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนมาเที่ยว ที่นี่ด้วยซ้ำไป”

      “พี่ปืนมีสิทธิ์อะไร”

      ปอสะดุดหูกับคำอ้างลอย ๆ นั้น ก็เลยเถียงคอเป็นเอ็น คนอะไรฉวยโอกาสกับเค้าแล้วยังมาพูดว่าตัวเองมีสิทธิ์

อย่างนี้มันน่าโมโหน้อยซะเมื่อไหร่ เมื่อตะกี้ปอก็เกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วเชียว

      “ก็ปอไม่ใช่เหรอที่ให้สิทธิ์พี่ ถ้าพี่ทำให้ปอพูดคำว่ารักอีกครั้งน่ะ”

      “ก็ใช่ครับ แล้วผมพูดคำนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”

      “พี่ได้ยินปอละเมอ”

      “ละเมอ? จะบ้าเหรอพี่ปืน อย่ามาโมเมนะ ผมไปละเมอให้พี่ปืนได้ยินตอนไหน ในเมื่อเราแยกห้องกันนอนน่ะ”

      ไม่มีทาง....พี่ปืนนี่เจ้าเล่ห์ไม่หาย ต่างคนต่างนอนจะมาได้ยินได้ยังไง

จะบอกว่าปอละเมอเสียงดังทะลุกำแพงห้องก็ใช่ที่ ถ้าเสียงมันดังขนาดที่พี่ปืนได้ยิน

ปอเองนั่นแหละที่จะต้องตกใจตื่นเพราะเสียงตัวเอง

      “มีอยู่คืนนึงพี่ไม่ได้นอนที่ห้องอ่ะ”

      พี่ปืนพูดเสียงอ่อย ๆ

      “พี่ปืนแอบเข้ามานอนในห้องผม?”

      พี่ปืนพยักหน้า ด้วยสีหน้าอย่างคนที่ทำผิดแล้วจำเป็นต้องสารภาพ เพราะถูกจับได้

      “แต่ที่จริงปอไม่ได้ห้ามพี่เข้าห้องใช่มั้ยล่ะ”

      ปอจะบอกว่าห้ามก็ยั้งปากไว้ทัน เพราะถึงยังไงพี่ปืนก็เป็นเจ้าของบ้าน พูดแบบนั้นมันก็ก้าวร้าวจนเกินไป   

      “แต่พี่ไม่ได้นอนนะ“

      “แล้วพี่ปืนเข้าไปทำอะไรในห้องผม”

      “พี่ขอแค่ได้นั่งมองปอ ได้เห็นปอเวลานอนหลับพี่ก็มีความสุขแล้ว”

      พี่ปืนก้มหน้างุด ๆพูดเสียงสั่นเครือ อาการยังกับนกเจ็บแบบนั้นทำเอาใจปออ่อนยวบ

      “เอาเถอะ ถ้าปอไม่อยากให้พี่สัมผัสตัวปอ ต่อไปพี่จะไม่ทำอีกแล้ว

พี่ขอโทษที่ทำให้ปอไม่สบายใจ หวาดระแวงในตัวพี่

ต่อไปนี้ก็แล้วแต่ปอก็แล้วกัน พี่ยอมหมดทุกอย่างแล้ว”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 00:34:24
      สองคนนอนหันหลังให้กันในความมืดปล่อยให้ราตรีกาลผ่านไปอย่างช้า ๆด้วยความทรมาน
 
กว่าจะมาถึงวันนี้ คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของตัวเอง ต่างเพิกเฉย ปล่อยให้เวลาผ่านไป

ซึมซับไว้เพียงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง แล้วก็ผลัดกันวิ่งไล่ตามหัวใจตัวเอง เมื่อตระหนักว่าที่แท้แล้วมันคือความรัก....

.......รักที่ไม่หวังสิ่งใด  ขอเพียงได้อยู่ใกล้คนที่รัก ได้ประจักษ์แก่สายตาว่าคนที่เรารักมีความสุข


        เพราะเหตุนี้กระมัง ต่างคนจึงต่างมองไม่เห็นความปรารถนาของอีกฝ่ายว่าแท้ที่จริงคืออะไรกันแน่

 ไม่เคยรู้ว่าความปรารถนาดีของตนเอง หาใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการไม่

        ความจริงแล้ว ถ้าปอจะมองลึกเข้าไปในหัวใจตัวเองคงได้คำตอบว่า

    ณ วันนี้ คนสองคนใจตรงกัน มีความปรารถนาเดียวกัน ก็แล้วมันเรื่องอะไรถึงจะต้องสร้างเงื่อนไข

เพื่อยื้อเวลาแห่งความสุขสมให้มันเนิ่นนานออกไป....

....บางครั้งมนุษย์ก็ลืมคิดไปว่า ช่วงชีวิตมิได้ยาวนานชั่วนิรันดร์!!!
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 00:36:01


       สามวันกับสองคืนที่บ้านพักริมลำธาร เรียกพละกำลังคืนกลับมาได้มากมาย พร้อมที่จะกลับไปต่อสู้กับภาระหน้าที่ที่รออยู่ข้างหน้า

คงเพราะบรรยากาศที่สดชื่นท่ามกลางธรรมชาติแบบป่าเขาลำเนาไพร ประกอบกับความเงียบสงบ

ทำให้จิตใจสบาย ทุกคนดูสดชื่น หน้าตาแจ่มใส

    คงมีแต่พี่ปืนที่ดูยังไง ๆ ก็ไม่สดชื่น หน้าตาหงอยเหงา ขอบตาก็ดูเหมือนจะคล้ำลง

ปอรู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่ปืนดูเหมือนคนอมทุกข์ แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น

ปอกำลังเรียกความมั่นใจในตัวพี่ปืนกลับมา ก็ได้แต่หวังว่าพี่ปืนจะไม่ถอดใจไปซะก่อน

เพราะที่จริงแล้วปอเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร


       กลับมาจากการพักผ่อนหนนี้แล้ว ความจริงทุกอย่างน่าจะเข้าที่เข้าทางเหมือนที่มันเคยเป็น แต่ก็ไม่.....

   พี่ปืนจัดการขนเครื่องนอนของตัวเองมาห้องปอ แล้วก็ปักหลักอยู่อย่างนั้นไม่ยอมกลับไปห้องตัวเอง

      ....ขอแค่นี้น่ะ ให้พี่ได้มั้ย....

       นั่นน่ะสิ....แล้วจะให้ปอปฎิเสธยังไง

  เตียงปอก็กว้างแค่นอนคนเดียวสบาย ๆ มีคนตัวโต ๆมานอนร่วมด้วย มันก็ต้องกระทบกระแทกกันมั่งนิด ๆหน่อย ๆ

ปอน่ะไม่เดือดร้อนหรอก เพราะไม่ใช่คนนอนดิ้นกินที่กินทาง คนที่แขนขายาวนี่สิ คงจะอึดอัดน่าดู

แต่ก็เห็นพี่ปืนทนนอนอยู่ได้ ปอสงสารก็เลยเปิดแอร์ทุกคืน

เรื่องอดทนของพี่ปืนก็เลยมีแค่เรื่องเดียวคือ พยายามที่จะไม่แตะต้องปอ

      เห็นคนตัวโต ๆเดินไปเดินมาในห้องของตัวเอง พื้นที่ที่เคยรู้สึกว่ากว้างก็แคบไปถนัด

เตียงนอนที่เคยนอนกลิ้งเกลือกหลังจากตื่นนอนแล้วยังไม่อยากลุกขึ้น ก็ทำไม่ได้เหมือนเคย

แต่ปอก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยเบื่อหน่าย หรือรำคาญเลยแม้แต่น้อย

เพราะสิ่งที่ได้มาทดแทนคือการที่ปอได้เห็นพี่ปืนแทบจะตลอดเวลา ทั้งยามหลับและยามตื่น

ความสุขและความอิ่มเอมใจที่ได้รับทำให้ปอยื่นข้อเสนอใหม่ ตอนที่กำลังใช้เวลาร่วมกันบนโต๊ะอาหารเช้า

      “พี่ปืนย้ายกลับไปนอนห้องโน้นเถอะ”

      ไม่ได้ไล่หรอก แต่ปอก็ทำหน้าจริงจังซะคู่สนทนาหน้าสลดถึงกับวางช้อนกินอะไรไม่ลงไปเลย

      “อืม....คืนนี้นะ”

      “เตียงผมมันเล็กนิดเดียว นอนกันสองคนแล้วอึดอัดน่ะครับ”

      ปออธิบายขยายความต่อไป ในขณะที่มือก็เก็บจานเปล่าของตัวเองที่กินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เป็นเวลาเดียวกับที่อีกคนวางช้อนทั้งที่อาหารยังเต็มจาน

      “พี่เข้าใจ”

      “พี่ปืนกลับไปนอนห้องตัวเอง จะได้เป็นตัวของตัวเองนะครับ ไม่ต้องนอนขดให้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว”

      ปอยังพูดต่อ หางตาคอยสังเกตพฤติกรรมอีกฝ่ายที่ดูหงอยไปถนัด หลังจากได้ฟังข้อเสนอใหม่ของปอที่แกล้งทิ้งค้างไว้แค่นี้

ทั้งที่จริงยังมีต่อ

      “อิ่มแล้วเหรอครับ ทำไมวันนี้เหลือเยอะจัง”

      “พี่อิ่มแล้ว”

      พี่ปืนขยับลุกออกจากโต๊ะอาหาร ปอส่งสายตามองตามหลังไปแล้วรู้สึกใจไม่ดีสักเท่าไร

เห็นตาแดง ๆ คู่นั้นแล้วก็นึกสงสารซะจนอยากจะเฉลยให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ยังก่อน.....

ปออยากลองดูอีกสักนิด....ที่พี่ปืนบอกว่า ปอเอาพี่ปืนซะอยู่หมัดเนี่ย มันจะขนาดไหนกัน


      ได้เวลานอนปอก็เข้าห้องนอนของตัวเองตามเวลาปกติ แต่คืนนี้สภาพห้องแปลกออกไป

เพราะไม่มีเครื่องนอนอีกชุด ที่เคยวางเคียงกันบนเตียง ซึ่งปอก็คาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้

ตั้งแต่ตอนที่กินข้าวเสร็จเมื่อหัวค่ำ แล้วพี่ปืนขอตัวขึ้นบ้านก่อน รอยยิ้มสมใจผุดขึ้นน้อย ๆ ที่ริมฝีปาก

ปอไม่ใช่คนชอบแกล้งคน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำอะไรบ้างนิด ๆหน่อย ๆ เวลาที่เราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นต่อใครอีกคน

เพื่อจะย้ำความมั่นใจให้ตัวเอง ว่าเราเป็นคนสำคัญของใครคนนั้นจริง ๆ....มันก็แค่นั้นเอง


      ประตูห้องเปิดออก เมื่อเสียงเคาะครั้งที่สองสิ้นสุดลง

  คนตัวโตที่อยู่ตรงช่องประตู หัวยุ่ง หน้ายุ่ง สีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่แววตานั่นตัดพ้อจนปอรู้สึกได้

      “มีอะไร”

      ปอไม่ตอบ แต่ผลักร่างหนาเบา ๆ ออกไปให้พ้นทาง แล้วเดินเข้าไปหน้าตาเฉย เหมือนกำลังเดินอยู่ในที่ทางของตัวเอง

      “จะทำอะไรน่ะ”

      แน่ะ...อย่ามาทำเสียงแข็งอย่างนี้นะ

      “มานอนไงครับ นอนกันเหอะพี่ปืน”

      ปอพูด แถมยังอ้าปากหาวใส่ซะอีก

      “อย่ามาเล่นตลกกับพี่แบบนี้นะปอ”

      “แล้วผมบอกว่าตลกตอนไหนล่ะครับ มานอนกันเหอะพี่ปืน ปิดไฟด้วยนะครับ มันแยงตาผมอ่ะ”

      ปอล้มตัวลงนอนบนหมอนอีกใบที่ยังไม่มีรอยบุ๋ม คว้าหมอนข้างที่มีอยู่ใบเดียวมานอนกอด

หันหลังให้พื้นที่ว่างที่เป็นที่สถิตย์ของอีกคน แล้วก็หลับตาลงเป็นการตัดบทให้ทำตามที่บอกซะดี ๆ

สักพักก็รับรู้ได้ว่าห้องนอนตกอยู่ในความมืดแล้ว

  ที่นอนข้าง ๆยุบตัวลง ปอหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว และรอคอยอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
 
รออยู่นานก็ไม่เห็นจะมีอะไรเคลื่อนไหวก็เลยหันมามองคนที่เพิ่งล้มตัวนอนข้าง ๆ

นัยน์ตาสองคู่จ้องตอบกัน ต่างก็นิ่งเหมือนจะหยั่งเชิงอีกฝ่ายว่าใครจะเอ่ยอะไรออกมาก่อน

แต่นั่นแหละ ปอเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองเป็นเบี้ยบน ก็เลยรอเวลาให้เบี้ยล่างทุรนทุรายมากขึ้นจนทนไม่ไหวเอง

      “ทำกับพี่แบบนี้ทำไม สนุกมากใช่มั้ย”

      น้ำเสียงเรียบเรื่อย ถึงจะไม่บอกอารมณ์ แต่ประโยคที่พูดออกมาแสดงความน้อยอกน้อยใจของคนพูดได้อย่างไม่ต้องปิดบัง

      “พี่ปืนไม่อยากให้ผมมานอนด้วยเหรอครับ”

      “ถ้าจะย้ายมาห้องนี้ทำไมไม่พูดให้ชัด ๆตั้งแต่เมื่อเช้า ปล่อยให้พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่ได้ทั้งวัน”

      ปอยิ้มยั่วแล้วพลิกตัวกลับมานอนท่าเดิม แต่ในเมื่อเริ่มเรื่องไว้แบบนี้ อีกคนก็คงจะขัดอกขัดใจไม่น้อย

ถึงได้รั้งไหล่ปอให้หันกลับมาหาตัวเอง

      “รู้มั้ยว่าพี่ทำงานอะไรแทบไม่รู้เรื่องเลย คอยแต่จะนึกว่าปอเป็นอะไรไป พี่ไปทำให้ปอไม่พอใจตอนไหน

ถึงได้ไล่พี่กลับมานอนที่ห้อง ทั้งที่พี่ขอไว้แล้ว ปอก็ไม่เคยปฏิเสธ มีความสุขมากเหรอ ที่ได้ปั่นหัวพี่ให้หมุนเป็นลูกข่างแบบนี้น่ะ”

      เอ่อ...ดูท่าเรื่องราวมันจะไปกันใหญ่

      “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับพี่ปืน ผมก็แค่จะดูปฏิกิริยาของพี่ปืนแค่นั้นเอง”

      “แล้วเป็นยังไง พี่ดูเหมือนไอ้งั่งมากมั้ย”

      “ไม่เอาครับพี่ปืน อย่าพูดอย่างนี้”

      ปอใจไม่ดี เสียงก็พาลจะสั่น ๆ กลัวพี่ปืนจะโกรธ

แค่ตอนนี้ที่รู้ว่าพี่ปืนน้อยอกน้อยใจ ปอก็นึกเสียใจอยู่เหมือนกันว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่า

ปอเอื้อมมือไปลูบแก้มสากของคนขี้น้อยใจเบา ๆ แต่ดึงกลับมาไม่ได้เพราะถูกจับไว้แน่น

แถมยังพยายามออกแรงดึงปอเข้าไปใกล้ ๆซะอีก ปอยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เพราะใจจริงก็อยากขอโทษที่เล่นแรงเกินไป

และอันที่จริงปอก็ใจอ่อนลงเยอะแล้วด้วย ยิ่งเวลาที่พี่ปืนใช้คำพูดว่าร้ายตัวเอง ปอยิ่งไม่อยากฟัง

      “ผมขอโทษที่ทำให้พี่ปืนไม่สบายใจไปทั้งวัน แต่ผมไม่มีเจตนาจะปั่นหัวนะครับ”

      ปอพยายามพูดให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น และหายน้อยใจซะที เพราะแผนต่อไปของปอก็ต้องอาศัยพี่ปืนมากอยู่

นี่ปอก็ลงมือปักเสาตอม่อแล้ว กำลังจะทำราวสะพานค่อย ๆทอดไปให้ถึงพี่ปืนทีละน้อย

แต่พี่ปืนก็ต้องช่วยปอบ้าง ช่วยปูพื้นสะพาน แล้วเดินข้ามมาเองได้มั้ย

      “จริงนะ”

      น้ำเสียงออดอ้อน น่าหมั่นไส้ซะจนปอคิดว่า ถ้าแกล้งตอบไปว่า...ไม่จริง...คนตัวโตจะรีบพลิกตัวหันหลังให้หรือเปล่าหนอ....

