สายชล Another side of the story... (02/11/55)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สายชล Another side of the story... (02/11/55)  (อ่าน 63107 ครั้ง)

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 6

เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=LF1WTmitFjg

“เกิดเหตุอันใดขึ้น” เสียงทรงอำนาจของชายผู้เป็นเจ้าของเรือนดังขึ้นท่ามกลางเสียงหวดหวายแลเสียงร้องไห้ระงมของนางพิศแลพวกบ่าวสาวใช้ใจอ่อนที่บัดนี้ได้แต่เพียงร่ำไห้นึกเวทนาสหายของพ่อขุนเดชเป็นหนักหนา

พวกข้าทาสบ่าวไพร่ที่ชุมนุมกันต่างพากันหลบหลีกให้พระยามณูปกรณ์เดินเข้าสู่กลางลานหญ้าโดยทันใด

ข้างนายยอดก็ให้ยั้งมือวางหวายคุกเข่าอยู่กับพื้นหญ้า รั้งก็แต่แม่หญิงแพงที่หน้าตาถอดสีไปสักเล็กน้อย ทว่ากลับปั้นแต่งด้วยแววนิ่งเฉย มิสะทกสะท้านอย่างปรกติ ครั้นเมื่อนางเห็นเจ้าคุณพ่อก็รี่เข้าหากล่าววาจาสอบถามเจื้อยแจ้วดังมิมีเหตุอันใดผิดแผก

“คุณพ่อเสร็จงานราชการแล้วหรือ...”

“แม่แพง! เจ้าทำอันใดลงไปรู้ตัวฤาไม่” มิทันที่นางจักเอ่ยจบคำ ขุนเดโชที่พึ่งเดินขึ้นท่าตามเจ้าคุณพ่อมาก็ตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์พลางเร่งเข้าประคองเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้แน่นิ่งซบหน้ากับพื้นด้วยท่าทีอ่อนแรง กระนั้นน้ำตาอาบแก้ม แลแนวหลังอาบเลือดกลับกลายจักทำให้มือไม้อ่อนแลใจดิ่งวูบ แรงกายก็คล้ายจักอ่อนลงไปชั่วขณะ

“สินธุ์...” ขุนเดโชพิศเจ้าร่างบางพลางครางเสียงแผ่วด้วยในอกรวดร้าวดังถูกมีดเฉือน ยังให้แสบร้อนหัวตา ตระคองกอดเจ้าร่างน้อยด้วยมือสั่นเทา

“พ่อขุนเดชเจ้าขา เร่งพาพ่อสินธุ์ไปที่เรือนเถิดเจ้าค่ะ” นางพิศเอ่ยเสียงสั่นเครือพลางใช้ชายสไบซับหัวตาอย่างคนตั้งสติได้

“แม่แพง กลับขึ้นเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้” เมื่อท่านเจ้าคุณเห็นว่าเกิดอันใดขึ้น จึงสั่งความเสียงเข้มพลางหันหลังกลับเรือนด้วยท่าทีขุ่นใจเป็นกำลัง

ผู้ถูกสั่งความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยขัดใจก่อนเดินกลับเรือนดังคำสั่งเจ้าคุณพ่อ ยังให้นางแผ้วแลนางตาดหมอบตัวสั่นเทาอย่างหวั่นเกรง

ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีที่ขึ้นท่ามาพร้อมกับน้องชาย ได้แต่เพียงหลุบตาข่มกลั้นอารมณ์กระทั่งพวกบ่าวไพร่กลับไปทำงานการตามปรกติ จึงเดินไปยังเรือนน้องชาย

ฝนห่าใหญ่เทลงตกกระทบหลังคาเสียงดังกระทั่งมิได้ยินเสียงอันใดรอบกาย ในยามดึกสงัดท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆดำที่บัดนี้บดบังดวงจันทร์มิให้ทอแสงนวลตกต้องพื้นดิน ลมฝนหนาวเย็นพัดหวีดหวิวให้ไม้ใหญ่โอนเอนดังจะโค่นล้ม ทั้งคลื่นแม่น้ำกระทบฝั่งสลับเสียงคำรามแลสายฟ้าฟาดให้น่าหวาดหวั่น

แม้นว่าอากาศภายนอกจักเลวร้ายรุนแรงสักเพียงใด ทว่าภายในหอนอนหลังหนึ่งกลับเงียบสงัดเคล้าแสงไต้สลัวส่องกระทบแจกันลายครามประดับด้วยมาลัยตุ้มร้อยด้วยกลีบกุหลาบแลมาลัยแบนที่ร้อยมะลิสลับกลีบกุหลาบปักอยู่กับกิ่งอ่อนจัดช่อไว้อย่างงดงาม ข้างฝั่งตรงข้ามยังมีโต๊ะเตี้ยตั้งกระจกทองเหลืองวางหีบใบน้อยสองสามใบ ข้างหน้าต่างปิดสนิทยังมีมุ้งผ้ามัสลินคลุมตั่งเตียงยกพื้นปูด้วยเสื่อหวายแลปูทับด้วยพรม ข้างบนพรมปูด้วยฟูกผืนบางที่บัดนี้เจ้าร่างบางนอนคว่ำเปลือยแผ่นหลังด้วยรอยเนื้อแตกเลือดซึมอยู่สักเล็กน้อย ข้างกายยังมีร่างกำยำผิวสีทองแดงของขุนเดชนุ่งโจงนั่งชันเข่าพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววอาดูร มือสากค่อยไล้ไหล่บางด้วยบัดนี้ผิวกายขาวผ่องกลับเต็มไปด้วยแนวหวาย เมื่อสบเข้ากับตากลมก็ให้หัวตาร้อนผะผ่าวสะกดกลั้นน้ำตาไว้ในอก พลางค่อยใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ไหลตกต้องแก้มนวลอย่างมิรู้เบื่อ ทว่าในหทัยคลับคล้ายจะปวดแปลบแสบร้อนอยู่หลายส่วน

“หากเจ็บแทนเจ้าได้ พี่คงจักดีใจนัก”


เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใสด้วยไอแดดบางเบา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำเนื่องด้วยฝนพึ่งขาดเม็ดเมื่อยามใกล้รุ่ง ขุนเดโชยันกายลุกจากฟูกที่นอนตลบมุ้งเข้าเก็บ ตระเตรียมเปลี่ยนผ้านุ่งลงไปอาบน้ำที่ท่าก็ประจวบกับหลวงภูมีภักดีที่มาอาบน้ำเช่นกัน

“พ่อเดช พ่อสินธุ์เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นน้องชายใจก็ห่วงกังวลถึงเจ้าร่างบางที่เมื่อคืนวานตนคอยเมียงมองดูขณะพ่อเดชนำลูกประคบแลไพรสดเข้ารักษา ภาพร่างน้อยสะดุ้งเมื่อมีสิ่งใดแตะต้องแผ่นหลังบางแลน้ำตาอาบแก้มยังให้อกร้อนรนมิอาจข่มตานอนได้สนิทนัก

“เห็นจะจับไข้เสียแล้ว กระผมจักให้อ้ายบุญไปตามหลวงโอสถมาตรวจดูอาการ”

หลวงภูมีภักดีพยักหน้าด้วยเห็นสมควร ก่อนขึ้นจากท่ามิวายเอ่ยแก่น้องชายด้วยเรื่องอันเจ้าคุณพ่อได้ฝากความมา

“หลังสำรับเช้า เจ้าคุณพ่อจักสอบความ พ่อเดชก็ไปฟังด้วยเถิดหนา ผู้ใดผิดถูกประการใดจักได้ลงโทษกันตามสมควร” ถึงปากจักกล่าวออกไปเช่นนั้นทว่าหลวงภูมีภักดีคล้ายมิใคร่จักเชื่อถือแม่แพงนัก ด้วยนับแต่พ่อสินธุ์มาอยู่เรือนก็เห็นเพียงน้องสาวตนเที่ยวระรานอยู่ฝ่ายเดียว ทว่าก็ยังมิมีผู้ใดด่วนตัดสินความ

แลเมื่อขุนเดโชกลับมายังหอนอนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนแล้วเสร็จ เจ้าน้องน้อยก็ยังคงนอนนิ่งคล้ายมิรับรู้ถึงสรรพเสียงรอบกาย

มือแกร่งแตะหลังมือกับหน้าผากนวลรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาพลางค่อยเก็บปอยผมยาวที่มิได้เกล้าจุกทัดยังหลังใบหู ก่อนก้มจูบหน้าผากนวลเพียงแผ่วเบา กระนั้น เจ้าน้องน้อยกลับค่อยรู้สึกตน ปรือตาบวมช้ำมองเห็นว่าเป็นผู้ใดก็จึงหลับลงด้วยวางใจ ท่ามกลางความรู้สึกเลือนรางครึ่งหลับครึ่งตื่นยังรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นแลสัมผัสอุ่นวาบแตะเพียงแผ่วบริเวณเปลือกตาก่อนสติจะดับหลับลึกลงอีกครา

เมื่อก้าวขึ้นเรือนใหญ่ ทั้งเจ้าคุณพ่อ พี่ไทแลแม่แพงต่างนั่งคอยท่าตนอยู่แล้ว ขุนเดโชจึงเพียงไหว้เจ้าคุณพ่อแลทรุดตัวลงนั่งข้างหลวงภูมีภักดี

“พ่อสินธุ์เล่า ไม่มาฟังความอันใดล่ะหรือ” พระยามณูปกรณ์เอ่ยถามบุตรชายเมื่อไม่เห็นเจ้าสินธุ์

“เจ็บหนัก ลุกมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดชตอบพลางข่มกลั้นอารมณ์คุกรุ่นไว้ในอก

“หากเช่นนั้น แม่แพงก็จงเล่าความมาเถิด มีเหตุอันใด ใยถึงต้องลงหวายกันฤา”

“เมื่อวานสักเพลาชาย ลูกแลพวกบ่าวโรงครัวทำขนมกรุบกันไว้มากมายจึงคิดจักแบ่งปันไปให้ยังสหายพี่เดชแลพวกลูกข้าทาส ลูกสอบถามความพวกบ่าวไพร่ก็จึงรู้ว่าพ่อสินธุ์กรองมาลัยอยู่ศาลาท่าน้ำหน้าเรือนพี่เดช ลูกเพียงเดินไปชักชวนพ่อสินธุ์แลนางยิ้มลูกบ่าวไพร่ที่นั่งอยู่เคียงกันให้ไปเอาขนมกรุบที่โรงครัว  รู้ตนอีกทีว่ากำไลพลอยแดงที่พี่เดชซื้อให้หายไป ลูกจึงเกิดวิตกกังวลเร่งพวกบ่าวไพร่บนเรือนตามหาเจ้าค่ะ ลูกเดินหาอยู่เป็นเพลาก็มิเห็นสิ่งใดจึงลองเดินหายังศาลาท่าน้ำ สอบถามพ่อสินธุ์ก็บอกลูกว่ามิรู้เห็นอันใด ทำทีออกช่วยลูกตามหา ที่แท้กำไลของลูกซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิของมันเจ้าค่ะ เช่นนี้มันน่านักเทียว คราแรกโป้ปดได้มิอายปาก เมื่อลูกสอบความอีกคราไอ้ เอ่อ พ่อสินธุ์ก็ยังคงทำทีว่าไม่รู้เห็นอันใด ทั้งๆที่ลูกจับได้คาตาถึงเพียงนั้น” แม่แพงกล่าววาจาคล่องปากด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทำทีให้น่าเวทนา ทว่านางบ่าวพี่เลี้ยงกลับนั่งหมอบตัวสั่นงันงกอย่างผิดปรกติ

“จักเยี่ยงไรก็เถิด เจ้ามิบังควรออกคำสั่งให้บ่าวไพร่คนใดลงหวายพ่อสินธุ์ หากเขาติดใจเอาความก็ย่อมได้ ด้วยมิใช่เป็นเพียงข้าทาสดอกหนา” พระยามณูปกรณ์ทอดถอนใจด้วยมิรู้จักตัดสินอย่างไร พลางเอ่ยท้วงติงบุตรสาวด้วยกระทำเหตุอันเกินสมควร

“แล้วเจ้าแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าพ่อสินธุ์เป็นผู้ลักเอากำไลเจ้าไป” หลวงภูมีภักดีนั่งฟังอย่างแคลงใจจึงเอ่ยถามน้องสาวด้วยมิเห็นว่าจักมีผู้ใดรู้เห็นว่าพ่อสินธุ์นั้นจงใจลักขโมย

“ซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิข้างตัวถึงเพียงนั้น จักให้น้องสงสัยผู้ใดได้อีกฤา” แม่หญิงแพงตอบคำพี่ชายพลางเชิดหน้าดังมิใคร่พอใจนัก

“นางยิ้มอยู่กับพ่อสินธุ์ใช่ฤาไม่ พ่อสินธุ์จงใจลักขโมยกำไลแม่แพงแน่แท้แล้วหรือ” ชายผู้เป็นใหญ่ของบ้านเอ่ยสอบถามความยังนางลูกข้าทาสที่บัดนี้นั่งหมอบกราบเคียงพวกนางบ่าวสาวใช้บนเรือน

“มิใช่เจ้าค่ะ บ่าวนั่งเคียงพี่สินธุ์อยู่เป็นนานก็มิเห็นพี่สินธุ์จักทำอันใด เพียงกรองมาลัยสวมจุกให้บ่าวเท่านั้นเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงสั่นด้วยความหวั่นเกรงด้วยแม่หญิงแพงจดจ้องดังจักกินเลือดเนื้อตนทีเดียว

“เช่นนั้นเจ้าก็มิอาจกล่าวว่าพ่อสินธุ์ลักขโมยกำไลเจ้าได้ ด้วยมิมีผู้ใดเป็นพยานรู้เห็น...”

“แล้วจักเชื่อคำพูดนังยิ้มได้หรือเจ้าคะ ถูกเสี้ยมสอนมาให้โป้ปดเสียก็มิรู้” แม่หญิงแพงว่าพลางทำทีน้อยอกน้อยใจ

“อย่างไรพ่อสินธุ์ก็มิอาจขโมยกำไลเจ้าดอก เงินทองข้าวของอันใดก็ล้วนมิขัดสน ยังสมบัติเครื่องเพชรพลอยของคุณยายชื่นมีมากมายพี่ยังมิเห็นพ่อสินธุ์จักห่วงหา ทั้งเบี้ย อัฐก็มีใช้มิได้ขาด มิมีเหตุอันใดให้ไปลักขโมยของเจ้าได้เลยหนา” ข้างฝ่ายขุนเดชที่นั่งฟังความอยู่เป็นเพลาเอ่ยแก้ต่างให้เจ้าน้องน้อยทันควัน

“พ่อสินธุ์คงขุ่นเคืองใจเมื่อคราที่น้องมิยอมให้ร่วมสำรับก็เป็นได้เจ้าค่ะ” เมื่อรู้ว่าตนจักถูกจับได้ว่าโป้ปด แม่แพงจึงเร่งแก้ต่างด้วยท่าทีร้อนรน

“ผู้ใดจักมีจิตใจอาฆาตพยาบาทถึงเพียงนั้น กระนั้นหากเจ้ามิพอใจ พี่จักให้อัฐไปซื้อใหม่ให้เลิกแล้วต่อกันเสีย และต่อแต่นี้เจ้าจงอย่าได้เข้าวุ่นวายเกี่ยวข้องกับพ่อสินธุ์ หากมิฟังคำจักหาว่าพี่มิปราณีมิได้เทียว” พ่อขุนเดชฟังคำน้องสาวก็ให้โกรธาเป็นกำลัง กล่าววาจาตักเตือนแล้วเสร็จก็ไหว้เจ้าคุณพ่อเร่งลงเรือนไป

คืนจันทร์วันเพ็ญส่องแสงนวลตา ลมหนาวพัดโชยมาให้เจ้าร่างบางที่นั่งอยู่บริเวณชานเรือนกระชับผ้าเข้าห่มคลุมกายพลางเหม่อมองไปยังฟากฟ้า

ล่วงเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราว ทว่าคืนนี้เดือนเต็มดวง แสงเดือนจึงส่องสว่างประชันแสงดาว

เจ้าสินธุ์มิใช่ผู้ชมชอบแสงเดือนแสงดาวดอกหนา แต่ในยามค่ำคืนเช่นนี้มิรู้จักทำอันใดจำต้องมองฟ้ามองดินคอยท่าพี่เดชอยู่เป็นเพลาหลายวัน ด้วยมิรู้ว่ามีงานราชการอันใดเป็นหนักหนา กว่าพี่เดชจักกลับถึงเรือน ตนก็มักหลับใหลไปเสียก่อนทุกครา กระนั้นมิว่าคืนใดที่ตั้งตารอคอยตากลมนอกชาน ในยามเช้าจักตื่นขึ้นในหอนอนเพียงเดียวดายเสมอ

เจ้าสินธุ์มิอยากยุ่งยากกวนใจผู้ใดให้มากความดอกหนา ทว่าในยามนี้พี่เดชเปรียบดังทุกสิ่ง ทั้งชีวีราวมิมีผู้ใดจักใส่ใจนอกไปเสียจากพี่เดช มิมีผู้ใดจักอยู่เคียงกายนอกไปจากพี่เดช หากจักกล่าวว่าชีวิตจิตใจตนนั้นเป็นของผู้ใดก็มิแคล้วเป็นของพี่เดชโดยแท้

แม้นทุกวันนี้จักสุขสบายด้วยมิมีผู้ใดกล้าระรานหรือแม้นแต่จักอาจหาญกล้ากล่าวหักหาญน้ำใจตน ทั้งแวดล้อมด้วยบ่าวไพร่ให้ท่าทีเคารพรักใคร่ ยังกระแสเอื้อเอ็นดูจากแม่นายเรือนทั้งสอง กระนั้นเจ้าร่างน้อยกลับพึ่งให้เคว้งคว้างเงียบเหงาแลหวั่นใจอยู่สักหลายส่วนเมื่อมิมีคนหน้านิ่งนั่งเคียง แลแม้นพี่เดชจักมิใคร่เอ่ยอันใด ทว่าใจดวงน้อยคล้ายจักสงบมั่นคงอยู่ลึกๆ ยังอวนด้วยไอบางอย่างอันคล้ายจักนุ่มนวลงดงามเสียด้วย

มีงานราชการอันใดสำคัญเป็นหนักหนา หรือมีผู้ใดให้ใส่ใจรักใคร่เสียกระมัง

“ถึงเรือนแล้วหนาพ่อเดช ค่อยก้าวขึ้นเรือน หากเสียหลักมิใช่เพียงเจ้าจักพลัดตกลงแต่เพียงผู้เดียว ข้ากับหมื่นรามจักได้หัวร้างข้างแตกด้วยประไร”

เสียงบ่นที่ดังมาจากกระไดเรือนยังให้เจ้าร่างบางวิ่งไปคอยเมียงมอง กระทั่งเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงยกมือไหว้

“เอ้อ พ่อสินธุ์เองดอกฤา ช่วยเตรียมน้ำใส่ขันมาเช็ดเนื้อตัวพ่อเดชทีเถิด”

แรกนั้นเมื่อเห็นขุนทัพแลหมื่นรามเข้าพยุงกายพี่เดชเดินขึ้นเรือนก็ให้คิ้วขมวดมุ่นมิสบดังใจด้วยฉุนกลิ่นน้ำเมาเหลือขนาด ครั้นสบเข้ากับตาคมพราวระยับก็ประหลาดใจเสียหลายส่วน ด้วยมิเคยพบเห็นแววตาวาบหวามเช่นนี้มาก่อน กระนั้นกลับตื่นจากภวังค์เมื่อขุนทัพเอ่ยวานให้ไปจัดหาผ้ามาเช็ดเนื้อตัวพี่เดช

เจ้าร่างน้อยกุลีกุจอตักน้ำฝนในโอ่งใส่ขันเงินลอยด้วยดอกมะลิเข้าไปยังหอนอน

“เจ้าจักคอยเช็ดตัวให้พ่อเดชได้ฤาไม่ ค่อนคืนป่านนี้ พวกข้าจำต้องกลับเรือนเสียสักที” หมื่นรามกล่าวแก่เจ้าร่างน้อยที่บัดนี้อุ้มประคองขันเงินยืนเมียงมองอยู่ข้างบานประตู

เจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำ ก่อนวางขันน้ำไว้ข้างตั่งเตียง หากยังมิทันผินกายจักเดินไปส่งขุนทัพแลหมื่นรามยังศาลาท่าน้ำ พี่เดชกลับจับรั้งแขนบางพลางจดจ้องตนนิ่ง

เจ้าร่างน้อยจึงเพียงชี้ไปยังชายหนุ่มทั้งสองแล้วค่อยแกะมือพี่เดช

“มิต้องไปส่งพวกข้าถึงท่าน้ำดอกหนา เห็นจะมีคนผู้หนึ่งมิใคร่อยากให้เจ้าห่างกายแม้นเพียงสักน้อย เจ้าอยู่ดูแลปรนนิบัติเห็นจะดี” ขุนทัพกล่าวจบก็เร่งหับประตูหอนอน ยังให้เจ้าสินธุ์ยืนนิ่งครุ่นคิดเพ่งบานประตูอยู่เป็นนาน กระนั้นแรงกระตุกแขนแลอ้อมกอดที่เข้ารัดรึงตรึงกายตนไว้แนบอก ยังจมูกปากแตะขมับให้เฉลียวใจด้วยคนเมามายใยจึงมีกำลังลุกนั่งดั่งยามปรกติ

เจ้าร่างน้อยถึงกับนั่งนิ่งอยู่กับตักกว้างเมื่อบัดนี้ขุนเดโชเชยคางมนให้สบตาด้วยแววสิเหน่หา เจ้าร่างบางร้อนๆหนาวๆด้วยใจวะวาบหวิว ครั้นใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้ก็ให้หลับตาด้วยแก้มร้อนผะผ่าว กระนั้นสัมผัสบางเบาไล่เรื่อยยังหน้าผาก ตา จมูก แลข้างแก้มก็ให้รู้สึกมึนเมาอยู่สักหลายส่วน หรือจะเป็นด้วยกลิ่นสุราเสียกระมัง

ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่พลางแย้มยิ้มมุมปากเมื่อเจ้าร่างบางทำทีดังจะหดกายให้ลดน้อยลง ตาคมจดจ้องยังริมฝีปากบางแล้วก้มลิ้มชิมรสแตะแต้มทีละน้อย ยังให้ตากลมลืมขึ้นสบในระยะประชิด มือน้อยจับขยุ้มเสื้อด้วยตกประหม่าเหลือกำลัง กระนั้นสัมผัสที่ได้รับกลับกลายให้เคลิบเคลิ้มอ่อนระทดระทวย

มือแกร่งสอดไล้เข้าในเสื้อตัวบางหมายจักลูบไล้แผ่นหลัง ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อแตะต้องถูกแผลตกสะเก็ด

ข้างฝ่ายเจ้าร่างบางก็ให้ผละกายออกห่างพลางหลุบตาต่ำ แสงใต้สลัวยังพิศเห็นปรางค์นวลแดงระเรื่อ มือน้อยเรียวบางจับผ้าจุ่มน้ำในขันแล้วบิดผ้าพอหมาดก่อนค่อยพับทบขนาดพอเหมาะเริ่มไล่เช็ดท่อนแขนแกร่งด้วยเกรงจักสบเข้ากับตาคม

ขุนเดโชคล้ายสร่างเมามีสติรำลึกเหตุการณ์ได้อยู่หลายส่วน ทว่านอนนิ่งให้เจ้าร่างบางค่อยเช็ดตัวพลางคำนึงถึงเหตุการณ์เมื่อเจ้าคุณพ่อเรียกเข้าพบ

“พ่อไท พ่อเดช รู้ฤาไม่ เหตุใดพ่อจึงเรียกเจ้าทั้งสองมาว่ากล่าวตักเตือนเสียในยามนี้”

หลวงภูมีภักดีแลขุนเดโชเพียงหันมองหน้ากันด้วยความงุนงน ยังให้ผู้เป็นบิดาทอดถอนหทัยด้วยหนักใจหากจักกล่าวเรื่องต่อจากนี้

“เอาเถิด พ่อจักมิกล่าวอ้อมค้อมให้มากความ เจ้าทั้งสองยามพิศมองพ่อสินธุ์นั้นแฝงแววตารักใคร่ดังสิเหน่หาอยู่ในที พ่อขอเถิดหนา อันความรักเช่นนี้มิบังควรแม้นเพียงสักน้อย แม่หญิงลูกพระน้ำพระยาเท่าเทียมกับพวกเจ้าก็ล้วนมากมี มิถูกตาต้องใจเทียวหรือ กระนั้นหากจักมีเมียบ่าวสักเท่าใด พ่อก็มิขัดข้อง พวกเจ้าหยุดการอันจักคิดในใจเสียเถิด”

เมื่อได้ฟังคำเจ้าคุณพ่อ ชายหนุ่มทั้งสองก็ให้ตกตะลึงด้วยมิอาจคาดได้ว่าเจ้าคุณพ่อจักล่วงรู้ความในใจตนถึงเพียงนี้

“ลูกเห็นจะหักใจมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดโชใคร่ครวญเพียงครู่จึงเอ่ยแก่บิดาด้วยความสัตย์จริง

“ถือว่าพ่อขอเถิด ครั้งเมื่อพ่อให้สหายเจ้ามาอยู่เรือนก็ให้ครุ่นคิดถึงยามเจ้าออกเรือน ผู้ใดจักคอยกระเตงดูแลสหายได้ชั่วชีวี หากมีลูกเมียจักลำบากเอาการ กระนั้นพ่อกลับมินึกอื่นใดนอกจากตามใจด้วยเห็นเจ้าเติบใหญ่แล้วหนา หากล่วงรู้ความในใจเจ้าเสียแต่คราแรก พ่อคงมิยินยอมเป็นแน่”

ขุนเดชถึงกับอับจนด้วยคำพูด มิอาจเอ่ยอันใดพลางครุ่นคิดด้วยหนักใจ

พระยามณูปกรณ์เห็นบุตรชายนิ่งเงียบไม่ตอบคำก็จึงเอ่ยด้วยจักตัดไฟเสียแต่ต้นลม

“หากพวกเจ้ามิยอมเชื่อฟัง แม้นพ่อจักเอ็นดูพ่อสินธุ์สักเพียงไร ก็ย่อมกระทำการอันพวกเจ้ารู้แก่ใจ”

สัมผัสเปียกชื้นเย็นวาบเข้าแนบแก้มแลกลิ่นมะลิหอมเย็นชื่นใจเตือนให้ขุนเดโชมองสบยังตากลมที่หลุบลงต่ำในทันใด

มือใหญ่จับกุ่มมือน้อยที่บัดนี้กำผ้าเนื้อบางแนบใบหน้าคม

เพียงกระตุกแขนเข้าหาตัว เจ้าร่างน้อยก็ซวนเซเข้าปะทะอกกว้างด้วยเพียงยืนเข่ามิใคร่มั่นคง

เจ้าร่างบางที่บัดนี้นั่งพับเพียบใช้มือสองข้างดันอกแกร่งพลางก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อ

ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่อย่างปิดไม่มิด ในหทัยก็ให้ครุ่นคิดว่าด้วยเหตุใดตนจึงละทิ้งเจ้าร่างบางไปเสียได้หลายวัน ยามกลับถึงเรือนก็เพียงตระคองกอดเจ้าร่างน้อยแนบอก ทว่ายังมิทันรุ่งสางก็ให้กระวีกระวาดเร่งลงเรือนด้วยคิดหักใจ

ทว่าเพลานี้คล้ายจักอัดอั้นคับใจจนมิอาจทานทนเสียแล้ว ทั้งกรุ่นกลิ่นมะลิแลเนื้อนิ่มแนบกายดังยั่วยวนใจ ร่างน้อยที่โต้ตอบอย่างมิรู้ประสายังท่าทีกล้ากลัว ทว่าก็มิได้ขัดขืน

แลด้วยกายไปไกลกว่าใจนึก ขุนเดโชจึงเพียงไล้ต้นแขนอ่อนแผ่วเบา ครั้นใบหน้านวลเงยขึ้นก็สบเข้ากับแววตาหวาน ทั้งวงหน้าหล่อเหลาขยับเข้าใกล้ก้มประกบริมฝีปากให้หวาบหวามในอก

"กอดประทับกับกายสายสวาท
นุชนาฏถนอมจิตสนิทสนอง
เสน่ห์แนบแอบเอียงเคียงประคอง
ตามทำนองสองสนิทไม่บิดพลิ้ว
อัศจรรย์หวั่นไหวไม่เร่งรัด
เป็นลมพัดเรื่อยเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
ช่อใบไม้ไหวกระดิกริกริกริ้ว
ระหวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป"
(พระอภัยมณี)
..........................
ไหนๆก็เป็นแนวย้อนยุคแล้ว ขอบทอัศจรรย์เป็นบทกลอนให้สมจริงกันสักกะหน่อย( :m23: แต่ไม่สามารถแต่งเอง ไปยืมท่านสุนทรภู่มาค่ะ) ความจริงสมัยอยุธยาเค้าจะฮิตแต่งโคลงกัน แต่ว่าบทอัศจรรย์แบบโคลงอิ๋งอ่านแล้วมันรู้สึกอึกๆอักชอบกล เลยเอาแบบกลอนดีกว่าเนอะ

ส่วนเรื่องทายคนในอดีตชาติ จะขอเฉลย ณ บัดนี้  :mc3:
๑.เจ้าสินธุ์ คือน้องน้ำ
๒.ขุนเดโช คือนายคี
๓.หลวงภูมีภักดี คือพี่ภู
๔.ขุนทัพไพรีพ่าย คือจอมทัพ
๕.หมื่นรามราชเดช คือชายฟิว
๖.นางรื่น คือพี่ธาร
๗.แม่พิศ คือพี่อร
๘.แม่หญิงแพง คือนังพราว
๙.แม่หญิงมะลิ คือน้องเกด
 :mc4:

@ คุณ takara เป็นค่ะ เป็นอะไรอยู่มากเชียวค่ะ หลังแตกเป็นแนวยาวเลือดอาบด้วยค่ะ
@ คุณ kasarus ง่า โอ๋ๆ อย่าพึ่งร้องนะคะ พี่เดชกลับมาช่วยได้ทันท่วงทีแล้วค่ะ อิ๋งว่าถ้าโดนไปสี่สิบทีนี่คงถึงตายเลยล่ะค่ะ ถ้าไม่ตายคาหวายก็ตายเพราะทนปวดแผลไม่ไหวแน่ๆ ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกนะคะ คนที่ทายมาถูกทุกคนเลย  :m4: ส่วนคนที่เหลืออิ๋งว่าคงเดายากจริงๆ
@ คุณ suck_love 5555 รวมกันทั้งบ่วงทั้งนางทาสไปเลยเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องร่วมสนุกเดาได้สองคนที่เป็นพระนายก็เยี่ยมแล้วค่ะ
ในที่สุดพ่อขุนเดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงทีก่อนจะตายคาหวาย แต่พี่เดชไม่ได้ทำโทษแม่แพงด้วยเห็นเป็นน้องสาวอันเป็นที่รัก :m28: เอ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังเป็นน้องสาวสุดรักรึป่าวนะคะ(ทำตัวร้ายกาจไว้เยอะเชียว)
ปล. :กอด1:
@ คุณ nongrak ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ตอนนี้พี่เดชสั่งเด็ดขาด เข้ากรุไปเรียบร้อย และพี่เดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงที ตอนนี้เลยหวานแหวว  :-[  :m28: เอ คงหวานอยู่นา

 :man1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2012 22:30:04 โดย Made »

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
กำ แล้วงัยพี่เดชกับพี่ภูโดนห้ามแล้ว

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ชาตินี้จะสมรักกันหรือไม่
ลุ้นจริง ^_^'

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
แม่หญิงแพงร้ายเกินไปแล้ว

ว่าแต่ท่านเจ้าคุณพ่อเก่งมากที่มองออก...หรือว่าสองคนไม่ได้เก็บอาการกันเลย?

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
บทเข้าพระเข้านาย??? วาบหวามมาก

พ่อเดชโดนเจ้าคุณพ่อสกัดเช่นนี้แล้วจะทำเยี่ยงไร
ว่าแต่คดีความจบลงง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ
นังแพงน่าจะโดนอะไรบ้างนะ โทษฐานมาทำร้ายน้องน้อยของพ่อเดชซะได้

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ทำไมพ่อของขุนเดชต้องสั่งห้ามด้วย
สินธ์น่าสงสารจะตาย ช่างขัดใจเสียจริง

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 7

ดาวเดือนเคลื่อนผ่านลับ แสงจับขอบฟ้าส่องแสงสีทองรำไร จวบจนใกล้รุ่งจึงมีเสียงไก่ขันปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้นรับวันใหม่

เจ้าสินธุ์สลึมสลือค่อยลืมตาด้วยความอ่อนแรง ศีรษะหนักอึ้งแลง่วงงุนอยู่ไม่น้อย กระนั้น มิใช่เพียงเสียงไก่ขันดอกหนาที่ปลุกตนให้ตื่นลืมตา หากเป็นสัมผัสลูบไล้แก้มอยู่แผ่วเบาที่เมื่อแรกนั้นให้นึกรำคาญอยู่บ้างด้วยมิใคร่คุ้นชิน ทว่าเมื่อบ่ายเบี่ยงหลบหนีมิเป็นผล จึงจำยอมนิ่งเฉยด้วยง่วงงุนถึงขนาด แลค่อยผิดแปลก คุ้นเคยจนเผลอหลับลงอีกครา

ตากลมกระพริบค่อยๆมองเห็นอกแกร่งตรงหน้าก็ให้ระลึกถึงเรื่องราวอันบังเกิดในยามค่ำคืนที่ผ่านมาได้หลายส่วน พลันตกประหม่า ร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งกาย

ขุนเดชพิศเจ้าน้องน้อยที่ลืมตาตื่นด้วยความรักใคร่ มือสากลูบไล้แก้มนวลอย่างมิรู้เบื่อ ท่าทีขัดเขินด้วยแก้มแดงสุกปลั่ง ทั้งตากลมหลุบต่ำ ปากบางค่อยเม้มเข้าหากัน แลมิยอมขยับเขยื้อนอย่างใด ยิ่งให้นึกเอ็นดู สนิทเสน่หาเท่าทบทวี

สัมผัสแผ่วเบาแตะแต้มยังหน้าผากให้เจ้าสินธุ์สะดุ้งเผลอจดจ้องใบหน้าคมคายโดยมิรู้ตัว เมื่อสบเข้ากับตาคมก็พลันให้ดวงใจเต้นระรัวดังจะหลุดออกจากอก กระนั้นแขนแกร่งขยับเข้ากอดกระชับแลใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้ยังให้เจ้าร่างบางถดกายหันหน้าหนีแทบมิทัน

“หึหึ...พี่เพียงขอชื่นใจเท่านั้น จะมิกลั่นแกล้งให้เจ้าเสียนวลมากไปกว่านี้ดอกหนา” ขุนเดโชหัวเราะแผ่วในลำคอพลางเอ่ยกระเซ้าเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้จ้องมองตนดังจะตัดพ้อแลข่มขู่อยู่ในที

คนร่างกำยำคลายกอดเจ้าร่างน้อยก่อนลุกจากตั่งเตียงแล้วผลัดผ้านุ่งเตรียมไปอาบน้ำที่ท่า ข้างฝ่ายเจ้าสินธุ์ก็หมายจะไปอาบน้ำบ้าง ทว่าเพียงขยับกายลุกก็ให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว แข้งขาอ่อนแรงแลปวดศีรษะจนต้องล้มตัวลงนอนพลางสูดหายใจรวบรวมเรี่ยวแรงอีกครา

หากยังมิได้ทำอันใด พี่เดชก็เดินมานั่งริมตั่งเตียงเสียก่อน

“จับไข้เสียแล้ว” คนพูดว่าพลางปัดปอยผมที่ระใบหน้านวลแลจับปอยผมนั้นทัดหลังใบหูแก่เจ้าน้องน้อย

“เจ้ายังมิต้องลุกดอก ประเดี๋ยวพี่จักคอยเช็ดเนื้อตัวให้” เมื่อเอ่ยจบคำขุนเดโชก็เลื่อนผ้าห่มคลุมกายเจ้าร่างบางก่อนเดินออกจากหอนอน

“แม่พิศ วันนี้จัดสำรับแลต้มยาเข้าไปในหอนอนให้สินธุ์ด้วยเถิด” แลก่อนจักออกไปราชการ ขุนเดโชมิวายกำชับแก่แม่พิศด้วยใจพะวงห่วงเจ้าร่างน้อย

“พ่อสินธุ์เป็นอันใดฤาเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามนายด้วยท่าทีตกใจด้วยคาดเดาได้ว่าพ่อสินธุ์นั้นจักต้องเจ็บป่วยจนมิอาจลุกออกจากหอนอนได้

“มิเปนอันใดมากดอก เพียงจับไข้เท่านั้น”

“โถพ่อคุณ ใยจึงเจ็บไข้เสียได้ เมื่อวานยังดีๆอยู่แท้” นางบ่าวสาวใช้ทอดถอนใจพลางลูบอกนึกเป็นห่วงผู้เปรียบเสมือนนายอีกคน

ขุนเดโชไม่เอ่ยอันใดทว่ายิ้มกริ่มนัยหน้าพลางเดินไปลงเรือยังศาลาท่าน้ำที่นายยอดบ่าวฝีพายยืนคอยท่าอยู่แล้ว

ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งในเพลานี้ครึกครื้นไปด้วยเหล่าชายหนุ่มผู้มาหาความสำราญในยามค่ำคืน แลในกลุ่มคนเหล่านั้นจักมิมีกลุ่มคนผู้ใดโดดเด่นเท่าเทียมไปกว่ากลุ่มโต๊ะชั้นสองของร้านซึ่งประกอบไปด้วยขุนนางหนุ่มที่แม้นมิมียศศักดิ์ใหญ่โตเป็นถึงพระน้ำพระยา กระนั้นเหล่านางโสเภณีต่างคอยชะม้อยชายตาให้มิได้ขาดด้วยร่างกำยำสูงใหญ่แลใบหน้าหล่อเหลา ทั้งหล่อคมเข้มเช่นขุนเดโช รูปงามคารมดีเช่นขุนทัพไพรีพ่าย แลมีเสน่ห์อย่างชนลูกครึ่งเช่นหมื่นรามราชเดช ซ้ำแต่ละคนยังร่ำรวยมีอัฐใช้มิได้ขาดมือ เฉพาะอย่างยิ่งหมื่นรามนั้นอย่างไรเล่า เป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงน้ำชานี้เทียวหนา

“ค่อนคืนป่านนี้ ข้าเห็นจักต้องกลับเรือนเสียที” ขุนเดชเอ่ยขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าตนนั้นร่ำสุรากับสหายมาเป็นเพลาแล้ว

“เร่งรีบกลับเรือนไปใยเล่าพ่อเดช” หมื่นรามถามขึ้นเมื่อได้ยินสหายเอ่ยคำพลางวางไหเหล้าไว้บนโต๊ะ

“ข้าก็เห็นเร่งกลับเรือนเสียทุกครา นับแต่....” ยังมิทันที่ขุนเดชจักได้ตอบคำ ขุนทัพก็เอ่ยวาจากระเซ้าพลางหรี่ตาทำทีดังรู้เท่าทันความในใจของสหาย

“อ้อ นับแต่มีคนคอยท่าอยู่ที่เรือนกระมัง” หมื่นรามเป็นลูกคู่พลางพยักหน้าล้อเลียนพ่อเดชเข้าอีกคน

“ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก    สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป         แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ”
                          (นิราศภูเขาทองของสุนทรภู่)

“หึๆ เห็นจะจริง เมาใจกระทั่งแย้มยิ้มบ่อยเสียจนผิดวิสัย พลอยให้ข้าขนลุกขนพองไปด้วยหน่ะซี”

ขุนเดโชได้ยินสหายเย้าตนเล่นก็ให้ส่ายหน้าด้วยท่าทีเอือมระอาก่อนบอกลาสหายแล้วจึงลงเรือกลับเรือน

ค่ำคืนเดือนแรมยามปกติมักจะมืดด้วยมิมีแสงจันทร์ส่องสว่าง กระนั้นก็ให้พร่างพราวไปด้วยแสงดาวระยิบระยับจับตา ทว่าคืนนี้เห็นจะเป็นคืนเดือนดับเสียกระมัง ด้วยมิใช่เพียงมิมีแม้แต่เสี้ยวแสงจันทร์ กระทั่งแสงดาวกลับถูกบดบังด้วยเมฆครึ้มอย่างประหลาด

นอกชานเรือนหลังใหญ่ ยังมีร่างสูงกำยำของชายผู้หนึ่งยืนทอดถอนใจพลางเหม่อมองไปยังความมืดอย่างหาที่สุดมิได้ด้วยท่าทีครุ่นคิด ครั้นเมื่อมีท่าทีดังนึกสิ่งใดได้ก็ให้ผินกายเดินลงเรือนไป

เสียงตักน้ำล้างเท้าบริเวณหัวกระไดยังให้เจ้าสินธุ์เร่งฝีเท้าไปคอยเมียงมอง ทว่าเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ให้ลอบถอนใจ กระนั้นส่งยิ้มจืดเจื่อนยังคนมาใหม่ด้วยมิใช่ผู้ที่ตนรอคอย

“ค่อนคืนป่านนี้ ยังมิเข้าหอนอนอีกหรือ” หลวงภูมีภักดีเอ่ยถามเจ้าร่างบางที่ยกมือไหว้ตนด้วยท่าทีนบนอบ

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าส่งยิ้มบางก่อนเดินนำแขกยามวิกาลไปยังศาลาหน้าหอนอน

“พี่เห็นแสงไต้จากเรือนพ่อเดชจึงเดินมาตรวจตรา มินึกว่าเจ้าจักคอยท่าพ่อเดช...” หลวงภูมีภักดีถึงกับตกประหม่ามิรู้จักกล่าวอันใดด้วยหนนี้เป็นคราแรกที่ตนได้ชิดใกล้เจ้าร่างน้อยถึงเพียงนี้

“เอ้อ ได้ยินนางพิศว่าเจ้าจับไข้ เป็นอย่างไรบ้างเล่า” คนถามว่าพลางรับขันน้ำลอยมะลิจากเจ้าสินธุ์

เจ้าร่างน้อยจึงหยิบกระดานชวนแลดินสอหินที่วางอิงไว้ยังเสาศาลาเขียนโต้ตอบแก่หลวงภูมิภักดี

ทั้งคู่เขียนโต้ตอบสนทนากันด้วยเรื่องราวอันมากมาย กระทั่งหลวงภูมีภักดีคิดจักเอ่ยความในใจจึงแต่งเป็นโคลงกลอนลงกระดาน
   หลง     เจ้านานเนิ่นแล้ว        ใจฝัน
   รูป       พักตร์งามดั่งจันทร์     เจิดจ้า
   จูบ       ลมฝากรำพัน           สวาทอยู่
   เงา       แค่เงาเรียมบ้า         อยากใกล้เคียงสมร
   (จาก http://www.st.ac.th/bhatips/klong.htm)

มือแกร่งกำกระดานแน่นด้วยชั่งใจอย่างหนัก ในหทัยก็ให้แกว่งไกวเกรงเจ้าร่างน้อยจักปฏิเสธมิรับรัก แลด้วยรู้ว่าพ่อเดชนั้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจ้าร่างบางอยู่ไม่น้อย ทว่าด้วยแรงรักคับอกมิอาจหักใจ แม้นเพียงได้เอ่ยความความในใจ ก็จักมิเสียดายภายหลัง
แลเมื่อยื่นกระดานให้แก่เจ้าร่างน้อยก็ให้หัวร่อแผ่วอยู่ในคอด้วยความเอ็นดู ด้วยบัดนี้เจ้าร่างบางนั่งอิงเสาศาลาหลับใหลลงเสียแล้ว

ตากลมโศกชวนพิศมิรู้เบื่อ เมื่อหลับลงก็ชวนให้นึกปราณี ทั้งใบหน้านวล พิศริมฝีปากบางจิ้มลิ้มพริ้มเพราให้นึกรักใคร่ ยังกลิ่นกายหอมกรุ่นชวนชิดสนิทใกล้โดยมิรู้ตัว

ใบหน้าคมโน้มเข้าหมายจักจุมพิต หากต้องผละกายออกห่างเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอ หลวงภูมีภักดีเพียงยิ้มอ่อนผละจากเจ้าร่างน้อยพลางนึกเสียดาย

“ว่าอย่างไรพ่อเดช กลับเรือนเสียค่อนคืน” คนเป็นพี่เอ่ยเจรจากับน้องชายโดยมิแสดงท่าทีผิดแผก

“พี่ไทเล่าขอรับ ลมอันใดหอบมายังเรือนกระผมเสียได้” ขุนเดชกล่าวพลางหรี่ตามองพี่ชายอย่างมิใคร่สบอารมณ์นัก

“เห็นจะเป็นลมหวนครวญคะนึงกระมัง” หลวงภูมีตอบคำพลางสบตาหยั่งเชิงน้องชายอยู่ในที

“เพียงคิดคำนึงกระผมมิว่าอันใดดอก หากแต่เมื่อครู่เห็นจักมิควร...”

“เอาเถิด พ่อเดชก็จงหมั่นเฝ้าเรือนไว้ให้ดี มิเช่นนั้นของรักจักหายโดยมิรู้ตน”

ขุนเดชได้ยินวาจาท้าทายจากพี่ชายก็ให้ขุ่นใจเป็นกำลัง จึงเอ่ยอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเจ้าน้องน้อยโดยทันควัน

“ผิดลูกผิดเมียผู้อื่นย่อมเทียบกับผิดศีล”

“หึๆ พี่ย่อมรู้แก่ใจดอก” ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีฟังคำน้องชายก็ให้เจ็บปวดอยู่หลายส่วน กระนั้นมิวายเอ่ยเย้าพ่อเดชให้ร้อนรน ก่อนจักเดินลงเรือนไป

ขุนเดโชได้ยินพี่ชายกล่าววาจาดังไม่เกรงกลัวแลท้าทายดังนั้นก็ให้ขุ่นเคืองอย่างหนัก ทว่าด้วยหลวงภูมีภักดีนั้นเป็นพี่ชายตน จึงมิอาจทำอันใด ได้แต่เพียงขบกรามกำมือแน่น พิศมองสิ่งใดก็ให้ขวางหูขวางตาไปเสียสิ้น

ข้างฝ่ายเจ้าสินธุ์นั้นสลึมสลือขยับขยี้ตาตื่นด้วยได้ยินเสียงเจรจารบกวน ลืมตาเห็นพี่เดชยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าก็พลันนึกยินดี กระนั้นให้สะดุ้งตกใจเมื่อพี่เดชหันกายกลับมาด้วยทีท่าโกรธเคือง

คนร่างสูงไม่พูดอันใด พุ่งเข้ามาจับแขนเจ้าร่างบางพลางฉุดกระชากลากเข้าหอนอน

เจ้าร่างน้อยมิทันได้ตั้งตัวจึงมิอาจต้านทาน ได้แต่เพียงเร่งเดินตามดังจะปลิดปลิวตามลม

เมื่อเข้าถึงหอนอน ขุนเดชพลันเข้าประกบกอดซุกไซร้เนื้อนวลด้วยแรงหึง ฝากรอยรักรุนแรงดังหวังจักลบความร้อนรุ่มในอกให้จางหายไป แลแม้นเจ้าน้องน้อยจักขัดขืนสักเพียงใดก็มิเป็นผล

.....ขุนเดโชกอดน้องสะพ้องสะพัก      น้องก็ผลักข่วนหยิกแล้วพลิกหนี
ขุนเดชป้องน้องต้องพอเป็นที               สองฤดีเดือดดิ้นอยู่แดดาล
.....เกิดพยับพยุห์พัดอัศจรรย์               สลาตันเป็นระลอกกระฉอกฉาน
ทะเลลึกดังจะล่มด้วยลมกาฬ                กระทบดานกระแทกดังกำลังแรง 
.....สำเภาจีนเจียนจมด้วยลมซัด         สลุบลัดเลียบบังเข้าฝั่งแฝง
ไหหลำแล่นตัดแหลมแคมตะแคง        ตลบตะแลงเลาะเลียมมาตามเลา
.....ถึงปากน้ำแล่นส่งเข้าตรงร่อง         ให้ขัดข้องแข็งขืนไม่ใคร่เข้า
ด้วยร่องน้อยน้ำคับอับสำเภา                 ขึ้นติดตั้งหลังเต่าอยู่โตงเตง
.....พอกำลังลมจัดพัดกระโชก             กระแทกโคกกระท้อนโขดเรือโดดเหยง
เข้าครึ่งลำหายแคลงไม่โคลงเคลง      จุ้นจู๊เกรงเรือหักค่อยยักย้าย
.....ด้วยคลองน้อยเรือถนัดจึงขัดขึง       เข้าติดตรึงครึ่งลำระส่ำระสาย
พอชักใบขึ้นกบรอกลมตอกท้าย           ก็มิดหายเข้าไปทั้งลำพอน้ำมา
                 (ดัดแปลงจากบทอัศจรรย์ขุนช้างขุนแผนของครูแจ้ง จาก http://www.gconnex.com/fictions-poems/()-450/)

เมื่อเสร็จสิ้นบทรักเจ้าสินธุ์ก็ให้ล้มพับไปด้วยอ่อนแรง แลก่อนสติจะดับหลับลงก็พลันรับรู้คำหวานกระซิบเพียงแผ่ว

“พี่รักเจ้า”
..................................

อธิบายเพิ่มซักนิด เรื่องที่หลวงพี่ภูกับพ่อขุนเดชคุยกันเรื่องผิดลูกผิดเมียผู้อื่น คือว่าคนสมัยก่อนเนี่ยเค้าจะมีคาถาอาคมกัน และต้องรักษาศีล คาถาจึงจะไม่เสื่อม  ดังนั้นพ่อเดชจึงขู่พี่ไทไปว่าอย่ามาผิดเมียผมซะให้ยาก เดี๋ยวคาถาอาคมที่ร่ำเรียนมามันจะใช้ไม่ได้ จะเสื่อมเอานะ กล้าลองเหรอ หลวงพี่ไทของเราก็ตอบไปอย่าง เอ่อ อย่างไหนดี แบบว่าไม่กลัวหรอก เพราะหลงรักเจ้าน้องน้อยเข้าเสียแล้ว ถึงจะต้องเสื่อมคาถาอาคมก็ยอมเสี่ยง ประมาณนี้ค่ะ

@ คุณ takara นั่นสิ ถึงโดนห้ามก็เหมือนไม่ฟังเลยค่ะ ยิ่งห้ามยิ่งยุ

@ คุณ yeyong รอลุ้นต่อไปนะคะ อิอิ พอดีอิ๋งไม่ค่อยมีเวลาแต่งค่ะ และประมาณพลาดไปสักหน่อย ยังไม่ขอเฉลยดีกว่าว่าจะจบตอนไหน(เป็นคนเขียนเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีแพลน  :try2:)

@ คุณ BAKA ต่อไปนี้แม่หญิงแพงคงไม่ได้ร้ายแล้วล่ะค่ะ พี่เดชยื่นคำขาดไปแล้ว อืม แต่อิ๋งว่าผู้ใหญ่คงดูออกค่ะ เวลาที่คนเรามองใครแบบว่ารักมากหน่ะค่ะ แล้วก็อีกอย่างก็คือในเรื่องเนี่ย ขุนเดชเค้าไม่ค่อยวุ่นวายกับใครเท่าไหร่นัก แต่กับเจ้าสินธุ์นี่ถึงกับหอบกลับมาอยู่ด้วยกัน พอตอนนั้นสินธุ์หลงทางก็ให้คนออกตามหา แถมยังโมโหมากตอนที่รู้ว่าสินธุ์โดนลงหวายอีก ถึงขนาดสั่งห้ามน้องสาวที่ตัวเองนึกรักนึกเอ็นดูห้ามยุ่งกับคนๆนี้ เจ้าคุณพ่อเลยคิดว่าไม่ได้ละลูกกูจะเป็นเกย์(ประมาณว่าลูกจะชอบผู้ชาย มันไม่ด้ายยย) ส่วนหลวงพี่ภูนี่ค่อนข้างเก็บอาการมากกว่าพ่อเดชเยอะค่ะ แต่เจ้าคุณพ่ออยู่เรือนหลังเดียวกับลูกคนโต คงพอจะระแคะระคายบ้างค่ะ

@ คุณ kasarus แหะๆ ชอบจังคำว่าบทเข้าพระเข้านายเนี่ย :-[ ส่วนพ่อขุนเดชโดนเจ้าคุณพ่อสกัดแล้วจะทำอย่างไรต้องติดตามในตอนหน้า  อืม เรื่องคดีความจบง่ายค่ะ เพราะแม่แพงเนี่ยเป็นลูกรัก น้องรัก และอีกอย่างคือเจ้าคุณพ่อเริ่มเคืองเรื่องที่เจ้าสินธุ์มาทำให้พ่อเดชชอบผู้ชาย เลยคิดว่าเอาไว้ไม่ได้ ต้องจัดการ

@ คุณ nongrak นั่นสิ เจ้าคุณพ่อใจร้ายยย แต่ว่าในสมัยนั้นอิ่งคิดว่าเรื่องผู้ชายชอบผู้ชายนี่คงยังไม่เป็นที่ยอมรับและเห็นเป็นเรื่องแปลกเอามากๆ ดังนั้น นายเอกเราจึงต้องรัดทดต่อไปปปป แต่ตอนนี้ยังไม่มีฉากให้ขัดอกขัดใจเท่าไหร่ค่ะ ออกจะสบายๆหน่อย

เจอกันตอนหน้าค่ะ  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2012 22:31:05 โดย Made »

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เอาละสิ พ่อเดชกับพ่อไทจะก่อศึกสายเลือดกันรึเปล่าเนี่ย

หลง  เจ้านานเนิ่นแล้ว        ใจฝัน
   รูป  พักตร์งามดั่งจันทร์     เจิดจ้า
   จูบ  ลมฝากรำพัน           สวาทอยู่
   เงา   แค่เงาเรียมบ้า         อยากใกล้เคียงสมร

= หลงรูปจูบเงา พ่อไทก็คงจะได้จูบแค่เงา เพราะตัวจริงเค้าสงวนไว้ให้พ่อเดชจูบได้คนเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-09-2012 21:21:16 โดย kasarus »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
หลวงภูมีภักดีกลับเรือนของตนไปเสีย  น้องเขามีเจ้าของแล้ว

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
หุหุ พี่น้องจะตีกันเองล่ะมั้งนั่น สินธุ์น่ารักเกิน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ทั้งที่รู้อยู่แต่หลวงภูมิภักดีก็ยังไม่สู้ตัดใจจากน้องสินธ์
อย่าให้พี่น้องต้องทะเลาะกันเลย

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขอยืนยันตรงนี้ว่ารออยู่นะค่ะ  อย่าน้อยใจไป   :กอด1:
จะสอบอาทิตย์หน้าแล้วยังเข้ามาลัลลาอ่านนิยายคุณอิ๋ง   
:laugh: :laugh: ไม่เป็นไรเคอะ  อ่านก่อนวันสอบประจำ

ส่วนน้องน้ำ เอ๊ย  เจ้าสินธ์ ในที่สุดก็ได้ตกเป็นของหลวงเดโชจนได้
หลวงภูมีหมดสิทธิ์นะค่ะ  บอกไว้ตรงนี้  ผิกลูกผิดเมียบ๊าปบาปนะเออ

แต่อดสงสารไม่ได้  ไงพี่ภูก็ได้แต่บทพระรอง 555  แหมม ก็นะ พระเอกมีคนเดียวเกินพอ


ปล  มาๆกอดกันๆ  :กอด1:

 

Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 8

ลมกรุ่นกลิ่นมะลิแลน้ำอบลอยอวนบริเวณเรือนขุนเดชอยู่บางเบา ไม่ว่าผู้ใดย่างกรายผ่านเป็นต้องหยุดสูดกลิ่นหอมเย็นใจทุกผู้ไป

แลหากมีผู้ใดเดินขึ้นเรือนไปในยามนี้ก็คงจักเห็นแม่พิศแลสหายพ่อขุนเดชง่วนอยู่กับหีบผ้าแลกระจาดดอกไม้ เฉพาะกระจาดมะลิขาวพิสุทธิ์ที่ดูเหมือนจักมีมากกว่าดอกไม้อื่นๆ ยังขวดเครื่องแก้วมีฝาปิดอย่างเปอร์เซียบรรจุน้ำอบไว้ภายใน

“ละมือก่อนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจักไปยกสำรับมาให้” เมื่อถึงเวลาบ่ายนางพิศจึงวางมือก่อนบอกพ่อสินธุ์แล้วเดินลงเรือนไป

เจ้าสินธุ์ไม่เอ่ยอันใดทว่ายิ้มบางแลหยิบจับผ้าพื้นสีเข้มขึ้นมาหมายจักใช้น้ำอบอบร่ำ กระนั้นกลับกลายให้นึกถึงเจ้าของผืนผ้าเสียได้

“เจ้ามิต้องอบร่ำผ้าให้พี่ดอก” ขุนเดชเอ่ยแก่เจ้าร่างน้อยด้วยท่าทีประดักประเดิด

แลเมื่อเจ้าสินธุ์ทำทีดังสงสัย คนร่างกำยำก็เพียงรั้งร่างเจ้าน้องน้อยเข้าประชิดแลเอ่ยวาจาให้คลายความสงกา ทว่าเจ้าร่างบางกลับต้องเก้อเกินเสียหลายส่วน

“หอมอันใดก็มิเทียมหอมกายเจ้าดอกหนา” คนพูดไม่ว่าเปล่า ก้มสูดกลิ่นจากแก้มนวลดังจักยืนยัน

เมื่อรำลึกถึงเจ้าของผ้านุ่งก็พลันให้เจ้าร่างน้อยแย้มยิ้มกับผืนผ้า ทว่ากลับสลดลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนที่ผ่านมา มิรู้ด้วยเหตุอันใดพี่เดชจึงดูโกรธาตนหนักหนา กระทั่งลืมตาตื่นขึ้นก็มิเห็นพี่เดชแม้นเพียงเงา ด้วยปรกติทุกเช้าเมื่อใดตนตื่นลืมตาก็มักจักเห็นคนร่างกำยำข้างกายแท้ๆ 

เจ้าสินธุ์เพียงรำลึกแลทอดถอนใจ ทว่าเมื่อจักก้มขัดผ้า(ใช้หอยตัวโตๆขัดผ้า=รีดผ้า) ก็พลันเหลือบแลเห็นเท้าคู่หนึ่งตรงหน้า แลเมื่อมองไล่สายตาไปเห็นว่าเป็นผู้ใดก็ให้ละมือจากงานก้มไหว้ด้วยท่าทีนบนอบ

เจ้าร่างน้อยหมายจักลุกไปเตรียมน้ำท่าให้แก่ผู้เป็นใหญ่ในบ้าน หากถูกห้ามปรามเข้าเสียก่อน

“มิต้องวุ่นวายให้มากความดอก ลุงเพียงจักเจรจากับเจ้าเพียงครู่เท่านั้น”

เจ้าสินธุ์จึงเพียงพยักหน้าแลนั่งนิ่งฟังความ

“เอ้อ อันเรื่องลุงจักกล่าวต่อไปนับเป็นเรื่องมงคลล่ะหนา...” พระยามณูปกรณ์เอ่ยพลางนึกเอ็นดูเจ้าสินธุ์อยู่หลายส่วน กระนั้น หากมิเร่งแก้ไขเรื่องราวของพ่อเดชแลพ่อสินธุ์ก็เห็นว่าทั้งคู่จักผูกพันกันลึกซึ้งเกินแก้

“พ่อเดชจักออกเรือนในเร็ววันนี้แล้วหนา แลลุงเห็นว่าหากแม่มะลิมาร่วมเรือน ก็คงจักไม่เหมาะเท่าใดนักหากว่าเจ้าจักอยู่ร่วมชายคา”

เจ้าร่างบางได้ยินดังนั้นก็พลันรู้ความนัย ริมฝีปากบางจึงเผลอเม้มแน่นโดยมิรู้ตน

“เอาล่ะ เรื่องอันลุงจักบอกกล่าวแก่เจ้าก็เพียงเท่านี้” ชายสูงวัยว่าจบความจึงเดินลงเรือนไป


“กับข้าวมิถูกปากหรือเจ้าคะ” นางพิศเอ่ยถามพ่อสินธุ์เมื่อตนมาเก็บสำรับกับข้าวก็เห็นว่าพร่องไปไม่ถึงครึ่ง

เจ้าสินธุ์เพียงส่ายหน้าส่งยิ้มจืดเจื่อน

แลเมื่อคล้อยหลังนางบ่าวสาวใช้ เจ้าร่างบางจึงเดินเข้าหอนอนพลางตระเตรียมข้าวของ แลเมื่อสบโอกาสจึงลงเรือนหายลับไป

เพลาเย็นย่ำค่ำ เรือพายสองลำเข้าเทียบท่ายังบ้านพระยามณูปกรณ์ โดยเรือลำแรกนั้นเป็นของหลวงภูมีภักดี และลำที่สองนั้นเป็นของขุนเดโช

ชายหนุ่มทั้งคู่หยุดเจรจาราชการกันเพียงครู่ก่อนขุนเดโชจักเอ่ยขอตัวเดินกลับเรือนพลางหอบหิ้วห่อผ้าขาว ด้วยวันนี้ตนมีกิจจำเป็นเร่งด่วนจึงจำผละจากเจ้าน้องน้อยด้วยเสียดาย ทว่ายามจักกลับเรือนมิวายรำลึกถึงคนคอยท่า จึงได้แวะป่าขนมซื้อหาขนมกลับมาเสียหลายอย่าง

ขุนเดชก้าวขึ้นเรือนพลางนึกฉงนด้วยเรือนเงียบเชียบผิดแผกจากยามปรกติ กระนั้นกลับเดินสำรวจตรวจตราทุกห้องหับ แลเมื่อไม่พบผู้ใดก็ให้ร้อนใจ กระทั่งเข้าในหอนอนก็พลันร้อนรนเป็นทบทวีเมื่อเห็นกระดานชนวนวางไว้ยังหน้าบานกระจกทองเหลือง

เร็วเสียยิ่งกว่าคิดคำนึง ขุนเดชเร่งลงเรือนพลางถามไถ่บ่าวไพร่ ทว่ามิมีผู้ใดรู้เห็นทั้งสิ้น กระทั่งนางพิศทราบข่าวกลับเป็นลมล้มพับไปเสียนี่

กายแกร่งจึงเดินจ้ำไปยังเรือนใหญ่ พลางสั่งความบ่าวไพร่ให้ออกตามหาเจ้าน้องน้อยแล้วค่อยหันกายไปยังท่าน้ำ ทว่ามิทันจักลงเรือกลับถูกทัดทานเข้าเสียก่อน

“จักไปที่ใดพ่อเดช” พระยามณูปกรณ์เดินลงเรือนเข้าขวางบุตรชาย ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีก็เร่งเดินลงเรือนตามเจ้าคุณพ่อมา พลอยให้คุณหญิงเอื้อมตกอกตกใจเข้าเสียอีกคน

“ออกไปตามสินธุ์ขอรับ” ขุนเดชตอบคำพลางจักก้าวลงท่าน้ำ

“มิต้องไปตามดอก” เมื่อได้ยินคำเจ้าคุณพ่อ ชายหนุ่มจึงชะงักงันก่อนผินกายประจันหน้ากับผู้พูด

“คุณพ่อกล่าวกระไรขอรับ”

ผู้เป็นพ่อไม่ตอบอันใด กลับเอ่ยสั่งความให้พวกบ่าวไพร่กลับไปทำงานตามเดิม

ขุนเดโชเห็นดังนั้นก็จึงรู้ว่าด้วยเหตุอันใดเจ้าน้องน้อยมิได้อยู่คอยท่าที่เรือน มือแกร่งกำเข้าหากันอย่างคนโกรธาสุดกำลัง ทว่าเร่งผินกายจักลงเรือ

“พ่อเดช พี่จักเร่งตามหาเสียอีกแรง” เมื่อหลวงภูมีภักดีทราบความ ก็ให้ร้อนรนในอกคิดตามหาเจ้าสินธุ์เข้าอีกคน

“หากพวกเจ้าผู้ใดก้าวออกจากเรือนนี้ จักถือว่าไม่เคารพนับถือ สิ้นพ่อสิ้นลูกกันเสีย”

สิ้นคำชายผู้เป็นใหญ่ ชายหนุ่มทั้งสองก็พลันนิ่งงัน ทว่าในแววตาเด็ดเดี่ยวกลับแฝงแววดังตัดสินใจได้อยู่หลายส่วน แลเมื่อคุณหญิงเอื้อมเห็นเช่นนั้นก็จึงร่ำไห้เร่งเข้าฉุดรั้งบุตรชายโดยพลัน

“ฮือๆ พ่อไท พ่ออย่าไปเลยหนา หากพ่อไปเสียแล้วแม่จักอยู่อย่างไร”

“คุณแม่ขอรับ...”

“พ่อไท เห็นใจแม่เถิด” คุณหญิงเอื้อมเข้ากอดรัดบุตรชายพลางร่ำไห้อย่างหนัก แลเมื่อหลวงภูมีภักดีเห็นดังนั้นจึงเกิดลังเลอยู่หลายส่วน กระนั้นมิทันตัดสินใจอันใด คนทุกผู้ในบริเวณนั้นต่างสะดุ้งตกใจด้วยขุนเดชทรุดลงกราบแทบเท้าเจ้าคุณพ่อโดยพลัน

“แม้นคุณพ่อจักมินึกว่ากระผมเป็นลูก อย่างไรในใจกระผมยังคงมิเสื่อมความนับถือต่อคุณพ่อ”

“ฮึก ฮึก ฮือออ พี่เดช อย่าไปเลยหนาเจ้าคะ พี่ ฮึก ไม่รักน้องแล้วหรือ ใยจักทิ้งน้องไปเสียได้ โฮฮฮฮฮฮฮฮ” เสียงเอะอะยังให้แม่แพงเร่งลงเรือนแลเมื่อทราบความก็เกิดร่ำไห้เข้าเหนี่ยวรั้งพี่ชายเข้าทันควัน

ขุนเดชเห็นน้ำตาน้องสาวก็ให้ใจไหววูบหลายส่วน กระนั้นกลับกอดแม่แพงพลางเอ่ยคำลา

“แม่แพง แม้นเจ้าไม่มีพี่ ก็จักมีเจ้าคุณพ่อ ทั้งแม่เดือน พี่ไท ยังบ่าวไพร่มากมาย หากสินธุ์ไม่มีผู้ใด พี่จำต้องไป”

หลวงภูมีภักดีตบไหล่น้องชายเบาๆ สองพี่น้องเพียงพยักหน้าแก่กัน ขุนเดชจึงคลายกอดแม่แพง ไหว้คุณหญิงเอื้อมแลแม่เดือนก่อนจักผินกายลงเรือไป

เมื่อบุตรชายลับตา พระยามณูปกรณ์จึงเดินกลับขึ้นเรือนด้วยท่าทีอันสงบ


ข้างคูน้ำใต้ต้นมะขามใหญ่ในเวลาเย็นย่ำ ยังมีคนผู้หนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ร่มไม้พลางทอดสายตาเหม่อมองผืนน้ำ

เจ้าสินธุ์นั่งนิ่งบริเวณนี้มาเป็นเพลาแล้ว ด้วยไม่รู้จักไปที่ใด จึงเพียงเดินเตร็ดเตร่เรื่อยไป ทว่าเมื่อรู้สึกตนจึงพบว่าเดินมายังคูน้ำแห่งนี้เสียได้

เจ้าร่างบางคิดคำนึงถึงวันวานอันผ่านล่วงเลยมาแต่ก่อน ทั้งยามทุกข์เมื่อถูกกลั่นแกล้งแลยามสนุกเมื่อได้มีผู้คอยวิ่งเล่นเคียงกัน กระทั่งเติบใหญ่ คุณยายก็สิ้นบุญจากไปเสีย ทว่ากลับอุ่นใจเมื่อมิได้อยู่เพียงลำพัง

คำนึงถึงพี่เดชเข้าเสียแล้ว คนหน้านิ่งพูดน้อย กระนั้นยามฝากรักกลับอ่อนหวานเสียจนสะท้านไปทั้งกาย ทว่าคำรักเหล่านั้นคงกลับกลอกเข้าเสียแล้ว

พิศดูแม่หญิงมะลิคู่หมายของพี่เดชก็งามปานนั้น ผู้ใดเห็นก็คงนึกรักใคร่ไหลหลงโดยไม่ยากเย็น

แลแม้นในใจจักเจ็บปวดก็กลับชินชาเสียจนมิรู้สึกแสบร้อนอันใด ดวงใจก็คล้ายจักสงบอยู่หลายส่วน
 
มิใช่ว่าตนมิรับรู้ว่าสักวันจักต้องจากลา สักวันจักต้อง...อยู่เพียงเดียวดาย

ดีเพียงใดแล้วเล่า เมื่อจากมาก็มีเพียงสิ่งดีให้จดจำ กระนั้นเพลาสุขกลับรวดเร็วเสียจนมิทันได้ตั้งตน

หากต่อแต่นี้ตนจักอยู่อย่างไร ลางทีหากจักเร้นกายหายลับไปได้คงจะดีไม่น้อย

“สินธุ์! เจ้าจักทำอันใด” เจ้าสินธุ์พลันหลุดจากห้วงคำนึง แลพลันรู้ตนด้วยบัดนี้ยืนอยู่กลางน้ำสูงถึงบั้นเอวเสียแล้ว

เจ้าร่างบางเพียงเหลียวมองตามเสียงอย่างตกตะลึง กระนั้นกลับก้าวถอยลงน้ำโดยมิรู้ตน

หัวตาร้อนผ่าวด้วยอันใดเสียก็มิรู้ เพียงนึกว่าจักหักใจได้แล้วหนา ใยพี่เดชจึงมา ณ ที่แห่งนี้เสียได้

กระนั้นเจ้าร่างน้อยพลันสะดุ้งตกใจ ด้วยบัดนี้ร่างสูงใหญ่ยืนยังรากไม้ชายฝั่งชักกริดจ่อเข้ากับลำคอของตนเอง

ตกกลมสบเข้ากับตาคมแดงก่ำแลแฝงแววตัดพ้ออยู่ในที

เจ้าสินธุ์เห็นดังนั้นจึงมิอาจทานทน น้ำตาร่วงพรูพลางวิ่งเข้าหาริ่มตลิ่งด้วยใจหวั่นเกรง

เมื่อถึงยังริมฝั่งใต้ไม้ใหญ่ มือบางก็หมายจักฉวยจับมือใหญ่ให้คลายลดมือแกร่งที่กำกริชนั้นลง ทว่าร่างกำยำกลับก้าวถอยพลางกดกริชเข้ากับลำคอ

“สัญญากับพี่ เจ้าจะมิทำเยี่ยงนี้อีกเป็นอันขาด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างสั่นเครือแลคล้ายจักแหบพร่าอยู่ไม่น้อย

เจ้าร่างน้อยเพียงเม้มริมฝีปากก้มหน้าหลบตา กระนั้นกลับต้องสะดุ้งอีกคราเมื่อเสียงทุ้มเอ่ยเร่งเร้าพลางกดกริชเข้าเนื้อ

“เจ้ารู้ฤาไม่ หากพี่ต้องทนเห็นเจ้าตกตายไปต่อหน้า พี่มิสู้อยู่ขอเป็นคนเสียยังดีกว่า”

คนได้ยินรวดร้าวในอกแลคล้ายจักหายใจมิค่อยสะดวกร่ำไห้สะอึกสะอื้นปานขาดใจพลางกดพยักหน้ารับ

มือน้อยสั่นเทาค่อยยื่นจับยังมือใหญ่ให้ค่อยลดมือลงแลคลายปล่อยกริชในที่สุด

ขุนเดโชตวัดวงแขนกอดเจ้าน้องน้อยแน่นดังจักฝังกายบางลงในอกพลางฝืนกล้ำกลืนน้ำตาเก็บไว้ภายใน

แววตาแดงก่ำของชายหนุ่มทอดมองคนในอ้อมกอดอย่างสุดรัก

กลิ่นกายหอมเย็นของเจ้าน้องน้อยให้เผลอไผลสูดดมเข้าด้วยวางใจ

แลเมื่อคลายกอดพิศมองใบหน้านวลเปรอะไปด้วยน้ำตาจึงใช้นิ้วโป้งไล้หยาดน้ำใสให้เจ้าร่างบางแผ่วเบา กระนั้นเจ้าร่างน้อยคล้ายจักสะอื้นไห้รุนแรงขึ้นหลายส่วน

ใบหน้าคมพลันโน้มเข้าจูบซับน้ำตาอย่างอ่อนโยน

ใจดวงน้อยจึงเต้นระรัวคล้ายจักเปี่ยมไปด้วยความสุขแลความทุกข์อยู่ปนเปกันไป

แลเมื่อใบหน้าคมผละออกห่าง เจ้าสินธุ์จึงเร่งแกะห่อผ้า นำผ้าพื้นผืนบางเช็ดยังรอยเลือดสีเข้มที่ไหลจากลำคอของพี่เดช

มือบางแตะแต้มแผ่วเบา ท่าทีจดจ้องตั้งใจ ยังหน้าตาแดงระเรื่อพลันให้คนร่างสูงนิ่งงันพิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาสมใจ

เจ้าร่างน้อยพิศมองรอยมีดด้วยมิใคร่สบายใจ มือน้อยลูบไล้รอยนั้นก่อนจักค่อยกดจูบยังรอยแผล


ท้องนภาค่อยมืดครึ้มลงด้วยบัดนี้อาทิตย์อัสดงทอแสงรำไรแลตกลับขอบฟ้าหายไป ลมหนาวพัดพากระทบยังผิวกาย เสียงใบไม้เสียดสีกระทบกันเพียงแผ่ว

ใต้ไม้ใหญ่ยังมีสองร่างคล้ายมิรับรู้อื่นใด ทรุดนั่งยังรากไม้โอบกอดอิงกันแนบแน่น

.........................................
ฝากเพลงแทนใจพี่เดชหน่อยนะคะ http://www.youtube.com/watch?v=n09YRhc5z_Y
 :m23: มาสายอีกแล้ววว และบทหน้าจะสายยิ่งกว่านี้ค่ะ
คือแบบว่าช่วงนี้ก็ช่วงสอบเนอะ ใครที่กำลังจะสอบหรือสอบอยู่ก็สู้ๆนะคะ เมื่อว่าอิ๋งสอบไปตั้งหนึ่งวิชา เขียนมั่วไปมากกว่าสิบข้อ คาดว่าอ.คงขำท้องแข็งไปแล้ว  :laugh:
วันนี้ยังไม่อ่านหนังสือหนังหา(มีหน้ามาลงนิยายอีก :laugh3:)

@ คุณ kasarus เห็นคอมเมนต์แล้วตบเข่าฉาดใหญ่ (หลงรูปจูบเงา พ่อไทก็คงจะได้จูบแค่เงา เพราะตัวจริงเค้าสงวนไว้ให้พ่อเดชจูบได้คนเดียว) แต่เรื่องศึกสายเลือดคงไม่ได้ก่อแล้วล่ะค่ะ เจ้าคุณพ่อนี่ร้ายยิ่งกว่าแม่แพง ไล่เจ้าสินธุ์ไปเสียแล้ว :monkeysad:
@ คุณ yeyong หลวงพี่ภูเค้ากลับไปแล้วค่ะ และต่อแต่นี้คงไม่ได้มาแอบแต๊ะอั๋งอีกแน่เลย พ่อเดชกับพ่อสินธุ์เค้าออกเรือนไปเสียแล้ว
@ คุณ takara พี่น้องไม่ทันได้ตีกันหรอกค่ะ คุณพ่อเค้าจัดการไล่หนุ่มน้อยของเราไปเสียก่อน
@ คุณ nongrak  :เฮ้อ: ว่าแล้วก็อดสงสารหลวงพี่ภูไม่ได้ เป็นพระรองตลอดๆ ทำไมคนเขียนใจร้ายจัง สบายใจได้ค่ะ พี่น้องยังไม่ได้ทะเลาะกันเพราะเจ้าคุณพ่อท่านมองการณ์ไกลตัดไปเสียแต่ต้นลมเข้าแล้วไง
@ คุณ suck_love ฮิๆ ฮะๆ ไม่น้อยใจแล้วค่า มันเป็นบางอารมณ์ แบบว่าอ่อนไหวนิ๊ดส์นึง ยังไงวันนี้ก็แอบดอดมาอ่านอีกสักวันดีป่าวคะ ขอให้สอบได้คะแนนเยอะๆนะคะ อิ๋งก็จะสอบเหมือนกัน หลังลงตอนนี้คงใช้ชีวิตกับกองหนังสือล่ะค่ะ
 o3 เจ้าสินธุ์เสร็จพี่เดชไปหลายรอบแล้วค่ะ อิๆ ส่วนเรื่องหลวงพี่ภู จริงๆเค้าน่าฉงฉานจังเลยค่ะ ทำไมเราใจร้ายให้เป็นพระรองอยู่เรื่อยเลย แต่เอาเถอะค่ะ ภาคอดีตชาติขุนเดโชทำตัวดี น่ารักให้เต็มสิบเลยเหมาะเป็นพระเอกหน่อย
ปล. :กอด1: รักกันๆ

 :man1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2012 11:53:58 โดย Made »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
แล้วทั้งคู่จะระหกระเหินไปที่ใดต่อ

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
พ่อของพี่เดชช่างใจร้ายเสียยิ่งนัก ไล่พ่อสินธ์คนดีให้ไปอยู่ที่อื่น
พี่เดชพาสินธ์ไปหาที่อยู่ใหม่คงจะดีกว่าแน่

ออฟไลน์ pooinfinity

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-3
ไปก่อร่างสร้างตัวกันตามประสานะพ่อเอ้ยยยยยยย

แล้วแต่บุญกรรมครั้งหลังที่สร้างสมมาแล้วกัน ขอให้ครองเรือนอย่างมีความสุขเถิด

อ่านนิยายสมัยก่น เลยต้องเม้นตอบด้วยสำนวนเก่าๆ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ kasarus

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อ่านแล้วน้ำตาปริ่มๆ ว่าจะไหล สงสารชะตากรรมของเจ้าสินธุ์ยิ่งนัก

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
สงสารสินธุ์น้อยอะ จะเป็นยังงัยต่อล่ะนั่นทั้งสองคนอะ

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
สงสารทั้งสองคน ต่อไปจะอยู่อย่างไรเนี้ย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เจ้าคุณพ่อใจร้าย ทำกับสินธ์ได้ยังไง
พ่อขุนเดชต้องปกป้องน้องดีๆนะค่ะ เกือบไปแล้วไง น้องอารมณ์อ่อนไหว

เราสอบเสร็จละล้ะคุณอิ๋ง อยากจะฮูเล่ดังๆ แอร๊ยยยย   ปิดเทอม แต่เราไม่ได้ปิดอ้ะ ต้องลงชอป  :sad4:

ปล เรามาอ่านต่อละนะ แล้วคุณอิ๋งหายไปไสสสส :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Made

  • บุคคลทั่วไป
ครานั้น 9 จบบริบูรณ์
เพลงประกอบค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=9iF20sxP8ok

เพลาเกือบเย็นย่ำค่ำ ดวงอาทิตย์ทอแสงอัสดงส่องกระทบผืนน้ำสีส้มเป็นวงกลมโตและสีค่อยจางอ่อนไปตามผืนน้ำ ยังขอบฟ้าแสงอ่อนรับกัน กระนั้นผืนฟ้าส่วนอื่นกลับเป็นสีม่วงอ่อน ลางสิ่งที่อยู่ไกลตาก็เห็นได้เพียงเงาเท่านั้น

ณ ท่าน้ำใหญ่ของเรือนขุนนางหลังหนึ่งยังมีชายหนุ่มสามคนลงอาบน้ำ สองคนแรกนั้นรูปกายผึ่งผายเต็มไปด้วยมัดกล้าม ทั้งผิวสีทองแดง ใบหน้าคมสันหล่อเหลา ทว่าอีกหนึ่งหนุ่มนั้นกลับแน่งน้อยแบบบาง ผิวกายหรือก็ขาวนวลผิดกับชายหนุ่มชาวพระนครนัก ซ้ำผมดำยาวเปียกน้ำลู่ไปกับแผ่นหลัง ผิดแผกจากหนุ่มวัยออกเรือนที่ผมกลางกระหม่อนสั้นเกรียนแลจักถอนรอบเรือนผมให้สั้น

