ไม่เข้าใจ2“ป้าครับ ผัดไทยห่อไข่ไม่ใส่ถั่วงอกหนึ่ง แล้วน้องน้ำล่ะ” พอไปถึงร้านพี่ภูบอกป้าคนขายแล้วหันมาถามผมที่ยังแหงนหน้ามองป้ายเมนูอยู่ ผมยืนชั่งใจอยู่สักครู่ อยากกินผัดไทยห่อไข่นะ แต่ว่าถ้ากินผัดไทยห่อไข่แต่เส้นเป็นวุ้นเส้นนี่มันจะอร่อยรึป่าว ยังไงผัดไทยธรรมดาเค้าก็ผัดใส่ไข่อยู่แล้ว งั้นก็...
“ผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดครับ”
พี่ภูเดินนำผมไปนั่งที่โต๊ะก่อนเดินไปตักน้ำใส่แก้วมาให้
ผมนั่งมองบริเวณรอบๆ ร้านนี้เข้ามาในซอยถัดจากซอยบ้านพี่ภูสองซอย(ตามที่พี่ภูชี้ให้ดู) ดูคร่าวๆแล้วมีประมาณสิบโต๊ะ ตามผนังร้านเต็มไปด้วยฟิวเจอร์บอร์ดที่ถูกเขียนจากคนที่เคยมาทาน ไม่ว่าจะเป็น “ผัดไทยอร่อยที่สุดในโลก” “ไว้จะกลับมากินอีกนะ” “น้ำใบเตยหอมมาก” หรือว่า “ลูกสาวคนขายน่ารักครับ” ผมกวาดสายตาไล่มองไปเรื่อยๆ เห็นลูกค้าที่มากินมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ พอหันมามองตรงโต๊ะตัวเองก็เห็นกระปุกเครื่องปรุงที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปดอกไม้เล็กๆเรียงกัน น่ารักมากเลย
“น้ำเคยมาร้านนี้รึป่าว” ผมละสายตากลับมามองพี่ภูที่วางแก้วน้ำตรงหน้า
“น้ำมาครั้งแรก” ผมส่ายหัวน้อยๆตอบพลางยกแก้วสแตนเลสดื่มน้ำ
“กลิ่นใบเตย” หอมจัง ผมชอบกลิ่นใบเตยมากๆครับ จำได้ว่าเมื่อก่อนเวลาไปกินข้าวตรงรถเข็นข้างทาง บางร้านจะเอาใบเตยแช่น้ำเปล่า เวลาดื่มรู้สึกหอมๆเย็นๆ แล้วก็เหมือนน้ำจะหวานหน่อยๆด้วย
“ชอบเหรอครับ” พี่ภูถามยิ้มๆ
“ชอบมากครับ” ผมพยักหน้ารัวๆยืนยัน
“ไว้พี่พามากินบ่อยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นานๆทีน้ำจะได้ออกมากินข้าวนอกบ้าน”
“หืม ทำไมล่ะ น้องน้ำอยู่บ้านคนเดียวไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่เชิงครับ คือเวลาแม่ไม่อยู่คีจะมาอยู่เป็นเพื่อน บางวันก็จะทำกับข้าวให้กินด้วย แต่ว่าบางทีจอมก็ทำให้กิน”
“อืม งั้นเหรอ”
“ผัดไทยห่อไข่ไม่ใส่ถั่วงอก กับผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดได้แล้วค่ะ” พอผมเห็นคนเสิร์ฟก็ต้องประหลาดใจ
“น้องอัย”
“นึกว่าใคร พี่น้ำนี่เอง อัยมองอยู่เชียว คิดว่าหน้าคุ้นๆ”
“บ้านน้องอัยขายผัดไทยเหรอครับ”
“ค่ะ แล้วพี่น้ำมากับพี่ภูได้ไงคะเนี่ย” น้องพยักหน้ารับยิ้มๆแล้วหันไปมองพี่ภู
“อ๋อ พี่แวะไปเที่ยวบ้านน้ำหน่ะ เลยพามาหาอะไรกิน”
“แล้วมากันสองคนเหรอคะ”
“ครับ วันนี้มากันสองคน แต่เอาไว้วันหลังพี่น้ำจะพาเพื่อนมาก็แล้วกันเนอะ” ผมมองน้องอัยพลางยิ้มแซว น้องอัยหน้าแดงขึ้นมาทันทีเลยครับ
“เอ่อ งั้นทานให้อร่อยนะคะ เดี๋ยวอัยขอตัวไปเสิร์ฟโต๊ะอื่นก่อน”
