ครานั้น 2ริมคูน้ำในยามบ่ายนี้ร่มรื่นไปด้วยเงาของไม้ใหญ่ บ้างยืนต้นสูงชะลูด บ้างแผ่กิ่งก้านสาขาระผิวน้ำไหลเอื่อย พื้นดินบริเวณใต้เงาไม้ในที่แสงแดดส่องไม่ถึงมีหญ้าขึ้นเบาบางสลับกับรากไม้ใหญ่แข็งแรงที่โผล่พ้นจากดิน ลมพัดมาเป็นระลอกยังผลให้ใบไม้เสียดสีกระทบกัน
ใต้ร่มต้นมะขามใหญ่ยังมีร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งนั่งจักตอกอย่างใจเย็น วงหน้าคมคายด้วยดวงตาเรียวรี หางตาชี้ขึ้นรับกับรูปจมูก ริมฝีปากหนาซีด วงหน้าคมคร้ามด้วยแก้มตอบ ผมปรกรอบศีรษะยาวลงมาเสมอระดับใบหูข้างบน ส่วนที่ต่ำลงมากว่านั้นกร้อนเกรียนติดหนังศีรษะ ทั้งร่างสูงใหญ่ผิวหยาบสีน้ำตาลปนแดง พิศดูคมคายนัก
เสียงฝีเท้าวิ่งแตะพื้นดินเพียงแผ่วๆ ทว่าร่างคมคร้ามนั้นกลับตวัดสายตาเรียวดุขึ้นมามองด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบไว เมื่อเห็นแต่ไกลว่าเป็นผู้ใด ริมฝีปากหนาจึงยกยิ้มเพียงนิดก่อนสีหน้าจะกลับเป็นเคร่งขรึมดังเดิม
ร่างน้อยผิวขาวบางดังไม่เคยต้องแดด ผ่อนฝีเท้าลงก่อนค่อยเดินเยื้องย่างเข้าใกล้ยังต้นมะขามใหญ่
ผมยาวเกล้าจุกปักปิ่น วงหน้าเรียวตากลมโศก ทั้งจมูกปากพิศดูพริ้มเพรารับใบหน้าอ่อนใส แขนอ่อนดังหยวกกล้วยอุ้มประคองห่อผ้าขาวด้วยทีท่าระมัดระวัง ช่วงไหล่แคบ ทั้งแข้งขากลมกลึงทำให้ร่างน้อยนั้นดูเยาว์วัยยิ่ง
เมื่อก้าวย่างถึงโคนไม้ใหญ่ เจ้าร่างบางจึงค่อยทรุดนั่งก่อนวางห่อผ้าขาวไว้ข้างตัว เสียงกระทบเบาๆของเครื่องถ้วยชามทำให้คนที่นั่งอยู่ก่อนคาดเดาได้ไม่ยากว่ามีสิ่งใดอยู่ในห่อผ้า
“เอาขนมอันใดมาฝากพี่รึเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยท่าทีใส่ใจ
ร่างน้อยไม่ตอบคำเพียงแต่แกะห่อผ้าออกก็ปรากฏเครื่องดินเผาเคลือบมีฝาปิด มือเรียวเปิดฝาครอบออกพร้อมส่งยิ้มละมุนดังเด็กได้อวดของ
ภายในพาชนะเคลือบดินเผานั้นคือขนมสำปันนีหลากสีปั้นแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีต
“ขอพี่จักตอกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อนเถิด” ร่างกำยำเพียงพยักหน้ารับและเอ่ยอย่างสั้นๆก่อนจะมุ่งสนใจเรียวไผ่ในมือ
คนฟังจึงปิดฝาและห่อผ้าขาวไว้ดังเดิม แล้วค่อยวางถ้วยขนมไว้ข้างกายอีกคน
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง มีเพียงเสียงมีดจากการจักตอกและเสียงลมพัดใบไม้กระทบกันเท่านั้น
กลิ่นมะลิอ่อนๆจากร่างน้อยที่นั่งทอดสายตาไปยังคูน้ำลอยลมบางเบา
แม้ไม่มีบทสนทนาใดๆ ทว่าความรู้สึกผ่อนคลายและสงบอย่างคุ้นชินกลับแผ่ปกคลุมโดยรอบเปรียบดังกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น
ผ่านไปชั่วครู่ เจ้าร่างบางที่นั่งเหมื่อลอยก็ถอนหายใจเฮือกเป็นพักๆ คนนั่งจักตอกที่แลดูไม่ใส่ใจอื่นใดนอกจากเรียวไผ่ในมือนั้นแท้จริงกลับลอบพิศดูอีกคนด้วยท่าทีฉงน เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยมีท่าทีดังกลัดกลุ้มมาหลายวันแล้ว
ยังมิทันคลายความสงกา คนตัวบางก็ค่อยลุกขึ้นก่อนแตะแขนร่างใหญ่เป็นเชิงบอกลากลับเรือน
“สินธุ์ เจ้ามีเรื่องใดในใจรึไม่ ใยพักนี้จึงดูกลัดกลุ้มนัก” ร่างสูงรีบเอ่ยทัดทานคนที่กำลังผินกายผละไป
เจ้าสินธุ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงชะงักเพียงนิด คิ้วบางขมวดมุ่นด้วยมิแน่ใจและไม่รู้จะว่ากล่าวอย่างไร
และก่อนร่างน้อยจะได้ตัดสินใจอันใด พลันแว่วเสียงฝีเท้าและเสียงคนพูดใกล้เข้ามา
“มิรู้พ่อเดชหายไปเมื่อใด ข้าเห็นเพียงหางตาว่าเดินมาทางนี้มิใช่หรือ”
“ข้าว่าเรากลับกันเถิด วันพรุ่งจึงค่อยไปถามไถ่ให้คลายสงสัย”
“เช่นนั้น...”
ยังมิทันที่เจ้าของเสียงเจรจาทั้งสองจะได้เอ่ยอันใดอีกก็พลันแลเห็นพ่อเดชและเจ้าสินธุ์ใต้ต้นมะขามใหญ่
แรกนั้นแววตาผู้พบเห็นทั้งคู่คล้ายฉงน แต่เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นแววไวมีเล่ห์กล
“ข้าล่ะหรือฉงนมาเป็นเพลาว่าสหายข้ามีอันใดกับคูน้ำทางตะวันตกของคลองฝางเป็นหนักหนา...” หนึ่งหนุ่มเอ่ยด้วยแววตาพราวระยับ
“นึกว่ามานัดพบแม่หญิงบ้านใดเสียอีก แท้แล้วเป็นเพียง...” อีกคนต่อคำพลางเดินเข้าใกล้เวียนวนพิศเจ้าสินธุ์อย่างถ้วนถี่
“จะเป็นเพียงอันใด” พ่อเดชเอ่ยห้วนด้วยไม่สบอารมณ์นัก
“โกรธาเสียแล้ว” ร่างหนึ่งเอ่ยยั่วเย้าพลางหัวเราะแผ่วๆในคอ
“เป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นหน่ะซี”
เจ้าสินธุ์ได้ยินดังนั้นก็ให้อยากทัดทานเหลือเกินว่าตนนั้นอายุสิบแปดแล้ว มิใช่เพียงเด็กน้อยอย่างคำกล่าว
“พวกเจ้ามีเรื่องใดอันสำคัญอีกรึไม่ หากไม่มี เพลานี้ข้ามิใคร่สะดวกจะเจรจานัก” พ่อเดชกล่าวตัดบทพลางคว้าแขนเจ้าสินธุ์และหอบห่อผ้าขาวออกเดิน
“เรื่องอันข้าจะเจรจาย่อมสำคัญยิ่ง”
ได้ยินดังนั้นพ่อเดชจึงหยุดเหลือบแลชายหนุ่มทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ
“มีอันใดก็ว่ามา”
“มิคิดจะบอกกล่าวแก่พวกข้าหรือว่าผู้ที่เจ้าจับจูงนั้นคือผู้ใด”
พ่อเดชถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยคิดในใจว่ามิใช่กงการอันใดที่ตนจักต้องอธิบาย หากเพียงด้วยรู้นิสัยสหายตนดีนักว่าหากใคร่รู้เรื่องใดแล้วย่อมต้องสืบสาวจนกระจ่าง และด้วยไม่อยากให้เจ้าร่างน้อยต้องถูกสืบสาวให้วุ่นวายจึงหันไปแนะนำคนทั้งสามแก่กัน
“สินธุ์ เจ้าคนกล่าวมากความผู้นั้นคือหมื่นรามราชเดช ลูกชายเพียงคนเดียวของหลวงเจ้าเทพ(ขุนนางจีน)เจ้าของบ่อนแถบท่าประตูวังชัย...” เจ้าสินธุ์มองพี่เดชเอ่ยเพียงครู่ก็ยกมือไหว้คนตรงหน้าที่พิศตนด้วยท่าทีใส่ใจยิ่ง ร่างสูงใหญ่ไม่แพ้พี่เดช เพียงแต่ผิวกายนั้นกลับขาวผิดกัน
“แลคนผู้นี้คือขุนทัพไพรีพ่ายลูกเจ้าคุณกลาโหม ทั้งสองล้วนเป็นสหายพี่” ร่างน้อยยกมือไหว้อีกคนด้วยท่าทีนอบน้อมเฉกเช่นกันก่อนส่งยิ้มให้เมื่อขุนทัพพยักหน้ารับและมองตนด้วยท่าทีเอ็นดู
“ส่วนเจ้าคนบูดบึ้งที่ยืนข้างเจ้านั่นคือขุนเดโช ลูกชายคนรองของพระยามณูปกรณ์” ขุนทัพบอกเจ้าสินธุ์ด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
ร่างน้อยหัวร่ออย่างไร้เสียง เท่านั้นก็พอให้สหายทั้งสองของขุนเดชฉงนว่าเหตุใดเจ้าสินธุ์จึงมิเอ่ยอันใด และแม้หัวเราะก็ไม่มีเสียงแม้เพียงสักน้อย
“ไปเถิดเจ้า” พ่อเดชเอ่ยพลางแตะแผ่นหลังบางเพียงแผ่วเบาเป็นเชิงให้อีกคนผินกายออกเดิน
“แลเจ้าจะบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเหตุอันใดจึงกลัดกลุ้มนัก”
เจ้าสินธุ์ชะงักงันยืนนิ่งไม่ไหวติง ปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วทั้งคู่ก็พลันขมวดมุ่นอย่างคนชั่งใจ
ขุนเดชเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าอีกคนคงลำบากใจมากโข ไม่ว่าเจ้าน้องน้อยจักกลัดกลุ้มเรื่องอันใด แต่หากเจ้าตัวมิอยากให้ตนรับรู้ ก็คงมิอาจว่าอย่างไรได้ มีเพียงความเป็นห่วงเกาะกุมจิตให้ตนได้ร้อนรนด้วยเท่านั้น
และด้วยสายตาอันห่วงใย ท่าทีโอนอ่อนตามใจที่มีเสมอจึงทำให้เจ้าสินธุ์ตัดสินใจได้
เจ้าร่างบางเพียงจับแขนขุนเดชและยิ้มอย่างวางใจพลางรั้งอีกคนให้ออกเดินเคียงกัน
ภาพขุนเดโชแย้มยิ้ม สายตาหรือก็เอ็นดูเด็กหนุ่มเป็นหนักหนา ท่าทีใส่ใจที่ทั้งคู่มีต่อกัน มิสนใจสิ่งอื่นใดรอบกายทำให้ขุนทัพและหมื่นรามแปลกใจยิ่ง เจ้าร่างน้อยมีดีอันใดหนอใยเสือยิ้มยากเยี่ยงสหายตนจึงแย้มยิ้มได้
คนทั้งสี่ออกเดินเลียบคูน้ำได้เพียงครู่ก็มาหยุดอยู่ ณ เรือนฝากระดานหลังเก่า(เรือนเครื่องสับชั้นดีที่สุด)
“เมื่อใดนายเอ็งจักย้ายออกจากเรือนข้าเสียที”
เสียงตวาดอย่างมีอารมณ์ที่ดังมาจากบนเรือนทำให้เจ้าสินเร่งฝีเท้าขึ้นเรือนโดยเร็ว
“แต่แม่นายท่านไม่สบายหนักนักเจ้าคะ” นางรื่นบ่าวเพียงคนเดียวในเรือนกล่าวทัดทานแม่ปริกที่ตั้งท่าเอะอะ
“ก็เพราะไม่สบายหนักหน่ะซี จะมาตายที่เรือนข้ามิได้เป็นอันขาด” นางปริกมิเพียงมิฟังคำทัดทาน ซ้ำยังตวัดสายตามุ่งร้ายมาสู่เจ้าสินที่พึ่งก้าวขึ้นเรือน
“ว่าอย่างไรไอ้คนบ้าใบ้ วันๆก็หามีงานการอันใดทำไม่ เอาแต่เที่ยวเล่นอีกล่ะซี” ถ้อยคำที่มิเคยถนอมน้ำใจผู้ฟังยังให้ใจทั้งเจ็บปวดและคับข้องในที
เจ้าสินมิโต้ตอบอันใดเพียงแต่เม้มปากยืนนิ่งอยู่เท่านั้น
“แล้วนั่นผู้ใดกันเล่า” นางปริกเอ่ยถามอย่างสนเท่ห์เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่สามคนเดินตามเจ้าสินธุ์ขึ้นมาบนเรือน
นางพิศผู้มาเยี่ยมเรือนอย่างถ้วนถี่ เสื้อผ้าแพรพรรณหรือก็อย่างขุนนางผู้ดี เสื้อนอกรัดทรงตัดด้วยแพรจีน หน้าอกติดดุมถักด้วยเส้นทองแล่งหรือเส้นเงินแล่งเป็นระยะห่างๆ ผ้านุ่งหรือก็งามนัก สนับเพลาปักดิ้นทองดิ้นเงินเป็นลวดลายดูมีราคายิ่ง
“กระผมเป็นสหายของเจ้าสินธุ์ขอรับ” ทั้งสามต่างไหว้นางปริกด้วยเห็นว่าอาวุโสกว่า และขุนเดชก็ตอบข้อสงสังนางอย่างรัดกุมด้วยอาการพูดน้อยเป็นปกติ
“ไหว้พระเถิดนะพ่อ เรือนนี้คับแคบนัก ไปเรือนใหญ่เห็นจะเหมาะกว่ากระมัง ประเดี๋ยวป้าจะให้พวกบ่าวไพร่ยกน้ำท่ามาให้” นางปริกตอบด้วยท่าทีนบนอบ คำพูดวาจาเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“เห็นจะไม่รบกวนหรอกขอรับ กระผมมีธุระจะหารือกับพ่อสินธุ์” ขุนเดชตัดบทด้วยท่าทีสุภาพแต่มิวายแฝงวาจาปิดกั้นการวุ่นวายอยู่ในที
“เช่นนั้นหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถิดนะพ่อ” นางปริกเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานพลางค่อยเดินลงเรือนไป
พลันบรรยากาศอึดอัดเมื่อครูก็จางหาย นางรื่นกุลีกุจอหาน้ำท่ามารับรองแขกเหรื่อเป็นการใหญ่ เนื่องด้วยเจ้าสินธุ์นั้นมิเคยพาผู้ใดมาเยี่ยมเรือน
“มิต้องลำบากหรอกเจ้า” ขุนเดชเอ่ยทัดทานเมื่อเห็นเจ้าน้องน้อยเข้าช่วยนางรื่นยกสำรับของว่างออกมารับรอง
เจ้าร่างบางเพียงส่ายหน้าและยิ้มน้อยๆเท่านั้น
“เสียงอึกทึกอันใดให้วุ่นวาย” พลันทุกสายตาก็จับจ้องยังร่างของหญิงชราที่ค่อยเยื้องย่างมายังกลางบ้าน
เมื่อเห็นคุณยายเดินมา เจ้าสินธุ์ก็รี่เข้าประคองท่านผู้เฒ่ามานั่งยังบริเวณพื้นไม้ที่ยกระดับสูงขึ้นมา
ทั้งเจ้าสินธุ์และนางรื่นต่างประหลาดใจแลยินดีนัก เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่านั้นเจ็บออดๆแอดๆมานานนัก แรงจะลุกจากเตียงหรือก็มิมีเพียงสักน้อย แต่เพลานี้กลับมีกำลังวังชาลุกเดินออกนอกห้องได้ด้วยตนเอง
เดี๋ยวพรุ่งนี้ดึกๆจะมาต่อตรงคอมเมนต์นี้นะคะ อย่าลืมแวะมาอ่านกันน้า วันนี้ไม่ไหวแล้วค่าา
@ คุณ yeyong
ใช่แล้วค่า แต่คงไม่หลายชาติภพยาวนานเท่าแต่ปางก่อนค่ะ เอาแบบพอหอมปากหอมคอเนอะ
@ คุณ kasarus ตอนนี้ก็ดราม่านิดหน่อยค่ะ(
รึป่าวนะ) คงไม่เยอะ (อิ๋งไม่ชอบอะไรเศร้าๆ)
@ คุณ takara ยังไม่บอกค่ะว่าเชื่อมกันยังไง ค่อยๆลองทายดูนะคะ
@ คุณ jiw มาต่อแล้วค่ะ แต่มาช้าหน่อยนึง
พึ่งสอบเสร็จวันอังคาร ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ
ต่อค่ะ
แขกเหรื่อทั้งสามต่างยกมือไหว้ท่านผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม
แม้หญิงชราจะอ่อนแรงด้วยโรคภัย ทว่าความรู้สึกผู้พบเห็นคลับคล้ายมิได้สมเพชเวทนาดั่งเมื่อเห็นคนชราหรือคนเจ็บแม้แต่น้อย
ร่างผอมเกร็งนั่งอิงหมอนสามเหลี่ยม ข้างกายตั้งไว้ด้วยพานเชี่ยนมากและโต๊ะเตี้ยที่มีแจกันจัดไว้อย่างงดงาม
ท่านผู้เฒ่าพิศชายหนุ่มทั้งสามพลางเอ่ยถามความเป็นไป แววตาของหญิงชรานั้นน่าเคารพยำเกรง มองดูทะลุปรุโปร่งดังผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน
“ยายได้ยินว่าพ่อนั้นเป็นสหายของเจ้าสินธุ์หรอกรึ” หญิงชราทวนถามขุนเดชเมื่อนางคลับคล้ายคลับคลาเห็นผู้เจรจากับแม่ปริกเพียงเลือนลาง
“ขอรับ”
“เป็นบุตรพระน้ำพระยาผู้ใดกันเล่าพ่อ”
“กระผมนามว่าเดชเป็นบุตรชายคนรองของพระยามณูปกรณ์ขอรับ” เพียงได้ยิน ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่สะท้อนในอก แม้นตนนำเจ้าสินธุ์มาเลี้ยงดูถึงอีกฝั่งของพระนคร แต่สุดท้ายก็มิวายต้องพัวพันข้องเกี่ยวกัน
ด้วยเมื่อครั้งเจ้าสินธุ์กำเนิด ตนได้ขอให้พระคุณเจ้าวัดมหาธาตุตั้งชื่อหลานชาย และถ้อยคำอันภิกษุเฒ่าได้เอ่ยนั้นกลับแจ่มชัดในยามนี้
“ชื่อสินธุ์เห็นจะเหมาะ ด้วยชาตาหลานโยมนั้นพบพานเพียงแต่เรื่องร้อน ให้เป็นน้ำดับไฟเสียคงจะดี”
“ฝืนชาตานั้นยากนัก แม้นโยมจักทำอย่างไรก็มิอาจเป็นผล ชะตาหลานโยมนั้นผูกไว้ ณ เรือนเกิดนั่นแล้ว อย่างไรเสียก็จักได้คืนเรือน...”แววตาของท่านผู้เฒ่าหม่นลงด้วยอ่อนใจ นางคล้ายจะเห็นบ่วงกรรมอันตัดไม่ขาด
และหญิงชราจำต้องหลุดออกจากห้วงคำนึงเมื่อเจ้าสินธุ์แตะแขนตนพลางชี้ยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงชานเรือน
ชายผู้นั้นประนมมือไหว้เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่ามองตน
หญิงชราเพียงระงับความร้อนใจไว้ในอก เนื่องด้วยรู้ว่าเพลานี้คงได้เวลาที่บ่าวสาวใช้ผู้ติดตามมานานจะได้ออกเรือน เพราะเมื่อยามรุ่ง พ่อค้าทางใต้ผู้นี้ได้มาสู่ขอนางรื่นด้วยไปมาหาสู่กันมานาน
“ไปลาพี่รื่นของเจ้าเสียสิเจ้าสินธุ์”
เมื่อได้ฟังคำคุณยาย เจ้าสินธุ์ก็ได้แต่สับสน ‘ใยต้องไปลาพี่รื่น พี่รื่นจักไปที่ใด’
ยังมิทันที่เจ้าสินจะทำอันใด นางรื่นก็เข้ามากราบลาท่านผู้เฒ่าด้วยน้ำตานองหน้า
“ไปเถิดเจ้า จำคำข้าสอนได้รึไม่ จะออกเรือน ยังร่ำไห้ฟูมฟายให้หน้าตาเปรอะเลอะเทอะ”
แม้นคำพูดจะฟังดูคล้ายตำหนิ แต่กระนั้น แววตาที่ท่านผู้เฒ่ามองยังนางกลับเจือแววเอื้อเอ็นดูอยู่มาก
ท่านผู้เฒ่าเลื่อนหีบใบน้อยข้างตัวมอบเป็นสมบัติติดตัวบ่าวสาวใช้ที่กราบลงอีกครั้งด้วยความตื้นตัน
พลันเจ้าสินธุ์ก็น้ำตาร่วงพรูด้วยมิอยากลาจาก นับแต่ตนรู้ความ พี่รื่นนั้นอยู่กับตนเสมอ แต่ครานี้พี่รื่นจำจากไปไกล เพียงคิด เจ้าร่างน้อยก็ร่ำไห้อย่างหนัก
นางบ่าวสาวใช้นั้นเมื่อเห็นเจ้าสินธุ์ร่ำไห้ก็ให้เจ็บปวดเข้ากอดปลอบร่ำไห้อาลัยรักกัน
“คุณเจ้าขา ต่อแต่นี้อย่าไปวิ่งเล่นไกลเรือนนักนะเจ้าคะ บ่าวไม่อยู่แล้วมิมีผู้ใดจักไปตามกลับ”
“พ่อคุณของบ่าว มิต้องร่ำไห้นะเจ้าคะ” นางรื่นกล่าวปลอบพลางใช้ผ้าซับน้ำตาให้เจ้าสินธุ์เช่นเมื่อครั้งยังเยาว์
“อึก...อึก...ฮึก....” เพียงแต่เจ้าร่างน้อยนั้นคล้ายมิรู้อันใด สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
“แม่นายท่านเจ้าคะ บ่าวไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ไปแล้ว” ด้วยเลี้ยงเจ้าสินธุ์มาแต่น้อย เมื่อเห็นเจ้าร่างน้อยร่ำไห้ นางจึงมิอาจทนได้
“เอ้า อย่างไรกันนังรื่น จะมากลับคำก็หาได้ไม่ ข้าให้เลี้ยงหลานข้า มิใช่ให้ตามใจจนเสียคน รักทูนหัวทูนเกล้านักเทียวล่ะ พ่อสินธุ์อยากได้อันใด นังรื่นเป็นต้องไขว่คว้าหามาให้”
“เจ้าสินธุ์ก็อีก เติบใหญ่จนป่านนี้ ยังร้องไห้โยเยเป็นทารก หากเป็นเสียอย่างนี้เห็นทีพี่รื่นของเจ้าจะไม่ได้ออกเรือนเสียกระมัง”
เมื่อเจ้าสินธุ์ได้ยินคุณยายพูดเช่นนั้นจึงค่อยหักใจคลายกอดพี่รื่นพลางกลั้นสะอื้น
“ไปเถิดนางรื่น มัวแต่รีรอประเดี๋ยวจะเสียการ” ท่านผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือนนางรื่นด้วยเกรงว่าจะออกเดินทางล่าช้า
“ลงไปส่งพี่รื่นของเจ้าเสีย มาร้องไห้กระจองงอแง มิอายแขกเหรื่อบ้างหรือไร” เจ้าสินธุ์เพียงพยักหน้ารับพลางหยิบกล่องใบน้อย ค่อยเดินลงเรือนไปกับนางพี่เลี้ยง
ทางด้านขุนทัพและหมื่นรามนั้นออกจะแปลกใจเนื่องด้วยมิใคร่พบเด็กหนุ่มรุ่นราวสิบสองสิบสามร่ำไห้นัก ส่วนขุนเดชนั้นก็ให้วูบไหวในหทัยเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของเจ้าน้องน้อย ตาเรียวมองตามร่างบางไปจนสุดตา
ยังขุนทัพและหมื่นรามให้ใคร่ครวญถึงท่าทีห่วงใยที่สหายตนมีต่อเจ้าสินธุ์
หญิงชรานั้นก็ลอบพิศพลางทอดถอนใจอย่างรู้แน่ว่าแววตานั้นหมายความลึกซึ้งยิ่ง จะว่าหมดห่วงเมื่อหลานตนมีผู้มาดูแลหรือก็มิกล้าคลายใจ แต่อย่างใดได้เล่าเมื่อตนนั้นจะตายวันตายพรุ่งเสียก็มิอาจรู้ได้
ท่านผู้เฒ่าสอบถามจนทราบความว่าขุนเดชและหลานตนนั้นเป็นสหายเที่ยวเล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย ส่วนหมื่นรามและขุนทัพนั้นเป็นสหายของขุนเดชแลพึ่งได้พบกับเจ้าสินธุ์เพียงครู่ก่อนกลับเรือนเท่านั้น
ชายหนุ่มทั้งสามเจรจากับหญิงชราอย่างออกรส เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่ารอบรู้ทุกอย่างไปเสียสิ้น กว่าทั้งหมดจะลากลับก็จวนเจียนพลบค่ำ
“พ่อเดช ยายฝากเจ้าสินธุ์ด้วยนะพ่อ หากหลานยายทำอันใดขัดใจไปบ้างก็ให้นึกเวทนาเสียเถิด” และก่อนเหล่าชายหนุ่มจะลงเรือนนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ได้กล่าวฝากฝังเจ้าสินธุ์แก่ขุนเดโช
“ขอรับ” ขุนเดชรับคำเป็นแม่นมั่น ยังผลให้หญิงชราวางใจนัก
บ่ายวันต่อมา ขุนเดชนั่งรอเจ้าสินธุ์อยู่ริมคูน้ำใต้ต้นมะขามใหญ่อย่างปรกติ ทว่าจนกระทั่งบ่ายคล้อยก็ยังมิมีวี่แววของเจ้าร่างบางแม้แต่น้อย
ด้วยห่วงกังวล รู้สึกตนอีกที ชายหนุ่มก็ยืนอยู่หน้าเรือนไม้หลังเก่าเสียแล้ว
ขุนเดชเดินขึ้นเรือนด้วยความฉงนในใจ เนื่องด้วยบนเรือนนั้นเงียบเชียบนัก คล้ายมิมีผู้ใดอยู่
แต่เพียงครู่ ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงสะอึกแผ่วๆดังมาจากห้องทางฝั่งปีกซ้ายของเรือน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พลันต้องตกใจ เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยนั่งกอดเข่าสะอื้นร่ำไห้อยู่มุมห้อง ส่วนบนฟูกนั้น ร่างของหญิงชรานอนนิ่งคล้ายหลับไหลมิรับรู้สิ่งใด
เห็นดังนั้น ขุนเดชจึงใช้มืออังดูลมหายใจแล้วแตะชีพจรของท่านผู้เฒ่า และก็ต้องพบว่าร่างนั้นสิ้นลมเสียแล้ว
ขุนเดโชค่อยเยื้องย่างคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าร่างบางที่บัดนี้ตาบวมช้ำ หน้าตาหรือก็แดงก่ำ เสียงสะอึกของเจ้าน้องน้อยดังบาดใจนัก
เจ้าสินธุ์คล้ายคนพึ่งได้สติ เมื่อเห็นพี่เดชอยู่ตรงหน้าก็พุ่งเข้ากอดรัดร่ำไห้ปานขาดใจ
ร่างน้อยที่สั่นเทาในอ้อมกอด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลผ่านซึมเสื้อหรือก็ดังน้ำกรดรินรดใจ
“มิเป็นอันใดดอกนะเจ้า นิ่งเสียเถิด” ขุนเดชค่อยลูบหลังเจ้าน้องน้อยแผ่วเบาพลางเอ่ยปลอบประโลมหวังให้เจ้าสินธุ์คลายเศร้า
“นิ่งเสียเถิดคนดีของพี่”
คุณยายสิ้นเสียแล้ว เจ้าสินธุ์จะอยู่อย่างไรต่อไปต้องติดตาม
@ คุณ kasarus ตอนต่อไปยังไม่มาค่ะ(มาเร็วๆนี้แน่ๆ) แต่มาต่อของเมื่อวานก่อน อย่าลืมมาอ่านด้วยนะคะ
@ คุณ uknowvry ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ
อย่าลืมอ่านตรงที่มาเพิ่มด้วยนะคะ
@ คุณ nongrak ลองเดาๆดูนะคะ เดี๋ยวเนื้อเรื่องจะเฉลยในตอนท้ายค่ะ แต่คิดว่าคุณ nongrak อาจจะเดาได้ก่อนจบตอน แต่ว่าน่าสงสารสินธุ์เนอะ
ไม่ใช่แค่เป็นใบ้นะคะ ไม่ค่อยฉลาดด้วยค่ะ