แต่ยังไงปอก็ยังไม่อยากลองตอนนี้หรอก พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ยังมีเวลาเล่นเอาเถิดกับพี่ปืนทั้งวัน

      “จริงครับ พี่ปืนอย่าน้อยใจนะครับ ผมอยากให้พี่ปืนเซอร์ไพรส์ ตอนที่ผมเคาะประตูห้องขอมานอนด้วยน่ะ”

      “เซอร์ไพรส์มากเลย....พี่น้อยใจว่าทำไมปอถึงใจร้ายกับพี่ได้ลงคอ ทั้งที่พี่ก็ยอมหมดทุกอย่างแล้ว

ปอไม่รู้หรอกว่า พี่ทรมานแค่ไหน ที่ทำได้แค่นอนมองปอเฉย ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่มือเอื้อม

แต่พี่กอดปอก็ไม่ได้ จะจูบปอก็ไม่ได้ อย่าว่าจะทำอะไรต่ออะไรที่มันมากไปกว่านี้เลย”

      อย่าดีกว่า ปอรู้นะว่า พี่ปืนแอบหากำไรตอนที่คิดว่าปอหลับน่ะ ก็แค่ปอไม่อยากกระโตกกระตากแค่นั้นเอง

(ก็รออยู่เหมือนกันแหละปอ ทำปากแข็งใจแข็งไปอย่างงั้นเอง...นู)

      ปอชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กดริมฝีปากกับข้างแก้ม แล้วถอยห่างออกมา

      “ทำไมอ่ะ ตอนนี้รักพี่แล้วเหรอ นึกอยากจะบอกรักพี่แล้วใช่มั้ย”

      พี่ปืนเลยได้ใจ พูดจบปุ๊บก็พลิกตัวขึ้นเหนือร่างปอทันที แล้วทำท่าจะเรียกร้องอะไรมากกว่าที่ปอจะให้ได้

  “ฮื้อ เอาทีละอย่างสิพี่ปืนก็.....โลภนะเนี่ย”

   ปอยันหน้าพี่ปืนด้วยฝ่ามือเมื่อเห็นท่าแล้วว่าพี่ปืนกำลังเดินเกมต่อ ถึงปอจะอยากให้พี่ปืนเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาปอบ้าง

อย่าให้ปอเป็นฝ่ายเดินเข้าหาอยู่ข้างเดียว แต่ไม่ได้คิดว่าพี่ปืนจะรุกเร็วอย่างนี้นี่นา

      “ก็แค่อยากขอชื่นใจบ้าง ปอจะใจดำกับพี่เหรอ พี่ใจเสียตั้งแต่ตอนที่ปอให้พี่กลับมานอนที่ห้องแล้วนะ จะไม่รับขวัญพี่หน่อยเหรอ”

      ปอจิ้มปากลงไปที่แก้มอีกทีเร็ว ๆ

      “ทำอะไรน่ะ ยังไม่ทันจะรู้สึกเลย”

      ปอค้อนเข้าให้ แต่พี่ปืนจะเห็นมั้ย??

      “ไม่อนุญาตพี่จริง ๆเหรอ”

      ปอส่ายหน้าไปมาบนหมอนหนุน ตาสบตาอีกฝ่ายแน่วนิ่ง บอกความตั้งใจที่ไม่เปลี่ยนแปลง

      “พี่มันแย่เนอะ”

      ร่างใหญ่หงายกลับลงไปนอนที่เดิมของตัวเอง บ่นว่าตัวเองประชดปออย่างไม่จริงจังนัก แต่ก็ดูจะยอมรับได้

      “นอนกันเหอะพี่ปืน บางทีพรุ่งนี้อาจจะมีอะไรดี ๆรออยู่ก็ได้นะครับ”

      “อืม...ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ สำหรับพี่ตอนนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าได้นอนกอดปอแล้วล่ะ”

      พี่ปืนพูดแล้วก็นอนหันหลังให้ปอ...ถ้าเป็นปอก็คงทำแบบเดียวกัน

 ในเมื่อจะกอดก็กอดไมได้ สู้หันหลังให้จะได้ไม่ต้องเห็นกันซะเลย แบบนี้มันยังจะดีซะกว่า

      ปอค่อย ๆขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่ออกอาการน้อยใจ สอดแขนโอบรอบเอวพี่ปืนก่อนจะนอนซุกหน้ากับแผ่นหลังกว้าง

      “ผมไม่ให้พี่ปืนกอดเพราะผมอยากเป็นฝ่ายกอดพี่ปืนมากกว่านี่ครับ”

      ริมฝีปากนุ่มสีชมพูอ่อน แตะเบา ๆ ไปบนแผ่นหลังที่มีเพียงผ้าฝ้ายเนื้อบางกั้น

  มือใหญ่ที่อบอุ่นแข็งแรงกุมมือของตัวเองไว้เหมือนจะยึดไว้ไม่ให้ปอเปลี่ยนใจถอยกลับไปนอนที่เดิมได้

ปออยากจะย้ำให้พี่ปืนรู้จัง ว่าไม่ต้องจับแน่นขนาดนั้นก็ได้

แค่นี้ปอก็ติดบ่วงพี่ปืนจนแม้แต่จะถูกไล่ออกจากบ้านเหมือนเมื่อก่อน ปอก็ไม่ยอมอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 00:37:41


   เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว ตอนใกล้รุ่งสาง ไม่ได้ปลุกปอให้ตื่น เพราะปอตื่นก่อนไก่นานแล้ว

ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่นอนมองเงาที่ทอดร่างเคียงกันแทบไม่วางตา นึกย้อนไปถึงตอนแรกที่ได้รู้จัก

ภาพหลายภาพที่ผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ทำให้ปอยิ้มได้อย่างมีความสุข

แม้ว่าภาพที่กำลังนึกถึงอยู่ จะเป็นตอนที่คนสองคนไม่เข้าใจกัน และทำร้ายกันโดยไม่ตั้งใจ

เพราะไม่รู้ว่าที่แท้แล้วต่างก็มีใจตรงกันอย่างน่าแปลก


      ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่ปืนรักปอแบบไหน เห็นพูดได้พูดดีว่า ป๊ากับแม่ไว้ใจให้คอยดูแล

แล้วนอกจากคืนนั้นบนรถไฟ ก็ไม่มีอะไรให้ปอแน่ใจได้สักอย่างว่า พี่ปืนจะรักปอได้มากกว่าคำว่า “น้องชาย”

ขนาดปอลงทุนสารภาพรักก่อน พี่ปืนก็ไม่รับรักปอสักคำ จนปอทำใจไปแล้วว่า แค่ได้อยู่ใกล้กัน ได้ดูแลกันก็พอ

      แต่ความรู้สึกตอนนี้มันยิ่งกว่าความฝันซะอีก

ภาพที่เห็นตรงหน้า เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอแผ่วเบา ย้ำให้ปอแน่ใจว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน

ปออยากจะปลุกคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นมารับรู้ถึงความตื้นตัน ความอิ่มเอม ที่ทำให้ปอรู้สึกสุขซะจนล้นใจในตอนนี้

      อยากถามว่า....พี่ปืนรู้สึกเหมือนผมมั้ย....


      ปอเคยหวั่นไหวกับความสัมพันธ์แปลกใหม่ระหว่างเพศเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ความหวั่นกลัว

ก็แค่ยังไม่รู้ว่าจะวางตัวเองยังไงในสังคมที่ไม่ค่อยจะยอมรับเรื่องรักแบบนี้นัก

แต่ถ้าเทียบกันระหว่างสิ่งนั้น กับ การไม่มีพี่ปืน ปอว่าปอทนอย่างแรกได้มากกว่า

เพราะปอเคยได้ลิ้มรสมาแล้วว่า การที่อยู่โดยไม่มีพี่ปืนเป็นความเหงาและว่างเปล่าอย่างร้ายกาจ

ยิ่งช่วงเวลาที่ปออยู่ตามลำพัง เพราะถูกพี่ปืนเสือกไสให้ออกห่าง ปอก็ยิ่งแย่

ทั้งต้องทนเหงา และอ้างว้าง อยู่กับความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะกำจัดออกไปได้ยังไง

ซ้ำยังต้องพยายามช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความคิดถึงห่วงหาอาวรณ์ให้เร็วที่สุด

ทั้งที่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันยากเย็นแสนเข็ญเพียงไหน


      มาตอนนี้ ปอไม่อยากต้องกลับไปเผชิญกับความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว

สำหรับปอความรักที่ค่อย ๆ เกิดและผลิบานในหัวใจ มันมีค่ามากมายเกินกว่าที่ปอจะยอมสูญเสียไปอีก

ส่วนพี่ปืน....หวังว่า คงจะคิดไม่ต่างกัน เวลาที่ผ่านมาคงเป็นบทเรียนสำหรับคนสองคนได้ดี

เมื่ออยากได้ก็ไขว่คว้า แต่เมื่อคว้ามาได้ คงไม่มีใครโง่พอจะปล่อยมันให้หลุดมือไปอีก

อย่างน้อยการทนุถนอมสิ่งนั้นก็เป็นทางเลือกที่ดี แม้ว่าวันข้างหน้าจะยังมองไม่เห็นเส้นทางรักสายนี้ว่าจะมุ่งไปทางไหนก็ตาม

       ปอชะโงกหน้าไปสัมผัสแก้มสากเบา ๆ

   ....ยังอีก....ยังไม่รู้สึกตัว แสงของฟ้ายามสาง ลอดหน้าต่างเข้ามาขับไล่ความมืดออกไปบางส่วน

จนพอมองเห็นใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ ไรหนวดเหนือริมฝีปากเป็นสีเข้ม รอยเขียวที่ขากรรไกรจนถึงคางก็เริ่มจะชัด

เห็นแล้วอยากเอามือไปลูบอีกนั่นแหละ แต่ใช้มือลูบมันก็คงจะธรรมดาไป

      ปอแนบแก้มไล้ไปมาที่ขากรรไกรของคนที่กำลังนอนหลับช้า ๆ มีเสียงอืออาที่แปลไม่ออกว่ารู้สึกชอบหรือไม่ชอบ

แต่การที่ไม่เบี่ยงหน้าหนีก็พอจะเดาได้ว่าไม่รังเกียจ

  ปอปัดจมูกตัวเองไปมากับจมูกโด่งเป็นสันของคนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาแต่นอนท่าเดียว

คราวนี้ได้ผลมากขึ้นอีกหน่อย แขนข้างหนึ่งตวัดร่างของปอ แล้วเหนี่ยวให้ลงมานอนแนบอก

ใบหน้าปอเสมอหน้าอกพี่ปืนพอดี สาบเสื้อนอนผ้าฝ้ายแบะออกจนเห็นแผงอกที่มีไรขนบาง ๆ

ปลายนิ้วเรียวขาวแหวกสาบเสื้อให้กว้างออก เล่นปูไต่ไปบนเนื้อหนังตึงแน่น

      “อื๊อ...จั๊กกะจี้”

      เสียงบ่นพึมพำเบา ๆ ของคนที่ยังไม่ยอมลืมตา ยั่วให้ปออยากสนุกต่อ

นิ้วสองนิ้วช่วยกันแกะกระดุมออกจากรังช้า ๆ จนสาบเสื้อแยกออกจากกัน

เผยให้เห็นแนวขนบาง ๆ ที่ไต่ลงมาจากแผงอก เลื้อยเข้าไปใต้ขอบกางเกง

ชวนให้นึกถึง.....อีกมากมายที่หลบอยู่ใต้ผ้าฝ้ายท่อนล่าง

      “ซนนักนะ ทำไมไม่ต่อล่ะ”

      เสียงคนนอนหลับพูดซะชัดหูเชียว เมื่อปอชะงักมือไว้แค่รังดุมเม็ดสุดท้าย

      “พอละ”

      ปอสะบัดตัวออกจากการโอบรัดหลวม ๆ คนโอบไม่ทันตั้งตัวก็เลยหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

      “จะรีบไปไหน ยังไม่สว่างเลย นอนต่ออีกหน่อยเหอะ”

      เสียงชักชวนไม่ได้ส่ออาการงัวเงียซักนิด

      “ไม่อ่ะครับ ผมตื่นแล้ว นอนไม่ลงแล้วล่ะครับ พี่ปืนนอนต่อนะ ผมจะลงไปเตรียมอาหารเช้า”

      “อืม....ซักเจ็ดโมงมาปลุกพี่ด้วยนะ”

       ปอปล่อยให้คนง่วงนอนได้พักผ่อนต่อ หมายมาดไว้ในใจว่า เตรียมอาหารเช้าเสร็จก่อนเถอะ ปอจะมาต่อจากที่ทิ้งค้างไว้



   แต่ที่ไหนได้ พอปอทำอาหารเสร็จ กะว่าจะขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็จะปลุกพี่ปืนให้ลงไปข้างล่าง

เช้านี้จะได้ช่วยกันตัดแต่งกิ่งไม้ที่รก ๆออกซะบ้าง แต่พี่ปืนลุกหนีหายไปไหนก็ไม่รู้ ห้องนอนก็เท่านี้จะไปไหนได้

พอหมุนตัวกลับก็เจอกับอ้อมกอดที่อ้าแขนรออยู่ก่อนแล้ว

      “เล่นซนไว้กับพี่ตะกี้น่ะ คราวนี้พี่จะเอาคืนแล้วนะ”

      กลิ่นหอมอบอวลของผิวเนื้อ ทำให้ปอรู้ว่าพี่ปืนคงตื่นนานแล้วจนใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวซะเรียบร้อย

ในขณะที่ปอยังมีกลิ่นตุ่ย ๆ ไหนจะกลิ่นน้ำมันจากการทำอาหารอีกล่ะ

      “เอาเปรียบผมอ่ะ ตัวเองอาบน้ำแล้ว ปล่อยให้ผมอยู่ในครัวง่วนคนเดียวไม่ลงไปช่วยบ้าง”

      “ถ้าลงไปจะเจออะไรดี ๆเหรอ”

      “อะไรครับ”

      ปอทำหน้างง แล้วก็ต้องตาโต เมื่อเห็นว่า พี่ปืนละมือที่โอบปอเลื่อนมาตรงหน้า และมีอะไรติดมือมาด้วย

เมื่อตะกี้ปอก็มัวแต่สนใจหน้าคม ๆ ที่ส่งยิ้มจนตาเยิ้มมาให้ซะจนไม่ทันได้ดู

      “อะ....เอามานะ”

      ปอคว้าของที่อยู่ในมือพี่ปืนแต่ไม่ทัน เพราะคนที่ถือว่าตัวโตกว่าชูขึ้นสูงจนปอเอื้อมไม่ถึง

      “ทันมั้ย”

      พี่ปืนหัวเราะร่า แต่ปอตอนนี้หน้าแดงก่ำ ลามไปถึงหู คอ แล้วน่าจะลึกเข้าไปในคอเสื้อด้วย

ที่ถามว่าทันมั้ย ไม่ใช่จะถามว่าปอคว้าทันมั้ย แต่น่าจะหมายความว่า

ต่อให้แย่งของมาได้ “ความก็แตก” ซะแล้วมากกว่า

      “ของส่วนตัวของผมอ่ะ พี่ปืนทำงี้ได้ไง”

      เมื่อไม่ได้อย่างใจก็เริ่มพาลไปเรื่องส่วนตัวกันเลยทีเดียว

      “ของส่วนตัว แต่มันเกี่ยวกับพี่ด้วยนี่ ขอยุ่งหน่อยไม่ได้เหรอ”

      พี่ปืนยังคงยิ้มหน้าทะเล้นล้อเลียนปอไม่เลิก

      “พี่ปืนมาเกี่ยวอะไรด้วย อย่ามามั่ว”

      แทงใจดังฉึก ปอขอเถียงข้าง ๆ คู ๆก็เอา

      “งั้นจะให้พี่แปลว่าปอมีของพวกนี้ไว้ทำอะไรเหรอ”

      พี่ปืนยังไม่วายยั่วเย้าหยอกล้ออย่างคนเป็นต่อ เห็นแล้วปอก็ยิ่งหมั่นไส้ ทั้งฉุน ทั้งอายที่ตอบโต้อะไรไมได้

พูดอะไรไปก็มีแต่จะเข้าเนื้อ เห็นทีจะต้องถอยไปตั้งหลักก่อนแล้ว

      ปอก้มหน้าจนคางจรดอก ไม่ยอมสบตาด้วยแล้วทำเป็นพูดเหมือนไม่แคร์

      “ของธรรมดา ๆ แบบนี้ใคร ๆ เค้าก็มีกันทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นจะแปลกเลย ทำยังกะพี่ปืนไม่เคยดู”

      “ก็เคย....แต่ใครจะไปนึกว่าปอจะ....ฮ่า ๆ”

      “ขำนักรึไงเล่า...หลีกไปเลย ผมจะไปอาบน้ำมั่ง”

      ปอดันร่างหนา ๆ ออกห่าง แล้วเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำปิดประตู บังสายตาจากคนที่คอยแต่จะยั่วโมโห

เดี๋ยวเหอะ จะเอาให้ขำไม่ออกเลย

      “พี่ปืนลงไปกินของเช้าก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเสร็จแล้วจะตามลงไป”

      ปอตะโกนออกมาจากในห้องน้ำ

      “เร็ว ๆนะ พี่จะกินช้า ๆรอปอ”

      เสียงตะโกนตอบมา ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ปออาบน้ำอย่างตั้งใจ

อาบเสร็จแล้วก็เลือกใส่เสื้อกล้ามแขนเว้าแบบที่มักจะใส่ไว้เป็นเสื้อตัวใน ตามด้วยกางเกงขาสั้นเนื้อนุ่ม

แถมขากางเกงยังกว้างพอให้ลมโกรกเย็นสบายซะอีก โลชั่นกลิ่นนี้พี่ปืนเป็นคนเลือก

ปอก็บรรจงละเลงลูบไล้ไปตามแขนขาทั่วทั้งตัวจนหอมกรุ่น....งานนี้ปอเล่นไม่เลิกแน่

กะว่าจะแค่มาต่อจากที่แกล้งไว้เมื่อตอนเช้าแท้ ๆ แต่พี่ปืนไปขุดเอาความลับของปอมาเปิดเผย

แถมล้อให้ได้อายอีกต่างหาก......ทีนี้ก็รอรับผลกรรมที่ทำไว้แล้วกันนะพี่ปืน

      “รอผมนานมั้ยครับ”

      “ไม่เป็นไร พี่รอได้”

      ปอเดินโฉบเข้าไปหลังเก้าอี้พี่ปืน แล้วก้มลงกระแทกจมูกตัวเองกับแก้มพี่ปืนแบบลงน้ำหนักให้รู้ว่า จูบเค้าทำกันอย่างงี้....

  พื่ปืนทำหน้าเหวอ แต่ก็ยังยิ้มกว้างด้วยความชอบใจกึ่งแปลกใจกับสิ่งที่ได้รับ แถมมองตามปอตาปรอย

ไล่สายตาไปตามเนื้อตัวปอที่วันนี้เปิดซะจนแทบจะเปลือย

      “กินช้าจริง ๆด้วย”     

      ปอลงมือกับอาหารตรงหน้าบ้าง ตักโน่นตักนี่ให้พี่ปืนบ้าง วันนี้พี่ปืนดูจะมีทักษะพิเศษที่กินไปยิ้มไปก็ได้ด้วย....

  ....มีความสุขเข้าปายยยยย

      อาหารตรงหน้าหมดลงในเวลาไม่ช้าไม่นาน ปอเก็บจานไปล้าง หลังจากบอกให้พี่ปืนไปเตรียมกรรไกรตัดกิ่งไม้

เสร็จจากในครัวแล้วปอก็ตามไปสมทบ

      “จะให้ตัดแค่ไหนอ่ะปอ”

      พี่ปืนเงยหน้าดูกิ่งต้นเล็บมือนางที่เริ่มจะรกซะจนกิ่งห้อยลงมาระพื้นอีกแล้ว มันโตเร็วซะจริง ๆ

      “เอากิ่งที่ห้อยตกลงมาเรี่ยม้านั่งข้างล่างนี่ออกก่อนนะครับ ถ้าหายรกแล้วค่อยดูกิ่งอื่นต่อ”

      ไม่มีความจำเป็นเลยที่ปอจะต้องเดินเข้ามาจนชิดพี่ปืน แล้วเกาะแขนเกาะไหล่ ชี้นู่นชี้นี่ ให้พี่ปืนจัดการ แต่ปอก็อยากจะทำ

และพี่ปืนก็ดูจะมีความสุข มีแอบแตะหน้าผากปอด้วยจมูกมั่ง จุ๊บขมับมั่ง หาเศษหาเลยไปตามอารมณ์

   ....ทำได้ทำไป

      “เดี๋ยวพี่ปืนเปลี่ยนกระถางต้นพยับหมอกด้วยนะครับ ตอนนี้ยังไม่มีดอกจะได้ค่อย ๆ เลี้ยงตัวกับบ้านใหม่

แล้วก็ที่ริมทางเดินอ่ะครับ ถอนต้นวัชพืชออกด้วยนะ เดี๋ยวมันจะแย่งอาหารหญ้าหมด...พี่ปืนเหนื่อยมั้ย

เดี๋ยวผมจะไปเอาน้ำมาให้ แดดชักร้อนแล้วด้วย รีบ ๆ ทำนะครับสายแล้ว”

      ก่อนเดินออกมาปอก็สั่งโน่นสั่งนี่ แล้วตบท้ายด้วยกำลังใจ 1 ทีที่แก้ม ทำเอาพี่ปืนยิ้มแก้มแทบปริ

      “คร้าบบบบ”


      หัวใจเบิกบาน งานก็เดิน สารพันงานสวน(เล็ก ๆ) ที่ปอบอกให้พี่ปืนทำ เสร็จสมอารมณ์หมายในไม่ช้า

พี่ปืนทำงานด้วยความสุขซะจนไม่รู้จักว่าความเหน็ดเหนื่อยหน้าตาเป็นยังไง เพราะมีปอเดินวนไปเวียนมาอยู่ใกล้ ๆ

คอยเช็ดเหงื่อ ให้น้ำ พูดจาเล้าโลมเป็นยาชูกำลังขนานเอก ยิ่งไปกว่านั้นปอยังรู้ตัวอีกว่าตัวเองตกเป็นอาหารตาของพี่ปืนไปแล้ว

พี่ปืนคงไม่รู้หรอกว่างานนี้น่ะ ปอตั้งใจ แล้วก็ไอ้ ”ของส่วนตัว” ของปอที่พี่ปืนอุตส่าห์ไปค้นเจอจนเอามาล้อปอซะหน้าม้านน่ะ

ระวังไว้เหอะ เดี๋ยวมันจะเข้าตัว


      กว่าพี่ปืนจะได้วางมือจากงาน (ที่ถูกใช้เยี่ยงทาส) เหงื่อก็ท่วมตัว ปอก็เลยไล่ให้ไปอาบน้ำอีกรอบ

วันหยุดสุดสัปดาห์ของพี่ปืน ไม่มีอะไรให้ทำมากมาย นอกจากพักผ่อน เพราะงานบ้าน งานครัวก็มีปอดูแลให้อยู่

อีกหน่อยพอเปิดเทอมแล้ว ปอก็คงจะมีเวลาให้งานเหล่านี้น้อยลงเรื่อย ๆ

      ระหว่างที่พี่ปืนขึ้นไปอาบน้ำ ปอก็เปิดหนังไปพลาง ๆ ส่วนตัวเองก็เข้าครัวไปเตรียมอาหารเที่ยงง่าย ๆ

  วันนี้มีผัดมักกะโรนี ราดซ้อสทะเล กับต้มซุปเม็ดมะม่วงหิมพานต์สดกับกระดูกหมู ซดน้ำอย่างเดียวก็อร่อยแล้ว

      ได้ยินเสียงฮัมเพลงของพี่ปืนที่ลงมาจากข้างบนแล้ว แต่ไม่ได้เลี้ยวเข้ามาในครัว แค่นี้ก็ทำให้ปอยิ้มอย่างสาสมใจ

ป่านนี้พี่ปืนคงนั่งดูหนังที่ปอตั้งใจเปิดไว้รอท่าแล้วล่ะ

      พักใหญ่ ๆ ผ่านไปปอถึงเดินออกจากครัวเพื่อเข้าไปดูผลงานของตัวเอง แต่ไม่เห็นใครที่คิดว่าน่าจะกำลังดูหนังอยู่

ทั้งห้องกลับว่างเปล่า มีแต่ภาพโฆษณาในจอโทรทัศน์ ไม่ใช่หนังที่ปอเปิดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่แรก

      “ไปไหนหว่า”

      ยังไม่ทันจะได้เหลียวซ้ายแลขวา ภาพโฆษณาในจอก็เปลี่ยนเป็นหนัง พร้อมกับเสียงกระสันสวาทซี้ดซ้าดระเบิดออกมาจากลำโพงไม่เบานัก

      “เฮ้ย!!”

      ที่ตกใจก็เพราะตัวเองถูกพันธนาการด้วยแขนแข็งแรงจากข้างหลัง....มาจากไหนเนี่ย

      “เล่นแบบนี้กับพี่เหรอ...หือ”

      เสียงพี่ปืนเคล้าลมหายใจระอุ คลอเคลียอยู่ข้างขมับ เล่นเอาปอร้อนซู่ไปทั้งตัว ตั้งแต่หัวถึงเท้า

นั่นเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว และเพราะเสียงเร้าอารมณ์จากตัวละครในหนังที่กำลังเล่นเสียวกันอย่างเพลิดเพลิน

      “เล่นอะไร ผมป่าวน้า”

      “อย่ามาไก๋ แกล้งเปิดหนังให้พี่ดู มีแผนอะไร บอกมาซะดี ๆ”

      “ไม่มี้”

      ถูกจับได้ แต่ปอก็ยังจะไถลเอาสีข้างเข้าถู

      “ลูกไม้ตื้น ๆ คิดจะเอาคืนกับพี่น่ะ มันเร็วไปสิบปีมั้งปอเอ๊ย”

      คนพูดแกล้งกัดฟัน แต่อารมณ์ขันยังเหลือเฟือ แถมยังแกล้งรัดปอให้แน่นขึ้นไปอีก

      “เมื่อเช้าเล่นอะไรค้างไว้ก็ไม่ยอมมาต่อ ปล่อยให้พี่ฝันค้างอยู่คนเดียวจนนอนต่อไม่ได้

แล้วนี่ยังจะมาแกล้งปลุกอารมณ์พี่อีกเหรอ แหย่เสือน่ะต้องใจกล้ารู้มั้ย”

      “เสือเหรอครับเนี่ย ไม่บอกไม่รู้นะ ผมนึกว่าลูกแมว”

      “แน่ะ ยังจะปากเก่ง....มานี่เลย”

      พี่ปืนลากปอทั้งที่แผ่นหลังปอยังแนบกับหน้าอกไปที่โซฟาอย่างทุลักทุเล

      “ปล่อยดี๊ ผมเดินเองได้”

      “ไม่ได้หรอกเดี๋ยวปอหนี”

      “จะหนีไปไหนได้ ยังไงผมก็ไปไม่พ้นบ้านนี้อยู่แล้วอ่ะ”

      พี่ปืนพาปอลงมานั่งด้วยกันที่โซฟาจนได้ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวในหน้าจอโทรทัศน์ก็เข้มข้นขึ้นทุกที

เสียงหายใจหนัก ๆผสมเสียงครางอย่างหฤหรรษ์ ทำให้ปออดที่จะเงยหน้าขึ้นดูไม่ได้

แต่พอได้เห็นเต็มตา ใจมันก็พลอยเต้นตูม ๆ เนื้อตัวก็พาลจะสั่นระริก จนทำให้คนที่นั่งเบียดอยู่ด้วยกันรู้สึกได้

      “เป็นไง แกล้งพี่...ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว หึ หึ”

      “ไม่ทุกข์”

      ปอแค่จะกลั้นใจบอกว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไร แต่พี่ปืนตีความไปอีกอย่างจนได้

      “ที่จริงก็ไม่ทุกข์หรอก เค้าเรียกว่าความสุขตะหาก”

      “ทะลึ่งใหญ่แล้วนะพี่ปืน”

      ปอค้อนขวับ ทำเอาพี่ปืนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกดจมูกลงมาบนหัวไหล่เกลี้ยงเนียนฟอดนึง

      “อย่าดี๊”

      ปอเอี้ยวตัวหนี แต่ไม่พ้น เลยต้องตกเป็นเหยื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

      “หอมจัง”

      “เหม็นเหงื่อออก กลิ่นกับข้าวด้วย ผมยังไม่ได้อาบน้ำใหม่เลยนะ”

      “ไม่อาบก็หอม....ปอหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัวแหละ”

      แล้วคนพูดก็สาธิตให้ดูว่าหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัวเค้าทำกันยังไง เล่นเอาปอชักกระดาก ก็พี่ปืนอาบน้ำแล้วกลิ่นสบู่หอมฟุ้ง

แต่ปอน่ะทั้งหน้ามัน ทั้งเหงื่อที่ซึมไปทุกขุมขน พี่ปืนยังจะมาพูดว่าหอม อย่างงี้เค้าเรียกว่าแกล้งชม

ได้โอกาสปอก็เลยขอชิ่ง อยู่ตรงนี้ท่าทางจะไม่ปลอดภัย ที่หาเรื่องจะแกล้งพี่ปืนแต่มันกำลังจะเข้าตัวยังไงไม่รู้

      “ผมไปอาบน้ำมั่งดีกว่า เดี๋ยวจะได้ลงมากินข้าวด้วยกัน”

      “เดี๋ยวซี้.....ทำอะไรไว้กับพี่มาต่อให้จบก่อน”

      “ผมไปทำอะไรให้ตอนไหน อย่ามามั่วนะ”

       เอะอะอะไรก็ว่าคนอื่นมั่วเอาไว้ก่อน....ก็มันอายหนิ

   อายแรกน่ะ ตอนที่พี่ปืนแอบเข้าไปในห้องปอแล้วหยิบแผ่นหนังที่พี่นูให้ยืมมาอวด

   อายที่สองก็เนี่ยแหละ....เปิดหนังเรื่องนั้นแกล้งพี่ปืน แต่ตัวเองดันมาตกหลุมที่ตัวเองขุดดักล่อคนอื่น...

แล้วนี่ยังจะมีอายต่อไปอีก ก็พี่ปืนเล่นกอดไม่ปล่อยนี่นา แถมมือยังอยู่ไม่สุข ลูบมันอยู่นั่นแล้วกับต้นขาขาว ๆ....

   ....คิดถูกหรือเปล่าไม่รู้ที่นุ่งกางเกงขาสั้นแกล้งยั่วคนอื่นน่ะ

      “ใครมั่วกันแน่ ยังอ่อนหัดนักปอเอ๊ย....มันต้องอย่างงี้”

      ...อย่างงี้...ของพี่ปืนก็คือมือที่เลื้อยไล่ไปมายังกับหนวดปลาหมึก จับปอมานั่งที่หว่างขาของตัวเอง

แล้วรัดปอด้วยวงแขนให้หมดอิสรภาพ บังคับให้ดูหนังที่กำลังน่าตื่นเต้น

   ส่วนภาพตรงหน้านั่นจะเร้าใจไปไหน ตัวแสดงที่เปิดเปลือยผิวกายชุ่มเหงื่อเต็มแผ่นหลัง ผสานเสียงครางด้วยอารมณ์พิศวาส

จังหวะกระแทกกระทั้นเข้าหาสะโพกเต็มตึงของอีกฝ่ายถี่รัวซะจนแม้กระทั่งไม่หันไปมองก็ยังนึกภาพออกอย่างแจ่มแจ้ง

เพราะเสียงเนื้อกระทบเนื้อกับเสียงร้องครวญชวนสยิว สองเสียงที่สอดรับกัน มันช่างให้ความรู้สึกวูบวาบ หวิวไหวในอารมณ์ซะจริง ๆ....

ปอไม่ได้นึกอยากดูตอนนี้ แต่ก็ละสายตาไปที่อื่นไม่ได้เลย ก็หนังเรื่องนี้พี่นูเพิ่งจะให้ขอยืมมา แล้วปอก็ยังดูไม่จบ

พอเปิดได้ครึ่ง ๆ ก็มัวแต่อายแล้วรีบปิดซะก่อน แม้แต่ตอนที่กำลังดูอยู่ ก็เพิ่งจะได้เห็นพร้อมพี่ปืนนี่แหละ

      พี่ปืนกอดเอวปอไว้มือนึง ส่วนอีกมือก็ลูบไล้เข้าไปใต้เนื้อผ้า สอดมือเข้าไปในชายกางเกงขาสั้น ที่ปออุตส่าห์ตั้งใจใส่มายั่วโดยเฉพาะ

ไม่นึกเลยว่าจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างงี้

      “อ๊า....พี่ปืน....อย่า….”

      “รู้รึยังว่าแกล้งพี่ไว้น่ะ อันตรายขนาดไหน....หือ”

      พี่ปืนซุกไซ้ไปตามลำคอ ปลายลิ้นสัมผัสติ่งหูจนปอขนลุกเกรียว มือไม้อ่อนไปหมด แรงจะขัดขืนก็แทบไม่มี

แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อรู้สึกเหมือนมีอะไรแข็ง ๆ ดุนอยู่ตรงบั้นท้าย อารมณ์บรรเจิดตะกี้ก็เลยกระเจิง เพราะมันชักจะอันตรายเกินไป

      “อื๊อ.....พี่ปืนปล่อยผมก่อน”

      เพิ่งรู้ตัวว่าเสียงตัวเองมันหอบกระเส่าก็ตอนเปล่งเสียงห้ามพี่ปืนนี่แหละ

      “ไม่ปล่อย ชอบแกล้งให้พี่อารมณ์ค้างกี่หนมาแล้วล่ะปอ”

      “พี่ปืนอย่านอกกติกาดิ”

      ปอพยายามเบี่ยงตัวออกจากหน้าพี่ปืนที่เกลือกไปมากับแผ่นหลัง ไหนจะหนวดปลาหมึกที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัด

แกะมือขวาออกได้ มือซ้ายก็นัวเนียไม่ยั้ง เหนื่อยกับการแย่งยื้อตัวเองออกจากอ้อมกอดพี่ปืนจนปอไม่รู้จะทำไงดี

เลยต้องเล่นไม้ตาย (เกือบตายจริง ๆนะ)

      “โอ๊ยยยยยย.....อ๊าก......ปอ....เล่นบ้า ๆอะไรเนี่ย”

      ได้ผลตรงที่พี่ปืนปล่อยมือออกจากปอทันที ปอกระเด้งตัวออกมายืนดูผลงานตัวเองให้ห่างไว้เพื่อความปลอดภัย

เห็นพี่ปืนนั่งคุดคู้ มือกุมเป้า....ทำมารยาอีกแล้วพี่ปืน ปอไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นซักหน่อย

ก็แค่กระแทกบั้นท้ายตัวเองไปข้างหลัง (เบา ๆ) ตรงที่รู้สึกว่าดุ้นแข็ง ๆ มันดันปออยู่ก็แค่นั้นเอง

      “ผมขอโทษ ก็พี่ปืนไม่ปล่อยผมหนิ”

   “อูย....แล้วทำไมต้องทำกันขนาดนี้....โอยยยย.....เกิดพี่พิการไปทำไงเล่า”

   ทำเป็นโวยวาย ปอรู้กำลังตัวเองหรอก แล้วเคยเหรอที่ปอจะทำให้พี่ปืนเจ็บ

   “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า....ผมขอโทษแล้วด้วย”

   “มาดูผลงานตัวเองเลย พี่เจ็บจนลุกไม่ขึ้นแล้วนะ”

   พี่ปืนเปลี่ยนจากโวยวายมาเป็นอ้อน

   “เดี๋ยวจะลงมาดู แต่ตอนนี้ขอผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ หิวแล้วด้วย”

   ว่าแล้วปอก็หันหลังกระโดดขึ้นบันไดไป รีบจะไปจัดการธุระของตัวเอง แต่ที่จริงน่ะ ปอเกือบจะทนไม่ไหวต่างหาก

ก็หนังมันก็ยั่วซะ แล้วไหนจะพี่ปืนก็กระตุ้นอารมณ์กันระดับมืออาชีพอีกล่ะ ปอกลัวว่าตัวเองจะทนต่อไปไม่ได้นานน่ะสิ

ไม่รีบชิ่งตอนนี้ มีหวังเสียประตูโดยไม่ตั้งใจ.....

.....ใช่ ปอไม่อยากให้มันเกิดบนความไม่ตั้งใจเหมือนประสบการณ์ครั้งแรกนี่นา
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 00:39:37




     อาบน้ำยังไม่ทันจะเสร็จเลย คนบางคนก็มาเรียกอยู่หน้าประตูซะแล้ว

    “ปอ....เสร็จยาง”

    ยานคางมาเลย อะไรของเค้ากันเนี่ย

   “จวนแล้วครับ พี่ปืนหิวก็กินไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ กินช้า ๆเหมือนเมื่อเช้าก็ได้ครับ”

    “ม่ายอาว”

    “งั้นรอแป๊บนึงนะครับ”

    “ม่ายรอ เปิดประตูก่อน”

  อ้าว....จะมาไม้ไหนล่ะเนี่ย

    “เปิดประตูให้พี่หน่อย”

  คนหน้าประตูเริ่มเสียงแข็ง แล้วตบประตูเบา ๆ ปอหยุดมือที่กำลังฟอกสบู่ หันไปโต้ตอบอย่างจริงจัง

    “ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จเลย”

    “ช่วยพี่หน่อย....ปอ.....”

  “พี่ปืนเป็นอะไรไป”

  “ปอ.....พี่เจ็บ....”

      เสียงพี่ปืนแผ่วลง แต่มือยังตบประตูอีกสองครั้ง ปอชักจะใจไม่ดี หรือว่าตะกี้ปอจะกะกำลังผิดไป ก็แค่ถอยตัวกลับไปไม่ได้แรงมาก

ปอทำพี่ปืนเจ็บขนาดไหนกันเนี่ย แล้วยังหนีขึ้นมาอาบน้ำไม่หันกลับไปดูดำดูดี เพราะคิดว่าพี่ปืนมารยาใส่ซะอีก   

     ปอลนลานเปิดน้ำฝักบัวราดฟองสบู่ออกอย่างรวดเร็ว หยิบผ้าขนหนูมาพันตัวลวก ๆ แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา

เห็นคนตัวโตยืนตาโรย มือยังกุมอยู่ที่เดิม ปอก้มลงไปมองตาม แล้วก็เลยนึกด่าตัวเองว่าเล่นแรงเกินไป จนพี่ปืนเจ็บซะขนาดนี้

ปกติพี่ปืนไม่ใช่คนสำออย นอกจากว่าอยากจะอ้อนเล่น แต่อาการแบบนี้เห็นจะไม่อ้อนแล้วล่ะมั้ง

     “พี่ปืน ผมขอโทษ เจ็บมากมั้ยครับ ให้....ผม...เอ่อ....ดูหน่อย”

     “ดูแล้วจะช่วยพี่รึป่าว”

     พี่ปืนเสียงแหบพร่าจนปอยิ่งร้อนใจ คิดหาทางว่าจะต้องพาพี่ปืนไปหาหมอที่คลินิกไหนดี

     “จะให้ผมช่วยยังไงครับ ไปหาหมอกันมั้ย”

     “ไม่ต้องหรอก ไม่ได้หนักขนาดนั้น”

     “แล้วพี่ปืนจะให้ผมช่วยอะไร บอกมาสิครับ...พี่ปืนไปนั่งที่เตียงก่อน”

     ปอประคองพี่ปืนถอยกลับมาที่เตียง พี่ปืนก็ยึดไหล่ปอซะแน่นเชียว ก่อนจะนั่งลงบนเตียงพี่ปืนก็รูดกางเกงลงไปกองที่ข้อเท้า

เล่นเอาปอใจหายวาบ แต่ก็ต้องทำใจ ไหน ๆพี่ปืนก็มาเจ็บเพราะปอ จะทำเป็นขวัญหนีดีฝ่อไม่ได้แล้ว

     “เจ็บยังไงอ่ะครับ แล้วพี่ปืนจะให้ผมช่วยยังไง”

     “ช่วยแน่นะ”

      “ก็แน่สิครับ ผมทำพี่ปืนเจ็บหนิ....ไหนครับ”

      คนเจ็บตวัดร่างบาง ๆ ลงมานอนบนเตียงแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว ท่าทางแข็งแรงยังกับว่าอาการเจ็บที่คร่ำครวญอยู่เมื่อกี้ไม่มีจริง

      “พี่ปืน!!”

      ด้วยอาการที่ตกใจ ปอทั้งผลักทั้งดัน ร่างหนาให้ออกจากตัว (ก็มันหนัก) แต่ก็เหมือนกำลังผลักหินผายังไงยังงั้นเลย

คนหายเจ็บซุกไซ้ไปทั่วหน้า แม้แต่ฝ่ามือก็ละเลงลูบไล้ไปทั่วลำตัวเปลือยเปล่าของปอ จนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทุกพื้นที่ที่ฝ่ามือใหญ่ลากผ่าน

ทั้งที่เพิ่งจะเจอน้ำเย็นมาเมื่อกี้

      “ไหนบอกจะช่วยพี่ไง”

      พี่ปืนพึมพำด้วยเสียงแหบพร่า และยังรุกรานปออย่างไม่ลดละ

      “ก็ช่วย....แต่พี่ปืนไม่ได้เจ็บจริงหนิ”

      “ใครบอก....พี่เจ็บจริง ๆ”

      “เจ็บแล้วทำไมมีแรงทำกับผมอย่างงี้ล่ะ”

      “พี่เจ็บตรงนั้น.....เพราะ....มันค้าง.....”

      “อะไรค้าง?”

      “ปอแกล้งเปิดหนังให้พี่ดู.....”

      ปอเลิกคิ้ว

      “อย่ามาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อย่างนี้นะ ทำกับพี่ไว้ขนาดนี้แล้วยังปล่อยให้พี่ต้องทรมานน่ะ ไม่สงสารกันเลยใช่มั้ย”

      “อ๋อ....ผมรู้แล้ว”

       ปอลากเสียงยาว แล้วอมยิ้ม หรี่ตาใส่คนคนแกล้งเจ็บ

      “พี่ปืนช่วยตัวเองได้นี่นา ไม่เห็นต้องให้ผมช่วยเลย”

      “ทำไมพูดเหมือนคนไม่รักกันแบบนี้ล่ะปอ”

    ฟังพี่ปืนโอดครวญ ปอฟังแล้วหมั่นไส้เต็มที ที่ผ่าน ๆ มาไม่เห็นจะขอความช่วยเหลือ ทีอย่างงี้ล่ะมาตัดพ้อต่อว่า

      “ผมรู้นะ....”

    ปอพูดเองก็หน้าแดงเอง แก้มสองข้างร้อนผะผ่าว อยู่ ๆจะต้องมาพูดเรื่องทำนองนี้กันแบบซึ่งหน้า

ยังกับว่ามันเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องรีบแก้ไข ใครมันจะตีหน้าเฉยอยู่ได้

      “พี่ปืนเองก็เคยช่วยตัวเอง”   

       ปอกลั้นใจพูดให้จบ ๆ

      “แล้วไง”

       ดูทำหน้าเข้า....หน้าไม่อายมั่งเลยรึไง ยอมรับมาดื้อ ๆ อย่างงี้อ่ะนะ

      “เรื่องแค่นี้พี่ปืนไม่เห็นต้องให้ผมช่วยนี่นา”

      “ก็เพราะใครล่ะ ทำให้พี่ต้องเป็นแบบนี้น่ะ”

       “ผมก็ขอโทษแล้วนี่ครับ พี่ปืนจะเอาอะไรกับผมอีก หายเจ็บได้แล้วน่า”

      “ไม่ใช่แค่วันนี้ ที่พี่พูดน่ะพี่หมายความว่า ที่พี่ต้องทำแบบนั้นมาตลอดก็เพราะปอ”

    คำพูดที่ออกจากปากทำให้ปอมั่นใจว่า ที่พี่ปืนบอกว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครอีกเลยหลังจากที่ได้รู้ใจตัวเองนั้น เป็นความจริง

แววตารุกเร้าทีเล่นทีจริงเมื่อครู่หายไปจากดวงตาคู่คมแล้ว เหลือเพียงคำพูดที่หนักแน่น จริงจัง พร้อมกับอาการที่พี่ปืนจ้องจะจู่โจมก็หยุดลงโดยปริยาย

      “ไม่เกี่ยวนะ ผมไม่เคย....”

      “พี่ไม่ได้ว่าปอเป็นคนทำ พี่รู้ว่าพี่ทำตัวเอง พี่รู้ว่าพี่คิดไม่ดีกับปอ แต่ถึงอย่างงั้นพี่ก็ไม่เคยฉวยโอกาสกับปอนะ

พี่ทำตามสัญญามาตลอด แล้วเมื่อไหร่ปอถึงจะเห็นใจพี่บ้าง....ปอรู้มั้ยว่ามันทรมานแค่ไหน ไม่รักพี่แล้วเหรอ”

      ปอแทบจะไม่กล้าจ้องตอบสายตาวิงวอน ชวนให้ใจอ่อน คู่นี้เลย แต่การจะให้นอนนิ่ง ๆ อยู่ใต้ร่างใหญ่หนาของคนตัวโต ๆนี่มันอึดอัดน่าดูนะ

อย่างน้อยน้ำหนักที่กดทับลงมาก็ทำเอาหายใจหายคอไม่ค่อยถนัด แล้วไหนจะอะไร ๆ ที่มันกำลังผงาดอยู่ตรงหน้าขาอีกล่ะ

แล้วภาพติดตาจากหนังที่เพิ่งผ่านสายตาไปเมื่อครู่ใหญ่ก็ทำเอาปอเตลิดไปซะจนคนที่นอนกดทับปออยู่ออกอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

กับการรับรู้ว่าอะไรบางอย่างในตัวปอกำลังขยายตัว

       “คิดว่าพี่เป็นคนเดียวซะอีก”

     “อะไรเล่า”

      ปอสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง....ทางที่ไม่มีตาคมหลุกหลิกคู่นี้กระเซ้าเย้าแหย่

     “อย่าใจแข็งกับพี่นักเลยปอจ๋า....ให้พี่ได้ชื่นใจบ้างเถอะ มีประโยชน์อะไรที่เราจะปล่อยเวลาให้มันผ่านไปวัน ๆอย่างนี้”

      ปากที่ระดมจูบไปตามใบหน้า ระไปตามแก้ม กกหู ไม่วายจะพูดพึมพำเอาแต่ใจตัวเอง แล้วไอ้ลมร้อน ๆ ที่เป่าออกมาตอนพูดน่ะ

พี่ปืนรู้มั้ยว่ามันทำให้ปอขนลุกเกรียว เสียวซ่านไปถึงไหน ๆ

    เมื่อคนที่นอนเฉย ๆ ไม่ตอบโต้อะไรนอกจากหลบเลี่ยงเบี่ยงหน้าหนีเป็นบางครั้ง พี่ปืนก็ย่ามใจรุกหนักจนปอตั้งรับไม่ทันแล้ว

     “ไม่เอานะครับพี่ปืน ผมยังไม่พร้อม”

     ปอส่ายหน้าหนี พยายามดิ้นรนให้หลุดจากตำแหน่งที่เสียเปรียบเมื่อคิดได้ว่าคราวนี้พี่ปืนตั้งท่าจะเอาจริง

แต่กว่าจะนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร สองมือของปอก็ถูกพี่ปืนยึดไว้เรียบร้อยแล้ว

    ตอนนี้มือใหญ่แข็งแรงประสานกับมือเรียวขาวทั้งสองข้าง แถมยังกางไว้ออกห่างลำตัวเพื่อให้ตัวเองชื่นชมทั่วทั้งตัวได้ถนัดอีกต่างหาก

      พี่ปืนสัมผัสปอด้วยริมฝีปาก เกลี่ยจูบเรื่อยไปตลอดลำคอ ลาดไหล่ขาวเนียน ไปจนถึงหน้าอก

แล้วพอถึงตุ่มไตสีชมพูอมน้ำตาลจาง กลับไม่จูบเปล่า ลิ้นอุ่น ๆตวัดไปมาระรัวซะจนปอสะท้านเยือก

    “อ๊า....พี่ปืน อย่า...”

      แต่พี่ปืนในอารมณ์นี้คงไม่สนใจเสียงห้ามปรามของปอซะแล้ว เนื้อนุ่มเนียนที่ได้สัมผัสทำเอาพี่ปืนเคลิบเคลิ้ม

    ไม่อยากได้ยินเสียงห้าม พี่ปืนก็จูบปิดปากจะได้ไม่ต้องห้าม เอาแค่เสียงอืออา งึมงัมในลำคอก็พอ

ปอไม่รู้ตัวว่ากำมือตอบพี่ปืนตอนไหน อืม....คงเป็นตอนที่พี่ปืนรัวลิ้นให้ปอสะท้านสะเทือนไปทุกขุมขนแน่เลย

      ทันทีที่กลีบปากเป็นอิสระจากจูบเผาอารมณ์ ปอก็รีบบอก

    “พี่ปืน...ปล่อยผมก่อน”

      ปอจะรู้ตัวมั้ยนั่น ว่าปากกับตามันสื่อภาษาไปคนละทางเลย แล้วปอคิดว่าพี่ปืนจะเชื่ออะไรมากกว่ากัน

      “ไม่ปล่อย....ปอหอมไปทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ พี่จะขาดใจตายให้ได้รู้มั้ย”

    พี่ปืนคลายมือออกจากมือปอ เลื่อนมาสัมผัสเนื้อหนัง ทุกสัดส่วนบนร่างกายปอ
     
    ไม่มีที่ไหนที่มือพี่ปืนลากผ่านไปแล้วผิวกายจะไม่สั่นสะท้าน

      ส่วนกลางลำตัวของพี่ปืนกดทับลงมาไม่พอ หนำซ้ำยังบดส่ายสะโพกให้มันเสียดสีกับหน้าขาของปอจนรู้สึกมวนในท้องจนโหวงไปหมด

สองแขนโอบไปรอบคอ พร้อมกับมือเรียวก็ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังด้วยความรู้สึกอยากสัมผัสเนื้อตึงแน่นดูบ้าง

ทำเอาพี่ปืนหายใจแรง เนื้อตัวสั่นเทา

      “อืมมม.....อ้า......ปอจ๋า....”
     
    “พี่ปืนจะทำอะไรผม”

      ปากพูดทั้ง ๆที่ตายังหลับพริ้ม เพลิดเพลินไปกับมือใหญ่ที่ตระโบมโลมลูบไปทั่วร่างอย่างเร่าร้อนสองร่างเบียดแนบชิดกัน

เสียงเสียดส่ายของร่างกายกับผ้าปูนอน แทรกระหว่างเสียงครางหอบกระเส่า ด้วยเพลิงพิศวาสแผดเผา

เนื้อตัวปอราวกับจะลุกเป็นไฟอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

      “ปอจ๋า รักพี่นะ....พี่อยากได้ยินปอบอกว่ารักพี่”

      “อือ....”

       พี่ปืนประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากแย้มเผยอเป็นสีแดงเรื่อ เรียวลิ้นส่งออกไปพันกระหวัดรัดลิ้นเล็ก ๆ ที่ตอบรับอย่าเก้อเขิน

พี่ปืนถอยลิ้นออก ปอก็รุกไล่ด้วยลิ้นของตัวเองด้วยความไม่ชำนาญกึ่งกลัวกึ่งกล้า  ทำให้พี่ปืนต้องหัวเราะน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู

       พอรู้สึกว่าพี่ปืนหยุดการกระทำทุกอย่าง ปอก็ลืมตาขึ้นมาด้วยแววตาฉ่ำ

     ริมฝีปากแดงจากการถูกบดด้วยริมฝีปากของอีกคนเผยอออกรับลิ้นที่แลบออกมาแตะปากตัวเองแผ่วเบา

      “เจ็บปากอ่ะ”

    “หึ หึ พี่จูบแรงไปเหรอ”

       คนตัวโตพรมจูบเบา ๆอย่างปลอบขวัญไปตรงที่คนตัวเล็กบ่นเจ็บ

      “ปอ”

       “ครับ”

      “ไม่ห้ามพี่แล้วใช่มั้ย”

       ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ก็ไม่มีการปฏิเสธจากคนที่ถูกยิงคำถาม ที่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะตอบกลับไปยังไง เลยได้แต่นิ่ง

       “จากนี้ไปพี่คงหยุดตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ตอบพี่มาก่อนนะคนดี”
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 08-06-2012 00:57:07
ยอมเถอะนะปอ...   :haun4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 00.30 น.
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 08-06-2012 01:07:24
คร่อกก
 :m25: :jul1:
ปอจ๋าช่วยรักพี่ปืนทีเถอะ
พี่ล่ะสงสารพี่ปืน แถมยังสงสารตัวเองอีก
มันค้างมาหลายวันแล้วน้า
 :m15:

คุณนูสู้ๆ
 :z2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 :11.40 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 11:38:32



ปอส่ายหน้า สายตาหลุบต่ำมองได้แค่ปลายคางที่ครึ้มด้วยไรเขียวของเคราที่เพิ่งโกนหมาด ๆ

     “แปลว่าอะไรล่ะส่ายหน้าเนี่ย”

     “อื๊อ....”

     พร้อมกับเสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่มีคำแปลคือเสียงทุบเบา ๆ ไปที่ไหล่บึกบึนของคนที่กำลังค้ำอยู่เหนือร่าง

ใบหน้าแดงซ่านจะหลบอายก็ไม่รู้จะไปซุกตรงไหน

     “งั้น....บอกพี่ซักคำนะ พี่ไม่อยากผิดกติกาของปอ”

     แค่ปอสบตาคมวาวเป็นประกายคู่นั้นก็พอจะเดาได้ว่าพี่ปืนอยากได้ยินคำไหน

แต่ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดคำสั้น ๆ ที่มีความหมายเท่ากับโลกทั้งใบของตัวเอง

ใบหน้าร้อนผ่าวแค่คิดว่าทันทีที่พูดออกไปอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

แต่สองสามนาทีที่แล้วที่ร่างกายกำลังถูกทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ยังคงมีผลกับการตัดสินใจของปอ

บทพี่ปืนจะบอกรักด้วยร่างกายก็ทำเอาปอสั่นสะเทือนไปทั้งภายในภายนอก

     “อย่าหันหน้าหนีพี่อย่างนี้ มองตาพี่สิครับ แล้วบอกพี่อย่างที่หัวใจปออยากจะพูด”

     “ก็รู้อยู่แล้วทำไมต้องพูดด้วยเล่า”

   คนตัวเล็กบ่นเบา ๆ ยังคงเอาเชิง

   “ก็ใครล่ะตั้งกติกากับพี่ซะจนพี่ไม่กล้าแตะน่ะ....สิครับ...บอกพี่ ก่อนที่พี่จะขาดใจไปซะก่อน...นะ”

      ริมฝีปากล่างถูกขบเบา ๆ....ด้วยไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า คำสั้น ๆ ทำไมมันถึงได้พูดยากพูดเย็นแบบนี้

   “ปอจ๋า...”

      เมื่อไม่ยอมพูด ปืนก็เร่งเร้าจะเอาให้ได้ตามใจตัวเอง ก้มลงไปขบติ่งหูเล็ก ๆ ส่งลิ้นออกไปก่อกวนใบหู....ก็ไม่เห็นจะว่าอะไร

จูบไปทั่วหน้าก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นจะหลบเลี่ยง กลับตอบรับด้วยการเกาะกุมไหล่ แล้วลูบไล้ด้วยฝ่ามือนุ่มให้ปืนสะท้านเล่นซะอย่างงั้น

...........จะให้เข้าใจว่าปอยอมรับแล้วใช่มั้ย


      ด้วยบทเรียนที่ผ่านมาปืนก็ไม่กล้าพอที่จะดึงดันให้ได้อย่างใจไปจนถึงที่สุด

แต่ลีลาชั้นเชิงที่จะให้คนตัวเล็กยอมเปิดปากทำตามกติกาที่ตัวเองตั้งไว้ก็พอมี....แล้วเราจะได้เห็นกัน


     ริมฝีปากประกบกลีบปากนุ่มดูดเบา ๆ แล้วไล้ลิ้นไปจนสุดที่มุมปากก่อนจะจ้วงลงไปควานหาลิ้นเล็ก ๆ ที่รอคอยอย่างกระวนกระวาย

ทันทีที่ปลายลิ้นแตะกัน ผู้ที่ถูกรุกล้ำก็เป็นฝ่ายถูกดูดกลืนแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน ไอร้อนจากเรือนกายถูกถ่ายเทให้กันและกัน

จนอุณหภูมิยิ่งทวีสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น

     ปืนลดกายถอยลงไปไล้ลิ้น ละเลงจูบบนร่างเปลือยเปล่าขาวนวลอย่างไม่ลืมหูลืมตา หวังจะพิชิตคำสั้น ๆ เพียงคำเดียวที่รอคอย

เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่รู้สึกผิด หากจะมีอะไรเลยเถิดจนยั้งไม่อยู่ เขาก็ไม่อยากผิดคำมั่น

      “พี่ปืน....อย่า....”

     ปอร้องเสียงหลง เมื่อแกนกลางกายอุ่นชื้นเพราะถูกลิ้นเปียก ๆลากวนไปวนมาก่อนจะกลืนหายลงไปในปาก

ปืนงึมงำอยู่กับท่อนลำขาวนวลส่วนปลายเป็นสีชมพูสวย ยั่วตายั่วใจซะจนไม่อยากผละออกมา

ยิ่งได้รู้สึกว่าเจ้าของร่างเล็ก ๆ กำลังบิดกายเร่า ๆ ด้วยความเสียวซ่าน ปืนก็เร่งลิ้นรัวรอบส่วนหัว

จนปอครางเสียงกระเส่าไม่เป็นภาษา สองขายกขึ้นชันกางออกกว้างพร้อมรับการรุกรานที่แสนเย้ายวน

แต่ก็ยังไม่วายหนีบเข้ามาเมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเหวี่ยงตกจากหน้าผา

     “ชอบมั้ยปอ....”

     ปืนหยุดละเลงลิ้น ผงกหัวขึ้นแค่ต้องการจะถาม แต่คนที่ได้นอนหลับตาพริ้ม แค่ครางอืออากลับไม่ยอมให้หยุดพยายามกดให้กลับลงไปที่เดิม

     “อืมมมม”

     ได้เวลาทวงคำตอบอีกครั้ง ปืนก็ขยับตัวขึ้นประกบใบหน้าที่กำลังปรือตาฉ่ำขึ้นมามอง

     “บอกพี่ได้รึยัง”

     เสียงแผ่ว ๆ กระซิบถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวาน ๆ พร้อมกับแตะลิ้นไปที่เรียวปากซ้ำแล้วซ้ำอีก

     “บอกอะไร....”