มือน้อยหมายจะจับขันเงินตักน้ำรดตัวทว่ามือใหญ่กลับคว้าขันเงินพลางจดจ้องคอยท่าให้เจ้าร่างน้อยเขยิบเข้าใกล้

เจ้าสินธุ์ก้มหน้าช้อนตาลอบมองท่าทีตั้งอกตั้งใจขัดถูกายให้ตนด้วยขมิ้นไพลก็ให้เอียงอายต่อขุนทัพที่หันมองตนยิ้มๆพลางหัวเราะหึๆในคอ

เมื่อตากลมสบเข้ากับตาคมก็ให้เม้มริมฝีปากก้มหน้าก้มตายื่นแขนซ้ายขวาให้อีกคนขัดถูต่อไป

‘คนกระไรมิรู้จักอายเสียบ้าง’ เมื่อยามอยู่เรือนพี่เดชจักทำเช่นนี้ก็มิเป็นอันใด ด้วยลงท่ากันเพียงสองคน หากครานี้มาอาศัยเรือนขุนทัพล่วงเข้าวันที่สองแล้ว อย่างไรก็มิใคร่คุ้นชินแววตาล้อเลียนจากเจ้าบ้านเสียที

มิใช่ว่าตนจักมิรู้จักการอาบน้ำอาบท่าเสียสักหน่อย คนหน้านิ่งทำเปนมิรับรู้อันใดนี่หน่ะซี ทำตาดุข่มขู่มิยอมอยู่ท่าเดียว หากลองได้ดื้อเพ่งมิยินยอมก็เห็นจะมิได้ขึ้นจากท่าเสียกระมัง

จวบจนพี่เดชตักน้ำรดให้ตนจนพอใจ เจ้าสินธุ์จึงชี้ไปยังสายน้ำเบื้องหน้า อีกคนพยักหน้ารับรู้พลางส่งกระด้งอันน้อยๆใส่ไว้ด้วยข้าวสุกจนเกือบเต็ม

เจ้าร่างบางรับกระด้งสานขนาดน้อยเกินกว่าจักมีขายด้วยร้อยยิ้มพลางค่อยเดินลงน้ำไป

ตาคมบ้างจดจ้องตามเจ้าร่างบาง บ้างสนใจอาบน้ำขัดถูแก่ตนเอง

“ปักใจหลงใหลเข้าเสียจริง” ขุนทัพเอ่ยสัพยอกสหายด้วยเห็นท่าทีใส่ใจอันมิเคยมีต่อผู้ใด ทว่ากลับมีให้แต่เพียงพ่อสินธุ์เท่านั้น อย่างกระด้งใบน้อยนั้นอย่างไรเล่า เป็นฝีมือผู้ใดมิต้องสงสัย เป็นสหายกันมานมนาน ใยจักมิรู้ว่าพ่อเดชนั้นมักจักตอกในยามว่าง แลหากเอ่ยกระเซ้าเช่นนี้ในยามสหายอยู่เคียงผู้อื่นก็เป็นต้องเห็นตีหน้านิ่งอยู่ร่ำไป ผิดแผกจากครานี้ที่เจ้าตัวเพียงยิ้มมุมปากพลางจดจ้องเจ้าร่างบางที่โปรยเม็ดข้าวให้ปลาน้อยใหญ่ว่ายวนเข้ามากิน

ขุนทัพเพียงส่ายหน้าด้วยเริ่มนึกเอือมระอาพลางถามไถ่เปลี่ยนเรื่อง

“เจ้าคิดจักปลูกเรือนที่ใด”

“ริมคลองฝาง”

“แล้วจักได้ฤกดิ์ลงเสาเรือนเมื่อใด ให้ข้าเป็นธุระไปติดต่อพวกบ้านนางเอียนให้ฤาไม่”
(บ้านนางเอียน ฝั่งกำแพงกรุง เลื่อยไม้สักทำฝาเรือน ปรุงเรือนฝากระดานและเครื่องสับฝาสำหรวดขาย)

“ได้ฤกดิ์วันมะรืน เห็นจักมิต้องรบกวนดอก ข้าตระเตรียมการไว้แล้ว”

เมื่อได้คำตอบดังต้องการ ขุนทัพจึงพยักหน้ารับพลางเตรียมผลัดผ้านุ่งขึ้นจากท่า

“สินธุ์”

คนถูกเรียกหันไปตามเสียงเรียกกระนั้นกลับส่ายหน้าแล้วมองเมินก้มดูปลาตัวน้อยๆเข้ามารุมกินเม็ดข้าวในมือ

“ขึ้นจากท่าเสียเถิดเจ้า มิเช่นนั้นจักจับไข้”

เจ้าร่างน้อยคงทำเป็นมิใส่ใจด้วยยังเพลิดเพลิน กระนั้นเมื่อได้ยินเสียงเดินลุยน้ำใกล้เข้ามาก็ให้นึกสนุกยิ้มร่าพลางถอยกายหลบหลีก

ขุนเดโชส่ายหน้าด้วยอ่อนใจ กระนั้นเร่งเข้าใกล้เมื่อเจ้าน้องน้อยทำทีดังมีสิ่งใดผิดแผก พลอยให้ขุนทัพที่จักผินกายกลับเรือนหันกลับมามองเช่นกัน

“เป็นกระไรฤาเจ้า”

เจ้าสินธุ์ถึงกับยืนนิ่งหันรีหันขวางด้วยตกใจเมื่อผ้านุ่งนั้นถูกดึงหลุดหายไปแลแม้นตนจักยื้อยุดก็มิสู้แรงคนมากระตุกชายผ้าได้
เงาตะคุ่มใต้น้ำว่ายจนเข้าฝั่ง เมื่อโผล่พ้นจากน้ำจึงชูผ้านุ่งสีเข้มติดมือพลางหัวเราะร่า

“ฮ่าๆๆ เร่งขึ้นท่าเถิดพ่อสินธุ์ ประเดี๋ยวจักไปมิทันงาน”

เป็นหมื่นรามนั่นเองที่เข้ากลั่นแกล้งเจ้าร่างน้อย กระนั้นกลับกล่าวเร่งทั้งๆที่ตัวเป็นเหตุให้ต้องขึ้นท่าล่าช้าเสียยิ่งกว่าเดิม

ขุนเดชถึงกับกุมขมับ กระนั้นก็เพียงกลับฝั่งนำผ้าพื้นที่ตระเตรียมสำหรับผลัดเปลี่ยนมาให้เจ้าน้องน้อยอีกครา

หลังจากกินข้าวปลากันแล้ว ขุนทัพและหมื่นรามก็นั่งคอยท่าขุนเดชและเจ้าสินธุ์ยังศาลาท่าน้ำ เพียงไม่นานคนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาสมทบพร้อมกับกระทงในมือขุนเดช

“ใยใบตองแลดอกไม้จึงมีรูปทรงประหลาดดูพิลึกพิลั่นนัก” หมื่นรามเอ่ยทักเมื่อเห็นกระทงขนาดกลางตกแต่งด้วยใบตองพับริมขอบทว่าบ้างปราณีตบ้างแผ่นตองแตก ดอกไม้นั้นบ้างช้ำดูเฉา บ้างก็งามอยู่สักเล็กน้อย

“....” ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำ ทว่าขุนทัพแลเจ้าร่างบางกลับลอบเหลือบแลมองกันพลางกลั้นหัวร่อจนตัวโยน

คนหน้านิ่งเสก้มมองกระทงในมือพลางทำทีดังจักลงเรือพาย กระนั้นแนวแก้มสีทองแดงกลับขึ้นสีเรื่ออยู่จางๆ

“ไปเถิดพ่อสินธุ์ลงเรือกับข้า” หมื่นรามชักชวนเจ้าร่างน้อยพลางจับจูงเดินลงเรือ

ขุนทัพและขุนเดชถึงแก่ต้องหันขวับในทันใดด้วยเกรงทั้งคู่จักคุยเล่นกันจนหลงหายไปฤาไม่คงสรรหากระไรพิศดาลมาเล่นจนเรือพลิกคว่ำเอาเสียได้ ดูอย่างเมื่อวันวานทีเถิด คล้อยหลังลับตาไม่ทันไรก็หายวับไปเสียทั้งคู่ เคราะห์ดีทันไปพบก่อนเจ้าสินธุ์จักได้ลองขึ้นครูยังโรงชำเราดอก ส่วนเจ้าคนพาไปกลับเมาพับกอดไหเหล้าอยู่ปากประตูทางเข้า น่าอเน็จอนาจโดยแท้

รังสีประหลาดและสายตามิไว้วางใจถึงแก่ให้หมื่นรามหัวเราะร่าพลางจูงมือเจ้าสินธุ์ส่งลงเรือลำเดียวกับขุนเดชในที่สุด

เรือพายสองลำค่อยแล่นออกจากคลองแกลบสู่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างช้าๆ โดยเรือลำแรกนั้นมีหมื่นรามนั่งหัวเรือแลขุนทัพคอยคัดท้าย ส่วนลำที่สองนั้นขุนเดชเป็นฝีพายแลเจ้าสินธุ์เป็นคนโดยสาร

สองฝั่งน้ำคลาคล่ำไปด้วยเรือพายน้อยใหญ่ ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว ลูกเล็กเด็กแดงต่างชักชวนกันออกมาเที่ยว บ้างหยุดดูกระทงหลวง บ้างเอ่ยโต้ตอบกัน ทั้งชายหนุ่มเกี้ยวพาหญิงสาว ยังเรือสินค้า เรือแพเร่ขายของคาวขนมหวาน เสียงเป่าแตร ตีฆ้องโหม่ง กลองยาวโทนรำมะนา ฉิ่งกรับ ขับลำนำดอกสร้อย สักวาเพลงครึ่งท่อน เพลงปรบไก่ เพลงเรือโต้ตอบกันสนุกสนานครื้นเครง

   ดาดาษกลาดเกลื่อนกลุ้ม   เรือดู
อึงลั่นสนั่นหู                         ไม่น้อย
แสงเบียดเสียดเกรียวกู              ชิงช่อง ขึ้นแห
แม้จักนับกว่าร้อย                 ยึดท้ายเป็นพวง
   บ้างเล่นเคียงแข่งคล้าย           พายพนัน
ชิงชนะสรวลสันต์                 โห่ร้อง
บ้างเถียงทเลาะกัน         อึงเอะ อะเอย
สนุกสนั่นมี่ก้อง                 ฟากโพ้นโยนยาว
               http://www.learners.in.th/blogs/posts/401137

จันทร์วันเพ็ญกลมโตลอยเด่นบนฟากฟ้า ทั้งบ้านเรือนริมน้ำและบรรดาพระอารามต่างๆก็จุดประทีปเป็นพุทธบูชา ยังแสงจากกระทงน้อยใหญ่ลอยอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วทั้งคุ้งน้ำจึงสว่างไสวงดงามจับตา

เพียงไม่นาน หมื่นรามแลขุนทัพก็ขยับเรือเข้าร้องเพลงยาว ต่อโคลงกลอน เกี้ยวพาสาวน้อยสาวใหญ่ แลด้วยหน้าตาคมคายอีกทั้งคารมเป็นต่อ หญิงสาวหลายนางจึงมีทีท่าสะเทิ้นอายไปตามๆกัน กระนั้นบางนางกลับลอบมองใบหน้าคมเข้มของขุนเดโชที่พายเรือลอยลำอยู่ใกล้เคียงกัน ทว่าแววตาคมกลับจับจ้องเพียงแต่คนนั่งหน้าเรือเสียนี่

ขุนเดชพิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาเอ็นดู ท่าทีหันมองซ้ายขวาด้วยตื่นใจ ยังแก้มกลมปากบางขยับขบเคี้ยวขนมที่เจ้าตัวร่ำร้องคอยสะกิดชี้ชวนให้ซื้อหา แลมิว่าเจ้าร่างบางจักปรารถนาสิ่งใด ขุนเดชก็ตามใจไปเสียทุกครา

ลมแม่น้ำพัดพากลิ่นกายกรุ่นหอมยังให้ชุ่มเย็นหัวใจ ดวงหทัยของคนทั้งคู่เปี่ยมสุขเสียจนอยากให้กาลเวลาหยุดนิ่งแต่เพียงเท่านี้

จวบจนดึกดื่นค่อนคืน เมื่อเจ้าน้องน้อยมีท่าทีดังง่วงเหงาหาวนอน ขุนเดชจึงเอ่ยชักชวนสหายให้กลับเรือน

“ก่อนกลับเรือนข้าแลสินธุ์จักแวะไปลอยประทีปยังคลองฝางเสียก่อน”

“ไปเถิด กะเดี๋ยวข้ากับหมื่นรามจักคอยท่าอยู่ปากคลอง”

(เพลงเมื่อกี้คงจบแล้ว ฟังอีกเพลง http://www.youtube.com/watch?v=MdVYhIW59Uw)

เรือพายสองลำแล่นไปตามลำน้ำ หากเมื่อผ่านคลองประตูฉะไกรน้อยมีน้ำวนหลายแห่ง ฝีพายจึงจำต้องพายอย่างระมัดระวัง เรือที่ไหวโคลงเคลงอย่างผิดแปลกยังให้ขุนเดชเอ่ยเตือนเจ้าร่างบางให้ระวังตน

“สินธุ์ จับกราบเรือไว้ให้มั่นหนา”

ตู้มมมมม

หากยังมิทันขาดคำเรือทั้งลำก็กลับพลิกคว่ำลงทันที

เจ้าสินธุ์ใจหายวูบ กระนั้นเร่งกระเสือกกระสนหมายจักลอยคอไคว่คว้าหาอากาศหายใจ ทว่าข้อเท้าน้อยกลับมีมือดึงฉุดรั้งให้ดำดิ่งลงกับน้ำ แลมิว่าเจ้าร่างบางจักดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหลุดพ้น จวนจนมิอาจทานทน สติจึงพลันดับวูบแน่นิ่งดิ่งลงกับสายน้ำ