ผมได้แต่ยิ้มตอบน้องเค้าไป
ระหว่างกินผัดไทย ผมก็กินไปมองนาฬิกาไป แอบกังวลนิดๆ
“กินผัดไทยแล้วไปกินไอติมมั้ย” พี่ภูที่กินเสร็จแล้วจิบน้ำก่อนถามผม
“คือ วันนี้น้ำยังไม่ไปกินได้รึป่าวครับ น้ำอิ่มแล้ว” ความจริงผมอยากกินมากๆ แต่ว่าไว้ค่อยไปวันหลังก็ได้เนอะ
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งน้ำที่บ้านเลยแล้วกัน”
ขากลับผมนั่งซ้อนรถไปเงียบๆ พลางพะวงถึงคนที่บ้านว่าจะกลับมารึยัง
“อ๊ะ” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างปลิวเข้าตา
ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร รู้แต่ว่าเคืองตาแล้วก็แสบมากๆเลย ผมพยายามใช้มือไล้ขอบตาล่างและกระพริบตาถี่ๆ
“น้องน้ำ เป็นอะไรรึป่าวครับ” พี่ภูจอดรถตรงประตูรั้วหน้าบ้านผมแล้วหันมาถาม
“อะไรก็ไม่รู้ปลิวเข้าตาน้ำ” ผมตอบพลางใช้มือขยี้ตา
“อย่าขยี้ตา เดี๋ยวพี่ดูให้” พี่ภูบอกพลางจับมือผมให้หยุดขยี้
ผมได้แต่กระพริบตาถี่ๆ
พี่ภูค่อยๆจับหน้าผมแล้วใช้นิ้วโป้งรั้งตรงผิวแก้ม
ขอบตาล่างผมรู้สึกเย็นๆ
“เจอแล้ว ตัวนิดเดียวเอง” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับใช้นิ้วเกลี่ยตรงขอบตา
ผมหลับตาและใช้มือขยี้น้อยๆ
“น้ำ อย่าขยี้ตา” พี่ภูบอกพลางจับมือผมไว้
“แต่น้ำเคืองตา”
“งั้นหลับตาเดี๋ยวเดียวก็หาย พี่นับหนึ่งถึงยี่สิบแล้วค่อยลืมตา โอเคมั้ย”
“ครับ” ผมหลับตาฟังเสียงพี่ภูที่ค่อยๆนับหนึ่งจนถึงยี่สิบ
“หายรึยัง” พี่ภูถามเมื่อผมลืมตา
“หายแล้วครับ”
“คราวหลังห้ามขยี้ตานะ ให้หลับตาแล้วนับหนึ่งถึงยี่สิบในใจก่อน ถ้าไม่หายค่อยว่ากัน”
ผมได้แต่พยักหน้ารับ
“ดึกแล้วพี่ภูกลับเถอะครับ” ผมมองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว
“น้ำอยู่คนเดียวได้รึป่าว”
“ได้สิครับ วันนี้รบกวนพี่ภูตั้งหลายเรื่อง ขอบคุณมากนะครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยพี่ภูบอกน้ำได้เลย”
“ครับ ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยโทรหาพี่นะ” พี่ภูควบมอเตอร์ไซค์แล้วสวมหมวกกันน็อค
“บ๊าย บาย” ผมโบกมือให้พี่ภูที่กำลังสตาร์ทรถ
“น้ำเข้าบ้านก่อน เดี๋ยวพี่ค่อยไป” พี่ภูมองมานิ่งๆประมาณว่าจะไม่ขยับถ้าผมไม่ยอมเข้าบ้าน
ผมเลยเดินเข้าบ้านแล้วล็อคประตูรั้ว
“ขี่รถดีๆนะครับ” ผมบอกพี่ภูก่อนหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน
ผมมองตรงโรงรถก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์คีจอดอยู่ สงสัยกลับมาแล้ว
พอเปิดประตูบ้านเข้าไปผมก็เห็นคีนั่งดูทีวีอยู่ตรงโซฟา
“คีไปไหนมา ไหนบอกว่าจะช่วยกันลงต้นโมกข์ไง” ผมนั่งลงข้างๆคีที่ถือรีโมทจ้องจอทีวีนิ่ง
“น้ำล่ะไปไหนมา” คีถามผมกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“น้ำไปกินข้าวกับพี่ภูมา คีกินอะไรมารึยัง” ผมตอบคีด้วยความรู้สึกหวั่นๆในใจ ผมรู้ว่าท่าทางแบบนี้ คีคงหงุดหงิดหรือโมโหอะไรซักอย่าง
“สนใจด้วยเหรอ คีโทรไปทำไมไม่รับ” คีหันควับมาจ้องผมด้วยสายตาน่ากลัว
“น้ำลืมโทรศัพท์หน่ะ ขอโทษทีนะ” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกน้อยๆแล้วตอบออกไป
“ลืมหรือจงใจไม่เอาไปกันแน่”
“ทำไมคีพูดแบบนี้ล่ะ น้ำลืมเอาไปจริงๆนะ” ผมเริ่มรู้สึกฉุนนิดๆ ไม่รู้ว่าโมโหอะไร แต่ทำไมต้องมาหาเรื่องเราด้วย
“ทำไม หรือว่าไม่จริง เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกับไอ้พี่ภูบ่อยจริงนะ ชอบมันรึไง” คีพูดพร้อมกับบีบแขนผมแน่น
“คี น้ำเจ็บนะ” ผมพยายามแกะมือคนตรงหน้าออก แต่ก็ไม่เป็นผล
“คีจับแค่นี้เจ็บ ต้องให้ไอ้พี่ภูมันจับสินะถึงจะไม่เจ็บ”
“คีไม่มีเหตุผลเลย แล้วพี่ภูมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ว่าแค่นี้ทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันด้วย น้ำชอบมันใช่มั้ย” คีตะคอกพร้อมกับบีบแขนผมแรงขึ้น
“น้ำเจ็บ” ผมนิ่วหน้าน้อยๆและพยายามสะบัดแขน
“บอกคีมา น้ำชอบมันใช่รึป่าว” คีกระชากผมเข้าหาตัวพลางพูดเสียงดัง
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม น้ำชอบพี่ภู พี่ภูใจดี มีเหตุผลไม่เหมือนใครบางคน” ผมตะโกนตอบพลางจ้องคีนิ่ง ทั้งเจ็บทั้งโมโหจนน้ำตาคลอ
“อ๋อ ใช่สิ ชอบมันมาก ชอบจนต้องยืนจูบลากับมันหน้าบ้าน” ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ผมกับพี่ภูไม่เคยทำอะไรแบบนั้นซักหน่อย
“เปล่านะ” ผมพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องมาปฏิเสธ คีเห็นถึงได้พูด คนอุตส่าเป็นห่วง ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ สู้ไม่กลับมาซะดีกว่า” ไม่เข้าใจ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา คีจำใจทำอย่างนั้นเหรอ
“ถ้าลำบากนัก ก็ไม่ต้องมา ถ้าจะเป็นห่วงกันแต่ลำบากใจก็ไม่ต้องมาเป็นห่วง” พูดเองก็เจ็บเอง ใจมันปวดไปทั้งดวง
“นี่น้ำเห็นคนอื่นดีกว่าคีเหรอ ในใจน้ำมีแต่มันใช่มั้ย เดี๋ยวนี้คงรำคาญคีมากสินะ”
“แล้วคีล่ะ เคยคิดบ้างมั้ยว่าน้ำรออยู่ คีไปที่ไหนกับใครน้ำไม่เคยห้าม แล้วทำไมคีต้องพูดกับน้ำแบบนี้” ผมพูดพลางกัดปากแน่น ไม่เอา อย่าร้องนะ
“ดี งั้นต่อไปนี้คีจะไม่ยุ่งอีก น้ำจะทำอะไร จะไปกับใครก็เชิญ” คีเหวี่ยงผมลงโซฟาก่อนปิดประตูเสียงดัง เสียงรถมอเตอร์ไซค์ค่อยๆแผ่วหายไป
ผมได้แต่นอนนิ่งอยู่ตรงโซฟา ในอกมันหน่วงไปหมด กลั้นน้ำตาจนปวดแก้ม คนใจร้ายแบบนี้ไม่สมควรจะต้องเสียน้ำตาให้
“น้ำ น้ำ” ผมสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัว พอลืมตามองก็เห็นว่าเป็นจอม
“ทำไมมานอนตรงนี้ ลุกไปนอนบนห้องเร็ว” ผมกระพริบตาถี่ๆเรียกสติ ก่อนลุกขึ้นนั่งมองจอมที่ยืนอยู่
“ไม่ง่วงแล้วล่ะ เดี๋ยวน้ำไปอาบน้ำดีกว่า” ผมตอบจอมเมื่อเห็นว่าเช้าแล้ว
“ลงมากินข้าวด้วยกันนะน้ำ จอมกำลังจะทำกับข้าว”
ผมพยักหน้าเบาๆก่อนเดินขึ้นบันไดไปบนห้อง
“จอม กูว่านี่เค็มไปนะ”
“พอดีแล้ว พอเลย ห้ามใส่น้ำตาล”
เสียงฟิวกับจอมทะเลาะกันในครัวทำให้ผมเร่งฝีเท้าเดินไปดู ถ้าฟิวมา บางทีคีก็อาจจะกลับมา
“ไงน้ำ ตาโหลเป็นหมีแพนด้าเลย เมื่อคืนหลับดึกใช่ป่าว” ฟิวทักผมที่ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้
“ก็...ทำนองนั้นแหละ” ผมตอบยิ้มๆแล้วนั่งท้าวคางมองจอมทำกับข้าว ส่วนฟิวเดินมาเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงข้าม
“น้ำ แขนไปโดนอะไรมา” ฟิวจับแขนผมไปดูแล้วเอ่ยถาม
“ใครทำ” ผมได้แต่นั่งเม้มปากมองโต๊ะ
“ไอ้คีใช่มั้ย” ผมยังคงนั่งก้มหน้า บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่อึมครึมจนน่าอึดอัด
“จอม มึงรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ลากกูมาแต่เช้า”
“น้ำ บอกฟิวมาซิ ไอ้คีมันทำน้ำเจ็บใช่รึป่าว แล้วมันอยู่ไหน” ฟิวพูดเสียงนิ่งพร้อมกับหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ฟิว พอเถอะนะ” ผมจับมือฟิวไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะผลุนผลันออกไป
“เฮ้อ ก็ได้ๆ แล้วประคบเย็นรึยัง” ฟิววางกุญแจรถที่เดิมแล้วเดินมาจับแขนผมดูอีกครั้ง
ผมส่ายหน้าน้อยๆ
“มานั่งนี่เร็ว เวลาเป็นแผลช้ำแบบนี้ต้องประคบเย็นก่อนนะ ถ้าครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วค่อยประคบร้อน เข้าใจป่าว” ฟิวพูดกับผมแล้วเอาถุงประคบเย็นในตู้เย็นมาวางไว้ตรงรอยช้ำ
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็พากันมานั่งดูทีวี
“Flabjack นายลองทำแบบที่นายเคยทำทุกวันซิ...” (เสียงจาก cartoon network)
“น้ำ บอกฟิวได้มั้ยว่าทะเลาะอะไรกัน”
ผมได้แต่ส่ายหัว ไม่ใช่แค่ไม่อยากตอบ แต่เพราะผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร
“โอเค ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ฟิวอยู่ข้างน้ำอยู่แล้ว”
ผมโผเข้ากอดฟิวทันที
“รักฟิวจัง”
“รักเท่าไหน” ฟิวถามแล้วกระชับกอด
“รักเท่า เท่าอะไรดีน้า” ผมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินบทสนทนาเดิมๆเวลาเรากอดกัน
