พิมพ์หน้านี้ - สายชล Another side of the story... (02/11/55)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Made ที่ 21-03-2012 23:31:35

หัวข้อ: สายชล Another side of the story... (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 21-03-2012 23:31:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 21-03-2012 23:40:09
เริ่มต้น

   ในเช้าวันที่อากาศเริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นวันแรกหลังจากฝนตกลาฤดู ผ่านช่วงปลายฝนต้นหนาวไปแล้ว  วันนี้เป็นวันที่ผมต้องมาสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยม  อากาศเย็นๆหลังฝนบวกกับลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ผมที่นั่งรอขานชื่อเข้าสัมภาษณ์อยู่อดที่จะกอดอก และเป่ามือให้ลมหายใจอุ่นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง เก้าอี้ถัดจากที่นั่งของผมคือเด็กผู้หญิงผมหยักศกผูกโบว์สีน้ำเงิน ผมมองไล่สายตายไปเรื่อยๆไปจนถึงประตูหลังห้องที่เปิดไว้ ข้างนอกมีผู้ปกครองของหลายๆคนมายืนรอให้กำลังใจลูกๆอยู่ จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้ามายืนเกาะขอบประตูพร้อมกับพยายามพูดอะไรบางอย่างเบาๆกับเด็กผู้ชายที่นั่งแถวหลังสุด (ผมนั่งแถวเกือบจะหลังสุดแหละครับ มีเก้าอี้ให้เด็กๆรอสัมภาษณ์อยู่ห้าแถว และมีโต๊ะสัมภาษณ์หน้าห้องอยู่สองตัว) ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก พอมองดีๆแล้วก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่สาวของผมเองแหละครับ

“พี่อร พี่อรครับ” ผมเรียกพี่อรเบาๆ ขัดจังหวะการคุยกันของคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย

“อ้าว น้องน้ำ มาสอบสัมภาษณ์เหรอ” พี่อรถามกลับพร้อมกับยิ้มให้ผม

“ครับ แล้วพี่อรมาทำอะไรเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ หรือว่าพี่ๆมีงานกลุ่ม

“ปล่าวหรอก น้องพี่ก็มาสัมภาษณ์เหมือนกัน”

“พี่อรมีน้องด้วยเหรอครับ น้องชายหรือน้องสาว” ผมนึกว่าพี่อรมีแต่พี่ชายซะอีก

“คนข้างหลังนั่นไง” ผมมองตามสายตาพี่อร แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผิวคล้ำสีแทน ซึ่งผมก็คิดว่าคงเป็นน้องพี่อรจริงๆแหละครับ เพราะพี่อรเองก็ผิวสีนี้เลย ผมยิ้มให้พี่อรแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พี่อรพูดอะไรซักอย่างกับเด็กผู้ชายคนนั้นและเดินจากไป พอดีกับที่เด็กผู้หญิงคนข้างๆผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์ ทำให้ผมรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

   เป็นไปตามคาดแหละครับ ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัดแห่งนั้นและได้เรียนมัธยมต้นที่นั่น วันแรกของการเปิดเรียนผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยครับ แต่ผมกังวลได้ไม่นาน เพื่อนที่มาจากโรงเรียนประถมโรงเรียนเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

เราเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนป.สาม เราไม่ได้สนิทกันหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าต่อไปนี้เราคงต้องสนิทกันมากขึ้นแล้วแหละ

เพื่อนผมคนนี้ชื่อฟิวครับ ฟิววางกระเป๋าหนังสือไว้ตรงโต๊ะข้างๆผมและเราก็เริ่มคุยกัน ไม่นานก็มีคนมาร่วมวงคุย เพราะเด็กๆหลายๆคนจะจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 22-03-2012 10:14:27
อัคคี

วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะตอนนี้ผ่านไปสามเดือนนับจากวันเปิดเทอมแล้วแหละครับ ผมกับฟิวกลายเป็นเพื่อนซี้กัน เรานั่งอยู่แถวกลางห้อง (คือที่นั่งจะให้นักเรียนนั่งโต๊ะติดกันเป็นคู่ๆไป มีอยู่สี่แถวครับ ห้องของผมมีนักเรียนสามสิบคน โรงเรียนของเราพึ่งเปิดรับนักเรียนหญิงได้ไม่นานเนื่องจากเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ห้องผมมีนักเรียนหญิงแค่หกคนเองครับ อีกยี่สิบสี่คนเป็นผู้ชายหมด) คนที่นั่งข้างหน้าผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชายของพี่อรที่เห็นกันวันสัมภาษณ์นั่นแหละครับ น้องพี่อรชื่อคี มาจากชื่อจริงของมันว่าอัคคี ด้วยความที่ผมนั่งใกล้กับคี เพื่อนๆที่นั่งใกล้ๆกันจึงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน มีผม มีฟิว มีคี แล้วก็จอม สี่คน แรกๆมีห้าคนคือมีปลิวอีกคนครับ แต่ว่าน้องพี่อร ไอ้คีหน่ะมันซ่าพอตัวแหละครับ ถึงเราจะไม่พูดกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมันมักเป็นหัวหน้าของกลุ่มตัดสินใจเรื่องต่างๆอยู่เสมอ คีมันเคยพูดว่าถ้าใครในกลุ่มเล่นยามันจะเลิกคบ แล้วปลิวหน่ะมีเพื่อนเป็นรุ่นพี่เยอะครับ ผมได้ยินกุ้งเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับปลิวมันเล่าให้ฟังว่าตอนป.หก ปลิวมันมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นประจำ คงพอๆกับคีแหละครับ รายนั้นดูแล้วก็คงมีเรื่องกับชาวบ้านบ่อย เจ้าตัวเค้าชอบโม้ให้ฟังหน่ะครับว่าไปทำวีรกรรมอะไรมาบ้าง ตั้งแต่แกล้งเพื่อนผู้หญิงในห้อง ยันไปถึงเรื่องแกล้งครู

อืม... พูดถึงเรื่องปลิวต้องออกจากกลุ่มสินะครับ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนั้นผมเดินไปเข้าห้องน้ำตอนพักกลางวัน ขณะที่ผมกำลังล้างมือที่อ่างน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน

“ปลิว กูว่ามึงเลิกเหอะว่ะ”

“นิดหน่อยน่ามึง แค่ลองเล่นๆไง”

“พวกพี่พวกนี้ใช่มั้ยที่ชวนให้มึงลอง”

“เฮ้ย มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะ มายืนค้ำหัวกูคุยกันยังไม่พอ ยังมาพาดพิงถึงพวกกูอีก อยากมีปัญหามากนักรึไง”

สิ้นเสียงนี้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบวิ่งออกไปหน้าห้องน้ำ เป็นคีกับปลิวจริงๆด้วย แต่ว่าตอนนี้พวกรุ่นพี่กับคีกำลังจ้องหน้ากันอยู่ คีก็เหลือเกิน มันเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง โคตรจะกวนตีน ขนาดผมเป็นเพื่อนมัน ยังอยากจะต่อยหน้ามันเลยครับ นับประสาอะไรกับพวกรุ่นพี่พวกนั้น พี่เค้ามีกันตั้งสี่คน มึงอยู่คนเดียวยังกล้านะคี ผมรีบเดินเข้าไปกั้นตรงกลาง

“คี ปลิว กลับเถอะ คาบบ่ายจะเริ่มแล้วนะ” ผมเหมือนเป็นธาตุอากาศครับ ยังจ้องหน้ากันไม่หยุดเหมือนเดิม ส่วนปลิวมันก็นั่งกับเก้าอี้ไม้หินอ่อนก้มหน้าอยู่

โอย ทำไงดีเนี่ย เหงื่อผมออกเต็มสองมือเลยครับ พี่ที่ยืนจ้องหน้าคีคือพี่เวย์  อ๊ะ อย่างงว่าทำไมผมรู้จักพี่เค้า พี่แกเล่นมีเรื่องกับชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน คงมีใครไม่รู้จักอยู่หรอก
 
“คี ไปเหอะ” ผมแตะแขนคี พร้อมกับเงยหน้าเรียกมันไปด้วย ทำไมใครๆก็สูงกว่ากูกันหมดนะ ผมพึ่งม.หนึ่งก็แค่ร้อยห้าสิบเอง พวกนั้นมันโตไวเกินไปต่างหาก สูงกันร้อยหกสิบกว่าแล้ว พวกพี่ๆก็ไม่ต้องพูดถึงครับ สูงร้อยเจ็ดสิบกว่ากันทั้งนั้น

คีไม่พูด มันมองผมแล้วทำหน้าโกรธปนรำคาญใส่ผมครับ แต่ผมไม่สน ใครจะอยากมีเรื่องตอนนี้หล่ะ คนเราก็มีน้อยกว่า แถมเพื่อนกันยังเหมือนแตกคอกันเองอีก โอ้ย คิดแล้วปวดหัวครับ ทำไงดีเนี่ย

“มึงจะเอาไง ว่ามา” พี่เวย์พูดขึ้น
 
“กูไม่เอาไงหรอก พวกมึงถอยไป” มึงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้รึป่าววะไอ้คี๊ มึงเห็นหน้าพี่เค้ามั้ย เค้าจะกินหัวมึงอยู่แล้ว

“ถอยให้โง่สิวะ” พี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบกลับมา ผมกำแขนคีแน่นขึ้น คงรู้สึกได้แล้วว่ามีผมอยู่ตรงนี้ คีก้มมามองผมแล้วหันไปตอบพวกพี่เค้า

“หลังเลิกเรียนเจอกันสวนหลังโรงเรียนตัวต่อตัวนะพี่ ไม่เอาหมาหมู่”

“หึ เอาให้แน่แล้วกัน ไม่ใช่ป๊อดแล้วไม่ไปนะมึง” คีไม่พูดอะไรต่อ มันเดินชนไหล่พี่เค้าผ่านไปเลย ปล่อยผมยืนค้างไว้ตรงนั้นแหละครับ
ผมมองไปที่ปลิว เป็นห่วงปลิวจัง ถ้าทะเลาะกัน คนในกลุ่มคงเข้าข้างคีกันหมด เพราะว่าปลิวมีโลกส่วนตัวสูงครับ ไม่ค่อยสนิทกับคนในกลุ่มเท่าไหร่ แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับผม เพราะฉะนั้น มันเป็นเพื่อนผมอยู่เสมอ

“ปลิว...” ปลิวเงยหน้ามองผม ไม่พูดอะไร มันยิ้มให้น้อยๆแล้วเมินหน้าไป

“น้ำ เร็วๆดิ มึงรีบไปเรียนคาบต่อไปไม่ใช่รึไง” ผมยังไม่ทันพูดอะไรกับปลิวต่อ คีมันก็เรียกผมเสียงเข้มเชียวครับ ผมกัดริมฝีปากและรีบวิ่งกลับห้องไปกับคี เราไม่พูดอะไรกันเลยจนเรียนคาบสุดท้ายจบแหละครับ เรียนไปผมก็ลอยไป มองไปประตูหลังห้องก็เห็นปลิวนั่งเอาหน้าฟุบแขนอยู่ ไม่รู้ว่าหลับรึป่าว ส่วนคี ก็นั่งหมุนแหวนเงินที่นิ้วก้อยเล่นไป ผมคงจะไม่ได้เรียนโดยสมบูรณ์แบบถ้าฟิวไม่คอยสะกิดให้จดตามที่ครูพูด

“เลิกแล้วโว้ยยย” จอมตะโกนพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วย  แต่มันก็ต้องชะงักครับ เพราะผมเอาแต่จ้องคีที่กำลังโกยของใส่กระเป๋า

“เอ่อ พวกมึงมีไรกันป่าววะ” ผมไม่ตอบจอมครับ และคีก็ดูท่าจะไม่สนใจผมด้วย

ผมถอนหายใจแล้วย่นจมูก “คี จะไปจริงๆเหรอ”

“อือ น้ำไม่ต้องไปหรอก กลับบ้านได้แล้ว”

“เฮ้ย คี มึงไปไหนวะ” จอมผู้สังเกตการณ์อดถามขึ้นไม่ได้

“เจอพวกพี่เวย์หลังโรงเรียนว่ะ” คีตอบไปพร้อมกับผูกเชือกรองเท้าไปด้วย

“งั้น ก็ไปด้วย” จอมพูดขึ้น เอ่อ ง่ายเนอะจอม รู้รึยังเนี่ยว่าเค้าไปทำไรกัน
 
“ไปมีเรื่องไรมาวะ” ฟิวถามขึ้นแบบงงๆ

“ไว้กูมาอธิบายวันหลังแล้วกัน” คีพูดจบก็เดินออกนอกห้องไปเลยครับ

“เฮ้ย เดี๋ยว กูไปด้วย” ฟิวท้วงอีกคน

“เออ รีบๆมาดิ พวกนั้นมันนัดสวนหลังโรงเรียน” อ้าว ทีผมล่ะห้าม ทำไมอีกสองคนไปได้อ่ะ ไม่เข้าใจ ผมก็จะไปด้วยนะ เผื่อพวกพี่เค้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเล่นหมู่ขึ้นมาทำไงอ่ะ ผมรีบโกยของใส่กระเป๋าบ้าง ก่อนออกจากห้องผมอดหันไปมองปลิวไม่ได้ ปลิวยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะครับ ฟุบอยู่เหมือนเดิม

“ปลิว ไปด้วยกันมั้ย” ผมยกเป้ขึ้นสะพายพร้อมกับถามปลิว

“ไปสิ”

เราเดินไปพร้อมๆกันที่สวนหลังโรงเรียน ที่ตรงนี้เงียบมาก เด็กนักเรียนมักจะนัดมาต่อยกันบ่อยๆ เพราะนอกจากเงียบแล้วบริเวณหน้าสวนที่ติดกับถนนถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และหญ้าที่ขึ้นสูงจนเลยหัว แต่ถ้าหากแหวกๆพงหญ้าเข้ามา ซึ่งคงจะต้องโดนหญ้าบาดพอแสบๆคันๆกันบ้างแหละครับ ก็จะเห็นลานว่างที่หญ้าขึ้นเตี้ยๆใต้ร่มไม้ต้นมะขามต้นใหญ่ และตอนนี้ผมเห็นพี่เวย์กับคีอยู่กลางลานครับ ผมวิ่งไปยืนข้างๆฟิว ส่วนปลิวเดินแยกไปรวมกับพวกเพื่อนๆพี่เวย์

พอเข้ามาใกล้ๆแล้วผมก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้ผิดความคาดหมาย เพราะผมนึกว่าคีกำลังแย่ แต่ความจริงคนที่กำลังแย่กลับเป็นพี่เวย์ พี่เวย์นั่งกองกับพื้นเอามือยันตัวเองถ่มเลือดออกจากปากและพยายามจะลุกขึ้นมา แต่พี่แกลุกไม่ไหว พวกเพื่อนพี่เค้าจะเข้ามารุมคี แต่ปลิวขวางไว้ก่อน ส่วนฟิวกับจอมก็หายไปยืนข้างๆคีอย่างไว ผมเองก็เดินตามไปบ้าง

“มึงกับกูจบกันแค่นี้ ไม่มีอะไรติดค้างกัน” คีพูดพร้อมกับมองพวกพี่เวย์และเพื่อนที่พากันมาพยุงพี่แกไปยืนข้างๆ

“แล้วอย่าให้รู้นะ ว่าพวกมึงจะแอบลอบกัดไปหาเรื่องกับเพื่อนกู” คีพูดต่อหลังจากเห็นสายตาและสีหน้าเคียดแค้นจากพวกรุ่นพี่

ก่อนกลับผมเห็นคีกับปลิวมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันสักคำ และเมื่อคีเดินกลับหลังหันออกไป จอมกับฟิวก็ลากผมตามกลับไปด้วย
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: popup2u ที่ 22-03-2012 10:38:03
 :mc4: :mc4: :mc4:

มาเป็นกำลังใจค่ะ

สู้ ๆ นะจ๊ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 23-03-2012 11:21:25
ปวดท้อง

“...อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายังหวั่นไหว...” ระหว่างที่เราเดินไปที่โรงจอดรถมอเตอไซค์ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคีก็ดังขึ้น

“ครับ”

“...”

“ไม่มีไรว่ะพี่ ไอ้นั่นมันอ่อน ทำกร่างไปงั้นแหละ”

“...”

“อือ จะกลับแล้ว” แล้วคีก็วางสายไปครับ มันขึ้นคร่อมมอไซค์ ส่องกระจกหน้ารถแล้วลูบขอบปากด้านขวาที่เริ่มกลายเป็นสีม่วง ส่วนฟิวกับจอมก็จูงรถมาข้างๆคี

“งั้นน้ำกลับก่อนนะ” ผมเองก็คิดว่าควรกลับได้ซักที หลังจากผ่านสถานการณ์เครียดๆในวันนี้ ผมเริ่มรู้สึกปวดท้องแล้วสิ อ่า รู้สึกแย่จริงๆเลย เวลามีเรื่องเครียดทีไรปวดท้องทุกที

“น้ำ กลับยังไง” คีเลิกส่องกระจกแล้วหันมาถามผม

“นั่งรถกลับเอง” ผมไม่ชอบขับมอไซค์เลย เพราะขับทีไร ผมจะไม่ค่อยมีสติ คือผมเป็นคนชอบคิดอะไรไปเรื่อยๆหน่ะครับ เวลาขับเลยเกือบชนชาวบ้านเค้าทุกที

“เดี๋ยวคีไปส่ง พี่ธารก็อยู่บ้านคี เดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับพร้อมพี่ธาร” พี่ธารคือพี่สาวของผมเอง

“อื้อ” ผมรับปากพร้อมกับเดินไปซ้อนท้าย รถมอไซค์ของคีค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับช่วงขาการก้าวของผม คีขับ Honda CBR 250Rสีแดง แถมเบาะนั่งยังทำให้ปวดตูดอีกต่างหาก

“คี ทำไมไม่ซื้อไอ้ที่มันนั่งสบายกว่านี้เนี่ย”

“เอ๊า ถ้านั่งสบายก็ไม่ใช่รถคีดิ” คีตอบพร้อมหัวเราะ “ส่วนมาก ก็ไม่มีใครซ้อนท้ายหรอก”

“เป็นเกียรติมากเลยที่ได้ซ้อนรถคีเนี่ย” ผมประชดกลับไปหน้างอ โอย ปวดท้อง ปวดตูด

“คี เดี๋ยวพวกกูก็จะไปบ้านมึงเหมือนกัน เล่ามาให้หมดว่าตกลงเรื่องวันนี้มันเป็นไงมาไง” ฟิวบอกคีก่อนที่มันกับจอมจะบิดมอไซค์นำหน้าไปก่อน คีใส่หมวกกันน็อคแล้วขับตามไป

ระหว่างทาง ผมเริ่มปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ เวียนหัวและรู้สึกอยากอ้วก ผมใช้มือซ้ายกุมท้องและเริ่มงอตัว มือขวาจับไหล่คีไว้ มือผมชื้นเหงื่อจนเปียกไปหมด พอติดไฟแดง คีคงรู้สึกว่าไหล่ข้างที่ผมจับอยู่ชื้นเหงื่อ และตอนเบรก ผมที่งอตัวอยู่เอาหัวไปโขกกับหลังคีเข้า เจ้าตัวเค้าเลยหันหน้ามามองผม เปิดกระจกหมวกันน็อคขึ้นแล้วถามผมด้วยท่าทางตกใจ

“เฮ้ย น้ำ เป็นอะไรอ่ะ”

“ปวดท้อง แต่เดี๋ยวกินยาก็หาย รีบขับกลับบ้านเหอะ”

“ฟิว จอม ขับเร็วๆหน่อย น้ำปวดท้อง” คีพูดจบก็ไฟเขียวพอดี

พอขับถึงบ้าน ผมลงก้าวลงรถแบบเซๆ ยืนตัวงอกุมท้องไปด้วย ฟิวจอดรถและรีบเดินเข้ามาหาผม

“น้ำ เดินไหวรึป่าว”

“ไหวสิ” ผมเดินเข้าบ้านของคีแล้วรีบเดินตรงไปห้องครัว ผมรินน้ำใส่แก้วและค้นยาในกระเป๋า ผมกินยา ดื่มน้ำตาม แล้วเอามือสองข้างกุมท้อง นั่งเก้าอีในห้องกินข้าว หัวทิ้งดิ่งเกยบนโต๊ะอย่างหมดแรง ผมรู้สึกปวดท้องมากจริงๆ แถมเวียนหัวอยากอ้วก รู้สึกได้เลยว่าริมฝีปากเริ่มแห้ง

ฟิวกับจอมเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ ผมหลับตาลงหวังให้อาการเจ็บบรรเทา

“น้ำ น้ำ ไหวรึป่าว” ฟิว แตะแขนผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“หน้าซีดมากเลย” จอมจ้องหน้าผมพร้อมกับพูดขึ้น

ซักพักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องครัว

“น้ำ ขึ้นไปนอนพักบนห้องก่อนเถอะ” ผมเองก็คิดว่าถ้านอนบนเตียงคงสบายตัวกว่านี้ ได้หลับซักตื่นก็คงจะดีขึ้น

ผมค่อยๆเดินลากสังขารขึ้นบันไดไปบนห้องของคี  ปวดจนน้ำตาคลอเบ้า เริ่มปวดหัวและอยากอ้วกมากขึ้นเรื่อยๆ ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงของคี นอนตะแคงข้าง หลับตาและกัดริมฝีปากแน่น

“น้ำ ถ้าไม่ไหวบอกนะ ไปโรงบาลกัน” จอมเอ่ยขึ้น

ผมไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ พอลืมตาก็เห็นแต่ละคนนั่งจ้องผมอยู่ ฟิวนั่งเท้าแขน จอมนั่งไขว่ห้างตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม และคีที่นั่งปรับสายกีตาร์อยู่ตรงปลายเตียง  ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และบิดตัวไปมา คีวางกีตาร์เดินมาที่หัวเตียงแล้วหยิบตุ๊กตาหน้าตาประหลาดยื่นให้ผม

“กอดตัวนี้ไว้ เดี๋ยวก็หาย” ใครเห็นก็คงไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างอัคคี จะมีตุ๊กตาอยู่เต็มหัวเตียง คีชอบตุ๊กตามากครับ ผมจำได้ว่า พราวสาวน้อยแฟนคนล่าสุดของคีเคยให้ตุ๊กตาหมีพู ตอนได้คีกอดตุ๊กตาท่าทางดีใจมาก แต่บอกตรงๆ ผมว่ายังไงก็ไม่เข้ากันซักนิด

ผมรับตุ๊กตามากอดและมองสำรวจ มองไม่ค่อยออกว่ามันเป็นตัวอะไร ตัวมันคล้ายๆหนู แต่ไม่มีหาง แถมตัวโตด้วย

“มันชื่ออะไร” ผมเป็นประเภทชอบตั้งชื่อให้กับของใช้หรืออะไรที่รู้สึกถูกใจเป็นพิเศษหน่ะครับ แล้วเจ้าตัวนี้ก็น่ารักมากๆ

“หืม ไม่มีชื่อหรอก”

“จอมๆ จอมว่านี่มันตัวอะไร”

“หมามั้ง” จอมที่หันไปเล่นคอม หันกลับมามองตุ๊กตาในอ้อมแขนของผมแล้วตอบ

“จะเป็นหมาได้ไงอ่ะ ขาเล็กนิดเดียว น้ำว่าเป็นหนูนะ” จอมไม่สนใจคำแย้งของผมเท่าไหร่ หันกลับไปเล่นคอมต่อ ผมจึงหันไปสบตากับฟิวที่มองผมยิ้มๆ

“ฟิวล่ะ คิดว่ามันเป็นตัวอะไร ช่วยน้ำตั้งชื่อให้มันหน่อยสิ”

“ไม่รู้สิ หมาผสมหนูมั้ง ให้มันชื่อว่าผสมดีมั้ยล่ะ”

“ดีจัง ชื่อน้องผสมก็แล้วกันนะ” ผมอดยิ้มให้เจ้าผสมไม่ได้ แกมันน่ารักจริงๆเลย ขอจุ๊บทีดิ๊ ผมจุ๊บปากเจ้าผสมแล้วยิ้มให้มัน

“ปัญญาอ่อนว่ะน้ำ” ฟิวว่าแล้วหัวเราะใส่ผม

คีเริ่มดีดกีตาร์ ผมนอนฟังได้สักครู่ก็รู้สึกว่ามีน้ำขมๆจุกขึ้นมาในลำคอ ผมดีดตัวขึ้นนั่ง มองหน้าฟิว

“ฟิว อยากอ้วก” พูดจบผมก็ปิดปากรีบลุกขึ้นวิ่งไปห้องน้ำ ผมทรุดนั่งหน้าชักโครกพร้อมกับอ้วกออกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟิวรีบวิ่งตามมาลูบหลังให้ผม ซักพักผมจึงกดโถ ลุกขึ้นบ้วนปากและใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปาก รู้สึกแสบคอแสบจมูกไปหมดเลยครับ แต่ก็ดีกว่าที่ปวดท้อง ปวดหัว พร้อมกับพะอืดพะอมแบบเมื่อกี้แหละ

“หมดสภาพเลยเพื่อนกู” จอมทักผมทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำ

“แต่หน้าตาดูดีขึ้นแล้วนะ ตะกี้หน้าซีดหยั่งกะกระดาษ” ฟิวทักขึ้นบ้าง

“อือ น้ำก็รู้สึกว่าหายแล้วล่ะ” ผมตอบพร้อมกับเดินมานั่งยิ้มให้ทั้งสามคนบนเตียง หยิบเจ้าผสมมาวางไว้บนตัก หันไปมองเจ้าของน้องผสมก็เห็นดีดกีตาร์หน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม

@ คุณ popup2u เห็นคอมเมนต์แล้วดีใจมากเลย พึ่งแต่งเป็นเรื่องแรก ฝากตัวด้วยนะคะ

ปล. ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ มีข้อเสนอแนะอะไรก็บอกกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 23-03-2012 12:54:01
โอ๊ะ
มันยังไงกันเอ่ย
น้ำเป้นโรคกระเพาะหรอ
หรือว่าไง
ปล.อยากได้รายละเอียดตัวละครกว่านี้หน่อยง่า
เช่นหน้าตา อะไรพวกนี้ จะได้ จิ้นถูก 555+
ไงก็มาต่อเร็วๆนะ
ชอบๆ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 23-03-2012 14:41:51
ยังไม่เห็นวี่แววว่าใครจะชอบใครเลย รออ่านต่อครับ

+1เจิมเรื่องใหม่
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-03-2012 15:35:00

แต่ละตอนลงยาวๆ หน่อยนะ

เด๋วมีฟ้องจ้องจับผิด อย่างเจ้สอง  จะมองว่า เข้าข่ายปั่นกระทู้เน้อ

แล้วกระทู้จะหายวับไปกับตา

รักนะ  เลยมาบอก

อิอิ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 23-03-2012 15:47:45
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 23-03-2012 16:18:43
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 24-03-2012 14:08:28
วันเกิด

หลังจากเหตุการณ์ตีกัน และเมื่ออาการปวดท้องหายไป ผมนั่งมองคีดีดกีตาร์ไปเรื่อยๆ ถูกบ้างผิดบ้าง ทำให้ผมพึ่งเห็นว่านอกจากรอยช้ำมุมปากของคีแล้ว ตรงหัวเข่าและข้อศอกยังมีแผลเลือดออก

“คี น้ำว่าคีไปล้างแผลแล้วมาใส่ยาเถอะ กล่องยาบ้านคีอยู่ไหน เดี๋ยวน้ำวิ่งไปเอาให้”

“เออ จริงด้วย ลืมไปเลย” คีทำหน้าเหมือนพึ่งนึกออกว่าตัวเองมีแผล วางกีตาร์ลงและเดินหายไปในห้องน้ำ

“คี กล่องยาอยู่ไหนอ่ะ” ผมถามย้ำอีกครั้ง

“น้ำไม่ต้องไปเอาหรอก พึ่งหายปวดท้อง นั่งพักเถอะ” คีตะโกนตอบออกมาจากห้องน้ำ

“จอม กูวานลงไปเอากล่องยา ที่วางไว้ข้างโต๊ะโทรศัพท์ที” เสียงเปิดน้ำพร้อมกับตะโกนสั่งมาอีกที

จอมลุกจากโต๊ะคอมแล้วลงไปหยิบกล่องยาจากชั้นล่าง และเดินกลับเข้ามาในห้องพอดีกับที่คีเดินออกมาจากห้องน้ำ คีใช้ผ้าซับหน้า แขน หัวเข่าแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งข้างๆผม คีเปิดกล่องยา แล้วเริ่มทำแผลให้กับตัวเอง แต่ผมคิดว่ามันดูทุลักทุเลพิกล ผมจึงอาสาช่วยทำแผลให้

“คี เดี๋ยวน้ำทาให้”

“ทำเป็นเหรอ” คีถามด้วยความสงสัย เพราะผมเป็นคนที่ทำได้แต่เรื่องง่ายๆที่ทำประจำในชีวิตประจำวัน แต่การทำแผลนี่อยู่นอกเหนือชีวิตประจำวันของผม ไม่แปลกหรอกครับที่คีจะถาม

“ไม่เป็นหรอก คีก็บอกสิว่าทาอันไหนก่อน”

“งั้น ก็อันนั้นก่อน น้ำยาฆ่าเชื้อขวดใสๆนั่นหล่ะ...” คีค่อยๆอธิบาย ผมทำตามไปทีละอย่างจนเสร็จ แล้วเริ่มทำแผลที่หัวเข่าต่อ

“ตกลงเรื่องวันนี้มันเป็นไงมาไงวะเนี่ย มึงจะเล่าได้รึยัง” ระหว่างที่ผมกำลังตั้งใจทำแผลให้คี ฟิวที่นั่งมองอยู่ก็ถามขึ้น

“เชี่ยปลิวเล่นยา” น้ำเสียงของคีนิ่งจนผมเดาอารมณ์ไม่ถูก

“เชี่ยปลิวเล่นยา แล้วมึงไปต่อยกับพวกพี่เวย์ได้ไง” จอมปิดคอมพิวเตอร์หันหน้ามาถามบ้าง

“พวกมันหาว่ากูกวนตีน โอ๊ย น้ำเบาๆหน่อย” ผมกดสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงกลางแผลตรงหัวเข่าของคีทันทีที่ได้ยินคำตอบ

“หรา คีไม่ได้ทำหน้ากวนพระบาทชาวบ้านเลยซักนิด เพื่อนน้ำรับรองได้ว่าถ้าเป็นเพื่อนน้ำจะต่อยปากตั้งแต่อยู่หน้าห้องน้ำเลย ไม่ต้องรอให้เลิกเรียนหรอก”

“555 สมควรเจ็บตัวกลับมาว่ะ” ทั้งจอมและฟิวหัวเราะหลังได้ยินคำประชดของผม

“ลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย” คีตอบพร้อมทำหน้ากวนตีนยักคิ้วใส่ผมที่เบ้ปาก ทำท่าหมั่นไส้ตอกกลับไป

“แต่แบบน้องน้ำนี่จะต้องให้พี่คีก้มหน้าก่อนแล้วค่อยชกใช่มั้ยจ้ะ เพราะถ้ายืนตรงๆแบบไม่ก้ม น้องน้ำคงชกไม่ถึง” คีจีบปากจีบคอล้อเลียนผมพร้อมกับทำท่ายืนแล้วก้มมองผมที่นั่งปิดกล่องยาอยู่

“55555 โอ้ย โดนว่ะ” เชรี่ยจอมกับเชรี่ยฟิวผสมโรงหัวเราะผมกันเกรียว ใช่ซี้ กูมันสูงมาตรฐาน พวกมึงแหละโตเร็วเกิน

ผมเห็นพวกมันหัวเราะแล้วแอบฉุนนิดๆไม่ได้ เลยกระโดดล็อกคอฟิว เหยื่อรายแรกที่ไม่ทันระวังตัวหงายหลังล้มกันทั้งคู่ แต่ผมไม่เจ็บเพราะทับฟิวอยู่

“เฮ้ยน้ำ หนัก หายใจไม่ออก ลุกเร็ว”

“ไม่เอา ฟิวต้องสัญญาก่อนว่าจะหยุดหัวเราะน้ำ”

“โอเคๆ ยอมแพ้แล้ว” ฟิวพูดพร้อมกับชูมือสองข้างทำท่ายกธงขาว ผมยิ้มดีใจที่จัดการเหยื่อได้หนึ่งราย ค่อยๆคลายแขนออกจากคอของฟิว

“อ๊ะ ฟิว ไหนบอกยอมแพ้แล้วไง” ผิดคาดครับ ฟิวพลิกตัวกลับนอนทับผมให้กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วเริ่มจี้เอว

“อื้อ ฟิ้ว 555 พอแล้วๆ” ผมที่บ้าจี้สุดๆได้แต่ดิ้นทุรนทุรายให้จอมกับคีนั่งขำต่อ

“แฮ่กๆ” หายใจไม่ทันเลยครับ นอนหอบ หัวยุ่งแบบหมดสภาพ

“วันหลังอย่าซ่ากับพี่นะน้อง” ฟิวลุกขึ้นยืนกอดอกแล้วยักคิ้วขวาข้างเดียวให้ผม จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

“หึๆ” เสียงคีหัวเราะพร้อมกับนั่งยองๆข้างผม แถมยังเอามือขยี้หัวผมอย่างเมามันส์ ผมได้แต่หอบหายใจถลึงตาใส่

สักพักผมก็ได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นบันไดมา ฟิวนั่นเองครับ

“ลงไปกินข้าวได้แล้ว แม่มึงให้กูวิ่งขึ้นมาตาม ไปเร็ว” ผมได้ยินเสียงรถขับเข้าบ้านมาอยู่เหมือนกัน ป้านวล(แม่ของคี)กลับบ้านแล้วนี่เอง

“เออว่ะ  กูก็หิวแล้ว” จอมพูดแล้วลุกเดินตามไป ผมเองก็ลุกขึ้นมาจัดทรงผมแล้ววิ่งตามลงไปบ้าง ส่วนคีวิ่งนำหน้าไปก่อนแล้ว

“สวัสดีครับ” พวกผมสวัสดีแม่ของคีอย่างพร้อมเพรียงกัน

“มาเล่นบ้านคีเหรอลูก คีเอาน้ำเอาขนมให้กินบ้างรึยัง” ป้านวลถามด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แม่ของคีใจดีจัง

“ยังครับ ไอ้นี่มันไม่เคยจะบริการเพื่อน พวกผมเลยต้องหากินเอาเอง” ฟิวตอบยิ้มๆ อ้อ ที่เดินลงมาเมื่อกี้นี่กะมาหาไรกินล่ะสิ

“ตายจริง หิวกันแล้วสิเนี่ย ตาคีนี่ก็น่าตีนักเชียว ไปๆลูก ไปกินข้าวกัน แม่ให้พี่ส้มจัดโต๊ะไว้แล้ว” ป้านวลหันไปดุคีอย่างไม่จริงจังนัก

ระหว่างที่เดินไปกินข้าว ผมที่พึ่งนึกได้ว่าทำไมในบ้านถึงไม่มีใครเลย ทั้งๆที่พวกพี่ๆก็น่าจะมาทำงานกลุ่มกันที่นี่

“คี พี่ธาร พี่อรไปไหนอ่ะ”

“อ๋อ อรพึ่งโทรมาบอกว่าย้ายไปทำงานกันที่บ้านพี่เมย์แล้วกะจะค้างกันที่นั่นด้วยมั้ง” คีกับพี่อรสนิทกันมากจนเหมือนเพื่อนกันเลยแหละครับ บางทีผมเห็นพี่น้องคู่นี้ไล่ตีกันแรงๆบ้าง ผมเป็นผู้ชาย แต่เห็นทั้งสองคนแล้วผมยังเจ็บแทนพี่อรเลย

“อ้าว งั้นวันนี้น้ำก็อยู่บ้านคนเดียวอ่ะดิ” คือผมเป็นคนกลัวความมืดครับ(กลัวผี) พอรู้ว่าคืนนี้ต้องอยู่ในบ้านคนเดียวก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้

“น้าภาไปทำงานต่างจังหวัดเหรอ” คีถามผมด้วยท่าทางไม่แปลกใจนักเพราะแม่ของผมมักต้องไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยๆ พี่อรกับพี่ธารก็สนิทกันมาก พี่อรคงเล่าเรื่องที่ผมกับพี่ต้องอยู่บ้านกันเองบ่อยๆให้ครอบครัวฟัง เอ คิดดีๆแล้วพี่ธารรู้จักคีก่อนผมจะรู้จักซะอีกครับ

“อือ ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละ” ผมตอบทำหน้าเซ็งๆ

“นอนบ้านคีมั้ย”

“ไม่เอาหรอก” ผมเป็นคนติดบ้านมากๆครับ ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา

อาหารเย็นมื้อนี้ที่บ้านของคีคึกคักเป็นพิเศษ ต่างคนต่างผลัดกันชวนคุยไม่หยุด ป้านวลเองก็นั่งหัวเราะผสมโรงไปด้วยอีกคน

“วันนี้ไปทะเลาะกับใครมาอีกละ ตาคี” ป้านวลถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“รุ่นพี่ที่โรงเรียนมากวนคีก่อน” คนตอบก็ตอบเหมือนเป็นกิจวัตรซะงั้น

“หืม แล้วเพื่อนลูกเค้าไม่เดือดร้อนไปด้วยเหรอเนี่ย” ป้านวลถามอย่างแปลกใจที่ไม่เห็นมีใครเจ็บตัวนอกจากคี นี่แสดงว่าเจ้าตัวเค้าคงทะเลาะกับชาวบ้านบ่อยจนพ่อแม่ปลงแล้วใช่รึป่าวเนี่ย

“ระดับนี้แล้ว ไม่มีพลาด” ไอ้นี่ก็ไม่ได้สำนึกอะไรเล้ย ว่าตัวเองไปก่อเรื่องมา

“มิน่าล่ะ วันนี้มารวมตัวกันบ้านแม่ครบทุกคนเชียว” ป้านวลพูดพร้อมกับสบตาพวกเรายิ้มๆไปด้วย

พวกผมได้แต่ยิ้มตอบครับ

“เออ จริงสิ น้ำ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว น้ำเกิดวันที่เท่าไหร่อ่ะ” จู่ๆฟิวก็ถามขึ้น

“วันที่ 10 กันยาหน่ะ ทำไมเหรอ” ผมตอบไปทำหน้างงๆ ฟิวจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ

“อ้าว เกิดวันเดียวกันเลย” คีพูดแทรกขึ้นมา

“จริงดิ กวนกันป่าวเนี่ย” ผมงงครับ คือพวกนี้ชอบอำผมบ่อยๆ หลังๆเลยแยกไม่ค่อยออกว่าอันไหนจริง อันไหนเล่น

“จริ๊ง ไม่เชื่อถามแม่ดิ” คีทำหน้าจริงจังยืนยัน

“จริงเหรอครับป้านวล” ผมหันไปขอความมั่นใจจากป้านวล

“จริงจ้ะ สงสัยตอนคีเกิด ไม่รู้ว่าสวนกับแม่ภาบ้างรึป่าว” ป้านวลตอบยิ้มๆ

“บังเอิญแฮะ สังสัยตอนให้ของขวัญนี่ต้องเปลืองเงินเป็นพิเศษแล้วสิเนี่ย ดันมาเกิดพร้อมกันได้” จอมบ่นออกมาไม่จริงจังนัก

“ใครว่าเปลือง ซื้ออันเดียวแล้วให้สองคนแบ่งกันกินกันใช้ดิ ประหยัดออก” เอ่อ ฟิว ไม่ค่อยงกเท่าไหร่เลยนะ


สัญญา

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วแต่ละคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

“น้ำ พรุ่งนี้จองสมุดไทยคนแรกนะ” จอมใส่หมวกกันน็อคพร้อมกับสั่งไปด้วยครับ

“โห ไรวะ มึงอ่ะมาก็สาย ยังมีหน้ามาจองคนแรกอีก ใครไปก่อนได้ก่อนเว้ย” ฟิวค้านขึ้นบ้าง

“ไม่ด้ายยย กูจองก่อน มึงอ่ะเขียนช้า รอมึงเนี่ย กี่ชาติจะเขียนเสร็จวะ” จอมไม่ยอมแพ้ครับ

“งั้นให้น้ำตัดสิน จะให้ใครก่อน” ฟิวพูดพลางพยักพเยิดมาทางผม

อ้าว เอาแล้วสิ งานเข้าแล้ว ทำไงดีอ่ะ

“งั้น น้ำว่าเป่ายิ้งฉุบกัน ใครชนะได้ก่อน”

“เฮ้ย พอๆ วันนี้กูไปนอนบ้านน้ำ เดี๋ยวคืนนี้กูลอกไป แล้วพรุ่งนี้พวกมึงก็แบ่งกันคนละเล่มแล้วกัน” แล้วในที่สุดคีก็ตัดปัญหาด้วยประการฉะนี้ แต่...

“อ้าว คีไปนอนบ้านน้ำทำไมอ่ะ” ผมก็งง วันนี้วันศุกร์ก็ไม่ใช่ ไปทำไมหว่า

“ไม่มีใครอยู่บ้านไม่ใช่หรือไง” คีเลิกคิ้วถาม

“มันก็ใช่ แต่ว่าไม่ไปก็ได้นะ น้ำอยู่ได้ ลำบากป่าวๆ” ขนาดผมยังไม่ค่อยชอบไปนอนบ้านคนอื่นเลย เกรงใจครับ

“ไม่เป็นไร ไปทำการบ้านด้วยไง” อ๋อ จริงสิ ไปทำการบ้านด้วยนี่นา พรุ่งนี้ฟิวกับจอมจะได้ไม่แย่งสมุดกัน

“เออ งั้นกูไปละ” จอมตัดบทแล้วบิดจากไป

“ยังไง ฟิวก็จองสมุดน้ำนะ ลายมือไอ้คีนี่ต้องแปลอีกที ยังกะอักษรอียิปต์โบราณ” ฟิวพูดก่อนจะรีบขี่รถออกไปอีกคน แต่ความจริงผมว่าคงกลัวโดนคีโบกกลับมากกว่า

“งั้น น้ำรอเดี๋ยว คีไปเก็บกระเป๋าก่อน” คีบอกผมก่อนเดินขึ้นไปบนห้อง

อืม ผมว่า ผมโทรบอกพี่ธารดีกว่าครับ จะได้ไม่เป็นห่วง

“พี่ธาร พี่ธารอยู่ไหน”

“อยู่บ้านเมย์...เฮ้ย อร  เอาแบบสำรวจชุดนั้นมาคิดเป็นเปอร์เซ็นดิ๊” เสียงตะโกนถามงานกันไปมาดังลอดเข้ามาในสาย สงสัยปั่นงานกันโค้งสุดท้ายแน่ๆเลย

“ น้ำอยู่บ้านคนเดียวได้รึป่าว”

“ได้สิ วันนี้คีจะไปนอนเป็นเพื่อน พี่ธารไม่ต้องเป็นห่วง” 

“เออ ดีๆ พรุ่งนี้พี่จะได้ไม่ต้องขี่รถไปรับ มาโรงเรียนกับคีเลยแล้วกัน แล้วอย่านอนดึกล่ะ” แหะๆ บอกแล้วว่าผมไม่ชอบขี่มอไซต์ ซ้อนพี่ธารไปประจำครับ แต่ขากลับนี่เลิกคนละเวลา เลยนั่งรถกลับเอง

“อือ รู้แล้ว”

“งั้นแค่นี้นะ บอกคีขี่รถระวังๆด้วย”

“ได้ๆ” ผมกดวางสายแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ไปไหว้ป้านวลก่อนกลับครับ

“อ้าว คีจะไปไหนลูก” ผมเดินเข้าไปในห้องรับแขกก็เห็นป้านวลทักคีที่สะพายเป้เดินลงบันไดมา

“ไปนอนบ้านน้ำหน่ะแม่” คีตอบไปมือก็รูดซิบกระเป๋าเป้ไปด้วย ผมเองก็เดินไปนั่งโซฟาข้างๆป้านวล

“ดีแล้วลูก ไปอยู่เป็นเพื่อนกัน” ป้านวลกอดแล้วลูบหัวผม

“งั้น น้ำกลับก่อนนะครับ” ผมพูดแล้วไหว้ป้านวล

“ไว้มาเที่ยวบ้านป้าใหม่นะ วันหลังถ้าแม่ไม่อยู่ เตรียมเสื้อผ้ามานอนบ้านป้าก็ได้ ชวนพี่ธารมาด้วยนะลูก” ป้านวลพูดน้ำเสียงเอ็นดู

“ครับ ขอบคุณครับ”

“คี ไปนะแม่” คีพูดแล้วยกมือไหว้ป้านวล

“ขี่รถดีๆนะลูก” ป้านวลเตือนส่งท้ายแถมยังโบกมือบ๊าย บายด้วย ผมเองก็โบกมือบ๊าย บายลาทั้งสองมือ

คีสตาร์ทรถ ใส่หมวกกันน็อค ผมนั่งซ้อนท้ายแล้วคีก็ออกรถ

พอถึงบ้านผมรีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้อง วิ่งไปห้องเก็บของแล้วขนที่นอนปิคนิกพร้อมกับผ้านวมสองชุดสำหรับปูนอนในคืนนี้

“คีๆ ไปช่วยน้ำขนที่นอนหน่อย” ผมเรียกคีที่นั่งแผ่อยู่ตรงโซฟา เราขนที่นอนมาปูตรงข้างเตียงของผม ที่เรานอนบนเตียงไม่ได้เพราะเตียงผมเป็นเตียงเดี่ยวครับ ขืนนอนสองคนมีหวังตกเตียงกันพอดี

“อืม คีเอาผ้าปูสีอะไร” ผมคิดไม่ตกครับ ที่ผมถามเพราะคิดว่าการที่เราได้นอนบนผ้าคลุมเตียงสีที่ชอบจะทำให้นอนหลับสบายขึ้น

“สีอะไรก็ได้” คีตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางใส่ปลอกหมอนและหมอนข้างไปด้วย

“งั้นน้ำเอาสีเหลือง คีเอาสีน้ำเงินไปแล้วกัน” เราช่วยกันจัดที่นอนจนเรียบร้อย

“คีจะอาบน้ำก่อนมั้ย น้ำเอาผ้าเช็ดตัวให้” ถ้าคีอาบก่อนผมก็จะทำการบ้านรอครับ

“น้ำอาบก่อนเถอะ เดี๋ยวคีขอโทรศัพท์ก่อน” คีพูดแล้วยกโทรศัพท์ต่อสายก่อนจะเดินออกไปตรงระเบียงห้อง

ผมเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบผ้าเช็ดตัววางไว้ปลายเตียงก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งทำการบ้านต่อตรงโต๊ะเขียนหนังสือ มองออกไปตรงระเบียง คียังคงคุยโทรศัพท์อยู่เลย สงสัยคุยกับพราว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ผ่านไปสองชั่วโมง ผมก็ทำการบ้านเสร็จ คีเองก็เดินกลับเข้ามาในห้อง

“คี น้ำวางผ้าเช็ดตัวไว้ตรงปลายเตียงนะ” คีพยักหน้ารับ เดินไปค้นกระเป๋าตัวเองแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมเองก็จัดกระเป๋าตามตารางเรียน สวดมนต์ก่อนนอนแล้วล้มตัวลงนอน แต่ยังไม่หลับหรอกนะครับ เพราะไฟยังเปิดสว่างอยู่ ถึงผมจะกลัวความมืดแต่ถ้าไม่ปิดไฟก็นอนไม่หลับ ผ่านไปสักครู่คีก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ

“น้ำจะนอนแล้วเหรอ” คีถามผมพร้อมกับทำท่าจะเดินไปปิดไฟ

“ไม่หรอก คีทำการบ้านก่อนก็ได้” ผมตอบไปก็หาวไปครับ

“เดี๋ยวคีจะเปิดเฉพาะไฟตรงโต๊ะเขียนหนังสือ” คีพูดจบก็เอาสมุดการบ้านขึ้นมาลอกสมุดของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

ผมห่มผ้าห่มพร้อมกับพลิกตัวไปมา นั่งมองคีทำการบ้านจนเสร็จ คีเก็บสมุดการบ้านทั้งสองเล่มแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆผม

ผมนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาคี แล้วจู่ๆเรื่องวันเกิดบนโต๊ะอาหารก็ผุดขึ้นมาในความคิด

“นี่ คี เราเกิดวันเดียวกันเลยเนอะ ไม่น่าเชื่อเลย บังเอิญจัง” ผมพูดขึ้นมาเบาๆ

“อืม นั่นสิ” คีนอนหงายมองเพดานตอบผมด้วยเสียงนิ่งๆ

“คีเกิดกี่โมงอ่ะ น้ำเกิดสิบโมง” ผมถามต่อ

“สิบเอ็ดโมง ทำไมเหรอ” คีพูดแล้วหันมามองผม

“งั้น น้ำก็เป็นพี่หน่ะสิ” ผมตอบแล้วทำท่าคิดไปด้วย

“ถึงเป็นพี่แต่ตัวนิดเดียว เป็นพี่คีแค่ชั่วโมงเดียวเอง ฮะๆ” คีหัวเราะน้อยๆไปด้วย

“อ่านะ พ่อสูงชะลูด” ผมพูดแล้วทำหน้างอ หนอย ย้ำจังนะไอ้ปมด้อยเนี่ย เรานอนมองเพดานเงียบๆไปซักครู่

“คี”

“หืม”

“เรามาสัญญากันมั้ย ต่อไปนี้ให้น้ำเป็นพี่แล้วคีเป็นน้อง” ผมพูดพร้อมกับชูนิ้วก้อยขึ้นมา

“เอาจริงเหรอเนี่ย” คีหันมามองผมแล้วทำหน้าแปลกๆ

“อื้อ เอาจริงสิ น้ำไม่มีน้อง อยากมีน้อง” ผมยืนยันหนักแน่น

“หึๆ ใครเป็นพี่เป็นน้องกันแน่นะ”

“ง่า ให้ไว เกี่ยวก้อยสัญญาด้วย เอานิ้วก้อยออกมาซะดีๆ” ผมเร่งคีที่ทำท่าชั่งใจ

“เอ้าก็ได้ น้ำอย่าลืมสัญญาซะก่อนล่ะ” คียกมือมาเกี่ยวก้อยกับผมพร้อมกับกำชับ ทำอย่างกะผมเป็นเด็กสามขวบ โตแล้วนะ ขอเองแล้วจะลืมได้ไง

“เย้ ไม่ลืมหรอก เป็นความลับนะ รู้กันสองคน เราเป็นพี่น้องกันแล้ว” ผมยิ้มดีใจ

“แล้วไม่นอนซะที เมื่อกี้คีเห็นใครหาว”

“อือออ นอนไม่ค่อยหลับหน่ะ” มีเพื่อนมานอนที่บ้านครั้งแรกก็อดตื่นเต้นไม่ได้นี่ครับ

“งั้นนับแกะ” คีเสนอ

“ไม่เอาอ่ะ น้ำเคยลองนับแล้ว ไม่เห็นจะช่วยอะไร”

“งั้นก็หลับตาไป เดี๋ยวก็หลับเอง” คีตัดบทพร้อมกับหลับตา

ในห้องมีแต่ความเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินดัง ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ผมพลิกตัวไปมา พร้อมกับท่องในใจ แกะหนึ่งตัวกระโดดข้ามรั้ว แกะสองตัวกระโดดข้ามรั้ว แกะสามตัวกระโดดข้ามรั้ว....แกะเก้าสิบเก้าตัวกระโดดข้ามรั้ว

“เฮ้ออออ” ผมพลิกตัวแล้วถอนหายใจ ไม่เห็นง่วงเลย

“นี่ คีๆ หลับรึยังอ่ะ” ผมเรียกคีพร้อมกับเขย่าแขนคีเบาๆ

“อื้มมม น้ำยังไม่นอนอีกเหรอ คีง่วงแล้วนะ” คีพูดงึมงำแล้วพลิกตัวหนี

“มันนอนไม่หลับนี่” นับแกะได้ตั้งเก้าสิบเก้าตัว

“งั้นเอาไง ไปนั่งดูบอลกันมั้ย” คีพลิกตัวกลับมาพร้อมกับหาวไปด้วย

“ไม่เอาหรอก”

“คี ช่วยลูบหัวน้ำหน่อยได้มั้ย” ผมชอบให้คนลูบหัวมากเลยครับ รู้สึกสบายสุดๆ

“หืม ถ้าลูบหัวแล้วจะหลับเหรอ”

“คิดว่านะ”

“โอเค ลูบก็ลูบ เขยิบมาใกล้ๆสิ” คีทำหน้าง่วงสุดๆ แต่สุดท้ายก็ยอมจนได้ครับ

“ต้องร้องเพลงกล่อมด้วยมั้ย” คีเลิกคิ้วถามล้อๆ

“น้ำโตแล้วนะ” ผมค้อน

“หึๆ” คีหัวเราะแล้วค่อยๆเอามือลูบหัวผมไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รู้แต่ว่าความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะจมสู้ห้วงนิทรา ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบา และเสียงกระซิบ “ฝันดี”

@ คุณ Ipatza ตอนเขียนตอนปวดท้องก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าจะให้น้ำเป็นโรคอะไรดี ระหว่างกรดไหลย้อนกับโรคกระเพาะ เอาเป็นว่าเป็นโรคกระเพาะแล้วกันเนอะ ส่วนรายละเอียดตัวละคร อืม ไว้พอตัวละครมีพัฒนาการมากกว่านี้แล้วค่อยว่ากันเนอะ

@ คุณ kasarus เรื่องใครชอบใครนี่เดี๋ยวก็รู้ค่ะ ลองเดาๆดูนะคะ

@ คุณ oaw_eang ขอบคุณที่มาเตือนค่ะ ไม่ได้ตั้งใจปั่นกระทู้ ขอโทษที่ลงน้อยไป พอดีเขียนวันต่อวัน ยังไงจะพยายามลงให้ยาวๆขึ้นนะคะ ถ้าตอนของวันนี้ลงไปแล้วยังถือว่าสั้นไปอยู่ก็เตือนได้เลยค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ พอดีเป็นน้องใหม่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ขอโทษแล้วก็ขอบคุณอีกทีนะคะ

@ คุณ gupalz กับ คุณ iamnan ขอบคุณที่ติดตามค่ะ กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ คนเขียนอยากให้จบในปิดเทอมนี้เหมือนกัน แต่ว่าเดี๋ยวพอเรียนซัมเมอร์แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะได้มาลงให้ทุกวันแบบนี้รึป่าว

ฝากติดตามตอนต่อๆไปด้วยนะคะ :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 25-03-2012 11:13:32
เลิกกัน

...เวลาผ่านไป 3 ปี...

เวลาผ่านไปเร็วมากเลยครับ ไม่ทันไรก็สามปีซะแล้ว  ตอนนี้พวกผมทั้งสี่คนอยู่ม.4 ผมกับฟิวเรียนห้องศิลป์-ภาษาจีน ส่วนคีกับจอมเรียนศิลป์ – คำนวณ และถึงแม้ว่าเราจะเรียนอยู่คนละห้องกันแต่เวลาเลิกเรียนหรือเวลามาโรงเรียนเรายังนัดเจอกันเหมือนเดิม เพราะว่าคีจะบิดมอไซต์ไปรับผมเป็นประจำ ถ้าวันไหนไม่ว่างเพราะต้องไปรับส่งพราว หน้าที่สารถีประจำตัวผมจะเปลี่ยนเป็นหน้าที่ของจอมไปโดยปริยาย ส่วนฟิวไม่ต้องพูดถึง ยุคน้ำมันแพงแบบนี้ ถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆ ผมคงไม่ได้มีบุญซ้อนท้ายฟิวแล้วละครับ ว่าก็ว่าเหอะนะ นับวันฟิวยิ่งเค็มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเดินมาโรงเรียนได้มันคงทำไปแล้ว ขนาดเพื่อนจะยืมการ์ตูนอ่านต่อจากที่มันเช่ามามันยังคิดตังค์เค้าอ่ะครับ คิดดูเหอะ จะเค็มไปไหนเนี่ย

ส่วนปลิวออกไปเรียนต่อสายอาชีพแล้วล่ะครับ ได้ข่าวว่าปลิวไปเรียนต่อที่เทคนิค จากวันที่มีเรื่องวันนั้นเราไม่ได้คุยกันอีกเลย

พี่อรกับพี่ธารสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพไปแล้ว พี่อรเรียนวิศวะโยธา ซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับสาวห้าวขาลุยแบบพี่แกสุดๆ ส่วนพี่ธารเรียนเศรษฐศาสตร์ เวลาแม่ผมไปต่างจังหวัด คีมักมานอนเป็นเพื่อนบ่อยๆ ผมเองก็เข้าออกบ้านคีจนเป็นเหมือนบ้านตัวเอง

นอกจากนี้ หลังจากที่พ่อของคีตายไปได้เจ็ดปีแล้ว ป้านวลก็พบรักกับลุงพล เจ้าของสวนส้มแถวๆ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ป้านวลต้องไปๆมาๆระหว่างบ้านกับสวนส้ม บ้านคีเลยเงียบพอๆกับบ้านผม

“เอาละวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน อย่าลืมส่งการบ้านแล้วให้หัวหน้าห้องรวบรวมไปส่งที่โต๊ะครูวันจันทร์” เสียงครูสายทอง ครูสอนวิชาสังคมบอกเลิกคาบก่อนจะปล่อยให้นักเรียนไปกินข้าวเที่ยง

“นักเรียน เคารพ”

“ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”

“น้ำ ฟิว ไปกินข้าวกัน” เสียงจอมเรียกผมจากหน้าห้อง ผมสงสัยจังเลยครับว่าทำไมห้องศิลป์คำนวณเลิกเร็วกว่าห้องผมทุกทีเลย จอมกับคีมาเรียกผมอยู่หน้าประตูห้องตอนห้องผมพักกินข้าวได้ทุกวัน บางวันพราวก็มาด้วยนะครับ เห็นว่าเธอเรียนสายวิทย์ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมา สงสัยเด็กวิทย์เค้าจะเรียนหนักกัน

พวกเราพากันเดินไปโรงอาหาร ระหว่างทางผมก็คิดเมนูไปด้วยว่าจะกินอะไรดี วันนี้เวรจอมกับฟิวไปซื้อข้าวครับ พวกผมจะแบ่งเวรกันไปซื้อข้าวกับจองโต๊ะ เพราะว่าคนเยอะมาก บางทีได้โต๊ะ แต่กว่าจะได้กินข้าวเวลาก็ผ่านไปตั้งครึ่งชั่วโมง บางทีซื้อข้าวแล้วก็ไม่มีโต๊ะนั่งอีก เลยต้องแบ่งหน้าที่กันครับ

“วันนี้น้ำกินเส้นเล็กต้มยำใส่ผักเยอะๆ” ก๋วยเตี๋ยวต้มยำนี่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แถมคนขายปรุงรสมาให้เรียบร้อย

“เส้นเล็กต้มยำอีกละ ไม่เบื่อรึไง” ฟิวท้วงผม

“ฮื่อ อร่อยดีนะ” ผมโคลงหัวแล้วตอบ

“คีล่ะจะกินอะไร” ผมหันไปถามคีบ้าง วันนี้รู้สึกว่าคีดูซึมๆพิกล

“เอาเหมือนน้ำแล้วกัน”

“เออ พวกมึงนี่ดีเนอะ กินเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลาซื้อหลายร้าน กูก็คิดไม่ออกว่ะ กูกินเหมือนพวกมึงแล้วกัน” จอมพูดขึ้น

“จอมเลียนแบบ โทษฐานนี้ต้องเลี้ยงน้ำส้มน้ำเป็นการตอบแทน” หาทางแถกินฟรีเท่านั้นแหละ

“โหย น้ำ อยู่กับไอ้ฟิวมากไปรึป่าวเนี่ย นับวันจะยิ่งเค็มเหมือนกันเข้าไปทุกที” จอมแย้ง

“อ้าว พาดพิงถึงกู เค็ม เคิมอะไร เค้าเรียกรู้จักประหยัดเว่ย” เอิ่ม ให้ผมประหยัดแบบฟิวนี่ก็ไม่ไหวม้างง

“น้ำหาว่าจอมเลียนแบบ ไอ้คีก็เลียนแบบ ให้มันเลี้ยงน้ำบ้างดิ”

“วันก่อนคีเลี้ยงแล้ว วันนี้ตาจอมมั่ง วันก่อนยังซื้อหนมเลี้ยงสาวได้เลย เลี้ยงเพื่อนไม่ได้เหรอ นี่เพื่อนนะเพื่อน” ผมยังไม่ยอมแพ้ ต้องจี้จุดเข้าไปครับ เดี๋ยวก็เลี้ยงเราเอง คึๆ

“เออๆ ไปหาโต๊ะนั่งไป” ในที่สุดจอมก็ยอมเลี้ยงน้ำผมแต่โดยดี

“น้ำส้มนะจอม” ผมยังไม่วายตะโกนกำชับส่งท้าย ไม่กำชับไม่ได้ครับ วันก่อนสั่งน้ำฝรั่ง ได้น้ำลิ้นจี่มากินเฉยเลย

เอ๋ แปลกแฮะ วันนี้พาดพิงถึงคีแล้วไม่แก้ตัว

ระหว่างกินก๋วยเตี๋ยว ก็เกิดศึกชิงลูกชิ้นขึ้น(ลูกชิ้นของร้านนี้เป็นลูกชิ้นหมูจิ๋วครับ อันเล็กๆ แต่อร่อยมาก) นำทีมโดยจอมครับ จะเอาคืนที่ต้องซื้อน้ำส้มให้อ่ะดิ  ผมไม่มีทางยกให้หร้อก จับยัดลงท้องไปหมดแว้ว แต่จอมมันยังไม่ยอมแพ้ หยิบถ้วยผมไปคนหา

“อ๊ะๆ เหลือนี่อีกตั้งสองลูก เสร็จโจร” จอมคีบลูกชิ้นของผมเข้าปากแบบผู้ชนะ

“อ๊า เอาอูกอิ้นอ้ำอืนอาอ๊ะ อินไอไอ้ไออ่ะ (อ๊า เอาลูกชิ้นน้ำคืนมานะ กินไปได้ไงอ่ะ)” ฮือ ลูกชิ้นของชั้น ลูกชิ้นของชั้นท่าทางไม่ปลอดภัย (เพลงน้องพลับ)

หลังจากโวยวายและคิดว่ายังไงก็คงไม่ได้ลูกชิ้นคืนแน่ๆแล้ว ผมกับจอมสบตากันแล้วเริ่มจัดการเป้าหมายต่อไปครับ

เราสองคนหันควับไปมองฟิว รายนี้ก็รีบยัดลูกชิ้นใหญ่เลยครับ จากนั้นยื่นถ้วยให้จอมคนหา และความเค็มของฟิวก็ไม่มีพลาดครับ คนหายังไงก็ไม่เจอซักลูก และเราสามคนก็มองหาเป้าหมายสุดท้ายครับ พอหันควับไปที่คีเท่านั้นแหละ ยื่นถ้วยให้เฉยเลย

“กูไม่ค่อยหิวว่ะ พวกมึงกินเหอะ” เอ๋ แปลกคูณสอง ปกติ บางมื้อเห็นเบิ้ลสองถ้วยเลยนะเนี่ย วันนี้บอกกินไม่หมด

“คี เป็นอะไรไป ไม่สบายรึป่าว” ผมเขย่าแขนคีพร้อมกับถามไปด้วย

“อู้ย มันจะเป็นอะไรไปได้ เป็นไข้ใจล่ะสิไม่ว่า” จอมตอบแทนคีซะงั้น

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ” ผมถามอย่างอดห่วงไม่ได้ คบกันมาตั้งสามปี ทะเลาะอะไรกันเนี่ย

“ป่าวหรอก วันนี้คีปวดหัวนิดหน่อยหน่ะ เหมือนจะมีไข้” คีตอบผมด้วยท่าทางเพลียๆ

“งั้นรีบกินข้าวแล้วกินยา น้ำมีพาราในกระเป๋า เดี๋ยวกลับห้องแล้วไปเอาให้” ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเตรียมพร้อมครับ เพราะว่าป่วยบ่อย เลยมียาพารา พลาสเตอร์ติดแผล ทิชชู่แล้วก็น้ำเปล่าติดกระเป๋านักเรียนอยู่เสมอ

แต่ความจริงนะ ผมว่าที่ป่วยนี่เพราะมีเรื่องไข้ใจเป็นเหตุรึป่าวเนี่ย เดี๋ยวต้องไปซักฟอกจอมซะหน่อยแล้ว

หลังกินข้าวเสร็จพวกผมก็แยกกันไปเรียนห้องใครห้องมันครับ พอเลิกเรียนผมกับฟิวต้องเดินไปที่โรงยิมเพราะวันนี้ห้องของจอมกับคีเรียนพละเป็นคาบสุดท้าย และวิชาที่เรียนเทอมนี้คือเทควันโด ตอนที่พวกผมไปถึงก็เลิกพอดี จอมส่งสัญญาณโบกไม้โบกมือบอกว่าขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ผมกับฟิวเลยต้องนั่งรอแถวๆแสตนเชียร์ พวกผมนั่งรอไปซักพัก ผมก็นึกได้ว่าเมื่อคืนคีโทรมาบอกว่าให้เอาโฟมล้างหน้าของคีที่มีจากบ้านผมมาให้วันนี้ด้วยเพราะมีเรียนพละ อันที่บ้านคีหมด ผมนึกขึ้นได้ว่าคีจะต้องใช้เลยวิ่งเอาไปให้ที่ห้องอาบน้ำ

“ฟิว เดี๋ยวน้ำมานะ จะเอาโฟมล้างหน้าไปให้คี”

“เออๆ บอกพวกนั้นให้อาบน้ำเร็วๆด้วย หิวข้าวว่ะ” ฟิวพูดพร้อมกับกดเกมส์ในมือถือไปด้วย

ผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก็เห็นหลายห้องปิดม่านอาบน้ำอยู่ ไม่รู้ว่าคีอาบอยู่ห้องไหน เลยตัดสินใจนั่งรอตรงเคาเตอร์อ่างล้างหน้าข้างล็อกเกอร์  ซักพักคีก็เดินมาที่ล็อกเกอร์

“คี น้ำลืมเอาให้” ผมพูดพร้อมกับยื่นโฟมล้างหน้าให้คี

“คีพึ่งนึกได้ตอนอาบน้ำเหมือนกัน เดี๋ยวล้างตรงอ่างนี่ก็ได้” คีเก็บของใส่กระเป๋าแล้วล้างหน้าตรงอ่างข้างๆที่ผมนั่ง ซักพักจอมก็เดินขยี้หัวตามออกมาพร้อมกับเก็บของ

“จริงสิ ฟิวบอกว่าหิวข้าว ให้เร็วๆหน่อย” ผมบอกทั้งสองคน พอทั้งคู่เก็บของเสร็จเราสามคนก็เดินออกจากห้องอาบน้ำ ผมเดินคู่กับจอมและคุยกันเรื่องรายงานวิชาภาษาอังกฤษ

“ห้องจอมได้ทำรายงานเกี่ยวกับหัวข้ออะไรอ่ะ ห้องของน้ำได้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวล่ะ”

“หืม ครูยังไม่ได้สั่งเลย มีคาบเรียนวันจันทร์ เดี๋ยวก็คงรู้” จอมตอบ

“งั้นหรอกเหรอ  วันจันทร์น้ำก็มีเรียน แต่ครู... อ๊ะ...” ผมพูดยังไม่ทันจบก็ต้องตกใจ เพราะเดินไปชนคีเข้า

“คี ทำไมจะหยุดก็ไม่บอกเล่า” ผมเงยหน้าถามคี คีไม่ตอบครับ สีหน้าดูช็อคกับอะไรบางอย่างและจากสายตาที่มองตรงไปข้างหน้าทำให้ผมหันไปมองตาม

สิ่งที่ผมเห็นตรงหน้าทำให้ผมอดรู้สึกใจหายไม่ได้ พราวยืนจูบอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งครับ ผมตั้งสติแล้วหันไปมองคนข้างตัว คีกำมือแน่น และกัดกรามจนเป็นสันนูนเห็นได้ชัด ผมรีบจับแขนคีไว้ก่อนที่คีจะพุ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่

“คี” ผมเรียกคีเสียงดัง คีเหมือนพึ่งรู้ตัวค่อยๆลดแขนที่จะสะบัดแขนผมลง เสียงเรียกของผมยังทำให้คนทั้งคู่ที่อยู่ตรงหน้าผละออกจากกัน พราวทำหน้าเหมือนเจอผี คีค่อยๆแกะมือผมออก แล้วเดินตรงเข้าไป ผมรีบเดินตาม ใจนึกกลัวความใจร้อนของคี

“น่าจะบอกกันดีๆนะพราว” คีพูดพร้อมกับจ้องหน้าพราวนิ่ง

พราวไม่พูดอะไร และพยายามหลบตา ส่วนผู้ชายอีกคนที่ยืนจูบกับพราวถูกจอมกันให้ออกไปยืนอยู่ห่างๆ

“ถ้าอยากเลิกนัก ก็พูดออกมาสิ เห็นกูโง่นักรึไง” คีตะโกนออกมาจนผมที่ยืนข้างๆสะดุ้ง

“หึ งั้น เราก็เลิกกัน” คราวนี้พราวเงยหน้าขึ้นมา สบตาคีที่มองอยู่ คำพูดของเธอเย็นชาจนผมรู้สึกได้ เธอปรายตามองผมก่อนจะเดินจากไป ผู้ชายคนที่ยืนอยู่กับจอมก็วิ่งตามพราวไปด้วย

ผมเอามือแตะแขนคีที่กำจนสั่น

“คี ไม่เป็นไรใช่มั้ย” คีไม่พูดอะไร แต่เดินผละหนีไป บางทีผมอาจจะวุ่นวายกับมากเกิน

“จอม ฝากดูคีด้วยนะ” ผมหันไปพูดกับจอมที่มองดูนิ่งๆ จอมพยักหน้าพร้อมกับวิ่งตามคีไป

ผมเดินกลับไปที่โต๊ะที่ฟิวนั่งรออยู่ด้วยอารมณ์หดหู่

“น้ำ ทำไมไปนาน หิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย อ้าว แล้วสองคนนั้นล่ะ” ฟิวบ่นและถามผมด้วยความแปลกใจ

“คีเลิกกับพราวแล้ว” ผมพูดด้วยความรู้สึกอึนๆ

“กูว่าแล้ว” ฟิวเอามือขยี้หัวท่าทางขัดใจ แล้วหยิบเป้ขึ้นสพาย

“ป่ะ น้ำ เดี๋ยวจะไปส่งที่บ้าน” ฟิวขับรถไปส่งผมที่บ้าน ระหว่างทางเราไม่พูดอะไรกัน ผมเองนึกเป็นห่วงคีสารพัด ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง พอถึงบ้านผมฟิวก็โทรศัพท์ไปถามจอมว่าคีอยู่ที่ไหน

“เออๆ กูส่งน้ำแล้ว”

“...”

“เดี๋ยวกูไป”

พอจอมวางสายผมรีบถามขึ้นทันที

“คีเป็นไงบ้าง แล้วจอมล่ะ อยู่ที่ไหนกัน”

“พวกมันอยู่ร้านสตางค์ คีมันกินเหล้าอยู่ เดี๋ยวฟิวจะไปดูมันให้ น้ำไม่ต้องเป็นห่วง อยู่บ้านคนเดียวล็อกบ้านให้ดีแล้วกัน” ฟิวพูดก่อนจะใส่หมวกกันน็อคแล้วสตาร์ทรถ

“น้ำไปด้วยได้มั้ย” ผมถามฟิวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“น้ำรออยู่ที่บ้านดีกว่า ถ้าคีรู้ว่าน้ำไปด้วยมันคงไม่ชอบใจ”

“แต่...”

“น้ำรออยู่ทางนี้เถอะ คอยปูที่นอนไว้รอพวกเราแล้วกัน คืนนี้เราคงมานอนกันบ้านน้ำ ขืนพาไอ้คีกลับบ้านคงโดนบ่นจนหูชา” ฟิวพูดทิ้งท้ายก่อนจะขี่รถออกไป

ผมนั่งรอทั้งสามคนที่โซฟาก่อนจะผล็อยหลับไป สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะได้ยินเสียงมือถือของตัวเองดังขึ้น

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

มองหน้าจอโทรศัพท์ โชว์เบอร์จอมโทรเข้า ผมกดรับด้วยความรู้สึกมึนๆ

“อือ”

“น้ำมาเปิดประตูบ้านหน่อย” “เออ กูยังไม่เมา พวกมึงไม่ต้องพยุง” เสียงจอมพูดหอบๆ ทั้งยังได้ยินเสียงคีแทรกเข้ามาตามสายด้วย ผมตัดสายแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูบ้าน

“งายน้ำ ดึกแล้วทามมาย อึก ยังไม่นอน” พอผมเปิดประตูบ้านไป คีก็ทักผม จอมกับฟิวช่วยกันหิ้วปีกกันคนละข้าง ผมนิ่วหน้าเพราะเหม็นกลิ่นเหล้า แล้วหลีกทางให้ฟิวกับจอมพาคีเดินเข้าบ้าน

“น้ำ จอมว่าจะให้มันนอนโซฟาไปก่อนนะ ถ้าให้นอนบนห้องน้ำ จอมกลัวมันอ้วก เดี๋ยวเหม็นไม่ได้นอนกันทั้งคืน” จอมบอกแล้วหิ้วปีกคีไปปล่อยตรงโซฟา

คีนอนดิ้นปัดป่ายไปมาบนโซฟา ทั้งฟิวและจอมยืนหอบทั้งคู่

“ตัวหนักชะมัด” ฟิวบ่นพร้อมกับบิดแขนดังลั่นแก๊ก

“ฟิวกับจอมไปอาบน้ำก่อนเถอะ น้ำเอาผ้าเช็ดตัววางไว้บนเตียงในห้อง ใช้ห้องน้ำข้างล่างกับห้องน้ำในห้องนอนของน้ำได้นะ” ผมหันไปบอกทั้งสองคน ฟิวพยักหน้าก่อนเดินขึ้นไป

“ถ้ามันแผลงฤทธิ์จนตกโซฟา น้ำก็ปล่อยมันไว้บนพื้นนั่นแหละ จอมจะรีบอาบน้ำแล้วมาช่วยดู” จอมทิ้งท้ายก่อนเดินไปอาบน้ำบ้าง

ผมนั่งคุกเข่าข้างๆโซฟาพร้อมกับถอนหายใจ

“ร้อน” คีพูดแล้วลุกขึ้นถอดเสื้อถอดกางเกง จนเหลือแต่บ๊อกเซอร์

“คี นอนก่อนนะ เดี๋ยวน้ำไปเร่งแอร์แล้วจะมาเช็ดตัวให้” คีพยักหน้ารับรู้อย่างว่าง่ายแล้วล้มตัวลงนอน

ผมเดินเข้าไปในห้องครัว เปิดน้ำใส่กะละมังเล็ก พร้อมกับหยิบผ้าขนหนู ผมกลับมานั่งคุกเข่า วางกะละมังไว้ข้างตัว ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วเช็ดหน้าให้คี คีที่นอนหลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาจ้องผม พร้อมกับใช้มือซ้ายตะปบซ้อนมือของผมที่ถือผ้าชุบน้ำให้หยุดอยู่ข้างแก้ม

“น้ำ”

“คีปล่อยก่อนนะ น้ำจะได้เช็ดตัวให้ต่อ คีจะได้หายร้อนไง” ผมพูดกล่อมคนเมาเบาๆ แววตาคีที่จ้องผมตอนนี้ ราวกับว่าคียังมีสติครบ ไม่ได้เมา

“คีอยากรู้ ทำไมไม่มีใครรักคีเลย” คีไม่ยอมปล่อย ทั้งยังตั้งคำถามกับผมอีกด้วย

“หืม คีเอาอะไรมาพูด อย่างน้อยก็มีป้านวลที่รักคีที่สุดไง”

“ไม่จริง แม่ไม่รักคีหรอก แม่แต่งงานกับลุงพล ไม่ค่อยกลับบ้าน” ผมฟังคำตอบจากคีแล้วได้แต่นึกฉงนอยู่ในใจ เพราะผมเห็นคีเฉยๆกับเรื่องการแต่งงานใหม่ของป้านวล ไม่คิดว่า ความจริงแล้วคิดเยอะขนาดนี้

“รักสิ ป้านวลคงยุ่งกับงานหน่ะ พี่อรก็รักคีนะ”

“อรก็ไม่รักคีหรอก ไม่ยอมโทรหาคีซักที วันก่อน คีโทรไปก็ไม่รับ” เฮ้อ เหนื่อยใจกับคนเมา

“โธ่ พี่อรเรียนมหาลัยแล้ว คงเรียนหนัก วันนี้พี่อรอาจโทรมาก็ได้ คีลองเอามือถือมาดูสิ”

“คี ทิ้งไปแล้ว”

“ห๊า คีทิ้งไปเมื่อไหร่” เวรกรรม มือถือไม่ได้เครื่องบาทสองบาทนะพ่อคู๊ณณณณ

“ก็คีกดดู มีรูปที่คีไม่อยากเห็น เลยโยนทิ้ง” คีเล่าพร้อมทำท่าโยนทิ้งประกอบ

“แล้วสุดท้าย ก็ไม่มีใครรักคีซักคน” เจ้าตัวบ่นงึมงำ แล้วกระชับมือผมไว้แนบแก้มมากขึ้น

“น้ำ  น้ำรักคีรึป่าว” คีถามพร้อมกับจ้องตาผม ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจผมถึงได้เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา หน้ากับหูก็ร้อนไปหมด ผมก้มหน้าตั้งสติ คีกำลังเมา แล้วผมเป็นอะไรไปเนี่ยย ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไร คีก็เอามืออีกข้างที่ว่างอยู่แนบกับแก้มผม แล้วเชยคางผมให้สบตา

“น้ำ ทำไมไม่ตอบ น้ำไม่รักคีเหรอ” คีพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน แววตาสั่นระริก ผมมองเข้าไปในตาคี น้ำใสๆเอ่อคลออยู่เต็มสองตา
ผมใช้มืออีกข้างจับมือของคีที่แนบแก้มอยู่ ค่อยๆกุมเอาไว้บนตัก

“รักสิ น้ำจะไม่รักคีได้ยังไง คีเป็นน้องของน้ำ เป็นคนสำคัญของน้ำเสมอนะ” ผมยิ้มแล้วตอบคี คีกุมมือผมแน่นแล้วหลับตาลง ผมนั่งรอจนผมหายใจของคีสม่ำเสมอแล้วค่อยๆแกะมือออก ผมนั่งมองดูคีอยู่ครู่ใหญ่แล้วเอามือจับหน้าอกตรงหัวใจตัวเอง ไม่เข้าใจ ทำไมมันเต้นแรงขนาดนี้
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 26-03-2012 22:16:39
กีฬาสี1

...ปั่งๆๆ...

“นี่ ทุกคน ฟังทางนี้” แป้งสาวน้อยประธานห้องของผมเคาะโต๊ะเสียงดังหลังหมดคาบเรียนแรกของวันเพราะพวกลิงทโมนทั้งวิ่งไล่กัน คุยกันเสียงดังบ้าง ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับว่าโรงเรียนผมหน่ะมีผู้หญิงน้อย ตอนม.ต้นมีผู้หญิงหกคน ตอนม.ปลายนี่ยิ่งไปกันใหญ่ มีแค่สามคนเองครับ  รู้นะ หลายคนคงสงสัย ทำไมผู้หญิงไม่เรียนสายภาษา เอิ่ม เหตุผลมันก็ไม่มีอะไรนอกจากว่าประชากรผู้หญิงที่มีอยู่น้อยนิดนั้นขยันเรียนกว่าผู้ชายครับ และหลายคนคงตระหนักแล้วว่าเรียนสายวิทย์มีทางเลือกมากกว่า พวกเด็กผู้ชายสันหลังยาวทั้งหลายเลยต้องตกมาอยู่ห้องสายศิลป์เพราะสอบไม่ได้ อ่ะ มีอีกคำถามใช่มั้ยละ ผู้ชายมีเยอะแยะแล้วทำไมหัวหน้าห้องเป็นผู้หญิงอีก อันนี้มันก็ต้องตามมติครับ ก็เพราะความรับผิดชอบมันมีน้อย ประชากรหญิงหนึ่งในสามที่พวกผมเห็นว่ามีความรับผิดชอบ เด็ดขาด(โหด)ที่สุด เลยได้รับเสียงโหวตอย่างท่วมท้นไป

หลังการเอาแปรงลบกระดานกระแทกโต๊ะไม้ ทั้งห้องก็เริ่มกลับเข้าสู่ความสงบ

“เงียบได้ซักทีนะพวกมึง” แป้งพูดพร้อมชักสีหน้าหงุดหงิด เอิ่ม สาบานได้ว่านี่เป็นคำพูดแรกที่หัวหน้าห้องใช้พูดกับคนในห้องทุกครั้งก่อนแจ้งเรื่องให้ทราบ

“วันนี้กูไปประชุมก่อนเข้าแถวมา เค้าบอกว่าจะมีกีฬาสีสิ้นเดือนนี้ ก็เหมือนเดิมคือให้ร่วมมือทำกิจกรรมครั้งนี้ด้วย ส่วนเรื่องเดินขบวน แข่งกีฬา วันนี้ตอนพักเที่ยง รุ่นพี่จะมาคุยด้วย เราต้องเดินไปประชุมที่ห้องห้า ปีนี้ม.4ห้องเราจับสลากได้อยู่สีชมพู สีเดียวกับห้องห้า ส่วนพี่ม.5 ที่จะมาคุมคือพี่ๆห้องสองกับห้องแปด(ม.6โรงเรียนผมเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเดียวครับ งดเข้ากิจกรรม) ทุกครั้งที่เข้ากิจกรรมจะมีการเช็คชื่อให้คะแนนวิชาพละด้วย แต่กูรู้พวกมึงไม่สนคะแนน แต่อย่าให้รู้นะว่าใครโดด ถ้าพี่เค้าจะให้พวกมึงช่วยอะไรกูจะต้องเหนื่อยตามหาอีก” แป้งพูดจบก็มีคนยกมือถามครับ

“ส่งใบลาป่วยได้รึป่าว” ป้องที่อยู่หลังห้องยกมือถาม

“กูว่ามุกนี้ใช้ไม่ได้แล้วว่ะ เดือนที่แล้วมีกิจกรรมวันสุนทรภู่ ห้องวิชาการเรียกกูไปซักว่าทำไมห้องเรามีคนลาเกินครึ่ง กูก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง อย่างน้อยพวกมึงไปนั่งหายใจมองหน้ากันก็ได้ อย่าให้กูไปนั่งให้เค้าซักจนตะคริวกินอีกเลย” แป้งบอกพวกผมแล้วทำหน้าเซ็งๆ พอดีกับที่ครูของวิชาถัดไปเดินมาพอดี เราเลยต้องจบประเด็นแค่ตรงนี้

พอพักเที่ยงพวกผมสี่คนก็ไปกินข้าวด้วยกันเหมือนเคย

“วันนี้เที่ยงครึ่งห้องกูต้องไปประชุมกีฬาสีที่ห้องพวกมึงว่ะ” ฟิวพูดขึ้นระหว่างกินข้าว

“เบื่อหน้ามึงโว้ย อยู่กันคนละห้องยังเสือกได้อยู่สีเดียวกันอีก” จอมบ่นออกมา

“เฮอะ คิดว่ากูไม่เบื่อหน้ามึงเหรอ แม่งอยู่ด้วยกันมาตั้งสามปี แต่ไม่เป็นไร กูทนได้ เพราะว่ากูได้อยู่สีเดียวกับแจง” ฟิวทำหน้าเคลิ้มเมื่อพูดถึงจุ๊บแจงที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับจอมและคี

“เออ ถ้ามึงได้เห็นสันดานมันแล้วจะชอบไม่ลง แม่ง ผู้หญิงอะไรไม่มีความเป็นกุลสตรี มือก็หนักชิบหาย” จอมพูดแล้วทำท่าขนลุก

“เอ๋ จุ๊บแจง ใช่คนที่ชอบเปียเก็บสองข้างมาทุกวันใช่ป่าว” ผมถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ เพราะจำได้ว่าห้องห้ามีคนชื่อแจงอยู่สองคน

“เออ คนนั้นแหละ นิสัยไม่ได้เข้ากับหน้าตาเล้ย” จอมโอดครวญต่อ

“ไม่เป็นไร เค้าน่ารัก กูไม่ถือ” ฟิวทำหน้าเคลิ้มต่อ

พวกเรากินข้าวกันเสร็จก็เดินไปห้องห้า ระหว่างทางมีสาวๆมาทักคีเป็นระยะ

“พี่คี กินข้าวรึยัง” รุ่นน้องม.ต้นที่นั่งอยู่ตรงไม้หินอ่อนใต้ต้นหูกวางโบกมือแล้ววิ่งเข้ามาทักคี

“กินแล้วครับ” อ่า พูดเพราะเชียวกับสาวๆเนี่ย

“ว้า โฟร์ตั้งใจทำข้าวกล่องมาให้ กะว่าจะรอกินกับพี่อยู่เชียว” สาวน้อยทำหน้าตาเสียดาย

“อ่า โทษทีครับ ไว้วันหลังแล้วกันนะครับ” แหม ไอ้คนนี้ก็น่าหมั่นไส้นักเชียว พึ่งเลิกกับแฟนก็หม้อไปทั่ว

“ก็ได้ค่ะ” น้องโฟร์พูดแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่โต๊ะกับเพื่อน

เราเดินต่อไปถึงหน้าบันไดก็มีคนเข้ามาทักอีก

“อ้าว น้องคี ปีนี้ได้อยู่สีอะไรจ๊ะ” พี่สาวหน้าตาหมวยๆคนนึงที่เดินสวนลงมาทักคีขึ้น

“สีชมพูครับ แล้วพี่ละครับ”

“บังเอิญจัง สีเดียวกันกับพี่เลย นี่กำลังจะไปประชุมใช่รึป่าว เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะ พี่ๆรออยู่บนห้องแล้ว” พี่หน้าหมวยพูดแล้วก็เดินจากไปครับ

“แม่ง เพื่อนใครวะ เลิกกับแฟนได้ไม่ทันข้ามอาทิตย์ สาวติดเกรียว” จอมบ่นท่าทางระอา นี่ขนาดผมไม่ได้อยู่กับคีตลอดยังเจอไปตั้งสองคน จอมที่อยู่ด้วยกันแทบทั้งวันคงจะเห็นหลายคนแล้วล่ะสิ เฮ้อ ก็อย่างว่าแหละนะ คีมันทั้งสูง ผิวสีแทน หน้าตารึก็คมคาย แถมคารมณ์นี่ไม่ต้องพูดถึง เฮ่อ ช่างต่างกับผมราวฟ้ากับเหว ก็ไอ้หุ่นแห้งๆกล้ามเนื้อนี่ไม่ต้องถามหา แถมขาวๆ ซีดๆอย่างผม จะเอาะไรไปให้สาวๆสนใจเนี่ย

พอพวกผมเดินถึงห้องห้าก็ต้องพบกับมหกรรมผู้คนครับ คนเยอะซะแบบว่าล้นออกมายืนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง แต่ก็นะ มีพี่ม.ห้า กับม.สี่รุ่นเรา รวมกันตั้งสี่ห้อง รุ่นพี่ที่ยืนอยู่หน้าห้องหันมามองเราสี่คนทันทีครับ

“น้องสี่คน มาประชุมรึป่าว รีบเข้าไปเร็ว” รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งกวักมือเรียกเราให้รีบเข้าห้อง

พอผมเดินเข้าประตูไปก็ได้ประจักกับคำว่าปลากระป๋อง อ่า คนเยอะได้อีก

“เฮ้ย คี จอม ทางนี้” เสียงเรียกของเพื่อนๆห้องคีเรียกพวกผมจากโต๊ะหน้าห้องที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ด้วยความที่คนเยอะ หลายคนนั่งเก้าอี้ นั่งโต๊ะบ้างแหละครับ พอพวกผมเดินไปถึงโต๊ะก็มีคนลุกให้นั่งเก้าอี้คนนึงครับ ส่วนเก้าอี้ที่ติดกันอีกตัวว่างอยู่แล้ว

“เอ่อ ไม่ต้องลุกก็ได้ เรายืนดีกว่า” ผมบอกคนที่ลุกให้ครับ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร

“นั่งไปเถอะน้ำ” คีดันตัวผมให้นั่งแล้วนั่งอีกตัวที่ว่าง ส่วนฟิวกับจอมก็นั่งบนโต๊ะที่อยู่ข้างหลังเก้าอี้ของพวกผม

“แต่ว่า เค้านั่งอยู่ก่อนนะ” ผมหันไปพูดกับคี

“ไม่เป็นไรหรอก นี่โต๊ะคีเอง” อ๋อ คีกับจอมนั่งติดหน้าต่างตรงนี้หรอกเหรอเนี่ย

“เอ่อ กูลืมแนะนำ นี่น้ำกับฟิวเพื่อนกู ส่วนนี่เพื่อนๆคีเอง คนที่ลุกไปหน่ะชื่อไอ้เต้  คนถัดไปก็เกมส์ ป็อบ แซ็ค โจ...” คีบอกชื่อเรียงจากซ้ายไปขวา อ่าเยอะจัง ผมยังจำไม่ได้หมดทุกคนเลย

“น้องครับ ฟังพี่หน่อย” พวกผมคุยกันไปได้ซักพักก็มีพี่ผู้ชายคนนึงตะโกนบอกให้เราเงียบอยู่หน้าห้อง

“พี่ชื่อพี่ภูนะครับ เป็นประธานสีเราปีนี้ ส่วนพี่ที่ยืนข้างๆพี่ชื่ออาร์ม เป็นเลขา ...เป็นเหรัญญิก ...ฝ่ายกีฬา ....”พี่ภูแนะนำตัวและแนะนำพี่ๆที่ทำงานอยู่ฝ่ายต่างๆให้เราได้รู้จักแล้วเริ่มประชุม

“น้องๆม.4 ครับ พี่ได้แบ่งงานครั้งนี้ไว้เป็น 6 ฝ่ายคือ ฝ่ายกองเชียร์ กีฬา พาเหรด สวัสดิการ พยาบาล และฝ่ายอุปกรณ์และฉากนะครับ ฝ่ายกองเชียร์จะอยู่กับพี่พลอย” พอพี่ภูพูดชื่อก็มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวออกมาแล้วส่งยิ้มให้ครับ

“ปีนี้น้องๆไม่ต้องขึ้นแสตนนะคะ แต่ว่าต้องคอยช่วยพี่คุมน้องม.ต้น” พี่พลอยพูดแล้วยิ้ม จากนั้นพี่ๆฝ่ายต่างๆก็ทยอยแจงรายละเอียดของแต่ละฝ่าย

“พี่ไทนะครับ อยู่ฝ่ายกีฬา ฝ่ายพี่ไม่ต้องให้น้องมาช่วยคุมเด็ก แต่ถ้าใครอยากลงกีฬาอะไรก็มาลงชื่อที่พี่ได้นะครับ” พี่ไทพูดแล้วโบกใบรายชื่อไปด้วย พอพี่ไทพูดจบก็มีพี่กระเทยคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง

“พี่ชื่อซินนี่นะฮ้า อยู่ฝ่ายพาเหรด อยู่ฝ่ายเจ้น้องไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งทำหน้าตาหล่อสวยให้โดนใจเจ้ก็พอค่า” พี่ซินนี่พูดจบแล้วก็ส่งจูบครับ หลายคนถึงกับโห่แซวกันไปตามระเบียบ

“พี่อ๋องครับ อยู่ฝ่ายสวัสดิการ หน้าที่ฝ่ายเราก็ไม่มีอะไรมาก ใช้แรงอย่างเดียว ง่ายๆก็ได้เช็คชื่อให้คะแนนนะน้อง” อ่า พี่แกตบท้ายเรื่องเช็คชื่อ สงสัยกลัวไม่มีใครไปสมัครเป็นแรงงาน

“ พี่เฟรนครับ อยู่ฝ่ายพยาบาล พี่ขอห้องละสองคนก็พอนะครับ” พี่เฟรนมาสั้นๆแล้วจากไป

“สุดท้ายก็พี่เองนะครับ พี่ต๋อง ฝ่ายฉากและอุปกรณ์ น้องๆคนไหนวาดรูปสวยๆ หรือชอบประดิษฐ์ก็มาทำงานด้วยกันนะครับ” พี่ต๋องพูดแล้วเกาหัวอายๆ

“น้องๆสนใจฝ่ายไหนไปลงชื่อได้ที่ห้องม.6/2 ส่วนวันนี้พี่ซินนี่จะขอเลือกน้องๆไปเดินขบวน ยังไงก็ให้ความร่วมมือด้วยนะครับ” พี่ภูพูดจบก็เดินไปคุยกับแป้งแล้วก็หัวหน้าห้องม. 4/5 ผมคุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อครับ

จากนั้นมีเสียงพูดคุยกันไม่หยุด ส่วนมากจะคุยกันเรื่องจะไปอยู่ฝ่ายไหน ลงกีฬาอะไรกันบ้าง

“ลงบาสกันป่าววะ” จอมชวนคีกับฟิว ไม่ต้องสงสัยครับว่าทำไมไม่ชวนผม กีฬาชนิดเดียวที่ผมถนัดคือเปตอง ส่วนกรีฑานี่ถนัดวิ่งระยะไกล อย่างอื่นนี้อย่าให้พูดถึง ด้อยเปลี้ยสุดๆ

“เออ ลงดิ” ฟิวตอบ ส่วนคีก็พยักหน้า

“น้ำจะลงเปตองรึป่าว” คีหันมาถามผมบ้าง

“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ กะจะลงวิ่งอย่างเดียวพอ”  ผมลงเปตองทุกปีตอนม.ต้น ปีนี้เลยเกิดอาการขี้เกียจ

“อุ้ยตาย น้องๆขา น้องๆสนใจจะเดินพาเหรดให้เจ้มั้ยคะ” จู่ๆ พี่ซินนี่ก็แหวกวงสนทนาเข้ามาหาพวกเราครับ

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พวกผมเกรงใจ” จอมตอบแล้วยิ้มแห้งๆ ส่วนผมอีกสามคนได้แต่พยักหน้าตาม

“โอ้ย ไม่ได้เลยนะคะ แบบพวกคุณน้องเนี่ย ถ้าไม่เดินพาเหรด เจ้เสียดายหน้าตาค่ะ ช่วยเจ้หน่อยนะคะ” พี่ซินนี่พูดแล้วจับมือจอมแล้วกระพริบตาให้ดูน่าสงสารครับ

หน้าจอมตอนนี้ตลกมากเลยครับ ผมได้แต่ปิดปากกลั้นหัวเราะ

“อย่างน้องเนี่ย ช่วยไปปั่นจักรยานในขบวนลดโลกร้อนให้เจ้หน่อยนะจ๊ะ” พี่ซินชักชวนจอมต่อครับ

“อ่า ผมหน้าตาไม่ดีหรอกครับ พี่ไปชวนเพื่อนๆผมดีกว่า” จอมพูดแล้วชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกผม

“ต๊ายยยย” พี่ซินนี่กรี๊ดแล้วปรี่เข้ามาหาผมทันที พี่เค้าเอามือจับหน้าผมให้หันซ้ายหันขวา แล้วลูบแขน ผมก็ตกใจสิครับ ได้แต่นั่งนิ่งให้พี่แกลูบๆคลำๆ

“น้องผิวสวยมากเลยนะคะ น้องนี่แหละคือคนที่เจ้ตามหามานาน ช่วยมาเป็นมะเขือเทศในขบวนกินผักเพื่อสุขภาพให้เจ้เถอะนะจ๊ะ” อ่า จิตผมหลุดไปแล้วครับ ผมได้เดินขบวนเป็นมะเขือเทศ

“แหม ไม่ตอบแสดงว่าตกลงสินะจ๊ะ” เจ้เค้ามัดมือชกเฉยเลย

“เอ่อ คือ...” ผมที่ยังช็อคอยู่ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีครับ

“ส่วนน้อง แหม หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เจ้ว่าถ้าใส่ชุดเจ้าบ่าว เป็นพระเอก themeหลักของสีเรา “รักเราสีชมพู” เจ้ว่าเกิดแน่ๆ” รายต่อไปที่โดนพี่ซินนี่จู่โจมก็คือคนที่นั่งข้างๆผมนี่แหละครับ อิจฉาจัง ผมก็อยากใส่สูทบ้าง

“ผมขอปั่นจักรยานแหมือนเพื่อนดีกว่าครับ” คีตอบยิ้มๆ

“ผมก็ขอเหมือนมันสองคนนะครับ” ฟิวรีบชิงตอบก่อนจะได้ทำหน้าที่แปลกๆในขบวน

“ฮึ ก็ได้ย่ะ นังปอจดชื่อน้องๆด้วย” พี่ซินนี่บอกพี่ผู้หญิงที่ยืนข้างๆ ก่อนสะบัดหน้าเดินจากไป

หลังจากวันประชุม พวกเราก็ไปลงชื่อตามกีฬาที่อยากเล่นเป็นที่เรียบร้อย และเนื่องจากกีฬาสีที่ใกล้เข้ามาทุกที หลังเลิกเรียนเลยมีคนอยู่ซ้อมกีฬาและเตรียมอุปกรณ์กันเต็มไปหมด และแน่นอนว่าเย็นนี้ผมก็ต้องเตรียมน้ำเปล่ากับผ้าซับเหงื่อให้สามหนุ่มอีกตามเคย เพราะพวกมันซ้อมบาสกันทุกเย็น ผมเองก็ต้องนั่งรอตรงไม้หินอ่อนข้างสนาม คอยบริการคุณชายทั้งสามแหละครับ
และถึงแม้ว่าผมจะเตรียมของมา แต่เหมือนจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก เพราะทุกๆวันที่นั่งรอก็เห็นมีทั้งสาวแท้และสาวเทียมแวะเวียนเอาน้ำเอาขนมมาให้สามหนุ่มตลอด พวกมันก็กินกันไม่ไหว แบ่งให้เพื่อนๆในทีมทุกวันแหละครับ แต่จะว่าไปขนมก็ยังคงเหลือมาให้ผมนั่งกินเล่นระหว่างรอเพราะหนุ่มๆแต่ละคนที่เล่นบาสนี่หล่อลากกันชนิดที่น่าคิดไปว่าเป็นทีมรวมดารา แฟนๆเลยมานั่งให้กำลังใจกันประจำ

“น้องน้ำ เก็บบอลให้หน่อยครับ” พี่ภูเรียกให้ผมช่วยเก็บบอล ก็พี่ภูประธานสีนั่นแหละครับ พี่แกลงบาสแถมเป็นกัปตันทีมอีกต่างหาก คนนี้ก็ไม่น้อยหน้าคนอื่นหรอกครับ ขาวสูง ยิ้มเก่ง เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แฟนๆพี่แกมานั่งเชียร์ขอบสนามทู้กวัน

ผมวิ่งไปเก็บบอลแล้วยื่นให้พี่ภูที่ยืนรออยู่ข้างสนาม

“ขอบคุณครับ” พี่ภูยิ้มแล้วดึงแก้มผมจนยืด

“ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดพร้อมกับลูบแก้มข้างที่โดนดึงป้อยๆ ง่า โดนพี่ภูดึงทุกวันเลย มันจะยานมั้ยเนี่ย

“น้องน้ำครับ ถ้ามีใครเอาน้ำหรือขนมมาให้พี่ พี่ฝากไว้ที่น้องน้ำก่อนแล้วกันนะครับ” จะเป็นยังงี้กันทั้งชมรมมั้ยเนี่ย คือผมมาทุกวันไงครับเลยรู้จักคนในทีมหมด แถมพักหลังๆฝากกระเป๋า ฝากของกันจนเต็มโต๊ะไปหมด ผมก็กลัวทำของชาวบ้านเค้าหายเหมือนกันนะเนี่ย

“ได้ครับ” รับปากไปอย่างไม่มีปากเสียง เพราะสุดท้ายผมก็ได้กินหนมจากคนที่เอามาให้พี่ภูทุกที คนอื่นเค้าออกกำลังกายเผาผลาญแคลอรี่กัน แต่ผมกลับเพิ่มแคลอรี่

“เฮ้ย ไอ้พี่ภู อย่าอู้ กลับเข้าสนามมาได้แล้ว” คีตะโกนเรียกพี่ภูมาจากอีกฝั่งของสนามครับ งงกับสรรพนามของมันจริงเชียว ตกลงจะเรียกพี่เค้าแบบสุภาพหรือแบบหยาบๆ

ผมนั่งมองเค้าซ้อมบาสได้สักครู่ก็รู้สึกปวดฉี่ แต่จะทำไงดีละเนี่ย มีแต่คนฝากของเต็มไปหมดเลย ผมมองกองกระเป๋าบนโต๊ะแล้วได้แต่ถอนหายใจ

“ไง น้ำ ขยันมานั่งเฝ้าจังเลยนะ” แป้งเดินถือถังสีผ่านมาทักผมเข้า

“อือ กินขนมมั้ยแป้ง” ผมยื่นขนมให้แป้งเลือก แบบว่ามีเต็มอ้อมแขน หลากหลายมากครับ สาวๆเค้าช่างสรรหากันจริงๆ

“โห ไปเอามาจากไหนเนี่ย” แป้งพูดแล้วทำตาโต

“นู่น ของฝากคนในสนาม กินกันไม่หมดเลยให้น้ำ น้ำก็กินไม่หมด แป้งเอาไปแบ่งฝ่ายฉากบ้างก็ได้นะ” ผมพูดพลางทำท่าพยักเพยิดพาดพิงถึงเจ้าของขนมกองโตพวกนี้

“ได้จริงดิ” แป้งถาม ท่าทางลังเลครับ

“ได้สิ กินกันไม่หมดหรอก” แป้งเลือกขนมถุงใหญ่ไปสามถุง

“ขอบคุณจ้า” แป้งก้มหัวน้อยๆขอบคุณผม

“เออ แป้ง คือน้ำอยากเข้าห้องน้ำหน่ะ ช่วยอยู่เฝ้าของบนโต๊ะนี้ให้เดี๋ยวนึงได้รึป่าว” ผมที่พึ่งนึกได้ว่าตัวเองปวดฉี่ เลยคิดว่าวานแป้งให้ช่วยดูของให้

“ได้สิ เร็วๆนะ” แป้งรับปาก นั่งลงแล้วแกะขนมกิน

ผมยิ้มให้แป้งแล้วรีบวิ่งไปห้องน้ำ พอผมเข้าห้องน้ำเสร็จก็รีบเดินกลับไปที่สนามบาส แต่จู่ๆกลับมีคนเรียกผมให้หยุด

“น้ำ” คนที่เรียกผมคือพราวครับ

“มีอะไรเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจเพราะตอนที่พราวคบกับคี เราไม่ค่อยได้คุยกันหน่ะครับ ผมเลยสงสัยว่าเธอมีอะไรจะคุยกับผม

“โอ้ย เหนื่อย” พราวบ่นแล้วก็หอบไปด้วย สงสัยรีบวิ่งมา

“เดี๋ยวค่อยพูดก็ได้ หายใจก่อน”

“น้ำ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว คีมีเรื่องกับรุ่นพี่ที่สวนหลังโรงเรียน” พราวพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“เฮ้ย เป็นไปได้ไง เมื่อกี้ยังเล่นบาสอยู่เลย” ผมตกใจมากเลยครับ

“ไม่รู้เหมือนกัน รีบไปเถอะ” ทั้งผมและพราวรีบวิ่งไปที่สวนหลังโรงเรียน พอไปถึงผมรีบเดินแหวกหญ้าเข้าไป แต่ภาพที่ผมเห็นกลับผิดคาดครับ ผมไม่เห็นคี

“เฮ๊อะ มาได้ซักทีนะ” เสียงน้องกระเทยคนหนึ่งพูดเมื่อเห็นผม

“แน่สิยะ กว่าจะผละออกจากกัน รอแทบแย่ นึกว่าวันนี้จะคว้าน้ำเหลวซะอีก” เสียงพราวดังมาจากด้านหลังของผม จากนั้นก็มีผู้ชายอีกสองคนเข้ามาล็อกตัวผมไว้

“นี่มันอะไรกันหน่ะพราว แล้วคีอยู่ไหน” ผมถามพราวอย่างสับสน นี่ตกลงพราวพาผมมาที่นี่ทำไม
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 27-03-2012 00:13:12
กะจะรุมตบไง๊?
แหม
น้ำสุ้ๆ แต่ท่าทางจะอ่อนแอสุ้ไมไ่ด้
ใครก็ได้ขี่แมงสาบมาช่วยน้ำที T^T
มาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 28-03-2012 23:46:09
กีฬาสี 2

“นี่แกโง่จริงๆหรือแกล้งโง่กันแน่”  พราวเดินเข้ามาหาผม แล้วตวาดด้วยท่าทางโมโห

“น้ำไม่รู้จริงๆ เท่าที่จำได้ เราไม่เคยมีอะไรผิดใจกันนะ” ผมตอบไปพลางคิดไปพลางครับ เท่าที่จำได้ผมเองเคยคุยกับพราวแค่สองสามครั้ง ครั้งแรกคือวันวาเลนไทน์ตอนม.1 ที่พราวมาตามหาคีที่ห้องเพราะจะเอาตุ๊กตาให้ ส่วนครั้งที่สองนี่ก็ตอนม.2 ที่คีกำลังจะไปส่งผมกลับบ้าน แต่พราวมาขอให้คีไปส่งที่บ้านเพราะคุณพ่อไม่ว่างมารับ ผมเองเป็นคนบอกให้คีไปส่งพราวก่อน ส่วนผมจะนั่งรถกลับเอง แล้วครั้งสุดท้ายก็ก่อนที่พราวจะเลิกกับคีสองวัน วันนั้นคีไปนอนบ้านผม แล้วตื่นขึ้นมาดูหนังจีนกำลังภายในตอนเที่ยงคืน(เจ้าตัวบอกว่าที่ติดหนังเรื่องนี้เพราะนางเอกสวยมาก ตรงสเป็คสุดๆ) ซึ่งบ้านผมทีวีอยู่ชั้นล่าง แต่คีเอามือถือไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม เสียงเรียกเข้าดังต่อเนื่องจนผมสะดุ้งตื่นก็เลยรีบกดรับให้เพราะกลัวคนโทรมาจะวางสายไปก่อน ตอนรับตาก็ยังปิดอยู่เลย พอรู้ว่าพราวโทรมาผมก็รีบวิ่งเอาลงไปให้คี เวลาคุย เราก็คุยกันเหมือนคนรู้จักกันปกติ ไม่เคยทะเลาะกันซักครั้ง อืม คิดยังไงก็คิดไม่ออก

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาไร้เดียงสาแถวนี้ พวกชั้นไม่ใช่ผู้ชายในสต็อกของแก ไม่หลงมารยาแกหรอกย่ะ” น้องกะเทยจีบปากจีบคอพูด แล้วจิกตาใส่ผมแบบมาดร้ายมาก

“เอ่อ น้อง พี่ว่าเราไม่เคยรู้จักกันนะ” ผมงงกับน้องแกจริงๆครับว่าไปทำอะไรให้น้องเค้า เท่าที่รู้ก็คือเราไม่รู้จักกันนะครับ แล้วแบบว่า แค่น้องไม่จิกตา กล้ามแขนน้องมันก็น่ากลัวอยู่แล้ว ได้แต่คิดครับ ไม่กล้าพูด แค่นี้บรรยากาศก็มาคุจนไม่รู้จะคุยังไงแล้ว

“สงสัยต้องกระตุ้นต่อมฉลาดให้ทำงานซะหน่อยแล้วมั้ง” “เพี๊ยะ” พราวพูดจบก็ตบแก้มขวาผมจนหน้าหันเลยครับ อ่า แบบว่าแก้มกระทบกับฟัน เลือดไหลเลย “เพี๊ยะ” ผมยังไม่ทันจะตั้งสติ แก้มซ้ายผมก็โดนตบจนหันไปอีกทาง แบบว่าเจ็บมากครับ แก้มขวาเริ่มชาแล้ว เค้ามือหนักซะจนผมไม่มีแรงพูดอ่ะ มึนไปหมด

“หึ ไง นึกออกรึยัง” พราวถามผมพร้อมกับแสยะยิ้ม ผมโกรธมากครับ เกิดมายังไม่เคยมีใครตบหน้าเลย ได้แต่ท่องพุทโธในใจ แล้วพยายามตั้งสติครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีนี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด

“พราว น้ำไม่รู้จริงๆว่าเรื่องที่พราวพูดหมายความว่ายังไง ทำไมพราวไม่คุยกับน้ำดีๆ พราวเข้าใจอะไรผิดไปรึป่าว” ผมสูดหายใจลึกๆระงับอารมณ์แล้วพูด หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ

“เข้าใจผิด อย่างชั้นจะเข้าใจอะไรผิดไปได้” พราวพูดแล้วเอามือมาบีบคางผมให้สบตา วินาทีนั้นแหละครับ จิตธรรมะของผมขาดสะบั้น ผมถลึงตามองกลับเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าผมโกรธมาก

“นี่แกกล้าดียังไงถึงมองชั้นแบบนี้ อยากจะลองดีใช่มั้ย” พราวบีบหน้าผมแรงขึ้น ตรงที่โดนตบไปเมื่อกี้แหละครับ เจ็บจนน้ำตาเล็ด ผมเลือกจะเงียบแล้วจ้องต่อครับ เอาซี้ มึงจะพูดอะไรก็พูดมา ถามอะไรกูไม่ตอบหรอก จู่ๆจับผมมาตบ ผมก็คนนะครับ ไม่ใช่นางเอกละคร จะได้ไม่โกรธ ไม่โมโห

เหงื่อผมออกเต็มตัว โกรธจนตัวสั่นเป็นยังไงก็พึ่งได้รู้วันนี้แหละครับ

“ทีกับผู้ชายทำเป็นออดอ้อนออเซาะ ทำเป็นลูกคุณหนูพูดเพราะ ที่แท้แกมันก็ขาดผู้ชายไม่ได้ เดี๋ยวนี้มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลัง คงชอบสินะ ชั้นต้องเลิกกับคีก็เพราะแก สะใจแกแล้วใช่มั้ย” พราวตะโกนเสียงแหลมใส่หน้าผม แรงบีบจากมือของเธอมากขึ้นเรื่อยๆตามแรงอารมณ์ พูดจบ เธอก็ผลักหน้าผมไปอีกทาง

“ถุย พลั่ก” ผมถ่มน้ำลายใส่พราวแล้วถีบเธอสุดแรง แม่ง สุดจะทนครับ แขนกูขยับไม่ได้ แต่ขากูยังขยับได้เว้ย

“กรี๊ดดดด แก ไอ้เลว  แกกล้าถีบชั้นเหรอ” พราวที่ล้มลงกับพื้นนั่งกรี๊ดแล้วกุมท้องตัวเอง

“แก นังแพศยา แกกล้าถีบพี่พราวเหรอ” น้องกระเทยที่รีบปรี่เข้าไปพยุงพราวตะโกนด่าผม เออ กูมันไม่มีดีเหลือแล้ว เมื่อกี้เป็นไอ้เลว ตอนนี้เป็นนังแพศยา

ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากคนที่จับผมทั้งสองคนครับ

“ปล่อย กูสิวะ บอกให้ปล่อย” ผมทั้งดิ้นทั้งตะโกน

“ว้ายยย อยู่นิ่งๆสิยะ นังป๊อกกี้จับตัวมันไว้ให้แน่น” ผู้ชาย ไม่ใช่สิ กะเทยคนที่จับผมตรงซ้ายมือตะโกนบอกให้เพื่อนอีกคนจับผมไว้

สองคนที่จับผมอยู่คงไม่นึกว่าผมจะบ้าได้ขนาดนี้ เลยเผลอคลายแขนตั้งแต่ตอนที่พราวบีบหน้าผม ผมที่ดิ้นจนเกือบหลุดออกมาได้ แต่ก็ต้องจุกจนทรุดลงกับพื้นเพราะน้องกะเทยคนที่ไปพยุงพราวเดินเข้ามาเตะตรงหว่างขาของผม “ปึก”

กะเทยกล้ามปูทั้งสองคนหิ้วปีกผมให้ยืน น้องกะเทยคนที่เตะผมก็ปรี่เข้ามาจิกหัวให้เงยมองหน้ามัน  น้ำตาผมคลออยู่ตรงสองเบ้าตา แบบว่าเจ็บไปทั้งตัวครับ ผมกัดฟันไม่ร้องออกมาซักแอะ กูไม่ยอมร้องไห้ให้พวกมึงได้สะใจหรอก

“จะร้องไห้อ้อนวอนกูเหรอ มึงไม่ต้องมาบีบน้ำตา มึงมันมารยาร้อยเล่มเกวียน แย่งพี่คีมาจากพี่พราวไม่พอ ยังจะอ่อยพี่ภูของกูอีก” น้องกะเทยพูดแล้วง้างมือจะต่อยหน้าผมครับ ผมจ้องหน้ามันไม่หลบ แต่จู่ๆมันก็ชะงักไป

“พี่จำไม่ได้ว่าเคยเป็นของน้องตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ” ผมได้ยินเสียงนิ่งๆของพี่ภูพูดจากข้างหลัง น้องกะเทยที่อยู่ตรงหน้าผมลดมือลงแล้วหน้าซีด

“น้ำ” ผมได้ยินคีตะโกนพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา แต่เสียงนั้นก็ชะงักลงเมื่อผมเห็นพราวมายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมีดคัตเตอร์ในมือ

“เข้ามาอีกสิคี” พราวพูดพร้อมกับยิ้มยั่วแล้วยกมีดจ่อไว้ที่คอของผม ตอนนี้ผมมองเห็นนักกีฬาบาสสีผมหลายคนยืนอยู่ตรงหน้า

“พราวคิดจะทำอะไรหน่ะ วางมีดลงซะ” จอมที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับผมตะโกนด้วยสีหน้าร้อนรน

“อึ่ก” ผมสะดุดลมหายใจเพราะพราวกดมีดลงกับคอผมมากขึ้น รู้ได้เลยว่าเลือดคงไหลออกมารวมกับเหงื่อ ทำให้รู้สึกแสบขึ้นมาทันที

“วางให้โง่หน่ะสิ”

“น้องพราวครับ พี่ว่าใจเย็นๆก่อนดีกว่านะครับ มีอะไรก็ค่อยๆพูดจากัน” พี่ภูที่เดินมาอยู่ข้างจอมค่อยๆพูดไกล่เกลี่ย ป่วยการว่ะพี่ ผู้หญิงคนนี้มันบ้าไปแล้ว ถ้ามันจะพูดดีๆ มันคงพูดดีๆกับผมตั้งแต่แรก มันคงไม่จับผมมาหร้อก

พอได้ยืนนิ่งๆให้เครียดเล่นๆโดยที่มีมีดมาจ่อคอ โรคเก่าของผมก็เริ่มกำเริบ ผมรู้สึกปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะงอตัวมากครับ แต่ถ้าทำอย่างนั้น มีดที่จ่ออยู่คงบาดลึกเข้าคอของผมแน่ๆ ผมกัดฟันข่มความเจ็บปวด แก้มที่โดนตบปวดแปลบขึ้นมาทันที

“พราวปล่อยน้ำเดี๋ยวนี้” เสียงคีคำรามด้วยความโมโห ผมที่หลับตาเพราะเจ็บค่อยๆลืมตาขึ้น แต่ภาพที่เห็นก็พร่ามัวเพราะน้ำตาที่คลออยู่

“รักมันมากใช่มั้ย งั้นแค่กรีดคอศพคงเละไม่พอ ต้องกรีดหน้ามันก่อนสินะ” พราวพูดแล้วยกใบมีดมาแนบแก้มผมไว้ ความเย็นของมีดที่สัมผัสผิวและกลิ่นคาวเลือดทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้

“พราว ใจเย็นๆนะ พราวอยากได้อะไรบอกพี่” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแล้วเดินมาอยู่ข้างหน้าคี

“ดี แบบนี้ค่อยพูดกันง่ายหน่อย” พราวหันไปตอบพี่ภูแต่ยังคงถือมีดแนบหน้าผมอยู่ ผมรู้สึกว่าแขนที่ถูกล็อคไว้เริ่มชามากขึ้นทุกที

“พราวต้องการให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด และต้องปล่อยพราวไป ห้ามแจ้งความ ห้ามกลับมาลอบกัดหรือยุ่งเกี่ยวกับพราวและเพื่อนๆของพราวที่อยู่ในที่นี้”

“มันชักจะมากไปแล้วนะ พราว” คีคำราม แล้วกำมือแน่น จอมกับฟิวรีบเข้ามาล็อกตัวคีให้กลับไปยืนข้างหลังพี่ภูตามเดิม

“ทำไม ทำไม่ได้เหรอ” พราวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแล้วกดมีดลงกับแก้มผม กลิ่นคาวเลือดฉุนจนขึ้นจมูกมาพร้อมกับความรู้สึกแสบน้อยๆบนใบหน้า

“ได้ แต่พราวต้องปล่อยน้ำก่อน” พี่ภูพูดพร้อมกับจ้องพราวนิ่ง

“ดี งั้นรับปากสิ”

“ได้ พี่สัญญา” พี่ภูพูดขึ้นคนแรก

“กู จะพยายามทำให้ได้ สัญญา” คนถัดมาที่รับปากพราวคือจอม

“เฮ้อออ กูแม่ง...ฮึ้ยย กูรับปากก็ได้วะ” ฟิวถอนหายใจแล้วขยี้หัวตัวเองแรงๆก่อนจะตอบตกลง

“โห ผู้หญิงแบบนี้กูไม่อยากยุ่งนักหรอก กูรับปากไม่ยุ่งเด็ดขาด” เพื่อนห้องคีที่ชื่อโจรีบรับปากต่อ

“กูจะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่แล้วกัน” แป้ง ผู้หญิงคนเดียวที่ตามมาพูดแล้วมองจิกตามองพราว

“พี่รับปาก รีบปล่อยน้องน้ำเถอะครับ” พี่อาร์ม เลขาสีพูดเมื่อเห็นผมที่พยายามประคองสติ เนื่องจากอาการปวดท้องและอาการปวดตามตัวเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แขนผมตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันไร้ความรู้สึกไปแล้ว

“เออ กูรับปาก ต่อไปนี้กูกับมึงอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” คีพูดพร้อมกับจ้องหน้าพราวเขม็ง เดาว่าตอนนี้อารมณ์คงไม่ปกตินัก สังเกตได้จากหน้าตาถมึงทึงกับกรามที่กัดแน่น

สิ้นเสียงคี พราวก็สั่งให้น้องกล้ามหิ้วปีกผมไปยืนตรงพงหญ้าทางออก ทุกคนแหวกทางให้พวกของพราวอย่างเงียบๆ

“ปล่อย” พราวพูดจบ ตัวผมก็ร่วงไปกองกับพื้น ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือพราวที่หันมาแสยะยิ้มแล้วเก็บคัตเตอร์และเดินจากไป พร้อมกับเสียงเรียกชื่อของผมเสียงดังอย่างตกใจ

สัมผัสแผ่วเบาตรงหัวทำให้ผมรู้สึกตัว ผมรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัวจนไม่อยากขยับ ผมค่อยๆลืมตา ภาพแรกที่ผมเห็นตรงหน้าคือปลายคางของคี นี่ผมคงนอนอยู่บนตักของคีอยู่

“เลี้ยวซ้ายข้างหน้ารึป่าว” เสียงพี่ภูเอ่ยถาม

“ครับ” คีตอบพร้อมกับลูบหัวของผมเบาๆ ตาของคีมองไปข้างหน้า ผมหันหน้าไปมองตามสายตาของคีก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของพี่ภูที่กำลังขับรถ

“น้ำ ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” ผมหันหน้ากลับมามองคีที่ก้มลงมาสบตาผม

ผมได้แต่จ้องไปในแววตาคู่นั้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านไปยังคงแจ่มชัด จู่ๆน้ำใสๆก็เอ่อล้นออกมาจากตาของผม มันค่อยๆหยดลงเรื่อยๆ ผมหลับตาเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ 

“น้ำ เป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกคีสิ” คีใช้นิ้วโป้งค่อยๆปาดน้ำตาให้ผม ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ผมลืมตามองหน้าคีก็เห็นคีจ้องอยู่ ผมเห็นความห่วงใยฉายอยู่ชัดเจน ผมไม่ตอบได้แต่เม้มปากแน่น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง เพราะผมทั้งเสียใจและเจ็บใจไปพร้อมๆกัน ผมเสียใจที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้คีเลิกกับพราว แต่ผมก็เจ็บใจยิ่งกว่าที่แม้แต่ตัวเองผมก็ยังปกป้องไม่ได้ ใครๆก็ต้องมาเดือดร้อนเพราะผมกันหมด ทั้งจอม ฟิว พี่ภู พี่อาร์ม โจ หรือแม้กระทั่งแป้ง เพราะผม ผมทำให้พวกเค้าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมกลัว กลัวว่าทุกคนที่มาช่วยผมจะถูกทำร้าย

“น้ำ อย่าเงียบสิ คีใจไม่ดีเลย พูดกับคีหน่อยได้มั้ย” คียังคงปาดน้ำตาให้ผม น้ำเสียงที่ถาม แม้จะอ่อนโยน แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าคนถามร้อนใจแค่ไหน

ผมอยากจะตอบออกไป แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาของผมไหลออกมามากขึ้น ผมกลั้นสะอื้นจนสะอึก ผมซบหน้าลงกับหน้าท้องของคีเพื่อซ่อนน้ำตา ผมไม่อยากอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครมาห่วง แต่ไม่รู้ทำไม ต่อหน้าคนคนนี้ น้ำตาที่กลั้นมานานกลับพรั่งพรูออกมาไม่หยุด

“อย่าร้องไห้เลยนะน้ำ ไม่เป็นไรแล้วนะ น้ำปลอดภัยแล้ว คีอยู่ตรงนี้แล้ว คีไม่ให้ใครมาทำอะไรน้ำหรอก” คีพูดพร้อมกับลูบหัวผม ผมค่อยๆคลายสะอื้น เอามือสองข้างป้ายน้ำตา สูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วยิ้มให้คีที่มองอยู่ คียิ้มตอบ จากนั้นผมค่อยๆดันตัวนั่ง พอมองออกไปจากกระจกรถ ผมถึงได้รู้ว่าบ้านตัวเองอยู่ข้างหน้า

“หลังข้างหน้านี้แหละครับ ตรงรั้วสีขาว” ผมบอกพี่ภูด้วยเสียงเครือๆแล้วฝืนยิ้มให้

พี่ภูจอดรถตรงหน้าบ้าน ส่วนคีลงรถไปเปิดประตูรั้ว

“น้องน้ำไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ” พี่ภูถามผมพร้อมกับเลี้ยวรถเข้าบ้าน

“ครับ” ผมตอบแล้วพยักหน้าเบาๆ

“นี่เบอร์พี่ ถ้าเจ็บตรงไหนก็โทรหาพี่ได้นะครับ” พี่ภูจอดรถแล้วยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆที่เขียนเบอร์โทรเอาไว้ให้ผม

“ขอบคุณครับ ถ้าไม่ได้พี่ภูพาไปหาหมอน้ำคงแย่” ผมพูดแล้วไหว้ขอบคุณ

“เรื่องแค่นี้เอง เออ จริงสิ นี่ยาแก้ปวดกับยาทาแผล” พี่ภูยื่นถุงยาให้ผม พร้อมกับหยิบยาแต่ละอย่างมาให้ผมดู

และจากถุงยา ทำให้ผมรู้ว่าตอนผมสลบไปผมไปหาหมอที่คลินิก เอ๊ะ เดี๋ยว แล้วค่ายาล่ะ

“พี่ภูครับ แล้วค่ารักษากับค่ายาเท่าไหร่เหรอครับ” ผมถามพี่ภูพร้อมกับล้วงหากระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกง

“อ๋อ ไม่มีหรอกครับ” พี่ภูตอบแล้วยิ้มให้ผม

“เอ๋ คลีนิคนี้ไม่ต้องจ่ายตังค์เหรอครับ” ผมถามแล้วทำหน้างง เอ หรือว่าคลินิกนี้เค้าตรวจฟรี

“ไม่ต้องครับ คลินิกพ่อพี่เอง ไม่ต้องจ่ายหรอก” พี่ภูพูดแล้วยิ้มให้ผม

“ง่า จะดีเหรอครับ” ผมกระพริบตาปริบๆแล้วก้มมองถุงยา จะว่าไปชื่อคลินิก นายแพทย์ภูวเนตร ก็คล้ายชื่อจริงพี่ภูที่ชื่อภูวไนยอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

“ดีสิครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” พี่ภูตอบแล้วเอามือมาขยี้หัวผม ผมได้แต่ยิ้มตอบ อ่าพึ่งรู้สึกตึงๆแก้มเวลายิ้มนะเนี่ย

“น้ำ เข้าบ้านกันเถอะ” คีเปิดประตูรถแล้วเรียกผม

“อื้อ” ผมพยักหน้าพร้อมกับเขยิบตัวจะก้าวขาลงรถ แต่คีกลับช้อนตัวผมแล้วอุ้มแนบอก

“คี น้ำเดินเองได้” ผมพูดพร้อมกับเกร็งตัวจับเสื้อคีไว้

“ไม่เป็นไร น้ำตัวไม่หนัก คีอุ้มไปเร็วกว่า” คีบอกผมแล้วเริ่มก้าวเดิน

“เดี๋ยว คี เอ่อ น้ำอยากยืนส่งพี่ภูก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอก ไอ้พี่ภูมันกลับเองได้ ไม่ต้องรอส่งมันหรอก” คีพูดพร้อมกับยักคิ้วให้กับพี่ภูที่เปิดประตูมายืนมองเราอยู่ข้างรถ

“ไปนอนพักเถอะครับน้องน้ำ  เดี๋ยวพี่ก็ขับกลับแล้ว” พี่ภูพูดแล้วยิ้มให้ผม

“เห็นมะ คีบอกแล้ว โอ้ย น้ำ หยิกคีทำไมเนี่ย” ก็ผมรำคาญอ่ะครับ คนอะไร ไม่มีมารยาทเอาซะเลย พี่ภูอุตส่าขับรถกลับมาส่งที่บ้าน แถมตอนไปหาหมอก็ไม่คิดตังซักบาท ยืนส่งแขกแค่นี้จะเป็นอะไรไป

“พี่ภูครับ วันนี้ น้ำขอบคุณมากๆเลย ขับรถกลับดีๆนะครับ” ผมพูดพร้อมกับยกมือไหว้พี่ภูอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ พี่เต็มใจ” พี่ภูพูดจบก็ยิ้มให้ผมแล้วเข้าไปนั่งในรถ ผมเองก็ยิ้มตอบพร้อมกับโบกมือให้

คีกลับหลังหันเดินอุ้มผมเข้าบ้านพร้อมกับเสียงสตาร์ทรถของพี่ภู

“เอ่อ น้องน้ำครับ” คีหยุดเดินตอนพี่ภูตะโกนเรียก

“คี หันกลับไปก่อน พี่ภูเรียก” ผมบอกคีที่ไม่ยอมขยับตัว คีทำหน้าบึ้งใส่ผม แต่ก็หันกลับไปครับ

“ฝันดีนะครับ” พี่ภูตะโกนบอกมาจากรถ

“เหมือน....” “แต่กูขอให้มึงฝันร้ายโว้ย” เสียงผมที่กำลังจะตอบถูกกลบเด้วยเสียงของคีที่ตะโกนบอกพี่ภูกลับไปแทน

พี่ภูหัวเราะใส่คี แล้วถอยรถออกจากบ้านไป

@ คุณ Ipatza น้องน้ำของเราอยากสู้ใจจะขาด แต่สรีระไม่อำนวย แล้วสุดท้ายก็มียอดชายขี่แมลงสาบมาช่วยไว้ได้ตามระเบียบค่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 29-03-2012 07:23:43
เยี่ยมมาก
แม้จะสุ้ไมไ่ด้
แต่ใจฮึดสึ็
ยังงี๊ละ
ดีมากๆ
ไม่เน่าเฟะเหมือนละคร
ชอบมากๆ
ยังน้อยก็รุ้จักสุ้บ้าง
ปล.+1 :bye2:
เป้นคนดีก็จริงแต่ก็ต้องสุ้คนด้วย
เป้นเราเราจะตามไปกระทืปเองนะ
พวกนั้นนะ
เพราะเราไมไ่ด้สัญญาด้วย 555+
จะเอาไห้คลานเลย(ทำไมดูเหมือน ตัวร้ายจัง) 55+
เกลียดมากทำอะไรไม่มีเหตุผลเลย
ไม่ใช่ความผิดของน้ำสะหน่อย
เด็กกระเทยพวกนั้นนะน่าจะโดนยิ่งกว่าพราวนะ
พูดและขึ้น
มาต่อเร็วะๆนะ
อยากเห็นผลการกระทำของพวกมันว่าจะเป้นไง?
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 31-03-2012 00:29:46
กีฬาสี 3

โชคดีนะครับที่บ้านผมไม่มีใครอยู่ แม่ไปทำงานต่างจังหวัดเหมือนเคย ผมเองก็ไม่ได้โทรบอกเรื่องวันนี้กับแม่หรือพี่ธาร กลัวว่าทั้งสองคนจะเป็นห่วง ถ้าผมบอกไปแม่กับพี่ธารก็จะรีบกลับบ้าน เสียงานป่าวๆเนอะ

วันต่อมาผมก็มาโรงเรียนตามปกติ แต่ความรู้สึกเจ็บใจกับแผลตามร่างกายนี่ไม่ปกติครับ หน้างี้บวมเป่ง แก้มแดงทั้งสองข้าง ส่วนแก้มข้างที่โดนกรีดนี่ปิดแผลไว้ด้วยครับ ตรงคอก็มีผ้าปิดแผลเหมือนกัน ก่อนออกจากบ้านผมได้แต่ส่องกระจกมองตัวเองแล้วถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมปางไหนของผมเหมือนกันนะ คือ ยังไงดีล่ะครับ เกิดมาสิบหกปีนี่ไม่เคยโดนใครดักตบมาก่อนเลย จะว่าดักพาไปทำร้ายยังไม่เคยเลยครับ เพราะผมก็เป็นพวกรักสงบ บทเรียนครั้งนี้นี่ถือว่าเป็นความทรงจำอันโหดร้ายของผมเลยล่ะ ตัวผมเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาโดนตบเพราะการหึงหวงของผู้หญิง เฮ่อ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าครับ

พอถึงโรงเรียนก็มีคนมองบ้างนะครับ แต่ว่าหลายๆคนคงเห็นเป็นเรื่องปกติเพราะโรงเรียนผมนี่มีเรื่องกันประจำ ไม่โรงเรียนเดียวกันก็กับโรงเรียนอื่น แต่พอเดินเข้าห้องเท่านั้นแหละครับ เพื่อนกรูกันเข้ามาแบบไม่ไหวจะเคลียร์ ดีที่วันนี้ผมมีการ์ดมาด้วย 55 งง อะดิ จะใครซะอีกครับ ก็สามหนุ่มเหมือนเคย

“เฮ้ย น้ำ เป็นไรวะ”

“เอ่อ...”

“น้ำมันซุ่มซ่าม ตกบันได้ขั้นบนสุดกลิ้งลงมาถึงชั้นล่างแล้วเอาหน้าฟาดกับขอบบันไดอีก โหย มึงต้องได้เห็นเอง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ขำชิบหาย แต่พอมันกองกับพื้นกูก็เริ่มขำไม่ออกว่ะ” ฟิวตอบแทนผมที่กำลังจะเอ่ยปาก เอ่อ เพื่อนฟิว เพื่อนน้ำพึ่งจะรู้นะเนี่ย ว่าเพื่อนฟิวถนัดทางด้านนี้ แบบว่า สดๆ ไม่ต้องมีสคริป

“อ้าว แล้วเมื่อคืนมึงไปอยู่บ้านน้ำได้ไงวะ”

“ก็เมื่อคืนพวกกูไปนอนบ้านมันเพราะกะจะไปดูบอลด้วยกันไง” เอิ่ม เนียนได้อีกครับเพื่อนฟิว

“โห น้ำ โคตรซวยเลยว่ะ” มันก็จริง เมื่อวานนี่มันวันซวยจริงๆ

“ไมมึงไม่ระวังวะ”  เอ่อ ก็นะ มันวางแผนกันมาหลายวันแล้วไง(ไม่อยากยอมรับความซื่อ=โง่ของตัวเอง)

และแล้ว การแถลงข่าวของเช้านี้ก็จบไปด้วยฝีมือผู้จัดการส่วนตัวของผม นายลัญจกร(ฟิว) และการ์ดที่จ้างมาอีกสองคนคือนายจอมทัพและนายอัคคี เหมือนดาราจริงๆนะครับ ไม่ต้องตอบอะไร เดินไปนั่งแล้วยิ้มอย่างเดียว

ก่อนออกจากห้อง การ์ดเบอร์หนึ่งนามอัคคียังไม่วายกำชับครับ

“น้ำ เจ็บตรงไหนบอกคีนะ ถ้าไม่ไหวไปโรงบาลกัน” เอิ่ม ได้ข่าวว่าผมโดนตบสองฉาดกับโดนมีดกรีดนิดๆ ไม่รู้จะเว่อร์ไปไหน

เวลาเรียนก็เซ็งหน่อยๆครับเพราะมันจะปวดแผล แต่เรื่องเรียนนี่ผมสู้ไม่ถอย ถ้าไม่ได้ป่วยหนักชนิดลุกไม่ขึ้นหรือว่ามีธุระจำเป็นนี่ไม่มีวันที่ผมจะขาดเรียนครับ หลายคนอาจมองว่าผมบ้าเรียนเกินไป แต่ผมแค่คิดว่าหน้าที่ตอนนี้ของผมคือเรียน เรื่องอื่นๆถือเป็นเรื่องรอง เพราะฉะนั้นผมเลยเต็มที่กับเรื่องนี้มากๆ

พอพักเที่ยงคีกับจอมก็มารอผมไปกินข้าวด้วยกันตามเคย

“น้ำ วันนี้ไม่ต้องไปซื้อข้าวนะ รออยู่ที่โต๊ะ เดี๋ยวคีไปซื้อกับจอมเอง” มาถึงโรงอาหารก็โดนสั่งเลยครับ

“งั้นน้ำไปซื้อน้ำ จะกินน้ำอะไรกันบ้างอ่ะ”

“ไม่ต้องเลยน้ำ นั่งอยู่ตรงนี้เลย เดี๋ยวคีไปซื้อเอง” แลดูเราจะป่วยหนักเนอะ

“น้ำ ถ้าจะไปเข้าห้องน้ำ หรือไปไหนก็ต้องบอกฟิวนะ ให้ฟิวไปเป็นเพื่อน” โห ก่อนไปยังสั่ง ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีนะครับ แบบว่าต้องมีคนติดตามทุกฝีก้าว สั่งจนจอมมันแอบขำหลายรอบ

“ไปๆมึง” จอมทำหน้าเอือมๆแล้วหันหลังเดินนำไปก่อน แต่จู่ๆจอมก็หันกลับมา

“เดี๋ยวก่อน มึงจะอุ้มน้ำมันไปซื้อข้าวด้วยรึป่าว เดี๋ยวเกิดไอ้ฟิวก้มเก็บเงินแล้วหันกลับมาอีกที น้ำหายวับไปจะทำไง” จอมพูดแล้วทำหน้าตาจริงจัง

“เออว่ะ จริงของมึง” คี ทำหน้าตาขึงขังแล้วเดินมาหาผม

ช็อค ครับ ช็อค นี่ตกลงจะทำตามที่จอมบอกเรอะ

“น้ำว่า มันเยอะไปนะ” ผมตอบไปก็ทำหน้าลำบากใจไปครับ มันชักจะไปกันใหญ่ละ

“ก๊าก 5555 น้ำ ฮาว่ะ” ไอ้บ้าจอมนี่ตกลงแกล้งกันใช่มั้ยเนี่ย ผมได้แต่กัดปาก แล้วฟุบลงกับโต๊ะ แบบว่าอายอ่ะ

“ดะ ดะ โดน โดน หลอก อีกแว้ว 5555” ฟิวที่นั่งข้างๆผมพูดไปก็ทำท่าเหมือนคุณปัญญาที่ทำตอนพูดว่าถูกต้องนะคร้าบไปด้วย
เออ หัวเราะกันเข้าไป พ่องเป็นตลกเหรอ ได้แต่เถียงในใจ ผมมันหัวเดียวกระเทียมลีบนี่

พอไปซื้อข้าวกันเสร็จ ผมก็มองข้าวของแต่ละคน ของจอมเป็นข้าวราดผัดพริกแกงไข่ดาว ของคีเป็นสุกี้น้ำพิเศษ ใส่ไข่ด้วย ของฟิวเป็นข้าวหมูกรอบ ส่วนของผม ข้าวต้มหมู

“กลางวัน อากาศมันก็ร้อนเนอะ แล้วทำไมน้ำต้องกินข้าวต้มอ่ะ” ผมอดโอดครวญไม่ได้ ตอนเช้าก็กินโจ๊ก กลางวันกินข้าวต้ม ตอนเย็นจะได้กินอะไรเนี่ย

“ซื้อมาแล้ว กินไปเถอะ ห้ามเรื่องมาก” จอมพูดตัดบทแล้วกินข้าวในจานของตัวเองไป

ฮึ ใช่สิ ตอนเช้าจอมก็ต้มโจ้กให้ผมกิน เดี๋ยวตอนเย็นก็จะต้มให้กินอีกอ่ะดิ คิดแล้วก็ ไม่เจริญอาหาร

พวกผมกินกันไปได้ซักพัก พี่ภูที่เดินผ่านมาก็เข้ามาทักผมครับ

“น้องน้ำเป็นไงบ้างครับ ปวดตรงไหนรึป่าว เดี๋ยวเย็นนี้รอพี่นะ พี่จะไปส่ง” เอ่อ ขอบคุณในความหวังดีนะครับพี่ภู แต่ผมคิดว่านั่งซ้อนมอไซค์นี่มันก็คงไม่กระเทือนแผลเท่าไหร่หรอกครับ คือเช้านี้ พี่แกก็ขับรถไปรับผมที่บ้าน ผมรู้สึกเกรงใจพี่เค้ามากๆ เพราะว่ารบกวนหลายเรื่องแล้ว

“ง่า ไม่เป็นไรครับ น้ำกลับกับเพื่อนได้”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้เดี๋ยวตอนเลิกซ้อมบาสพี่แวะไปส่ง” พี่ภูพูดแล้วยิ้มให้ผมครับ

“โห พี่ ไม่ต้องลำบาก วันนี้จอมมันเอารถมาเหมือนกัน” คีพูดขึ้น หืม ได้ข่าวว่าจอมมันก็แว๊นมานะ

“อ้าวเหรอ งั้นถ้าน้ำมีอะไรก็โทรหาพี่แล้วกัน” พี่ภูพูดแล้วเกาหัว ท่าทางเก้ๆกังๆพิกล

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ผมตอบพี่เค้าแล้วยิ้มให้

“เฮ้ย ไปๆอีกสิบนาทีจะเข้าเรียนแล้ว” คีก้มดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดขึ้น

พวกผมพากันลุกขึ้นจะเดินไปห้อง เอ๊ะ แต่ทำไมคีต้องเอามือมาโอบไหล่ผมด้วย แปลกคน ปกติก็เดินเองนี่นา

“น้ำไปเรียนก่อนนะครับ” ผมบอกพี่ภูที่ลุกขึ้นยืนและมองมาทางผมอยู่

“ไง ไอ้ภู พลอยโวยวายใหญ่แล้ว อะไรของมึงฮะ จู่ๆก็วิ่งออกมา งานไม่เดินซักที รอให้มึงตัดสินใจอยู่เนี่ย” พี่อาร์มเข้ามาล็อคคอพี่ภูแล้วลากไปครับ

“เอ่อ น้องน้ำ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” พี่ภูพูดแล้วยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบไปครับ คนอาไร้ ยิ้มเก่งจัง

“ไปให้ไวพี่ หนีมาอู้งานนี่หว่า” คีพูดแล้วโอบไหล่ผมเดินผ่านพี่ภูไป

พอเดินไปได้ซักพักผมก็รู้สึกว่าแขนที่แค่โอบเมื่อกี้มันเริ่มหนักแล้วครับ

“คี น้ำหนัก เอาแขนออกดิ๊”

“พึ่งรู้เหรอ กำลังสบายเลยนะเนี่ย ความสูงพอดี เหมาะมือมาก” ฮึ่ย หลอกแกล้งกันอีกแล้ว

ผมหันไปแลบลิ้นใส่แล้วลากฟิวกลับห้องเลยครับ อยู่นาน เดี๋ยวโดนแกล้งอีก

พอตอนเลิกเรียน ผมเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมเดินไปสนามบาส ส่วนคีกับจอมมารออยู่หน้าห้องแล้ว

ในขณะที่ผมกำลังเก็บกระเป๋า ผมก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อตัวเอง

“นายสายชล กิจเจริญ กรุณามาพบครูที่ห้องฝ่ายปกครอง” หืม เรียกผมไปทำไมกันอ่ะ งง

ผมงงได้ไม่นานแป้งก็วิ่งรี่เข้ามาหาผมที่โต๊ะครับ

“น้ำ แกรีบไปดิ คราวนี้นังพราวกับพวกเสร็จแน่”

“หา แป้งเอาเรื่องเมื่อวานไปบอกครูเหรอ” ผมก็งงครับ เพราะเมื่อวานแป้งรับปากกับพราวว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร

“โหย ชั้นไม่ได้บอกครูเองหรอก แต่แบบว่า คนเรามันก็ต้องมีเทคนิคกันบ้าง” แป้งพูดยิ้มๆ

“อ้าว แป้ง มึงทำไงวะ พวกกูก็ว่าจะทำใจลืมๆไปซะ” จอมทักขึ้นครับ เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อกี้ยังเห็นยืนอยู่หน้าห้องอยู่เลย

“พวกมึงหน่ะรู้จักนังนี่น้อยไป กูคิดไว้แล้วว่ามันต้องเล่นตุกติก กูเลยให้กุ้งมันยืนแอบๆแล้วถ่ายวิดีโอไว้ พวกนั้นมันไม่ทันสังเกตหรอกว่ากุ้งไปด้วย” แป้งพูดไปทำหน้าหน้าสะใจไป จำกุ้งได้มั้ยครับ เพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกับพวกผมตอนม.ต้น ม.ปลายก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครับ เป็นหนึ่งในนางฟ้าชาลีห้องผมเอง

“เจ๋งว่ะแป้ง แล้วนี่กุ้งมันเลยเอาวิดีโอไปให้ครูดูใช่ป่าว” ฟิวยกนิ้วให้เลยครับ

“แน่นอน ระดับนี้แล้ว ไม่มีพลาด ว่าแต่แกเหอะน้ำ ดูแลตัวเองดีๆหน่อยนะ ใครบอกอะไรก็อย่าไปเชื่อ เข้าใจมั้ย” แป้งเอ่ยเตือนผมด้วยความจริงใจ

“อื้อ น้ำเข้าใจแล้ว ขอบใจแป้งมากนะ” ดีใจอ่ะครับ นึกว่าจะทำอะไรไม่ได้แล้ว หึๆๆ แค้นนี้ต้องชำระ

“ถ้าขาดแกไปสอบคราวหน้าใครจะเป็นต้นฉบับให้พวกชั้นยะ ความหวังของห้องอยู่ที่แกเลยนะ” เอ่อ ความซาบซึ้งใจที่มีมลายหายไปกับสายลม

“มึงนะ ไอ้คี มีแฟนก็แม่ง ไม่รู้จักดูดีๆ อีนี่มันร้ายตั้งแต่อยู่ม.ต้นแล้วได้มั้ย มึงเอาตาไปไว้ไหนฮะ ไว้ที่ตาตุ่มมึงเรอะ” โห แป้ง แบบว่าเจ็บมาก คีถึงกับเงียบ ไปไม่เป็นกันเลยที่เดียว

“เออๆ กูขอโทษว่ะ” คีหน้าเจื่อนไปเลย

“แกไปก็ระวังตัวด้วยแล้วกันนะน้ำ อย่าให้มันได้มีโอกาสแก้ตัว เดี๋ยวกุ้งจะช่วยเป็นพยานให้แกเอง” แป้งพูดแล้วตบบ่าผม

“งั้นน้ำไปนะ เดี๋ยวครูรอนาน” ผมพูดแล้ววิ่งลงบันได เพื่อนๆก็วิ่งตามลงมาครับ แต่รออยู่หน้าห้อง ส่วนแป้งต้องรีบไปประชุมเรื่องกีฬาสีต่อ เลยไม่ได้ตามมาด้วย

ผมสูดหายใจแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ผมเห็นกุ้งนั่งอยู่บนพื้นข้างๆกับอาจารย์ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาชุดติดผนัง คือห้องนี้แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นโต๊ะทำงานของครูสามคนที่อยู่ประจำห้องนี้ ส่วนฝั่งขวาเป็นโซฟาชุด หลังห้องเป็นชั้นเก็บแฟ้ม ผมเลยเดินไปนั่งข้างกุ้ง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นพราวกับพวก มองจิกตั้งแต่ผมเดินเข้าห้องมาแล้วครับ

หลังจากการสอบสวน ฝ่ายผมเป็นฝ่ายถูกกระทำ แถมมีหลักฐานทั้งวิดีโอและแผลบนตัวผม คู่กรณีเลยถูกสั่งให้พักการเรียนและถูกทำทัณฑ์บนโดยการไปทำความสะอาดวัดระหว่างนั้น แรกๆครูดูร้อนใจเพราะกลัวว่าทางบ้านของผมจะเอาเรื่อง เค้าก็พยายามพูดให้ผมประนีประนอม เพราะไม่อยากให้เด็กเสียอนาคต ผมเองก็เข้าใจตรงจุดนี้ครับ เลยยอมความกันไป แกก็แปลกใจครับว่าทำไมพ่อแม่ผมไม่มาเอาเรื่อง ผมก็บอกไปตามตรงว่าแม่ผมไปทำงานต่างจังหวัด ยังไม่กลับมา และผมไม่กล้าโทรไปบอกเพราะกลัวแม่เป็นห่วง ครูก็เตือนผมว่ามีอะไรให้บอกพ่อแม่ก่อนเสมอ ส่วนพ่อแม่ของพราวติดงานทั้งคู่ จะมาขอโทษและมอบค่าทำขวัญให้ผมวันพรุ่งนี้ และจากการคุยโทรศัพท์พ่อแม่พราวก็พูดขอโทษผมยกใหญ่ ยิ่งคุณแม่นี่ร้องไห้ไปด้วยครับ ฟังแล้วก็สงสาร ท่านบอกว่าเสียใจมาก ไม่คิดว่าลูกสาวจะไปทำร้ายคนอื่น ผมได้แต่ปลอบแกว่าผมไม่เป็นอะไรมาก จะไม่เอาความ ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ลูกสาวแกขอโทษและสำนึกผิด ผมก็พอใจแล้ว

ดูๆไปแล้วเหมือนเรื่องมันจะออกมาไม่คุ้มกับที่ผมต้องเจ็บ แต่มันสะใจตรงนี้ครับ คือตอนขอโทษนี่พราวกับน้องๆกล้ามปูดูฝืนทนมาก แต่ต้องทำครับ อาจารย์หญิงแกแกว่งไม้เรียวรออยู่เชียว ผมเองต้องพยายามหุบยิ้มไม่ให้เกินงาม คึๆ กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนองนะคร้าบ

@ คุณ Ipatza คนแต่งก็รอให้มากระทืบนังพราวอยู่เหมือนกัน แบบว่า น้องน้ำเขาเป็นคนดี มีเมตตาจิต เลยไม่ได้ไปดักกระทืบ ความจริงน่าจะฟอร์มทีมกับกุ้งแล้วก็แป้งไปเอาคืนมันเนอะ ขอโทษที่สปีดการลงเรื่องตกลงไปแล้ว คืองานราษฎร์งานหลวงรัดตัวมากค่ะ แล้วอีกอย่างคนแต่งป่วยค่ะ ตากแดดเยอะเกิน แต่คืนนี้แอบแม่มาลงนิยาย ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้นะคะ  :man1: (กอดคนอ่าน)
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 31-03-2012 08:53:30
สนุกค่ะ ติดตามอยู่นะ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 31-03-2012 21:08:46
จากตอนแรกไม่รู้ว่าใครกิ๊กใคร ตอนนี้กลายเป็นศึกชิงนายไปซะงั้น
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 31-03-2012 22:13:25
ฮื่มมมม อ่านรอบเดียวจบ

เเค้นพราวสุดคิดว่าจะรอดซะเเล้ว ๕๕๕

เเต่คีนี่ดูท่าจะหวงน้ำแปลกๆๆ

เเล้วยิ่งพี่ภูอีก จีบน้ำสินะ โห้ย เสน่ห์เเรงโคตรอ่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 01-04-2012 16:58:03
โอเคพอหยวนๆ
แล้วต่อไปมันจะกล้ากลับมาเล่นงานน้ำอีกไหมนิ
ต้องเอาไห้เข็ดนะพวกนี้อะ
ขอบคุณคนแต่งมากๆ
ไม่ต้องไห้รออ่านนานเลย
ขนาดป่วย
ซึ้งใจจัง
ไงก็มาต่อเร็วๆอีกนะ (...อ่าว ไม่ไ่ด้มีความเกรงใจเบย 55+)
ดูท่าคีชักจะหวงน้ำแล้ว
พี่ภูแอบชอบน้ำเรานั้นเอง ตั้งแต่หยิกแก้มเล่นละ 55+
น๊อลีอคอะ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 01-04-2012 19:03:27
สมน้ำตานังแพรว ชิชะ มาทำน้ำได้ไง
คีเริ่มหึงแล้วอะดิ้  ดีจายยย
คึคึคึ
เริ่มแสดงอาการแล้วนะคี ขี้หวงสะด้วย  555
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 01-04-2012 22:06:15
กีฬาสี 4

หลังจากผ่านช่วงเวลาวุ่นวายไปกว่าสองสัปดาห์ วันนี้เป็นวันแรกที่งานกีฬาสีของโรงเรียนผมเริ่มขึ้น และแน่นอน วันแรกนี่สิ่งที่พลาดไปไม่ได้เลยก็คือการเดินพาเหรดของแต่ละสี คือเราจะเดินบริเวณถนนรอบๆโรงเรียน โดยขบวนจะออกจากประตูหน้า นำโดยสีแดง สีชมพู สีเขียว สีส้มและสีฟ้า เดินผ่านวัด ศาลาที่ทำการจังหวัด โรงเรียนประถมประจำจังหวัดและเลี้ยวผ่านถนนข้างตลาด วนอ้อมผ่านร้านตัดผ้า ที่ว่าการอำเภอ สวนหลังโรงเรียนแล้วเดินกลับเข้าทางประตูหลังโรงเรียน

บรรยากาศในโรงเรียนคึกคักมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นเพราะแต่ละสีมีรุ่นพี่มานอนค้างที่โรงเรียนเพื่อเตรียมงาน สแตนเชียร์ทั้งห้าถูกตกแต่งไปตามคอนเซ็ปที่วางไว้ และถือเป็นความภูมิใจของฝ่ายฉากและอุปกรณ์ที่ลงทุนลงแรงกันมา ส่วนฝ่ายกองเชียร์ก็ซุ่มเงียบพักยาวเตรียมรอขึ้นแสตนเชียร์ในวันสุดท้ายที่จะมีการแข่งกรีฑา ฝ่ายที่ต้องเหนื่อยและจบงานในวันแรกๆก็คือฝ่ายพาเหรดครับ พวกพี่ๆนัดให้คนที่เดินพาเหรดมาโรงเรียนเช้ามากๆคือตั้งแต่ตีหนึ่งไล่มาถึงเจ็ดโมงเช้าตามความยุ่งยากของชุดและการแต่งตัวของแต่ละคน กว่าจะมาถึงวันนี้ผมต้องมาลองชุดที่ห้องม.5/2 อยู่หลายรอบเพราะชุดของผมต้องตัด ไม่มีให้เช่า เลยได้ฟังเสียงพี่ซินนี่แว๊ดใส่ลูกทีมจนเอียน ส่วนของคนปั่นจักรยานอีกสามคนหน่ะเหรอครับ พี่เค้าให้หาชุดมาเองคือใส่เสื้อเชิ้ตไว้ข้างใน ใส่สูทสีอ่อนๆทับข้างนอก กับกางเกงขาเดป 

วันนี้พี่ซินนี่นัดพวกผมให้มาหกโมง ถึงมันจะไม่เช้ามาก ถ้าเทียบกับคนอื่นๆในขบวน แต่ผมก็ต้องผละจากเตียงในตอนตีห้าอย่างยากลำบาก เราตื่นเองนี่ยังไม่ยากเท่าไหร่นะครับ มันเหนื่อยตรงที่ต้องแงะอีกสามคนออกจากที่นอนนี่แหละ

“คี ตื่นๆ นาฬิกาปลุกแล้ว” ผมเริ่มจากคนข้างๆก่อนเลยครับ พอได้ยินเสียงนาฬิกาเท่านั้นแหละ เกิดปฏิกิริยาอัตโนมัติเอาผ้าห่มคลุมโปงทันที ผมเลยเอานาฬิกาปลุกที่ยังไม่ได้ปิดเสียงไปวางไว้ข้างๆหูจนเจ้าตัวเค้ารำคาญลุกขึ้นมาปิดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปแบบหัวเสีย

“จอมๆ ตื่นได้แล้ว ไหนเมื่อคืนบอกว่าจะลุกมาทำข้าวต้มให้ไง” รายต่อไปคือจอมครับ เมื่อวานก่อนกลับบ้านแวะตลาดซื้อของเพราะจอมบอกว่าจะทำมื้อเช้าให้กิน จอมเป็นคนที่ชอบทำอาหารมากครับ ผิดกับผมเลย ขนาดต้มมาม่ายังลำบากใจ แบบว่าไม่ชอบอ่ะ เวลาทำแล้วมันร้อน แถมยังต้องคอยใส่นู่น เติมนี่ กว่าจะเสร็จเล่นเอาเหงื่อโชก

จอมไม่ยอมลุกครับ ผมเลยเขย่าตัวไปเรื่อยๆจนจอมยอมลืมตา และรายสุดท้ายครับ รายนี้ใช้เวลาในการปลุกมากเป็นพิเศษ

“ฟิว ต้องตื่นแล้วนะ” สเต็ปแรกเรียกแล้วเขย่าตัวเบาๆก่อน ฟิวยังไม่ขยับครับ สเต็ปที่สองกระชากผ้าห่ม

“เดี๋ยวน้ำ ขออีกสิบนาที” แน่ะ มีต่อรอง

“ไม่ได้ ลุกเร็ว เดี๋ยวสาย” ผมเริ่มเขย่าเรื่อยๆ ไม่รำคาญให้มันรู้ไป แต่ฟิวยังหลับตาอยู่

สเต็ปสุดท้ายผมบีบปากกับจมูกเลยครับ เดี๋ยวหายใจไม่ออกก็โมโหตื่นขึ้นมาเองนั่นแหละ เป็นไปตามคาดครับ ฟิวลืมตามองผมตาเขียวเชียว ปัดมือผมออกด้วย แสดงว่าตื่นเต็มตา ผมยิ้มให้ฟิวแล้วเดินไปอาบน้ำบ้าง

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จคนแรกเพราะสามคนนั้นต้องใส่ชุดไปเลย แต่ผมใส่แค่ชุดพละแล้วค่อยไปเปลี่ยนที่โรงเรียน

พอลงมาชั้นล่างก็ได้กลิ่นหอมข้าวต้มหมูมาจากในครัว ผมจัดการตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วมานั่งละเลียดรอที่โต๊ะกินข้าว เช้าๆแบบนี้ไม่ค่อยหิวเลยครับ แต่จอมทำข้าวต้มอร่อยมาก ผมเลยตักถ้วยที่สองต่อ พอดีกับที่จอมเดินลงมา ได้ข่าวว่าอาบน้ำหลังคนอื่น แต่ทำไมเสร็จก่อนเนี่ย

“จอม อร่อยอ่ะ” ผมบอกจอมที่ยิ้มรับครับ

“อือ อร่อยก็กินเยอะๆดิวะ”

“กินอยู่ นี่ถ้วยที่สองแล้ว ว่าแต่อีกสองคนทำไมไม่ลงมาอีกอ่ะ ตีห้าสี่สิบแล้วนะ” ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วถามจอม

“จอมตักข้าวต้มเผื่อถ้วยนึงดิ๊” พูดไม่ทันขาดคำคีก็เดินลงมาครับ

“ชายฟิวมันแต่งหล่ออยู่ ทำใจเย็นๆกินข้าวไปเหอะ” จอมตอบผมแล้วตักข้าวต้มใส่ถ้วยเผื่อฟิวอีกถ้วยหนึ่ง

“น้ำ ข้าวติดแก้ม” คีพูดแล้วทำท่าชี้ตรงแก้มตัวเอง

“ไหนอ่ะ” ผมเอามือลูบๆแล้วก็หาไม่เจอ

“มานี่” คีพูดแล้วโน้มตัวจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เอาทิชชู่เช็ดข้าวออกให้ผม

“กินข้าวยังไงเนี่ย ยังกะเด็ก” คีบ่นพร้อมกับเอามือเชยคางผมให้หันข้างแล้วเอาทิชชู่เช็ดตรงไรผมข้างหูให้ผม

“แหะๆ ข้าวต้มอร่อยไง” ผมได้แต่แก้ตัวน้ำขุ่นๆไป

“อะ ข้าวต้ม” จอมพูดแล้วเลื่อนถ้วยข้าวต้มให้คี

“มึงมีเจลแต่งผมป่าววะ” ฟิวตะโกนมาจากชั้นบนของบ้าน

“มึงลงมาเลยฟิว พี่ๆเค้าบอกจะทำผมให้” คีตะโกนตอบกลับไป ฟิวเลยรีบวิ่งลงมาที่โต๊ะกินข้าว

“ฟิว รีบๆกินเร็ว เดี๋ยวไปสายพี่เค้าจะดุเอานะ” ผมบอกเมื่อฟิวนั่งลงที่โต๊ะ

“โห ระดับนี้แล้ว เดี๋ยวหมดก่อนน้ำอีก” เออ มันก็จริงนะ เพราะว่าผมเป็นคนที่กินข้าวช้าที่สุดในกลุ่ม แบบว่าตอนเด็กๆแม่บอกให้เคี้ยวข้าวให้ละเอียดไง เลยติดเป็นนิสัยมาจนโต เวลากินข้าวด้วยกันทีไร เพื่อนๆได้นั่งรอผมทุกที

พอไปถึงโรงเรียน ผมก็เห็นรถของผู้ปกครองมาส่งลูกและหลายคนขับรถมาเอง มีรถเข้าออกโรงเรียนอยู่ตลอด ดูชุลมุนพิลึกดีครับ ทั้งๆที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง แต่ว่าโรงเรียนดูวุ่นวายยิ่งกว่าวันเปิดเรียนปกติซะอีก

พวกผมเดินไปที่ห้องม.5/2 ระหว่างทางก็เห็นคนแต่งตัวแปลกๆ ทั้งเจ้านางที่สวยสุดๆ แต่ต้องตกใจตรงลูกกระเดือก คุณยายผมขาวโพลนไปทั้งหัว หรือแม้กระทั่งคนแต่งชุดเป็นมาสคอตพี่หมีตัวโต ผมมองเพลินจนคีต้องจับแขนลากให้เดินตาม

พอพวกผมเดินไปถึงห้อง คี จอม ฟิวถูกลากไปอีกทางเพื่อแต่งหน้ากับเซ็ทผม ส่วนผมอยู่ตรงมุมห้องที่มีพี่พลอยฝ่ายกองเชียร์คอยค้นถุงหาชุดให้กับคนที่เดินขบวนผักแบบผมอยู่ ผมเองก็หันไปยิ้มให้กับคนข้างๆที่กำลังเปลี่ยนชุดเป็นผักกาด ถัดไปก็เป็นฟักทองที่ใส่รองเท้าอยู่และพริกหยวกที่ยืนรอพี่พลอยหาชุดอยู่กับผม พอได้ชุดแล้วผมก็ถอดเสื้อถอดกางเกงเพื่อที่จะเปลี่ยนชุด ไม่รู้รู้สึกไปเองรึป่าวว่ามีแต่คนมอง ผมเลยรีบใส่ชุด พอใส่แล้วก็รู้สึกว่าตัวพองๆคือชุดที่ใส่จะเป็นชุดเอี๊ยมกางเกงขายาว เดปสีแดงแบบผ้ามันๆหน่อย แล้วก็จะมีส่วนหัวเป็นมะเขือเทศลูกใหญ่ที่ตรงกลางเป็นหน้าผมโผล่ออกมา ผมเปลี่ยนชุดเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ พี่ๆเลยให้นั่งรอประมาณสิบนาที ถึงจะออกไปจัดขบวน ระหว่างนั่งรอผมก็คุยกับเพื่อนผักด้วยกัน รวมทั้งพี่พลอยที่บอกว่าวันนี้จะคอยคุมขบวนผัก

“ทำไมพี่ต้องคุมขบวนผักด้วยละครับ มีแค่สี่คนเอง” คนที่แต่งเป็นผักกาดถามขึ้น คิดเหมือนผมเลยแฮะ

“อ๋อ ก็เดี๋ยวมีคนมาถ่ายรูปไง แล้วบางที่ถ้าเด็กๆมาดูขบวนก็จะวิ่งเข้ามาจับมือ ขบวนอาจต้องชะงักที่เรา พี่เลยต้องดูแลหน่อย” โห มีแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย งั้นสงสัยพี่หมีมาสคอตตัวเมื่อกี้ที่เห็นนี่ไม่รอดแน่

“น้องน้ำขาวจังเลย” พี่พลอยพูดแล้วเอาแขนมาทาบกับแขนผม

“แหะๆ พอดีแม่ผมขาวมากๆเลยอ่ะครับ สงสัยเป็นกรรมพันธุ์” ผมหัวเราะแห้งๆแล้วตอบพี่เค้าไป

“อิจฉาจัง” พี่พลอยพูดยิ้มๆครับ ความจริงพี่พลอยก็ไม่ได้ผิวคล้ำนะครับ แต่ว่าผิวผมมันขาวซีดมากกว่า

เราคุยกันได้ซักครู่ พี่ซินนี่ก็ตะโกนบอกให้พี่ๆพาน้องไปจัดขบวนบริเวณถนนหน้าโรงเรียนตามจุดที่ได้วางไว้

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าปีนี้ขบวนเป็นแบบไหน รู้แต่ว่ากลุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้าแต่งตัวเกี่ยวกับการต่อต้านยาเสพติด ผมเดินตามขบวนไปเรื่อยๆ พร้อมกับโบกมือและยิ้มให้คนที่มายืนรอดู หลายคนก็ขอเข้ามาถ่ายรูปตอนขบวนหยุด มีเด็กๆมาขอจับมือกับหอมแก้มด้วยครับ ผมเลยขอหอมน้องเค้ากลับบ้าง น้องน่ารักมากเลย พอขบวนเดินต่อน้องก็ไม่ยอมปล่อยมือ งอแงกับคุณแม่ใหญ่ ผมเลยบอกให้คุณแม่เดินตามขบวนไปจนถึงโรงเรียน

“น้องชื่ออะไรเหรอครับ” ผมถามเด็กน้อยที่เดินจับมือไปกับผมด้วย อายุน่าจะซักห้าขวบ

“ชื่อน้อง..ม” น้องเค้าตอบอายๆแต่ผมได้ยินไม่ชัดเลยถามอีกรอบ

“ชื่อน้องอะไรนะ”

“น้องตามคับ”

“อ๋อ น้องตามเรียนอยู่โรงเรียนอะไรครับ”

“โรงเรียนอนุบาล...” อ้าวโรงเรียนที่เดินผ่านมานี่นา

“ทำไมวันนี้น้องตามไม่ไปโรงเรียนล่ะ” ผมถามน้องด้วยความเอ็นดู

“เพราะว่าน้องตามไม่ฉบาย คุณแม่จะพามาหาคุณหมอ แต่ว่าน้องตามอยากดูนี่” น้องตามตอบด้วยเสียงเอาแต่ใจนิดๆ

“อ๋อ งั้นเดี๋ยวพอเราเดินกันไปถึงตรงนู้นแล้ว น้องตามต้องไปหาคุณหมอกับคุณแม่นะครับ” ผมพูดแล้วลูบหัวน้องเค้าครับ

“ฮะ” น้องตามตอบแล้วทำหน้าซึมๆ ผมเห็นแล้วนึกเอ็นดูเลยชวนคุยต่อเรื่อยๆ

“น้องตามชอบกินผักรึป่าว”

“ชอบฮะ น้องตามชอบกินมะเขือเทศ” มิน่าล่ะเลยจับมือเราไม่ยอมปล่อย

“โอ้โห น้องตามเก่งจังเลย” พอผมชมน้องตามก็ยิ้มให้ครับ

“คุณแม่บอกว่า ผักมีประโยชน์ กินแล้วจะแข็งแรง แต่ว่าน้องตามก็กินผัก ทำไมน้องตามไม่ฉบาย” อ่า เจอคำถามเด็กเข้าไปก็จนใจครับ มันยากเอาการอยู่นะครับกับการจะอธิบายอะไรง่ายๆ แต่เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้องให้เด็กๆฟังเนี่ย

“น้องตามต้องกินอาหารให้ครบห้าหมู่นะครับ จะกินแต่ผักอย่างเดียวไม่ได้ น้องตามต้องกินนม กินข้าว กินผลไม้แล้วก็ต้องดื่มน้ำเยอะๆ ต้องนอนหลับกลางวันด้วยจะได้หายไวๆ” ตอบไปน้องเค้าจะเข้าใจมั้ยเนี่ย

“แต่ว่า.. น้องตามไม่ชอบกินนมนี่นา” น้องตามก้มหน้าแล้วบ่นเบาๆครับ

“ทำไมละครับ นมมีประโยชน์น้า ถ้าน้องตามไม่กินนมก็จะตัวเล็กนิดเดียว ไม่โตซักที”

“จริงเหรอฮะ” น้องตามเงยหน้าถามผม ตากลมๆจ้องมองผมอย่างรอคอยคำตอบ

“จริงสิ พี่น้ำว่าน้องตามเป็นคนเก่ง เดี๋ยวต่อไปน้องตามกินนมแล้วจะได้ตัวสูงกว่าเพื่อนๆเลยดีมั้ย”

“ดีคับ”

พอถึงโรงเรียนแล้วผมก็ขอพี่พลอยแยกตัวมายืนส่งน้องตามให้คุณแม่ที่ข้างประตูโรงเรียน

“ขอบใจมากนะจ๊ะ น้องตามรบกวนหนูแย่เลย” คุณแม่น้องตามเอ่ยขอบคุณผมแล้วย่อตัวคุยกับน้องตาม

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบแล้วยิ้มให้คุณแม่

“ตามขอบคุณพี่เค้าสิลูก”

“ขอบคุณคับ” น้องตามพูดแล้วยกมือไหว้ผม ผมเองก็รับไหว้

“พี่น้ำไปแล้วนะ” ผมก้มลงไปกอดน้องตามครับ เด็กๆนี่น่ารักจัง

“สวัสดีครับคุณน้า”

“จ้ะ ขอบใจมากนะ” คุณน้าพูดแล้วอุ้มน้องตาม

“บ๊าย บาย” ผมโบกมือให้น้องตามที่เกาะไหล่แม่โบกมือตอบ

“น้ำ” เสียงคีนั่นเองครับ เรียกผมแล้ววิ่งกระหืดกระหอบมาเชียว

“หืม มีอะไรเหรอ ดูรีบจัง”

“คีตามหาตั้งนาน นึกว่าหายไปไหนซะอีก” คีพูดแล้วเอามือโยกหัวผม

“อ๋อ น้ำเจอน้องคนนึงตอนเดินขบวนด้วยละ น่ารักมากเลย...”แล้วผมก็เล่าเรื่องระหว่างเดินขบวนให้คีฟังพร้อมกับเดินเข้าโรงเรียนไปด้วยกัน

กว่าการแข่งขันกีฬาจะเริ่มขึ้นก็ปาไปสิบโมงแล้วครับ กองเชียร์แต่ละสีก็ไปเชียร์ตามสนามต่างๆที่มีการแข่งขันของสีตัวเอง ส่วนผมหน่ะเหรอครับ จะไปไหนได้ ต้องนั่งเฝ้าสนามบาสอยู่แล้วละครับ เพราะวันนี้รายการแรกของสนามคือบาสชายม.ปลายสีแดงกับสีชมพู ผมที่ได้รับหน้าที่ผู้จัดการทีมจำเป็นนั่งบริเวณล่างสุดของแสตนเชียร์พร้อมกับถังใส่น้ำแข็งขนาดพอหิ้วไหวที่มีทั้งน้ำเปล่า เอ็มสปอร์ต ผ้าเย็น แล้วก็น้ำแดง และเพราะวันนี้การ์ดทั้งสามของผมต้องใช้สมาธิในการเล่นเลยส่งตัวแทนมานั่งเฝ้า เอ้ย นั่งเป็นเพื่อนผมที่ข้างสนาม ตัวแทนที่ว่าก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลหรอกครับ ป๋อมแป๋มเพื่อนสาวที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับคีและจอมนั่นเอง ป๋อมแป๋มเป็นคนคุยสนุกนะครับ แต่ว่าผมก็ต้องเอามืออุดหูบ่อยๆเพราะเสียงกรี๊ดอันทรงพลังของเจ้าตัว

“น้ำ แกดูพี่เบอร์เก้าสีแดงดิ หุ่นเร้าใจอ่ะ” ป๋อมแป๋มพูดแล้วทำหน้าหมั่นเขี้ยว

“ง่า งั้นเหรอ” กลัวแทนพี่เบอร์เก้าครับ

“ก็งั้นสิยะ อ๊าย แกดูกล้าม โอ๊ย ท่าชู้ตใจละลาย”

“เอ่อ แป๋ม เราอยู่สีชมพูนะ เราต้องเชียร์สีตัวเองดิ” ผมพูดดักคอเมื่อเห็นป๋อมแป๋มยังเพ้ออยู่กับพี่เบอร์เก้า

“ก็เชียร์อยู่นี่ไง ต๊ายพี่ภูเท่มาก อ๊ะ พี่เค้าชูสองนิ้วแล้วหันมายิ้มให้ชั้นด้วยอ่ะ” ป๋อมแป๋มกรี๊ดกร๊าดต่อเมื่อเห็นพี่ภูที่พึ่งชู้ตบาสเข้าห่วงแล้วหันมายิ้มเรียกเรตติ้งแฟนๆที่นั่งอยู่ตรงสแตนข้างสนามให้กรี๊ดกันใหญ่

ใช่ว่ามีแค่พี่ภูที่มีแต่สาวกรี๊ดซะเมื่อไหร่ แต่ละคนในทีมก็ใช่ย่อยครับ

“อ๊ายยยย พี่(น้อง)คีสู้ๆ”

“กรี๊ดดด น้องจอม” อันนี้เสียงแม่ยกของจอมทัพเค้าละครับ ผมเป็นเพื่อนมันมาสี่ปีก็พึ่งจะรู้นี่แหละครับว่าจอมมันมีเสน่ห์กับคนที่แก่กว่า

“พี่อาร์มมมม อย่าแพ้นะค้า” ตอนพี่อาร์มได้บอลถึงกับสะดุดเพราะได้ยินเสียงกองเชียร์ ผมที่ดูเค้าซ้อมกันทุกวันก็ได้แต่ขำครับ

“น้อง(พี่)ฟิว กรี๊ดดดดดด” อ่า กรี๊ดกันเข้าไป

“พี่น้ำคะ คืออัย ฝากนี่ให้พี่จอมหน่อยได้มั้ยคะ” ระหว่างที่ผมกำลังเอือมกับเสียงกรี๊ดก็มีสาวน้อยมาสะกิดฝากของให้กับคนในสนามครับ

“ได้ครับ แต่ว่าน้องอัยไม่รอเอาให้จอมมันเองล่ะครับ เดี๋ยวก็พักครึ่งแล้ว” คือน้องอัยเค้าเอาน้ำ เอาขนมมาให้ชายจอมทุกวันครับ ผมเลยคิดว่าแล้วจอมมันจะได้รู้เมื่อไหร่ว่าน้องเค้าปลื้มมันอยู่

“อัยไม่กล้าหรอกค่ะ ฝากพี่น้ำด้วยนะคะ” น้องอัยพูดแล้วทำหน้าตาน่าสงสาร

“ได้ครับ เดี๋ยวพี่จะเอาให้จอม บอกว่าน้องอัยห้องม.3/3 ฝากมาให้พี่จอม ดีมั้ยครับ” ผมแซวแล้วยิ้มล้อเลียนน้องเค้า

“อย่านะคะพี่น้ำ อย่าพึ่งบอก” น้องอัยทำหน้าตกใจใหญ่เลย

“พี่ล้อเล่นครับ”

“เอ่อ นี่ขนมของพี่น้ำ ขอบคุณมากนะคะ” น้องอัยยื่นขนมให้ผมแล้วกล่าวขอบคุณ

“อ้าว ติดสินบนแต่น้ำ แล้วของพี่ละคะ” ป๋อมแป๋มที่นั่งข้างๆผมแกล้งทวงขนมจากน้องอัย

“คือ อัยไม่รู้ว่าวันนี้พี่น้ำอยู่กับเพื่อน ก็เลย ก็เลย ไม่ได้เตรียมมาเผื่อ ขอโทษด้วยนะคะ พี่อยากกินอะไรรึป่าวคะ เดี๋ยวอัยไปซื้อให้” น้องอัยทำหน้าไม่ถูกเลยครับ

“เดี๋ยวพี่แบ่งขนมให้แป๋มเองครับ แป๋มก็ไปแกล้งน้องเค้า” ผมบอกน้องอัยให้หายกังวล แล้วหันไปบอกป๋อมแป๋มที่แอ๊บทำหน้าดุ

“โหย พี่ล้อเล่นค่ะคุณน้อง อย่าซีเครียดไป” อ่า ซีเครียด = ซีเรียส+เครียด

พอดีกับเสียงกริ่งพักครึ่งแรกดังขึ้น น้องอัยเลยวิ่งหายไปเลยครับ

“ขอบคุณนะคะพี่น้ำ อัยไปก่อนนะคะ”

“เฮ้ย ร้อนว่ะ ขอน้ำหน่อยดิ๊” ผมรีบแจกจ่ายน้ำให้กับนักกีฬาที่เดินหอบๆกรูกันเข้ามา

“จอม น้องคนโน้นเค้าฝากมาให้” ผมยื่นของที่น้องอัยฝากไว้ให้จอมพร้อมกับชี้ตรงที่น้องเค้ายืนอยู่ด้วย

“คนไหนวะ” แบบว่าคนมันเยอะไง จอมมันก็หันไปตามทางที่ผมชี้นะครับ แต่ว่าไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นใคร

“555 น้องเค้ายังไม่พร้อมเผยตัว เดาเอาเองแล้วกัน” ผมหัวเราะจอมที่มองหาไม่เจอ มันก็คงอยากรู้อ่ะครับ เพราะตั้งแต่ซ้อมบาส น้องเค้าก็เอาน้ำเอาขนมมาให้มันทุกวัน จอมมันหันหน้ากลับมาแล้วกระดกน้ำเข้าปาก แบบว่าคงร้อนมาก ผมที่นั่งอยู่พอกรูกันเข้ามายังรู้สึกถึงไอร้อนจากตัวของแต่ละคน ป๋อมแป๋มเองก็ช่วยแจกผ้าซับเหงื่อให้นักกีฬา

“น้ำๆ” ป๋อมแป๋มเรียกผมที่กำลังยื่นขวดน้ำให้กับฟิว

“หืม อะไรเหรอ” ผมหันไปแล้วก็พบว่าป๋อมแป๋มถือผ้าขนหนูยื่นให้ผมอยู่

“นู่น คุณชายเค้ารีเควสมา” ป๋อมแป๋มตอบผมพลางพยักเพยิดหน้าหันไปตรงหน้าผม ผมเองก็หันมองตาม เห็นคีเดินตรงเข้ามา

“น้ำ คีมือเปื้อน เช็ดหน้าให้หน่อย” คีพูดแล้วทำท่าชูมือให้ดูทั้งสองข้างบอกว่าเปื้อนจริงๆ

“ก้มหน้ามาสิ” ผมก็ยืนขึ้นเช็ดเหงื่อให้คีครับ แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่เช็ดอยู่ ภาพในวันที่คีเมาถึงเข้ามาอยู่ในหัวได้ ใจผมเต้นดังจนกลัวคนข้างหน้าจะได้ยิน รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“น้ำ ไม่สบายรึป่าว ทำไมหน้าแดง” คีทักผมที่ซับเหงื่อให้คีอย่างเก้ๆกัง

“อะ อ๋อ สงสัย คงตากแดดนานหน่ะ ร้อนเนอะ” ผมตอบพลางพยายามโฟกัสสายตาไปตรงส่วนต่างๆของใบหน้าของคี แต่ไม่กล้าสบตา

“เฮ้ย ป๋อมแป๋ม เดี๋ยวมึงพาน้ำไปนั่งรอพวกกูใต้ต้นหูกวางเลย ตรงนี้แดดมันร้อน” คีจับแขนผมให้ผละออกแล้วหันไปบอกป๋อมแป๋มที่รับขวดน้ำคืนจากนักกีฬาคนอื่นๆ

“อ้าว แล้วกระติกน้ำ กับของของพวกแกล่ะยะ”  ป๋อมแป๋มถามพลางรับผ้าคืนจากคนอื่น ผมเองก็กำลังรับผ้าขนหนูกับขวดน้ำคืนจากพี่ภูอยู่ครับ

“ฝากพี่พลอยหัวหน้าเชียร์ไว้ก็ได้”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง เดี๋ยวเกมส์ก็จบแล้ว” ผมบอกคี กลัวจะต้องไปรบกวนพี่พลอยเค้าจริงๆ

“ขอบคุณครับน้องน้ำ” พี่ภูพูดแล้วดึงแก้มผมจนยืดอีก

“ง่า พี่ภูอ่ะ แก้มน้ำยานหมดแล้ว” ภูพี่หัวเราะแล้วผละออกไป

ส่วนคีก็ปล่อยข้อมือผมที่ถือผ้าขนหนูอยู่ให้เป็นอิสระแล้วจับแขนอีกข้างของผมจากนั้นก็สั่งให้แบมือ

“น้ำ แบมือดิ๊” คีพูดแล้วใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบพวงกุญแจรถออกมา

“อ่ะ ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวแข่งเสร็จแล้วจะมาเอาคืน”

“อือ สู้ๆนะ” ผมพยักหน้าแล้วชูสองนิ้วให้ คีผละไปรวมกลุ่มกับคนในทีม ทุกคนกอดคอกันเป็นวงกลมแล้วตะโกน “ชมพู สู้” กองเชียร์ก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

สุดท้ายสีชมพูก็ชนะไปด้วยคะแนน 53 – 48 คนดูของทั้งสองฝ่ายนี่ลุ้นกันจนแทบลืมหายใจ  และลูกสุดท้ายที่ทำให้สีของเราได้รับชัยชนะอย่างชัดเจนในวินาทีระทึก ชู้ตโดยพี่ภูที่เล่นเป็นเซ็นเตอร์ เล่นเอาป๋อมแป๋มที่นั่งข้างๆผมกรี๊ดจนคอแทบแตก

“อ๊ายยยยย พี่ภูขา เท่ม๊าก มากอ่ะ”

พี่ภูเดินยิ้มมาจากในสนาม ผมเองก็ยกนิ้วโป้งให้พี่แกแล้วก็ยิ้มครับ จากนั้นผมกับป๋อมแป๋มก็วุ่นกับการทำหน้าที่สวัสดิการให้กับนักกีฬา

งานกีฬาสีผ่านไปได้สองวัน ผลปรากฏว่าบาสชายม.ปลายของสีผมได้ที่สองครับ เพราะไปแพ้สีฟ้าในตอนเย็นของวันเดียวกัน วันนี้เป็นวันที่สามที่จะมีแค่การแข่งขันกรีฑา แต่ละสีประจำอยู่บนอัฒจรรย์หรือแสตนเชียร์ของตัวเองที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามตามคอนเซ็ป เริ่มจากสีแดงที่มาในคอนเซ็ป RED DEVIL มีตัวมาสคอตเป็นเดวิลตัวแดงๆถือตรีศูล ส่วนสีชมพูของผมอยู่ใน theme รักเราสีชมพู โดยมีสัญลักษณ์เด่นเป็นรูปหัวใจ ส่วนแบ็กกราวด์สแตนเป็นรูปท้องฟ้ายามเย็นที่มีโทนสีชมพูอมส้มและมีรูปผู้หญิงกับผู้ชายที่นั่งพิงกันเป็นเงาสีดำ ถัดไปเป็นสีเขียวที่มาในคอนเซป Greenpeace การตกแต่งจะเป็นแนวปลูกป่า มีทั้งรูปและต้นไม้จริงตกแต่งสแตน ส่วนสีต่อไปคือสีแสด มาในคอนเซป Orange Sunset มีมาสคอตเป็นพระอาทิตย์ใส่แว่นดำ หน้าตากวนดีครับ และสีสุดท้ายคือสีฟ้า คอนเซปคือ Blue navy หน้าแสตนทำเป็นหัวเรือโผล่ออกมา ถ้าคิดด้วยความลำเอียง ผมชอบสแตนของสีฟ้ามากครับ ดูเรียบๆแต่สวยดี และไฮไลท์ของวันนี้ก็คือการประกวดเชียร์ลีดเดอร์กับกองเชียร์ บรรยากาศในตอนเช้าๆแบบนี้เลยคึกคักสุดๆเลยครับ แต่ละสีต่างโชว์สปิริตของตัวเอง แต่ว่าช่วงที่น่าดูที่สุดจะเป็นช่วงหลังพักเที่ยงที่จะมีการแปรอักษร

ตอนม.ต้นได้แต่ขึ้นสแตน ปีนี้ผมเลยได้โอกาสดูจากข้างล่างแบบชัดๆซะที ส่วนรายการวิ่งของผมเหรอครับเป็นรายการท้ายๆหน่อย เพราะพวกผมลงวิ่งผลัดชายม.4 สี่คูณสี่ร้อยเมตร

ช่วงที่ไม่มีอะไรทำผมเลยคอยช่วยพี่เฟรนอยู่ที่เต็นท์พยาบาล มีคนเป็นลมเยอะเลย บางทีเบื่อๆพวกผมก็พากันเดินไปเที่ยวตามสแตนสีต่างๆบ้าง สนุกดีครับ

“จอม คีกับฟิวไปไหนอ่ะ” ผมถามจอมเพราะเห็นทั้งสองคนหายไปพักใหญ่ๆแล้ว

“นู่น ไอ้คีมันไปยืนจีบหลีดสีแดงอยู่ ส่วนฟิวมันบอกจะไปหาอะไรกิน” ผมมองไปทางสแตนสีแดงก็เห็นคีกำลังถือขวดน้ำยื่นให้ผู้หญิงคนนึงอยู่ จู่ๆก็รู้สึกหายใจไม่ออก

“น้องน้ำยังไม่ไปเปลี่ยนชุดวิ่งอีกเหรอครับ” แล้วผมก็หันไปหาเจ้าของเสียงที่เอ่ยถาม

“อ๋อ เดี๋ยวจะไปแล้วครับ ว่าแต่พี่ภูแข่งแล้วเหรอครับ” ผมถามพี่ภูที่เหงื่อเกาะพราวตามตัว

“โห น้อยใจนะเนี่ย พี่นึกว่าน้ำจะคอยเชียร์ซะอีก” พี่ภูตัดพ้อแล้วยิ้มน้อยๆ

“อ่า โทษทีครับ แล้วชนะรึป่าวครับ” พี่ภูไม่ตอบแต่ชูเหรียญทองที่อยู่ในมือขวาให้ผมดู

“เฮ้ย ภู ไม่มีใครตีกลองว่ะ” พี่ไทเดินเข้ามาเรียกพี่ภูในเต็นท์

“เออๆ เดี๋ยวกูไป”

“น้ำ พี่คอยเชียร์อยู่นะครับ” พี่ภูพูดแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินไปที่สแตนเชียร์

“หึ คนนี้ท่าจะเอาจริงว่ะ” จู่ๆจอมที่นั่งข้างๆผมก็พูดขึ้น

“หืม หมายถึงใครเหรอจอม”

“เดี๋ยวน้ำก็รู้เองแหละ”

ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากๆเลยครับ เพราะสัญญาณปล่อยตัวนักกีฬากำลังจะดังขึ้น ถึงผมจะเป็นไม้สามก็เหอะ

“ปั่ง” พอเสียงปืนดังขึ้น คีที่เป็นไม้แรกก็ออกวิ่งเลยครับ แรกๆวิ่งกันไม่ค่อยเร็วนะครับ แต่พอวิ่งสองร้อยเมตรหลังเท่านั้นแหละ ผมเองใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะคีนำมาคนแรก ฟิวที่รออยู่เลยรับเป็นผลัดต่อไป ไม้สองของสีเขียววิ่งเร็วมากครับ ตีคู่กับฟิวมาเลย ผมที่ยืนรออยู่ใจเต้นตึกตักอย่างช่วยไม่ได้ พอไม้แตะมือผมก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเดียว พยายามจะตีคู่กับไม้สามสีเขียวไปเรื่อยๆ  ผ่านไปสามร้อยเมตรนี่เหนื่อยสุดๆอ่ะ เค้าวิ่งเร็วจัง พอร้อยเมตรสุดท้ายผมก็พยายามสปีดแซงสีเขียวได้แค่ช่วงตัวส่งไม้ให้จอมที่รออยู่เป็นไม้สุดท้าย พอทุกสีส่งไม้ให้กับคนสุดท้ายกันหมดผมก็เดินหอบๆเข้าข้างสนาม

“น้ำ ค่อยๆหายใจ” ฟิวที่เดินเข้ามาหาพูดแล้วจับแขนผมไว้

“น้ำ ไหวรึป่าว หน้าซีดมากเลย” คีที่ยืนรอผมเดินเข้ามาหาอีกคน

“แฮ่กๆ โอเค ไหวๆ รอดูจอมก่อน” ผมพูดหอบๆแล้วยืนมองจอม แล้วจอมก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังเพราะวิ่งนำเข้าเส้นชัยแบบลอยลำเข้ามา จอมเองพอเข้าเส้นชัยก็เดินเข้ามาหาพวกผม ผมโผเข้ากอดจอมทันที

“เย้ จอมเยี่ยมมาก” จอมยิ้มให้ผมทั้งหอบๆนั่นแหละครับ
 
เรารออยู่ข้างสนามซักพักก็เดินไปรับเหรียญ

การแข่งขันสิ้นสุดและมีพิธีปิดในตอนสี่โมงเย็น สีแสดได้รางวัลขบวนพาเหรดยอดเยี่ยมไป ผลรางวัลรวมคะแนนกีฬาสูงสุดตกเป็นของสีฟ้า ส่วนผลรวมคะแนนกรีฑาสูงสุดและกองเชียร์ยอดเยี่ยมเป็นของสีชมพู และสุดท้ายรางวัลเชียร์หลีดเดอร์ก็เป็นของสีแดงไป

และเนื่องจากสีเราได้สองรางวัล ถือว่าประสบความสำเร็จ พี่ๆม.5 เลยนัดกินเลี้ยงเย็นนี้ครับ ความจริงสีอื่นๆเค้าก็มีกินเลี้ยงกันนะครับ เพราะมันเป็นธรรมเนียมที่พี่ม.5 ที่ทำงานร่วมกับน้องๆม.4 จะจัดงานเลี้ยงเป็นการตอบแทน

“เย็นนี้เจอกันที่บ้านไอ้อาร์มนะน้อง” พี่ภูประกาศให้เด็กม.4 ห้องห้ากับห้องสิบทราบทั่วกันว่าเย็นนี้เจอกันบ้านพี่อาร์ม ว่าแต่ว่าบ้านพี่เค้าไปทางไหนเหรอ

วันพรุ่งนี้คนแต่งก็จะต้องเรียนซัมเมอร์แล้ว กลัวไม่มีเวลาแต่ง  :monkeysad: แต่ก็จะพยายามนะคะ

@ คุณ yeyong ขอบคุณที่เข้ามาติดตามค่ะ  :pig4:

@ คุณ kasarus คนเขียนหมั่นไส้อัคคีค่ะ ถ้าให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้วไม่มีใครเข้ามาท้าชิง เค้าจะไม่รู้สึกตัวซักทีเนอะ

@ คุณต้นข้าว เห็นคอมเม้นต์แล้วเขิน แบบว่าเราเป็นแฟนนิยายคุณต้นข้าวแล้วคือคุณต้นข้าวก็เขียนสนุก พอมาเห็นคอมเม้นต์เลยเขินๆ  :-[ น้องน้ำเสน่ห์แรงสู้อัคคีไม่ได้ม้างง

@ คุณ Ipatza พวกมันคงไม่กลับมาเล่นงานแล้วล่ะค่ะ ช่วงนี้การ์ดทั้งสามเค้าก็เฝ้าแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถ้าป่วยนี่แอบมาลงให้อ่านได้นะคะ แต่ถ้าช่วงงานเยอะ เรียนหนัก นี่ไม่แน่ใจ คนเขียนเองก็แอบเชียร์พี่ภูค่ะ

@ คุณ Smirnoff สมน้ำหน้านังพราวเนอะ ความจริงคนแต่งแค้นแทนน้องน้ำ แต่ด้วยคาแรกเตอร์ที่วางมาแล้ว เลยเอาคืนแบบแรงๆไม่ได้ ส่วนคีนี่มันหวงแบบหน้าหมั่นไส้อ่ะ หวงแต่ก็มีแฟนใหม่  :เฮ้อ:

วันนี้เห็นคอมเมนต์แล้วดีใจมากเลย  :กอด1: กอดคนอ่านอีกที
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 02-04-2012 04:19:54
เยี่ยมมากๆเบย
เข้ามาอีกทีก็ได้อ่าน
ดีใจจริงๆ555+
อ่านตาเชะเบย
เชียร์พี่ภูสุดใจ ทำคะแนนดีมาก
ดูน่ารักดี
คีมันเจ้าชู้คบคนไม่เลือกดีดีเลย
ปล่อยมัน
มีน้ำทั้งคน ทำได้แค่หวง+หึง
ชิ ปล่อยมันนอนตัวแตกอยุ่บ้านไป
พี่ภูสุ้ๆ555+
ปล.คนแต่งบอกจะไม่มีเวลา ได้ยินคำนี้แล้วอยากจะยื่นเวลาไห้จริงๆเลย
เรามี...ทั้งวัน 555+ ชีวิตล่องลอยมากๆเบย
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: atblueann ที่ 02-04-2012 07:52:49
พึ่งเข้ามาอ่านอยากบอกว่าสนุกมาก ไม่ผิดหวังเลย น้องน้ำน่ารักมาก แอบเคืองคีไปทำอะไรที่สีแดงอ่ะ น้องน้ำอยู่นี่นะ
แล้วเมื่อไรคีจะรู้ตัวอ่ะ หรือพี่ภูจะเป็นพระเอกน้า อยากอ่านต่อ เป็นเรื่องที่น่ารักนะ ชอบ ชอบ มาต่อไวไวนะ เรื่องนี้เป็น
เรื่องแนวใสๆๆหรือเปล่า จะมีดราม่าไหมอ่ะ กลัวอ่ะ ไม่ค่อยอยากเห็นน้ำเสียใจอ่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 02-04-2012 09:25:53
สีชมพูชนะเลิศกองเชียร์อ่านเเล้วคิดสมัยอยู่มต้น อยู่สีชมพูได้รางวัลกองเชียร์เหมือนันเด๊


คีไม่เเสดงออกว่ารู้สึกอะไรกับน้ำมากมายเทีาไรเนอะ

ส่วนตัวเเล้วชอบพี่ภูสุดๆ

เเนะนำคุณอิ๋งอิ๋งหน่อยนะครับ

เวลาลวตอนใหม่ เข้าไปแก้ไขหัวข้อที่รีพลายเเรกอ่ะครับ

เวลาอัพใหม่จะได้รู้ ครับ

ข้าวเองไม่ทราบว่าลงตอนใหม่เข้าอีดที อ้าวลงไปแล้วหรอ งงนิดๆ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-04-2012 10:47:21
เชียร์พี่ภูว่ะ  ชอบคนชัดเจนไม่เผื่อเลือก
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 02-04-2012 11:26:30
เม้งนายคี หล่อเผื่อเลือก ชิส์...
เอาใจช่วยพี่ภูดีกว่า ดูท่าทางแล้วพี่ภูคงเป็นพระรอง
ยังไงก็อย่าให้พี่ภูเจ็บมากนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-04-2012 23:33:01
เมา

หลังจากที่พี่ภูนัดสถานที่กินเลี้ยงแล้ว เพื่อนๆห้องผมหลายคนกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเพราะวันนี้ร้อนสุดๆครับ คงนึกกันออกเนอะว่าถ้าเหงื่อไม่ออกนี่ไม่ใช่กีฬาสีแล้ว บางคนก็กะเก็บข้าวของ เก็บแสตนกันแล้วไปงานเลี้ยงต่อเลย พวกผมสี่คนกะว่าจะช่วยพี่เค้าเก็บของจนถึงซักประมาณห้าโมงครึ่งแล้วกลับไปอาบน้ำ ประมาณทุ่มกว่าๆค่อยไปบ้านพี่อาร์ม
ผมกับฟิวเก็บขยะพวกขวดและถุงพลาสติก กระดาษห่อข้าวรวมทั้งกล่องโฟมที่ทิ้งเกลื่อนกลาดรอบๆอัฒจรรย์ของสีเรา ส่วนจอมกับคีกำลังช่วยพี่ๆแกะพวกฉากหลังที่ทำเป็นไม้

เห็นแล้วก็อดเสียดายไม่ได้นะครับเพราะกว่าจะทำฉากกันเสร็จ ใช้เดี๋ยวเดียวก็ต้องทิ้งซะแล้ว สีอื่นๆก็ทำแบบเดียวกันครับเพราะถึงวันนี้ไม่ช่วยกันเก็บ วันต่อไปครูก็จะมาคุมให้เก็บเหมือนเดิม แถมอาจถูกดุด้วย สู้ช่วยกันเก็บกวาดวันนี้ดีกว่า ไหนๆก็เหนื่อยแล้ว ทำอีกซักหน่อยจะเป็นไรไป อีกอย่างจะได้เป็นธรรมเนียมและตัวอย่างกลายๆให้รุ่นน้องรุ่นต่อไปทำตามบ้าง

“จอม หิวข้าว” ผมที่เริ่มรู้สึกหิวเลยแกล้งเดินไปเก็บขยะบนแสตนชั้นเกือบสูงสุด แบบว่าเป็นพวกกองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ถ้าหิวนี่แบบไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ในหัวมันคิดแต่ว่าหิวๆๆๆๆอยู่นั่นแหละ

“แป๊ปๆ จะเสร็จแล้ว เฮ้ย ซ้ายหน่อยๆ” จอมตอบผมแล้วตะโกนบอกคนที่ยกฉากอยู่อีกฝั่ง

“อยากกินข้าวไข่เจียวใส่มะเขือเทศลูกเล็กๆ” ถ้าหิวนี่ต้องบอกจอมครับ เดี๋ยวกลับบ้านไปจอมจะได้ทำให้กิน

“อือ ฮึ วันนี้เอาไข่กี่ฟอง” จอมพูดกับผมพลางงัดตะปูไปด้วย

“เอาสองฟอง” ที่จอมถามจำนวนไข่นี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ คือมันเป็นการบอกระดับความหิวและความอยากไปในตัว เพราะจอมเคยทำเยอะแล้วผมกินไม่หมด เสียดายแย่เลย

“เก็บขยะแล้วไปนั่งรอข้างล่างไป เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว อยู่แถวนี่เกะกะว่ะ” จอมสั่งแล้วทำหน้ารำคาญ

“เร็วๆนะ” ห้ามหือ ห้ามเคือง ต้องง้อไว้ก่อน เดี๋ยวจอมไม่ทำให้

“เออ รู้แล้ว เร่งอยู่เนี่ย ไอ้ฟิว เอาน้ำไปเก็บดิ๊” จอมตะโกนเรียกฟิวที่งัดรั้วไม้ไผ่ออกจากดิน
ผมเลยรีบวิ่งลงไปช่วยฟิวครับ

พอทำงานกันเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป จอมกับฟิวเองต้องมาอาบน้ำบ้านผม แรกๆก็กะจะกลับบ้านใครบ้านมันอยู่หรอกครับ แต่เพราะผมหิวข้าว จอมเลยต้องระเห็จมาเป็นพ่อครัวจำเป็น

“คี ฟิว กินข้าวด้วยกันมั้ย วันนี้จอมจะทำไข่เจียว” พอถึงบ้านผมก็รีบชวนทั้งสองคนครับ ไม่รู้ว่าจะกินรึป่าว

“โหยน้ำ กินไปก่อนก็ขาดทุนอ่ะดิ พี่เค้าบอกจะเลี้ยงไง เก็บท้องไว้กินเย็นนี้ดีกว่า” ไม่ทายก็รู้ว่าคำตอบนี้เป็นของใครเนอะ ประหยั๊ด ประหยัด

“คีก็ไม่ค่อยหิว น้ำกินก่อนเลย” คีตอบผมพลางเดินไปรินน้ำใส่แก้วดื่ม

“แหม ไม่ค่อยหิว อิ่มอกอิ่มใจละสิมึ๊งงง” ฟิวพูดล้อๆ

“หึๆ” คีหัวเราะแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปเลย

“น้ำไปอาบน้ำรอเลย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” จอมไล่ผมที่นั่งท้าวคางมองอยู่ตรงโต๊ะอาหาร

“จอมจะกินเป็นเพื่อนน้ำรึป่าว” ผมถามจอมที่กำลังตวงข้าวใส่หม้อเตรียมหุง

“เอ๊า สงสารคนแถวนี้ไม่มีเพื่อนกินข้าว จะกินเป็นเพื่อนแล้วกัน” จอมหันมาตอบผมแล้วยิ้มน้อยๆ

“จอมใจดีที่สู๊ดดดด มิน่าล่ะ เลยมีสาวน้อยมาแอบชอบ” ผมพูดเสียงดังพร้อมกับวิ่งขึ้นบันไดไปอาบน้ำ

 ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงมานั่งกินข้าวรอจอมที่โต๊ะ ส่วนคีกับฟิวนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา ซักพักจอมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“จอม น้ำตักข้าวให้แล้วนะ” ผมบอกจอมแล้วตักข้าวเข้าปาก อร่อยจัง ฝีมือไม่มีตก

“ฟิว รู้รึป่าวว่าบ้านพี่อาร์มอยู่แถวไหน” ผมถามฟิวที่เดินมาหยิบปีโป้จากตู้เย็น

“อือ ก็อยู่แถวๆบ้านจอมไม่ใช่เหรอ”

“อ้าวเหรอ ไปบ้านจอมตั้งหลายหน ไม่เห็นรู้เลย”

“น้ำอย่ามัวแต่คุย รีบๆกินข้าว” คีที่ปิดทีวีเมื่อไหร่ไม่รู้เดินเข้ามาในห้องครัวแล้วนั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม บอกผมพร้อมกับเอาช้อนตัดไข่เจียวใส่จานให้ผมไปด้วย

“มึงไม่เอาข้าวใส่ช้อนป้อนน้ำเลยล่ะ” จอมพูดแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆผม

“เออ กำลังทำอยู่” คีตอบพร้อมกับตักข้าวกับไข่ใส่ช้อนเตรียมไว้ให้ผมที่นั่งเคี้ยวข้าวอยู่


เราไปถึงบ้านพี่อาร์มประมาณทุ่มครึ่งครับ พึ่งสังเกตว่าบ้านที่อยู่ถัดจากบ้านจอมสามหลังเป็นบ้านพี่อาร์มนะเนี่ย

“มาช้านะมึง” แซ็กเดินเข้ามาทักพวกผมที่กำลังเดินหาโต๊ะนั่ง

“เออ รอคนกินข้าวอยู่ว่ะ” คีพูดแล้วหันมายักคิ้วให้ผมล้อๆ

“แหะๆ” ผมได้แต่หัวเราะเก้อๆให้แซ็กที่มองมายิ้มๆ

พวกเราเดินตรงเข้าไปนั่งตรงเสื่อที่ปูอยู่กับพื้น

“มาๆ นั่งๆ” เต้ที่มือขวาถือแก้วน้ำสีอำพันอยู่กวักมือเรียกให้พวกผมนั่งลง ดูจากหน้าตาแล้วคงกำลังกรึ่มๆได้ที่

ผมนั่งลงแล้วมองดูรอบๆ บ้านพี่อาร์มเป็นบ้านขนาดกลางสองชั้น แต่สนามหน้าบ้านนี่กว้างพอสมควร คือทางเข้าบ้านพี่เค้าไกลจากตัวบ้านซักสามร้อยเมตรได้ และตอนนี้บริเวณนั้นได้กลายเป็นลานจอดรถไปแล้ว รอบๆตัวบ้านมีพุ่มไม้หนาๆสูงประมาณสองเมตร ตัดแต่งอย่างดีปลูกไว้เป็นรั้วสีเขียวล้อมบ้านอีกชั้นหนึ่ง และตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องร้อยกว่าชีวิต บ้างนั่งบนโต๊ะ บ้างนั่งบนเสื่อ ตรงกลางสนามคือโต๊ะอาหารบุฟเฟ่และเตาปิ้งบาบีคิว ส่วนด้านซ้ายมือสุดของสนาม พี่ๆหลายคนกำลังต่อสายเครื่องเสียง

ฟิวกับคีลุกไปตักอาหารแล้วครับ ส่วนจอมก็นั่งดื่มกับเพื่อนไป

“น้ำเอาป่าว” ป็อบยื่นแก้วเหล้าที่ผสมแล้วให้ผม

“มึงวางไว้ตรงนั้นเลย เดี๋ยวพ่อมันได้มาเพ่นกบาลมึง” จอมบอกป็อบแล้วจิบเหล้าที่อยู่ในมือ

“อ่ะๆ กูล้อเล้น นี่เลย ของน้ำต้องน้ำแดง” ป็อบทำหน้าทะเล้นใส่จอมแล้วรินน้ำแดงแฟนต้ายื่นให้ผมแทน

ความจริงผมก็อยากลองนะ เคยชิมเหมือนกัน รู้แต่ว่าขม คือมันอยากรู้อ่ะ ว่าถ้าดื่มเยอะๆแล้วมันอร่อยยังไง เห็นกินกันจัง

“จอม อยากกินมะม่วง” ผมบอกจอมที่กำลังหยิบข้าวเกรียบเข้าปาก

จอมหันมามองหน้าผมแล้วทำหน้าประมาณว่า ไมมึงเรื่องมากจริง

“ง่ะ น้ำไปเอาเองก็ได้” ผมทำหน้างอแล้วลุกไปเอามะม่วงตรงถาดผลไม้

“น้องน้ำ มาเมี่อไหร่ครับ พี่ไม่เห็นเลย” พี่ภูที่เดินถือสายไฟทักผมที่กำลังจะเดินกลับไปนั่ง

“ซักทุ่มกว่าๆครับ พี่ภูกินข้าวรึยัง”

“ยังเลยครับ ต่อไฟเสร็จพี่ว่าจะไปกินอยู่เหมือนกัน น้ำล่ะ กินรึยัง” พี่ภูพูดกับผมยิ้มๆ

“เรียบร้อยแล้วครับ พี่ภูกินมะม่วงมั้ย” ผมถามพร้อมกับยื่นจานมะม่วงไปตรงหน้าพี่ภู

“ตามสบายเลยครับ พี่ขอตัวก่อน” พี่ภูพูดแล้วผละไป

ผมกลับมานั่งก็เคี้ยวมะม่วงไป มองบรรยากาศในงานไป ฟิวกับคีที่กินข้าวแล้วก็มีแก้วเหล้าอยู่ในมือทั้งคู่

เพลงที่เปิดคลอเบาๆกับลมเย็นๆทำให้รู้สึกเพลินดีครับ สักพักก็มีพี่ผู้ชายปิดเพลงแล้วเอาสายเสียบกีตาร์พร้อมกับปรับไมค์ร้องเพลงสดกันเลยครับ

“ใครอยากฟังเพลงอะไร ขอมาได้เลยนะครับ”

พี่เค้าก็เล่นไปเรื่อยๆ ส่วนมากเป็นเพลงเบาๆฟังสบายๆ สลับกับเพลงเพื่อชีวิต ผมเองก็นั่งฟังไปคุยไปกับเพื่อนๆที่นั่งอยู่ในวงเดียวกัน บางทีก็มีคนเดินผ่านมาชนแก้ว สนุกดีครับ

“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีผมขอมาทำหน้าที่นักร้องจำเป็นซักหน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ” ผมหันไปมองตามเสียงก็เห็นพี่ภูนั่งลงตรงเก้าอี้แทนนักร้องแล้วรับกีตาร์จากพี่คนที่ลุกไป

“กรี๊ดดดดดดดดดด ไม่ว่าค่า” ป๋อมแป๋มที่นั่งอยู่อีกฝั่งสนามกรี๊ดแล้วโบกไม้โบกมือให้กับพี่ภู

พี่ภูก็เล่นกีตาร์แล้วร้องไปเรื่อยๆ

“คือ เพลงต่อไปที่จะร้อง ผมขอมอบให้กับน้องคนหนึ่งครับ ผมก็จีบเค้ามาได้ซักเดือนกว่าๆแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าน้องเค้ารู้รึป่าวว่าผมสนใจเค้าอยู่” พี่ภูพูดแล้วยิ้มเขินๆ

“ฮิ้วววววววว” เสียงโห่ดังจากทางพี่ๆม.5/2

“เค้าคนที่ไม่รู้คือหนูใช่มั้ยคะ”และเสียงจากสาวๆหลายคนตะโกนตอบ

“ฮะๆๆ” พี่ภูหัวเราะน้อยๆแล้วเริ่มบรรเลงเพลงครับ

อ่า ผมไม่ได้รู้สึกไปเองใช่มั้ยว่าพี่ภูมองมาทางนี้

One Direction - One Thing ฟังตรงลิงค์นี้ไปด้วยจะได้ฟีลมากขึ้นนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=EDv7efxb4No

I tried playing it cool but when I'm looking at you   
ผมพยายามจะทำเฉย แต่เวลาที่ผมมองเห็นคุณ
I can't ever be brave cause you make my heart race   
ผมไม่เคยจะกล้าพอ เพราะคุณทำให้ใจผมเต้นแรง
Shot me out of the sky You're my kryptonite   
คุณเป็นแร่ Kryptonite ของผม ที่ทำให้ผมร่วงลงจากท้องฟ้า (kryptonite คือสิ่งเดียวที่ทำลายsupermanได้)
You keep making me weak Yeah, frozen and can't breathe
คุณทำให้ผมอ่อนแอ สะกดนิ่ง และไม่อาจหายใจ
Some things gotta give now
จะต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะตอนนี้
Cause I'm dying just to make you see
เพราะผมอยากทำให้คุณเห็นเหลือเกิน
That I need you here with me now
ว่าผมต้องการคุณที่นี่เดี๋ยวนี้
Cause you've got that one thing
เพราะคุณมีอะไรบางอย่างนั่น
* So get out, get out, get out of my head
เพราะงั้น ออกมาจากหัวของผมได้แล้ว
And fall into my arms instead
และมาอยู่ในอ้อมแขนของผมแทน
I don't, I don't, don't know what it is
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
But I need that one thing
แต่ผมต้องการสิ่งนั้น
And you've got that one thing
และสิ่งนั้นมันก็อยู่กับคุณนั่นแหละ
Now I'm climbing the walls But you don't notice at all
ผมก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลาย แต่คุณก็ไม่สังเกตเห็นเลย
That I'm going out of my mind All day and all night
ว่าผมใจลอยทั้งวันทั้งคืน
Some things gotta give now
จะต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะตอนนี้
Cause I'm dying just to know your name
เพราะผมอยากรู้ชื่อของคุณมากเหลือเกิน
And I need you here with me now
ว่าผมต้องการคุณที่นี่เดี๋ยวนี้
Cause  you've got that one thing
เพราะคุณมีสิ่งนั้นไงล่ะ
* So get out, get out, get out of my head
เพราะงั้น ออกมาจากหัวของผมได้แล้ว
And fall into my arms instead
และมาอยู่ในอ้อมแขนของผมแทน
I don't, I don't, don't know what it is
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
But I need that one thing
แต่ผมต้องการสิ่งนั้น
And you've got that one thing
และสิ่งนั้นมันก็อยู่กับคุณนั่นแหละ
you've got that one thing
สิ่งนั้นมันก็อยู่กับคุณนั่นแหละ
Get out, get out, get out of my head
ออกมาจากหัวของผมได้แล้ว
And fall into my arms instead
และมาอยู่ในอ้อมแขนของผมแทน
* So get out, get out, get out of my head
เพราะงั้น ออกมาจากหัวของผมได้แล้ว
And fall into my arms instead
และมาอยู่ในอ้อมแขนของผมแทน
I don't, I don't, don't know what it is
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
But I need that one thing
แต่ผมต้องการสิ่งนั้น
So get out, get out, get out of my mind
เพราะงั้น ออกมาจากใจของผมได้แล้ว
And come on, come into my life
และเข้ามาอยู่ในชีวิตของผม
I don't, I don't, don't know what it is
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
But I need that one thing
แต่ผมต้องการสิ่งนั้น
And you've got that one thing
และสิ่งนั้นมันก็อยู่ที่คุณนั่นแหละ
ขอบคุณคำแปลจาก http://meyanee.exteen.com/20120220/one-direction-one-thing และ
        http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=784139&chapter=3

เอ๋ คีเอาแขนมาวางบนไหล่ผมอีกแล้ว เฮ่อ เหนื่อยใจจะบ่น ชอบแกล้งกันอยู่เรื่อย

“น้องน้ำครับ คือพี่ชอบน้องน้ำ ขอจีบได้มั้ยครับ” เสียงพี่ภูพูดผ่านลำโพงดังก้องไปทั่วสนาม

“เอ่อ...” ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยครับ คือมันก็พอรู้นะครับว่าพี่เค้าดูเหมือนจะจีบผมอยู่ แต่ว่าผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ พอมาถึงตอนนี้ก็ชัดแล้วละสิ ทั้งสนามเงียบกริบเหมือนรอฟังคำตอบจากผมอยู่

“กูไม่ให้จีบ” เสียงนิ่งๆจากคนข้างๆดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“ฮิ้วววววววววววววววววว”

วันนี้เห็นคอมเมนต์แล้วคึก 5555 พอกลับจากเรียน เปิดคอมแล้วนั่งแต่งต่อเลย วันแรกๆของการเรียนก็งี้แหละค่า ยังสบายอยู่ คึๆ(ไมตัวเองไม่ยอมอ่านหนังสือหว่า ได้มาเล่มหย่ายยเชียว)  :laugh:

@ คุณ Ipatza เข้ามาดึกนะคะเนี่ย ช่วงนี้เชียร์กันได้เต็มที่ค่า แอบอยากยื่นมือรับเวลา คึๆ ขอบคุณที่มาเมนต์ให้นะคะ

@ คุณ atblueann เดี๋ยวก็รู้เนอะว่าคีไปทำอะไรที่สีแดง ก็รอดูต่อไปแล้วกันเนาะว่าใครจะเป็นพระเอก จะว่าใสมันก็ใสนะคะ แต่ว่าดราม่านี่น่าจะมีนะคะ แต่ไม่ใช่ช่วงนี้แน่นอน คนแต่งก็ไม่รู้ว่าจะทำให้มันเป็นดราม่าได้รึป่าว ฝากติดตามด้วยนะคะ

@ คุณต้นข้าว มีแต่คนเชียร์พี่ภูเนอะ อ่าเรื่องเข้าไปแก้เดี๋ยวจะลองทำดูนะคะ พอดี low tech มากๆอ่ะ ขอบคุณค่า :pig4:

@ คุณ iforgive เจอแฟนคลับพี่ภูอีกคนแล้ว ฝากติดตามด้วยนะคะ

@ คุณ kasarus โอ๊ะ เจอคนรู้ทัน ฮือ ทำใจลำบาก คนแต่งก็เริ่มหลงพี่ภูแล้วเนี่ย

ไว้เจอกันตอนหน้านะคะ :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา1 02/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: atblueann ที่ 02-04-2012 23:51:59
อ๊ายๆๆ พี่ภูเท่ห์ม๊าก มาก เท่ห์เกิน เท่ห์จริง เท่ห์เกินหน้าเกินตาพระเอก เท่ห์กินใจคนอ่าน อยากกรี๊ดอ่ะ ฮ่าๆๆๆ
น่าร๊าก น่ารักอ่ะ ฮึ ฮึ ตกกระป๋องแน่คีเอ๊ย อยากเจ้าชู้ดีนัก ท่ามากดีนัก มัวแต่ป้อหญิงสม ขอให้เทพบุตรสุดเท่ห์
คาบไปรับประทาน นิสัยไม่ดีเอก มัวแต่ทำเป็นหวง เป็นห่วง แล้วไปจีบหญิง ชิชิ นิสัยไม่ดี
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา1 02/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-04-2012 23:52:35
พี่ภูเป็นแบบพระรองเกาหลีแล้วกันเนอะ
เพราะยังไงใจน้ำก็เต้นกับคี อิอิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา1 02/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 03-04-2012 01:22:41
เอิ้กกกกกกก  อิคี หมาหวงก้างจิงเว้ยยยยยย  หึหึหึ
พี่ภูเท่อ่าาาา  ชอบเพลงมากกก
ถ้าีมีคนมาร้องเพลงนี้จีบนี่ เอาเป็นแฟนแบบไม่ต้องคิดเลยเหอะ
น้ำจะว่าไงน้าาาา
มาอัพไวๆนะค้าาาา รอลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา1 02/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 03-04-2012 21:49:26
โอ้วววว โนวววว รักที่สุดพี่ภู

คีมาเสือกไรด้วยเนี๊ย นับวันยิ่งน่ารำคาญ


น้ำตอบตกลงซิ ให้คีมันดิ้น
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 03-04-2012 23:54:59
เมา2

“ใครจะจีบน้ำห้องสิบต้องมาขอนุญาตเพื่อนผมก่อนนะคร้าบบบ” เสียงโจกับแซ็กตะโกนขึ้นหลังจากเสียงโห่

“ฮะๆ เพื่อนน้องน้ำบอกไม่ให้จีบ แล้วน้องน้ำล่ะครับ” ฮือออ อายครับอาย เกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาอายที่สุดก็วันนี้แหละ

“เพื่อนภู ใจว่ะ 555” พี่ๆเพื่อนพี่ภูนัดกันตะโกนเชียร์เสียงดัง

ผมไม่รู้ทำไงเลยลุกเลยครับ เดินไปตรงที่พี่ภูนั่งร้องเพลง คว้าแขนพี่เค้าแล้วก้มหน้าก้มตาลากออกไปหาที่เงียบๆคุยดีกว่า

“พี่ภูครับ ตามมานี่หน่อยได้มั้ย” ขนาดไม่ได้มองรอบๆนะเนี่ย ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง อ่า หน้ามันร้อนๆเนอะ

พี่ภูเองก็รีบวางกีตาร์เพราะผมที่ยืนยื้อข้อมือของพี่เค้าอยู่ ตอนลากแขนเค้ามารู้สึกว่าพี่ภูจะสะดุดสายไฟด้วย

ผมลากพี่ภูเดินไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณหลังบ้านของพี่อาร์มก็ปล่อยแขนพี่เค้า อดรู้สึกอึดอัดนิดๆไม่ได้

“น้องน้ำครับ ตกลงว่ายังไง พี่อยากรู้” เสียงพี่ภูดังมาจากข้างหลัง

ผมสูดหายใจลึกเข้าปอดแล้วหันหน้าไปหาพี่ภู ไม่กล้าสบตาเลยครับ

“คือน้ำหน่ะ ไม่ได้ชอบพี่ภูหรอกนะครับ” ผมตอบออกไปพลางเอามือกุมกันแน่น

“เรื่องนั้นพี่รู้แล้วครับ” หืม ผมเงยหน้ามองพี่ภูทันทีเลย รู้แล้วทำไม...

“พี่เลยขอจีบอยู่นี่ไงครับ” ง่า แพ้ร้อยยิ้ม ทำไมถึงพูดแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเลยอ่ะ 

“ว่าไงครับ ตกลงพี่จีบน้ำได้มั้ย” พี่ภูถามซ้ำ ผมที่พึ่งตั้งสติได้แต่มองพี่ภูตาปริบๆ

“คือ น้ำ น้ำเป็นผู้ชายนะครับ” มันไม่รู้จะตอบยังไงหน่ะสิครับ ผมหน่ะ ไม่เคยมีใครเข้ามาจีบ พี่ภูเป็นคนแรกเลยนะครับ แล้วพี่ภูก็เป็นผู้ชายด้วย

“พี่ก็เป็นผู้ชายครับ แต่พี่ชอบน้ำ” ง่ะ ออร่าที่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มนี้นี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย เคยมั้ยครับแบบว่ามีคนพูดตรงจนเราทำอะไรไม่ถูก ผมพึ่งเจอกับตัวเองวันนี้แหละคร้าบบ

“แต่ น้ำ น้ำ...ไม่รู้”

“อืม งั้นเอางี้ พี่ขอถามอะไรน้ำได้มั้ยครับ” พี่ภูยืนกอดอกแล้วมองเข้ามาในตาของผม

“น้ำรู้สึกรังเกียจพี่รึป่าว”

ผมนิ่งนึกซักครู่แล้วส่ายหัว คือพี่ภูดีกับผมมาก ผมจะรังเกียจพี่เค้าได้ยังไง

“พี่บอกน้ำไปแบบนี้แล้วน้ำไม่โกรธพี่ใช่มั้ยครับ” พี่ภูถามผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลง

“โธ่ พี่ภู น้ำจะไปโกรธพี่ได้ยังไงล่ะครับ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้พี่ภูที่ยิ้มรับทันทีที่ได้ฟังคำตอบจากผม

“อืม งั้นน้ำช่วยรับพี่ไว้พิจารณาด้วยนะครับ” พี่ภูพูดพร้อมกับยื่นมือมาดึงแก้มผมเหมือนที่ชอบทำ

“อ่า เอี๋ยวแอ้มอ้ำอานอด(เดี๋ยวแก้มน้ำยานหมด)”

“ฮึๆ” แน่ะยังหัวเราะอีก

“น้ำ” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นข้างหลัง พี่ภูเองก็ปล่อยมือจากแก้มผม

“หือ ว่าไงเหรอคี” ผมหันไปก็เห็นคีครับ

“เอ่อ จอมให้มาตามหน่ะ” คีเข้ามายืนข้างๆแล้วยกมือพาดไหล่ผม

“ไปเถอะ เพื่อนมาตามแล้ว” พี่ภูพูดพร้อมกับยกมือขยี้หัวผม

“เจอกันในงานนะพี่” คีบอกพี่ภูพร้อมกับกอดคอผมเดินกลับเข้าไปในงาน

พอผมเดินกลับเข้าไป ก็เห็นว่างานคึกครื้นขึ้น จากสนามหญ้าที่มีเก้าอี้กับกีตาร์กลายเป็นฟลอร์เต้นไปแล้ว หลายคนกำลังออกสเต็ปกันอย่างเมามัน พอผมกลับไปนั่งบนเสื่อ เพื่อนๆหลายคนที่นั่งอยู่ก็เงียบแล้วมองครับ

“เพื่อนน้ำครับ คือว่าเพื่อนๆอยากทราบว่าที่หายไปนานสองนานนี่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างครับ” ป็อบถือตะเกียบแล้วทำท่าผู้สื่อข่าวถามคำถามผม

“ก็...ก็ ไม่มีอะไรหรอก คุยกันธรรมดา” ผมก็คุยกับพี่ภูเหมือนปกตินี่นา

“แล้วเอ่อ จากเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไป ตกลงแล้วเพื่อนน้ำให้โอกาสพี่ภูสุดหล่อจีบรึป่าวครับ”

“เออ...น้ำก็...”

“พอเลยมึง เล่นไรไร้สาระ” “ผั๊ว” คีพูดตัดบทขึ้นมาแล้วตบหัวป็อบไปหนึ่งที

“โหย ไอ้คีจะได้เรื่องแล้วเชียว” “หวงก้างว่ะ” หลายเสียงบ่นเข้ามาให้ได้ยิน

“กูอุตส่ารอถาม ไปแด๊นซ์ดีกว่า” ป็อบพูดจบก็ถือแก้วเหล้าเดินออกไป

“เฮ้ย กูไปด้วย” หลายคนก็ทยอยเดินตามไป คีกับฟิวก็เดินตามออกไปเหมือนกันครับ ตอนนี้ในวงเหล้ามีแค่จอม เต้ โจและผมที่ยังนั่งอยู่

“อ่ะ น้ำ มะม่วง กินให้หมด” จอมยื่นจานมะม่วงให้ผมแล้วหันไปจิบเหล้าต่อ

ผมเลยนั่งเคี้ยวมะม่วงมองนั่น มองนี่ไปเรื่อยๆ ในวงที่เริ่มกรึ่มๆ พูดไม่หยุดเลยครับ ฟังคนเมาเล่าแล้วฮาดีเนอะ

“แก๊งๆๆ” จู่ๆโจก็เอาตะเกียบเคาะจาน

“มึง รู้รึป่าว หน้าหนาวแล้วไปกินหมูกระทะบ้านกูกัน” ถ้าจะเคาะเพื่อบอกสิ่งนี้

“กินหน้าร้อนไม่ได้เหรอวะ” เต้ถามขึ้น

“ไม่ด้ายย กินหน้าหนาวมันอร่อยนะมึ๊งง” สงสัยจะอร่อยกว่าจริงๆ เหอๆ

“วันก่อนฝนตกฟ้าร้องดังมาก กูกลับบ้านแล้วตกใจ ผ่านมาสิบปีไม่มีครั้งไหนดังเท่าครั้งนี้เลยนะเว้ย” โจพูดขึ้น

“อ้าว วันนั้นหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดไม่ใช่เหรอ” เอ่อ เต้ ได้ข่าวว่าบ้านโจอยู่คนละจังหวัดนะ

“เหรอ กูก็ว่า ทำไมเสียงดัง” อ้าว โจ ตกลงก็รู้เรื่องไปกับเค้าเรอะ

เฮ่อ ฟังแล้วปวดจิต

“จอม น้ำง่วง” ผมบอกจอมที่นั่งดื่มเงียบๆ คือจอมนี่เป็นคนชอบนั่งกินเหล้าเงียบๆ นิ่งๆ แต่น่าแปลกนะครับ ผมไม่เคยเห็นจอมเมาเลย

“ไปตามคีกับฟิวดิ มันเต้นอยู่กลางวงนั่นไง” จอมพูดพร้อมกับยืดตัวมองหาคีกับฟิว

“เออ จริงด้วย เดี๋ยวน้ำวิ่งไปตาม” ผมพูดแล้วลุกขึ้นเลยครับ เดินแหวกฝูงชนเข้าไป เสียงเพลง Danza Kuduro ที่ประกอบหนังเรื่อง Fast and Furious 5 ดังกระหึ่ม

“น้องน้ามมมมม” ขณะที่ผมกำลังมองหาคีกับฟิวอยู่นั้น พี่พลอยเซเข้ามาทักพร้อมกับจับแขนผมไว้

“ครับ พี่พลอยเมาแล้วนะ ไปนั่งพักก่อนมั้ย” ผมถามเมื่อเห็นท่าทางยืนไม่อยู่ของพี่แก

“ไหวค่า” พี่พลอยพูดพร้อมกับชูแก้วเหล้าขึ้น

“คือน้ำ ตามหาคีกับฟิวอยู่ พี่พลอยเห็นบ้างรึป่าว”

“เห็น... แต่ม่ายยบอก” อ้าวเป็นงั้นไป

“งั้นพี่พลอยปล่อยน้ำก่อนนะ น้ำขอเดินไปหาคีกับฟิวแล้วเดี๋ยวกลับมา” ผมบอกพี่พลอยที่ยังไม่ยอมปล่อย แถมยังยืนเต้นแบบโงนเงนไปด้วย สามารถจริงๆครับคนเรา

“ง้าน กินนี่หมดแก้วก่อน แล้วพี่จาบอก” พี่พลอยพูดพร้อมกับยัดแก้วเหล้าใส่มือผม

“จะดีเหรอครับ” ผมมองเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วแล้วคิดหนัก เพราะคีสั่งว่าห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด

“ถ้าไม่โหมด พี่ไม่ปล่อยปายจริงๆด้วย” พี่พลอยพูดแล้วใช้สองมือจับแขนผมไว้แน่นกว่าเดิม

ผมมองเหล้าครึ่งแก้วนั้นอย่างชั่งใจ เอาวะ ครึ่งแก้วเอง ผมกลั้นหายใจแล้วกระดกหมดแก้วเลยครับ

รู้สึกถึงรสชาติเฝื่อนและร้อนในคอ แล้วโลกทั้งหมดก็กลับหัว

“ตุบ”

<จอมทัพ> พิเศษเฉพาะกิจ

ผมรู้สึกว่าน้ำไปนานเกินไปละ ให้ไปตามหากลับหายไปกับเค้าอีกคน ไม่น่าให้ไปเองเล้ยย

และขณะที่ผมกำลังเดินหาทั้งสามคนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นน้ำกำลังดื่มอะไรบางอย่าง พริบตาเดียวเท่านั้นแหละครับ ลงไปกองกับพื้นเฉยเลย

“เฮ้ยย” เสียงคนที่อยู่แถวๆนั้นตกใจพากันเขยิบออกไป

ผมก็รีบวิ่งเข้าไปสิครับ

“น้ำๆ” ผมวิ่งเข้าไปประคองพร้อมกับเรียกชื่อเจ้าตัวไปด้วย

“จอมมม พื้นเอียงๆเนอะ” งานเข้าแล้วไงกู

“ลุกไหวมั้ยเนี่ย กลับไปนั่งกับจอมเถอะ” ผมบอกน้ำพลางพยุงให้ลุกขึ้น

“น้ำอยากกินอีกแก้วอ่ะ” ยืนยังเอียงๆยังจะเอาอีกแก้ว

“ไม่กินแล้ว น้ำเมาแล้ว กลับไปนั่งเร็ว”

“ไม่เอาจะเอาอีกแก้ว” ไม่พูดเปล่าครับ สะบัดตัวแล้ววิ่งหนีด้วย ผมจะดูเฉยๆเรอะ วิ่งไปคว้าสิครับ

“จอม น้ำไม่เมา เอาอีกแก้ว” คราวนี้ผมไม่ชะล่าใจ รัดมันพร้อมกับออกแรงลากให้กลับไปนั่งด้วย น้ำก็ขืนตัวสุดแรงแหละครับ แต่มีเรอะ คนเมาแถมตัวเล็กแบบนี้ผมจะเอาไม่อยู่

“จอม น้าจอม นะๆ” อ้อนไปก็ดิ้นไป ผมเลยรวบแขนแล้วลากเอวออกมาเลย

“เอางี้ กลับไปนั่งกินด้วยกันป่ะ”

“โอเค” เออ คราวนี้ยอมเดินไปดีๆแฮะ แต่ผมยังจับแขนเจ้าตัวไว้แน่นอยู่ครับ เดี๋ยววิ่งไปอีกแล้วแย่เลย

“เอ้า ถึงแล้ว นั่ง” พอถึงปุ๊บ น้ำทิ้งตัวนั่งลงไปเลย ผมเห็นสภาพโงนๆเงนๆเลยจับมันพิงไหล่ไว้ก่อน

“จอม อีกแก้วไง” เออ ให้มันได้ยังงี้ ผมเลยจัดการชงแบบจางๆให้ พอน้ำรับแก้วไปก็ดื่มเลยครับ

“จอม ทำไมสีมันจาง น้ำจะผสมเอง” เอ๊า เมาแล้วยังเสือกรู้อีก

“ไม่ได้ จะกินไม่กิน” ผมพูดแล้วคว้าแก้วเหล้าที่อยู่ในมือน้ำออกมาถือไว้ น้ำก็เอนตัวจะคว้าคืนแต่แขนมันไม่ถึง

“อือ กินนน” ผมเลยยื่นแก้วคืนให้

“น้ำ โชนนน” เชี่ยโจกับเชี่ยเต้ เห็นน้ำเมาแล้วเอาใหญ่ครับ

“โชนนน คิกๆ” เออ เอาเข้าไป เพื่อนกู

น้ำหันไปชนแก้วกับพวกโจกับเต้ไปเรื่อยๆ ผมก็นั่งมองมันไป

“จอมมม นั่งเหยียดขาดิ๊” จะเล่นอะไรละเนี่ย

ผมก็ทำตามที่น้ำบอกนะครับ พอผมเหยียดขาเท่านั้นแหละ มันจับขาผมแยกออกแล้วซุกตัวเข้ามานั่งพิงอกผมทันทีเลย

“น้ำ นั่งดีๆ” ผมเลยปรามเสียงเข้ม

“ไม่อาว นั่งแบบนี้สบายดีนะ” น้ำก็นั่งพิงอกผมไปกินเหล้าไป พอเหล้าหมดมันก็ส่งแก้วให้ผมเติมให้

ผมเองก็มองหาไอ้คีกับฟิวครับ หายหัวไปทั้งคู่นะพวกมึง

เห็นไอ้ฟิวแล้วครับ ไอ้นี่ก็เต้นแบบลืมโลก จะไปเรียกยังไงเนี่ย

มองๆไปก็เห็นไอ้คีที่มองมา นึกว่าไปไหน ที่แท้ยืนคุยอยู่กับพี่ภู คีหัวเสียมากครับกับการกระทำของพี่ภูวันนี้ คือมันดูแลน้ำเหมือนลูก ผมที่เป็นเพื่อนกับคีมาตั้งแต่อนุบาลหนึ่งก็พึ่งเคยเห็นมันห่วง หวงเพื่อนขนาดนี้ อาจเป็นเพราะน้ำมันตัวเล็กๆ ซื่อๆ น่าตาก็น่ารัก ที่สำคัญน้ำเป็นคนมีน้ำใจครับ ใครบอกอะไรทำหมด ผมกับฟิวที่เฉยๆเลยติดนิสัยต้องคอยดูแลน้ำแทนไอ้คีไปโดยปริยาย เพราะโดยส่วนตัวแล้วน้ำเป็นเพื่อนที่ดีนะครับ คอยพูดคอยอ้อนให้กลุ่มมีสีสัน เวลาได้แกล้งมันก็สนุก อารมณ์เดียวกับเวลาเราเห็นอะไรน่ารักแล้วรู้สึกหมั่นเขี้ยวอยากเข้าไปฟัดอ่ะครับ หึๆ

ที่ผ่านมาอย่าคิดนะว่าไม่มีใครเข้ามาจีบน้ำ มีเป็นโขยง แต่คุณคิดว่าใครจะรอดมาได้ วาเลนไทน์กี่ปีๆที่ผ่านมา ไอ้คีก็นั่งเฝ้าทำตาขวาง บางคนฝากดอกไม้พวกผมมา ไอ้คีรู้ก็สั่งให้ทิ้ง ถ้าเป็นพวกขนมมันก็แจกพวกเพื่อนในห้องกิน ใครที่เริ่มเข้ามาตีสนิท มันก็บอกเค้าไปตรงๆว่าห้ามจีบน้ำ ใครไม่ฟัง หรือหมั่นไส้ไอ้คี เค้าก็ท้าตีนะครับ บางครั้งผมเลยต้องพาน้ำกลับบ้านไง ไอ้คีอ้างกับน้ำว่าไปส่งแฟน แต่ความจริงไปตีกับคนที่เข้ามาจีบน้ำนั่นแหละ ไม่ค่อยแปลกใจครับว่าทำไมพราวบอกเลิกไอ้คีแล้วพาน้ำไปตบ พราวนี่ไอ้คีไปส่งบ้านนับครั้งได้ แต่มันตัวติดกับน้ำทั้งวันทั้งคืน ผู้หญิงคนไหนทนได้ก็ทนไป จะว่าคีชอบน้ำ ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะเห็นมันจีบสาวเรื่อยๆ เลยคิดว่าคงแค่หวงเพื่อน แต่พี่ภูนี่ผมยอมรับเลยครับว่าแน่ พี่เค้าดีกับพวกผมมากครับ รู้จักกันมาก่อนจะมีกีฬาสีแล้ว บางครั้งไปกินเหล้าหรือตีกันก็เจอพี่แก บางทีมีโจทก์คนเดียวกันก็เคยมีมาแล้ว ไอ้คีเลยไม่กล้าพูดไปตรงๆ ผมเห็นมันฮึดฮัดเข้าไปขวางเค้าทุกที

“น้องน้ำ ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นครับ” พี่อาร์มที่เดินผ่านมามองพวกผมแล้วทักขึ้น

“พี่อาร์ม หวัดดีคร้าบ” เออ ตอบไม่ตรงคำถามซะงั้น

“มันเมาพี่” ผมเลยหันไปบอกพี่เค้าแทน

“ไม่เมา จอมมั่ว” นี่ขนาดมึงไม่เมานะน้ำ

“ครับๆ ไม่เมาก็ไม่เมา” พี่อาร์มเออออไปกับมันแล้วก็เดินผ่านไป

“น้ำ ไปเต้นกัน” รายต่อไป ไอ้ปอม(ต่อมามันเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองว่าป๋อมแป๋ม)วิ่งมาชวนน้ำกลับเข้าฟลอร์

“อ๊ะ ป๋อมแป๋ม ชนแก้วก่อน” น้ำหันหน้าเข้าอกผมแล้วพยายามยืนเข่ายื่นแก้วไปชนไอ้ปอมใหญ่เลยครับ ผมก็รีบล็อกเอวมันไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวล้มหรือวิ่งพรวดไปอีก

“โชน” เออ กูจะไม่ให้มึงกินเหล้าอีกเลย

“ไปเร็วแก กำลังมันส์เลย” พอไอ้ปอมพูดจบ น้ำดิ้นใหญ่เลยครับ ประมาณว่ามันจะลุกไปให้ได้อ่ะ แต่ผมรัดตัวไว้อยู่ไง

“จอม ปล่อยก่อน น้ำไปกับป๋อมแป๋มแป๊บเดียว เดี๋ยวมา” มีต่อรองวุ้ย ถ้าให้ไปก็ต้องวิ่งจับกลับมาอีกสิ ปล่อยให้โง่เหรอ

“แป๋ม มึงไปเลยไป มาชวนเพื่อนมึงใจแตกอีก” ผมเลยตัดปัญหาโดยการไล่ไอ้ปอมไปแทน

“เออ กูไปก็ได้ น้ำ เดี๋ยวแกไปเต้นด้วยกันนะ” ไอ้ปอมพูดกับน้ำแล้วเดินสะบัดหน้าไปที่ฟลอร์

ไอ้คนในอ้อมแขนนี่เกาะไหล่มองตาละห้อยเชียวครับ ทำเหมือนกับหมาถูกทิ้งเลย

“จอมใจร้าย” แน่ะ มีนั่งน้ำตาซึม

“โอ๋ๆ อยู่เป็นเพื่อนจอมหน่อยนะ” ผมเลยกอดแล้วเอามือลูบหัวน้ำเบาๆครับ คราวนี้นั่งนิ่งเชียว ผมลูบไปเรื่อยๆตามันก็ปรอยๆ เลยเวลาหลับมันแล้วไง

“Boys call you sexy (What's up, sexy)
And you don't care what they say
See, everytime you turn around
They scream your name”

“จอม น้ำรู้จักเพลงนี้” นึกว่าเคลิ้มแล้วเชียว

“หืม ชื่อเพลงอะไร” ตามน้ำไปก่อนครับ อย่างน้อยน้ำก็ยังยอมอยู่นิ่งๆ

“เดี๋ยวน้า ขอน้ำคิดก่อน อืม... When I Grow Up ของ The Pussycat Dolls”

“สนุกดีเนอะ น้ำร้องได้ด้วยนะ”

“ร้องให้ฟังหน่อยสิ” รู้สึกเหมือนกำลังพูดกับเด็กอยู่เลย

“When I grow up
I wanna be famous
I wanna be a star
I wanna be in movies
When I grow up
I wanna see the world
Drive nice cars
I wanna have groupies
When I grow up
Be on TV
People know me
Be on magazines
When I grow up
Fresh and clean
Number one chick when I step out on the scene” เสียงใสๆร้องคลออยู่ตรงอก ผมเองก็นั่งลูบหัวน้ำไปเรื่อยๆ เห็นไอ้คีมันทำบ่อยๆตอนช่วงแรกๆที่น้ำโดนพราวตบ มันลูบหัวจนน้ำหลับไปทุกวัน ผมเลยรู้ว่าน้ำชอบให้คนลูบหัวก่อนนอน

“จอม น้ำร้อนอ่ะ” ไม่พูดปล่าวครับ น้ำจับชายเสื้อจะถลกขึ้นเลย แต่ถอดไม้ได้ครับเพราะผมกอดเอวมันอยู่

“มันร้อนอ่ะ ร้อน” น้ำพูดแล้วเริ่มดิ้น พยายามจะแกะมือผมใหญ่เลย ขามันเลยไปโดนใส่ขวดเบียร์ที่เปิดอยู่ล้มหกโดนกางเกงที่มันใส่อยู่

“โอ๊ะ เปื้อนหมดเลย” เออ เปื้อนเพราะมึงดิ้นนั่นแหละ

คราวนี้น้ำเลยถอดกางเกงออกเหลือแต่บ็อกเซอร์แล้วขว้างออกไปกองนอกเสื่อ

ผมเลยอุ้มมันย้ายไปนั่งมุมอื่นให้ห่างจากพวกขวดเหล้า

นั่งกันท่าเดิมแหละครับ เวลามันดิ้นจะได้จับอยู่

“จอม ร้อน ฮึกๆ” เอาแล้วไง ไม่ให้ถอดเสื้อมันจะเป่าปี่แทน

“อยู่นิ่งๆก่อน น้ำดิ้นก็ร้อนสิ เดี๋ยวจอมเช็ดตัวให้” ผมพูดจบก็ถอดเสื้อตัวเองแล้วคว้าถังน้ำแข็งที่วางใกล้ๆจุ่มเสื้อลงไปแล้วบิดมาเช็ดหน้าให้ไอ้คนที่นั่งนิ่งๆหน้าแดงๆ น้ำตายังคลออยู่เต็มตาเลยวุ้ย

“น้ำห้ามถอดนะ เดี๋ยวโป๊” ผมบอกน้ำที่นั่งนิ่งยอมให้ผมเช็ดตัว ถ้าไอ้คีหันกลับมาดูซักนิดก็คงจะเห็นสภาพลูกมันนอนโชว์ขาขาวอยู่เพราะบ็อกเซอร์ร่นขึ้นมา ตายห่า เดี๋ยวมันได้เคืองผมพอดี

“ฮื่อ” น้ำพ่นลมออกจากจมูกโดยยอมนอนนิ่งๆแล้วเอาผ้าชุบน้ำปิดหน้าไว้

“น้ำ กลับบ้านไปนอนมั้ย เดี๋ยวจอมไปส่ง” ผมถามเมื่อน้ำนอนซบหน้านิ่งอยู่กับไหล่ผม

“ไม่เอา น้ำรอคีก่อน คีไปไหน” อ้าว กูไปกระตุ้นต่อมความจำมันซะงั้น

“เดี๋ยวคีก็ตามกลับไป เราไปรอที่บ้านก่อนไง ดีมั้ย” ผมพยายามกล่อมน้ำที่กำลังชะโงกหน้ามองหาไอ้คีอยู่

“ไม่เอา คีบอกคืนนี้จะนอนกับน้ำ น้ำจะกลับพร้อมคี” ทำไมมึงเมาแล้วดื้อวะ

“จอม เราไปตามหาคีกัน” น้ำเงยหน้ามาคุยกับผม มันมองตาแป๋วเชียวครับ

“นั่งรอนี่แหละ เดี๋ยวคีมันก็กลับมาแล้ว”ผมพูดแล้วกระชับกอดลูบหัวมันไปด้วย เผื่อจะได้เคลิ้มๆหลับไปได้ซะที

“นะจอมนะ คีบอกจะนอนกับน้ำ ไปหาคีนะ” เอาแล้วไง เรียกหาพ่อมันแล้ว ไอ้คีมึงมาเอาลูกมึงคืนไปเร้ว

“น้องน้ำ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ” พี่อาร์มที่เดินตรวจดูความเรียบร้อยทักน้ำที่ดิ้นอยู่กับอกผม ใครที่เมากลับไม่ไหว พี่ๆหลายคนที่ไม่เมาก็ลากขึ้นไปนอนบนบ้าน คือบ้านพี่อาร์มหลังนี้เป็นบ้านเช่าครับ ไม่ใช่บ้านที่พี่เค้าใช้อยู่จริงๆ วันนี้พวกเราเลยกินเลี้ยงกันได้เต็มที่

“พี่อาร์ม หวัดดีคร้าบ” เออ ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้วนะมึง ได้ข่าวว่าเมื่อกี้มึงก็พึ่งไหว้พี่เค้า

“พี่ๆ ผมวานช่วยไปตามไอ้คีกับไอ้ฟิวให้ทีเถอะ บอกพวกมันว่าน้ำเมานะพี่” พี่อาร์มพยักหน้ายิ้มๆแล้วเดินจากไป

“จอม คนดี๊ คนดี พาน้ำไปตามหาคีเถอะนะ” น้ำจับหน้าผมให้หันมาสนใจพร้อมกับรบเร้าให้ไปตามหาไอ้คีต่อ

“พี่อาร์มไปตามให้แล้ว เดี๋ยวคีก็มา มานอนนับแกะตรงนี้เร็ว” ผมบอกแล้วรั้งให้หัวมันซบกับไหล่ น้ำก็ยอมอยู่นิ่งนะครับ

“แกะหนึ่งตัวกระโดดข้ามรั้ว แกะสองตัวกระโดดข้ามรั้ว...แกะสิบเอ็ดตัวกระโดดข้ามรั้ว...” น้ำนอนซบไหล่นับแกะเบาๆอยู่ข้างๆหูผม มือผมก็คอยลูบหัวมัน

ไอ้คีเดินหน้ายุ่งเข้ามาเชียวครับ พี่ภูก็เดินมาพร้อมกันด้วย ผมรีบเอานิ้วชี้แตะปากบอกให้ไอ้คีเงียบเพราะสงสัยน้ำจะหลับแล้ว
คีค่อยๆคุกเข่าข้างผมแล้วเอามือลูบหัวน้ำ

“หลับนานรึยังมึง” ไอ้คีถามผมเบาๆ

“พึ่งหลับเนี่ย เรียกหาแต่มึงนั่นแหละ” ผมเองก็พูดกับมันเบาๆ

ส่วนพี่ภูยืนมองยิ้มๆ

ผมค่อยๆคลายอ้อมกอดแล้วส่งน้ำให้ไอ้คีอุ้มไปที่รถ วันนี้ผมเอารถจากบ้านมาเพราะกลัวว่าจะมีใครเมา แล้วเป็นไง แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง

พอไอ้คีอุ้มแล้วเริ่มเดิน น้ำก็รู้สึกตัว มันปรือตาน้อยๆ หาววอดเลยครับ

“คี น้ำง่วง คีไปไหนมา” น้ำถามคีไปมันก็เอามือขยี้ตาไปด้วย

“คีก็อยู่แถวนี้แหละ” อยู่แถวนี้แต่ไม่มาช่วยกูดูเลยนะมึง

น้ำเริ่มหันมองรอบๆก็เห็นพี่ภูที่เดินอยู่ข้างๆคี หิ้วกางกางที่มันถอดทิ้งไว้มาด้วย มันยิ้มให้พี่เค้าแต่ไม่พูดอะไร

พอถึงรถ ไอ้คีก็นั่งเบาะหลังให้น้ำนอนตัก  พี่ภูก็เดินมายื่นกางเกงให้ผมที่เปิดประตูไปนั่งข้างที่นั่งคนขับ

ส่วนไอ้ฟิวก็กำลังสตาร์ทรถอยู่

จู่ๆน้ำก็โผล่หน้าเอี้ยวตัวมาทางผมที่นั่งอยู่ ไอ้คีนี่ตกใจคว้าไว้ไม่ทัน

“พี่ภู กางเกงน้ำ” น้ำรับกางเกงจากพี่ภูไปครับ

“ไม่ง่วงแล้วเหรอครับ” พี่ภูถามน้ำยิ้มๆหลังจากมันเอี้ยวตัวกลับไปนั่งเบาะหลังแล้วลดกระจกคุยกับพี่ภูที่ยืนก้มตัวคุยกับมันอยู่

“ง่วงครับ น้ำจะกลับไปนอนแล้ว” บอกไปมันก็หาวไปด้วย

“ฮะๆ โอเคครับ” พี่ภูหัวเราะน้อยๆพร้อมกับลูบหัวน้ำ

“ฝันดีนะครับ”

“สัญญานะ” น้ำยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าพี่ภูเฉยเลย เค้าบอกมึงว่าฝันดี ไม่ใช่สัญญา

“ครับ สัญญา พี่ภูก็จะฝันดีเหมือนกัน ดีมั้ย” พี่ภูพูดพร้อมกับเกี่ยวก้อยกับน้ำ

“ครับ” ยิ้มหวานเชียวนะมึง พ่อมึงนั่งทำหน้าโหดมองอยู่ข้างหลังแล้ว

“น้ำ กลับบ้านกันได้แล้ว” มาเสียงนิ่งเลยครับ

น้ำหันกลับไปมองคี แล้วโบกมือลาพี่ภูที่ผละออกไปยืนโบกมือให้เช่นกัน

“บ๊าย บาย” เค้าจะได้ยินมึงมั้ยนั่น ไอ้ฟิวขับถึงประตูรั้วแล้ว น้ำเกาะเบาะมองกระจกหลังพร้อมกับโบกมือค้างให้พี่ภูอยู่อย่างนั้น

“น้ำมานอนนี่มา” คีเรียกน้ำให้นอนครับ

น้ำก็ว่าง่าย เขยิบไปนั่งใกล้ๆแล้วซบอกไอ้คีที่นั่งพิงกระจกรถอยู่ ซักพักคีก็จัดท่าทางให้น้ำนั่งบนตักแล้วกอดไว้ทั้งตัว ไอ้คีนั่งลูบหัวน้ำที่ค่อยๆหลับตาลง

คีมันกระซิบอะไรซักอย่างให้น้ำฟัง ผมเลยหันกลับมามองไปข้างหน้า แล้วรถก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมมองกระจกหลังอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าไอ้ตัวแสบสิ้นฤทธ์แล้วจริงๆ แต่กลับเห็นไอ้คีก้มจูบตรงกลุ่มผมของน้ำ สายตาที่มันมองน้ำดูทั้งรักทั้งห่วง

ผมเลื่อนสายตาให้กลับมาตรงหน้าอีกครั้ง

ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิครับ ตกลงว่าคีมันยังมองน้ำแบบที่เพื่อนมองอยู่รึป่าว

จบบทเฉพาะกิจ <จอมทัพ>

ฮ่าๆๆ อยากจะลงตอนของวันนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ แต่ต้องหลับก่อนเพราะเดี๋ยวไม่ยอมตื่นไปเรียน
(คนแต่งชื่ออิ๋งอิ๋งนะคะ ขออนุญาติใช้แทนตัวเองได้มั้ยคะ)

@ คุณ atblueann ตอนที่ผ่านมายอมรับว่าพี่ภูเท่จริงๆค่ะ อิ๋งแต่งเองกรี๊ดเอง  :o8:

@ คุณ yeyong ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละค่า  o13

@ คุณ smirnoff อิ๋งชอบทั้งเพลงทั้งนักร้องเลย เพลง what make you beautiful ก็สนุกนะคะ ถ้าใครมาร้องเพลงนี้ให้เราแล้วไม่หวั่นไหวให้มันรู้ไป เป็นอิ๋งก็ตกลงแบบไม่คิดเหมือนกันเนอะ  :impress2:

@ คุณต้นข้าว อ่านตอนใหม่แล้วคิดว่าไง อิ๋งเริ่มสับสนว่าตกลงจะให้ใครเป็นพระเอกดี

ตอนหน้าน่าจะมาลงช้าหน่อยนะคะ พอดีเพื่อนนัดให้ช่วยทำการบ้าน ยังไงก็อย่าพึ่งลืมพี่ภู น้องคี น้องน้ำไปนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ที่คอยเป็นกำลังใจค่ะ (เห็นแล้วมันคึก ดึกแค่ไหนก็อยากลงให้จบตอน)

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-04-2012 00:08:20
คีดูแลน้ำแบบนี้ จะว่าหวงเพื่อนก็ไม่ใช่แล้วม้างงง
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 04-04-2012 00:22:50
น๊อล๊อคอะ
น๊อลีอคมากๆ
อยากจะล๊อคแล้วพากลับบ้านหงะ555+
จอมไม่คิดจะหวั่นไหวเลยหงะ
555+
ตอนแรกนึกว่าฟิวจะมีบ้างไรบ้างโห
ไรแว๊
มีแค่พี่ภูมาหลงผิด555+
เซงเบย
คีหวงเกินไปละ
ทำไมไม่ไห้พี่ภูมีโอกาสบ้าง
ตอนต่อไปขอฉากที่คุยกันนะพี่ภูกะคีอะ555+
มาต่อเร็วๆนะ (ยื่นเวลาไห้)55+
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-04-2012 00:23:19
ชอบพี่ภูอ่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: atblueann ที่ 04-04-2012 01:20:07
น้ำน่ารักอ่ะ พี่ภูก็แสนดี อบอุ่น คีเมื่อไรจะชัดเจน จอมแสนดีจัง อบอุ่นมาก น้ำเมาแล้วอ้อนน่ารักอ่ะ สมควรแล้วที่ใครๆๆจะหวงขนาดนี้
นานไหมอ่ะกว่าจะมาต่ออ่ะ กลัวคิดถึงเรื่องนี้อ่ะ จะทนคิดถึงน้ำไหวไหมน้าาาาา
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 04-04-2012 09:29:45
เหนื่อยใจกับนายคี ท่าทางกว่าจะรู้ใจตัวเองคงอีกนาน สงสัยต้องให้พี่ภูรุกหนักกว่านี้อีกหน่อย
จะได้ช่วยเร่งให้อะไรอะไรมันไม่ค้างค้างคาคาแบบนี้

เม้นเรื่องคำที่ใช้แต่งหน่อยนะครับ รู้สึกว่าคนแต่งจะใช้คำว่า "มัน" เยอะเกินไปอะครับ
จนนึกว่านายเอกของเราชื่อ "น้ำมัน" ไปแล้วซะอีก
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 04-04-2012 11:18:31
เปิดเรื่องมาตอนเเรกข้าวคิดว่าเป็นคีที่เป็นพระเอก

เเต่ที่พี่ภูเข้ามาเพื่อให้คีได้รู้ตัวเองมากขึ้น


ถึงจะเชียร์พี่ภูเเต่ก็อยากให้คีเป็นพระเอกอยู่ดีครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 04-04-2012 11:58:51
ห่วงเกินเพื่อนไปแล้วมั้ง
มันไปในทางหวงและหึงมากกว่า
 :m14:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา2 03/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 06-04-2012 23:40:15
เมา(รัก) 3

คุณเชื่อในรักแรกพบรึปล่าวครับ ผมไม่เคยเชื่อ จนกระทั่ง....

“ครืน ครืน” ให้ตายเถอะ วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรกันวะ

เช้าวันนี้ผมไปโรงเรียนสายเพราะนาฬิกาปลุกถ่านหมด เลยต้องถูกทำโทษให้วิ่งรอบสนามสิบรอบ พอเรียนภาษาไทยคาบแรก ผมพึ่งรู้ว่าลืมหยิบรายงานที่นั่งทำทั้งคืนใส่กระเป๋ามาด้วย เลยโดนหักสิบคะแนน(เต็มยี่สิบ) ตอนพักเที่ยง ผมหากระเป๋าเงินไม่เจอ นั่นแสดงว่ามันหาย ในคาบสอบย่อยฟิสิกส์ตอนบ่ายผมทำข้อสอบได้ศูนย์คะแนนเพราะกาผิดช่อง และตอนนี้ผมพึ่งนึกได้ว่าลืมหนังสือเคมีไว้ในห้องแล็บตอนเรียนคาบสุดท้าย ผมคงจะไม่ร้อนใจเท่านี้หากพรุ่งนี้ไม่มีสอบย่อยเคมีคาบแรก

ผมตัดสินใจขับรถไปโรงเรียนเพื่อไปเอาหนังสือเคมีที่ลืมไว้ พอผมก้าวลงจากรถ สายฟ้าแลบแปลบปลาบและเสียงคำรามจากฟากฟ้าทำให้อารมณ์ผมขุ่นมัวเหมือนสีก้อนเมฆในเวลานี้

ผมเปิดประตูรถเพื่อหาร่มที่เก็บไว้ตรงเบาะหลังแต่กลับพบกับความว่างเปล่า

“ภู กูยืมร่มหน่อยนะเว้ย” ภาพไอ้อาร์มที่ยืมร่มผมไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนฉายเข้ามาในห้วงคำนึง

ผมได้แต่ปิดกระแทกประตูรถเพื่อระบายความหงุดหงิด ก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าเข้าโรงเรียนไปที่ตึกวิทย์ ห้องแล็บที่ผมเรียนคาบสุดท้ายของวันนี้อยู่ชั้นสี่ ผมไม่เคยนึกลำบากใจเวลาเดินมาเรียนซักครั้ง แต่ตอนนี้ผมกลับนึกอยากให้ห้องแล็บอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของอาคาร

พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เห็นหนังสือเคมีของตัวเองวางไว้บนตู้เก็บหลอดทดลองที่อยู่ติดกับหน้าต่าง ผมเดินหอบหายใจเข้าไปหยิบหนังสือแล้วรีบวิ่งลงบันได ในใจภาวนาขอให้ฝนอย่าพึ่งตก และเมื่อผมก้าวลงบันได้ขั้นสุดท้าย ผมก็รู้ว่าคำขอของผมคงไม่เป็นผลเพราะฝนห่าใหญ่เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ผมได้แต่นั่งขยี้หัวอย่างหงุดหงิดอยู่ตรงบันได เงยหน้ามองสายฝน พลางนึกประเมินว่าหากวิ่งฝ่าฝนไปจะมีทางไหนไม่ให้ตัวเปียกโชกหรือจะทำยังไงไม่ให้หนังสือที่อยู่ในมือเปื่อยเพราะน้ำฝนเม็ดโตที่ตกลงมา พอมองไปรอบๆก็ได้แต่ทอดถอนใจเพราะโรงเรียนในเวลานี้ปราศจากผู้คน จะให้หาคนรู้จักแล้วขอหยิบยืมร่มคงไม่มีหวัง

ผมนั่งอยู่ซักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินลงบันไดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ผมไม่ได้นึกสนใจหันไปมอง

“เอ่อ พี่ครับ ผมพกร่มมาด้วย ถ้าไม่รังเกียจ พี่จะเดินไปด้วยกันมั้ยครับ” เสียงที่ดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมหันหน้าไปมองคนพูดในทันที

และในตอนนั้น ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มที่ดูละมุนละไมเย็นตาอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ความรู้สึกอุ่นซ่านแผ่เข้ามาในอกจนเผลอยิ้มตอบกลับไป

ใบหน้าเรียวตอบรับกับตาโตๆสองชั้นที่ดูโศกสลด จมูกเล็กๆที่เป็นสีแดงน้อยๆ แผ่ไปถึงแก้มใส ชุดนักเรียนชายม.ปลายกับกระเป๋าเป้สะพายหลังสีน้ำเงิน มือข้างขวาถือร่มสีเหลืองและมือข้างซ้ายถือกระดาษทิชชู่  ถุงเท้าสีขาวที่พับไว้ตรงข้อเท้าเล็ก และ...

“ผมจะเดินไปตรงหลังโรงเรียน พี่จะไปไหนเหรอครับ ฮะ ฮะ ฮัดชิ้วว” ปากบางที่ขยับพูดและการหันหน้าไปจามอีกทางของคนตรงหน้าทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

“พี่จะเดินไปตรงหลังโรงเรียนเหมือนกัน รบกวนด้วยนะครับ” ผมพูดพลางสบตากับ ‘น้อง’ ที่กำลังใช้กระดาษทิชชู่ปิดตรงปากและจมูกไว้

“ขอโทษครับ พอดีผมเป็นหวัด” น้องเค้าพูดแล้วยิ้มแห้งๆให้กับผม

มือเล็กปลดกระดุมร่มและยื่นแขนไปข้างหน้าเพื่อกางร่ม

“พี่ว่า พี่ถือร่มให้ดีกว่านะ” ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปจับมือเล็กที่ถือร่มอยู่

“งั้น ผมถือหนังสือให้พี่แล้วกันเนอะ”  ผมคลายมือให้มือเล็กข้างนั้นที่ยื่นมารับหนังสือจากผมไปถือไว้

กลิ่นแป้งเด็กจากคนข้างๆแตะจมูกเมื่อเราเดินเงียบๆภายใต้ร่มคันเดียวกัน เสียงสูดน้ำมูกของน้องเจ้าของร่มดังเป็นระยะ เสียงฝนที่ตกกระทบร่มและลมที่พัดพาละอองเล็กๆปลิวมาโดนแขนขาวๆ ทำให้แขนสองข้างกอดกระชับหนังสือเคมีเข้ากับตัว ไหล่เล็กที่ห่อเข้าหากัน ทำให้ผมรู้ว่าคนตรงหน้าคงรู้สึกหนาว

เราเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงประตูหลังโรงเรียน

“น้องจะกลับบ้านรึป่าวครับ ให้พี่ไปส่งมั้ย” ผมหยุดเดินและถามคนข้างตัว

“ไม่เป็นไรครับ ผมนัดเพื่อนให้มารับตรงนี้” น้องตอบแล้วยิ้มให้ผม

“พี่ล่ะครับจะกลับยังไง” คิ้วของคนถามขมวดน้อยๆเมื่อเงยหน้าถาม

“รถพี่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝนเริ่มซาลงแล้ว ขอบคุณน้องมากนะครับ” ผมพูดพร้อมกับส่งร่มคืนเจ้าของ

“ให้ผมเดินไปส่งเถอะครับ แค่ฝั่งตรงข้ามนี้เอง” ยิ้มบางๆของคนตรงหน้าทำให้ผมไม่กล้าปฏิเสธ

ผมพยักหน้ารับพร้อมกับแตะหลังน้องเค้าเพื่อให้ข้ามถนน

“ขอบคุณมาก ไม่เปลี่ยนใจให้พี่ไปส่งแน่ๆใช่มั้ย” ผมบอกขอบคุณและถามน้องอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ อ๊ะ เพื่อนผมมาพอดี ไปก่อนนะครับ” น้องส่ายหน้าปฏิเสธ และรีบยื่นหนังสือในมือให้ผมเมื่อมองเห็นรถ Nissan March สีขาวขับมาจอดตรงประตูหลังโรงเรียน ก่อนจะวิ่งข้ามถนนไป

ผมปิดประตูรถและนั่งมองหนังสือเคมีที่วางอยู่ตรงเบาะข้างคนขับแล้วยิ้มให้กับตัวเอง ‘บางทีวันนี้อาจไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆเสมอไป’

@ คุณ yeyong นั่นหน่ะสิ แล้วเมื่อไหร่คีจะรู้ตัวซักทีว่าไม่ได้มองน้ำเป็นแค่เพื่อน

@ คุณ Ipatza วันนี้มาต่อแล้วค่ะ แต่สั้นไปหน่อย(เอ๊ะ รึว่าสั้นไปมาก) ตอนหน้าสัญญาว่ายาวกว่านี้แน่นอน(อยากยื่นมือรับเวลาจริงๆ) ฉากที่ขอน่าจะมีตอนหน้านะคะ แค่มีพี่ภูเป็นผู้ท้าชิงคนเดียวทั้งคีทั้งน้ำก็เหนื่อยแย่แล้วล่ะค่ะ

@ คุณ iforgive อ่า มาสั้นๆแต่ได้ใจความ หวังว่าคงชอบตอนนี้นะคะ

@ คุณ atblueann มาลงแล้วนะคะ หายคิดถึงกันรึยังเอ่ย

@ คุณ kasarus อ่านแล้วตลกตัวเอง มีคำว่าน้ำมันเยอะจริงๆด้วย ขอบคุณที่ช่วยดูให้นะคะ แก้เรียบร้อยแล้วค่ะ มาช่วยลุ้นกันต่อดีกว่าเนอะ

@ คุณต้นข้าว ช่วงนี้ทำงานหนักใช่รึป่าวคะ อิ๋งเองก็ไม่ได้แวะไปอ่านเรื่องของน้องมัคต่อเลย(สัปดาห์นี้เหมือนเป็นสัปดาห์รวมเพื่อน เพื่อนมาหาที่บ้านเกือบทุกวัน วันนี้เพื่อนพึ่งกลับตอนสามทุ่ม คุณต้นข้าวยุ่งเรื่องงาน แล้วเรายุ่งเรื่องอาไรเนี่ย) วันก่อนได้แต่เข้าไปดูที่ต้นข้าวบอกว่าจะหยุดลงเรื่องรักแรงก่อน ยังไงก็สู้ๆนะคะ

@ คุณ bulldog17 นั่นหน่ะสิเนอะ แล้วเมื่อไหร่เจ้าตัวเค้าจะรู้ใจตัวเองน้าาา ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้กันนะคะ

อยากบอกว่าคิดถึงคนอ่านมากๆเลย บางวันเข้ามาอ่านคอมเมนต์ก่อนนอนแล้วได้แต่คิดว่า เมื่อไหร่จะได้แต่งต่อน้าา ในที่สุดวันนี้ก็ว่างซักที ขอโทษที่ให้รอนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)3 06/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: atblueann ที่ 06-04-2012 23:49:47
มาน้อยจัง ไม่หายคิดถึงเลย คิดถึงน้องน้ำอ่ะ คิดถึงน้องน้ำๆๆๆๆๆๆๆๆ งือ งือ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)3 06/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 07-04-2012 00:44:47
น้องน้ำไปทำให้พี่ภูประทับใจแบบนี้นี่เอง
แต่รักคี เชียร์คีอยู่น๊า ถึงจะทึ่มๆไม่รู้ตัวเองก็เหอะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)3 06/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 07-04-2012 01:52:18
รักแรกพบ(สบตา) อิอิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)3 06/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 07-04-2012 23:00:24
เฮ้อออ โล่งอกไปที พี่ภูก็มีคู่เหมือนกันนะนี่ เเต่จะลืมน้ำได้ง่ายๆเลยหรอ

ประกาศต่อหน้าเพื่อนๆซะขนาดนั้น

อยากรู้จักน้อวร่มเหลือง เป็นใครกันนะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ สู้ๆเหมือนกันครับ ^^
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 08-04-2012 21:42:20
เมา(รัก) 4

หลังจากวันนั้น ผมไม่ได้เจอ ‘น้อง’ อีกเลย ทั้งๆที่อยู่โรงเรียนเดียวกันแท้ๆ

ผมพยายามจะลบภาพใบหน้าและรอยยิ้มละมุนตาออกไปจากหัว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่ห้วงคำนึงว่างเปล่า ภาพวันฝนตกกลับคอยวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนถูกกดรีเพลอยู่เรื่อยไป

“...เหี้ยภู” เสียงตะโกนข้างหูทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์

“นั่งใจลอยไปถึงดาวอังคารรึยังวะ” ไอ้อาร์มเดินมาทิ้งตัวนั่งทำหน้ากวนส้นอยู่ฝั่งตรงข้าม

“มีอะไรมึง” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ลมเย็นๆที่พัดมาแบบนี้นี่มันน่านอนสุดๆ

“จะมีอะไร วันนี้เจอเชรี่ยพี่มอสห้องหกสวนหลังโรงเรียนไง” จะว่าไปไอ้อาร์มมันทำตัวเหมือนเลขาผมเข้าไปทุกวัน ผิดกันก็แต่เรื่องที่มันคอยเตือนไม่ใช่การเข้าประชุมหรือนัดลูกค้า กลับเป็นนัดมีเรื่องกับชาวบ้าน

“ทำไมอีกวะ คราวที่แล้วกูก็ว่ากูเคลียร์ไปแล้วนะ” ผมเลิกคิ้วถามเชิงแปลกใจ เพราะพึ่งมีเรื่องกันไปเดือนก่อน เรื่องแบบนี้น่าสนุกก็จริง แต่บางครั้งมันก็น่าเบื่อ

“ไอ้พี่มอสไปยุ่งกับเด็กไอ้คี” ไอ้อาร์มหรี่ตาเมื่อพูดถึงชื่อนี้

อัคคี ใจร้อนสมชื่อ กล้าได้กล้าเสีย มุทะลุ แต่สิ่งที่ผมถูกใจและคบหากับรุ่นน้องคนนี้เรื่อยมาคือสัญญาลูกผู้ชายและน้ำใจที่มีให้กันมา

ผมกับไอ้คีเจอกันได้ยังไงหน่ะเหรอ เรื่องมันไม่พ้นเรื่องศักดิ์ศรีและสวนหลังโรงเรียน

“ไอ้ภูมึงมายุ่งกับตาลทำไมวะ” ตรงหน้าผมคือไอ้กรห้องสามที่ตะโกนใส่ผมด้วยความเดือดดาล

“กูไม่ยุ่งกับใครก่อนถ้าเค้าไม่ยอม” ผมได้แต่ตอบออกไปนิ่งๆ มีผู้หญิงมาเชิญชวนในผับ ใครจะปล่อยไป เราตกลงกันแค่คืนเดียวจบ และที่สำคัญตาลบอกกับผมว่าโสด ใครจะไปรู้ว่าตาลคบกับไอ้กรอยู่

“มึงหาว่าตาลยอมนอนกับมึงงั้นเหรอ ตาลไม่ใช่คนใจง่าย มึงอย่ามาหน้าตัวเมียโยนความผิดให้คนอื่น” พูดจบไอ้กรก็พุ่งเข้ามาทันที

“เดี๋ยวพี่” ไอ้กรที่พุ่งเข้ามาและผมที่ตั้งการ์ดรอต่างชะงัก

 คนของฝั่งไอ้กรเข้ามาขวางไว้ ดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นแค่เด็กม.ต้น

“ไอ้คี มึงห้ามกูทำไมวะ เห็นๆกันอยู่ว่าไอ้ภูมายุ่งกับเมียกู” ไอ้กรต่อว่ารุ่นน้องคนนั้นแล้วสะบัดแขนข้างที่ถูกจับไว้

“ผมว่า พี่โทรให้พี่ตาลมาเคลียร์เถอะ ดูๆไปแล้วเพื่อนพี่คนนี้คงไม่ได้โกหกหรอก” น้ำเสียงนิ่งๆของคนพูดและแววตาที่หรี่ลงคล้ายกำลังวัดใจผมอยู่

ไอ้กรล้วงมือถือออกมาโทรอย่างเสียไม่ได้  จากสายตาที่มันมองมายังคงเคืองผมอยู่มาก

พอตาลมาถึง ไอ้กรรีบจูงมือตาลเข้ามา

“ไง ตาล” ผมทักตาลยิ้มๆ

“ภู” ตาลดูอึ้งๆที่เห็นผม

“ตาลไอ้ภูบอกกรว่ามันไม่ได้ปล้ำตาล มันโกหกใช่มั้ย” ไอ้กรที่เห็นตาลชะงักหน้าซีด เอ่ยถามขึ้นมา ปลายน้ำเสียงที่ผมได้ยินแผ่วลงเหมือนคนหมดแรง

“ตาล เอ่อ...” ตาลได้แต่หลุบตาลง

“ตาล บอกกรสิว่ามันโกหก” ไอ้กรจับไหล่ตาลทั้งสองข้างให้หันไปสบตา

“ปล่าวหรอก ภูไม่ได้โกหก ตาลชอบภูมานานแล้ว” สิ้นเสียงตาล ไอ้กรแทบล้มทั้งยืน แขนทั้งสองข้างตกลงข้างตัว  ตามันแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้

“ขอโทษนะตาล” คำพูดของผมทำให้ตาลที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบเดินจากไปเงียบๆ ถ้าผมรู้ว่าตาลไม่ได้คิดว่าเราแค่สนุกกัน ผมคงไม่ตอบรับเธอในคืนนั้น

“กร กูขอโทษว่ะ กูไม่รู้ว่า...”

“เฮ้ย กูสิต้องขอโทษ กูน่าจะเชื่อมึงตั้งแต่แรก...โทษทีว่ะภู” ไอ้กรฝืนยิ้ม มันตบบ่าผมเป็นเชิงขอโทษแล้วเดินจากไป

พวกห้องสามพากันทยอยเดินกลับไปเช่นกัน

“น้อง ขอบคุณมากนะ” ผมตะโกนบอกรุ่นน้องคนที่มาห้ามไอ้กร

ไอ้เด็กม.ต้นไม่ตอบอะไร นอกจากใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างซ้ายแตะตรงหัวคิ้วเป็นเชิงตอบรับ

นับจากวันนั้น ผมก็ได้รู้จักรุ่นน้องคนนั้น มันชื่อว่าอัคคี

คุณคงเข้าใจใช่มั้ยครับว่าเราไม่ได้เป็นนักเลง แต่บางครั้งเรื่องมันวิ่งเข้ามาหาโดยที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรวมกลุ่มเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องคอยช่วยเหลือกันจึงเป็นเรื่องจำเป็น

“เด็กคนไหนของไอ้คี ได้ข่าวว่ามันพึ่งเลิกกับแฟนไม่ใช่เหรอ” เพราะเมื่อสามวันก่อนผมพึ่งไปนั่งกินเหล้าฉลองเป็นโสดกับมันมา

“ไม่รู้ว่ะ ได้ข่าวว่าคนนี้ใครก็ห้ามแตะ” แปลก เวลาไปเที่ยวผมไม่เห็นมันคอยหึงหวงเด็กในสต็อกคนไหน กระทั่งน้องพราวที่มันบอกว่าเป็นแฟน มันยังเฉยสนิท

“ออดดดดด” เสียงสัญญาณสิ้นสุดคาบสุดท้ายของวันทำให้นักเรียนหลายๆคนเก็บกระเป๋าและพุ่งตัวออกจากห้อง ผมและไอ้อาร์มก็เช่นกัน เราเดินไปสวนหลังโรงเรียนด้วยความรวดเร็ว

“กูไม่ให้ มึงจะทำไม” ผมได้ยินเสียงไอ้คีก่อนจะเห็นหน้ามันซะอีก

“มึงเป็นอะไรกับน้องเค้าวะ มึงมันก็แค่เพื่อน มีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู”  สิ้นเสียงไอ้พี่มอส มันกระโจนเข้าใส่ไอ้คีที่ยืนอยู่อย่างไม่ทันตั้งตัว

ไอ้คีเลยล้มลง มันตวัดขาเตะ ไอ้พี่มอสเสียหลักนอนหงายกับพื้น คีเตะอัดเข้าที่ท้องไอ้พี่มอสที่คู้ตัวนอนอยู่

เพื่อนไอ้พี่มอสเห็นท่าไม่ดีจะเข้ามาช่วย แต่พวกไอ้กร ไอ้ฟิวและพวกผมขยับเข้าขวาง ทั้งสองฝ่ายเลยได้แต่มองกันนิ่งๆ

“น้ำเป็นของกู ถ้าแค่นี้มึงยังแพ้ ก็อย่าสะเออะมายุ่งกับคนของกูอีก” ไอ้คีปัดฝุ่นกางเกงแล้วเดินตรงมาทางพวกผมที่ยืนอยู่

“ขอบคุณครับพี่” ไอ้คียกมือไหว้ก้มหัวน้อยๆ

“เออ ไม่เป็นไร ดูแลเด็กมึงดีๆแล้วกัน” ไอ้กรโอบบ่าไอ้คีให้เดินไปพร้อมกัน

พวกผมพากันเดินไปตรงฟุตบาทหลังโรงเรียนเพราะหลายคนจอดรถอยู่ตรงนั้น

“ไง จอม ทำไมวันนี้มาช้าวะ” ไอ้อาร์มทักไอ้น้องจอม เพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้คีที่พึ่งขี่มอไซต์มาจอดตรงข้างฟุตบาท

“ไปส่งเพื่อนมาพี่” 

“เพื่อนหรือแฟนวะ” ผมถามมันยิ้มๆ

“หึๆ นู่น ลูกไอ้คี” ไอ้น้องจอมหัวเราะน้อยๆพลางพยักเพยิดไปทางไอ้คีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“น้ำ อยากกินอะไร”
“โอเค ล็อคบ้านด้วยนะ คีกลับดึก”
“อืม แล้วจะบอกมันให้”

“จอม น้ำฝากบอกมาว่าพรุ่งนี้เอาข้าวต้มกุ้ง” ไอ้คีวางสายแล้วหันมาบอกไอ้น้องจอมที่พยักหน้ารับ

คนปลายสายคงสำคัญไม่น้อย เท่าที่ได้ยิน คงเป็นเด็กไอคีที่ไอ้พี่มอสมันไปจีบ แต่ช่างเถอะ เพราะคืนนี้เราจะไปตั้งวงที่บ้านไอ้อาร์มกัน

ชีวิตผมเรื่อยๆ เฉื่อยๆจนกระทั่งถึงช่วงกีฬาสี ช่วงนี้เด็กม.ห้าวิ่งวุ่นเตรียมงานกันใหญ่ ผมเองที่เป็นหัวหน้าห้องจับพลัดจับผลูกลายเป็นประธานสีไปซะอย่างนั้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เลือกไอ้หน่องห้องแปด

คิดแล้วขี้เกียจ ผมเลยชวนไอ้อาร์มเดินไปรอประชุมเด็กม.สี่ที่ห้องห้า

พอเที่ยงยี่สิบ น้องม.สี่ก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องกันมากขึ้น พวกผมนั่งปรึกษางานกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคุยกับน้องๆ

ผมพยักหน้าให้กับไอ้น้องจอมกับฟิวที่ยกมือไหว้เมื่อเห็นผม ไม่ยักรู้เหมือนกันว่ามันอยู่สีเดียวกัน ไอ้คีเองก็ยกมือไหว้ผมก่อนจะแตะไหล่คนข้างๆที่หันไปอีกทางให้เดินไปนั่งริมหน้าต่าง

ผมกวาดสายตาเพื่อประมาณจำนวนน้องๆ ไอ้อาร์มที่ก้มมองนาฬิกาสะกิดบอกให้ผมเริ่มประชุม

ผมพูดแนะนำเรื่องกิจกรรมตามที่ได้เตรียมไว้ พอผมพูดจบสายตาผมดันไปสะดุดเข้ากับ ‘น้อง’ คนที่อยู่ในห้วงคำนึงเสมอมา

ความรู้สึกซ่านในอกทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้

‘อยากรู้จัก’ ยิ่งมองผมก็ยิ่งอยากเข้าใกล้

“ภู มึงบ้าป่าววะ จู่ๆก็นั่งยิ้ม”

“อาร์ม กูอยากรู้จักน้องคนนั้นว่ะ”  ผมหันไปพูดกับไอ้อาร์มที่หรี่ตามองอย่างจับผิด

“เออ เดี๋ยวกูจัดการให้” ไอ้อาร์มยิ้มมุมปากแล้วผละไป

ผมนั่งมอง ‘น้อง’ ที่กำลังคุยอยู่ในกลุ่มไอ้คี

แปลก ถ้าอยู่กลุ่มเดียวกับไอ้พวกนี้แล้วทำไมไม่เคยเห็น บางทีอาจจะเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน

ขณะที่ ‘น้อง’ กำลังขมวดคิ้วทำหน้าคิด สีหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นอาการแปลกใจเมื่อไอ้สิน(ซินนี่) เดินเข้าไปกลางวง

ตากลมจ้องมองอย่างตั้งใจ มือที่ยกขึ้นมาปิดปากแต่ดวงตากลับปิดไม่มิดว่าเจ้าตัวกำลังยิ้ม และ‘น้อง’ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆไอ้สินเข้าไปจับมือจับหน้าให้หันซ้ายขวา

สีหน้าสลดชวนให้นึกเอ็นดูเมื่อไอ้สินหันไปพูดกับไอ้คี

และในวันนั้น ผมก็ได้รู้ว่าเจ้าของรอยยิ้มละมุนตาในวันฝนตกชื่อ ‘น้องน้ำ’

ความรู้สึกอุ่นๆที่แผ่ตรงหัวใจกลายเป็นเคว้งคว้างว่างเปล่าเมื่อผมได้รับรู้ว่าเด็กไอ้คีที่ไอ้พี่มอสจีบในวันนั้นคือน้องน้ำ

‘น้อง’ มีเจ้าของแล้ว

ทั้งๆที่รู้อย่างนั้น แต่ใจผมกลับไม่ยอมรับ

“จอม เด็กไอ้คีที่ไอ้พี่มอสจีบคือคนนี้รึป่าว”

“คนนี้แหละพี่ ทำไมเหรอ”

“พึ่งคบกันเหรอวะ ไม่เคยเห็น”

“เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.หนึ่งแล้ว อ้อ พูดให้ถูกเป็นลูกไอ้คีมากกว่า” ไอ้น้องจอมพูดแล้วหัวเราะ

“ทำไมวะ”

“พี่ของมันสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน ไอ้น้ำมันดูเด็กๆหน่อยไง ไอ้คีเลยต้องคอยช่วยดู”

“แสดงว่าอยู่กลุ่มเดียวกับพวกมึงตั้งแต่ม.หนึ่ง แล้วทำไมกูไม่เคยเจอ”

“เรื่องแถวสวนหลังโรงเรียนไอ้น้ำมันไม่เข้าไปยุ่งหรอกพี่ ไอ้คีมันก็ห่วง ตัวเล็กแบบนั้น ถ้าเห็นมันต้องเจ็บ ผมก็คงทนไม่ได้”

“แล้วน้องน้ำมีแฟนรึยังวะ”

“มันจะมีได้ไง พี่ไม่เห็นพี่มอสเป็นตัวอย่างเหรอ ใครเข้ามา พ่อมันก็ดักยิงทุกราย”

“ขอบใจว่ะจอม”

อย่างน้อยน้องน้ำก็ยังไม่มีเจ้าของ

เวลาเล่นบาสผมมักจะแกล้งขว้างลูกบาสไปตกตรงทางที่น้องน้ำนั่งอยู่เสมอ

“น้องน้ำ เก็บบอลให้หน่อยครับ” แม้ว่าผมจะจงใจขว้างบอลมาตกตรงนี้บ่อยๆ แต่น้องน้ำกลับไม่เคยเอะใจ น้องวิ่งไปเก็บบอลให้ผมที่ยืนคอยอยู่ทุกครั้ง ผมอยากจะหยุดแววตาที่จ้องมองรอคอยให้ผมรับลูกบอลคืนให้คงอยู่อย่างนั้น อยากให้นัยตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนแค่เพียงภาพของผม

แก้มเนียนถูกผมดึงแก้เขินทุกครั้งไป

ผมไม่สนใจคนที่เข้ามาหา ผมอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าผมแคร์เค้ามากกว่าใครๆ

“เฮ้ย ไอ้พี่ภู อย่าอู้ กลับเข้าสนามมาได้แล้ว”

แต่ผมก็รู้ว่าระหว่างเรามีอุปสรรคกั้นอยู่ตรงกลาง

“พวกมึง น้ำไปเข้าห้องน้ำนานว่ะ กูต้องไปทำฉากต่อ พวกมึงดูของๆตัวเองแล้วกัน” น้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับพวกไอ้คีขณะเรากำลังซ้อม

“แป้ง น้ำไปนานรึยังวะ” ไอ้น้องฟิวถามน้องแป้งด้วยท่าทางร้อนรน

“ซักครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง” น้องแป้งก้มมองนาฬิกาแล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบพวกผมที่ชะงักมองอยู่

สิ้นเสียงน้องแป้ง ไอ้คีวิ่งออกไปทันที ทั้งไอ้น้องจอมและฟิวไปหยิบกระเป๋าเตรียมวิ่งตามไปแต่ผมรั้งมันไว้ก่อน

“ฟิว ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

“น้ำไม่ค่อยสบาย มันเป็นโรคกระเพาะ ไม่รู้ป่านนี้มันเป็นไงบ้าง วันนี้พวกผมขอเลิกก่อนเวลานะพี่” ไอ้น้องฟิวพูดจบก็รีบวิ่งตามพวกเพื่อนมันไป

อกมันหวิวๆ ความรู้สึกกลัวและเป็นห่วงแล่นเข้ามาจับใจ

“อาร์ม กูฝากกระเป๋าด้วย”

ผมรู้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้าไม่เห็นกับตาว่า‘น้อง’ไม่เป็นไร ผมคงนอนไม่หลับ

พอผมวิ่งไปถึงห้องน้ำก็เห็นไอ้คีเดินหัวเสียออกมา

“กูหาน้ำไม่เจอ”

“มึงโทรหารึยัง” ไอ้น้องจอมถามพร้อมกับล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา

“โทรแล้ว น้ำไม่รับสายว่ะ”

“เฮ้ย น้ำไม่ได้เอามือถือไปด้วย” ไอ้น้องฟิวค้นกระเป๋าใบสีน้ำเงินที่ผมจำได้ว่าเป็นของน้องน้ำแล้วล้วงมือถือเครื่องหนึ่งออกมากดดู

“พวกมึง ไอ้กุ้งบอกว่าตอนมันล้างแปรงทาสีมันเห็นพราวมาบอกไอ้น้ำว่าพวกมึงมีเรื่องอยู่สวนหลังโรงเรียน” น้องแป้งวิ่งท่าทางกระหืดกระหอบเข้ามาบอกพวกผมที่กำลังจะออกตามหาน้องน้ำ

สิ้นคำน้องแป้งพวกผมก็วิ่งไปทางสวนหลังโรงเรียน

“จะร้องไห้อ้อนวอนกูเหรอ มึงไม่ต้องมาบีบน้ำตา มึงมันมารยาร้อยเล่มเกวียน แย่งพี่คีมาจากพี่พราวไม่พอ ยังจะอ่อยพี่ภูของกูอีก” อารมณ์ผมปะทุขึ้นเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือ‘น้อง’ที่กำลังถูกทำร้าย

“พี่จำไม่ได้ว่าเคยเป็นของน้องตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ” ผมจ้องมองคนที่กำลังทำท่าจะต่อยน้องน้ำด้วยสายตาเย็นชา

ผมคงจะปราดเข้าไปช่วยน้องน้ำออกมาถ้าไอ้อาร์มไม่รั้งไว้

“น้ำ” เสียงไอ้คีทิ่วิ่งพรวดออกไปแต่ต้องชะงักเมื่อน้องพราวใช้มีดคัตเตอร์จ่ออยู่ตรงคอน้องน้ำ

“เข้ามาอีกสิคี” ผู้หญิงหน้าตาสะสวยแต่ยิ้มร้ายกาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องกลั้นหายใจเมื่อเธอกดใบมีดลงตรงผิวเนื้อขาวๆนั้น

“พราวคิดจะทำอะไรหน่ะ วางมีดลงซะ” ไอ้น้องจอมที่เดินไปจับไหล่เพื่อนมันไว้ตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ใจผมคงจะร้อนรนกว่า

“วางให้โง่หน่ะสิ”

สีหน้าที่ปิดไม่มิดว่ารู้สึกเจ็บปวด ทำให้ผมที่กำลังคิดหาทางต้องโพล่งบางอย่างออกไป

“น้องพราวครับ พี่ว่าใจเย็นๆก่อนดีกว่านะครับ มีอะไรก็ค่อยๆพูดจากัน” ผมพูดพร้อมกับค่อยๆเดินไปยืนข้างๆพวกไอ้คีที่อยู่ใกล้กับน้องพราวมากที่สุดในเวลานี้

หน้าของน้องซีดลงเรื่อยๆ ท่าทางที่พยายามประคองสติไม่ให้ล้มลงกับพื้น และริมฝีปากที่เม้มแน่น ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งเจ็บ

“พราวปล่อยน้ำเดี๋ยวนี้” เสียงไอ้คีคำรามด้วยความโมโห

“รักมันมากใช่มั้ย งั้นแค่กรีดคอศพคงเละไม่พอ ต้องกรีดหน้ามันก่อนสินะ” น้องพราวพูดแล้วกดใบมีดตรงแก้มของน้อง

ความหึงหวงทำให้คนเราทำได้ถึงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้คงบ้าไปแล้ว

น้องที่ท่าทางโงนเงนทำท่าจะอาเจียนออกมา

“พราว ใจเย็นๆนะ พราวอยากได้อะไรบอกพี่” ผมรีบเดินไปกั้นตรงกลางระหว่างไอ้คีและน้องพราวที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ ถ้าหากเราแรงกลับ คนที่เจ็บตัวคงไม่พ้นน้องน้ำ

“ดี แบบนี้ค่อยพูดกันง่ายหน่อย” น้องพราวแสดงสีหน้ายินดีเหมือนรอคำนี้มานาน ผมคิดว่าเธอคงต้องการบางอย่าง เพราะสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือทำยังไงก็ได้ให้เธอปล่อยน้องน้ำให้เร็วที่สุด

“พราวต้องการให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น ห้ามใครแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด และต้องปล่อยพราวไป ห้ามแจ้งความ ห้ามกลับมาลอบกัดหรือยุ่งเกี่ยวกับพราวและเพื่อนๆของพราวที่อยู่ในที่นี้”

“มันชักจะมากไปแล้วนะ พราว” ไอ้คีคำราม แล้วกำมือแน่น ไอ้น้องจอมกับฟิวรีบเข้ามาล็อกตัวมันให้กลับไปยืนข้างหลังผมตามเดิม

ใช่ สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำมันมากไป มากเกินกว่าที่จะให้อภัย

“ทำไม ทำไม่ได้เหรอ” น้องพราวกดมีดลงกับแก้มใส แก้มที่ผมจับอยู่ทุกวัน เลือดที่ไหลซึมออกมากัดกร่อนใจของผมให้แสบร้อนจนแทบทนไม่ไหว

“ได้ แต่พราวต้องปล่อยน้ำก่อน” ในเวลานี้ สิ่งที่น้องพราวต้องการทุกอย่าง ผมจะหามาให้ ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้ ‘น้อง’ ปลอดภัย

“ดี งั้นรับปากสิ” รอยยิ้มที่แสยะขึ้นอย่างพึงใจ แต่ในสายตาผมกลับน่ารังเกียจมากขึ้นทุกที

“ได้ พี่สัญญา”

ผมหันไปส่งสายตาคาดคั้นให้ทุกคนตอบตกลง

“กู จะพยายามทำให้ได้ สัญญา” ไอ้น้องจอมพยักหน้าน้อยๆให้ผมก่อนจะรับปาก

.....

 “กูจะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่แล้วกัน” ผมไม่ทันสังเกตมาก่อนว่าน้องแป้งก็ตามมาด้วย

“พี่รับปาก รีบปล่อยน้องน้ำเถอะครับ” จากสายตาไอ้อาร์ม ทำให้ผมหันไปมอง ภาพน้องที่ทรงตัวไม่อยู่กับอาการพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเจ็บลึกๆในอกจนต้องขบกรามแน่น

“เออ กูรับปาก ต่อไปนี้กูกับมึงอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”

สิ้นเสียงไอ้คี น้องพราวกับพวกหิ้วปีกน้องน้ำผ่านหน้าพวกเราที่ถอยให้เธอผ่านไปแต่โดยดี

“ปล่อย”

ร่างของน้องที่ร่วงลงกับพื้นเหมือนกับภาพช้า

ผมรีบวิ่งเข้าไปดูน้อง แต่คงช้ากว่าไอ้คีที่นั่งกอดน้องไว้แนบอก

“น้ำ น้ำ ได้ยินคีรึปล่าว” ไอ้คีเรียกน้องน้ำพลางเขย่าตัวน้อยๆ แต่ท่าทางน้องคงไม่ได้สติ

“จอมมึงบอกไอ้คีให้อุ้มน้องน้ำตามมา กูจะขับรถพาไปหาหมอ”

คราบเลือดบริเวณแก้มและคอของน้องทำให้ผมลนลานไม่มีสมาธิจะทำอะไรทั้งนั้น รู้ตัวอีกที ผมก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านของตัวเอง

“ไอ้พี่ภู ทำไมไม่ขับไปโรงบาลวะ” ไอ้คีถามผมที่กำลังบีบขมับเรียกสติ

“พ่อ แม่กูเป็นหมอ รีบพาน้ำเข้าไปเถอะ”

ไอ้คีรีบเปิดประตูแล้วช้อนตัวน้องน้ำเดินตามผมเข้าไปทางคลินิก คนไข้ที่นั่งรอคิวต่างจ้องมองพวกเราด้วยท่าทางอยากรู้อย่างปิดไม่มิด

“พี่อ้อ ภูขอลัดคิวก่อนได้มั้ยครับ” ผมหยุดถามพี่พยาบาลที่ประจำอยู่ตรงเคาเตอร์

พี่อ้อเอี้ยวตัวมองไอ้คีที่อุ้มน้องน้ำอยู่ทางด้านหลังของผมและเดินผลักประตูบานพับเล็กๆสองบานที่กั้นระหว่างเคาเตอร์และห้องตรวจเข้าไป

“คุณแม่บอกให้พาไปรอในบ้านเลยค่ะ” พี่อ้อบอกผมแล้วผละไปจัดยาตามใบสั่งยาให้กับลูกค้าที่มายืนรอรับ

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเดินนำไอ้คีผ่านตัวคลินิกเข้าไปในบ้าน

ผมให้ไอ้คีวางน้องน้ำบนเตียงในห้องนอนสำหรับแขก

ใบหน้าขาวซีดเหมือนกับกระดาษ คราบเลือดแห้งเกรอะกรัง คราบน้ำตา และรอยช้ำตามตัว ทำให้หัวตาผมรู้สึกอุ่นๆขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ยิ่งมองผมก็ยิ่งร้อนใจจนต้องเดินออกมาตามพ่อกับแม่ที่คลินิก

“ภู พาเพื่อนไปรอแม่ที่ห้องรับแขกใช่มั้ยลูก” ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องตรวจก็เห็นแม่กำลังเตรียมกล่องอุปกรณ์

“ครับ แม่รีบไปดูน้องให้ภูเถอะนะครับ” ผมบอกแม่แล้วฉวยกล่องอุปกรณ์จากมือแม่มาถือไว้

“ใจเย็นๆนะภู ถึงมือแม่แล้ว น้องไม่เป็นอะไรหรอก” แม่ลูบไหล่ผมที่กำลังสั่น

ใช่ มือผมสั่นไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมกลัว กลัวว่าน้องจะไม่ลืมตา

แม่และพี่พยาบาลไล่พวกผมออกมารอนอกห้อง

“โหย พี่ จะขับกลับบ้านตัวเองทำไมไม่บอกวะ พวกผมขับไปโรงบาลโน่น นี่ ถ้าไอ้จอมไม่โทรหาไอ้คีจะรู้มั้ยเนี่ยว่าอยู่บ้านพี่” ไอ้น้องฟิวบ่นแล้วนั่งลงกับพื้นตรงทางเดินหน้าห้อง

“เออ โทษที กูลืมคิดว่ะ” ผมพึ่งนึกได้ว่าคนอื่นๆคงจะตามมาด้วย ทุกคนที่ตามไปที่สวนหลังโรงเรียนต่างอยู่รอดูอาการน้องน้ำ

“เป็นไงบ้างวะ” ไอ้อาร์มเดินเข้ามายืนพิงพนังถามผมนิ่งๆ

“แม่กูดูให้อยู่”

“พูดแล้วก็แค้นนะมึง ไว้พรุ่งนี้กูไปดักตบมันดีมั้ยเนี่ย” น้องแป้งพูดเสียงสูงด้วยอารมณ์เดือดดาล

“มึงจะสู้แรงเค้าไหวเหรอวะ” ไอ้น้องจอมถามท่าทางระอา

“โอ๊ะ นี่ใครคะ คุณไม่รู้จักน้องแป้งเหรอคะ กูจะไปกลัวไรมัน มึงก็ไปยืนเป็นแบ็คให้กูดิ”

“สาดดด กูนึกว่ามึงจะแน่”

“แน่ไม่แน่ กูก็ขอถีบมึงซักทีเถ๊อะ”

และก่อนที่มวยคู่เอกจะเกิดขึ้น แม่ก็เดินออกมาจากห้อง

“คุณน้า น้ำเป็นยังไงบ้างครับ” ไอ้คีปรี่เข้าไปถามแม่ผมทันที

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกจ้ะ เดี๋ยวไปเอายาที่เคาเตอร์ก็พากลับบ้านได้” รอยยิ้มของแม่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเสมอ

ผมขับรถพาน้องน้ำกลับบ้าน โดยมีไอ้คีนั่งอยู่เบาะหลังกับคนป่วย ส่วนคนอื่นๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกไอ้น้องจอมกับฟิวจะกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อนจะพากันมานอนบ้านน้องน้ำในคืนนี้

ไอ้คีที่นั่งอยู่เบาะหลังคอยบอกทางไปบ้านน้องน้ำให้กับผม

“เลี้ยวซ้ายข้างหน้ารึป่าว”

“ครับ”

“น้ำ ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” ผมหันขวับทันทีที่ได้ยินว่าน้องฟื้นแล้ว

แต่ผมกลับรู้สึกหน่วงในใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

“น้ำ เป็นอะไร เจ็บตรงไหน บอกคีสิ” เสียงสะอื้นของน้องและแววตาห่วงใยที่ทั้งคู่มีให้กันทำผมจุกจนพูดไม่ออก

“น้ำ อย่าเงียบสิ คีใจไม่ดีเลย พูดกับคีหน่อยได้มั้ย”

“อย่าร้องไห้เลยนะน้ำ ไม่เป็นไรแล้วนะ น้ำปลอดภัยแล้ว คีอยู่ตรงนี้แล้ว คีไม่ให้ใครมาทำอะไรน้ำหรอก”

ผมไม่มั่นใจเลยซักนิดว่าสิ่งที่ไอ้น้องจอมพูดจะเป็นความจริง ในเมื่อท่าทางและแววตาของไอ้คีที่มีให้กับน้องน้ำเป็นแบบเดียวกับผม

“หลังข้างหน้านี้แหละครับ ตรงรั้วสีขาว” เสียงใสเครือเล็กน้อยจากการร้องไห้ รอยยิ้มกับตาโศกสลดคู่นั้นกลับทำให้ผมรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าตอนที่ได้ยินเสียงร้องไห้

“น้องน้ำไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ”

“ครับ” จะให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าไม่เป็นไร เพราะเจ้าตัวพยักหน้าด้วยท่าทางหงอยๆ

ผมจอดรถตรงลานหน้าบ้านของน้องแล้วหยิบปากกากับกระดาษที่มีอยู่แถวๆคอนโซลรถจดเบอร์โทรตัวเองให้กับคนที่นั่งมองอยู่

“นี่เบอร์พี่ ถ้าเจ็บตรงไหนก็โทรหาพี่ได้นะครับ”

ผมยังไม่กล้าขอเบอร์น้องเค้าเพราะไม่แน่ใจ แต่ผมยังอยากเป็นคนที่น้องนึกถึงเวลามีเรื่องเดือดร้อน

ยิ่งมองสบตา ผมยิ่งถอนสายตาไม่ได้

“ขอบคุณครับ ถ้าไม่ได้พี่ภูพาไปหาหมอน้ำคงแย่” น้องพูดกับผมแล้วยกมือไว้ ผมเลยนึกได้ว่าถุงยาวางอยู่บนเบาะข้างคนขับ

“เรื่องแค่นี้เอง เออ จริงสิ นี่ยาแก้ปวดกับยาทาแผล”

ท่าทางตั้งใจฟังผมอธิบาย ดูจริงจัง ตากลมที่จ้องเป๋งกระพริบปริบๆและคิ้วขมวดน้อยๆเหมือนมีคำถามในใจ

“พี่ภูครับ แล้วค่ารักษากับค่ายาเท่าไหร่เหรอครับ” เจ้าตัวถามไปพลางลนลานล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหากระเป๋าเงิน

“อ๋อ ไม่มีหรอกครับ” ผมยิ้มให้กับท่าทางซื่อๆนั้น

“เอ๋ คลีนิคนี้ไม่ต้องจ่ายตังค์เหรอครับ”

“ไม่ต้องครับ คลินิกพ่อพี่เอง ไม่ต้องจ่ายหรอก” หน้าตางงๆทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ง่า จะดีเหรอครับ” น้องน้ำก้มมองถุงยาสลับกับมองชื่อที่ปักอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้ายบนเสื้อนักเรียนของผม

“ดีสิครับ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” ผมรู้สึกเขินจนต้องแกล้งขยี้หัวน้อง

ความรู้สึกพองคับอกต้องแฟ่บลงเมื่อผมต้องกลับมาเผชิญกับโลกของความจริงที่ว่าคนที่อยู่ข้างๆน้องไม่ใช่ผม

“เดี๋ยว คี เอ่อ น้ำอยากยืนส่งพี่ภูก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอก ไอ้พี่ภูมันกลับเองได้ ไม่ต้องรอส่งมันหรอก”

“ไปนอนพักเถอะครับน้องน้ำ เดี๋ยวพี่ก็ขับกลับแล้ว”

ผมต้องตัดใจ

“พี่ภูครับ วันนี้ น้ำขอบคุณมากๆเลย ขับรถกลับดีๆนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ พี่เต็มใจ”

ผมจะถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้

แต่หัวใจไปเร็วกว่าความคิดเสมอ

“เอ่อ น้องน้ำครับ”

“ฝันดีนะครับ”

“เหมือน....” “แต่กูขอให้มึงฝันร้ายโว้ย”

“หึๆ” น่าสมเพชใช่มั้ยล่ะ รักคนมีเจ้าของมันก็สมควรต้องเจ็บ

อิ๋งรู้สึกว่า ความในใจพี่ภูมันเยอะจัง ยิ่งแต่งยิ่งยาว คนอ่านคิดว่าไงบ้างคะ

@ คุณ atblueann ว๊ากกก ใจเย็นๆ วันนี้มาเยอะแล้ว หายคิดถึงกันนะคะ

@ คุณ yeyong ฝากเชียร์พี่ภูอีกตอนนะคะ อิอิ

@ คุณ iamnan หลังๆมาพี่ภูเค้าแอบสบตาหลายครั้งแล้วค่ะ

@ คุณต้นข้าว น้องร่มเหลืองคือน้องน้ำค่ะ เอ่อ มันอ่านแล้วงงๆป่าวคะ อ่านตอนนี้แล้วเคลียร์รึยังเอ่ย

คาเรกเตอร์รักเค้าข้างเดียวของพี่ภูนี่แต่งยากจริงๆ มีอะไรก็แนะนำกันได้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 08-04-2012 22:10:13
แอบคิดมาตลอดว่าพี่ภูเพอร์เฟ็คไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่อยตีที่ไหนได้ ตัวพ่อเลย

อ่านตอนนี้เเล้วเข้าใจหมดละครับ

รอ ร๊อ รอ เมื่อไรคีมันจะรักหับน้ำจริงๆจังๆสักที ทำตัวเป็นคุณพ่อห่วงก้างไปได้ โ่ด่
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-04-2012 22:23:58
หาคนมาดามใจพี่ภูเถอะค่ะ จะได้มีอีกคู่
น้องน้ำต้องเป็นของคีเท่านั้น
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: NY_JK ที่ 08-04-2012 23:21:43
ไม่อยากให้ใครเจ็บเลยทั้งสามคน  :m15: อยากอ่านตอนต่อไป รู้สึกปวดตับขึ้นมานิดๆ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 09-04-2012 00:47:25
ก็ว่าแล้วละว่านี้เป้นความในใจของภู
ตอนที่เจอน้ำครั้งแรก
ภูคงจะไม่ตัดใจจากน้ำง่ายๆหลอก
ก็ชอบไปขนาดนั้นแล้วนิ 555+
ยังไงก็เชียร์พี่ภู สุดพลังหงะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)4 08/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 11-04-2012 13:05:10
สงสารพี่ภู อย่าลืมหาคนมาดามใจให้พี่ภูนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 13-04-2012 22:56:08
เมา(รัก) 5

ผมจะทำยังไงต่อไป

“เอ่อ พี่ครับ ผมพกร่มมาด้วย ถ้าไม่รังเกียจ พี่จะเดินไปด้วยกันมั้ยครับ”

“น้ำเป็นของกู ถ้าแค่นี้มึงยังแพ้ ก็อย่าสะเออะมายุ่งกับคนของกูอีก”

“แล้วน้องน้ำมีแฟนรึยังวะ”

“มันจะมีได้ไง พี่ไม่เห็นพี่มอสเป็นตัวอย่างเหรอ ใครเข้ามา พ่อมันก็ดักยิงทุกราย”

“อย่าร้องไห้เลยนะน้ำ ไม่เป็นไรแล้วนะ น้ำปลอดภัยแล้ว คีอยู่ตรงนี้แล้ว คีไม่ให้ใครมาทำอะไรน้ำหรอก”

“เดี๋ยว คี เอ่อ น้ำอยากยืนส่งพี่ภูก่อน”

“ไม่เป็นไรครับน้องน้ำ พี่เต็มใจ”

“ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”

“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด”

“ขับรถภาษาอะไรวะ” เจ้าของรถกระบะลดกระจกตะคอกผมเสียงดังก่อนจะขับออกไป

ผมซบหน้ากับพวงมาลัยรถก่อนเอามือกุมตรงหน้าอกตัวเอง

เกือบไป...


“ภูกินข้าวมารึยังลูก” แม่ถามเมื่อเห็นผมก้าวเข้าบ้าน

“ยังครับ” ผมยิ้มเนือยๆให้แม่ก่อนเลื่อนเก้าอี้นั่ง

“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณป้าแม่บ้านที่จัดชุดจานชามและตักข้าวให้

“เพื่อนเป็นยังไงบ้าง” พ่อดันกรอบแว่นแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามผม

“รู้สึกตัวแล้วครับ”

“รุ่นน้องเราไปทำอะไรให้เจ็บตัวขนาดนั้นล่ะลูก” แม่ถามผมที่กำลังตักข้าวเข้าปาก

“มีคนดักทำร้ายน้อง...” ผมรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที

“อย่างน้อยภูก็ไปช่วยน้องทัน” แม่พูดแล้วยิ้มให้ผม

“ครับ”  ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไป

“ภูอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” ผมรวบช้อนแล้วลุกจากโต๊ะ

“ทำไมทานน้อยล่ะลูก ไม่อร่อยเหรอ”

“ปล่าวหรอกครับ พอดีภูไม่ค่อยหิว” ผมตอบแม่ก่อนผละออกมา

“ซ่า!!” น้ำเย็นที่ไหลจากฝักบัวพอจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ผมมองสายน้ำที่ไหลจากตัวลงสู่พื้น

‘น้ำ’ พอสัมผัสผิว รู้สึกเย็น ชุ่มฉ่ำ สายน้ำมีมาไม่ขาด แต่ไหลไปรวดเร็ว เร็วเหลือเกิน เร็ว จนคว้ากลับมาไม่ทัน

“โธ่โว้ยยยยยยยยยยย”

ผมมองมือที่พึ่งถอนออกมาจากผนังห้องน้ำ รู้สึกเจ็บ แต่คงไม่เท่า...ใจ

พออาบน้ำเสร็จ ผมออกมานั่งตรงระเบียง ไม่ลืมจะหยิบไฟแช็กกับบุหรี่ติดมือมาด้วย

ถนนหน้าบ้านเงียบสงัด เสียงแมลงกลางคืนและกลิ่นดอกราตรีลอยมาตามลม ผมนั่งมองพระจันทร์ คืนนี้จันทร์เต็มดวง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้สังเกต

ผมใช้มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ ส่วนอีกมือจุดไฟแช็ก

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” พอผมหันไปตามเสียงก็เห็นพ่อใช้หลังมือเคาะประตูกระจกก่อนจะเปิดออกมายืนพิงระเบียง

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ครับ นอนไม่หลับ”

“นั่งใจลอยไปถึงไหนแล้วล่ะ พ่อเคาะประตูห้องตั้งนาน”

“...”

“พ่อกับแม่เจอกันได้ยังไงเหรอครับ”

“หืม ทำไมจู่ๆถึงอยากรู้”

“ไม่รู้สิครับ”

“วันรับน้อง ตอนนั้นพ่ออยู่ปีสาม พวกพ่อก็ตีกลองร้องเพลงกันอยู่ใต้ตึก รุ่นน้องทยอยมารวมกันเรื่อยๆ จนถึงเวลาทำกิจกรรม รุ่นน้องปีนั้นมียี่สิบคน แต่นับได้สิบเก้า คนนับจำนวนน้องกำลังจะนับอีกครั้ง ถ้าไม่มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นแหละแม่แก”

“แล้วทำไมพ่อถึงรักแม่”

“ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก รักก็คือรัก พ่อแค่รู้สึกว่าอยากดูแลคนๆนี้ไปจนกว่าจะจากกันไป”

“ว่าแต่แกเถอะ ถามแบบนี้ ไปหลงรักใครเข้าล่ะ”

“ก็...น้องคนเมื่อตอนหัวค่ำ”

“แล้วยังไงต่อ”

“พ่อจะไม่ตกใจหน่อยเหรอครับ คนที่ผมรักเป็นผู้ชายนะ”

“ไอ้ตกใจมันก็ตกใจอยู่หรอก ถ้าตกใจแล้วจะทำอะไรได้ บอกให้แกเลิกรักงั้นสิ”

“ผมเองก็พยายามอยู่ แต่ก็...ทำไม่ได้”

“รักเค้าข้างเดียวรึไง”

“...”

“แกพยายามรึยังล่ะ ถ้าคิดว่าทำให้เค้ารักแกได้ แกก็รักต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทนไม่ไหว ก็ให้ถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

“เรื่องของหัวใจหน่ะ จะให้ใครมาตัดสินแทนไม่ได้หรอกนะ ไม่มีใครรู้ใจเราดีไปกว่าตัวเราเอง พ่อกับแม่เลี้ยงแกมาก็เลี้ยงได้แต่ตัว เมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยกาย ก็กลับมาพัก แต่ถ้าเหนื่อยใจ มันขึ้นอยู่กับตัวแกแล้วล่ะภู ว่าอยากสั่งให้ใจพักรึยัง”

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”

“แม่เข้าไปได้มั้ยลูก”

“ครับ” ผมเดินไปเปิดประตูแล้วโอบเอวแม่ให้มานั่งบนเตียง

“คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ บอกให้แม่รู้ได้รึปล่าว” แม่พูดพร้อมกับลูบหัวผมที่นอนอยู่บนตัก

“คุยกันเรื่องหาลูกสะใภ้ให้แม่ไงครับ”

“ตายจริง ลูกเต้าเหล่าใครกันจ๊ะ” แม่ชะงักมือที่ลูบหัวผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

“แม่พึ่งเจอไปเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง”

“หืม น้องผู้หญิงที่นั่งรอรุ่นน้องลูกที่หน้าห้องเหรอ” แม่ทำท่าแกล้งคิดแล้วถามยิ้มๆ

“โธ่ แม่ ภูรู้ว่าแม่รู้แล้ว”

“ชื่อน้องอะไรล่ะ”

“ชื่อน้ำครับ น้องน้ำ” ผมอดยิ้มน้อยๆไม่ได้

“น่าเสียดายที่วันนี้น้องไม่สบาย วันหลังพาน้องมาเที่ยวบ้านนะลูก” แม่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ครับ”

“ภูรักแม่นะครับ”

“จ้า วันนี้พ่อลูกชายกินอะไรผิดสำแดงรึป่าวเนี่ย”

ผมได้แต่ยิ้มบางๆตอบไป

“ไปนอนเถอะคุณ ดึกแล้ว”

“ราตรีสวัสครับ” ผมหอมแก้มแม่ก่อนปิดประตูห้อง

ผมจะพยายาม...จนกว่าน้องน้ำจะรัก


หกโมงเช้าวันนี้ผมขับรถไปรอน้องที่บ้าน ผมไม่ใช่คนตื่นเช้า แต่คงเป็นเพราะผมอดตื่นเต้นไม่ได้

 “ก๊อกๆๆ”

“พี่ภู พี่ภูครับ” อ่า ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่เนี่ย ผมหันหน้าไปตามเสียงที่มาจากกระจกฝั่งเบาะข้างคนขับ แล้วก็เห็นน้องน้ำทำหน้ายุ่งน้อยๆ

“อรุณสวัสครับ” ผมเลื่อนกระจกลงพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับคนตรงหน้า

“เอ่อ อรุณสวัสเหมือนกันครับ พี่ภูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่กดกริ่งเรียกน้ำล่ะครับ” มือข้างขวาที่ใช้เคาะกระจกกำค้างไว้ คาดว่าเจ้าตัวคงลืมลดมือลงเนื่องจากกำลังใส่ใจกับคำถามเมื่อครู่

“ไม่นานหรอกครับ พี่มารอรับน้ำ”

“เอ๋ ความจริงไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ คือเดี๋ยว...” น้องน้ำทำหน้าลังเลและหันไปมองตัวบ้าน

“ไปโรงเรียนด้วยกันนะ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ

“งั้น รอเดี๋ยวนะครับ น้ำขอวิ่งไปบอกคีก่อน” น้องทำท่าคิดแล้ววิ่งกลับเข้าประตูรั้วไป

ผมมองตามก็เห็นไอ้คีเดินถือหมวกกันน็อคออกมาจากประตูบ้าน น้องน้ำหยุดคุยพร้อมกับหันหน้าพยักเพยิดมาทางผม เมื่อเห็นผมที่มองอยู่น้องก็ยิ้มให้ และหันหน้ากลับไปฟังไอ้คีที่วางหมวกกันน็อคกับเบาะรถแล้วค้นกระเป๋านักเรียนและยื่นถุงยาให้ น้องทำหน้ายุ่งนิดหน่อยก่อนเอื้อมมือไปจดกระดุมเสื้อนักเรียนเม็ดเกือบบนสุดให้กับไอ้คีก่อนอุ้มกระเป๋านักเรียนวิ่งมาเปิดประตูรถนั่งข้างๆผม

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ” น้องพูดพร้อมกับคาดเข็มขัดไปด้วย

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมขับรถไปเรื่อยๆ เช้านี้รถติดเหมือนทุกวัน บรรยากาศควรจะน่าเบื่อ แต่ผมกลับรู้สึกอยากให้รถติดนานขึ้น

“น้องน้ำยังเจ็บตรงไหนอยู่รึป่าว” ผมถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

“ยังปวดแผลแล้วก็รู้สึกตึงๆอยู่นิดๆครับ” น้องตอบพร้อมกับลูบเบาๆตรงผ้าที่ปิดแผลไว้

“ว่าแต่พี่ภูทานข้าวมารึยังครับ” คนถามทำหน้าเหมือนพึ่งนึกออก

“ทานมาแล้วครับ น้องน้ำล่ะ” ความจริงผมยังไม่ได้ทานหรอก แต่กลัวน้องคิดว่าผมไม่ได้ทานข้าวเพราะต้องมารอ

“น้ำก็ทานแล้ว วันนี้จอมต้มโจ๊กใส่ฟักทองให้น้ำกิน อร่อยมากเลย ถ้ารู้ว่าพี่ภูจะมา น้ำจะชวนมาทานด้วยกัน” น้องพูดด้วยท่าทางยิ้มๆ ตาที่ฉายแววความสุขทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้

“ไอ้น้องจอมทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”

“โห พี่ภูไม่รู้อะไร จอมอ่ะฝีมือสุดยอด หมึกแดงยังต้องชิดซ้าย” น้องน้ำพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนก้มเปิดซิบช่องเล็กๆตรงข้างหน้ากระเป๋านักเรียนแล้วหยิบบางอย่างออกมา

“นี่ไง จอมทำกาละแมใส่ขวดโหลไว้ให้น้ำด้วย น้ำแบ่งมาโรงเรียน นี่ยอมเสียสละให้พี่ภูชิมเลยนะเนี่ย” น้องพูดพร้อมกับแกะห่อใบตองแล้วยื่นกาละแมมาจ่อตรงปากผม

ผมมองไล่ไปตั้งแต่มือเรียวจนถึงใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆเมื่อผมอ้าปากงับกาละแมไปจากมือ

“อร่อยรึป่าวครับ” ตากลมที่จ้องมองรอคอยคำตอบจากผมที่กำลังเคี้ยวขนมหวานเหนียวหนึบหนับอยู่ในปาก

“อืม...ก็...”

“อร่อยใช่ม๊า น้ำชอบมากเลยล่ะ” เจ้าตัวชิงตอบเองแล้วยิ้มตาหยี

“ฮะๆ ครับ” ผมหัวเราะน้อยๆเพราะความจริงผมรู้สึกว่ามันหวานไปหน่อย

“ดีจัง ไว้น้ำจะเอามาแบ่งอีกนะ ทั้งคี จอมแล้วก็ฟิวหน่ะ ไม่มีใครชอบกินขนมหวานกันซักคน น้ำนั่งกินคนเดียวตลอดเลย”  น้ำเสียงบ่งบอกว่าดีใจมากแต่กลับเปลี่ยนเป็นประชดน้อยๆตอนท้าย ทำให้ผมนึกเอ็นดูจนต้องเอื้อมมือไปโยกหัวน้องเบาๆ

“คุณแม่ของพี่ชอบทำของหวานอยู่เหมือนกัน ไว้ไปทานบ้านพี่นะ”

“ครับ น้ำจะได้ถือโอกาสไปขอบคุณคุณแม่ของพี่ภูด้วย”

ผมขับรถมาจอดรถไว้ข้างรั้วโรงเรียนตามเดิม ภาพวันฝนตกหวนเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครั้ง

ผมหวังอยู่ลึกๆว่าน้องจะจำได้

“น้ำไปก่อนนะ ขอบคุณครับ” น้องพูดพร้อมกับปลดเข็มขัดแล้วเปิดประตูรถ

“น้ำ เดี๋ยว” ผมคว้าท้องแขนน้องไว้ได้ก่อนที่จะลงจากรถ

“คือ พี่ขอเบอร์น้ำได้รึป่าว”

“เอ่อ ไว้เผื่อจะนัดไปทานขนมบ้านพี่ไง” ผมบอกน้องที่ชะงักมองอยู่

“อ๋อ จริงด้วย งั้นน้ำยิงไปนะ เบอร์พี่ภูเบอร์อะไรนะครับ” น้องพยักหน้าน้อยๆก่อนล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงมาถือไว้

“08X-XXXXXXX” ผมมองน้องที่ก้มเมมเบอร์มือถือ แก้มเนียนใสมีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดีกลับต้องถูกปิดไว้ด้วยผ้าก๊อส
“น้ำ ดูแลตัวเองด้วยนะ พี่เป็นห่วง”

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...” ผมหยุดมือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปแตะตรงแก้มน้องเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าจากมือถือของคนตรงหน้า

“ถึงแล้ว น้ำอยู่ตรงประตูหลังโรงเรียน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้ำเดินไปเอง”
“อ๊ะ น้ำเห็นคีแล้ว”  น้องรีบสะพายกระเป๋าลงจากรถไปโบกมือให้กับคนที่ยืนอยู่อีกฟากถนนตรงประตูโรงเรียน

“พี่ภู ขอบคุณมากครับ” น้องหันมาบอกผมที่กำลังปิดประตูรถ ก่อนวิ่งไปหาไอ้คีที่เดินข้ามถนนมายืนรอตรงฟุตบาท

มันพยักหน้าทักผมก่อนโอบไหล่น้องน้ำเดินเข้าโรงเรียนไป


งานกีฬาสีที่ใกล้เข้ามาทำให้พักเที่ยงที่เคยสงบสุขของผมต้องกลายเป็นเวลาประชุมไปโดยปริยาย

“...ของชั้นต้องของบเยอะหน่อยนะยะ เสื้อผ้าส่วนมากตัดเองทั้งนั้น”

“อ้าว ตัดเองแล้วทำไมต้องเอางบไปเยอะ งั้นไปเช่าที่ร้านไม่ดีกว่าเรอะ”

“มันจะดีกว่าได้ไงล่ะ กูไปสำรวจราคามาแล้วได้มะ บางชุดมันคล้ายๆกัน ทำเองประหยัดกว่าหน่ะสิ”

“ถ้าตัดเองประหยัดกว่าแล้วจะทันวันงานรึป่าว”

“ทันไม่ทันก็ต้องทัน เร่งกันสุดชีวิตแล้วเนี่ย”

“โอเคๆ ต่อไปแสตนว่าไง”

“ถ้าเป็นฉากกับอุปกรณ์ได้พ่อน้องแซ็คห้องม.4/5 เป็นสปอนเซอร์ให้แล้ว แต่ข้าวกับขนมของน้องที่ขึ้นแสตนนี่ต้อง…”

หลังจากทานข้าวกลางวัน พวกผมนัดนั่งประชุมกันตรงซุ้มหลังอาคารคหกรรม ใกล้กับโรงอาหาร และขณะที่กำลังหารือเรื่องงบประมาณอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นน้องน้ำนั่งกินข้าวอยู่

ไวเท่าความคิด ผมวิ่งออกไปทันที

“เฮ้ย ไอ้ภู มึงฟังที่กูพูดมั้ยเนี่ย”

“คุยกันไปก่อน เดี๋ยวกูมา”

ผมเดินไปตรงโต๊ะก็เห็นน้องน้ำนั่งทานข้าวต้มอยู่คนเดียว ส่วนไอ้คี ไอ้น้องจอมกับไอ้น้องฟิวคงนั่งรอเพื่อนกินข้าว

“น้องน้ำเป็นไงบ้างครับ ปวดตรงไหนรึป่าว เดี๋ยวเย็นนี้รอพี่นะ พี่จะไปส่ง” ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างๆน้องน้ำที่เคี้ยวข้าวอยู่

“ง่า ไม่เป็นไรครับ น้ำกลับกับเพื่อนได้” น้องรวบช้อนส้อมแล้วหันมาบอกผมด้วยท่าทางเกรงใจ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้เดี๋ยวตอนเลิกซ้อมบาสพี่แวะไปส่ง” ผมพูดแล้วยิ้มให้น้อง

“โห พี่ ไม่ต้องลำบาก วันนี้จอมมันเอารถมาเหมือนกัน” ไอ้คีที่นั่งมองอยู่พูดแทรกเข้ามา

“อ้าวเหรอ งั้นถ้าน้ำมีอะไรก็โทรหาพี่แล้วกัน” ผมที่คิดไม่ตกว่าจะชวนน้องยังไงดีได้แต่บอกออกไปอย่างนั้น เพราะผมเองก็กลัวว่าตัวเองจะก้าวก่ายกับชีวิตของน้องมากเกินไป

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” น้องพูดแล้วยิ้มให้ เห็นรอยยิ้มนี้ทีไรผมต้องยิ้มตามทุกครั้งไป

“เฮ้ย ไปๆอีกสิบนาทีจะเข้าเรียนแล้ว”

ผมได้แต่มองน้องที่ลุกจากเก้าอี้ ไอ้คีหันมาสบตากับผมก่อนจะโอบไหล่น้องน้ำให้เข้าไปชิดตัว

หึ หวงจริงๆด้วย

“น้ำไปเรียนก่อนนะครับ”

“ไง ไอ้ภู พลอยโวยวายใหญ่แล้ว อะไรของมึงฮะ จู่ๆก็วิ่งออกมา งานไม่เดินซักที รอให้มึงตัดสินใจอยู่เนี่ย” ผมที่กำลังจะตอบน้องน้ำกลับต้องชะงักเมื่อไอ้อาร์มวิ่งเข้ามาล็อกคอไว้

“เอ่อ น้องน้ำ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับ” ผมบอกน้องยิ้มๆพร้อมกับขืนตัวหยุดไอ้อาร์มที่ลากผมอยู่

“ไปให้ไวพี่ หนีมาอู้งานนี่หว่า” ไอ้คียิ้มมุมปากน้อยๆก่อนโอบน้องน้ำเดินผ่านผมไป

“มีแววได้กินแห้วตั้งแต่เริ่มเลยเว้ย” ไม่ช่วยแล้วยังแดกดันนะมึง

“เออ ช่างกู” ผมปัดมือมันออกแล้วเดินกลับไปที่ซุ้ม


ผมยุ่งกับงานกีฬาสีจนแทบไม่มีเวลานอน และวันแรกของงานที่จะมีการเดินขบวนในตอนเช้าทำให้ผมต้องวิ่งวุ่น

“พลอยๆ วันนี้ยังไม่มีสแตน กูวานมึงช่วยไปคุมขบวนได้รึป่าว” ผมสะกิดพลอยที่กำลังแต่งหน้าให้กับน้องๆในขบวนอยู่

“กูกะว่าจะไปช่วยไอ้สินมันอยู่แล้ว”

“มึงต้องคุมขบวนไหนโดยเฉพาะรึป่าววะ”

“ไม่นี่ กูเดินข้างๆขบวนคอยดูน้องๆเฉยๆ”

“ถ้างั้น กูฝากไปดูขบวนผักเพื่อสุขภาพหน่อยดิ”

“ทำไมวะเพื่อนภู ขบวนนี้มีดีอะรายยย” พลอยหันขวับมาจ้องผม ทำหน้าตาประมาณว่ากูรู้นะมึงคิดอะไรอยู่

“รู้แล้วยังเสือกถามนะมึง” ผมได้แต่ทำหน้าเอือมๆใส่มันไป

“อะไร ไอ้ภู พูดจาไม่ไพเราะเลย เดี๋ยวกูฟ้องน้องน้ำหรอก” พลอยชี้หน้าคาดโทษผม ก่อนสะบัดหน้ากลับไปแต่งหน้าให้กับน้องต่อ

“ตกลงมึงช่วยดูให้ได้มั้ยวะ” ผมที่ยังงงๆว่าตกลงมันจะทำให้รึป่าวได้แต่ถามไปอีกครั้ง

“ข้าวกลางวันสามมื้อขาดตัว” พลอยหันมาชูสามนิ้วพร้อมกับต่อรอง

“ตกลง”

“จัดไป”


พอขบวนเริ่มออกเดินผมที่รับหน้าที่จราจรต้องปั่นจักรยานไปดักตามแยกต่างๆเพื่อหยุดรถให้ขบวนของสีตัวเองเดินผ่าน

“แยกอนุบาล เคลียร์” ผมหยุดรถก่อนใช้วิทยุสื่อสารบอกกับไอ้สินที่นำขบวน

ผมปั่นจักรยานไปเรื่อยๆจนถึงบริเวณหลังโรงเรียน ผมเลยได้โอกาสยกกล้องที่คล้องคอถ่ายรูปขบวน

น้องๆหลายคนเหงื่อออกโชก น้องผู้หญิงบางคนที่ใส่ส้นสูงถึงกับต้องเดินเท้าเปล่าหิ้วรองเท้า ส่วนบางคนหันมายิ้มและทำท่าชูไม้ชูมือให้กล้อง พวกไอ้คี ไอ้น้องจอม ไอ้น้องฟิวนัดกันหันมาทำหน้าเข้มใส่กล้อง

“ถ้าถ่ายออกมาไม่หล่อ แสดงว่าไม่มีฝีมือนะพี่” ไอ้น้องฟิวตะโกนก่อนปั่นจักรยานผ่านหน้าผม

ผมได้แต่ชูนิ้วกลางกลับไป

ผมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นน้องน้ำที่ใส่ชุดมะเขือเทศจูงมือเด็กผู้ชายตัวเล็กๆเดินมา ผมยกกล้องซูมถ่ายน้องที่กำลังคุยอยู่กับเด็กผู้ชายคนนั้น

“ไอ้ภู ทำอะไรอยู่วะ ไปเชิญธงได้แล้ว” ไอ้ต๋องตะโกนเรียกผมพร้อมกับเอามือชี้ตรงนาฬิกาข้อมือไปด้วย

ผมจึงต้องผละจากภาพตรงหน้าด้วยความเสียดาย

เมื่อพิธีเปิดจบลง ผมต้องรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุดเพราะมีแข่งบาสเป็นรายการแรกของสนาม

ผมหันไปชูสองนิ้วและยิ้มให้กับน้องน้ำที่นั่งมองอยู่ข้างสนามเมื่อชู้ตลูกแรกได้ แต่ดูเหมือนน้องไม่ได้สนใจมอง

ในตอนพักครึ่ง ผมและนักกีฬาในทีมเดินกลับไปตรงสแตนเชียร์ฝั่งของสีตัวเอง ผมหยุดมองน้องน้ำที่ยืนคุยกับไอ้น้องจอม ก่อนเดินเข้าไปเพื่อขอผ้าซับเหงื่อกับน้ำเปล่า ผมผละออกมาขณะจะชวนน้องน้ำคุย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อไอ้คีเดินเข้าไปหาน้องแล้วก้มให้น้องเช็ดเหงื่อให้

ผมเบือนหน้าหนีด้วยความปวดใจ

“ลำบากหน่อยนะพี่” ไอ้น้องจอมตบไหล่ผมแล้วเดินเอาขวดน้ำกับผ้าไปยื่นให้รุ่นน้องที่ยืนข้างๆน้องน้ำ

ผมมองผ้าและขวดน้ำที่อยู่ในมือแล้วเดินเอาไปยื่นคืนให้น้องน้ำ

น้องยื่นมือข้างขวามารับของจากผมเพราะมือข้างซ้ายถูกไอ้คีกุมเอาไว้

“ขอบคุณครับน้องน้ำ” ผมตอบขอบคุณน้องที่ยิ้มให้ก่อนดึงแก้มน้องเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ง่า พี่ภูอ่ะ แก้มน้ำยานหมดแล้ว” ผมได้แต่หัวเราะแล้วผละออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่าไอ้คีจ้องมองอยู่นิ่งๆ

ผมพยายามข่มอารมณ์ร้อนรุ่มในอกขณะเล่นบาสต่อ ความรู้สึกแสบร้อนแล่นเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 13-04-2012 22:57:06
งานกีฬาสีผ่านไปด้วยความวุ่นวาย ผมทำนู่นทำนี่จนหัวหมุน และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่มีการแข่งขันกรีฑาและสแตนเชียร์

ผมลงวิ่ง 200 เมตร กว่าจะถึงรายการของผมก็เกือบเที่ยง หันมองลู่วิ่งข้างๆก็เจอแต่เพื่อนๆกันทั้งนั้น ทั้งไอ้กรจากสีเขียว ไอ้บอลสีแดง ไอ้นับสีแสดและไอ้ไกรสีฟ้า

“ไงมึง” ผมทักไอ้กรที่ยืนสะบัดมืออยู่ข้างๆ

“แม่ง แข่งวิ่งกี่ปีๆก็ยังตื่นเต้นว่ะ”

“เข้าที่” เสียงจากกรรมการเทคนิคเรียกให้ผมทำท่าเตรียมออกตัว

ผมกวาดตาไปมองทางสแตนเชียร์

‘น้องไปไหน’

“ระวัง” ผมจำต้องหันกลับมามองลู่วิ่ง

หวังว่าน้องคงคอยเชียร์ผมอยู่

“ปั่ง”

ผมออกวิ่งเต็มฝีเท้า และเหมือนทุกปี อันดับหนึ่งยังคงเป็นของผม

หลังจากรับเหรียญแล้วผมเดินตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ ทั้งยังคอยช่วยเพื่อนยกข้าวยกน้ำมาแจกน้องๆที่ขึ้นสแตน

ประมาณบ่ายแก่ๆ ผมพักกินข้าวแล้วนึกได้ว่ายังไม่ได้ไปดูแถวเต็นท์พยาบาล

“อาร์ม กูฝากดูสแตนแป๊บ”

“รีบๆกลับมานะมึง ขาดแรงงานว่ะ”

ผมได้แต่มองตอบมันด้วยสีหน้าเอือมๆก่อนเดินไปทางเต็นท์พยาบาลที่อยู่ใกล้กับลู่วิ่ง

พอผมเข้าไปถึงก็กวาดตาเห็นน้องที่กำลังเหม่อมองบางอย่าง และเมื่อผมมองตามสายตานั้นก็เห็นไอ้คียิ้มให้กับน้องผู้หญิงคนหนึ่งทางฝั่งสีแดง น้องผู้หญิงปิดปากทำหน้าเขินๆเมื่อไอ้คียื่นขวดน้ำให้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ จู่ๆผมก็รู้สึกโมโห

“น้องน้ำยังไม่ไปเปลี่ยนชุดวิ่งอีกเหรอครับ” ผมเอ่ยถามน้องน้ำที่ยังคงไม่รู้ว่าผมเข้ามายืนในเต็นท์ เจ้าตัวกัดปากน้อยๆอย่างคนคิดหนัก

“อ๋อ เดี๋ยวจะไปแล้วครับ ว่าแต่พี่ภูแข่งแล้วเหรอครับ” น้องหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางงงๆ

“โห น้อยใจนะเนี่ย พี่นึกว่าน้ำจะคอยเชียร์ซะอีก” ผมอดตัดพ้อน้อยๆไม่ได้ ทั้งๆที่ผมคอยมองน้องอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ แต่ในสายตาน้องกลับไม่เคยมีผมอยู่เลย

“อ่า โทษทีครับ แล้วชนะรึป่าวครับ” หน้าน้องสลดลงทันที ผมเลยยิ้มเพื่อให้น้องสบายใจพร้อมกับชูเหรียญที่อยู่ในมือข้างขวา

“เฮ้ย ภู ไม่มีใครตีกลองว่ะ” ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าไอ้ไทมาตามผมกลับ

“เออๆ เดี๋ยวกูไป”

“น้ำ พี่คอยเชียร์อยู่นะครับ” ผมหันกลับมาบอกน้องที่นั่งจ้องผมอยู่แล้วยิ้มกว้างเพื่อบอกให้รู้ว่าผมจะคอยเป็นกำลังใจก่อนจะเดินกลับไปที่สแตนเชียร์

และแล้วการแข่งขันกีฬาสีก็ผ่านไปด้วยดี ดีมากๆด้วยล่ะครับ พวกผมในฐานะรุ่นพี่ที่ทำงานหนักหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อประกาศผลรางวัล และตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาในหมู่นักเรียนคือการกินเลี้ยงขอบคุณน้องๆม.4 ที่คอยช่วยงาน

“เย็นนี้เจอกันที่บ้านไอ้อาร์มนะน้อง” ผมตะโกนบอกน้องๆม.4 ที่มารวมตัวกันหลังเลิกงาน

จากนั้นเป็นเวลาของการเก็บกวาดทำความสะอาด ทั้งเพื่อนๆและน้องๆต่างอยู่ช่วยกันเก็บสแตน

พอหกโมงครึ่งทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมรีบขับรถไปบ้านเช่าไอ้อาร์มที่หลายคนล่วงหน้ามาเตรียมงานกันก่อน

เมื่อผมไปถึงก็พบว่างานเสร็จเกือบร้อยเปอเซนต์แล้ว ผมเลยได้โอกาสแวปไปอาบน้ำ ก่อนมาช่วยไอ้เดียวต่อไฟ

ยิ่งฟ้ามืดลงเท่าไหร่ จำนวนคนในงานยิ่งเพิ่มขึ้น โต๊ะ เก้าอี้ที่จัดไว้ไม่พอ แต่โชคดีที่ไอ้สินคาดการไว้ล่วงหน้า เลยมีเสื่อไว้ปูเพิ่ม

ขณะที่ผมกำลังเดินเอาสายไปให้ไอ้เดียวตรงฟากสนามก็เจอกับน้องน้ำที่ถือจานมะม่วงเดินผ่านมา

“น้องน้ำ มาเมี่อไหร่ครับ พี่ไม่เห็นเลย” น้องชะงักมองผมก่อนยิ้มน้อยๆ

“ซักทุ่มกว่าๆครับ พี่ภูกินข้าวรึยัง”

“ยังเลยครับ ต่อไฟเสร็จพี่ว่าจะไปกินอยู่เหมือนกัน น้ำล่ะ กินรึยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ พี่ภูกินมะม่วงมั้ย” น้องพูดพร้อมกับยื่นจานมะม่วงมาตรงหน้าผม

“ตามสบายเลยครับ พี่ขอตัวก่อน” ผมจำต้องผละออกมาเพราะนึกได้ว่าไอ้เดียวคงกำลังรอสายไฟอยู่

ซักพักไอ้กันก็เดินถือกีตาร์มานั่งร้องเพลง ไอ้นี่เสียงดีครับ มันฟอร์มวงอยู่กับเพื่อนห้องเก้า เป็นนักร้องนำและเล่นกีตาร์ไปในตัว
ผมเองนั่งคุยกับเพื่อนไป จิบเหล้าไปพลางๆ ผ่านไปซักชั่วโมงไอ้ต๋องก็เดินมาบอกผมว่าไอ้กันจะไปเข้าห้องน้ำ ให้ผมช่วยร้องเพลงแก้ขัดไปก่อน ผมเลยลุกไปตรงอีกฟากของสนาม

“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีผมขอมาทำหน้าที่นักร้องจำเป็นซักหน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ” ผมพูดใส่ไมค์แล้วเริ่มดีดกีตาร์
ผมร้องเพลงไปก็มองไปรอบๆ เห็นน้องน้ำนั่งกินมะม่วง จิบน้ำแดงและหัวเราะอยู่กับเพื่อน

ผมนั่งตัดสินใจอยู่นานว่าจะถือโอกาสนี้บอกชอบน้องไปดีรึป่าว เพราะน้องดูท่าทางไม่รับรู้เลยว่าผมหลงรักเค้าเข้าแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็คงเจ็บ และถ้าถูกปฏิเสธ ผมก็คงเจ็บ เพราะฉะนั้น...

“คือ เพลงต่อไปที่จะร้อง ผมขอมอบให้กับน้องคนหนึ่งครับ ผมก็จีบเค้ามาได้ซักเดือนกว่าๆแล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าน้องเค้ารู้รึป่าวว่าผมสนใจเค้าอยู่”

“ฮิ้วววววววว” เสียงโห่ดังมาจากทางพวกเพื่อนๆผม

“เค้าคนที่ไม่รู้คือหนูใช่มั้ยคะ” เสียงตะโกนตอบกลับมา ทำให้ผมที่รู้สึกเขินนิดๆ และอดขำตัวเองไม่ได้

ผมมองไปที่น้องน้ำตลอดเวลาที่ร้องเพลง อยากให้น้องรู้ว่าผมคอยมองอยู่ตลอดและผมไม่อาจถอนสายตาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้พบกัน น้องอาจจำมันไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ต่อจากนี้ ผมอยากให้เราได้เริ่มต้นอีกครั้ง

“น้องน้ำครับ คือพี่ชอบน้องน้ำ ขอจีบได้มั้ยครับ” ทั้งสนามที่เหมือนพร้อมใจกันเงียบ หรืออาจเพราะใจผมที่กำลังเต้นแรง เหมือนเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ผม...กลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ

“กูไม่ให้จีบ”

“ฮิ้วววววววววววววววววว”

“ใครจะจีบน้ำห้องสิบต้องมาขอนุญาตเพื่อนผมก่อนนะคร้าบบบ”

เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ผมหัวเราะขื่นๆให้กับตัวเอง

ลองผมได้รักแล้ว ลองตัดใจแล้ว แต่ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

“ฮะๆ เพื่อนน้องน้ำบอกไม่ให้จีบ แล้วน้องน้ำล่ะครับ” ผมจ้องน้องที่นั่งก้มหน้าน้อยๆบีบมือตัวเองแน่น แต่หูสองข้างแดงก่ำ ปิดไม่มิดว่าคงรู้สึกเขิน

“เพื่อนภู ใจว่ะ 555” ผมได้แต่นั่งยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเชียร์จากเพื่อน แต่ใครจะรู้ว่าเหงื่อผมออกเต็มฝ่ามือ ใครจะรู้ว่าผมแทบจะหยุดหายใจ

น้องไม่ตอบอะไรแต่ลุกพรวดเดินจ้ำมาหาผมแล้วจับแขนผมไว้

“พี่ภูครับ ตามมานี่หน่อยได้มั้ย” น้องไม่ยอมสบตาแต่จากการยื้อแขนน้อยๆก็ทำให้ผมรู้ว่าต้องทำตามคำขอนี้เท่านั้น

ผมรีบวางกีตาร์แล้วเดินตามน้องที่ก้มหน้าก้มตาลากแขนผมไป

น้องเดินไปจนถึงสวนหลังบ้านก็ปล่อยแขนผม แต่ยังคงยืนหันหลังไม่พูดอะไร

ผมทนกับความรู้สึกอึดอัดนี้ไม่ได้จึงเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา

“น้องน้ำครับ ตกลงว่ายังไง พี่อยากรู้”

น้องค่อยๆหันมาและยังคงก้มหน้าอยู่

“คือน้ำหน่ะ ไม่ได้ชอบพี่ภูหรอกนะครับ” แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่พอได้ฟังจากปากของเจ้าตัวตรงๆ ผมก็ยังรู้สึกโหวงๆในอก

“เรื่องนั้นพี่รู้แล้วครับ” น้องเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยอาการอึ้งๆ

“พี่เลยขอจีบอยู่นี่ไงครับ” ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตราบใดที่น้องไม่บอกปฏิเสธ ผมไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้ไปอีกเป็นอันขาด

“ว่าไงครับ ตกลงพี่จีบน้ำได้มั้ย” ผมยิ้มกว้างให้กับน้องที่ทำตาปริบๆอยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดน้อยๆ ทว่ากลับรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด

“คือ น้ำ น้ำเป็นผู้ชายนะครับ” น้องทำหน้าคิดก่อนพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“พี่ก็เป็นผู้ชายครับ แต่พี่ชอบน้ำ” เพราะเรื่องที่น้องกังวลไม่ใช่ว่ามีใครอีกคนอยู่ในใจ หัวใจจึงเต้นแรงอีกครั้ง

“แต่ น้ำ น้ำ...ไม่รู้” น้องน้ำมองผมด้วยท่าทางตะลึง ก่อนหลบตาอ้อมแอ้มตอบ

“อืม งั้นเอางี้ พี่ขอถามอะไรน้ำได้มั้ยครับ”

“น้ำรู้สึกรังเกียจพี่รึป่าว”

น้องไม่ตอบแต่กัดปากแล้วสั่นหัว น้องไม่รังเกียจหรือว่า...ไม่กล้าตอบ

“พี่บอกน้ำไปแบบนี้แล้วน้ำไม่โกรธพี่ใช่มั้ยครับ” เสียงผมแผ่วลง เพราะลึกๆแล้ว ผมกลัว

“โธ่ พี่ภู น้ำจะไปโกรธพี่ได้ยังไงล่ะครับ” ยิ้มละมุนตาตรงหน้าทำให้ผมยิ้มกว้าง

 “อืม งั้นน้ำช่วยรับพี่ไว้พิจารณาด้วยนะครับ”

ให้ตายเหอะ ผมเขินว่ะ

“อ่า เอี๋ยวแอ้มอ้ำอานอด(เดี๋ยวแก้มน้ำยานหมด)”

“ฮึๆ”

“น้ำ” เสียงเรียกชื่อน้องทำให้เราผละจากกัน

“หือ ว่าไงเหรอคี” ผมมองตรงไปก็เห็นไอ้คีเดินเข้ามา

“เอ่อ จอมให้มาตามหน่ะ” ไอ้คีเกาหัวน้อยๆก่อนดึงน้องน้ำเข้าไปชิดตัว ผมได้แต่มองนิ่งๆ

“ไปเถอะ เพื่อนมาตามแล้ว” ผมไม่มีทางยอมแพ้ ต่อให้ไอ้คีไม่ยอม ผมจะไม่ถอย

“เจอกันในงานนะพี่” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนมองแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินห่างออกไป

“เป็นไงบ้างวะ” ไอ้อาร์มยื่นแก้วให้กับผมทันทีที่เดินกลับเข้าไปในงาน

ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มมุมปาก

เรานั่งดื่มเงียบๆมองบรรยากาศภายในงาน

สักพักไอ้คีก็เดินตรงมา

“คุยกันหน่อยมั้ยพี่”

ผมพยักหน้าให้มันก่อนเดินนำออกมาหยุดคุยตรงมุมขวาสุดของบ้าน

“พี่คิดจะทำอะไร” ไอ้คีถามพร้อมกับจ้องผมนิ่ง

“กูชอบน้ำ” ผมสบตามันแล้วตอบออกไปตรงๆ

“ไม่ได้” ไอ้คีตวาดผมก่อนหันหน้าไปอีกทาง มันยกมือขึ้นมาบอกให้ผมเงียบ

“โทษทีพี่” มันจัดการกับอารมณ์ตัวเองก่อนหันกลับมา

“มึงคิดยังไงกับน้ำ”

ไอ้คีนิ่งไป  มันมองไปตรงเสื่อที่น้องน้ำนั่งอยู่

“น้ำเป็นคนสำคัญ”

“ถ้าพี่ไม่จริงจัง ผมขอให้หยุด”

“กูมั่นใจ กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร”

เราต่างจมอยู่กับความเงียบ ทั้งผมและมันเหม่อมองน้องที่อยู่ในอ้อมกอดไอ้น้องจอม

“น้ำไม่เหมือนใครนะพี่ ใจดีกับชาวบ้านไปทั่ว มันไม่รู้หรอกว่าใครเข้าหาแบบจริงใจรึป่าว”

“น้ำไม่ได้อ่อนแอ แต่ผมต้องปกป้อง ผมต้องดูแล พี่เข้าใจใช่มั้ย”

“แล้วถ้ามีซักวันที่มึงดูแลไม่ได้ ถ้ามึงต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง มึงจะทำยังไงต่อไป”

“....”

“มึงกับกูรู้จักกันมาปีกว่า มึงก็รู้ว่ากูพูดคำไหนคำนั้น”

“กูจะไม่บังคับน้องน้ำ ถ้าน้องบอกว่าไม่ กูจะหยุด ถ้าน้องปฏิเสธ กูจะไป กูจะไม่ทำให้น้องเสียน้ำตา”

“คี ไอ้จอมฝากมาบอกว่าน้องน้ำเมา” ไอ้อาร์มเดินตรงเข้ามาบอกพวกผม

“เดี๋ยวผมไป” ไอ้คีหันไปตอบก่อนหันมาพูดกับผมต่อ

“พี่จำคำพูดวันนี้ไว้แล้วกัน ถ้าวันไหนพี่ทำน้ำเจ็บ ผมจะมาเอาคืน”

ไอ้คีพูดทิ้งท้ายแล้วเดินไปตรงที่น้องน้ำนั่งอยู่ ผมเองก็เดินตามไป

พอเข้าไปใกล้ ผมเห็นน้องนอนหลับซบหน้าอยู่กับไหล่ไอ้น้องจอม เสื้อยืดลายการ์ตูนเลิกขึ้นน้อยๆ ผิวขาวตัดกับบอกเซอร์ลายตารางสีเขียวอ่อน

ไอ้คีเข้าไปพูดบางอย่างกับไอ้น้องจอมแล้วลูบหัวน้องเบาๆ ก่อนอุ้มน้องแนบอก

ผมก้มไปหยิบกางเกงน้องที่ถอดทิ้งไว้

น้องขยี้ตาน้อยๆเหมือนคนหลับไม่เต็มตื่น

“คี น้ำง่วง คีไปไหนมา”

“คีก็อยู่แถวนี้แหละ”

ผมมองน้องด้วยความเอ็นดู น้องยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นผม

ผมเดินตามไปส่งน้องเงียบๆเมื่อเห็นน้องหลับตาลงซุกอกไอ้คี

ไอ้คีวางน้องบนเบาะแล้วค่อยๆยกหัวน้องวางบนตัก ผมเองยื่นกางเกงของน้องให้กับไอ้น้องจอมที่เปิดประตูนั่งข้างคนขับ

“พี่ภู กางเกงน้ำ” ผมตกใจนิดๆเมื่อน้องเอี้ยวตัวยื่นมือมาจับกางเกงไปจากมือผม

น้องรับกางเกงไปแล้วลดกระจกโผล่หน้ามองผมตาปรือๆ

“ไม่ง่วงแล้วเหรอครับ” ผมก้มตัวถาม

“ง่วงครับ น้ำจะกลับไปนอนแล้ว” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ปิดปากหาวเพื่อยืนยันว่าง่วงจริงๆ

“ฮะๆ โอเคครับ” ผมหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักนั่น

“ฝันดีนะครับ”

“สัญญานะ” น้องยิ้มให้ผมแล้วยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า

ผมขำกับอาการของคนเมาก่อนเกี่ยวก้อยตอบ

“ครับ สัญญา พี่ภูก็จะฝันดีเหมือนกัน ดีมั้ย”

“ครับ” น้องยิ้มตาหยีแล้วแกว่งมือที่เกี่ยวก้อยเบาๆ

“น้ำ กลับบ้านกันได้แล้ว”

น้องคลายนิ้วแล้วหันกลับไปมองหน้าไอ้คีก่อนหันมาโบกมือให้ผม

ไอ้คี ไอ้น้องจอมและไอ้น้องฟิวยกมือไหว้ผมแล้วขับรถออกไป

ผมมองตามไปจนสุดสายตา

…I won’t let you go…


@ คุณต้นข้าว คือในสายตาน้องน้ำพี่ภูเค้าแสนดีไง คึๆ แต่ความจริงพี่ภูเขาซุ่มเงียบค่ะ แล้วเมื่อไหร่คีจะรู้ใจตัวเองซักทีน้าาา

@ คุณ yeyong ว้าว ขอบคุณที่คอยเชียร์พ่อพระเอกของเรานะคะ ส่วนคนมาดามใจพี่ภูจะมีรึป่าวนี่ต้องติดตามต่อไปค่ะ

@ คุณ NY_JK ทำใจร่มๆค่า อย่าพึ่งปวดตับไปเนาะ นิยายเราออกจากุ๊กกิ๊ก หวานแหวว ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ  :กอด1:

@ คุณ Ipatza โห เชียร์พี่ภูสุดพลังเลยเหรอ พระเอกเราเหงื่อตกแน่ๆ :m29:

@ คุณ kasarus ต้องรอดูค่ะว่าจะมีใครมาดามใจพี่ภูรึป่าว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ

วันนี้วันสงกรานต์ไปเล่นน้ำกันมารึยังเอ่ย อิ๋งเดินคูเมืองเชียงใหม่จนปวดช่วงล่างไปหมด ขอให้สนุกกับวันหยุดยาวนะคะ :mc3:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 15-04-2012 07:18:41
โอเข้าใจพี่ภูมากขึ้นไปอีก
หลงรักพี่ภูเพิ่มขึ้น 80% เอิ๊กๆ
ว่าแต่แอบเสียใจนะเนี้ยที่ คนแต่งบอกว่า "พระเอกเราเหงื่อตกแน่ๆ"
ชัดเบยว่าพี่ภูไม่มีหวัง คีคนเดียวชิมิ
อดกันความฝันจะหลาย P 555+(ตลอด)
ไงก็มาต่อเร้วๆนะ
หาเวลาว่างมาแต่งไห้เราอ่านสะดีดี 555+
ปล.เล่นน้ำตัวดำเหมือนกัน จากขาวๆมากตอนนี้มาขาวปกติเหมือนชาวบ้านละ555+(เซงเบย)
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-04-2012 10:47:04
ก็ยังชอบพี่ภูเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-04-2012 12:15:04
ทำไมคีไม่บอกพี่ภูว่าจะไม่มีครอบครัว น้ำต้องเสียใจแน่ๆ
พี่ภูแหละเป็นพระเอกแลดูมีอุปสรรคดี
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 15-04-2012 13:50:58
ฮึกพ่อเเม่เขาเปิดทาง ไฟเียวให้ลูกแล้ว

ก็เหลือเเต่พี่ภูจะเอาชนะใจน้ำได้หรือเปล่า

ส่วนคี ไม่มีคำอธิบาย เพราะยังไม่ค่อยเคลียร์

แอบจิ้นจอมให้คู่กับพี่ภูอ่าาา
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เมา(รัก)5 13/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 15-04-2012 17:07:44
สงสารพี่ภูอะ คีจะหวงน้ำไปถึงไหน เมื่อไหร่จะรู้ตัวล่ะนั่น จอมน่ารักอะชอบตอนที่ดูแลน้ำตอนเมานี่แระ อิอิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 19-04-2012 22:45:16
ไม่เข้าใจ1


“จิ๊บๆๆ”

เสียงนกร้องปลุกผมให้ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ สิ่งแรกที่อยู่ตรงหน้าผมคือเสื้อยืดสีเทา ผมกระพริบตาน้อยๆแล้วก้มมองมือตัวเองที่กำเสื้อไว้จนแน่น  ผมค่อยๆคลายมือออก ความรู้สึกหนักๆตรงเอว พอก้มไปมองก็เห็นแขนพาดอยู่ ผิวสีนี้ มือแบบนี้ มือของคี ความรู้สึกตรงคอไม่ใช่หมอน แต่เป็นแขนของคนตรงหน้า ผมค่อยๆยกแขนที่พาดตรงเอวและหยิบตุ๊กตาน้องผสมมาแทนที่ ก่อนเขยิบออกมานั่งมองรอบๆห้อง ผมนอนริมสุดติดกับเตียง ถัดไปเป็นคี ที่นอนว่างเปล่าและฟิวที่นอนแผ่อยู่ มองไปตรงระเบียง ยังคงเห็นผ้าม่านสีเหลืองอ่อนที่มีแสงลอดเข้ามาเล็กน้อย จอมไปไหน แล้วเมื่อคืน เรากลับมาบ้านได้ยังไงนะ

ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัวทีละน้อย

อ๋อยยย เมื่อคืนทำอะไรน่าอายออกไปเยอะแยะ ที่สำคัญจอมลำบากมากๆแน่ๆเลย แล้ว แล้ว พี่ภูที่บอกว่า...

“งั้นน้ำช่วยรับพี่ไว้พิจารณาด้วยนะครับ”

โอยยยย ผมได้แต่นั่งเอามือขยี้หัวตัวเอง

“น้ำ มานอนนี่มา” เสียงคนข้างๆทำให้ผมหันไปมอง คีปรือตาน้อยๆแล้วตบที่ว่างข้างตัว

“น้ำ น้ำ ไม่ง่วงแล้ว” จู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมา ผมตอบคีก่อนวิ่งเข้าห้องน้ำไป

หัวใจ หยุดทำเสียงดังเดี๋ยวนี้นะ แล้วทำไมหน้าถึงร้อนไปหมดเนี่ย

ผมสะบัดหัวน้อยๆก่อนจะถอดเสื้อเพื่ออาบน้ำ มองเสื้อที่อยู่ในมือแล้วยกขึ้นมาดม กลิ่นตุๆแฮะ

พออาบน้ำเสร็จผมเปิดประตูตู้อาบน้ำและมองไปที่ราววางผ้าเช็ดตัว

ว่างเปล่า

ลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้ามาด้วย ทำไงดี

ผมเดินไปตรงประตู ค่อยๆหมุนลูกบิดแง้มประตูน้อยๆและโผล่หน้าออกไป

ฟิวยังนอนอยู่เลย คีหายไปแล้ว สงสัยลงไปข้างล่าง

ผมลูบน้ำที่อยู่บนตัวแล้วได้แต่ถอนหายใจ ถ้าวิ่งไปเอาผ้าเช็ดตัว พื้นก็เปียกหมดหน่ะสิ แต่ว่าช่างเถอะ แป๊บเดียวเอง

ผมค่อยๆโผล่หน้าไปตรงประตูและกวาดตามองไปรอบๆอีกครั้ง

โอเค ทางสะดวก

“น้ำ ทำอะไรหน่ะ”

“เฮ้ย” “ปั่ง”

“น้ำ เป็นอะไรรึปล่าว” เสียงที่ดังมาจากอีกฝากของประตูห้องน้ำ เรียกสติผมที่กำลังตกใจ

“ปล่าวหรอก น้ำลืมผ้าเช็ดตัว”

“เดี๋ยวคีหยิบให้ อยู่ตรงไหนล่ะ”

“ในตู้เสื้อผ้า มองซ้ายมือข้างล่างที่เป็นลิ้นชักอ่ะ อยู่ตรงลิ้นชักที่สามนับจากข้างบนนะ”

“เจอรึป่าว” ผมตะโกนถามเมื่อได้ยินแต่เสียงเปิดตู้และเสียงกุกกัก

“เจอแล้ว ผืนไหนก็ได้ใช่มั้ย”

“อื้ม” ผมแง้มประตูน้อยๆแล้วยื่นมืออกไป

“ขอบคุณนะ” ผมรีบชักมือกลับเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสของผ้าขนหนู

ผมเช็ดตัวและพันผ้าไว้รอบเอวก่อนเปิดประตูห้องน้ำ

ความเย็นของอากาศในห้องที่กระทบผิว ทำให้ผมลูบแขนน้อยๆ

“จอมทำข้าวผัดอยู่ข้างล่าง เดี๋ยวน้ำกินก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ” คีบอกผมก่อนถอดเสื้อและหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเดินผ่านผมที่กำลังค้นเสื้อผ้าในตู้

“ติ๊ดๆ” เสียงกดรีโมทแอร์ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำ

กลิ่นหอมที่ลอยมาจากในครัวทำให้ผมยิ้มน้อยๆ

“จอมตื่นนานแล้วเหรอ” ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งพร้อมกับถามจอมที่กำลังขะมักเขม้นกับการผัดข้าว

“นานไม่นานก็ซื้อของมาทำข้าวเช้าจนเกือบเสร็จแล้วล่ะ”

“วันนี้จอมทำข้าวผัดอะไร”

“ข้าวผัดกุนเชียง”

“เย่ น้ำชอบกุนเชียง”

“เห็นชอบทุกอย่าง” จอมปิดไฟกระทะแล้วเดินไปหยิบจาน

“ที่ไม่ชอบก็มีเหมือนกัน อย่างเช่น ข้าวคลุกกะปิ หลนเต้าเจี้ยว แล้วก็...”

“นี่กะให้ทำกับข้าวให้กินทุกวันใช่มั้ยเนี่ย” จอมวางจานข้าวบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาบีบจมูกผม ก่อนผละไปตักข้าวให้ตัวเองและหยิบช้อนส้อมมาสองคู่

ผมได้แต่ทำหน้ายุ่งแล้วใช้มือลูบจมูก

“ป่าวซะหน่อย แค่แบบว่า ถ้าจอมมีเวลาว่างค่อยทำให้ก็ได้”

“จริงอ่ะ” จอมทำหน้าตาเหมือนไม่เชื่อ

“จริงซี้” “แต่ว่าจะดีมากถ้าทำให้กินทุกวัน” ผมพยักหน้ายืนยัน

“งั้นย้ายมาอยู่นี่เลยดีมั้ย”

“ดีสิ อยู่ด้วยกันเยอะๆสนุกดีนะ”

“ประชดหน่ะประชด”

“อ่าวเหรอ แหะๆ”

เรานั่งกินข้าวไปคุยกันไป ซักพักคีก็เดินลงบันไดมา

“คีจะไปไหนเหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นคีนั่งลงใส่รองเท้าผ้าใบตรงหน้าประตูบ้าน

“หืม นัดเพื่อนไว้หน่ะ”

“กินข้าวก่อนมั้ย” ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งข้างๆคี

“เดี๋ยวไปกินกับเพื่อน”

“ตอนเย็นอย่าลืมนะ” เรานัดกันไว้ว่าเย็นนี้จะเอาต้นโมกข์ที่ซื้อมาลงดิน

“ไม่ลืมหรอก ไว้จะซื้อขนมมาฝาก”

ผมพยักหน้าก่อนเดินเข้าครัวไป

ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า แต่ว่า ยังไม่ได้ลงต้นโมกข์เลย ผมไกวชิงช้าเบาๆ ลมอุ่นๆในตอนเย็นๆและท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มทำให้ผมตัดสินใจปลูกต้นไม้เอง

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

ผมปัดดินออกจากมือก่อนวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงชิงช้า

พี่ภู

“สวัสดีครับ”

“น้องน้ำทำอะไรอยู่”

“น้ำปลูกต้นไม้อยู่ครับ”

“ให้พี่ช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรครับ น้ำทำได้ นิดเดียวเอง”

“แต่พี่อยากช่วยนะ”

“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“งั้น พี่ไปนั่งดูได้รึป่าว”

“คือ ค่ำแล้ว อย่าลำบากขับรถมาเลยนะครับ”

“ไม่ลำบากหรอก เพราะพี่อยู่หน้าบ้านน้องน้ำแล้วล่ะครับ”

ผมหันขวับทันที

“พี่ภู”

“ครับ” ผมลดโทรศัพท์ลงพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้กับพี่ภูที่ยืนพิงมอเตอร์ไซค์มองตรงมายิ้มๆ

“มานานรึยังครับเนี่ย” ผมถามพี่ภูที่เดินจูงรถเข้ามาในบ้าน

“ไม่นานหรอก ตอนที่โทรหาน้องน้ำนั่นแหละ”

“เข้าไปนั่งในบ้านมั้ยครับ”

“นั่งตรงชิงช้านี่ได้รึป่าว” พี่ภูถามแล้วเดินไปนั่งตรงชิงช้า

“เดี๋ยวยุงกัดนะ” ผมเอ่ยเตือนเสียงแผ่ว เพราะตอนเย็นแบบนี้ยุงเยอะจริงๆนะครับ ตอนเด็กๆเวลาผมวิ่งเล่นไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ชอบขู่ว่าเดี๋ยวยุงจะหามไปดูดเลือด ผมเห็นจำนวนยุงแล้วนึกหวาดจนต้องยอมเข้าบ้านเรื่อยเลย

“ยุงกัดพี่ก็กัดน้องน้ำด้วยสิ” พี่ภูพร้อมกับเลิกคิ้วยิ้มๆ

“ยุงเบื่อดูดเลือดน้ำแล้ว ไม่กัดน้ำหรอก” ผมทำหน้างอตอบพี่ภู

“มีงี้ด้วย”

ผมไม่ตอบแต่ก้มหน้าก้มตาตัดถุงดำ

“ให้พี่ช่วยนะ จะได้เสร็จไวๆ” เสียงพี่ภูเดินมานั่งยองๆข้างตัวพร้อมกับหยิบต้นโมกข์อีกต้นขึ้นมา

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้พี่ภู

เราสองคนช่วยกันปลูกต้นโมกข์จนเสร็จ พี่ภูกำลังใช้สายยางรดน้ำต้นไม้ ส่วนผมล้างและเก็บอุปกรณ์

“พี่ภู เดี๋ยวน้ำรดน้ำต้นไม้เอง” ผมบอกพี่ภูพร้อมกับยื่นมือไปจับสายยาง

“น้องน้ำดินติดแก้ม” พี่ภูใช้หลังมือเช็ดตรงแก้มผม

ผมมองมือเปื้อนดินที่ผละออกไปแล้วถลึงตาใส่พี่ภูทันที

“พี่ภูแกล้งน้ำ”

“อ้าว ถึงว่า เช็ดไม่หมดซักที” พี่ภูพูดพลางทำหน้ากลั้นยิ้ม

“งั้นเดี๋ยวเปิดน้ำล้างแล้วกัน”

“ซ่า”

“พี่ภู หยุดเลยนะ” ผมร้องเสียงหลง เมื่อพี่ภูหันสายยางมารดผมแทนต้นไม้

“55 ก็ล้างดินออกไง”

“น้ำเปียกหมดแล้ว” ผมทำหน้าบูดแล้วหันหลังเดินเข้าบ้าน

“น้ำโกรธพี่เหรอ” พี่ภูคว้าแขนผมไว้

ผมไม่ตอบแต่ก้มแกะมือพี่ภูออกแล้ววิ่งไปหยิบสายยางทันที

“ซ่า”

“เฮ้ย”

“555 ล้างมือไงพี่ภู จะได้สะอาดๆ” ผมยืนฉีดน้ำหัวเราะพี่ภูที่ยืนทำหน้าตกใจ

“เล่นแบบนี้เหรอ” พี่ภูเอามือลูบหน้ายิ้มมุมปากแล้วพุ่งเข้ามา

“อย่าเข้ามานะ” ผมถือสายยางวิ่งหนี

“จับได้แล้ว” แต่พี่ภูคว้าเอวผมไว้ได้

“แฮ่ก แฮ่ก พี่แกล้งน้ำก่อนอ่ะ” ผมหอบหายใจพยายามดิ้นหนี

“เป็นน้องแกล้งพี่ได้ไง” พี่ภูดึงผมเข้าหาตัว ก่อนก้มกระซิบข้างหู

“ง่า หายกันนะ” ผมเอี้ยวตัวเงยหน้ามอง

“หึๆ โอเคครับ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” พี่ภูพูดพร้อมกับคลายมือที่รัดเอวผมออก

“พี่ภูอาบน้ำบ้านน้ำก็ได้นะครับ เดี๋ยวน้ำไปเอาผ้าเช็ดตัวให้” ผมพูดยิ้มๆให้กับคนตรงหน้า

“รบกวนรึเปล่า”

“ไม่หรอกครับ น้ำอยู่คนเดียว”  ผมตอบแล้วลากแขนคนตรงหน้าเข้าบ้าน

“แล้วคนอื่นๆล่ะ”

“อ๋อ ฟิวกับจอมกลับไปตั้งแต่ตอนบ่ายๆแล้วล่ะครับ ส่วนคี...บอกว่ามีนัดกับเพื่อน”

“งั้น เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วออกไปกินข้าวกันมั้ย” พี่ภูหยุดเดินแล้วถาม

“ครับ น้ำหิวแล้วเหมือนกัน” ผมพยักหน้าพร้อมกับเอามือลูบท้องตัวเอง

“แล้วน้ำมีชุดให้พี่ยืมก่อนรึป่าวล่ะ”

“อืม มีสิ เดี๋ยวน้ำให้พี่ยืมชุดคีใส่ไปก่อนก็ได้”

“รีบไปอาบน้ำเถอะ” พี่ภูพูดพร้อมกับดันหลังผมให้เดินเข้าไปในบ้าน

พอผมอาบน้ำเสร็จและเดินลงบันไดมาก็เห็นพี่ภูนั่งเช็ดผมอยู่ตรงพรมหน้าทีวี

“ไปกันเลยมั้ยครับ”

พี่ภูพยักหน้าแล้วก้มหยิบกระเป๋าเงินก่อนเดินนำออกไปสตาร์ทรถรอผมล็อคบ้าน

“น้ำอยากกินอะไร” พี่ภูถามก่อนออกรถ

“อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่พี่ภูเลย”

“งั้นไปกินผัดไทยกันมั้ย แถวๆบ้านพี่มีเจ้าอร่อยอยู่”

“ครับ”

ระหว่างซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผมนึกได้ว่าน่าจะโทรบอกคีก่อนว่าออกมากินข้าวกับพี่ภู ถ้าคีกลับบ้านไปไม่เจอจะได้ไม่ตกใจ แต่พอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ผมเลยรู้ว่าลืมเอามือถือมาด้วย

คง...ไม่เป็นไรหรอกมั้ง

แป๊บเดียวเอง

บางทีคีอาจยังไม่กลับมา

 :m13: พึ่งได้มาลงให้หลังจากผ่านไปหลายวัน ตอนนี้อาจไม่เยอะเท่าตอนที่แล้วแต่ก็อย่าพึ่งลืมกันนะคะ :monkeysad:

@ คุณ Ipatza วันนี้หาเวลาว่างมาแล้วค่ะ แหม อิจฉาคนขาวเนอะ อิ๋งเกรียมจนไม่รู้จะเกรียมยังไง :sad4: ตอนนี้ฝากเชียร์พี่ภูอีกตอนน้า

@ คุณ iforgive มาสั้นๆ แต่อิ๋งอ่านทีไร จุกเบาๆทุกที

@ คุณ iamnan ง่า คีเค้าก็มีมุมน่ารักๆเหมือนกันน้า

@ คุณต้นข้าว พ่อแม่พี่ภูเป็นคาแรกเตอร์ที่น่ารักมากๆเลยค่ะ อิ๋งคิดว่าคนเป็นคุณหมอเข้าใจคนไข้ ลูกตัวเองก็น่าจะเข้าใจเนอะ จะเป็นยังไงต่อไปต้องรอติดตามค่ะ

@ คุณ takara นั่นหน่ะสิ คีจะหวงน้ำไปถึงไหนกันน้า ตอนน้ำเมาจอมน่ารักใช่ม้า คาแรกเตอร์ของจอมอิ๋งเอามาจากคนจริงๆใกล้ตัวนี่แหละค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

มีแต่แฟนคลับพี่ภูเนอะ  :m29:
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-04-2012 10:56:10
คนที่อยากให้ช่วยปลูกต้นไม้มันไม่มา  เจ๋งจริง ๆ นะคี
แล้วอย่างนี้จะมากันท่าพี่ภูทำไมฟระ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 20-04-2012 16:52:14
จับคู่พี่ภูกับจอมก็ดีนะครับ แต่ตอนนี้เคืองนายคีมาก ไม่รักษาสัญญาว่จะกลับมาปลูกต้นไม้ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 20-04-2012 17:36:51
มีงานเข้าน้ำแหงๆ ไหนจะไปข้างนอกกับพี่ภู  ไหนจะให้พี่ภูใส่ชุดคี เหอเหอเหอ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 20-04-2012 18:45:19
สงสัยคีไปกับสาวแน่เลยช่ายป่ะ แต่น้ำนา ถ้าเกิดมีคนโทรหาน้ำล่ะจะทำงัย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 20-04-2012 19:41:54
คี ทิ้งน้ำง่า

ชักจะงงกับพฤกติกรรมคีเต็มทีบางทีก็ห่วงมาก เเต่พอมาตอนนี้กลับทิ้งให้น้ำอยู่คนเดียวซะงั้น

ไงก็อยู่กับพี่ภูก่อนเเล้วกุนเน้อออออ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 21-04-2012 07:40:55
ถ้าเป้นเรื่องพี่ภูอะ ขอเยอะๆไม่ต้องฝากหลอก
เต็มใจเชียรื 555+ บ้าไปแบ๊ว
พี่ภูน่ารักมาก
คีกลับมาจะโกรธน้ำไหมนะ เด่วมีฉากหวานๆกับคีรับไมไ่ด้อีกเชอะ
ไงก็มาต่อเร็วๆนะหายไปนานคิดถึง ♥ จิบิจิบิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ1 19/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 21-04-2012 09:21:37
เข้ามาเชียร์คีคร้า า า

พี่ภูเค้าก็ชอบนะ แต่อิมเมจอ่านแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่พระเอก
แสนดีแบบพระรองเกาหลี

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 21-04-2012 23:30:40
ไม่เข้าใจ2

“ป้าครับ ผัดไทยห่อไข่ไม่ใส่ถั่วงอกหนึ่ง แล้วน้องน้ำล่ะ” พอไปถึงร้านพี่ภูบอกป้าคนขายแล้วหันมาถามผมที่ยังแหงนหน้ามองป้ายเมนูอยู่ ผมยืนชั่งใจอยู่สักครู่ อยากกินผัดไทยห่อไข่นะ แต่ว่าถ้ากินผัดไทยห่อไข่แต่เส้นเป็นวุ้นเส้นนี่มันจะอร่อยรึป่าว ยังไงผัดไทยธรรมดาเค้าก็ผัดใส่ไข่อยู่แล้ว งั้นก็...

“ผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดครับ”

พี่ภูเดินนำผมไปนั่งที่โต๊ะก่อนเดินไปตักน้ำใส่แก้วมาให้

ผมนั่งมองบริเวณรอบๆ ร้านนี้เข้ามาในซอยถัดจากซอยบ้านพี่ภูสองซอย(ตามที่พี่ภูชี้ให้ดู) ดูคร่าวๆแล้วมีประมาณสิบโต๊ะ ตามผนังร้านเต็มไปด้วยฟิวเจอร์บอร์ดที่ถูกเขียนจากคนที่เคยมาทาน ไม่ว่าจะเป็น “ผัดไทยอร่อยที่สุดในโลก” “ไว้จะกลับมากินอีกนะ” “น้ำใบเตยหอมมาก” หรือว่า “ลูกสาวคนขายน่ารักครับ” ผมกวาดสายตาไล่มองไปเรื่อยๆ เห็นลูกค้าที่มากินมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ พอหันมามองตรงโต๊ะตัวเองก็เห็นกระปุกเครื่องปรุงที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปดอกไม้เล็กๆเรียงกัน น่ารักมากเลย

“น้ำเคยมาร้านนี้รึป่าว” ผมละสายตากลับมามองพี่ภูที่วางแก้วน้ำตรงหน้า

“น้ำมาครั้งแรก” ผมส่ายหัวน้อยๆตอบพลางยกแก้วสแตนเลสดื่มน้ำ

“กลิ่นใบเตย” หอมจัง ผมชอบกลิ่นใบเตยมากๆครับ จำได้ว่าเมื่อก่อนเวลาไปกินข้าวตรงรถเข็นข้างทาง บางร้านจะเอาใบเตยแช่น้ำเปล่า เวลาดื่มรู้สึกหอมๆเย็นๆ แล้วก็เหมือนน้ำจะหวานหน่อยๆด้วย

“ชอบเหรอครับ” พี่ภูถามยิ้มๆ

“ชอบมากครับ” ผมพยักหน้ารัวๆยืนยัน

“ไว้พี่พามากินบ่อยๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ นานๆทีน้ำจะได้ออกมากินข้าวนอกบ้าน”

“หืม ทำไมล่ะ น้องน้ำอยู่บ้านคนเดียวไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่เชิงครับ คือเวลาแม่ไม่อยู่คีจะมาอยู่เป็นเพื่อน บางวันก็จะทำกับข้าวให้กินด้วย แต่ว่าบางทีจอมก็ทำให้กิน”

“อืม งั้นเหรอ”

“ผัดไทยห่อไข่ไม่ใส่ถั่วงอก กับผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดได้แล้วค่ะ” พอผมเห็นคนเสิร์ฟก็ต้องประหลาดใจ

“น้องอัย”

“นึกว่าใคร พี่น้ำนี่เอง อัยมองอยู่เชียว คิดว่าหน้าคุ้นๆ”

“บ้านน้องอัยขายผัดไทยเหรอครับ”

“ค่ะ แล้วพี่น้ำมากับพี่ภูได้ไงคะเนี่ย” น้องพยักหน้ารับยิ้มๆแล้วหันไปมองพี่ภู

“อ๋อ พี่แวะไปเที่ยวบ้านน้ำหน่ะ เลยพามาหาอะไรกิน”

“แล้วมากันสองคนเหรอคะ”

“ครับ วันนี้มากันสองคน แต่เอาไว้วันหลังพี่น้ำจะพาเพื่อนมาก็แล้วกันเนอะ” ผมมองน้องอัยพลางยิ้มแซว น้องอัยหน้าแดงขึ้นมาทันทีเลยครับ

“เอ่อ งั้นทานให้อร่อยนะคะ เดี๋ยวอัยขอตัวไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นก่อน”

ผมได้แต่ยิ้มตอบน้องเค้าไป

ระหว่างกินผัดไทย ผมก็กินไปมองนาฬิกาไป แอบกังวลนิดๆ

“กินผัดไทยแล้วไปกินไอติมมั้ย” พี่ภูที่กินเสร็จแล้วจิบน้ำก่อนถามผม

“คือ วันนี้น้ำยังไม่ไปกินได้รึป่าวครับ น้ำอิ่มแล้ว” ความจริงผมอยากกินมากๆ แต่ว่าไว้ค่อยไปวันหลังก็ได้เนอะ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งน้ำที่บ้านเลยแล้วกัน”

ขากลับผมนั่งซ้อนรถไปเงียบๆ พลางพะวงถึงคนที่บ้านว่าจะกลับมารึยัง

“อ๊ะ” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างปลิวเข้าตา

ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเคืองตาแล้วก็แสบมากๆเลย ผมพยายามใช้มือไล้ขอบตาล่างและกระพริบตาถี่ๆ

“น้องน้ำ เป็นอะไรรึป่าวครับ” พี่ภูจอดรถตรงประตูรั้วหน้าบ้านผมแล้วหันมาถาม

“อะไรก็ไม่รู้ปลิวเข้าตาน้ำ” ผมตอบพลางใช้มือขยี้ตา

“อย่าขยี้ตา เดี๋ยวพี่ดูให้” พี่ภูบอกพลางจับมือผมให้หยุดขยี้

ผมได้แต่กระพริบตาถี่ๆ

พี่ภูค่อยๆจับหน้าผมแล้วใช้นิ้วโป้งรั้งตรงผิวแก้ม

ขอบตาล่างผมรู้สึกเย็นๆ

“เจอแล้ว ตัวนิดเดียวเอง” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับใช้นิ้วเกลี่ยตรงขอบตา

ผมหลับตาและใช้มือขยี้น้อยๆ

“น้ำ อย่าขยี้ตา” พี่ภูบอกพลางจับมือผมไว้

“แต่น้ำเคืองตา”

“งั้นหลับตาเดี๋ยวเดียวก็หาย พี่นับหนึ่งถึงยี่สิบแล้วค่อยลืมตา โอเคมั้ย”

“ครับ” ผมหลับตาฟังเสียงพี่ภูที่ค่อยๆนับหนึ่งจนถึงยี่สิบ

“หายรึยัง” พี่ภูถามเมื่อผมลืมตา

“หายแล้วครับ”

“คราวหลังห้ามขยี้ตานะ ให้หลับตาแล้วนับหนึ่งถึงยี่สิบในใจก่อน ถ้าไม่หายค่อยว่ากัน”

ผมได้แต่พยักหน้ารับ

“ดึกแล้วพี่ภูกลับเถอะครับ” ผมมองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว

“น้ำอยู่คนเดียวได้รึป่าว”

“ได้สิครับ วันนี้รบกวนพี่ภูตั้งหลายเรื่อง ขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่ภูบอกน้ำได้เลย”

“ครับ ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยโทรหาพี่นะ” พี่ภูควบมอเตอร์ไซค์แล้วสวมหมวกกันน็อค

“บ๊าย บาย” ผมโบกมือให้พี่ภูที่กำลังสตาร์ทรถ

“น้ำเข้าบ้านก่อน เดี๋ยวพี่ค่อยไป” พี่ภูมองมานิ่งๆประมาณว่าจะไม่ขยับถ้าผมไม่ยอมเข้าบ้าน

ผมเลยเดินเข้าบ้านแล้วล็อคประตูรั้ว

“ขี่รถดีๆนะครับ” ผมบอกพี่ภูก่อนหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน

ผมมองตรงโรงรถก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์คีจอดอยู่ สงสัยกลับมาแล้ว

พอเปิดประตูบ้านเข้าไปผมก็เห็นคีนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา

“คีไปไหนมา ไหนบอกว่าจะช่วยกันลงต้นโมกข์ไง” ผมนั่งลงข้างๆคีที่ถือรีโมทจ้องจอทีวีนิ่ง

“น้ำล่ะไปไหนมา” คีถามผมกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“น้ำไปกินข้าวกับพี่ภูมา คีกินอะไรมารึยัง” ผมตอบคีด้วยความรู้สึกหวั่นๆในใจ ผมรู้ว่าท่าทางแบบนี้ คีคงหงุดหงิดหรือโมโหอะไรซักอย่าง

“สนใจด้วยเหรอ คีโทรไปทำไมไม่รับ” คีหันควับมาจ้องผมด้วยสายตาน่ากลัว

“น้ำลืมโทรศัพท์หน่ะ ขอโทษทีนะ” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกน้อยๆแล้วตอบออกไป

“ลืมหรือจงใจไม่เอาไปกันแน่”

“ทำไมคีพูดแบบนี้ล่ะ น้ำลืมเอาไปจริงๆนะ” ผมเริ่มรู้สึกฉุนนิดๆ ไม่รู้ว่าโมโหอะไร แต่ทำไมต้องมาหาเรื่องเราด้วย

“ทำไม หรือว่าไม่จริง เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกับไอ้พี่ภูบ่อยจริงนะ ชอบมันรึไง” คีพูดพร้อมกับบีบแขนผมแน่น

“คี น้ำเจ็บนะ” ผมพยายามแกะมือคนตรงหน้าออก แต่ก็ไม่เป็นผล

“คีจับแค่นี้เจ็บ ต้องให้ไอ้พี่ภูมันจับสินะถึงจะไม่เจ็บ”

“คีไม่มีเหตุผลเลย แล้วพี่ภูมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ว่าแค่นี้ทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันด้วย น้ำชอบมันใช่มั้ย” คีตะคอกพร้อมกับบีบแขนผมแรงขึ้น

“น้ำเจ็บ” ผมนิ่วหน้าน้อยๆและพยายามสะบัดแขน

“บอกคีมา น้ำชอบมันใช่รึป่าว” คีกระชากผมเข้าหาตัวพลางพูดเสียงดัง

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม น้ำชอบพี่ภู พี่ภูใจดี มีเหตุผลไม่เหมือนใครบางคน”  ผมตะโกนตอบพลางจ้องคีนิ่ง ทั้งเจ็บทั้งโมโหจนน้ำตาคลอ

“อ๋อ ใช่สิ ชอบมันมาก ชอบจนต้องยืนจูบลากับมันหน้าบ้าน” ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมกับพี่ภูไม่เคยทำอะไรแบบนั้นซักหน่อย
“เปล่านะ”  ผมพูดพลางส่ายหน้า

“ไม่ต้องมาปฏิเสธ คีเห็นถึงได้พูด คนอุตส่าเป็นห่วง ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ สู้ไม่กลับมาซะดีกว่า” ไม่เข้าใจ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา คีจำใจทำอย่างนั้นเหรอ

“ถ้าลำบากนัก ก็ไม่ต้องมา ถ้าจะเป็นห่วงกันแต่ลำบากใจก็ไม่ต้องมาเป็นห่วง” พูดเองก็เจ็บเอง ใจมันปวดไปทั้งดวง

“นี่น้ำเห็นคนอื่นดีกว่าคีเหรอ ในใจน้ำมีแต่มันใช่มั้ย เดี๋ยวนี้คงรำคาญคีมากสินะ”

“แล้วคีล่ะ เคยคิดบ้างมั้ยว่าน้ำรออยู่ คีไปที่ไหนกับใครน้ำไม่เคยห้าม แล้วทำไมคีต้องพูดกับน้ำแบบนี้” ผมพูดพลางกัดปากแน่น ไม่เอา อย่าร้องนะ

“ดี งั้นต่อไปนี้คีจะไม่ยุ่งอีก น้ำจะทำอะไร จะไปกับใครก็เชิญ” คีเหวี่ยงผมลงโซฟาก่อนปิดประตูเสียงดัง เสียงรถมอเตอร์ไซค์ค่อยๆแผ่วหายไป

ผมได้แต่นอนนิ่งอยู่ตรงโซฟา ในอกมันหน่วงไปหมด กลั้นน้ำตาจนปวดแก้ม คนใจร้ายแบบนี้ไม่สมควรจะต้องเสียน้ำตาให้

“น้ำ น้ำ” ผมสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัว พอลืมตามองก็เห็นว่าเป็นจอม

“ทำไมมานอนตรงนี้ ลุกไปนอนบนห้องเร็ว” ผมกระพริบตาถี่ๆเรียกสติ ก่อนลุกขึ้นนั่งมองจอมที่ยืนอยู่

“ไม่ง่วงแล้วล่ะ เดี๋ยวน้ำไปอาบน้ำดีกว่า” ผมตอบจอมเมื่อเห็นว่าเช้าแล้ว

“ลงมากินข้าวด้วยกันนะน้ำ จอมกำลังจะทำกับข้าว”

ผมพยักหน้าเบาๆก่อนเดินขึ้นบันไดไปบนห้อง

“จอม กูว่านี่เค็มไปนะ”

“พอดีแล้ว พอเลย ห้ามใส่น้ำตาล”

เสียงฟิวกับจอมทะเลาะกันในครัวทำให้ผมเร่งฝีเท้าเดินไปดู ถ้าฟิวมา บางทีคีก็อาจจะกลับมา

“ไงน้ำ  ตาโหลเป็นหมีแพนด้าเลย เมื่อคืนหลับดึกใช่ป่าว” ฟิวทักผมที่ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้

“ก็...ทำนองนั้นแหละ” ผมตอบยิ้มๆแล้วนั่งท้าวคางมองจอมทำกับข้าว ส่วนฟิวเดินมาเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้าม

“น้ำ แขนไปโดนอะไรมา” ฟิวจับแขนผมไปดูแล้วเอ่ยถาม

“ใครทำ” ผมได้แต่นั่งเม้มปากมองโต๊ะ

“ไอ้คีใช่มั้ย” ผมยังคงนั่งก้มหน้า บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่อึมครึมจนน่าอึดอัด

“จอม มึงรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ลากกูมาแต่เช้า”

“น้ำ บอกฟิวมาซิ ไอ้คีมันทำน้ำเจ็บใช่รึป่าว แล้วมันอยู่ไหน” ฟิวพูดเสียงนิ่งพร้อมกับหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ฟิว พอเถอะนะ” ผมจับมือฟิวไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะผลุนผลันออกไป

“เฮ้อ ก็ได้ๆ แล้วประคบเย็นรึยัง” ฟิววางกุญแจรถที่เดิมแล้วเดินมาจับแขนผมดูอีกครั้ง

ผมส่ายหน้าน้อยๆ

“มานั่งนี่เร็ว เวลาเป็นแผลช้ำแบบนี้ต้องประคบเย็นก่อนนะ ถ้าครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วค่อยประคบร้อน เข้าใจป่าว” ฟิวพูดกับผมแล้วเอาถุงประคบเย็นในตู้เย็นมาวางไว้ตรงรอยช้ำ

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็พากันมานั่งดูทีวี

“Flabjack นายลองทำแบบที่นายเคยทำทุกวันซิ...” (เสียงจาก cartoon network)

“น้ำ บอกฟิวได้มั้ยว่าทะเลาะอะไรกัน”

ผมได้แต่ส่ายหัว ไม่ใช่แค่ไม่อยากตอบ แต่เพราะผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร

“โอเค ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ฟิวอยู่ข้างน้ำอยู่แล้ว”

ผมโผเข้ากอดฟิวทันที

“รักฟิวจัง”

“รักเท่าไหน” ฟิวถามแล้วกระชับกอด

“รักเท่า เท่าอะไรดีน้า” ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินบทสนทนาเดิมๆเวลาเรากอดกัน

“อ้าว รักกันจริงป่าวเนี่ย คิดนานเว้ย”

“รักเท่าฟ้า”

ผ่านไปสามวันแล้ว สามวันที่ผมไม่ได้เจอคี

“น้ำ ดึกแล้วนะ ไปนอนเถอะ จอมง่วงแล้ว” เสียงจอมเรียกผมที่นั่งไกวชิงช้าเบาๆ

ผมลุกตามจอมเข้าไปในบ้านและล้มตัวลงนอน ผมนอนตรงกลาง ข้างซ้ายคือจอมและข้างขวาคือฟิว

แม้จะปิดไฟแล้วแต่ผมยังคงลืมตาอยู่ในความมืด มองน้องผสมที่อยู่ในอ้อมกอดก็ได้แต่นึกถึงคนให้ ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้หายไปไหน ผมไม่เจอคีที่โรงเรียน จอมเองก็ไม่ยอมพูดอะไร

ผมนั่งรถไปโรงเรียนกับพี่ภูทุกเช้า

“น้องน้ำเป็นอะไรรึปล่าวครับ”

“น้ำแค่นอนไม่ค่อยหลับหน่ะครับ”

ผมตอบพี่ภูก่อนหันมองตรงกระจกรถ พี่ภูถามผมแบบนี้ทุกวัน ผมเองก็ตอบแบบนี้ทุกวัน

เช้าๆแบบนี้ทุกคนดูรีบเร่ง ขณะติดไฟแดง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่สัญญาณไฟ รอว่า เมื่อไหร่จะไฟเขียวซักที

รถมอเตอร์ไซค์ขับมาออกันอยู่ข้างหน้า

“คี” ผมเห็นคี ใส่ชุดนักเรียนขับมอไซค์ติดไฟแดงอยู่ซ้ายสุดของถนน

ผมลดกระจกและตะโกนออกไป

“คี” ผมรีบปลดเข็มขัดและปลดล็อกประตู

“ไม่ได้นะน้องน้ำ ไฟเขียวแล้ว” พี่ภูจับแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะทันเปิดประตูรถ

รถค่อยๆเคลื่อนออกไป ผมมองคีที่กำลังมองมาทางนี้

สายตาเหมือนมองคนไม่รู้จักกัน และผู้หญิงที่นั่งป้ายข้างซ้อนท้ายอยู่ มือบางเกาะอยู่ที่เอวคี

ผมรู้สึกแสบจมูก กระบอกตาร้อนผ่าว

ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจทั้งหมดแล้ว

“...น้ำ น้องน้ำ” ประตูรถที่ถูกเปิดออกและใบหน้าของพี่ภูที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมผงะ

“ถึงโรงเรียนแล้วนะครับ”

ผมสะพายกระเป๋าและก้าวลงรถ

“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณพี่ภูเมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง

ไม่รู้ว่าผมพูดกับใครไปบ้าง กินข้าวกลางวันกับอะไร เรียนถึงไหน รวมทั้งมาถึงบ้านได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงจอมดังอยู่ตรงหน้า

“น้ำ กินข้าวเถอะนะ” จอมพูดพร้อมกับเอาช้อนมาจ่อไว้ตรงปากผม

ผมอ้าปากงับช้อน แต่กลับไม่รู้สึกถึงรสชาติของกับข้าวในปาก แม้แต่จะกลืนผมยังรู้สึกว่ายากลำบากเต็มทน

“จอม น้ำอิ่มแล้ว” ผมมองจอมด้วยสายตาเว้าวอน เมื่อรู้สึกตื้อในอกจนทนไม่ไหว

“จอมขอร้อง กินอีกนิดนะน้ำ เดี๋ยวปวดท้องเหมือนวันก่อนล่ะแย่เลย”

“ไม่อร่อยเหรอ กินโจ๊กมั้ย เดี๋ยวจอมไปทำให้”

ผมได้แต่ส่ายหน้า


พออาบน้ำเสร็จ ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวและตัวรุมๆเหมือนมีไข้ ขณะก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายผมรู้เลยว่าหน้ามืด ความรู้สึกสุดท้ายคือตัวที่ทิ้งดิ่งลงไปบนพื้น ร่างกายหนักจนลุกไม่ไหว

อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้ผมเบียดตัวเข้าหา สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากและอ้อมแขนที่กระชับปลุกผมให้ลืมตาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

ภาพตรงหน้าคือคีที่นอนตะแคงมองตรงมา ผมเอื้อมมือไปไล้ใบหน้านั้นน้อยๆ บนศีรษะพันผ้าพันแผลไว้ ผมเอื้อมมือไปลูบเบาๆตรงรอยเลือดที่ซึมออกมา

ใบหน้านั้นค่อยๆเคลื่อนเข้ามา คีหลับตาแล้วรั้งท้ายทอยผมเข้าหา ก่อนเอียงหน้าน้อยๆประกบปากลงมา ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆก่อนทุบอกคนตรงหน้า แต่แรงที่มีคงน้อยเสียจนเหมือนสะกิดเบาๆ คีเพียงแค่แตะปากไว้อยู่อย่างนั้น ลมหายใจผมร้อนผ่าว ในหัวมึนงงไปหมด ผมหลับตาลง สัมผัสเปียกชื้นตรงริมฝีปากและลิ้นที่เข้ามา เนิ่นนานจนผมรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน คีค่อยๆถอนริมฝีปากแล้วแตะเบาๆอีกสองสามครั้ง

ผมได้แต่หลับตาซุกลงกับอ้อมกอดนั้นแล้วจับเสื้อคีไว้แน่น

“ขอโทษนะ” เสียงกระซิบและสัมผัสตรงกลุ่มผมทำให้ผมค่อยๆจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

 :m28: ตอนนี้นี่มีหลายอารมณ์ไงก็ไม่รู้เนอะ

@ คุณ iforgive นั่นสิ ไม่เข้าใจเค้าจริงๆ  :เฮ้อ: แต่ว่าแต่ละคนคงมีเหตุผลเป็นของตัวเองเนอะ ในตอนนี้คือคีคงสับสนและไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดีหน่ะค่ะ

@ คุณ kasarus เรื่องคู่พี่ภูกับน้องจอมไว้ค่อยว่ากันอีกที อ่านตอนนี้รับรองว่าจะเคืองมากกว่าเดิมนะจ๊ะ  :laugh:

@ คุณ yeyong งานเข้าอย่างรุนแรงเลยล่ะค่ะ (ทายเก่งจัง เม้นมาทีไรตรงกับที่วางไว้เลยอ่ะ แต่ความจริงนิยายมันก็มีไม่กี่พล็อตอ่ะเนอะ)

@ คุณ takara พูดอีกก็ถูกอีก คนโทรหาน้องน้ำมีไม่กี่คนหร้อก แล้วเป็นไง โทรแล้วไม่รับ น้องน้ำน่วมเลย

@ คุณต้นข้าว นั่นสิ ทิ้งน้ำไปได้ไงอ่ะ ไหนบอกต้องดูแลไง แต่ความจริงคีเค้าก็มีมุมของเค้าเหมือนกันเนอะ อยากให้ลองนึกๆย้อนไปถึงความรู้สึกคีในตอนเก่าๆดูหน่ะค่ะ อาจพอเข้าใจว่า ทำไมเจ้าตัวเค้าถึงทำอะไรแบบนี้

@ คุณ Ipatza อ่านตอนนี้แล้วรับไม่ได้แหง๋ๆ ไอ้บ้าคีกลับมาแล้วโกรธน้ำแน่นอน บีบน้องน้ำเกือบแหลกคามือ(เวอร์ไป) วันนี้เค้ามาต่อเร็วแล้วน้า

@ คุณ aloney คุณคือบุคคลหายาก ในที่สุดคีก็มีแฟนคลับกับเค้าซักที  :o12: ปลาบปลื้มแทนเจ้าตัวเค้าจริงๆ (มีแต่คนชอบพี่ภูนะ อิ๋งก็ชอบ กร๊ากกกก)

คือคนอ่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน วันที่ยี่สิบแปดนี้อิ๋งจะสอบแล้ว ก็เลย :m17: แบบว่า อาจมาช้าบ้าง อะไรบ้าง อย่าลืมกันนะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 21-04-2012 23:56:06
คีอ่ะ!!!!!  ชอบน้ำ หึงน้ำแล้วทำไมทำอย่างนี้อ่ะ นิสัยไม่ดี  ไอ้อึน!!!!!  :m31: :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 22-04-2012 00:03:15
เขาจูบกันเเล้ว

ว่าเเต่คีไปนีรันฟันเเทงกับใครมาหรือเปล่าถึงได้พันหัวขนาดนั้น

โชคดีกับการสอบนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 22-04-2012 00:17:22
อะฮ้า คีกลับมาทันรับน้ำที่ตกบันไดป่ะเนี้ย ถึงได้มีผ้าพันแผล
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-04-2012 00:36:34
รักคนที่เขารักเราดีกว่านะหนู
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: aloney ที่ 22-04-2012 02:15:58
คีมารับน้ำทันใช่ม้า า 
นี้แระ อิมเมจพระเอกของแท้ ต้องซึนเข้าไว้ลูก ซึนเท่านั้นที่ครองโลก
จูบแล้ว ว  ก็รอวัน "คีกดน้ำ"   >o<   *พูดอะไรออกไป*
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 24-04-2012 11:56:38
อ่าว เม้นเราหาย หงะ -*-
เม้นไปแล้วไหงหายได้ หลายครั้งและ55+(งงตัวเอง)
ไม่เป้นไรเม้นใหม่
ตอนนี้น้ำไม่ได้ฝันไปเองใช่ไหม
คีมารับตอนน้ำตกบันใดหรอ
แต่แอบงงนิดๆว่าตกลงใครมีผ้าพันแผลที่หัวกันแน่หนอ
คีหรอ? ไปโดนไรมาหงะ -*-
ปล.พี่ภูช้านนน โดนแย่งซีน+คะแนนอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 26-04-2012 15:03:34
สงสัยคีจะโดนฟิว จอมกะพี่ภูรุมกินโต๊ะข้อหาทำน้องน้ำนอยด์

เกลียดจริงๆ พวกไม่ได้ดั่งใจแล้วไปควงคนอื่นประชดเนี่ย
รีบๆ เคลียร์กันให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ2 21/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ipatza ที่ 29-04-2012 06:41:35
หายหงะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 29-04-2012 07:17:04
(กูก็) ไม่เข้าใจ (เหมือนกันโว้ยย)

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

“กริ๊ง กริ๊งงงง”  เหี้ยเอ้ย ใครโทรมาแต่เช้าวะ

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

กูไม่รับเว้ย ใครจะทำไม

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

ไอ่ห่า มึงไม่รู้รึไงว่าวันนี้วันอาทิตย์ โทรมาทำไมเช้าวะ

ผมเอามือควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างหงุดหงิด

“ฮัลโหล”

“กูรออยู่หน้าบ้าน เร็วๆนะเว้ย” “ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด” ไอ้คี แม่ง เอาแต่ใจชิบหาย  นี่มึงกะไม่ให้กูได้พูดอะไรเลยใช่มั้ย

ผมนั่งขยี้หัวบนเตียงอย่างหงุดหงิด เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องก็ได้แต่ถอนหายใจ หกโมงเช้า มาปลุกกูทำไมเนี่ย

“มึงปลุกกูมาทำไร” ผมทักไอ้คีที่ยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับเลื่อนประตูรั้ว ก่อนเดินนำมันเข้าบ้าน

“จอม กูไม่อยากรบกวนว่ะ เช้าอยู่ คุยตรงนี้แหละ” เสียงไอ้คีทำให้ผมหันกลับมามองมันเซ็งๆ มึงไม่เข้ามาแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่กูเลื่อนประตูรั้ววะ

“ว่ามา บอกก่อนเลยนะ ถ้าไม่สำคัญพอ มึงเป็นบาปแน่” ผมชี้หน้าคาดโทษก่อนยืนกอดอกมองหน้ามัน รบกวนคนอื่นตอนนอนถือเป็นการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกเลยนะครับ

“มึงช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนน้ำแทนกูที” ห๊ะ หูผมไม่ได้ผิดปกติใช่มั้ยครับ ไอ้สองคนนี้ตัวติดกันยังกะปลาท่องโก๋ แล้วไหงวันนี้พ่อมันยอมผละจากลูกมาได้วะ

“แล้วมึงจะไปไหน น้ำรู้รึยังว่ามึงจะไม่อยู่”

“คงรู้แล้วล่ะ” ไอ้คีตอบพลางทำหน้าเครียด

“ตกลงรู้หรือไม่รู้ แล้วมึงออกมาเช้าแบบนี้ ไอ้น้ำยังไม่ตื่นเหรอ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยวานมึงไปดูให้ทีไง” มันตอบพลางบีบขมับไปด้วย พึ่งสังเกตนะครับว่าไอ้คียังใส่ชุดของเมื่อวานอยู่

“ทำไมมึงไม่ไปดูเอง นี่มึงกลับบ้านมั้ยเนี่ย”

“กลับแล้ว” ไอ้คีถอนหายใจพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์

“....” ผมเลยเงียบรอให้มันพูดต่อ

“กูทะเลาะกับน้ำว่ะ” นี่มันคือ...สิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก โอ้ว ให้ตายเถอะ โรบิ้น ผ่านมาสามปี สองคนนี้ไม่เคยทะเลาะกันเลยนะครับ ย้ำ ไม่เคยเลย

“พวกมึงทะเลาะอะไรกัน”

“กู...ไม่รู้” ถ้ามึงไม่รู้แล้วกูจะรู้มั้ย

“เมื่อวาน...กูกลับบ้านสี่ทุ่ม แต่บ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ กูก็เริ่มใจหาย กังวลสารพัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้ำ พอกูไขประตูเข้าบ้าน ห้องนั่งเล่นก็เงียบ แต่ไฟเปิดไว้ กูเลยเดินหาน้ำทั่วบ้าน แต่ก็หาไม่เจอ ตะโกนเรียกไปก็ไม่มีเสียงตอบ กูเลยโทรเข้าเบอร์น้ำ มีแต่สัญญาณรอสาย ไม่มีคนรับ กูโคตรกลัว ตอนนั้นกูได้แต่นึกโทษตัวเองว่าทำไมไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้...”

“แล้วไงต่อ” ผมถามไอ้คีที่เงียบไป

“กูกะว่าจะขี่มอไซต์ตามหา เผื่อน้ำเดินไปซื้อไอติมเซเว่นปากซอย แต่กูได้ยินเสียงมอไซต์หน้าบ้าน กูก็หันไปมอง คิดว่ามึงไม่ก็ไอ้ฟิวพาน้ำออกไปข้างนอก แต่ก็ไม่ใช่ น้ำกลับมาก็จริง...”

“แล้วมึงรู้มั้ยกูเห็นอะไร”

จะไปรู้เรอะ กูไม่ได้อยู่กับมึงนี่หว่า

“น้ำยืนจูบกับไอ้พี่ภู” ช็อครอบสองครับ อย่างน้ำเนี่ยนะ จะจูบกับพี่ภู นี่มันมีพัฒนาการขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ วันๆผมเห็นไอ้น้ำกอดๆหอมๆแต่ตุ๊กตาน้องผสม โลกทั้งใบของมันมีแต่โรงเรียน บ้าน กับไอ้คนตรงหน้า อย่าว่าแต่จูบเลย เวลามีคนเข้ามาจีบมัน มันยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

“อ้าว แล้วตกลงมึงทะเลาะกับน้ำทำไมวะ” งงครับ น้ำจูบกับไอ้พี่ภูแล้วทะเลาะกันทำไม ต่อมหวงลูกทำงานอีกล่ะสิ

“....” นั่น ไม่ตอบแต่ทำตาขวางอีก

“ถามจริงๆ มึงจะหวงน้ำให้ได้อะไรขึ้นมา น้ำโตแล้วนะเว้ย”

“จอม มึงไม่เข้าใจ” เฮ๊อะ กูคงเข้าใจหรอก

“มึงก็รู้ว่าพี่ภูเป็นไง กินเหล้าเอา...เป็นว่าเล่น แล้วจะให้กูแน่ใจได้ไงว่ามันจะจริงจังกับน้ำ” ที่พูดนี่มึงดูตัวเองก่อนรึป่าวเนี่ย

“มึงก็คุยกับไอ้น้ำตรงๆไปเลยว่าให้คิดดีๆถ้าจะคบกับพี่เค้า”

“กูกะจะพูดอยู่หรอก แต่รมณ์ขึ้นทุกที” ไอ้ห่า อาการหนักนะมึง

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

“กูยังไม่รู้”

“เออๆ ไว้มึงเย็นกว่านี้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ผมพูดตัดบทแล้วเดินเข้าบ้าน

“จอม” ผมหยุดเดินแล้วหันหน้าไปมองมันประมาณว่ามึงมีไรอีก

“กูเผลอบีบแขนน้ำไป มึงดูให้ทีนะ” ไอ้คีพูดจบก็ขี่มอไซต์ออกไป

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านทันที แวะตลาดซื้อของสดก่อนแว๊นไปลากฟิวมาอยู่เป็นเพื่อนน้ำอีกคน

น้ำเป็นคนคิดมากนะครับ เวลาทำอะไรดูมันจริงจังมาก อย่างช่วงใกล้สอบนี่อยู่ห้องสมุดตอนเย็นจนปิดอ่ะ หรือเวลาเรียนศิลปะ น้ำเป็นคนที่วาดภาพไม่ได้เรื่องเลยครับ เหมือนความสามารถในการวาดเขียนของมันหยุดอยู่ในระดับป.สอง แต่เจ้าตัวเค้ามีความพยายามมากๆ ไม่เคยให้เพื่อนช่วยทำงานหรือการบ้านอะไรเลย มันจะทำจนกว่าจะได้ในสิ่งที่มันพอใจที่สุด ส่วนเรื่องคิดมากนี่อีก อย่างคราวก่อนที่คีเลิกกับพราว ผมได้ยินน้ำมันถามไอ้คีทุกว๊าน ทุกวันว่ามันเป็นคนทำให้ทั้งสองคนเลิกกันรึปล่าว ให้มันช่วยไปอธิบายให้พราวฟังมั้ย บางทีก็คะยั้นคะยอให้คืนดีกันบ้าง เยอะอ่ะ สาธยายทั้งวันก็ไม่หมด

พอผมไขประตูบ้านเข้าไปก็เห็นน้ำนอนขดตัวอยู่ตรงโซฟา ท่าทางจะนอนรอไอ้คีตรงนี้ทั้งคืน

“น้ำ น้ำ” ผมเรียกพลางเขย่าตัวไปด้วย

“ทำไมมานอนตรงนี้ ลุกไปนอนบนห้องเร็ว” น้ำขยี้ตามองผมงงๆ

“ไม่ง่วงแล้วล่ะ เดี๋ยวน้ำไปอาบน้ำดีกว่า”

“ลงมากินข้าวด้วยกันนะน้ำ จอมกำลังจะทำกับข้าว” ผมรีบชวนให้มันมากินข้าวด้วยกันเพราะเดี๋ยวโรคกระเพาะกำเริบอีก
ผมทำผัดแตงกวาใส่ไข่ใส่หมูสับเสร็จ ฟิวก็โผล่หน้าเข้ามาในครัว

“จอม กูว่านี่เค็มไปนะ” ไอ้ฟิวบอกผมหลังเอาช้อนตักผัดแตงกวาเข้าปาก ไม่พูดเปล่า ฉวยกระปุกน้ำตาลพร้อม

“พอดีแล้ว พอเลย ห้ามใส่น้ำตาล” ผมห้ามเกือบไม่ทัน ไอ้นี่ชอบกินหวานครับ

เสียงลากเก้าอี้ทำให้ผมรู้ว่าน้ำเดินเข้ามาในครัวแล้ว

“ไงน้ำ ตาโหลเป็นหมีแพนด้าเลย เมื่อคืนหลับดึกใช่ป่าว” ฟิวทักน้ำอย่างอารมณ์ดี ทักอะไรไม่ทักนะมึง ผมเองยังไม่ได้บอกฟิวเรื่องน้ำกับคีทะเลาะกันเลย คิดแล้วปวดหัวเบาๆ

“ก็...ทำนองนั้นแหละ”

“น้ำ แขนไปโดนอะไรมา” เออ จริงสิ พึ่งนึกได้ ลืมหาน้ำแข็งมาประคบให้น้ำ

เอาแล้วไง ฟังจากเสียง ลัญจกรท่าทางตกใจมาก

“ใครทำ” เสียงเข้มขึ้นอย่างมีสาเหตุ

“ไอ้คีใช่มั้ย” ใช่เลย คนที่กล้าทำมีมันคนเดียวนั่นแหละ

“จอม มึงรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ลากกูมาแต่เช้า” ผมที่กำลังตักต้มจืดใส่ถ้วยชะงักหน่อยๆ ได้แต่พูดแบบไม่มีเสียงไปว่าเดี๋ยวบอก ไอ้ฟิวทำหน้าเคืองก่อนหันไปซักน้ำต่อ

“น้ำ บอกฟิวมาซิ ไอ้คีมันทำน้ำเจ็บใช่รึป่าว แล้วมันอยู่ไหน” ตายห่า ลัญจกรของขึ้นแล้วครับ ผมรีบวางถ้วยกะไปห้ามมันไม่ให้เรื่องไปกันใหญ่ แต่น้ำไวกว่า

“ฟิว พอเถอะนะ”

“เฮ้อ ก็ได้ๆ แล้วประคบเย็นรึยัง” ไอ้ฟิวนิ่งไปซักครู่ ก่อนถอนหายใจแล้วจับแขนน้ำขึ้นมาดูอีกที

“เฮ้ออออ” ขอถอนหายใจอีกคน

แน่ะ คนอ่านงงอ่ะดิ ทำไมผมกลัวเกิดเรื่องใหญ่ คำตอบนี้ไม่ยาก

เรื่องมันมีอยู่ว่าครอบครัวของไอ้ลัญจกรเนี่ยเป็นผู้มีอิทธิพล และแลดูแล้วเพื่อนผมคงจะได้เป็นทายาทอสูรต่อไปเพราะเป็นลูกชายคนเดียว ถ้าลัญจกรของขึ้น และไอ้คีที่ยังเป็นโรคสับสนในตัวเองอยู่มาปะทะกัน ผมก็ไม่อยากจะคิดนะว่าจะหมู่หรือจ่า แค่ฟิวยกหูโทรศัพท์บอกกองทัพที่บ้านมัน คงได้ตัวการมาในไม่ช้า

ผมว่าปล่อยๆไอ้คีไปก่อนเห๊อะ เดี๋ยวมันโอเคก็กลับมาเองแหละครับ มันห่วงน้ำจะตาย จะไปได้นานเท่าไหร่กันเชียว
พอกินข้าวเสร็จ ผมก็อาสาล้างจาน ไล่ให้ไอ้ฟิวพาน้ำไปดูการ์ตูน หรือหาอะไรทำไม่ให้มันคิดมาก นี่คือประโยชน์ของการลากตัวไอ้ฟิวมาในวันนี้ ฟิวกับน้ำสนิทกันไงครับ มันชอบเล่นด้วยกัน เสาร์อาทิตย์เวลาพวกผมว่างก็มาบ้านน้ำตลอด จำได้ว่าเดือนก่อนผมกับคีต้องทำรายงานกลุ่ม พวกเพื่อนห้องผมมากันห้าหกคน เราทำรายงานกันทั้งวันเพราะต้องส่งวันถัดไป(ไฟล้นก้นไง) ส่วนฟิวกับน้ำว่างเลยหากิจกรรมวันหยุดทำ เริ่มตั้งแต่ประมาณสิบโมงเช้า ผมก็ได้ยินเสียงเสียงหัวเราะมาจากหลังบ้าน เลยลุกไปดูว่ามันขำอะไรกันนักหนา ปรากฏว่าไอ้น้ำปืนไปนั่งบนกิ่งลิ้นจี่หัวเราะไอ้ฟิวที่เอาปากกาเมจิกเขียนคิ้วให้หมาข้างบ้านอยู่ เห็นแล้วก็หวาดเสียว กลัวไอ้น้ำหัวเราะจนตกลงมาจริงๆ

“น้ำ ระวังตกนะ ลงมาเร็ว” อ้าว ไอ้คีออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อกี้ยังเห็นมันนั่งปริ้นท์งานอยู่เลย

น้ำมองไอ้คีแล้วทำหน้าตูม แต่ก็ยอมลงมาแต่โดยดีนะครับ ยังไม่วายโดดลงมาจับกบให้ใจหายเล่น

พอบ่ายๆไอ้คีก็ใช้ให้ผมออกไปดูอีกว่าลูกมันทำอะไรอยู่ และภาพที่เห็นทำให้เกิดความรู้สึกเซ็งกับงานที่ต้องทำมากขึ้น

น้ำกับฟิวเตะบอล โดยมีไอ้หมาคิ้วไล่งับบอลอยู่ตรงสนามหน้าบ้าน ผาสุกกันจริงๆ

“พวกมึง กูกลับแล้วนะ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโน้ตบุ๊คมองไอ้ฟิวที่กำลังสบายกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน

“แล้วน้ำล่ะ ทำไมมึงกลับมาคนเดียว” ไม่ต้องบอกก็รู้เนอะว่าใครถาม

“น้ำอยู่แถวสนามเด็กเล่น เห็นบอกจะอยู่เล่นต่อ ให้กูกลับมาก่อนเลย” โห นี่พวกมึงกี่ขวบกันเนี่ย กูเริ่มสับสน

ประมาณหกโมงเย็นรายงานกลุ่มของพวกผมก็เสร็จสมบูรณ์

แต่น้ำยังไม่กลับมา พวกผมเลยจะเดินไปดูกันว่าสนามเด็กเล่นนี่มันมีดีอะไรให้ไอ้น้ำเล่นได้ครึ่งวัน

พอไปถึงผมก็ต้องยิ้มกับภาพที่เห็นครับ น้ำนั่งก่อทรายอยู่กับเด็กๆในบ่อทราย

“จอม เพื่อนมึงน่ารักว่ะ” ไอ้แซ็กพูดพลางส่ายหัวยิ้มๆ

พวกผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นไอ้น้ำยืมอุปกรณ์ของเด็กคนอื่นๆด้วย ยืนจ้องมันได้ซักพัก ไอ้คีก็นั่งยองๆข้างๆน้ำ

เห็นไอ้น้ำพูดอะไรซักอย่างแล้วยิ้มตาหยี ไอ้คีเองก็ชี้มาทางที่พวกผมยืนอยู่

พอน้ำมองมามันก็ทำตาปริบๆก่อนกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา

“จอม มาดูนี่สิ”

“นี่บ้านน้ำ บ้านคี บ้านฟิวแล้วก็บ้านจอม ตรงนี้เป็นสนามหน้าบ้าน อ๊ะ มีสระว่ายน้ำด้วยนะ ส่วนตรงนี้เอาไว้จอดรถ...” น้ำชี้พร้อมกับบรรยายทรายรูปทรงประหลาดตรงหน้า

“อ้าว แล้วบ้านเต้ล่ะ ไม่มีเหรอน้ำ” น้ำชะงักเงยหน้ามองไอ้เต้ที่ขัดจังหวะการบรรยาย

“บ้านเต้เหรอ มีสิ เดี๋ยวน้ำสร้างให้” ไอ้น้ำพูดแล้วลุกจะไปยืมบล็อกเด็กคนอื่น

“พอเลย วันนี้ค่ำแล้ว ไม่ต้องสร้างบ้านให้ไอ้เต้หรอก มันชอบนอนตามถนน” ไอ้คีคว้าแขนน้ำไว้ก่อนปัดทรายตามตัวให้

และแล้ววันนั้นพวกผมก็พาน้ำกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

เห็นป่าวครับ ว่าเพื่อนฟิวมีประโยชน์ สรรหากิจกรรมยามว่างให้เพื่อนน้ำได้

กลับมาที่ปัจจุบัน น้ำนั่งใจลอยทั้งวันจนผมกับฟิวต้องคอยบอกให้ทำนู่นทำนี่อยู่ตลอด

พอเข้าวันที่สองที่ไอ้คีไม่กลับบ้าน ลัญจกรก็เริ่มของขึ้นเป็นพักๆ เนื่องจากสายชลไม่ยอมกินข้าวจนปวดท้องแล้วอาเจียนไปตามระเบียบ

ผมเองก็เริ่มคิดว่าปัญหาของน้ำกับคีมันคืออะไร เพราะดึกๆไอ้คีก็โทรมาถามทุกวันว่าน้ำกินข้าวรึยัง ไปโรงเรียนยังไง ทำอะไรอยู่
 
เป็นห่วง แล้วทำไมไม่กลับมาดูเองวะ

จนวันที่สาม หลังเลิกแถว พี่ภูก็เข้ามาถามผมว่าน้ำเป็นอะไร ดูซึมๆ ผมเลยตอบไปตามตรงว่ามันทะเลาะกับไอ้คี เห็นพี่แกทำหน้าหมองๆแล้วผละไป

ผมสงสารพี่เค้านะ เห็นคนที่ตัวเองชอบไม่พูดไม่ยิ้มเหมือนเคยก็คงพลอยไม่สบายใจไปด้วย

วันนี้น้ำเหมือนคนไร้วิญญาณ สองวันก่อนถามคำตอบคำ บอกให้ทำอะไรก็ทำ แต่ตอนนี้พอพูดหรือบอกอะไร มันก็นิ่ง เหมือนไม่รับรู้ว่าเรามีตัวตนซะงั้น ผมละเพลียใจ

และเย็นวันนี้ขณะผมกำลังล้างจานอยู่ในครัว จู่ก็มีเสียงดังตุ๊บ เหมือนของหนักฟาดลงกับพื้น พอวิ่งไปดูก็เห็นฟิวกำลังช้อนตัวน้ำ

“ฟิว น้ำเป็นอะไรวะ”

“กูนั่งดูทีวีอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงกระแทกพื้น หันมาดูอีกทีน้ำก็กองอยู่ตรงนี้แล้วว่ะ”

“มึงพาไปนอนบนห้องก่อนดีกว่า”

พอพวกผมพาน้ำไปนอนบนเตียง ไอ้ฟิวโทรตามหมอประจำบ้านมันทันที ผมมองสำรวจก็เห็นน้ำหัวโน พอเอามือไปแตะดูถึงได้รู้ว่าตัวมันร้อนยังกะไฟ

ผมเดินออกมาหน้าบ้านแล้วตัดสินใจโทรหาไอ้คี

“มีไรวะ”

“คี มึงคิดจะกลับมาเมื่อไหร่” ผมถามมันเสียงเรียบ

“กูยังไม่แน่ใจ” คำตอบที่ได้เริ่มทำให้ผมโมโห

“มึงรออะไรอยู่”

“....”

“ถ้ามึงไม่กลับมาวันนี้ มึงก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านนี้อีก”

“จอม มึงหมายความว่าไง”

“ที่ถามนี่คิดรึยัง มึงก็รู้ว่าเวลาน้ำคิดมากมันเป็นยังไง”

“น้ำเป็นอะไร” ผมได้ยินเสียงสตาร์ทมอไซต์จากปลายสาย

“น้ำตกบันได” สิ้นเสียงผม ไอ้คีกดตัดสายทันที

พอดีกับที่รถของหมอบ้านไอ้ฟิวมาจอดหน้าบ้าน ผมเดินนำหมอขึ้นไปบนห้องนอน

หมอฉีดยาให้น้ำแล้วหันมาบอกฟิวที่ยืนอยู่ข้างๆให้หาน้ำแข็งมาประคบหัวบริเวณที่นูนออกมา

ผมรอส่งหมอที่กำลังเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง แต่ก็ต้องตกใจกับเสียงโครมครามชั้นล่าง

สิ่งที่เห็นคือไอ้ฟิวกระชากคอเสื้อไอ้คีให้ลุกขึ้นก่อนเหวี่ยงหมัดออกไป แต่ผมรีบยื้อแขนมันไว้เมื่อเห็นเลือดไหลจากหัวไอ้คี

“ฟิว มึงใจเย็นก่อน” มันสะบัดมือผมออกก่อนปล่อยคอเสื้อไอ้คี

ฟิวเตะหมอนอิงที่หล่นจากโซฟาก่อนเดินขึ้นไปบนห้อง

หมอที่ตามลงมาต้องทำแผลให้ไอ้คีอีกคน

พอทำแผลเสร็จคีก็รีบไปดูน้ำ

ส่วนผมบอกขอบคุณหมอแล้วรีบวิ่งไปชั้นสอง

“หายกันนะมึง” ฟิวพูดแล้วยิ้มให้ไอ้คีที่ยืนอยู่ข้างเตียง

“หมัดหนักใช้ได้เลย” ไอ้คียิ้มตอบ

พวกมันหัวเราะกันเบาๆ

“กูต้องกลับแล้ว มึงมีปัญหาอะไรกับน้ำก็เคลียร์ให้มันจบ” ฟิวพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกห้องไป

ผมเองก็เดินตามไอ้ฟิวลงไปชั้นล่างเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้เอาน้ำแข็งมาประคบหัวน้ำ

แต่พอกลับมาผมก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นไอ้คีกับน้ำจูบกัน

นี่ตกลง...พวกมึงเป็นมากกว่าเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

กูล่ะไม่เข้าใจจริงๆ

มาแล้วค่าาา คิดถึงคนอ่านจัง :impress:
ในที่สุดการสอบอันทรหดก็ผ่านไปซักที คึๆ ดีเนอะ

@ คุณ YELLOWSTAR ปล่อยมันอึนต่อไปอีกซักนิดเถอะค่ะ เรื่องจะได้มีสีสัน ก๊ากกกก :laugh:

@ คุณต้นข้าว อิ๋งคิดถึงน้องมัคจังเยย เดี๋ยวขอแว๊บไปอ่านดีกว่า เค้าจูบกันแล้วอ่ะ :m3: อ่านตอนนี้จบแล้วรู้เลยว่าไปตีรันฟันแทงกับน้องฟิวของเราเบาๆแบบแค่เป็นการเรียกน้ำย่อย ขยับร่างกายกันนิดๆ(เหรอ เลือดออกด้วยนะ) ขอให้โชคดีจริงๆเถ๊อะ สาธุ

@ คุณ takara ป่าวค่า ไม่ได้กลับมารับตอนตกบันไดหรอกค่ะ มันโดนซ้อม ส่วนน้องน้ำเอาห้วโหม่งพสุธาไปแล้ว

@ คุณ iforgive อุ่ย  :o9: ให้หันไปรักพี่ภูแทนใช่ม้าาาา แหะๆ พอดีน้องน้ำเป็นพวกมาโซคิส ต้องให้พี่ภูเป็น bad boy ซะแล้ว :laugh3:

@ คุณ aloney ไม่ได้มารับค่า น้องน้ำหัวปูดด้วยตนเองไปแว้วว คีจะซึนต่อไปอีกซักพักจนถึงวันที่คีกดน้ำ  :confuse: พูดอะไรออกไป คึๆ

@ คุณ Ipatza ดีจายที่มาเม้นให้ใหม่  :oni2: น้องน้ำไม่ได้ฝันไปแน่นอน ปวดใจเบาๆอ่ะจิ  :laugh:  น้องน้ำตกบันไดแบบไม่มีเบาะรองจ้า  อ่านตอนนี้แล้วรู้รึยังว่าใครมีผ้าพันแผล คีโดนลัญจกรเอาเลือดหัวออกค่ะ เผื่อจะได้หายสับสน ส่วนเรื่องพี่ภูโดนแย่งคะแนน :m29: ตัวเองต้องทำใจแล้วแหละ 

@ คุณ kasarus โดนฟิวกินโต๊ะคนเดียวค่า พอดีพี่ภูแอบไปเจ็บเบาๆอยู่ อู้ย เดี๋ยวตอนหน้าก็เคลียร์กันแล้วค่า อย่าพึ่งไปเกลียดคีเล้ย อีกหน่อยจะเกลียดกว่านี้  :o ตกลงยังไง

@ คุณ Ipatza ตะเอง เค้าไม่ได้หายไปไหน เค้าฟิตจัดอยู่ให้ห้องสมุดทั้งอาทิตย์เรย เค้ามาแล้วนะ อ่านต่อเต๊อะ รักตัวจัง จุ๊บๆ


หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-04-2012 08:46:42
เผลอจูบกันแล้ว ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปไหม
หรือคีมันยังบื้อเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 29-04-2012 10:20:59
ตกลงว่า คีจะเอางัยนิ คีจูบน้ำจริงอะเกิดขึ้นได้อย่างไร
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-04-2012 11:41:56
คีเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ  ไม่ชอบเลยว่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 29-04-2012 12:16:32
คีนิสัยไม่ดี ทิ้งน้ำไว้อย่างนี้ได้ไง!!!!!!!
ขอเชียร์พี่ภูให้เป็นพระเอกแทนดีมั๊ยเนี่ยย!!!
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-04-2012 15:00:13
ยกป้ายไฟเชียร์คีย์เต็มตัว 5555
ถึงร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ  :-[
 ไม่ใช่พี่ภูไม่ดีนะค่ะ แต่พี่ภูไม่ใช่ แต่ !!!   จอมกับฟิวก็ว่างนะ  หรือว่าจอมกับฟิวจะวันเดอริงกันเอง
เอ๊ะ ยังไงอะไร แต่เราได้หมด ห้ามคู่ผู้หญิงก็พอ  :laugh: :laugh: :laugh:

ปล เรื่องสนุกดีค่ะ   o13
ปล 1 อย่าลืมหาคู่ให้ จอม ฟิว กับพี่ภูนะค่ะ (ขอเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นผู้หญิงเราจะ จะ จะ  ร้องไห้ให้ดู  :sad4: )
ปล 2  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่เข้าใจ(เหมือนกัน)) 29/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 29-04-2012 18:42:40
อ่อ ไปฟัดกับเฮียฟิวนี่เอง

วู้ คีเเม่งชอบทำให้น้ำคิดมากอะ

ถึงขั้นจูบกันเเล้วคงไท้เเคล้วเป็นคู่กันเน้อะ

คุณอิ๋งอิ๋ง หายไปซะนานเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 30-04-2012 20:40:11
Ours1

ภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าคือใบหน้าของคีที่กำลังนอนจ้องผมอยู่

“ดีกันนะ” คีพูดพร้อมกับชูนิ้วก้อยมาตรงหน้า

ผมมองสบตาคีนิ่งๆอย่างชั่งใจ แล้วส่ายหน้าน้อยๆ

“น้ำ...” คีลุกหันหลังก้าวขาลงจากเตียง

ผมรีบลุกตามแล้วใช้แขนคล้องคอคนตรงหน้าทันที

คีเองก็ชะงักนิ่งให้ผมซบหน้าตรงแผ่นหลังอยู่อย่างนั้น

“น้ำไม่คืนดีด้วยหรอกนะ” คีดึงมือผมออกและหมุนตัวมามองหน้าผม

“ไม่เป็นไร” สัมผัสจากมือคู่เดิมลูบหัวผมเบาๆ

“เราไม่จำเป็นต้องคืนดีกัน เพราะน้ำไม่เคยโกรธ น้ำไม่เคยโกรธคีเลย” คีหยุดมือก่อนดึงผมเข้าไปกอด

ผมซุกหน้าลงกับไหล่คี อดน้ำตารื้นด้วยความดีใจไม่ได้ คีกลับมาแล้ว คีจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน

“ต่อไปคีจะไม่ไปไหนแล้วนะ จะอยู่กับน้ำ”
 
ผมพยักหน้าเงียบๆให้กับเสียงกระซิบทุ้มต่ำนั้น

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนหลังจากวันที่เราทะเลาะกัน ชีวิตผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

พี่ภูมารับผมในตอนเช้าและพากลับบ้านทุกวัน

ส่วนจอมกับฟิวมาค้างบ้านผมบางครั้งเวลามีการบ้านหรือไปเมากันมา

และวันนี้เป็นวันที่ผมแอบนับถอยหลังเวลาอยู่ในใจ

เพราะอะไรหน่ะเหรอ เพราะวันนี้คือวันที่เก้ากันยายังไงล่ะ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเกิดผมแล้วน้า

มันอาจเป็นวันธรรมดาๆแต่ผมก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ผมเลยอารมณ์ดีทั้งวัน

“ปุ่บ”

“เฮ้ย”

“โอ๊ย” ผมก้มมองลูกบอลสีเขียวเรืองแสงที่หล่นตรงหน้าพลางลูบหัวตัวเองไปด้วย

เจ็บจัง

“โทษทีว่ะน้ำ กูโยนพลาดเป้าไปหน่อย” ป้องวิ่งมาขอโทษผมแล้วเก็บบอล

“น้ำว่าไม่พลาดหรอก โดนหัวน้ำพอดีเป๊ะ” ผมทำปากยื่นมองป้องที่เอามือเกาหัวด้วยท่าทางรู้สึกผิด

“ไหนๆดูดิ๊ เจ็บตรงไหน”

ผมก้มหัวให้กับป้องที่ยืนประชิดแหวกกลุ่มผมดู

“ตรงนี้ใช่ป่าว”

“อูย ไม่ต้องเอามือกดพิสูจน์ก็ได้”

“เลือดไม่ไหล หายห่วง”

“อือ ฮึ” ผมพยักหน้าให้ป้อง

“งั้นกูกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วนะ”

“โอเค อย่าโยนพลาดอีกล่ะ” ผมบอกป้องแล้วทำหน้าเอือมใส่

“จะพยายามแล้วกัน” ป้องโบกมือให้ผมก่อนเดินกลับไปแถวหลังห้อง

“ประคบน้ำแข็งมั้ยน้ำ” ฟิวที่นั่งมองผมอยู่ทักขึ้น

“ไม่ต้องหรอกมั้ง เดี๋ยวเรียนคาบต่อไปแล้ว” ผมเอามือจับๆดูแล้วตอบฟิว

และถึงแม้ว่าหัวผมจะมีเนินเขาหนึ่งลูก แต่อารมณ์ผมก็ไม่ยักกะขุ่นมัวแฮะ


“พรุ่งนี้วันเกิดใครน้า” พี่ภูถามผมยิ้มๆในตอนกลับบ้าน

“วันเกิดน้ำ” ผมเองก็ยิ้มกว้าง

“อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึป่าวครับ” ผมนิ่งนึกซักครู่ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่มีหรอกครับ”

“ไม่มีจริงอ่ะ” พี่ภูเอียงหน้าถาม

“ไม่มีจริงๆครับ”

“ว้า งั้นเจ้าตัวเล็กนี่คงไม่มีเจ้าของแล้วล่ะสิ” พี่ภูแกล้งทำน้ำเสียงเสียดายพลางจูงมือผมไปเปิดท้ายรถ

และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมดีใจสุดๆ

“น้องผสม” พี่ภูยื่นตุ๊กตามาตรงหน้า

“พี่ภูไปหาซื้อที่ไหนมาอ่ะ” ผมรับน้องผสมตัวใหม่มากอดไว้แนบอก

“ชอบรึปล่าวครับ”

“น้ำชอบมาก ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้พี่ภูที่ลูบหัวผมเบาๆ

“พี่อยากให้ของขวัญน้องน้ำเป็นคนแรก ถึงยังไม่ตรงวันแต่ก็ไม่ว่ากันนะ”

“แค่พี่ภูไม่ลืมวันเกิดน้ำ น้ำก็ดีใจแล้วล่ะครับ”

“งั้นพี่ไปนะ ไว้คืนนี้จะโทรหา”

ผมยืนโบกมือลาพี่ภูที่ขับรถออกไป

ก้มมองน้องผสมตัวใหม่แล้วอดจุ๊บมันไม่ได้ น่ารักจัง ใส่ชุดลายวัวด้วย

พอผมเดินเข้าบ้านก็สังเกตเห็นรถกระบะสี่ประตูจอดตรงโรงรถ

แม่กลับมาแล้ว

“แม่” ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดแม่ที่ยืนทำกับข้าวอยู่ในครัว

“กลับมาแล้วเหรอน้ำ ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวกับแม่เร็ว”

ผมพยักหน้าแล้วรีบขึ้นไปอาบน้ำบนห้องทันที

“แม่กลับมาคราวนี้จะอยู่กี่วัน” ผมถามแม่ขณะกินข้าว

“พรุ่งนี้บ่ายๆก็กลับแล้วล่ะ แม่นัดลูกค้าไว้”

“งั้นก็นอนบ้านคืนเดียวเอง”

“แม่ไปทำงานออกบ่อยยังไม่ชินอีกหรือไงฮึเรา”

“ฮื่อออ ชินก็ได้”

“เอ้า อย่ามัวแต่คุย กินข้าวเยอะๆ แม่กลับมาทีไรเห็นตัวเท่าเดิมทุกที”

“น้ำกินเยอะแล้วนะ” ผมตอบแม่พลางทำหน้างอ

“จริงรึเปล่า ไว้แม่จะโทรไปถามน้องคี”

อาหารเย็นมื้อนี้สำหรับผมเป็นมื้อที่ดีที่สุดในรอบปี กินข้าวฝีมือใครก็คงไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่เรา

แม้ว่าเย็นวันนี้จะไม่มีเสียงทีวี ไม่มีคนนั่งเป็นเพื่อนตอนทำการบ้าน ไม่มีคนช่วยรดน้ำต้นไม้ แต่ผมก็อบอุ่นใจ

ผมนอนมองออกไปทางประตูกระจกตรงระเบียง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนอนไม่หลับ แม่ก็เข้านอนตั้งแต่สามทุ่มแล้ว เบื่อจัง

ผมเลยเดินมานั่งรับลมเย็นๆตรงชิงช้าหน้าบ้าน

เพราะวันนี้แม่กลับมาบ้าน คีเลยกลับไปนอนบ้านตัวเอง ป้านวลก็คงกลับมาเหมือนกันสินะ ไม่รู้ป่านนี้คีทำอะไรอยู่ นอนหลับรึยังนะ ผมกดโทรศัพท์มือถืออย่างชั่งใจ

“.....น้ำ น้ำ ได้ยินคีรึป่าว” ไม่รู้ว่าผมกดโทรออกไปเมื่อไหร่ ผมสะดุ้งน้อยๆก่อนละล่ำละลักพูดกับคนปลายสาย

“อะ อื้อ ได้ยินสิ”

“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน”

“น้ำนอนไม่หลับ”

“นับแกะได้กี่ตัว”

“ไม่อยากนับอ่ะ”

“เอ๊า แล้วทำไงดีเนี่ย”

“ไม่รู้สิ”

“แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่”

“นั่งเล่นชิงช้าอยู่หน้าบ้าน”

“งั้น...รอเดี๋ยวนะ”

“เอ๋...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรคีก็ตัดสายไปทันที อะไรของเค้าอ่ะ

ผมนั่งไกวชิงช้าได้สักพักก็ได้ยินเสียงรถมอเตอไซต์และเสียงเปิดประตูรั้ว

ผมมองคีที่อยู่ในชุดนอนหิ้วถุงน้ำเต้าหู้เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า

“กินน้ำเต้าหู้กัน” ผมยิ้มให้คีก่อนพากันเดินเข้าไปในบ้าน

หลังกินน้ำเต้าหู้และแปรงฟันรอบสองแล้ว ผมก็ล้มตัวนอนบนเตียง

คีสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน

เราสองคนหันหน้าเข้าหากัน ผมเขยิบตัวเข้าหาคีแล้วปิดตาลง

“หืม หนูอ้วนตัวใหม่นี่มาจากไหน” ผมลืมตามองคีเมื่อได้ยินคำถาม

“พี่ภูพึ่งให้น้ำเมื่อตอนเย็น น่ารักรึป่าว”

“อืม น่ารักดี” คีตอบแล้วส่งน้องผสมตัวใหม่ให้ผม

ผมเอาตุ๊กตาใหม่วางไว้ข้างหมอน แล้วนอนกอดเจ้าตัวเก่าเหมือนเดิม จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงน้องผสมตัวเก่าตัวจะยุบลงไป ขนมันอาจไม่ฟูเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกตอนกอดมันไม่เคยเปลี่ยน

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

เสียงเรียกเข้าจากมือถือทำให้ผมลืมตามองคีที่เอี้ยวตัวไปหยิบมือถือของผมที่อยู่ตรงโต๊ะข้างหัวเตียงมายื่นให้

“พี่ภู”

ผมมองหน้าคีที่จ้องอยู่อย่างชั่งใจ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะน้ำ”

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

คีกดรับโทรศัพท์แล้วเดินออกไปนอกระเบียง

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

ผมสะดุ้งน้อยๆก่อนกดรับโทรศัพท์

“happy birthday นะครับน้องน้ำ” ผมหันไปมองน้องผสมตัวใหม่แล้วยิ้มออกมาน้อยๆ

“ครับ ขอให้พี่ภูมีความสุขมากๆเหมือนกัน”

“พี่โทรมากวนรึเปล่า”

“ไม่หรอกครับ คืนนี้น้ำนอนดึก”

“เอ่อ พี่ภูงั้นแค่นี้ก่อนได้มั้ยครับ” “น้องน้ำครับ พรุ่งนี้...” ผมพูดพร้อมกับพี่ภูเมื่อคีเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วเอามือชี้ตรงมือถือของตัวเองพูดแบบไม่มีเสียงว่าฟิวโทรมา

“งั้น ฝันดีนะครับ”

“เหมือนกันครับ” ผมกดตัดสายและมองคีที่เดินมานั่งพิงหัวเตียงแล้วกดเปิด speaker phone

เสียงเพลงดังแว่วเข้ามาในมือถือ

“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือไงวะมึง”

“ยังว่ะ กูต้องตรวจงานให้พ่อก่อน ไงน้ำ ทำไมคืนนี้ยังไม่นอน”

ผมขยับตัวเข้าไปพิงหัวเตียงนั่งชิดกับคี

“เกือบหลับแล้วล่ะ พอดีมีคนโทรมาซะก่อน”

“ปีนี้มีใครนอกจากฟิวกับจอมโทรมาเนี่ย”

“พี่ภูโทรมา”

“โห ไอ้พี่ภูจีบเพื่อนฟิวจริงจังเว้ย”  ผมเม้มปากอายๆเมื่อได้ยินฟิวพูดแบบนี้

“...”

“อ้าว เงียบเลย ว่าแต่ใจอ่อนรึยังล่ะน้ำ” อืม จะว่าไป การที่เราจะรักใครซักคนนี่มันจะต้องรู้สึกยังไงน้า

“น้ำก็...” ผมยังไม่ทันตอบคีก็ชิงพูดตัดบทซะก่อน

“ไอ้ฟิว ตกลงมึงโทรมาอวยพรวันเกิดน้ำกับกูหรือโทรมาแซวน้ำกันแน่วะ”

“เออ ลืมเลย อ่ะๆ อวยพรก็อวยพร ขอให้มึงสองคนมีความสุขมากๆ เป็นเพื่อนรักกูตลอดไป ตลอดกาลและชั่วนิรันดร์เลยแล้วกัน”

“ฮะๆ ขอบใจมากนะฟิว” ผมหัวเราะเบาๆให้กับคำอวยพรที่ไม่ยืดยาวมากมายอะไร ทว่าจริงใจสุดๆ

“เออ สมพรปากมึงแล้วกัน” ถึงจะพูดเสียงนิ่งๆ แต่ผมเห็นนะว่าคนข้างๆยิ้มไม่หุบเหมือนกัน

“งั้นกูไม่กวนละ ง่วงว่ะ กลับบ้านไปนอนดีกว่า”

“กลับไปนอนหลับ หรือนอนครางวะ” ผมจ้องคีตาโต

“เชรี่ยคี กูเป็นเยาวชนของชาตินะโว้ย ถามอะไรเสียๆหายๆ”

“เหรอ กูนึกว่าดีแต่ทำชาวบ้านเค้าเสียหาย”

“สัด” ฟิวสบถทิ้งท้ายก่อนกดตัดสายไป

ผมไถลตัวลงนอนกอดน้องผสมไว้ตามเดิม ยังไม่ทันที่คีจะวางโทรศัพท์เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีก

คีส่ายหน้าน้อยๆแล้วยื่นมือถือให้ผมดูชื่อตรงหน้าจอก่อนกดรับ

“พวกมึงนัดเวลาโทรกันรึไงวะ กูพึ่งวางสายไอ้ฟิวไปเนี่ย”

“มึงรู้ได้ไง”

“หา นี่จอมกับฟิวนัดเวลากันจริงๆเหรอเนี่ย” ผมที่นอนฟังอยู่อดโพล่งขึ้นมาไม่ได้

“โถ เพื่อนน้ำ อายุอานามก็มากขึ้นอีกปีแล้วแต่ยังเบบี๋หลอกง่ายเหมือนเดิมเลยนะ” จอมทำเสียงกวนๆตอบกลับมา

“เออว่ะ กูก็เห็นเชื่อมึงทั้งปี”  คีตอบปลายสายแล้วมองผมที่ทำหน้างอ

“แล้วปีนี้มึงทำเค้กกี่ปอนด์” คีถามจอมพลางกดหัวผมให้ซบไหล่แล้วใช้มือไล้แก้มผมเบาๆ

“กูทำเค้กวุ้นกะทิใบเตย เห็นน้ำบ่นอยากกิน”

“เย้ รักจอมที่สุดในโลกก” ผมจับมือคีออกก่อนตะโกนเสียงดัง

“โอยยย รักเบาๆก็ได้น้ำ หูจอมจะแตกเอา”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะจอมที่โอดครวญเสียงเบา

“มึงมีไรจะบอกพวกกูรึเปล่า” ผมเงียบตั้งใจฟังเมื่อคีตั้งคำถาม

“ไม่มีว่ะ ไอ้ฟิวพูดไปหมดละ”

“ไม่มีซักนิดเลยเหรอ” ผมถามจอมอ้อนๆ

“อืมมม มีก็ได้ จอมขอให้...”

“ขอให้อะไร อย่าลีลา รบกวนเวลานอนว่ะ”

“ขอให้พวกมึงอย่าทะเลาะกันอีกเล้ยยย กูเหนื่อย”

“เออ รู้แล้ว งั้นแค่นี้นะเว้ย”

“ฝันดีนะจอม”

“พรุ่งนี้เจอกัน” แล้วจอมก็ตัดสายไป

ผมนอนกอดน้องผสมยิ้มให้คีในความมืด สัมผัสจากมือคู่เดิมทำให้ผมจมสู่ห้วงนิทราในไม่ช้า


 :m11: ชีวิตหลังการสอบมันดีอย่างนี้นี่เอง  :m18:

@ คุณ yeyong ดูจากความสัมพันธ์แล้วคิดว่าหวานกันมากกว่าเดิมนะคะ

@ คุณ takara คีจะเอาไงนี่ต้องรอดูกันต่อไปเนอะ คีจูบน้ำจริง อะไรจริง ไม่ใช้ตัวแสดงแทนค่า ส่วนเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไรนี่ต้องไปถามเจ้าตัวเค้าดูซะแล้วว่าทำไมทำแบบนั้นออกไป คึๆ

@ คุณ iforgive  :m5: ใจเย็นๆนะคะ ไม่ชอบก็ช่วยทนๆอ่านเป็นกำลังใจให้อิ๋งต่อไปเถอะนะ

@ คุณ YELLOWSTAR  :m13: คือทิ้งไปแป๊บเดียว ตอนนี้กลับมาแล้วค่า จะเป็นแฟนคลับพี่ภูอีกคนแล้วเหรอคะ

@ คุณ suck_love  :impress2: อุ้ย มีคนชอบคีอีกคนแล้ว(ยกป้ายไฟด้วย) แต่ตกลงจะเชียร์คู่ไหนกันแน่คะ เรื่องห้ามคู่ผู้หญิงนี่คิดหนักแฮะ :try2: ปล. ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน+ชมกันด้วย  :กอด1:

@ คุณต้นข้าว นั่นสิ คีจะต้องทำให้น้ำได้คิดมากกว่านี้แน่นอน กิๆ  :m26:จูบกันแล้วยังไม่ถือว่าคู่ก๊านน มันต้องฟีชเชอริ่งกันด้วยถึงจะคู่กันจริงๆ   :-[ พูดอะไรออกไป คึๆ ที่หายไปพอดีโหมอ่านหนังสือค่ะ มันเล่มหญ่ายยยมาก (อย่าเรียกคุณอิ๋งอิ๋งเลยนะคะ เรียกอิ๋งอิ๋งหรือว่าอิ๋งเฉยๆก็ได้ค่ะ)
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 30-04-2012 20:55:21
อ่านตอนนี้แล้วก็งงๆในความสัมพันธ์ของน้ำกับคีอ่ะ
สรุปแล้วเป็นเพื่อนกัน แต่รักกันมากๆๆ แต่ก็ไม่ใช่แฟนกัน อย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะเห็นพี่ภูไปรับไปส่ง ยังตามดูแลเทคแคร์น้ำอยู่
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 30-04-2012 21:06:32
แฮปปี้เบิร์ดเดย์น้ำกะคีด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 30-04-2012 21:21:04
ก่อนอื่น แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูน้ามมมมม   จุดพลุ ๆ  :mc4: 55

ยิ่งเชียร์ยิ่งเหนื่อยใจกับคู่นี้ อึนทั้งคู่อ้ะ แง้  :sad4: เมื่อไหร่เค้าจะบะจ้ำบะกันซักกะที คนรอมันเหนื่อยนะเห้ยย  :เฮ้อ:
แต่ของขวัญวันเกิดของน้ำ คีจะให้อะไรน้าาา  ตัวคีหรือเปล่า หึหึหึ  :z1:

ปล คุณอิ๋งจะเขียนให้พี่ภู จอม หรือฟิว(ใครซักคนนี้แหละ แหะๆ ) มีคู่เป็นผู้หญิงจริงหรอค่ะ  :o12: ไม่เอาได้ไหมอ้ะ ปวดจายย
ปล 1  :pig4: :pig4: :pig4:
ปล 2  ขอกอดคุณอิ๋งทีนึง มามะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-04-2012 22:05:48
พยายามต่อไปพี่ภู  ซักวันคนแต่งคงเห็นใจ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 30-04-2012 22:50:28
อะเด่

ไอ้เราก็คิดว่าตอนนี้ต้องสวีทวี่วีกันเเน่นอน

ที่ไหนได้กลับมาเป็นเพื่ีอนกันเหมือนเดิม

เเล้วจูบละ คีจูบน้ำทำไมง่าาาาาาา

พี่ภูเเสนดีสุดยอด อยากได้น้องผสมบ้าง

ได้ตามนั่นครับ อิ๋ง เรียก ข้าว เฉยๆ เหมือนกันก็ได้ครับ ^^
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours1) 30/04/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 02-05-2012 14:11:45
เข้ามาส่องและมาดัน  เอาฮึ้บบบบ   :z2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours2) 02/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-05-2012 22:35:24
Ours2

พอผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ไม่เห็นคนที่นอนอยู่ข้างๆเมื่อคืน สงสัยกลับบ้านไปแล้ว

ผมส่งข้อความบอกพี่ภูว่าไม่ต้องมารับเช้านี้เพราะผมจะไปทำบุญกับแม่(ไปสายแน่นอน)

“น้องน้ำตื่นรึยังลูก” เสียงแม่ดังมาจากทางเดินหน้าห้อง

“ตื่นแล้ว เดี๋ยวน้ำอาบน้ำแป๊บเดียว” ผมตะโกนตอบแล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำ

ขณะที่ผมนั่งกินข้าวเช้า แม่ก็เดินเตรียมของไปวัดให้วุ่น

“น้องน้ำเตรียมซองใส่ปัจจัยด้วยนะ” แม่หันมาบอกผมที่กำลังล้างจานอยู่ตรงซิงค์น้ำ

พอผมล้างจานเสร็จก็ไปเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงแม่แล้วเขียนจ่าหน้าซองประมาณว่านายสายชล กิจเจริญขอถวายภัตตาหารและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ยังพ่อเกิดแม่เกิด บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว เจ้าที่เจ้าแดน เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ ตามที่แม่สอนให้เขียน และเอาเงินที่เตรียมไว้ใส่ซองเป็นอันเสร็จสิ้น

จากนั้นแม่ก็ขับรถพาผมไปวัดประจำหมูบ้าน เราถวายอาหาร(แถวบ้านอิ๋งเรียกตานขันข้าว)และจตุปัจจัยที่เตรียมมา พระท่านเห็นผมใส่ชุดนักเรียนเลยถามว่าที่มาทำบุญวันนี้เนื่องในโอกาสอะไร ผมก็ตอบไปว่ามาทำบุญวันเกิด ท่านอ่านคำถวายตามซอง ให้พร และผูกสายสิญจน์ตรงข้อมือให้ผมด้วย(แถวบ้านอิ๋งเรียกมั๊ด(มัด)มือ)

หลังจากตานขันข้าวแล้ว ผมก็ขอแม่มาให้อาหารปลาบริเวณบ่อปลาที่อยู่ในวัด มีปลาเยอะแยะไปหมด ทั้งปลานิล ปลาสวาย ปลาดุก ปลาบึก(ที่เป็นปลาน้ำจืดแม่น้ำโขงอ่ะ)ตัวโต๊โต มันแย่งกันงับอาหารใหญ่เลย

“ป่ะ น้องน้ำกลับกันได้แล้วลูก สายแล้วนะ” แม่พูดกับผมเมื่ออาหารปลาใกล้หมดถุง

“น้ำอยากให้อีกถุงอ่ะ” ผมอดต่อรองไม่ได้ ก็กำลังสนุกเลยนี่นา

“ไม่เอาลูก อย่าดื้อ ไว้วันหลังค่อยมาใหม่”

“ฮื่อ ก็ได้”

แล้วเราก็พากันขับรถกลับบ้าน

พอถึงบ้านแม่พาผมไปกราบพระในห้องพระ และขอพรให้ตากับยายคุ้มครอง แม่เล่าว่าผมเป็นหลานที่ตากับยายรักที่สุดเพราะท่านเลี้ยงผมตั้งแต่เกิดเนื่องจากพอคลอดผมแล้วแม่ต้องไปทำงาน ตาตายตอนผมอายุได้แค่ขวบเดียว ส่วนยายก็ตายตามไปในปีถัดมา แม่เล่าอีกว่าพอยายตายก็มาเข้าฝันแม่บอกว่าจะเอาผมไปอยู่ด้วย แม่เลยไหว้พระบอกยายว่าไม่ให้เอาผมไป ส่วนพี่ธารก็บอกอีกว่าเมื่อก่อนเวลามาแกล้งผมแล้วผมแบะปากส่งเสียงร้องมาแอ๊ะเดียวนี่ พี่กับลูกพี่ลูกน้อง(ลูกชายของลุง) วิ่งหนีไม้เรียวกันแทบไม่ทัน

หลังจากไหว้ตากับยายแล้วผมก็ก้มกราบแม่ แม่ลูบหัวผมแล้วบอกให้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ ผมงี้แสบจมูกน้ำตาคลอไปหมด มันตื้นตันอ่ะครับ สัมผัสจากมือของแม่ที่ลูบหัวให้ความรู้สึกสงบและปลอดภัย ที่สำคัญเป็นมือคู่ที่อบอุ่นมากที่สุดในโลก

ก่อนไปทำงานต่างจังหวัด แม่แวะส่งผมที่โรงเรียนพร้อมกับให้ยกนมวัวแดงไปแจกเพื่อนๆหนึ่งลัง แรกๆก็รู้สึกว่าโอเค เรายกได้ไม่หนักเท่าไหร่ แต่ห้องเรียนอยู่ชั้นสี่นี่สิปัญหา ขึ้นบันไดไปได้สองชั้นเริ่มรู้สึกว่าลังนมหนักเป็นสองเท่า แต่ในที่สุดผมก็สามารถพาตัวเองและนมวัวแดงรสหวานหนึ่งลังมาถึงห้องได้โดยสวัสดิภาพ

“ขออนุญาตเข้าห้องครับ” ผมบอกขออนุญาตคุณครูที่กำลังจะเริ่มสอนในคาบที่สอง

“สายชล ทำไมขนนมมาเยอะแยะ” ครูเงยหน้าจากหนังสือที่จะใช้สอนแล้วถามเมื่อเห็นผมยืนหอบน้อยๆอยู่ตรงประตูหน้าห้อง

“เอามาแจกเพื่อนวันเกิดครับ” ผมตอบคุณครูยิ้มๆ

เมื่อฟิวเห็นผมก็รีบวิ่งมาช่วยยกลังนมไปวางที่โต๊ะ

“แจกเลยป่าวแก” แป้งสะกิดถามเมื่อผมวางกระเป๋านักเรียนบนเก้าอี้

“รอครูสอนเสร็จก่อนดีกว่าเนอะ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร ครูใจดีออก เดี๋ยวไปขออนุญาตให้” แป้งพูดกับผมเบาๆแล้วรีบวิ่งไปคุยกับคุณครู คุณครูมองมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ

“แจกเลยแก” พอแป้งวิ่งกลับมาบอก ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูแล้วแกะกล่องเอานมออกมาแจก

“happy birthday to you 
happy birthday to you
happy birthday happy birthday
happy birthday to you” เพื่อนๆพากันร้องเพลง happy birthday ให้ผมจนกว่าจะแจกให้ครบทุกคน บางคนอวยพรวันเกิดให้ผม บางคนก็ถามงงๆว่าวันนี้วันเกิดผมเหรอ และบางคนก็ขอสองกล่อง

ผมแบ่งนมให้คุณครูหนึ่งแพคเพราะว่าแม่ซื้อมาให้เกินจำนวนเพื่อนๆอยู่แล้ว คุณครูก็อวยพรให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือ คิดอะไรที่เป็นสิ่งดีก็ขอให้สมความมุ่งมาดปรารถนา

ผมรู้สึกเขินนิดๆแฮะ เพราะรู้สึกว่าพอโตๆกันแล้วก็ไม่ค่อยมีใครแจกขนมวันเกิด และอีกอย่างคือรู้สึกเหมือนวันนี้เพื่อนๆให้ความสนใจเรามากเป็นพิเศษ แต่ผมรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้เป็นฝ่ายให้ในวันเกิดของตัวเอง

ในตอนพักเที่ยง พอกินข้าวเสร็จและกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ผมก็เห็นเพื่อนๆห้องคีอยู่ในห้องของผมเต็มไปหมด

พอผม คี จอมกับฟิวก้าวเข้าห้อง เพื่อนๆต่างพากันแหวกทางให้ไปอยู่ตรงกลางและร้องเพลง happy birthday
ตรงกลางห้องแป็นโต๊ะเรียนแปดตัววางต่อกัน กลางโต๊ะมีเค้กวุ้นกะทิใบเตยปักเทียนเลขหนึ่งและเลขหก รอบๆเค้กวุ้นกะทิมีถาดสแตนเลสใส่วุ้นกะทิใบเตยที่ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเต็มไปหมด

ความรู้สึกของผมในตอนนี้สับสันปนเปกันไป ทั้งซึ้ง ทั้งมีความสุข และรู้สึกเขิน

ผมคงยืนมองนานไปหน่อยคีเลยจูงมือผมเดินไปที่เค้กและพอเพลงจบเราก็อธิษฐาน

ผมหลับตาลงและอธิษฐานในใจ

‘ผมขอให้ตัวเองมีความสุขในทุกๆวันเหมือนวันนี้ ขอให้เพื่อนๆที่ช่วยกันร้องเพลงและมาอวยพรวันเกิดเจอแต่สิ่งดีๆ และขอให้คนที่ยืนข้างๆอยู่ด้วยกันตลอดไป’ ผมลืมตามองคีแล้วเราก็เป่าเค้กพร้อมกัน

เพื่อนๆพากันตบมือและส่งเสียงดัง

ผมกอดจอมกับฟิวที่ยืนมองยิ้มๆอยู่ข้างๆ ไม่ลืมกระซิบบอกขอบคุณ ทั้งสองคนก็กอดตอบและบอกว่าไม่เป็นไร

ใช้เวลาไม่นานวุ้นกะทิใบเตยที่เคยมีอยู่เต็มโต๊ะก็หายไปในบัดดล พวกผมสี่คนพากันเก็บถาดไปล้างตรงอ่างล้างมือใกล้ห้องน้ำและรีบกลับห้องไปเรียน

พอเลิกเรียนพี่ภูมารอผมหน้าห้องเรียนตามเคย ผมชวนพี่ภูคุยไม่หยุดจนพี่ภูขับรถถึงบ้าน

“พี่ภู น้ำมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”

“หืม ว่าไงครับ”

“เมื่อวานนะ แม่น้ำกลับมาด้วยแหละ แล้วตอนเช้าเราก็ไปทำบุญที่วัด น้ำได้ให้อาหารปลาด้วยนะ ปลามีเยอะเลย ตัวใหญ่ด้วย น้ำให้อาหารมันไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอิ่มซักที แต่ว่าน้ำก็ต้องมาโรงเรียน”

“แล้ววันนี้น้องน้ำมาโรงเรียนกี่โมง” พี่ภูหันมาถามเมื่อรถติดไฟแดง

“น้ำมาถึงโรงเรียนประมาณเก้าโมงกว่าๆ แม่ให้เอานมมาแจกเพื่อนๆด้วย นี่ไง น้ำเก็บไว้ให้พี่ภู ส่วนอันนี้ น้ำไม่มีอะไรจะตอบแทนที่พี่ภูให้น้องผสมตัวใหม่ น้ำทำที่คั่นหนังสือไว้เมื่อคืน พี่ภูชอบรึป่าว” ผมพูดพลางหยิบกล่องนมที่มัดติดกับที่คั่นหนังสือรูปเด็กผู้ชายออกมาจากกระเป๋า

“อะไรที่น้องน้ำให้พี่ชอบหมดแหละครับ” พี่ภูรับของไปยิ้มๆ

“จริงอ่ะ ถ้าน้ำให้ก้อนหินพี่ภูยังจะชอบอยู่รึเปล่าเนี่ย”

“ชอบสิครับ” โห คนใจดียังไงก็ยังเป็นคนใจดีอยู่วันยังค่ำ ผมไม่เคยเห็นพี่ภูโมโห โกรธหรือว่าใจร้ายเลยล่ะ

“จริงอ่ะ” ผมถามพลางขมวดคิ้ว

“จริงสิครับ”

“น้ำล้อเล่นหรอก พี่ภูใจดีกับน้ำขนาดนี้จะให้ก้อนหินได้ไง” พี่ภูหัวเราะแล้วยื่นมือมาดึงแก้มข้างขวาของผม

“ง่า... ไฟเขียวแล้วน้า หยุดดึงแก้มน้ำได้แล้วววว” ผมส่ายหน้าโวยวายพลางลูบแก้มข้างที่โดนดึง

“หึๆ” แน่ะ หัวเราะอีก

ผมย่นจมูกใส่พี่ภูก่อนหันหน้าไปมองกระจกข้าง ฝนตกปรอยๆมาตั้งแต่ตอนเลิกเรียนแล้ว ผมมองก้อนเมฆสีเทาที่แผ่ปกคลุมไปสุดสายตา คืนนี้ฝนคงตกทั้งคืน

“พี่ภู ตอนบ่ายนะ จอมทำเค้กวุ้นกะทิใบเตยมาให้น้ำด้วยน้า เพื่อนๆมาร้องเพลง happy birthday เยอะแยะเลย แต่น้ำไม่ทันเก็บไว้ให้พี่ภูหรอก มันหมดซะก่อน ไว้ถ้าจอมทำให้อีก น้ำค่อยเอามาให้พี่ภูวันหลังเนอะ”

“ครับ”

“แล้วก็นะ วันนี้ตล๊ก ตลก แซ็กถามน้ำว่า มึงมาเป็นเมียคนที่สามสิบสี่ของกูป่าว น้ำก็หัวเราะแล้วถามว่าแล้วคนที่สามสิบสามล่ะ เค้าไม่ว่าอะไรเหรอ แต่แซ็กยังไม่ทันตอบคีก็เรียกป๋อมแป๋มเสียงดังเลย บอกว่า แป๋ม มึงมาเอาผัวมึงไปเก็บดิ๊ มันมาขอน้ำเป็นเมียในอนาคตอยู่เนี่ย ป๋อมแป๋มก็วิ่งเข้ามาแล้วกอดแขนแซ็กพร้อมกับพูดว่า ที่รักมึงกล้าทิ้งกูเหรอ อยากเอาเลือดหัวออกใช่มั้ย แล้วแซ็คก็เลยหันไปพูดประมาณว่าเปล่าจ้ะ ไม่เคยคิดเลย ประมาณนี้อ่ะ หน้าแบบว่าฮาสุดๆ พอป๋อมแป๋มไปมีการกระซิบน้ำอีกนะว่าเป็นศิลปินมันต้องมีเมียเยอะๆเหมือน เหมือน ใครซักคนนี่แหละ น้ำจำไม่ได้”

“อ๊ะ ถึงบ้านแล้ว ไว้พรุ่งนี้น้ำมาเล่าให้ฟังต่อนะ พี่ภูขับรถกลับดีๆล่ะ บ๊าย บาย” ผมสะพายกระเป๋านักเรียนแล้วบอกลาพี่ภู

“เออ จริงสิ เกือบลืม น้ำฝากนมอีกกล่องให้พี่อาร์มด้วยนะครับ” ผมบอกพี่ภูก่อนจะหยิบร่มจากกระเป๋าออกมากางและลงจากรถเดินเข้าบ้านไป 

ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านแต่คีก็เปิดออกมาจ๊ะเอ๋กันซะก่อน

“คีว่าจะเดินไปรับอยู่พอดี” คีพูดพลางหันหลังเก็บร่มไว้ตรงกล่องไม้สูงๆข้างกล่องรองเท้า

ผมเดินตามคีเข้าไปในห้องครัวก็เห็นข้าวโปะหน้าไข่เจียววางอยู่สองจาน

“อาบน้ำก่อนมั้ย” คีที่ยืนพิงเคาเตอร์ครัวพลางเช็ดผมไปด้วยถามผม

“คีหิวรึยังล่ะ”

“ไม่หรอก น้ำไปอาบน้ำแล้วค่อยมากินด้วยกันสิ” ผมพยักหน้าและวิ่งขึ้นไปอาบน้ำบนบ้าน

อาหารเย็นวันนี้อาจไม่พิเศษสมกับวันเกิดซักเท่าไหร่ ไม่มีการกินเลี้ยงฉลอง ไม่มีของขวัญวันเกิด ไม่มีคำพูดใดๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เป็นวันสำคัญของผม ช่วงเวลาต่อจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดที่ผมนับวันรอคอยในทุกๆปี

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราพากันจุดประทีบตั้งแต่บันไดไปจนถึงระเบียงห้อง เราสองคนหยิบมือถือขึ้นมาและกดปิดพร้อมๆกันแล้ววางไว้บนเตียง

เรานั่งพิงกันเงียบๆมองออกไปนอกระเบียงที่ฝนกำลังตก จู่ๆคีก็ลุกไปหยิบกีตาร์

“น้ำ เอ่อ ตั้งใจฟังนะ” คีพูดจบก็เริ่มร้องเพลง
http://www.youtube.com/watch?v=vfU8--aZFkQ&feature=related

ใน..วันนี้เป็นวันเกิด วันที่เธอได้เกิด..มาใช่ไหม
ฉัน..คงไม่มีอะไรมากมาย นอกจากอวยพรให้เธอ

อยากจะขอดาวจากฟ้า ทุกดวงดารา
ให้ช่วยนำพาให้เธอ
ได้เจอ...แต่สิ่งที่ดี...อย่ามีเรื่องร้าย
ให้เธอเจอแต่สิ่งที่ดี (ให้เธอโปรดจงโชคดี)

ถ้าฉัน...ขออะไรได้อย่าง
ฉันขอเพียงสักอย่างจากเธอได้ไหม
ใน...วันที่ไม่มีฉันข้างกายดูแลตัวเองให้ดี

โลกมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน และตัวของฉัน
ไม่อาจอยู่เคียงข้างเธออย่างนี้
ฉันอยากจะขอ..เมื่อไม่มีฉัน ดูแลตัวเองให้ดี
ขอบคุณเนื้อเพลงจาก http://www.musicatm.com

ผมจ้องคนตรงหน้าที่ตั้งใจร้องเพลงและมองสบตากลับมา

“คีจะไม่ไปไหนใช่รึป่าว” ผมถามคีเสียงแผ่วเมื่อเพลงจบลง

“คีไม่ไปไหนหรอก แค่เผื่อว่า ซักวัน ที่เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” คีพูดจบก็เอากีตาร์ไปเก็บไว้มุมห้องตามเดิม

“ป่ะ ดึกแล้ว” คีพูดแล้วดึงให้ผมลุกขึ้นปีนขึ้นเตียง

ผมนอนกอดน้องผสมมองคีที่คลี่ผ้าห่มคลุมตัวเราทั้งสองคน

“คี เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกปีใช่รึป่าว” ผมถามคีที่กำลังลูบหัวผมอยู่

“อืม วันที่สิบกันยาเราจะอยู่ด้วยกันทุกปี” คีพูดพลางกอดผมแนบอก

เราคิดเหมือนกันใช่รึปล่าว

รอให้มั่นใจกว่านี้อีกหน่อยเถอะนะ แล้วผมจะไม่ลังเลใจที่จะบอกออกไปเลย “ผมรักคี”

เหมือนจะสั้นเนอะ  :o8:

@ คุณ yeyong คืออ่านตอนนี้แล้วพอจะเข้าใจมากขึ้นรึป่าวคะ ไว้อ่านตอนต่อๆไปแล้วอะไรๆมันก็จะเฉลยออกมาเองเนอะ :o11: ถามตรงกับพล็อทเกิน ไม่รู้จะตอบยังไง เอาเป็นว่า ที่แต่งให้เป็นแบบนี้เพราะว่าเอ่อ น้องน้ำเค้าก็งง ลังเลเหมือนกันว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่เนี่ยมันคืออะไร เอ่อ เก็ทป่าวคะ ทำใจเย็นๆลองอ่านต่อๆไปแล้วถ้าไม่เข้าใจรีบบอกเลยนะคะ จะได้แก้ไขค่ะ

@ คุณ takara ขอบคุณแทนทั้งสองคนด้วยนะคะ o15

@ คุณ suck_love ไม่แฮปปี้เบิร์ทเดย์ทูคีด้วยเหรอคะ เดี๋ยวเจ้าตัวเค้าจะน้อยใจน้า มีคนหนึ่งไม่อึนแล้วนะคะ อย่าพึ่งเหนื่อยใจเลยค่า เดี๋ยวอาจต้องเหนื่อยกว่านี้นิดหน่อย  :laugh: ส่วนเรื่องของขวัญวันเกิดเป็นไงคะ ร้องเพลงให้ น่ารักอ๊ะป่าว  :haun5:และเรื่องฉากจุดๆๆอันนี้เดี๋ยวก็มาเองเนอะ
ปล. อันนี้ต้องรอติดตาม ไม่ยอมบอกหรอก
ปล.1 :man1:
ปล.2 รักกันรักกัน

@ คุณ iforgive อิ๋งเห็นใจพี่ภูนะคะ แต่บทมันไม่ด้ายยยอ่ะ  :try2:

@ ข้าว เอ่อ คือเค้าเป็นเพื่อนกันมานานเนอะ จู่ๆจะให้สวีทกันลืมโลกมันก็ไงอยู่ เพราะยังไม่ได้เป็นแควนกันเลยอ่ะ ส่วนเรื่องจูบนี่ก็ คีบอกยังสับสนอ่ะ ตอบไม่ด้ายยยย ส่วนเรื่องพี่ภู เป็นผู้ชายในอุดมคติสำหรับหลายๆคนจริงๆเนอะ ถ้าอยากได้น้องผสมต้องสั่งซื้อทางเน็ตแล้วล่ะค่ะ เป็นตุ๊กตาญี่ปุ่นชื่อว่า kapibasan น่าร๊าากกก เดี๋ยวอิ๋งไปอ่านน้องพฤกก่อนนะจ๊ะ

@ คุณ suck_love ขอบคุณที่เข้ามาส่องและดันให้ค่า แต่ว่าขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ค่อยมีเวลามาแต่ง+ลงให้ทุกวัน ใจอยากทำมากเลย แต่ว่าร่างกายไม่อำนวย กลับมาบ้านทีไร ง่วงทู้กที :a12:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours2) 02/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-05-2012 23:01:34
เข้าใจแล้วค่ะอิ๋ง
แต่แอบหวั่นมาม่าในอนาคตเพราะเพลงสุขสันต์วันเกิดนี่แหละ ^^"
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours2) 02/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 02-05-2012 23:15:09
แง่ง ไม่เอาดราม่าน๊าาาา  :z3: :z3: :z3:
หวังว่าคีคงคิดเหมือนน้ำนะ แล้วรักกันซักที ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น เราจะเชียร์น้ำให้พี่ภู!!!  เข้าใจ๋???!!!!
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว Ours2) 02/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 03-05-2012 22:12:23
อืม ทำไมวันเกิดเรามันเงียบเหมือนเป่าสาก ไม่มีเเม้เเต่คำอวยพร อร้าคคคค

เพลงที่คีร้องมันเเหม่งๆนะ

เหมือนจะมาม่าในอนาคต
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 03-05-2012 22:47:52
เข้าใจผิด

อาจได้อารมณ์น้องน้ำมากขึ้น http://www.youtube.com/watch?v=kBFLvfthVBA

ถ้าหากว่าการที่เราได้อยู่ใกล้ๆกับใครสักคนแล้วมีความสุข พอต้องห่างกันก็คอยแต่มองหา ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะนึกถึงเค้าอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

เวลาที่เห็นเค้าอยู่กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เรา ในอกมันโหวงไปหมด

แบบนี้ เรียกว่าความรักได้รึเปล่า

และถ้าหากมีใครสักคน คอยดูแลเราอยู่เสมอ อยู่ใกล้ๆกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหนึ่งปี สองปี สามปีหรือสี่ปี เค้ายังคงอยู่ที่เดิม

ไม่เคยพูดว่ารัก ไม่เคยมีคำพูดหวานๆ ทว่า ใจเรากลับสัมผัสได้ถึงการกระทำที่ใส่ใจและความห่วงใย

ไม่เคยพูดว่าหึง หวง แต่การกระทำที่แสดงออกมามันเป็นแบบนั้นรึเปล่า โมโหใครต่อใครที่เริ่มมีอิทธิพลกับเรา คนที่เข้าใกล้เรา
คนที่อ่อนโยนกับเรามากกว่าใครๆ

...คนที่จูบเรา

แบบนี้ เค้ารักเราใช่รึเปล่า

“...น้ำ น้ำ” ผมสะดุ้งน้อยๆ เมื่อฟิวแตะแขนแล้วเขย่าตัวผมไปด้วย

“หืม ว่าไง”

“ไปกินข้าวได้แล้ว นั่งเหม่อไปถึงไหนเนี่ย”

พอผมหันมองรอบๆก็เห็นว่าในห้องมีเพื่อนอยู่สองสามคนเท่านั้น ผมรีบเก็บของลงใต้โต๊ะและวิ่งไปหาฟิวที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
อืมมม วันนี้เลิกพักเที่ยงเร็วจัง ผมกับฟิวเลยเดินลงบันไดไปยืนรอจอมกับคีที่ห้องม.4/5

“นักเรียน เคารพ”
“ขอบคุณครับคุณครู”

รอได้ไม่นาน  เสียงบอกเลิกชั้นก็ดังขึ้น คนในห้องพากันกรูออกมาเหมือนนกกระจอกแตกรัง

“ไง น้ำ มานั่งรอไอ้คีกับจอมเหรอ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าให้เต้ที่เดินออกมาจากประตูหลังห้องแล้วหยุดถาม

“รอหน่อยแล้วกัน เสือกเล่นไพ่กันใต้โต๊ะ ครูจับได้เลยได้ช่วยยกชีทไปส่งครูที่ห้อง”

“งั้นหรอกเหรอ ดีนะที่ไม่ถูกทำโทษ” ผมพูดยิ้มๆ

“ครูจิตราใจดีไงเลยรอด นู่นไง เดินกลับมากันแล้ว” ผมหันไปมองตามเมื่อเต้บอกพลางพยักเพยิดไปทางห้องพักครู

“ไปกันรึยัง” ผมยิ้มบางๆให้กับคีที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“ไปสิ”

“พากันเล่นไพ่จนได้เรื่องนะมึง” ฟิวพูดขึ้นระหว่างเดินไปโรงอาหาร

“ใครจะไปรู้วะว่าครูจะเดินมาหลังห้อง” จอมบ่นน้อยๆ

“ไม่เนียนเล้ย”

จู่ๆคีก็กระชากผมเข้าหาตัว

ปึ่ก

“ขอโทษครับพี่” พอหันไปดูก็เห็นลูกบอลกลิ้งอยู่บนพื้น น้องผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาขอโทษ ทั้งสนามก็มองมาทางนี้

คีไม่พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าแล้วเตะบอลกลับไปให้น้องคนนั้น ผมเองก็ยิ้มให้น้องที่มองมาหวั่นๆ

คีโอบไหล่ผมแล้วพากันเดินไปโรงอาหารต่อ

เราจะยืนอยู่ข้างๆกันแบบนี้ตลอดไปใช่รึเปล่า

“มีอะไรเหรอน้ำ” พอคีถามผมถึงได้รู้ตัวว่าเผลอจ้องคีอยู่

“เปล่าหรอก”

“ไม่สบายรึเปล่า” คีพูดพลางเอามือมาแตะตรงหน้าผากผม

“ตัวก็ไม่ร้อน”

แค่มีมือคู่นี้ก็คงจะพอแล้วมั้ง


พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็พึ่งนึกได้ว่าพี่ภูบอกให้รอ เพราะว่าวันนี้เลิกช้า

“ฟิว กลับก่อนเลยนะ วันนี้น้ำจะอยู่รอพี่ภูก่อน”

“อ้าว เอางั้นเหรอ วันนี้ฟิวรีบด้วยสิ” ฟิวตอบพลางเก็บของใส่กระเป๋าไปด้วย

“อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”

“ได้สิ สบายมาก” ผมตอบฟิวที่ยืนมองด้วยท่าทางลังเล

“ครืด ครืด”

“งั้นฟิวไปนะ พรุ่งนี้เจอกัน” ฟิวรีบสะพายกระเป๋าและเดินออกจากห้องเมื่อมือถือที่วางบนโต๊ะสั่น

ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง เวลาเลิกเรียนแบบนี้ผู้คนพากันเดินขวักไขว่ บางคนเดินออกประตูรั้วไปขึ้นรถผู้ปกครองที่มาจอดรอรับ บางคนเดินข้ามถนนไปซื้อขนม ตำรวจจราจรคอยหยุดรถตรงทางม้าลาย ทั้งคุณครูและนักเรียนบ้างขับรถยนต์ บ้างขี่มอเตอไซต์ออกจากประตูโรงเรียนไป บริเวณสนามบาสและสนามฟุตบอลเต็มไปด้วยนักเรียนชาย ทั้งคนเล่นและคนเชียร์ นักเรียนหญิงบางคนจับกลุ่มคุยกันบนแสตนเชียร์ หลายคนเดินถือขนมเข้าโรงเรียนมานั่งกินตรงโต๊ะไม้หินอ่อนเพื่อรอผู้ปกครองมารับ

บางทีหลายวันที่ผ่านมาผมคงเป็นหนึ่งในความวุ่นวายของฝูงชนที่อยู่ข้างล่าง

“น้ำ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นจอมเดินเข้ามาหา

“ยังไม่กลับอีกเหรอจอม”

“อยู่เป็นเพื่อนน้ำก่อนแล้วกัน เห็นฟิวบอกว่าวันนี้น้ำต้องอยู่รอพี่ภู”

“อืม เดี๋ยวพี่ภูก็คงเลิกคาบสุดท้ายแล้วมั้ง พี่ภูบอกว่าวันนี้ครูสอนชดเชยคาบของวันก่อน”

“กลับกับจอมก่อนก็ได้นะ ส่งข้อความไปบอกสิ”

“ไม่เป็นไรหรอก น้ำรอได้ ว่าแต่จอมเถอะ วันนี้ไม่มีธุระอะไรแน่นะ”

“ไม่มีหรอก”

“งั้นไปห้องสมุดกันมั้ย” ผมเอ่ยชวนจอมเมื่อเห็นว่าไม่รู้จะทำอะไรฆ่าเวลาดี

“หืม เอาสิ” จอมพยักหน้าตอบตกลง

เราสองคนจึงพากันเดินไปยังตึกห้องสมุดที่อยู่อาคารถัดไป

“เออ จอม คือน้ำอยากแวะล้างมือก่อนหน่ะ” ผมบอกจอมเมื่อเราเดินผ่านอ่างล้างมือบริเวณที่อยู่ใกล้โรงจอดรถมอเตอไซต์ รู้สึกเหนียวมือยังไงก็ไม่รู้

ตุ่บ

“อ๊ะ ขอโทษครับ”  ผมรีบบอกขอโทษเมื่อหันไปชนกับใครซักคนเข้า

“อ้าวน้ำ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” ผมเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นคี

“อ๋อ ยังหรอก พี่ภูเลิกช้าหน่ะ”

พอมองดูดีๆแล้วคีคงกำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน แต่ว่าคนที่ยืนมองผมอยู่ข้างๆคีนี่หน่ะสิ เป็นใครกัน

“จริงสิน้ำ นี่น้องเกดแฟนคี”

“เกด นี่น้ำเพื่อนพี่” ผมกลั้นหายใจเมื่อได้ยินชัดเจนว่าน้องผู้หญิงที่ยืนข้างๆคีเป็นใคร

“ดีใจจังที่วันนี้ได้เจอพี่น้ำ พี่คีเล่าเรื่องพี่น้ำให้เกดฟังบ่อยๆ” น้องเกดยิ้มหวานให้ผมที่ยิ้มฝืนๆตอบไป

ใช่ ผมฝืนยิ้ม จนรู้สึกได้ว่าแก้มกระตุก

“งั้นคีไปส่งน้องก่อนนะ” คียกมือมาลูบหัวผมแล้วจูงมือน้องเกดไปตรงโรงรถ

ผมเดินไปเปิดน้ำล้างมือด้วยความรู้สึกว่างเปล่า

ผมพึ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมา ผมแค่คิดไปเอง แค่คิดเข้าข้างตัวเอง ผู้ชาย ยังไงก็ต้องเกิดมาคู่กับผู้หญิง ทั้งสองคนสมกันมาก ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าคีดูดี น้องผู้หญิงก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก

ในอกมันปวดร้าวไปหมด หวังอะไรอยู่นะสายชล มันก็แค่ความหวังลมๆแล้งๆ รอคอยอะไรกัน ไม่ต้องรอก็มั่นใจได้แล้ว คำว่ารัก ไม่มีทาง ไม่มีวันที่จะต้องเอ่ยอีกต่อไป

กระบอกตาร้อนผ่าว รู้สึกแสบจมูก ภาพน้ำที่ไหลผ่านมือพร่าเลือน บางทีผมคงเปิดน้ำแรงไป

แต่พอปิดก๊อกน้ำ นัยน์ตากลับพร่าเลือนยิ่งกว่าเดิม น้ำอุ่นๆไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง ผมรีบใช้มือปาดออก

แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม น้ำตา ไม่ยอมหยุดไหลซักที

“น้ำทำไมล้างมือนาน..เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น” ผมรีบใช้แขนเสื้อซับน้ำตาแรงๆ

“ร้องไห้เหรอ เป็นอะไรรึปล่าว ใครทำอะไร บอกจอมสิ” จอมจับไหล่ผมพลางรัวคำถามไม่หยุด

“น้ำ อึก ก็ ไม่รู้ น้ำ ไม่รู้” แต่ละคำที่พูดออกมาช่างยากเย็นเมื่อผมต้องคอยกลืนก้อนสะอื้น

“ไม่เป็นไรนะน้ำ” จอมพูดพลางลูบหลังผมไปด้วย

ผมตอบจอมไม่ได้ เพราะผมที่คิดไปเอง คนที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บ ต้องร้องไห้ ก็คือตัวของผมเอง

ในเมื่อวันนี้ผมรู้ซึ้งถึงความทรมานในการรักข้างเดียว แล้วพี่ภูที่บอกว่าชอบผมล่ะ จะรู้สึกยังไง ถ้าต้องพยายามอยู่แบบนี้ ผมไม่อยากให้คนดีๆแบบพี่ภูต้องรู้สึกแบบนี้เลย ไม่อยากเลย

ผมตัดสินใจแล้ว วันนี้ต้องบอกพี่ภู ต้องบอกออกไปว่าผมไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะรักใครได้อีกแล้ว พี่ภูไม่จำเป็นต้องพยายาม ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาให้คนอย่างผมอีกต่อไป

ถ้าหากผมยังปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นไปแบบนี้ก็เท่ากับว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว ผมคงเห็นแก่ตัวตั้งแต่ต้นที่ไม่บอกออกไปให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ว่าหัวใจของผม ไม่ได้เป็นของตัวเองมาตั้งนาน นานจนไม่เคยรู้ตัว

“น้องน้ำ ถึงบ้านแล้วนะครับ” ผมมองไปข้างหน้าก็เห็นว่ารถจอดตรงประตูรั้วบ้านของตัวเอง

“พี่ภู น้ำขอคุยด้วยได้รึเปล่า”

“ได้สิครับ” พี่ภูหันมามองหน้าผมพลางยิ้มให้

ผมไม่อยากทำลายรอยยิ้มนี้เลย เรื่องที่ผมจะพูดออกไปจะทำลายรอยยิ้มนี้รึเปล่า ผมไม่แน่ใจ

ผมสูดหายใจลึกเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง

“พี่ภู น้ำไม่ได้ชอบพี่ภูแบบคนรักเลย พี่ภูหยุดมารับส่งน้ำเถอะนะ” ผมมองรอยยิ้มของพี่ภูที่หายไปจากใบหน้า ผมคงเป็นคนใจร้าย แต่ผมไม่อยากร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว

“ที่ผ่านมา น้ำขอบคุณพี่ภูมากๆ แต่ว่า... แต่ว่า... น้ำหน่ะ...รักใครไม่ได้อีกแล้ว...อึก...อึก...น้ำ น้ำ น้ำขอโทษครับ” จู่ๆก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาจนกลั้นไม่ไหว

“น้องน้ำ อย่าร้องไห้เลยนะครับ” พี่ภูจับมือผมให้หยุดป้ายน้ำตา พลางไล้นิ้วโป้งซับน้ำตาให้เบาๆ

“น้ำขอโทษ...อึก...ขอโทษจริงๆนะครับ”

“คนที่น้องน้ำรักคือคีใช่รึป่าว” ผมมองพี่ภูทั้งๆที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

“พี่ภู...รู้”

“ครับ พี่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะพี่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังดันทุรัง...” พี่ภูลูบหัวผมพลางยิ้มให้บางๆ

“โฮฮฮ พี่ภู น้ำ ฮือออออ” ผมปล่อยโฮออกมาทันที

ทั้งๆที่ พี่ภูต้องเจ็บมาแต่แรก รู้ตั้งแต่แรก แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งใจตัวเอง พลอยทำให้พี่ภูต้องลำบากใจไปด้วย ผมนี่แย่จริงๆ

พี่ภูไม่พูดอะไร ได้แต่ลูบหัวลูบหลังจนผมหยุดร้องไห้

“พี่ภู ขับรถกลับดีๆนะครับ” ผมโบกมือและส่งยิ้มให้พี่ภูเหมือนเคย

“น้องน้ำ เดี๋ยว” พี่ภูเรียกผมที่กำลังจะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้านให้หันกลับมามอง

“พี่ ขอกอดน้องน้ำเป็นครั้งสุดท้ายได้รึเปล่าครับ”

“พี่ภู” ผมเม้มปากมองพี่ภูด้วยนัยน์ตาที่พร่าเลือน

“ได้รึ...” ผมวิ่งไปกอดพี่ภูทันที

พี่ภูซบหน้าลงกับกลุ่มผมของผม

ผมสัมผัสได้ว่าตัวพี่ภูสั่นน้อยๆ

“ให้พี่เป็นพี่ชายน้องน้ำได้มั้ยครับ”

ผมพยักหน้ากับอกของพี่ภู

“ได้สิครับ พี่ภูเป็นพี่ชายของน้ำ” ขอแค่พี่ภูไม่โกรธ ไม่เกลียด ผมก็ดีใจมากแล้ว


ผมพาร่างกายประกอบกับสภาพจิตใจช้ำๆมานั่งลงตรงพรมหน้าทีวีพลางเอาคางเกยไว้ตรงโซฟา

เฮ้อ...ถึงจะรู้สึกแย่หรือผิดหวังยังไง เราก็ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ถ้ามัวแต่มานั่งเสียใจ คงลำบากให้คนอื่นมาเป็นห่วงเสียเปล่าๆ เผลอๆอาจรู้สึกแย่ตามไปด้วย

แต่ก็นะ... แค่คิดหน่ะมันง่าย ทำจริงๆจะไปได้ซักแค่ไหนกันเชียว

ถ้าเจอคีในสภาพตาบวมเป็นปลาทองแบบนี้จะตอบว่ายังไงดี

ถ้าพรุ่งนี้จอมถามอีกว่าเราร้องไห้ทำไม ผมควรจะตอบออกไปแบบไหน

ปวดหัวจี๊ดๆแฮะ

ไปอาบน้ำให้สบายตัวดีกว่า เผื่อจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง

พอผมเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็เห็นคียืนพิงประตูกระจกตรงระเบียงมองตอบกลับมา

สายตานั้นว่างเปล่าจนน่าใจหาย

คงจะรำคาญที่จะต้องมาอยู่กับผมละมั้ง บางทีคีอาจจะเลิกมาคอยอยู่เป็นเพื่อนผม แล้วกลับไปอยู่บ้านของตัวเอง เวลาจะไปไหน ทำอะไรกับใคร จะได้สะดวก คงเบื่อเต็มทนที่จะต้องอยู่ด้วยกัน

ผมหลบตาแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ

หัวใจ...เจ็บแปล็บขึ้นมาทันที

@ คุณ yeyong ตอนนี้นี่พอจะเป็นมาม่าได้ป่าวคะเนี่ย

@ คุณ YELLOWSTAR คือไม่รู้ว่าจะดราม่ารึป่าว แต่อารมณ์เศร้าๆนี่ยังไงก็ต้องมีนิดหน่อยเพื่อความสนุกสนานเนอะ คือ ไมรู้เหมือนกันว่าคีเค้าคิดยังไง ที่แน่ๆสงสัยจะเชียร์ให้พี่ภูไม่ได้แล้วล่ะค่ะ น้องน้ำเค้าปฏิเสธไปแว้วว

@ ข้าว ง่า วันเกิดน้องน้ำก็ไม่ได้มีคนเยอะๆมาคอยอวยพรให้ทุกปีหรอกนะคะ ถ้าน้องน้ำไม่เอานมมาแจกแล้วจอมไม่ทำวุ้นกะทิใบเตยมาให้ก็คงไม่ค่อยมีคนรู้หรอกค่ะว่าเป็นวันเกิดน้องน้ำ คือไม่รู้ว่ามันจะเป็นมาม่าได้รึป่าวน้าาา

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-05-2012 23:04:23
คีมีแฟนแล้วก็ปล่อยน้ำไปซะ  อย่ามาแสดงอารมณ์ใส่น้ำอีก  มันจะทุเรศไป
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-05-2012 23:17:23
พอทักปั๊บ มาม่ามาเสิร์ฟปุ๊บ

คนแต่งใจร้ายยย :m15:

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-05-2012 23:26:44
คีย์ทำยังงี้กับน้ำสุดที่รักของเราได้ไงอ้ะ  :beat:
 จะให้พี่ภูปลอบก็ไม่ได้ น้ำเล่นเซย์โนพี่ภูซะงั้น (เสียงในใจ  อุวะฮ่าฮ่า ในที่สุดก็หมดเสี้ยนหนาม) เชอะ น้ำสนเราไหม เรายังว่างนะเออ 55555 ( โดนคนแต่งถีบ  :z6: )
เมื่อไหร่คีย์จะรู้สึกตัวซะทีอ้ะ ปากหนักไปแล้วมั้ง =''= ยิ่งอ่านยิ่งเซ็งคีย์ หวังว่าคงไม่มีมาม่านะค่ะ เผอิญไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น 55
แต่นั้นแหละ เศร้านิด ๆ ชีวิตที่จะมีรสชาติ  :laugh: :laugh: :laugh:

ปล อยากจะรู้ตอนต่อไปใจจะขาดแล้วววว

ปล 1 ยังไงก็ยังรอคอย และเป็นกำลังใจให้คุณอิ๋งเสมอนะค่ะ  นิยายสนุก ๆ  เราต้องขึ้นป้ายสนุบสนุน  :กอด1: และ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 04-05-2012 01:07:16
อะไรนังคี ทำน้องน้ำเสียใจอีกล้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: whipcream ที่ 04-05-2012 01:57:17
อะไรของแกเนี่ย..ไอ่น้องคี คนนี้ก็ไม่ปล่อย คนใหม่ก็จะเอา  :z6:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 04-05-2012 21:49:24
เฮ้อออออ

ทำไมคีชอบทำท่าทางห่วงน้ำจนเกินพอดีนะ

เป็นใครก็คิดเเหฃะว่ารัก เเต่ดันไปมีหญิงซะงั้น

โห น้ำเอย อยากจะบอกว่ารักคนที่เขารักเราเหอะเน้อะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เข้าใจผิด) 03/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 04-05-2012 23:17:28
เศร้าตามน้องน้ำเลยอะ เฮ้อ คีน๊า ตกลงเอางัยแน่
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 06-05-2012 15:50:25
อะ แฮ่ม ก่อนจะเลื่อนลงอ่านโปรดแน่ใจว่าจิตใจรับได้กับเนื้อหาที่มัน  :pighaun:
ส่วนใครที่ไม่อยากอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านเรื่องย่อตรงล่างสุดของตอนเลยนะคะ  :o8:

เจ็บ

พอเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ผมชั่งใจยืนมองประตูห้องน้ำอยู่นาน

ผมยังไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากเจอใคร แค่อยากนอนเงียบๆบนเตียง

ผมใช้หลังมือแตะหน้าผากตัวเองก็รู้ว่าตัวร้อน ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้มานานแค่ไหนกันนะ ทั้งเหนื่อย ไม่มีแรง ปวดตา และง่วงสุดๆ

“เฮ้ออ” ผมถอนหายใจพลางเปิดประตูห้องน้ำ อยากทิ้งตัวลงบนเตียงจริงๆเลยน้า

“อึ อื้อ” ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวจู่ๆคีก็ดึงผมเข้าไปจูบ

คนตรงหน้าบดเบียดริมฝีปากคล้ายจะกลืนกินริมฝีปากของผม

ผมพยายามดันตัวคีออกแต่ไม่สำเร็จ คีดึงตัวผมให้เข้าไปชิดทั้งยังกดท้ายทอยผมไม่ให้ขยับ อยากจะหันหน้าหนีแต่ก็ทำไม่ได้

ผมใช้มือทุบอกคีแรงๆจนเจ้าตัวยอมถอนจูบ หอบหายใจมองคนตรงหน้าด้วยความสับสน...ทำไม

คีจ้องผมตอบ สายตาแบบนี้ หมายความว่ายังไง

“หยุดนะ คี” ผมต้องตกใจอีกครั้งเมื่อคีกอดผมแล้วจูบตรงซอกคอ

ผมหดคอหนีด้วยความรู้สึกจักจี้ สองมือจับแขนคนตรงหน้าให้หยุด แต่คีกลับรวบแขนผมไว้ด้วยมือข้างเดียวพลางปลดกระดุมชุดนอนผมทีละเม็ด

“คี จะทำอะไร ปล่อยน้ำ” ผมดิ้นสุดแรง รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมพูดอะไร การกระทำคุกคามเหมือนไม่ใช่คีที่ผมรู้จัก

“คี ฟังน้ำสิ จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมร้องห้ามคีเสียงหลงเมื่อคีจับผมโยนลงบนเตียงแล้วล็อคมือผมไว้เหนือศีรษะ

“หึ” คีไม่ยอมพูดอะไร ทั้งยังกระชากขอบกางเกงนอนของผมลงไปกองกับพื้น

คีกำลังจะปล้ำผมใช่รึป่าว ไม่เอานะ ผมอาย เอ้ยไม่ช่ายย ผมกลัว

“คี หยุดเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย จะมาทำแบบนี้กับน้ำไม่ได้ ถ้าน้องเกดรู้...อะอื้อ” ผมที่ร้องตะโกนต้องปิดปากแน่นเมื่อคีประกบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง

และผมต้องสะดุ้งแพราะคีกำลังจะดึงปราการสุดชิ้นสุดท้ายที่ยังคงเหลือติดตัวอยู่ขณะนี้ ผมรีบหนีบขาแน่น พยายามจะบอกให้คนตรงหน้าหยุด แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้คีสอดลิ้นเข้ามา

คีจูบผมจนหายใจไม่ทัน ในที่สุดผมก็ดิ้นจนหมดแรง

“แฮ่ก แฮ่ก” ได้แต่นอนหอบมองคีที่จ้องตาในระยะประชิด

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันงั้นเหรอ คีกำลังจะทำให้เป็นอยู่นี่ไง” พูดจบคีก้มกัดตรงซอกคอและไหล่ของผมทันที

“ไม่ น้ำเจ็บ” ฮือ คีเป็นหมารึไง ทำไมต้องมากัดกันด้วย

“เจ็บเหรอ กับไอ้พี่ภูไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วล่ะ อย่ามาทำสำออยหน่อยเลย”

“เปล่านะ คีพูดอะไร น้ำไม่เคยทำแบบนั้น” ผมส่ายหน้าพัลวัน พี่ภูใจดีออกอย่างนั้นจะทำอะไรเราได้ยังไง ผมคิดไม่ออกเลย

“งั้นมาพิสูจน์กันหน่อยเป็นไง”

“เฮ้ย ห้ามถอดนะ” ผมพูดเสียงดังพลางพยายามหนีบขาแน่นไม่ให้กางเกงในหลุดออกไป แต่สุดท้ายเจ้าลิงน้อยก็ปลิวไปตกอยู่ตรงปลายเตียง

ผม...อายจนร้อนไปหมดทั้งตัว ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด

“เอ๊ะ อึ อืออ” ผมกลัวแต่รู้สึกแปลกๆเมื่อมีสัมผัสเปียกชื้นและฟันที่ขบเบาๆตรงยอดอก แล้วทำไมผมส่งเสียงประหลาดออกไป

ทว่าผมต้องลืมตาทันทีเมื่อคีจับผมพลิกตัวคว่ำและล็อคสะโพกผมให้ลอยเด่นขึ้นมา คีกำลังจะทำอะไร

“อะ หะ มะ ไม่ ยะ หยุดนะ” ผมกลัวจนตัวสั่นขณะถูกลูบไล้ด้วยของเหลวบางอย่าง

“ถ้ากลัวเจ็บก็อย่าดิ้น” ถ้าไม่ดิ้น คีจะหยุดมั้ยล่ะ ผมหอบหายใจพลางเกร็งตัว

“อะ โอ๊ย อื้อ คีทำอะไรหน่ะ” สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายทำให้ผมเขยิบหนีโดยอัตโนมัต ผมเจ็บจี๊ดเข้ามาในหัว แต่คียังคงล็อกเอวผมไว้และค่อยๆดันนิ้วเข้ามาจนสุดความยาว จากนั้นคีก็ค่อยๆดึงเข้าออก

“อึ อึ อื้อ ฮื้อ” นิ้วนั้นยังคงขยับอยู่ข้างใน ผมกำผ้าปูที่นอนแน่น ความรู้สึกที่เป็นอยู่คืออะไร

“อึก อึ” จากหนึ่งนิ้วเพิ่มเป็นสองนิ้ว มัน...รู้สึกแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของผมกันแน่

“อะ พอแล้ว อ๊า”  สามนิ้วมันมากเกินไป...เจ็บ

“แฮ่ก แฮ่ก ทำไม น้ำ อะ เป็นผู้ชายนะ” ผมไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่คีมีน้องเกดอยู่แล้ว ทำไมถึงทำแบบนี้กับผม

“คีก็เป็นผู้ชาย นี่แค่ขยับนิ้วเบาๆเองนะ” คีขยับนิ้ววนเป็นวงกลมพลางดึงเข้าออก จู่ๆผมก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาทันที

“อึก อ๊ะ” ทำไมตรงนั้นแข็งตัว

“อะ อึ๊ก แฮ่กๆ” ผมบิดตัวไปมา รู้ว่าควรจะขัดขืน แต่ว่า...ไม่อยากให้คีหยุดมือ

“น้ำตอดรัดมันอยู่รู้รึเปล่า” คีเข้ามานอนตะแคงซ้อนหลังแล้วใช้มืออีกข้างจับแก่นกายของผม

“ห๊า อ๊า อ๊า ไม่” สัมผัสจากทั้งสองทาง ทำให้...เสียว จนทนแทบไม่ไหว

“รู้สึกดีใช่รึเปล่า” เสียงกระซิบทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหู

ไม่รู้ว่ารู้สึกดีรึป่าว แค่อยากบอกให้คีขยับมือเร็วขึ้น

“อะ อะ หะ อ๊ะ” จู่ๆคีก็ดึงนิ้วออก

ผมนอนหงาย หอบหายใจ ปรือตามองหน้าคี น้ำตาคลอหน่วยด้วยความรู้สึกทรมาน

จบแล้วใช่รึเปล่า ผมไม่มีแรงเลย

“คีต้องการน้ำ เป็นของคีเถอะนะ” คีพูดพลางโน้มตัวมาจับขาทั้งสองแยกออก เอ๋ ตะกี้ที่ทำไปยังไม่เสร็จอีกเหรอ

มือข้างขวาของคีชันเข่าข้างหนึ่งของผมขึ้นแล้วจับต้นแขนซ้ายของผมไว้ ก่อนท่อนเนื้อร้อนจะแทรกตัวเข้ามา

“เอือะ อ๊ะ” เจ็บ เจ็บมากๆ เหมือนร่างกายฉีกออกจากกัน สิ่งที่กำลังดุนดันอยู่ใหญ่เกินไป มันเข้ามาไม่ได้หรอก

“น้ำ อย่าเกร็ง” จะไม่ได้ผมเกร็งได้ยังไงก็มันเจ็บนี่นา เอาออกไปนะ ผมพยายามใช้แขนดันหน้าท้องคนตรงหน้าแต่ก็เหมือนเป็นเพียงการใช้มือแตะไว้เท่านั้น

ผมเจ็บจนน้ำตาไหล คีค่อยๆดันส่วนนั้นเข้ามาเรื่อยๆ

“จะ เจ็บ”  คีล้มตัวมากอดผมไว้ทั้งตัวพลางจูบตรงขมับ

ข้างในแน่นไปหมด ส่วนแข็งขืนถูกแช่ค้างไว้ ผมขยับจะขืนตัวออก แต่คียังคงจับสะโพกผมไว้แน่น

“น้ำ ใจเย็นๆนะ ค่อยๆหายใจ” จะใจเย็นได้ยังไง เจ็บ อ่ะ ฮือออ

“น้ำ เจ็บ คี ฮึก ใจร้าย”

คีจูบหน้าผากผมเบาๆแล้วจ้องเข้ามานัยน์ตา

“น้ำ คีหยุดไม่ได้แล้ว ช่วยคีหน่อยนะ” พูดจบ ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็ประกบลงมา คีเพียงแค่แตะริมฝีปากเบาๆสองสามที ก่อนค่อยๆเลื่อนใบหน้าไปจูบตรงซอกคอพลางใช้นิ้วโป้งคลึงตรงหน้าอกของผมเบาๆ

ผมขนลุก

คีพรมจูบเบาๆตั้งแต่ซอกคอไล่ลงมาจนถึงหน้าอก แล้วดูดกลืน

“อึก อ๊ะ” คีเอามือจับน้ำน้อย พลางรูดขึ้นลงจากปลายจรดโคน

ผมกดมือปิดปากแน่น

คีเลื่อนหน้ามาจูบมือผมที่ปิดซ้อนทับกันที่ปากแล้วค่อยๆแกะออก พร้อมๆกับที่ส่วนแข็งขืนในร่างกายขยับเข้าออกช้าๆ

“ปากเป็นรอยแดงหมดเลย” คีใช้ริมฝีปากแตะเบาๆรอบๆปากของผมพลางประสานมือเข้าด้วยกัน ขณะที่มืออีกข้างยังคงรูดรั้งส่วนนั้นไม่หยุด

“อ๊ะ คี น้ำ...น้ำ” ผมบีบมือคีแน่นเมื่อรู้สึกเสียวมากขึ้นเรื่อยๆ

“ครับ” คียิ้มทั้งปากและตา นัยย์ตาสีดำฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างปิดไม่มิด

“อึก น้ำ อ่ะ อ๊า” และแล้วร่างกายผมก็เกร็งกระตุกก่อนปลดปล่อยออกมา

“อ่า น้ำ” ผมรู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังขมิบรัด ผมเกร็งตัวจนกระทั่งน้ำขาวขุ่นออกมาจนหมด

“แฮ่ก แฮ่ก” ผมนอนหอบมองคีที่เอามือมาเกลี่ยผมตรงหน้าผาก

คนตรงหน้าก้มจูบหน้าผาก ผมหลับตาเพราะเขินจนหน้าร้อนไปหมด ทุกๆที่ที่ริมฝีปากแตะผ่านอุ่นซ่านเข้ามาในอก

สัมผัสแผ่วเบาตรงเปลือกตา ไล่ลงมาตรงจมูก จนกระทั่งแตะลงบนริมฝีปาก หัวใจ...เสียงดังจนกลัวอีกคนจะได้ยิน

“อื้ออ” ผมถลึงตาใส่คีที่จับน้ำน้อยอีกครั้ง

“คียังไม่เสร็จเลย ช่วยกันหน่อยนะครับ” ไม่บอกเปล่า คีเริ่มขยับส่วนล่างเข้าออก

“อึก อ๊ะ” ผมปรือตามองคนตรงหน้าที่ขบกรามแน่น ขณะที่มือยังคงรูดรั้งส่วนนั้นของผมไม่หยุด

ความรู้สึกเสียวปนทรมานจนผมต้องบิดตัวไปมา

คีเริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมบีบมือเจ้าตัวแรงขึ้น

“มะ ไม่ไหว” ผมพูดพลางส่ายหน้าไปมา รู้สึกปวดตรงส่วนปลายก่อนจะ

“อะ อะ อ๊า” น้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาขณะผมเกร็งตัวสั่น

แต่คนตรงหน้ายังไม่หยุดขยับ คีดึงส่วนนั้นออกจนเกือบสุดก่อนดันเข้ามาแรงๆ

“อ่า น้ำ” คีกอดผมไว้ทั้งตัว แท่งเนื้อร้อนกระตุก ในท้องอุ่นวาบ ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเหนียวๆที่ทะลักอยู่ข้างใน ตัวคนกอดสั่นน้อยๆ

“เป็นของคีแล้วนะ น้ำเป็นของคีคนเดียว” เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูพลางกดจูบตรงแก้ม

ผมเหมือนโดนสูบวิญญาณออกไปจนหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ ในหัวหนักอึ้ง ผมหลับตาลง

ทว่าต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคีค่อยๆดึงส่วนนั้นออก น้ำจากข้างในไหลย้อยออกมาจนเปรอะต้นขา ผมรู้สึกแสบ เหนียวตัวและอยากอาบน้ำ

ผมผวากอดคอคีแน่นเมื่อเจ้าตัวอุ้มผมแนบอก สายตาที่มองมาทำให้ผมเขินจนต้องหลบตา

“คี ไปไหน”

“หืม” คีขานรับในคอพลางกดจูบตรงกลุ่มผม

“พาไปอาบน้ำ”

ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยักหน้า คีเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้ววางผมลงตรงขอบอ่าง สัมผัสเย็นเฉียบและปวดแปลบจากช่องทางด้านหลัง

ผมนั่งพิงผนังมองพื้นอย่างคนหมดแรง คิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นพลางเม้มปากแน่น ครั้งแรกของเรา...กับผู้ชาย ที่สำคัญ คนๆนั้นก็คือคี

เจ็บ

แต่ว่า...มันก็รู้สึกดีอยู่บ้างนี่นา

อ๋อย นี่เรา คิดอะไรอยู่เนี่ย ผมจับแก้มตัวเองพลางสะบัดหน้าไล่ความคิดนั้นออกไป

“หึๆ เขินเหรอ” เสียงหัวเราะแผ่วๆที่มาพร้อมคำถามตรงๆทำให้ผมต้องก้มหน้า หน้าร้อนจนแทบไหม้

คนถามฮำเพลงพลางเปิดน้ำลงในอ่าง

ผมสูดหายใจรวบรวมแรง มองตรงไปที่ตู้อาบน้ำ ก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเดินเกาะขอบอ่าง

แต่ละก้าวเป็นไปอย่างยากลำบากในเมื่อมันปวดร้าวตั้งแต่เอวลงไป

“อ๊ะ” และแล้วก้าวที่สามก็ต้องพลาด เมื่อแข้งขาอ่อนแรงจนทรุดฮวบลง

“น้ำ” ก่อนที่ก้นจะกระแทกพื้น แขนแกร่งกลับสอดเข้ามาใต้รักแร้แล้วตวัดตัวอุ้มผมแนบอก

“ทำไมดื้อฮึเรา เจ็บแล้วยังซนอีก” เสียงดุเบาๆอย่างไม่จริงจังนักพลางวางผมลงในอ่าง

“น้ำจะไปอาบน้ำ” ผมอ้อมแอ้มตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก พยายามมองโฟกัสไปตรงจุดอื่นเพราะเราต่างเปลือยเปล่ากันทั้งคู่

“กำลังจะอาบอยู่นี่ไง” คีนั่งลงในอ่างก่อนจับผมนั่งลงบนตักหันหน้าเข้าหากัน

ผมบีบมือตัวเองแน่น ก้มหน้าจนคางแทบชิดอก รู้สึกได้ถึงสายตาของคนตรงหน้า

“หึๆ” เสียงหัวเราะมาพร้อมกับแขนที่เข้ามาสวมกอด

คีกดตัวผมแนบอก จับแขนทั้งสองข้างให้คล้องคอก่อนค่อยๆยกเอวผมขึ้น

ผมเขยิบหนีตามสัญชาติญาณ แต่คนตรงหน้ากลับใช้แขนโอบล็อกเอวไว้

“คี จะทำอะไร” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ความรู้สึกกลัวแล่นจับหัวใจเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดยามร่างกายถูกชำแรก

“น้ำอยู่นิ่งๆ” คนพูดทำเสียงดุก่อนสอดนิ้วเข้ามาในตัว

“อ๊ะ” ผมสะดุ้งเอามือปิดปากกลั้นเสียงไว้

คีงอนิ้วพลางหมุนควานบางอย่างแล้วดึงเข้าออก น้ำเหนียวๆในร่างกายไหลออกมา

“อะ อ๊า” ผมเสียววาบเมื่อนิ้วปัดผ่านตรงส่วนหนึ่งเข้า

ผมกอดคอคีแน่น

“ให้ตายสิน้ำ” คนตรงหน้าสบถพลางขบกรามจนเป็นสัน

“พะ พอแล้ว” ผมละล่ำละลักบอกเสียงแผ่ว

“ต้องเอาออก” คีพูดพร้อมกับทำแบบเดิมต่อไป

“อึ อื้อ” ผมหลับตากลั้นเสียงอย่างสุดความสามารถ

ส่วนแข็งขืนของผมผงาดขึ้นมาอีกครั้ง

คีปล่อยมือที่ล็อคเอวอยู่ ผมทรุดฮวบลงไปนั่งทันที

นิ้วที่คาอยู่ตรงปากทางแทงพรวดเข้ามา

“อื้อ” ผมเม้มริมฝีปากแน่น

“น้ำ ถ้ายังไม่หยุดตอด คีจะไม่ไหวแล้วนะ” คนพูดเสียงแหบพร่าอย่างคนสะกดกลั้นอารมณ์ รู้สึกได้ถึงแท่งร้อนที่ดันอยู่

“คี เอาออกไป” ผมบอกพลางจับแขนคีไว้

“อีกนิดเดียว” คีขยับนิ้วอีกสักครู่ก็เอาออกมาก่อนกอดผมแน่น

“แฮ่ก แฮ่ก” ผมเองก็หายใจหอบอยู่กับอกคนตรงหน้า ความรู้สึกทรมานและปวดตรงส่วนปลายยังไม่จางหาย

“คือ น้ำ น้ำ...” ผมช้อนตามองหน้าคีก่อนหลบตาพูดจาติดอ่างเมื่อพบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ

“เฮ้อออ” คนตรงหน้าถอนหายใจแล้วจับมือผมไว้

“มา คีจะสอน”

“ถ้าเป็นแบบนี้น้ำต้องช่วยตัวเอง” คีพูดพลางจับมือผมให้จับตรงส่วนนั้นของตัวเอง

“จับมันไว้แล้วค่อยๆรูดขึ้นลงแบบนี้” มือที่กุมซ้อนอยู่ขยับบังคับมือผมตามที่เจ้าตัวบอก  ผมมองส่วนนั้นของตัวเองที่เริ่มมีน้ำปริ่มๆพลางใช้มืออีกข้างปิดปากไว้ เสียงเนื้อกระทบกับน้ำในอ่าง

ผมหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ควบคุมจังหวะตามที่เรารู้สึก ถ้าคลึงตรงนี้ด้วยจะรู้สึกดีขึ้นใช่รึป่าว” คีขยับมือเร็วขึ้นพลางคลึงพวงแฝด

“น้ำ อึก ไม่ไหวแล้ว อ๊า” ผมครางอย่างกลั้นไม่อยู่

ผมซบลงกับอกคนตรงหน้า หนังตาหนักอึ้ง

คีอาบน้ำ เช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าให้ผม แล้วอุ้มมานอนบนเตียง

ผมนอนรอคีที่เข้าไปอาบน้ำ

ผ่านไปไม่นาน คีก็เดินออกมาคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเราทั้งสองคนแล้วหยิบน้องผสมส่งให้ผม

คีรั้งตัวผมเข้าหาตัวก่อนลูบหัวผมเบาๆ

ตาที่หรี่ปรือของผมค่อยๆปิดลง

ขณะที่ผมกำลังจะจมสู่ห้วงนิทรามือถือของคนข้างๆก็ดังขึ้น

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

“ครับ”

“โอเค เกดรออยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวพี่ไป”

สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากก่อนพื้นที่ข้างๆตัวของผมจะว่างเปล่า เตียงยวบไหว เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้า กุญแจที่กระทบกับพวงและเสียงดังแกร๊กของลูกบิด แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

ผมลืมตาอยู่ในความมืด น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลจากแก้มกระทบลงกับหมอน ผมซุกหน้าสะอื้นกับตัวน้องผสม

สำหรับคี ผมอยู่ในฐานะอะไรกันแน่


เรื่องย่อ
พอน้องน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำ น้องคีที่อารมณ์เสียเนื่องจากไปเห็นฉากจากลาของน้องน้ำกับพี่ภูในระยะไกลเข้า รักไม่รักไม่รู้แหละ รู้แต่โมโห จับน้องน้ำปล้ำซะเรย พอป่าม ป๊ามกันเสร็จ น้องน้ำที่กำลังจะหลับก็ตื่นเพราะมีคนโทรเข้ามาหาคี ไม่ใช่ใครที่ไหนหร้อก แควนน้องคีนั่นเอง  น้องคีคุยโทรศัพท์สองสามคำแล้วก็ผลุนผลันออกบ้านไปเรย น้องน้ำของเราก็เลยเศร้าจาย ดังเหตุการณ์ข้างล่าง
ตาที่หรี่ปรือของผมค่อยๆปิดลง

ขณะที่ผมกำลังจะจมสู่ห้วงนิทรามือถือของคนข้างๆก็ดังขึ้น

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

“ครับ”

“โอเค เกดรออยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวพี่ไป”

สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากก่อนพื้นที่ข้างๆตัวของผมจะว่างเปล่า เตียงยวบไหว เสียงเปิดประตูตู้เสื้อผ้า กุญแจที่กระทบกับพวงและเสียงดังแกร๊กของลูกบิด แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

ผมลืมตาอยู่ในความมืด น้ำอุ่นๆค่อยๆไหลจากแก้มกระทบลงกับหมอน ผมซุกหน้าสะอื้นกับตัวน้องผสม

สำหรับคี ผมอยู่ในฐานะอะไรกันแน่
....................................................

 :o8: ที่หายไปสองวันเนื่องจากไปศึกษาข้อมูลเพื่อแต่งฉากนี้โดยเฉพาะ มันอาจจะแปลกๆไปบ้าง อิ๋งเป็นผู้หญิงนี่เนาะ ไม่รู้ว่าเวลาผู้ชายเค้าป่าม ป๊ามกันมันเป็นไง แต่ไม่เป็นไร้ เรามีพี่เกิ้ลคอยแนะนะ ภาคทฤษฏีทั้งหมดเราหาได้จากพี่เกิ้ล ทั้งยังโหลดอนิเมะมาดูเพื่อความสมจริงในการนำมาประยุกต์ ดูไปแรกๆก็กรี๊ดอยู่คนเดียว น่าร๊ากก แต่พอดูรอบสอง เริ่มดูอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะฉากอย่างว่า จ้องดูว่าพระเอก นายเอกทำหน้าตาแบบไหนบ้าง ยังไม่พอ ดูกลับไปกลับมาเพื่อฟังเสียงคราง :o8: แล้วนั่งนึก สะกดเป็นภาษาไทยไงวะ  :m28:

อาจแปลกๆไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะคะ
ปล.ตั้งแต่แต่งเรื่องนี้มา ฉากนี้แต่งนานที่สู้ดดดด

@ คุณ iforgive  :try2: คือน้องคีเค้าแสดงอารมณ์ไปแล้วล่ะค่ะ แต่ว่านะ เรื่องทุเรศนี่เห็นด้วย  :m16: ไอ้บ้าคีไม่ยอมปล่อยน้องน้ำยังไม่พอ จัดการป่าม ป๊ามไปเรียบร้อย  :เฮ้อ:

@ คุณ yeyong ง่า โอ๋ๆ อย่าร้องไห้ อิ๋งใจดีนะคะ เด็กๆติดเกรียว(เด็กยังไม่รู้ธาตุแท้) o18  แต่เวลาอยู่บ้านเป็นนางมารร้ายบ่อยๆค่า ถ้าถามน้องสาว มันคงจะบอกคุณ yeyong ว่าพายุเข้าทุกวัน อิๆ

@ คุณ suck_love เอิ่ม ตอนนี้น้องน้ำสุดที่รักถูกกระทำไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะค่ะ :o8: แล้วตกลงจะสงสารพี่ภูอยู่มั้ยคะ ส่วนเรื่องสนรึป่าวนี่ตอนนี้น้องน้ำคงยังไม่สนอ่ะนะ เห็นหายใจเข้าก็คี หายใจออกก็คี :เฮ้อ:
เอ่อ อิ๋งไม่กล้าถีบหรอกนะคะ ออกจา :กอด1: รักคนอ่านทุกคน
เมื่อไหร่คีจะรู้ตัวเหรอ แหะๆ ยังตอบไม่ได้ รอดูต่อไปเนอะ อ่านตอนนี้อาจเซ็งคีมากกว่าเดิม
ปล. มาลงให้แว้ว อ่านได้ตามฉบาย
ปล.1 ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า (อ้าแขนรับเต็มที่) ก็จริงอย่างที่คุณต้นข้าวบอกว่าทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจของคนแต่ง แค่เห็นก็ยิ้มกว้างเป็นอีบ้าได้ทั้งวันแล้วค่ะ  :man1:

@ คุณ smirnoff ตอนนี้น้องน้ำก็ยังเสียใจอยู่เลยค่า(ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึง)

@ คุณ whipcream คนนี้ไม่ปล่อยยังไม่พอนะคะ มันเอาด้วยอ่ะ คนใหม่นี่เอารรึยังไม่แน่ใจ  :z1: ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ

@ ข้าว คีเป็นโรคน้องน้ำลิซึ่มค่ะ เลยให้ห่างตัวไม่ค่อยได้ เห็นด้วยสุดๆกับที่บอกว่าเป็นใครก็คิดว่ารัก ถ้ามีคนมาทำแบบนี้กับเรามันก็อดคิดไม่ได้ใช่ม้า แต่คนเรานะ ถ้าไม่ได้รักมันก็คือไม่ได้รักอ่ะเนอะ มันคงเป็นเวรกำแต่ชาติปางก่อน  :o12: ฉงฉานพี่ภู

@ คุณ takara โอ๋ๆ อย่าเศร้านานนะ ส่วนคี ไม่เอาไงแหละค่ะ เอาน้องน้ำไปละ  :laugh:

ปล. คุณ Ipatza and คุณ kasarus หายไปไหนอ่าา อิ๋งคิดถึงนะคะ ถ้าว่างๆก็ say hello กันซักหน่อยจิ

อิอิ ร้ากกกคนอ่าน  :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-05-2012 16:13:29
แอร๊ยยยยยย น้ำเสร็จคีย์แว้ววววว  บวกเป็ดให้ตอนนี้เลยค่ะ  o13 คุ้มค่าที่รอคอย และมาแอบส่องทุกวัน ฮาาา
แต่เค้าไม่ได้อ่านนะ เลื่อนลงข้างล่างตามคำแนะนำเลย จริ๊งจริง  :oni1: (เสียงสูง 55555)

แต่ตอนสุดท้ายนี้ซิ  คีย์มันจะไปหาเกดทำไม  :o211: เดี๋ยวเห๊อะ ให้น้ำนี่ไปหาพี่ภูเลย (พูดเหมือนจะทำได้ =''= )

ปล คุณอิ๋งพยายามมากเลยเนอะ กับฉากนั้น ถ้าเรากดบวกได้เราจะให้เลย แต่ประเด็นคือเรายังกดไม่ได้  :sad4: เอาเป็ดไปก่อนเนอะ   :m1:
ปล 1 เช่นอย่างเคย  :กอด1: มามะ ๆ 5555 และ  :pig4: นะค่ะ
ปล 2 เราจะเม้นทุกครั้งที่เรามาอ่านนะค่ะ เพราะเรารู้ว่าคอมเม้นก็เหมือนกะทิงแดง เพราะ คือยาชูกำลัง ? (ต้องการจะสื่ออะไร 5555 อย่าสนนะ เรามั่ว  :o8: )
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 06-05-2012 17:00:07
ขออภัยครับคุณอิ๋งที่ขาดการติดต่อไปหลายตอน ไม่ได้เข้าเนตเลยน่ะ
สัปดาห์ที่ผ่านมาเดินทางตลอด ชั่วโมงเนตในมือถือหมด ต้องรอมาใช้ไวไฟในบ้าน
แต่กลับมาแล้วก็ได้อ่าน 3 ตอนรวด อิ่มมาก มากจนจุกไปหมด
จุกกับความน้อยใจของน้องน้ำที่มีต่อนายคี
คนรักกันเค้าทำกันแบบนี้รึไงฟระ นายคี :angry2:
คิดได้ยังไง คบทีละสองคน จะเอาทางไหนก็เลือกไปซักทางสิ
น้องน้ำอุตส่าห์ตัดใจ ปฏิเสธพี่เค้าไปแล้ว ถ้านายยังทำตัวแบบนี้ก็ขอเรียกร้องให้คนเขียนเอาพี่เค้ากลับมาให้น้องน้ำเถอะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-05-2012 17:12:59
ไอ้คีบ้า ทำแบบนี้กับน้องน้ำได้ยังงัย ดูสิน้องน้ำร้องไห้เลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 06-05-2012 22:19:22
เรื่องมันชักจะวุ่นเพราะผู็ชายคนเดียว

เบื่อ เซ็งจิต สงสารน้ำ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-05-2012 22:30:40
เปลี่ยนชื่อจากคีเป็น "เควี่ย" ตอนนี้ยังทันนะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 06-05-2012 22:56:18
โฮะๆๆๆ  แต่ง NC แบบนี้ก็เยี่ยมแล้วค่ะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป
สมกับที่หายไปศึกษาเรียนรู้มา  o13
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 06-05-2012 23:26:51
ทำไมคีทำอย่างนี้อะ แล้วที่ออกไปหาน้องเกดก็เพื่อจะไปบอกเลิกใช่มั๊ย??!!!!!!
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เจ็บ) 06/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-05-2012 20:22:54
มาร๊อมารอฮะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 09-05-2012 22:26:11
เหนื่อย 1

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

“กริ๊ง กริ๊งงงง” 

“กริ๊ง กริ๊งงงง” โอ๊ยย คนจะหลับจะนอน โทรมาทำไมวะ

“กริ๊ง กริ๊งงงง” กูไม่รับเว้ย ใครจะทำไม

เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ไอ้บ้าที่กล้าโทรกวนเวลานอนผมน่าจะมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

เออๆ รับแล้วเนี่ย

“โหล มีไรวะมึง” ผมกดรับด้วยสภาพงัวเงีย ตายังไม่ลืมเลยครับ

“มึงมาอยู่เป็นเพื่อนน้ำแทนกูหน่อยดิ๊” ไอ้คีกรอกเสียงมาตามสายพร้อมกับเสียงสตาร์ทมอเตอไซต์

ได้ยินคำสั่ง เอ้ย คำขอแล้วรู้สึกปวดม้ามเบาๆ งานเข้ากูอีกแน่เล้ยย

“ทำไมวะ” ถามไปงั้นแหละ ยังไงผมก็ต้องไป

“กูมีธุระว่ะ มึงมาเถอะ อย่าถามมาก” โถ พ่อเจ้าประคุณ กระผมบังอาจแค่นี้ถึงกับยื่นคำขาด

“ธุระอะไรของมึงต้องทำตอนเที่ยงคืน แล้วน้ำหลับไปยังวะ”

“น้ำหลับไปแล้ว”

“น้ำหลับแล้ว ทำไมกูต้องไปนอนเฝ้า” ขอเหตุผลดีๆดิ๊ ปกติเวลาไปกินเหล้า พวกผมทิ้งให้น้ำนอนคนเดียวออกบ่อย พอซักตีสองตีสามก็กลับเข้าบ้าน ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

“น้ำไม่ค่อยสบาย” อ๋อ โอเค เก็ทละ

“เออๆ รีบกลับมาก็แล้วกัน” ผมรับปากก่อนกดตัดสาย

เดี๋ยวห่างกันนาน ลูกมันไม่ยอมกินข้าวกินปลาอีก

จะว่าไป...ตอนนี้เป็นลูกได้ป่าววะ ความสัมพันธ์ของไอ้สองคนนี้คืออะไรกันแน่หว่า

เมื่อตอนเย็น ก่อนกลับบ้านไม่รู้ว่าน้ำร้องไห้ทำไม พอผมถามก็ไม่ยอมตอบ บอกแต่ว่าไม่รู้แล้วปล่อยโฮอย่างเดียว

ไม่ใช่ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับไอ้คีอีกนะ เอ แต่คิดๆดูแล้วไม่น่าจะใช่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็น่าจะโทรมาตั้งแต่ตอนเย็น

แล้วน้ำร้องไห้ทำไม

เฮ้ออ เอาเถอะ ผมไปบ้านน้ำก่อนดีกว่า

พอไปถึง ผมก็ก้มหยิบกุญแจบ้านที่ซ่อนอยู่ตรงกระถางต้นไม้ข้างประตูไขเข้าไป

บ้านปิดไฟเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่เลยแฮะ น้ำคงหลับไปแล้วจริงๆ

ผมกวาดตามองไปรอบๆเผื่อจะเจอร่องรอยความเสียหาย(กลัวใจไอ้สองคนนี้เวลามันทะเลาะกันจริง จริ๊ง)

โอเค ทุกอย่างปกติ

ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างเงียบเชียบ กลัวน้ำตื่นครับ เวลาพวกผมมานอนบ้านนี้แล้วดูบอลกันดึกๆ พอเปิดประตูห้องนอนทีไร น้ำสะลึมสะลือ งัวเงีย ตื่นขึ้นมาถามทุกที ประมาณว่า จะหลับแล้วเหรอ ตอบได้นะครับ แต่อย่าถามกลับ เพราะคำตอบที่ได้อาจจะไม่ตรงกับคำถาม

“อ้วก แหวะ”

พอเปิดประตูห้องนอน ผมก็ต้องตกใจวิ่งไปห้องน้ำทันทีเมื่อได้ยินเสียงอาเจียน

และภาพที่เห็นไม่ทำให้ผมผิดหวัง เมื่อน้ำโก่งคออ้วกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงคอห่าน

ผมลูบหลังให้น้ำพลางคว้าแก้วน้ำที่อยู่ตรงอ่างล้างหน้าเปิดน้ำใส่เตรียมไว้

“ไหวรึป่าว” ผมถามก่อนส่งทิชชู่ให้

น้ำมองผมตาปรือๆ น้ำตาคลออยู่เต็มเบ้าตาเลยครับ น้ำลายน้ำมูกไหลปนกันไปหมด

“อือ อ้วก” จากสภาพ ผมว่าไม่ไหวชัวร์ ปกติชายฟิวจะเป็นคนคอยลูบหลังให้น้ำ วันนี้ เหตุสุดวิสัย ผมเลยได้ทำหน้าที่แทน พึ่งรู้นะครับว่าเวลาน้ำอ้วกจะหมดสภาพขนาดนี้ มิน่าล่ะ คราวที่แล้วเล่นซะไอ้คีหัวแตก

ผมลูบหลังจนแน่ใจว่าน้ำหยุดอ้วกแล้วส่งน้ำเปล่าให้บ้วนปาก

น้ำเอื้อมมือกดชักโครกพลางนั่งหอบอยู่อย่างนั้น

“รู้สึกดีขึ้นรึยัง” ผมถามพลางส่งทิชชู่ให้น้ำเช็ดปาก

น้ำพยักหน้าแล้วเกาะชักโครกพยุงตัวขึ้นมา ก้าวได้ก้าวเดียวเท่านั้นแหละ ทำท่าจะร่วงไปกองกับพื้นซะอย่างนั้น

“เฮ้ย เดินไม่ไหวทำไมไม่บอก” ผมพูดพลางเข้าไปพยุงตัวน้ำ

“ขอโทษทีจอม พาน้ำไปล้างหน้าหน่อยได้รึป่าว” น้ำกระพริบตาช้าๆเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ

ผมพยักหน้าก่อนพาน้ำไปล้างหน้าและพยุงไปที่เตียง

ผมรู้สึกว่าน้ำเดินแปลกๆ ถ้าแค่โงนเงนก็โอเคนะ แต่นี่เห็นกัดปากเหมือนอดทนอดกลั้นอะไรซักอย่าง

“น้ำเป็นไงบ้าง ทำไมวันนี้ถึงอ้วกอีกล่ะ” ผมถามพลางใช้หลังมือแตะหน้าผากคนตรงหน้า

“เปล่าหรอก” น้ำยิ้มให้ผมด้วยท่าทางระโหยโรยแรงก่อนกอดน้องผสมแล้วหลับตา

“เดี๋ยวจอมไปต้มโจ๊กมาให้แล้วกินยานะ ปวดท้องรึเปล่า หรือว่าเวียนหัว” ผมนั่งยองๆข้างเตียงพลางลูบหัวน้ำด้วยความเอ็นดู

นอกจากความเป็นเพื่อนที่มีให้กันแล้ว สำหรับผม น้ำให้ความรู้สึกเหมือนน้อง ผมมีน้องสาวนะครับ ปีนี้กำลังซนได้ที่เชียวล่ะ เวลาน้ำไปบ้านผม แจมรีบวิ่งเข้ามาพลางตะโกนเรียกพี่น้ำๆแล้วเข้ามาคลอเคลีย กอดๆ หอมๆกันได้ทั้งวัน

น้ำไม่ตอบแต่ส่ายหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น ผมเลยผละลงไปต้มโจ๊ก เตรียมน้ำ เตรียมยามาให้คนป่วย

“น้ำ ตื่นมากินยาก่อนเร็ว” ผมวางถาดใส่โจ๊กตรงโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วเขย่าตัวน้ำเบาๆ

น้ำปรือตาก่อนค่อยๆขยับลุกนั่ง ผมเองก็ช่วยหยิบหมอนมาซ้อนหลังให้

ผมตักโจ๊กป้อนน้ำทีละคำจนพร่องไปครึ่งถ้วย น้ำก็เบือนหน้าหนี

“จอม น้ำอิ่มแล้ว”

ผมวางถ้วยแล้วส่งแก้วน้ำกับยาพาราให้คนป่วย

พอจัดการห่มผ้า ปิดไฟห้องนอนแล้ว ผมก็เดินเข้าไปหยิบผ้าขนหนูและเปิดน้ำใส่กะละมังใบเล็กๆ

ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาน้ำ กะว่าจะเช็ดตัวให้เลย แต่พอจะปลดกระดุมเสื้อน้ำกลับคว้ามือผมไว้พลางจับคอเสื้อแน่น

“จอมจะเช็ดตัวให้ เอามือออกก่อน” ผมพูดพลางแตะมือน้ำ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้ำทำเอง” น้ำปรือตามองหน้าผมแล้วส่ายหัว

“แค่ลุกยังไม่มีแรงเลย เดี๋ยวจอมทำให้” ผมลูบหัวน้ำเบาๆ

“ไม่เอา” คนตรงหน้าปฏิเสธเสียงเครือเหมือนคนจะร้องไห้

“ไหน บอกจอมซิ น้ำเป็นอะไร” แปลก ทำไมไม่ยอมให้เช็ดตัว

“ฮึก ฮึก” น้ำส่ายหัวพลางซุกหน้าลงกับตัวน้องผสม

“โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องนะ เจ็บตรงไหน ให้จอมดูให้นะ” ผมพูดทอดเสียงปลอบน้ำที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงแผ่ว

“ฮึกๆฮือ จอม น้ำเจ็บ ฮือ น้ำเจ็บ” น้ำค่อยๆเงยหน้าจากน้องผสมแล้วจับมือผมแนบแก้ม ก่อนจะร้องไห้หนักกว่าเดิม

“อือ ไม่ต้องร้องน้า จอมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ยอมให้ใครมาทำน้ำเจ็บหรอกนะ” ผมปลอบน้ำไปใจก็แกว่งๆ วันนี้เห็นน้ำร้องไห้ตั้งแต่ตอนเย็น แล้วตอนนี้ก็ร้องอีก เห็นแล้วสงสารจับใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

เฮ่อ

ผมลูบหัวพลางปลอบน้ำจนเจ้าตัวหยุดร้องไห้เหลือแต่เสียงสะอึกเป็นพักๆ

“ให้จอมเช็ดตัวให้นะ” ผมพูดแล้วยิ้มน้อยๆ

น้ำพยักหน้ามองผมด้วยตาบวมๆที่มีน้ำตาคลอหน่วยก่อนจะค่อยๆคลายมือที่จับคอเสื้อตัวเองออก

ผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้น้ำอีกครั้งแล้วปลดกระดุมเสื้อนอน และเริ่มเช็ดตัวไล่ตั้งแต่คอลงมา แต่ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยเป็นจ้ำๆตามคอของน้ำ

ผมรีบเดินไปเปิดไฟแล้วดูอีกครั้งให้แน่ใจ

“น้ำ นี่มัน...” ผมถามได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเมื่อคนตรงหน้าทำท่าจะเป่าปี่อีกรอบ ผมรีบแหวกเสื้อดูตามตัวก็เห็นรอยนี้เต็มไปหมด

ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่านี่คือรอยจูบ แต่ที่ผมสงสัยคือ ทำไมมันถึงมีอยู่บนตัวน้ำได้มากมายขนาดนี้ มิน่า น้ำถึงไม่ยอมให้ผมเช็ดตัวให้

พอดูดีๆแล้วตรงข้อมือน้ำก็มีรอยช้ำอยู่ ทั้งๆที่เมื่อตอนก่อนกลับบ้านยังไม่มีอยู่เลย หรือว่า...คนที่อยู่กับน้ำหลังจากที่ผมเห็นเมื่อตอนเย็นก็คือพี่ภูกับคี ผมไม่อยากจะคิดว่าที่จริงใครเป็นต้นเหตุของอาการไม่สบายของน้ำ

“น้ำ ใครเป็นคนทำ บอกจอมได้มั้ย”

พอผมเอ่ยถามออกไป น้ำตาคนตรงหน้าก็ร่วงผล็อยเหมือนเปิดก๊อก

“พี่ภูเหรอ”

น้ำเอามือป้ายน้ำตาพลางส่ายหน้า

ผมจุกจนพูดไม่ออก

ไอ้บ้าคี มึงทำเกินไปแล้ว ทำน้ำเจ็บขนาดนี้ยังมีหน้าทิ้งน้ำไปอีก

ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ทั้งสองคนก็ดูจะใจตรงกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

ไอ้คีหน่ะ ผมพอจะดูออกตั้งแต่ตอนที่น้ำเมา และแน่ใจก็ตอนที่มันจูบน้ำ ส่วนน้ำผมพึ่งเริ่มจะมั่นใจแล้วว่าน้ำก็คงรักไอ้คีเหมือนกัน
คี ถ้ามึงรักน้ำ ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ มึงคิดอะไรอยู่กันแน่

ถ้าทุกคนที่เป็นแฟนมันจะเป็นของตาย มันจะไม่ดูแลแฟนกี่คนๆที่ผ่านมาก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่นี่คือน้ำ

ผม...ยอมไม่ได้

กี่ครั้งที่ผมต้องเห็นน้ำร้องไห้ กี่ครั้งที่ผมต้องเห็นน้ำเสียใจ ถ้าเราต้องเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมคงสติแตกเข้าซักวัน

คนอย่างไอ้คีต้องทำอะไรซักอย่างให้มันสำนึกซะบ้าง

“น้ำ ไปนอนบ้านจอมนะ จอมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรน้ำได้อีก”

ผมเก็บของใช้จำเป็นของน้ำลงกระเป๋า แล้วอุ้มน้ำแนบอก

“ไม่ลืมอะไรแล้วใช่มั้ย” ผมถามน้ำที่กำลังขมวดคิ้วพลางกวาดตามองไปรอบๆห้อง

“อ๊ะ น้องผสม” น้ำบอกพลางชี้ไปที่ตุ๊กตาน้องผสม ผมเลยพาน้ำเดินไปหยิบที่เตียง

โชคดีที่วันนี้ผมขับรถมา ผมเลยพาน้ำไปอยู่ด้วยกันที่บ้านได้ไม่ยาก

พอถึงบ้านผมก็อุ้มน้ำไปนอน

น้ำท่าทางเพลียจัด เพราะหลับตั้งแต่อยู่ในรถ พอถูกอุ้มก็ลืมตามองผมด้วยท่าทางงัวเงีย แล้วหลับต่อ

ผมวางกระเป๋าน้ำไว้ข้างตู้เสื้อผ้าก่อนจะค้นผ้ามาปูพื้นนอนข้างเตียง

ก่อนนอน ผมห่มผ้าให้คนป่วยและดูให้แน่ใจว่าน้ำหลับสนิทแล้วล้มตัวลงนอน ไม่ใช่แค่น้ำที่เพลีย ผมเองก็ง่วงมากเหมือนกัน อีกซักพักไอ้คีต้องโทรมาแน่ๆ ผมยังไม่อยากให้มันเจอน้ำตอนนี้ เพราะดูๆแล้ว น้ำคงไม่พร้อม ไม่อย่างนั้น คนติดบ้านอย่างน้ำไม่ยอมมากับผมง่ายๆหรอก

“กริ๊ง กริ๊งงงง” นั่นไง ตายยากจริงเว้ย ผมคว้ามือถือและเดินไปตรงระเบียงห้อง

“จอม น้ำอยู่ไหน” ทันทีที่ผมกดรับ ไอ้คีก็ถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“อยู่บ้านกู”

“ไปอยู่บ้านมึงได้ไงวะ” ภาพน้ำจับมือผมร้องไห้เหมือนคนหัวใจสลายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง

“กูน่าจะเป็นฝ่ายถามมึงมากกว่านะ ว่ามึงทำได้ยังไง”

“จอม...กู...” ปลายสายที่อ้ำๆอึ้งๆทำให้ผมโมโห โมโหที่มันทำอะไรไม่ชัดเจน โมโหที่มันมองข้ามความรู้สึกของความเป็นเพื่อนและโมโหที่มันเห็นคนอื่นดีกว่าคนที่มันบอกว่าห่วงนักห่วงหนา แต่สุดท้ายกลับทำร้ายซะเอง

“มึงข่มขืนน้ำได้ยังไง” ผมตะคอกด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ถ้าไม่มาเป็นผม คงไม่มีวันรู้หรอกว่าสภาพน้ำตอนนี้เป็นยังไง

เหมือนใบไม้ที่พร้อมจะร่วงลงพื้นได้ตลอดเวลา ผิวขาวมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ น้ำตาและใบหน้าเศร้าๆของคนที่ยิ้มมาตลอดตั้งแต่เรารู้จักกัน ผมไม่อยากเห็นอีกแล้ว

“จอมมึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้” โห นี่ขนาดมึงไม่ตั้งใจนะเนี่ย ถ้าตั้งใจน้ำไม่แหลกคามือเหรอวะ

“มึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกูไม่รู้ แต่มึงไม่มีสิทธิ์ทำกับน้ำแบบนี้”

“....”

“คี กูขอเหอะ น้ำเป็นเพื่อนเรา ถ้ามึงไม่ได้คิดจริงจัง กูก็ขอให้มึงปล่อยน้ำไปซะ”

“...”

“...” ปลายสายที่เงียบไปทำให้ผมเดาใจมันไม่ออก

“กู...จะไปรับน้ำกลับ”

“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด”

“โธ่เว้ย นี่มึงฟังกูบ้างมั้ยเนี่ย”  ผมกุมขมับด้วยความเซ็ง ถ้าไอ้คีจะมาเอาตัวน้ำไปจริงๆ ผมคงห้ามไม่อยู่

มองคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง ผมก็ยิ่งปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ อย่างน้อย ขอให้น้ำหายป่วยก่อนก็ยังดี
................

แหะๆ เมื่อวานอิ๋งไปดู Avenger มาล่ะ หนุกหนานมากเรย คนก็ไปดูกันเยอะ สงสัยโลกคงกำลังต้องการฮีโร่จริงๆเนอะ

@ คุณ suck_love  :m14:เค้าไม่เชื่อหร้อกว่าตัวเลื่อนลงมาอ่านเรื่องย่อข้างล่างอ่ะ ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดแล้วก็มาส่องทุกวันเรย ขอโทษนะตัว เค้าไม่ได้มาลงให้ทุกวัน(คือ มันแล้วแต่อารมณ์และทรงผม และงานราษฎร์งานหลวงที่เข้ามาอ่ะนะ)
เออ ใช่ ตอนสุดท้ายคีจะไปหาเกดทำไม ต้องรอติดตาม จะให้น้ำไปหาพี่ภูเหรอ ไปไม่ได้หร้อก ไม่มีแรง คึๆ  o18
แค่คุณ suck_love มาอ่านก็ดีใจแล้วค่า ไม่ต้องกดบวกก็ได้  :กอด1:
ปล. 1 อร๊ายยย รักกันๆ
ปล. 2 ขอบคุณที่มาเม้นให้ค่า ดีไม่ดียังไง อยากให้แก้ตรงไหนแนะนำได้เต็มที่เลยน้า

@ คุณ kasarus  :mc3:เย้ ขอบคุณนะคะที่ติดต่อมาทันทีที่อิ๋งเรียกร้อง สัปดาห์ที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนมาเอ่ย
ตอนนี้ก็จุกเบาๆกับความน้อยใจของน้องน้ำต่ออีกซักหน่อยเต๊อะ
นั่นจิ คนรักกันเค้าทำแบบนี้ได้ยังไง๊ ต้องติดตามตอนต่อไปว่าทำไมนายคีถึงได้ทำแบบเน้
ส่วนเรื่องเรียกร้องให้พี่ภูกลับมา อืมมม ปล่อยพี่เค้าไปก่อนเถอะค่า เค้ากำลังเฮิร์ทอยู่น้า

@ คุณ takara ตอนนี้น้องน้ำก็ร้องไห้อีกแว้วอ่ะค่า ลองอ่านๆเรื่องทวนดูแล้ว :o นายเอกเรื่องนี้เจ้าน้ำตาจังเลยเนอะ ถ้าเอาถังมาตวงคงเต็มถังแล้วอ่ะเนอะ

@ ข้าว ถ้าเรื่องไม่วุ่นก็จะไม่สนุกเอาน้า อ่านตอนนี้แล้วอาจเบื่อ + เซ็งจิตมากกว่าเดิมนิ๊ดส์นึง  :laugh3:

@ คุณ iforgive เห็นคอมเม้นแล้วเจ็บจี๊ดดดดแทนนายคี เปลี่ยนเป็นชื่อเควี่ยเหรอ ชื่อพี่รหัสอิ๋งเลย (แรกๆตอนเข้าม.ใหม่ๆ พี่เค้าถามว่าใครเป็นพี่รหัส เราก็บอกพี่... พี่เค้าก็อุทาน น้องไอ้เควี่ยนี่หว่า มีการบอกให้อิ๋งเรียกพี่รหัสตัวเองว่าพี่เควี่ยด้วยนะ  :laugh:)

@ คุณ yeyong  :z1:คึๆ ความรู้เรายังด้อย เร่งศึกษา ขอบคุณสำหรับคำชมค่า

@ คุณ YELLOWSTAR  :m4:อยากรู้ต้องติดตามต่อไปค่า

@ คุณ suck_love มาต่อแล้วน๊า มาอ่านเร๊ววว

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 09-05-2012 22:36:53
เง่อ คีก้อ ปล่อยน้ำไว้แล้วยังจะมาเอากลับไปอีก สงสารน้ำด้วย น่าจะทำให้คีสำนึกซะบ้าง
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 09-05-2012 22:42:36
the avenger อยากดูมากกกกก เเต่ไม่มีเวลาเเม้เเต่กระดิกตัว

คีเลิกกับเเฟนเเล้วใช่ไหม ถึงกลับมาไหวขนาดนี้

น้องน้ำโดนข่มขืนซะสะบักสะบอมยังกับเข้าไปอยู่ในสงครามโลก

สู้ๆนะ จอมอย่ายอมไห้คีเอาน้ำกลับน่ะ

เรียก ฟิวมาซัดปาก คีเลยยยยยยย

เดียวต่อสายให้
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 09-05-2012 23:17:04
คีหนอคี งานนี้อาจมีปัญหาในกลุ่มเพื่อนกันบ้างล่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 10-05-2012 19:44:27
มาอ่านแล้วค่ะ  o13
หวังว่าคีย์คงมีเหตุผลดีๆที่ทิ้งน้ำไปหาเกตุนะ   :o211: ไม่งั้นหึหึหึ o18 ตายยยยยย :z6:

ปล แค่คุณอิ๋งมาต่อเค้าก็ดีใจแล้วค่ะ  ไม่ต้องมาต่อทุกวันก็ได้ แค่อย่าทิ้งก็พอ อิอิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย1) 09/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 11-05-2012 06:24:29
น้ำโดนไปทีเดียวเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ
นายคีนี่นะ รุนแรงเกินไปละ ต้องลงโทษ ห้าม'ปั๊มน้ำ'สามเดือน
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 12-05-2012 17:36:03
เหนื่อย 2

“เหี้ยจอม บ้านมึงไม่มีนาฬิกาหรือไงวะ” ไอ้ฟิวกดรับปุ๊บก็ด่าผมปั๊บ

“ฟิว มึงมาบ้านกูตอนนี้เลย” คนที่ผมคิดว่าพอจะห้ามไอ้คีได้บ้างคงมีแต่ชายฟิวนี่แหละ

“มีไรวะ” น้ำเสียงจากปลายสายเริ่มจริงจัง

“ไอ้คีข่มขืนน้ำ”

“เฮ้ย เป็นไปได้ไง แล้วตอนนี้น้ำเป็นไงบ้าง”

“หลับอยู่ แต่เดี๋ยวคงต้องตื่น กูพึ่งวางสายจากไอ้คีไป มันบอกจะมารับน้ำกลับ”

“ไม่ได้นะเว้ย มึงห้ามให้มันมาเอาตัวน้ำไป”

“มึงก็รีบมาห้ามมันสิ”

“กูไปไม่ได้ว่ะ ตอนนี้กูอยู่ต่างจังหวัด กำหนดกลับอีกทีวันอาทิตย์ งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูส่งคนไป” โอ้โหเพื่อนกู ยังกะเจ้าพ่อมาเฟีย นี่ขนาดมึงอายุสิบหกนะครับชายฟิว กูเชื่อแล้วว่าบ้านมึงมีอิทธิพล เพราะฉะนั้นเมื่อเพื่อนหยิบยื่นความช่วยเหลือเราต้องไม่ปฏิเสธ
 
“ให้ไวนะมึง”

อืมมม สิ่งที่ผมต้องทำต่อไปก็คือไปยืนอยู่หน้าบ้านสินะ

พอผมเดินไปถึงประตูรั้ว จู่ๆก็มีคนโผล่พรวดมาทัก

“คุณจอมรึป่าวครับ” ขวัญเอ๊ย ขวัญมา ตกอกตกใจหมด กลางคืนก็มืดอยู่แล้ว ทำไมคนพวกนี้ต้องใส่แว่นดำด้วยวะ

“ครับ” พอผมพยักหน้า พี่แว่นดำก็ส่งมือถือให้ผม มองชื่อตรงหน้าจอที่เมมว่า “นายน้อย” ก็รู้ว่าคงเป็นชายฟิว

“โหลฟิว กูเจอคนของมึงแล้วนะ”

“เออ คนที่ยื่นมือถือให้มึงเป็นมือขวาพ่อกู ชื่อพี่สาม อีกคนที่ไปด้วยคงเป็นพี่สองน้องพี่สาม ถ้ากูกลับไปถึงแล้วจะรีบไปหา”

“โอเค ขอบใจมากมึง”

“กูฝากน้ำด้วย” พูดจบ ชายฟิวก็กดตัดสายไปทันที ผมส่งมือถือคืนให้กับพี่มือขวาแล้วยิ้มให้พี่เค้าแห้งๆ

เอ่อ จะเริ่มยังไงดีวะ ผมมองพี่สามด้วยความรู้สึกเกรงๆ ไม่กล้าใช้พี่เค้าอ่ะ งั้นก็ลองขอร้องดูแล้วกัน

“พี่ครับ เดี๋ยวพี่สองคนช่วยแอบๆอยู่แถวนี้ก่อนได้รึป่าว เดี๋ยวจะมีไอ้บ้าคนนึงขับมอไซต์มาที่นี่ ผมจะลองคุยกับมันก่อน แต่ถ้ามันเริ่มอาละวาดพี่สองคนช่วยผมจับมันไว้ทีแล้วกัน”

พอผมพูดจบ พี่ทั้งสองคนก็พยักหน้าและหายไปกับความมืด

แบบว่ามืออาชีพอ่ะ เหมือนผมยืนอยู่คนเดียวเลย

ต่อไปเพื่อนจอมไม่กล้าทำร้ายร่างกายเพื่อนฟิวอีกแล้ว เพราะถ้าเพื่อนฟิวโกรธจัด เพื่อนจอมอาจหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้

ซักพัก มอไซต์สีแดงคันเดิมก็มาจอดหน้าบ้าน ผมมองหน้าไอ้คีด้วยความเซ็ง ไม่ได้โกรธมันหรอกนะครับ แค่อยากเตือนสติมันบ้าง

“จอม น้ำล่ะ” ไอ้คีถามพลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน

“นอนอยู่ในห้องกู” น่วมขนาดนั้นคงมีแรงมายืนรอมึงอยู่หรอก

ไอ้คีทำท่าจะเดินเข้าไปในบ้านแต่ผมขยับเข้าขวาง

“หลีกไป” คนพูดมองผมนิ่งๆ ท่าทางแบบนี้กูรู้ว่ามึงเริ่มรมณ์เสีย แต่กูไม่หลีก

“มึงกลับไปซะเถอะ ตอนนี้น้ำคงยังไม่อยากเจอมึง”

“จอม มึงอย่าชวนกูทะเลาะได้มั้ย” ไอ้คีพูดจบก็ทำท่าจะเดินผ่านผมไป

แต่ผมยกแขนกันไม่ให้มันผ่าน

“จอมกูเตือนมึงแล้วนะ” ไอ้คีหรี่ตามองผมพลางยิ้มมุมปาก ผมเองก็สบตามันนิ่งๆ

“ปึ่ก” ไอ้คีปล่อยหมัดมาทันที แต่ผมรับไว้ได้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันจะออกหมัดซ้ายก่อน

จู่ๆพี่ๆแว่นดำก็โผล่มาล็อกตัวไอ้คีไว้

“ปล่อยกู” ไอ้คีกัดฟันพูดพลางพยายามสะบัดตัว

“มึงกลับไปสงบสติอารมณ์ซะเถอะ ไว้เย็นลงเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน” ผมบอกคนตรงหน้าแล้วส่งสัญญาณให้พี่แว่นดำทั้งสองลากมันออกไป

ผมเห็นไอ้คีฮึดฮัดอยู่ซักพัก พวกพี่สามก็ปล่อยตัว มันมองผมด้วยท่าทางเคืองๆก่อนขี่มอไซต์กลับไป

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมบอกขอบคุณพวกพี่มือขวาเมื่อมรสุมผ่านพ้น

“ไม่เป็นไรครับ พวกผมทำตามหน้าที่” เป๊ะสุดๆ อยากรู้จริงๆว่าบ้านไอ้ฟิวมันฝึกคนตามแบบหนังเรื่องไหนรึป่าวเนี่ย

“คงไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ ยังไงพวกพี่ๆก็กลับกันได้เลยนะครับ” ผมบอกพี่เค้าไปด้วยความเกรงใจอย่างสุดซึ้ง งานด่วนตอนตีสามนี่มันก็หนักเอาการอยู่นา

“วันพรุ่งนี้จะมีคนมาประจำสองคนเหมือนเดิมนะครับ พวกผมต้องขอตัวก่อน” พี่สามพูดจบก็เดินหายไปในความมืดเหมือนขามาไม่มีผิด

ลัญจกร บ้านมึงคงมีอิทธิพลมืดสินะ

“ปั่งๆๆ”

“พี่จอม เปิดประตู” เสียงทุบประตูห้องอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับเสียงเล็กแหลมปลุกผมให้ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆเพราะหลับไม่เต็มอิ่ม

ผมลุกไปเปิดประตูห้องพลางหาวไปด้วย ไอ้ตัวแสบมาปลุกแต่เช้าเลย

“พี่จอม รองเท้าใครอยู่หน้าบ้าน” แจมยิงคำถามทันทีที่เห็นหน้าผม

“หืม” ผมยืนกู้ข้อมูลคืนอยู่ซักครู่ เมื่อคืน...ไอ้คีโทรมา ผมไปหาน้ำ พามาอยู่บ้าน โทรไปหาไอ้ฟิว พี่แว่นดำ ไอ้คีมาตามน้ำกลับ...

“พี่น้ำ” แจมกรี๊ดเสียงแหลมก่อนวิ่งลอดใต้แขนผมพุ่งไปที่เตียง

ผมมองตามไปก็เห็นน้ำนั่งพิงหัวเตียงส่งยิ้มเซียวๆให้กับแจมที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ
 
“พี่น้ำมาเมื่อไหร่ทำไมไม่บอกแจม” แจมหยุดกระโดดแล้วปืนขึ้นไปนั่งบนตักน้ำ

“พี่น้ำมาเมื่อคืนครับ แล้วน้องแจมจะไปไหนเอ่ย แต่งตัวน่ารักจังเลย” น้ำกอดแจมแล้วเอ่ยถาม

“น้องแจมจะไปบ้านคุณตาคุณยายกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าพี่น้ำมานอนบ้าน น้องแจมไม่ไปดีกว่า” ไอ้ตัวแสบตอบน้ำพลางมองด้วยสายตาที่บอกได้ว่าทั้งดีใจทั้งรักคนตรงหน้าปนกันไป

“แจม พี่ว่าไปบ้านคุณตาคุณยายดีกว่า พี่น้ำไม่สบายแบบนี้เดี๋ยวได้ติดไข้กันพอดี” ไม่ไหว สองคนนี้เจอกันที่ไร ยังกะเจอคู่หูที่พลัดพราก เล่นด้วยกันได้ทั้งวันไม่มีหยุด ถ้าให้อยู่ด้วยกันมีหวัง แจมเป็นไข้ไปอีกคนแน่ๆ

“ไม่เอา แจมจะอยู่กับพี่น้ำ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวกอดน้ำแน่นเพื่อยืนยันว่าจะไม่ไปไหน

“วันนี้พี่น้ำไม่สบาย ไม่มีแรงเล่นกับน้องแจมหรอกน้า ไว้ถ้าพี่น้ำหายป่วยแล้วเราค่อยมาเล่นกันใหม่เนอะ” น้ำพูดกล่อมคนในอ้อมแขนที่มองมันตาแป๋ว

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าพี่น้ำต้องมาเล่นกับแจมจริงๆนะ” แจมทำแก้มพองลมก่อนยอมเชื่อฟังน้ำแต่โดยดี ทีผมเป็นพี่แท้ๆมันไม่ฟัง แต่พอน้ำบอกทำตามซะงั้น

“สัญญาครับ” น้ำยิ้มพลางชูนิ้วก้อยขึ้นมา

“สัญญากันแล้วน้า” ไอ้ตัวแสบเกี่ยวก้อยตอบก่อนกอดคอน้ำแล้วหอมแก้ม

น้ำเองก็หอมกลับทั้งแก้มซ้าย แก้มขวาแล้วหัวเราะกันคิกๆคักๆ

เฮ่อ แค่หอมแก้มมันสนุกตรงไหนว้า

ผมเดินไปห้องครัวด้วยความง่วง ตื่นเช้ารู้สึกสดชื่นก็จริง แต่ได้นอนน้อยแบบนี้ก็ไม่ไหว

“จอม น้องแจมไปไหนแล้วล่ะ” แม่หิ้วตะกร้าเดินสวนทางออกมาจากห้องครัวเอ่ยถามผม

“อยู่ในห้องจอมนั่นแหละ” ผมตอบพลางรินน้ำใส่แก้ว

“หืม ไปทำอะไรในห้องลูกล่ะ ไปพาน้องมาเร็ว พ่อรออยู่หน้าบ้านแล้ว” แม่หันมาบอกผมก่อนเดินไปหน้าบ้าน

ผมรีบเดินกลับห้องไปแงะตัวแจม กว่าจะผละออกมาได้ยังไม่วายงอแง

“พี่จอม แจมไม่อยากไปแล้ว” ไอ้ตัวแสบพูดพลางดิ้นอยู่ตรงไหล่

“ไหนบอกรอให้พี่น้ำหายก่อนไง”

“ไม่เป็นไรหรอก แจมไม่กวนพี่น้ำก็ได้”

“จริงเหรอ”

“ก็จริงหน่ะสิ นะพี่จอมนะ แจมอยากอยู่กับพี่น้ำ” ผมว่าไม่จริงหร้อก วันๆอยู่นิ่งได้ซะที่ไหน

“ไว้คราวหน้าแล้วกัน เดี๋ยวพี่น้ำไม่สบายหนักต้องพาไปให้หมอฉีดยานะ”

“...” เมื่อเดือนที่แล้วพึ่งพาแจมไปฉีดวัคซีนมาครับ ร้องไห้จ้าโรงบาลแทบแตก

“แล้วพี่น้ำจะเจ็บรึป่าว” คนถามทำหน้าตากังวล

“เจ็บสิ ถ้าไม่อยากให้พี่น้ำโดนหมอฉีดยาก็ต้องให้พี่น้ำพักผ่อนเยอะๆ”

“งั้น ไว้แจมค่อยมาเล่นกับพี่น้ำก็ได้”

พอตกลงกันได้ ผมก็อุ้มแจมไปส่งให้พ่อกับแม่ที่รออยู่ในรถ

“เพื่อนมานอนที่บ้านเหรอลูก” แม่ถามผมขณะรับแจมไปนั่งบนตัก

“ครับ”

“พี่น้ำมานอนที่บ้าน พี่จอมบอกว่าพี่น้ำไม่สบาย” แจมบอกแม่เสียงดัง

“น้องน้ำไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า” แม่ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่จอมไม่อยากปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว เลยพามาเมื่อคืน”

“ดีแล้วลูก งั้นแม่ไปนะ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็โทรหาแม่แล้วกัน”

ผมยืนรอพ่อขับรถออกไปก็เดินเกลับเข้าบ้าน

ไหนๆก็ตื่นแล้วหาอะไรให้คนป่วยกินดีกว่า

เช้านี้ผมกะจะทำข้าวต้มปลา แต่คิดไปคิดมา ไอ้น้ำไม่ชอบกินปลานี่หว่า งั้นเปลี่ยนเป็นข้าวต้มไก่แล้วกัน

ผมเตรียมยากับข้าวต้มใส่ถาดไปให้คนป่วยในห้องนอน

พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นน้ำนอนตะแคงกอดน้องผสมหลับอยู่ ผมเลยคิดว่าเอาข้าวต้มไปเก็บก่อนดีกว่า รอให้เจ้าตัวตื่นค่อยว่ากันอีกที

ผมก็ง่วงอยู่เหมือนกัน ขอนอนบ้างเห๊อะ

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีบ่ายโมง มองไปบนเตียงเห็นคนป่วยนอนจ้องอยู่ก่อนแล้ว

“จอม น้ำปวดหัว” น้ำพูดพลางเอาน้องผสมตีหัวตัวเองไปด้วย

เอ่อ เพื่อนน้ำ ทำแบบนั้นคงจะหายปวดหัวอยู่หรอกนะ

“งั้นลุกมากินข้าวแล้วกินยาก่อน”

“ฮื่อ  ปวดหัวจัง” น้ำลุกขึ้นมานั่งแต่ก็ทิ้งตัวลงนอนอีก

“มาเร็ว นอนอยู่แบบนั้นเมื่อไหร่จะหาย” ผมมองน้ำที่เอาผ้าห่มคลุมโปง

“น้ำไม่อยากลุกเลย ลุกแล้วปวดหัว” น้ำพูดเสียงอู้อี้อยู่กับหมอน

ผมเลยจัดการดึงตัวคนป่วยที่กำลังงอแงออกจากเตียงแล้วอุ้มไปห้องน้ำ

เราล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกันก่อนจะพากันไปกินข้าวมื้อแรกของวันในห้องครัว

น้ำกินข้าวด้วยท่าทางเบื่อๆ ทั้งๆที่ปกติเป็นคนกินเก่ง น้ำไม่ได้กินเยอะหรอกนะครับ แต่จะกินข้าวทุกมื้อแล้วก็ชอบกินขนมหวานมากๆ ชอบอ้อนให้ผมทำของหวานให้กินอยู่เรื่อย ผมที่เป็นคนทำอาหารเลยรู้สึกดีเวลาที่มีคนกินของที่เราทำแล้วบอกว่าอร่อย

“วันนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษรึป่าว” ผมถามน้ำที่ดันถ้วยออกจากตัวแล้วฟุบลงกับโต๊ะ

น้ำไม่ตอบแต่ส่ายหัว ผมเลยเอื้อมมือลูบหัวคนป่วยที่ดูซึมๆ

ป่วยกายหน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้อาการที่คิดว่าเป็นอยู่เห็นจะเป็นเรื่องป่วยใจซะมากกว่า

เออ จริงสิ แล้วเวลาที่ เอ่อ เค้ามีอะไรกันแล้วหน่ะ ช่องทางข้างหลังมันจะเป็นยังไงบ้างเหรอ เห็นน้ำทำหน้าตาแบบว่ารู้สึกเจ็บก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่พาอุ้มไปอุ้มมา

ไม่ใช่ไม่หนักนะครับ แต่มันก็พอไหวอยู่

“น้ำ ตรงนั้นยังเจ็บอยู่รึป่าว” พอผมถามออกไป น้ำชะงักตัวแข็งทันที แดงไปทั้งตัวเลยครับ

“มัน..ก็เจ็บอยู่ แต่ว่าไม่มีเลือดออกหรอกนะ” น้ำอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา

“อืม ถ้ารู้สึกไม่ดีหรือว่าเจ็บตรงไหนต้องบอกจอมนะ”

น้ำพยักหน้ารับท่าทางอายๆ

“ป่ะ งั้นกินยาแล้วไปนอนพักเถอะ”

พอให้น้ำกินยาแล้วผมก็พาคนป่วยกลับไปนอนในห้องเหมือนเดิม

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

เสียงมือถือน้ำดังมาจากกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างเตียง

น้ำหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอแล้วเม้มปาก เจ้าตัวทำท่าชั่งใจก่อนกดตัดสายทิ้ง แต่ทว่า เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“...Hello Seattle, I am a mountaineer
In the hills and highlands...”

ไอ้คีโทรมาชัวร์ คราวนี้น้ำกดตัดสายแล้วปิดเครื่องก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าตามเดิมแล้วล้มตัวลงนอน

“กริ๊ง กริ๊งงงง” นั่นไง โทรหาน้ำไม่ติดก็โทรหาผมแทน

ผมเดินออกจากห้องนอนแล้วกดรับ

“จอม น้ำเป็นไงบ้างวะ” ฟังจากเสียง คงจะเป็นห่วงน้ำหล่ะสิ ตอนจะทำทำไมไม่คิด มาเป็นห่วงทีหลังก็คงสายไปแล้วล่ะ

“ยังหายใจอยู่”

“จอม มึงอย่ากวนตีน เอาดีๆ” หึๆ ไอ้คีคงเริ่มยั๊วะ

“แล้วมึงอยากให้เป็นไงล่ะ”

“มึงเดินออกมาคุยกับกูหน้าบ้าน” ปลายสายพูดพลางถอนหายใจแล้วกดวาง

ผมไม่ได้คิดจะกีดกันความรักของเพื่อนหรอกนะครับ แต่ถ้าไม่ยื่นมือมายุ่ง เห็นทีเรื่องนี้คงไม่จบ

พอผมเดินออกไปหน้าบ้านก็เห็นไอ้คีกอดอกพิงมอไซต์มองตรงมา

ผมเดินไปหยุดตรงประตูรั้ว

“กูจะพาน้ำกลับ” ไอ้คีมองผมนิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“กูคงให้กลับไปกับมึงไม่ได้ว่ะ” ผมตอบพลางทำหน้ากวนตีน

“น้ำเป็นของกู” ไอ้คีเอามือทุบประตูรั้วแล้วตะคอกผมเสียงดัง

“แล้วไง มึงได้ไปแต่ตัว ใจน้ำอยู่ที่มึงรึป่าวก็ยังไม่รู้”

“จอม มึงอย่ากวนโมโห เปิดประตูให้กู” ไอ้คีสั่งด้วยท่าทางที่ผมคิดว่าคงใกล้หมดความอดทนเต็มที

“กูไม่ได้กวน มึงก็ไม่ได้คิดอะไรกับน้ำอยู่แล้ว ปล่อยน้ำไปซะ” พูดจบผมก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ถ้าขืนยังเถียงกันไปมาอยู่แบบนี้ มีหวังได้ทะเลาะกันแน่ๆ

“กูรักน้ำ” ผมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ กว่าจะพูดได้นะมึง

“มึงมาบอกกูทำไม ไปบอกน้ำเองดิ” ผมพูดยิ้มๆให้กับไอ้คีที่ยืนชี้หน้าคาดโทษผมอยู่

“เฮ้ยจอม ไมมึงไม่ให้กูเข้าไปหาน้ำซักทีวะ” ไอ้คีโวยวายเสียงดัง เมื่อผมกำลังจะเดินเข้าบ้าน

“ถ้าน้ำอยากเจอมึงก็คงออกมาหาเองนั่นแหละ” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนปิดประตูบ้านแล้วเดินไปดูน้ำในห้องนอน

ผมห่มผ้าให้คนป่วยที่นอนหลับสนิทแล้วเดินไปดูตรงหน้าต่าง เห็นไอ้คีขยี้หัวตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิดก่อนขี่มอไซต์ออกไป

เฮ่อ ทำไมมึงไม่ทำตามบทพระเอกง้อนางเอกวะ ยืนรอกลางแดดกลางฝนให้เค้าเห็นใจจะได้กลับไปด้วยกันก็ยังดี

ไอ้นี่ไม่สน กลับไปเฉยเลย

หันมองไอ้น้ำที่นอนกอดน้องผสมหลับตาพริ้มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

กูล่ะเหนื่อยใจกับพวกมึงจริงจริ๊ง

..........................................

สำหรับตอนนี้ก็อยู่กับน้องจอมอีกตอนเนอะ อย่าพึ่งเบื่อกันนะคะ

@ คุณ takara คนมันร๊าากกอ่ะค่า :m3: เค้าเลยมาพากลับ คิดว่าน้องจอมทำไปแค่นี้ก็สำนึกแล้วม้างงง

@ ข้าว ได้ไปดู avenger มารึยัง ไม่ได้สปอยนะ แต่สนุกมว๊ากกก  :laugh3:
เรื่องราวจะค่อยๆเฉลยออกมานะจ๊ะ อดใจรอจิ๊ดนึง
อืม อิ๋งว่าความจริงน้องน้ำก็ไม่ได้โดนข่มขืนเต็มรูปแบบหร้อกน้า แต่ว่าน้องจอมเค้าเข้าใจไปแบบนั้น บวกกับการที่เสียใจที่น้องคีไปหาสาวด้วย ก็เรย ดูย่ำแย่อย่างที่เห็น
อิ๋งว่าน้า จอมเค้าไม่ได้เอาน้องน้ำมาอยู่ด้วยถาวรหรอกค่า แค่รอให้ทั้งสองคนเค้าพร้อมกว่านี้เท่านั้นเอง แกล้งคีนิดๆหน่อยๆ
ส่วนเรื่องโทรเรียกฟิว น้องจอมก็โทรไปแล้วค่า เป็นไง ไม่ได้มาเอง แต่ส่งสมุนมา  :laugh:

@ คุณ yeyong คิดว่าไม่มีปัญหาหรอกนะคะ น้องจอมเป็นคนรักเพื่อนค่ะ

@ คุณ mild-dy ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ :pig4:

@ คุณ suck_love เรื่องเหตุผลของคี เอาไว้ตอนหน้าแล้วกันเนอะ
ไม่ทิ้งไปไหนหรอกนะคะ ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะแต่งให้จบก่อนเปิดเทอม  :man1:

@ คุณ kasarus น้องน้ำเป็นหนักเพราะเป็นไข้ใจค่า ห้ามคีปั๊มน้ำสามเดือนเหรอ :o11: อิ๋งคิดหนักแทนคีเรย

@ คุณ iforgive ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่ภูเสียใจ แต่ก็ดีใจมากเลยที่คอยติดตามอ่าน อย่าโกรธกันน้า :impress:

เจอกันตอนหน้านะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 12-05-2012 19:48:02
โล่งใจไปเปราะนึง  หวังว่าจะกลับสู่สภาวะปกติของกลุ่มเพื่อน
และสถานะใหม่ของคีกับน้ำโดยเร็วน๊า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 12-05-2012 19:52:10
ไม่เอาพี่ภูก็ได้  เปลี่ยนเป็นฟิวแทนดีกว่า  ชอบลูกเจ้าพ่อว่ะ 55555
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-05-2012 18:50:32
ฟิวเหมือนพ่อของน้ำเลยแหะ นิสัยแอบน่ากลัวเล็กน้อย   :try2: ทิ้งมาดไอ้งี้งกออกไปได้สนิท5555
แต่หวังว่าตอนหน้าคงดีกันนะ เค้าหัวใจจะวายตามแย้ว  :m17: จะได้รักกันซะกะที  o13

ปล แอบเชียรฟิวจอมไงไม่รู้เคอะ555  ตอนนี้ได้ทำการตัดพี่ภูออกจากสารบบ(เขียนงี้ป่าวหว่า ?)ไปแล้ว 5555
ปล1 thank you very much ka   :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 13-05-2012 22:21:53
หืมมมมมมม

ถ้าเกิดว่ามีผู้หญิงเกาะไม่ปล่อยนะคี เเกตายยยยยย

น้ำเจ็บมากไหมนั้น สงสารอ่ะ

ฟิวนายเจ๋งว่ะ ส่งลูกน้องมาเลยทีเดียว

เเต่ก็ยังเคืองคีไม่หาย <<< สรุป
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 14-05-2012 00:44:17
คีรักน้ำแค่คนเดียวจริงรึเปล่า
แค่คำพูดยังไม่พอนะ แสดงให้เห็นด้วยสิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 14-05-2012 22:16:29
แวะมาดัน  :z13:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 14-05-2012 22:35:40
น้องจอมน่ารักอะ ฟิวกะน่ารัก
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 14-05-2012 23:54:22
 :monkeysad: คนอ่านขา พอดีช่วงนี้อิ๋งเจอกับมรสุมชีวิตนิดหน่อย แล้วก็ต้องสอบอาทิตย์หน้า ยังไงก็อาจจะหายไปซักสิบวัน ขอโทษจริงๆนะคะ แต่ว่าไม่ทิ้งแน่นอน

@ คุณ suck_love ขอบคุณที่แวะมาดันนะคะ แต่ว่า เอ่อ อย่าดันเลย เดี๋ยวจะโดนพี่ๆที่ดูแลเค้าดุเอาน้า ว่าปั่นกระทู้

 :sad4: มาเห็นคอมเม้นต์คนอ่านแล้วดีใจมากเลย ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว เหนื่อย2) 12/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-05-2012 14:26:36
 ไม่ดันแล้วค่ะ กลัวว่าทู้นี้จะถูกอุ้มหาย แหะๆ :try2:
แต่ยังไงก็รอได้ค่ะ  รักน้ำ รักคีย์เสมอ  รักคุณอิ๋งด้วยค่ะ  :กอด1: สิบวันจิ๋บจ๋อยค่ะ  มาๆกอดให้กำลังใจ 55555

ขอให้ทำข้อสอบให้ได้นะค่ะ  :a2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว How can this feeling begin?) 19/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 19-05-2012 19:02:06
How can this feeling begin?

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนี้ก่อตัว

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมควบคุมมันไม่ได้...

อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน

คนอะไรวะ ขาวยังกะผงซักฟอก ตัวรึก็นิดเดียว

หืม เป็นน้องพี่ธารหรอกเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย...

อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราคุยกัน

“มา ให้กูช่วยรึป่าว” พอหันมองตามเสียงถึงได้รู้ว่าเป็นไอ้ผงซักฟอกวันนั้นนี่หว่า

“ขอบใจ” ผมพยักหน้าแล้วยื่นแปรงลบกระดานคู่หนึ่งให้อีกคนเอาไปตบฝุ่นออก

เซ็งชะมัดยาก แค่เอากบที่จะต้องผ่าในคาบวิทย์มาแกล้งพวกผู้หญิงก็กรี๊ดกันซะลั่นตึก โดนลงโทษให้ทำความสะอาดห้องคนเดียวเลยไง

อ้อ สองคนสิ มีคนข้างๆนี่อีกคน

กว่าจะทำความสะอาดห้องเสร็จก็ปาไปหกโมงเย็น ไม่นึกว่าที่เคยทิ้งเศษกระดาษ รึว่าทำน้ำหวานหกมันจะทำความสะอาดยากขนาดนี้

มีแต่เราที่ทำแบบนั้นซะเมื่อไหร่ เห็นเป็นแบบนี้กันทั้งห้อง

มองไอ้ตัวเล็กที่ฮำเพลงไปเช็ดกระดานไปแล้วก็สงสัย แล้วมันมาช่วยเราทำไมวะ

“จะกลับเลยก็ได้นะ เหลือแค่ถูพื้น”

“ไม่เป็นไร กูอยากช่วย” หน้าตาคุณหนูจนไม่กล้าพูดกูมึงด้วย แต่เจ้าตัวกลับพูดเองซะงั้น

“หน้าที่ก็ไม่ใช่ ถามจริง คิดไงถึงได้มาช่วย”

“ก็...ถ้าทำคนเดียวก็เหงาใช่ม้า ช่วยกันจะได้ทำเสร็จไวๆด้วยนะ” คนตอบทำท่าคิดก่อนจะยิ้มให้

โห คนดีว่ะ

หรืออาจจะเกิดขึ้นตอนที่เราอยู่ม.ต้น

นับจากวันนั้น ผมก็ได้รู้ว่าไอ้ผงซักฟอกชื่อว่าน้ำ และที่สำคัญ น้ำนั่งอยู่ข้างหลังผมนี่เอง ไม่ยักรู้มาก่อน จากที่เคยพูดกูมึง น้ำก็เริ่มไม่พูด เนื่องจาก...

“น้ำ จอมขอเหอะ อย่าพูดเลย มันไม่เข้ากับหน้า” เออ จริงของมึง กูคิดงั้นตั้งแต่วันแรกที่ได้พูดกับน้ำแล้ว

“เอางั้นเหรอ” คนถามหันมามองผม จอม ฟิวและปลิวที่พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

และ...

“น้องน้ำ แม่ไม่เคยสอนให้พูดไม่เพราะเลยนะ”

ตั้งแต่นั้นมา คำว่ากูมึงก็ไม่ออกจากปากของน้ำอีกเลย

ยิ่งสนิทกัน ผมก็เริ่มรู้ว่าไอ้ตัวเล็กเนี่ยขี้อ้อน แถมเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ

ร้ายกาจยังไงหน่ะเหรอ ก็ตรงที่อยากได้อะไรก็จะเอาเดี๋ยวนั้น และวิธีการให้ได้มาก็ยากที่จะปฏิเสธซะด้วยสิ

“น้ำอยากไปดูแฮรี่”

“ไปวันเสาร์นี้ดีมั้ย” จอมเก็บของลงกระเป๋านักเรียนพลางถามน้ำที่นั่งจับปากกาทำหน้าจริงจัง

“ไม่เอา น้ำอยากไปวันนี้” น้ำทำหน้างอ

“นะ ฟิวนะ ไปด้วยกันนะ” นั่นไง รายแรก ไอ้ฟิวยืนเหงื่อตกทำหน้าลำบากใจ

“จอม ไปด้วยกันน้า”

“ไปหลายๆคนสนุกดี อีกอย่างวันเสาร์ขี้เกียจออกบ้าน”

“เราไปกันวันนี้เถอะ”

หรือจะเป็นตอนที่ไปทำรายงานกันที่บ้านชายฟิว

“ฟิว ทำไมพี่ๆเค้าไม่ยอมยิ้มเลยล่ะ”

เค้าใส่สูทใส่แว่นดำเข้าแถวหน้ากระดานต้อนรับเจ้านายอยู่แบบนั้นคงจะยิ้มให้เสียภาพพจน์อยู่หรอกนะ

“พี่” ไอ้ตัวเล็กหยุดยืนตรงหน้าพี่บอดี้การ์ดคนหนึ่งพลางยิ้มกว้างให้ แต่พี่เค้ายังคงก้มหัวให้น้อยๆแล้วทำหน้านิ่ง

“ยิ้มหน่อยน้า” ไม่พูดเปล่า ดึงแก้มเค้าด้วย

“อืม ไม่ยอมยิ้ม” เจ้าตัวพูดพึมพำพร้อมกับเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าการ์ดคนนั้น

พวกผมก็อยากรู้ว่าน้ำจะทำยังไงต่อไป เลยยืนมองเงียบๆ

“งั้นน้ำให้ฮาร์ทบีท” น้ำล้วงลูกอมออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้พี่บอดี้การ์ดพลางส่งยิ้มน้อยๆ

พี่เค้าที่ยื่นมือมารับพร้อมกับบอกขอบคุณครับ แต่หน้ายังนิ่งเหมือนเดิม

“ฮื่อ” ไอ้ตัวเล็กถอนหายใจพลางทำหน้าบูด

“ถ้าไม่ยอมยิ้มน้ำจะโกรธแล้วนะ” น้ำกอดอกจ้องการ์ดตาโต

ไอ้ฟิวคงเห็นว่าถ้าการ์ดบ้านมันไม่ยอมยิ้มวันนี้คงไม่ได้ไปไหนแน่ๆเลยพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เค้าทำตามที่น้ำบอก

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่น้ำไปบ้านไอ้ฟิว ถ้ายิ้มให้การ์ดคนไหน คนนั้นต้องยิ้มตอบ ถ้าใครไม่ยิ้ม ก็รู้ๆกันอยู่ว่าจะเป็นยังไง
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยอมให้กับคนๆนี้

“คี ไปเหอะ” แค่มือเล็กแตะแขน ผมก็รู้ว่าต้องใจเย็นกว่านี้

ถ้าวันนั้นผมอยู่แค่คนเดียว เรื่องคงจบตั้งแต่หน้าห้องน้ำ ไม่ต้องรอให้มาต่อที่สวนหลังโรงเรียนให้เสียเวลาหรอก

ความรู้สึกผูกพันนี้เริ่มตั้งแต่วันที่เราสัญญากันรึป่าว

สัญญาที่ผมไม่เคยลืม จะดูแล จะปกป้อง จะอยู่ข้างๆ

อะไรที่ทำให้อร รักอรแบบไหน น้ำก็ไม่ต่างกัน

และเพราะสัญญานี้ ทำให้ผม ไม่กล้าก้าวผ่านเส้นกั้นบางๆและคิดมาตลอดว่าที่ผมห่วง ผมหวง คงเป็นเพราะน้ำคือคนในครอบครัวที่อยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

ยิ่งอรกับพี่ธารไปอยู่ไกล เรายิ่งแทบไม่ได้ห่างกัน

และนั่น ทำให้ผมรู้ว่าน้ำเป็นคนคิดมาก เครียดง่าย เป็นโรคกระเพาะ

น้ำไม่ชอบทำอาหาร แม้แต่เวลาไปกินหมูกระทะกัน น้ำยังดูไม่ออกเลยว่าชิ้นไหนสุกแล้ว พวกผมต้องคอยคีบหมูให้ไอ้ตัวเล็กที่นั่งเคี้ยวแก่มตุ่ยและมักจะอิ่มเป็นคนแรกเสมอ แต่แปลกที่ชอบทำงานบ้าน เป็นคนที่ค่อนข้างเนี๊ยบนะ เสาร์อาทิตย์ครึ่งเช้านี่อย่าชวนไปไหน เพราะเห็นทำนู่นทำนี่ทั้งวัน

น้ำเป็นคนรักครอบครัว รักแม่มาก จำได้ว่าไอ้ฟิวเคยถามน้ำว่าทำไมต้องตั้งใจเรียนถึงขนาดนี้ น้ำก็ตอบว่าแม่จะได้ดีใจ

เป็นคนว่าง่าย แต่ต้องพูดต้องกล่อมด้วยเหตุผล ถ้าใช้อารมณ์หรือเสียงดังใส่มากๆจะไม่ยอม

เป็นคนใจเย็น ยิ้มเก่ง ใจดี ขี้สงสาร และที่น่าเป็นห่วงคือดูคนไม่เป็น

มองโลกในแง่ดีจนเกินไป บางทีเห็นโดนเพื่อนใช้ให้ทำการบ้านจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ผมต้องโวยคนพวกนั้นไปหลายครั้ง

เรื่องโต้รุ่งสำหรับผมเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่พอเห็นเด็กอนามัยที่นอนสี่ทุ่มตลอดต้องฟุบลงกับโต๊ะทำการบ้านก็พลอยทำให้เป็นเดือนเป็นร้อนแทนเจ้าตัวเสียอย่างนั้น

บางครั้งก็รู้สึกว่าทำไมน้ำนิสัยเหมือนเด็ก แต่พอเข้ามาอยู่คลุกคลีด้วย ถึงได้รู้ว่าครอบครัวเค้าเลี้ยงมาแบบนั้น

ดูง่ายๆก็จากที่พี่ธารไม่ยอมปล่อยให้น้ำขี่มอไซต์ ทั้งๆที่น้องตัวเองอยู่มัธยมแล้ว บางครั้งเห็นตามใจ ดูแลน้องเหมือนน้องยังเล็ก จะพูดไงดี แบบชวนให้ดูการ์ตูน หนังพวกแนวสยองขวัญ แนวฆาตกรรมไม่เคยให้ดู สังเกตได้จากครั้งหนึ่งที่นั่งดูหนังเรื่อง House of wax ที่บ้านผม น้ำดูไปปิดตาไป บางทีก็พยายามปิดหูนั่งตัวสั่น น้ำตาคลอจนพวกผมต้องเลิกดู

เค้าคงเลี้ยงเหมือนไข่ในหินจริงๆ

ปกติตามตัวเด็กผู้ชายนี่จะมีแผลเป็นบ้าง แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวของน้ำเนียนไปหมด ไม่มีแม้แต่รอยข่วน และผิวขาวๆนี่คงจะบางมาก เวลาชนอะไรนิดอะไรหน่อยถึงได้ขึ้นรอยช้ำชัดเจน

รู้ทั้งรู้ว่าเพราะแบบนี้น้ำถึงไม่โตซักที แต่เอาเข้าจริงๆพอได้มาอยู่ด้วย ผมก็อดเป็นห่วง อดที่จะดูแลคนตัวเล็กนี่ไม่ได้

หรือที่จริงแล้วความรู้สึกนี้พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

ผมเลิกกับพราว คนที่คิดว่ารักมาก คนที่คิดว่าเราจริงจัง คนที่เราให้ความสำคัญ

ผมเจ็บ ผมเสียใจที่สุดท้ายคนที่เราคิดว่าใช่ กลับหักหลังเรา

บางทีอาจจะจริงอย่างที่ไอ้จอมบอก...

“เสือกเจ้าชู้ดีนัก เป็นไง เจอกับตัวเองแล้วสนุกมั้ยละมึง”

ก็มันช่วยไม่ได้อ่ะนะ แค่คุยกับคนที่เข้ามาหาบ้าง จะให้ปฏิเสธแบบไร้เยื่อไยมันก็ยังไงอยู่

แต่ที่ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรอาจเป็นเพราะคนข้างๆ...

“จอม อย่าว่าเพื่อน” ตอนได้ยินไอ้เรารึก็นึกว่าจะให้กำลังใจกัน ที่ไหนได้

“ไม่เป็นไรนะคี แต่ว่าก็สมควรโดนแล้วล่ะ” เจ้าตัวตบไหล่พลางทำหน้าว่าเห็นใจเราเต็มทน

ผมถึงได้หมั่นเขี้ยวล็อกเอวแล้วจี้จนไอ้ตัวเล็กดิ้นลงไปกองกับพื้น หัวเราะน้ำตาไหล หอบแฮกแล้วทำตาโตค้อน

ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ทว่า...

“น้องน้ำ เก็บบอลให้หน่อยครับ” พี่ภูบอกน้ำพร้อมกับวิ่งไปข้างสนาม

แล้วนั่นกล้าดียังไงถึงได้จับแก้มน้ำ กล้าดียังไงถึงได้มองน้ำด้วยสายตาแบบนั้น

“เฮ้ย ไอ้พี่ภู อย่าอู้ กลับเข้าสนามมาได้แล้ว” เห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า

ผมทนไม่ได้ที่เห็นน้ำต้องเจ็บ ทั้งเสียใจ แค้นใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตัวเล็กต้องร้องไห้  ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดขาวซีดจนผมนึกกลัว คราบเลือดและรอยแผลยังติดตา ช้ำไปทั้งตัวจนไม่กล้าจะจับแรงๆ คืนนั้นผมแทบไม่ได้นอน

“น้ำเจ็บ” น้ำสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียพลางเพ้ออยู่อย่างนั้น

“นอนซะนะ” ผมได้แต่ลูบหัวจนเจ้าตัวหลับไป

ผมหงุดหงิด รำคาญไอ้พี่ภูที่ทำท่าเข้ามาจีบน้ำ เห็นกันอยู่ว่าผมไม่ชอบ แต่ทำไมถึงได้ชอบเข้ามายุ่งกับคนของผมอยู่ได้

จนกระทั่งวันที่ไปเลี้ยงฉลองหลังงานกีฬาสี ไอ้พี่ภูประกาศขอจีบน้ำซะอย่างนั้น เหี้ยเอ้ย ผมโคตรโมโห

ไอ้ตัวเล็กนี่ก็ยังไง ทำไมไม่ปฏิเสธ นั่งอ้ำๆอึ้งๆ น่าแดงอยู่ได้

แล้วนั่นจะไปไหนกัน โธ่เว้ย ผมคงจะลุกไปห้ามน้ำทันทีถ้าไอ้ฟิวไม่รั้งไว้ก่อน

“มึงอย่าเข้าไปยุ่ง ให้เค้าคุยกันเอง”

ผมนั่งรอได้พักใหญ่ น้ำก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้คุยอะไรกันนักหนา

ผมรอไม่ไหวถึงต้องไปตาม และภาพที่เห็นคือไอ้พี่ภูจับแก้มน้ำอีกแล้ว

เผลอเป็นไม่ได้

ยังไงซะวันนี้ผมกับไอ้พี่ภูต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่อง

“คี มึงฟังกูนะ เรื่องนี้น้ำมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง มึงดูอยู่ห่างๆได้แต่ห้ามเข้าไปขวาง” ไอ้ฟิวตบไหล่ผมก่อนจะผละไป
และนั่น ทำให้ผมฉุกคิด นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่

“แล้วถ้ามีซักวันที่มึงดูแลไม่ได้ ถ้ามึงต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง มึงจะทำยังไงต่อไป” คำพูดนี้ฟาดลงกลางใจผมอย่างจัง ใช่ ถ้าหากผมดูแลน้ำไม่ได้ ถ้าหากเราโตขึ้น แล้วแต่ละคนต้องมีทางเดินเป็นของตัวเอง และถ้าหากน้ำเลือกไอ้พี่ภูขึ้นมาจริงๆ ผมควรจะทำยังไงต่อไป

บางทีผมอาจต้องลองดูซักครั้ง ลองเชื่อใจไอ้พี่ภูดูบ้าง ว่ามันจะไม่ทำให้น้ำต้องเสียใจ

แค่ลองแบ่งที่ว่างระหว่างเราบ้าง เรายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ผมก็มีทางของผม และน้ำก็มีทางของตัวเอง

สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือยืนอยู่ข้างๆเท่านั้น

แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่พอเห็นน้ำจูบกับไอ้พี่ภู ผม...ทนไม่ได้

ไม่รู้ว่าโมโหอะไร ยิ่งเห็นน้ำทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ยิ่งหงุดหงิด

และนั่น ทำให้เราต้องทะเลาะกัน

ผมหนีออกมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง

ที่ทำไปเพราะอะไร ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น

มองมือตัวเองที่พึ่งทำร้ายคนสำคัญ

หัวใจ เจ็บแปลบเมื่อนึงถึงน้ำตาคลอหน่วยก่อนจะผละออกมา

ผม...รักน้ำ

แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อสัญญาของเรา...เป็นได้แค่พี่น้อง

ในเมื่อผม...ตกลงกับไอ้พี่ภูไว้แล้ว จะให้กลืนคำพูดตัวเองก็คงจะสายไป

ที่สำคัญ...น้ำไม่ได้รักผม

แค่คิด...เรี่ยวแรงที่เคยมีเหมือนจะหายไปหมด

“ฮะๆ” ทำยังไงได้ ผมหัวเราะตัวเองด้วยความสมเพช ยังไงก็ต้องตัดใจ

ผมฝากให้จอมช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนน้ำ เพราะผมต้องการเวลา

ถ้าเห็นน้ำตอนนี้ ผมคงทำใจไม่ได้

เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมกลับไปอยู่บ้านตัวเองด้วยความรู้สึกล้า

ทั้งๆที่ที่นี่เป็นบ้านของผม แต่ทำไมกลับเหงาเหลือเกิน

มองไปที่เตียงก็เห็นภาพน้ำนอนขดตัวเพราะปวดท้อง นั่น...เป็นครั้งแรกที่น้ำมาที่นี่

ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้

“ทุกคนหายไปไหนกันหมดเนี่ย บ็อบบี บ็อบบี...” (เสียงจาก Cartoon network)

ป่านนี้น้ำคงกำลังนั่งดูการ์ตูนอยู่สินะ

อยู่กับจอม คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หากคนที่ผมจะไว้ใจว่าไม่มีวันหักหลังกันเด็ดขาด คงมีอยู่คนเดียว ผมรู้ จอมดูแลน้ำได้ดีพอๆกับที่ผมทำ เผลอๆอาจดีกว่าด้วยซ้ำ

ผมอยู่บ้านทั้งวัน หวังให้ภาพของน้ำหายไปจากหัว แต่คงไม่มีทาง

“คี ดอกไม้สีขาวสวยดีเนอะ ไว้เราซื้อมาปลูกที่บ้านเยอะๆดีกว่า”

“คี น้ำฝันร้าย”

“คี น้ำอยากกินขนมปุยฝ้าย”

“คี...”

ผมตัดสินใจออกจากบ้านไปนั่งกินเหล้าที่ร้านประจำ

พึ่งเคยมานั่งดื่มคนเดียว

หึ แต่คงไม่ได้นั่งคนเดียวนานหรอกมั้ง ในเมื่อ...ถ้าตรงเคาเตอร์บาร์มองมาด้วยสายตาแบบนั้น

แล้วเราก็จบลงที่เตียง

เธอร้อนแรง เธอเอาใจเก่ง แต่น่าแปลก ในหัวผมมีแต่ใบหน้าของคนที่อยู่ที่บ้าน

“อยู่กับเกดแต่คิดถึงใครกันคะ” เกดกระซิบและบดเบียดริมฝีปาก

ผมตกลงคบกับเธอในฐานะแฟน

เธอเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน เกดบอกว่าเธอเหงาและผมเองก็ไม่มีใคร...

เราจึงคบกันด้วยข้อตกลงว่าถ้าหากอีกฝ่ายเจอตัวจริงค่อยตกลงกันอีกที

เราแค่สนุกด้วยกันเท่านั้น

ผมตัดสินใจกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

แต่แค่เห็นหน้าน้ำตรงแยกไฟแดงที่นั่งรถมากับพี่ภู ผมก็ต้องเมินหน้าหนี

คิดว่าพร้อมแล้ว ทว่าในความเป็นจริงผมทนไม่ได้

“พี่คี นั่นเพื่อนพี่ไม่ใช่เหรอที่ตะโกนเรียกหน่ะ”

“อืม”

เธอคงดูออกว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ ผมส่งเกดที่หน้าประตูโรงเรียนก่อนขี่มอไซต์กลับบ้าน

ผมรักน้ำ รักเหลือเกิน

คิดถึงเสียงที่คอยเรียกหา

คิดถึงรอยยิ้ม

คิดถึงใบหน้าก่อนหลับตาในทุกค่ำคืน

คิดถึงกลิ่นหอมอ่อนๆในยามที่ได้กอด

คิดถึงบ้านของเรา

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

จอม แปลก ปกติไม่เคยโทรมา

“มีไรวะ”

“คี มึงคิดจะกลับมาเมื่อไหร่” นั่นสิ เมื่อไหร่ที่ผมจะพร้อม

“กูยังไม่แน่ใจ”

“มึงรออะไรอยู่” แค่...รอให้ทนเห็นน้ำเดินไปกับไอ้พี่ภูได้ แค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ แต่ผมไม่กล้าพูดออกไป

“....”

“ถ้ามึงไม่กลับมาวันนี้ มึงก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านนี้อีก” ผมเริ่มฉุกคิด เกิดอะไรขึ้น

“จอม มึงหมายความว่าไง”

“ที่ถามนี่คิดรึยัง มึงก็รู้ว่าเวลาน้ำคิดมากมันเป็นยังไง” น้ำ...ผม...ลืมไปได้ยังไง...ว่าน้ำชอบคิดมาก...ผมลืมไปได้ยังไงว่าน้ำจะต้องกังวลที่เราต้องทะเลาะกัน ผมมัวแต่นึกถึงตัวเอง

“น้ำเป็นอะไร” ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้าง รู้ตัวอีกทีก็สตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์แล้ว

“น้ำตกบันได”

ถ้าน้ำเป็นอะไรไป ผมจะไม่ให้อภัยตัวเองอีกเลย

...............

มาก่อนสิบวันซะแล้ว คิดถึงคนอ่าน :กอด1: คิดถึงน้องคี น้องน้ำ
หนังสือเหรอ อืมมม ยังอ่านไม่ถึงครึ่งเลยอ่ะ :เฮ้อ:

@ คุณ yeyong ค่า เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่ใจเย็นๆก่อนเนอะ วันนี้ลองมาอ่านมุมของพ่อพระเอกของเราบ้าง โดนเข้าใจผิดมานานแสนนาน  :laugh:

@ คุณ iforgive เดี๋ยวตอนพิเศษของลูกเจ้าพ่อเอาไว้วันหลังดีกว่าน้าาา

@ คุณ suck_love ความจริงฟิวก็ยังงกอยู่น้า เค้าแค่เก็บๆไว้บ้าง
ตอนนี้ก็ยังไม่ดีกันหรอกน้า แต่ว่าตอนหน้าน่าจะดีกันแล้วจ้า อย่าพึ่งหัวใจวาย ใจเย็น เย้นน
ปล. โอ๊ะ แอบเชียร์ฟิวจอมเหรอ อืมมมม ต้องรอติดตาม แต่ว่าน้าอย่าพึ่งตัดพี่ภูออกจากสาระบบเรย เดี๋ยวตอนพิเศษจะได้เจอพี่เค้าแน่ๆ ตอนหน้าก็ได้เจอจ้า
ปล. 1 น่ารักแบบนี้มาจุ๊บทีซิ  :จุ๊บๆ:

@ ข้าว ผู้หญิงคนนี้คิดว่าไม่เกาะนะคะ
น้ำเจ็บมากไหมเหรอ อืม ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่นอนหลับยังไม่ตื่นเอ๊งง
บ้านชายฟิวเค้ามีอิทธิพลมืดค่ะ ต้องเจ๋งอยู่แว้ว
สรุป อ่านตอนนี้แล้วหายเคืองคีรึยังคะ ถ้ายังไม่หาย ตอนหน้าอาจหายก็ได้น้า

@ คุณ kasarus คีรักน้ำคนเดียวจริงๆน้า ไว้เดี๋ยวตอนหน้าเค้าคงจะแสดงให้เห็นแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ก็แสดงไปเยอะแล้วน้า

@ คุณ takara ใช่ม้าาาา น่ารักทั้งคู่เลย คุณ takara ก็น่ารักน้าาา

@ คุณ suck_love ความจริงเค้าดีใจมากเลยที่เห็นว่าตัวมารอ(แต่แอบเสียใจเบาๆ ไม่มีอารมณ์แต่ง มรสุมชีวิตพาให้น้ำตานองหน้าไปสามวัน ตื่นมาตาเฉียงยังกะมนุษย์ต่างดาว :laugh:
วันนี้เค้ามาต่อเรียกน้ำย่อยแล้วน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้กันนะคะ
ส่วนเรื่องทำข้อสอบ สอบวันพุธหน่ะค่ะ แต่ยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่งเลย จะทันมั้นเนี่ย o6


คุณคนอ่านขา เรื่องนี้อีกซักสองตอนก็จะจบแล้วนะคะ แต่ว่าอาจมีตอนพิเศษเยอะอยู่นา
ขอบคุณทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้กันค่าาาา :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว How can this feeling begin?) 19/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 19-05-2012 21:52:24
เพราะ รักษาคำสัญญาบ้าบอนั้นเอง

ทำให้เรื่องบานปลาย จนถึงขั้นนี้

เล่าเรื่องอดีตเเค่นี้ยังไม่หายเคือง ไว้คืนดีกันก่อน

เรื่องอ่านหนังสือ ก็ค่อยๆอ่านไปนะ อย่าหักโหม เดี๋ยวจะงงว่าอ่านไรไปบ้างเเล้ว

เหลือเวลอีกสามวัน สอบ ไงก็สู้ๆเเล้วกันนะอิ๋งข้าวเป็นกำลังใจให้ฮะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว How can this feeling begin?) 19/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-05-2012 11:08:50
อ่านบทคีย์ก็หายโกรธที่ทำกับน้ำนิดนึง เน้นนะค่ะ  นิดนึง 5555     

สู้นะคีย์เค้าเชียร์เธออยู่   :a2:


กอดให้กำลังใจคุณอิ๋ง   :กอด1: เรื่องสอบสู้ๆนะค่ะ   ไฟท์ติ้งงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว How can this feeling begin?) 19/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 21-05-2012 11:31:48
ยังเคืองนายคีอยู่ มัวแต่คิดมากเรื่องตัวเอง แต่ไม่ยอมคิดเรื่องน้ำมั่งเลย
ถ้าน้ำตกไปเป็นของคนอื่นนะ จะหัวเราะเยาะสามวันสามคืนไม่หยุดพักเลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่ใช่ความลับแต่ยังบอกไม่ได้) 24/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 24-05-2012 22:32:04
ไม่ใช่ความลับแต่ยังบอกไม่ได้

ผั๊วะ

เปิดประตูเข้าไปในบ้านปุ๊บ ผมก็ล้มไปชนกับตู้เก็บรองเท้าปั๊บ ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ไอ้ฟิวก็กระชากคอเสื้อผมด้วยท่าทางเดือดจัด

รู้สึกมึนๆ เบลอๆในหัว

“ฟิว มึงใจเย็นก่อน” พอได้ยินเสียงจอม ผมหลับตาลงและสะบัดหัว

ลืมตาขึ้นมาถึงเห็นฟิวทำหน้าขัดใจ ก่อนจะปล่อยคอเสื้อผมและเดินลงส้นไปเตะหมอนอิงที่วางไว้บนพรมหน้าทีวี

ผมรีบลุกขึ้นจากพื้นเพื่อจะไปหาน้ำบนห้องนอน

“หยู๊ดดดด อย่าพึ่งไป มึงไปนั่งตรงโซฟาก่อนเลย” จอมรีบเดินมาดันตัวผมให้นั่งลงตรงโซฟา

“แค่โดนเอาเลือดหัวออกยังไม่พอรึไงวะ ถ้ามึงขึ้นไปตอนนี้เดี๋ยวได้กระทืบกันตายคาบ้าน”

“หมอครับ ช่วยทำแผลให้ไอ้บ้านี่อีกคนเถอะ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

หัวคงกระแทกกับเหลี่ยมตู้เก็บรองเท้า

หมัดหนักเป็นบ้า ผมใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มข้างที่พึ่งโดนชก หมดหล่อไปอีกหลายวันเลยกู

แต่ช่างเหอะ ป่านนี้คนบนห้องนอนเป็นยังไงบ้าง

ไม่รู้ไปทำยังไงให้ตกบันได

เคยบอกแล้วว่าอย่าวิ่งลงบันได

ไอ้ตัวเล็กนี่ยิ่งความรู้สึกช้ากว่าชาวบ้านซะด้วยสิ

เฮ้ออ

ปล่อยให้คลายสายตาไม่ได้เลย

พอทำแผลเสร็จ ผมไหว้หมอแล้วรีบเดินไปห้องนอน

มองตรงเข้าไปในห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ก็เห็นคนที่คิดถึงมาหลายวันนอนอยู่บนเตียง ข้างหมอนยังมีตุ๊กตาน้องผสมนอนหงายท้องอยู่ ไอ้ฟิวยืนมองผมที่เดินเข้ามาเงียบๆ

ไม่ได้เจอกันแค่สามวัน ทำไมถึงได้ดูซูบลงขนาดนี้ ตรงข้อพับแขนมีสำลีแปะสก๊อตเทปปิดอยู่

หมอคงพึ่งฉีดยาให้ไป ผมเอื้อมมือปัดผมตรงหน้าผากและเก็บปอยผมทัดข้างหูให้คนที่นอนหลับตาอยู่

หืม ตัวร้อน

ไม่สบายอีกแล้ว

คราวนี้โดนฉีดยา ถ้ายังมีสติอยู่คงไม่ยอม เห็นกลัวเข็มมากขนาดนั้น

“มึงไปไหนมาวะ”

ผมชะงักมือที่กำลังไล้ผิวแก้มคนป่วย

“มีปัญหาอะไรกันหนักหนา พี่ที่ร้านบอกว่ามึงไปนั่งกินเหล้าได้ทุกวัน”

“....” นั่นสิ คนที่มีปัญหาคงมีแต่ตัวผม พลอยให้น้ำต้องคิดมากไปอีกคน

ก็เพราะว่าแคร์กันแบบนี้ไง ถึงตัดใจไม่ได้

เพราะแค่ปล่อยให้คลาดสายตา ก็ป่วยซะแล้ว

“หึ กูพอจะรู้แล้วล่ะว่ามีปัญหาอะไรกัน”

“ชอบก็จีบสิวะ กลัวอะไร อยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้ว ทำเป็นน้อยใจหนีออกจากบ้าน ตัวโตเท่าควาย น่ารักตายล่ะ”
ผมหันไปจ้องหน้าไอ้ฟิวทันที

มัน...ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอว่าผมคิดไม่ซื่อกับน้ำ

“หายกันนะมึง” ไอ้ฟิวพูดพลางยิ้ม ยิ้มที่บอกว่ามันรู้ทัน

ได้ทีเอาใหญ่เชียวนะมึง โดนชกฟรีเลยกู

“หมัดหนักใช้ได้เลย” ผมยิ้มมุมปากจ้องมันกลับให้รู้ว่าฝากไว้ก่อน

อย่าให้รู้ว่าไปแอบชอบใครเข้านะมึง

“กูต้องกลับแล้ว มึงมีปัญหาอะไรกับน้ำก็เคลียร์ให้มันจบ” ไอ้ฟิวหยิบกุญแจรถบนโต๊ะข้างหัวเตียงก่อนเดินผ่านผมออกไป

เห็นทีเรื่องนี้ตอนจบกูต้องเจ็บว่ะ

ผมล้มตัวลงนอนข้างๆคนตัวเล็ก

อะไรที่ทำให้รักได้ขนาดนี้นะ

ตาโตๆคู่นี้

จมูก จะว่าโด่งก็ไม่โด่ง ดูเชิดรั้นหน่อยๆ

แก้ม ก็ไม่ค่อยนุ่มนะ

หรือจะเป็นผิวเนียนลื่นมือที่สัมผัสอยู่ทุกวัน...

รู้สึกตัวแล้วล่ะสิ แต่รู้ตัวรึป่าวว่าทำอะไรอยู่

มือเล็กที่ไล้ใบหน้าของผมก่อนค่อยๆเอื้อมไปลูบผ้าพันแผล

อยากรู้ คิดเหมือนกันรึเปล่า

ถ้าผมจูบ จะรักกันบ้างรึเปล่า

ไม่อยากมอง

ตากลมคู่นี้รู้สึกยังไง ถ้าในแววตาไม่ได้ฉายภาพผม...

แรงขยับยุกยิกก็รู้ว่าต่อต้าน

แต่ทำยังไงได้

แค่อยากลบออกไปให้หมด

ลบรอยจูบที่ไม่ใช่ของผม

อยากครอบครองทุกๆอย่าง

มองตากลมที่จ้องอยู่ เสียงหอบหายใจน้อยๆและแก้มที่ขึ้นสีเป็นริ้ว

น่าเอ็นดูจนต้องกดจูบอีกหลายครั้ง

ท่าทางที่หลับตาซุกตัวเข้ามาแล้วกำเสื้อเราไว้

นี่ผม...ทิ้งคนในอ้อมกอดนี่ไปตั้งหลายวันได้ยังไง

“ขอโทษนะ”

ไม่รู้ว่าจะขอโทษเรื่องอะไร เพราะรู้แก่ใจ ผมผิดหลายเรื่อง

ผมจะอยู่ข้างๆ ต่อให้ถูกมองว่าเป็นมือที่สามก็จะไม่ไปไหน เว้นเสียแต่จะถูกไล่ให้ไปไกลๆซะก่อน

น้ำคงจะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้

ดีเหมือนกัน แต่อีกใจอยากให้จำได้

อยากจะรู้ ถ้าคิดเหมือนกันก็คงจะดี

ถ้าไม่เหมือน ก็แค่ถูกเกลียด

แบบไหนดีกว่ากันล่ะ

นับจากวันนั้น เราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

พี่ภูรับส่งน้ำไปโรงเรียน

ผมรับส่งเกดไปโรงเรียน

คบกันอยู่นาน จนผมเห็นเกดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากน้องสาว

“ฮั่นแน่ พรุ่งนี้วันเกิดใครเอ่ย” เกดทักผมทันทีที่เจอหน้า

“แล้วไง” ผมถามกลับด้วยความรู้สึกเฉยๆ

“ทำเป็นนิ่งๆ รู้นะ วางแผนสวีทกับพี่น้ำอ่ะดิ” เกดกอดอกพลางหรี่ตา ทำท่าเหมือนจับผิดผมอยู่

“เค้ามีแฟน เค้าก็ไปสวีทกับแฟนเค้าสิ พี่มันคนนอก”

“โถ น่าสงสาร อยู่กับคนที่ชอบทั้งวันแต่ดันไม่มีสิทธิ์แตะ”

“นี่แหละน้า เห็นอยู่ด้วยกันตั้งนานจนนึกว่าเป็นแฟนกัน ที่ไหนได้ มัวแต่รีรอ พี่ภูสุดหล่อเค้าได้ไปควงแล้วมานั่งน้ำตาตกใน โฮะๆ” ผมมองยัยแม่มดที่เดินหัวเราะจากไปด้วยความรู้สึกหมั่นไส้

ระวังนะครับ ผู้หญิงเดี๋ยวนี้น่ากลัว

ผมขี่มอไซต์กลับบ้านตามเคย วันนี้น้าภากลับมาบ้าน ผมเองก็กลับไปนอนบ้านตัวเองบ้างดีกว่า

นานๆทีได้กลับมานอนห้องตัวเอง เงียบแปลกๆ

ป่านนี้ไอ้ตัวเล็กคงกำลังคุยไม่หยุด

แรกๆก็ไม่รู้หรอกครับว่าน้ำพูดมาก

ตอนม.ต้นอยู่ห้องเดียวกัน อยู่ด้วยกันทั้งวัน น้ำก็พูดปกติ แต่พอขึ้นม.ปลาย เวลากลับบ้าน น้ำคุยให้ฟังไม่หยุด

ไปเล่นกับหมาบ้านลุงภารโรงบ้างล่ะ

เจอใคร ที่ไหน ไปทำอะไรมาบ้าง

เล่าชนิดไม่พลาดรายละเอียด

อ้อ แต่ต้องเป็นคนที่เจ้าตัวสนิทใจเท่านั้นนะ

ถ้าไม่ค่อยสนิท จะแค่ยิ้มๆ นิ่งฟัง

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

ผมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าใครโทรมา

นอนไม่หลับอีกแล้วล่ะสิ

พอไปถึงบ้านก็เห็นไอ้ตัวเล็ก นั่งไกวชิงช้าอยู่ตรงสนามหน้าบ้าน

รอยยิ้มที่มีให้กัน เก็บไว้ให้ผมคนเดียวได้รึเปล่า

ในคืนนั้น ผมกอดน้ำจนเจ้าตัวหลับไป

ผมมองไปที่ “น้องผสมตัวใหม่” ด้วยความรู้สึกหน่วงในใจ

รู้สึกเหมือน...พื้นที่ระหว่างเราเหลือน้อยลงทุกที

ความจริงที่ว่าซักวันน้ำต้องมีทางเป็นของตัวเองใกล้เข้ามาจนน่าใจหาย

ผมได้แต่ภาวนา...หากวันไหนไม่มีผม ขอให้คนตรงหน้าดูแลตัวเองให้ดี

ผมสัญญา วันเกิดทุกปี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจะมาเจอกัน

“พี่คีไปส่งบ้านหน่อยดิ” เกดตะโกนบอกผมที่กำลังเตะบอลอยู่

“โอเค รอสิบนาที”

ผมไปเอากระเป๋าที่อยู่ข้างสนามแล้วเดินไปโรงรถ

เซ็งๆไม่มีไรทำอยู่เหมือนกัน ชวนฟิวเตะบอลก็บอกรีบกลับ พอชวนจอม ไอ้ฟิวก็โทรมาบอกว่าน้ำอยู่รอพี่ภูคนเดียวบนห้อง
ผมคงอยากเห็นฉากจูงมือกลับบ้านของคนที่ตัวเองรักกับคนอื่นอยู่หรอก

ตุบ

“อ๊ะ ขอโทษครับ” มัวแต่เหม่อเลยเดินชนน้ำซะอย่างนั้น

“อ้าวน้ำ ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”

“อ๋อ ยังหรอก พี่ภูเลิกช้าหน่ะ” อืม ผมรู้แล้วล่ะ ยิ่งรู้ว่าทั้งคู่ไปด้วยกันได้ดีแบบนี้ก็ยิ่งหงุดหงิด

เห็นน้ำมองผ่านตัวผมไป คงอยากรู้ว่าเกดเป็นใคร

เอาเถอะ ผมไม่คิดจะขวางทางรักใคร บอกให้สบายใจได้เลยว่าผมเองก็มีแฟนแล้ว ถึงจะเป็นแค่ในนามอ่ะนะ

“จริงสิน้ำ นี่น้องเกดแฟนคี”

“เกด นี่น้ำเพื่อนพี่”

“ดีใจจังที่วันนี้ได้เจอพี่น้ำ พี่คีเล่าเรื่องพี่น้ำให้เกดฟังบ่อยๆ” นั่นยัยแม่มดจะทำอะไร ไม่เห็นต้องยิ้มให้กันหยาดเยิ้มขนานนั้นเลย
 
“งั้นคีไปส่งน้องก่อนนะ” ผมรีบลากเกดกลับบ้านเมื่อเห็นว่ายัยตัวร้ายจะหลอกจับมือน้ำ

“อะไร แค่นี้ทำหวง”

“เออ หวงโว้ย ห้ามแตะ”

“ถามจริง พวกพี่ไม่ใช่แฟนกันจริงๆเหรอ” ผมชะงักมองเกดทันทีที่ได้ยินคำถาม

“ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าน้ำรอพี่ภู”

“มันก็ใช่อ่ะนะ แต่ว่า...”

“เออ จะยังไงก็ช่างเหอะ กลับบ้านๆ” ผมพูดตัดบทก่อนจะได้ยินคำวิเคราะห์จากเกดที่ทำท่าทางนิ่งคิด

“พี่ หนูว่าพวกพี่ต้องใจตรงกันแน่ๆ” คำพูดของเกดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

ผมทอดสายตาจากระเบียงห้องนอนไปยังประตูรั้วหน้าบ้านที่รถของพี่ภูขับเข้ามาจอด

มองอยู่นาน ทำไมน้ำไม่ลงจากรถ

เฮ้ย แล้วนั่นอะไรวะ

จะยืนกอดกันหน้าบ้านอีกนานมั้ย เห็นแล้วรมณ์เสีย

ใจตรงกันตรงไหน หึ เค้ารักกันปานนั้น

ยิ่งเห็นน้ำเดินเข้าห้องมาด้วยสภาพระโหยโรยแรง ผมยิ่งโมโห

ที่วันนี้กลับมาช้าเพราะมัวแต่ไปทำอะไรกันมาล่ะสิ

โว้ยยยย

ผมเฝ้าถนอมมาตั้งนาน

แล้วไอ้พี่ภูเป็นใครวะ

ในเมื่อเป็นคนดีแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมาก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าตอนนั้นผมหน้ามืด

ผมไม่ขอแก้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจปล้ำน้ำ เพราะผมตั้งใจและเจตนา

และผมก็พึ่งได้รู้ว่า ผมเป็นคนแรกของน้ำ

อย่าถามเลยว่าทำไม

ช่วยตัวเองยังไม่รู้จักแล้วจะให้ไปมีอะไรกับใครได้ไง

คิดว่าผมเลวล่ะสิที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ

ผมไม่ใช่พระเอกละครนะครับ

บอกตรงๆว่าเอ็กซ์สุดๆ

ตาที่หรี่ปรือคลอไปด้วยน้ำตา เสียงหอบหายใจและตัวแดงๆกับน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามกลั้นไม่ให้ออกมาหน่ะ เซ็กซี่เป็นบ้า

ถ้าไม่เห็นว่าน้ำเจ็บนะ ผมไม่ยอมปล่อยออกมาจากห้องน้ำง่ายๆแน่

ความรู้สึกตอนนั้นมันเต็มตื้นไปหมด

ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง น้ำจะรักผมหรือไม่รัก

ผมจะไม่ยอมปล่อยไปอีก

ต่อให้ต้องกลืนคำพูดตัวเอง ผมก็จะไปขอน้ำคืนจากพี่ภู

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

ผมรีบกดรับโทรศัพท์เพราะกลัวคนในอ้อมแขนที่หลับไปแล้วจะสะดุ้งตื่น

“พี่คี มารับเกดกลับบ้านหน่อยดิ” เสียงเพลงที่ดังมาตามสายพอจะทำให้ผมรู้ว่าเกดคงไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ขากลับ เพื่อนคงกลับกับแฟนกันหมด

ผมนิ่งมองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ไม่อยากห่างเลย

“พี่ มารับได้ป่าวเนี่ย” ถึงจะซ่ายังไงน้องก็ยังเป็นผู้หญิง ปล่อยไว้แถวนั้นนานๆคงไม่ดี

“โอเค เกดรออยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวพี่ไป”

ผมกดจูบหน้าผากน้ำด้วยความรู้สึกแสนรัก

หืม ตัวรุมๆเหมือนจะเป็นไข้

คงต้องกวนจอมอีกแล้วล่ะสิ

“พี่คีคนนี้แฟนเกด” พอผมไปถึงร้านเหล้าก็ต้องมึนไปตามระเบียบเมื่อน้องเกดแนะนำชาวต่างชาติคนหนึ่งให้ผมรู้จักและบอกว่าเป็นแฟน

“เดี๋ยว แล้วเรียกพี่มาทำไมวะ ไหนบอกไม่มีใครพากลับบ้าน”

“เอาน่าพี่คี วันนี้พาแฟนมาให้รู้จัก ข้อตกลงระหว่างเราเป็นโมฆะ แล้วก็นะ ถ้าเกดไม่บอกว่าไม่มีใครมารับพี่จะออกมาหาเกดเหรอ โฮะๆ” นั่นไง ผมบอกคุณแล้วว่านี่หน่ะเป็นนังแม่มดชัดๆ

“เออๆ งั้นพี่กลับล่ะ” ผมเดินเกาหัวออกจากร้านด้วยความรู้สึกเซ็งๆ

แต่ก่อนเดินออกไปผมก็เหลือบไปเห็นพี่ภูนั่งกินเหล้าอยู่ตรงมุมร้าน

“ไงพี่ ทำไมวันนี้มานั่งคนเดียว”

“อกหักว่ะ” ไอ้พี่ภูยกแก้วดื่มแล้วตอบผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

มือผมเริ่มชื้นเหงื่อ หรือไอ้พี่ภูจะรู้ว่าผมได้น้ำแล้ว

“เอ่อ พี่ ผมมีเรื่องคุยด้วย” ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้าม

“แล้วมึงออกมาแบบนี้น้องน้ำอยู่กับใคร” พี่ภูถามพลางยื่นแก้วเหล้าให้ผม

“อยู่กับจอม”

ผมถูฝ่ามือด้วยความประหม่า

“พี่ ผมมาขอน้ำคืน”

“หึ มาขอทำไมวะ ใจน้ำอยู่กับมึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”  ไอ้พี่ภูหัวเราะขึ้นจมูกเหมือนเยาะตัวเอง

“พี่หมายความว่าไง”

“มึงจะให้กูหมายความว่าไง ก็วันนี้น้องน้ำมาร้องห่มร้องไห้ บอกให้กูเลิกไปรับไปส่ง เพราะน้องรักมึง”

ผมนั่งกุมขมับอยู่ซักพัก

ก่อนจะรู้สึกว่าแก้มกระตุก

“ฮ่าๆๆๆๆ”

ที่ผมกังวลมาตั้งนาน เพื่ออะไรวะ

“หัวเราะอะไร นี่อย่าบอกนะว่ามึงพึ่งรู้” พี่ภูมองผมด้วยสีหน้าเอือมๆ

“โทษทีพี่ ผมพึ่งรู้จริงๆ ดีใจเป็นบ้า”

“คี กูพูดจริงๆนะ มึงดูแลน้องน้ำให้ดี ถ้ากูต้องเห็นน้องน้ำต้องร้องไห้อีก มึงเจ็บแน่”

“ขอบคุณมากพี่ ผมไปก่อนนะ” ผมพยักหน้ารับก่อนตบไหล่พี่ภูและเดินออกจากร้าน

รู้สึกมีความสุขจนเหมือนจะลอยได้ ผม...หุบยิ้มไม่ได้เลย

http://www.youtube.com/watch?v=XlSOAglo_n0 เพลงประกอบตรงกับชื่อตอนเลยค่ะ

แต่พอผมกลับบ้าน

กลับไม่มีใครอยู่ในบ้าน รถจอมก็หายไปด้วย

ดึกๆดื่นๆพากันไปไหนวะ

หรือน้ำจะไม่สบายหนัก

ผมรีบโทรหาจอม

“จอม น้ำอยู่ไหน”

“อยู่บ้านกู” เสียงเครียดแปลกๆ หรือผมจะโทรไปปลุกมันอีก

“ไปอยู่บ้านมึงได้ไงวะ”

“กูน่าจะเป็นฝ่ายถามมึงมากกว่านะ ว่ามึงทำได้ยังไง” ผมตบหน้าผากตัวเองด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ถามแบบนี้คงรู้แล้วแน่ๆ

“จอม...กู...” ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง มันสับสนไปหมด

“จอมมึงก็รู้ว่ากูไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้” ผมไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลายขนาดนี้เลย

“มึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกูไม่รู้ แต่มึงไม่มีสิทธิ์ทำกับน้ำแบบนี้” จอมโมโหผมอยู่แน่ๆ

“....” ผมควรจะเริ่มจากตรงไหน

“คี กูขอเหอะ น้ำเป็นเพื่อนเรา ถ้ามึงไม่ได้คิดจริงจัง กูก็ขอให้มึงปล่อยน้ำไปซะ”

“...” ผมจะปล่อยน้ำไปได้ยังไง ในเมื่อ...รักมากขนาดนี้

“...”

“กู...จะไปรับน้ำกลับ” ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอธิบายให้จอมฟัง แต่คนที่ผมเป็นห่วงตอนนี้ก็คือน้ำ ป่านนี้ไม่รู้เข้าใจผิดไปถึงไหน ถึงได้หนีไปกับจอมแบบนี้

ถ้าจะต้องนั่งคุยหรืออธิบายกับใครซักคน

ผมขอคุยกับน้ำคนแรก

ป่านนี้คงร้องไห้อยู่แน่ๆ

พอผมจะไปรับน้ำกลับ ไอ้จอมก็ไม่ยอมให้เจอ

แล้วการ์ดบ้านไอ้ฟิวอีก

นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วสิ

ผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกหน่วงในใจ

แค่คิดว่าน้ำกำลังเสียใจ ผมก็ตื้อในอกเหมือนหายใจไม่ออก

เห็นคราบน้ำตาที่อยู่บนหมอนก็ได้แต่ถอดถอนใจ

นี่คงคิดมากจนปวดท้องอ้วกอีกล่ะสิ

กลิ่นที่โชยมาจากห้องน้ำ ทำให้ผมรู้ถึงต้นตอที่เป็นพวกกระดาษทิชชู่ในถังขยะ

ยังไงคืนนี้คงไม่ได้เจอ

ผมตื่นมาอีกทีประมาณเที่ยงวัน

หลังจากจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันอย่างง่ายๆและมัดถุงขยะไปทิ้งแล้วผมก็ขี่มอไซต์ออกจากบ้าน

คาดว่าวันนี้คงไม่ได้เจอน้ำ แต่อย่างน้อยก็คงต้องคุยกับจอมให้รู้เรื่อง

ผมยืนอยู่หน้าบ้านจอมพลางพยายามโทรหาน้ำ

รอบแรกโดนตัดสายทิ้ง ส่วนรอบสองปิดเครื่องไปเลย

โกรธมากแน่ๆ

ผมโทรบอกจอมให้ออกมาคุยกันหน้าบ้าน เหี้ยจอมยังไม่ยอม ยียวนให้ผมอารมณ์เสียอีก

“กูจะพาน้ำกลับ”

“กูคงให้กลับไปกับมึงไม่ได้ว่ะ” เคยมีใครบอกคุณมั้ยว่าไอ้จอมเป็นคนที่ทำหน้ากวนได้อ้อนตีนสุดๆ

“น้ำเป็นของกู”

“แล้วไง มึงได้ไปแต่ตัว ใจน้ำอยู่ที่มึงรึป่าวก็ยังไม่รู้” กูรู้แล้ว ใจน้ำอยู่ที่กูนี่แหละ

“จอม มึงอย่ากวนโมโห เปิดประตูให้กู”

“กูไม่ได้กวน มึงก็ไม่ได้คิดอะไรกับน้ำอยู่แล้ว ปล่อยน้ำไปซะ”

ตอนนั้นผมเริ่มหงุดหงิดปนรำคาญจริงๆนะครับ

เหมือนอะไรมันไม่ได้ดั่งใจไปซะทุกอย่าง

ตั้งใจจะมาคุยดีๆ ก็ไม่มีใครฟัง

“กูรักน้ำ” แล้วทำไมผมต้องมาบอกรักน้ำให้ไอ้จอมฟังวะ

“มึงมาบอกกูทำไม ไปบอกน้ำเองดิ” ไอ้ห่า มึงยิ้มได้กวนส้นมาก นี่ตกลงที่ทำมาทั้งหมดนี่กะแกล้งกูใช่มั้ย

“เฮ้ยจอม ไมมึงไม่ให้กูเข้าไปหาน้ำซักทีวะ” ผมตะโกนบอกด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นไอ้จอมเดินเข้าบ้านไป

“ถ้าน้ำอยากเจอมึงก็คงออกมาหาเองนั่นแหละ”

น้ำไม่ยอมฟังกูแบบนี้คงอยากออกมาหากูอยู่หรอก

วู้ว เซ็งโว้ยย

ผมกลับบ้านมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง (ถึงได้เล่าให้ฟังเป็นวรรคเป็นเวรอยู่นี่ไง)

ผมจะง้อน้ำยังไง

ทำยังไงให้ได้เจอ

ผมตัดสินใจส่งข้อความสั้นๆไปหาน้ำ

ในเมื่อโทรไปไม่ยอมรับสาย ก็คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น

“คิดถึง” ผมหมายความตามนี้จริงๆ

ประมาณหกโมงเย็นของอีกวัน ผมตั้งใจว่ายังไงก็จะพาน้ำกลับบ้านให้ได้

แวะซื้อขนมปุยฝ้าย ก่อนมุ่งหน้าไปบ้านจอม

พอผมขี่มอไซต์ไปถึงก็เห็นน้ำนอนหลับอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน

ไอ้จอมนี่ก็ยังไง รอให้ยุงมาหามน้ำกลับรังก่อนใช่มั้ย

อยู่ห่างกันแค่เอื้อมแต่เข้าไปหาไม่ได้

ผมปีนรั้วเข้าไปในบ้าน

ตอนจังหวะที่กระโดดลงคงเสียงดัง ปลุกให้น้ำลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย

ผมรีบเดินไปคว้าข้อมือน้ำไว้ก่อนเจ้าตัวจะเดินหนี

“น้ำ คุยกันก่อนได้รึเปล่า”

“คี ปล่อย น้ำไม่มีอะไรจะคุย” น้ำพยายามบิดมือออก

กลัวข้อมือของคนตัวเล็กช้ำ ผมเลยรวบตัวมากอดไว้

“งอนเหรอ” ผมถามคนในอ้อมกอดที่นิ่งไป

“ไม่ได้งอน” น้ำตอบด้วยน้ำเสียงห้วนๆ นี่ขนาดไม่ได้งอนนะ

“แล้วหนีหน้ากันทำไม”

“น้ำ เปล่า”

ผมค่อยๆคลายกอดก่อนจะชูถุงขนมขึ้นมาตรงหน้า

“คิดว่าให้ขนมแล้วจะหายโกรธเหรอ”

“อ๋อ ตกลงว่าไม่ได้งอน แต่โกรธ”

“คี” น้ำมองผมพลางยู่หน้าด้วยความขัดใจ

“ครับ”

“....”

“เงียบไปแบบนี้ไม่อยากกินขนมแน่เลย ถ้ายังงั้นคงต้องเอาไปทิ้งซะแล้วสิ”

“ใครบอกว่าจะไม่กิน” น้ำวิ่งมาคว้าแขนผมที่แกล้งทำท่าเดินหันหลังไปทางประตูรั้ว

ผมดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง

“คิดถึงกันบ้างรึเปล่า” ผมถามคนในอ้อมแขนพลางกดจูบตรงกลุ่มผม

“...” น้ำนิ่งจนผมเดาใจเจ้าตัวไม่ออก

“กลับบ้านของเรากันเถอะนะ”

“อื้ม” น้ำกอดผมตอบพลางพยักหน้า

ผมคิดไว้อยู่นะ ถ้าวันนี้น้ำยังไม่ยอมกลับไปด้วยกันดีๆ ผมคงจะต้องฉุด

......................................

 :laugh: วันนี้สอบเสร็จแล้วค่า ดีใจจริง จริ๊ง  :oni1:

ตอนหน้าเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ดีใจ นิยายเรื่องแรกในชีวิตที่แต่งจบ

@ ข้าว อ่านตอนนี้แล้วหายเคืองรึยังเอ่ย คืนดีกันแล้วน้าาา ใจอ่อนง่ายตามสไตล์น้องน้ำเค้าล่ะ
ขอบคุณมากๆสำหรับกำลังใจในการอ่านหนังสือนะ อ่านจนเป็นไข้เลย ไม่รู้ว่าข้อสอบที่ทำไปมันจะถูกรึปล่าว ต่อไปนี้ก็ต้องรอเกรดอย่างเดียวแว้วว  :กอด1:

@ คุณ mild-dy มาต่อแล้วนะคะ เข้ามาอ่านเร้ววว

@ คุณ suck_love คราวนี้หายโกรธรึยังคะ ความจริงน้องคีรักน้องน้ำมากๆอยู่น้า แต่ว่าในมุมมองและเหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรื่องราวเลยออกมาเป็นแบบนี้อ่ะเนอะ
ขอบคุณสำหรับกอดให้กำลังใจกันน้า มีแรงฮึดสู้มากๆเลยพอเห็นคอมเม้นต์ของทั้งคุณ suck_love แล้วก็ข้าว  :man1:

@ คุณ kasarus อืม อิ๋งว่าตัวละครเรื่องนี้แต่ละคนเป็นพวกคิดในมุมมองของตัวเองเยอะอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็จริงที่นายคีเค้าคิดถึงแต่ตัวเองเน๊อะ น้องน้ำเลยต้องเสียใจบ่อยๆ ( :m26:เกรงว่าจะไม่ได้หัวเราะสามวันสามคืนแล้วล่ะค่ะ)

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ไม่ใช่ความลับแต่ยังบอกไม่ได้) 24/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 24-05-2012 23:15:48
วู้น้ำ ยอมง่ายสุดๆคงเพราะมีใจด้วยละมั่ง ตอนนี้ก้ดีกันเเล้วตอนหน้าขอหวานๆเลยน้า

ว่าเเต่เรื่องนี้จะจบโดยที่พี่ภูไม่มีใครมาดามใจเลยหรอ

น่าสงสาร

++++
อ่านหนังสือจนเป็นไข้เลยหรอ ตั้งใจจริงจัง(ต่างกับเรา)
เอาใจช่วยให้คะเเนนออกมาดีๆนะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 27-05-2012 22:22:02
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)

ผมทำถูกแล้วใช่รึเปล่า

ทั้งๆที่บอกกับตัวเองว่าให้จำ เพราะคำว่ารักที่อยู่ในใจนั้นทำให้เจ็บแสนเจ็บ

ทั้งๆที่รู้ว่าคีมีน้องเกดเป็นตัวจริงอยู่แล้ว

ทั้งๆที่คีอาจไม่ได้คิดเกินเลยกับผม

หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาทันที

สองวันที่ผ่านมาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาอีก

บอกกับตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง

บอกกับตัวเองให้ตัดใจ

แต่สุดท้าย...

แค่เห็นคีเดินเข้ามาหา อ้อมกอดที่คุ้นเคยและเสียงกระซิบที่บอกว่าคิดถึงกัน

ใจที่เคยเตือนให้เข้มแข็ง

กลับอ่อนยวบพังทลายไปเสียอย่างนั้น

พยายามบอกกับตัวเองว่าที่เรายอมกลับบ้าน ก็เพราะเป็นบ้านของเรา ถึงวันนี้ไม่กลับ แต่ซักวันก็ต้องกลับ

หรือที่จริงแล้ว...

ผมคิดถึงคนตรงหน้าแทบขาดใจ

“กินข้าวมารึยัง” คีทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมที่กอดเข่าดูทีวีอยู่ตรงโซฟา

“กินมาแล้ว” ผมตอบแต่ไม่ละสายตาจากหน้าจอทีวี

“ไม่เจอกันแค่สองวัน ทำไมตัวบางลงกว่าเดิม” คีถามผมแล้วโน้มหัวผมให้ซบลงกับไหล่

“...” ไม่กล้าตอบออกไปว่าเพราะในหัวมีแต่เรื่องของเราวนเวียนอยู่ตลอด

เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป

แค่คิด ในอกมันก็ตื้อไปหมด ไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

“คิดอะไรอยู่ รู้รึเปล่าว่าคีเป็นห่วง” คีพูดพลางไล้แก้มผมเหมือนที่ชอบทำ

“ก็...คิดว่าพรุ่งนี้มีการบ้านอะไรรึเปล่า อืม น้ำไปทำการบ้านก่อนนะ” มือที่ไล้แก้มอยู่หยุดชะงัก

“พึ่งฟื้นไข้ไม่ใช่เหรอ พักอีกหน่อยดีกว่ามั้ย”

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ผมหันไปยิ้มให้คีก่อนจะเดินไปห้องนอน

ผมปิดประตูห้องและทรุดตัวอยู่ตรงนั้น

รู้รึเปล่ายิ่งพูดว่าเป็นห่วง ในอกมันทรมานจนทนแทบไม่ไหว

ถ้าไม่ได้รักกัน...อย่าทำแบบนี้เลย

ผมหยิบสมุดการบ้านออกมาจากกระเป๋านักเรียนแล้วเปิดหนังสือเพื่ออ่านทบทวนก่อนทำ

      “ความรักเหมือนโรคา   บันดาลตาให้มืดมน
    ไม่ยินและไม่ยล         อุปสรรคใดใด
      ความรักเหมือนโคถึก   กำลังคึกผิขังไว้
   ก็โลดออกจากคอกไป      บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
      ถึงหากจะผูกไว้      ก็ดึงไปด้วยกำลัง
   ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง         บ หวนคิดถึงเจ็บกาย...”
(จากบทละครพูดคำฉันท์ เรื่องมัทนะพาธา มาจากตอนที่เป็นคำเตือนของฤษีกาละทรรศินที่มีต่อพระเอกคือท้าวชัยเสน และนางเอกคือมัทนา)

นั่นสินะ ที่จริงแล้วความรักคืออะไรกันแน่

“ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอน” คนพูดโอบไหล่ผมไว้หลวมๆพลางเอี้ยวตัวมาหอมแก้ม

ผมตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

ทำไมจู่ๆถึงได้...

“เอ่อ น้ำไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” ผมรีบลนลานปิดสมุดการบ้านแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ

อยากรู้...

ถ้าหากเราเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมต้องทำแบบนี้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้ำ ลืมผ้าเช็ดตัวรึเปล่า” เสียงเคาะประตูปลุกผมให้หลุดจากภวังค์

“อ๋อ อื้ม ขอบคุณ” ผมเปิดประตูห้องน้ำแล้วยื่นมือไปรับพลางบอกขอบคุณ

แย่จริงๆ มัวแต่คิดเรื่องแบบนี้จนลืมแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัว

ผมเดินออกจากห้องน้ำแล้วมองไปรอบๆห้อง

หืม ยืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงเหรอ

เวลาแบบนี้ คงคุยกับแฟนก่อนนอน

ผมจัดตารางเรียนของวันต่อไป ไม่ลืมสวดมนต์ก่อนล้มตัวลงนอน

“อืมๆ เดี๋ยวไป” เสียงเปิดประตูกระจกตรงระเบียงและฝีเท้าที่เดินเข้ามาในห้องนอน

ความรู้สึกเหมือนมีคนเข้ามาใกล้ๆ สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากมาพร้อมกับภาพเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนทำให้ผมลืมตา

“นึกว่าหลับไปแล้ว” คนพูดยิ้มน้อยๆพลางลูบหัวผม

“เดี๋ยวคีออกไปข้างนอกนะ” คีก้มจูบหน้าผากก่อนทำท่าจะผละออกไป

“อย่า...” ผมจับมือคนตรงหน้าทันที

ไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเหมือนกัน นี่เรากำลังทำอะไร

“หืม มีอะไรเหรอ” คีทรุดตัวนั่งลงตรงขอบเตียงพลางถามผมที่ปล่อยมือเหมือนจับโดนของร้อน

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมปฏิเสธแล้วซุกหน้าลงกับตัวน้องผสม

“อืม ตัวก็ไม่ร้อน...”

“คี...ไม่ไปได้มั้ย”  ผมลุกขึ้นนั่งแล้วรั้งแขนคีไว้

“นะ...”

ผมยืนเข่าแตะปากตัวเองกับคนตรงหน้าพลางหลับตา

แขนแกร่งโอบเอวผมแล้วจูบตอบ สัมผัสที่แตะเพียงแผ่วเบาก่อนผละออก

ผมซุกตัวกับอกของคีด้วยความรู้สึกสับสน

“รู้รึเปล่า ว่าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” คีดันตัวผมออกแล้วเชยคางให้สบตา

สายตาที่มองมา น้ำเสียงแหบพร่าและส่วนที่ดุนดันอยู่บ่งบอกถึงความต้องการ

ณ เวลานี้ อะไรที่รั้งคีไว้ได้ ผมไม่ลังเลที่จะทำ

“อยู่กับน้ำเถอะนะ” ผมพูดอย่างเว้าวอนแล้วสวมกอดคนตรงหน้า

สัมผัสที่ไล่เรื่อยมาตั้งแต่หน้าผาก ตา แก้ม จมูก

สายตาที่แสดงถึงความปรารถนา และมือที่เชยคางลูบเบาๆตรงริมฝีปาก

คีดันตัวผมให้นอนลงแล้วประกบปากดูดกลืน ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัด และมือแกร่งที่เริ่มซุกซนขยุกขยิกอยู่กับกระดุมเสื้อ

“แฮ่ก แฮ่ก”

ริมฝีปากร้อนถอนออกก่อนก้มรุกรานตรงซอกคอทำให้ผมสะบัดตัวไปมาเพราะความบ้าจี้

“อื้อ คี จั๊กจี้ คิกๆ”

คนตรงหน้าผละออกมาลูบแก้มผมเบาๆแล้วแหวกเสื้อนอนของผมออกก่อนประกบปากกับหน้าอกและใช้ลิ้นเลียไปรอบๆ

“อะ...” ผมรู้สึกแปลกๆจนต้องปิดริมฝีปากกลั้นเสียงไว้

คีใช้ปากกับหน้าอกทั้งสองข้างก่อนจะค่อยๆลากปลายลิ้นผ่านหน้าท้อง

คนตรงหน้ากดจูบตรงใต้สะดือแล้วกัดเบาๆบริเวณหน้าท้อง

“อ่ะ...ตรงนั้น” ผมตัวกระตุกและรู้สึกได้ว่าน้ำน้อยกำลังดุนดันกางเกงในอยู่

“รู้สึกดีรึเปล่า”

เสียงทุ้มแหบพร่าที่เอ่ยถามทำให้ผมอายจนต้องซุกหน้าลงกับที่นอน

กางเกงนอนขายาวและกางเกงในถูกดึงออกพร้อมกัน

ผมหนีบขานอนตะแคงกอดเข่าตัวเองไว้

อากาศเย็นที่กระทบผิวย้ำให้รู้ว่าทั้งตัวเปลือยเปล่า

ผมเห็นเสื้อยืดสีน้ำเงินของคีปลิวตกไปข้างเตียง ตามมาด้วยกางเกงบอลที่เจ้าตัวชอบใส่อยู่บ้านประจำ

ผมหลับตาเพราะในใจประหม่าและตื่นเต้น ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นชัดเจนจนกลัวมันจะหลุดออกมา

ทำยังไงดี หน้าร้อนจนจะระเบิดแล้ว

คีกดจูบตรงต้นคอก่อนผมจะรู้สึกได้ถึงนิ้วมือที่กดนวดบริเวณช่องทางด้านหลัง

“อืออ”

สัมผัสอุ่นร้อนของนิ้วมือตรงปากทางหายไปและกลับมาใหม่พร้อมกับความรู้สึกลื่นๆเย็นๆ

รู้สึกได้ว่าอีกคนเขยิบเข้ามาใกล้

แผ่นอกแนบชิดกับแผ่นหลัง

ริมฝีปากกดจูบบริเวณต้นคอ

“อ๊ะ เจ็บ” ความเจ็บแล่นริ้วเมื่อนิ้วค่อยๆสอดเข้ามา

คีหยุดนิ้วแช่ค้างไว้แค่นั้น

ลมหายใจร้อนกระทบกับหู สัมผัสเปียกชื้นที่เม้มดึงเบาๆตรงใบหูและยอดอกที่ถูกสะกิด ทำให้ขนลุกทั่วตัว

นิ้วมือสอดเข้ามาลึกขึ้นและแช่ค้างไว้ก่อนค่อยๆขยับเข้าออก

“อ๊ะ ห๊ะ อึ๊”

อีกนิ้วค่อยๆตามเข้ามากระดิกอยู่ข้างใน

“อะ อะ อื๊อ” 

นิ้วทั้งสองยังไม่หยุดขยับก่อนนิ้วที่สามจะตามเข้ามา

 “อ๊ะ คี น้ำ...น้ำ...” สามนิ้วที่ขยับเข้าออกย้ำตรงจุดเดิมทำให้ผมทานแรงอารมณ์ไม่ไหว และผมที่กำลังจะไปถึงฝั่งฝันต้องชะงักเพราะความรู้สึกโล่งตรงช่องทาง ก่อนสัมผัสอุ่นร้อนของส่วนแข็งขืนขนาดใหญ่จะชำแรกเข้ามา

“อึ่ก จะ เจ็บ” คีนิ่งแล้วกัดฟันกรอด

มือแกร่งจับน้ำน้อยและรูดรั้งจากช้าไปเร็วพร้อมๆกับท่อนเนื้อที่ดันเข้ามาเรื่อยๆ

“คี...น้ำ อ่ะ รู้สึก แปลกๆ” คีคลึงพวงแฝดและสะกิดส่วนปลาย

“อื๊ออ” ผมกัดหมอนเพื่อระบายความเสียวซ่านที่ถูกปลดปล่อยออกมา

“แฮ่ก แฮ่ก” ผมหอบหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนพลางปรือตามองคนตรงหน้าที่โน้มตัวจูบหน้าผากแล้วพลิกตัวผมให้นอนหงาย

“อ๊ะ คีจะทำอะไร” ผมเสียววาบในช่องท้องเพราะส่วนแข็งขืนที่ยังไม่ได้เอาออกครูดกับผนังข้างใน

“ทำรักครับ”

>_< คนอะไรพูดออกมาได้หน้าตาเฉย

ไม่พูดเปล่า คีจับขาทั้งสองข้างของผมพาดไว้กับไหล่และเริ่มซอยเข้าออก

ความเสียวจากการกระแทกตรงจุดที่อยู่ข้างในทำให้น้ำน้อยชูชันขึ้นมาอีกครั้ง

“อ๊ะ ห๊ะ อ่ะ อะ อย่า” ผมรีบร้องห้ามเมื่อคีกุมตรงนั้นของผมแล้วขยับมือ

“ฮะ อ่ะ ไม่เอา” แรงขยับจากทั้งสองทางที่เร็วขึ้น ส่วนแข็งขืนที่ถูกดันให้ลึกกว่าเดิม ทำให้ผมเปล่งเสียงประหลาดและบิดตัวไปมาเพราะทนไม่ไหว

“อะ อีกนิดเดียว ไปพร้อมกันนะ” เสียงของคีฟังดูทรมาน ทว่าสีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ เหงื่อเกาะพราวตามตัว หน้าท้องแกร่งและซิกแพ็คอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำทำให้ผมอิจฉา ช่วงเอวที่...อึ๋ยยย ไม่กล้ามอง

“มองกันแบบนี้ ก็แย่หน่ะสิ” คนพูดซอยถี่ก่อนจะกระแทกเข้ามาหนักๆสองสามครั้งและปลดปล่อยออกมา

“อ่า น้ำ” น้ำเหนียวๆทะลักเข้ามาข้างในก่อนที่ผมจะตามไปติดๆ

“อะ อะ อ่ะ อ๊า”  ในหัวมันขาวโพลนไปหมด

คีล้มตัวมากอดผมไว้และหอบหายใจอยู่ข้างกัน ส่วนแข็งขืนยังพ่นน้ำไม่หยุด รู้สึกได้ว่ามันเต้นตุบๆอยู่ข้างใน

“แฮ่กๆ” เหนื่อยจัง

“อึ๊ย” ผมสะดุ้งน้อยๆเมื่อคีค่อยๆดึงส่วนนั้นออก

น้ำเหนียวๆไหลย้อยตามออกมา

“รักนะครับ” ผมตัวแข็งเอามือปิดปากด้วยความตกใจ

“รักมาก” คนพูดท้าวแขนคร่อมตัวผมไว้พลางโน้มตัวเอาหน้าผากมาชนกับหน้าผากผมและจ้องเข้ามานัยน์ตา

ผมเม้มปากแน่น รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า

“หึๆ” คีหัวเราะน้อยๆพลางจับปอยผมทัดหูแล้วจูบหน้าผาก

“น้ำ บอกคีหน่อยได้มั้ย รักกันบ้างรึเปล่า” คีค่อยๆแกะมือข้างที่ผมใช้ปิดปากขึ้นมาจูบ

ผมเขินจนต้องหลบตา

“...ก”

“หืม ว่าไง ไม่ได้ยินเลย”

“อ๊ะอาอะอาว แค่เธออยู่ข้างๆ อ๊ะอ่าว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตฉันไม่เหมือนเก่า เธอทำให้ถนน ของฉันสวยงาม...”

เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่ดังขึ้นทำให้ผมฉุกคิดถึงความเป็นจริง

นี่ผม...กำลังทำอะไรอยู่

ผมกำลังแย่งแฟนคนอื่น

ผมมองคีที่หยิบกางเกงบอลขึ้นมาสวมและกดรับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก

“โทษที กูไปไม่ได้ว่ะ มีธุระสำคัญ ไว้วันหลังแล้วกัน”

“เออๆ แค่นี้ก่อนนะเว้ย” คีวางสายและจ้องผมที่ลุกขึ้นนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง

ลำคอตีบตันพร้อมกับน้ำอุ่นๆรื้นขึ้นมา

“...น้ำ น้ำ เป็นอะไรไป” คนพูดถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนแล้วนั่งคุกเข่าตรงหน้า

“คี ที่เราทำอยู่หน่ะ มันไม่ถูกต้องหรอกนะ” ผมสบตาคนตรงหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“คีมีน้องเกดอยู่แล้ว เราไม่ควรทำแบบนี้เลย” น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลอาบแก้มเป็นสาย

“อา....น้ำ” คีถอนหายใจน้อยๆแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาให้ผมเบาๆ

“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้” ยิ่งทำแบบนี้ ในใจผมยิ่งเจ็บ

“อย่าร้องไห้เลย หยุดร้องเถอะนะคนดี” คีรั้งตัวผมให้แนบกับอกพลางลูบหัวเบาๆ

“น้ำฟังนะ คีกับน้องเกดไม่ได้เป็นแฟนกัน น้องเกดเค้ามีแฟนใหม่แล้ว”

ผมกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาก่อนจะสะอื้นเบาๆอยู่กับอกคนตรงหน้า

“ที่คีบอกน้ำไปแบบนั้น เพราะคีคิดว่าน้ำเป็นแฟนกับพี่ภู คีคิดว่าเราไม่ได้รักกัน...”

เอ๋ หมายความว่า

“บอกให้คีฟังได้รึเปล่าว่าน้ำก็คิดเหมือนกัน” น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นทำให้ผมอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้

“หืม รักกันบ้างรึเปล่าครับ” คนพูดเชยคางผมให้สบตา

เล่นจ้องกันแบบนี้ก็เขินหน่ะสิ ใครจะไปกล้าพูด

“ไม่ยอมบอก...” มือซุกซนเริ่มปัดป่ายไปทั่ว

“อื้ออ ไม่เอานะ จักจี้” ผมหดคอหนีคีที่โน้มตัวมาซุกไซร้ตรงซอกคอ

“จะยอมบอกดีๆมั้ย หรือว่า...” ผมกอดตัวเองแน่นเพราะสายตาที่โลมเลียไปทั่วตัว

คนบ้า

“รัก” ผมก้มหน้าพูดด้วยความอาย

“รักใครนะ” ฮึ่ย ก็บอกไปแล้วไง ผมจ้องคนตรงหน้าพลางทำหน้าบูด

“ไม่ตอบ งั้น...” คียิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะค่อยๆลูบตรงแผ่นหลังของผม ผมรีบจับมือนั้นไว้ทันที

“น้ำรักคี พอใจรึยัง” ผมหลับตาพูดเสียงดัง ก่อนจะก้มหน้าเอามือปิดปากตัวเองกระพริบตามองคนตรงหน้าปริบๆ

“หึๆ พอใจมาก” คีหัวเราะก่อนกดผมลงกับเตียง

“อ๊ะ ไหนบอกว่า...” ผมเริ่มถดตัวหนีเมื่อนึกถึงเรื่องน่าอายที่พึ่งทำไป

“ก็...น้ำอยากทำตัวน่ารักเองทำไมล่ะ”

“ไม่เอานะคี”

“อ่ะ อื้อออ”

จบบบบบ

......................

 :-[ จบไปแล้วววววววววววววววว

มันอาจจะแปลกๆไปบ้างนะคะ  :o8:

@ ข้าว อ่านตอนนี้แล้วตัวอาจรู้สึกว่าน้องน้ำยอมง่ายกว่าเดิม  :laugh:
เอ่อ แบบนี้เรียกว่าหวานได้รึเปล่าอ่ะ
ส่วนเรื่องพี่ภูเหรอ อืม เค้าไม่แน่ใจอ่ะ
คือ เอางี้นะตัว เค้าถามตรงๆเลย ตัวว่านิยายเค้ามันหนุกป่าว
แล้วเอ่อ คืออิ๋งลังเลไง ว่าควรแต่งตอนพิเศษต่อรึป่าว แต่ถ้าข้าวยืนยันว่าอยากอ่าน อิ๋งก็จะแต่งให้น้า
แต่อาจจะมาช้าบ้าง เพราะว่ารับน้องเหนื่อยมว๊ากกกกก พึ่งรู้ว่าพอได้เป็นพี่เหนื่อยกว่าน้องสองเท่า(รึป่าว)
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ตอนสุดท้ายคลอดออกมาจนได้ เย้  :mc4:

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุด ขอบคุณคนอ่านและทุกคอมเม้นต์ที่ทำให้เรื่องนี้ดำเนินมาถึงตอนจบ

special thanks to.....
คุณ Ipatza ถ้าไม่มีตะเอง นิยายเค้าก็ไม่จบหรอกนะ เพราะแรกๆไม่มีใครมาเม้นต์เลย และคอมเม้นต์ของตัวทำให้เค้ากลับมาฮึดสู้อีกครั้งและสัญญากับตัวเองว่า ไหนๆก็ลงนิยายแล้ว ต่อให้มีคนอ่านแค่คนเดียวก็จะแต่งให้จบ ขอบคุณจากใจค่า :กอด1:
ตอนนี้เค้าไม่รู้ว่าตัวเองจะได้มาอ่านข้อความนี้รึเปล่า แต่ว่า ดีใจมากๆเลยที่ได้คอมเม้นต์จากตัวเองนะ

ข้าว ถ้าไม่มีข้าว เรื่องนี้ก็คงไม่จบ เพราะตอนสุดท้ายจะไม่ออกมาเลย ถ้าไม่มีคอมเม้นต์ของข้าว ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันเสมอ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องนิยาย ขอบคุณคำแนะนำดีๆที่มีให้กัน และอาจจะรบกวนถามอะไรอีกซักหน่อย  :o8:
และสุดท้าย ขอบคุณเรื่องมนต์ตรานาคาที่ทำให้เราได้เจอกัน อ่า พูดแล้วซึ้ง :monkeysad: (เวอร์ไป)

คุณ yeyong ดีใจมากๆที่เข้ามาคอมเม้นต์ให้บ่อยๆนะคะ บางครั้งคุณ yeyong ถามตรงพล็อตจนอิ๋งไม่รู้จะอุบไว้ยังไง ปล่อยไก่ไปหมดเล้า เอ่อ อีกเรื่องนะคะ เจ้าหมาน้อยขนสีน้ำเงินนี่คือไลก้าแห่งสายลมจากมอนสเตอร์ฟาร์มภาคน่ารักรึเปล่าคะ(เอ๊ะ มันเกี่ยวกับนิยายยังไง) ขอบคุณมากค่ะ

คุณ kasarus ขอบคุณคอมเมนต์ที่คอยแนะนำให้ปรับปรุงตอนเมา 2 ขอบคุณที่เป็นคนอ่านที่น่ารักเสมอต้นเสมอปลาย (อิ๋งเรียกร้องปุ๊บ มาปั๊บ) ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันค่ะ

คุณ iforgive มาสั้นๆ แต่อิ๋งจุกเบาๆทุกที ขอบคุณที่คอยเชียร์พี่ภูอย่างเหนียวแน่น และขอโทษที่อาจทำให้รู้สึกแย่ ที่นายคีได้เป็นพระเอกทั้งที่คีมันแย่ คีมันแพ้ป.สี่ ขอบคุณค่า

คุณ takara ขอบคุณที่ติดตามเป็นขาประจำ มาสั้นๆแต่น่ารักมากๆค่ะ  o13

คุณ suck_love จำได้ว่าตัวเองเป็นสมาชิกที่มาทีหลังแต่น่ากอดมาก ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันในทุกเรื่อง ทั้งยังเจตนารมณ์ที่แสดงว่าอยากอ่าน เป็นเหมือนกระทิงแดงให้อิ๋งต้องปั่นนิยายสุดกำลัง ที่สำคัญเป็นแฟนคลับพ่อพระเอกที่ออกจะอึน ซึน มึน แต่สุดท้ายก็รักนะ ถึงนิยายจะจบแล้วเค้าก็จะคิดถึงตัวเองนะ

ถ้านิยายจบแล้วคงคิดถึงคนอ่านแย่เลย อิ๋งคงวนเวียนคอยอ่านนิยายของคนอื่นๆต่อไปค่ะ

 :กอด1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 27-05-2012 23:29:42
 :L2: :L2:
ในที่สุดก็ลงเอยกันจนได้
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-05-2012 23:33:55
จบแล้วจริงอ่ะ  ว่างๆมาแต่งตอนพิเศษนะ 
ขอบคุณที่แต่งให้อ่าน  และที่สำคัญแต่งจนจบ  สำคัญมากๆเลย
ถึงแม้จะหมั่นไส้คีเพียงใดแต่ก็รู้อยู่ว่ามันเป็นพระเอก
พี่ภูมามะ  มาหาพี่มา จะปลอบใจให้
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 28-05-2012 01:02:58
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ เลยได้อ่านรวดเดียวจนจบเลย

ชอบที่เล่าเรื่องจากหลายมุมมอง โดยที่เนื้อเรื่องไม่โดดเลย ลำดับเหตุการณ์ได้ชัดเจนมาก
ตามด้วยการปูนิสัยตัวละครมาละเอียดมากๆ เราคิดว่าเรื่องมันสมจริงสมจังมาก
เวลาอ่านเลยอิน หมั่นไส้คีเป็นกำลัง =___=#
เชอะถ้าน้ำไม่ถูกนายเลี้ยงมาคิดเหรอว่านายจะได้สมหวัง

คือ รักจริงแต่งี่เง่าได้ใจมาก และสุดท้ายก็เกลียดไอ้หมอนี่ไม่ลง
จะทำตัวกาละมังถังแตกยังไง นายก็ได้ใจเพราะรักน้ำมากเนี่ยล่ะ

แต่ขอติดโทษแบน ลบร้อยแต้มที่ลงมือก่อนจะเข้าใจนะคะ

รออ่านเรื่องถัดไปของคนแต่งจ้า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: ryokijung ที่ 28-05-2012 03:23:25
 :o8: :o8:อ๋าาาาาา
อ่านรวดเดียวจบนี่ชอบจริงๆ
สนุกดีค่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-05-2012 16:06:32
เปิดเทอมไม่ค่อยได้เข้ามา  พอเข้ามาอีกที  อ้าววว จบแล้วซะงั้น  :a5:

แต่ก็ดีแล้วค่ะ  ที่สุดท้ายก็แฮปปี้   :impress2:  เราอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่า คีย์เป็นลักษณะคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆ  ไม่ใช่พระเอก ไม่ใช่ตัวร้าย  แต่เป็นแค่คนๆที่รักคนหนึ่งเท่านั้น  อาจจะทำอะไรขัดใจไปบ้าง แต่ที่ทำก็เพราะรักน้ำเราเข้าใจ (ป่าวลำเอียงนะเออ  :laugh: )

ในที่สุดก็จบไปอีกเรื่องแล้วสำหรับนิยายดีๆ สนุก ๆ  ไว้มาเขียนเรื่องใหม่นะค่ะ  หรือตอนพิเศษก็ได้  เราจะติดตามแน่นอน  o13


ปล ขอบคุณ  ขอบคุณ และขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรที่จะรู้สึกอยากจะบอกเท่าคำนี้อีกแล้ว   :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 28-05-2012 16:52:51
 :-[ปลื้มจัง ได้ special thank ด้วย

จบซะแล้วเหรอ หวังว่าจะมีผลงานใหม่ออกมาให้อ่านกันอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ (จบ)) 27/05/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 28-05-2012 21:29:49
แม้จะอึดอัดขัดใจกับทั้งน้ำและคี แต่สุดท้ายก็รู้ใจตัวเองได้ เฮ้อ!
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-06-2012 00:26:57
ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์

ฮื้มมมม เช้าวันนี้สดชื่นจริงๆเลยน้า นานๆทีวันหยุดแบบนี้จะได้ตื่นเช้าๆซักครั้งหนึ่ง

เฮ้ สวัสดีเจ้ากระแต แกก็ตื่นเช้าเหมือนกันใช่ป่าว วิ่งดีๆล่ะ อย่าเผลอโดนไฟช็อตเข้าก็แล้วกัน

คิดถึงวันที่ไฟทั้งโรงเรียนดับไปสามชั่วโมงเพราะกระแตที่ชอบวิ่งอยู่ตามสายไฟในโรงเรียนถูกไฟช็อต

เฮ้อ เศร้าใจแทนเจ้าตัวที่ตายไปจริงๆเลย

อ๊ะ ห้ามวอกแวก วันนี้นางสาวแตงกวามีภารกิจที่สำคัญ อุตส่าตื่นมาโรงเรียนแต่เช้าก็เพื่อสิ่งนี้

และเป้าหมายก็อยู่ข้างหน้านี่เอง

ลานน้ำพุหน้าโรงเรียนไงล่ะ

รู้รึเปล่าว่าโรงเรียนมัธยมต้นกล้าของเราหน่ะ มีตำนานที่เล่ากันมานานมากแล้วว่า หากใครที่อยากจะเจอเนื้อคู่ให้หลับตาอธิษฐานและยืนกลับหลังหันโยนเหรียญลงไปที่ลานน้ำพุหน้าโรงเรียนในเวลาที่แสงอาทิตย์ส่องกระทบน้ำจนเกิดรุ้งกินน้ำในตอนเช้าหลังฝนตก และพอลืมตาขึ้นมา คนที่คุณเห็นคนแรก นั่นล่ะ คือเนื้อคู่ของคุณ!

แหม้ แค่คิดจิตใจมันก็กระชุ่มกระชวย

คราวนี้แหละ ความฝันของนางสาวแตงกวาที่วาดฝันมาตั้งแต่อนุบาลสองว่าอยากจะมีแฟนหล่อๆ เท่ๆกับเค้าซักคนจะเป็นจริงซักที

รู้รึเปล่า ว่ากว่าจะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ แตงกวาต้องอ้อนคุณป่ะป๊าตั้งครึ่งปี แถมยังต้องอ่านหนังสือแบบมาราธอนอีก

หึๆ ชีวิตอันจืดชืดในโรงเรียนหญิงล้วนจะได้หมดไปเสียที

แตงกวาจะพิสูจน์ให้เพื่อนๆเห็นเองว่าหนุ่มหล่อไม่ได้มีแต่ในนิยาย แต่มีอยู่จริงที่โรงเรียนข้างบ้านแตงกวานี่ไง

เอาละ ได้เวลาแล้ว

‘คุณแสงอาทิตย์ คุณสายรุ้งเจ้าขา ขอให้เด็กดีอย่างแตงกวาได้เจอเนื้อคู่หล่อรวย แสนดีเหมือนพระเอกนิยายกะเค้าซักคนเถอะเจ้าค่ะ ถ้าหากแตงกวาเจอเนื้อคู่กับเค้าจริงๆ จะมาวิ่งรอบน้ำพุสามสิบรอบเป็นการตอบแทนนะคะ’


จ๋อมม

ฮ้า โยนเหรียญไปแล้ว

ตื่นเต้นจัง ไม่กล้าลืมตาเลย 

สูดหายใจลึก ลึ๊กกกก แล้วก็...

กรี๊ดดดดดดดด

เป็นไปตามตำนานจริงๆด้วย

ผู้ชายที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบตรงอาคารห้องสมุดเป็นใครกัน อ๊ะ เงยหน้าขึ้นมาแล้ว อ๊ายยยยย หล่อใจละลาย ร่างสูงสมส่วนหุ่นนักกีฬาผิวสีแทน ผมสั้นไม่เป็นทรงกับกางเกงยีนขาดๆสีซีด เสื้อยืดสีเทา โหยยย มองมุมไหนก็หล่อ

อ๊ะ เดี๋ยว นั่นจะไปไหนคะ

“นี่...” ทำไงดี เค้าไม่ยอมหันมา แถมวิ่งไปแล้ว โธ่ เนื้อคู่ของแตงกวา ยังไม่ทันได้ทักทายกันเลย หายไปซะแล้ว

ฮึ ไม่เห็นเป็นไร คู่กันแล้วจะแคล้วกันได้ไง

....
....
....

ทว่า

นี่มันก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนะ แตงกวามาดักรอแถวห้องสมุดทั้งตอนเช้า กลางวัน เย็น แล้วทำไมไม่เห็นเจอเนื้อคู่ของแตงกวาเลยล่ะ ฮือออ หรือว่ามันจะเป็นแค่เรื่องที่เล่าต่อๆกันมา

“เฮ้ออออ แตงกวา ผักกาดว่านะ เราเลิกมารอแถวนี้กันเถอะ นี่มันก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ถ้าเนื้อคู่ของแตงกวามีอยู่จริงๆ ผักกาดคิดว่ายังไงแตงกวาก็ต้องได้เจอแน่ๆ”

อืม มันก็จริงอย่างที่ผักกาดว่าแหละน้า

“งั้น เรากลับห้องกันดีกว่า”

พอเราเดินไปถึงหน้าห้อง แตงกวาก็หันไปอำลาลานน้ำพุอีกครั้ง

โอ๊ะ นั่นมัน คุณคนหล่อวันนั้นนี่นา

“แตงกวา จะไปไหน” เสียงผักกาดไล่ตามหลังมาขณะที่แตงกวาใส่เกียร์เสือชีตาร์วิ่งสุดฝีเท้า

“อย่าพึ่งถามอะไรเลยผักกาด แตงกวาเจอคนๆนั้นแล้ว”

ฮือออ จะทันมั้ยเนี่ย

ตุบ

“โอ๊ย”

“ขอโทษครับ”

ง่า เจ็บจัง  แต่เดี๋ยว

คุณคนหล่อล่ะ

อ๊า หายไปแล้ว

“เอ่อ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“อะ อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ สบายมาก” ต้องสปริงตัวลุกอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันว่าแตงกวาหน่ะ โอเคนะ

“แฮ่ก แฮ่ก โอ๊ยย แตงกวา วิ่งเร็วจัง”  โอ๊ะ ลืมไปเลยว่าผักกาดก็ตามมาด้วย

“งั้นแตงกวาไปก่อนนะคะ” แตงกวาบอกลาคนที่เผลอวิ่งชนก่อนจะลากแขนผักกาดไปตามหาร่องรอยของคุณเนื้อคู่กันต่อ

“อ้าว จะไปอีกแล้วเหรอ ขอผักกาดพักเดี๋ยวสิ”

“เร็วเข้าผักกาด”

โธ่ ถัง กะละมัง ชาม คุณคนหล่ออออออ คุณหายไปไหนค้า

เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ข้อมูลเพิ่มหนึ่งอย่าง

นั่นก็คือ คุณคนหล่ออยู่ม.ปลาย และที่สำคัญ เป็นนักเรียนโรงเรียนเราแน่นอน เย้!

“เพื่อนๆครับ วันนี้ผมมีข่าวมาแจ้ง” เอ๋ วันนี้คุณเพิ่มพูนมีเรื่องอะไรกันนะ

“วันนี้ตอนพักเที่ยง ขอความร่วมมือทุกๆคนไปประชุมที่ห้องม.4/5 ด้วยนะครับ เนื่องจากสิ้นเดือนนี้ทางโรงเรียนจะจัดงานกีฬาสีสัมพันธ์ขึ้น และจะมีพี่ๆม.5 มาพูดถึงเรื่องกิจกรรมที่พวกเราต้องเข้าร่วมในงานนี้ ขอให้ทุกๆคนไปประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

ฮึ่ม งั้นเที่ยงนี้แตงกวาก็ไม่ได้ไปดักรอคุณเนื้อคู่หน่ะสิ แย่จังงงง

“แตงกวา จะทำหน้าอมทุกข์ไปไหนเนี่ย แค่ไม่ได้ไปดักรอวันเดียวเอง”

“ผักกาดไม่เข้าใจ นั่นเป็นเนื้อคู่ปาฏิหาริย์ของแตงกวาเชียวนะ”

“เอาน่า งานกีฬาสีที่นี่น่าสนใจออก”

“จ้ะๆ” ยิ่งเดินใกล้ห้อง 4/5 ยิ่งห่อเหี่ยว เฮ้ออออ

โอะโห คนเยอะได้อีก

“นั่นเพิ่มพูนนี่นา เราไปยืนข้างๆเพิ่มพูนดีกว่า”

ผักกาดว่าไงแตงกวาก็ว่างั้นแหละ ไม่มีกะจิตกะใจจะฟัง

เฮ่อ นั่งมองนกดีกว่า

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

ขนาดนกยังมีแฟน นี่คงจู๋จี๋กันอยู่แน่เลย แล้วแตงกวาล่ะ แตงกวาก็อยากมีแฟนเหมือนกันนะ

“น้องๆครับ ช่วยฟังพี่หน่อยนะครับ” แตงกวาฟังอยู่ พี่พูดมาได้เลย

“น้องครับ เงียบๆกันหน่อย” แตงกวาเงียบแล้ว

โครม ปั่ง

“ว๊ายย”

“อ๊ายยย” เฮ้ย ผักกาดกรี๊ดอะไรอ่ะ แตงกวากรี๊ดด้วย

“เออ เงียบได้ซักทีนะพวกมึง”

นี่มัน...คุณคนหล่อนี่นา

โห ท่าหงุดหงิดยังหล่อเลยอ่ะ
 
อาละวาดอีกสิคะ แตงกวาช๊อบบบ

แต่พี่สุดหล่อเหมือนจะหายหงุดหงิดแล้วแฮะ เห็นพี่ผู้ชายตัวเล็กๆขาวๆเข้าไปจับแขนไว้

อร๊ายย พี่สุดหล่อยิ้มให้แตงกวาเหมือนที่ยิ้มให้พี่ตัวเล็กหน่อยสิคะ แตงกวาจะละลาย

“สวัสดีครับ พี่ชื่ออัคคี เรียกพี่คีเฉยๆก็ได้ ปีนี้พี่เป็นประธานของสีเรา อยากจะมาขอความร่วมมือจากน้องๆทุกคนให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยนะครับ” อ่า พี่คีเหรอ เนื้อคู่ของแตงกวา ที่แท้เป็นประธานสีของเรานี่เอง

“สวัสดีครับ พี่ชื่อ....”

มองมุมไหนก็หล่อ ยืนกอดอกพิงกระดานแล้วดูเท่จัง

“นี่ๆ แตงกวา เราจะอยู่ฝ่ายไหนดี”

“หา ฝ่ายอะไรเหรอ”

“นี่ฟังที่พี่เค้าพูดรึเปล่าเนี่ย เค้าให้ไปลงชื่อช่วยงานกีฬาสีฝ่ายต่างๆ”

“อะ อ๋อ เหรอ ผักกาดอยู่ฝ่ายไหน แตงกวาก็อยู่ฝ่ายนั้นนั่นแหละ”

อ๊ะ นั่นพี่แป้ง พี่สาวข้างบ้านแตงกวานี่นา

“ผักกาด เราไปอยู่ฝ่ายพี่คนนั้นกันเถอะ”

“ฝ่ายฉากและอุปกรณ์เหรอ ดีเลย ผักกาดว่าจะชวนแตงกวาอยู่พอดี”

 “พี่แป้ง”

“อ้าว แตงกวาจะมาสมัครอยู่ฝ่ายพี่เหรอ”

“ค่ะ พี่แป้ง นี่ผักกาดเพื่อนแตงกวา ขอสมัครสองคนค่ะ”

“งั้นลงชื่อตรงนี้เลย”

ระหว่างที่ผักกาดกำลังลงชื่ออยู่ แตงกวาก็เหลือบไปเห็นพี่คียืนคุยอยู่กับเพิ่มพูน

เออ จริงสิ พี่แป้งก็ทำงานกีฬาสีด้วยนี่นา น่าจะรู้จักพี่เค้านะ

“พี่แป้งๆ พี่รู้จักพี่คีรึเปล่า”

“อ๋อ รู้จักสิ ทำไมเหรอ”

“คือว่า...” อึ๊ย เขินจัง

“เอ้า มัวแต่อ้ำอิ้งอยู่นั่น”

“พี่แป้งเอียงหูมานี่หน่อยสิ”

“คือว่าพี่คนนั้นหน่ะ เป็นเนื้อคู่ของแตงกวา พี่แป้งช่วยเป็นแม่สื่อให้หน่อยสิ”

“หา ไอ้คีเนี่ยนะ คนที่ผักกาดเจอตอนไปเสี่ยงทายตรงลานน้ำพุ”

“คนนี้แหละค่ะ นะพี่แป้งนะ ช่วยแตงกวาหน่อย”

หลังจากกระซิบกระซาบกันเสร็จพี่แป้งก็ทำหน้าหนักใจ

“เออ เอางี้นะแตงกวา เห็นพี่ผู้ชายตัวเล็กๆขาวๆคนนั้นป่าว พี่น้ำฝ่ายพยาบาลหน่ะ”

“อื้อ เห็นค่ะ”

“พี่คนนั้นรู้จักไอ้คีดีกว่าพี่อีก แบบว่าสนิทสนมกันมาก แตงกวาลองไปคุยกับพี่เค้าดูสิ”

“งั้น แตงกวาไม่อยู่ฝ่ายพี่แป้งแล้ว แตงกวาขอไปสมัครฝ่ายพยาบาลดีกว่า”

“เอ่อ ตามสบ๊าย”

อะโด่ พี่แป้งนะพี่แป้ง น้องนุ่งขอแค่นี้ก็ช่วยกันไม่ได้

“พี่คะ มีใครสมัครเป็นฝ่ายพยาบาลรึยังคะ”

“ยังเลยครับ น้องห้องอะไรครับ”

“น้องแตงกวาห้องสิบค่ะ”

“ชื่อน่ารักจังเลย ลงชื่อตรงนี้เลยครับ”

อ่า พี่น้ำท่าทางใจดีจัง แบบนี้คงต้องช่วยแตงกวาได้แน่ๆเลย

“ไว้ตอนเย็นๆ เรามาเจอกันแถวๆต้นหูกวางเนอะ พี่น้ำจะสอนพยาบาลเบื้องต้น แล้วอีกสองสามวัน ถ้ารายชื่อฝ่ายกีฬาลงตัว เดี๋ยวพี่น้ำจะพาไปเดินดูเค้าซ้อมกีฬากัน เผื่อมีใครเป็นอะไร เราจะได้ฝึกช่วยเค้าด้วยกัน ตกลงมั้ย”

“รับทราบค่ะ” แตงกวาทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารให้พี่น้ำรู้ว่าพร้อมปฏิบัติหน้าที่แน่นอนค่ะ

พี่น้ำยิ้มหวานให้แตงกวาด้วย อืม อยู่ฝ่ายพยาบาลนี่ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

อะฮ้า ในที่สุดหลักสูตรปฐมพยาบาลเบื้องต้นของพี่น้ำก็จบลงจนได้ มีแตงกวาเรียนอยู่คนเดียวเอง ทีแรกนึกว่าฝ่ายเราจะมีกันสองคนซะแล้ว แต่เห็นมีพี่ผู้ชายที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ฝ่ายนี้ด้วย เพราะว่าพี่น้ำเค้าจะต้องคอยดูแลพี่คนนี้อยู่ ชื่อว่าอะไรนะ เดี๋ยวคิดก่อน อ๋อ ชื่อพี่ Andrew แต่เห็นพี่น้ำเรียก Andy พี่น้ำเก่งภาษาอังกฤษด้วยนะ เห็นคุยกับพี่ฝรั่งท่าทางสนุก

นอกจากนี้ แตงกวายังได้เห็นพี่น้ำไปนั่งรอพี่คีที่สนามบาสทุกวันด้วย พี่ๆกลุ่มนี้เค้าดูสนิทกันจัง แถมแต่ละคนหน้าตาดีจนแตงกวาคิดว่าเค้าคบแต่คนหล่อซะอีก ถ้าไม่นับพี่น้ำอ่ะนะ ขาวซะจนแตงกวายังอาย แถมตัวเท่าแตงกวา ยิ้มหวาน ใจดี ไม่เห็นเข้ากับกลุ่มพี่ๆที่ถึงแม้จะหล่อ แต่ก็ดูเถื่อนๆยังไงบอกไม่ถูก แม้กระทั่งพี่ฝรั่ง Andrew ก็ยังให้ความรู้สึกเกรงๆหน่อยๆเลยแฮะ

ส่วนเรื่องที่จะให้พี่น้ำเป็นพ่อสื่อหน่ะเหรอ สบายมาก เราซี้กันแล้วนะ เดี๋ยวเย็นนี้แตงกว่าจะลองขอพี่น้ำดู

“พี่น้ำ คือว่า แตงกวามีเรื่องขอความช่วยเหลือ”

“หืม เรื่องอะไรเหรอครับ”

“คือ...แตงกวา...แบบว่าแอบชอบพี่คีอยู่ พี่น้ำช่วยเป็นพ่อสื่อให้แตงกวาหน่อยสิ”

“เออ จะดีเหรอครับ” รบกวนพี่น้ำมากไปรึเปล่าเนี่ย เห็นพี่น้ำทำหน้าลำบากใจแปลกๆ

“ดีสิคะ พี่น้ำรู้รึเปล่า แตงกวาไปเสี่ยงทายตรงลานน้ำพุแล้วเจอพี่คีเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ตามหาตั้งนานกว่าจะเจอ พี่น้ำช่วยแตงกวาเถอะนะ” ต้องจับมือทำตาปิ๊งๆด้วย พี่น้ำจะต้องเห็นใจแตงกวาแน่นอน

“อ่า ครับๆ”

“งั้นวันนี้พี่น้ำช่วยพาแตงกวาไปรู้จักกับพี่คีหน่อยสิ”

โอ๊ะ พูดไม่ทันไร พี่ๆก็เดินเข้ามาข้างสนามซะแล้ว แต่ทำไมพี่คีต้องมองแตงกวาดุๆด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจ

พี่น้ำเดินไปยื่นขวดน้ำให้คนในทีม แตงกวาไปช่วยด้วยดีกว่า

“นี่น้องแตงกวานะ น้องฝ่ายพยาบาล”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” แตงกวาซะอย่างยิ้มไว้ก่อน คุณแม่บอกว่าแตงกวายิ้มสวยที่สุด

“ยินดีเช่นกันครับ พี่โจนะครับ” หือ พี่คนนี้อัธยาศัยดีจัง เข้ามาทักแตงกวาคนแรกเลย

“ส่วนนี่ก็ พี่ฟิว พี่จอม พี่คี แล้วก็น้องแบงค์ห้องห้า”

ทุกคนเค้ายิ้มให้แตงกวา แต่ทำไมพี่คียังมองแตงกวาดุๆอยู่เลยล่ะ

ถึงดุก็หล่อนะ คมเข้มจัง

“คี”

“หืม”

“ไปมองน้องแบบนั้นได้ยังไง เดี๋ยวน้องเค้าก็กลัวหรอก”

โห พี่น้ำนี่เยี่ยมไปเลย แค่คุยกับพี่คีเดี๋ยวเดียว หน้าดุๆก็เปลี่ยนเป็นยิ้มซะอย่างนั้น

“มือเปื้อน เช็ดเหงื่อให้หน่อยสิ”

พี่ขา แตงกวาเช็ดให้ก็ได้ สมัครใจค่ะ

“ฟิวกับจอมก็มือเปื้อนเหมือนกัน ยังเช็ดเองได้เลย”

“นะครับ”

เอ่อ นี่แตงกวารู้สึกไปเองรึเปล่าเนี่ยว่ามีออร่าสีชมพูวิ้งๆอยู่รอบๆตัวพี่ทั้งสองคน

ฮึ้ยย ทำหน้าตาอ้อนๆก็ยังหล่ออ่ะ

“น้องแตงกวาครับ น้องเล่นเฟซรึเปล่า แลกเฟซกันมั้ย”

เอ๊ะ พี่คนนี้เข้ามาบังระยะสายตาของแตงกวาซะมิดเลย ฮึ่ม

แต่แลกเฟซเหรอ ถ้าเรามีเฟซพี่เค้า เฟซพี่คีก็คงหาได้ไม่ยากใช่ป่าว

“เล่นค่ะพี่...”

“พี่โจครับ”

อ่อ พี่โจ

แต่เอ... คิดไปคิดมา หรือว่าพี่เค้าจะจีบเรานะ ไม่หรอกม้างง พึ่งเจอกัน จะเป็นไปได้ไง

“แตงกวา เดี๋ยวพี่น้ำจะเดินไปซื้อขนม แตงกวาอยากกินอะไรรึเปล่า”

กินขนมเหรอ เอาอะไรดีล่ะ

“พี่น้ำเลี้ยงนะ”

“ได้สิ”

พูดเล่นแต่พี่น้ำเลี้ยงจริงแฮะ

“งั้นพี่น้ำกินอะไรแตงกวาก็กินอันนั้นแหละค่า”

“ครับ เดี๋ยวพี่มานะ”

ใจดีจังเลยน้า

พอแตงกวาแลกเฟซกับพี่โจเสร็จก็กะจะเข้าไปทำความรู้จักกับพี่คีซะหน่อย แต่ไม่รู้หายไปไหน

อ้าว นั่นไง เดินถือขนมมากับพี่น้ำ

โอะโห นี่พี่ๆซื้อขนมกันมาขนาดนี้นี่จะกินกันกี่วันเนี่ย

เห็นพี่คีหิ้วของเต็มสองมือ ส่วนพี่น้ำเดินดูดนมชาเขียวปั่นยิ้มหวานมาแต่ไกล

แล้วนั่น ออร่าชมพูวิ้งๆตอนที่พี่น้ำยื่นนมชาเขียวปั่นให้พี่คีดูดมันคืออะไรกันนนน

เอ๊ะ จะว่าไปก็เห็นพี่เค้าแบ่งขนมให้เพื่อนๆคนอื่นเหมือนกันนี่นา

ฮู้ววว คิดมากไปได้นะแตงกวา

แต่เอ...ไหนๆแตงกวาก็ได้เจอพี่คีหลังจากที่ตามหาอยู่นาน

จะทำยังไงให้พี่เค้าสนใจเราดีนะ

“กินลูกชิ้นมั้ยแตงกวา”

อืม ลองถามพี่น้ำดูดีกว่า

“พี่น้ำ รู้รึเปล่าว่าพี่คีชอบผู้หญิงแบบไหนอ่ะ”

“แค่กๆ”

โอ๊ะ ทิชชู่ไปไหน ทำไมจู่ๆพี่น้ำก็สำลักได้ล่ะเนี่ย

“ว่าไงคะพี่น้ำ”

“เอ่อ พี่น้ำก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่เห็นคีบอกว่าชอบดูมังกรหยกเพราะนางเอกสวยหน่ะ”

ชอบผู้หญิงหมวยๆจีนๆเหรอ แตงกวาก็หมวยนะ

“อ๋อ แล้ว...”

หลังจากสืบข้อมูลของพี่คีได้ครบถ้วน และแตงกวาก็สนิทสนมกับพี่ๆทีมบาสเป็นที่เรียบร้อย

แตงกวาก็ได้รู้ว่านอกจากพี่คีจะหล่อแล้วยังเป็นคนรักเพื่อน เห็นคอยแวะเอาขนมมาฝากพี่น้ำตลอด บางทีก็ไปส่งแตงกวากลับบ้าน ดูใจดีผิดกับครั้งแรกที่ได้รู้จัก

เวลาทำงานพี่คีจริงจังมากเลย

ตอนแตงกวากับพี่น้ำนั่งรอข้างสนาม พี่คีชอบหันมายิ้มให้แตงกวาบ่อยๆ ชอบแตงกวาเข้าแล้วล่ะสิ

ก็แตงกวาออกจะน่ารักนี่นา ฮิๆ

“พี่น้ำๆ พี่ว่าพี่คีเค้าสนใจแตงกวาบ้างรึเปล่า”

“คีก็สนใจน้องๆที่มาช่วยกันทำงานทุกคนนะ”

“โธ่ ไม่ใช่ซักหน่อย สนใจแบบว่าเป็นพิเศษอ่ะ”

“เอ่อ พี่น้ำก็ไม่รู้หรอก”

แต่แตงกวาว่าน้าพี่เค้าน่าจะชอบแตงกวาอยู่บ้างแหละ ไม่งั้นคงไม่มองมาตรงโต๊ะที่แตงกวานั่งแล้วยิ้มให้บ่อยๆหรอก

“งั้น แตงกวาฝากเบอร์มือถือไปให้พี่คีหน่อยสิ”

“เอ่อ แตงกวา คือ...พี่น้ำ...”

“นะ นะ พี่น้ำ ช่วยแตงกวาหน่อยนะ”

ฮ้า เจอลูกอ้อนของแตงกวาเข้าไปพี่น้ำเลยตกลงช่วย

และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พี่ๆพักเหนื่อยกัน แตงกวาเลยสะกิดพี่น้ำให้เดินไปยื่นขวดน้ำเปล่าที่แตงกวาเขียนเบอร์แปะโพสอิทให้พี่คี
เห็นพี่คีขมวดคิ้วมองพี่น้ำสลับกับขวดน้ำเปล่า

อ๊ะ พี่คีเดินมาทางนี้แล้ว

โอ๊ย ตื่นเต้นอ่ะ

“น้องแตงกวาครับ พี่คงรับไว้ได้แค่น้ำขวดนี้ ส่วนโพสอิทพี่คงต้องคืน”

เอ๋ ทำไมล่ะ แตงกวามองพี่น้ำที่พี่คีโอบให้เดินมายืนอยู่ข้างๆก็เห็นพี่น้ำทำหน้าแปลกๆ

“พี่มีแฟนแล้วครับ แล้วพี่ก็เห็นแตงกวาเป็นรุ่นน้องมาตลอด ขอโทษด้วยนะครับ”

อ่ะ ไม่จริง พี่คีจะมีแฟนได้ยังไง ถ้ามีพี่แป้งก็ต้องบอกแตงกวาแล้วสิ

“พี่คีคะ คือ อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะคะ แตงกวาไม่เห็นพี่คีไปอยู่กับแฟนบ้างเลย แฟนพี่ไม่น้อยใจแย่เหรอคะ”

“หึๆ” พี่คีหัวเราะน้อยๆแล้วมองพี่น้ำที่ยืนก้มหน้าบีบมือตัวเองอยู่

“แฟนพี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ”

เอ๋

...
...
...

ไม่จริงงงงงงงงงงง ตำนานต้องไม่ผิดพลาดสิ

ฮืออออ

แตงกวาไม่อยากอยู่บนคานตลอดไปน้า T^T

.................................

5555 ตอนพิเศษนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงนี้เลยค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=fWNaR-rxAic&ob=av3e
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-06-2012 00:59:47
ตอบคอมเม้นต์ค่าาา

@ คุณ jimmyFG  :pig4:ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะคะ อิ๋งก็ดีใจค่ะ ที่ในที่สุดทั้งสองคนก็ลงเอยกันจนได้ ถ้าจะได้แต่งยาวกว่านี้สงสัยต้องรอลุ้นกันจนเหนื่อย

@ คุณ iforgive จบแล้วจริงๆค่ะ วันนี้ตอนพิเศษมาแล้วน้า แต่จะขอเปลี่ยนมุมมองคนเล่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็แล้วกันเนอะ ดีใจมากๆเหมือนกันค่ะที่แต่งจนจบ ไม่อยากยืดเรื่องให้ยาวกว่านี้ เดี๋ยวกลัวคุณ iforgive จะหมั่นไส้นายคีมากไปกว่านี้  :laugh: เอ๊ะ จะปลอบพี่ภูเหรอคะ พี่ภูเค้ามีคนปลอบแล้วน้า

@ คุณ fuku ขอบคุณสำหรับคำชมที่มีให้กัน อิ๋งดีใจมากๆเลย  :try2: มีแต่คนหมั่นไส้คีเนอะ แต่ยังไงแล้วรักแท้ก็แพ้ใกล้ชิดค่ะ ถึงพี่ภูจะรักจริง แต่อย่างที่เห็นน้องน้ำน้องคีอยู่บ้านกันสองคน  :-[ จะเหลือเหรอค้า  :laugh3:
อืม ส่วนเรื่องต่อไปของคนแต่งเหรอคะ คงไม่มีแล้วค่ะ ขอกลับไปเป็นคนอ่านเหมือนเดิมดีกว่า คนแต่งยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ ถ้าจะให้เขียนเรื่องต่อไปคงไม่พ้นแนวนี้อีก ซึ่งปัจจุบัน มีเยอะมว้ากกก

@ คุณ ryokijung สนุกจริงๆเหรอคะ ขอบคุณที่แวะมาเติมกำลังใจให้กันค่ะ  :pig4:

@ คุณ suck_love อิ๋งก็จะเปิดเทอมวันที่ห้านี้แล้วค่ะ คงไม่ค่อยว่างเหมือนกัน ถึงตัวเองจะเข้ามาช้า แต่เค้าก็ดีใจน้าที่ตัวยังไม่ลืมกัน แล้วก็นะ เค้ามีไรจะบอก :m26: คาแรกเตอร์อัคคีเอามาจากคนจริงๆค่ะ เพราะฉะนั้น คนแบบนี้มีอยู่จริงๆ แต่ที่อิ๋งถ่ายทอดออกมาเป็นมุมของอัคคีที่อิ๋งเห็นและรู้จัก ไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าจะมองยังไงบ้าง และขอบคุณมากๆที่คอยเชียร์พ่อพระเอก แม้ว่าจะทำตัวเกเรให้น้องน้ำเสียใจมาตลอด
ตอนพิเศษอิ๋งคงมีแน่ๆ(ลงไปแว้ว) แต่เรื่องต่อไปไม่น่าจะมีแล้วค่ะ เพราะยังประสบการณ์น้อย ถ้าเรื่องแนวอื่น ไม่น่าจะแต่งได้ค่ะ เคยลองๆดูแล้ว รู้สึกว่ายากมากเลย ขอเป็นคนอ่านต่อไปดีกว่า
ปล. คนแต่งกับคนอ่านเป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีคุณ suck_love ก็คงไม่มีนิยายเรื่องนี้จนมาถึงตอนนี้เหมือนกันค่ะ :man1:

@ คุณ kasarus เป็นคนอ่านที่น่ารักมาก
เรื่องนี้จบแล้วค่ะ แต่ยังมีตอนพิเศษอยู่บ้าง เนื่องจากอิ๋งเองก็ยังสงสารพี่ภูอยู่  :m23:แต่เรื่องผลงานใหม่คงไม่มีแล้วค่ะ ขอเป็นคนอ่านต่อไปดีกว่า ขอบคุณมากค่ะ

@ คุณ mild-dy ขอบคุณที่คอยติดตามค่ะ ฝากตอนพิเศษอีกตอนนะคะ :m13:

@ คุณ yeyong อิ๋งแต่งเองยังรู้สึกเลยค่ะว่านิยายเรื่องนี้ให้ความรู้สึกอึดอัดขัดใจจริงๆ แต่เรื่องความรักแบบนี้เกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนเราจริงเพราะอิ๋งคิดว่าบางครั้งการที่เราไม่เข้าใจกัน หรือเข้าใจกันผิดเพราะเรามองคนละมุม ต่างคนต่างความคิดและเราไม่ได้คุยกัน นิยายเรื่องนี้เลยเกิดขึ้นมาค่ะ

ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กันค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: YELLOWSTAR ที่ 02-06-2012 01:12:13
5555++ น้องแตงกว่าถึงน้องจะน่ารักแต่ก็จงอยู่บนคานต่อไปเถอะนะ  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-06-2012 01:12:32
แอบขำแตงกวา แปลพฤติกรรมของคีเข้าข้างตัวเองมากกก
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 02-06-2012 01:58:41
น่าสงสาร น้องแตงกวา แต่คู่นี้ เค้ารักกันนะค่ะหนูจ้า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-06-2012 11:51:48
รอตอนต่อไปจ้า :call:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 02-06-2012 20:47:37
เฮ้ออออออออออ หายไปนาน โทษนะอิ๋ง ข้าวยุ่งอยู่กับเรื่องรับน้องอ่า

เป็นพี่พยาบาลเหมือนน้ำเลย ๕๕๕๕๕

แต่เข้ามาอีกทีดันจบซะแล้ว

ชอบตอนพิเศษนะ เอาตัวละครอื่นมาเล่าเหตุการณ์

เเต่มันก็ไปโฟกัสที่แตงกว่ามากกว่าอ่ะ

ข้าวว่าสำหรับเรื่องแรกก็สนุกในระดับหนึ่งละ อาจจะไม่ดีที่สุดเพราะเราไม่ใช่นักเขียนที่ผ่านงานมาเยอะ

มันก็ต้องเริ่มต้นกันทั้งนั้นละ

เชื่อว่าหากมีเรื่องหน้าละก็ แฟนๆนักอ่านต้องตามไปอ่านอย่างแน่นอน

เอาใจช่วยนะคับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ เนื้อคู่ปาฏิหารย์) 02/06/55)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 02-06-2012 21:24:25
ชอบมากๆเลยจร้ารอติดตามผลงานต่อไป
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ....vs จอมทัพ1) 04/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 04-07-2012 22:42:51
....vs จอมทัพ1

ภาพผู้คนเดินกันขวักไขว่บริเวณใต้ตึกคณะมนุษย์ดูไม่แปลกตานักสำหรับช่วงเทศกาลรับน้องต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี

เฮ่อ หนีจากคณะตัวเองก็มาเจอความอึกกระทึกอีกระลอก ที่นี่เห็นจะวุ่นวายกว่าอีกล่ะมั้ง เห็นปีแก่ใส่เสื้อเชิ้ตประจำภาควิชากันให้ละลานตา ทั้งสีเขียวอ่อน สีส้ม สีฟ้า สีน้ำเงินเข้ม สีขาว สีดำ สีเทา สีม่วง ฯลฯ ส่วนรุ่นน้องเฟรชชี่ปีหนึ่งก็มีป้ายชื่อและเครื่องประดับหลากรูปแบบให้ได้เห็นและนึกเดาไปตามแต่สาขาวิชา มีทั้งป้ายชื่อรถโฟล์คสวาเกนสีม่วง คงเป็นเมเจอร์เยอรมัน ป้ายชื่อรูปรถเมล์สองชั้นสีแดงที่มีควันเป็นลายธง Union Jack ของเมเจอร์อังกฤษ รูปหน้าคนชายหญิงและมีผ้าคาดหัวสีแดงเขียนเป็นอักษรจีน 中文系 เหมือนที่ชายฟิวได้ใส่ปีที่แล้ว ป้ายรูปรถตุ๊กๆและหมวกใบเล็กคล้ายกับที่แอร์โฮสเตสใส่ กลุ่มน้องผู้หญิงบางคนผูกโบว์สีเขียวสะท้อนแสงกันทั้งกลุ่ม ไหนจะป้ายรูปดอกไม้กลีบสีม่วงแต่ตรงเกสรเป็นสีส้มสะท้อนแสง โห ละลานตาว่ะ คงจะจริงแบบที่น้ำเคยเล่าว่าคณะมันมีสิบกว่าเมเจอร์ รับน้องทีพื้นที่แทบไม่พอ แต่คณะมนุษย์นี่ไม่ได้เล็กๆนะคุณ มีไม่รู้กี่ตึกกว้างไปถึงอ่างแก้ว และใต้ตึกที่ผมเดินเข้ามาคือตึก HB7 (Humanities Building 7) ดูเป็นผู้มีความรู้เนอะ แต่ความจริงผมรู้จักอยู่ตึกเดียวแหละครับ เคยมาสอบ Eng1 ตอนปีหนึ่ง

อ้อ แล้วที่ผมต้องถ่อสังขารจากคณะของตัวเองที่อยู่โซนหลังม.มาคณะมนุษย์ที่อยู่โซนหน้าม.ก็เพราะวันนี้พวกผมมีนัดสังสรรค์เล็กๆน้อยๆตอนสี่ทุ่มแถวๆร้านข้างม. ผมโทรหาไอ้คีไม่รับก็เลยโทรหาน้ำ ตั้งแต่พวกมันคบกันตัวติดกันยังกะตังเม สอบเข้ามหาลัยคณะเดียวกัน สาขาวิชาเดียวกัน ไอ้น้ำติดรอบโครงการเรียนดี ไอ้คีติดรอบโควตาภาคเหนือ ส่วนไอ้ฟิวก็อยู่คณะนี้เหมือนกันแต่คนละเมเจอร์ น้ำนัดผมให้มาเจอตรงหน้าร้านพัฟแอนด์พายของการบินไทยที่มาเปิดตรงทางเชื่อมอาคาร HB7 กับอีกอาคารหนึ่ง ผมหันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นจะเจอทั้งสองคน พลันเสียงกลองบริเวณหน้าห้องบริการของคณะก็ดังขึ้น คนกลุ่มใหญ่ลุกขึ้นกระโดดตามจังหวะกลองพร้อมกับร้องเพลง

อ้าว นั่นไอ้คีนี่หว่าเห็นยืนถ่ายรูปอยู่นอกวง พอกวาดสายตามองเรื่อยๆก็เห็นน้ำอยู่ในกลุ่มพี่ที่ยืนล้อมน้องกระโดดตามจังหวะไปด้วย

เห็นทีคงต้องรออีกยาว เอาเถอะ ถือว่ามาทัศนะศึกษาช่วงรับน้องที่คณะมนุษย์แล้วกัน

ตึ่งๆ โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ อิงลิชๆ
ตึ่งๆ โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ อิงลิชๆ
ตึ่งๆ โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ ตึ่ง โป๊ะ ตึ่งๆ อิงลิชๆ
“พวกเราเป็นชาวอิงลิช สลิ๊ด สลิดอยู่อิงลิชมอชอ
ที่จริงก็สอบติดหมอ แต่สลิดเกินพอเลยมาอยู่อิงลิช
รุ่นพี่มีแต่หล่อๆแต่แม่งโคตรหม้อนี่แหละอิงลิช
ผู้หญิงสวยๆก็มีแต่แม่งคัน...นี่แหละอิงลิช
กระเทย อีแอบ ทอม ดี้ ไล่ตบชะนีนี่แหละอิงลิช
ทุกคนว่ากูไฮโซแต่ที่จริงกูโมมมมมมมมมมมมมมม้ เพราะกูอยู่อิงลิช”

ผมขำน้อยๆกับเนื้อเพลงประจำสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ไอ้คีกับน้ำเรียนอยู่เมเจอร์นี้ก็จริง แต่ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน

เสียงกลองเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้น พร้อมกับที่คนทั้งกลุ่มร้องเพลงพร้อมกับเต้นไปด้วย

“อิงลิชชชชชชช อิงลิชชชชชชชชชช อิงลิช มีแต่สลิดเข้ามาอยู่อิงลิช
ผู้ชายก็มีแต่ตุ๊ด (เป็นแฟน) ผู้ชายก็มีแต่ตุ๊ด อกหักรักคุดเอาตุ๊ดอิงลิช อกหักรักคุดเอาตุ๊ดอิงลิช
อิงลิชชชชชชช อิงลิชชชชชชชชชช อิงลิช มีแต่สลิดเข้ามาอยู่อิงลิช
ผู้หญิงไม่ง๊าม ไม่งาม (ไม่จริ๊ง) ผู้หญิงไม่ง๊าม ไม่งาม มีแฟนเป็นสามมีผัวเป็นสิบ มีแฟนเป็นสามมีผัวเป็นสิบ”

“ว่าวที่เราชอบเล่น เช้าเย็นเราชอบเล่นว่าว....”

“สันทนาการออกไป!” เสียงพี่ชุดดำตะโกนเสียงดังพร้อมกับเรียงแถวเดินเข้าไปล้อมน้องแทนที่พวกสันทนาการที่ค่อยๆเดินออกมา

บรรยากาศที่เคยครึกครื้นหายไปหมด แทนที่ด้วยความตรึงเครียดที่สัมผัสได้ ทุกคนพร้อมใจกันเงียบจนแทบได้ยินเสียงหายใจ
น้ำกวักมือเรียกผมให้เดินไปหา แล้วเดินนำไปอีกอาคารหนึ่ง

ที่นั่นมีพวกที่ยืนเต้นล้อมน้องรวมกันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งผมได้รู้จากน้ำอีกทีว่าเป็นปีสองทั้งหมด ทำไมเมเจอร์มึงคนเยอะวะ
ทุกคนต่างค่อยๆแยกย้ายไปทำหน้าที่ตามจุดต่างๆ

“จอม นั่งรอน้ำตรงเสื่อผืนนี้นะ เดี๋ยวน้ำมา” น้ำบอกให้ผมนั่งลงบนเสื่อผืนยาวสีแดงที่เห็นได้ตามวัด บนเสื่อมีกล่องยาสองกล่องและหมอนใบเล็กวางเรียงรายอยู่

มองไปที่เสื่อข้างๆก็เห็นเป็นกลุ่มเมเจอร์จีนที่ปูเสื่อไว้ข้างกัน

น้ำและเพื่อนๆผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกลับมาพร้อมกับคูลเลอร์น้ำและน้ำแดงขวดใหญ่

เห็นน้ำบอกว่าเป็นหัวหน้าพยาบาลฝ่ายชาย ผมเองไม่นึกว่าน้ำจะได้ทำหน้าที่นี้ตอนอยู่มหาลัยด้วย เห็นเป็นพี่ฝ่ายพยาบาลมาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยม ไม่เบื่อบ้างรึไงวะ

พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง น้ำก็แนะนำผมให้เพื่อนๆได้รู้จัก

“นี่เพื่อนน้ำอยู่แอคบาร์(คณะบริหาร) ชื่อจอม”

“ส่วนนี่ใบเฟิร์น ด้าย ป่าน พิม”

สาวๆยิ้มให้ผมแล้วหันไปจับกลุ่มคุยเบาๆ

คงจะจริงอย่างที่เค้าว่าสาวมนุษย์อิงค์สวย ( อิ๋ง- แต่ทำไมแอคบาร์ได้ตำแหน่งดาวมหาลับไปครองติดกันหลายปีแล้ว อ๊ะ ก็เค้าสวยกว่าไง)

น้ำเคยเล่าให้ฟังถึงเพื่อนๆในเมเจอร์อยู่เหมือนกัน ผมฟังผ่านๆบ้าง เห็นชมเพื่อนตัวเองให้ฟังว่าไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว แต่เก่งด้วย หลายคนพูดได้มากกว่าสองภาษา และกว่าค่อนสาขาวิชาเคยไปแลกเปลี่ยนมาแล้วทั้งนั้น

“จอม รอนานหน่อยนะ เบื่อรึเปล่า” น้ำนั่งกอดเข่าคุยกับผมด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเป็นการให้เกียรติรุ่นพี่ที่กำลังประเมินผลน้องอยู่ ห้ามคุยเสียงดัง

“น้ำ พวกผู้ชายหายไปไหนหมดวะ ทำไมมีแต่ผู้หญิง”

“ก็ปีน้ำมีผู้ชายประมาณยี่สิบคน อีกแปดสิบเป็นผู้หญิงหมดเลย แล้วงานแบบนี้หน้าที่สำคัญๆต้องใช้แรงผู้ชายทั้งนั้น”

“อ้าว แล้วมึงมานั่งอยู่นี่ได้ไง”

“เค้าให้หัวหน้าพยาบาลประจำอยู่ตรงเสื่อ รอพยาบาลวิ่งส่งน้องมาให้”

โห ทำงานกันเป็นระบบดีเนอะ

“น้ำ อยากรู้อ่ะ” ด้ายที่ชะเง้อคอมองไปตรงหน้าห้องบริการอยู่นานหันมาบอกด้วยสีหน้าอยากรู้สุดๆ

“ก็เดินไปฟังเสียงตรงบันไดสิ แค่อย่าเสียงดังก็พอ ไว้ถ้าน้องมาค่อยวิ่งกลับมาช่วยกันก็ได้” พอน้ำพูดจบ ด้ายก็พยักหน้าแล้วจูงมือพิมเดินไปตรงทางเชื่อมอาคารข้างร้านพัฟแอนด์พาย

ผมนั่งคุยเล่นกับน้ำไปได้ซักพัก เมเจอร์จีนก็เริ่มหิ้วปีกน้องมาวางที่เสื่อ

เสียงพี่ว๊ากน้องเสียงดังพร้อมกับเสียงตะโกนร้องเพลงประจำสาขาวิชาที่ได้ยินมาแว่วๆ

“เมเจอร์จีน เมเจอร์จีนเชียงใหม่ เราเองก็ไม่ใช่ใคร เราคือน้องใหม่ Human 555 ถึงจะสวยแต่ก็ไม่เคยอ้อนแอ้น...ผู้ชายของเรามีน้อย เฮ้ย...เรามา...ฮุ่ยๆๆ...พวกเราเด็กจีนมอชอ ปั่งๆๆ” อืม จับใจความไม่ค่อยได้ เสียงว๊ากกลบเสียงร้องเพลงเลยแฮะ

“ฮือออออออ ฮึกๆ” เสียงร้องไห้ของน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่ตรงเสื่อของเมเจอร์จีนทำให้ผมและน้ำหันควับไปดูทันที

“เฮ้ย ห้ามแกะมือน้อง เดี๋ยวนิ้วน้องหัก” น้ำรีบวิ่งเข้าไปกลางวงล้อมพยาบาลเมเจอร์จีนที่กำลังพยายามแกะมือน้องที่กำแน่น

“ต้องแกะค่ะต้องแกะ เดี๋ยวน้องจิกเนื้อตัวเอง”

“แต่เป็นไฮเปอร์ต้องให้น้องเค้าคลายอาการเกร็งเองไม่ใช่เหรอครับ”

“โอ๊ย โอ๊ย”

“เห็นมั้ยว่าน้องเจ็บ” น้ำเถียงกับคนฝ่ายนั้นแล้วก็ผละออกมาเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะฟังกัน

“จอมไปเบิกยากันยุงที่สโมเป็นเพื่อนน้ำหน่อยสิ”

ผมลุกเดินตามน้ำที่ทำท่าถอนหายใจเดินนำไปก่อน

เราค่อยๆเดินผ่านกลุ่มพี่เสื้อดำและน้องๆที่ยืนระเบียบเชียร์อย่างเงียบเชียบจนไปถึงสนามหญ้าที่มีเก้าอี้ไม้หินอ่อนและมีป้ายPhychology และ Chinese เขียนติดอยู่แถวต้นไม้

“คี กูบอกให้มึงถ่ายรูปน้อง ไม่ใช่ถ่ายรูปน้ำ โอ๊ย กูละปวดหัว พรุ่งนี้มึงไปตีกลองแล้วเปลี่ยนให้กรีนมาถ่ายรูปแทนแล้วกัน”

ผมหันไปยักคิ้วให้กับไอ้คีที่มองตรงมายิ้มๆ มันคงไม่ได้ฟังที่เพื่อนพูดหรอก เห็นจ้องน้ำตั้งแต่พวกผมเดินผ่านแล้ว
 
แต่คราวนี้แปลก น้ำรีบเดินจ้ำผ่านไปเฉยเลย สงสัยไม่ได้ยิน

เฮ่อ กูละเอียนกับความหวานของพวกมึงจริงจริ๊ง คือ จะอธิบายยังไงดีล่ะ พวกมันก็ทำตัวเหมือนก่อนเป็นแฟนกันนั่นแหละครับ ไม่พูด ไม่บอกว่ารักยังงู้น เค้างี้นะตัวเอง ไม่พู๊ด แต่ทำเลย เอาให้เห็นกันจะๆ จับแก้มบ้างล่ะ หนักๆก็เห็นหอมแก้มกันบ้างล่ะ เล่นเอาสาวๆที่แรกๆส่งสายตาหวานๆมาให้ ช็อคค้างไปหลายราย แต่บางคนก็เห็นวี๊ดว๊ายกับเพื่อนเบาๆ ความซวยมันอยู่ที่กูนี่!

ผมเดินกับพวกมันไง เค้าก็คิดว่าผมชอบผู้ชายไปซะอย่างนั้น ที่ผมไม่มีแฟนจนทุกวันนี้ สาเหตุหนึ่งต้องมาจากไอ้สองคนนี้แน่ๆ

หลังจากไปเอายากันยุงแล้วพวกผมก็กลับมานั่งตรงจุดพยาบาลเหมือนเดิม

เห็นเสื่อเมเจอร์จีนเต็มไปด้วยน้อง ส่วนเมเจอร์อิงค์ว่างเปล่า

“ฮืออออออออ” เอ่อ น้องคนนั้นก็ยังไม่หยุดร้องไห้เลยครับ หายใจหอบๆตัวเกร็งเหมือนเดิม

“พยาบาลกันตั้งนาน ไม่เห็นดีขึ้นเลย” ใบเฟิร์นที่นั่งเฝ้าเสื่อไม่ไปไหนลุกขึ้นยืนกอดอกแล้วบ่นออกมาด้วยเสียงที่ได้ยินทั่วกันทั้งบริเวณ

ฝ่ายนั้นถึงกับชะงักไปนิดแล้วพยาบาลน้องต่อ

น้ำทำหน้าเจื่อนๆพลางบอกให้เธอใจเย็นๆ

และสุดท้ายการประเมินน้องวันแรกของเมเจอร์อิงค์ก็ไม่มีใครล้มหมอนนอนเสื่อ

ทีแรกผมก็คิดว่าน้องๆคงแข็งแรงมีจิตใจมั่นคง แต่น้ำบอกว่าทั้งคณะเนี่ย เมเจอร์อิงค์รับน้องเบาที่สุด (ผมว่าอาจจะเบาที่สุดในมหาลัยเลยล่ะ) ถ้าใครทนไม่ไหวจะซิ่วไปคณะอื่นผมก็ไม่รู้ว่าน้องจะผ่านมันไปได้รึป่าวนะ ที่สำคัญเมเจอร์นี้เค้าว๊ากน้องสุภาพมากครับ มีลงท้ายคะ ครับ ไม่มีคำหยาบแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมน่ากลัว ออร่าที่ออกมามันยากจะบรรยาย

กว่าไอ้น้ำ ไอ้คี ไอ้ฟิวจะประชุมหลังส่งน้องกลับหอเสร็จก็ปาไปสี่ทุ่ม พวกผมถึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง

พอพวกเรามาถึงร้านก็เห็นโต๊ะยาวต่อกันห้าหกโต๊ะ ไอ้ปอมกวักมือเรียกมาแต่ไกล

ไอ้น้ำพอเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหาพี่ภูที่มองมายิ้มๆอยู่ตรงหัวโต๊ะ

หันมองไอ้คนที่เดินข้างๆ เห็นหนังหน้ามันเริ่มกระตุกละ ไม่รู้น้ำโกรธอะไรไอ้คี เห็นเล่นสงครามเย็นกันตั้งแต่อยู่ในรถ ผมเลยพลอยอึดอัดไปด้วย เฮ่อ

เดินถึงโต๊ะพวกผมก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงกันให้มากความ ช่วงนี้ห่างหายแอลกอฮอร์ไปนาน  รู้ตัวอีกทีก็มีน้ำสีอำพันอยู่ในมือกันคนละแก้วซะแล้ว

“อย่าแอ๊บชะนี” พี่ซินนี่เดินนวยนาดโบกมือมาถึงโต๊ะ ระหว่างที่พี่แกหาที่นั่ง ก็หยุดปะทะคารมณ์กับพี่พลอย

“อะไร กูไม่ได้แอ๊บ กูเป็นชะนีอยู่แล้วได้มะ”

บรรยากาศเก่าๆตอนมัธยมปลายเริ่มกลับมาเมื่อได้มารวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆพี่ๆอีกครั้ง ทั้งโต๊ะก็มีกลุ่มพวกผม พวกพี่ภู พี่กร ไอ้ป๊อบ ไอ้แซ็ก  พี่พลอย พี่ซินนี่ก็มากับเค้าด้วย


หายไปนานมากเลยค่ะ พอดีชีวิตวุ่นวายมากๆ พอกลับมาก็สั้นไปหน่อยเนอะ :o8:

@ คุณ YELLOWSTAR ชีวิตน้องแตงกวาเป็นเหตุการณ์จริงอย่างไม่ต้องสงสัย  :o12: ไว้อาลัยให้กับน้องแตงกวาและคานต่อไปค่า :laugh3:

@ คุณ yeyong นั่นสิคะ น้องไม่น่าไปอยู่ใกล้น้องน้ำเลย ออร่าสีชมพูลอยผ่านน้องแตงกวาไปโดยไม่รู้ตัว

@ คุณ Singleman  :laugh3: ใช้แล้วล่ะค่ะ คูนี้เค้ารักกันน้าาา

@ คุณ mild-dy ตอนต่อไปมาแล้วค่ะ แต่กว่าจะมาให้คอยนานไปหน่อยเนอะ ขอโทษทีนะคะ

@ ข้าว ไม่เป็นไรจ้า อิ๋งก็ยุ่งเรื่องรับน้องมากๆเหมือนกัน เป็นแรงบันดาลใจให้ตอนพิเศษนี้ออกมาจนได้ ขอบคุณสำหรับใจที่มีให้เค้าเสมอๆเลยนะจ๊ะ  ยังไงก็ขอให้สนุกกับกิจกรรมรับน้องน้า ถึงมันจะเหนื่อยรากเลือดเลยก็ตามมมม  :a2:

@ คุณ JimmyFG ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ดีใจมากเลย ยังไงก็ฝากตอนพิเศษตอนนี้อีกตอนนะคะ

ตอนหน้าอาจล่าช้ายังไงก็ขอโทษมาล่วงหน้าด้วยนะคะ  :pig4:

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ....vs จอมทัพ1) 04/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-07-2012 22:55:29
ลุ้นจัง ว่าจอมจะมีคู่กับเค้าหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ....vs จอมทัพ1) 04/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 05-07-2012 15:13:19
น้ำกับคียังง้องแง้งกันตลอด ตลอดเลยนะ
ว่าแต่คู่ของจอมจะเป็น ญ หรือ ช นะ

ไม่ค่อยได้ข้ามไปฝั่งนู้นตั้งนานละ ส่วนใหญ่อยู่แต่ฝั่งนี้
เลยนึกไม่ค่อยออกว่าตึกไหนอยู่ตรงไหน
เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่ามีร้านพัฟแอนด์พายด้วย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ....vs จอมทัพ1) 04/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-07-2012 17:27:14
เย้ เย้ จอมกับพี่ภูป่าวนิ หรือจาเป็นคนอื่น
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 08-07-2012 17:23:34
ภูวไนย vs จอมทัพ

ร้านนี้เป็นร้านสบายๆข้างม. เสียงเพลงเปิดคลอเบาๆกับลมเย็นๆหลังฝนตกให้ความรู้สึกเพลินจริงๆ

“ฟิ๊ววววว” เสียงดังจากไอ้คนที่นั่งข้างๆเรียกให้ผมหันกลับมาสนใจ

เอ่อ เห็นแล้วจิตตกเบาๆ เอาแล้วไง ไอ้น้ำไปคนแรกละ ใครให้มันกินเหล้าวะ

“อ้าว ทำไมเมาเร็ววะ กินไปแค่สองสามแก้วเอง”

“นั่นสิ”

“น้องน้ำๆ”

อ่อ ตัวการอยู่นี่

“อะไรเหรอพี่พลอย”

“นี่เลขอะไร”

“เลขสองสิ ถามแปลกๆ”

“แน่นะ”

“แน่ใจ” ไอ้คนตอบพยักหน้ายิ้มกว้างตาเชื่อมเชียว

พี่พลอยกับไอ้ปอมพยักหน้าเออออพลางเดินกลับไปนั่งหัวโต๊ะ

“ฟิว แก้วของน้ำหายไปไหน” นั่น ไวจริงนะมึง

“อ้าว หายไปได้ไง เมื่อกี้ก็วางตรงนี้ไม่ใช่เหรอ” ชายฟิวตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้

ไอ้ฟิวพึ่งส่งแก้วของน้ำให้ผมเอาไปรวมๆกับใบอื่นๆตอนน้ำคุยกับพวกพี่พลอย

เดี๋ยวมันเมาหนักแล้วจะงอแงอีก

“ฮื่อออ โกหก” ไอ้น้ำพ่นลมออกจมูกพลางจ้องไอ้ฟิวตาโต

“โกหกที่ไหน ก็นั่งอยู่ด้วยกันเนี่ย ไม่รู้จริงๆ”

น้องน้ำเริ่มไขว้เขว เห็นทำคิ้วขมวดมองซ้ายขวา

หึ คงจะเจออยู่หรอกเนอะ

“มา มานั่งนี่เร็ว เล่นเกมส์ดีกว่า น้ำชอบเกมส์นี้ไม่ใช่เหรอ”

ชายฟิวตัดบทพลางล้วงมือถือให้น้ำที่ยิ้มๆพยักหน้าแล้วเดินเซๆเข้าไปนั่งพิงชายฟิวกดเกมส์หัวเราะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

หันมองข้างซ้าย ก็เห็นไอ้คีมองอยู่

คืนนี้เหนื่อยแน่มึง ไอ้ตัวแสบงอนไม่ยอมคุยด้วยอยู่แล้ว นี่เมาเข้าไปอีก ยิ่งพูดไม่รู้เรื่องไปกันใหญ่

“ฟิว ไอ้ฝรั่งโรคจิตโทรมา” คนพูดทำหน้าสงสัย

ผมมองไอ้ฟิวขำๆเมื่อได้ยินน้ำอ่านชื่อที่โชว์บนจอขณะมือถือสั่นและแผดเสียงอยู่ในมือเล็กที่ทำท่าประคองสองมือราวกับกลัวว่ามันจะหล่น

ไอ้ฟิวทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนกดรับ

“อะไร”

“กินเหล้าอยู่กับเพื่อน”

“เพื่อนที่โรงเรียน”

“เออ มึงจะคุยกับมันมั้ย”

“ฟิวทำไมคุยกับคนโรคจิตรู้เรื่อง ขอน้ำคุยด้วยคนสิ” ไอ้ตัวแสบที่จ้องอยู่นานเขย่าแขนชายฟิวพลางทำหน้าอยากรู้

ไอ้ฟิวมองไอ้น้ำยิ้มๆก่อนส่งมือถือให้

“บัดดี้มึงขอคุยด้วย”

“สวัสดี” น้ำมองโทรศัพท์ก่อนจะเอาแนบหู

“Andy!, I haven’t known that you’ve a mental problem.(แอนดี้ ไม่เห็นรู้เลยว่านายมีปัญหาทางจิต)” คนพูดทำหน้าตกใจก่อนขมวดคิ้วแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์อีกที

“Cause the phone showed…(ก็หน้าจอมันโชว์ว่า...)” เจ้าตัวหันมองชายฟิวแล้วเอียงคอหัวเราะ

“555 อ๋อ I see… (อ๋อ รู้ละ)”

“Watcha doin? (ทำอะไรอยู่เหรอ)”

“He’s a liar. I don’t wanna talk about him.(เค้าโกหก น้ำไม่อยากพูดถึงเค้า)” รู้ๆกันอยู่ว่า He นี่หมายถึงใคร เห็นไอ้ he ที่ถูกพาดพิงทำหน้านึก ว่ามันไปก่อความผิดอะไรมา

“I want to have fish n’ chip. (อยากกิน fish n’ chip อ่ะ)”
* หมายเหตุ fish n’ chip คืออาหารยอดนิยมของคนอังกฤษ หน้าตาก็ตามชื่อค่ะ ปลาทอด (ปลาที่เป็นที่นิยมก็คือปลาคอด Cod หรือ ปลาแฮดดอก Haddock) กับมันฝรั่งทอด (คล้ายเฟรนช์ฟรายด์แต่อันใหญ่กว่าค่ะ)

“That’s exactly what I think. (น้ำก็คิดว่างั้นเหมือนกัน)”

“จอม อยากกิน Fish n’ chip” น้ำส่งมือถือคืนให้ชายฟิวก่อนเขยิบมาพิงตัวผม

“หืม ขี้เกียจทำ ไปกินร้านดีกว่ามั้ง”

“ไม่อาวว ไปกินร้านได้กินแต่แป้งกับเกล็ดขนมปัง ไม่เห็นมีเนื้อปลาเลย” คนขี้อ้อนส่ายหัวไปมาอยู่ตรงไหล่พลางจ้องจะให้ผมตอบตกลง

“แล้วทำไมจู่ๆถึงอยากกิน”

“ก็เห็นใน power point ของคุณครู น่าอร่อยนะ” คนพูดยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า

เอ่อ...นี่พวกมึงเรียนอะไรกันวะ

“น่า นะ นะจอมนะ”

“อืมๆ รู้แล้ว”

ผมรับปากน้ำแล้วนั่งดื่มไปเรื่อยๆ

หัวโต๊ะฝั่งซ้ายบรรยากาศครึกครึ้นโดยมีพี่พลอยและพี่ซินนี่เป็นแกนนำ ต่างกับฝั่งขวาที่พวกพี่กรพี่ภูคุยกันเบาๆ ส่วนไอ้เกรียนฝั่งตรงข้าม(ป็อบ แซ็ก โจ)ก็ยังคงเกรียนต่อไป

“จอม”

“หืม”

“ง่วงจัง”

“กลับไปนอนมั้ย” ผมถามไอ้ตัวแสบที่กำลังนั่งทำตาปรือและทิ้งน้ำหนักตัวพิงผมมากขึ้น

“คืนนี้ไปนอนห้องจอมได้ป่าว”

“ไม่กลับไปนอนห้องตัวเองล่ะ”

“ฮื่อ ไม่เอา”

ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้คีว่ามันจะเอายังไง ซึ่งคำตอบที่ได้คือการส่ายหัวน้อยๆ

“จอมมม” พอผมไม่ตอบ น้ำก็เริ่มงอแง

“ฮู้วว วันนี้กูจะดูบอล เดี๋ยวเสียงดัง มึงสะดุ้งตื่นอีก”

“ไม่เป็นไร น้ำนอนได้”

“แล้วมึงเป็นอะไร ทำไมไม่ยอมกลับไปนอนห้องตัวเอง” ผมถามไอ้น้ำด้วยสีหน้าเอือมๆ

“ฮึ ไม่รักจอมแล้ว”  ไอ้ตัวแสบกัดปากจ้องผมตาโตแล้วยืนขึ้น มันส่ายหัวน้อยๆด้วยท่าทางมึนๆ ก่อนจะเดินเกาะราวเฉลียงไปหาพี่ภู

เฮ่อ แลเห็นความยุ่งยากใจมาแต่ไกล

หันมาดูไอ้คีก็เห็นมันจิบเหล้าแล้วมองตามไอ้น้ำด้วยท่าทางนิ่งๆ

นี่ตกลงพวกมึงจะได้กลับหอด้วยกันมั้ยวะ

“มึง เดี๋ยวกูต้องไปรับคนที่สนามบิน จะเลยกลับไปก่อน พรุ่งนี้เจอกัน” ไอ้ฟิวที่ยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ เดินมาบอกผมกับไอ้คีก่อนผลุนผลันออกจากร้านไป

“เชรี่ยโจ มึงบ้าป่าววะ เต็มแปดสิบ ได้เจ็ดสิบสอง”

“เออ นั่นดิ แม่งต้มหนังสือกินก่อนสอบแน่ๆ”

“อะไร กูก็อ่านของกูตามปกติ”

“กูก็อ่านปกติ คะแนนกูก็ห้าสิบกว่าตามเกณฑ์ปกติ”

“ไอ้เก่ง ไอ้อัจฉริยะ ไอ้ทีมชาติ ไอ้...”

“มึงเป็นตัวการทำให้มีนสูงขึ้น”

“อ้าว แล้วให้กูทำไง”

“มึงต้องหัดทำตัวให้เหมือนชาวบ้านเค้าบ้าง ไอ้ดอยบอกกูอยู่ว่าจะมากราบง่ามตีนมึง เผื่อจะฉลาดขึ้นบ้าง”

“เออ ทำไรไม่ไว้หน้าพวกกูบ้าง”

เสียงไอ้เกรียนฝั่งตรงข้ามถกกันอย่างออกรส ฟังดูเหมือนจะมีประเด็นอยู่บ้าง

“กูอยากได้ชาวต่างชาติเป็นแฟน”

“ชาวต่างชาติไหนยะ”

“ก็เผ่าอินเดียนแดง*อ่ะ”
หมายเหตุ ปีนี้เด็กปีหนึ่งถาปัตย์แต่งตัวคอนเซ็ปต์อินเดียนแดงค่ะ

“น้อง 02...หน่ะเหรอ”

“จริงๆ คนนี้เป๊ะเวอร์”

มองฝั่งซ้ายก็คง...เอิ่ม มีประเด็นเหมือนกัน

แต่พอมองฝั่งขวา อืม ประหนึ่งอยู่คนละโลก

นั่งกินเหล้ามองหน้ากัน คงส่งกระแสจิตคุยกันได้

อ้อ ที่เงียบนี่คงเป็นเพราะไอ้แสบที่หลับคาอกพี่ภูอยู่สินะ

เอ่อ หันมองไอ้คนข้างๆก็เห็นมันจ้องอยู่ตลอด

ผมสงสารพี่ภูว่ะ ดูก็รู้ว่ารักไอ้น้ำไม่เปลี่ยน แค่มองอยู่ห่างๆยังสัมผัสได้เลยว่าพี่เค้ารักมันนักหนา นัยน์ตาเวลาพี่แกมองเหมือนคำว่ารักมันทะลุออกมา อืม ไม่รู้สิ มองแบบทั้งรักทั้งห่วงหน่ะ

“จอม กูจะพาน้ำกลับ ฝากมึงอยู่เคลียร์ด้วย” ไอ้คีพูดกับผมก่อนเดินไปช้อนตัวไอ้น้ำจากตักพี่ภู

พอไอ้ตัวแสบปรือตามองเห็นไอ้คี

มันก็ซุกหน้ากับไหล่พลางกอดคอพี่ภูแน่นเลยครับ

ไอ้คีจับมือน้ำข้างนึงมากุมไว้พลางลูบหลังมือเบาๆ

คนงอนสะบัดมือแล้วกอดพี่ภูแน่นกว่าเดิม ตัวมันสั่นน้อยๆ

ไอ้เด็กน้อยเป่าปี่แล้ว

ตั้งแต่มันเป็นแฟนกันก็พึ่งเห็นไอ้น้ำงอน ส่วนไอ้คีก็ดูใจเย็นกว่าแต่ก่อน มีอะไรก็เห็นมันถามคุยกันตรงๆ ถึงไอ้คีจะมีคนเข้าหาเยอะ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหา

คงเป็นนิสัยคิดมากของน้ำอีกตามเคยล่ะมั้ง ยิ่งมันเมาก็ยิ่งชอบงอแง เอาแต่ใจ

ซักพักผมก็เห็นไอ้คีลูบหัวน้ำแล้วกระซิบบางอย่าง เห็นน้ำเงยหน้ามามองทั้งน้ำตา แล้วโผเข้ากอดไอ้คี

หลังจากโอ๋กันอยู่พักใหญ่ มันก็จูงมือกันกลับ ท่ามกลางความโล่งใจของสมาชิกรอบโต๊ะ

พวกผมดื่มอยู่ซักครู่ใหญ่ก็ได้เวลากลับ ผมเป็นตัวแทนของอีกสามคนคอยเคลียร์บิลในส่วนที่ต้องแชร์

อืม ตีหนึ่ง รถก็ไม่อยู่แล้วสิ ผมกะโทรให้ไอ้คีออกมารับแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพี่กรเรียก

“จอม กูวานไปส่งไอ้ภูที่คอนโดมันหน่อย ไอ้อาร์มมีธุระกลับด่วน เดี๋ยวกูจะไปส่งพวกผู้หญิง อ่ะนี่กุญแจรถมัน จำได้ใช่ป่าว Crv สีดำจอดอยู่หน้าร้าน พวกคีการ์ดอะไรก็ค้นๆดูในกระเป๋ามันนั่นแหละ”

ผมช่วยพี่กรพยุงพี่ภูมาจนถึงรถแล้วจับพี่แกยัดเข้าไป

“ขอบใจมาก”

“ไม่เป็นไรพี่”

ผมขับรถไปตามทางที่เคยไปคอนโดพี่ภูเมื่อเดือนก่อน อย่าถามล่ะว่าไปทำอะไร ก็...ร่ำสุรากันเหมือนเคย

พอไปถึงผมก็พยุงพี่แกขึ้นลิฟท์ไปถึงห้องด้วยความทุลักทุเล

เป็นคนเมาที่แปลกที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เงียบ ไม่พูด ตาก็มองดูปรกติ มีแค่อาการทรงตัวไม่อยู่เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าพี่แกเมา
ห้องพี่ภูอยู่ชั้นสิบสี่ มองเห็นวิวเมืองที่พราวไปด้วยแสงไฟ มีห้องนอนกั้นจากห้องรับแขกและมุมครัวเล็กๆในโซนแรกที่เปิดประตูเข้ามาเจอ และห้องน้ำที่อยู่ติดกัน

ผมทิ้งตัวคนเมาบนเตียงก่อนหาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้พี่แกเผื่อจะสร่างเมาขึ้นมาบ้าง

“เฮ้ย” ขณะผมกำลังเช็ดหน้าให้พี่ภูก็ต้องตกใจเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนเตียงแล้วถูกคร่อม

“น้ำ น้องน้ำ” พี่ภูก็เพ้อเรียกชื่อไอ้น้ำพลางประคองหน้าผมแล้วใช้นิ้วโป้งไล้แผ่วเบา

“พี่...อื้ออ” เชรี่ย กูน้องจอม ไม่ใช่น้องน้ำ จะจูบกูทำไม๊

“แฮ่กๆ” ผมผลักไอ่พี่ภูออกด้วยความรู้สึกแปลกๆ แม่ง เก็บสายตาทั้งรักทั้งห่วงไปไกลๆโว้ย กูไม่ใช่น้องน้ำ

“น้ำ...ทำไม...เป็นพี่ไม่ได้เหรอ” ไอ้พี่ภูทิ้งน้ำหนักลงมาแล้วกอดผมไว้ทั้งตัว

ผมว่า ผมรีบกลับดีกว่า ท่าทางสถานการณ์ชักจะยุ่งยากขึ้นทุกขณะจิต

“พี่ ปล่อย ตัวหนักว่ะ” ผมดิ้นพลางผลักตัวพี่แกออก แต่เหมือนจะไม่เป็นผล

“เฮ้ย พี่ ทำอะไร” ผมโวยวายเสียงดังเมื่อพี่ภูเริ่มซุกไซร้ตรงซอกคอ

แคว่ก

โห แรงควายชิบหาย ดึงจนกระดุมหลุดทั้งแผง

“เฮ้ย พี่ ใจเย็นๆ ผมจอม ไม่ใช่น้ำ” ไอ้พี่ภู แม่งกะปล้ำกูแน่ๆ

ผมจะอยู่เฉยเรอะ ดิ้นสิครับ

อ้าว ล็อคแขนกูอีก

ผมดิ้นพลางกระถดตัวหนี

ปึ่ก
ตุ้บ

อูย ก้นกู

ผมเอามือลูบก้นตัวเองด้วยความเจ็บหลังจากดิ้นจนตกเตียง

อ่าว แล้วทำไมไอ้พี่ภูนิ่งไปวะเนี่ย

พอพยุงตัวลุกขึ้นมองถึงเห็นว่าพี่แกหลับไปแล้ว

เอามืออังดูตรงจมูก

อืม ยังหายใจ

ฮู่ววว เกือบไปแล้วมั้ยละ

ผมเดินหากุญแจรถของพี่ภูเพื่อจะขับกลับหอ ยังไงพรุ่งนี้ค่อยขับมาคืนแล้วกัน

ว่าแต่ กูวางกุญแจไว้ไหนวะ

ผมเดินหากุญแจตั้งแต่หน้าห้องตามทางที่เข้ามา วนมาถึงห้องนอน

มองดูตามโต๊ะก็ไม่ได้วางไว้

แล้วมันหายไปไหนวะ

หรือจะตกตามพื้น ก็ไม่เห็นมีนี่หว่า

ผมเดินวนหาจนเริ่มหงุดหงิด ปวดตูดกับสะโพกแปลบๆ กระแทกจนช้ำชัวร์

พอฟ้าสว่างผมถึงเหลือบไปเห็นกุญแจโผล่ออกมาจากกองผ้าห่มบนเตียง

นี่กูเดินหาจนเช้า แต่มาตกอยู่บนเตียงเนี่ยนะ

ผมมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงสิบนาที

อีกซักสองชั่วโมงไปโบกรถแดงกลับเองดีกว่า

แล้วเวลาที่เหลือทำไรดีวะ จะหลับก็ยังไงอยู่ หลับไม่เต็มอิ่มตื่นมาก็ปวดหัว

แม่งท้องร้องอีก

ผมตัดสินใจเดินไปทางมุมครัว ถือวิสาสะหาของกินยามเช้า

ลองเปิดตู้เย็นดูก็เห็นสารพัดวัตถุดิบ

สงสัยไอ้พี่ภูจะชอบทำกับข้าวกินเอง

เช้าๆแบบนี้กินข้าวต้มแล้วกัน

>>>>ภูวไนย<<<<

ผมตื่นมาด้วยความรู้สึกมึนหน่อยๆ

กลิ่นอาหารที่ลอยมาจากครัวฉุกให้ผมสงสัยว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้อง

เมื่อคืน ผม...ดื่มจนเมา

พอมีสติรู้ว่ามีคนพยุงกลับมา

เมื่อคืน...ฝันดี

หึ จะเรียกว่าฝันดีได้รึปล่าว

ได้นอนกอดคนที่ตัวเองรักทั้งคืน

ผมเดินตามกลิ่นไปจนถึงห้องครัว เห็นไอ้น้องจอมกำลังตักข้าวต้มใส่ถ้วยอยู่

“อ้าวพี่ ตื่นแล้วเหรอ ขอถือวิสาสะใช้มุมครัวหน่อยแล้วกัน หิวว่ะ”

ผมพยักหน้าน้อยๆพลางเดินไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าว ขณะไอ้น้องจอมเลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้า

ผมสังเกตเห็นจอมปลดกระดุมเชิ้ตจนหมด เห็นแต่เสื้อกล้ามข้างใน

ไอ้น้องจอมเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้ามพลางซี้ดปากเอามือจับสะโพก

“ไปทำไรมาวะ”

ไอ้น้องจอมชะงักมองหน้าผม

ผมเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อเห็นมันมองผมค้างอยู่อย่างนั้น

“เอ่อ เดินชนขอบโต๊ะ”

เรากินกันเงียบๆจนกระทั่งผมเก็บชามไปล้าง

ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ไอ้น้องจอมคงยังไม่ได้กลับหอ

“จอม เดี๋ยวมึงกลับยังไง”

“เดี๋ยวโบกรถแดงกลับเอง” เจ้าตัวพูดพลางเดินไปนั่งใส่รองเท้าตรงหน้าประตู

“เดี๋ยวกูไปส่ง มึงรีบรึเปล่า”

“ไม่รีบพี่ ผมมีเรียนบ่าย”

“เดี๋ยวกูล้างหน้าแล้วจะไปส่ง”

ผมเปิดน้ำล้างหน้าในห้องน้ำ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยนูนที่ผุดขึ้นมาตรงหน้าผาก ผมเอามือแตะส่วนที่นูนออกมาพลางนึกว่าไปกระแทกอะไรเข้า

ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนค่อยๆฉายเข้ามาในหัว อดขยี้ผมตัวเองด้วยความสับสนไม่ได้

นี่ผม เผลอทำอะไรไอ้น้องจอมไปรึปล่าววะ

ผมเช็ดหน้าแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถที่เห็นอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง

รู้สึกว่าเหยียบโดนอะไรซักอย่าง

พอก้มดูถึงได้รู้ว่าเหยียบโดนกระดุม ลองกวาดสายตามอง เห็นตกอยู่บนพื้นสองเม็ด ส่วนที่เหลือกระจายอยู่บนเตียง

สาเหตุที่ไอ้น้องจอมไม่ติดกระดุมเสื้อคงเป็นเพราะผม...กระชากเสื้อมันเมื่อคืน

ผมขับรถไปส่งไอ้น้องจอมพลางครุ่นคิด

ผมทำอะไรไอ้น้องจอมไปรึเปล่า

“ไปนะพี่” ไอ้น้องจอมยกมือไหว้แล้วเปิดประตูรถ

พอดีกับที่ผมหันไปเห็นรอยตรงคอ

ภาพกระดุมที่อยู่ในห้องและอาการที่ไอ้น้องจอมเดินแปลกๆ

ผมเปิดประตูรถแล้วตะโกนเรียกขณะมันกำลังจะเดินเข้าหอ

“จอม”

เจ้าตัวหันมามองผมที่ชะงักเพราะไม่รู้จะพูดอะไร

สมองพยายามคิดหาคำพูดอะไรซักอย่าง

“เอ่อ วันนี้มึงเลิกกี่โมง”

“สี่โมง พี่มีอะไรรึป่าว” คนตอบทำหน้าแปลกใจ

“เรียนที่ตึกคณะใช่มั้ย”

“อืม”

“รออยู่ใต้ตึกคณะ เย็นนี้กูจะไปรับ”

..............จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ...............

@ คุณ yeyong คู่ของน้องจอมอาจเริ่มต้นแปลกๆไปซักหน่อยเนอะ

@ คุณ kasaras  :m23: คู่นี้เค้าก็ง้องแง้งกันเรื่อยๆแหละค่า และเนื่องจากนี่คือเว็บไทยบอยเลิฟ เพราะฉนั้นคู่ของน้องจอมต้องเป็น ช ค่า :laugh: 

คุณ kasaras เป็นคุณหมอเหรอคะ ฝั่งสวนดอกมีอะไรอร่อยๆมั่งอ่ะ ไม่ค่อยได้ไปฝั่งนู้นเหมือนกัน ได้แต่ผ่านเฉยๆ

@ คุณ takara ใช่แล้วล่ะค่ะ น้องจอมคู่กับพี่ภู แต่ไปรักกันได้ยังไงต้องจินตนาการเอาเองแล้วกันเนอะ

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 08-07-2012 17:40:27
จบแบบนี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า :m31:
เขียนต่ออีกเถอะนะ อยากรู้ว่าสองคนนี้จะลงเอยกันไหม
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: must ที่ 08-07-2012 17:45:10
ูู^
^
^
^
ขอเข้ามาขำรีบน

ยังไม่เคยอ่านเรื่องนี้เลยค่ะ เพิ่งจะเห็นนี่แหละ
ยังไงจะเริ่มอ่าน ณ บัดนาวเลยละกันค่ะ
อยากรู้เรื่อง ยกเครดิตให้คุณ yeyong (ถึงขนาดให้เอามีดมาแทงกันเลยทีเดียว)

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เรื่องนี้เป็นอะไรที่เรื่อยๆ แต่ชวนอ่านดีจริงๆ คือ อ่านได้แบบเรื่อยๆ เพลินๆ เลย

ในที่สุดก็ตามอ่านจนมาถึงตอนล่าสุดทันจนได้

ยัยปิศาจพราวนี่ ความร้ายกาจของนางนี่แพรวพราวระยิบระยับสมชื่อเลยเนอะ ทั้งร้ายทั้งแรง
อดที่จะสงสารคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้จริงๆ คงช็อกและเสียใจใจอยู่ไม่น้อยที่ได้รู้ว่ารู้ตัวเองเป็นแบบนี้

พูดถึงขบวนผักในงานกีฬาสีเนี่ย ทำเอานึกถึงคอนเสิร์ตของบอยแบนด์เกาหลีวงนึงเลย
คือชุดผักแต่ละชุดก็จินตนาการเอาจากสมาชิกในวงดังกล่าวที่แต่งในคอนเสิร์ตนั่นแหละ
ชุดเอี๊ยมกางเกงขายาวดันไม่อยู่ในหัวซะงั้น - -* แต่ชอบทีตัวเองจินตนาการยังไงก็ไม่รู้แฮะ
รู้อยู่อย่างเดียวว่าน้ำที่ใส่ชุดมะเขือเทศในจินตนาการน่ารักมว๊าากก~ น่าฟัด น่ากอด เป็นที่สุด

พี่ภูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและชัดเจนมากมาย อยากได้แฟนแบบพี่ภูอ่ะ (ฝันเอายังยากเลย ชิชะ)
คือจะอธิบายยังไงดีหว่า อืมมมม พี่ภูตั้งใจที่จะจีบน้ำตั้งแต่แรกเห็นเลยมั้ง (ถ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดนะ)
แล้วทั้งชอบใจและประทับตรงที่ขอจีบน้ำท่ามกลางพยานหลายสิบชีวิต เฮ้ยยย นายแน่มากๆ อ่ะ พี่ภู
ทั้งๆ ที่น้ำก็ได้บอกออกมาตรงๆ เลยว่า “คือน้ำหน่ะ ไม่ได้ชอบพี่ภูหรอกนะครับ” จากประโยคนี้บางคนคงถอยแล้ว
แต่พี่ภูไม่ถอแถมยังบอกว่า “เรื่องนั้นพี่รู้แล้วครับ พี่เลยขอจีบอยู่นี่ไงครับ” เออเนอะ พูดมาได้แบบชัดเจนดีจริงๆ
“อืม งั้นน้ำช่วยรับพี่ไว้พิจารณาด้วยนะครับ” >>> กับประโยคนี้ ต้องบอกว่าฉลาดในการพูดมากๆ ผู้ชายคนนี้

“หวงก้างว่ะ” คำพูดนี้ของใครซักคนที่ต่อว่าคีกลายๆ มันเป็นอะไรที่โคตรจะตรงใจอย่างแรงเลยขอบอก
บ้างครั้งคีก็ปฎิบัติตัวเหมือนๆ จะคิดอะไรกับน้ำเกินกว่าคำว่าเพื่อน คอยดูแล คอยเอาใจใส่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
จากการอ้างอิงมาจากคำบอกเล่าของจอมทัพ ที่ว่าคีกันท่าทุกๆ คนที่เข้ามาจีบน้ำ กระทั่งต่อยตีกับเค้าก็ทำมาแล้วอีก
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่พี่ภูเข้าใกล้น้ำ คีจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน ทั้งพยายามเลี่ยง หรือเข้าไปแทรกคนทั้งคู่
แต่บางคราวคีกลับปฎิบัติตัวเหมือนๆ จะไม่ได้รู้สึกกับน้ำมากไปกว่าคำว่าเพื่อน เช่น ตอนที่ไปยืนจีบลีดเดอร์สีแดงนั่นไง
คือหากจะบอกว่า คีอาจจะยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อน้ำก็ได้ มันก็ดูไม่ค่อยอยากจะน่าเชื่อเท่าไหร่นัก
หรือจะบอกว่าเป็นแค่การหวงเพื่อน มันก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเอามากๆ เพราะทั้งจอมและฟิว ก็ไม่เห็นจะหวงน้ำขนาดนี้

จอมทัพ ชื่อได้บอกได้คำเดียวว่าโคตรจะแมนเลย แต่นิสัยต่างๆ ของเจ้าตัวกลับตรงข้ามกับชื่อพอสมควรทีเดียว
อย่างแรกคือการที่ผู้ชายชื่อแมนๆ อย่างจอมทัพสามารถทำอาหารได้แถมยังอร่อยอีกต่างหาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะนะ
อย่างที่สองคือจอมทัพเป็นคนที่ละเอียดเอาการ ดูเหมือนจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เห็น เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
อย่างที่สามคือจอมทัพเป็นคนช่างสังเกต สังเกตคนโน้น สังเกตคนนี้ สังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของทั้งคนใกล้ตัวและคนไกลตัว
อย่างที่สี่คือจอมทัพเป็นคนที่ใจเย็นมากๆๆ สังเกตได้ง่ายๆ จากตอนที่น้ำเมานั่นแหละ เป็นคนอื่นคงไม่มีมาละมุนละไมแบบนั้น

ฟิวมีคำจำกัดความที่เหมาะสมและมีคุณค่าแก่การคู่ควรเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ 'โคตรงก' แต่เป็นเพื่อนที่ดีมากๆๆๆๆๆๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิดในตัวฟิวนั่นก็คือการที่ฟิวเป็นลูกหลานมาเฟีย ฮ่าๆๆๆ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ให้ดิ้นตาย

น้ำเป็นศูนย์รวมแห่งคำว่าน่ารักไว้ทั้งหมด เพราะไม่ว่าจะทำอะไร น้ำจะน่ารักและน่าเป็นดูไปซะทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนเมา
ตอนน้ำเมานี่เป็นอะไรที่น่ารักสุดๆ แล้วมั้ง มีดื้อดึงไม่เชื่อฟัง พูดไปเหอะ “น้ำจะกลับพร้อมคี” “ไปตามหาคีกัน” “ไปหาคีนะ”
บางทีก็พูดไม่รู้เรื่องไปคนละทิศละทาง อย่างตอนที่อาร์มเข้ามาทักนั่นไง ประโยคเดียวที่ออกจากปากน้ำคือ “พี่อาร์ม หวัดดีคร้าบ”
แต่บางครั้งก็สุดแสนที่จะเชื่อฟังเลย ก็ตอนจอมให้นับแกะนั่นแหละ ตอนแรกนึกว่าน้ำจะพยศไปหาคีเหมือนเดิม แต่ที่ไหนได้
“แกะหนึ่งตัวกระโดดข้ามรั้ว แกะสองตัวกระโดดข้ามรั้ว...แกะตัวที่สิบเอ็ดตัวกระโดดข้ามรั้ว...” (เออ บทจะว่าง่ายก็ง่ายเหลือเกิน)

แอบฮาตอนน้ำเวอร์ชั่นเมาคุยกัยพี่ภูสุดหล่อเนี่ยและ

“ง่วงครับ น้ำจะกลับไปนอนแล้ว” บอกไปมันก็หาวไปด้วย

“ฮะๆ โอเคครับ” พี่ภูหัวเราะน้อยๆ พร้อมกับลูบหัวน้ำ

“ฝันดีนะครับ”

“สัญญานะ” น้ำยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าพี่ภูเฉยเลย เค้าบอกมึงว่าฝันดี ไม่ใช่สัญญา

คือ ถ้าน้ำเมา ทางที่ดีที่สุดคืออย่างไปชวนน้ำคุยเด็ดขาด เป็นไปได้ห้ามสนทนากับน้ำเลยคงจะดีที่สุด กร๊าาาากกก~

จากที่หมั่นไส้คีอยู่แล้ว มาอ่านตอนคีขืนใจน้ำยิ่งหมั่นไส้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ยังคิดอยู่เลยว่าน้ำยอมกลับไปกับคีเร็วเกินไป น่าจะยืดเวลาแล้วดัดนิสัยคีไปอีกซักระยะนึง กร๊าาากกก~

เชียร์ๆๆๆๆๆๆ เชียร์พี่ภูกับจอมทัพ สุดใจขาดดิ้นเลย

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 11-07-2012 17:06:44
ช่ายจริงจริงด้วย แต่อยากอ่าน พี่ภูกับน้องจอมต่ออะ ว่าจะรักกันได้งัยอะเนี้ย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 11-07-2012 18:16:37
พี่ภูเอ้ยคิดไปเองล้วนๆ เลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 12-07-2012 16:23:18
อ่านจบแล้ว ชอบน้องน้ำน่ารักมากเลย เวลาเมายิ่งน่ารักมีนับแกะด้วย
ไม่ค่อยจะชอบคีเท่าไหร่ แต่ชอบพี่ภูมากกกกกกกกกกกก
คนอะไรใจดี หล่อแถมน่ารักใจดีกับน้องน้ำมาก
น่าจะมีตอนพิเศษของภูกับจอมอีกหน่อยนะ
อยากอ่านตอนที่จะเป็นแฟนกันอ่ะ

+1+เป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว จบตอนพิเศษ ภูวไนย vs จอมทัพ) 08/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 12-07-2012 21:55:28
ปล่อยให้พี่ภูเข้าใจผิดไปนะจอม 5555

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 15-07-2012 12:55:55
ต้องการอะไร

“รออยู่ใต้ตึกคณะ เย็นนี้กูจะไปรับ”

ผมยืนมองพี่ภูขับรถไปจนลับสายตา อดแปลกใจไม่ได้ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยมายุ่งกับชีวิตกู แล้วนี่พี่แกจะมารับทำไมวะ เออ ตะกี้ก็ลืมถาม มัวแต่อึ้ง

เอาวะ เจอกันเย็นนี้ค่อยถามแล้วกัน

ผมเปิดประตูห้องพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

โคตรง่วงเลย

ก่อนล้มตัวลงนอนผมไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกให้ไปเรียนทันในตอนบ่าย

“...ขณะนี้ ถึงเวลาที่จะต้องตื่นแล้ว...” ผมสะดุ้งตื่นลนลานปิดเสียงปลุกจากมือถือแล้วซุกหน้าเข้ากับหมอนด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ลำคอแห้งผากและลมหายใจที่ร้อนผิดปกติบ่งบอกถึงอาการได้เป็นอย่างดี

ไข้แดกแล้วไงกู

ผมกดมือถือไล่เบอร์จนเจอเบอร์ไอ้เต้แล้วกดโทรออก

“ไงมึง”

“เต้ วันนี้กูไม่เข้า ถ้ามีเซ็นชื่อ ฝากด้วยแล้วกัน”

“เป็นไรวะ เสียงยังกะคนไม่สบาย”

“เออ ไปกินเหล้ามาเมื่อคืน”

“เจริญละมึง ไงเดี๋ยวกูเซ็นให้”

“แต๊งว่ะเพื่อน”

ผมกดวางสายแล้วปล่อยโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ก่อนความรู้สึกอ่อนเพลียจะโจมตีจนผล็อยหลับไปอีกครั้ง

>>>>ภูวไนย<<<<


ผมขับรถมาจอดที่ลานจอดรถคณะบริหารในตอนสี่โมงเย็น แดดจ้าแสบร้อนสาดเข้ามากระทบสายตา ผมชั่งใจคิดด้วยความสับสน

เมื่อคืน เกิดอะไรขึ้น

ถ้า...ผมมีอะไรกับไอ้น้องจอมจริงๆ ทำไมถึงนึกไม่ออก

แต่...ภาพตอนที่ผมกดไอ้น้องจอมลงกับเตียง และภาพในขณะกระชากกระดุมเสื้อนั้นยังฉายชัด

ภาพสุดท้ายที่จำได้คือ

“เฮ้ย พี่ ใจเย็นๆ ผมจอม ไม่ใช่น้ำ”

ทั้งๆที่ได้ยินเสียง ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควร ร่างกายกลับไม่หยุดการกระทำ

คนใต้ร่างที่ดิ้นรนขัดขืน นี่ผมทำอะไรลงไป

แล้วทำไมมึงถึงไม่พูด ทำไมถึงไม่พูดอะไร ทั้งๆที่ผม...

“อ้าวพี่ ตื่นแล้วเหรอ ขอถือวิสาสะใช้มุมครัวหน่อยแล้วกัน หิวว่ะ”

“ไปทำไรมาวะ”

“เอ่อ เดินชนขอบโต๊ะ”

ผมหลับตานวดขมับด้วยความสับสน

เย็นวันนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

ผมเปิดประตูรถพลางล้วงมือถือในกระเป๋าขึ้นมา พึ่งนึกได้ว่าไม่มีเบอร์ไอ้น้องจอม

ผมเดินไปรอบริเวณหน้าตึกคณะ เผื่อจะเจอ หรืออย่างน้อยอาจเจอคนรู้จักที่พอจะถามได้

รอจนสี่โมงครึ่งก็ยังไม่มีวี่แวว ทางเดียวที่นึกออกตอนนี้คือโทรถามเบอร์ไอ้น้องจอมจากน้องน้ำ

ผมมองหน้าจอมือถือด้วยความรู้สึกหลากหลาย นานแล้วสินะที่ไม่ได้โทรหาน้อง นานจน...ไม่กล้ากดโทรออก

ชั่งใจได้ไม่นาน ความรู้สึกผิดชอบและความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะ

หัวใจเต้นเร็วและเหงื่อที่ซึมจนชื้นมือขณะรอสาย

“พี่ภู” เสียงใสที่ตอบกลับมาทำให้ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจด้วยความประหม่า

“ครับ”

“พี่ภูโทรหาน้ำ มีอะไรเหรอครับ”

“พี่ขอเบอร์จอมหน่อยสิ”

“เบอร์จอมเหรอ 08x-xxxxxxx”

“ขอบคุณครับ”

ผมจดเลขที่ได้ยินลงบนมือก่อนบอกขอบคุณแล้วรีบตัดสาย ไม่กล้าคุยนาน เพราะลึกข้างใน...กลัว

พอเมมเบอร์ไอ้น้องจอมแล้วผมก็กดโทรออก

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

ผมเลิกคิ้วมองหน้าจอมือถือเมื่อไม่มีการตอบรับจากปลายสาย

ลองโทรอีกครั้งแล้วกัน

“สวัสดีครับ” เสียงแปลกๆ

“จอมรึเปล่า”

“ครับ”

“มึงอยู่ไหน”

“พี่ภูใช่มั้ย โทษทีผมลืมโทรบอก วันนี้ง่วงเลยโดด พี่มีอะไรรึเปล่า”

หรือเด็กนี่คิดจะหลบหน้าผม

“มี มึงอยู่หอใช่มั้ย เดี๋ยวกูเข้าไป”

“ไว้พรุ่งนี้ได้มั้ยพี่ วันนี้ผมไม่สะดวก”

“วันนี้ได้มั้ยวะ กูมีเรื่องสำคัญ”

ปลายสายที่เงียบไปสักครู่ ทำให้ผมกังวลไม่น้อย

“โอเคพี่ ซักทุ่มได้รึเปล่า”

“อืม เดี๋ยวกูเข้าไป”

หนึ่งทุ่มตรง ผมมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องไอ้น้องจอมพร้อมกับถุงยาพารา และยาแก้อักเสบ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเคาะประตูและรออยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่มีใครมาเปิดประตู ไม่มีแม้แต่เสียงขยับเขยื้อนจากภายในห้อง

พอกดโทรหาเจ้าของห้อง กลับได้ยินเสียงมือถือดังมาจากข้างใน

“ฮัลโหล พี่มาถึงแล้วเหรอ” เสียงแหบเครือและติดจะงัวเงียตอบมาจากปลายสาย

“อืม กูรออยู่หน้าห้อง”

ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับสภาพใบหน้าที่บ่งบอกได้ว่าคนตรงหน้าพึ่งตื่น ใบหน้าขาวเพราะมีเชื้อจีน ขึ้นสีแดง และความร้อนที่แผ่ออกมาทำให้ผมยื่นมือไปแตะหน้าผากไอ้น้องจอมทันที

ตัวร้อน

ไอ้น้องจอมผงะมองผมด้วยสีหน้าตกใจก่อนหัวคิ้วจะกดลงแสดงท่าทีสงสัย

“เอ่อ พี่เข้ามาก่อนสิ”

ผมถอดรองเท้าไว้หน้าประตูแล้วเดินตามเจ้าของห้องที่เดินเข้าไปนั่งตรงมุมรับแขกด้วยท่าทางอ่อนแรงและสะดุ้งน้อยๆขณะทิ้งตัวลงกับโซฟาพลางเอามือจับตรงสะโพก

ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในอก ความกังวลและข้อข้องใจที่ว่าผมได้ทำอะไรลงไปเมื่อคืน กระจ่างในใจโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม
 
เจ็บ...และไม่สบาย

ไอ้น้องจอมทำท่าเหมือนพึ่งนึกได้ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเปล่ามาให้ผม

“มึงกินยารึยัง”

“กินแล้ว” มันตอบแต่ไม่ยอมสบตา

“กินข้าวรึยัง”

คราวนี้มันสบตาและเลิกคิ้วเชิงคำถาม

“ยังไม่ได้กินใช่มั้ย ห้องมึงมีของสดรึเปล่า”

ไอ้น้องจอมวางแก้วน้ำเปล่าตรงเคาเตอร์มุมครัว ก่อนที่มันจะพูดอะไร ผมก็ชิงพูดตัดบทก่อน

“ไปนั่งรอ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

>>>>จอมทัพ<<<<


ผมเดินมานั่งตรงโซฟาด้วยความมึนงง

ไอ้พี่ภูมาทำอะไรวะ งง ตั้งแต่พี่แกโทรมาแล้ว

มองถุงยาที่วางอยู่บนโต๊ะสลับกับมองไปตรงมุมครัว

คนที่ขะมักเขม้นทำอาหารอยู่ตรงนั้นต้องการอะไร

ผมถอนหายใจด้วยความรู้สึกสับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้ปวดหัว ผมเกลียดช่วงเวลาที่ตัวเองไม่สบายมากที่สุด เกลียดความผิดปกติ ความอ่อนแรงของร่างกาย และที่สำคัญ เกลียดรสชาติขมของยาเม็ดโต

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

“กริ๊ง กริ๊งงงง”

เสียงมือถือที่ดังมาจากบนเตียงทำให้ผมลากสังขารไปกดรับ

“จอม ไปกินข้าวกัน” เสียงน้ำชวนผมอย่างร่าเริง

ผมเหลือบตามองคนผูกผ้ากันเปื้อนที่ง่วนอยู่หน้าเตาไฟฟ้า

“วันนี้จอมมีธุระ ไว้พรุ่งนี้จะไปกินด้วย”

“ไม่สบายเหรอ ทำไมเสียงแหบ” ปลายสายเสียงอ่อนลงจนจับได้ว่าเป็นห่วง

“อืม ก็นิดหน่อย”

“จอมเสร็จธุระกี่โมง เดี๋ยวน้ำจะไปนอนด้วย”

“ไม่ต้องหรอก จอมกลับดึก” ผมปฏิเสธน้ำด้วยคำตอบที่คิดว่าสมเหตุสมผลที่สุด

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าน้ำจะให้คีขับรถไปคืน แล้วเราไปเรียนด้วยกันนะ”

“อือฮึ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”

ผมเดินตรงเข้าไปหาไอ้พี่ภูที่กำลังตักข้าวใส่จาน

“ยกไปได้เลยรึเปล่า”

พอพี่แกพยักหน้า ผมก็ยกจานใข่เจียวและต้มจืดแตงกวาออกมาวางไว้ตรงชุดโต๊ะเก้าอี้ตรงระเบียง

พี่ภูยกจานข้าวตามออกมา

บรรยากาศเงียบ ชวนอึดอัดระหว่างกินข้าวบวกกับความไม่อยากอาหาร ทำให้ผมถามไอ้พี่ภูด้วยความสงสัย

“พี่มีอะไรจะพูดรึเปล่า”

พี่ภูชะงัก วางช้อนที่กำลังจะตักไข่เจียวเข้าปากแล้วมองผมที่พลอยหยุดกินไปด้วย

“มึงยังเจ็บอยู่รึเปล่า” พี่แกถามพลางกินต่อ

เจ็บ...เจ็บอะไรวะ

อ๋อ เจ็บสะโพกหน่ะเหรอ

“ก็ถ้าเอามือกดดูก็เจ็บ เวลาเดินก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ”

“มึงปวดหัวรึเปล่า”

“อือ เดี๋ยวได้นอนคงดีขึ้น”

“เจ็บคอมั้ย”

“ก็ไม่ค่อยนะ”

“รีบกินข้าวแล้วกินยา เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้”

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมจัดการตัวเองได้”

ผมปฏิเสธพี่แกที่ชะงักมองผมอีกครั้ง

งงว่ะ กูเป็นไข้นะ ไม่ได้เป็นง่อย

“ตามใจ”

พอกินข้าวเสร็จ ไอ้พี่ภูก็อาสาล้างจาน

ไล่ให้ผมไปจัดการแปรงฟัน เช็ดตัว แต่ผมคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำเปิดฝักบัวอาบเลยดีกว่า

ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อวาน กลิ่นชักเน่าแล้วไงกู

“จอม มึงไม่สบายอยู่นะ” เสียงเคาะประตูห้องน้ำมาพร้อมกับเสียงเตือนที่ฟังดูไม่ค่อยพอใจ

ผมทำหูทวนลมแล้วอาบน้ำต่อไป น้ำเย็นสะใจดีว่ะ

พออาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วแขวนผ้าเช็ดตัวไว้กับราวผ้า

รู้สึกได้ว่ามีคนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ผมเดินไปทรุดตัวนั่งตรงโซฟาตรงข้ามกับที่พี่ภูนั่งอยู่

คำถามเรื่องพฤติกรรมแปลกประหลาดของคนตรงหน้าผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“กินยา”

ยังไม่ทันได้เอ่ยอ่ะไรออกไป น้ำเปล่าและยาสองเม็ดที่ถูกแกะออกมาจากแผงก็ถูกยื่นมาให้

“ไม่เห็นต้องกิน เดี๋ยวก็หาย” ผมเบือนหน้าหนียาเม็ดเป้งที่ท่าทางจะขมน่าดู

“มึงจะกินดีๆหรือให้กูจับกรอก”

ผมเริ่มรู้สึกไม่พอใจ มายุ่งอะไรกะกูมากมายวะ

“มันเรื่องของผม พี่ไม่ต้องมายุ่ง”

ไอ้พี่ภูถอนหายใจก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“เรื่องของมึงก็คือเรื่องของกู กินยาแล้วไปนอนซะ”

ผมเอื้อมมือรับยาแล้วโยนเข้าปาก กระดกแก้วน้ำตามหวังให้เรื่องมันจบๆ และจะได้ไล่คนตรงหน้ากลับๆไปซักที

รสชาติขมที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นและลำคอทำให้ผมแทบอ้วก

ผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนจะอาเจียนออกมา

ผมยืนท้าวแขนกับอ่างล้างหน้าด้วยความรู้สึกผะอืดผะอม

เหี้ยเอ้ย กูไม่ชอบกินยา

เสียงฝีเท้าวิ่งตามมาพลางถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

“จอม มึงเป็นอะไรรึเปล่า”

ผมหันควับไปมองไอ้พี่ภูด้วยความไม่พอใจแล้วเดินกระแทกไหล่ผ่านพี่แกไป

วูบ

ความรู้สึกหน้ามืดและร่างกายที่ร่วงลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

ยังไม่ทันได้กระแทกพื้น ใครอีกคนในห้องก็เข้ามาโอบเอวผมแล้วช้อนตัวอุ้มไปนอนบนเตียง

ผมพยายามลืมตาเพราะรู้สึกมึนหัว

“ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ผมจะนอน” ผมพูดพลางพลิกตัวหนีไปอีกทาง

เสียงถอนหายใจหนักๆจากอีกคนที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง เรียกให้อารมณ์ผมขุ่นมัวขึ้นมาทันที

“จอม กูขอโทษ”

ผมไม่ตอบเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่พี่แกจะต้องมาขอโทษ

เสียงหยิบกุญแจและเสียงประตูห้องที่ปิดลงทำให้ผมถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้น

ไม่เข้าใจ

จู่ๆก็โผล่มา

หรือแค่ต้องการตอบแทนที่ผมพากลับคอนโดเมื่อวาน

แล้วทำไมต้องมาวุ่นวาย

คำถามประหลาดกับยาที่ซื้อเตรียมไว้ราวกับรู้ว่าผมไม่สบายนั่นอีก

และเรื่องสำคัญอะไรที่พี่แกตั้งใจมาคุยด้วยกันแน่

สุดท้ายแล้วผมก็คิดไม่ตกและหลับไปด้วยความสงสัย

...................

 :m23: มีคนอยากอ่านเราก็เลยอยากแต่ง
ขอบคุณคุณคนอ่านที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้กันนะคะ  :pig2:

@ คุณ yeyong ง่า จะให้เอามีดแทงจริงเหรอ :interest:  :o9: อืม คิดไปคิดมาก็เลย แต่งต่อก็แต่งต่อ พอดีอิ๋งขี้เกียจคิดฉากลงเอยกัน  ก็เรย กะว่าโอเค น้องจอมกับพี่ภูจบประมาณนี้แล้วกัน แต่เอาไปเอามาก็คิดว่า เอ จะดีมั้ยนะ เห็นคอมเม้นต์แล้วก็แต่งต่อดีกว่าเนอะ ^_^

@ คุณ must  :m2: เห็นคอมเม้นต์แล้วสุขใจหาใดเปรียบ ถ้าคุณ must เรียนวรรณกรรมศึกษาต้องเป็นนักเรียนที่คุณครูปลื้มมากแน่ๆเลย อิ๋งก็ปลื้ม :impress2:  เรื่องยกเครดิตให้คุณ yeyong นี่อิ๋งก็ต้องขอบคุณคุณ yeyong อีกครั้งล่ะ เป็นนักอ่านที่น่ารักมากๆเลย
ดีใจค่ะที่เห็นคุณ must ชอบ ยังไงก็ฝากเชียร์พี่ภูกับจอมทัพด้วยนะคะ

@ คุณ takara วันนี้มาต่อแล้วค่ะ มาช่วยลุ้นด้วยกันเนอะว่าเค้าจะรักกันได้ยังไง คนหนึ่งก็ยังไม่ลืมน้องน้ำและเข้าใจผิด อีกคนก็งง ว่าไอ้นี่มายุ่งอะไร จะลงเอยกันแบบไหนอิ๋งก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกันค่ะ  :laugh:

@ คุณ k00_eng อ่านตอนนี้แล้วจะรู้ว่าพี่ภูคิดไปเองได้อีกค่ะ :laugh3:

@ คุณ nongrak  :mc3: ดีใจที่คุณnongrakเข้ามาอ่านค่ะ มีแต่คนชอบพี่ภูเนอะ ตอนพิเศษพี่ภูจอมทัพมาแล้วน้า ฝากช่วยเชียร์คู่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

@ คุณ inspirer_bear ตอนนี้น้องจอมเค้าก็ไม่อยากปล่อยให้พี่ภูเข้าใจผิดหรอกค่ะ แต่พี่ภูเข้าปิดโอกาสการเข้าใจที่ถูกต้องของตัวเองไปซะแล้ว  ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: must ที่ 15-07-2012 14:00:00
กรี๊ดดดดดดดด~ ในที่สุดพี่ภูจ๋ากับน้องจอมทัพก็มาแว้วววววววว~

หลังจากสรุปเรื่องราว (แบบผิดๆ) ได้เอง ทั้งยังมารู้อีกว่าจอมไม่สบาย (จึงโมเมว่าเป็นเพราะตัวเอง)
พี่ภูที่แสนดีก็ทำการหาซื้อทั้งยาแแก้ปวด แก้อักเสบ และไปเยี่ยม(?)จอมตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้
(นัยว่าตัวเองเป็นหมอด้วย เลยทำการวิเคราะห์และวินิจฉัยอาการของจอมทัพเอาเองเสร็จสรรพ)
แล้วมันเป็นเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณก้นของน้องจอม (ที่มีสาเหตุมาจากการตกเตียงนั่นเอง)
และพอเห็นท่าทางของจอมที่สะดุ้งขณะกำลังนั่งลงนั่น ก็ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องแล้ว
เมื่อมั่นใจแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว จิตใต้สำนึกส่วนดีก็จี้ให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาในบัดดล

แต่จุดพีคมันอยู่ตรงช่วงบทสนทนาของทั้งคู่นี่แหละ
หลังจากเข้าใจผิดไปเองคนเดียวแล้ว แต่คงยังไม่พอใจมั้ง จึงทำใจกล้าอ้าปากไปถามเค้าอีกแน่ะว่า
“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า” =[]= (ก็ต้องยังเจ็บอยู่ดิพี่!!!! ขนาดแค่จะเอาก้นแตะเบาะยังสะดุ้งโหยงเลยเนี่ย)
จอมทัพก็ให้ความร่วมมือ (ต่อความเข้าใจผิดของภูวไนย) เป็นอย่างดี จึงตอบคำถามให้พาคิดไกลไปว่า
“ก็ถ้าเอามือกดดูก็เจ็บ เวลาเดินก็ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะ” *0* (ตอบซะละเอียดยิบ ชวนให้จินตนาการเชียว)

ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้จะบอกว่ารู้สึกยังไงกับสิ่งที่พี่ภูมโนไปไกลจนเตลิดเปิดเปิงแบบกู่ไม่กลับแบบนี้
โมเมเอาเอง ตีความเอาเอง ต่อยอดความทรงจำที่หายไปเอาเอง  สรุปว่าพี่ภูเหมารวมไปเองล้วนๆ
จะว่าฮามันก็ฮานะ จะว่าสงสารก็สงสารแหละะ จะว่าถูกใจก็ต้องบอกว่าใช่ถูกใจมว๊าากกกกกก~

@ คุณ must  :m2: เห็นคอมเม้นต์แล้วสุขใจหาใดเปรียบ ถ้าคุณ must เรียนวรรณกรรมศึกษาต้องเป็นนักเรียนที่คุณครูปลื้มมากแน่ๆเลย อิ๋งก็ปลื้ม :impress2:  เรื่องยกเครดิตให้คุณ yeyong นี่อิ๋งก็ต้องขอบคุณคุณ yeyong อีกครั้งล่ะ เป็นนักอ่านที่น่ารักมากๆเลย
ดีใจค่ะที่เห็นคุณ must ชอบ ยังไงก็ฝากเชียร์พี่ภูกับจอมทัพด้วยนะคะ

อร๊าายยยยยยย~ ขอบคุณค่าาาา~ ดีใจจังที่ชอบคอมเม้นต์เรา เห็นคุณครูปลื้มขนาดนี้ หนูเขินนนนน~ >////<
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: pita ที่ 15-07-2012 15:48:26
มัน ซึนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน เกินไปแระ ฮ่าๆๆ

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 15-07-2012 15:50:31
ว้าววๆๆๆๆ  ขอบคุณน้องอิ๋งมากๆเลย :กอด1:

อาการของน้องจอมมันครบสูตร จนพี่ภูแกคิดได้เป็นจริงเป็นจังมาก
ฮาไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่าถ้าเวลาสองคนคุยกัน มันคงงงๆอ่ะนะ คุยกันคนละเรื่องเดียวกัน :z3:

แต่คิดว่าคู่นี้คงไม่น่าจะลงเอยกันหรอก เพราะต่างก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อกันน้องจากพี่น้อง
(แม้ในใจอยากจะให้มีคู่รักคู่ใหม่เกิดขึ้น)
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 15-07-2012 17:29:10
ตกลงคีกับน้ำทะเลาะกันเรื่องอาราย แต่ดีกันแล้วก็ดีแล้วเนอะ

พี่ภูก็ยังคงไม่ถามและเข้าใจผิดต่อไป

จอมก็ยังงง อยู่ 55555 คุยกันเหมือนเข้าใจคนละเรื่องอีกต่างหาก

5555 รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 15-07-2012 21:39:23
คู่นี้ตกร่องปล่องชิ้นกันเพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ
บทจะง่ายก็ง๊ายง่ายเนาะ ทีนายคีกะนู๋น้ำกว่าจะลงเอยกันได้ คนเชียร์แทบขาดใจ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 16-07-2012 17:26:21
พี่ภูน่ารักอะ เข้าใจผิดซะได้ อิอิ จอมงงเลย ฮาอะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Salome ที่ 16-07-2012 17:52:10
แอบซุ่มอ่านมานาน ไม่เคยเม้นต์
แต่ตอนนี้มันทนไม่ไหว เพราะคู่นี้แหละ  พี่ภูน้องจอม
สุดยอด เหตุการณ์มันพาไปจริงจริ๊งงง
รอลุ้นกันไปเลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ ต้องการอะไร) 15/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 17-07-2012 16:18:50
ภูทำไมไม่คุยกับจอมเลยล่ะ เผื่อจะทำให้อะไรดีขึ้น
แต่เข้าใจผิดแบบนี้ก็ดีนะ พอเป็นแฟนกันแล้วค่อยรู้ความจริง

+1+เป็ดให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 17-07-2012 21:30:28
เพราะป่วย

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกร้อน เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ผมพลิกตัวนอนหงายพยายามเรียกสติตัวเองด้วยความยากลำบาก

ปวดหัว ปวดมาก

ผมสูดหายใจและค่อยๆลืมตา

ร้อนไปหมด ลมหายใจร้อนผ่าว พลิกตัวนอนกลิ้งไปส่วนไหนของเตียงก็อึดอัด

ผมลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินไปเปิดพัดลม แต่ก็ต้องทิ้งตัวนั่งลงกับเตียงอีกครั้งเพราะหน้ามืด

พอรู้สึกดีขึ้นผมก็เดินไปเปิดพัดลมแล้วล้มตัวลงนอนต่อ

สัมผัสเย็นและเปียกชื้นตรงใบหน้าทำให้ผมหันหน้าหนีด้วยความรำคาญ แต่สัมผัสเย็นๆนั้นยังคงไม่หายไป ด้วยความง่วงผมเลยปล่อยเลยตามเลย ผ่านไปสักพัก ผมกลับเป็นฝ่ายตะแคงหน้ารับความเย็นนั่นเสียเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี

อือ สบายขึ้นเหมือนกันแฮะ

ท่ามกลางความรู้สึกเลือนรางกึ่งรู้สึกตัวกึ่งความฝัน

ผมปรือตามองเมื่อถูกประคองให้พิงอกใครสักคนหนึ่ง

เสื้อยืดชุ่มเหงื่อและกางเกงนอนขายาวค่อยๆถูกถอดออกด้วยความทุลักทุเล

สัมผัสเย็นๆเปียกชื้นนั้นลูบไล้ไปทั่วตัว

ก่อนเสื้อยืดอีกตัวและกางเกงขาสั้นจะถูกสวมให้

ผมกำชายเสื้อของอีกคนแล้วกระตุก

“เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินเอ่ยถาม

“ใคร อะ แค่กๆ”

“เจ็บคอเหรอ กินยาอมได้มั้ย”

เมื่อได้รับคำตอบที่ยังไม่กระจ่าง ผมจึงพยายามเงยหน้าไปมอง

“พี่ แค่กๆ แค่กๆ”

พี่ภูจับผมนั่งพิงหัวเตียงก่อนเดินลงจากเตียงไปและกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าในมือ

ผมค่อยๆจิบน้ำที่มีคนถือแก้วประคองให้ด้วยความรู้สึกกระหายน้อยๆแล้วล้มตัวลงนอน

ผมหลับตาลงด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน

เสียงพลาสติกดังกรอบแกรบ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆตรงหน้าผาก

“รู้สึกดีขึ้นรึเปล่า”

ผมพยักหน้า

เย็น โล่งๆในหัวดี

พี่ภูทาบางอย่างตรงช่วงคอลงไปถึงกลางอก

ผมหายใจโล่งและสะดวกมากขึ้น

ความรู้สึกสุดท้ายคือความเย็นจากมือใหญ่บริเวณลำคอและแก้ม

ผมตื่นขึ้นในตอนเช้าเพราะเสียงกุกกักที่ดังมาจากมุมครัว

“จอม ตื่นแล้วเหรอ” หันไปมองก็เห็นน้ำนั่งเกยคางกับเตียงจ้องมองด้วยดวงตากลมโต หางตาที่ตกน้อยๆมักทำให้ดูเหมือนเจ้าตัวทำหน้าเศร้าในเวลาที่ไม่ยิ้ม ตากลมดูหมองลงกว่าเดิมเมื่อน้ำกัดปากล่างแล้วแนบหน้ากับที่นอนมองตรงมา

“แผ่นแปะลดไข้ลายเพนกวินน่ารักจัง” น้ำปืนขึ้นเตียงก่อนนอนตะแคงพลางพูดกับผม

“ยังไม่ไปเรียนเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นน้ำใส่เสื้อเชิ้ตคณะกับกางเกงยืน

“น้ำรอกินข้าวกับจอม”

“ป่ะ ไปล้างหน้าแปรงฟันกันดีกว่า” คนขี้อ้อนยิ้มประจบแล้วประคองตัวผมเดินไปห้องน้ำ

ผมอมยิ้มขำน้อยๆ

ถ้าผมจะล้มลงจริงๆ คงได้ลงไปกองที่พื้นทั้งคู่ แต่เอาเถอะ เดี๋ยวสายชลเค้าจะเสียน้ำใจ ทิ้งน้ำหนักตัวให้เค้าประคองหน่อยแล้วกัน

ผมนั่งกินโจ๊กอย่างไม่รับรู้รสชาติเท่าไหร่นัก แต่ที่ตักกินจนหมดถ้วยก็คงเพราะนั่งกินเป็นเพื่อนน้ำ

ไอ้คีล้างถ้วยอยู่ตรงซิงค์น้ำ ส่วนน้ำก็เปิดการ์ตูนพร้อมกับแกะส้มกินไปด้วย

“จอมกินส้มเยอะๆ เค้าบอกว่าวิตามินซีทำให้ไม่เป็นหวัดนะ”

“มันจะช่วยได้เหรอ ตอนนี้เป็นไข้ไปแล้วนี่หว่า” ผมเลิกคิ้วถามไอ้น้ำยิ้มๆ

“ง่า ช่วยได้อยู่มั้ง อร่อยนะ” น้ำทำท่าคิดก่อนยื่นส้มกลีบหนึ่งมาให้ผม

ไอ้น้ำคงกะให้ผมกินจนหายเป็นไข้จริงๆนั่นแหละ ซื้อมาซะหลายกิโลเชียว

ผมกวาดตามองห้องที่สะอาดขึ้นกว่าเดิม ของที่เคยวางระเกะระกะถูกจัดให้เข้าที่เข้าทาง ฝุ่นตามพื้นและเฟอร์นิเจอร์ก็หายไป ไม่ต้องสงสัยว่าใครเป็นคนทำความสะอาด

ก็ไอ้คนที่นั่งกินส้มดูการ์ตูนอยู่นี่แหละ ห้องผมคงเละกว่านี้ถ้าไม่ได้น้ำมาคอยช่วยจัดให้

แรกๆมันก็บ่นนะครับว่าให้รู้จักทำความสะอาดห้องบ้าง

หลังๆมาคงขี้เกียจหรือทนไม่ไหวก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเก็บกวาดให้จนผมเคยตัว

“เออ จริงสิ เมื่อวานพี่ภูโทรมาขอเบอร์จอมจากน้ำ พี่เค้าโทรมาหาจอมรึยังอ่ะ” พอตัดเข้าโฆษณาน้ำก็หันมาถามผม

“อือ โทรมาแล้วล่ะ”

น้ำพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันกลับไปดูทีวีต่อ

ไม่รู้พี่ภูกลับไปเมื่อไหร่ เมื่อวานผมอารมณ์เสียใส่

นึกว่าจะกลับคอนโดตัวเองไปแล้วซะอีก ยังอุตส่าห์กลับมาเช็ดตัวให้

แรกๆก็นึกว่าฝันไป

แต่เสื้อผ้าที่ไม่ใช่ชุดเดิมและแผ่นลดไข้เป็นเครื่องยืนยันถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้เป็นอย่างดี

ตกลงแล้วเมื่อวานเลยไม่ได้คุยกันเรื่องธุระสำคัญ

ประมาณสิบเอ็ดโมงไอ้คีกับน้ำก็ออกไปเรียน

ผมตัดสินใจโดดเรียนอีกวันเพราะยังรู้สึกเพลียๆและปวดหัวอยู่

การที่หลับเต็มอิ่มทั้งวันเมื่อวานทำให้วันนี้ไม่ค่อยง่วงนัก

ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงียบๆบนเตียง

มองเห็นถุงยาที่วางไว้ข้างหัวเตียง

หยิบมาค้นๆดูถึงเห็นสารพัดยา ทั้งยาพารา ยาแก้อักเสบ ยาอมตรายีราฟ ยาอมมายบาซิน แผ่นแปะลดไข้ พิมเสนน้ำ

หืม ยาน้ำซาร่ารสสตรอเบอรี่ ผมยิ้มพลางส่ายหัว พี่ภูจีบไอ้น้ำจนติดเป็นนิสัยป่าววะ ซื้ออะไรแต่ละอย่าง สีสันลวดลายน่ารักอย่างกะซื้อให้เด็ก

เมื่อวานไม่น่าไปโมโหใส่พี่เค้าเลยว่ะ คงหวังดีจริงๆนั่นแหละ

มีแค่ไอ้คี ไอ้ฟิวกับน้ำที่รู้ว่าผมไม่ชอบกินยา

ถ้าหายแล้วได้เจอพี่ภูอีกครั้ง ถึงตอนนั้นจะต้องบอกว่าขอโทษหรือขอบคุณดีวะเนี่ย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กินเหล้าจนไข้แดกเลยเหรอวะ” ไอ้ฟิวทักทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง

“สงสัยอยู่เหมือนกันว่ะ มาคราวนี้จะอยู่กี่วันล่ะ” ผมตอบชายฟิวพลางตั้งคำถามกับฝรั่งตัวโตที่เดินตามชายฟิวเข้าห้องมา

“อีกสองสามวัน” สำเนียงไทยชัดแจ๋วจากไอ้ Andy ที่แรกๆมันมาแลกเปลี่ยนตอนม.5 ทำเป็นแอ๊บพูดไทยไม่ได้ ที่ไหนได้มาจับได้ก็ตอนที่แกล้งทิ้งมันให้หลงทาง พวกผมก็พากันแอบดูว่ามันจะทำไงต่อไป

“ป้าครับไปรอรถเข้าเมืองได้ตรงไหนครับ”

อื้อหือ แจ็กพ็อตล่ะสิทีนี้ พวกผมเลยรีบแสดงตัว มันก็ยิ้มให้ พอถามว่าทำไมมึงไม่บอกว่าพูดไทยได้วะ มันก็ดันตอบว่าก็ไม่มีใครถามนี่หว่า

เซ็งกับไอ้ฝรั่งนี่จริงๆ

แต่เห็นมันชอบพูดภาษาอังกฤษกับไอ้น้ำกับชายฟิว

ไอ้น้ำมันก็สื่อสารภาษาเดียวกันอยู่หรอก แต่ไอ้ฟิวนี่ขึ้นมึงกูเหมือนคุยกับพวกผมนี่แหละ

ไม่รู้มันมาแลกเปลี่ยนหรือมาลองของ เห็นจีบชายฟิวอยู่เป็นปี

สุดท้ายก็อย่างที่เห็น สามวันดีสี่วันไข้ รักกันฮาร์ดคอร์ไปตามประสา

“มึงกินข้าวกินยายังวะ”

“กินแล้ว”

“เดี๋ยวนี้พัฒนา ซื้อยามากินได้แล้วรึไง ไหนเอามาดูดิ๊” ไอ้ฟิวคว้าถุงยาที่วางอยู่ข้างตัวผมไปดู

“เภสัชเค้าคงเอือมมึงเนอะ ซาร่ารสสตรอเบอรี่ อ้าว ยังไม่ได้เปิดขวด มึงไม่ลองหน่อยเหรอ” ไอ้ฟิวชูขวดยาถามผมด้วยหน้าตากวนส้น

“ถ้ากินจริงๆกูว่าคงได้กินวันละขวดกว่าจะหาย” ยาน้ำของเด็กๆนี่ตัวยามันจะเจือจางหน่อยใช่ป่าว กะไม่ถูกว่ะ

“มึง จะเที่ยงแล้วกูหิว ลุกมาหาไรให้กูกินเร็ว”

“ไม่ไปหากินเองวะ” ไม่รู้ในตู้เย็นจะเหลือของสดอยู่รึป่าวเพราะผมไม่ได้ซื้อเข้ามาเลย

“มึงทำให้กินนั่นแหละ ประหยัด ถูกสุขอนามัย”

ผมมองไอ้ฟิวเอือมๆ นี่กูเป็นคนป่วยอยู่นะ ผัวมึงรึฐานะก็มีอันจะกิน

พอเปิดตู้เย็น ผมกลับต้องแปลกใจ เมื่อเห็นวัตถุดิบเต็มไปหมด สงสัยไอ้คีกับน้ำซื้อมาใส่ให้เมื่อเช้า

“กลิ่นหอม จอมทำอะไรทาน” Andy เดินกลับมาจากคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงถามพลางทำจมูกฟุดฟิด

“ผัดพริกเขียวหวาน เคยกินรึเปล่า”

“ไม่เคย คิดถึงอาหารไทยมากๆ”

“คิดถึงคนที่อยู่เมืองไทย” ฝรั่งตัวโตหยอดชายฟิวที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หน้าแดงหยิบส้มในตระกร้าใบเล็กบนหลังตู้เย็น

ผมยิ้มล้อเลียน ยักคิ้วให้ชายฟิวที่ส่งนิ้วกลางกลับมา

พอกินข้าวเสร็จ พวกผมนั่งกดเกมส์จนถึงบ่ายสอง ไอ้ฟิวก็ต้องไปเรียน

“เดี๋ยวตอนเย็นกูมาอยู่เป็นเพื่อน”

“กูไม่เป็นไรแล้วได้มั้ย พวกมึงจะไปสวีทกันที่ไหนก็ไป”

“หยิ่งว่ะ” ไอ้ฟิวบ่นงึมงำก่อนออกจากห้องไป

หึ กูรู้ว่ามึงดีใจหรอก นานๆทีจะได้เจอกัน

ผมนอนดูทีวีในตอนบ่ายจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็เป็นสีส้มซะแล้ว ผมลุกจากเตียงไปล้างหน้าในห้องน้ำแล้วนั่งรับลมที่ระเบียง ผมโชคดีที่ได้ห้องที่อยู่ฝั่งติดกับบ้านของคนๆหนึ่ง มองจากตรงนี้เห็นตัวบ้านที่เป็นบ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูง บริเวณบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ จนบางส่วนกลายเป็นป่ารกชัด ผมคิดว่าบ้านที่มีเนื้อที่กว้างแบบนี้หายากมากในเมืองเชียงใหม่ปัจจุบัน กว้างถึงขนาดไหนหน่ะเหรอ ก็มีสระบัวใหญ่หนึ่งสระล่ะนะ มองทอดสายตาไกลออกไปจะเห็นตัวเมืองที่วุ่นวาย รถวิ่งไม่เคยหยุด และแสงไฟจากตึกที่ค่อยๆทยอยเปิดส่องแสงแข่งกัน

ปั่งๆๆๆๆๆ

เสียงทุบประตูห้องรัวแบบไม่เกรงใจเจ้าของห้องซักนิด ไม่ต้องเดาก็รู้ละว่าเป็นใคร

“ไข้แดกข้ามวันหรือกะโดดข้ามวันวะ” ไอ้เต้ทักผมพลางพาสมัครพักพวกเดินเข้ามาในห้อง

ในมือแต่ละคนหิ้วถุงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมาเต็มไม้เต็มมือ ใช้เวลาเพียงไม่นานวงเหล้าสมบูรณ์แบบก็กรึ่มได้ที่ ผมมีหน้าที่จัดเตรียมกับแกล้มให้พวกมันเหมือนเคย วันนี้ผมกะว่ายังไม่กิน รอให้หายสนิทก่อน เพราะอาการปวดหัวและความอ่อนเพลียยังคงไม่จางหายไป ผมไม่อยากเป็นหนักจนต้องเข้าโรงบาลหรือโดนบังคับให้กินยาอีก

“ไอ้จอม มานั่งนี่เร็ว ซักกรึ๊บเพื่อน” ไอ้ป๊อบเรียกผมพลางชูแก้วเหล้าที่ชงไว้ให้แล้ว

ผมไปนั่งตามที่มันบอกแต่ไม่ยอมดื่ม

พอเริ่มกรึ่มๆได้ที่ พวกมันคงรู้สึกแปลกๆที่ผมไม่มีแก้วในมือ

“ให้ไวมึง หนามยอกต้องเอาหนามบ่งโว้ย” ไอ้แซ็กว่าพลางคะยั้นคะยอให้ผมดื่ม

ไม่ทันที่ผมจะรับแก้วมาถือไว้ พี่ภูพี่ที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับพี่อาร์มเมื่อครู่ก็เดินมาคว้าแก้วจากมือไอ้แซ็กไป

“หนามบ่งบ้านมึงดิ เดี๋ยวไอ้จอมได้นอนซมทั้งอาทิตย์” พี่แกพูดจบก็กระดกรวดเดียวหมดแก้ว

“หอบอะไรมาเยอะแยะวะพี่” ไอ้โจทักด้วยความทึ่งที่พี่แกหอบของพะรุงพะรังเข้ามา ผมเองก็กะจะทักอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
ผมรีบลุกไปช่วยเมื่อเห็นพี่ภูกำลังเก็บของใส่ตามตู้ตรงเคาเตอร์ครัวและตู้เย็น

พอกวาดตามองผมก็ได้แต่อึ้ง มีทั้งรังนก ลองกอง แตงโม  มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ มังคุด กล้วย แก้วมังกรและตบท้ายด้วยส้มถุงใหญ่

“พี่กะให้ผมกินแทนข้าวรึเปล่าเนี่ย”

พี่ภูชะงักเกาหัวเก้อๆก่อนพูดเบาๆ

“กูไม่รู้ว่ามึงชอบกินอะไร เลยเผลอซื้อมาเยอะไปหน่อย”

อันนี้ไม่เรียกหน่อยละพี่ แถวบ้านผมเค้าเรียกเยอะโคตร

กว่าห้องผมจะกลับเข้าสู่ความสงบก็ปาไปห้าทุ่ม สมาชิกที่เหลืออยู่ก็มีแค่ไอ้คี ไอ้น้ำที่ยืนยันว่ายังไงวันนี้ก็จะนอนเฝ้าผมให้ได้ และพี่ภู

คนหลังสุดนี่ผมก็งงอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่กลับไปกับชาวบ้านเค้า สงสัยคงอยู่รอคุยธุระอะไรนั่นล่ะมั้ง

พอผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ้คีกับน้ำนอนอยู่ตรงที่นอนที่ปูไว้ข้างเตียง เห็นไอ้สองคนนี้นอนด้วยกันทีไรก็นึกถึงพ่อกับลูกทุกที

ไอ้น้ำที่กอดตุ๊กตาน้องผสมหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดไอ้คี ก็รู้สึกว่ามันน่ารักดีล่ะนะ

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอย่างนี้รึเปล่า อีกคนที่อยู่ในห้องถึงได้ไปนั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง

เฮ้อ เรื่องของหัวใจมันไม่เข้าใครออกใครซะด้วยสิ

“แค่กๆ แค่กๆ” เปิดประตูกระจกตรงระเบียงออกไปผมก็ไอทันที

พี่ภูรีบดับบุหรี่แล้วโยนทิ้งไป

เรานั่งอยู่เงียบๆได้ซักครู่ ผมที่นั่งเอาคางเกยแขนตัวเองตรงราวระเบียงก็เอ่ยถามทำลายความเงียบ

“เรื่องสำคัญที่พี่จะคุยกับผมคือเรื่องอะไร”

“กูอยากขอโทษเรื่องวันก่อนที่กูเมา กูไม่ได้ตั้งใจบังคับหรือว่าทำให้มึงเจ็บ”

คงหมายถึงเรื่องที่พี่แกกดผมลงกับเตียงวันนั้น

“ช่างเถอะพี่ เรื่องเล็กน้อย มันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป”

“มึงเลยพลอยไม่สบาย”

“ผมก็ต้องขอโทษพี่เหมือนกันที่เมื่อวานอารมณ์เสียใส่ แล้วก็ขอบคุณที่กลับมาช่วยเช็ดตัวให้ ไม่ได้พี่ผมคงแย่”

“ตอนนี้มึงไข้ลดรึยัง” ไม่ถามเปล่า พี่ภูใช้หลังมือแตะตรงหน้าผากผมทันที

“จอม วันนั้นกูจูบมึงจริงๆใช่มั้ย” พี่แกถามพลางจ้องเข้ามานัยย์ตา

“อืม...”

“ขอลองอีกครั้งได้รึเปล่า” ท่าทีที่เปลี่ยนมาเท้าแขนคร่อมเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งอยู่และใบหน้าที่โน้มมาใกล้ทำให้ผมถดตัวติดกับพนักพิงด้วยความตกใจ

“หึๆ กูล้อเล่น” พี่ภูหัวเราะน้อยๆแล้วจะผละออกไป แต่ด้วยความที่ผมอยากเอาคืนเลยดึงคอเสื้อพี่แกเข้ามาให้ได้ตกใจซะบ้าง

“อึก...อึก...พี่...อื้อ”

ผมผลักพี่แกออกแล้วเอาหลังมือถูริมฝีปาก บ้าเอ้ย ไหนว่าเล่นๆไง

“ฮะๆ ที่แก้มแดงนี่เขินหรือว่าเพราะเป็นไข้”

ยิ่งพี่ภูเอ่ยปากล้อ หน้าผมก็ยิ่งร้อนขึ้น

“จอม คราวนี้กูพูดจริงนะ...” พี่ภูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับเอามือแนบแก้มบังคับใบหน้าผมให้สบตา

“เป็นแฟนกันมั้ย”

ผมได้แต่นิ่งอึ้งกลั้นหายใจ กระพริบตามองพี่แกด้วยความมึนงง เหมือนเวลาผ่านไปช้าๆพร้อมๆกับที่ใจผมเต้นแรง รอบข้างเงียบจนได้ยินเสียงหายใจ

“ตกลงเอาไง” คนตรงหน้าโน้มตัวมาใกล้จนใบหน้าเราเกือบจะชิดกัน

“ถ้าไม่ตอบ กูจะจูบนะ” ไม่ใช่แค่ขู่ พี่แกจะทำจริงๆ

“กะ ก็ได้” ผมรีบเอื้อมมือไปปิดปากคนตรงหน้าแล้วหลบตา

“ป่ะ ไปนอน” พี่ภูลากแขนผมที่ยังไม่หายอึ้งไปนอนบนเตียง

สัมผัสจากมือคู่เดิมแปะแผ่นลดไข้ ทาพิมเสนน้ำตั้งแต่คอลงไปถึงกลางหน้าอกและห่มผ้าห่มให้ ก่อนจะสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“รีบหายไวๆล่ะ” สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากทำให้ผมนอนตะแคงตัวไปอีกทางด้วยความคิดที่ยังสับสน

นี่กูตอบอะไรออกไปวะ

>>>>อีกมุมหนึ่ง<<<<

น้องน้ำที่สะดุ้งตื่นเพราะปวดฉี่ต้องชะงักหลังเดินออกจากห้องน้ำเมื่อเห็นภาพพี่ภูกับน้องจอมค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าหากัน(จริงๆแล้วมีแต่พี่ภูเคลื่อนเข้าหามากกว่า)

คนที่เห็นโดยบังเอิญหน้าร้อนเพราะรู้สึกเขินรีบปลุกน้องคีที่นอนนิ่งเอาแขนพาดน้องผสมอยู่

“คี ตื่นเร็ว”

“อือ น้ำ ยังไม่ง่วงเหรอ”

“คี กลับหอกันเถอะ”

“ไหนบอกจะนอนห้องจอม”

เพราะน้องน้ำเงียบไปอย่างผิดปกติ อัคคีจึงงัวเงียตื่นขึ้นมานั่งขยี้ตา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองตามสายตาสายชลไปตรงระเบียงห้อง

“เออ กลับเถอะ”

และทั้งคู่ก็ค่อยๆเดินออกจากห้องและปิดประตูด้วยความเงียบเชียบ

................จบจ้า...............

 :m4: เย้ จบไปแว้ว สำหรับตอนพิเศษของภูวไนยและจอมทัพ หวังว่าคงถูกใจคนที่คอยเชียร์คู่นี้อยู่นะคะ เพราะพระเอกของตอนนี้เป็นพี่ภู เลยไม่มีอ้อมค้อม ลงเอยกันโดยไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยใจ  :mc3:

@ คุณ must  :impress: สนใจมากรี๊ดต่ออีกรอบรึเปล่าคะ และเรื่องราวก็จบลงโดยที่พี่ภูยังคงมโนไปเองและขอน้องจอมเป็นแฟนแล้วด้วย อ่านคอมเม้นต์ของคุณ must แล้วหลงเลย อิๆ  :man1:

@ คุณ pita ตอนนี้ก็ยังซึนค่ะ ซึนจนจบ  :laugh3:

@ คุณ yeyong อิ๋งเต็มใจแต่งให้ค่ะ  :กอด1: แต่คู่ที่ไม่น่าลงเอยกันได้นี่สุดท้ายอิ๋งก็จับเค้ามาเป็นแฟนกันจนได้น้า แบบนี้เรียกว่ามีคู่รักคู่ใหม่เกิดขึ้นได้รึเปล่าเอ่ย  :o8:

@ คุณ inspirer_bear เรื่องน้องคีกับน้องน้ำทะเลาะกันเป็นแค่แบ็คกราวด์ที่จะทิ้งน้องจอมให้เผชิญกับการแบกพี่ภูกลับค่ะ  และตอนต่อไปก็มาแว้ว โดยที่ทั้งสองคนยังคงคุยคนละเรื่องเดียวกันอยู่นะคะ ซักวันเค้าคงรู้ว่ามโนกันไปเอง  o3ถึงตอนนั้นคงจะรักกันจริงๆแล้วล่ะนะ

@ คุณ kasarus  :m23: เนื่องจากพี่ภูเค้าเป็นคนตรงๆไม่อ้อมไม่วน เลยไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อยค่ะ ตัดสินใจว่าจะรักก็คือรัก จะรับผิดชอบก็เป็นแฟนกันไปเลย ไม่ต้องรอลุ้นนาน ไม่งั้นเดี๋ยวคนเชียร์ได้เหนื่อยอีกรอบ  :o8:

@ คุณ takara อ่านตอนนี้แล้วอิ๋งคิดว่าพี่ภูน่ารักกว่าตอนที่แล้วอีกน้า อิจฉาน้องจอมจังเยย อยากมีแฟนแบบพี่ภู :m1:

@ คุณ Salome ดีใจที่มาเม้นต์ให้ค่ะ :mc4: เหมือนมาคอยเติมกำลังใจให้กัน คู่นี้ไม่ต้องลุ้นนาน เค้าเป็นแฟนกันแล้ว :m3:

@ คุณ nongrak  o3 ตอนนี้เค้าคุยกันแล้วนะคะ แต่คุยแบบมึนๆเหมือนเดิม สุดท้ายก็เป็นแฟนกันโดยที่ยังไม่รู้ความจริง ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: must ที่ 17-07-2012 22:23:46
+1

อ๊าาาาาาากกกกกกกกกก~ อยากจะแปลงร่างเป็นจอมทัพ ณ บัดน๊าวววววววววว~
อยากอยู่ในอ้อมอกของพี่ภูบ้าง อยากให้พี่ภูเช็ดตัวให้บ้าง อยากให้พี่ภูทาอะไรบางอย่างให้บ้าง
อยากให้พี่ภูป้อนน้ำให้ดื่มบ้าง อยากมีความเย็นจากมือของพี่ภูมาอังบริเวณลำคอและแก้มบ้าง
อยากแปะแผ่นลดไข้ลายเพนกวินบ้าง

คิดเหมือนจอมทัพเลยว่า ถ้าหากล้มลงไปจริงๆ ก็คงจะลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นทั้งน้ำทั้งจอมนั่นหละ
เค้าว่าส้มมีวิตามินซีสูง และวิตามินซีช่วยทำให้ไม่เป็นหวัด ดังนั้นน้ำจึงขนซื้อส้มมาให้จอมตั้งหลายกิโล
แลดูน้ำจะเป็นห่วงจอมอย่างมากทีเดียว แต่โทษทีเถอะ ลืมไปหรือเปล่าว่าเค้าต้องกินก่อนเป็นหวัดน่ะ

พารา แก้อักเสบ ยาอมตรายีราฟ ยาอมมายบาซิน แผ่นแปะลดไข้ พิมเสนน้ำ ยาน้ำซาร่ารสสตรอเบอรี่
หึๆ ซื้อมาทำอะไรซาร่ารสสตรอเบอรี่น่ะ ไม่รู้บ้างรึไงว่ายาน้ำซาร่าเป็นยาสำหรับเด็กอายุ 4 เดือนถึง 8 ปี
ขนซื้อมาซะเยอะแยะเต็มไปหมด ตกลงว่าอะไรบางอย่างที่พี่ภูทาให้จอมนั่นมันคือ พิมเสนน้ำ สินะ

กรี๊ดดดดดดดดดดด~ พี่ฟิวมีคู่ตุนาหงันแล้วววว~ แถมยังเป็นคู่รักฮาร์ดคอร์ด้วยแหละ (เค้าชอบแบบฮาร์ดๆ)
เห้ยยยยยยยยยยยย~ ไม่อยากจะเชื่อเลยวว่า พ่อมาเฟียฟิวจะมีโมเม้นต์หน้าดงหน้าแดงกับคนอื่นเค้าเป็นด้วย

รังนก ลองกอง แตงโม  มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ มังคุด กล้วย แก้วมังกร และส้มถุงใหญ่ (ขนมาทั้งตลาด)
(มาแนวเดียวกับน้ำเลย ป่วยแล้วถึงซื้อมาให้กิน ถ้าจอมไม่ป่วยคงไม่มีทางได้กินของพวกนี้แน่ๆ ฮ่าๆๆๆ)
แต่ขอโทษเถอะคุณพี่ภูวไนยคะ พี่รู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย ว่าลำไยกับลองกองน่ะป่วยอยู่ห้ามกิน เพราะมันจะทำให้เป็นร้อนในน่ะ

คิดว่าการสนทนาครั้งนี้คงจะเคลียร์กันได้แบบรู้เรื่อง ต่างฝ่ายต่างเข้าใจตรงกัน และรู้ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยกระจ่างน่ะนะ
แต่ทว่า..................... เหมือนเดิมเด๊ะๆ เหมือนเดิมเป๊ะๆ เฮ้ออออออออ~ ยิ่งคุยกันเรื่องราวยิ่งกู่ไปไกลลิบแบบไม่มีวันหวนกลับ

“เป็นแฟนกันมั้ย” >>>>> อยากจะตะโกนว่า 'เป็นค่าาาาาาาาาาาาาาา~' แต่ยังดีตั้งสติขึ้นมาได้ว่าพี่ภูไม่ได้ถามตัวเอง T^T

“ตกลงเอาไง ถ้าไม่ตอบ กูจะจูบนะ” >>>>> - -* คือถ้าตอบว่าไม่ คาดว่าพี่ภูแกคงจะจูบจนตอบตกลงนั่นแหละ

ว๊าาาาาากกกกกกกกกกก~ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย~ โน๊ววววววววววววววววววววววววว~ แงงงงงงงงงงงง~
อย่าจบแบบนี้ได้โปรด มันห้วนไป ต่ออีกเถ๊อะ เอาแบบตอนเค้ารักกันแล้วก็ได้ อยากได้โมเม้นต์หวานๆ บ้างอะไรบ้าง
พี่ภูน่าสงสารมาทั้งเรื่องแล้ว ขอให้พี่ภูมีช่วงเวลาแห่งความสุขจากการที่ได้ให้ความรักและได้รับความรักตอบกลับมาบ้าง
พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส~
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 18-07-2012 00:04:54
ต้องจิ้นฉากนอกระเบียงเองเหรอเนี่ย
ช่วยบรรยายให้เห็นภาพเลยไม่ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 18-07-2012 03:14:48
จบห้วนดีแท้

มาต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ  :call:

 :serius2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 18-07-2012 15:00:26
เพิ่งได้เข้ามาอ่านนน..... รัก จอมทัพ ภูวไนยมาก 555+.... คนแต่งมีเซนส์เรื่องตั้งชื่อตัวละครนะครับ ขอสารภาพที่เข้ามาอ่านเพราะ ชื่อจอมทัพ ภูวไนย ... ชื่อเท่ห์ค่อด ชื่อแบบนึกลักษณะตัวละครออกเลย หลงเข้ามาอ่านแล้วติดใจ วันเดียวจบกันเลยทีเดียว แอบลุ้นฟิว กะ แอนดี้ คู่นี้มีพิเศษให้มั้ยครับเนี่ย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 18-07-2012 16:37:13
ภูนี่เหมือนบังคับจอมว่า ยังไงก็ต้องเป็นแฟนกันนะ อิอิ
แต่ดีแล้วที่จอมตกลง พี่ภูแสนจะห่วงจอมขนของกินมาเพียบ

+1+เป็ดค่ะ
มีน้องน้ำที่น่ารักมาด้วย อ่านแล้วอยากจับน้องน้ำมากอดบ้างจัง
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: rule ที่ 19-07-2012 02:55:54
ตัดจบแบบรวดเดียวไปเลยหรือ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Salome ที่ 19-07-2012 05:19:38
เอาอีกเอื๊อก   เค้าจะเอาอีก  :z6: โดนคนเขียนกระโดดตื๊บบ
เพิ่งมาเม้นต์ นางจะมาขอเอาตอนพิเศษคู่นี้เพิ่มอีก
แต่คนเขียนขา  คู่พี่ภูน้องจอมนี้มันน่ารักอะ มึนๆเอ๋อๆดี
อยากเห็นอิพี่ภูมันสุขสมหวังกับเขามั่งไง แก้ตัวไปเรื่อยๆ อิอิ
กดเป็ด กดบวกให้ด้วยนะ ตอบแทนที่คนเขียนน่ารักเอามาลงให้เร็ว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 19-07-2012 15:28:09
เอาอีก เอาอีก มาเขียนต่อโดยเร็ว ๆ คนอ่านรออ่านจัยจะขาดแล้ว  :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 20-07-2012 20:11:36
หูยยยยย  ไม่ได้เข้ามาส่องซะนาน  จอมทัพกะภูวไนยก็แฮปปี้แอนดิ้งไปอีกคู่  ตบมือสองสามแปะ 555   :impress2:

คู่นี้ไม่มีอ้อมค้อมยืดเยื้อเลยจริง ๆ  แต่เกิดจากความเข้าใจผิดของพี่ภูล้วนๆ  555   แอบหวังว่าจะมีฉาก NC  เค้าป่าวหื่นอะไรนะ แต่แบบว่า  :z1: มันก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติใช่ป้ะละ    :haun4:

ส่วนชายฟิวก็กลายเป็นคู่รักฮาร์ดคอกะแอนดี้ฝรั่งน้อย ? น่ารัก  สมหวังกันหมดทุกคนแล้ว  o13

ปล น้องน้ำเมาแล้วงอแงน่าจับกลับบ้านจริง ๆ แต่คงโดนคีย์เตะ  o22
ปล 1   คุณอิ๋งไม่โกรธใช่ไหมค่ะ ไม่ได้เข้ามาเลย ตั้งแต่เปิดเทอมมางานท่วมหัว เอาตัวไม่รอดมาก  :เฮ้อ:  นี่ก็จะสอบอีกแล้ว ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยง้ะ  :sad4:
ปล 2  มามะมาให้เค้ากอดง้อทีนึง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ภูวไนย จอมทัพ เพราะป่วย(จบ)) 17/07/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 22-07-2012 14:47:27
พี่ภูน่ารักอะ มีแกล้งจอมด้วย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น1) 02/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-08-2012 14:53:00
ครานั้น1

“อุแว้ อุแว้ อุแว้”

“ไผ่อยู่ไหนข้าจะตัดสายสะดือ”

“นังพิศไปต้มน้ำในครัวไป๊”

ภาพบ่าวไพร่วิ่งขวักไขว่ขึ้นลงเรือน เสียงอึกทึกวุ่นวายในยามเช้าภายในบ้านพระยามณูปกรณ์ไม่มีให้เห็นบ่อยครั้งนัก
เรือนไม้ทรงไทยสี่หลังปลูกเรียงกันในพื้นที่กว้างขวางสมตำแหน่งเจ้าของ

เรือนหลังแรกเป็นเรือนใหญ่ เรือนหลักที่คุณหญิงเอื้อม ภรรยาเอกและพระยามณูปกรณ์อาศัย เป็นเรือนรับแขก สวยงามโอ่อ่า และแวดล้อมไปด้วยบ่าวไพร่ ทว่าเวลานี้กลับเงียบสงัดต่างจากเรือนหลังที่สามและหลังที่สี่ที่พวกบ่าวไพร่วิ่งวนเข้าออกกันให้วุ่นวายเนื่องจากแม่ดวงและแม่เนียร อนุภรรยาผู้เป็นเจ้าของเรือนเจ็บท้องคลอดตั้งแต่เวลาใกล้รุ่ง

“ได้ลูกชายเจ้าค่ะนายท่าน” บ่าวรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกเจ้าบ้าน ณ เรือนหลังที่สองบริเวณเชิงบันได

“ดีจริง แม่ดวงได้ลูกชาย แล้วแม่เนียรล่ะจ๊ะยังไม่คลอดอีกหรือไร” หญิงท้องแก่เจ้าของเรือนหลังที่สองเอ่ยถามบ่าวไพร่ด้วยท่าทางเป็นกังวล ต่างกับพระยามณูปกรณ์ที่ยืนฟังข่าวสงบนิ่งอยู่ข้างกัน

“ยังเลยเจ้าค่ะแม่หญิง บ่าวมัวแต่วุ่นกับทางนี้ ไม่รู้ว่าเรือนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“คุณพี่เจ้าคะ อิชั้นร้อนใจเหลือเกิน” แม่เดือนเอ่ยอย่างร้อนรน เนื่องด้วยตนทราบดีว่าแม่เนียรนั้นสุขภาพอ่อนแอมาแต่เด็ก เพราะทั้งแม่ดวง แม่เนียร และตน เป็นเพื่อนวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่ยังเยาว์

ชายผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ตอบคำอันใด เพียงแต่ยืนกำไม้ตะพดนิ่งเงียบอย่างคนครุ่นคิด


ในเรือนไม้ทรงไทยยกใต้ถุนสูงหลังที่สี่ในเวลานี้ แม้ภายนอกจะอึกทึก ทว่าภายในห้องนอนกลับเงียบสงบอย่างประหลาด
“คุณแม่...เจ้าขา” เสียงขาดห้วงด้วยอาการพยายามสูดหายใจจากผู้ที่นอนนิ่งมาตั้งแต่ยามรุ่งเรียกหญิงชราให้เดินเนิบช้าเข้าไปลูบหัวลูกสาวตนด้วยท่าทางรักใคร่ประหนึ่งหญิงสาวผู้นั้นยังเยาว์วัยนัก

ปลายเตียงมีบ่าวสาวใช้นางหนึ่งนั่งก้มหน้าน้ำตาไหลอุ้มทารกที่อ้าปากร้องไห้ ทว่าไม่มีเสียง มีเพียงน้ำใสไหลผ่านผิวแก้มอ่อนเท่านั้น

“เนียร...ทำผิดนัก...ขอ...คุณแม่โปรดอภัย....”

“มิเปนไรดอกเจ้า” เสียงแหบเครือบ่งบอกวัยชราตอบอย่างรู้สึกผิด

“ลูกฝาก...ด้วยนะเจ้า...คะ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้าด้วยอาการสงบนิ่ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น แม่เนียรผู้ได้ฝากฝังลูกน้อยไว้กับแม่ของตนก็สิ้นใจลงทันทีด้วยอาการสงบ

หญิงชราเพียงใช้ผ้าซับหางตาและยืนนิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนสั่งบ่าวสาวใช้แล้วค่อยๆเยื้องย่างออกจากห้อง

“นังรื่น อุ้มหลานข้าตามมาเถิด”


สิบปีผ่านไป

“ไอ้ลูกกำพร้าๆๆ” เสียงกลุ่มเด็กร้องตะโกนพลางขว้างปาก้อนหินใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กที่ได้แต่เพียงนอนคุดคู้เอามือกุมหัวไว้

“ออกไป ไป๊” เสียงฝีเท้าวิ่งตึกตักมาพร้อมเสียงตะโกนด่าของหญิงร่างท้วมดังมาแต่ไกล

“นางยักษ์มาแล้ว พวกเราหนีเร็ว” เด็กชายท่าทางเป็นหัวโจกพูดเสียงดัง ก่อนเด็กทั้งกลุ่มจะพากันวิ่งหัวเราะหายไปคนละทิศคนละทาง

“ไอ้เด็กพวกนี้นี่เหลือเกินเสียจริง” หญิงร่างท้วมหยุดวิ่งชี้นิ้วมือไปมาพลางหายใจหอบ

“คุณเจ้าขา เจ็บหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามพร้อมกับประคองพาเด็กน้อยที่บัดนี้หน้าตาขะมุกขะมอมไปด้วยฝุ่นดินให้ยืนขึ้น

เด็กชายตัวน้อยผิวขาวอ่อนใส ส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆให้กับบ่าวร่างท้วมที่กำลังสาละวนใช้ผ้าเช็ดหน้าให้ตน

“กลับบ้านกับบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ป่านนี้แม่นายท่านคงรอตั้งสำรับอยู่เป็นแน่”

เมื่อเดินถึงเรือนไม้หลังเก่าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก เด็กชายก็ตักน้ำล้างเท้าตรงหัวบันไดด้วยความเคยชิน พลันได้ยินเสียงแหบแกมดุมาจากบนเรือน

“ไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหนมาอีกรึเจ้าสินธุ์”

เด็กชายวิ่งขึ้นเรือนพลางยิ้มกว้างให้ยายของตนที่นั่งรอข้างโตกสำรับกับข้าว

“เจ้านี่กระไร เนื้อตัวเขียวช้ำกลับมาได้ทุกวี่วัน” หญิงชราถอนหายใจด้วยท่าทางระอา

นับตั้งแต่ลูกสาวตนสิ้นไปครานั้น ตนต้องหอบหิ้วหลานกลับมาอยู่บ้านเดิม เนื่องจากเจ้าสินธุ์นั้นมิใช่ลูกพระยามณูปกรณ์ แต่เป็นลูกชายชู้กับลูกสาวตน จะว่าชายชู้หรือก็ว่าได้มิเต็มปาก เพราะแม่เนียรรักใคร่ชอบพอกับเจ้าหนุ่มพันศรก่อนจำใจแต่งงานเนื่องจากหนี้สินที่พี่ชายเล่นพนันนั้นมากเกินกว่าที่ครอบครัวจะชดใช้  และแม้นจนป่านนี้เจ้าลูกชายคนโตยังคงมิทำการงานอันใดทั้งสิ้น วันๆได้เพียงแต่ร่ำสุราอยู่เท่านั้น เคราะห์ดีที่ลูกสะใภ้พอจะมีฐานะ การเงินจึงไม่ขัดสนมากนัก หากแต่แม่ปริกกลับชิงชังตนกับหลานราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ถ้าสิ้นพ่อทอง ตนกับหลานคงอยู่เรือนหลังนี้มิได้เป็นแน่ ตัวนางรึจะตายวันตายพรุ่งคงมิเป็นไร หากแต่เจ้าสินธุ์หลานรักเล่า ผู้ใดจักดูแล

“วันนี้เจ้าจำต้องหัดเขียนหนังสือเสียก่อน ย่าจึงจักให้ไปวิ่งเล่น”

เจ้าสินธุ์ที่กำลังจะวิ่งลงเรือนจำต้องชะงักด้วยคำประกาศิษจากคุณยายที่แม้นไม่เงยหน้าขึ้นมามองว่าตนทำอากับกิริยาใดบ้าง แต่เพียงแค่น้ำเสียงนั้นก็หยุดสินธุ์ได้ชะงัดนัก

“เขียนแลท่องจำให้จนครบยี่สิบเที่ยว ประเดี๋ยวยายจะมาตรวจดู” ว่าจบหญิงชราก็ค่อยเดินไปตรวจดูผ้าจากหีบที่ใช้อบผ้านุ่งผ้าห่มตามแบบฉบับชาววังเก่า กลิ่มมะลิหอมกรุ่นจากสไบที่ใช้ห่มบ่งบอกถึงการมีฝีมือทางการเรือนเมื่อครั้งยังเป็นสาวที่ตนเคยรับใช้ถวายตัวไปเป็นข้าพระสนมก่อนจะลาออกมามีเรือน หากแต่ยังมิเคยลืมวิถีชีวิตประนีตงดงามเหล่านั้น

เมื่อเจ้าสินธุ์คัดหนังสือตามที่คุณยายสั่งแล้วก็นั่งมองพี่รื่นบ่าวเพียงคนเดียวในเรือนและคุณยายที่กำลังนั่งกรองมาลัยด้วยความเพลิดเพลิน เด็กน้อยยิ้มหวานนั่งมองนิ่งอยู่จนคนถูกมองรู้สึกตัว

“คัดเสร็จแล้วรึ เอามาให้ยายดูซิลูก” หญิงชราถามพลางวางเข็มมาลัยบนถาดมะลิข้างตัว

“ยังมีที่ผิดอยู่บ้าง ยายจะแก้ให้เจ้าเอาไปคัด...อีกสักรอบ” แววตาเปี่ยมความรู้ไล่มองดูบนกระดานชนวนเพียงปราดเดียวแล้วบอกเจ้าสินธุ์ที่นั่งจ้องอยู่ ใบหน้าเด็กชายหมองลงเมื่อรู้ว่าตนจะยังมิได้ไปเที่ยวเล่น

ผู้อาวุโสมองหลานชายด้วยความเอ็นดู ชะตาหลานรักนั้นรันทดนัก มิเพียงกำพร้าพ่อแม่แลเป็นใบ้เท่านั้น หากยังรับรู้เชื่องช้าเหลือเกิน และด้วยความห่วงกังวลในตัวหลานชายนั้น ตนจึงค่อยๆถ่ายทอดสรรพวิชาทุกสิ่งที่ได้ร่ำเรียนแก่เจ้าสินธุ์ทีละน้อย แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเพียงการเรือนอันเหมาะสำหรับลูกผู้หญิงเสียมากกว่า หากแต่นางหวังเพียงว่าเจ้าสินธุ์จักยังชีพได้ด้วยตนเองเมื่อเติบใหญ่

ยามบ่ายในวันหนึ่ง เสียงเด็กชายกลุ่มใหญ่ส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ข้างคูน้ำ

“กระโดดลงไปบัดเดี๋ยวนี้”

“โดดเลยๆๆๆๆ”

เจ้าสินธุ์นั่นเองที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมเด็กชายเกเร ใบหน้าซีดเผือดหันมองคูน้ำด้วยความหวาดหวั่น

“หากมึงมิกล้า ก็อย่าสะเออะมาเข้ากลุ่มกับพวกกู”

มิใช่ตนไม่อยากทำ แต่เจ้าสินธุ์ว่ายน้ำไม่ได้ เด็กชายตัวน้อยมองเพื่อนวัยเดียวกันที่พากันตะโกนด้วยความลังเล

“มัวรีรออันใดเล่าไอ้ลูกกำพร้า ทำตามที่กูสั่งบัดเดี๋ยวนี้”

สายตาเว้าวอนมองสบตาเด็กชายหัวโจกที่ยืนมองนิ่งอยู่ไม่ปริปากแม้แต่น้อย เสื้อผ้าแพรพรรณที่เด็กชายหัวหน้ากลุ่มสวมใส่แม้จะเป็นเพียงผ้านุ่งโจงกระเบนเสื้อพื้นอย่างทั่วไป หากเนื้อผ้าใหม่เอี่ยมและเนื้อดีนัก

“เช่นนั้นกูจักสงเคราะห์มึงเอง” พูดจบ หนึ่งในกลุ่มเด็กชายก็ถีบเจ้าสินธุ์ให้เสียหลักตกน้ำทันที

ตู้มม

เสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนานที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่นดังครื้นเครง แต่เพียงครู่ เด็กชายผู้เป็นหัวหน้ากลับส่งสัญญาณให้ทั้งกลุ่มเงียบเสียงลง

เจ้าสินธุ์ที่พยายามดำผุดดำว่ายสำลักน้ำเกือบจะจมลงก้นคูคลอง หากแต่เด็กชายหัวโจกรีบกระโดดลงไปช่วยไว้ได้ทันท่วงที

ร่างน้อยที่สำลักน้ำจนตัวโยน น้ำตาไหลพรากและเสียงสะอึกเป็นพักๆ ชวนให้คนที่คอยประคองลูบหลังสะท้อนใจและรู้สึกผิดอย่างเด็กชายอายุสิบปีจะพึงรู้สึกได้

“สมน้ำหน้า ไอ้คนบ้าใบ้” เด็กชายคนหนึ่งผลักหัวเจ้าสินธุ์พลางหัวเราะร่า

ร่างน้อยน้ำตาหยดพลางกอดตนเองแน่นเมื่อนึกถึงความกลัวจับใจว่าจะจมดิ่งไม่อาจหายใจอย่างเมื่อครู่

“ออกไป ออกไปให้หมด ต่อแต่นี้ถ้ากูเห็นว่ามันผู้ใดกล้ารังแกคนผู้นี้อีกล่ะก็ เห็นดีกับกูแน่” เด็กชายผู้เป็นหัวหน้าประกาศกร้าวเมื่อพึงสำนึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

เด็กคนอื่นเมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดนั้นก็ต่างพากันวิ่งหายไป

“เป็นอันใดรึไม่” คนถามว่าพลางนั่งลงเคียงเจ้าสินธุ์ที่บัดนี้นั่งกอดเข่าก้มหน้าตัวสั่นเทาด้วยท่าทางตื่นกลัว เหตุเพราะมิใช่เพียงกลุ่มเด็กชายที่วิ่งไปจะกลัวได้เพียงกลุ่มเดียวเสียเมื่อไร เจ้าสินธุ์ก็เกรงกลัวคนตรงหน้าเช่นกัน

“ข้ามิทำอันใดเจ้าดอก ใยต้องตื่นกลัวไป” น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงทำให้เจ้าสินธุ์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทีละน้อยก่อนยิ้มกว้างด้วยความเป็นมิตร

“หึๆ” เด็กชายร่างสูงหัวเราะด้วยความพึงใจเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่ามิได้แสดงท่าทีผูกใจเจ็บหรือรังเกียจตน

“เจ้ามีชื่อรึไม่”

เจ้าสินธุ์พยักหน้าพลางใช้นิ้วเขียนชื่อตนลงบนดิน ถ้อยคำของคุณยายดังแว่วเข้ามาในหัวเหตุเพราะท่านผู้เฒ่าช่างเน้นย้ำเหลือเกินว่าเพราะตนนั้นพูดมิได้ การอ่านเขียนหนังสือได้นั้นจึงสำคัญยิ่ง ‘หากมีผู้ใดเอ่ยถามนามเจ้า ก็จงเขียนอย่างที่ได้คัดจนขึ้นใจอย่างที่ยายสอดเถิด’

“ชื่อสินธุ์รึ” เด็กชายถามพลางนึกประหลาดอยู่ในใจที่เห็นเจ้าเด็กบ้าใบ้เขียนหนังสือได้

คนถูกถามพยักหน้าอย่างคนลังเลเล็กน้อยว่าสิ่งที่ตนเขียนนั้นถูกต้องหรือไม่

“ข้าชื่อเดช นับจากนี้เรียกข้า “พี่เดช” เข้าใจรึไม่” เด็กชายร่างสูงเอ่ยต่อเจ้าคนใบ้เมื่อพิศเพ่งดูรูปร่างอีกคนอย่างใคร่ครวญ ‘ร่างน้อยๆแต่เพียงเท่านี้ เห็นทีเราจักมีอายุมากกว่าเป็นแน่’

ทว่าเมื่อไม่ได้ยินเสียงอีกคนขานรับ เห็นเพียงใบหน้าพยักหน้าขึ้นลง เจ้าเดชก็หัวร่อด้วยความขบขันด้วยพึ่งคำนึงว่าอีกคนพูดไม่ได้

“เอาเถิด ต่อแต่นี้ข้าจะมาเล่นกับเจ้าที่ริมคูน้ำนี้ทุกวัน เจ้าจะว่าอย่างไร”

คนฟังพยักหน้าแข็งขันด้วยท่าทางดีใจชวนให้คนมองนึกเอ็นดูนัก

...........................................

 :o8: หายไปน๊านๆเนอะ ตั้งครึ่งเดือนแน่ะ (ปั่นงานก่อนสอบค่ะ o6)

วันนี้ตอนพิเศษมาแบบอารมณ์ใหม่
ลองเดากันดูว่าจะเกี่ยวกับเรื่องหลักยังไงเอ่ย
ภาษาและข้อมูลอาจแปลกๆไปบ้าง  :m23:  แหะๆ มีอะไรก็แนะนำกันได้นะคะ
อยากเขียนแนวนี้มานานแล้วล่ะค่ะ แต่เอิ่ม คือแบบ ความสามารถไม่พอ ลองเป็นตอนพิเศษสั้นๆไปก่อนแล้วกันเนอะ
ตอนหน้าอาจจะช้าบ้างอะไรบ้าง คือช่วงนี้เป็นช่วงสอบหน่ะค่ะ (ยังมีหน้ามานั่งแต่งนิยาย หนังสือหนังหาไม่อ่าน)

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ค่ะ เห็นแล้วปลาบปลื้ม :m1:

@ คุณ must 555 ดูท่าจะปลื้มพี่ภูมากๆเลยนะคะเนี่ย ส่วนเรื่องพี่ฟิวเหรอคะ ไว้หลังตอนพิเศษตอนนี้จบก่อนแล้วกันเนอะ ไว้ส่งท้าย อิๆ อืม โมเม้นต์หวานๆของพี่ภูน้องจอมเหรอคะ ไว้เดี๋ยวจะลองๆคิดดูเนอะ คิดออกแต่พล็อตดราม่า :laugh: ขอบคุณสำหรับเม้นต์ยาวๆ (ถูกใจอิ๋งแบบสุด) ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

@ คุณ kasarus คือฉากนอกระเบียงเป็นฉากที่พี่ภูกับน้องจอมคุยกันไงคะ เอ่อคือมันงงๆใช่ป่าวคะ คือที่น้องน้ำเห็นเป็นอีกมุมของห้องหน่ะค่ะ ประมาณว่าบังเอิญไปเห็นฉากพี่ภูขอน้องจอมเป็นแฟนพอดี ประมาณนี้ค่ะ เข้าใจรึยังเอ่ย ถ้ายังงงอยู่ถามได้นะคะ :m23:

@ คุณ jaymaza มาต่อแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่คู่พี่ภูน้องจอม วันนี้มาแบบย้อนเวลากันซักกะหน่อย ฝากติดตามด้วยนะคะ :pig2:

@ คุณ uknowvry ดูเหมือนเรตติ้งคู่นี้ดีกว่าพระนายอีกนะคะเนี่ย ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ชื่อตัวละครทุกตัว คนแต่งชอบทุกชื่อเลยเหมือนกันค่ะ เลยมาอยู่ในเรื่องนี้ (ส่วนตัวชอบผู้ชายชื่อภูมากๆค่ะ รู้สึกว่าเป็นชื่อที่แบบว่าแข็งแรง พึ่งพาได้ มีอำนาจ ประมาณนี้เลย) ส่วนคู่น้องฟิวกับแอนดี้ ไว้เดี๋ยวน่าจะมาทีหลังตอนพิเศษอันนี้จบค่ะ อดใจรอหน่อยนะคะ ดีใจที่มาอ่านค่ะ  :mc3:

@ คุณ nongrak ที่จริงพี่ภูไม่ใช่คนที่จะเป็นคนดี๊ คนดีมากๆหรอกค่ะ เห็นใจดีแต่กับน้องน้ำ แต่โดยพื้นฐานอิ๋งก็คิดว่าเป็นพระเอกอยู่ดี แล้วก็ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ น้องน้ำน่ารักใช่ม้า อิ๋งก็อยากกอดค่ะ ถ้ามีน้องมีลูกนะ อยากได้เด็กผู้ชายน่ารักแบบนี้เนอะ

@ คุณ rule ยังไม่ตัดจบรวดเดียวค่า คนเขียนยังมีจินตนาการกว้างไกลอยู่ค่ะ ไม่ยอมจบง่ายๆ เหมือนตอนพิเศษจะเยอะกว่าเนื้อเรื่องหลักเนอะ

@ คุณ Salome ง่าจะเอาอีกเหรอคะ ใจเย็นๆนะคะ ไว้รอตอนพิเศษตอนนี้กับนของน้องฟิวจบก่อนเนอะ (ถ้าคิดพล็อตออก) คนเขียนใจดีค่ะ(กล้าพูด) ไม่ตื๊บหรอก ออกจา :กอด1: คนอ่าน เห็นตอนนี้อาจบูดบึ้งเล็กน้อย มาช้าไปครึ่งเดือน แหะๆ ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

@ คุณ fay 13 มาแล้วค่ะ ถึงกะไฟลุกกันเลยเชียว ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ :pig2:

@ คุณ suck_love  :oni2: :mc3: :mc4: เย้ๆ ดีใจจัง นึกว่าตัวเองจะหายไปซะแล้ว แต่ว่า เรื่องฉากเรทฉ. น.สิบแปดนี่มันก็พูดยากอยู่นา ไม่เอาๆ เราเป็นเด็กดี ไม่อ่านนะคะ(กล้าพูด)
ปล.1 ไม่โกรธค่ะ แต่คิดถึงอ่ะ อิ๋งก็งานท่วมหัว เอาตัวไม่รอด หนังสือก็อ่านไม่จบ จะสอบอยู่รอมร่อ  :เฮ้อ: (สอบไปแล้วตั้งหนึ่งวิชา เขียนสิบหน้า ปั่นแบบสุด ไม่ได้โงยหัวขึ้นมากันเรยทีเดียว) ยังไงตะเองก็สู้ๆเหมือนกันน้า เค้าก็จะสู้เหมือนกัน ฮึ๊บ  :a2:
ปล.2 มาๆ กอดๆ รักกันๆ :กอด1:

@ คุณ takara ลึกๆพี่แกคงขี้แกล้งหน่อยๆล่ะมั้งคะ แต่ยังไงพี่ภูก็น่าร๊ากกก :man1:

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น1) 02/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 02-08-2012 16:35:24
คราวนี้มาแนว "แต่ปางก่อน" เลยนะคะ

ได้อารมณ์ไปอีกแบบ :กอด1:

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น1) 02/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 02-08-2012 18:20:41
ตอนแรกยังสับสนกับตัวละครอยู่
เรื่องนี้ออกแนวดราม่าใช่มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น1) 02/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-08-2012 19:45:38
ตอนใหม่น่าสนใจอะ จะเชื่อมโยงกันยังงัยนะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น1) 02/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: jiw ที่ 02-08-2012 20:56:09
ชอบเรื่องจัง รีบมาต่อนะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 09-08-2012 23:55:10
ครานั้น 2

ริมคูน้ำในยามบ่ายนี้ร่มรื่นไปด้วยเงาของไม้ใหญ่ บ้างยืนต้นสูงชะลูด บ้างแผ่กิ่งก้านสาขาระผิวน้ำไหลเอื่อย พื้นดินบริเวณใต้เงาไม้ในที่แสงแดดส่องไม่ถึงมีหญ้าขึ้นเบาบางสลับกับรากไม้ใหญ่แข็งแรงที่โผล่พ้นจากดิน ลมพัดมาเป็นระลอกยังผลให้ใบไม้เสียดสีกระทบกัน

ใต้ร่มต้นมะขามใหญ่ยังมีร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่งนั่งจักตอกอย่างใจเย็น วงหน้าคมคายด้วยดวงตาเรียวรี หางตาชี้ขึ้นรับกับรูปจมูก ริมฝีปากหนาซีด วงหน้าคมคร้ามด้วยแก้มตอบ ผมปรกรอบศีรษะยาวลงมาเสมอระดับใบหูข้างบน ส่วนที่ต่ำลงมากว่านั้นกร้อนเกรียนติดหนังศีรษะ ทั้งร่างสูงใหญ่ผิวหยาบสีน้ำตาลปนแดง พิศดูคมคายนัก

เสียงฝีเท้าวิ่งแตะพื้นดินเพียงแผ่วๆ ทว่าร่างคมคร้ามนั้นกลับตวัดสายตาเรียวดุขึ้นมามองด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบไว เมื่อเห็นแต่ไกลว่าเป็นผู้ใด ริมฝีปากหนาจึงยกยิ้มเพียงนิดก่อนสีหน้าจะกลับเป็นเคร่งขรึมดังเดิม

ร่างน้อยผิวขาวบางดังไม่เคยต้องแดด ผ่อนฝีเท้าลงก่อนค่อยเดินเยื้องย่างเข้าใกล้ยังต้นมะขามใหญ่

ผมยาวเกล้าจุกปักปิ่น วงหน้าเรียวตากลมโศก ทั้งจมูกปากพิศดูพริ้มเพรารับใบหน้าอ่อนใส แขนอ่อนดังหยวกกล้วยอุ้มประคองห่อผ้าขาวด้วยทีท่าระมัดระวัง ช่วงไหล่แคบ ทั้งแข้งขากลมกลึงทำให้ร่างน้อยนั้นดูเยาว์วัยยิ่ง

เมื่อก้าวย่างถึงโคนไม้ใหญ่ เจ้าร่างบางจึงค่อยทรุดนั่งก่อนวางห่อผ้าขาวไว้ข้างตัว เสียงกระทบเบาๆของเครื่องถ้วยชามทำให้คนที่นั่งอยู่ก่อนคาดเดาได้ไม่ยากว่ามีสิ่งใดอยู่ในห่อผ้า

“เอาขนมอันใดมาฝากพี่รึเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยท่าทีใส่ใจ

ร่างน้อยไม่ตอบคำเพียงแต่แกะห่อผ้าออกก็ปรากฏเครื่องดินเผาเคลือบมีฝาปิด มือเรียวเปิดฝาครอบออกพร้อมส่งยิ้มละมุนดังเด็กได้อวดของ

ภายในพาชนะเคลือบดินเผานั้นคือขนมสำปันนีหลากสีปั้นแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างประณีต

“ขอพี่จักตอกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อนเถิด” ร่างกำยำเพียงพยักหน้ารับและเอ่ยอย่างสั้นๆก่อนจะมุ่งสนใจเรียวไผ่ในมือ

คนฟังจึงปิดฝาและห่อผ้าขาวไว้ดังเดิม แล้วค่อยวางถ้วยขนมไว้ข้างกายอีกคน

ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง มีเพียงเสียงมีดจากการจักตอกและเสียงลมพัดใบไม้กระทบกันเท่านั้น

กลิ่นมะลิอ่อนๆจากร่างน้อยที่นั่งทอดสายตาไปยังคูน้ำลอยลมบางเบา

แม้ไม่มีบทสนทนาใดๆ ทว่าความรู้สึกผ่อนคลายและสงบอย่างคุ้นชินกลับแผ่ปกคลุมโดยรอบเปรียบดังกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น

ผ่านไปชั่วครู่ เจ้าร่างบางที่นั่งเหมื่อลอยก็ถอนหายใจเฮือกเป็นพักๆ คนนั่งจักตอกที่แลดูไม่ใส่ใจอื่นใดนอกจากเรียวไผ่ในมือนั้นแท้จริงกลับลอบพิศดูอีกคนด้วยท่าทีฉงน เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยมีท่าทีดังกลัดกลุ้มมาหลายวันแล้ว

ยังมิทันคลายความสงกา คนตัวบางก็ค่อยลุกขึ้นก่อนแตะแขนร่างใหญ่เป็นเชิงบอกลากลับเรือน

“สินธุ์ เจ้ามีเรื่องใดในใจรึไม่ ใยพักนี้จึงดูกลัดกลุ้มนัก” ร่างสูงรีบเอ่ยทัดทานคนที่กำลังผินกายผละไป

เจ้าสินธุ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงชะงักเพียงนิด คิ้วบางขมวดมุ่นด้วยมิแน่ใจและไม่รู้จะว่ากล่าวอย่างไร

และก่อนร่างน้อยจะได้ตัดสินใจอันใด พลันแว่วเสียงฝีเท้าและเสียงคนพูดใกล้เข้ามา

“มิรู้พ่อเดชหายไปเมื่อใด ข้าเห็นเพียงหางตาว่าเดินมาทางนี้มิใช่หรือ”

“ข้าว่าเรากลับกันเถิด วันพรุ่งจึงค่อยไปถามไถ่ให้คลายสงสัย”

“เช่นนั้น...”

ยังมิทันที่เจ้าของเสียงเจรจาทั้งสองจะได้เอ่ยอันใดอีกก็พลันแลเห็นพ่อเดชและเจ้าสินธุ์ใต้ต้นมะขามใหญ่

แรกนั้นแววตาผู้พบเห็นทั้งคู่คล้ายฉงน แต่เพียงชั่วพริบตาก็แปรเปลี่ยนเป็นแววไวมีเล่ห์กล

“ข้าล่ะหรือฉงนมาเป็นเพลาว่าสหายข้ามีอันใดกับคูน้ำทางตะวันตกของคลองฝางเป็นหนักหนา...” หนึ่งหนุ่มเอ่ยด้วยแววตาพราวระยับ

“นึกว่ามานัดพบแม่หญิงบ้านใดเสียอีก แท้แล้วเป็นเพียง...” อีกคนต่อคำพลางเดินเข้าใกล้เวียนวนพิศเจ้าสินธุ์อย่างถ้วนถี่

“จะเป็นเพียงอันใด” พ่อเดชเอ่ยห้วนด้วยไม่สบอารมณ์นัก

“โกรธาเสียแล้ว” ร่างหนึ่งเอ่ยยั่วเย้าพลางหัวเราะแผ่วๆในคอ

“เป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นหน่ะซี”

เจ้าสินธุ์ได้ยินดังนั้นก็ให้อยากทัดทานเหลือเกินว่าตนนั้นอายุสิบแปดแล้ว มิใช่เพียงเด็กน้อยอย่างคำกล่าว

“พวกเจ้ามีเรื่องใดอันสำคัญอีกรึไม่ หากไม่มี เพลานี้ข้ามิใคร่สะดวกจะเจรจานัก” พ่อเดชกล่าวตัดบทพลางคว้าแขนเจ้าสินธุ์และหอบห่อผ้าขาวออกเดิน

“เรื่องอันข้าจะเจรจาย่อมสำคัญยิ่ง”

ได้ยินดังนั้นพ่อเดชจึงหยุดเหลือบแลชายหนุ่มทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ

“มีอันใดก็ว่ามา”

“มิคิดจะบอกกล่าวแก่พวกข้าหรือว่าผู้ที่เจ้าจับจูงนั้นคือผู้ใด”

พ่อเดชถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยคิดในใจว่ามิใช่กงการอันใดที่ตนจักต้องอธิบาย หากเพียงด้วยรู้นิสัยสหายตนดีนักว่าหากใคร่รู้เรื่องใดแล้วย่อมต้องสืบสาวจนกระจ่าง และด้วยไม่อยากให้เจ้าร่างน้อยต้องถูกสืบสาวให้วุ่นวายจึงหันไปแนะนำคนทั้งสามแก่กัน

“สินธุ์ เจ้าคนกล่าวมากความผู้นั้นคือหมื่นรามราชเดช ลูกชายเพียงคนเดียวของหลวงเจ้าเทพ(ขุนนางจีน)เจ้าของบ่อนแถบท่าประตูวังชัย...” เจ้าสินธุ์มองพี่เดชเอ่ยเพียงครู่ก็ยกมือไหว้คนตรงหน้าที่พิศตนด้วยท่าทีใส่ใจยิ่ง ร่างสูงใหญ่ไม่แพ้พี่เดช เพียงแต่ผิวกายนั้นกลับขาวผิดกัน

“แลคนผู้นี้คือขุนทัพไพรีพ่ายลูกเจ้าคุณกลาโหม ทั้งสองล้วนเป็นสหายพี่” ร่างน้อยยกมือไหว้อีกคนด้วยท่าทีนอบน้อมเฉกเช่นกันก่อนส่งยิ้มให้เมื่อขุนทัพพยักหน้ารับและมองตนด้วยท่าทีเอ็นดู

“ส่วนเจ้าคนบูดบึ้งที่ยืนข้างเจ้านั่นคือขุนเดโช ลูกชายคนรองของพระยามณูปกรณ์”  ขุนทัพบอกเจ้าสินธุ์ด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
ร่างน้อยหัวร่ออย่างไร้เสียง เท่านั้นก็พอให้สหายทั้งสองของขุนเดชฉงนว่าเหตุใดเจ้าสินธุ์จึงมิเอ่ยอันใด และแม้หัวเราะก็ไม่มีเสียงแม้เพียงสักน้อย

“ไปเถิดเจ้า”  พ่อเดชเอ่ยพลางแตะแผ่นหลังบางเพียงแผ่วเบาเป็นเชิงให้อีกคนผินกายออกเดิน

“แลเจ้าจะบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเหตุอันใดจึงกลัดกลุ้มนัก”

เจ้าสินธุ์ชะงักงันยืนนิ่งไม่ไหวติง ปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วทั้งคู่ก็พลันขมวดมุ่นอย่างคนชั่งใจ

ขุนเดชเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าอีกคนคงลำบากใจมากโข ไม่ว่าเจ้าน้องน้อยจักกลัดกลุ้มเรื่องอันใด แต่หากเจ้าตัวมิอยากให้ตนรับรู้ ก็คงมิอาจว่าอย่างไรได้ มีเพียงความเป็นห่วงเกาะกุมจิตให้ตนได้ร้อนรนด้วยเท่านั้น

และด้วยสายตาอันห่วงใย ท่าทีโอนอ่อนตามใจที่มีเสมอจึงทำให้เจ้าสินธุ์ตัดสินใจได้

เจ้าร่างบางเพียงจับแขนขุนเดชและยิ้มอย่างวางใจพลางรั้งอีกคนให้ออกเดินเคียงกัน

ภาพขุนเดโชแย้มยิ้ม สายตาหรือก็เอ็นดูเด็กหนุ่มเป็นหนักหนา ท่าทีใส่ใจที่ทั้งคู่มีต่อกัน มิสนใจสิ่งอื่นใดรอบกายทำให้ขุนทัพและหมื่นรามแปลกใจยิ่ง เจ้าร่างน้อยมีดีอันใดหนอใยเสือยิ้มยากเยี่ยงสหายตนจึงแย้มยิ้มได้

คนทั้งสี่ออกเดินเลียบคูน้ำได้เพียงครู่ก็มาหยุดอยู่ ณ เรือนฝากระดานหลังเก่า(เรือนเครื่องสับชั้นดีที่สุด)

“เมื่อใดนายเอ็งจักย้ายออกจากเรือนข้าเสียที”

เสียงตวาดอย่างมีอารมณ์ที่ดังมาจากบนเรือนทำให้เจ้าสินเร่งฝีเท้าขึ้นเรือนโดยเร็ว

“แต่แม่นายท่านไม่สบายหนักนักเจ้าคะ” นางรื่นบ่าวเพียงคนเดียวในเรือนกล่าวทัดทานแม่ปริกที่ตั้งท่าเอะอะ

“ก็เพราะไม่สบายหนักหน่ะซี จะมาตายที่เรือนข้ามิได้เป็นอันขาด” นางปริกมิเพียงมิฟังคำทัดทาน ซ้ำยังตวัดสายตามุ่งร้ายมาสู่เจ้าสินที่พึ่งก้าวขึ้นเรือน

“ว่าอย่างไรไอ้คนบ้าใบ้ วันๆก็หามีงานการอันใดทำไม่ เอาแต่เที่ยวเล่นอีกล่ะซี” ถ้อยคำที่มิเคยถนอมน้ำใจผู้ฟังยังให้ใจทั้งเจ็บปวดและคับข้องในที

เจ้าสินมิโต้ตอบอันใดเพียงแต่เม้มปากยืนนิ่งอยู่เท่านั้น

“แล้วนั่นผู้ใดกันเล่า” นางปริกเอ่ยถามอย่างสนเท่ห์เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่สามคนเดินตามเจ้าสินธุ์ขึ้นมาบนเรือน

นางพิศผู้มาเยี่ยมเรือนอย่างถ้วนถี่ เสื้อผ้าแพรพรรณหรือก็อย่างขุนนางผู้ดี เสื้อนอกรัดทรงตัดด้วยแพรจีน หน้าอกติดดุมถักด้วยเส้นทองแล่งหรือเส้นเงินแล่งเป็นระยะห่างๆ ผ้านุ่งหรือก็งามนัก สนับเพลาปักดิ้นทองดิ้นเงินเป็นลวดลายดูมีราคายิ่ง

“กระผมเป็นสหายของเจ้าสินธุ์ขอรับ” ทั้งสามต่างไหว้นางปริกด้วยเห็นว่าอาวุโสกว่า และขุนเดชก็ตอบข้อสงสังนางอย่างรัดกุมด้วยอาการพูดน้อยเป็นปกติ

“ไหว้พระเถิดนะพ่อ เรือนนี้คับแคบนัก ไปเรือนใหญ่เห็นจะเหมาะกว่ากระมัง ประเดี๋ยวป้าจะให้พวกบ่าวไพร่ยกน้ำท่ามาให้” นางปริกตอบด้วยท่าทีนบนอบ คำพูดวาจาเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“เห็นจะไม่รบกวนหรอกขอรับ กระผมมีธุระจะหารือกับพ่อสินธุ์” ขุนเดชตัดบทด้วยท่าทีสุภาพแต่มิวายแฝงวาจาปิดกั้นการวุ่นวายอยู่ในที

“เช่นนั้นหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายเถิดนะพ่อ” นางปริกเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานพลางค่อยเดินลงเรือนไป

พลันบรรยากาศอึดอัดเมื่อครูก็จางหาย นางรื่นกุลีกุจอหาน้ำท่ามารับรองแขกเหรื่อเป็นการใหญ่ เนื่องด้วยเจ้าสินธุ์นั้นมิเคยพาผู้ใดมาเยี่ยมเรือน

“มิต้องลำบากหรอกเจ้า” ขุนเดชเอ่ยทัดทานเมื่อเห็นเจ้าน้องน้อยเข้าช่วยนางรื่นยกสำรับของว่างออกมารับรอง

เจ้าร่างบางเพียงส่ายหน้าและยิ้มน้อยๆเท่านั้น

“เสียงอึกทึกอันใดให้วุ่นวาย” พลันทุกสายตาก็จับจ้องยังร่างของหญิงชราที่ค่อยเยื้องย่างมายังกลางบ้าน

เมื่อเห็นคุณยายเดินมา เจ้าสินธุ์ก็รี่เข้าประคองท่านผู้เฒ่ามานั่งยังบริเวณพื้นไม้ที่ยกระดับสูงขึ้นมา

ทั้งเจ้าสินธุ์และนางรื่นต่างประหลาดใจแลยินดีนัก เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่านั้นเจ็บออดๆแอดๆมานานนัก แรงจะลุกจากเตียงหรือก็มิมีเพียงสักน้อย แต่เพลานี้กลับมีกำลังวังชาลุกเดินออกนอกห้องได้ด้วยตนเอง

เดี๋ยวพรุ่งนี้ดึกๆจะมาต่อตรงคอมเมนต์นี้นะคะ อย่าลืมแวะมาอ่านกันน้า วันนี้ไม่ไหวแล้วค่าา  :a12:

@ คุณ yeyong   o13 ใช่แล้วค่า แต่คงไม่หลายชาติภพยาวนานเท่าแต่ปางก่อนค่ะ เอาแบบพอหอมปากหอมคอเนอะ  :man1:
@ คุณ kasarus ตอนนี้ก็ดราม่านิดหน่อยค่ะ( :m28: รึป่าวนะ) คงไม่เยอะ (อิ๋งไม่ชอบอะไรเศร้าๆ)
@ คุณ takara ยังไม่บอกค่ะว่าเชื่อมกันยังไง ค่อยๆลองทายดูนะคะ  o3
@ คุณ jiw มาต่อแล้วค่ะ แต่มาช้าหน่อยนึง :o8: พึ่งสอบเสร็จวันอังคาร ดีใจที่เข้ามาอ่านค่ะ :mc3:

 :m7: ต่อค่ะ

แขกเหรื่อทั้งสามต่างยกมือไหว้ท่านผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม

แม้หญิงชราจะอ่อนแรงด้วยโรคภัย ทว่าความรู้สึกผู้พบเห็นคลับคล้ายมิได้สมเพชเวทนาดั่งเมื่อเห็นคนชราหรือคนเจ็บแม้แต่น้อย

ร่างผอมเกร็งนั่งอิงหมอนสามเหลี่ยม ข้างกายตั้งไว้ด้วยพานเชี่ยนมากและโต๊ะเตี้ยที่มีแจกันจัดไว้อย่างงดงาม

ท่านผู้เฒ่าพิศชายหนุ่มทั้งสามพลางเอ่ยถามความเป็นไป แววตาของหญิงชรานั้นน่าเคารพยำเกรง มองดูทะลุปรุโปร่งดังผู้ผ่านกาลเวลามายาวนาน

“ยายได้ยินว่าพ่อนั้นเป็นสหายของเจ้าสินธุ์หรอกรึ” หญิงชราทวนถามขุนเดชเมื่อนางคลับคล้ายคลับคลาเห็นผู้เจรจากับแม่ปริกเพียงเลือนลาง

“ขอรับ”

“เป็นบุตรพระน้ำพระยาผู้ใดกันเล่าพ่อ”

“กระผมนามว่าเดชเป็นบุตรชายคนรองของพระยามณูปกรณ์ขอรับ” เพียงได้ยิน ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่สะท้อนในอก แม้นตนนำเจ้าสินธุ์มาเลี้ยงดูถึงอีกฝั่งของพระนคร แต่สุดท้ายก็มิวายต้องพัวพันข้องเกี่ยวกัน

ด้วยเมื่อครั้งเจ้าสินธุ์กำเนิด ตนได้ขอให้พระคุณเจ้าวัดมหาธาตุตั้งชื่อหลานชาย และถ้อยคำอันภิกษุเฒ่าได้เอ่ยนั้นกลับแจ่มชัดในยามนี้

“ชื่อสินธุ์เห็นจะเหมาะ ด้วยชาตาหลานโยมนั้นพบพานเพียงแต่เรื่องร้อน ให้เป็นน้ำดับไฟเสียคงจะดี”

“ฝืนชาตานั้นยากนัก แม้นโยมจักทำอย่างไรก็มิอาจเป็นผล ชะตาหลานโยมนั้นผูกไว้ ณ เรือนเกิดนั่นแล้ว อย่างไรเสียก็จักได้คืนเรือน...”


แววตาของท่านผู้เฒ่าหม่นลงด้วยอ่อนใจ นางคล้ายจะเห็นบ่วงกรรมอันตัดไม่ขาด
 
และหญิงชราจำต้องหลุดออกจากห้วงคำนึงเมื่อเจ้าสินธุ์แตะแขนตนพลางชี้ยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงชานเรือน

ชายผู้นั้นประนมมือไหว้เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่ามองตน

หญิงชราเพียงระงับความร้อนใจไว้ในอก เนื่องด้วยรู้ว่าเพลานี้คงได้เวลาที่บ่าวสาวใช้ผู้ติดตามมานานจะได้ออกเรือน เพราะเมื่อยามรุ่ง พ่อค้าทางใต้ผู้นี้ได้มาสู่ขอนางรื่นด้วยไปมาหาสู่กันมานาน

“ไปลาพี่รื่นของเจ้าเสียสิเจ้าสินธุ์”

เมื่อได้ฟังคำคุณยาย เจ้าสินธุ์ก็ได้แต่สับสน ‘ใยต้องไปลาพี่รื่น พี่รื่นจักไปที่ใด’

ยังมิทันที่เจ้าสินจะทำอันใด นางรื่นก็เข้ามากราบลาท่านผู้เฒ่าด้วยน้ำตานองหน้า

“ไปเถิดเจ้า จำคำข้าสอนได้รึไม่ จะออกเรือน ยังร่ำไห้ฟูมฟายให้หน้าตาเปรอะเลอะเทอะ”

แม้นคำพูดจะฟังดูคล้ายตำหนิ แต่กระนั้น แววตาที่ท่านผู้เฒ่ามองยังนางกลับเจือแววเอื้อเอ็นดูอยู่มาก

ท่านผู้เฒ่าเลื่อนหีบใบน้อยข้างตัวมอบเป็นสมบัติติดตัวบ่าวสาวใช้ที่กราบลงอีกครั้งด้วยความตื้นตัน

พลันเจ้าสินธุ์ก็น้ำตาร่วงพรูด้วยมิอยากลาจาก นับแต่ตนรู้ความ พี่รื่นนั้นอยู่กับตนเสมอ แต่ครานี้พี่รื่นจำจากไปไกล เพียงคิด เจ้าร่างน้อยก็ร่ำไห้อย่างหนัก

นางบ่าวสาวใช้นั้นเมื่อเห็นเจ้าสินธุ์ร่ำไห้ก็ให้เจ็บปวดเข้ากอดปลอบร่ำไห้อาลัยรักกัน

“คุณเจ้าขา ต่อแต่นี้อย่าไปวิ่งเล่นไกลเรือนนักนะเจ้าคะ บ่าวไม่อยู่แล้วมิมีผู้ใดจักไปตามกลับ”

“พ่อคุณของบ่าว มิต้องร่ำไห้นะเจ้าคะ” นางรื่นกล่าวปลอบพลางใช้ผ้าซับน้ำตาให้เจ้าสินธุ์เช่นเมื่อครั้งยังเยาว์

“อึก...อึก...ฮึก....” เพียงแต่เจ้าร่างน้อยนั้นคล้ายมิรู้อันใด สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

“แม่นายท่านเจ้าคะ บ่าวไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ไปแล้ว” ด้วยเลี้ยงเจ้าสินธุ์มาแต่น้อย เมื่อเห็นเจ้าร่างน้อยร่ำไห้ นางจึงมิอาจทนได้

“เอ้า อย่างไรกันนังรื่น จะมากลับคำก็หาได้ไม่ ข้าให้เลี้ยงหลานข้า มิใช่ให้ตามใจจนเสียคน รักทูนหัวทูนเกล้านักเทียวล่ะ พ่อสินธุ์อยากได้อันใด นังรื่นเป็นต้องไขว่คว้าหามาให้”

“เจ้าสินธุ์ก็อีก เติบใหญ่จนป่านนี้ ยังร้องไห้โยเยเป็นทารก หากเป็นเสียอย่างนี้เห็นทีพี่รื่นของเจ้าจะไม่ได้ออกเรือนเสียกระมัง”
เมื่อเจ้าสินธุ์ได้ยินคุณยายพูดเช่นนั้นจึงค่อยหักใจคลายกอดพี่รื่นพลางกลั้นสะอื้น

“ไปเถิดนางรื่น มัวแต่รีรอประเดี๋ยวจะเสียการ” ท่านผู้เฒ่ารีบเอ่ยเตือนนางรื่นด้วยเกรงว่าจะออกเดินทางล่าช้า

“ลงไปส่งพี่รื่นของเจ้าเสีย มาร้องไห้กระจองงอแง มิอายแขกเหรื่อบ้างหรือไร” เจ้าสินธุ์เพียงพยักหน้ารับพลางหยิบกล่องใบน้อย ค่อยเดินลงเรือนไปกับนางพี่เลี้ยง

ทางด้านขุนทัพและหมื่นรามนั้นออกจะแปลกใจเนื่องด้วยมิใคร่พบเด็กหนุ่มรุ่นราวสิบสองสิบสามร่ำไห้นัก ส่วนขุนเดชนั้นก็ให้วูบไหวในหทัยเมื่อเห็นหยาดน้ำตาของเจ้าน้องน้อย ตาเรียวมองตามร่างบางไปจนสุดตา

ยังขุนทัพและหมื่นรามให้ใคร่ครวญถึงท่าทีห่วงใยที่สหายตนมีต่อเจ้าสินธุ์

หญิงชรานั้นก็ลอบพิศพลางทอดถอนใจอย่างรู้แน่ว่าแววตานั้นหมายความลึกซึ้งยิ่ง จะว่าหมดห่วงเมื่อหลานตนมีผู้มาดูแลหรือก็มิกล้าคลายใจ แต่อย่างใดได้เล่าเมื่อตนนั้นจะตายวันตายพรุ่งเสียก็มิอาจรู้ได้

ท่านผู้เฒ่าสอบถามจนทราบความว่าขุนเดชและหลานตนนั้นเป็นสหายเที่ยวเล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย ส่วนหมื่นรามและขุนทัพนั้นเป็นสหายของขุนเดชแลพึ่งได้พบกับเจ้าสินธุ์เพียงครู่ก่อนกลับเรือนเท่านั้น

ชายหนุ่มทั้งสามเจรจากับหญิงชราอย่างออกรส เนื่องด้วยท่านผู้เฒ่ารอบรู้ทุกอย่างไปเสียสิ้น กว่าทั้งหมดจะลากลับก็จวนเจียนพลบค่ำ

“พ่อเดช ยายฝากเจ้าสินธุ์ด้วยนะพ่อ หากหลานยายทำอันใดขัดใจไปบ้างก็ให้นึกเวทนาเสียเถิด” และก่อนเหล่าชายหนุ่มจะลงเรือนนั้น ท่านผู้เฒ่าก็ได้กล่าวฝากฝังเจ้าสินธุ์แก่ขุนเดโช

“ขอรับ” ขุนเดชรับคำเป็นแม่นมั่น ยังผลให้หญิงชราวางใจนัก


บ่ายวันต่อมา ขุนเดชนั่งรอเจ้าสินธุ์อยู่ริมคูน้ำใต้ต้นมะขามใหญ่อย่างปรกติ ทว่าจนกระทั่งบ่ายคล้อยก็ยังมิมีวี่แววของเจ้าร่างบางแม้แต่น้อย

ด้วยห่วงกังวล รู้สึกตนอีกที ชายหนุ่มก็ยืนอยู่หน้าเรือนไม้หลังเก่าเสียแล้ว

ขุนเดชเดินขึ้นเรือนด้วยความฉงนในใจ เนื่องด้วยบนเรือนนั้นเงียบเชียบนัก คล้ายมิมีผู้ใดอยู่

แต่เพียงครู่ ชายหนุ่มกลับได้ยินเสียงสะอึกแผ่วๆดังมาจากห้องทางฝั่งปีกซ้ายของเรือน

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พลันต้องตกใจ เนื่องด้วยเจ้าน้องน้อยนั่งกอดเข่าสะอื้นร่ำไห้อยู่มุมห้อง ส่วนบนฟูกนั้น ร่างของหญิงชรานอนนิ่งคล้ายหลับไหลมิรับรู้สิ่งใด

เห็นดังนั้น ขุนเดชจึงใช้มืออังดูลมหายใจแล้วแตะชีพจรของท่านผู้เฒ่า และก็ต้องพบว่าร่างนั้นสิ้นลมเสียแล้ว

ขุนเดโชค่อยเยื้องย่างคุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าร่างบางที่บัดนี้ตาบวมช้ำ หน้าตาหรือก็แดงก่ำ เสียงสะอึกของเจ้าน้องน้อยดังบาดใจนัก

เจ้าสินธุ์คล้ายคนพึ่งได้สติ เมื่อเห็นพี่เดชอยู่ตรงหน้าก็พุ่งเข้ากอดรัดร่ำไห้ปานขาดใจ

ร่างน้อยที่สั่นเทาในอ้อมกอด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลผ่านซึมเสื้อหรือก็ดังน้ำกรดรินรดใจ

“มิเป็นอันใดดอกนะเจ้า นิ่งเสียเถิด” ขุนเดชค่อยลูบหลังเจ้าน้องน้อยแผ่วเบาพลางเอ่ยปลอบประโลมหวังให้เจ้าสินธุ์คลายเศร้า

“นิ่งเสียเถิดคนดีของพี่”

 :o12: คุณยายสิ้นเสียแล้ว เจ้าสินธุ์จะอยู่อย่างไรต่อไปต้องติดตาม  o18

@ คุณ kasarus ตอนต่อไปยังไม่มาค่ะ(มาเร็วๆนี้แน่ๆ) แต่มาต่อของเมื่อวานก่อน อย่าลืมมาอ่านด้วยนะคะ
@ คุณ uknowvry ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ :pig4: อย่าลืมอ่านตรงที่มาเพิ่มด้วยนะคะ
@ คุณ nongrak ลองเดาๆดูนะคะ เดี๋ยวเนื้อเรื่องจะเฉลยในตอนท้ายค่ะ แต่คิดว่าคุณ nongrak อาจจะเดาได้ก่อนจบตอน แต่ว่าน่าสงสารสินธุ์เนอะ :monkeysad: ไม่ใช่แค่เป็นใบ้นะคะ ไม่ค่อยฉลาดด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 10-08-2012 16:36:16
มารออ่านจ้า ขอตอนต่อไปด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-08-2012 17:21:48
โอ๊ะ โอ... ย้อนยุคขนาดนี้ เล่นเอาเดาเรื่องไม่ออกเลยแหะ แต่สนุกค้าบ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-08-2012 17:28:18
เพิ่งเห็นว่ามีตอนพิเศษ แต่ไม่เข้าใจว่ามันจะต่อกับตอนปัจจุบันอย่างไร
สินธุ์น่าสงสารจังทำไมถึงพูดไม่ได้นะ

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 11-08-2012 01:44:05
สงสารสินธุ์อะ แล้วพี่เดชจะพากลับบ้านยังงัยล่ะนิ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น2) 09/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 13-08-2012 15:59:50
จุดประทัดฉลองนิยายใหม่  :mc4: :mc4:
ถ้าไม่เข้ามาแอบส่อง ก็ไม่เห็นว่าแอบอัพนิยายใหม่ 55
ดีนะที่เข้ามา   :กอด1:

เรื่องนี้นายเอกดูรันทดนะค่ะ คงได้กินมาม่าแทนข้าวทั้งเรื่อง
เป็นใบ้ยังไม่พอ ไม่ค่อยฉลาดอีกต่างหาก  :sad4: ชะตาชีวิตยิ่งกว่านางเอกละครเจ็ดสี

จะติดตามเรื่อยๆนะค่ะ ไม่ทิ้งค่ะไม่ทิ้ง  :L2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 17-08-2012 22:19:45
ครานั้น 3

เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=DLlaqMtwpu0

“เก็บข้าวของแล้วเสร็จแล้วหรือ” ขุนเดชเดินเข้ามาในห้องนอนพลางเอ่ยถามเจ้าน้องน้อยที่นั่งเหม่อลอยคล้ายไม่รู้ว่าตนเข้ามา

นับตั้งแต่คุณยายชื่นสิ้นบุญ ขุนเดโชก็เป็นธุระคอยจัดการเรื่องต่างๆทั้งสิ้น โดยตั้งศพสวดอภิธรรมเสียสองคืน แขกเหรื่อจะมีก็หาไม่ ซ้ำนางปริกยังแสดงท่าทีขุ่นเคืองเป็นหนักหนา ทั่วทั้งบ้านเป็นอันรู้ทั่วกันว่าเรือนนี้คงจะรื้อถวายวัดเป็นแน่ จะถามหาถึงหลานคนตายรึก็มิมี ด้วยนางไม่อยากเลี้ยงเจ้าคนบ้าใบ้ให้เป็นภาระ แต่ที่มิได้เอะอะโวยวายให้มากความก็เห็นจะเกรงใจขุนเดชเพียงเท่านั้น

เจ้าสินธุ์เมื่อได้ยินดังนั้นก็เร่งเก็บเสื้อผ้าเครื่องใช้ลงในหีบ บางหีบน้อยใหญ่นั้นหรือก็ตระเตรียมไว้แล้ว ดังท่านผู้เฒ่าได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า

“ไปเถิด” ขุนเดชกล่าวพลางยกหีบน้อยๆที่บรรจุข้าวของมีค่าเดินนำเจ้าสินธุ์ไปที่ท่าน้ำ ส่วนเครื่องใช้อื่นนั้นตนให้พวกบ่าวไพร่ที่เกณฑ์มาช่วยงานขนกลับ

เมื่อเรือพายเทียบท่าน้ำบ้านพระยามณูปกรณ์ ร่างสูงก็สั่งบ่าวไพร่นำของเจ้าสินธุ์ไปยังเรือนหลังที่ตนอาศัย แล้วค่อยพาเจ้าน้องน้อยเดินไปยังเรือนใหญ่

เจ้าสินธุ์เดินกำชายเสื้อพี่เดชไว้มั่น เนื่องด้วยผู้คนเรือนนี้ต่างมองตนด้วยท่าทีสนใจ บ้างทำท่าตกใจ แต่มิทันเอ่ยอันใดเพียงเพราะเมื่อขุนเดชปรายตามองก็ต่างหลบตาก้มหน้าทำงานกันเสียสิ้น

เมื่อเดินขึ้นเรือน ก็ประจวบเหมาะกับเวลาสำรับเย็น ทั้งพระยามณูปกรณ์ คุณหญิงเอื้อมภรรยาเอกและหลวงภูมีภักดี บุตรชายคนโตต่างนั่งล้อมสำรับ

ขุนเดชแปลกใจเพียงเล็กน้อยที่วันนี้เจ้าคุณพ่อมานั่งร่วมสำรับเรือนใหญ่ เนื่องด้วยท่านมักร่วมสำรับ ณ เรือนแม่เดือน เพราะรักตามใจบุตรสาวเพียงคนเดียวยิ่ง

ครั้นพ่อเดชเดินขึ้นเรือนก็มิมีผู้ใดแสดงท่าทีผิดแผก ด้วยชายหนุ่มได้แจ้งแก่เจ้าคุณพ่อไว้แล้วว่าจะพาเพื่อนเล่นแต่วัยเยาว์มาอาศัยที่เรือน

“มิต้องตื่นกลัวไป ไหว้เจ้าคุณพ่อพี่เสียก่อน” ขุนเดชเอ่ยแก่เจ้าสินธุ์พลางค่อยจับคลายมือเจ้าน้องน้อยที่กำชายเสื้อตนไว้มั่น

เจ้าสินธุ์มองพี่เดชด้วยลังเล แต่เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า ร่างบางจึงเพียงเม้มริมฝีปากก่อนค่อยปล่อยมือจากชายเสื้อแล้วคลานเข่า นั่งเคียงขุนเดช

เพียงเห็นหน้าเจ้าร่างน้อยเท่านั้น ทั้งพระยามณูปกรณ์และคุณหญิงเอื้อมต่างมีท่าทีตะลึงงันนิ่งไปชั่วครู่

เจ้าสินธุ์เมื่อค้อมหัวไหว้ด้วยท่าทีนบนอบแล้วก็ได้แต่หวาดหวั่นเนื่องด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองมิกล่าวอันใด

“มีนามว่าอย่างไรรึเจ้า” พลันเจ้าของเรือนทั้งสองค่อยคืนสติเมื่อหลวงภูมีภักดีถามเจ้าสินธุ์ด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

“สินธุ์ขอรับ” ขุนเดชตอบคำ

“เป็นลูกเต้าใครกันรึพ่อเดช” คุณหญิงเอื้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีร้อนรนผิดวิสัย

“หลานคุณยายชื่น อาศัยแถบคลองฝางขอรับ” ครั้นได้ฟังคำตอบ คุณหญิงก็เพียงมองสามีที่พิศดูเจ้าสินธุ์ไม่วางตาก่อนเอ่ยชวนให้คนทั้งสองอยู่ร่วมสำรับเย็น

“เช่นนั้นหรือ มาเถิดกินข้าวกินปลากันเสียก่อน”

เมื่ออยู่ร่วมสำรับเย็นจนแล้วเสร็จ ขุนเดชและเจ้าสินธุ์ก็ลากลับเรือน

มิทันที่ทั้งสองจะเดินถึงเรือน นางบ่าวสาวใช้นางหนึ่งก็เดินรี่เข้ามาหา

“แม่พิศจะรีบเร่งไปไหนหรือ” ขุนเดชเอ่ยถามนางด้วยท่าทีนอบน้อม เนื่องด้วยนางพิศเป็นบ่าวคนสนิทของคุณแม่และยังคอยเลี้ยงตนจนเติบใหญ่ และแม้นคุณแม่จะสิ้นบุญไปแล้ว แต่ขุนเดชยังคงอาศัยอยู่เรือนเดิม โดยมีนางพิศคอยดูแลการเรือนทั้งสิ้น

“จะเร่งไปหาพ่อคุณนั่นแหละเจ้าค่ะ หายไปเสียหลายวัน บ่าวเห็นก็แต่หลังอยู่ไวไว แล้วนี่กินข้าวปลามาหรือยังเจ้าคะ”

“ร่วมสำรับกับเจ้าคุณพ่อเมื่อครู่นี้เอง”

“แม่พิศ นี่สหายชั้น ชื่อสินธุ์” ขุนเดชบอกแก่แม่พิศ ขณะเจ้าร่างบางประนมมือไหว้

“โถ พ่อคุณ มิต้องไหว้บ่าวดอกเจ้าค่ะ” เมื่อแรกนั้นนางพิศเห็นหน้าพ่อสินธุ์ก็ให้สะดุ้งตกใจ ดังพวกบ่าวโรงครัวกล่าวโดยแท้ว่าสหายพ่อขุนเดชนั้นละหม้ายแม่หญิงเนียรนัก แลยิ่งกิริยามารยาทท่าทางด้วยแล้ว ยิ่งพิศก็ยิ่งเหมือนแม่หญิงมิมีผิด หรือคนผู้นี้จะเป็นบุตรแม่หญิงเนียรเสียกระมัง และแม้นนางจักสงกาสักเพียงใด ทว่าก็มิกล้ายุ่งเรื่องนายให้มากความ

“พ่อขุนเดชจะให้บ่าวจัดห้องให้หรือไม่เจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามยามเดินใกล้ถึงเรือน

“มิต้องดอก” ด้วยขุนเดชเกรงเจ้าน้องน้อยจะมิยอมหลับนอนเอาแต่นั่งมองเหม่อ จึงตัดสินใจให้เจ้าสินธุ์นอนร่วมห้องกับตน

นางพิศได้ยินดังนั้นก็ไม่ต่อความเพียงมองคนทั้งสองขึ้นเรือนแล้วจึงเดินกลับยังเรือนนอนของตน

ตั้งแต่สิ้นแม่หญิงดวง ก็มิมีผู้ใดนอกจากขุนเดโชอาศัย ณ เรือนหลังนี้ และด้วยความรักสันโดษของเจ้าของเรือน จึงไม่มีบ่าวไพร่คนใดต้องอยู่คอยปรนนิบัติ มีเพียงนางพิศที่พ่อขุนเดชเอ่ยให้อาศัยบนเรือน แต่ด้วยนางนั้นก็มีครอบครัว จึงไม่เห็นสมควรจะให้ลูกผัวอาศัยร่วมเรือนนาย

หลังจากลงอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้ว เจ้าสินธุ์ก็มานั่งรับลมบริเวณชานบ้าน ส่วนขุนเดชนั้นเจ้าร่างบางเห็นหายไปยังห้องที่อยู่อีกฟากของเรือนได้สักครู่ใหญ่แล้ว

เจ้าน้องน้อยเหม่อมองพลางคิดคำนึงถึงคุณยายและพี่รื่น หากป่านนี้คุณยายยังอยู่ ตนคงได้สวดมนต์อยู่ในห้องพระเป็นแน่ หรือมิเช่นนั้นคงได้ฟังพี่รื่นเล่าถึงย่านร้านตลาดมากมาย
“คุณเจ้าขา เมื่อรุ่งเช้าบ่าวไปหาซื้อสมุนไพรแถบป่ายา จึงเลยไปเชิงสะพานชีกุน ปิ่นปักผมนี้งามนัก มาเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจักเกล้าจุกให้...”
และพี่รื่นมิเคยลืมซื้อขนมหวานจากป่าขนมมาฝาก นึกได้เพียงเท่านี้ เจ้าร่างบางก็ให้น้ำตาร่วงเผลาะเป็นสาย เพราะยามนี้ตนคงมิได้กินขนมอีกเป็นแน่ อยู่เรือนผู้อื่นก็คงมิกล้าทำอันใด

“คิดถึงคุณยายรึเจ้า” ขุนเดชออกจากห้องพระมาก็เห็นเจ้าน้องน้อยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงชานบ้าน แสงจันทร์วันเพ็ญยังสะท้อนหยดน้ำตาบนใบหน้านวล เพียงเห็นเจ้าร่างบางโศกเศร้า จิตใจตนก็พลอยร้อนรนนัก

เมื่อขุนเดชมานั่งเคียง เจ้าสินธุ์ก็ค่อยปาดน้ำตา กระนั้นหน้าตาแดงก่ำ น้ำตาคลอหน่วยและท่าทีเศร้าซึมก็มิวายให้คนมองมิใคร่สบายใจนัก

“หากวันพรุ่งพี่เสร็จงานราชการแต่หัววัน พี่จักพาเจ้าไปกราบพระ”

“อยู่เรือนนี้ก็คิดเสียเถิดว่าเป็นเรือนเจ้า จะหยิบใช้สิ่งใดก็ตามใจเถิด หากขาดเหลือก็ให้เอ่ยแก่แม่พิศ...มีเรื่องอันใดก็กล่าวแก่พี่...คุณแม่พี่สิ้นบุญเสียแล้ว ทั่วทั้งเรือนจึงมีเพียงพี่แลเจ้า...”

ด้วยไม่รู้จะทำอันใดให้เจ้าร่างน้อยคลายเศร้า คนพูดน้อยไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไร จึงกล่าวยืดยาวผิดวิสัย แม้กระนั้น เจ้าสินธุ์กลับนิ่งฟังอย่างคนตั้งใจ ตากลมเพ่งมองแต่เพียงดวงหน้าผู้พูด วงหน้าเนียนแดงระเรื่อบริเวณจมูกแผ่ไปถึงแก้ม กรุ่นกลิ่นมะลิจากร่างน้อยเพียงบางเบา

ขุนเดโชคล้ายนิ่งไปชั่วขณะ ชายหนุ่มค่อยยกมือไล้แก้มเจ้าน้องน้อยแผ่วเบา มือสากเชยคางมนแล้วค่อยก้มจูบหน้าผากนวล
ใบหน้าคมคายค่อยผละออกมา เจ้าสินธุ์เพียงมองพี่เดชนิ่งอยู่อย่างนั้น ด้วยมิอาจเข้าใจการกระทำดังกล่าว ทว่าความเศร้าคล้ายถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ มีเพียงความรู้สึกอุ่นของริมฝีปากประทับตราตรึงเท่านั้น


รุ่งเช้าวันต่อมา พ่อเดชได้พาเจ้าสินธุ์ไปร่วมสำรับเช้า ณ เรือนแม่เดือนดังเช่นปรกติ

เมื่อก้าวขึ้นเรือน เจ้าสินธุ์ก็ต้องหวาดระแวงว่าตนได้ทำอันใดผิดไปรึไม่ เนื่องด้วยบ่าวไพร่เรือนนี้ต่างจ้องมองตนด้วยท่าทีประหลาดใจนัก แม้กระทั่งพระยามณูปกรณ์และหญิงวัยกลางคนที่นั่งล้อมสำรับก็มองตนไม่วางตาเช่นกัน มีเพียงหญิงสาวแรกรุ่นผู้หนึ่งมองตนด้วยท่าทีเคลือบแคลง กระนั้นดรุณีผู้นี้ก็ยังงามนัก นางนุ่งห่มผ้าจีบสีดำสอดเส้นเงินแล่ง จีบหน้านางชักชายพกยาวตกลงมาตรงกลาง ชายระเกือบถึงพื้น ห่มสไบผ้าฝ้ายสีขาว นิ้วเรียวประดับด้วยแหวนเพชรพลอยเม็ดน้อย เล็บย้อมสีแดง ผิวพรรณหรือก็ขาวนวล ผมไว้ยาวประบ่าหวีแสกกลางเงางามด้วยน้ำมันหอม พิศดูงามแลภูมิฐานนัก

นางตรงเข้าหาเดินเคียงพี่เดช มิวายหันมาถลึงตาใส่เจ้าสินธุ์ด้วยทีท่าโกรธเคือง ก่อนจะหันไปพูดคุยออดอ้อนพี่ชายด้วยกิริยาน่าเอ็นดู

“พี่เดชมีงานราชการยุ่งหรือจ๊ะ ที่เรือนก็มิมีผู้ใดอยู่....” นางแสร้งถาม แม้นจักทราบว่ากิจธุระของขุนเดโชนั้นเกี่ยวข้องกับชายบ้าใบ้ที่พึ่งเดินขึ้นเรือนมานี้

“พี่มีกิจธุระสำคัญ” ขุนเดชตอบเพียงสั้นๆ หากแต่แฝงความรักใคร่เอ็นดูในแววตาต่อคู่สนทนาอยู่มากนัก

“สำคัญกว่าน้องรึไม่”

“ผู้ใดจะสำคัญกว่าแม่แพงน้องพี่ไปเสียได้” ยังมิทันที่ขุนเดโชจะได้เอ่ยอันใด พลันหลวงภูมีภักดีก็ตอบคำด้วยเกรงน้องชายตนจักกล่าวให้แม่แพงขุ่นใจ

...............................
 :m23: ได้เท่านี้อยู่เลยค่ะ
พอดีการบ้านเยอะมากๆเลย เลยแต่งได้นิดเดียว
มองดูปฏิทิน เราหายไปตั้งเป็นอาทิตย์เลยแฮะ
ก็เลยขอลงก่อนแล้วกันเนอะ อาจจะน้อยไปหน่อย(ไม่หน่อยล่ะ)
ฝากด้วยนะคะ :impress: เปิดตัวนางร้ายกันสักหน่อย

@ คุณ takara แหะๆ ชีวิตเจ้าสินธุ์รันทดเบาๆค่ะ พี่เดชเลยพาลงเรือกลับเรือนไปแล้ว

@ คุณ suck_love นิยายเก่าแต่ตอนพิเศษใหม่ค่ะ เกี่ยวกับเรื่องหลักอยู่น้าาา ดีใจที่เข้ามาส่องจ้า  :m20: ถูกใจกับคำเปรียบเทียบ คงประมาณละครเจ็ดสีจริงๆด้วย
ฝากติดตามตอนนี้ด้วยน้าาาา

 :กอด1: ยังไงก็ติชมกันได้นะคะ

 :m22: มาต่อค่ะ อย่าลืมมาอ่านกันนะคะ

“จักลวงน้องอีกหรือพี่ไท น้องหรือจักเทียมงานราชการของพี่ได้” แม่แพงหยุดฟังคำพี่ชายคนโตพลางโต้กลับด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แม้นคนทั้งเรือนต่างพากันเอาอกเอาใจนาง หากแต่ในบางครา พี่ไทและเจ้าคุณพ่อก็ช่างเอาใจใส่ต่อราชการนัก มีเพียงพี่เดชที่แม้นจักเงียบขรึม กระนั้นหากนางออดอ้อนอยากได้สิ่งใด พี่เดชมิเคยขัดแม้เพียงสักครา

หลวงภูมีภักดีไม่ตอบอันใด นอกจากงานราชการแล้วตนมักไปเที่ยวร่ำสุราตามประสา มิใคร่มีเวลาคอยเอาใจแม่แพงนัก จึงเพียงยิ้มมุมปากเอามือไพล่หลังมองแม่แพงพูดคุยเจื้อยแจ้ว

พลันชายหนุ่มก็แลเห็นสหายของน้องชายยืนเคว้งอย่างคนไม่รู้จักทำอย่างไร ร่างน้อยอายุคงราวสิบห้าสิบหก วงหน้าหรือก็หวานล้ำ พิศที่ใดล้วนพริ้มเพราน่าเอ็นดู ตากลมโศกคู่นั้นจับใจเป็นหนักหนา มองอย่างไรก็มิรู้เบื่อ เช่นนี้กระมัง พ่อเดชจึงรักใคร่เอ็นดูนัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อยตนก็รู้เห็นเพียงน้องชายจักออกไปยามบ่ายเพื่อไปพบสหาย หากมิได้ติดใจว่าจักเป็นผู้ใด นึกเพียงว่าไปพบบุตรชายเจ้าคุณกลาโหมและบุตรหลวงเจ้าเทพเท่านั้น

ขุนเดชที่เดินเคียงฟังน้องสาวเจรจา ลืมคนที่เดินตามมาเมื่อครู่ไปเสียสนิทใจ เมื่อลงนั่งล้อมสำรับแล้ว เห็นเจ้าน้องน้อยยืนนิ่งจึงเรียกให้มานั่งเคียง

“สินธุ์...”

“น้องมิได้เตรียมสำรับเผื่อผู้อื่น เป็นลูกหลานพระน้ำพระยาก็หาไม่ ถือดีอย่างไรจักมาร่วมสำรับ”

มิทันเจ้าสินธุ์จักทำอันใด แม่หญิงแพงกลับมองเจ้าสินธุ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางกล่าววาจาไม่เว้นไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น

“หากเช่นนั้นพี่คงมิอาจอยู่ร่วมสำรับ” พ่อเดชได้ยินดังนั้นก็ให้ขุ่นใจเป็นกำลัง ซ้ำเห็นเจ้าน้องน้อยหน้าตาถอดสีซีดเซียว จึงค่อยจับจูงเจ้าร่างบางเดินลงเรือนไป

“แม่แพง!เป็นสาวเป็นนางพูดจาเยี่ยงนั้นได้อย่างไร” แม่เดือนคล้ายลมจับ กล่าวเอ็ดบุตรสาวได้ไม่เต็มเสียงนัก

หลวงภูมีภักดีเพียงส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วลงเรือนไปอีกคน ผู้ใดจักคาดได้ น้องสาวที่ตนเอ็นดูหนักหนา หาญกล่าววาจามุ่งร้ายผู้อื่น กิริยาหรือก็ราวมิมีผู้ใดสอนสั่ง อับอายพวกบ่าวไพร่ในเรือนยิ่ง

ข้างพระยามณูปกรณ์นั้นไม่เอ่ยอันใด ทว่าท่าทีมิใคร่พอใจนัก

แม่แพงเห็นดังนั้นก็ให้โกรธาแค้นเคืองเจ้าสินธุ์เป็นหนักหนา นางชังคนผู้นี้นัก ตั้งแต่เล็กแต่น้อยพี่เดชและเจ้าคุณพ่อมิเคยรักใคร่เอ็นดูผู้ใดเท่าเทียมนาง หากเพลานี้ บ่าวทั้งเรือนลือกันให้หนาหูว่าพี่เดชพาสหายมาอยู่ที่เรือน บ้างก็ว่าคนผู้นี้เป็นลูกชายชู้ของแม่เนียร ภรรยาอีกคนของเจ้าคุณพ่อ กระนั้น เจ้าคุณพ่อกลับมิกล่าวอันใด เมื่อถามคุณแม่ ก็เพียงตอบว่าเจ้าคุณพ่อนั้นรักใคร่แม่เนียรนัก แม้นรู้ว่านางมีชายชู้ ก็มิอาจหักใจ คิดจะรับลูกที่เกิดแต่ชายอื่นเป็นลูกตน ทว่าหญิงแพศยาสิ้นไปเสียก่อน มิเช่นนั้น นางคงได้อยู่ร่วมเรือนไอ้ลูกชู้ผู้นี้เสียกระมัง

‘คอยดูเถิดไอ้ใบ้ คิดจักมาเทียมกู เห็นทีจักต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง’

 :m32:

หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 17-08-2012 23:01:26
มีงานอันใดเร่งทำเถิดหนา
เราจักรอตอนต่อไปของเจ้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 18-08-2012 14:01:12
จะเจออะไรอีกรึป่าวนะ สงสารสินธุ์อะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 18-08-2012 15:08:38
สงสัยสินธ์จะเจอกับยัยตัวอิจฉาอีกคนเป็นแน่
แล้วพี่เดชจะคอยคุ้มครองน้องสินธ์ได้หรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 18-08-2012 19:20:25
น้ำออกไปอย่าลืมหยิบน้องผสมไปนะ 5555

น่ารักดีเนอะๆ หุหุ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 18-08-2012 23:01:12
มาอ่านรวดเดียวจบเลยสนุกมากๆๆ
อยากให้ต่อเรีื่องจอมทัพกับพี่ภู อีกเยอะๆๆ
เรื่องในชาติก่อนก็พอจะเดาออกว่าใครเป็นใคร

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆๆที่เขียนมาให้อ่านกันคะ
ชอบสำนวนภาคอดึตชาติมาก  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น3) 17/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 19-08-2012 19:56:45
อ่านตอนนี้แล้วต้องย้อนกลับไปดูตอนแรกเสียหลายรอบว่าใครเป็นใคร
แต่ดูท่าท่านเจ้าคุณน่าจะรู้แล้วนะว่าสินธุ์เป็นใครมีเบื้องหลังมาอย่างไร
งานนี้ต้องมาลุ้นกันว่าแม่หญิงแพงจะป่วนสองหนุ่มของเราได้มากแค่ไหน
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 25-08-2012 22:03:17
ตอนที่สามมีต่ออีกนิดหน่อยนะคะอย่าลืมเลื่อนกลับไปอ่านตรงกระทู้ข้างบนกันซักนิด

ครานั้น 4

เพลาชาย แดดแรงถึงกลางกระหม่อม ผู้คนภายในบริเวณบ้านพระยามณูปกรณ์ต่างพากันยุ่งง่วนกับกิจการงานบนเรือนตามปรกติ ด้วยแดดแรงถึงขนาด จึงมิใคร่มีผู้ใดออกจากเรือน มีเพียงพวกลูกข้าทาสวิ่งเล่นอยู่กลางลานแถบเรือนนอนของพวกบ่าวไพร่เท่านั้น และยังมีนางบ่าวผู้หนึ่งเดินเร่งฝีเท้าพลางเหลียวซ้ายแลขวาดังหาบางสิ่ง นางเดินเร็วรี่จนใกล้ถึงหมู่เรือนทรงไทย จึงได้แวะถามไถ่พวกบ่าวไพร่ที่เดินสวนกัน

“อีแผ้ว เอ็งเห็นพ่อสินธุ์รึไม่”

“สหายท่านขุนเดชล่ะหรือ ข้าเห็นอยู่แถบท่าน้ำกระมัง”

นางบ่าวที่เดินสวนกันตอบพลางพยักเพยิดไปทางศาลาท่าน้ำ ที่แลเห็นร่างบางนั่งอิงเสาศาลาอยู่ไกลๆ

ลมอุ่นพัดผ่านริมตลิ่ง น้ำใสไหลเอื่อยมองเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมา ปลาน้ำจืดรูปร่างแบน ลายสลับขาวดำ ว่ายริมผิวน้ำ ตากลมดำจดจ้องไปยังแมลงตัวจ้อย พลันพ่นน้ำพุ่งตกต้องภู่ภมรที่บินเรี่ยผิวน้ำ เจ้าปลาลายขาวดำรี่เข้าฮุบเหยื่อโดยทันใด

เสียงฝีเท้ากระทบไม้กระดานเพียงแผ่ว ทว่าฝูงปลาต่างดำดิ่งลึกว่ายหายไป

ร่างน้อยค่อยสะดุ้งพิศผู้มาใหม่ด้วยท่าทีสงกา กระนั้นริมฝีปากบางหยักรั้งขึ้นยิ้ม ยังท่าทีน้ำใสใจจริงให้ผู้พบเห็นรักใคร่สนิทใจอย่างไม่ยากเย็น

“เพลาชายแล้ว ยังมิรับสำรับอีกหรือเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามสหายพ่อขุนเดชด้วยความเป็นห่วงระคนร้อนใจ

ผู้ถูกถามมิตอบอันใดเพียงส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยยังคงเกรงต่อเหตุการณ์ยามเช้าอยู่มาก จึงได้แต่ชะเง้อคอยพี่เดชกลับมา

“รับสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ กะเดี๋ยวบ่าวจักไปยกสำรับมาให้ หากมิยอมกินข้าวปลา พ่อขุนเดชจักได้โกรธาบ่าวเป็นแน่”

“คนมิเต็มใจจักกินข้าว ก็มิต้องฝืนใจดอก มาอยู่เรือนผู้อื่นมิรู้จักเจียมเนื้อเจียมตน มีข้าวให้กินก็ดีถมไป ยังทำรีๆรอๆให้น่ารำคาญ”

มิทันที่เจ้าสินธุ์และนางพิศจะทำการอันใดก็เป็นต้องก้มหน้าหลบตาเมื่อแม่หญิงแพงเดินมาท่าน้ำพร้อมบ่าวรับใช้อันได้แก่ นางแผ้วและนางตาด

“กล่าววาจาเยี่ยงนี้มิงามเจ้าค่ะแม่หญิง” นางแผ้วพูดเตือนแม่นายของตนเสียงเบาอย่างหวั่นเกรง นางตาดนั้นก็ค่อยลูบเท้านายหวังให้คลายโกรธเกรี้ยวไปบ้าง

“ใยต้องใส่ใจ เป็นข้าทาสบ้านใดเสียก็มิรู้ เคราะห์ดีพี่เดชเมตตาดอก” แม่หญิงแพงมิเพียงไม่ฟังอันใด ซ้ำยังจ้องมองเจ้าสินธุ์ราวจะฉีกเนื้อเถือหนังก็มิปาน

แม้นเจ้าสินธุ์จักมิใคร่พอใจก็เพียงอดกลั้นมองเมินไปทิศอื่น มือน้อยกำชายโจงกระเบนบีบแน่น แววตาฉายแววร้าวรานระคนเจ็บปวด

นางพิศเห็นดังนั้นจึงค่อยสะกิดพาพ่อสินธุ์เดินไปยังเรือนของขุนเดโช

เจ้าสินธุ์ข่มอารมณ์ไว้ในอกแล้วเดินอย่างเจียมเนื้อเจียมตนเยื้องย่างลงจากศาลาท่าน้ำ ยังความขัดเคืองต่อแม่แพงอันมิเห็นความทุกข์ร้อนจากไอ้คนบ้าใบ้ จึงเร่งเดินตามติดเงื้อมือหมายจะเข้าตบตีให้สาแก่ใจ

“จักทำเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ หากแม่นายเดือนรู้เข้า จักมิได้ลงเรือนหนาแม่นายท่าน” นางบ่าวติดตามทั้งสองเห็นดังนั้นก็ให้กระวีกระวาดยื้อยุดฉุดแขนนายตน ด้วยแม่นายเดือนกำชับเป็นมั่นเหมาะเมื่อยามเช้าให้พวกนางคอยดูแลแม่หญิงแพงมิให้ไปก่อเรื่องราว มิเช่นนั้นจักลงหวายพวกนางเป็นแน่

“ปล่อยข้า บอกให้ปล่อยอย่างไรเล่า” ด้วยความโกรธา นางจึงมิฟังอันใด สะบัดแขนขาดิ้นเร่าๆจนนางพี่เลี้ยงยื้อยุดไว้ไม่อยู่
นางพิศและเจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นก็เร่งเดินคล้ายจักวิ่งให้ไกล ทว่าเคราะห์ยังดีที่หลวงภูมีภักดีเสร็จจากราชการเดินขึ้นจากท่ามาเสียก่อน

“จักเที่ยวระรานผู้อื่นอีกรึแม่แพง” หลวงภูมีภักดีเอ่ยเสียงเข้มระคนขุ่นเคืองเมื่อเห็นน้องสาวตนจักตั้งท่าตบตีเจ้าสินธุ์ที่บัดนี้เดินหนีไปจนลับตา

แม่แพงได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแต่หยุดนิ่งค่อยเก็บกลั้นความโกรธก่อนกล่าวตัดพ้อพี่ชายด้วยน้อยอกน้อยใจเป็นหนักหนา

“หากผู้อื่นมิทำให้น้องขุ่นใจ น้องหรือจักกล้าระรานผู้ใด พี่ไทก็เถิดเห็นผู้อื่นดีกว่าน้องแล้วใช่ฤาไม่” นางเอ่ยพลางมองพี่ชายด้วยน้ำตาคลอ

“พี่มิเคยเห็นผู้ใดดีกว่าเจ้า ถูกก็ว่าตามถูก ผิดก็ว่าตามผิด” เมื่อเห็นน้ำตาน้องสาว หลวงภูมิภักดีก็คล้ายจะใจอ่อน จึงทำเมินกล่าวเพียงไม่กี่คำแล้วเดินไปยังเรือนขุนเดช

“เห็นฤาไม่พี่แผ้วพี่ตาด เพราะไอ้คนใบ้นั่นเทียว” ด้วยวาจาดังตำหนิว่าตนนั้นผิด แม่แพงจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันผินกายเดินจ้ำกลับเรือนอย่างแค้นเคือง


หลวงภูมีภักดีเดินถึงเรือนน้องชายเห็นนางพิศลงกระไดจึงเอ่ยถามความยังเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อทราบความจึงนึกเวทนาเจ้าร่างน้อยระคนร้อนรุ่มในอกอย่างประหลาด

“แล้วนี่ แม่พิศจักไปยกสำรับใช่ฤาไม่”

“เจ้าค่ะ บ่าวกล่อมอยู่เป็นนาน พ่อสินธุ์จึงจะยอมกินข้าวปลา”

“มิต้องดอก ข้าว่าจักพาไปร่วมสำรับที่เรือนใหญ่ แม่พิศไปบอกโรงครัวให้จัดสำรับเพิ่มเถิด” หลวงภูมีภักดีสั่งความจบก็เดินขึ้นเรือนไป


เสียงตักน้ำล้างเท้าตรงตีนกระไดและเสียงเดินขึ้นเรือนทำให้คุณหญิงเอื้อมละมือจากมาลัยที่กรองอยู่ด้วยคิดว่าบุตรชายเสร็จจากราชการมาร่วมสำรับเป็นแน่ แลเมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นว่าสหายพ่อขุนเดชค่อยคลานเข่านั่งคอยท่าอีกคน

“มีอันใดรึพ่อไท”

“ลูกชวนพ่อสินธุ์มาร่วมสำรับจักได้ฤาไม่ขอรับ” หลวงภูมีภักดียิ้มพลางทอดเสียงดังออดอ้อนคุณหญิงเอื้อมเช่นเมื่อครั้งยังเยาว์

“ใยจักมิได้เล่า ดีนักเทียว หากเจ้ามีงานราชการ แม่จักได้มิกินข้าวแต่เพียงผู้เดียว”

คุณหญิงเอื้อมเอ่ยพลางพิศเจ้าสินธุ์ด้วยความเมตตา ด้วยตนได้ยินพวกบ่าวในเรือนเล่าลือกันว่าแม่แพงนั้นมิยอมให้เจ้าร่างน้อยนี้ร่วมสำรับซ้ำยังกล่าววาจาดูหมิ่น เพียงพ่อสินธุ์พูดมิได้ นางก็นึกเอ็นดูนัก กระนั้นยังถูกดูแคลน นางจึงเวทนาอย่างสุดจิตสุดใจ

หลังจากกินข้าวแล้วเสร็จ คุณหญิงเอื้อมจึงนั่งกรองมาลัยดังเดิม ส่วนหลวงภูมีภักดีนั้นเดินไปนั่งใคร่ครวญงานราชการยังศาลาหอกลาง มีเพียงเจ้าสินธุ์ที่มิรู้จะทำอันใด นั่งเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบเรือน

เรือนนี้ใหญ่กว้างร่มรื่นงดงามดังจิตใจกว้างขวางของแม่เรือน บ่าวไพร่แวดล้อมตั้งแต่สาววัยกำดัดกระทั่งแก่เฒ่าผมสีดอกเลาต่างง่วนทำกิจการงานของตนด้วยท่าทีสงบ บ้างก้มคัดดอกไม้ บ้างทำแป้งร่ำอยู่ตรงชานเรือน

เมื่อพิศเพ่งมองชานเรือนก็ให้รู้สึกสงบใจด้วยกอไม้และอ่างบัวเรียงราย ทั้งตะโกนาทิ้งกิ่งเขียวชอุ่มในกระถาง แพงพวยออกดอกสีบานเย็นสดสลับกับนมสวรรค์ต้นเตี้ยชูช่อสีแสด ยังพุ่มข่อยตัดแต่งสวยงามในกระถางกระเบื้องเคลือบ

ข้างฟากตั่งเตียงยกพื้นอันเป็นที่นั่งของคุณหญิงเอื้อมนั้นมีเสื่อหวายปูซ้อนทัพด้วยพรมเปอร์เซียทอลายประณีตและมีหมอนอิงสามเหลี่ยมที่บัดนี้เจ้าของนั่งอิงกรองมาลัยอย่างคล่องแคล่ว ข้างกายฝั่งซ้ายยังโตกเตี้ยเครื่องเงินเชี่ยนหมาก ข้างกันมีกระโถนเคลือบแลป้านน้ำชาเครื่องสังคโลกสีเขียวไข่กา

คุณหญิงทันรู้สึกตนว่าถูกจ้องมิได้วางตาจึงเรียกเจ้าสินธุ์พลางถามไถ่ความ

“มีอันใดฤาพ่อสินธุ์”

เจ้าร่างบางไม่ตอบคำเพียงชี้ไปยังพานทองใส่มะลิและกลีบกุหลาบแดงสดที่วางอยู่เคียงกัน

คุณหญิงเอื้อมแลบ่าวไพร่ต่างมองด้วยท่าทีสนอกสนใจพลางคิดแปลความกิริยานั้นไปต่างๆนานา

“มีอันใดกับดอกไม้...จักกรองมาลัยหรือ” ผู้สูงวัยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงฉงนสงสัยอยู่ในที

เจ้าสินธุ์ยิ้มบางค่อยพยักหน้า ส่งสายตาออดอ้อนวอนขอ ด้วยเพราะพี่เดชเอ่ยว่าจักพาตนไปกราบพระหลังเสร็จจากงานราชการแลเพลานี้ตนเพียงนั่งนิ่งมิมีงานการอันใด เจ้าร่างน้อยจึงคิดกรองมาลัยบูชาพระประธาน หวังผลบุญส่งไปยังคุณยายผู้ล่วงลับ

“กรองมาลัยได้หรือเจ้า” คุณหญิงเอื้อมสอบถามอีกคราให้แน่ใจด้วยมิใช่หน้าที่บุรุษที่จักใส่ใจการเรือน แลยิ่งกรองมาลัยด้วยแล้วนางมิเคยพบพานบุรุษใดกระทำเยี่ยงนี้มาก่อน

เจ้าร่างน้อยเพียงพยักหน้าหนักแน่น ตากลมใสจดจ้องคอยท่า ท่าทีน่ารักใคร่น่าเอ็นดู มิว่าผู้ใดเห็นเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนปรนต่อคนผู้นี้เป็นแน่

“กรองมาลัยมิใช่เพลิดเพลินดังวิ่งเล่นดอกหนา” แม้นคุณหญิงจักเอ่ยท้วง ทว่าสั่งความให้นางบ่าวสาวใช้คัดแบ่งดอกไม้ใส่กระจาดใบน้อยให้เจ้าร่างบางได้กรองมาลัยสมดังใจหมาย

มือน้อยหยิบจับเลือกดอกไม้อย่างคล่องแคล่ว สักครู่จึงปรากฏมาลัยกลมยกดอกลายเกลียว สีขาวพิสุทธิ์ของมะลิสลับกุหลาบกลีบอ่อนขึ้นวนเป็นเกลียวขนานรอบเข็มอย่างปราณีต จวบจนร้อยอุบะด้วยดอกรักแลดอกกุหลาบตูมห้อยเป็นชายเพียงพวงเดียวจนแล้วเสร็จ นางบ่าวที่นั่งรายล้อมจึงค่อยชี้ชวนกันพิศมาลัยงามมิวางตา

ตัวคนร้อยมาลัยได้งามยังมิทันรู้สิ่งใด ใจจดจ่อยังเข็มมาลัยแลดอกไม้ กระทั่งคุณหญิงเอื้อมเอ่ยถามจึงค่อยรู้ตนว่าผู้อื่นนั้นล้วนนิ่งอึ้ง บ้างชี้ชวนกันให้มองมาลัยในมือน้อย

“คุณยายชื่นสอนเจ้ากรองมาลัยใช่ฤาไม่” แม่นายของเรือนยกมาลัยขึ้นพิศด้วยแววตาชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ฝีมือกรองมาลัยงดงามเช่นนี้ มิมีผู้ใดเทียมคุณยายชื่นเป็นแน่

เมื่อเจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำ คุณหญิงจึงยิ้มอย่างพึงใจแล้วเอ่ยไหว้วานเจ้าร่างบางให้มากรองมาลัยที่เรือนในวันพรุ่ง

“วันมะรืนจักเป็นวันพระใหญ่ วันพรุ่งเย็นชายบ่ายคล้อย เจ้ามาช่วยข้ากรองมาลัยเถิดหนา”

เจ้าร่างน้อยตกลงใจอย่างไม่อยากเย็น นับแต่ตนย้ายมาอยู่เรือนพี่เดชนั้นก็มิรู้จักทำอันใด ได้นั่งกรองมาลัยดังคุณยายพร่ำสอนจึงถือเป็นการดีโดยแท้

จวนบ่ายคล้อย เจ้าสินธุ์กรองมาลัยได้ถึงสามพวง ก็ให้รู้สึกตนว่ามีคนนั่งลงเคียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เจ้าร่างบางจึงเพียงอมยิ้มวางเข็มมาลัยลงกับกระจาดดอกไม้ทันที

ชายหนุ่มผู้มาใหม่ไหว้แม่นายของเรือนด้วยความเคารพ คุณหญิงเห็นพ่อเดชขึ้นเรือนมาจึ่งรู้แน่ว่ามาตามเจ้าสินธุ์ ด้วยนิสัยใจคอเงียบขรึม รักสันโดษ หากไม่มีกิจธุระสำคัญอันใด เป็นการยากนักหากจักได้พบเห็นพ่อเดชมายังเรือนหลังนี้

“มาตามพ่อสินธุ์ไปที่ใดฤาพ่อ”

“ไปกราบพระวัดไชยวัฒนารามขอรับ”

“ไปเถิด เห็นจักนั่งกรองมาลัยคอยท่าพ่อเดชเสียกระมัง หากแต่วันพรุ่งสักเย็นชายบ่ายคล้อย ป้าจักให้พ่อสินธุ์มาช่วยกรองมาลัยที่เรือนนี้ล่ะหนา พ่อจะว่าอันใดฤาไม่” ด้วยเห็นว่าเจ้าสินธุ์นั้นอยู่ในความดูแลของพ่อเดช คุณหญิงจึงเห็นสมควรจะต้องบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มไว้เสียก่อน

“หากพ่อสินธุ์ว่าอย่างไร กระผมก็เห็นดีด้วยขอรับ”

หลังจากไหว้ขอบคุณคุณหญิงเอื้อมแล้ว เจ้าสินธุ์จึงได้นำมาลัยทั้งสามพวงคล้องแขนเดินตามพี่เดชไปยังท่าน้ำ หากยังมิทันเดินจนถึงท่า ก็เห็นแม่หญิงแพงเร่งเดินเข้ามาหา

หญิงสาวพึ่งกราบขอโทษพี่เดชเมื่อขึ้นท่ามาได้เพียงครู่ แลด้วยขุนเดชรักตามใจน้องสาวนัก จึงมิได้ติดใจโกรธเคืองแม่แพงให้มากความ

“พี่เดชจักไปที่ใดหรือเจ้าคะ ให้น้องไปด้วยได้ฤาไม่” แม่แพงรีบถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายตนจักออกไปกับไอ้คนบ้าใบ้

ขุนเดโชเพียงพยักหน้าอนุญาต แม่แพงก็หันไปกวักมือเรียกพวกบ่าวไพร่แลหญิงสาวผู้หนึ่งที่เจ้าสินธุ์เห็นยืนคอยท่าอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่

“ให้แม่มะลิไปเป็นเพื่อนน้องเถิดหนาเจ้าคะ” แม่หญิงแพงเร่งเอ่ยขอให้สหายของตนไปด้วย เนื่องจากแม่มะลินั้นปันใจให้กับพี่ชายของนางมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ซ้ำนางยังมิเคยเห็นพี่เดชยุ่งเกี่ยวกับหญิงใด แม้นพวกบ่าวสาวๆในบ้านจักชะม้อยชายตาอย่างไรก็มิเป็นผล

ตามธรรมดานั้น หากขุนนางผู้ใดจักมีเมียกี่คนก็ย่อมได้ แต่จักมีเมียเอกที่จักมิมีนางน้อยๆอื่นใดทัดเทียม แลศักดิ์ของเมียเอกก็มักจะคู่ควรเป็นลูกพระน้ำพระยาเช่นกันหรือจักเป็นหญิงที่พระเจ้าอยู่หัวประทานให้ก็ตามแต่พระประสงค์ ขุนนางบางบ้านนั้นมีเมียทาสเมียบ่าวกันเสียให้วุ่น หากพี่ชายทั้งสองของนางนั้นมิเคยมีเมียบ่าวในบ้านแลมิเคยเลี้ยงดูผู้ใดออกหน้าออกตา พวกบ่าวสาวใช้ในเรือนล้วนอยากเป็นเมียของพี่ชายนางทั้งสิ้น แต่นางมิเห็นผู้ใดจักถูกใจนางเท่าสหายนางดอก แม่มะลิมิเพียงงามคมขำดอกหนา การบ้านการเรือนก็ล้วนคล่องมือ ทั้งยังมีศักดิ์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพระยาท้ายน้ำ เช่นนี้นางมิเห็นผู้ใดเหมาะสมจักเป็นแม่เรือนของพี่เดชเท่าเทียมแม่มะลิแม้นเพียงสักคน

ขณะลงเรือที่ท่าน้ำ เจ้าสินธุ์ก็เป็นต้องหวั่นวิตกยืนนิ่งไม่ไหวติง ริมฝีปากบางเม้มแน่นพิศดูผู้อื่นลงเรือก็เห็นโคลงเคลงน่าหวาดเสียวนัก เนื่องด้วยหนนี้เป็นเพียงหนที่สองที่ตนจักได้ลงเรือพาย ใจดวงน้อยจึงแกว่งไกวคล้ายจักมิกล้าเขยื้อนกายเสียอย่างนั้น

ขุนเดโชเห็นเจ้าน้องน้อยนิ่งงัน มิขยับกายก็ตระหนักรู้ว่าเจ้าร่างบางหวั่นกลัวจักพลัดตกจมน้ำ จึงลงเรือแลยื่นมือคอยประคองเจ้าร่างน้อยให้ก้าวลงเรือจนสำเร็จ

และแม้นว่าเจ้าสินธุ์จักหวั่นเกรงว่าจักจมก้นคูคลองสักเพียงใด ทว่ามือแข็งแรงคล้ายคอยท่าประคองตนอย่างมั่นคงนั้นก็ให้คลายใจได้อยู่มากโข

ลมเย็นปะทะกระทบผิวกายช่วยคลายร้อนจากแรงแดดที่แม้นจักบ่ายคล้อยก็ให้แสบร้อนอยู่สักเล็กน้อย

ขบวนเรือพายบ้านพระยามณูปกรณ์ทั้งสี่ลำมุ่งหน้าจากคลองประตูฉะไกรน้อยออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างช้าๆ

โดยเรือลำแรกนั้นเจ้าสินธุ์นั่งหน้าเรือ พี่เดชนั่งกลางแลมีบ่าวชายคอยพายคัดท้ายอยู่หลังสุด ส่วนลำที่สองคือเรือของแม่หญิงแพงแลแม่หญิงมะลิ สองลำที่เหลือเป็นพวกบ่าวไพร่ที่คอยติดตาม โดยมีบ่าวสาวใช้ของแม่หญิงทั้งสองเสียหนึ่งลำ และหากตนมิได้คาดเดาผิดไป อีกลำเป็นพวกบ่าวชายที่พี่เดชจักให้คอยระแวดระวังคอยคุ้มภัยแก่แม่หญิงทั้งสองเสียกระมัง

สองข้างฝั่งน้ำมิได้มีเรือนหลังใหญ่ดังบ้านพี่เดช มีเพียงเรือนเครื่องผูกสร้างด้วยไม้ฝาขัดแตะมุงด้วยจากหรือหญ้าคา หลังคาหน้าจั่วหรือแบบเพิงหมาแหงนเรียงรายทั้งสองฝั่ง จะมีท่าน้ำงามของเรือนไม้เครื่องสับสร้างด้วยไม้กระดานก็น้อยเต็มที  บ้างก็มีเรือนแพตามริมฝั่งน้ำ ทั้งผู้คนพายเรือสวนไปมา ผู้คนเหล่านั้นหากรู้จักพี่เดชก็ให้ไหว้ทักทายด้วยท่าทีนบนอบ ยังให้เจ้าสินธุ์มองตามสายตาไปสบเข้ากับตาคมคล้ายจับจ้องตนอยู่ก่อนหน้า

ขุนเดโชยิ้มเพียงมุมปากพิศเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้เหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทีใคร่รู้ กลิ่นมะลิบางเบาจากเจ้าร่างบางที่นั่งอยู่หัวเรือยังให้จิตใจสงบชุ่มเย็นมิรับรู้แม้นเพียงไอแดด บ้างบ่าวไพร่บ้านข้าราชการอื่นๆที่ตนเข้าสังกัดพายเรือสวนกันก็ต่างทักทายตามประสา กระนั้นเมื่อเลื่อนสายตาจับจ้องยังเจ้าร่างน้อยอีกคราก็ให้สบเข้ากับตากลมโศกที่จดจ้องตนพลางยิ้มให้ด้วยท่าทีเปี่ยมสุขก่อนค่อยผินหน้าไปยังทิศเดิม มือน้อยแตะราผิวน้ำดังเพลิดเพลินใจเป็นหนักหนา

เรือพายค่อยเคลื่อนจนบัดนี้แลเห็นย่านสิ่งก่อสร้างแปลกตา เรือนนั้นมิได้ปลูกสร้างด้วยไม้ดังเรือนทั่วไป กระนั้นใต้ถุนกลับทึบกลมกลืนกับเสาเรือน(เปนย่านจีนอยู่ตึกสองฟากถนนหลวง) ผู้คนตามท่าหรือก็ล้วนมีแต่บุรุษ ซ้ำบางคนยังผิดแผกกว่าผู้ใดที่เจ้าสินธุ์เคยพบ ด้วยบุรุษเหล่านั้นร่างขาวกำยำอยู่ดอก กระนั้นผมดำยาวกลับพันทบกันยาวลงกลางหลัง มิเหมือนชายชาวสยามแลไม่เหมือนดังตนที่แม้นจักผมยาวหากแต่เกล้าจุกไว้ แลแม้นบ่าวชายจักคัดท้ายเรือไปไกลมิวายให้ต้องเหลียวมองด้วยฉงนในใจนัก

เจ้าร่างน้อยมองซ้ายขวาอย่างมิเคยพบพานด้วยคราแรกที่ลงเรือมาอยู่เรือนพี่เดชนั้นตนมิได้ใส่ใจยังสองฝั่งน้ำ เพียงครู่ก็ปรากฏปรางค์ยอดสูงผ่านทิวไม้เห็นอยู่แต่ไกล

เมื่อเรือสี่ลำจอดเทียบท่า ขุนเดชจึงก้าวขึ้นฝั่งพลางค่อยยื่นมือคอยรับเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้ทรงตัวมิใคร่อยู่ซวนเซปะทะอกกว้าง

“เป็นอันใดฤาไม่” ขุนเดชเอ่ยถามพลางพิศเจ้าร่างบางที่แม้นว่าจักซวนเซ กระนั้นยังระแวดระวังมิให้มาลัยงามได้แตะต้องสิ่งใด

แม่แพงเห็นดังนั้นก็ให้ขุ่นใจยังท่าทีใส่ใจของพี่เดชที่มีต่อไอ้ใบ้เป็นหนักหนา ยังให้แม่มะลิหลากใจระคนวาดหวังให้ขุนเดโชสนใจในตัวนางดังคนผู้นั้นแม้นเพียงสักเล็กน้อย

แม่มะลิพิศใคร่ครวญชายร่างบางมาตั้งแต่ลงเรือด้วยมิเคยพบพานมาก่อน เป็นสหายพี่เดชล่ะหรือ หากแม่แพงบอกตนว่าคนผู้นี้น่าชิงชัง ไม่รู้จักกิริยามารยาทแต่อย่างใด กระนั้นแม้นเพียงเพลานี้นางยังมิเห็นสิ่งใดผิดแผก เพียงพี่ขุนเดชเอาใจใส่สนิทสนมกว่าคนผู้อื่น

เมื่อตั้งตัวได้ เจ้าสินธุ์ก็ให้ตื่นตาตื่นใจด้วยความวิจิตรงดงาม อุโบสถหลังใหญ่ริมท่าน้ำ ระเบียงคดประดิษฐานพระประธานปางสมาธิบนฐานชุกชี รายล้อมด้วยใบเสมา ยังองค์พระปรางค์ประธานตั้งอยู่บนฐานไพทียกพื้นขนาดใหญ่ปิดทองตรึงด้วยหมุดสาดแสงสีทองไปทั่วคุ้งน้ำ มีจัตุรมุข(มีมุขยื่นออกมาทั้ง ๔ ด้าน) แลมุขด้านตะวันออกทะลุเข้าสู่เรือนธาตุ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง ส่วนยอดขององค์ปรางค์นั้นเป็นรัดประคดซ้อนกันถึง ๗ ชั้นล้วนลวดลายใบขนุนแลกลีบขนุน ส่วนบนสุดเป็นทรงดอกบัวตูม ล้อมด้วยเมรุทิศและเมรุราย บ้างเป็นภาพปูนปั้นเล่าพุทธประวัติ บ้างลวดลายเขียนสีเป็นเรื่องราว งามจับตาเป็นหนักหนา

ต่อหน้าพระประธานอันรามปางมารวิชัยฉายรัศมีสีทองน่าเคารพบูชาจนมิกล้าจักเงยหน้ามอง เจ้าร่างน้อยก้มกราบน้ำตาคลอด้วยใจศรัทธา ขอพรให้คุณยายไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

“พี่เดชเจ้าขา น้องแลแม่มะลิจักไปเลือกซื้อผ้าแพรไหมแถบเชิงตะพานประตูในไก่ได้ฤาไม่เจ้าคะ” เมื่อกราบพระประธานแล้ว ก่อนลงเรือกลับ แม่แพงคิดจักเป็นแม่สื่อแม่ชักให้แม่มะลิแลพี่ชายตนได้คุ้นเคยกัน จึงขอพี่ชายให้พาไปซื้อของยังตลาดน้อย
แลด้วยมิเปนเรื่องอันหนักหนา ขุนเดโชจึงตามใจน้องสาวอย่างเช่นเคย

ตลาดน้อยในยามนี้มีพวกจีน‘นั่งร้านขายของสรรพสำเภา ไหมแพร ทองขาวทองเหลือง ถ้วยชามเครื่องสำเภาครบ มีตลาดสดขายสุกรปลาของสดเช้าเยนอยูในย่านในไก่ ย่านสามม้าแต่เชิงตะพานในไก่ตวันออกไปถึงหัวสะพานมุมกรุงเทพมหานคร จีนทำเครื่องจันอับแลขนมทำโต๊ะเตียงแลถังน้อย แลทำสรรพเครื่องเหล็ก แลมีตลาดขายของสดข้าวเยนแต่หัวโรงเหล็กไปจนปตูช่องกุด...’ (จากหนังสือคู่มือท่องเที่ยวอยุธยาเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา) ผู้คนต่างเดินจับจ่ายซื้อหาของตามตนต้องการ

แม่แพงแลแม่มะลิต่างเลือกดูแพรไหมมากมาย ทั้งห่อยังไม่ได้แกะอยู่ในม้วนกระดาษชุบน้ำมัน แลส่วนที่วางขายอยู่เรียงราย ห้อมล้อมไปด้วยบ่าวชายซึ่งคอยคุ้มกัน ยังพวกนางบ่าวไพร่ที่ตามมาจากเรือน

ข้างฝั่งเจ้าสินธุ์และขุนเดชนั้นเดินรั้งท้ายอยู่ห่างๆ กระนั้นเจ้าร่างน้อยชะเง้อมองขนมแห้งต่างๆด้วยแปลกตานัก

“พี่เดชเจ้าขา แพรไหมม้วนนี้งามเหลือเกิน...” แม่แพงเห็นพี่เดชมิยอมห่างเจ้าสินธุ์แม้แต่น้อยจึงค่อยชักชวนพี่ชายตนให้เดินเคียงแลลอบสังเกตไอ้ใบ้ที่ดูท่าจักตื่นใจพิศดูเพียงสิ่งของมิสนใจผู้คนรอบกายพลางยิ้มอย่างหมายมาด

“หากเจ้าชอบใจก็เลือกดูเถิด” ขุนเดชบอกน้องสาวด้วยท่าทีเอ็นดูพลางพิศแพรไหมที่แม่แพงหยิบยกเอ่ยถามเจื้อยแจ้วว่างามฤาไม่

“ซื้อให้แม่มะลิได้ฤาไม่เจ้าคะ” เมื่อพี่ชายเอ่ยตามใจ แม่หญิงแพงจึงออดอ้อนให้พี่ชายตบปากรับคำซื้อข้าวของให้แก่สหายตน หากมิทันที่ขุนเดชจักเอ่ยอันใด แม่หญิงมะลิก็ทัดทานด้วยเกรงอกเกรงใจเป็นหนักหนา

“มิเปนใดดอกเจ้าค่ะ น้องมิใคร่รบกวน อัฐก็นำติดตัวมาด้วยแล้ว...”

“ผ้าแพรเพียงเท่านี้ คงมิทำให้พี่ล่มจมดอก” ด้วยเห็นแม่มะลิเป็นสหายแต่วัยเยาว์ของแม่แพง ขุนเดโชจึงนึกเอ็นดูนางประดุจน้องสาว หากนางอยากได้อันใดก็จึงเต็มใจซื้อหาให้ทั้งสิ้น

แม้นแม่หญิงมะลิจักเอ่ยทัดทาน กระนั้นได้ฟังคำพี่ขุนเดชก็ให้ซาบซึ้งใจเป็นหนักหนา นางลอบก้มยิ้มหน้าตาแดงระเรื่อ ทว่าก็แต่งเป็นเลือกแพรไหมอย่างสนอกสนใจ
....................................................

@ คุณ yeyong  :sad2: เร่งทำงานแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเลยค่ะ วันนี้ก็เลยมาต่อตอนต่อไปให้แล้ว แต่ว่ายังไม่จบ ว่างๆลองแวะเข้ามาดูได้นะคะ ไว้จะมาต่อที่เดิม
@ คุณ takara เจอแน่นอนค่ะ แม่นางร้ายเค้าแขวะเช้าแขวะเย็นก่อนเวลาอาหารเลยค่ะ :laugh:
@ คุณ nongrak งานนี้สินธุ์โดนไปเต็มๆค่ะ  :o9: ส่วนพี่เดชไม่แน่ใจว่าจะคอยคุ้มครองได้รึป่าวนะคะ ต้องรอลุ้นจ้า
@ คุณ inspirer_bear แหม แซวพ่อสินธุ์จนได้นะคะ สมัยนั้นยังไม่มีน้องผสมขายค่ะ ถ้ามีสงสัยไม่ลืมหยิบแน่ๆ เอหรือจะให้พ่อสินธุ์ลงค้นหีบดูดีน้า เผื่อจะเจอน้องผสมหยิบติดมือมาด้วย
@ คุณ akiko ดีใจที่ชอบค่ะ อย่าลืมแวะมาอ่านด้วยนะคะ ขอโทษจริงๆที่มาช้ามากเลย พอดีเวลาการบ้านเยอะแล้วมันก็เครียดๆ เลยพลอยทำให้ไม่มีอารมณ์แต่งไปเลยล่ะค่ะ( :z6: โดนคนอ่านตื๊บ โทษฐานแต่งตามอารมณ์)
@ คุณ kasarus ท่านเจ้าคุณรู้แล้วค่ะ แถมเอ็นดูเสียด้วย ส่วนเรื่องแม่หญิงแพง คอนเฟิร์มว่ายังป่วนได้อีกค่ะ

 :กอด1:


หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 25-08-2012 22:15:17
จะติดตามต่อไปนะคะ

ว่าแต่แม่แพงนี่ใช้ผีอีแพงกลับชาติมาเกิดหรือเปล่าเนี่ย
เป็นสตรีที่ใจหยาบจริงๆ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 25-08-2012 22:23:07
แล้วกันแม่แพง ทำแบบนี้ได้งัย สินธุ์ออกจะน่ารัก เดี๋ยวฟ้องพี่เดชเลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 25-08-2012 23:51:43
พ่อไทก็จะมาหลงเสน่ห์เจ้าสิรธุ์อีกคนแล้วเหรอ
อย่ามาแย่งของพ่อเดชสิ เค้าอุตส่าห์หอบหิ้วกันมา
ใครๆ ก็พากันรักเจ้าสินธุ์กันหมด งี้แม่แพงก็เป็นหมาหัวเน่าสิ
แล้วชีก็จะมาพาลเอากับเจ้าสินธุ์ให้เดือดร้อน

ว่าแต่ท่านเจ้าคุณยังไม่มีบทพูดเลยนะเนี่ย ได้แต่แสดงออกทางสีหน้า
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 26-08-2012 00:55:13
 :เฮ้อ: มีนางตัวร้ายเพิ่มมาละ
ร้ายแบบแว๊ดๆ เหมือนย้อนกลับไปดู นางทาส ยังไงยังงั้น

พี่ไทยังไงก็ห้ามนะค่ะ นาทีขุนเดชเท่านั้นที่เป็นพระเอก 5555

ปล  อย่าลืมมาต่อนะค่ะ คุณอิ๋ง ยังติดตามอยู่ค่ะ   
คำไหนคำนั้นไม่ทิ้งแน่นอน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 26-08-2012 21:58:27
อ่านแล้วเริ่มรู้ละ ว่าใครเป็นใคร ในอดีตชาติ สงสารพ่อสินธุ์ของเรา พูดก็ไม่ได้ ยังโดนคนรังแกอีก
 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น4) 25/08/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 28-08-2012 16:56:10
ยัยแม่หญิงแพงช่างร้ายเช่นนี้ขออย่าได้คู่เลย
สินธ์น่าสงสารอยู่แล้วยังจะมาตั้งท่ารังเกียจกันอีก
ดีนะที่มีคนมาเห็นไม่เช่นนั่นสินธ์คงได้เจ็บตัวเป็นแน่

บวกหนึ่งครับท่าน
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น5) 01/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-09-2012 00:18:32
เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=vh-G0uGPlqI

ครานั้น 5

เจ้าสินธุ์กังวลห่วงเพียงขนมแห้ง พิศอยู่เป็นนานว่าควรจักซื้อดีฤาไม่ มือน้อยกำถุงเงินอย่างชั่งใจ กระทั่งเงยหน้าจักถามพี่เดชก็ให้สะดุ้งตกใจด้วยมิเห็นพี่เดชแม้นเพียงเงา มีเพียงผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่

เจ้าร่างน้อยมิรู้จักทำอันใดจึงเหลียวซ้ายแลขวาพลางออกวิ่งตามหาพี่เดชอย่างไม่รู้ทิศทาง

จวบจนยามพลบค่ำ เจ้าร่างบางก็ยังมิพบผู้ใด ใจดวงน้อยเคว้งคว้างหวาดหวั่นเป็นนักหนา เหงื่อกาฬก็ให้โทรมกาย ทั้งกระหายเหนื่อยหอบเป็นกำลัง

ด้วยมิรู้ทิศทาง เจ้าสินธุ์จึงมิอาจรู้ได้ว่าตนอยู่ที่ใด บัดนี้รอบกายแวดล้อมไปด้วยเรือนก่ออิฐอย่างฝรั่ง บ้างมุงกระเบื้องดูแปลกตา สองข้างทางบ้างเป็นโรงน้ำชา บ้างมีหญิงสาวนุ่งเพียงผ้าซิ่นเปลือยอกอยู่ตามช่องประตู แววตาพวกนางคล้ายจักนิ่งเฉยเบื่อหน่าย บ้างโศกเศร้าอาทร บ้างแววไวแพรวพราวส่งสายตาเชิญชวน

เจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นจึงให้ก้มหน้าหลบตาเดินเลี่ยงเร่งฝีเท้าผ่านไปโดยไว ทว่ายิ่งเดินก็คล้ายจักมืดลงทุกขณะ ตามรายทางยิ่งมีหญิงเปลือยอกแลชายหนุ่มหลากวัย ทั้งพวกผิวกายขาวผมยาวมัดทบลงกลางหลังดังเห็นริมน้ำเมื่อบ่าย ทั้งพวกผิวกายคล้ำผมหยักศก ไว้หวดเคราดวงตาดุคมเดินเข้าออกโรงน้ำชา กระทั่งชายชาวสยามก็มีมิใช่น้อย

เจ้าร่างน้อยเดินก้มหน้ามิมองอันใดกระทั่งปะทะเข้ากับคนผู้หนึ่งก็ให้สะดุ้งตกใจ ยกมือไหว้ขอลุแก่โทษ

“@#%$&*” ด้วยคำสบถแปร่งหูมิเคยได้ยิน เจ้าสินธุ์จึงเงยหน้ามอง หากให้แปลกใจด้วยชายผู้นี้รูปกายหน้าตาแปลกตาหนักหนา ทั้งผมหยักศกสีอ่อน แลดวงตาสีฟ้า กระนั้นหากนุ่งห่มอย่างชาวสยาม

“เป็นบุตรชายบ้านใดออกมาเที่ยวเล่นหาความสำราญใช่ฤาไม่” พลันเจ้าสินธุ์ก็ให้หลุดพ้นจากห้วงภวังค์เมื่อชายหน้าตาประหลาดพูดกับตน สายตาแพรวพราวอย่างถูกใจมองร่างน้อยอย่างสำรวจจาบจ้วง

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง กระนั้นบุรุษร่างใหญ่กลับคว้าแขนตนไว้มั่น

เจ้าร่างบางจึงเพียงมองอย่างแคลงใจพลางค่อยกระตุกมือกลับ ทว่าชายผิวซีดมิยอมปล่อย ซ้ำยังกำแน่นกว่าเดิม ดวงตาสีฟ้าฉายแววหื่นกระหายอย่างปิดไม่มิด

“จักมิพูดกับข้าสักหน่อยหรือ ฤาจักต้องจูบซักทีสองทีเสียกระมัง”

เจ้าสินธุ์เพียงก้มหลบตาส่ายหน้าน้อยๆด้วยตกตะลึง ใจประหวัดถึงแต่พี่เดช มือน้อยเร่งแกะมือใหญ่ด้วยพัลวัล

กระนั้นชายร่างสูงใหญ่กลับดึงตนเข้าประชิดตัวพลางเชยคางพิศใบหน้านวลอย่างถ้วนถี่

“เป็นลูกหญิงโรงชำเราใดฤา ผิวกายนุ่มหอมยวนใจข้านัก ร่างก็แน่งน้อยแต่เพียงเท่านี้ มาเถิด ข้าจักจ่ายให้อย่างงามเทียว”

ชายหนุ่มรูปกายประหลาดผู้นี้ว่าพลางชูถุงอัฐอ้วนพีตรงหน้าเจ้าร่างน้อย ทว่าเจ้าสินธุ์เพียงขืนตัวแลเร่งแกะมือใหญ่อย่างสุดกำลัง
 
“เช่นนั้นข้าจักให้สร้อยทองอีกเส้น” คนพูดว่าพลางปลดทองมารวมไว้กับถุงอัฐ กระนั้นเจ้าสินธุ์ก็ให้หวั่นเกรงส่ายหน้าด้วยแววตาตื่นกลัว

“หากพูดจายากนัก ข้าจักไม่ปราณีแล้วหนา” ว่าจบชายผิวซีดร่างใหญ่ใตก็อุ้มเจ้าสินธุ์พาดบ่า

บัดนี้ เจ้าร้างน้อยหวาดกลัวสุดใจ ด้วยคนผู้นี้แลดูมิประสงค์ดีนัก ทั้งใช้กำลังฝืนใจ จักพาตนไปที่ไดก็สุดจักคาดเดา นึกได้เพียงเท่านี้ เจ้าร่างบางจึงดิ้นสุดกำลัง ทว่าอย่างไรคนผู้นี้ก็คล้ายจักมิสะทกสะท้าน เพียงหัวร่อแผ่วอยู่ในลำคอ

ตากลมโศกมองไปยังคนผู้อื่นที่เดินสวนกันก็มิมีผู้ใดใคร่จักใส่ใจตนแม้สักน้อย ต่างผ่านเฉยดังเห็นเป็นเรื่องสามัญ เจ้าสินธุ์จึ่งให้น้ำตาร่วงเผลาะด้วยหวั่นใจเป็นหนักหนา เจ้าร่างน้อยดิ้นปัดป่ายสุดแรงกำลัง กระทั่งร่วงตกลงพื้นแลแม้นจักกลิ้งล้มลุกคลุกคลานก็ให้ลุกวิ่งอย่างไม่รู้ทิศทาง กระทั่งพุ่งเข้าชนกับคนกลุ่มหนึ่งจนล้มพับนั่งกับพื้น เป็นเหตุให้ชายประหลาดเข้าจับกุมตนได้อีกครา
 
“พ่อสินธุ์ มาทำอันใด ณ ที่นี้ฤา” เมื่อเจ้าสินธุ์เงยหน้ามองก็ให้ยินดีด้วยคนตรงหน้านั้นคือหมื่นรามราชเดช เจ้าร่างบางจดจำได้ว่าคนผู้นี้คือสหายของพี่เดช ไม่ผิดเป็นแน่ มือน้อยจึงไขว่คว้าแลดิ้นรนหมายจักวิ่งเข้าหาหมื่นรามให้พากลับเรือน

หมื่นรามเห็นดังนั้นก็สั่งให้บ่าวชายติดตามล้อมตัวชายชาวฝรั่งไว้

“ปล่อยสหายข้าบัดเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มยืนประจันหน้าชายร่างใหญ่พลางเอ่ยด้วยเสียงดุดัน

แลแม้นอ้ายฝรั่งใหญ่จักขุ่นเคืองโกรธาสักปานใดก็มิกล้าต่อกรด้วยคนหมู่มาก จึงเพียงปล่อยมือจากเจ้าร่างบางผินกายจากไปอย่างมิใคร่พอใจนัก

เจ้าร่างน้อยเมื่อพ้นจากชายประหลาดก็วิ่งเข้าเกาะแขนหมื่นรามร่ำให้สะอึกสะอื้น ยังหมื่นรามมิรู้จักทำอย่างไร จึงเพียงลูบหลังพลางกล่าวปลอบใจหวังให้เจ้าร่างน้อยคลายสะอื้น

“มิเปนอันใดดอกหนา มิมีผู้ใดจักทำอันใดเจ้าได้ดอก”

เจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำพลางป้ายน้ำตา ยังให้ตากลมบวมช้ำ ใบหน้าหรือก็ล้วนแดงก่ำ ผู้ใดพบเห็นก็ให้นึกเวทนาเป็นแน่แท้

“ไปกินน้ำชากับพี่เสียก่อนเถิด” หมื่นรามว่าแล้วก็ค่อยพาเจ้าร่างบางผินกายเข้าไปยังโรงน้ำชาตรงหน้า

เจ้าร่างน้อยพิศมองรอบกายด้วยมิเคยพบพานย่านร้านค้าเช่นนี้มาก่อน ทั้งผนังก่ออิฐฉาบปูนมิใช่ดังเรือนไม้ ยังพวกไม้แกะสลักเป็นรูปงู(มังกร) นก ดูผิดตา ทั้งโคมไฟแดงห้อยภู่ โต๊ะเก้าอี้มุก แลป้านน้ำชาเครื่องเคลือบลวดลายประณีตมิคุ้นตา

“เจ้ามากับผู้ใดฤา ใยจึงถูกอ้ายฝรั่งผู้นั้นฉุดคร่าเสียได้” หมื่นรามถามความเจ้าสินธุ์แล้วยื่นกระดานชนวนแลดินสอหินแก่เจ้าร่างน้อยด้วยหวังจักสื่อความให้กระจ่างแจ้งแลบางครารู้สึกตนผิดแผกยามเอ่ยคำแต่เพียงผู้เดียว

เจ้าสินธุ์ก้มเขียนหนังสือ หากยังมิทันจบคำหมื่นรามที่จ้องมองอยู่ก็เอ่ยสำทับขึ้นเสียก่อน

“มากับพ่อเดชหรอกหรือ ดีจริงเทียว ข้าห่วงกังวลเป็นนานว่าสหายข้าเป็นอันใดมิใคร่มาเที่ยวโรงชำเรา(ซ่อง)เหมือนดังแต่ก่อน เช่นนั้น เพลานี้พ่อเดชอยู่ที่ใดเล่า ใยจึงปล่อยเจ้าให้ถูกฉุดคร่าเสียได้”

เจ้าสินธุ์ได้ยินเช่นนั้นก็ให้นึกถึงพี่เดชสุดใจ น้ำตาคลอหน่วยคล้ายจักร่วงหล่น ป่านนี้มิรู้พี่เดชจักใส่ใจตามหาตนหรือไม่ กระทั่งเมื่อบ่าย มิรู้ว่าตนพลัดหลงหรือพี่เดชนึกรำคาญใจจึงมิอยากให้ตนร่วมเรือนกระมัง

หมื่นรามเห็นน้ำตาเจ้าร่างน้อยคลอหน่วยก็ให้คิดไม่ตกว่าจักทำอย่างไร ไพล่คิดไปถึงสหายตนว่าจักร้อนรนออกเที่ยวหาเจ้าร่างน้อยนี้ถึงสักเพียงไหน

“เอ้า ตั้งท่าจักร่ำไห้เสียแล้ว เอาเถิด อย่างไรข้าจักพาเจ้ากลับเรือน...”

หากยังมิทันหมื่นรามจักกล่าวจบ ก็ปรากฏบ่าวชายวิ่งพรวดพราดเข้ามาทรุดตัวหมอบกราบ

“ท่านหมื่นขอรับ บัดนี้แม่นางฝรั่งขึ้นท่ามาแล้วขอรับ” บ่าวผู้นั้นกล่าวจบก็ให้หายใจหอบด้วยเร่งวิ่งจากท่ามาแจ้งข่าวแก่นายตน

“จำเริญเสียแล้วสิกู ไปเถิดพ่อสินธุ์” หมื่นรามว่าพลางจับจูงเจ้าร่างบางออกทางประตูโรงน้ำชาแลค่อยลัดเลาะไปยังท่าน้ำหน้าตลาด

“เร่งไปเอาเรือเข้า อ้ายเจิม อ้ายมิ่ง ชักช้าจะมิทันการ”

เจ้าสินธุ์มองหมื่นรามอย่างแปลกใจ ด้วยฉงนสงใสยังท่าทีเร่งรีบทั้งลับๆล่อๆคล้ายจักหลบลี้หนีผู้ใด

“สินธุ์!” เสียงทุ้มคุ้นหูระคนยินดียังให้เจ้าร่างน้อยหันควับไปตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด เจ้าร่างบางจึงเร่งวิ่งเข้าหาด้วยยินดียิ่ง

ขุนเดชรวบร่างเจ้าน้องน้อยเข้าแนบอกอย่างห่วงหาพลางกระซิบถ้อยคำพึมพำฟังมิได้ศัพท์ ด้วยเมื่อรู้ตนว่าคลาดกับเจ้าน้องน้อยก็จวนพลบค่ำเสียแล้ว ยังใจให้ร้อนรนพะวงหา เร่งบ่าวคัดท้ายเรือไปส่งน้องสาวแลแม่มะลิยังเรือน แลฝากความให้อ้ายบุญบ่าวคนสนิทแจ้งความแก่พี่ไทให้ส่งคนออกตามหา ส่วนตนนั้นนึกเพียงจักไปยังโรงชำเราของพ่อรามให้คัดคนเร่งออกตามอีกแรง ทว่าเคราะห์ดีเป็นหนักหนา บัดนี้เจ้าน้องน้อยมิเปนอันใดแลกลับคืนมาแล้ว

“พี่มิให้ไปไกลตาพี่แล้วหนา พ่อคุณของพี่”

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ขุนเดโชก็ให้ใส่ใจเจ้าสินธุ์ยิ่ง หากคราใดจักพาเจ้าน้องน้อยออกไปเที่ยวยังย่านร้านตลาด ก็มิเคยละทิ้งเจ้าร่างบางแม้นเพียงสักครา ยังสั่งอ้ายบุญคอยติดตามพ่อสินธุ์ด้วยเกรงเจ้าร่างน้อยจักพลัดหลงมิคืนกลับ แลหากวันใดว่างเว้นจากราชการ ก็เพียงนั่งจักตอกเคียงเจ้าสินธุ์ยังศาลาท่าน้ำหน้าเรือน

ข้างฝ่ายแม่หญิงแพงก็ให้ชิงชังแค้นเคืองเจ้าสินธุ์เป็นทบทวี ด้วยพี่เดชมิใคร่ใส่ใจนางดังแต่ก่อน ทั้งพี่ไทแลเจ้าคุณพ่อก็ต่างเอ็นดูไอ้ใบ้เสียยิ่งกว่าเอ็นดูนาง ยังคุณหญิงเอื้อมเอ่ยชม ถูกใจมันเป็นหนักหนา พวกบ่าวไพร่ต่างเล่าลือยกยอกันว่ามิมีผู้ใดจักกรองมาลัยได้งามเทียมมัน คุณแม่นั้นหรือให้ก็เอ่ยถึงมิได้ขาดปาก คอยดูเถิด สักวันนางจักให้ผู้คนชังไอ้ใบ้ดังใจนางให้เสียจงได้

“แม่แพง แม่จักไปสองแควเสียสองสามวัน เจ้าอยู่ทางนี้ก็ช่วยดูแลการเรือนทีเถิด” แม่เดือนเอ่ยฝากเรือนต่อบุตรสาวพลางเร่งเก็บข้าวของจำเป็นลงเรือไปเยี่ยมคุณน้าน้องสาวคุณแม่ เหตุเพราะเมื่อรุ่งเช้าบ่าวทางโน้นเร่งมาแจ้งข่าวว่าคุณน้าล้มป่วยเจ็บหนักลุกจากหอนอนมิได้มาหลายวันแล้ว

“เจ้าค่ะ คุณแม่มิต้องเป็นห่วง” แม่หญิงแพงรับปากพลางลอบยิ้มนัยหน้า ด้วยเรือนใหญ่ก็มิมีผู้ใดคุมเรือนด้วยคุณหญิงเอื้อมไปเข้าเฝ้านายเก่า วันพรุ่งจึงจักกลับ ข้างเจ้าคุณพ่อ พี่เดช แลพี่ไทก็ไปราชการ จวนเย็นชายบ่ายคล้อยกระมังจึงจักกลับมา

แม่แพงจึงเพียงเดินเข้าหอนอนเพื่อตระเตรียมทำการบางสิ่ง

ล่วงเข้าหน้าหนาว ลมเย็นโชยมาให้ต้องกระชับผ้าห่มคลุมให้คลายหนาวไปบ้างแลแดดอ่อนๆฉายกระทบฝากระดานให้อบอุ่นขึ้นบ้าง มือน้อยค่อยหยิบจับคัดมะลิ ข้างกายเจ้าสินธุ์ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งจดจ้องคอยท่ามิวางตา

“พ่อสินธุ์ ข้าพึ่งทำขนมกรุบแล้วเสร็จเมื่อเช้า ว่าจักแบ่งมาให้เจ้าบ้าง ตามข้าไปเอาที่เรือนเถิด”

เมื่อเจ้าสินธุ์เงยหน้ามองผู้พูดก็ให้ประหลาดใจด้วยมิใคร่แน่ใจนักหากแม่หญิงแพงจักเอ่ยกับตนด้วยไม่มีท่าทีโกรธเคือง

กระนั้นเมื่อเห็นแม่แพงยืนคอยท่าจึงมิอาจปฏิเสธ ค่อยวางกระจาดมะลิไว้ข้างกายแล้วเดินตามแม่หญิงไปยังโรงครัว

“ยิ้มก็มาด้วยกันเถิดหนา จักได้เอาไปแบ่งสหายเจ้าอย่างไรเล่า” แม่แพงมิวายเอ่ยชวนนางลูกข้าทาสที่นั่งมองไอ้ใบ้กรองมาลัยด้วยอีกคน

หลังกลับจากโรงครัว เจ้าสินธุ์จึงแบ่งขนมกรุบในจานส่วนหนึ่งให้เด็กสาวนำไปให้พวกลูกข้าทาสที่วิ่งอยู่กลางลาน อีกส่วนนั้นไว้ให้ตนแลแม่ยิ้ม

กระทั่งกรองมาลัยสวมจุกให้เด็กสาวแล้วก็พลันได้ยินเสียงเอะอะจากเรือนใหญ่ สักครู่แม่แพงแลนางบ่าวสาวใช้หลายคนจึงลงเรือนเดินเมียงมองดังหาบางสิ่ง

“พ่อสินธุ์เห็นสร้อยข้อมือของข้าบ้างฤาไม่” แม่หญิงแพงเดินมาถามขัดจังหวะเจ้าสินธุ์ที่นั่งฟังแม่ยิ้มเอ่ยเจื้อยแจ้วอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ

เจ้าร่างบางเพียงส่ายหน้าด้วยตนเพียงแต่นั่งกรองมาลัย มิเห็นสร้อยข้อมืออันใดตกหล่น กระนั้นก็ช่วยลุกเดินตามหาดังบ่าวคนอื่นๆ

“ไอ้ใบ้!! สร้อยข้อมือข้าใยจึงมาอยู่ใต้กระจาดมะลิเจ้า” แม่หญิงแพงเอ็ดเจ้าสินธุ์เสียงดัง เมื่อเดินค้นตามศาลาท่าน้ำแล้วให้พบสร้อยข้อมือทองฝังพลอยแดงของตน

“ยามข้าถามใยจึงตอบเยี่ยงมิรู้เห็นอันใด ที่แท้แล้วเป็นเจ้าเห็นมันตกหล่นแล้วคิดจักยึดเป็นสมบัติตนใช่ฤาไม่” ยังมิทันที่เจ้าสินธุ์จักได้คิดใคร่ครวญ แม่หญิงแพงกลับเอ่ยวาจาพรั่งพรูมิได้หยุด ยังให้พวกบ่าวไพร่ทั้งเรือนต่างพากันจดจ้อง

เจ้าร่างน้อยจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ กระนั้นแม่แพงคล้ายมิฟังอันใด ตะเบ็งเสียงด่าทอด้วยโกรธเคืองเป็นกำลัง

“หนอย หน้าด้านหน้าทนจริงเทียว จับได้คาตาถึงเพียงนี้ยังกล้าโป้ปด อ้ายสม อ้ายยอด เอามันไปโบยสักหนึ่งยก(สี่สิบที)ให้รู้สำนึกเสียบ้าง”

มิมีบ่าวไพร่คนใดขยับกาย ด้วยคุณหญิงเอื้อม แม่นายใหญ่ของเรือนมิได้สั่งการด้วยตนเอง พวกตนจึงมิกล้าลงมือทำการอันใด ทว่าเมื่อได้ยินแม่หญิงแพงสั่งการอีกคราก็จึงเร่งเข้าคุมตัวสหายพ่อขุนเดชด้วยเกรงจักถูกลงโทษไปเสียอีกคน

ท่ามกลางลานหญ้าบัดนี้เต็มไปด้วยพวกบ่าวไพร่ที่ต่างมาคอยเมียงมองพ่อสินธุ์ที่ถูกมัดมือนั่งคู้ตัวหน้าตาซีดเซียว ข้างกันมีร่างกำยำของอ้ายยอดยืนกำหวายอันโตเท่าหัวแม่มือแน่น นายยอดคล้ายมิใคร่เต็มใจจักลงหวายนัก มือไม้หรือก็ให้สั่นเทา ด้วยเมื่อคราก่อนลูกตนป่วยหนัก สหายพ่อขุนเดชก็ให้อัฐไปหาซื้อยามารักษาจนหายดี

“แม่หญิงแพงเจ้าขา บ่าวขอเถิดหนาเจ้าคะ” นางพิศถลันตัวก้มหน้าไหว้ตัวสั่นงันงกตรงหน้าแม่หญิงแพงที่มองเจ้าสินธุ์อย่างสมใจ

“อ้ายยอด ข้าสั่งให้โบยบัดเดี๋ยวนี้ มัวรีรออันใดกันเล่า” ใบหน้าเย็นชามิแม้แต่จักชายตามองนางบ่าวสาวใช้เรือนพี่เดช ซ้ำยังสั่งให้บ่าวชายเร่งโบยไอ้ใบ้ที่ได้แต่หมอบนิ่ง

เสียงหวายหวดแหวกอากาศกระทบเนื้อให้ทุกผู้ที่ได้ยินสะดุ้งตกใจ รอยแดงปรากฏบนผิวเนื้อยังให้ผู้พบเห็นได้แต่เวทนาระคนหวาดหวั่น แรงหวายแสบร้อนเพียงใดนั้นพวกบ่าวไพร่ข้าทาสทุกคนต่างรู้ดี

“อ้ายยอด เอ็งยั้งมือใช่ฤาไม่ หวดหวายให้เต็มแรง มิเช่นนั้นข้าจักให้บ่าวชายคนอื่นโบยเอ็งอีกคน”

..........................................
เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ(กันงงนะคะ) สถานที่ที่เจ้าสินธุ์คลาดกับพี่เดชแล้วหลงทางคือตลาดบ้านจีน อยู่ปากคลองขุนละครไชย ที่นี่มีหญิงละครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาดสี่โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือและทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด(จากหนังสืออยุธยายศยิ่งฟ้า)

เรามาทายกันดีกว่าค่ะ ว่าคนในอดีตชาติคือใครในภาคปัจจุบัน
๑.เจ้าสินธุ์
๒.ขุนเดโช
๓.หลวงภูมีภักดี
๔.ขุนทัพไพรีพ่าย
๕.หมื่นรามราชเดช
๖.นางรื่น
๗.แม่พิศ
๘.แม่หญิงแพง
๙.แม่หญิงมะลิ

ไว้อาทิตย์หน้าเจอกันนะคะ
@ คุณ yeyong อุ๊ย ไม่ใช่ผีอีแพงค่า พอดีนางไม่ค่อยแม่นคาถาอาคม ลองเดาดูนะคะว่าจะเป็นใครในภาคปัจจุบัน ฝากตอนนี้ด้วยค่ะ
@ คุณ takara นั่นสิ ยัยแม่แพงนี่ร้ายจริงเชียว อย่างนี้ต้องรีบฟ้องพี่เดชให้ไวเชียวค่ะ
@ คุณ kasarus เอ อิ๋งว่าพี่ขุนเดชเค้าคุมแจขนาดนี้ก็คงไม่มีสิทธิ์ได้ยุ่งแล้วล่ะค่ะ ใครๆก็รักเจ้าสินธุ์เนอะ แม่แพงเราทนเน่าไม่ไหว แผลงฤทธิ์ซะ ส่วนบทท่านเจ้าคุณตอนหน้ามีแน่นอนค่ะ(ได้พูดตอนสุดท้าย :laugh:)
@ คุณ suck_love นั่นหน่ะสิ นาทีนี้ต้องพ่อขุนเดชเท่านั้นล่ะค่ะ พี่ไทยังไม่ได้ทำอะไรตอนพิเศษแนวย้อนยุคก็จะจบเสียแล้ว ยิ่งอ่านฉากวันนี้รับรองว่าหนีไม่ไกลนางทาสแน่นอน
ปล.มาต่อแล้วค่ะ ตัวเองก็อย่าลืมมาอ่านนะจ๊ะ  :กอด1:
@ คุณ akiko ยังไงก็ลองทายดูนะคะว่าใครเป็นใคร อ่านตอนนี้นี่จะสงสารสุดๆไปเลยล่ะค่ะ
@ คุณ nongrak อู้ยยย ร้ายขนาดนี้คงไม่น่าจะมีใครมีเอาไปเป็นแม่เรือนหรอกค่ะ ให้ขึ้นคานไปเลยเนอะ ยังไงก็ต้องมีคนมาช่วยสินธุ์ได้ทันท่วงที(ไม่งั้นเดี๋ยวจบเร็ว) ขอบคุณสำหรับบวกเป็ดค่ะ

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น5) 01/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 02-09-2012 01:59:17
ตายล่ะ เจ้าสินธุ์ จะเป็นอะไรมากมั้ยล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น5) 01/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 02-09-2012 09:38:36
อ่านไปน้ำตาแทบไหล สงสารเจ้าสินธุ์เหลือกำลัง
ใครก็ได้รีบกลับมาช่วยให้ทันก่อนจะครบสี่สิบทีเถอะ

เล่นเกมทายตัวละคร
เจ้าสินธุ์---หนูน้ำ
ขุนเดโช---นายคี
หลวงภูมีภักดี---พี่ภู
ขุนทัพไพรีพ่าย---จอมทัพ
หมื่นรามราชเดช---ชายฟิว
แม่หญิงแพง---พราว

เดาได้แค่นี้อะ คนอื่นไม่แน่ใจ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น5) 01/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-09-2012 15:44:15
นางทาสชัดๆค่ะคุณอิ๋ง แม่หญิงแพงก็ร้ายเกิ๊น  :beat: เหมือนดูบ่วงยังไงยังงั้น 55 
(ตกลงจะบ่วงหรือนางทาส งงตัวเอง  :laugh: :laugh:)

ส่วนเรื่องร่วมสนุกเราเดาไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
นอกจาก ขุนเดช คีย์ กะ เจ้าสินธ์ น้องน้ำ ทักษะความจำเป็นศูนย์จริงๆ  :เฮ้อ:


อยากให้ขุนเดชรีบกลับมาทำโทษแพงได้แล้ว โบยเจ้าสินธ์ได้เยี่ยงไร  :z6: เชอะ เดี๋ยวเราตามตบแพงถึงบ้านหรอก

ปล  ยังอ่านและตืดตามอยู่นะค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น5) 01/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 07-09-2012 16:46:09
สงสารสินธ์นัก แม่มดใจร้ายยัยแพงช่วยเอามันไปเก็บทีเถอะ
แล้วใครจะมาช่วยสินธ์กันคราวนี้ ยัยร้ายนี่จ้องจะทำร้ายสินธ์เสียจริง

บวกหนึ่งสำหรับให้ใครมาช่วยสินธ์โดยไว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 09-09-2012 01:46:05
ครานั้น 6

เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=LF1WTmitFjg

“เกิดเหตุอันใดขึ้น” เสียงทรงอำนาจของชายผู้เป็นเจ้าของเรือนดังขึ้นท่ามกลางเสียงหวดหวายแลเสียงร้องไห้ระงมของนางพิศแลพวกบ่าวสาวใช้ใจอ่อนที่บัดนี้ได้แต่เพียงร่ำไห้นึกเวทนาสหายของพ่อขุนเดชเป็นหนักหนา

พวกข้าทาสบ่าวไพร่ที่ชุมนุมกันต่างพากันหลบหลีกให้พระยามณูปกรณ์เดินเข้าสู่กลางลานหญ้าโดยทันใด

ข้างนายยอดก็ให้ยั้งมือวางหวายคุกเข่าอยู่กับพื้นหญ้า รั้งก็แต่แม่หญิงแพงที่หน้าตาถอดสีไปสักเล็กน้อย ทว่ากลับปั้นแต่งด้วยแววนิ่งเฉย มิสะทกสะท้านอย่างปรกติ ครั้นเมื่อนางเห็นเจ้าคุณพ่อก็รี่เข้าหากล่าววาจาสอบถามเจื้อยแจ้วดังมิมีเหตุอันใดผิดแผก

“คุณพ่อเสร็จงานราชการแล้วหรือ...”

“แม่แพง! เจ้าทำอันใดลงไปรู้ตัวฤาไม่” มิทันที่นางจักเอ่ยจบคำ ขุนเดโชที่พึ่งเดินขึ้นท่าตามเจ้าคุณพ่อมาก็ตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์พลางเร่งเข้าประคองเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้แน่นิ่งซบหน้ากับพื้นด้วยท่าทีอ่อนแรง กระนั้นน้ำตาอาบแก้ม แลแนวหลังอาบเลือดกลับกลายจักทำให้มือไม้อ่อนแลใจดิ่งวูบ แรงกายก็คล้ายจักอ่อนลงไปชั่วขณะ

“สินธุ์...” ขุนเดโชพิศเจ้าร่างบางพลางครางเสียงแผ่วด้วยในอกรวดร้าวดังถูกมีดเฉือน ยังให้แสบร้อนหัวตา ตระคองกอดเจ้าร่างน้อยด้วยมือสั่นเทา

“พ่อขุนเดชเจ้าขา เร่งพาพ่อสินธุ์ไปที่เรือนเถิดเจ้าค่ะ” นางพิศเอ่ยเสียงสั่นเครือพลางใช้ชายสไบซับหัวตาอย่างคนตั้งสติได้

“แม่แพง กลับขึ้นเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้” เมื่อท่านเจ้าคุณเห็นว่าเกิดอันใดขึ้น จึงสั่งความเสียงเข้มพลางหันหลังกลับเรือนด้วยท่าทีขุ่นใจเป็นกำลัง

ผู้ถูกสั่งความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยขัดใจก่อนเดินกลับเรือนดังคำสั่งเจ้าคุณพ่อ ยังให้นางแผ้วแลนางตาดหมอบตัวสั่นเทาอย่างหวั่นเกรง

ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีที่ขึ้นท่ามาพร้อมกับน้องชาย ได้แต่เพียงหลุบตาข่มกลั้นอารมณ์กระทั่งพวกบ่าวไพร่กลับไปทำงานการตามปรกติ จึงเดินไปยังเรือนน้องชาย

ฝนห่าใหญ่เทลงตกกระทบหลังคาเสียงดังกระทั่งมิได้ยินเสียงอันใดรอบกาย ในยามดึกสงัดท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆดำที่บัดนี้บดบังดวงจันทร์มิให้ทอแสงนวลตกต้องพื้นดิน ลมฝนหนาวเย็นพัดหวีดหวิวให้ไม้ใหญ่โอนเอนดังจะโค่นล้ม ทั้งคลื่นแม่น้ำกระทบฝั่งสลับเสียงคำรามแลสายฟ้าฟาดให้น่าหวาดหวั่น

แม้นว่าอากาศภายนอกจักเลวร้ายรุนแรงสักเพียงใด ทว่าภายในหอนอนหลังหนึ่งกลับเงียบสงัดเคล้าแสงไต้สลัวส่องกระทบแจกันลายครามประดับด้วยมาลัยตุ้มร้อยด้วยกลีบกุหลาบแลมาลัยแบนที่ร้อยมะลิสลับกลีบกุหลาบปักอยู่กับกิ่งอ่อนจัดช่อไว้อย่างงดงาม ข้างฝั่งตรงข้ามยังมีโต๊ะเตี้ยตั้งกระจกทองเหลืองวางหีบใบน้อยสองสามใบ ข้างหน้าต่างปิดสนิทยังมีมุ้งผ้ามัสลินคลุมตั่งเตียงยกพื้นปูด้วยเสื่อหวายแลปูทับด้วยพรม ข้างบนพรมปูด้วยฟูกผืนบางที่บัดนี้เจ้าร่างบางนอนคว่ำเปลือยแผ่นหลังด้วยรอยเนื้อแตกเลือดซึมอยู่สักเล็กน้อย ข้างกายยังมีร่างกำยำผิวสีทองแดงของขุนเดชนุ่งโจงนั่งชันเข่าพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววอาดูร มือสากค่อยไล้ไหล่บางด้วยบัดนี้ผิวกายขาวผ่องกลับเต็มไปด้วยแนวหวาย เมื่อสบเข้ากับตากลมก็ให้หัวตาร้อนผะผ่าวสะกดกลั้นน้ำตาไว้ในอก พลางค่อยใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ไหลตกต้องแก้มนวลอย่างมิรู้เบื่อ ทว่าในหทัยคลับคล้ายจะปวดแปลบแสบร้อนอยู่หลายส่วน

“หากเจ็บแทนเจ้าได้ พี่คงจักดีใจนัก”


เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใสด้วยไอแดดบางเบา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำเนื่องด้วยฝนพึ่งขาดเม็ดเมื่อยามใกล้รุ่ง ขุนเดโชยันกายลุกจากฟูกที่นอนตลบมุ้งเข้าเก็บ ตระเตรียมเปลี่ยนผ้านุ่งลงไปอาบน้ำที่ท่าก็ประจวบกับหลวงภูมีภักดีที่มาอาบน้ำเช่นกัน

“พ่อเดช พ่อสินธุ์เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นน้องชายใจก็ห่วงกังวลถึงเจ้าร่างบางที่เมื่อคืนวานตนคอยเมียงมองดูขณะพ่อเดชนำลูกประคบแลไพรสดเข้ารักษา ภาพร่างน้อยสะดุ้งเมื่อมีสิ่งใดแตะต้องแผ่นหลังบางแลน้ำตาอาบแก้มยังให้อกร้อนรนมิอาจข่มตานอนได้สนิทนัก

“เห็นจะจับไข้เสียแล้ว กระผมจักให้อ้ายบุญไปตามหลวงโอสถมาตรวจดูอาการ”

หลวงภูมีภักดีพยักหน้าด้วยเห็นสมควร ก่อนขึ้นจากท่ามิวายเอ่ยแก่น้องชายด้วยเรื่องอันเจ้าคุณพ่อได้ฝากความมา

“หลังสำรับเช้า เจ้าคุณพ่อจักสอบความ พ่อเดชก็ไปฟังด้วยเถิดหนา ผู้ใดผิดถูกประการใดจักได้ลงโทษกันตามสมควร” ถึงปากจักกล่าวออกไปเช่นนั้นทว่าหลวงภูมีภักดีคล้ายมิใคร่จักเชื่อถือแม่แพงนัก ด้วยนับแต่พ่อสินธุ์มาอยู่เรือนก็เห็นเพียงน้องสาวตนเที่ยวระรานอยู่ฝ่ายเดียว ทว่าก็ยังมิมีผู้ใดด่วนตัดสินความ

แลเมื่อขุนเดโชกลับมายังหอนอนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนแล้วเสร็จ เจ้าน้องน้อยก็ยังคงนอนนิ่งคล้ายมิรับรู้ถึงสรรพเสียงรอบกาย

มือแกร่งแตะหลังมือกับหน้าผากนวลรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาพลางค่อยเก็บปอยผมยาวที่มิได้เกล้าจุกทัดยังหลังใบหู ก่อนก้มจูบหน้าผากนวลเพียงแผ่วเบา กระนั้น เจ้าน้องน้อยกลับค่อยรู้สึกตน ปรือตาบวมช้ำมองเห็นว่าเป็นผู้ใดก็จึงหลับลงด้วยวางใจ ท่ามกลางความรู้สึกเลือนรางครึ่งหลับครึ่งตื่นยังรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นแลสัมผัสอุ่นวาบแตะเพียงแผ่วบริเวณเปลือกตาก่อนสติจะดับหลับลึกลงอีกครา

เมื่อก้าวขึ้นเรือนใหญ่ ทั้งเจ้าคุณพ่อ พี่ไทแลแม่แพงต่างนั่งคอยท่าตนอยู่แล้ว ขุนเดโชจึงเพียงไหว้เจ้าคุณพ่อแลทรุดตัวลงนั่งข้างหลวงภูมีภักดี

“พ่อสินธุ์เล่า ไม่มาฟังความอันใดล่ะหรือ” พระยามณูปกรณ์เอ่ยถามบุตรชายเมื่อไม่เห็นเจ้าสินธุ์

“เจ็บหนัก ลุกมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดชตอบพลางข่มกลั้นอารมณ์คุกรุ่นไว้ในอก

“หากเช่นนั้น แม่แพงก็จงเล่าความมาเถิด มีเหตุอันใด ใยถึงต้องลงหวายกันฤา”

“เมื่อวานสักเพลาชาย ลูกแลพวกบ่าวโรงครัวทำขนมกรุบกันไว้มากมายจึงคิดจักแบ่งปันไปให้ยังสหายพี่เดชแลพวกลูกข้าทาส ลูกสอบถามความพวกบ่าวไพร่ก็จึงรู้ว่าพ่อสินธุ์กรองมาลัยอยู่ศาลาท่าน้ำหน้าเรือนพี่เดช ลูกเพียงเดินไปชักชวนพ่อสินธุ์แลนางยิ้มลูกบ่าวไพร่ที่นั่งอยู่เคียงกันให้ไปเอาขนมกรุบที่โรงครัว  รู้ตนอีกทีว่ากำไลพลอยแดงที่พี่เดชซื้อให้หายไป ลูกจึงเกิดวิตกกังวลเร่งพวกบ่าวไพร่บนเรือนตามหาเจ้าค่ะ ลูกเดินหาอยู่เป็นเพลาก็มิเห็นสิ่งใดจึงลองเดินหายังศาลาท่าน้ำ สอบถามพ่อสินธุ์ก็บอกลูกว่ามิรู้เห็นอันใด ทำทีออกช่วยลูกตามหา ที่แท้กำไลของลูกซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิของมันเจ้าค่ะ เช่นนี้มันน่านักเทียว คราแรกโป้ปดได้มิอายปาก เมื่อลูกสอบความอีกคราไอ้ เอ่อ พ่อสินธุ์ก็ยังคงทำทีว่าไม่รู้เห็นอันใด ทั้งๆที่ลูกจับได้คาตาถึงเพียงนั้น” แม่แพงกล่าววาจาคล่องปากด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทำทีให้น่าเวทนา ทว่านางบ่าวพี่เลี้ยงกลับนั่งหมอบตัวสั่นงันงกอย่างผิดปรกติ

“จักเยี่ยงไรก็เถิด เจ้ามิบังควรออกคำสั่งให้บ่าวไพร่คนใดลงหวายพ่อสินธุ์ หากเขาติดใจเอาความก็ย่อมได้ ด้วยมิใช่เป็นเพียงข้าทาสดอกหนา” พระยามณูปกรณ์ทอดถอนใจด้วยมิรู้จักตัดสินอย่างไร พลางเอ่ยท้วงติงบุตรสาวด้วยกระทำเหตุอันเกินสมควร

“แล้วเจ้าแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าพ่อสินธุ์เป็นผู้ลักเอากำไลเจ้าไป” หลวงภูมีภักดีนั่งฟังอย่างแคลงใจจึงเอ่ยถามน้องสาวด้วยมิเห็นว่าจักมีผู้ใดรู้เห็นว่าพ่อสินธุ์นั้นจงใจลักขโมย

“ซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิข้างตัวถึงเพียงนั้น จักให้น้องสงสัยผู้ใดได้อีกฤา” แม่หญิงแพงตอบคำพี่ชายพลางเชิดหน้าดังมิใคร่พอใจนัก

“นางยิ้มอยู่กับพ่อสินธุ์ใช่ฤาไม่ พ่อสินธุ์จงใจลักขโมยกำไลแม่แพงแน่แท้แล้วหรือ” ชายผู้เป็นใหญ่ของบ้านเอ่ยสอบถามความยังนางลูกข้าทาสที่บัดนี้นั่งหมอบกราบเคียงพวกนางบ่าวสาวใช้บนเรือน

“มิใช่เจ้าค่ะ บ่าวนั่งเคียงพี่สินธุ์อยู่เป็นนานก็มิเห็นพี่สินธุ์จักทำอันใด เพียงกรองมาลัยสวมจุกให้บ่าวเท่านั้นเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงสั่นด้วยความหวั่นเกรงด้วยแม่หญิงแพงจดจ้องดังจักกินเลือดเนื้อตนทีเดียว

“เช่นนั้นเจ้าก็มิอาจกล่าวว่าพ่อสินธุ์ลักขโมยกำไลเจ้าได้ ด้วยมิมีผู้ใดเป็นพยานรู้เห็น...”

“แล้วจักเชื่อคำพูดนังยิ้มได้หรือเจ้าคะ ถูกเสี้ยมสอนมาให้โป้ปดเสียก็มิรู้” แม่หญิงแพงว่าพลางทำทีน้อยอกน้อยใจ

“อย่างไรพ่อสินธุ์ก็มิอาจขโมยกำไลเจ้าดอก เงินทองข้าวของอันใดก็ล้วนมิขัดสน ยังสมบัติเครื่องเพชรพลอยของคุณยายชื่นมีมากมายพี่ยังมิเห็นพ่อสินธุ์จักห่วงหา ทั้งเบี้ย อัฐก็มีใช้มิได้ขาด มิมีเหตุอันใดให้ไปลักขโมยของเจ้าได้เลยหนา” ข้างฝ่ายขุนเดชที่นั่งฟังความอยู่เป็นเพลาเอ่ยแก้ต่างให้เจ้าน้องน้อยทันควัน

“พ่อสินธุ์คงขุ่นเคืองใจเมื่อคราที่น้องมิยอมให้ร่วมสำรับก็เป็นได้เจ้าค่ะ” เมื่อรู้ว่าตนจักถูกจับได้ว่าโป้ปด แม่แพงจึงเร่งแก้ต่างด้วยท่าทีร้อนรน

“ผู้ใดจักมีจิตใจอาฆาตพยาบาทถึงเพียงนั้น กระนั้นหากเจ้ามิพอใจ พี่จักให้อัฐไปซื้อใหม่ให้เลิกแล้วต่อกันเสีย และต่อแต่นี้เจ้าจงอย่าได้เข้าวุ่นวายเกี่ยวข้องกับพ่อสินธุ์ หากมิฟังคำจักหาว่าพี่มิปราณีมิได้เทียว” พ่อขุนเดชฟังคำน้องสาวก็ให้โกรธาเป็นกำลัง กล่าววาจาตักเตือนแล้วเสร็จก็ไหว้เจ้าคุณพ่อเร่งลงเรือนไป

คืนจันทร์วันเพ็ญส่องแสงนวลตา ลมหนาวพัดโชยมาให้เจ้าร่างบางที่นั่งอยู่บริเวณชานเรือนกระชับผ้าเข้าห่มคลุมกายพลางเหม่อมองไปยังฟากฟ้า

ล่วงเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราว ทว่าคืนนี้เดือนเต็มดวง แสงเดือนจึงส่องสว่างประชันแสงดาว

เจ้าสินธุ์มิใช่ผู้ชมชอบแสงเดือนแสงดาวดอกหนา แต่ในยามค่ำคืนเช่นนี้มิรู้จักทำอันใดจำต้องมองฟ้ามองดินคอยท่าพี่เดชอยู่เป็นเพลาหลายวัน ด้วยมิรู้ว่ามีงานราชการอันใดเป็นหนักหนา กว่าพี่เดชจักกลับถึงเรือน ตนก็มักหลับใหลไปเสียก่อนทุกครา กระนั้นมิว่าคืนใดที่ตั้งตารอคอยตากลมนอกชาน ในยามเช้าจักตื่นขึ้นในหอนอนเพียงเดียวดายเสมอ

เจ้าสินธุ์มิอยากยุ่งยากกวนใจผู้ใดให้มากความดอกหนา ทว่าในยามนี้พี่เดชเปรียบดังทุกสิ่ง ทั้งชีวีราวมิมีผู้ใดจักใส่ใจนอกไปเสียจากพี่เดช มิมีผู้ใดจักอยู่เคียงกายนอกไปจากพี่เดช หากจักกล่าวว่าชีวิตจิตใจตนนั้นเป็นของผู้ใดก็มิแคล้วเป็นของพี่เดชโดยแท้

แม้นทุกวันนี้จักสุขสบายด้วยมิมีผู้ใดกล้าระรานหรือแม้นแต่จักอาจหาญกล้ากล่าวหักหาญน้ำใจตน ทั้งแวดล้อมด้วยบ่าวไพร่ให้ท่าทีเคารพรักใคร่ ยังกระแสเอื้อเอ็นดูจากแม่นายเรือนทั้งสอง กระนั้นเจ้าร่างน้อยกลับพึ่งให้เคว้งคว้างเงียบเหงาแลหวั่นใจอยู่สักหลายส่วนเมื่อมิมีคนหน้านิ่งนั่งเคียง แลแม้นพี่เดชจักมิใคร่เอ่ยอันใด ทว่าใจดวงน้อยคล้ายจักสงบมั่นคงอยู่ลึกๆ ยังอวนด้วยไอบางอย่างอันคล้ายจักนุ่มนวลงดงามเสียด้วย

มีงานราชการอันใดสำคัญเป็นหนักหนา หรือมีผู้ใดให้ใส่ใจรักใคร่เสียกระมัง

“ถึงเรือนแล้วหนาพ่อเดช ค่อยก้าวขึ้นเรือน หากเสียหลักมิใช่เพียงเจ้าจักพลัดตกลงแต่เพียงผู้เดียว ข้ากับหมื่นรามจักได้หัวร้างข้างแตกด้วยประไร”

เสียงบ่นที่ดังมาจากกระไดเรือนยังให้เจ้าร่างบางวิ่งไปคอยเมียงมอง กระทั่งเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงยกมือไหว้

“เอ้อ พ่อสินธุ์เองดอกฤา ช่วยเตรียมน้ำใส่ขันมาเช็ดเนื้อตัวพ่อเดชทีเถิด”

แรกนั้นเมื่อเห็นขุนทัพแลหมื่นรามเข้าพยุงกายพี่เดชเดินขึ้นเรือนก็ให้คิ้วขมวดมุ่นมิสบดังใจด้วยฉุนกลิ่นน้ำเมาเหลือขนาด ครั้นสบเข้ากับตาคมพราวระยับก็ประหลาดใจเสียหลายส่วน ด้วยมิเคยพบเห็นแววตาวาบหวามเช่นนี้มาก่อน กระนั้นกลับตื่นจากภวังค์เมื่อขุนทัพเอ่ยวานให้ไปจัดหาผ้ามาเช็ดเนื้อตัวพี่เดช

เจ้าร่างน้อยกุลีกุจอตักน้ำฝนในโอ่งใส่ขันเงินลอยด้วยดอกมะลิเข้าไปยังหอนอน

“เจ้าจักคอยเช็ดตัวให้พ่อเดชได้ฤาไม่ ค่อนคืนป่านนี้ พวกข้าจำต้องกลับเรือนเสียสักที” หมื่นรามกล่าวแก่เจ้าร่างน้อยที่บัดนี้อุ้มประคองขันเงินยืนเมียงมองอยู่ข้างบานประตู

เจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำ ก่อนวางขันน้ำไว้ข้างตั่งเตียง หากยังมิทันผินกายจักเดินไปส่งขุนทัพแลหมื่นรามยังศาลาท่าน้ำ พี่เดชกลับจับรั้งแขนบางพลางจดจ้องตนนิ่ง

เจ้าร่างน้อยจึงเพียงชี้ไปยังชายหนุ่มทั้งสองแล้วค่อยแกะมือพี่เดช

“มิต้องไปส่งพวกข้าถึงท่าน้ำดอกหนา เห็นจะมีคนผู้หนึ่งมิใคร่อยากให้เจ้าห่างกายแม้นเพียงสักน้อย เจ้าอยู่ดูแลปรนนิบัติเห็นจะดี” ขุนทัพกล่าวจบก็เร่งหับประตูหอนอน ยังให้เจ้าสินธุ์ยืนนิ่งครุ่นคิดเพ่งบานประตูอยู่เป็นนาน กระนั้นแรงกระตุกแขนแลอ้อมกอดที่เข้ารัดรึงตรึงกายตนไว้แนบอก ยังจมูกปากแตะขมับให้เฉลียวใจด้วยคนเมามายใยจึงมีกำลังลุกนั่งดั่งยามปรกติ

เจ้าร่างน้อยถึงกับนั่งนิ่งอยู่กับตักกว้างเมื่อบัดนี้ขุนเดโชเชยคางมนให้สบตาด้วยแววสิเหน่หา เจ้าร่างบางร้อนๆหนาวๆด้วยใจวะวาบหวิว ครั้นใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้ก็ให้หลับตาด้วยแก้มร้อนผะผ่าว กระนั้นสัมผัสบางเบาไล่เรื่อยยังหน้าผาก ตา จมูก แลข้างแก้มก็ให้รู้สึกมึนเมาอยู่สักหลายส่วน หรือจะเป็นด้วยกลิ่นสุราเสียกระมัง

ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่พลางแย้มยิ้มมุมปากเมื่อเจ้าร่างบางทำทีดังจะหดกายให้ลดน้อยลง ตาคมจดจ้องยังริมฝีปากบางแล้วก้มลิ้มชิมรสแตะแต้มทีละน้อย ยังให้ตากลมลืมขึ้นสบในระยะประชิด มือน้อยจับขยุ้มเสื้อด้วยตกประหม่าเหลือกำลัง กระนั้นสัมผัสที่ได้รับกลับกลายให้เคลิบเคลิ้มอ่อนระทดระทวย

มือแกร่งสอดไล้เข้าในเสื้อตัวบางหมายจักลูบไล้แผ่นหลัง ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อแตะต้องถูกแผลตกสะเก็ด

ข้างฝ่ายเจ้าร่างบางก็ให้ผละกายออกห่างพลางหลุบตาต่ำ แสงใต้สลัวยังพิศเห็นปรางค์นวลแดงระเรื่อ มือน้อยเรียวบางจับผ้าจุ่มน้ำในขันแล้วบิดผ้าพอหมาดก่อนค่อยพับทบขนาดพอเหมาะเริ่มไล่เช็ดท่อนแขนแกร่งด้วยเกรงจักสบเข้ากับตาคม

ขุนเดโชคล้ายสร่างเมามีสติรำลึกเหตุการณ์ได้อยู่หลายส่วน ทว่านอนนิ่งให้เจ้าร่างบางค่อยเช็ดตัวพลางคำนึงถึงเหตุการณ์เมื่อเจ้าคุณพ่อเรียกเข้าพบ

“พ่อไท พ่อเดช รู้ฤาไม่ เหตุใดพ่อจึงเรียกเจ้าทั้งสองมาว่ากล่าวตักเตือนเสียในยามนี้”

หลวงภูมีภักดีแลขุนเดโชเพียงหันมองหน้ากันด้วยความงุนงน ยังให้ผู้เป็นบิดาทอดถอนหทัยด้วยหนักใจหากจักกล่าวเรื่องต่อจากนี้

“เอาเถิด พ่อจักมิกล่าวอ้อมค้อมให้มากความ เจ้าทั้งสองยามพิศมองพ่อสินธุ์นั้นแฝงแววตารักใคร่ดังสิเหน่หาอยู่ในที พ่อขอเถิดหนา อันความรักเช่นนี้มิบังควรแม้นเพียงสักน้อย แม่หญิงลูกพระน้ำพระยาเท่าเทียมกับพวกเจ้าก็ล้วนมากมี มิถูกตาต้องใจเทียวหรือ กระนั้นหากจักมีเมียบ่าวสักเท่าใด พ่อก็มิขัดข้อง พวกเจ้าหยุดการอันจักคิดในใจเสียเถิด”

เมื่อได้ฟังคำเจ้าคุณพ่อ ชายหนุ่มทั้งสองก็ให้ตกตะลึงด้วยมิอาจคาดได้ว่าเจ้าคุณพ่อจักล่วงรู้ความในใจตนถึงเพียงนี้

“ลูกเห็นจะหักใจมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดโชใคร่ครวญเพียงครู่จึงเอ่ยแก่บิดาด้วยความสัตย์จริง

“ถือว่าพ่อขอเถิด ครั้งเมื่อพ่อให้สหายเจ้ามาอยู่เรือนก็ให้ครุ่นคิดถึงยามเจ้าออกเรือน ผู้ใดจักคอยกระเตงดูแลสหายได้ชั่วชีวี หากมีลูกเมียจักลำบากเอาการ กระนั้นพ่อกลับมินึกอื่นใดนอกจากตามใจด้วยเห็นเจ้าเติบใหญ่แล้วหนา หากล่วงรู้ความในใจเจ้าเสียแต่คราแรก พ่อคงมิยินยอมเป็นแน่”

ขุนเดชถึงกับอับจนด้วยคำพูด มิอาจเอ่ยอันใดพลางครุ่นคิดด้วยหนักใจ

พระยามณูปกรณ์เห็นบุตรชายนิ่งเงียบไม่ตอบคำก็จึงเอ่ยด้วยจักตัดไฟเสียแต่ต้นลม

“หากพวกเจ้ามิยอมเชื่อฟัง แม้นพ่อจักเอ็นดูพ่อสินธุ์สักเพียงไร ก็ย่อมกระทำการอันพวกเจ้ารู้แก่ใจ”

สัมผัสเปียกชื้นเย็นวาบเข้าแนบแก้มแลกลิ่นมะลิหอมเย็นชื่นใจเตือนให้ขุนเดโชมองสบยังตากลมที่หลุบลงต่ำในทันใด

มือใหญ่จับกุ่มมือน้อยที่บัดนี้กำผ้าเนื้อบางแนบใบหน้าคม

เพียงกระตุกแขนเข้าหาตัว เจ้าร่างน้อยก็ซวนเซเข้าปะทะอกกว้างด้วยเพียงยืนเข่ามิใคร่มั่นคง

เจ้าร่างบางที่บัดนี้นั่งพับเพียบใช้มือสองข้างดันอกแกร่งพลางก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อ

ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่อย่างปิดไม่มิด ในหทัยก็ให้ครุ่นคิดว่าด้วยเหตุใดตนจึงละทิ้งเจ้าร่างบางไปเสียได้หลายวัน ยามกลับถึงเรือนก็เพียงตระคองกอดเจ้าร่างน้อยแนบอก ทว่ายังมิทันรุ่งสางก็ให้กระวีกระวาดเร่งลงเรือนด้วยคิดหักใจ

ทว่าเพลานี้คล้ายจักอัดอั้นคับใจจนมิอาจทานทนเสียแล้ว ทั้งกรุ่นกลิ่นมะลิแลเนื้อนิ่มแนบกายดังยั่วยวนใจ ร่างน้อยที่โต้ตอบอย่างมิรู้ประสายังท่าทีกล้ากลัว ทว่าก็มิได้ขัดขืน

แลด้วยกายไปไกลกว่าใจนึก ขุนเดโชจึงเพียงไล้ต้นแขนอ่อนแผ่วเบา ครั้นใบหน้านวลเงยขึ้นก็สบเข้ากับแววตาหวาน ทั้งวงหน้าหล่อเหลาขยับเข้าใกล้ก้มประกบริมฝีปากให้หวาบหวามในอก

"กอดประทับกับกายสายสวาท
นุชนาฏถนอมจิตสนิทสนอง
เสน่ห์แนบแอบเอียงเคียงประคอง
ตามทำนองสองสนิทไม่บิดพลิ้ว
อัศจรรย์หวั่นไหวไม่เร่งรัด
เป็นลมพัดเรื่อยเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
ช่อใบไม้ไหวกระดิกริกริกริ้ว
ระหวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป"
(พระอภัยมณี)
..........................
ไหนๆก็เป็นแนวย้อนยุคแล้ว ขอบทอัศจรรย์เป็นบทกลอนให้สมจริงกันสักกะหน่อย( :m23: แต่ไม่สามารถแต่งเอง ไปยืมท่านสุนทรภู่มาค่ะ) ความจริงสมัยอยุธยาเค้าจะฮิตแต่งโคลงกัน แต่ว่าบทอัศจรรย์แบบโคลงอิ๋งอ่านแล้วมันรู้สึกอึกๆอักชอบกล เลยเอาแบบกลอนดีกว่าเนอะ

ส่วนเรื่องทายคนในอดีตชาติ จะขอเฉลย ณ บัดนี้  :mc3:
๑.เจ้าสินธุ์ คือน้องน้ำ
๒.ขุนเดโช คือนายคี
๓.หลวงภูมีภักดี คือพี่ภู
๔.ขุนทัพไพรีพ่าย คือจอมทัพ
๕.หมื่นรามราชเดช คือชายฟิว
๖.นางรื่น คือพี่ธาร
๗.แม่พิศ คือพี่อร
๘.แม่หญิงแพง คือนังพราว
๙.แม่หญิงมะลิ คือน้องเกด
 :mc4:

@ คุณ takara เป็นค่ะ เป็นอะไรอยู่มากเชียวค่ะ หลังแตกเป็นแนวยาวเลือดอาบด้วยค่ะ
@ คุณ kasarus ง่า โอ๋ๆ อย่าพึ่งร้องนะคะ พี่เดชกลับมาช่วยได้ทันท่วงทีแล้วค่ะ อิ๋งว่าถ้าโดนไปสี่สิบทีนี่คงถึงตายเลยล่ะค่ะ ถ้าไม่ตายคาหวายก็ตายเพราะทนปวดแผลไม่ไหวแน่ๆ ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกนะคะ คนที่ทายมาถูกทุกคนเลย  :m4: ส่วนคนที่เหลืออิ๋งว่าคงเดายากจริงๆ
@ คุณ suck_love 5555 รวมกันทั้งบ่วงทั้งนางทาสไปเลยเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องร่วมสนุกเดาได้สองคนที่เป็นพระนายก็เยี่ยมแล้วค่ะ
ในที่สุดพ่อขุนเดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงทีก่อนจะตายคาหวาย แต่พี่เดชไม่ได้ทำโทษแม่แพงด้วยเห็นเป็นน้องสาวอันเป็นที่รัก :m28: เอ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังเป็นน้องสาวสุดรักรึป่าวนะคะ(ทำตัวร้ายกาจไว้เยอะเชียว)
ปล. :กอด1:
@ คุณ nongrak ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ตอนนี้พี่เดชสั่งเด็ดขาด เข้ากรุไปเรียบร้อย และพี่เดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงที ตอนนี้เลยหวานแหวว  :-[  :m28: เอ คงหวานอยู่นา

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 09-09-2012 17:50:57
กำ แล้วงัยพี่เดชกับพี่ภูโดนห้ามแล้ว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 09-09-2012 18:37:57
ชาตินี้จะสมรักกันหรือไม่
ลุ้นจริง ^_^'
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 10-09-2012 12:20:56
แม่หญิงแพงร้ายเกินไปแล้ว

ว่าแต่ท่านเจ้าคุณพ่อเก่งมากที่มองออก...หรือว่าสองคนไม่ได้เก็บอาการกันเลย?
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 10-09-2012 14:19:44
บทเข้าพระเข้านาย??? วาบหวามมาก

พ่อเดชโดนเจ้าคุณพ่อสกัดเช่นนี้แล้วจะทำเยี่ยงไร
ว่าแต่คดีความจบลงง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ
นังแพงน่าจะโดนอะไรบ้างนะ โทษฐานมาทำร้ายน้องน้อยของพ่อเดชซะได้
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น6) 09/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-09-2012 18:13:20
ทำไมพ่อของขุนเดชต้องสั่งห้ามด้วย
สินธ์น่าสงสารจะตาย ช่างขัดใจเสียจริง
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 19-09-2012 20:57:10
ครานั้น 7

ดาวเดือนเคลื่อนผ่านลับ แสงจับขอบฟ้าส่องแสงสีทองรำไร จวบจนใกล้รุ่งจึงมีเสียงไก่ขันปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้นรับวันใหม่

เจ้าสินธุ์สลึมสลือค่อยลืมตาด้วยความอ่อนแรง ศีรษะหนักอึ้งแลง่วงงุนอยู่ไม่น้อย กระนั้น มิใช่เพียงเสียงไก่ขันดอกหนาที่ปลุกตนให้ตื่นลืมตา หากเป็นสัมผัสลูบไล้แก้มอยู่แผ่วเบาที่เมื่อแรกนั้นให้นึกรำคาญอยู่บ้างด้วยมิใคร่คุ้นชิน ทว่าเมื่อบ่ายเบี่ยงหลบหนีมิเป็นผล จึงจำยอมนิ่งเฉยด้วยง่วงงุนถึงขนาด แลค่อยผิดแปลก คุ้นเคยจนเผลอหลับลงอีกครา

ตากลมกระพริบค่อยๆมองเห็นอกแกร่งตรงหน้าก็ให้ระลึกถึงเรื่องราวอันบังเกิดในยามค่ำคืนที่ผ่านมาได้หลายส่วน พลันตกประหม่า ร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งกาย

ขุนเดชพิศเจ้าน้องน้อยที่ลืมตาตื่นด้วยความรักใคร่ มือสากลูบไล้แก้มนวลอย่างมิรู้เบื่อ ท่าทีขัดเขินด้วยแก้มแดงสุกปลั่ง ทั้งตากลมหลุบต่ำ ปากบางค่อยเม้มเข้าหากัน แลมิยอมขยับเขยื้อนอย่างใด ยิ่งให้นึกเอ็นดู สนิทเสน่หาเท่าทบทวี

สัมผัสแผ่วเบาแตะแต้มยังหน้าผากให้เจ้าสินธุ์สะดุ้งเผลอจดจ้องใบหน้าคมคายโดยมิรู้ตัว เมื่อสบเข้ากับตาคมก็พลันให้ดวงใจเต้นระรัวดังจะหลุดออกจากอก กระนั้นแขนแกร่งขยับเข้ากอดกระชับแลใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้ยังให้เจ้าร่างบางถดกายหันหน้าหนีแทบมิทัน

“หึหึ...พี่เพียงขอชื่นใจเท่านั้น จะมิกลั่นแกล้งให้เจ้าเสียนวลมากไปกว่านี้ดอกหนา” ขุนเดโชหัวเราะแผ่วในลำคอพลางเอ่ยกระเซ้าเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้จ้องมองตนดังจะตัดพ้อแลข่มขู่อยู่ในที

คนร่างกำยำคลายกอดเจ้าร่างน้อยก่อนลุกจากตั่งเตียงแล้วผลัดผ้านุ่งเตรียมไปอาบน้ำที่ท่า ข้างฝ่ายเจ้าสินธุ์ก็หมายจะไปอาบน้ำบ้าง ทว่าเพียงขยับกายลุกก็ให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว แข้งขาอ่อนแรงแลปวดศีรษะจนต้องล้มตัวลงนอนพลางสูดหายใจรวบรวมเรี่ยวแรงอีกครา

หากยังมิได้ทำอันใด พี่เดชก็เดินมานั่งริมตั่งเตียงเสียก่อน

“จับไข้เสียแล้ว” คนพูดว่าพลางปัดปอยผมที่ระใบหน้านวลแลจับปอยผมนั้นทัดหลังใบหูแก่เจ้าน้องน้อย

“เจ้ายังมิต้องลุกดอก ประเดี๋ยวพี่จักคอยเช็ดเนื้อตัวให้” เมื่อเอ่ยจบคำขุนเดโชก็เลื่อนผ้าห่มคลุมกายเจ้าร่างบางก่อนเดินออกจากหอนอน

“แม่พิศ วันนี้จัดสำรับแลต้มยาเข้าไปในหอนอนให้สินธุ์ด้วยเถิด” แลก่อนจักออกไปราชการ ขุนเดโชมิวายกำชับแก่แม่พิศด้วยใจพะวงห่วงเจ้าร่างน้อย

“พ่อสินธุ์เป็นอันใดฤาเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามนายด้วยท่าทีตกใจด้วยคาดเดาได้ว่าพ่อสินธุ์นั้นจักต้องเจ็บป่วยจนมิอาจลุกออกจากหอนอนได้

“มิเปนอันใดมากดอก เพียงจับไข้เท่านั้น”

“โถพ่อคุณ ใยจึงเจ็บไข้เสียได้ เมื่อวานยังดีๆอยู่แท้” นางบ่าวสาวใช้ทอดถอนใจพลางลูบอกนึกเป็นห่วงผู้เปรียบเสมือนนายอีกคน

ขุนเดโชไม่เอ่ยอันใดทว่ายิ้มกริ่มนัยหน้าพลางเดินไปลงเรือยังศาลาท่าน้ำที่นายยอดบ่าวฝีพายยืนคอยท่าอยู่แล้ว

ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งในเพลานี้ครึกครื้นไปด้วยเหล่าชายหนุ่มผู้มาหาความสำราญในยามค่ำคืน แลในกลุ่มคนเหล่านั้นจักมิมีกลุ่มคนผู้ใดโดดเด่นเท่าเทียมไปกว่ากลุ่มโต๊ะชั้นสองของร้านซึ่งประกอบไปด้วยขุนนางหนุ่มที่แม้นมิมียศศักดิ์ใหญ่โตเป็นถึงพระน้ำพระยา กระนั้นเหล่านางโสเภณีต่างคอยชะม้อยชายตาให้มิได้ขาดด้วยร่างกำยำสูงใหญ่แลใบหน้าหล่อเหลา ทั้งหล่อคมเข้มเช่นขุนเดโช รูปงามคารมดีเช่นขุนทัพไพรีพ่าย แลมีเสน่ห์อย่างชนลูกครึ่งเช่นหมื่นรามราชเดช ซ้ำแต่ละคนยังร่ำรวยมีอัฐใช้มิได้ขาดมือ เฉพาะอย่างยิ่งหมื่นรามนั้นอย่างไรเล่า เป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงน้ำชานี้เทียวหนา

“ค่อนคืนป่านนี้ ข้าเห็นจักต้องกลับเรือนเสียที” ขุนเดชเอ่ยขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าตนนั้นร่ำสุรากับสหายมาเป็นเพลาแล้ว

“เร่งรีบกลับเรือนไปใยเล่าพ่อเดช” หมื่นรามถามขึ้นเมื่อได้ยินสหายเอ่ยคำพลางวางไหเหล้าไว้บนโต๊ะ

“ข้าก็เห็นเร่งกลับเรือนเสียทุกครา นับแต่....” ยังมิทันที่ขุนเดชจักได้ตอบคำ ขุนทัพก็เอ่ยวาจากระเซ้าพลางหรี่ตาทำทีดังรู้เท่าทันความในใจของสหาย

“อ้อ นับแต่มีคนคอยท่าอยู่ที่เรือนกระมัง” หมื่นรามเป็นลูกคู่พลางพยักหน้าล้อเลียนพ่อเดชเข้าอีกคน

“ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก    สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป         แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ”
                          (นิราศภูเขาทองของสุนทรภู่)

“หึๆ เห็นจะจริง เมาใจกระทั่งแย้มยิ้มบ่อยเสียจนผิดวิสัย พลอยให้ข้าขนลุกขนพองไปด้วยหน่ะซี”

ขุนเดโชได้ยินสหายเย้าตนเล่นก็ให้ส่ายหน้าด้วยท่าทีเอือมระอาก่อนบอกลาสหายแล้วจึงลงเรือกลับเรือน

ค่ำคืนเดือนแรมยามปกติมักจะมืดด้วยมิมีแสงจันทร์ส่องสว่าง กระนั้นก็ให้พร่างพราวไปด้วยแสงดาวระยิบระยับจับตา ทว่าคืนนี้เห็นจะเป็นคืนเดือนดับเสียกระมัง ด้วยมิใช่เพียงมิมีแม้แต่เสี้ยวแสงจันทร์ กระทั่งแสงดาวกลับถูกบดบังด้วยเมฆครึ้มอย่างประหลาด

นอกชานเรือนหลังใหญ่ ยังมีร่างสูงกำยำของชายผู้หนึ่งยืนทอดถอนใจพลางเหม่อมองไปยังความมืดอย่างหาที่สุดมิได้ด้วยท่าทีครุ่นคิด ครั้นเมื่อมีท่าทีดังนึกสิ่งใดได้ก็ให้ผินกายเดินลงเรือนไป

เสียงตักน้ำล้างเท้าบริเวณหัวกระไดยังให้เจ้าสินธุ์เร่งฝีเท้าไปคอยเมียงมอง ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ให้ลอบถอนใจ กระนั้นส่งยิ้มจืดเจื่อนยังคนมาใหม่ด้วยมิใช่ผู้ที่ตนรอคอย

“ค่อนคืนป่านนี้ ยังมิเข้าหอนอนอีกหรือ” หลวงภูมีภักดีเอ่ยถามเจ้าร่างบางที่ยกมือไหว้ตนด้วยท่าทีนบนอบ

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าส่งยิ้มบางก่อนเดินนำแขกยามวิกาลไปยังศาลาหน้าหอนอน

“พี่เห็นแสงไต้จากเรือนพ่อเดชจึงเดินมาตรวจตรา มินึกว่าเจ้าจักคอยท่าพ่อเดช...” หลวงภูมีภักดีถึงกับตกประหม่ามิรู้จักกล่าวอันใดด้วยหนนี้เป็นคราแรกที่ตนได้ชิดใกล้เจ้าร่างน้อยถึงเพียงนี้

“เอ้อ ได้ยินนางพิศว่าเจ้าจับไข้ เป็นอย่างไรบ้างเล่า” คนถามว่าพลางรับขันน้ำลอยมะลิจากเจ้าสินธุ์

เจ้าร่างน้อยจึงหยิบกระดานชวนแลดินสอหินที่วางอิงไว้ยังเสาศาลาเขียนโต้ตอบแก่หลวงภูมิภักดี

ทั้งคู่เขียนโต้ตอบสนทนากันด้วยเรื่องราวอันมากมาย กระทั่งหลวงภูมีภักดีคิดจักเอ่ยความในใจจึงแต่งเป็นโคลงกลอนลงกระดาน
   หลง     เจ้านานเนิ่นแล้ว        ใจฝัน
   รูป       พักตร์งามดั่งจันทร์     เจิดจ้า
   จูบ       ลมฝากรำพัน           สวาทอยู่
   เงา       แค่เงาเรียมบ้า         อยากใกล้เคียงสมร
   (จาก http://www.st.ac.th/bhatips/klong.htm)

มือแกร่งกำกระดานแน่นด้วยชั่งใจอย่างหนัก ในหทัยก็ให้แกว่งไกวเกรงเจ้าร่างน้อยจักปฏิเสธมิรับรัก แลด้วยรู้ว่าพ่อเดชนั้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้าร่างบางอยู่ไม่น้อย ทว่าด้วยแรงรักคับอกมิอาจหักใจ แม้นเพียงได้เอ่ยความความในใจ ก็จักมิเสียดายภายหลัง
แลเมื่อยื่นกระดานให้แก่เจ้าร่างน้อยก็ให้หัวร่อแผ่วอยู่ในคอด้วยความเอ็นดู ด้วยบัดนี้เจ้าร่างบางนั่งอิงเสาศาลาหลับใหลลงเสียแล้ว

ตากลมโศกชวนพิศมิรู้เบื่อ เมื่อหลับลงก็ชวนให้นึกปราณี ทั้งใบหน้านวล พิศริมฝีปากบางจิ้มลิ้มพริ้มเพราให้นึกรักใคร่ ยังกลิ่นกายหอมกรุ่นชวนชิดสนิทใกล้โดยมิรู้ตัว

ใบหน้าคมโน้มเข้าหมายจักจุมพิต หากต้องผละกายออกห่างเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอ หลวงภูมีภักดีเพียงยิ้มอ่อนผละจากเจ้าร่างน้อยพลางนึกเสียดาย

“ว่าอย่างไรพ่อเดช กลับเรือนเสียค่อนคืน” คนเป็นพี่เอ่ยเจรจากับน้องชายโดยมิแสดงท่าทีผิดแผก

“พี่ไทเล่าขอรับ ลมอันใดหอบมายังเรือนกระผมเสียได้” ขุนเดชกล่าวพลางหรี่ตามองพี่ชายอย่างมิใคร่สบอารมณ์นัก

“เห็นจะเป็นลมหวนครวญคะนึงกระมัง” หลวงภูมีตอบคำพลางสบตาหยั่งเชิงน้องชายอยู่ในที

“เพียงคิดคำนึงกระผมมิว่าอันใดดอก หากแต่เมื่อครู่เห็นจักมิควร...”

“เอาเถิด พ่อเดชก็จงหมั่นเฝ้าเรือนไว้ให้ดี มิเช่นนั้นของรักจักหายโดยมิรู้ตน”

ขุนเดชได้ยินวาจาท้าทายจากพี่ชายก็ให้ขุ่นใจเป็นกำลัง จึงเอ่ยอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเจ้าน้องน้อยโดยทันควัน

“ผิดลูกผิดเมียผู้อื่นย่อมเทียบกับผิดศีล”

“หึๆ พี่ย่อมรู้แก่ใจดอก” ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีฟังคำน้องชายก็ให้เจ็บปวดอยู่หลายส่วน กระนั้นมิวายเอ่ยเย้าพ่อเดชให้ร้อนรน ก่อนจักเดินลงเรือนไป

ขุนเดโชได้ยินพี่ชายกล่าววาจาดังไม่เกรงกลัวแลท้าทายดังนั้นก็ให้ขุ่นเคืองอย่างหนัก ทว่าด้วยหลวงภูมีภักดีนั้นเป็นพี่ชายตน จึงมิอาจทำอันใด ได้แต่เพียงขบกรามกำมือแน่น พิศมองสิ่งใดก็ให้ขวางหูขวางตาไปเสียสิ้น

ข้างฝ่ายเจ้าสินธุ์นั้นสลึมสลือขยับขยี้ตาตื่นด้วยได้ยินเสียงเจรจารบกวน ลืมตาเห็นพี่เดชยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าก็พลันนึกยินดี กระนั้นให้สะดุ้งตกใจเมื่อพี่เดชหันกายกลับมาด้วยทีท่าโกรธเคือง

คนร่างสูงไม่พูดอันใด พุ่งเข้ามาจับแขนเจ้าร่างบางพลางฉุดกระชากลากเข้าหอนอน

เจ้าร่างน้อยมิทันได้ตั้งตัวจึงมิอาจต้านทาน ได้แต่เพียงเร่งเดินตามดังจะปลิดปลิวตามลม

เมื่อเข้าถึงหอนอน ขุนเดชพลันเข้าประกบกอดซุกไซร้เนื้อนวลด้วยแรงหึง ฝากรอยรักรุนแรงดังหวังจักลบความร้อนรุ่มในอกให้จางหายไป แลแม้นเจ้าน้องน้อยจักขัดขืนสักเพียงใดก็มิเป็นผล

.....ขุนเดโชกอดน้องสะพ้องสะพัก      น้องก็ผลักข่วนหยิกแล้วพลิกหนี
ขุนเดชป้องน้องต้องพอเป็นที               สองฤดีเดือดดิ้นอยู่แดดาล
.....เกิดพยับพยุห์พัดอัศจรรย์               สลาตันเป็นระลอกกระฉอกฉาน
ทะเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ                กระทบดานกระแทกดังกำลังแรง 
.....สำเภาจีนเจียนจมด้วยลมซัด         สลุบลัดเลียบบังเข้าฝั่งแฝง
ไหหลำแล่นตัดแหลมแคมตะแคง        ตลบตะแลงเลาะเลียมมาตามเลา
.....ถึงปากน้ำแล่นส่งเข้าตรงร่อง         ให้ขัดข้องแข็งขืนไม่ใคร่เข้า
ด้วยร่องน้อยน้ำคับอับสำเภา                 ขึ้นติดตั้งหลังเต่าอยู่โตงเตง
.....พอกำลังลมจัดพัดกระโชก             กระแทกโคกกระท้อนโขดเรือโดดเหยง
เข้าครึ่งลำหายแคลงไม่โคลงเคลง      จุ้นจู๊เกรงเรือหักค่อยยักย้าย
.....ด้วยคลองน้อยเรือถนัดจึงขัดขึง       เข้าติดตรึงครึ่งลำระส่ำระสาย
พอชักใบขึ้นกบรอกลมตอกท้าย           ก็มิดหายเข้าไปทั้งลำพอน้ำมา
                 (ดัดแปลงจากบทอัศจรรย์ขุนช้างขุนแผนของครูแจ้ง จาก http://www.gconnex.com/fictions-poems/()-450/)

เมื่อเสร็จสิ้นบทรักเจ้าสินธุ์ก็ให้ล้มพับไปด้วยอ่อนแรง แลก่อนสติจะดับหลับลงก็พลันรับรู้คำหวานกระซิบเพียงแผ่ว

“พี่รักเจ้า”
..................................

อธิบายเพิ่มซักนิด เรื่องที่หลวงพี่ภูกับพ่อขุนเดชคุยกันเรื่องผิดลูกผิดเมียผู้อื่น คือว่าคนสมัยก่อนเนี่ยเค้าจะมีคาถาอาคมกัน และต้องรักษาศีล คาถาจึงจะไม่เสื่อม  ดังนั้นพ่อเดชจึงขู่พี่ไทไปว่าอย่ามาผิดเมียผมซะให้ยาก เดี๋ยวคาถาอาคมที่ร่ำเรียนมามันจะใช้ไม่ได้ จะเสื่อมเอานะ กล้าลองเหรอ หลวงพี่ไทของเราก็ตอบไปอย่าง เอ่อ อย่างไหนดี แบบว่าไม่กลัวหรอก เพราะหลงรักเจ้าน้องน้อยเข้าเสียแล้ว ถึงจะต้องเสื่อมคาถาอาคมก็ยอมเสี่ยง ประมาณนี้ค่ะ

@ คุณ takara นั่นสิ ถึงโดนห้ามก็เหมือนไม่ฟังเลยค่ะ ยิ่งห้ามยิ่งยุ

@ คุณ yeyong รอลุ้นต่อไปนะคะ อิอิ พอดีอิ๋งไม่ค่อยมีเวลาแต่งค่ะ และประมาณพลาดไปสักหน่อย ยังไม่ขอเฉลยดีกว่าว่าจะจบตอนไหน(เป็นคนเขียนเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีแพลน  :try2:)

@ คุณ BAKA ต่อไปนี้แม่หญิงแพงคงไม่ได้ร้ายแล้วล่ะค่ะ พี่เดชยื่นคำขาดไปแล้ว อืม แต่อิ๋งว่าผู้ใหญ่คงดูออกค่ะ เวลาที่คนเรามองใครแบบว่ารักมากหน่ะค่ะ แล้วก็อีกอย่างก็คือในเรื่องเนี่ย ขุนเดชเค้าไม่ค่อยวุ่นวายกับใครเท่าไหร่นัก แต่กับเจ้าสินธุ์นี่ถึงกับหอบกลับมาอยู่ด้วยกัน พอตอนนั้นสินธุ์หลงทางก็ให้คนออกตามหา แถมยังโมโหมากตอนที่รู้ว่าสินธุ์โดนลงหวายอีก ถึงขนาดสั่งห้ามน้องสาวที่ตัวเองนึกรักนึกเอ็นดูห้ามยุ่งกับคนๆนี้ เจ้าคุณพ่อเลยคิดว่าไม่ได้ละลูกกูจะเป็นเกย์(ประมาณว่าลูกจะชอบผู้ชาย มันไม่ด้ายยย) ส่วนหลวงพี่ภูนี่ค่อนข้างเก็บอาการมากกว่าพ่อเดชเยอะค่ะ แต่เจ้าคุณพ่ออยู่เรือนหลังเดียวกับลูกคนโต คงพอจะระแคะระคายบ้างค่ะ

@ คุณ kasarus แหะๆ ชอบจังคำว่าบทเข้าพระเข้านายเนี่ย :-[ ส่วนพ่อขุนเดชโดนเจ้าคุณพ่อสกัดแล้วจะทำอย่างไรต้องติดตามในตอนหน้า  อืม เรื่องคดีความจบง่ายค่ะ เพราะแม่แพงเนี่ยเป็นลูกรัก น้องรัก และอีกอย่างคือเจ้าคุณพ่อเริ่มเคืองเรื่องที่เจ้าสินธุ์มาทำให้พ่อเดชชอบผู้ชาย เลยคิดว่าเอาไว้ไม่ได้ ต้องจัดการ

@ คุณ nongrak นั่นสิ เจ้าคุณพ่อใจร้ายยย แต่ว่าในสมัยนั้นอิ่งคิดว่าเรื่องผู้ชายชอบผู้ชายนี่คงยังไม่เป็นที่ยอมรับและเห็นเป็นเรื่องแปลกเอามากๆ ดังนั้น นายเอกเราจึงต้องรัดทดต่อไปปปป แต่ตอนนี้ยังไม่มีฉากให้ขัดอกขัดใจเท่าไหร่ค่ะ ออกจะสบายๆหน่อย

เจอกันตอนหน้าค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 19-09-2012 21:10:01
เอาละสิ พ่อเดชกับพ่อไทจะก่อศึกสายเลือดกันรึเปล่าเนี่ย

หลง  เจ้านานเนิ่นแล้ว        ใจฝัน
   รูป  พักตร์งามดั่งจันทร์     เจิดจ้า
   จูบ  ลมฝากรำพัน           สวาทอยู่
   เงา   แค่เงาเรียมบ้า         อยากใกล้เคียงสมร

= หลงรูปจูบเงา  พ่อไทก็คงจะได้จูบแค่เงา เพราะตัวจริงเค้าสงวนไว้ให้พ่อเดชจูบได้คนเดียว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 19-09-2012 21:35:21
หลวงภูมีภักดีกลับเรือนของตนไปเสีย  น้องเขามีเจ้าของแล้ว
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 20-09-2012 07:11:29
หุหุ พี่น้องจะตีกันเองล่ะมั้งนั่น สินธุ์น่ารักเกิน
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 20-09-2012 17:13:36
ทั้งที่รู้อยู่แต่หลวงภูมิภักดีก็ยังไม่สู้ตัดใจจากน้องสินธ์
อย่าให้พี่น้องต้องทะเลาะกันเลย
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น7) 19/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-09-2012 03:17:01
ขอยืนยันตรงนี้ว่ารออยู่นะค่ะ  อย่าน้อยใจไป   :กอด1:
จะสอบอาทิตย์หน้าแล้วยังเข้ามาลัลลาอ่านนิยายคุณอิ๋ง   
:laugh: :laugh: ไม่เป็นไรเคอะ  อ่านก่อนวันสอบประจำ

ส่วนน้องน้ำ เอ๊ย  เจ้าสินธ์ ในที่สุดก็ได้ตกเป็นของหลวงเดโชจนได้
หลวงภูมีหมดสิทธิ์นะค่ะ  บอกไว้ตรงนี้  ผิกลูกผิดเมียบ๊าปบาปนะเออ

แต่อดสงสารไม่ได้  ไงพี่ภูก็ได้แต่บทพระรอง 555  แหมม ก็นะ พระเอกมีคนเดียวเกินพอ


ปล  มาๆกอดกันๆ  :กอด1:

 
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 29-09-2012 09:50:06
ครานั้น 8

ลมกรุ่นกลิ่นมะลิแลน้ำอบลอยอวนบริเวณเรือนขุนเดชอยู่บางเบา ไม่ว่าผู้ใดย่างกรายผ่านเป็นต้องหยุดสูดกลิ่นหอมเย็นใจทุกผู้ไป

แลหากมีผู้ใดเดินขึ้นเรือนไปในยามนี้ก็คงจักเห็นแม่พิศแลสหายพ่อขุนเดชง่วนอยู่กับหีบผ้าแลกระจาดดอกไม้ เฉพาะกระจาดมะลิขาวพิสุทธิ์ที่ดูเหมือนจักมีมากกว่าดอกไม้อื่นๆ ยังขวดเครื่องแก้วมีฝาปิดอย่างเปอร์เซียบรรจุน้ำอบไว้ภายใน

“ละมือก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจักไปยกสำรับมาให้” เมื่อถึงเวลาบ่ายนางพิศจึงวางมือก่อนบอกพ่อสินธุ์แล้วเดินลงเรือนไป

เจ้าสินธุ์ไม่เอ่ยอันใดทว่ายิ้มบางแลหยิบจับผ้าพื้นสีเข้มขึ้นมาหมายจักใช้น้ำอบอบร่ำ กระนั้นกลับกลายให้นึกถึงเจ้าของผืนผ้าเสียได้

“เจ้ามิต้องอบร่ำผ้าให้พี่ดอก” ขุนเดชเอ่ยแก่เจ้าร่างน้อยด้วยท่าทีประดักประเดิด

แลเมื่อเจ้าสินธุ์ทำทีดังสงสัย คนร่างกำยำก็เพียงรั้งร่างเจ้าน้องน้อยเข้าประชิดแลเอ่ยวาจาให้คลายความสงกา ทว่าเจ้าร่างบางกลับต้องเก้อเกินเสียหลายส่วน

“หอมอันใดก็มิเทียมหอมกายเจ้าดอกหนา” คนพูดไม่ว่าเปล่า ก้มสูดกลิ่นจากแก้มนวลดังจักยืนยัน

เมื่อรำลึกถึงเจ้าของผ้านุ่งก็พลันให้เจ้าร่างน้อยแย้มยิ้มกับผืนผ้า ทว่ากลับสลดลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนที่ผ่านมา มิรู้ด้วยเหตุอันใดพี่เดชจึงดูโกรธาตนหนักหนา กระทั่งลืมตาตื่นขึ้นก็มิเห็นพี่เดชแม้นเพียงเงา ด้วยปรกติทุกเช้าเมื่อใดตนตื่นลืมตาก็มักจักเห็นคนร่างกำยำข้างกายแท้ๆ 

เจ้าสินธุ์เพียงรำลึกแลทอดถอนใจ ทว่าเมื่อจักก้มขัดผ้า(ใช้หอยตัวโตๆขัดผ้า=รีดผ้า) ก็พลันเหลือบแลเห็นเท้าคู่หนึ่งตรงหน้า แลเมื่อมองไล่สายตาไปเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ให้ละมือจากงานก้มไหว้ด้วยท่าทีนบนอบ

เจ้าร่างน้อยหมายจักลุกไปเตรียมน้ำท่าให้แก่ผู้เป็นใหญ่ในบ้าน หากถูกห้ามปรามเข้าเสียก่อน

“มิต้องวุ่นวายให้มากความดอก ลุงเพียงจักเจรจากับเจ้าเพียงครู่เท่านั้น”

เจ้าสินธุ์จึงเพียงพยักหน้าแลนั่งนิ่งฟังความ

“เอ้อ อันเรื่องลุงจักกล่าวต่อไปนับเป็นเรื่องมงคลล่ะหนา...” พระยามณูปกรณ์เอ่ยพลางนึกเอ็นดูเจ้าสินธุ์อยู่หลายส่วน กระนั้น หากมิเร่งแก้ไขเรื่องราวของพ่อเดชแลพ่อสินธุ์ก็เห็นว่าทั้งคู่จักผูกพันกันลึกซึ้งเกินแก้

“พ่อเดชจักออกเรือนในเร็ววันนี้แล้วหนา แลลุงเห็นว่าหากแม่มะลิมาร่วมเรือน ก็คงจักไม่เหมาะเท่าใดนักหากว่าเจ้าจักอยู่ร่วมชายคา”

เจ้าร่างบางได้ยินดังนั้นก็พลันรู้ความนัย ริมฝีปากบางจึงเผลอเม้มแน่นโดยมิรู้ตน

“เอาล่ะ เรื่องอันลุงจักบอกกล่าวแก่เจ้าก็เพียงเท่านี้” ชายสูงวัยว่าจบความจึงเดินลงเรือนไป


“กับข้าวมิถูกปากหรือเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามพ่อสินธุ์เมื่อตนมาเก็บสำรับกับข้าวก็เห็นว่าพร่องไปไม่ถึงครึ่ง

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าส่งยิ้มจืดเจื่อน

แลเมื่อคล้อยหลังนางบ่าวสาวใช้ เจ้าร่างบางจึงเดินเข้าหอนอนพลางตระเตรียมข้าวของ แลเมื่อสบโอกาสจึงลงเรือนหายลับไป

เพลาเย็นย่ำค่ำ เรือพายสองลำเข้าเทียบท่ายังบ้านพระยามณูปกรณ์ โดยเรือลำแรกนั้นเป็นของหลวงภูมีภักดี และลำที่สองนั้นเป็นของขุนเดโช

ชายหนุ่มทั้งคู่หยุดเจรจาราชการกันเพียงครู่ก่อนขุนเดโชจักเอ่ยขอตัวเดินกลับเรือนพลางหอบหิ้วห่อผ้าขาว ด้วยวันนี้ตนมีกิจจำเป็นเร่งด่วนจึงจำผละจากเจ้าน้องน้อยด้วยเสียดาย ทว่ายามจักกลับเรือนมิวายรำลึกถึงคนคอยท่า จึงได้แวะป่าขนมซื้อหาขนมกลับมาเสียหลายอย่าง

ขุนเดชก้าวขึ้นเรือนพลางนึกฉงนด้วยเรือนเงียบเชียบผิดแผกจากยามปรกติ กระนั้นกลับเดินสำรวจตรวจตราทุกห้องหับ แลเมื่อไม่พบผู้ใดก็ให้ร้อนใจ กระทั่งเข้าในหอนอนก็พลันร้อนรนเป็นทบทวีเมื่อเห็นกระดานชนวนวางไว้ยังหน้าบานกระจกทองเหลือง

เร็วเสียยิ่งกว่าคิดคำนึง ขุนเดชเร่งลงเรือนพลางถามไถ่บ่าวไพร่ ทว่ามิมีผู้ใดรู้เห็นทั้งสิ้น กระทั่งนางพิศทราบข่าวกลับเป็นลมล้มพับไปเสียนี่

กายแกร่งจึงเดินจ้ำไปยังเรือนใหญ่ พลางสั่งความบ่าวไพร่ให้ออกตามหาเจ้าน้องน้อยแล้วค่อยหันกายไปยังท่าน้ำ ทว่ามิทันจักลงเรือกลับถูกทัดทานเข้าเสียก่อน

“จักไปที่ใดพ่อเดช” พระยามณูปกรณ์เดินลงเรือนเข้าขวางบุตรชาย ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีก็เร่งเดินลงเรือนตามเจ้าคุณพ่อมา พลอยให้คุณหญิงเอื้อมตกอกตกใจเข้าเสียอีกคน

“ออกไปตามสินธุ์ขอรับ” ขุนเดชตอบคำพลางจักก้าวลงท่าน้ำ

“มิต้องไปตามดอก” เมื่อได้ยินคำเจ้าคุณพ่อ ชายหนุ่มจึงชะงักงันก่อนผินกายประจันหน้ากับผู้พูด

“คุณพ่อกล่าวกระไรขอรับ”

ผู้เป็นพ่อไม่ตอบอันใด กลับเอ่ยสั่งความให้พวกบ่าวไพร่กลับไปทำงานตามเดิม

ขุนเดโชเห็นดังนั้นก็จึงรู้ว่าด้วยเหตุอันใดเจ้าน้องน้อยมิได้อยู่คอยท่าที่เรือน มือแกร่งกำเข้าหากันอย่างคนโกรธาสุดกำลัง ทว่าเร่งผินกายจักลงเรือ

“พ่อเดช พี่จักเร่งตามหาเสียอีกแรง” เมื่อหลวงภูมีภักดีทราบความ ก็ให้ร้อนรนในอกคิดตามหาเจ้าสินธุ์เข้าอีกคน

“หากพวกเจ้าผู้ใดก้าวออกจากเรือนนี้ จักถือว่าไม่เคารพนับถือ สิ้นพ่อสิ้นลูกกันเสีย”

สิ้นคำชายผู้เป็นใหญ่ ชายหนุ่มทั้งสองก็พลันนิ่งงัน ทว่าในแววตาเด็ดเดี่ยวกลับแฝงแววดังตัดสินใจได้อยู่หลายส่วน แลเมื่อคุณหญิงเอื้อมเห็นเช่นนั้นก็จึงร่ำไห้เร่งเข้าฉุดรั้งบุตรชายโดยพลัน

“ฮือๆ พ่อไท พ่ออย่าไปเลยหนา หากพ่อไปเสียแล้วแม่จักอยู่อย่างไร”

“คุณแม่ขอรับ...”

“พ่อไท เห็นใจแม่เถิด” คุณหญิงเอื้อมเข้ากอดรัดบุตรชายพลางร่ำไห้อย่างหนัก แลเมื่อหลวงภูมีภักดีเห็นดังนั้นจึงเกิดลังเลอยู่หลายส่วน กระนั้นมิทันตัดสินใจอันใด คนทุกผู้ในบริเวณนั้นต่างสะดุ้งตกใจด้วยขุนเดชทรุดลงกราบแทบเท้าเจ้าคุณพ่อโดยพลัน

“แม้นคุณพ่อจักมินึกว่ากระผมเป็นลูก อย่างไรในใจกระผมยังคงมิเสื่อมความนับถือต่อคุณพ่อ”

“ฮึก ฮึก ฮือออ พี่เดช อย่าไปเลยหนาเจ้าคะ พี่ ฮึก ไม่รักน้องแล้วหรือ ใยจักทิ้งน้องไปเสียได้ โฮฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงเอะอะยังให้แม่แพงเร่งลงเรือนแลเมื่อทราบความก็เกิดร่ำไห้เข้าเหนี่ยวรั้งพี่ชายเข้าทันควัน

ขุนเดชเห็นน้ำตาน้องสาวก็ให้ใจไหววูบหลายส่วน กระนั้นกลับกอดแม่แพงพลางเอ่ยคำลา

“แม่แพง แม้นเจ้าไม่มีพี่ ก็จักมีเจ้าคุณพ่อ ทั้งแม่เดือน พี่ไท ยังบ่าวไพร่มากมาย หากสินธุ์ไม่มีผู้ใด พี่จำต้องไป”

หลวงภูมีภักดีตบไหล่น้องชายเบาๆ สองพี่น้องเพียงพยักหน้าแก่กัน ขุนเดชจึงคลายกอดแม่แพง ไหว้คุณหญิงเอื้อมแลแม่เดือนก่อนจักผินกายลงเรือไป

เมื่อบุตรชายลับตา พระยามณูปกรณ์จึงเดินกลับขึ้นเรือนด้วยท่าทีอันสงบ


ข้างคูน้ำใต้ต้นมะขามใหญ่ในเวลาเย็นย่ำ ยังมีคนผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ร่มไม้พลางทอดสายตาเหม่อมองผืนน้ำ

เจ้าสินธุ์นั่งนิ่งบริเวณนี้มาเป็นเพลาแล้ว ด้วยไม่รู้จักไปที่ใด จึงเพียงเดินเตร็ดเตร่เรื่อยไป ทว่าเมื่อรู้สึกตนจึงพบว่าเดินมายังคูน้ำแห่งนี้เสียได้

เจ้าร่างบางคิดคำนึงถึงวันวานอันผ่านล่วงเลยมาแต่ก่อน ทั้งยามทุกข์เมื่อถูกกลั่นแกล้งแลยามสนุกเมื่อได้มีผู้คอยวิ่งเล่นเคียงกัน กระทั่งเติบใหญ่ คุณยายก็สิ้นบุญจากไปเสีย ทว่ากลับอุ่นใจเมื่อมิได้อยู่เพียงลำพัง

คำนึงถึงพี่เดชเข้าเสียแล้ว คนหน้านิ่งพูดน้อย กระนั้นยามฝากรักกลับอ่อนหวานเสียจนสะท้านไปทั้งกาย ทว่าคำรักเหล่านั้นคงกลับกลอกเข้าเสียแล้ว

พิศดูแม่หญิงมะลิคู่หมายของพี่เดชก็งามปานนั้น ผู้ใดเห็นก็คงนึกรักใคร่ไหลหลงโดยไม่ยากเย็น

แลแม้นในใจจักเจ็บปวดก็กลับชินชาเสียจนมิรู้สึกแสบร้อนอันใด ดวงใจก็คล้ายจักสงบอยู่หลายส่วน
 
มิใช่ว่าตนมิรับรู้ว่าสักวันจักต้องจากลา สักวันจักต้อง...อยู่เพียงเดียวดาย

ดีเพียงใดแล้วเล่า เมื่อจากมาก็มีเพียงสิ่งดีให้จดจำ กระนั้นเพลาสุขกลับรวดเร็วเสียจนมิทันได้ตั้งตน

หากต่อแต่นี้ตนจักอยู่อย่างไร ลางทีหากจักเร้นกายหายลับไปได้คงจะดีไม่น้อย

“สินธุ์! เจ้าจักทำอันใด” เจ้าสินธุ์พลันหลุดจากห้วงคำนึง แลพลันรู้ตนด้วยบัดนี้ยืนอยู่กลางน้ำสูงถึงบั้นเอวเสียแล้ว

เจ้าร่างบางเพียงเหลียวมองตามเสียงอย่างตกตะลึง กระนั้นกลับก้าวถอยลงน้ำโดยมิรู้ตน

หัวตาร้อนผ่าวด้วยอันใดเสียก็มิรู้ เพียงนึกว่าจักหักใจได้แล้วหนา ใยพี่เดชจึงมา ณ ที่แห่งนี้เสียได้

กระนั้นเจ้าร่างน้อยพลันสะดุ้งตกใจ ด้วยบัดนี้ร่างสูงใหญ่ยืนยังรากไม้ชายฝั่งชักกริดจ่อเข้ากับลำคอของตนเอง

ตกกลมสบเข้ากับตาคมแดงก่ำแลแฝงแววตัดพ้ออยู่ในที

เจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นจึงมิอาจทานทน น้ำตาร่วงพรูพลางวิ่งเข้าหาริ่มตลิ่งด้วยใจหวั่นเกรง

เมื่อถึงยังริมฝั่งใต้ไม้ใหญ่ มือบางก็หมายจักฉวยจับมือใหญ่ให้คลายลดมือแกร่งที่กำกริชนั้นลง ทว่าร่างกำยำกลับก้าวถอยพลางกดกริชเข้ากับลำคอ

“สัญญากับพี่ เจ้าจะมิทำเยี่ยงนี้อีกเป็นอันขาด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างสั่นเครือแลคล้ายจักแหบพร่าอยู่ไม่น้อย

เจ้าร่างน้อยเพียงเม้มริมฝีปากก้มหน้าหลบตา กระนั้นกลับต้องสะดุ้งอีกคราเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยเร่งเร้าพลางกดกริชเข้าเนื้อ

“เจ้ารู้ฤาไม่ หากพี่ต้องทนเห็นเจ้าตกตายไปต่อหน้า พี่มิสู้อยู่ขอเป็นคนเสียยังดีกว่า”

คนได้ยินรวดร้าวในอกแลคล้ายจักหายใจมิค่อยสะดวกร่ำไห้สะอึกสะอื้นปานขาดใจพลางกดพยักหน้ารับ

มือน้อยสั่นเทาค่อยยื่นจับยังมือใหญ่ให้ค่อยลดมือลงแลคลายปล่อยกริชในที่สุด

ขุนเดโชตวัดวงแขนกอดเจ้าน้องน้อยแน่นดังจักฝังกายบางลงในอกพลางฝืนกล้ำกลืนน้ำตาเก็บไว้ภายใน

แววตาแดงก่ำของชายหนุ่มทอดมองคนในอ้อมกอดอย่างสุดรัก

กลิ่นกายหอมเย็นของเจ้าน้องน้อยให้เผลอไผลสูดดมเข้าด้วยวางใจ

แลเมื่อคลายกอดพิศมองใบหน้านวลเปรอะไปด้วยน้ำตาจึงใช้นิ้วโป้งไล้หยาดน้ำใสให้เจ้าร่างบางแผ่วเบา กระนั้นเจ้าร่างน้อยคล้ายจักสะอื้นไห้รุนแรงขึ้นหลายส่วน

ใบหน้าคมพลันโน้มเข้าจูบซับน้ำตาอย่างอ่อนโยน

ใจดวงน้อยจึงเต้นระรัวคล้ายจักเปี่ยมไปด้วยความสุขแลความทุกข์อยู่ปนเปกันไป

แลเมื่อใบหน้าคมผละออกห่าง เจ้าสินธุ์จึงเร่งแกะห่อผ้า นำผ้าพื้นผืนบางเช็ดยังรอยเลือดสีเข้มที่ไหลจากลำคอของพี่เดช

มือบางแตะแต้มแผ่วเบา ท่าทีจดจ้องตั้งใจ ยังหน้าตาแดงระเรื่อพลันให้คนร่างสูงนิ่งงันพิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาสมใจ

เจ้าร่างน้อยพิศมองรอยมีดด้วยมิใคร่สบายใจ มือน้อยลูบไล้รอยนั้นก่อนจักค่อยกดจูบยังรอยแผล


ท้องนภาค่อยมืดครึ้มลงด้วยบัดนี้อาทิตย์อัสดงทอแสงรำไรแลตกลับขอบฟ้าหายไป ลมหนาวพัดพากระทบยังผิวกาย เสียงใบไม้เสียดสีกระทบกันเพียงแผ่ว

ใต้ไม้ใหญ่ยังมีสองร่างคล้ายมิรับรู้อื่นใด ทรุดนั่งยังรากไม้โอบกอดอิงกันแนบแน่น

.........................................
ฝากเพลงแทนใจพี่เดชหน่อยนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=n09YRhc5z_Y
 :m23: มาสายอีกแล้ววว และบทหน้าจะสายยิ่งกว่านี้ค่ะ
คือแบบว่าช่วงนี้ก็ช่วงสอบเนอะ ใครที่กำลังจะสอบหรือสอบอยู่ก็สู้ๆนะคะ เมื่อว่าอิ๋งสอบไปตั้งหนึ่งวิชา เขียนมั่วไปมากกว่าสิบข้อ คาดว่าอ.คงขำท้องแข็งไปแล้ว  :laugh:
วันนี้ยังไม่อ่านหนังสือหนังหา(มีหน้ามาลงนิยายอีก :laugh3:)

@ คุณ kasarus เห็นคอมเมนต์แล้วตบเข่าฉาดใหญ่ (หลงรูปจูบเงา พ่อไทก็คงจะได้จูบแค่เงา เพราะตัวจริงเค้าสงวนไว้ให้พ่อเดชจูบได้คนเดียว) แต่เรื่องศึกสายเลือดคงไม่ได้ก่อแล้วล่ะค่ะ เจ้าคุณพ่อนี่ร้ายยิ่งกว่าแม่แพง ไล่เจ้าสินธุ์ไปเสียแล้ว :monkeysad:
@ คุณ yeyong หลวงพี่ภูเค้ากลับไปแล้วค่ะ และต่อแต่นี้คงไม่ได้มาแอบแต๊ะอั๋งอีกแน่เลย พ่อเดชกับพ่อสินธุ์เค้าออกเรือนไปเสียแล้ว
@ คุณ takara พี่น้องไม่ทันได้ตีกันหรอกค่ะ คุณพ่อเค้าจัดการไล่หนุ่มน้อยของเราไปเสียก่อน
@ คุณ nongrak  :เฮ้อ: ว่าแล้วก็อดสงสารหลวงพี่ภูไม่ได้ เป็นพระรองตลอดๆ ทำไมคนเขียนใจร้ายจัง สบายใจได้ค่ะ พี่น้องยังไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเจ้าคุณพ่อท่านมองการณ์ไกลตัดไปเสียแต่ต้นลมเข้าแล้วไง
@ คุณ suck_love ฮิๆ ฮะๆ ไม่น้อยใจแล้วค่า มันเป็นบางอารมณ์ แบบว่าอ่อนไหวนิ๊ดส์นึง ยังไงวันนี้ก็แอบดอดมาอ่านอีกสักวันดีป่าวคะ ขอให้สอบได้คะแนนเยอะๆนะคะ อิ๋งก็จะสอบเหมือนกัน หลังลงตอนนี้คงใช้ชีวิตกับกองหนังสือล่ะค่ะ
 o3 เจ้าสินธุ์เสร็จพี่เดชไปหลายรอบแล้วค่ะ อิๆ ส่วนเรื่องหลวงพี่ภู จริงๆเค้าน่าฉงฉานจังเลยค่ะ ทำไมเราใจร้ายให้เป็นพระรองอยู่เรื่อยเลย แต่เอาเถอะค่ะ ภาคอดีตชาติขุนเดโชทำตัวดี น่ารักให้เต็มสิบเลยเหมาะเป็นพระเอกหน่อย
ปล. :กอด1: รักกันๆ

 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-09-2012 13:51:56
แล้วทั้งคู่จะระหกระเหินไปที่ใดต่อ

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 29-09-2012 17:12:56
พ่อของพี่เดชช่างใจร้ายเสียยิ่งนัก ไล่พ่อสินธ์คนดีให้ไปอยู่ที่อื่น
พี่เดชพาสินธ์ไปหาที่อยู่ใหม่คงจะดีกว่าแน่
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 29-09-2012 20:28:40
ไปก่อร่างสร้างตัวกันตามประสานะพ่อเอ้ยยยยยยย

แล้วแต่บุญกรรมครั้งหลังที่สร้างสมมาแล้วกัน ขอให้ครองเรือนอย่างมีความสุขเถิด

อ่านนิยายสมัยก่น เลยต้องเม้นตอบด้วยสำนวนเก่าๆ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 30-09-2012 13:30:39
อ่านแล้วน้ำตาปริ่มๆ ว่าจะไหล สงสารชะตากรรมของเจ้าสินธุ์ยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 30-09-2012 15:23:46
สงสารสินธุ์น้อยอะ จะเป็นยังงัยต่อล่ะนั่นทั้งสองคนอะ
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 30-09-2012 17:20:20
สงสารทั้งสองคน ต่อไปจะอยู่อย่างไรเนี้ย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (ลงแว้ว ตอนพิเศษ ครานั้น8) 29/09/55)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-10-2012 23:43:08
เจ้าคุณพ่อใจร้าย ทำกับสินธ์ได้ยังไง
พ่อขุนเดชต้องปกป้องน้องดีๆนะค่ะ เกือบไปแล้วไง น้องอารมณ์อ่อนไหว

เราสอบเสร็จละล้ะคุณอิ๋ง อยากจะฮูเล่ดังๆ แอร๊ยยยย   ปิดเทอม แต่เราไม่ได้ปิดอ้ะ ต้องลงชอป  :sad4:

ปล เรามาอ่านต่อละนะ แล้วคุณอิ๋งหายไปไสสสส :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษ ครานั้น9) 13/10/55) จบบริบูรณ์ (ย้ายเลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 13-10-2012 21:49:33
ครานั้น 9 จบบริบูรณ์
เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=9iF20sxP8ok

เพลาเกือบเย็นย่ำค่ำ ดวงอาทิตย์ทอแสงอัสดงส่องกระทบผืนน้ำสีส้มเป็นวงกลมโตและสีค่อยจางอ่อนไปตามผืนน้ำ ยังขอบฟ้าแสงอ่อนรับกัน กระนั้นผืนฟ้าส่วนอื่นกลับเป็นสีม่วงอ่อน ลางสิ่งที่อยู่ไกลตาก็เห็นได้เพียงเงาเท่านั้น

ณ ท่าน้ำใหญ่ของเรือนขุนนางหลังหนึ่งยังมีชายหนุ่มสามคนลงอาบน้ำ สองคนแรกนั้นรูปกายผึ่งผายเต็มไปด้วยมัดกล้าม ทั้งผิวสีทองแดง ใบหน้าคมสันหล่อเหลา ทว่าอีกหนึ่งหนุ่มนั้นกลับแน่งน้อยแบบบาง ผิวกายหรือก็ขาวนวลผิดกับชายหนุ่มชาวพระนครนัก ซ้ำผมดำยาวเปียกน้ำลู่ไปกับแผ่นหลัง ผิดแผกจากหนุ่มวัยออกเรือนที่ผมกลางกระหม่อนสั้นเกรียนแลจักถอนรอบเรือนผมให้สั้น

มือน้อยหมายจะจับขันเงินตักน้ำรดตัวทว่ามือใหญ่กลับคว้าขันเงินพลางจดจ้องคอยท่าให้เจ้าร่างน้อยเขยิบเข้าใกล้

เจ้าสินธุ์ก้มหน้าช้อนตาลอบมองท่าทีตั้งอกตั้งใจขัดถูกายให้ตนด้วยขมิ้นไพลก็ให้เอียงอายต่อขุนทัพที่หันมองตนยิ้มๆพลางหัวเราะหึๆในคอ

เมื่อตากลมสบเข้ากับตาคมก็ให้เม้มริมฝีปากก้มหน้าก้มตายื่นแขนซ้ายขวาให้อีกคนขัดถูต่อไป

‘คนกระไรมิรู้จักอายเสียบ้าง’ เมื่อยามอยู่เรือนพี่เดชจักทำเช่นนี้ก็มิเป็นอันใด ด้วยลงท่ากันเพียงสองคน หากครานี้มาอาศัยเรือนขุนทัพล่วงเข้าวันที่สองแล้ว อย่างไรก็มิใคร่คุ้นชินแววตาล้อเลียนจากเจ้าบ้านเสียที

มิใช่ว่าตนจักมิรู้จักการอาบน้ำอาบท่าเสียสักหน่อย คนหน้านิ่งทำเปนมิรับรู้อันใดนี่หน่ะซี ทำตาดุข่มขู่มิยอมอยู่ท่าเดียว หากลองได้ดื้อเพ่งมิยินยอมก็เห็นจะมิได้ขึ้นจากท่าเสียกระมัง

จวบจนพี่เดชตักน้ำรดให้ตนจนพอใจ เจ้าสินธุ์จึงชี้ไปยังสายน้ำเบื้องหน้า อีกคนพยักหน้ารับรู้พลางส่งกระด้งอันน้อยๆใส่ไว้ด้วยข้าวสุกจนเกือบเต็ม

เจ้าร่างบางรับกระด้งสานขนาดน้อยเกินกว่าจักมีขายด้วยร้อยยิ้มพลางค่อยเดินลงน้ำไป

ตาคมบ้างจดจ้องตามเจ้าร่างบาง บ้างสนใจอาบน้ำขัดถูแก่ตนเอง

“ปักใจหลงใหลเข้าเสียจริง” ขุนทัพเอ่ยสัพยอกสหายด้วยเห็นท่าทีใส่ใจอันมิเคยมีต่อผู้ใด ทว่ากลับมีให้แต่เพียงพ่อสินธุ์เท่านั้น อย่างกระด้งใบน้อยนั้นอย่างไรเล่า เป็นฝีมือผู้ใดมิต้องสงสัย เป็นสหายกันมานมนาน ใยจักมิรู้ว่าพ่อเดชนั้นมักจักตอกในยามว่าง แลหากเอ่ยกระเซ้าเช่นนี้ในยามสหายอยู่เคียงผู้อื่นก็เป็นต้องเห็นตีหน้านิ่งอยู่ร่ำไป ผิดแผกจากครานี้ที่เจ้าตัวเพียงยิ้มมุมปากพลางจดจ้องเจ้าร่างบางที่โปรยเม็ดข้าวให้ปลาน้อยใหญ่ว่ายวนเข้ามากิน

ขุนทัพเพียงส่ายหน้าด้วยเริ่มนึกเอือมระอาพลางถามไถ่เปลี่ยนเรื่อง

“เจ้าคิดจักปลูกเรือนที่ใด”

“ริมคลองฝาง”

“แล้วจักได้ฤกดิ์ลงเสาเรือนเมื่อใด ให้ข้าเป็นธุระไปติดต่อพวกบ้านนางเอียนให้ฤาไม่”
(บ้านนางเอียน ฝั่งกำแพงกรุง เลื่อยไม้สักทำฝาเรือน ปรุงเรือนฝากระดานและเครื่องสับฝาสำหรวดขาย)

“ได้ฤกดิ์วันมะรืน เห็นจักมิต้องรบกวนดอก ข้าตระเตรียมการไว้แล้ว”

เมื่อได้คำตอบดังต้องการ ขุนทัพจึงพยักหน้ารับพลางเตรียมผลัดผ้านุ่งขึ้นจากท่า

“สินธุ์”

คนถูกเรียกหันไปตามเสียงเรียกกระนั้นกลับส่ายหน้าแล้วมองเมินก้มดูปลาตัวน้อยๆเข้ามารุมกินเม็ดข้าวในมือ

“ขึ้นจากท่าเสียเถิดเจ้า มิเช่นนั้นจักจับไข้”

เจ้าร่างน้อยคงทำเป็นมิใส่ใจด้วยยังเพลิดเพลิน กระนั้นเมื่อได้ยินเสียงเดินลุยน้ำใกล้เข้ามาก็ให้นึกสนุกยิ้มร่าพลางถอยกายหลบหลีก

ขุนเดโชส่ายหน้าด้วยอ่อนใจ กระนั้นเร่งเข้าใกล้เมื่อเจ้าน้องน้อยทำทีดังมีสิ่งใดผิดแผก พลอยให้ขุนทัพที่จักผินกายกลับเรือนหันกลับมามองเช่นกัน

“เป็นกระไรฤาเจ้า”

เจ้าสินธุ์ถึงกับยืนนิ่งหันรีหันขวางด้วยตกใจเมื่อผ้านุ่งนั้นถูกดึงหลุดหายไปแลแม้นตนจักยื้อยุดก็มิสู้แรงคนมากระตุกชายผ้าได้
เงาตะคุ่มใต้น้ำว่ายจนเข้าฝั่ง เมื่อโผล่พ้นจากน้ำจึงชูผ้านุ่งสีเข้มติดมือพลางหัวเราะร่า

“ฮ่าๆๆ เร่งขึ้นท่าเถิดพ่อสินธุ์ ประเดี๋ยวจักไปมิทันงาน”

เป็นหมื่นรามนั่นเองที่เข้ากลั่นแกล้งเจ้าร่างน้อย กระนั้นกลับกล่าวเร่งทั้งๆที่ตัวเป็นเหตุให้ต้องขึ้นท่าล่าช้าเสียยิ่งกว่าเดิม

ขุนเดชถึงกับกุมขมับ กระนั้นก็เพียงกลับฝั่งนำผ้าพื้นที่ตระเตรียมสำหรับผลัดเปลี่ยนมาให้เจ้าน้องน้อยอีกครา

หลังจากกินข้าวปลากันแล้ว ขุนทัพและหมื่นรามก็นั่งคอยท่าขุนเดชและเจ้าสินธุ์ยังศาลาท่าน้ำ เพียงไม่นานคนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาสมทบพร้อมกับกระทงในมือขุนเดช

“ใยใบตองแลดอกไม้จึงมีรูปทรงประหลาดดูพิลึกพิลั่นนัก” หมื่นรามเอ่ยทักเมื่อเห็นกระทงขนาดกลางตกแต่งด้วยใบตองพับริมขอบทว่าบ้างปราณีตบ้างแผ่นตองแตก ดอกไม้นั้นบ้างช้ำดูเฉา บ้างก็งามอยู่สักเล็กน้อย

“....” ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำ ทว่าขุนทัพแลเจ้าร่างบางกลับลอบเหลือบแลมองกันพลางกลั้นหัวร่อจนตัวโยน

คนหน้านิ่งเสก้มมองกระทงในมือพลางทำทีดังจักลงเรือพาย กระนั้นแนวแก้มสีทองแดงกลับขึ้นสีเรื่ออยู่จางๆ

“ไปเถิดพ่อสินธุ์ลงเรือกับข้า” หมื่นรามชักชวนเจ้าร่างน้อยพลางจับจูงเดินลงเรือ

ขุนทัพและขุนเดชถึงแก่ต้องหันขวับในทันใดด้วยเกรงทั้งคู่จักคุยเล่นกันจนหลงหายไปฤาไม่คงสรรหากระไรพิศดาลมาเล่นจนเรือพลิกคว่ำเอาเสียได้ ดูอย่างเมื่อวันวานทีเถิด คล้อยหลังลับตาไม่ทันไรก็หายวับไปเสียทั้งคู่ เคราะห์ดีทันไปพบก่อนเจ้าสินธุ์จักได้ลองขึ้นครูยังโรงชำเราดอก ส่วนเจ้าคนพาไปกลับเมาพับกอดไหเหล้าอยู่ปากประตูทางเข้า น่าอเน็จอนาจโดยแท้

รังสีประหลาดและสายตามิไว้วางใจถึงแก่ให้หมื่นรามหัวเราะร่าพลางจูงมือเจ้าสินธุ์ส่งลงเรือลำเดียวกับขุนเดชในที่สุด

เรือพายสองลำค่อยแล่นออกจากคลองแกลบสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างช้าๆ โดยเรือลำแรกนั้นมีหมื่นรามนั่งหัวเรือแลขุนทัพคอยคัดท้าย ส่วนลำที่สองนั้นขุนเดชเป็นฝีพายแลเจ้าสินธุ์เป็นคนโดยสาร

สองฝั่งน้ำคลาคล่ำไปด้วยเรือพายน้อยใหญ่ ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว ลูกเล็กเด็กแดงต่างชักชวนกันออกมาเที่ยว บ้างหยุดดูกระทงหลวง บ้างเอ่ยโต้ตอบกัน ทั้งชายหนุ่มเกี้ยวพาหญิงสาว ยังเรือสินค้า เรือแพเร่ขายของคาวขนมหวาน เสียงเป่าแตร ตีฆ้องโหม่ง กลองยาวโทนรำมะนา ฉิ่งกรับ ขับลำนำดอกสร้อย สักวาเพลงครึ่งท่อน เพลงปรบไก่ เพลงเรือโต้ตอบกันสนุกสนานครื้นเครง

   ดาดาษกลาดเกลื่อนกลุ้ม   เรือดู
อึงลั่นสนั่นหู                         ไม่น้อย
แสงเบียดเสียดเกรียวกู              ชิงช่อง ขึ้นแห
แม้จักนับกว่าร้อย                 ยึดท้ายเป็นพวง
   บ้างเล่นเคียงแข่งคล้าย           พายพนัน
ชิงชนะสรวลสันต์                 โห่ร้อง
บ้างเถียงทเลาะกัน         อึงเอะ อะเอย
สนุกสนั่นมี่ก้อง                 ฟากโพ้นโยนยาว
               http://www.learners.in.th/blogs/posts/401137

จันทร์วันเพ็ญกลมโตลอยเด่นบนฟากฟ้า ทั้งบ้านเรือนริมน้ำและบรรดาพระอารามต่างๆก็จุดประทีปเป็นพุทธบูชา ยังแสงจากกระทงน้อยใหญ่ลอยอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วทั้งคุ้งน้ำจึงสว่างไสวงดงามจับตา

เพียงไม่นาน หมื่นรามแลขุนทัพก็ขยับเรือเข้าร้องเพลงยาว ต่อโคลงกลอน เกี้ยวพาสาวน้อยสาวใหญ่ แลด้วยหน้าตาคมคายอีกทั้งคารมเป็นต่อ หญิงสาวหลายนางจึงมีทีท่าสะเทิ้นอายไปตามๆกัน กระนั้นบางนางกลับลอบมองใบหน้าคมเข้มของขุนเดโชที่พายเรือลอยลำอยู่ใกล้เคียงกัน ทว่าแววตาคมกลับจับจ้องเพียงแต่คนนั่งหน้าเรือเสียนี่

ขุนเดชพิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาเอ็นดู ท่าทีหันมองซ้ายขวาด้วยตื่นใจ ยังแก้มกลมปากบางขยับขบเคี้ยวขนมที่เจ้าตัวร่ำร้องคอยสะกิดชี้ชวนให้ซื้อหา แลมิว่าเจ้าร่างบางจักปรารถนาสิ่งใด ขุนเดชก็ตามใจไปเสียทุกครา

ลมแม่น้ำพัดพากลิ่นกายกรุ่นหอมยังให้ชุ่มเย็นหัวใจ ดวงหทัยของคนทั้งคู่เปี่ยมสุขเสียจนอยากให้กาลเวลาหยุดนิ่งแต่เพียงเท่านี้

จวบจนดึกดื่นค่อนคืน เมื่อเจ้าน้องน้อยมีท่าทีดังง่วงเหงาหาวนอน ขุนเดชจึงเอ่ยชักชวนสหายให้กลับเรือน

“ก่อนกลับเรือนข้าแลสินธุ์จักแวะไปลอยประทีปยังคลองฝางเสียก่อน”

“ไปเถิด กะเดี๋ยวข้ากับหมื่นรามจักคอยท่าอยู่ปากคลอง”

(เพลงเมื่อกี้คงจบแล้ว ฟังอีกเพลง http://www.youtube.com/watch?v=MdVYhIW59Uw)

เรือพายสองลำแล่นไปตามลำน้ำ หากเมื่อผ่านคลองประตูฉะไกรน้อยมีน้ำวนหลายแห่ง ฝีพายจึงจำต้องพายอย่างระมัดระวัง เรือที่ไหวโคลงเคลงอย่างผิดแปลกยังให้ขุนเดชเอ่ยเตือนเจ้าร่างบางให้ระวังตน

“สินธุ์ จับกราบเรือไว้ให้มั่นหนา”

ตู้มมมมม

หากยังมิทันขาดคำเรือทั้งลำก็กลับพลิกคว่ำลงทันที

เจ้าสินธุ์ใจหายวูบ กระนั้นเร่งกระเสือกกระสนหมายจักลอยคอไคว่คว้าหาอากาศหายใจ ทว่าข้อเท้าน้อยกลับมีมือดึงฉุดรั้งให้ดำดิ่งลงกับน้ำ แลมิว่าเจ้าร่างบางจักดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหลุดพ้น จวนจนมิอาจทานทน สติจึงพลันดับวูบแน่นิ่งดิ่งลงกับสายน้ำ

ขุนเดชรี่เร่งโผล่จากผืนน้ำแลว่ายไปยังทิศทางที่เห็นเจ้าน้องน้อยผลุบโผล่

ข้างฝ่ายหมื่นรามแลขุนทัพต่างกระโจนลงน้ำเข้าช่วยเหลือ ยังชาวบ้านริมฝั่งผู้พบเห็นต่างเร่งดำผุดดำว่ายร่วมค้นหาอีกแรง

กระทงใบน้อยพลิกคว่ำเห็นแต่ฐานลอยอยู่ ทั้งดอกไม้ใบตองกระจัดกระจาย เคว้งคว้างกลางผืนน้ำ

   เดือนสิบสองถ่องแถวโคม   แสงสว่างโพยมโสมนัสสา
เรืองรุ่งกรุงอยุธยา                 วันทาแล้วแก้วไม่เห็น
   กติมาสถ้อง                      แถวโคม
แสงสว่างแลลอยโพยม              ผ่องแผ้ว
อยุธยาเปรียบแสงโสม              ใสส่อง
ชมชื่นวันทาแล้ว                 นิ่มน้องฤาเห็น
               (เจ้าฟ้ากุ้ง จากหนังสืออยุธยายศยิ่งฟ้า)

“เจอแล้ว” ผ่านไปครูใหญ่จึงมีเสียงคนริมฝั่งตะโกนเมื่อแลเห็นหมื่นรามเร่งพาเจ้าร่างน้อยเข้าฝั่ง

บัดนี้เจ้าร่างบางนอนนิ่งหน้าตาซีดเซียว เมื่อเอามืออังดูบริเวณจมูกก็มิมีลมหายใจแม้นสักน้อย

ขุนเดชที่ผลุนผลันขี้นจากฝั่งพลิกตัวเจ้าน้องน้อยให้สำรอกน้ำออกมา กระนั้นเจ้าร่างบางกลับมิยอมหายใจ ยังให้จิตใจหวาดหวั่น แสบร้อนในอกแทบมิอาจทานทน แลเมื่อก้มแนบหูกับอกบางก็ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วลงทุกขณะ

“พ่อเดช ประคองพ่อสินธุ์ก่อนเถิด”

ขุนทัพเอ่ยบอกสหายพลางตั้งสมาธิพนมมือร่ายคาถาอาคมที่เคยร่ำเรียนเป่ากระหม่อมแก่เจ้าร่างบาง ทว่าอย่างไรเจ้าร่างน้อยก็มิยอมฟื้นคืน ยังคงแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม จวบจนเมื่อตรวจดูชีพจรหยุดเต้นขุนทัพจึงเพียงส่ายหน้าอย่างคนหมดหวัง

ขุนเดโชถึงกับนิ่งงันทว่าต่อมากลับลุกก้าวเดินอุ้มเจ้าน้องน้อยลงเรือ หมื่นรามเห็นดังนั้นก็ให้เร่งเดินตามคอยคัดท้ายพายกลับยังเรือนเจ้าคุณกลาโหม

ตลอดระยะทางกลับเรือน จิตใจขุนทัพแลหมื่นรามต่างโศกเศร้าระคนหวาดหวั่นด้วยขุนเดชนั้นเพียงนิ่งเงียบกระชับกอดเจ้าร่างบางแนบอก แลเมื่อถึงเรือนก็กลับเร่งอุ้มเจ้าน้องน้อยเข้าหอนอนพลางผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งแก่ร่างแน่นิ่งนั้น

ใบหน้าคมพิศมองใบหน้าซีดเซียวพลางเร่งหาผ้ามาห่มคลุมกายกกกอดเจ้าร่างน้อย มือแกร่งลูบไล้วงแก้มนวลพลางกดจูบยังกระหม่อมบาง แว่วเสียงกระซิบให้คนเฝ้ามองยังหน้าประตูหัวตาร้อนผ่าว

“หนาวฤาไม่ พี่กอดเจ้าไว้แล้วหนา ประเดี๋ยวก็จักอุ่น”

“ลืมตาตื่นมาเถิดหนา หากยังดื้อดึงพี่จักมิพาเที่ยวอีก”

ขุนทัพถึงแก่อดรนทนมิได้ค่อยเดินเข้าหาสหาย เอื้อนเอ่ยตักเตือน

“พ่อเดช พ่อสินธุ์สิ้นแล้ว เพลานี้พระคุณเจ้าค่อยท่ายังศาลาหอกลาง หักอกหักใจเสียเถิดหนา”

ขุนเดโชเสมือนหลุดจากภวังค์พิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาแดงก่ำ ร่างเย็นเฉียบในอ้อมกอดยังคงหลับตาพริ้ม หน้าตาซีดเซียวประหนึ่งเพียงหลับไหลไปเท่านั้น

“สินธุ์ เจ้าได้ยินพี่ฤาไม่ พี่บอกให้ลืมตาตื่นขึ้นมา เจ้าได้ยินพี่ฤาไม่ สินธุ์ สินธุ์”


“น้ำ น้ำ ได้ยินคีรึป่าว คนซี้เซา ตื่นได้แล้วนะครับ”

กลิ่นยาฉุนจมูก ทั้งความเย็นที่กระทบผิวกาย อุ่น ความรู้สึกอุ่นจนร้อนกอบกุมมือไม่ยอมคลาย ‘ที่ไหนกันนะ’

ตากลมค่อยกระพริบพลางหรี่ตาเล็กน้อย และสิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานขาวและเสาแขวนขวดน้ำเกลือ

สัมผัสมือแนบแก้มและความอุ่นชื้นของริมฝีปากที่แตะแต้มยังหน้าผากให้ความรู้สึกวางใจจนเผลอหลับลงอีกครั้ง


“นี่ ตกลงน้ำเป็นอะไรไปเหรอ ทำไมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ล่ะ”

“จะไปรู้เร๊อะ เดินเที่ยวกันอยู่ดีๆน้ำก็วูบไป หลับไปสามวันสามคืน หมอตรวจก็ไม่รู้เป็นอะไร เคราะห์ดีไอ้คีไปขอด้ายสายสิญจน์มามัดข้อมือให้ถึงฟื้นขึ้นมาเนี่ยแหละ”

“เหรอ เหมือนผ่านไปนานมากเลย”

“คี รู้รึป่าว น้ำฝันด้วยแหละ ฝันเหมือนจริงมากเลย เหมือนกับว่าไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นแหละ”

“อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมตื่นนี่มึงมัวแต่นอนฝัน”

“ไหนลองเล่าให้คีฟังซิ ฝันว่ายังไง”

“ก็...ฝันว่า...”

.....................................จบบริบูรณ์

คราวนี้ขอจบจริงๆแล้วนะคะ ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณวิชาประวัติศาสตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้นั่งเคลิ้มในคาบนึกแต่งตอนพิเศษตอนนี้ออกมาจนได้ ขอบคุณข้อมูลความรู้จากหนังสือต่างๆทั้งอยุธยายศยิ่งฟ้าของสุจิตต์ วงษ์เทศ, คนไทยสมัยก่อน ของมานพ ถนอมศรีและประเพณีไทยโบราณของสมพงษ์เกรียงไกรเพชร และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดขอบคุณคนอ่านทุกคนและทุกคอมเม้นต์ที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอมา

@ คุณ yeyong ระหกระเหินไปบ้านขุนทัพค่ะ และสุดท้ายก็แหะๆ อย่างที่เห็น
@ คุณ nongrak ใช่แล้วค่ะ อิ๋งว่าจริงๆเจ้าคุณพ่อนี่แหละร้ายสุด ร้ายกว่าแม่แพงอีก แล้วสุดท้ายพี่เดชยังไม่ทันได้ปลูกเรือน เจ้าน้องน้อยก็ด่วนไปสวรรค์ซะแล้ว
@ คุณ pooinfinity ยังไม่ทันก่อร่างสร้างตัวเลยค่ะ บุญกรรมก็ทำให้พลัดพรากเสียแล้ว ขอบคุณสำหรับสำนวนเก่าๆนะคะ
@ คุณ kasarus สงสัยอ่านตอนนี้จะสงสารยิ่งกว่าเดิม แต่ยังไงอิ๋งว่าพี่เดชน่าสงสารกว่านะคะ
@ คุณ takara ในที่สุดทั้งสองคนก็มาพบกันอีกชาติค่ะ แบบว่าในอดีตไม่สมหวัง ชาตินี้น้องสินธุ์มีแต่คนรักไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ
@ คุณ akiko อ่านตอนนี้แล้วน่าสงสารกว่าเดิมอีกเนอะ สุดท้ายก็เหลือพี่เดชคนเดียว
@ คุณ suck_love ใช่แล้ว เจ้าคุณพ่อใจร้ายยทำกับสินธุ์ของเราได้ลงคอ และสุดท้ายคนจะตายก็ต้องตายค่ะ ถึงพี่เดชจะปกป้องแค่ไหนแต่ถึงเวลาแล้วน้องสินธุ์ของเราก็ต้องไป
โอ๊ะ ลงชอปอะไรคะ ยังไงก็สู้ๆนะคะ ปิดเทอมนี้อิ๋งก็ยุ่งเหมือนกัน มีเรื่องให้ทำเยอะเลย
ปล.ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ แต่ที่หายไปเพราะสอบนั่นแหละค่ะ พึ่งจบไปเมื่อวาน เกือบตาย แต่ไงมันก็ผ่านไปแล้วเนอะ ฮูเร่ :mc4:

special thanks to...
คุณ yeyong , คุณ kasarus,  คุณ takara ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจมาให้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย จนตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นนิยายรวมมิตรไปแล้ว ตอนพิเศษเยอะพอกับตอนหลักเลยทีเดียว ขอบคุณจริงๆจากใจค่ะ  :pig4:  :man1:
คุณ suck_love  :กอด1:
คุณ nongrak  :pig4: ขอบคุณที่ไม่หายไปไหนคอยเป็นกำลังใจให้กันมาตลอดเลย

 :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonkhaw ที่ 14-10-2012 01:35:47
เฮ้ย !!!! ชอบตอนพิเศษนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านเเล้วอิน ชอบกว่าตอนหลักอีกแน่ะ

กะเเล้วเชียวว่าในอดีตต้องจบเเบบมาม่า เเต่ดีนะที่มีปัจจุบันมาต่อท้าย

ไม่งั้นได้นั่งเศร้าไปนาน

แอบสงสัย ที่่ตกน้ำเเล้วโดนดึงเท้านี่ เป็นเพราะพ่อของเดโชหรือเปล่านะ ???

สั่งฆ่ากันเลยทีเดียว หรือไม่ใช่

แถมตอนท้ายให้อารมณ์เเบบหลอนๆๆอ่ะ นึกถึงเพลงนาฬิกาเรือนเก่าของปาล์มมี่เลย

ได้อารมณ์การสูญเสียจริงๆ

 o13 o13
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 14-10-2012 09:18:25
ในที่สุด เย้เย้ ที่น้ำแค่ฝันไปเหรอเนี้ย แต่ก้อเป็นฝันเรื่องในอดีตน่ะนะ ดีแล้วที่สมหวังในชาตินี้ ขอบคุณน๊า
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 14-10-2012 21:54:46
@ ข้าว ถูกต้องแล้วจ้า  :m4: เจ้าคุณพ่อสั่งฆ่า เพราะหากดูสถานที่เกิดเหตุแล้วคือปากคลองประตูฉะไกรน้อย จากตอนครานั้น4 ก็จะรเห็นว่าเรือนพระยามณูปกรณ์หรือบ้านขุนเดชนั้นอยู่คลองประตูฉะไกรน้อยค่ะ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงเอ็นดูเจ้าสินธุ์เพราะเป็นลูกของหญิงที่ตัวเองรัก แต่ยังไงหัวอกคนเป็นพ่อก็อยากให้ลูกได้ดี เพราะหน้าที่การงานของขุนเดชยังต้องไปอีกไกล ถ้ามีใครมาครหาเรื่องความรักแบบช-ชก็คงดูไม่ดี แต่มันแรงตรงที่ถึงกับต้องฆ่าแกงกันนี่แหละค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ

@ คุณ takara  :กอด1:
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 14-10-2012 22:40:36
 o13 น่ารักมาก และสนุกจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Oo_oO ที่ 15-10-2012 00:32:03
อ่านแล้วอินอ่ะ สงสารสินธุ์
ดีใจที่ได้รักกันชาตินี้
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: อยากกินไข่พะโล้ โปะ ที่ 15-10-2012 02:48:33
ชอบอ่ะไม่อยากให้จบอยากให้ต่อไปอีกสักปี2ปีเพิ่มตอนอีกสัก100 ,200 (มึงเวอร์มาก) ตอน555  เค้าไม่อยากให้จ๊บบบ


ปล.แอบจิ้นวาถ้าสินธ์ไม่ตายน้ำก็คงไม่ฟื้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 15-10-2012 16:36:41
ขุนเดชช่างรักเจ้าสินธ์ยิ่งกว่าอะไร น่าสงสารที่สินธ์ต้องตาย
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 15-10-2012 18:48:08
น้ำน่ารักมากมาย อิอิ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 15-10-2012 22:03:57
เขียนเก่งจังเลยค่ะ ฝีมือยอดมั่กๆ เสียดายไม่ได้อ่านคู่คุณฝรั่งมากกว่านี้
คู่พี่ภูกะจอมล่วย
ที่พี่ภูไม่ได้กะน้ำเพราะงี้นี่เอง ใจไม่แข้งพอสิเนอะ ชาตินั้นอ่ะ แง่ม
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 16-10-2012 02:30:54
สนุกมากเลยค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: boboaje ที่ 24-10-2012 16:57:09
ตอนหลักก็ติงน้องน้ำใจง่ายจัง พี่คีข่มเหงน้ำใจไม่ค่อยโกรธเท่าไหร่ แต่พอมาตอนพิเศษนี่ชอบมากเลย ค่ะ น้ำตาร่วงเลยอ่ะ โดนใจสุดๆ สงสารขุนเดชที่กำลังจะลงเสาเรือนอีกวันสองวันอยู่แล้วเชียวพ่อสินธุ์มาด่วนจากไป แต่โอ ที่มารักกันชาติต่อมา จริงๆ น่าจะมีภาคต่อนะคะ ว่าแม่ของขุนเดช เอ๊ย! แม่ของคีจะว่าไงเรื่องชีวิตคู่ของลูกอ่ะ อยากรู้อยากรู้ ถ้าไม่มีต่อก็รอเรื่องต่อไปนะคะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 27-10-2012 18:55:00
เพิ่งได้มาอ่านตอนจบ
ดีที่เป็นตอนพิเศษ ใจหายวาบบบบ
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์ (ย้ายได้เลยค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: lovely1714 ที่ 30-10-2012 23:14:52
ชอบจังน่รักดีนะ
หัวข้อ: Re: สายชล (จบตอนพิเศษครานั้น9 (13/10/55)) จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: nongbear ที่ 01-11-2012 03:36:43
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ น่ารักมากกก อยากให้มีตอนพิเศษอีกจัง  :-[
หัวข้อ: Re: สายชล Another side of the story (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Made ที่ 02-11-2012 22:50:39
Another side of the story…

เช้าแล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดจากผ้าม่านที่ไม่ได้ปิดสนิท สาดส่องเข้ามาด้วยลำแสงอันแรงกล้า ทำให้ทั้งห้องสว่างไสวสมเป็นเช้าวันใหม่ รวมทั้ง...ปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา

ผมนอนกระพริบตาอยู่บนเตียง พลันความรู้สึกและเหตุการณ์ของวันวานที่ผ่านมาเลือนราง ลอยวนอยู่บางเบากับห้วงคำนึงราวกับความฝัน ชั่วขณะหนึ่งผมอดคิดไปไม่ได้ว่า...เรื่องราวที่ผ่านมา...มัน...เป็นแค่ความฝันรึเปล่านะ เพราะมัน...เร็ว เร็วเสียจนน่าตกใจ หรือเพราะในใจส่วนลึกของผมเฝ้าบอกกับตัวเอง วอนขอ...หวังอยู่ลึกๆ...ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน

ทว่า...ความจริงก็คือความเป็นจริงอยู่วันยังค่ำ ตอนนี้พี่ธารไม่อยู่ในห้อง และความรู้สึกเด่นชัดของอะไรๆที่เกิดขึ้นมันประเดประดังเข้ามาไม่หยุด หน้าที่ที่ผมต้องทำในวันนี้ วันที่ เวลาที่ถูกกำหนดไว้ว่าวันนี้เป็นวันสอบ ทำให้ผมบอกตัวเองว่ามันคือความจริง
 
หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนพื้นข้างเตียงขึ้นมาปิดนาฬิกาปลุก ลุกขึ้นนั่งเท้าแขนกับเตียง นั่งห้อยขาให้ขาทั้งสองชิดกัน แล้วแกว่งไปมาเบาๆ ก้มมองตัวเอง ความรู้สึกถึงผมเผ้าที่ยุ่ง ไม่เป็นทรง หน้ามันๆจากสภาพของคนพึ่งตื่นนอนยังคงแจ่มชัดในความรู้สึกทุกขณะ มือขวายกขึ้นแตะท้องแขนของแขนซ้าย ลูบไปมาให้รู้สึกถึงผิวหนังส่วนที่นุ่มนิ่มบอบบางกว่าส่วนที่อยู่ตรงกันข้าม
อะไรๆมันแจ่มชัด ชัดในความรู้สึกเสียจนรู้ เสียจนตอกย้ำความรู้สึก ตอกย้ำความเป็นจริง หัวใจหนักอึ้ง โอเค ไม่ใช่แค่หนักอึ้ง...มันอึดอัด แต่ก็ชัด เรามีชีวิตอยู่ แต่อีกคน คนที่เกิดวันเดียวกัน จริงๆนะ เกิดวันเดียวกัน แต่แปลก...ไม่ยักกะตายวันเดียวกันแฮะ

“เฮ้อออ” ขอถอนหายใจซักหนึ่งที รู้ตัวหรอกว่าเลิกมองแขนขา สัมผัสเนื้อหนังนั่งเหม่อได้สักสองสามนาทีเห็นจะได้ ถึงได้ตัดใจลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบอะไรๆที่ใส่อยู่ทุกวัน กางแกงใน เสื้อกล้าม แล้วก็ชุดนักศึกษาที่แขวนไว้ ปิดประตูตู้แล้วมองกระจก

ชีวิตก็ยังเหมือนเดิม พอเถอะ...หยุดคิดก่อน สิ่งที่กำลังจะเกิด เรื่องที่อยู่ตรงหน้าที่ควรให้ความสำคัญคือการสอบ ใช่ ตั้งใจสอบ ให้สมกับที่ยังมีลมหายใจอยู่

“น้ำ จะไปสอบเหรอลูก”
“...ครับ...”
“ตั้งใจสอบนะลูก”
“คะ ครับ”

ภาพเลือนรางในความทรงจำเพราะม่านน้ำตา แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก ทุกคำพูด ทุกความเสียใจของคนที่คุยกับเรา มันลึก บาดลึก ลึกกว่าที่เราจะรู้สึกเสียใจได้ ลึกกว่าที่เราจะรู้สึกเจ็บได้ บางครั้งก็อยากรู้ ว่าจริงๆ ตอนยังมีลมหายใจอยู่ ผมสำคัญกับอีกคนมากแค่ไหนกันนะ

ระหว่างอาบน้ำ ความจริงต้องบอกว่าอาบน้ำทีไรเหม่อทุกที อืม จะว่าไงดีล่ะ เรื่องราวตั้งแต่เราเจอกันมันค่อยๆไหลเข้ามาในหัว หรือจะบอกว่า เราตั้งคำถามและอยากรู้มากกว่า...ว่า...เราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่นะ...

ในเช้าวันที่อากาศเริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นวันแรกหลังจากฝนตกลาฤดู ผ่านช่วงปลายฝนต้นหนาวไปแล้ว  วันนี้เป็นวันที่ผมต้องมาสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยม  อากาศเย็นๆหลังฝนบวกกับลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ผมที่นั่งรอขานชื่อเข้าสัมภาษณ์อยู่อดที่จะกอดอก และเป่ามือให้ลมหายใจอุ่นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง เก้าอี้ถัดจากที่นั่งของผมคือเด็กผู้หญิงผมหยักศกผูกโบว์สีน้ำเงิน ผมมองไล่สายตายไปเรื่อยๆไปจนถึงประตูหลังห้องที่เปิดไว้ ข้างนอกมีผู้ปกครองของหลายๆคนมายืนรอให้กำลังใจลูกๆ จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้ามายืนเกาะขอบประตูพร้อมกับพยายามพูดอะไรบางอย่างเบาๆกับเด็กผู้ชายที่นั่งแถวหลังสุด (ผมนั่งแถวเกือบจะหลังสุดครับ มีเก้าอี้ให้เด็กๆรอสัมภาษณ์อยู่ห้าแถว และมีโต๊ะสัมภาษณ์หน้าห้องอยู่สองตัว) ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก พอมองดีๆแล้วก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่สาวของผมเอง

“พี่อร พี่อรครับ” ผมเรียกพี่อรเบาๆ ขัดจังหวะการคุยกันของคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย

“อ้าว น้องน้ำ มาสอบสัมภาษณ์เหรอ” พี่อรถามกลับพร้อมกับยิ้มให้ผม

“ครับ แล้วพี่อรมาทำอะไรเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้

“ปล่าวหรอก น้องพี่ก็มาสัมภาษณ์เหมือนกัน”

“พี่อรมีน้องด้วยเหรอครับ น้องชายหรือน้องสาว” ผมนึกว่าพี่อรมีแต่พี่ชายซะอีก

“คนนี้ไง” ผมมองตามสายตาพี่อร แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผิวคล้ำสีแทน ซึ่งผมก็คิดว่าคงเป็นน้องพี่อรจริงๆนั่นแหละครับ เพราะพี่อรเองก็ผิวสีนี้เลย ผมยิ้มให้พี่อรแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พี่อรพูดอะไรซักอย่างกับเด็กผู้ชายคนนั้นและเดินจากไป พอดีกับที่เด็กผู้หญิงคนข้างๆผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์ ทำให้ผมรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เป็นไปตามคาดแหละครับ ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัดแห่งนั้นและได้เรียนมัธยมต้นที่นั่น วันแรกของการเปิดเรียนผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยครับ แต่ผมกังวลได้ไม่นาน เพื่อนที่มาจากโรงเรียนประถมโรงเรียนเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

เราเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนป.สาม เราไม่ได้สนิทกันหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าต่อไปนี้เราคงต้องสนิทกันมากขึ้น

เพื่อนผมคนนี้ชื่อฟิว ฟิววางกระเป๋าหนังสือไว้ตรงโต๊ะข้างๆผมและเราก็เริ่มคุยกัน ไม่นานก็มีคนมาร่วมวงคุย เพราะเด็กๆหลายๆคนจะจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน

อืมมม เราคุยกันครั้งแรกตอนไหนนะ จำไม่ได้ จำได้แค่ว่า ผมนั่งแถวที่สามจากหน้ากระดาน นั่งคู่กับฟิว คนข้างหน้าคือจอมและคี
คีคือใคร ก็...เด็กผู้ชายคนนั้นไง วันที่สัมภาษณ์ น้องชายพี่อร

เรื่องวันเกิดหน่ะเหรอที่รู้ว่าเกิดวันเดียวกันก็เพราะฟิวถามว่าผมเกิดวันไหน ก็ตอบออกไป ว่าสิบกันยา แล้วคนข้างหน้าถึงหันมาพร้อมกับบอกว่า “อ้าว เกิดวันเดียวกันเลย” ตอนนั้นไม่เชื่อหรอก โดนหลอกจนผวา ไม่รู้อะไรจริงอะไรเล่น เลยสงสัย ผมทำหน้าตาเคลือบแคลง หน้าตาไม่เชื่อนั่นแหละครับ

“จริงเหรอ” เผลอคิดเสียงดังจนพูดออกมา

“พูดจริงนะเนี่ย” คนตอบทำหน้าตาจริงจัง แต่เราก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ก็ไอ้หน้าตาจริงจังนี่แหละที่หลอกอำให้ผมทำท่าทีเอ๋อๆโดนขำจนมีคนบอกว่าซื่อจนเซ่อ

“เอ้า ถ้าไม่เชื่อ ไปถามอรก็ได้ เกิดวันเดียวกันจริงๆ”

“งั้นเหรอ”

แปลกใจ แต่ก็ดีใจพลางคิดว่า โลกกลมแฮะ มีคนเกิดวันเดียวกับเราด้วย แถมเป็นน้องชายเพื่อนสนิทของพี่สาวเราอีก

นับแต่วันนั้น เลยคอยมองหา มองว่าไอ้การที่คนเราเกิดวันเดียวกันเนี่ย มันมีอะไรเหมือนกันบ้างนะ ดูๆไปก็ไม่ยักกะมีอะไรเหมือน ผมคิดอย่างนี้ คีคิดอย่างนั้น แล้วก็รั้นพอกัน ผมเลยรู้สึกเคืองๆขุ่นๆบางทีก็ไม่ค่อยพอใจในความคิดเห็นของคีอยู่บ่อยๆ แต่ช่างเถอะ บางครั้ง คนข้างหน้านี่พูดมาก พูดเป็นต่อยหอย พูดจนลิงหลับ จะยังไงก็ช่าง พูดมากเสียจนเพื่อนทั้งห้องหันมาฟัง บางทีตลก บางทีก็แขวะ กัด ล้อให้เราได้เคือง ได้แสบได้คัน จนเบื่อกันไปข้างหนึ่ง แต่คนอื่นไม่ยักกะคิดแบบเรา ดูๆไปก็เหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มหรืออะไรสักอย่างที่เป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ พอมองดูดีๆ ก็รู้สึกแบบนั้น ดูสมเป็นหัวหน้ากลุ่มจริงๆ เพราะโผงผาง กล้า มีคนท้าต่อยตี คงเพราะหมั่นไส้ เห็นเจ้าชู้คารมณ์ดี แต่พอไปต่อยตีกับชาวบ้าน ก็กลับมาแค่แผลที่หัวเข่า เราก็ห่วง เห็นยกพวกกันไป แต่พอเราไปก็เจอเดินสวนกันกลับมา เดินไปคุยโทรศัพท์ตรงหน้าต่าง ได้ยินแค่ว่า “ไอ้นั่นมันก็ทำกร่างไปยังงั้นแหละ จริงๆโคตรอ่อน” อ้อ เรื่องวีรกรรมที่โม้ไว้ตอนอยู่โรงเรียนเก่าคงไม่ใช่แค่ราคาคุย แล้วพี่ม.ปลายห้องข้างๆนี่ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ไปคอยเป็นแบ็คให้ ไม่งั้นพวกนั้นคงไม่ให้เดี่ยวตัวต่อตัวหรอก แต่เพราะแบ็คดี พี่ห้องข้างๆร้ายไม่เบา ห้องท้ายๆหน่ะ เรียนไม่ไหว แต่ใจ ใจหน่ะ รู้จักป่าว

แล้ววันหนึ่งก็เผลอถามไป

“นี่คี เกิดกี่โมงเหรอ”

“สิบเอ็ดโมง”

“เหรอ น้ำเกิดสิบโมง เป็นพี่หนึ่งชั่วโมง งั้นเรามาสัญญาเป็นพี่น้องกันมั้ย แต่คีเป็นพี่นะ น้ำเป็นน้อง”

จำไม่ได้ว่าอีกคนตอบว่ายังไง แต่สัญญาวันนั้นมาพร้อมกับยิ้มร้ายๆ ยิ้มล้อๆ ยิ้มมุมปาก รู้แค่ว่าตกลง

ต่อมาผมมีแฟน อยู่ห้องเดียวกันนั่นแหละครับ ก็ puppy love เอ๊ะหรือเรียก poppy love เอาเป็นว่ารักแรก รักแบบเด็กๆ หัวใจเต้นแรง หวานเจี๊ยบ ง้องแง้งตามประสา คุยโทรศัพท์บ้านสายแทบไหม้ ครั้งละสามบาท คุยกันเป็นชั่วโมง แต่ไม่เคยไปเดทกัน แค่มองหน้ากันก็เขินแล้ว เหมือนจะลืมอะไร ลืมบอก ผมชอบผู้ชายนะ แฟนผมก็ต้องเป็นผู้ชายสิ แล้วยังไงล่ะ พอพ่อแม่รู้ก็ต้องเลิกกัน แม่ผมสั่งเด็ดขาด เรียนอยู่อายุเท่านี้ เลิกกันซะ ตอนนั้น รู้ซึ้งเลยคำว่ากินข้าวไม่ลงเป็นยังไง เคยเห็นแต่ในละคร พอมาเจอจริงๆ มันก็ตื้อไปหมด แอบร้องไห้ด้วย

ไม่ได้บอกเลิกหรอก แต่ทำเย็นชาใส่ เค้าก็ตามง้อ ถามเพื่อนตลอกว่าทำอะไรไม่ดี ฝากคนนู้นคนนี้ให้มาขอคืนดี บอกว่ารักมาก แต่ผมมันคนใจร้าย ใจแข็งด้วย ต้องเลิก ไม่ได้ แม่บอกต้องเลิก แม่ให้เลือกจะเลือกใคร แม่หรือว่าแฟน

จำได้ว่าช่วงนั้นขยันเป็นพิเศษ เข้าห้องสมุดทุกวัน งานการส่งครบ จากที่เป็นเด็กเรียนอยู่แล้วคราวนี้ได้เคร่งกันเข้าไปใหญ่
มองตุ๊กตาหมีที่เคยนอนกอด ตอนนี้ก็ปล่อยไป ไม่กอด เพราะต้องตัดใจจากคนให้ อะไรก็ตัดทิ้งให้หมด จดหมาย การ์ดอวยพรวันเกิด เค้าบอกว่าทำเอง มันเป็นแค่กระดาษสมุด ถูกเขียน วาดรูป ระบายสีตกแต่งสุดฝีมือเท่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ และข้อความในกระดาษแผ่นนั้นเป็นอะไรที่เรามักจะเปิดอ่านซ้ำๆ ถูกเก็บไว้ในกล่องปนอยู่กับตู้หนังสือ แต่แล้ววันนี้เราก็เอาออกมา เผาทิ้งไปซะ จะได้ลืม

สำหรับผม ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เพื่อนๆก็เหมือนเดิม มีแต่เราที่ไม่คุยกัน คีก็เหมือนเดิม ฟิวก็เหมือนเดิม จอมก็เหมือนเดิม ใครๆก็เหมือนเดิม จนวันหนึ่ง ผมก็รู้ว่าเค้าจีบคนใหม่ ก็ดีนะ เราทำไม่ดีไว้มาก ให้เค้าเจอคนใหม่ก็คงจะดีกว่า

ชีวิตผมกลับมาเรียบง่าย ไม่มีอะไร แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ที่เผลอใจ ไปรักคนที่เคยสัญญา

อ้อ ผมไม่ใช่แค่ตัดใจจากเค้าคนนั้นหรอกนะ ย้ายที่นั่งหนีด้วย จากที่เคยนั่งเยื้องกัน ผมก็ขอร้องฟิวให้มานั่งหลังห้อง ติดประตูหนังห้อง ไกลและเป็นส่วนตัวเพราะอยู่แถวสุดท้าย แต่ก็แอบได้ยินฟิวบ่น บอกฮวงจุ้ยไม่ดี ไม่เหมาะแก่การเรียน ผมทำหูทวนลมและปักหลักตรงฐานที่มั่นแห่งใหม่ต่อไป

แต่แล้ววันหนึ่ง ไอ้คนปากมากโดนครูดุ บอกให้ย้ายที่นั่งถาวร เพราะที่ๆนั่งอยู่คือตรงกลางของห้อง ชวนเพื่อนคุยไม่หยุดหย่อน โดนเนรเทศให้มานั่งข้างหลังผมกับฟิว บอกให้ตั้งใจเรียนเหมือนพวกผมและสงบปากสงบคำบ้าง

“สายชล ถ้านายอัคคีพูดมาก ตักเตือนได้เลยนะ”

คนโดนดุย้ายสำมะโนครัวมานั่งด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สา วันๆเห็นฟุบโต๊ะบ้าง นั่งเลื้อยอยู่ตามโต๊ะ พูดไม่หยุดหย่อน แต่ก็หลายครั้งที่เราต้องคุยกัน ก็แน่ล่ะสิ ไม่มีเพื่อนคุยแล้วนี่ ไม่ชวนผมที่นั่งใกล้คุยแล้วจะคุยกับใคร แต่พักหลังๆมีการทำอะไรแปลกๆให้ผมด้วย เช่น ใส่ผ้าพันคอให้ก่อนเรียนคาบลูกเสือ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนี้จะใส่ใจคนอื่นด้วย และแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ มันกลับค่อยๆซึมลึกเข้าในใจหน่ะสิ แต่ในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกดีๆ ผมก็ได้ยินฟิวกับจอมพูดให้ฟังว่าไอ้คีเปลี่ยนไป มันตกหลุมรักพราวเข้าให้แล้ว บอกว่าคนนี้ตัวจริง เลิกกับสาวๆในสต๊อกจนหมด อ้อ มิน่าล่ะ เห็นวันนั้น วันเกิดเรา แต่มีคนให้ตุ๊กตาหมีพู กอดอยู่ทั้งวัน ที่แท้เพราะคนให้เป็นคนพิเศษ

ต่อค่ะ นิดๆ หน่อยๆ  :m7:
ก็...ยังไงดีล่ะ ใจมันก็หายนะ แต่ก็โอเคไง คือเรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้ และผมก็คิดแล้วล่ะว่าชาตินี้ยังไงคงไม่มีทางบอกออกไปว่าชอบ เพราะ...เอาจริงๆนะ ผมไม่กล้าว่ะ อ่ะ เป็นคุณจะกล้ารึเปล่าล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าคนที่เราแอบชอบมีแฟนอยู่แล้ว มีคนที่ชอบอยู่แล้ว จะไปบอกให้มันได้อะไรขึ้นมา ดีไม่ดี ความสัมพันธ์ที่มันเป็นอยู่ ความรู้สึกเรียบเรื่อยที่เราพอใจให้เป็นไปอย่างปรกติแบบนี้มันจะหายไป แค่คิดก็ใจหาย มันมีหลายปัจจัยหน่ะ ทั้งสัญญาที่เราเป็นคนขอเองเรื่องพี่น้อง ทั้งความไม่กล้า ก็ผมเป็นผู้ชาย แต่คนที่คีชอบเป็นผู้หญิง และผมคิดว่าถึงไม่มีข้ออ้างต่างๆที่ว่ามานี้ ผมคงไม่กล้าบอกออกไปว่ารัก ว่าชอบ ว่าเริ่มหวั่นไหว แค่คิดก็...คือจะบอกว่ายังไงดี เหนือคำว่าอายมันมีความรู้สึกกลัวอยู่มากกว่า

จนอยู่มาวันหนึ่ง คาบภาษาไทย ผมก็นั่งเรียนไป ไม่คิดอะไร แต่จู่ๆคีก็เข้ามานั่งเบียด เราก็เริ่มรำคาญ วันนี้มันเป็นอะไรวะ ร้อยวันพันปีก็เห็นรู้จักเวล่ำเวลาไม่เคยมากวนให้เสียอารมณ์ซักที ไม่ใช่แค่นั้น เวลาเราตอบคำถามครูมันก็ตีรวนอีก จนเกือบทะเลาะกัน ถ้าครูไม่ห้ามไว้ก่อน เฮ้ออ เอาจริงๆมีแต่ผมนั่นแหละที่หงุดหงิด อีกคนดูสนุกที่ได้กวนเราเสียเต็มประดา หน้าตากวนไปยิ้มไปยังติดตา ทว่าตอนเลิกคาบก่อนจะลุกออกจากห้องทำเอาเราสะดุ้ง

“ชอบคีเหรอ”

ตอนนั้นผมใจตกวูบไปอยู่ทีตาตุ่มเลย เหงื่อออกเต็มไปหมด เหมือนจะขอบตาร้อนๆด้วย เพราะในใจอยากให้มันเป็นความลับตลอดไป ไม่อยากให้อีกคนได้รู้เลย

“จะบ้าเหรอ เอาที่ไหนมาพูด” ผมรู้ ท่าทีที่บอกออกไปคงตื่นๆเหมือนคนโดนจับได้ว่าทำผิด

“จริงอ่ะๆ” อีกคนยังทำเป็นทะเล้น ยิ้มล้อ กระแซะตัวเข้ามาให้เราได้อาย

ผมไม่อายหรอก มันเลยคำๆนั้นหน่ะ อยากร้องไห้มากกว่า รู้สึกเหมือนอีกคนล้อเล่นกับความรู้สึกเราด้วย

ผมไม่ตอบอะไรอีก แค่รีบเก็บของและเดินออกจากห้องนั้นไป นับแต่วันนั้น ไม่ว่าอีกคนจะทำอะไร มันก็ไม่มีผลต่อผมทั้งนั้น ผมตัดสินใจเด็ดขาด จะเลิกใส่ใจ จะเลิกคิด เลิกเพ้อไปเอง และพอๆกับที่อีกคนใส่ใจอยู่กับพราว แต่ที่น่าเจ็บใจก็คือแบม เพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทในห้องมาบอกผมว่า...

“แกรู้รึเปล่าว่าใครเป็นคนที่ไปบอกไอ้คีว่าแกชอบมันอยู่ ก็นังพราวนั่นแหละ....” ผมไม่ได้ยินอะไรต่อจากนั้นอีก แค่รู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง ผมรู้ว่าบางครั้งการกระทำอะไรบางอย่าง แววตาของผมที่มีให้คีมันพิเศษกว่าที่มีให้คนอื่น แต่ในเมื่อคียังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ผมก็สบายใจ แต่ทำไม... ผมแค่อยากอยู่เงียบๆในมุมของผม

ช่วงนั้นอารมณ์ ความรู้สึกผมมันไม่คงที่หรอก ก็อ่อนไหว หงุดหงิด ไปตามเรื่องตามราว แต่ไอ้ที่ไม่คิดว่าจะทำลงไปได้เลยก็คือ มีอยู่เย็นวันหนึ่งที่ผมถูกทิ้งให้ทำงานกลุ่มคนเดียวอีกแล้ว คือคิดๆดู มันเป็นเรื่องธรรมดามาก เป็นอะไรที่ปรกติ เป็นประจำที่น่าจะชิน แต่วันนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมทำงานไปแล้วก็ร้องไห้ออกมา ทั้งห้องเหลือแค่ผมกับจอมที่ทำงานอยู่ พอจอมเห็นผมร้องไห้ จอมตกใจมากๆเลยครับ ท่าทางลุกลี้ลุกลนดูร้อนรนที่เราร้องไห้ อยากเข้ามาปลอบแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันดูขัดๆ เงอะๆงะๆ ยังไงก็ตาม ผมนึกถึงวันนั้นทีไรก็...อุ่นในใจทุกที จอมตกใจ จอมไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายก็ก้มจดจ่อทำงานของตัวเองพลางพูดปลอบผมไปเรื่อยๆ ส่วนผมก็ร้องไห้โฮ เรายืนกันอยู่คนละมุมของห้อง ผมก้มหน้าทำงานทั้งน้ำตา สะอึกสะอื้น เหมือนร้องไห้เอาความรู้สึกอัดอั้นที่มีในใจออกมาให้หมด ทั้งที่มันคงน่ารำคาญพิลึก แต่จอมก็ไม่ไปไหน สาบานได้เลย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เย็นนั้นจอมพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทุกที พูดอยู่เรื่อยๆ บอกแต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ลองคุยกับเพื่อนในกลุ่มดูสิ สารพัดจะพูด จนกระทั่งผม...หยุดร้องไห้

ต่อจากนั้นเหมือนเราต่างคนต่างอยู่ ผมมีชีวิตเป็นของผม คีก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง

จนกระทั่งห้องเราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน นั่งรถไป หลับไปหลายตลบกว่าจะถึง พากันเล่นน้ำ ร้องเพลง เต้นกันจนเหนื่อย พอสี่ทุ่มครูก็ไล่ให้เข้าห้องนอน แบ่งห้องนอนกันโดยแยกนอนชายหญิง จะเหลือเหรอครับห้องฝั่งชาย สุราเมรัย ไม่รู้ไปขนกันมาจากไหน รู้แต่ว่ามีหลายลัง ชนิดที่เห็นแล้วก็นึกแค่ว่าพวกมันซื้อมากินหรือซื้อมาอาบกันแน่ คืนนี้คงกะจะกินให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะ

ผมก็ไม่อะไรหรอก เป็นคนไม่กินอยู่แล้วไง ห้าทุ่มง่วง ก็นอน พวกที่กินก็ปล่อยมันไป นักเรียนชายได้อยู่ห้องบนสุดของที่พัก ติดดาดฟ้า ทำเลเป็นใจให้ได้ตั้งวงเหล้ารับลมทะเลกันไป ผมเคลิ้มๆกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว แป้งก็เดินเข้ามาให้ห้อง ผมก็งง มาได้ไงวะ หรือพวกผู้หญิงจะแอบขึ้นมาร่วมแจม เอาเถอะ แค่ครูจับไม่ได้เป็นพอ

มาถึงน้องแป้งหัวหน้าห้องก็ดูมึนๆซะแล้ว  แป้งทิ้งตัวลงบนเตียงที่อยู่ข้างเตียงของผมพลางจ้องผมอยู่พักใหญ่ ผมที่คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หลับๆไปให้หมดเรื่องรู้สึกอึดอัดจนต้องลืมตาขึ้นมา แป้งจ้องผมพลางแสยะยิ้ม ผมถึงกับต้องตื่นเต็มตา

“มึงรู้รึเปล่า เมื่อกลางวันตอนนั่งรถมามึงนอนน้ำหลายไหล” ตอนนั้นผมก็นึกได้ เออ ตื่นขึ้นมารู้สึกอยู่เหมือนกัน แต่ก็เหมือนมีแค่มุมปาก เลยทำเนียน เช็ดๆเหมือนมันไม่เคยไหล แล้วน้องแป้งรู้ได้ไงเนี่ยย

“อ้าวเหรอ” ผมบอกออกไปด้วยท่าทางมึนๆ

“เออ อ่ะดิ แม่ง เซ็ง กูกะไอ้จอมว่าจะถ่ายรูปไว้ให้มึงเป็นที่ระลึก ไอ้ห่าคีนั่นแหละ อะไรก็ไม่รู้ เดินมานั่งข้างมึงแล้วบอกห้ามถ่าย ขู่พวกกูอีก นี่พี่กู ใครห้ามแกล้ง”

“เหรอ...” ผมตอบรับแผ่วๆออกไปพลางหลุบตาต่ำ

“แถมยังมีหน้านั่งซับน้ำลายให้มึงอีก กูเห็นแล้วก็อี๋” คนเล่าทำท่าขนลุกขนพองดูน่ารังเกียจสมจริงเหมือนน้ำลายผมกำลังไหลยืดอยู่ต่อหน้า

“แล้วนี่ยังเรื่องมากอีก ทำพวกกูเสียแผน อดจับมึงกรอกเหล้าเลย เข้ามาขวางอยู่นั่นแหละ มันเป็นพ่อมึงป่าววะ ห้ามนู่นห้ามนี่ พวกกูแทบจะแตะไม่ได้”

“เหรอ ไม่เคยรู้เลย” ผมได้ยินแป้งพูดก็ได้แต่อึ้ง เหมือนจะย้ำเตือนผมว่า ผมยังคงเป็นคนสำคัญของคี ยังเป็นคนที่พิเศษกว่าใครๆ ใช่รึเปล่า 

“เออ มึงมันไม่รู้อะไร มันห่วงมึงจะตาย”

เหมือนตัวจะลอยๆ เป็นความฝันรึเปล่านะ

............................................
บอกตรงๆก็คือ...อดนึกถึงการนั่งพิมพ์นิยายก๊อกๆแก๊กๆในเวลาว่างไม่ได้ แล้วก็ติดเป็นนิสัยค่ะ เห็นคอมเม้นของคนอ่านแล้วอยากตอบ เลยหาข้ออ้าง มากับตอนพิเศษใหม่ เอ๊ะหรือว่าเก่า เป็นพล็อตเก่าค่ะ สั้นๆ คงไม่ยาว แต่วันนี้ยังพิมพ์ไม่จบ
คิดว่าจะยุ่งเรื่องเรียน ยุ่งนะคะ แต่พึ่งเปิดเทอมเลยเวิ่น แล้วก็เทอมที่แล้วพิสูจน์ตัวเองได้ว่า นั่งแต่งนิยาย อ่านนิยาย ดูหนัง ฟังเพลง อ่านการ์ตูน ฯลฯ แต่ไม่เสียการเรียน คนแต่งได้สี่จุดค่ะ โอ้ ให้ตายเถอะโรบิ้น ตอนดูเกรดตัวเอง ต้องดูแล้วดูอีก นี่มันของจริงหรือของเก๊ หรือนี่เกรดคนอื่น ตอนทำข้อสอบยากจัง ไหงดวงดีเดาแนวอาจารย์ถูกเนี่ยยย ดีใจค่ะ ดีใจมาก แต่ก็แอบลำบากใจ ถ้ามีใครมาทดสอบความรู้จากวิชาที่เรียนไปจริงๆคงต้องบอกว่าลืมหมดแล้ว แถมงูๆปลาๆเสียอีก

ก่อนอื่นขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ  :pig4:
@ คุณ zuu_zaa  :pig4: ดีใจที่สนุกค่ะ
@ คุณ Oo_oO ว้าวว ดีใจที่อ่านแล้วอินน์ค่ะ แบบว่ากลัวคนอ่านอ่านแล้วไม่มีอารมณ์ร่วมอยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะแต่งได้ทื่อๆจนไม่น่าอ่านค่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วก็ชื่นใจ
@ คุณ อยากกินไข่พะโล้ โปะ อ๊ะ ถ้ามาบอกแบบนี้สงสัยไม่จบซะแล้ว วันนี้ก็มาต่ออีกแล้วค่ะ คนเขียนก็คันไม้คันมือเหมือนกัน สงสัยเรื่องนี้จะจบจริงๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ล่ะ เห็นคอมเม้นต์แล้วไฟลุกร้อนระอุ  :fire: อยากแต่งต่ออออ
@ คุณ nongrak แต่ก็ได้รักกันในชาติต่อมาเนอะ อย่างน้อยก็ดีที่ได้รักกันน้าา
@ คุณ kamikame ดีใจที่สนุกค่ะ อิ๋งก็ต้องขอขอบคุณเหมือนกันที่เข้ามาอ่าน เห็นคอมเม้นต์แล้วอมยิ้มตลอดเลย
@ คุณ punchnaja ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ  :-[ ส่วนเรื่องคู่พี่ภูน้องจอม และคู่ชายฟิวกับคุณฝรั่ง ไม่ได้แต่งต่อเพราะนึกพล็อตไม่ออกค่ะ เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง ขอโทษที่ตัดจบไปนะคะ เรื่องใจไม่แข็งนี่ต้องบอกว่า มีหลายปัจจัยค่ะ เพราะหลวงภูมีภักดีมีคุณหญิงเอื้อมอยู่ที่เรือนเลยไม่อยากทิ้งแม่ไว้ แต่ขุนเดช คุณแม่สิ้นไปแล้ว คนสำคัญในชีวิตเลยมีแค่ไม่กี่คนและขุนเดชนั้นผูกพันกับเจ้าสินธุ์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เลยหักใจจากเรือนยอมทำผิดขัดคำสั่งคุณพ่อค่ะ
@ คุณ KARMI ขอบคุณเช่นกันค่ะที่แวะมาอ่าน ดีใจที่สนุกค่ะ
@ คุณ boboaje ตอนหลักคงมีคนติงหลายคนเหมือนกันค่ะ ดีใจที่ชอบตอนพิเศษค่ะ อิ๋งก็ชอบ ชอบคำพูดคำจาไทยๆสมัยเก่า วิถีชีวิตเรียบง่ายและมันท้าทายดีค่ะที่ได้แต่งแหวกแนวจากตอนหลักออกไป เรื่องภาคต่อเหรอคะ คิดพล็อตไม่ออกเลยค่ะ แต่ถ้าถามว่าผู้ปกครองของใครจะมีปัญหากับความรักของทั้งคู่คิดว่าไม่น่าจะเป็นคุณแม่ของนายคีนะคะเพราะป้านวลเป็นคาแรคเตอร์ที่ใจดีค่ะ และเลี้ยงอัคคีแบบเคารพการตัดสินใจของลูก สังเกตจากวันที่คีไปต่อยตีคนอื่น แต่ป้านวลก็ไม่ได้ดุด่าอะไรมากนักเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายและคิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกให้รู้จักลิมิตว่าอะไรควรพอ อะไรควรทำหรือไม่ควรค่ะ คนที่น่าจะมีปัญหาน่าจะเป็นคุณแม่ของน้องน้ำ พล็อตตอนนี้มีแว๊บเข้ามาในหัวนิ๊ดนึงประมาณว่าแม่น้องน้ำรู้ความจริงและกีดกันทั้งคู่ แต่ในที่สุดทั้งสองคนก็พิสูจน์ตัวเองจนแม่น้องน้ำยอมรับได้ แต่มัน..เป็นพล็อตที่คนแต่งคิดว่าเขียนได้ไม่ดีเพราะอิ๋งไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะถ่ายทอดอารมณของคนเป็นแม่ค่ะ เลยไม่ได้เขียนไป ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ  :pig4:
@ คุณ yeyong นึกว่าจะลืมกันซะแล้ว แอบรอคอย มากดรีเฟรชส่องนิยายตัวเองทุกวัน ดีใจที่กลับมาอ่านค่ะ  :กอด1:
@ คุณ lovely1417 ดีใจที่ชอบค่ะ
@ คุณ nongbeer ดีในที่ชอบนะคะ วันนี้ก็มีตอนพิเศษอีกแล้ว  :laugh: ไม่จบซักที แต่ตอนนี้ไม่รู้จะน่ารักเหมือนเดิมรึเปล่าเอ่ย
 :man1:
หัวข้อ: Re: สายชล Another side of the story... (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: Ya_kuza ที่ 03-11-2012 06:40:43
โหยยยย...แบบว่าชอบอะ...ชอบจริงอะไรจริงนะเรื่องนี้..ตอนสินธุ์ตายนี้ถึงกะน้ำตาเล็ดเลยจริงๆนะ :m15:..คนแต่งค่ะเรารักเธอจัง :L1: o13..ขอบคุณคนแต่งมากเลยน๊าาาา :pig4:
หัวข้อ: Re: สายชล Another side of the story... (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: boboaje ที่ 03-11-2012 15:15:07
 :กอด1: ขอบคุณสำหรับคำตอบและความใส่ใจนะคะ คิดถึงสายชลเหมือนกันนะเนี้ย เพิ่งรู้ว่ารักแรกของน้ำมิใช่คีอ่ะ อยากรู้เรื่องต่อ ต่อ ต่อไป อีกค่ะ   :เฮ้อ: เฮ้อ เบื่อตัวเองเป็นคนโลภมากอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: สายชล Another side of the story... (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 04-11-2012 21:56:51
ชอบมาก น้ำกับคี น่ารักมากอ่านแล้วชอบน้ำมากน่ารักเขียนได้ดีดูเป็นไทยๆอ่านแล้วได้อารมไทยๆ
พอมาเรื่องของสินก็เขียนได้น่าสงสารมากๆอ่านแล้วอินมากๆๆขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: สายชล Another side of the story... (02/11/55)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 11-03-2024 12:59:22
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)