     อีกคนย้อนเป็นเสียงกระซิบเช่นกัน

     “รักพี่ได้มั้ย”

     “อืม”

     แค่เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอกับพยักหน้านิดหน่อยไม่ทำให้คนถามพอใจได้เลย

     “ไม่เอา...พูดมา”

      จ๊วบ...เสียงดูดปากแรง ๆเป็นการลงโทษที่คนตอบช่างไม่ได้อย่างใจเอาซะเลย

   ปอแกล้งยิ้มเยื้อนยั่วเล่นแล้วยกหัวขึ้นจะจูบตอบบ้าง แต่อีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหนีไม่ยอมให้แตะถึง พอถูกขัดใจเข้าก็ประท้วง

     “ฮื้อ...พี่ปืนอ่ะ...”

     “บอกมา....”

     ทำหน้างอ แต่นัยน์ตางี้หวานฉ่ำซะขนาดนั้น ปืนก็รู้ว่าตัวเองถูกยั่วเข้าให้แล้ว ยั่วมาก็จะยั่วกลับ ดูซิใครจะต้านทานไหว

     “งั้นพี่ไป....”

     จบคำปืนก็ยกตัวขึ้นนั่งที่ปลายเท้า แต่มือยังลูบเรียวขาเบา ๆ หยั่งเชิงคนที่นอนมองตาแป๋ว

     “พี่ไปจริง ๆนะ”

     คราวนี้ปอนอนนิ่งอยู่ไม่ไหวแล้ว เพราะพี่ปืนหยุดมือ ถอยห่างออกไปเตรียมจะลุกออกจากเตียง

สองแขนเลยต้องรีบโผเข้ากอดคอไว้หวังว่าน้ำหนักของตัวเองจะช่วยถ่วงไม่ให้พี่ปืนลุกไปไหนได้   

     “ไม่เอา!! พี่ปืนอ่ะ ผมไม่ให้ไป”

     “งั้นตอบพี่ได้รึยัง”

     ใบหน้าที่ก้มงุด ๆ อยู่ที่ซอกไหล่ พยักเร็ว ๆ ตอบเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน ถ้าริมฝีปากนั่นไม่ได้แนบชิดใบหู

     “รักครับ”

     “รักใคร?”

     “รักพี่ปืน”

     “งั้นถ้าพี่ขออะไรปอให้พี่ได้ใช่มั้ย”

     ปออายจะบ้าอยู่แล้ว พี่ปืนมัวแต่ถามอะไรอยู่ได้ อยากให้บอกว่ารัก ก็บอกไปแล้ว ทีนี้จะขออะไรอีกล่ะ

     “คราวนี้พี่ไม่ผิดกติกาแล้วใช่มั้ย”

      ปอพยักหน้าส่ง ๆ ไป พี่ปืนจะได้เลิกเซ้าซี้ซะที หารู้ไม่ว่าที่พี่ปืนต้องถามอย่างนี้

เพราะจำเป็นต้องยึดมั่นคำสัญญา กติกาของปอมาตลอด จนกลัวไปหมดแล้วว่า ถ้าปอไม่ยินยอม จะกลายเป็นการหักหาญน้ำใจปอ

กลัวปอจะเสียใจ เสื่อมศรัทธาในตัวพี่ปืนคนนี้

     “ถอดเสื้อให้พี่หน่อย”

     ปอทำตามอย่างว่าง่าย แต่ปากพึมพำเบา ๆ

     “เอาเปรียบผมได้ตั้งนาน”

     พอเสื้อพ้นตัว ปืนก็โถมทับอีกร่างให้ล้มตัวลงไปก่อน

   ลีลารักที่บรรเลงต่อจากนี้ไป ทำเอาปอหลังไม่ติดที่นอน เพราะถูกพี่ปืนทั้งรุกทั้งไล่จนตั้งตัวไม่ติด อย่างไม่คิดจะยั้งมือ

กว่าจะได้ยินคำรักจากปออีกครั้งทำเอาอกแทบระเบิด นอนอกไหม้ไส้ขมมาเป็นนาน

ไหนจะต้องทนฟังคู่รักอีกคู่เค้าพรอดพร่ำคำหวานกันยามค่ำคืนในบ้านสวนซะคืนสองคืน ปืนแทบจะคลั่งตายปอก็ไม่เคยจะรับรู้

ยิ่งเห็นเนื้อตัวขาว ๆ ได้จับจูบลูบไล้เนื้อนิ่ม ๆ ได้ยินเสียงออดอ้อน ร้องครางระงมด้วยลีลาเล่ห์รักของตัวเอง

ปืนยิ่งอยากจะระเบิดมันออกมาซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาก็ไม่ใช่คู่นอนที่เห็นแก่ตัวมาแต่ไหนแต่ไร

ลงนาวาสวาทครั้งใด ก็เป็นฝ่ายจ้ำฝีพายไม่เคยยั้งจนกระทั่งเกาะกอดกันถึงฝั่งสุขสมไปด้วยกัน

      แล้วกับคนที่เขารักสุดหัวใจ ห่วงใยเท่าชีวิต กว่าจะได้แนบสนิทชิดเชยเช่นนี้ เลือดตาแทบกระเด็น มีหรือที่ปืนจะปล่อยให้ค้างคา

   อุปกรณ์ที่เตรียมไว้แต่ไม่ค่อยได้นำออกมาใช้อยู่ไม่ห่างมือ แค่เอื้อมออกไปเปิดลิ้นชักเล็กข้างเตียง หลับตาก็หยิบถูก

ดังนั้นปอมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผิวส่วนนั้นสัมผัสเจลเนื้อใสเย็น ตามด้วยนิ้วที่พยายามดันตัวเองผ่านช่องทางแคบ ๆ

     “อย่าเกร็งนะครับ พี่จะไม่ให้ปอต้องเจ็บ”

     เสียงกระซิบริมหูบอกอย่างนั้น ปอก็เชื่อจนต้องผ่อนลมหายใจเพื่อคลายอาการเกร็งตอบรับนิ้วมือที่เคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ

     “พี่ปืน....มันแน่นอ่ะ”

      “แล้วดีมั้ย”

     “อือฮึ.......อื๊อ”

      ตอนที่ปืนขยายช่องทางเป็นสองนิ้ว ปลายนิ้วของปอก็จิกลงบนไหล่กำยำเพื่อผ่อนคลายความเจ็บ

แล้วกลับโอบรอบคอรั้งเข้าหาตัว จนปืนแทบคะมำ

     “พี่ปืน....ผมเจ็บ”

     “อีกนิดนะครับคนดี....นิดเดียวนะ”

     ปอเผลอเดี๋ยวเดียวจากสองนิ้วของพี่ปืนก็กลายเป็นอย่างอื่นที่ตึงแน่นเต็มเนื้อที่กว่าแทรกเข้ามาแทน

     “อย่าเกร็งนะ....อา....”

   พร้อมกับคำปลอบ ปืนก้มลงจูบหน้าผาก ไรผม และขยับตัวช้า ๆ เข้าแนบชิด เห็นปอนิ่วหน้าโดยไม่ปริปาก

ปืนก็เดินหน้าแบบเนิบ ๆ เป็นจังหวะ ไม่ช้าปอก็ค่อย ๆ ขยับตอบรับเป็นจังหวะเดียวกัน

        “ดีใช่มั้ย”

        “อื้มมม”

        ปอลืมตาขึ้น ดวงตาสองคู่สบกันในระยะประชิด

        “ผมรักพี่ปืน”

        “พี่ก็รักปอ”

        ริมฝีปากผวาเข้าหากันราวกับกระหายในรสจูบที่หวานระรื่น

    ต่างฝ่ายต่างบดเบียดร่างกายเข้าหากัน ด้วยความรู้สึกอยากผสานให้เป็นหนึ่งเดียว

    คลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเริ่มรุนแรงเร่งเร้าเข้าทุกขณะ จนปืนไม่อาจจะขยับโยกเนิบนาบได้อีกแล้ว

ขณะเดียวกันกับที่ปอเองเริ่มที่จะคลายความเจ็บแน่นในส่วนกลางลำตัวได้บ้าง และกล้าพอที่จะเป็นฝ่ายรุกเร้า

        ปืนยกตัวขึ้นในท่านั่งคุกเข่าบนเตียงระหว่างเรียวขาขาวเนียน มือช้อนข้อพับขาไว้เหนือบ่า ขยับให้ถนัด

ก่อนจะบดเบียดส่วนกลางลำตัวของตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง

        จังหวะเข้าและถอยออก ทั้งหนักหน่วงและล้ำลึก ทำเอาคนที่นอนอยู่เบื้องล่างผวาเฮือก จนอกแอ่นหลังไม่ติดฟูก

ปืนก้มลงดูดเลียติ่งไต เร้าอารมณ์ปรารถนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนปอแทบจะอ่อนแรงไปกับเรียวลิ้นที่พลิกพลิ้ว

        “พี่ปืน....อย่าหยุดนะ”

        “อืม”

        ปืนไม่รู้แล้วว่าปอหมายถึงการกระทำของอวัยวะส่วนไหน ได้แต่มอบความหวานซ่านซ่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เสียงครวญครางของปอทำเอาปืนวูบวาบแถวท้องน้อย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที....แต่ยังก่อน

เขาไม่อยากให้เวลาแห่งความกระสันซ่านเสียวจบลงเร็วนัก จังหวะเร่งที่ล้ำลึกไปจนสุดลำก็เลยผ่อนลงช้า ๆ

จนคนตัวเล็กต้องปรือตามองอย่างไม่ชอบใจ

        “อื๊อ พี่ปืนบอกว่าอย่าหยุดไง”

        “หึ หึ....อย่าเร่งสิครับ ไปด้วยกันช้า ๆนะ พี่อยากมีเวลาอย่างนี้กับปอนาน ๆ”

        ลีลารักผ่อนลงเพื่อเติมรสหวานให้กันและกัน จนถึงจุดที่คลื่นรักค่อย ๆ ถาโถมอีกครั้งจนสุดแรง

เรียวขาโอบรัดร่างกำยำที่ตอกย้ำล้ำลึกเข้าสู่เรือนร่างบอบบาง ต่างฝ่ายต่างรินรดลมหายใจหอบกระเส่าให้แก่กัน

ความเจ็บปวดที่ได้รับไม่หลงเหลือ นอกจากความเสียวกระสันที่ปอสัมผัสได้

        ปอรู้สึกหวิว โล่ง เบาราวกับจะล่องลอย ร่างกายเหมือนจะกำลังเหิรสู่ฟากฟ้าจนแทบจะคว้าดาวลงมากอดได้

ปืนไม่ได้ลดแรงกระแทกกระทั้นลงแม้แต่น้อย ยิ่งใกล้จุดหมายก็ยิ่งถี่รัว เสียงครวญครางแผ่วหวิว สอดรับเสียงคำรามต่ำ ๆ

บอกอารมณ์สุขสมที่จวนเจียนจะถึงฝั่งฝัน

        สองแขนของปอโอบรอบคอแข็งแกร่ง ใบหน้าแหงนเงย ร่างกายเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนตามแรงโยกคลึง

และแล้วแสงดาวก็พราวพร่างอยู่ในม่านตา กระพริบวิบวับ เจิดจ้า

ปอรู้สึกเหมือนภายในแตกกระจาย แล่นปราดไปทั่วร่างด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบไปด้วยความสุขสมในช่วงสุดท้าย

ก่อนจะผ่อนลมหายใจที่หอบถี่ให้เบาลงได้

       “ปอจ๋า....พี่จะ....อา....”

        ชั่วระยะที่ปอระเบิดตัวเอง แก่นกายของปืนก็ถูกบีบรัดจนกลั้นไม่อยู่เช่นกัน น้ำหนักที่กระแทกกระทั้น ก็เร่งรัวเร็วขึ้น ๆ

ก่อนจะเน้นย้ำอีกสองสามครั้งและตามด้วยอาการเกร็งกระตุกในเวลาต่อมา ปอรู้สึกได้ถึงของเหลวข้น ๆ ที่ทะลักทะลายเข้าภายในตัว

แล้วที่พี่ปืนก็ซุกซบลงมานอนข้าง ๆ
   
       อีกพักใหญ่ต่อมา คนตัวเล็กก็เริ่มบ่นกระปอดกระแปด

     “เลอะหมดเลย”

        ปืนหัวเราะคนขี้บ่น แล้วลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหน้าท้องเรียบและแผ่นอกขาวเกลี้ยงเกลาให้สะอาด

แล้วเลยไปเช็ดตรงส่วนที่ตัวเองทำเลอะไว้

       “ไม่ต้อง....พี่ปืนอ่ะ”

       “พี่เช็ดให้ อยู่เฉย ๆนะครับ”

        ปืนจับมือที่พยายามจะคว้าผ้าขนหนูออกไปวางข้าง ๆตัว

        “เลอะดีกว่าไม่เลอะนะ แปลว่าพี่ยังมีฝีมือ”

        “ฮึ...ขี้คุย.....โอ๊ย...”

        แกล้งว่าเค้าแล้วตัวเองก็ต้องร้องเพราะโดนบีบจมูกเชิด ๆนั่นแรง ๆด้วยความหมั่นไส้

       “เฮ้อ....สบายจัง”

   พี่ปืนล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ขาก่ายบนขาของปอ แล้วรำพึงด้วยความสุขใจ

       “แต่ผมเจ็บอ่ะ”

     “เจ็บอย่างเดียวเหรอ”

        เพี้ยะ!!!

       “อูย....มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย เดี๋ยวนี้ชักจะทำร้ายพี่เก่งขึ้นทุกวันแล้วนะ”

        “ก็หยุดล้อผมซะทีสิ”

        ปอพลิกตัวหันหลังให้พ้นหน้าพ้นตาเจ้าของนัยน์ตาคม ๆ คู่นั้น อายก็อาย

แต่จะว่าไป เจ็บคราวนี้ไม่เหมือนคราวแรกที่เจ็บกว่า ความสุขที่ได้ก็ทัดเทียมกัน แต่เป็นคนละอย่าง

        ครั้งนั้นเหมือนได้ลิ้มรสที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เนิบนาบ นุ่มนวล และหอมหวาน เหมือนน้ำฝึ้งเคล้ากลีบดอกไม้

แต่ครั้งนี้กลับหวานซาบซ่านและร้อนแรง เร้าใจเสียจนไม่อยากให้มันสิ้นสุด

        ลมหายใจที่เป่ารดท้ายทอย แผ่วลงและสม่ำเสมอในที่สุด ทำให้ปอรู้ว่าคนตัวโตคงจะพักผ่อนเอาแรงไปเรียบร้อยแล้ว

ปอคว้ามือที่พาดอยู่ที่เอวมากอดไว้แนบอก ถอยหลังเข้าไปแนบแผ่นอกกว้างอีกนิด

อย่างจะซึมซับไออุ่นที่ไม่ว่าเมื่อไรอ้อมอกนี้ก็พร้อมสำหรับปอเสมอ....เขามั่นใจเช่นนั้น

   จังหวะเต้นของหัวใจสองดวงที่ผสานเป็นหนึ่งเดียว เต้นไปพร้อม ๆ กับลมหายใจที่ผ่อนลงจนสม่ำเสมอเช่นเดียวกัน

นับแต่นี้คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ปอหวั่นไหวและเคลือบแคลงในตัวพี่ปืนได้อีกแล้ว


หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 11.40 น.
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 08-06-2012 12:17:58
สมหวังสักทีนะพี่ปืน :z1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 11.40 น.
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 08-06-2012 12:38:34
อมยิ้มแก้มปริเลยอ่ะ :-[
พี่ปืนเป็นคนสวน เป็นทาส เป็นแมวน้อย ที่มีความสุขที่สุดเลยใช่ป่ะเนี่ย
ในที่สุดก็หวานกันแล้ว ไม่เสียแรงลุ้นอยู่หลายฮึบ อิอิ^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น.
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 08-06-2012 12:56:28



ขออภัยครับ ลงสองรอบห่างกัน 1 ชั่วโมง  เหตุเพราะแอบลงที่ทำงานครับ  :t2:  หัวหน้าเผลอถึงจะเปิดหน้าจอได้

ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว คาดว่าจะมีตอนพิเศษสั้น ๆ เร็ว ๆนี้ 

แต่ยังไม่ได้ขออนุญาตปอเลย ขอผมเรียบเรียงแล้วเอาไปถามเค้าก่อนนะ

ตอนลงที่เว็บอื่นไม่มีตอนพิเศษที่คาดว่าจะลงนี่นะครับ เพราะไม่เคยคิดว่าจะมี

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประมาณสองอาทิตย์ได้มั้ง

ผมแวะไปหาคู่นั้นที่บ้าน หลังจากได้ข่าวว่าเค้าทะเลาะกัน

คิดว่า อาจจะมีคนคิดถึง เลยจะลองเขียนเล่น ๆ ยังไม่รู้เลยว่าจะมีประเด็นน่าสนใจรึป่าว



ลีลารักของพี่ปืนเป็นยังไง ลองติชมกันมานะครับ   :haun4:








   เย็นจวนค่ำ กว่าที่คนตัวเล็กจะขยับตัวตื่นด้วยความง่วงงุน

  หันหน้ามามองคนที่อิงแอบอยู่ข้างหลัง ก็เห็นรอยยิ้มจาง ๆ รออยู่ก่อนแล้ว

      “พี่ปืนตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกผมครับ”

      “พี่เพิ่งตื่นเหมือนกัน ที่ไม่ปลุกเพราะอยากมองปอเงียบ ๆ”

      “ไม่เคยเห็นผมตอนหลับรึไง”

      ปอยิ้มน้อย ๆ ปนอาการเขินที่โดนแอบมองตอนไม่รู้สึกตัว

      “เห็นบ่อย แต่ไม่เคยเห็นตอนนี้”

      พี่ปืนยิ้มตอบ แต่แววตาแฝงเลศนัยแปลก ๆ เล่นเอาปอชักร้อน ๆ หนาว ๆ

กลัวคลื่นอารมณ์รอบสองเพราะยังระบมกับคลื่นลูกแรกไม่หาย

      “แล้วมันไม่เหมือนกันยังไงล่ะครับ”

      “ทุกทีเราไม่เคยนอนกอดกันแบบนี้หนิ”

      ปอเบือนหน้าหลบสายตา พี่ปืนแนบหน้าลงมาชิด แล้วพึมพำอยู่ตรงขมับ

      “พี่ฝันถึงวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว เคยนึกอยากจะทำแต่ก็ไม่กล้าซักที”

      “แล้วทำไมคราวนี้ถึงกล้า”

      “มันก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ อ่ะนะ แต่พี่คิดถึงวันที่ไม่มีปออยู่ด้วยแล้วใจมันวูบหายเลย อีกอย่างนึงป๊ากับแม่ก็อยู่ถึงโน่น

เหมือนที่นูบอก ยังไงเค้าก็คงยังไม่รู้”

      “อ๋อ...นี่กะจะตีท้ายครัว ไม่ไปขอผมเหรอ”

      ปอแกล้งขึ้นเสียงเบา ๆ แล้วเอาแต่หลบหน้า ถ้าเผลอให้พี่ปืนเห็นว่าปออมยิ้มแก้มแทบแตก เดี๋ยวจะไม่เนียน

      “ไม่ใช่นะ...พี่ก็อยากบอกป๊ากับแม่ปอ แต่ว่า...ปอแน่ใจเหรอว่าเค้าจะไม่โกรธพี่น่ะ”

      “แล้วพี่ปืนไม่คิดเหรอว่า เค้าโกรธพี่ปืน เค้าก็คงโกรธผมด้วยเหมือนกัน”

      “ไม่หรอก พ่อแม่จะโกรธยังไง ก็คงไม่ถึงกับเกลียด แต่พี่สิ เค้าอุตส่าห์เอ็นดู ไว้วางใจทุกอย่าง

แล้วยังมาทำกับเค้าแบบนี้ ปอว่าเค้าจะให้อภัยพี่เหรอ”

      “พี่ปืนคิดมากอ่ะ ผมว่าป๊ากับแม่ต้องเห็นแก่ความสุขของลูกมากกว่าอย่างอื่น

ถ้าพี่ปืนหลอกผมก็ว่าไปอย่าง นี่ผมก็....ยินยอมพร้อมใจ”

      ไอ้ประโยคต้น ๆ ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำอยู่หรอก แต่พอถึงวรรคสุดท้าย มันเขิน ๆ ปากยังไงไม่รู้

ปอก็เลยอุบอิบ ๆ เอาแค่พอได้ยิน แล้วพี่ปืนก็ช่างหูดีกับคำพูดที่เปิดทางให้ตัวเองแบบนั้น

      “นั่นสิ....พี่ก็รู้นะว่าปอเต็มใจเป็นของพี่”

      “รู้ได้ไง”

      “ก็....ออกจะให้ความร่วมมือนี่นา”

      ผัวะ!!!

      “อูยยย....ปอพูดออกมาเองนะ พี่ก็แค่เห็นด้วยเฉย ๆ”

      หมั่นไส้คนเข้าข้างตัวเองนัก ปอก็ตั้งท่าจะลุกหนีซะเลย

      “จะรีบไปไหน”

      “เย็นแล้วผมจะไปทำกับข้าว พี่ปืนไม่หิวรึไงครับ”

      “หิว”

      “หิวก็ไปอาบน้ำ”

      “กินก่อนแล้วค่อยอาบ”

      นั่น...ส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาอีกแล้ว ขี้เกียจอาบน้ำล่ะสิท่า

      “สกปรก อาบน้ำให้สบายตัวก่อนแล้วค่อยตามผมลงไปก็ได้ ผมทำกับข้าวแป๊บเดียวเองครับ พี่ปืนอาบน้ำเสร็จก็คงเสร็จพร้อมกันพอดี”

      “กินเสร็จแล้วก็เลอะอีก ค่อยอาบทีเดียวเลยดีกว่า เสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินนอกบ้านกัน”

      “ก็ได้ครับ งั้นผมอาบก่อน แล้วพี่ปืนอาบทีหลังนะ”

      “เอ๊....ก็บอกว่าจะกินก่อน”

      พี่ปืนเอื้อมมือมาคว้าปอฉุดให้กลับลงไปนอนตามเดิม

      “กินก่อนยังไงเล่า จะไปข้างนอกก็อาบน้ำก่อนสิครับ”

      “ทำไก๋ เดี๋ยวเหอะ”

      พี่ปืนใช้สายตาประกอบท่าทาง ปอเลยเข้าใจแล้วว่าที่พูดมาทั้งหมดหมายความกันไปคนละทาง

      “หื่นนะพี่ปืนเนี่ย ไม่เอาพอแล้ว ผมยังเจ็บอยู่เลย”

      ปอปัดมือที่เริ่มจะซุกซน ไต่แตะไปตามหน้าขาของตัวเอง แต่ปัดป้องยังไงก็ไม่พ้นสักทียังกับมีสิบมือเลยเชียว

      “คราวนี้ไม่เจ็บแล้ว...นะ”

      “ไม่เอา....พี่ปืนไม่เจ็บ แต่ผมเจ็บหนิ”

      “ใครบอกพี่ไม่เจ็บ ดูสิ...เห็นมั้ย”

      ปอก้มลงมองตามสายตาเชิญชวนของพี่ปืน ก็เห็นตัวต้นเหตุกำลังผงาดเตรียมพร้อมเต็มที่ ใบหน้าก็ซับสีเลือดขึ้นมาทันที

      เพี้ยะ!!!

      “ทำไมทำร้ายพี่เก่งจังเลยนะ...ฮึ”

      พี่ปืนพูดจบก็จับปอลงนอนราบแล้วพลิกตัวลงมาทาบหมดอิสรภาพกันพอดี

      “ต่อนะ”

      ปอส่ายหน้าจนผมกระจายเต็มหมอน

      “นะ....ช่วยพี่หน่อยนะ”

      “ไหนตะกี๊บอกหิวไงครับ”

      “ก็ยังหิวอยู่ แต่พี่หิวปอ....นะ...นะครับ”

      “บ้า...พี่ปืนอ่ะบ้า”

      “บ้าก็บ้ารักแหละ...นะ...ต่อนะครับ....น้า”

      เมื่อคนบ้ากับคนหิวอยู่ในคน ๆ เดียวกัน ปอเหรอจะต้านทานอะไรได้

 นอกจากจะคล้อยตามกันไปลอยคออยู่ในคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ที่ซัดสาดมาจนอารมณ์กระเจิดกระเจิง

      กว่าจะได้ออกมาหาอะไรกินแก้หิวกันจริง ๆ ร้านอาหารก็เหลือแต่ตลาดโต้รุ่งนั่นแหละ



 :bye2:  จบแล้วคร้ับ........พบกันใหม่เรื่องหน้านะครับ

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: John Doe ที่ 08-06-2012 14:10:46
จบเสียแล้ว ^^
จะมีตอนพิเศษมั้ยคะ
ชอบเรื่องนี้มากๆ
ชอบทุกตัวละครเลย ทั้งพี่ปืน ทั้งปอ น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 08-06-2012 15:19:36
คุณนู *โดดกอดรัดด้วยความคิดถึง
 :กอด1:

น้องปอกับพี่ปืนจบซะแล้ว
 :monkeysad:
ทุกครั้งที่ตามอ่านเรื่องนี้มา
อิคนอ่านมันต้องนั่งน้ำตาตกในแทนคู่นี้ทุกครั้ง
แต่พอลงเอยกันได้ด้วยความสุขแบบนี้
เราก็ดีใจไปด้วย
 :m4:
อยากอ่านตอนพิเศษจังน้อ
 :m26:

ปลล.จบเรื่องนี้แล้วอย่าลืมคนอ่านที่นี่นะคะ
เอาเรื่องอื่นมาลงอีกน้า นัทจะรอ
 :bye2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 08-06-2012 17:44:22
สุขสมหวัง :L2:
รอตอนพิเศษน๊า
แล้วก็เรื่องใหม่ด้วย
 :กอด1:แน่นๆ1ที
ขยันลงมากมาย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 08-06-2012 18:09:18
ปอช่างกล้านะเปิดหนังยั่วปืนเหรอ ปืนบทจะหื่นปอสู้ไม่ได้เลย อิอิ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 08-06-2012 18:19:12
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 08-06-2012 18:23:04
จบลงอย่างมีความสุข :z1:

ชอบบบบบบบบบบบ

รอเรื่องใหม่อยู่นะ

 :call:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: โดดเดี่ยวแต่ไม่ ที่ 08-06-2012 18:30:50
อ่านตอนจบแล้ววววววววววววว
รอมานานมากๆๆเลยกว่าจะได้อ่านตอนจบ
ขอบคุณครับน้องนู
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Tiamo_jamsai ที่ 08-06-2012 18:32:07
 :impress2: :impress2: :impress2:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: PetitDragon ที่ 08-06-2012 18:46:09
สมใจพี่ปืนแล้วนะ  :oo1:

ได้ทีกินใหญ่เลย  :z1:

รอตอนพิเศษนะครับ

 o13
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: KuMaY ที่ 08-06-2012 19:16:48
อยากยืมหนังพี่นูมาดูอ่ะ :z1:
อยากอ่านตอนพิเศษอ่ะพี่นู o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: kiyomaro ที่ 08-06-2012 19:25:33
ต้องมีตอนพิเศษนะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำแข็งใส ที่ 08-06-2012 19:50:04
ดีใจๆในที่สุดเราก็ได้อ่านตอนจบ ขอบคุณคุณนูมากๆๆๆๆๆ น่ารักที่สุด  :กอด1:

ปืน+ปอ  :-[

หวังใจว่าจะได้อ่าน นิว+นู ด้วยนะคะ มาเป็นตอนพิเศษก็ได้  :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 08-06-2012 19:55:36
 :pig4: จะรอตอนพิเศษค่ะ ขอบคุณที่นำเรื่องดีดีมาให้อ่านนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-06-2012 20:32:06
รอตอนต่อไปค่า o18
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 08-06-2012 21:11:28
ฮิ้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว


ได้อ่านจนจบแย้ววววววววววว


คราวก่อนอ่านไม่จบ   คราวนี้จบแล้ว   ในที่สุดคู่นี้ก้สมหวัง     
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 09-06-2012 00:45:01
ทำไมผมต้องยิ้มทั้งน้ำตาด้วยน๊ะ คงจะเป็นเพราะว่า ผมรู้สึกถึงอุปสรรคต่างๆนานาที่ทำให้ทั้งสองฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้
นานแค่ไหนแล้วน๊ะที่ทั้งสองฝืนใจกันมา กว่าจะลงเอยกันได้ มันทรมานแค่ไหน แต่สุดท้าย ก็ได้รู้รสแห่งความสุขที่สุด  :กอด1:
ผมอ่านทีไร ไอ้ภาพสีเทาของปืนและปอในอดีตที่ทำวีรกรรมร่วมกันมา มันลอยมาให้ผมเห็นในความทรงจำพร้อมกับเพลงรักหลายสิบเพลงเลย
รู้สึกดีใจกับปืนและน้องปอจริงๆ ขอให้รักกันนานๆน๊ะครับ  :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 09-06-2012 01:28:11
จบซะแล้ว  เพิ่งหวานกันได้ไม่เท่าไหร่อ้ะ  อิอิ
ยังไงก็จะขอตามเรื่องอื่นๆต่อไปนะคะ
ขอบคุณมากๆค่าาา

+1 ให้จ้ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 09-06-2012 12:03:26
จบไปแล้วอย่างหวานชื่น :L1:
ลีลารักเหรอ
อร๊ายยยยย เขิล ไม่กล้าวิจารณ์อ่ะ
รู้แต่ว่าน้องปอเคลิ้มตาม ไม่ขัดขืน แถมบอกอย่าหยุดอีกแน่ะ
ว่าแต่น้องปอนี่เขินรุนแรงเนาะ เขินทีตีพี่ปืนที 555
 :pig4:
+vote
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 09-06-2012 14:44:23
หนุกหนานจ้า เขียนดีนะ มาม่าไม่บิวท์มาก ชอบๆ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Aini_es ที่ 09-06-2012 17:21:45
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Rina ที่ 09-06-2012 19:17:54
เราชอบเรื่องนี้นะคะ สนุกดีค่ะ แต่ว่าเราผิดหวังนิดหน่อยที่แบบต่างคนต่างเดียวไล่ตามเดียวหยุด อีกคนหยุดอีกคนก็ตาม พออีกคนไม่ตามแล้วจะหยุด คนที่หยุด
เริ่มตราม เป็นแบบนี้อยู่4-5 รอบ เนื้อเรื่องมันก็เลยพากันงงอ่ะค่ะ เรายังไม่เคลียร์เท่าไร ถ้าคอมเม้นนี้ทำให้ผู้เขียนต้องเสียใจเราขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่าแบบเรา
ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะเราอ่านแล้วมันเริ่มติดขัดไปเรื่อยอ่ะค่ะ แบบ น้ำเริ่มเยอะแล้วอ่ะค่ะ ต้องขอโทษจริงๆนะคะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 10-06-2012 00:02:59


 o14

แวะมาขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ มีทั้งกำลังใจและคำแนะนำ

ส่วนข้อติชมก็ขอน้อมรับไปแก้ไขนะครับ  แต่ก่อนจะแก้ไข ขอแก้ตัวก่อนได้ป่าว   :try2:

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่ผมเขียน เรื่องแรกเป็นเรื่องของตัวเองเปรียบเสมือนไดอารี่

วิธีสื่อตรงไปตรงมา ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก

(ปัจจุบันก็ยังไม่จบ แถมไม่ได้เขียนต่อ 555)


ส่วนเรื่องนี้เป็นวิธีการเขียนแบบมุมมองของบุคคลที่ 3 ผมว่ามันยาก

อาศัยจำเอามั่ง ถามเจ้าของเรื่องมั่ง

สำหรับคนเขียนมือใหม่อย่างผม ที่เริ่มเขียนประมาณปี '52

ผมภูมิใจตัวเองที่อุตส่าห์ลากมาจนจบได้ เพราะปกติไม่ค่อยจะสำเร็จ

เรื่องตอนพิเศษยังอยู่ในโครงการนะครับ ยังไม่ล้มเลิก

ถ้าเจ้าของเรื่องอนุญาตแล้วจะเอามาลงให้ แล้วจะบอกไว้ในหัวข้อให้ทราบกันนะครับ



หมายเหตุ : คู่นี้เค้าเรื่องเยอะ 3 ปีที่ตามล่าหาหัวใจ ผมว่าผมจัดมาน้อยด้วยซ้ำไป

แถมมือใหม่อีกต่างหาก นี่ขนาดผมเกลาบางส่วนบ้างแล้วนะครับ

ถ้าอ่านต้นฉบับแรกที่เขียน มันแย่กว่านี้อีก

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ใ้ห้การต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยครับ

 :pig4:







หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: luv_khun ที่ 10-06-2012 09:01:26
แฮก..แฮก..ตามอ่านซะเหนื่อย

สุดท้ายก็ลงเอยกันซักที :mc4:

หงุดหงิดกับพี่ปืนมากกกกกกกกกกก  ทำไหม๊..... คิดมากจังหน้อคนเรา

ดีนะที่ปอมั่นคง เป็นเราหาใหม่ไปละ

ขอบคุณ คุณนูมาก มากเลย ที่ต่อจนจบ  ไม่ค้างคาละ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 10-06-2012 15:22:08
ตอนแรกสงสารปืนนะ แอบรัีกปอ แต่ไม่กล้าทำผิดต่อครอบครัวของปอ หายากนะคนแบบปืนเนี่ย
แต่ตอนกลางๆ เนี่ยสงสารปอ ปออดทนมาก อ่านไปอยากให้ปอถอดใจไปซะ แต่ก็ตัดใจไม่ได้ ปอมั่นคงมาก
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เข้าใจกัน ความรัก 3 ปี ที่ปิดกั้นตัวเอง จนยอมรับกับตัวเอง
ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่าน แม้จะเป็นการเล่าผ่านบุคคลที่ 3 แม้คนเขียนบอกว่าออกแนวเพ้อเจ้อไปหน่อย
+1 ให้ Noo นะจ๊ะ
รอเรื่องต่อไป แล้วเรื่องที่เขียนไม่จบ จะมีโอกาสได้อ่านบ้างไหมเอ่ย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 10-06-2012 18:15:36
จบแล้ว! สมหวังก็ดีแล้วค่ะ เพราะขัดใจกับทีท่าไม่แน่นอนของ(ไอ้)พี่ปืนมาตลอด

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 10-06-2012 22:23:47
 :mc4: :mc4: :mc4:
กว่าจะสมหวัง เล่นเอาตาลายเลย
อ่านต่อเนื่องเกือบ 10 ชั่วโมงง่ะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 11-06-2012 12:02:44
ขอบคุณนะคะ

นั่งอ่านไปก็ลุ้นไป >.<
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น.
เริ่มหัวข้อโดย: Mc_ma ที่ 11-06-2012 14:20:54
เพิ่งตามมาอ่านที่หลัง เกือบพลาดเรื่องดีๆไปซะแล้ว

บอกได้ประโยคเดียวเลยสำหรับเรื่องนี้ >> น่ารักจังค่ะ
น่ารักทั้ง 2 คู่เลย ทั้งคู่พี่ปืน~น้องปอ และก็พี่นิว~พี่นู

พี่ปืน~น้องปอ งอนกันไปง้อกันมา..ตั้งนานกว่าจะลงเอยกันได้
คนอ่านลุ้นซะเหนื่อย ยังไงจะรอตอนพิเศษนะคะ

ขอบคุณค่ะที่มาแบ่งปันเรื่องน่ารักให้ได้อ่านกัน
อ่านเรื่องนี้แล้วอมยิ้มตลอด แม้แต่ตอนอึมครึมนะัเนี่ย
ขนาดเค้าห่างกัน เค้าก็ยังรักกัน ห่วงกัน และคิดถึงกันตลอด มันน่ารักตรงนี้แหละ :-[ :-[ :-[
บวกๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 :L2: :L2: :L2: :
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: CarToonMiZa ที่ 11-06-2012 18:41:08
เข้ามาบอกว่า
รอตอนพิเศษอยู่น๊า :L1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: kiyomaro ที่ 11-06-2012 19:18:30
ขอตอนพิเศษอ่ะคุณนู
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: akhlak ที่ 12-06-2012 12:00:23
ขอบคุณมากนะครับ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 12-06-2012 15:30:55
...ขยันนิ ลงเช้า กลางวัน ก็จบเร็วสิ
...พี่นี่แหละ ยกมือ2ข้างเลยรออ่านตอนพิเศษอยากรู้เรื่องที่ต่อจากนี้และปัจจุบันเค้าสองคนเป็นยังไงบ้าง
...เรื่องของนูกับที่นิว พี่ก็รออยู่นะ จะต่อที่ไหนก็บอกกันด้วย จะได้ไปแอบบบบบบบบบบบ...อ่าน :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 12-06-2012 16:05:37
 

จบลงไปพร้อมกับความโล่งใจของคนอ่าน ที่ตามลุ้น   :laugh5:
เข้ามาตอบคำถามแบบรวม ๆ ที่อยากอ่านตอนพิเศษครับ
อย่างที่บอกว่า ผมตั้งใจจะจบไว้แค่ทั้งสองคนตกลงใจกันได้
ความจริงมันไม่น่าต่อความยาวสาวความยืดเลย ถ้าเพียงแต่ผมจะไม่ได้ข่าวว่าเค้าทะเลาะกัน

แต่แวะไปถาม (แบบว่าอยากรู้เรื่องชาวบ้าน )
ได้ความว่าคนบางคนมันงี่เง่า อยากเซอร์ไพรส์น้องแต่ดันพลิกล็อก

แน้......หยอดไว้แค่นี้พอ   :yeb:

ขอบคุณทั้งกำลังใจ   คำแนะนำ  คำวิพากษ์  รวมทั้งคำขอบคุณสั้น ๆ แต่แม้จะสั้นก็ทำให้ผมชื่นใจว่า
มีคนเข้ามาอ่านแล้วเก็บเอาความสุขกลับไป

ดีใจที่ได้ทำสิ่งเล็ก ๆ ที่สร้างความสุขให้นักอ่านแม้จะเป็นเพียงรอยยิ้มเล็กน้อยก็ตาม   o14

หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 12-06-2012 17:00:45
น่ารักดีรักกันนาน ๆนะ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 12-06-2012 19:57:55
เป็นกำลังใจในการสร้างผลงานเขียนดีๆแบบนี้ตลอดไปครับ ^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: John Doe ที่ 16-06-2012 00:21:47
กลับมาอ่านซ้ำแล้วก็ กลับมารอลุ้นตอนพิเศษ ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: takkie ที่ 22-08-2012 09:25:36

คุณนูครับผมมาทักทายแล้วนะ ขอโทษที่หายไปเลย ผมอ่านเรื่องนี้จบแล้วตามสัญญา
ดีใจไปกับน้องปอและพี่ปืนด้วยนะครับที่มีความสุขด้วยกันเสียที
แล้วผมจะรอตอนพิเศษของทั้งสองคู่นะครับ ทั้งคู่ปอปืน และคู่คุณนูกับพี่นิว
อ่านแล้วรู้สึกพี่นิวโรคจิตคล้ายๆที่รักของผมเลย5555
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 22-08-2012 22:15:06
ลุ้นแบบสุดฤทธิ์ว่าเมื่อไหร่พี่ปืนจะยอมรับตัวเอง

แล้วก็เมื่อไหร่น้องปอจะยอมคืนดีกับพี่ปืน

แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี

แต่อยากรู้ว่าพ่อกับแม่น้องปอจะว่ายังไง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 29-08-2012 20:29:18
สนุกเวอร์ พึ่งมาตามอ่านค่ะ กะจะอ่านนานแล้วหล่ะ

^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 01-09-2012 23:30:37
ความรักของน้องปอ กับพี่ปืนเนี่ยะ เล่นเอาลุ้นมากๆ  แถมหน่วงอีกต่างหาก
ไอ้เราอ่านชื่อเรื่องเข้าใจไปเองว่าเป็นแนวน่ารัก ขำฮากัน 555
แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สนุก ประทับใจ ดีใจที่ได้อ่านคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: gummin ที่ 02-09-2012 20:20:24
ขอบคุณค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: mamaNUT ที่ 03-09-2012 22:26:59
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

มาอ้อน ขอตอนพิเศษด้วย...
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: NuNew ที่ 28-09-2012 00:30:21


แวะมาบวกเป็ดย้อนหลังให้ทุก ๆคน พร้อมกับแจ้งข่าวคืบหน้าครับ

ตอนพิเศษ ยังอยู่ในเมล์ปออยู่เลยครับ ส่งไปให้น้องอ่านแล้ว สงสัยจะยังไม่ว่าง

เพราะปอยังไม่เมล์ตอบมา    :m16: 

....สงสัยล่ะสิ ว่าทำไมไม่โทรคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด

คือว่า....ผมแนบไฟล์ไปให้ปออ่าน ถ้าเค้าไม่ถูกใจตรงไหนก็ให้ทำเครื่องหมาย ป้ายสี หรืออะไรก็ได้ให้ผมรู้

เพิ่มได้แต่ห้ามลบ เพราะผมจะต่อไม่ติด แต่ัก็อย่างที่บอกว่า ปอคงยังไม่ว่างอ่าน....ได้ไฟล์มาแล้วผมก็ต้องเอามาเกลาใหม่

มันเลยเป็นอนาคตที่มืดมนสำหรับผมเหมือนกัน      :เฮ้อ:


ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันแฟนคลับหาย (มีรึยังก็ไม่รู้) ผมก็เลยเอาอีกเรื่องที่เคยบอกไว้ว่ายังไม่จบมาลงไปพลาง ๆ

เรื่องของพี่นิวกับผมครับ

 พี่ครับ...รักผมบ้างไหมครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34950.0)
ขอบคุณสำหรับการติดตาม แม้มิได้คอมเม้นท์ใด ๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: StillLoveThem ที่ 28-09-2012 12:39:53
....น้องนู ขอบคุณที่ส่งข่าว  รออ่านอยู่เด้อ น้องปอเรียนจบยังหว่า คุณงี่เง่านี่ก็นะ จะเซอร์ไพส์อะไรน้องหว่า
....เป็นกำลังใจให้เด้อ เรื่องน้องนูอะอยากอ่านนนนนนน ตอนล่าสุด ที่ค้างไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วอะ ...ล้อเล่น :laugh:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: cksong2008 ที่ 30-09-2012 09:45:51
รอคับ รอ รอข้ามปีก็ยอม อิอิ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 02-10-2012 18:19:43
 เข้ามารออ่านเรื่องราวของชาวบ้านอีกคนจ้า คิดถึงน้องปอ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 10-10-2012 10:37:41
เพิ่งจะได้เข้ามาในห้องของนิยายที่โพสจบแล้วอ่ะ

เขียนบรรยายเนื้อเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ อ่านไปแล้วแอบรำคาญ พี่ปืน เหมือนกัน

คิดซะวุ่นวายไปหมด สงสาร น้องปอ แต่ก็มาเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว

จะได้มีความสุขด้วยกันทั้งคู่

ขอบคุณ คุณนู มากนะค่ะที่มาถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ แบบนี้ให้ได้อ่านค่ะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: TeuyHom ที่ 22-10-2012 00:38:05
น่ารักจังเลยยยย อิจฉาเบาๆๆ  55+
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: princefenris ที่ 22-10-2012 14:01:13
 o13 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: princefenris ที่ 23-10-2012 23:23:18
ลุ้นแทบแย่ กว่าจะลงเอย
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: paintshinki ที่ 25-10-2012 17:18:50
อ่านไปอ่านมาลุ้นแทบตายว่าจะลงเอยยังไง
แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆเอามาให้อ่านกันนะค่ะูููู^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Re-ya ที่ 21-12-2012 19:23:22
 o13 o13 ชอบบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: aa_mm ที่ 31-12-2012 19:52:58
ขอบคุณจ๊ะ น่ารักที่ซู้ดดดดดดดเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 01-09-2015 17:40:21
โหลุ้นจนหน่วงจิตกว่าจะลงเอยกันได้ สงสารทั้งสองคนแต่ในที่สุดก็รู้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-10-2015 22:49:44
น่ารักและหน่วงไปในเวลาเดียวกัน
แต่จบแฮปปี้ก็ยิ้มได้ ขอบคุณค่ะ
หวังว่าทุกๆคนจะมีความสุขกันดีนะ^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 14-02-2017 18:33:35
คิดถึงคนเขียน จึงมาอ่านเรื่องราวของน้องปอกับพี่ปืนอีกครั้ง
 :mew5:
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-04-2017 17:24:40
แวะมาเยี่ยมเยียน สบายดีกันทุกคนนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: lipure ที่ 13-02-2018 21:45:18
เป็นกะลังใจให้ทั้ง คนเขียนและคนในเนื้อเรื่องน่ะคะ

เรื่องนี้ก็สนุก น่ะ ชอบโมเม่นต์ตอนแรกๆ ที่พี่ปืนแอบรักปออ่ะ ตื่นเต้นดี
ยิ่งพอปอรักกลับแล้ว ฟินเลย ดีใจอ่ะ 55

ปอลอ เราคิดว่าปอน่าจะเป็นคนบ้านเดียวกะเราน่ะ เมืองใต้เมืองเดียว ที่ไม่มีทะเล มีส้มอร้อยอร่อย คิคิ (แต่ตอนนี้เรามาอยู่กทม.แระคะ กระซิก กระซิก คิดถึงบ้าน)
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 06-07-2021 22:05:44
 :-[
หัวข้อ: Re: อ้อนนักรักซะดีแมะ 8/6/2555 : 12.45 น. ตอนจบ
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 08-08-2021 10:43:56
 :z13: