ตอนที่ 14: ปั้นปึงในปีที่สองของการเรียนในมหาวิทยาลัย ต้นได้รับเลือกให้เป็นรองประธานชมรมจิตอาสาเพื่อสังคมเนื่องจากมีผลการทำงานที่ค่อนข้างโดดเด่น เจนี่ดูจะดีใจกับเขามากทีเดียว แถมยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่ต้นอาจจะได้เป็นประธานชมรมในปีหน้า ปีนี้ต้นพยายามชักชวนสนให้เขามาร่วมกิจกรรมในชมรมของเขาด้วย เพราะอยากให้สนใช้เวลาว่างทำประโยชน์เพื่อสังคมบ้าง สนก็มาเข้ามาร่วมแต่โดยดีตามแต่เวลาจะอำนวย
ในช่วงต้นเทอมแรกของปีสอง ต้นได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือการพานักศึกษาในชมรมไป ช่วยสร้างบ้านดินให้กับคนที่ยากไร้ที่ต่างจังหวัด ต้นต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากมหาวิทยาลัย ติดต่อประสานงานกับนักศึกษา หาที่พัก แจ้งขอเช่ารถของมหาวิทยาลัยและต้องประสานงานกับคนในพื้นที่ด้วย ต้นสามารถทำได้เป็นอย่างดี จนได้กำหนดวันที่จะไปทำกิจกรรมเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวติดกัน เดินทางเย็นวันพฤหัสบดีและกลับเย็นวันอาทิตย์ จังหวัดที่จะไปนั้นไม่ไกลจากกรุงเทพนักจึงใช้เวลาเดินทางไม่มาก
ในวันเดินทาง มีรสบัสสองชั้นคันใหญ่ของมหาวิทยาลัยหนึ่งคันเป็นพาหนะเดินทาง มีนักศึกษาและอาจารย์ที่จะไปรวมประมาณ 30 คน ต้นทำงานหนักทีเดียวเพราะต้องคอยดูแลนักศึกษาทั้งหมดที่จะไป บางคนก็มาสาย บางคนก็ยังติดต่อไม่ได้ วุ่นวายพอสมควร รวมทั้งปัญหาอุปสรรคจุกจิกอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ดีที่ว่ามีเพื่อนๆ ในชมรมและสนคอยเป็นลูกมือและช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
"เหนื่อยหรือเปล่าต้น" สนถามขณะเดินขึ้นมาบนรถด้วยกันเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วและพร้อมจะออกเดินทาง
"นิดหน่อย ขอบใจนายมาก ทำงานอาสาก็อาจจะเหนื่อยแบบนี้แหละ" ต้นบอกพลางหันไปยิ้ม
"เราสบายอยู่แล้ว" สนยิ้ม เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ต้นต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขากับสนเป็นแค่เพื่อนกัน
"ต้น...นั่งนี่สิ เจนี่จองที่ไว้ให้แล้ว" เสียงเจนี่ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นต้นกับสนเดินขึ้นมาด้วยกันพอดี
ต้นกับสนหยุดมองหน้ากัน สนยิ้มเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
"ตามสบายนะต้น" สนบอกแล้วก็เดินไปหาที่นั่งที่อื่น ต้นมองตามสักพักก็นั่งลงที่ข้างๆ เจนี่ แต่ก็คอยเหลือบมองสนในช่วงแรกๆ ที่นั่งอยู่กับเจนี่
สนได้ที่นั่งช่วงกลาง มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่าง พอสนนั่งลง หญิงสาวคนนั้นก็หันมามอง ยิ้มหน่อยๆ แล้วก็หันกลับไปตามเดิม
นั่งลงแล้วสนก็คอยเหลือบหันไปมองต้นกับเจนี่บ่อยๆ เห็นสองคนนั้นนั่งคุยกันกะหนุงกะหนิงแล้วสนก็บอกตัวเองไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ บางทีก็คิดว่าตัวเขาเองกำลังหวงต้นอยู่ แต่สนก็พยายามสลัดความคิดนั้นออกไปโดยเร็วแล้วก็นั่งเงียบ
“พี่ชื่ออะไรคะ” หญิงสาวที่นั่งข้างๆ สนหันมาคุยด้วย ทำให้สนตื่นจากภวังค์ความคิด
“อ๋อ ชื่อสนครับ เป็นนักศึกษาใหม่หรือครับ” สนยิ้มนิดๆ เพื่อไม่ให้คนแปลกหน้ารู้สึกอึดอัดจนเกินไป
“ค่ะ ชื่อก้อยนะคะ เรียนคณะนิเทศศาสตร์ค่ะ พี่สนเรียนคณะไหนล่ะ”
“คณะเทคโนโลยีสารสนเทศครับ” สนบอกชื่อเต็มของคณะที่เขาเรียน ก้อยทำตาโตด้วยความสนใจ
“จริงเหรอคะ งั้นพี่ก็ต้องเก่งคอมสิ สอนก้อยหน่อยได้ไหมคะ ก้อยใช้คอมไม่ค่อยเป็นเลย”
“อ๋อ...ก็...พอใช้เป็นครับ ไม่ถึงกับเก่งมาก ถ้าอยากเรียน ไว้ว่างๆ พี่สอนให้ก็ได้ครับ” สนรับปากไปตามมารยาท จริงๆ เขาก็ไม่ได้คิดว่าก้อยอยากจะมาเรียนจริงๆ หรอก อาจจะถามไปอย่างนั้นเอง
ก้อยชวนสนคุยไปตลอดทางเลยทีเดียว เธอแสดงอาการสนใจสนอย่างเห็นได้ชัด แต่สนไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้นี่เองที่จะทำให้เขากับต้นต้องบาดหมางใจกันอีกไม่นานนี้
------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเดินทางมาถึง คืนแรกทุกคนได้พักในรีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้ๆ สถานที่ที่จะเดินทางไปพรุ่งนี้ ต้นได้ราคาพิเศษเนื่องจากเจ้าของรีสอร์ทเป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เขาจะไปพอดี ส่วนในคืนต่อๆ ไปจะพักในวัดในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ในหนึ่งห้องจะต้องพักกันถึง 4 คน ทำให้ต้นต้องเหนื่อยพอสมควรเพราะกว่าทุกคนจะได้ห้องพักก็มีการถกเถียงและขอเปลี่ยนแปลงห้องกันวุ่นวาย สนคอยเป็นลูกมือให้เพื่อนได้เป็นอย่างดี กว่าจะได้นอนก็ดึกพอสมควร พอหัวถึงหมอนจึงหลับเป็นตาย
รุ่งเช้า หลังจากที่กินอาหารเช้าที่รีสอร์ทแล้ว รถก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านที่จะมีการสร้างบ้านดิน มีชาวบ้านและทีมวิทยากรสอนทำบ้านดินมารอต้อนรับอยู่ ในช่วงเช้าวิทยากรบรรยายเทคนิคการทำบ้านดินให้นักศึกษาฟังก่อนเพื่อจะได้เรียนรู้เทคนิคการทำก้อนดิน การก่อผนังและการฉาบ นักศึกษาได้เริ่มทำบ้านดินจริงๆ ในช่วงบ่าย ต้นสังเกตเห็นว่าสนดูจะสนุกกับกิจกรรมนี้มากทีเดียว เขาช่วยเพื่อนๆ คนอื่นๆ ทำก้อนดินอย่างแข็งขัน
สนไม่ค่อยได้คุยกับต้นมากนักเพราะดูเหมือนจะมีเจนี่คอยตามเป็นเงา ตอนที่เตรียมดินก็เห็นเจนี่คอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เอาน้ำท่ามาให้ดื่ม คุยกันกะหนุงกะหนิงเหมือนกับโลกนี้มีกันแค่สองคน สนรู้สึกหงุดหงิดจนต้องลอบถอนหายใจบ่อยๆ
ในขณะที่สนรู้สึกไม่พอใจอยู่นั้น ก้อยก็เดินเอาน้ำมาส่งให้เขาพลางยิ้มหวาน ตัวก้อยเองนั้นไม่ค่อยได้ช่วยคนอื่นๆ ทำอะไรมากนัก จริงๆ เธอมาเพราะอยากมาเที่ยวเปิดหูเปิดตามากกว่าจะมาช่วยทำงานอย่างจริงๆ จัง
"น้ำค่ะพี่"
"ขอบคุณครับ" สนหันไปยิ้มแล้วรับขวดน้ำดื่มที่เปิดฝาพร้อมดื่มมา เขายกขึ้นดื่มจนหมดแล้วก็หันรีหันขวางมองหาที่จะเอาไปทิ้ง
"เดี๋ยวก้อยเอาไปทิ้งให้ค่ะ พี่ทำต่อเถอะ" ก้อยบอกพลางยื่นมือไปรับขวดน้ำมาจากสนที่ยื่นให้ด้วยความเกรงใจ
"ขอบคุณนะครับ" สนยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ พอก้อยเดินออกไปแล้วเขาก็หันมาสนใจการเตรียมดินต่อ แต่หลังจากนั้นก้อยก็จะคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา ดูเหมือนคราวนี้ต้นก็เริ่มจะหันมาสนใจเขาเหมือนกัน เห็นสนมีสาวน้อยมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วต้นก็มีคำถามมากมายอยู่ในใจ
หลังจากเสร็จกิจกรรมวันแรก ต้นก็ให้เพื่อนนักศึกษาพักผ่อนตามอัธยาศัยและนัดมาเจอกันที่ลานในหมู่บ้านตอนหกโมงเย็นเพื่อกินข้าวเย็นและทำกิจกรรมภาคกลางคืน จนกระทั่งถึงเวลากินข้าวเย็น ชาวบ้านนำอาหารที่ช่วยกันทำมาให้นักศึกษากินหลายอย่าง มีทั้งแกง ทั้งลาบ อาหารพื้นบ้านอื่นๆ ของหวานและผลไม้ นักศึกษาที่เป็นอาสาสมัครนั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ บนเสื่อ ไม่มีโต๊ะให้นั่ง พอต้นเห็นว่าเพื่อนๆ นั่งกินข้าวกันอย่างเรียบร้อยแล้ว ต้นจึงตักอาหารใส่จานมากินบ้าง
ในระหว่างที่ต้นกินข้าวอยู่นั้นเขาก็พยายามมองหาสนเพราะรู้สึกว่าเขาไม่เห็นสนเลยในช่วงตั้งแต่ก่อนเริ่มกินข้าว ต้นลุกขึ้นไปเดินดูตามกลุ่มต่างๆ ก็ไม่เห็น ที่น่าแปลกคือไม่เห็นก้อยด้วย ไม่รู้ว่าหายไปไหนด้วยกันทั้งคู่ ต้นถามเพื่อนๆ ก็ได้ความว่าก่อนจะหายไปสนนั่งคุยกับก้อยอยู่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ต้นกับเพื่อนอีกสองสามคนจึงลองเดินไปตามหาที่บ้านหลังดังกล่าวก็ได้ทราบจากคนในบ้านว่าเห็นสนกับก้อยเดินเล่นตรงถนนดินของหมู่บ้านและเดินไปทางทุ่งนา ต้นเริ่มใจคอไม่ดีที่สนหายไปกับรุ่นน้องผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เพื่อนทำตัวเหลวไหลแบบนี้
ต้นกับเพื่อนแยกกันไปตามหาสนและก้อย ฟ้าเริ่มมืดมากแล้ว สองคนนั้นหายไปทำอะไรกันที่ไหนหนอ ต้นเดินไปตามถนนดินไปเรื่อยๆ จากนั้นก็เป็นสามแยก แยกหนึ่งไปถนนสายหลัก อีกทางหนึ่งเป็นทางที่ชาวบ้านเรียกกันว่าทางเกวียนและมีทุ่งนา ต้นเห็นกองฟางอยู่กองหนึ่งไม่ไกลจากเขามากนักจึงเดินไปดู
แล้วต้นก็ได้เห็นสิ่งที่คาดไม่ถึง สนกับก้อยนั่งซบและคุยกันอยู่ พอทั้งคู่เห็นสนก็ตกใจรีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน ต้นพยายามระงับอารมณ์อย่างที่สุดเพราะเขาทั้งโกรธจนมือไม้สั่นที่เพื่อนทำตัวเหลวไหลและเจ็บที่เห็นคนที่ตัวเองรักมานั่งอยู่กับผู้หญิงซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าจะว่าหัวใจโดนฟ้าผ่าก็อาจจะยังไม่เจ็บเท่านี้เลย
“ทุกคนเขารออยู่” ต้นกัดฟันพูด เขาต้องข่มใจอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ให้ทั้งคู่เห็น พอบอกแล้วต้นก็เดินแกมวิ่งออกมา เมื่อพ้นสายตาของทั้งคู่แล้วต้นก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น สนวิ่งตามเพื่อนสุดชีวิตก่อนจะคว้าแขนต้นเอาไว้ได้
“ต้น...เดี๋ยวก่อนสิ”
เมื่อต้นหยุดแล้วหันมามอง สนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นต้นมีน้ำตาอยู่เต็มใบหน้า
“ต้น...นายเป็นอะไร” สนถามด้วยสีหน้าตกใจ เขาไม่เคยเห็นต้นร้องให้แบบนี้เลย ปกติต้นเป็นคนที่เข้มแข็งมากและเขาแทบไม่เคยเห็นต้นร้องให้เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกบางอย่างบอกสนว่าเขาไม่ควรรั้งเพื่อนไว้ตอนนี้จึงค่อยๆ ปล่อยมือต้นอย่างช้าๆ
“นายทำตัวเหลวไหลมากนะสน” ต้นพูดเพียงเท่านี้ สายตาต้นดูเย็นชาอย่างที่สนไม่เคยเห็น เขาใช้มือปาดน้ำตาแล้วก็เดินไป สนได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงงงัน ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไปเมื่อสักครู่นี้จะทำให้ต้นต้องเสียใจถึงขนาดต้องร้องให้
หลังจากนั้นต้นก็ไม่พูดและไม่หันมาสนใจสนอีกเลย เหมือนกับไม่มีสนอยู่ตรงนั้น หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ต้นก็ไปเก็บกระเป๋าเป้ที่ใส่สัมภาระและเสื้อผ้าของตนเองออกไปจากเต็นท์ที่ตั้งใจว่าจะนอนด้วยกันกับสน ต้นรู้สึกเสียขวัญและยังทำใจกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ โกรธอาจจะไม่เท่าไร แต่เจ็บที่หัวใจนี่สิยิ่งกว่า
สนได้แต่ยืนมองเพื่อนด้วยสายตาละห้อย รู้สึกไม่ดีที่ทำให้เพื่อนเสียใจแบบนั้น ใจจริงเขาอยากจะเข้าไปขอโทษ แต่ดูท่าทางต้นจะโกรธเขามากจริงๆ จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ จึงได้แต่ปล่อยให้ต้นเก็บของออกไป รู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งมีวันนี้วันแรกนี่แหละที่สนเห็นต้นโกรธเขามากขนาดนี้ สนจึงคิดในใจว่าคงต้องปล่อยให้ต้นใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยคุยดีกว่า ความเป็นจริงนั้นเขาก็ไม่ได้อยากเหลวไหล แต่ก้อยก็พยายามถึงเนื้อถึงตัวเขาจนสนเผลอไป แต่อย่างว่า...ปรบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดัง เขาก็มีส่วนผิดไม่น้อย
ตลอดระยะเวลาที่ทำกิจกรรม 3 วันนั้น ต้นทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เขาได้รับความร่วมมือและการยอมรับจากนักศึกษาคนอื่นๆ จึงทำให้งานประสบความสำเร็จแม้ว่าจะเป็นงานสร้างบ้านดินงานแรก ส่วนสนนั้นได้แต่ช่วยทำไปเงียบๆ เขาไม่ได้คุยอะไรกับต้นที่ยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงเลย ก้อยเองก็ยังคอยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เขาแทบตลอดเวลา สนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบเขา ถ้าเขาคิดจะทำอะไรมากกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
------------------------------------------------------------------------------------------------
รถบัสของมหาวิทยาลัยเดินทางมาถึงกรุงเทพราวๆ สามทุ่ม ต้นยังไม่ได้กลับเลยทันทีเพราะเขาต้องคอยดูแลให้คนอื่นกลับกันให้หมดก่อนเพราะเขาถือว่าเป็นผู้นำแล้ว สนยืนคอยเพื่อนอยู่เงียบๆ อยากเข้าไปช่วยต้นเหมือนกันแต่เห็นสายตาต้นที่มองเขาแล้ว สนก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ แต่เมื่อคนกลับหมดแล้ว สนจึงเดินเข้าไปหาต้นด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
“กลับกันเถอะต้น ดึกแล้ว นายจะได้พักผ่อน เหนื่อยมาหลายวันแล้ว”
ต้นพยักหน้าแต่ไม่ตอบอะไร เขายังรู้สึกเคืองๆ อยู่แต่ก็ยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้านั่นเอง
“กลับแท็กซี่แล้วกันนะ” สนเสนอ ต้นพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พอได้แท็กซี่ ต้นก็นั่งที่นั่งด้านหน้า ให้สนนั่งด้านหลังคนเดียว พอมาถึงบ้าน ต้นจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วก็เข้าบ้านไปโดยที่ไม่รอสน แล้วก็ขึ้นไปบนห้อง ไม่ทักแม้กระทั่งนิกกับปั้นจั่นที่นั่งดูทีวีอยู่ สองคนได้แต่มองตามอย่างสงสัย สักพักสนก็เข้ามาในบ้าน เขามองหาต้น เมื่อไม่พบก็เลยเดาเอาว่าต้นน่าจะเข้าห้องไปแล้ว
“เป็นไรกันเนี่ยสองคนนี้ มาด้วยกันหรือเปล่าวะ” นิกหันมาถามด้วยความสงสัย
สนเดินเข้าไปนั่งกับเพื่อนๆ แล้วถอนหายใจ “สงสัยต้นจะโกรธกูว่ะ โกรธมาหลายวันแล้วล่ะ” สนบอกเพื่อนสองคนด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“แล้วมึงไปทำอะไรให้ต้นมันโกรธเอาล่ะ ปกติก็เห็นมันรักมึงจะตาย ไม่เคยเห็นมันโกรธมึงเลยนี่หว่า” ปั้นจั่นถาม
สนถอนหายใจแล้วก็เล่าให้เพื่อนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงทำให้ต้นโกรธเขาขนาดนั้น พอรู้เรื่องแล้วนิกกับปั้นจั่นก็พอเดาได้ว่าต้นไม่ใช่แค่เสียใจที่สนทำตัวเหลวไหลเท่านั้น แต่ต้นคงเสียใจด้วยที่เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่กับคนอื่นอย่างไม่คาดฝัน
“สมควรแล้วล่ะที่มันโกรธ เป็นกูกูก็โกรธเหมือนกันแหละวะ คนอื่นเขาทำงานกัน นี่ไปนั่งจู๋จี๋กัน ตอนมึงหายไปไอ้ต้นมันคงเป็นห่วงมึงนั่นแหละ ทำตัวเหลวไหลเองทำไมล่ะ” นิกว่าด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ไม่ต้องมองกูเลย ช่วยไม่ได้โว้ยเรื่องนี้ เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง” ปั้นจั่นบอกปัดเมื่อเห็นสนหันมามอง เขาจะไม่ยอมเป็นสะพานให้สนในครั้งนี้แน่นอน
“มึงระวังไว้ด้วยละกัน ผู้หญิงไวไฟแบบนั้น ง่ายก็จริง แต่อาจจะทำให้มึงมีเรื่องได้” นิกเตือน
“กูขอตัวไปนอนก่อนละกัน เหนื่อย” สนบอกพลางลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นไปบนห้อง เขารู้ว่าสองคนนี้คงไม่ช่วยเขาแน่ๆ พอเดินผ่านห้องของต้น สนหยุดยืนดู ชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ แต่คิดอีกที ปล่อยให้ต้นอยู่เงียบๆ สักพักไปก่อนดีกว่า
------------------------------------------------------------------------------------------------
วันหนึ่งตอนพักเที่ยง ต้นลงมากินข้าวก็บังเอิญเจอสนนั่งกินข้าวกับก้อยอยู่ ต้นจึงเดินหนีไป หลายวันมานี้เขาไม่ได้คุยกับสนเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นต้นยอมรับว่าเขายังทำใจไม่ได้ แต่พอเขาทำตัวห่างเหินก็เหมือนกับเป็นการปล่อยให้สนกับก้อยสนิทกันมากขึ้น ในใจลึกๆ ต้นก็รู้สึกเป็นห่วงสนอยู่เหมือนกัน นิกกับปั้นจั่นเคยบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้ประวัติไม่ค่อยดีนัก เขากลัวสนจะถูกหลอก
ระหว่างที่ต้นกำลังเดินเลือกอาหารด้วยอาการเหม่อๆ นั้น ก็เจอกับเจนี่กับเพื่อนๆ สามสี่คนที่กำลังเดินเข้ามาพอดี พอเจนี่เห็นแล้วก็หันไปคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเธอแล้วก็รีบวิ่งมาหาต้นด้วยความดีใจ ต้นก็เลยได้เจนี่เป็นเพื่อนกินข้าวกลางวัน
“ต้นเป็นไรเหรอ หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เจนี่ถามขณะกินข้าว เธอสังเกตว่าต้นดูเหม่อลอยชอบกล
“เปล่าหรอก สงสัยจะเหนื่อย” ตอบพลางยิ้มเนือยๆ
“แล้วสนเขาเป็นไงบ้าง ได้ยินว่ามีแฟนแบบสายฟ้าแลบเลยไม่ใช่เหรอ เตือนๆ เขาหน่อยนะ ยัยคนชื่อก้อยอะไรเนี่ยได้ข่าวว่าไม่ใช่เล่นเลย” เจนี่บอกพลางขำ
ต้นยกช้อนตักข้าวค้างไว้แล้วก็พยักหน้า “ก็คงแล้วแต่เขา ต้นเป็นแค่เพื่อนก็คงทำได้แค่บอก” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะประชดในที
“ถามจริงๆ เถอะ ต้นโกรธสนหรือเปล่า” เจนี่ถามด้วยความสงสัยเพราะสังเกตเหมือนกันว่าต้นไม่คุยกับสนเลยตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อวันนั้น
“ก็นิดหน่อย” ต้นยอมรับ ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธเลยก็จะดูโกหกจนเกินไป
“เอาน่า...ผู้ชายก็แบบนี้แหละต้น ก็มีเหลวไหลบ้าง ที่ห้องเจนี่นะ อยู่กันเป็นคู่ๆ เลย แต่ส่วนมากก็อยู่กันได้ไม่ค่อยนานหรอก เปลี่ยนคู่กันไปเปลี่ยนคู่กันมา ไม่ไหวเลย เจนี่ไม่ชอบ” พูดพลางส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
แต่สิ่งที่เจนี่พูดก็ทำให้ต้นเกิดความกังวลใจมากทีเดียว ถ้าสนกับก้อยเกินเลยไปถึงขนาดนั้น สนอาจจะเสียอนาคตได้ ในฐานะเพื่อน ต้นจะทนมองเห็นเพื่อนที่รักเสียอนาคตได้อย่างไร ถึงจะโกรธเคืองอย่างไร ต้นก็คงต้องทำอะไรบางอย่าง
------------------------------------------------------------------------------------------------
“เฮ้ยไอ้ต้น มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้สนน่ะมันเสร็จผู้หญิงที่ชื่อก้อยไปแล้ว มีคนเห็นมันไปหาเขาถึงที่หอพักเลยนะเว้ย” ปั้นจั่นฟ้องต้นทันทีที่ต้นกลับมาถึงบ้าน
ได้ฟังแล้วต้นก็มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ต้นพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้เรื่องแล้วแต่ก็ไม่พูดอะไร
“เดี๋ยวเกิดทำลูกสาวเขาท้องขึ้นมาแล้วจะเดือดร้อน” นิกว่าบ้าง พอต้นเงียบไม่พูดอะไร ทั้งสองคนจึงมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“มึงได้คุยกันไอ้สนมั่งยังวะตั้งแต่วันนั้น” ปั้นจั่นถาม
ต้นส่ายหน้า “สนคงไม่ฟังกูหรอก”
“แล้วมึงไม่ห่วงมันบ้างหรือไงวะ ยังไงก็เตือนๆ มันหน่อยนะเว้ย เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วโดนไล่ออก เสียอนาคตเลยนะเว้ย” นิกเตือน
“แล้วนี่ไอ้สนยังไม่กลับอีกเหรอ หรือว่าไปหาแฟน” ปั้นจั่นถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไปทำงานที่ร้านอาหารก็ได้” ต้นตอบอย่างเนือยๆ เขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วตอนนี้
“ขอตัวก่อนละกันนะ” ต้นบอกแล้วก็เดินขึ้นห้องไปเพราะวันนี้เขามีงานหลายอย่างต้องทำส่งอาจารย์
------------------------------------------------------------------------------------------------
ในขณะที่ต้นนั่งทำงานอยู่นั้น ประมาณห้าทุ่มก็มีเสียงคนเข้ามาในบ้าน คงเป็นสนนั่นเอง ต้นหยุดทำงานแล้วครุ่นคิด จริงๆ เขาก็เป็นห่วงสนมาก ถ้าสนยังทำตัวแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะเสียคนก็มีสูง ไหนๆ ก็อุตส่าห์โน้มน้าวจนสนยอมเรียนหนังสือแล้ว ต้นก็คงต้องช่วยเพื่อนให้ถึงที่สุด เหนื่อยแค่ไหน เจ็บแค่ไหนก็คงต้องลากถูกันไปให้ได้ เขาต้องตัดเรื่องความรู้สึกออกไปก่อนเพราะอนาคตของเพื่อนสำคัญกว่า คิดได้แล้ว ต้นจึงตัดสินใจเดินไปเคาะประตูห้องของสน สักพักสนก็เดินมาเปิดประตู พอรู้ว่าต้นมาหาเขาก็ยิ้มดีใจ
“ต้น...เข้ามาสิ” สนบอกพลางเชื้อเชิญเพื่อนให้เข้ามาในห้อง ต้นยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อน แต่เมื่อสบตากันก็ยังเห็นแววของอาการไม่สนิทใจกันเหมือนเคยอยู่ แต่ก็ทำให้สนใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นต้นยิ้มให้
ต้นเดินไปนั่งบนเตียงของเพื่อน สนเดินมานั่งข้างๆ ได้กลิ่นควันกับอาหารจากเสื้อของสนต้นก็พอจะเดาได้ว่าสนเพิ่งกลับมาจากทำงานที่ร้านอาหาร
“เรา...คิดถึงนายนะ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน” สนพูดพลางพยายามจับสังเกตสีหน้าของเพื่อน "นายหายโกรธเราหรือยังต้น"
ต้นนิ่งเงียบ ก้มหน้าแล้วก็บอกไปว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยนะสน ที่เรามาคุยกับนายวันนี้เพราะเรามีเรื่องที่กำลังกังวลใจแล้วก็เป็นห่วงนายอยู่”
“เรื่องอะไรเหรอ” สนหันมาถาม
ต้นชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เขาหันไปมองสนแล้วพูดสืบไปว่า “มีคนมาบอกเราว่านายไปหาก้อยที่ห้องพักของเขา”
สนชะงักเล็กน้อย แล้วก็พูดราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญว่า “ก็แหมต้น ผู้หญิงเขาเสนอเรามา เราก็แค่สนองไปเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย นายไม่เคยเจออย่างนี้มั่งเหรอ”
“สน...ถ้าเกิดเขาท้องขึ้นมา นายจะทำยังไง”
“เราโตแล้วน่าต้น เรารู้วิธีป้องกันน่า นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะต้น เพื่อนๆ ในห้องเราก็ทำแบบนี้กันทั้งแหละ บางคนก็พักห้องเดียวกันเป็นผัวเมียกันไปเลยด้วยซ้ำ แต่เราไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอก”
ต้นมองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ ทำไมสนถึงได้ไม่ยี่หระราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก หรือว่ามันจะธรรมดาจริงๆ สำหรับผู้ชาย ต้นอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปก็ได้ถึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ธรรมดา
“เรารู้ว่านายโตและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว แต่เราก็แค่...ไม่อยากให้นายประมาท”
สนนิ่งเงียบ ต้นจึงพูดต่อว่า “เราก็แค่เตือนนายเพราะว่าเราหวังดีนะสน ถ้าเราไม่รักนาย ไม่ห่วงนาย เราก็ไม่มาเตือนหรอก ไม่ใช่เตือนเพราะคิดว่านายเป็นเด็ก ไม่ได้คิดว่านายดูแลตัวเองไม่เป็น”
ต้นหยุดเหมือนกับไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังก้าวก่ายชีวิตของเพื่อนมากเกินไปหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจให้สำเร็จ “นายจำได้ไหม...เราเป็นคนขอให้นายมาเรียนหนังสือ เราไม่อยากให้นายพลาดพลั้งจนเสียอนาคต แต่เอาเป็นว่า...ถ้านายมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เราก็...จะเลิกพูดเรื่องนี้ละกัน เราก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนาย”
ได้ยินอย่างนั้นแล้วสนก็อยากจะเถียงว่าเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าต้นมาจุ้นจ้านเรื่องของเขา "เราไม่ได้คิดว่านายมาก้าวก่ายหรอกต้น เราเชื่อในความหวังดีของนาย นายเอง...ก็เชื่อมั่นในตัวเรา...ใช่ไหม"
ต้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มันมีอะไรหลายอย่างที่สนยังไม่รู้ และมันก็ทำให้ต้นเจ็บปวดร้อนรนแบบนี้ “เราเชื่อใจนายเสมอนะสน แต่เรา...ขอพูดตรงๆ ว่า...เราไม่เชื่อใจผู้หญิงคนนั้น แต่...ทั้งหมดก็แล้วแต่นายนะ เราแค่อยากให้นายรู้ว่าเราเป็นห่วงนายแค่นั้นแหละ”
สนมองดูเพื่อนด้วยสีหน้าครุ่นคิด จริงๆ เขาก็ไม่อยากให้เรื่องมันเตลิดมาถึงขนาดนี้หรอก วันนั้นเขาแค่รู้สึกไม่พอใจที่เห็นต้นกับเจนี่สนิทกัน ก็เลยคิดจะเรียกร้องความสนใจจากต้นด้วยการเข้าหาก้อย แค่อยากจะให้ต้นหันมาสนใจเขาบ้างเท่านั้นเอง แต่พอทำแบบนั้นไปแล้วเรื่องมันก็ชักจะเตลิดจนสนเองก็เริ่มหนักใจเหมือนกัน
“ดึกแล้ว...เราขอตัวไปทำงานต่อก่อนละกัน เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันส่ง”
ต้นบอกเสร็จแล้วก็ลุกเดินออกไป สนเดินไปปิดประตูแล้วก็กลับมานั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่นี้ ชีวิตเขาขาดต้นไม่ได้หรอก เวลาต้นไม่คุยกับเขาแล้วเขารู้สึกทรมานใจมาก มากจนต้องเรียกร้องความสนใจจากต้นด้วยวิธีการแบบนี้ แต่ต้นกลับดูเหมือนจะไม่พอใจมากขึ้น
สนถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก เขาอยากให้ต้นกับเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จะว่าไปแล้วเขาก็เริ่มสับสนแล้วล่ะว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่ เขารู้สึกว่าต้นอาจจะไม่ได้แค่โกรธที่เขาทำตัวเหลวไหล แต่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น...