มาแล้วครับ กว่าจะได้มาก็หลายวันเหมือนกัน อาทิตย์หน้าอาจจะต้องไปนานนะครับ ตะลอนต่างจังหวัดอีกแล้ว
ตอนนี้...คือจุดเริ่มต้นของดราม่าของจริงครับ คราวที่แล้วที่ว่าบีบคั้น คราวนี้จะบีบจะคั้นให้หน้าเขียวเลยครับ
ผมเคยบอกว่าตอนที่เขียนเรื่อง "รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต" มีหลายตอนที่เขียนไปร้องไห้ไปใช่ไหมครับ
เรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ ใครที่ต้มน้ำรอมาม่าไว้ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยนะครับ
ป.ล.
อยากให้ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 21 ช่วงที่ต้นวิ่งไปกระโดดกอดคอสน
เพิ่งนึกได้ว่าผมตั้งใจจะเขียนอะไรบางอย่าง แต่ลืม
เพิ่งเอาไปใส่ให้ครับ-------------------------------------------------------------
ตอนที่ 22: ชาไปทั้งหัวใจสนออกไปทำงานแล้วหลังจากที่ทำกับข้าวให้ต้นและเพื่อนๆ กิน รวมทั้งเขาเองก็ได้กินข้าวอิ่มท้องครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถเมล์สนก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เขาเกือบพลั้งปากบอกอะไรบางอย่างกับต้นไปแล้ว ตอนนั้นก็รู้สึกเสียดายที่ถูกปั้นจั่นมาขัดจังหวะเสียก่อน แต่พอมาคิดดูอีกครั้งเขาก็คิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ยังไม่ได้พูดออกไป ในเมื่อสนยังไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับต้นนั้นคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ถ้าเขาจะบอกต้นแบบนั้น เขาควรจะต้องมั่นใจและมั่นคงจริงๆ ถ้าเกิดบอกไปแล้วเขามารู้ตัวทีหลังว่าไม่ได้คิดกับต้นแบบนั้น ต้นจะเสียใจมากแค่ไหน ต้นมีค่าสำหรับเขามาก เขาไม่อยากทำให้ต้นเสียใจอีก แม้ว่าตอนนี้ต้นอาจจะเสียใจที่เขายังไม่ได้รักตอบ แต่ก็ยังดีกว่าให้ต้นเสียใจที่เขาบอกรักต้นไปแล้วกลับมาค้นพบทีหลังว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
ช่างมันเถอะ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกกับต้นแบบไหน แต่เขาก็รู้สึกดีๆ เวลาที่ต้นอยู่เคียงข้าง รู้สึกอุ่นใจที่มีเพื่อนคนนี้อยู่ใกล้ๆ คอยดูแลกันและกัน มีใครสักคนที่เขาไว้ใจได้ มีใครสักคนที่พร้อมจะยื่นมือมาช่วยเขาในทุกเรื่อง เป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคนที่เขาจะยอมทำอะไรให้ก็ได้ แม้แต่ชีวิตเขาก็จะให้ แบบนี้...มันเรียกว่าความรักหรือเปล่านะ เขารักต้นแบบนั้นหรือเปล่า ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าต้นช่างน่ารัก น่าทนุถนอม เขาอยากกอด อยากสัมผัส อยากจุมพิตที่ริมฝีปากบางๆ นั้น หรือว่ามันจะเป็นความรักจริงๆ เขาไม่รังเกียจหรอกนะที่จะเป็นแฟนกับต้น แม้ว่ามันจะต้องต่อสู้กับอะไรหลายอย่างที่เขาเองก็กลัวอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอก เขากลัวว่ามันจะเป็นเพียงอารมณ์อ่อนไหวที่เกิดขึ้นชั่วคราว เขาไม่อยากใจร้อนรีบบอกแล้วก็มาเปลี่ยนใจทีหลัง จะทำยังไงดีหนอ ใครกันจะช่วยเขาได้บ้าง ใครกันจะช่วยทำให้เขารู้ว่าเขารักต้นแบบไหน เขาจะพิสูจน์ยังไงดี...
---------------------------------------------------
ไม่รู้ว่าโลกมันกลมเกินไปหรือเปล่า เมื่อสนเดินมารับออร์เดอร์ที่โต๊ะหนึ่งก็เจอกับพี่ปิ๊กซึ่งพาพ่อ แม่แล้วก็บรรดาน้องชายน้องสาวมากินสุกี้ด้วยกันที่ร้านที่เขากำลังทำงานอยู่พอดี
"อ้าวสน...ทำงานที่นี่ด้วยเหรอ" พี่ปิ๊กทักพลางยิ้มระคนแปลกใจ
สนยิ้มตอบอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ได้อายที่พี่ปิ๊กเห็นเขาในสภาพนี้หรอก แต่รู้สึกทำใจลำบากที่จะต้องคุยกับคนที่เขาไม่ชอบหน้ามากกว่า
"ครับ" สนตอบเสียงห้วนแล้วก็ทำสีหน้าเรียบๆ ตามเดิม
เหมือนพี่ปิ๊กจะรู้ตัวว่าสนไม่ค่อยชอบหน้าเขาอยู่ ก็เลยต้องหุบยิ้ม
"จะรับอะไรดีครับ" สนถามพลางทำท่าเตรียมจดรายการอาหาร ตอนนี้เขาทำงานอยู่และเขาก็เป็นมืออาชีพพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน
"พ่อกับแม่อยากกินอะไรสั่งเลยนะครับ ปอนด์กับแป้งด้วย วันนี้กินเต็มที่เลยนะ ไม่อิ่มไม่ให้กลับบ้าน" ปิ๊กยิ้มอย่างอารมณ์ดี น้องชายกับน้องสาวของปิ๊กอายุราวๆ สิบห้าสิบหกหรืออาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ดูเหมือนปิ๊กจะรักน้องมากทีเดียว
สนยืนรับออร์เดอร์จนหมดแล้วก็แว่บหายไป ส่วนปิ๊กก็หันมาคุยกับพ่อแม่และน้องๆ ในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ท่าทางของสนที่แสดงออกนั้นเริ่มทำให้ปิ๊กเข้าใจอะไรบางอย่าง นิกกับปั้นจั่นบอกว่าต้นกับสนสนิทกันมากเพราะคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยอยู่ห่างกัน แต่สิ่งที่สนแสดงออกนั้นปิ๊กค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพื่อน สนหวงต้นออกนอกหน้านอกตา พยายามเข้ามากันท่าเขากับต้นตลอด แต่ดูเหมือนต้นเองก็จะเอนเอียงไปทางสนมากกว่า ถึงขนาดหนีออกจากโรงหนังตามสนไปก็น่าจะมีอะไรไม่ธรรมดาแล้วล่ะ ถ้าบอกว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันปิ๊กคิดว่ายังจะน่าเชื่อกว่าบอกว่าเป็นเพื่อนกันเสียอีก
ปิ๊กครุ่นคิด ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าสนหวงก้างหรือไม่ แต่อยู่ที่ต้นต่างหากว่าจริงๆ แล้วต้นคิดอะไรกับสน ถ้าเกิดต้นชอบสนจริงๆ ความผูกพันที่ยาวนานขนาดนั้นย่อมจะมีอิทธิพลมาก ปิ๊กไม่คิดว่าเขาจะทำให้ต้นเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ ทำไมนิกกับปั้นจั่นไม่บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่ทีแรกนะ
"เดี๋ยวผมไปห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ" ปิีกบอกแล้วก็ขอตัวลุกออกไปข้างนอกร้าน
พอลับตาพ่อกับแม่ ปิ๊กก็โทรหาปั้นจั่นทันที "ปั้นจั่น พี่มีเวลาคุยไม่มาก แต่ช่วยบอกความจริงพี่มาตรงๆ ได้ไหมว่าต้นกับสนเขาเป็นอะไรกันแน่ สองคนนี้ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันใช่ไหม เนี่ย...ตอนนี้พี่พาพ่อแม่กับน้องๆ ที่บ้านมากินข้าวที่ร้าน MK แล้วเจอสนด้วย พี่ว่าเขาไม่ชอบหน้าพี่ยังไงไม่รู้ พี่ว่ามันแปลกๆ นะ เราสองคนลืมบอกอะไรพี่หรือเปล่า"
ปั้นจั่นหัวเราะแหะๆ เมื่อมันมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงจะปิดบังไม่ไหวแล้วล่ะ "คือ...พวกผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่าไอ้สนมันชอบต้น แต่มันปากแข็ง พอถามทีไรมันก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับต้นเกินเพื่อน"
"แล้วทำไมไม่บอกพี่เรื่องนี้ตั้งแต่ทีแรก พี่สังเกตเห็นไม่กี่ครั้งพี่ก็รู้แล้วว่าสนเขาหึงต้น นี่กะจะให้พี่มาช่วยลองใจสนเหรอ มันไม่สนุกนะปัั่นจั่น" พี่ปิ๊กเสียงดุจนปั้นจั่นต้องสะดุ้ง
"เอ่อ...คือ..."
"อยากช่วยต้นใช่ไหม" คงไม่ใช่เรื่องยากนักที่ปิ๊กจะอ่านแผนการของสองเพื่อนสุดแสบนี้ออก
"ครับ" ปั้นจั่นรับคำเสียงอ่อย
"ต้นเขารักสนใช่ไหม"
"เอ่อ...ครับ รักมากๆ เลยแหละครับ"
ปิ๊กถอนหายใจ ถึงจะโกรธนิกกับปั้นจั่นไม่น้อยที่ปิดบังความจริงเรื่องนี้ แต่ปิ๊กก็รู้สึกเห็นใจต้น ได้รู้จักเพียงไม่เท่าไรปิ๊กก็รู้ว่าต้นเป็นคนดี อีกอย่าง เขาก็ยังไม่ได้ถลำลึกไปไกลมาก ยังพอถอนตัวถอนใจทันอยู่ ดีนะที่เอะใจขึ้นมาได้ก่อน คิดๆ แล้วปิ๊กก็อยากลองช่วยต้นดูอยู่เหมือนกัน เขาเคยเจอเหตุการณ์แบบต้นเพราะเคยหลงรักเพื่อนชายสมัยอยู่ ม. ปลาย เขารู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องแอบรักคนที่เขาไม่ได้รักเรา
"ถ้าอยากให้ช่วยก็บอกพี่ตรงๆ ก็ได้ เราสองคนนี่นะ รู้ไหมว่าพี่โกรธมาก แต่เอาเถอะ...พี่ก็คิดว่าต้นเป็นคนดี เมื่อหลายปีมาแล้วพี่เองก็เคยแอบหลงรักเพื่อนเหมือนที่ต้นเป็นตอนนี้ เอาเป็นว่า...เดี๋ยวพี่จะช่วยละกัน เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะแวะเข้าไปหาที่บ้านละกันนะ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวพ่อกับแม่พี่สงสัย ออกมานานแล้ว"
"ครับพี่ เดี๋ยวพวกผมจะรอนะครับ" ปั้นจั่นรับคำด้วยความรู้สึกผิด นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของพวกเขาสองคน การล้อเล่นกับความรู้สึกและความรักของคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมามันมีแต่เจ็บกับเจ็บ
ปิ๊กกลับมาถึงอาหารก็เริ่มทยอยมาแล้ว ปิ๊กปล่อยให้พ่อแม่กับน้องๆ จัดการกับอาหารกันเองไปก่อน เขาหยิบเอากระดาษและปากกาที่ทางร้านมีไว้สำหรับให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นมา เขียนอะไรบางอย่างลงไปแล้วก็ส่งให้สนตอนที่เขาจัดวางอาหารให้หมดแล้ว สนรับมาอย่างไม่สนใจนักเพราะคิดว่าเป็นเพียงความคิดเห็นจากลูกค้าที่เขาไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ นอกจากเจ้าของร้าน
"อ่านด้วย" ปิ๊กบอกเบาๆ
สนมองอย่างสงสัย เขาเดินออกไปแล้วก็อ่านข้อความที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น
"รู้นะว่าสนคิดอะไรกับต้นอยู่"
สนหันมามองเจ้าของลายมือ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาพอใจหรือไม่พอใจ อาจจะไม่พอใจก็ได้ที่หมอนั่นดันรู้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกพอใจที่พี่ปิ๊กจะได้รู้เสียบ้างว่าไม่ควรมายุ่งกับต้นอีก ถ้าเข้าใจแบบนี้แล้วไม่มายุ่งกับต้นก็ดีเหมือนกัน
-------------------------------------------------------
สนกลับมาถึงบ้านสี่ทุ่มกว่าๆ ก็แปลกใจที่เห็นไฟในบ้านยังเปิดสว่างจ้าอยู่ แถมยังมีเสียงคนหัวเราะคุยกันสนุกสนาน พอเข้ามาในบริเวณบ้านก็เห็นมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ สนขมวดคิ้ว เขาพอจะจำได้ นี่มันรถพี่ปิ๊กนี่นา พอเปิดประตูเข้าไปสนจึงได้เห็นว่าต้น พี่ปิ๊ก นิกและปั้นจั่นนั่งคุยกันอยู่พร้อมกับเปิดทีวีทิ้งไว้ไปด้วย ทุกคนหันมามองสนเป็นตาเดียวกันทันทีที่สนเปิดประตูเข้ามา
ต้นรีบลุกเดินมาหาเพื่อนพร้อมกับยิ้มดีใจ "กลับมาแล้วเหรอ เหนื่อยไหม กินอะไรมาหรือยัง"
สนนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถาม เห็นแบบนั้นแล้วต้นก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ไม่รู้ว่าสนจะคิดอะไรที่เห็นพี่ปิ๊กมาคุยกับพวกเขาที่นี่
"มากินด้วยกันสิสน พี่ปิ๊กเขาซื้อของมาฝากเยอะแยะเลยนะ" เสียงนิกร้องบอกมาจากที่พวกเขานั่งอยู่
สนหน้าบึ้งขึ้นมาทันที "ไม่กิน ไม่หิว เดี๋ยวเราขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะต้น" สนบอกเสียงห้วนแล้วก็เดินปลีกตัวขึ้นไปบนห้องอย่างอารมณ์เสีย พอเขาไม่อยู่พี่ปิ๊กก็มาหาต้นแบบนี้เหรอ นี่ความสัมพันธ์ของต้นกับพี่ปิ๊กคงพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้วสินะ เดี๋ยวนี้ถึงขั้นมาหากันถึงบ้านละ ต่อไปไม่มาหากันถึงห้องนอนเลยหรือ
สนปิดประตูดังปังจนคนที่นั่งอยู่ข้างล่างสะดุ้งตกใจและมองหน้ากันเหรอหรา ต้นเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยสีหน้างงๆ ระคนเป็นห่วง แถมยังเกรงใจพี่ปิ๊กอีกด้วยที่เจอกิริยาแบบนี้ของสนเข้าไป ต้นไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสนถึงไม่ชอบหน้าพี่ปิ๊กมากขนาดนั้น
"ดึกแล้ว...สงสัยพี่ต้องกลับก่อนแล้วล่ะ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าด้วย" พี่ปิ๊กบอกด้วยสีหน้าแหยงๆ เห็นอาการหึงของสนแล้วก็รู้สึกขยาดเหมือนกัน ชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าการที่เขาจะเข้ามาช่วยต้นจะทำให้เขาปลอดภัยหรือเปล่า
"อ๋อ...เหรอครับ มันก็ดึกแล้วเหมือนกันเนาะ คุยกันเพลินจนลืมเวลาเลย" ปั้นจั่นพูดแก้เกี้ยว ถึงจะเข้าใจความรู้สึกของสน แต่ในฐานะเจ้าบ้านร่วมกันก็ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกแบบนี้กับแขกที่มาเยือน
"จริงด้วย คุยซะเพลิน" นิกช่วยเสริมอีกคน ตอนนี้เขาสองคนต้องเกรงใจพี่ปิ๊กให้มากๆ เพราะไปโกหกพี่ปิ๊กเรื่องต้นกับสนไว้ ดีที่ว่าพี่ปิีกไม่โกรธจนถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์ไปเลย
"เดี๋ยวผมไปส่งที่รถนะพี่" ต้นอาสา พี่ปิ๊กพยักหน้า
พอส่งพี่ปิ๊กแล้วต้นก็เดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางครุ่นคิด สนชักจะหวงเขามากเกินไปหรือเปล่า เมื่อก่อนที่สนหวงเพื่อนก็ไม่เป็นมากขนาดนี้นี่นา เหมือนจะไม่ใช่แค่หวงอย่างเดียวแล้วนะ... ถ้าไม่ใช่หวงแล้วจะเป็นอะไร... หึงงั้นเหรอ... เป็นไปไม่ได้หรอก อย่าคิดอะไรแบบนี้เลยต้น แค่คิดก็ผิดแล้ว สนคงแค่หวงเท่านั้นแหละ
ต้นกลับขึ้นไปบนห้องแล้วก็อาบน้ำ ในใจก็ยังคอยเป็นห่วงสนอยู่เพราะรู้ว่าสนกลับมาเหนื่อยๆ ยังไม่ได้กินข้าว ต้นเคยไปทำงานที่ร้านนั้นก็เลยรู้ว่าต้องทำงานหนักแค่ไหน คิดไปคิดมาอยู่หลายรอบ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ต้นก็เลยตัดสินใจไปเคาะประตูห้องสน เอาเถอะ ไม่ว่าสนจะโกรธ จะหวง จะหึงหรือจะอะไรมากแค่ไหนก็ตามแต่ ความเป็นห่วงคนที่เขารักก็มีมากกว่า
สนเดินมาเปิดประตู สีหน้ายังดูตึงๆ จนพอสังเกตได้ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เขามักจะใส่นอนตามปกติซึ่งก็คือเสื้อกล้ามกับกางเกงบ๊อกเซอร์ แสดงว่าคงจะอาบน้ำแล้ว
"ทำงานอยู่เหรอ"
สนพยักหน้าแล้วถามเสียงห้วนๆ ว่า "เขากลับไปแล้วเหรอ"
"อืม...พรุ่งนี้พี่เขามีเรียนแต่เช้า"
"แล้วเขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ"
"ก็...มาคุยกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ว่า...เราเข้าไปข้างในได้ไหม"
"อ้อ" สนเพิ่งนึกได้ว่าเขากับต้นยังเปิดประตูคุยกันอยู่ "เข้ามาสิ"
ต้นเดินเข้าไปในห้องของเพื่อน ปิดประตูแล้วก็เดินตามสนไปที่โต๊ะทำงานของเขา สนกำลังทำงานเว็บค้างไว้อยู่พอดี
"ใกล้เสร็จหรือยัง" ต้นถามขณะที่สนนั่งลงเตรียมจะทำงานต่อ
"อีกสองสามวันก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ ตอนนี้ก็เหลือเก็บความเรียบร้อยแล้วก็แก้อะไรอีกนิดๆ หน่อยๆ"
ดูเหมือนน้ำเสียงของสนจะดูอารมณ์ดีขึ้นหน่อยแล้วล่ะ
"ดีใจด้วยนะ...นายจะได้พักผ่อนบ้าง"
เห็นต้นเป็นห่วงแล้วก็ทำให้สนรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที เมื่อกี้เขาก็คิดอกุศลไปไกลถึงไหนต่อไหน แถมยังทำหน้าบึ้งๆ ใส่ต้นอีก เขาไม่ควรทำกิริยาแบบนี้กับคนที่แสนดีอย่างต้นเลย แล้วที่ต้นมาหาเขาที่ห้อง เขาก็รู้ว่าต้นมาเพราะเป็นห่วงที่เขายังไม่ได้กินข้าวนั่นเอง
"อืม...มีอะไรกินไหมต้น เราหิว" สนหันมาทำเสียงและสีหน้าอ้อน ต้นเห็นเขาเหนื่อยต้นก็คงอยากมาดูแล สนก็เลยไม่อยากจะขัดศรัทธา
"ไม่มีเลย...หมดแล้ว" ต้นแกล้งอำเล่น รู้สึกดีใจที่เห็นสนหายหน้าบึ้งแล้ว
"จริงเหรอ..." สนทำหน้าเศร้า นึกว่าเป็นเรื่องจริง
"ล้อเล่น...รออยู่นี่ละกัน เดี๋ยวเราไปเอามาให้ อ้อ...เดี๋ยววันนี้เราจะมานอนให้กำลังใจด้วยนะ"
ได้ยินมุกนี้แล้วสนก็อดขำไม่ได้ ต้นเดินลงไปแล้วสนก็หันกลับมานั่งยิ้ม ลืมไปเสียสิ้นว่าเมื่อสักครู่นี้เพิ่งไม่พอใจที่พี่ปิ๊กมาหาต้นถึงที่บ้าน ต้นทำให้ชีวิตเขามีความสุขจริงๆ รู้ใจเขาทุกอย่าง ไม่ใช่แฟนก็เหมือนแฟน แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อเขายังหาคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่อยากรีบร้อน เพราะต้นจะต้องไม่เสียใจอีกเลยถ้าเขาได้บอกและตัดสินใจไปแล้ว
ทำไมสนถึงกลัวแบบนั้นน่ะหรือ เพราะสนก็ยังชอบมองผู้หญิงอยู่น่ะสิ เขาถึงได้กลัวใจของตัวเองว่าจะไม่มั่นคงมากพอ เขากลัวว่าสุดท้ายแล้วเขาก็อาจจะหนีธรรมชาติของตัวเองไม่พ้น แล้วคนที่จะเจ็บ...ก็คือต้นคนเดียว แม้ว่าตอนนี้ต้นจะเจ็บแค่ไหนกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่สนจะให้เวลากับความรักครั้งนี้อย่างพอเพียงเท่าที่มันจำเป็น เพื่อที่จะทำให้เขามั่นใจจริงๆ ว่าเขา...รักต้นแบบนั้น
---------------------------------------------------------
"ปั้นจั่น...พี่มาคิดๆ ดูแล้ว พี่ว่าเราเลิกทำแบบนี้เถอะ ตอนแรกพี่ก็อยากจะช่วยนะ แต่พี่ว่ามันไม่ค่อยดีว่ะ"
ปั้นจั่นครุ่นคิด จริงๆ เขาก็เริ่มเห็นแล้วล่ะว่ามันชักจะไม่สนุก
"พี่ไม่อยากเล่นกับความรู้สึกคนว่ะ ในเมื่อพวกเราก็รู้แล้วว่าต้นคิดยังไงกับสน สนคิดยังไงกับต้น ก็ปล่อยให้เขาจัดการความรู้สึกกันเองเถอะ พี่รู้สึกกลัวๆ ไงไม่รู้ว่ะ เกิดทำไปแล้วทำให้เขาผิดใจกันมากกว่าเดิม เกิดเกลียดกันขึ้นมามันจะไม่ดีนะปั้นจั่น"
"ผมก็กลัวๆ อยู่เหมือนกันครับพี่" ปั้นจั่นรับไปตามตรง หลายๆ ครั้งสนก็ดื้อและวู่วามอยู่บ่อยๆ เกิดมีปัญหาแล้ววู่วามกับต้นขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องเหมือนคราวนั้นอีก
"ถ้ากลัวแล้วก็ควรจะเลิกทำ...ดีไหม เขาสองคนก็รักกันดีอยู่แล้ว เขาแค่ต้องการเวลา อีกไม่นานเขาก็จะเจอความรู้สึกของเขาเองแหละ พี่ว่าเราไม่ต้องไปห่วงแทนเขาหรอก"
"ครับพี่"
"งั้นเรายกเลิกแผนของเรานะ บอกนิกด้วยว่าพี่ไม่ทำแล้ว"
"ครับพี่" ดูเหมือนปั้นจั่นได้แต่รับคำอย่างเดียวเพราะเขาก็ไม่รู้จะแย้งอะไรเหมือนกัน สิ่งที่พี่ปิ๊กพูดมาทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
"งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่จะถึงบ้านแล้ว"
"ครับพี่ หวัดดีครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับ"
ปั้นจั่นวางสายแล้วก็ถอนหายใจ เมื่อกี้ก่อนจะเข้ามาในห้องเขาก็เห็นต้นยกอาหารขึ้นไปให้สนถึงบนห้อง สองคนนี้เขาก็รักกันดีอยู่แล้วอย่างที่พี่ปิ๊กว่า ไปยุแยงให้เขาหึงหวงกันอาจจะกลายเป็นทำให้เขาผิดใจกันได้ เขาลืมคิดถึงข้อนี้ไปเลย เอาล่ะวะต้น คงช่วยมึงได้เท่านี้แหละ แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นแล้วว่าสนมันรักมึงมากแค่ไหน สักวันสนมันก็จะรู้ใจของมันด้วยตัวของมันเอง มันไปไหนไม่รอดหรอก อดทนอีกหน่อยละกัน
------------------------------------------------------
หลังจากวันนั้นแล้ว นิกกับปั้นจั่นก็ล้มเลิกแผนที่จะทำให้สนหึงหวงต้นไป ส่วนต้นกับสนก็ดูจะมีความสุขดีที่ได้เป็นเพื่อนและคอยดูแลกันแบบนี้ สนก็ยังคงไม่ได้บอกอะไรกับต้น นอกจากการแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ ที่ก็ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ แล้วก็ดูเหมือนว่าเมื่อไม่มีอะไรมากระตุ้น สนก็ดูจะลืมๆ ไปด้วยซ้ำ ส่วนพี่ปิ๊กพอเรียนจบไปแล้วจึงหลุดจากวงโคจรของชีวิตต้นไปโดยปริยาย
ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียน ต้นกับสนต้องทุ่มเทให้กับการเรียนมากเป็นพิเศษ เพราะต่างก็มุ่งหวังที่จะเรียบให้จบภายในสี่ปี สำหรับต้นอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใดนักเพราะเป็นคนที่เรียนดีอยู่แล้ว แต่สนต้องพยายามมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ต้นก็เป็นคนที่คอยช่วยเท่าที่ทำได้และเป็นกำลังใจที่สำคัญให้เขามาโดยตลอด
ในด้านความรัก สนไม่ได้ชอบพอใครเป็นพิเศษเลย อาจจะมีแซวหรือเล่นกันบ้างตามประสาหนุ่มๆ สาวๆ สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือฐานะของเขาเอง จึงทำให้สนคิดอยู่เสมอว่าเขายังต้องเจียมตัวเจียมใจ เพราะผู้หญิงเท่าที่เขารู้จักก็มักให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นหลัก ถ้าเขามีรถขับ ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมก็อาจจะมีคนชอบเขามากกว่านี้ หน้าตาดีอย่างเดียวดูเหมือนจะยังไม่พอ ทุกวันนี้ที่เรียนมาจนได้ถึงปีสี่ สนก็อาศัยเงินทั้งจากพ่อแม่ จากทุนกู้ยืมเรียน ส่วนที่สนหามาเองจากการทำงานนอกเวลาเรียนและงานพิเศษ เช่น ออกแบบเว็บไซต์ ทำระบบฐานข้อมูล ฯลฯ และอีกส่วนที่สำคัญคือจากครอบครัวของต้น
ช่วงก่อนเรียนจบ ต้นได้ฝึกงานที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งรับงานใหญ่ๆ จำพวกระบบขนส่งหรือสถานที่ที่สำคัญๆ ของประเทศ ส่วนสนได้ฝึกงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง
พอเรียนจบ ต้นก็ได้งานทำให้บริษัทที่เคยไปฝึกงาน ส่วนสนหลังจากที่ตระเวนสมัครอยู่หลายที่ก็ได้งานทำในบริษัทพัฒนาซอฟแวร์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเช่นกัน ด้วยความที่สนทำงานพวกนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนจึงทำให้มีโพรไฟล์การทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้เขาสามาถเข้าทำงานในบริษัทนี้ได้ไม่ยากนัก ต้องขอบคุณความขยันและอดทนของสนจริงๆ
ในคืนสุดท้ายก่อนที่ต้นและสนจะย้ายออกจากบ้านพักที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานถึงสี่ปีเต็ม หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว แม้ว่าจะดึกไปสักหน่อย สนก็มาคุยกับต้นที่ห้องเพราะเขามีอะไรหลายอย่างที่อยากจะบอกเพื่อน สิ่งแรกที่สนทำเมื่อไปถึงห้องของต้นก็คือ "กอดเพื่อน" เหมือนที่เขามักจะทำบ่อยๆ เวลารู้สึกดีๆ
“ขอบใจมากนะต้น สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีๆ ที่นายกับครอบครัวของนายให้เรากับครอบครัวของเรามาตลอด เราจะไม่มีวันลืมเลย ที่เรามีวันนี้ได้ก็เพราะนายจริงๆ นะต้น”
“เรายินดีและเต็มใจอยู่แล้วสน เราเองก็ดีใจที่นายตั้งใจและทำอย่างดีที่สุดจนมีวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวนายเอง ถ้านายไม่มุ่งมั่น ไม่ตั้งใจ เราก็อาจจะช่วยอะไรนายไม่ได้เลย เราภูมิใจในตัวนายมากรู้ไหมสน” ต้นชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้สนมีวันนี้ได้ เขาอยากให้สนภูมิใจกับความมุ่งมั่นของตัวเองด้วย
“ที่เราตั้งใจเพราะเราไม่อยากให้พ่อกับแม่ของเราลำบาก ที่สำคัญ...เราก็ได้กำลังใจดีๆ จากนายนี่แหละ ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่มีวันนี้หรอก จริงๆ นะต้น เราอยากบอกนายว่า...นายคือกำลังใจที่สำคัญของเราจริงๆ ไม่มีนายเราก็ไม่มีวันนี้ ขอบใจมากนะเพื่อน ขอบใจจริงๆ” สนกอดเพื่อนแน่น เพื่อนที่สนแสนจะรักปานแก้วตาดวงใจ
"โชคดีเป็นของนายนะสน จากวันนี้เป็นต้นไป ชีวิตเป็นของนายอย่างเต็มที่ แต่เราก็จะยังคอยดูและเป็นห่วงนายเสมอนะ มีอะไรก็กลับมาหาเราได้ จะให้เราช่วยอะไรก็บอก โทรมาหาเราได้ จะให้เราไปหาก็ได้ เราก็ยังเป็นนายต้นของนายเหมือนเดิม...จำไว้นะสน”
“นายก็เหมือนกัน อยากให้เราช่วยอะไร บอกเรามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ เราให้นายได้ทุกอย่าง ชีวิตก็ให้ได้” สนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใจหายเหมือนกันที่ต่อไปนี้จะไม่ได้พบหรือเห็นหน้ากันทุกวันเหมือนก่อน แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ความผูกพันในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาจะไม่ทำให้เขากับต้นห่างเหินกันไปไหนหรอก เมื่อใจยังเชื่อมถึงกัน ความห่างไกลก็คงไม่ใช่ปัญหา
----------------------------------------------------
ชีวิตการทำงานของต้นและสนผ่านไปได้ด้วยดี สนผ่อนคอนโดอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ด้วยนิสัยที่เป็นคนขยันทำงานทำให้สนค่อนข้างก้าวหน้าได้เร็ว ได้เลื่อนตำแหน่งและมีเงินเดือนมากขึ้น สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้อย่างไม่ลำบาก และสามารถคืนเงินที่ต้นให้ยืมได้จนหมด
พ่อกับแม่ของสนแม้ว่าจะไม่ได้ออกไปทำงานรับจ้างข้างนอกอีกแล้ว แต่ก็ปลูกผักทำสวนไปตามประสา สนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่อยากอยู่เฉยๆ ว่างๆ สนก็จะมาเยี่ยมพ่อกับแม่ บางทีก็มากับต้น บางทีก็มาคนเดียว ส่วนต้นก็อยู่คอนโดเช่นเดียวกัน แต่งานของต้นจะต้องออกนอกพื้นที่บ่อยๆ บางทีก็ไปต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศ พ่อกับแม่ของต้นก็ยังคนสอนหนังสือเช่นเดิม แต่อีกไม่นานก็จะเกษียณแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างต้นกับสนก็ยังคงเส้นคงวาเช่นเดิม แม้ไม่ได้เจอกันทุกวันแต่ก็โทรศัพท์คุยกันเกือบทุกวัน บางวันก็หลายรอบ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเสมอ บางทีว่างๆ สนก็จะมาที่คอนโดของต้น ไปกินข้าว ซื้อของหรือเที่ยวด้วยกันบ้าง บางทีสนก็มาค้างด้วย แต่ต้นไม่ค่อยได้ไปหาสนเท่าไรนักเพราะสนบอกว่าเขาจะมาหาเอง จึงนับได้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่เคยขาดการติดต่อกันเลยแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กันเหมือนเดิมแล้วก็ตาม
อะไรๆ ก็ดูเหมือนจะดีไปหมด แต่แล้ววันหนึ่งต้นก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางใจเมื่อสนพาผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เขารู้จักและแนะนำว่า
"ต้น...นี่นานะ แฟนของเรา"
ต้นรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวและหัวใจ ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ต้นก็ยังคงรักสนอยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้จะเริ่มทำใจไว้บ้างแล้วว่าอาจจะมีวันนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าพอเจอเหตุการณ์จริงแล้วมันจะเจ็บได้ถึงเพียงนี้ สนจะรู้บ้างไหมว่าเขาเจ็บแค่ไหน หรือว่าสนไม่เคยรับรู้เรื่องนี้เลยถึงได้พาแฟนมารู้จักเขาอย่างหน้าตาเฉยแบบนี้
หญิงสาวที่ชื่อนาหรือชื่อเต็มๆ ว่า "ปวีณา" ยกมือไหว้ต้นเพราะอายุน้อยกว่า "สวัสดีค่ะพี่ต้น เห็นพี่สนพูดถึงให้ฟังบ่อยๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"
ต้นรับไหว้เจ้าของเสียงหวานนั้นเหมือนกับคนที่สติได้หลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว สนอุตส่าห์โทรไปนัดเขาออกมากินข้าวเที่ยงด้วยกันเพราะอยากจะทำให้เขาประหลาดใจ เขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ ใช่...มันน่าประหลาดใจมาก ประหลาดใจจนต้นแทบจะล้มทั้งยืนเลยล่ะ ถ้าหากเขาลุกไปจากตรงนี้ได้โดยไม่ต้องรู้สึกเกรงใจใครต้นก็คงทำไปแล้ว
แต่เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็ต้องมีวันนี้อยู่แล้วไม่ว่าต้นจะอยากให้มันเกิดขึ้นหรือไม่ ทางที่ดี ต้นก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ มันไม่ใช่ความผิดของสนที่จะมีแฟน ต้นคงไม่สามารถไปคาดหวังให้สนอยู่คนเดียวแบบนี้ต่อไปได้ ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายที่ต้องมีแฟน แต่งงานและมีครอบครัว ต้นต้องยอมรับและอยู่กับความจริงนี้ให้ได้ ไม่ว่ามันจะเจ็บแค่ไหน
ต้นหันไปสบตากับสน ไม่รู้ว่าสนจะรับรู้ได้ไหมว่าข้างในต้นรู้สึกอย่างไร ต้นอยากจะร้องไห้แต่ก็รู้ว่าคงร้องไห้ตรงนี้ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันไหลเข้าไปในใจ ต้นหันกลับมามองนา ยิ้มเท่าที่สมองจะสามารถสั่งให้ยิ้มได้ ต้นไม่รู้เลยว่าสีหน้าของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มันคงไม่แย่จนเกินไปจนทำให้แฟนของสนรู้สึกไม่ดีหรอกนะ เขาก็หวังว่าอย่างนั้น...
"เช่นกันครับ" ต้นบอกเสียงเบาเพราะพยายามกดความรู้สึกอย่างเต็มที่ "ดีใจด้วยนะสน"
ต้นหันไปบอกเพื่อน สนยิ้มเล็กน้อย จะว่ายิ้มธรรมดาก็ดูเหมือนจะใช่ แต่จะว่ายิ้มเจื่อนๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน ต้นไม่รู้หรอกว่าสนคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่ต้นเจ็บเหลือเกิน แม้จะไม่ได้อยากให้สนรู้หรอกว่าเขาเจ็บ ไม่อยากทำให้ลำบากใจ แต่สนไม่รู้จริงๆ หรือว่าที่ผ่านมาต้นคิดอะไรกับเขา สนลืมไปหรือเปล่า สนคงลืมไปแล้วจริงๆ