“อ้าว รักกันจริงป่าวเนี่ย คิดนานเว้ย”
“รักเท่าฟ้า”
ผ่านไปสามวันแล้ว สามวันที่ผมไม่ได้เจอคี
“น้ำ ดึกแล้วนะ ไปนอนเถอะ จอมง่วงแล้ว” เสียงจอมเรียกผมที่นั่งไกวชิงช้าเบาๆ
ผมลุกตามจอมเข้าไปในบ้านและล้มตัวลงนอน ผมนอนตรงกลาง ข้างซ้ายคือจอมและข้างขวาคือฟิว
แม้จะปิดไฟแล้วแต่ผมยังคงลืมตาอยู่ในความมืด มองน้องผสมที่อยู่ในอ้อมกอดก็ได้แต่นึกถึงคนให้ ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้หายไปไหน ผมไม่เจอคีที่โรงเรียน จอมเองก็ไม่ยอมพูดอะไร
ผมนั่งรถไปโรงเรียนกับพี่ภูทุกเช้า
“น้องน้ำเป็นอะไรรึปล่าวครับ”
“น้ำแค่นอนไม่ค่อยหลับหน่ะครับ”
ผมตอบพี่ภูก่อนหันมองตรงกระจกรถ พี่ภูถามผมแบบนี้ทุกวัน ผมเองก็ตอบแบบนี้ทุกวัน
เช้าๆแบบนี้ทุกคนดูรีบเร่ง ขณะติดไฟแดง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่สัญญาณไฟ รอว่า เมื่อไหร่จะไฟเขียวซักที
รถมอเตอร์ไซค์ขับมาออกันอยู่ข้างหน้า
“คี” ผมเห็นคี ใส่ชุดนักเรียนขับมอไซค์ติดไฟแดงอยู่ซ้ายสุดของถนน
ผมลดกระจกและตะโกนออกไป
“คี” ผมรีบปลดเข็มขัดและปลดล็อกประตู
“ไม่ได้นะน้องน้ำ ไฟเขียวแล้ว” พี่ภูจับแขนผมไว้ก่อนที่ผมจะทันเปิดประตูรถ
รถค่อยๆเคลื่อนออกไป ผมมองคีที่กำลังมองมาทางนี้
สายตาเหมือนมองคนไม่รู้จักกัน และผู้หญิงที่นั่งป้ายข้างซ้อนท้ายอยู่ มือบางเกาะอยู่ที่เอวคี
ผมรู้สึกแสบจมูก กระบอกตาร้อนผ่าว
ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจทั้งหมดแล้ว
“...น้ำ น้องน้ำ” ประตูรถที่ถูกเปิดออกและใบหน้าของพี่ภูที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมผงะ
“ถึงโรงเรียนแล้วนะครับ”
ผมสะพายกระเป๋าและก้าวลงรถ
“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณพี่ภูเมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง
ไม่รู้ว่าผมพูดกับใครไปบ้าง กินข้าวกลางวันกับอะไร เรียนถึงไหน รวมทั้งมาถึงบ้านได้ยังไง รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงจอมดังอยู่ตรงหน้า
“น้ำ กินข้าวเถอะนะ” จอมพูดพร้อมกับเอาช้อนมาจ่อไว้ตรงปากผม
ผมอ้าปากงับช้อน แต่กลับไม่รู้สึกถึงรสชาติของกับข้าวในปาก แม้แต่จะกลืนผมยังรู้สึกว่ายากลำบากเต็มทน
“จอม น้ำอิ่มแล้ว” ผมมองจอมด้วยสายตาเว้าวอน เมื่อรู้สึกตื้อในอกจนทนไม่ไหว
“จอมขอร้อง กินอีกนิดนะน้ำ เดี๋ยวปวดท้องเหมือนวันก่อนล่ะแย่เลย”
“ไม่อร่อยเหรอ กินโจ๊กมั้ย เดี๋ยวจอมไปทำให้”
ผมได้แต่ส่ายหน้า
พออาบน้ำเสร็จ ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวและตัวรุมๆเหมือนมีไข้ ขณะก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายผมรู้เลยว่าหน้ามืด ความรู้สึกสุดท้ายคือตัวที่ทิ้งดิ่งลงไปบนพื้น ร่างกายหนักจนลุกไม่ไหว
อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้ผมเบียดตัวเข้าหา สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากและอ้อมแขนที่กระชับปลุกผมให้ลืมตาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
ภาพตรงหน้าคือคีที่นอนตะแคงมองตรงมา ผมเอื้อมมือไปไล้ใบหน้านั้นน้อยๆ บนศีรษะพันผ้าพันแผลไว้ ผมเอื้อมมือไปลูบเบาๆตรงรอยเลือดที่ซึมออกมา
ใบหน้านั้นค่อยๆเคลื่อนเข้ามา คีหลับตาแล้วรั้งท้ายทอยผมเข้าหา ก่อนเอียงหน้าน้อยๆประกบปากลงมา ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆก่อนทุบอกคนตรงหน้า แต่แรงที่มีคงน้อยเสียจนเหมือนสะกิดเบาๆ คีเพียงแค่แตะปากไว้อยู่อย่างนั้น ลมหายใจผมร้อนผ่าว ในหัวมึนงงไปหมด ผมหลับตาลง สัมผัสเปียกชื้นตรงริมฝีปากและลิ้นที่เข้ามา เนิ่นนานจนผมรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน คีค่อยๆถอนริมฝีปากแล้วแตะเบาๆอีกสองสามครั้ง
ผมได้แต่หลับตาซุกลงกับอ้อมกอดนั้นแล้วจับเสื้อคีไว้แน่น
“ขอโทษนะ” เสียงกระซิบและสัมผัสตรงกลุ่มผมทำให้ผมค่อยๆจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ตอนนี้นี่มีหลายอารมณ์ไงก็ไม่รู้เนอะ
@ คุณ iforgive นั่นสิ ไม่เข้าใจเค้าจริงๆ
แต่ว่าแต่ละคนคงมีเหตุผลเป็นของตัวเองเนอะ ในตอนนี้คือคีคงสับสนและไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดีหน่ะค่ะ
@ คุณ kasarus เรื่องคู่พี่ภูกับน้องจอมไว้ค่อยว่ากันอีกที อ่านตอนนี้รับรองว่าจะเคืองมากกว่าเดิมนะจ๊ะ
@ คุณ yeyong งานเข้าอย่างรุนแรงเลยล่ะค่ะ (ทายเก่งจัง เม้นมาทีไรตรงกับที่วางไว้เลยอ่ะ แต่ความจริงนิยายมันก็มีไม่กี่พล็อตอ่ะเนอะ)
@ คุณ takara พูดอีกก็ถูกอีก คนโทรหาน้องน้ำมีไม่กี่คนหร้อก แล้วเป็นไง โทรแล้วไม่รับ น้องน้ำน่วมเลย
@ คุณต้นข้าว นั่นสิ ทิ้งน้ำไปได้ไงอ่ะ ไหนบอกต้องดูแลไง แต่ความจริงคีเค้าก็มีมุมของเค้าเหมือนกันเนอะ อยากให้ลองนึกๆย้อนไปถึงความรู้สึกคีในตอนเก่าๆดูหน่ะค่ะ อาจพอเข้าใจว่า ทำไมเจ้าตัวเค้าถึงทำอะไรแบบนี้
@ คุณ Ipatza อ่านตอนนี้แล้วรับไม่ได้แหง๋ๆ ไอ้บ้าคีกลับมาแล้วโกรธน้ำแน่นอน บีบน้องน้ำเกือบแหลกคามือ(เวอร์ไป) วันนี้เค้ามาต่อเร็วแล้วน้า
@ คุณ aloney คุณคือบุคคลหายาก ในที่สุดคีก็มีแฟนคลับกับเค้าซักที
ปลาบปลื้มแทนเจ้าตัวเค้าจริงๆ (มีแต่คนชอบพี่ภูนะ อิ๋งก็ชอบ กร๊ากกกก)
คือคนอ่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน วันที่ยี่สิบแปดนี้อิ๋งจะสอบแล้ว ก็เลย
แบบว่า อาจมาช้าบ้าง อะไรบ้าง อย่าลืมกันนะ