ขุนเดชรี่เร่งโผล่จากผืนน้ำแลว่ายไปยังทิศทางที่เห็นเจ้าน้องน้อยผลุบโผล่

ข้างฝ่ายหมื่นรามแลขุนทัพต่างกระโจนลงน้ำเข้าช่วยเหลือ ยังชาวบ้านริมฝั่งผู้พบเห็นต่างเร่งดำผุดดำว่ายร่วมค้นหาอีกแรง

กระทงใบน้อยพลิกคว่ำเห็นแต่ฐานลอยอยู่ ทั้งดอกไม้ใบตองกระจัดกระจาย เคว้งคว้างกลางผืนน้ำ

   เดือนสิบสองถ่องแถวโคม   แสงสว่างโพยมโสมนัสสา
เรืองรุ่งกรุงอยุธยา                 วันทาแล้วแก้วไม่เห็น
   กติมาสถ้อง                      แถวโคม
แสงสว่างแลลอยโพยม              ผ่องแผ้ว
อยุธยาเปรียบแสงโสม              ใสส่อง
ชมชื่นวันทาแล้ว                 นิ่มน้องฤาเห็น
               (เจ้าฟ้ากุ้ง จากหนังสืออยุธยายศยิ่งฟ้า)

“เจอแล้ว” ผ่านไปครูใหญ่จึงมีเสียงคนริมฝั่งตะโกนเมื่อแลเห็นหมื่นรามเร่งพาเจ้าร่างน้อยเข้าฝั่ง

บัดนี้เจ้าร่างบางนอนนิ่งหน้าตาซีดเซียว เมื่อเอามืออังดูบริเวณจมูกก็มิมีลมหายใจแม้นสักน้อย

ขุนเดชที่ผลุนผลันขี้นจากฝั่งพลิกตัวเจ้าน้องน้อยให้สำรอกน้ำออกมา กระนั้นเจ้าร่างบางกลับมิยอมหายใจ ยังให้จิตใจหวาดหวั่น แสบร้อนในอกแทบมิอาจทานทน แลเมื่อก้มแนบหูกับอกบางก็ได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นแผ่วลงทุกขณะ

“พ่อเดช ประคองพ่อสินธุ์ก่อนเถิด”

ขุนทัพเอ่ยบอกสหายพลางตั้งสมาธิพนมมือร่ายคาถาอาคมที่เคยร่ำเรียนเป่ากระหม่อมแก่เจ้าร่างบาง ทว่าอย่างไรเจ้าร่างน้อยก็มิยอมฟื้นคืน ยังคงแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม จวบจนเมื่อตรวจดูชีพจรหยุดเต้นขุนทัพจึงเพียงส่ายหน้าอย่างคนหมดหวัง

ขุนเดโชถึงกับนิ่งงันทว่าต่อมากลับลุกก้าวเดินอุ้มเจ้าน้องน้อยลงเรือ หมื่นรามเห็นดังนั้นก็ให้เร่งเดินตามคอยคัดท้ายพายกลับยังเรือนเจ้าคุณกลาโหม

ตลอดระยะทางกลับเรือน จิตใจขุนทัพแลหมื่นรามต่างโศกเศร้าระคนหวาดหวั่นด้วยขุนเดชนั้นเพียงนิ่งเงียบกระชับกอดเจ้าร่างบางแนบอก แลเมื่อถึงเรือนก็กลับเร่งอุ้มเจ้าน้องน้อยเข้าหอนอนพลางผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งแก่ร่างแน่นิ่งนั้น

ใบหน้าคมพิศมองใบหน้าซีดเซียวพลางเร่งหาผ้ามาห่มคลุมกายกกกอดเจ้าร่างน้อย มือแกร่งลูบไล้วงแก้มนวลพลางกดจูบยังกระหม่อมบาง แว่วเสียงกระซิบให้คนเฝ้ามองยังหน้าประตูหัวตาร้อนผ่าว

“หนาวฤาไม่ พี่กอดเจ้าไว้แล้วหนา ประเดี๋ยวก็จักอุ่น”

“ลืมตาตื่นมาเถิดหนา หากยังดื้อดึงพี่จักมิพาเที่ยวอีก”

ขุนทัพถึงแก่อดรนทนมิได้ค่อยเดินเข้าหาสหาย เอื้อนเอ่ยตักเตือน

“พ่อเดช พ่อสินธุ์สิ้นแล้ว เพลานี้พระคุณเจ้าค่อยท่ายังศาลาหอกลาง หักอกหักใจเสียเถิดหนา”

ขุนเดโชเสมือนหลุดจากภวังค์พิศมองเจ้าน้องน้อยด้วยแววตาแดงก่ำ ร่างเย็นเฉียบในอ้อมกอดยังคงหลับตาพริ้ม หน้าตาซีดเซียวประหนึ่งเพียงหลับไหลไปเท่านั้น

“สินธุ์ เจ้าได้ยินพี่ฤาไม่ พี่บอกให้ลืมตาตื่นขึ้นมา เจ้าได้ยินพี่ฤาไม่ สินธุ์ สินธุ์”


“น้ำ น้ำ ได้ยินคีรึป่าว คนซี้เซา ตื่นได้แล้วนะครับ”

กลิ่นยาฉุนจมูก ทั้งความเย็นที่กระทบผิวกาย อุ่น ความรู้สึกอุ่นจนร้อนกอบกุมมือไม่ยอมคลาย ‘ที่ไหนกันนะ’

ตากลมค่อยกระพริบพลางหรี่ตาเล็กน้อย และสิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานขาวและเสาแขวนขวดน้ำเกลือ

สัมผัสมือแนบแก้มและความอุ่นชื้นของริมฝีปากที่แตะแต้มยังหน้าผากให้ความรู้สึกวางใจจนเผลอหลับลงอีกครั้ง


“นี่ ตกลงน้ำเป็นอะไรไปเหรอ ทำไมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ล่ะ”

“จะไปรู้เร๊อะ เดินเที่ยวกันอยู่ดีๆน้ำก็วูบไป หลับไปสามวันสามคืน หมอตรวจก็ไม่รู้เป็นอะไร เคราะห์ดีไอ้คีไปขอด้ายสายสิญจน์มามัดข้อมือให้ถึงฟื้นขึ้นมาเนี่ยแหละ”

“เหรอ เหมือนผ่านไปนานมากเลย”

“คี รู้รึป่าว น้ำฝันด้วยแหละ ฝันเหมือนจริงมากเลย เหมือนกับว่าไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นแหละ”

“อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมตื่นนี่มึงมัวแต่นอนฝัน”

“ไหนลองเล่าให้คีฟังซิ ฝันว่ายังไง”

“ก็...ฝันว่า...”

.....................................จบบริบูรณ์

คราวนี้ขอจบจริงๆแล้วนะคะ ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณวิชาประวัติศาสตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้นั่งเคลิ้มในคาบนึกแต่งตอนพิเศษตอนนี้ออกมาจนได้ ขอบคุณข้อมูลความรู้จากหนังสือต่างๆทั้งอยุธยายศยิ่งฟ้าของสุจิตต์ วงษ์เทศ, คนไทยสมัยก่อน ของมานพ ถนอมศรีและประเพณีไทยโบราณของสมพงษ์เกรียงไกรเพชร และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดขอบคุณคนอ่านทุกคนและทุกคอมเม้นต์ที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอมา

@ คุณ yeyong ระหกระเหินไปบ้านขุนทัพค่ะ และสุดท้ายก็แหะๆ อย่างที่เห็น
@ คุณ nongrak ใช่แล้วค่ะ อิ๋งว่าจริงๆเจ้าคุณพ่อนี่แหละร้ายสุด ร้ายกว่าแม่แพงอีก แล้วสุดท้ายพี่เดชยังไม่ทันได้ปลูกเรือน เจ้าน้องน้อยก็ด่วนไปสวรรค์ซะแล้ว
@ คุณ pooinfinity ยังไม่ทันก่อร่างสร้างตัวเลยค่ะ บุญกรรมก็ทำให้พลัดพรากเสียแล้ว ขอบคุณสำหรับสำนวนเก่าๆนะคะ
@ คุณ kasarus สงสัยอ่านตอนนี้จะสงสารยิ่งกว่าเดิม แต่ยังไงอิ๋งว่าพี่เดชน่าสงสารกว่านะคะ
@ คุณ takara ในที่สุดทั้งสองคนก็มาพบกันอีกชาติค่ะ แบบว่าในอดีตไม่สมหวัง ชาตินี้น้องสินธุ์มีแต่คนรักไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ
@ คุณ akiko อ่านตอนนี้แล้วน่าสงสารกว่าเดิมอีกเนอะ สุดท้ายก็เหลือพี่เดชคนเดียว
@ คุณ suck_love ใช่แล้ว เจ้าคุณพ่อใจร้ายยทำกับสินธุ์ของเราได้ลงคอ และสุดท้ายคนจะตายก็ต้องตายค่ะ ถึงพี่เดชจะปกป้องแค่ไหนแต่ถึงเวลาแล้วน้องสินธุ์ของเราก็ต้องไป
โอ๊ะ ลงชอปอะไรคะ ยังไงก็สู้ๆนะคะ ปิดเทอมนี้อิ๋งก็ยุ่งเหมือนกัน มีเรื่องให้ทำเยอะเลย
ปล.ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ แต่ที่หายไปเพราะสอบนั่นแหละค่ะ พึ่งจบไปเมื่อวาน เกือบตาย แต่ไงมันก็ผ่านไปแล้วเนอะ ฮูเร่ :mc4:

special thanks to...
คุณ yeyong , คุณ kasarus,  คุณ takara ขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจมาให้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย จนตอนนี้เรื่องนี้กลายเป็นนิยายรวมมิตรไปแล้ว ตอนพิเศษเยอะพอกับตอนหลักเลยทีเดียว ขอบคุณจริงๆจากใจค่ะ  :pig4:  :man1:
คุณ suck_love  :กอด1:
คุณ nongrak  :pig4: ขอบคุณที่ไม่หายไปไหนคอยเป็นกำลังใจให้กันมาตลอดเลย

 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2012 22:44:21 โดย Made »

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้ย !!!! ชอบตอนพิเศษนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านเเล้วอิน ชอบกว่าตอนหลักอีกแน่ะ

กะเเล้วเชียวว่าในอดีตต้องจบเเบบมาม่า เเต่ดีนะที่มีปัจจุบันมาต่อท้าย

ไม่งั้นได้นั่งเศร้าไปนาน

แอบสงสัย ที่่ตกน้ำเเล้วโดนดึงเท้านี่ เป็นเพราะพ่อของเดโชหรือเปล่านะ ???

สั่งฆ่ากันเลยทีเดียว หรือไม่ใช่

แถมตอนท้ายให้อารมณ์เเบบหลอนๆๆอ่ะ นึกถึงเพลงนาฬิกาเรือนเก่าของปาล์มมี่เลย

ได้อารมณ์การสูญเสียจริงๆ

 o13 o13

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ในที่สุด เย้เย้ ที่น้ำแค่ฝันไปเหรอเนี้ย แต่ก้อเป็นฝันเรื่องในอดีตน่ะนะ ดีแล้วที่สมหวังในชาตินี้ ขอบคุณน๊า

Made

  • บุคคลทั่วไป
@ ข้าว ถูกต้องแล้วจ้า  :m4: เจ้าคุณพ่อสั่งฆ่า เพราะหากดูสถานที่เกิดเหตุแล้วคือปากคลองประตูฉะไกรน้อย จากตอนครานั้น4 ก็จะรเห็นว่าเรือนพระยามณูปกรณ์หรือบ้านขุนเดชนั้นอยู่คลองประตูฉะไกรน้อยค่ะ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงเอ็นดูเจ้าสินธุ์เพราะเป็นลูกของหญิงที่ตัวเองรัก แต่ยังไงหัวอกคนเป็นพ่อก็อยากให้ลูกได้ดี เพราะหน้าที่การงานของขุนเดชยังต้องไปอีกไกล ถ้ามีใครมาครหาเรื่องความรักแบบช-ชก็คงดูไม่ดี แต่มันแรงตรงที่ถึงกับต้องฆ่าแกงกันนี่แหละค่ะ ดีใจที่ชอบนะคะ

@ คุณ takara  :กอด1:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
 o13 น่ารักมาก และสนุกจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ Oo_oO

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านแล้วอินอ่ะ สงสารสินธุ์
ดีใจที่ได้รักกันชาตินี้

อยากกินไข่พะโล้ โปะ

  • บุคคลทั่วไป
ชอบอ่ะไม่อยากให้จบอยากให้ต่อไปอีกสักปี2ปีเพิ่มตอนอีกสัก100 ,200 (มึงเวอร์มาก) ตอน555  เค้าไม่อยากให้จ๊บบบ


ปล.แอบจิ้นวาถ้าสินธ์ไม่ตายน้ำก็คงไม่ฟื้นอ่ะ

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
ขุนเดชช่างรักเจ้าสินธ์ยิ่งกว่าอะไร น่าสงสารที่สินธ์ต้องตาย

ออฟไลน์ kamikame

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น้ำน่ารักมากมาย อิอิ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟฟฟ

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
เขียนเก่งจังเลยค่ะ ฝีมือยอดมั่กๆ เสียดายไม่ได้อ่านคู่คุณฝรั่งมากกว่านี้
คู่พี่ภูกะจอมล่วย
ที่พี่ภูไม่ได้กะน้ำเพราะงี้นี่เอง ใจไม่แข้งพอสิเนอะ ชาตินั้นอ่ะ แง่ม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด