บทที่ 30
“ชิพ…กูอยู่นี่แล้ว”
ตอนแรก ไม่กล้าหยิบมือของชิพขึ้นมากุมไว้ แต่อดห้ามใจไว้ไม่ไหว…มือของชิพยังคงอบอุ่น ผมอยากถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดให้ชิพรับรู้ อยากถ่ายทอดพลังชีวิตเท่าที่มีให้ชิพ…เพื่อให้มันอยู่กับผม…จากนั้นฟุบลงกุมมือมันไว้แนบหน้า แล้วเริ่มต้นร้องไห้
“ชิพ…มึงรู้มั้ย กูรู้สึกผิดมากมายแค่ไหน…กูไม่น่าทำในสิ่งที่ต้องให้มึงเสียใจ กูขอโทษ…เรื่องเมื่อวานทุกอย่างเป็นเพราะความงี่เง่าของกูเอง กูขอโทษ…ขอโทษ”
“แต่เพราะกูเจ็บใจ…ที่ตลอดห้าปีที่ผ่านมามึงปล่อยให้กูรอคอย กูอยากให้มึงลิ้มรสความรู้สึกแบบนั่นบ้าง…แต่มันกลับทำให้กูเจ็บปวด ทุกครั้งที่กูคิดถึงมึง กูจะร้องไห้อยู่ข้างใน”
“…แม้ว่ามึงจะบอกเหตุผล แต่กูหลอกตัวเองทำเป็นไม่เชื่อมึง ความจริงลึกๆข้างในแล้วกูรู้อยู่เต็มอก และเชื่อมึงตลอดมาว่าสักวันชิพจะกลับมาหา…และมึงยังคงรักกูอยู่”
“กูไม่เคยหมดหวังเลย แต่มันก็เหนื่อยเหลือเกิน จนกลายเป็นความเกลียด…กระทั่งมึงกลับเข้ามาในชีวิตของกูอีกครั้ง มึงคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของกูนะชิพ…”
“เวลาที่มึงโมโหร้าย ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่ทำให้กูหงุดหงิดมากๆจนอยากฆ่ามึง…ฮึๆ แต่เวลาที่กูได้มึงอยู่ในอ้อมแขน กูรู้ว่าชีวิตนี้คงไม่มีอะไรที่ดีไปมากกว่านี้แล้วนอกจากมึง”
“กูพยายามต่อต้านมึง แต่การทำอย่างนั้นยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง กูขอโทษนะ…ที่ทำให้มึงเสียใจ กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องช้ำใจ แต่กูไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ…กูไม่เคยบอกรักบอย หรือแอล หรือใครทั้งนั้น…ในใจกูมีแต่มึงเพียงคนเดียว เพียงคนเดียว…”
ผมคร่ำครวญเป็นฉากๆ…สารภาพความในใจทุกอย่างออกมา หมดเปลือก…
“แม้ว่ากูจะพยายามลืมเรื่องของเราสองคน แต่คืนนั้น…คืนที่ชายหาด กูทำสัญญากับมึงแล้วว่ากูจะเป็นของมึงตลอดไป…ชิพ…ฟื้นขึ้นมาแล้วบอกกับกูได้มั้ยว่ามึงยังรักกูอยู่ ได้มั้ย?”
ผมบีบมือชิพไว้แน่น…”ชิพ ถ้ามึงได้ยินที่กูพูด…รับรู้ชีพจรของกู อยากให้มึงรู้ไว้ว่า…กูรักมึง รักมึงมาก…กูรักมึงที่สุด…กูไม่ขอสัญญาอะไรทั้งนั้นนอกจากจะรักมึงคนเดียว ผู้เดียว ตลอดไป…และนอกจากความสุขที่กูอยากมอบให้มึง กูก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว…แค่คนที่รักมึงสุดหัวใจคนหนึ่ง…”
“กูยอมทุกอย่าง…ยอมทุกอย่าง แต่มึงอย่าเป็นอะไรนะชิพ กูขอร้อง…”
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจซิ…ต่อไปนี้กูจะยอมทุกอย่าง ยอมให้มึงปราบพยศตลอดไป…”
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ใช่ม่ะ?”
อ๊ะ! ก็ผมอยู่คนเดียวในห้องกับไอ้ชิพ…มันหลับอยู่ แล้วใครจะพูดได้นอกจาก…
“ชิพ!”
เงยหน้ามองมันอึ้งๆ ไอ้ชิพที่มีผ้าก็อตแปะแผลไว้บนหน้าผากยิ้มเผล่ หรี่ตามองผมข้างเดียวอย่างหยอกล้อ ไอ้…ไอ้บ้า! ไอ้คนผีทะเล!@#$%~~
“มึง…มึงหลอกกูเหรอ?”
ผมเสียงสั่น…จะด้วยเพราะความโมโหหรือตื่นเต้นก็ไม่รู้ล่ะ
แต่ตอนนี้ผมดีใจ และมีความสุขที่สุดในโลกเลยล่ะ
“เปล่าหลอกนะ…แค่ต้องวางแผน แล้วก็ให้ไอ้นั่นร่วมมือด้วยนิดหน่อย”
ชิพพยักพเยิดไปตรงประตู เป็นแอลที่ชะโงกหน้าเข้ามามองพวกเรายิ้มๆ…ชิพก้มหัวขอบคุณ ส่วนไอ้แอลทำท่าตะเบ๊ะเท่ห์ๆ…แต่ผมว่าดูหน้ามันเศร้าๆนะ
“แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่าล่ะ”
ผมปาดน้ำตา พลางทุบมันลงไปที่อกบึกๆแรงๆหนึ่งที มันทำร้องโอดโอย แหม ไอ้สำออย
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ…ความจริงขับรถชนตั้งแต่เมื่อวาน…แค่หัวแตกเท่านั้นเอง”
ยังดีนะ แค่หัวแตก ผมสบตามันผ่านม่านน้ำตาแล้วหัวเราะ ฮ่าๆๆ~~~ชิพดึงตัวผมขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน มันสวมกอดผมไว้ เอานิ้วเกลียไล่น้ำตาออกไป แสนอ่อนโยน…จนผมต้องหลับตาเคลิบเคลิ้ม ตักตวงความรู้สึกนี้ไว้ให้ได้นานมากที่สุด
“ร้องไห้ทำไมล่ะ ฮื้อ? คนเก่ง”
หัวของผมซุกลงไปในอกของชิพ อบอุ่น…อบอุ่นเหมือนบ้าน…
“…ก็แค่ ผงเข้าตา”
“อื้อ ผงเข้าตาไม่ร้องขนาดนี้หรอก คิดถึงกูอ่ะดิ”
แทนที่ผมจะโวยวายตามประสา กลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย…มันลูบหัวผมอย่างกับเด็ก เต็มไปด้วยความทะนุถนอม และความอ่อนหวาน
“ขอบคุณนะ…ที่ในที่สุดก็พูดความจริงทั้งหมด ขอบคุณนะ…”
คำพูดของมันขาดหายไป ผมเอานิ้วแตะริมฝีปากคู่นั้นไว้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นริมฝีปากของผมแทนที่หยุดคำพูดของมัน…เพียงหลับตาลงความปวดร้าวทั้งหมดพลันมลายจางหายไป วินาทีที่มีชิพไว้ในอ้อมกอด…ช่างสรรหาคำบรรยายใดๆมาอธิบายได้ยากเย็นจริงๆ
“คืนนี้ไปนอนค้างที่ห้องนะ?”
หือ…คนบ้า เพิ่งจะเจ็บหนักหยกๆ ยังมีอารมณ์มาคิดทำเรื่องพรรค์นั้นอีก >///<
ผมส่ายหน้ายิก
“ทำไมอ่ะ? กลัวติดไข้เหรอ หายแล้วนะแต่…เค้าบอกว่าวิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือ…”
ไอ้ชิพกระซิบใส่หูผม เชี้ย…กูเสียวนะเฟ้ย!!!
นี่ถ้าไม่ถือว่าอยู่ในโรงบาลฯแล้วล่ะก็…>o<
ผมทุบมันอายๆ (อ๊างส์~~)
“นี่อย่าบอกนะว่าจะถอนคำพูดเมื่อกี้คืนแล้ว”
“ไม่หรอก…”
ไอ้ชิพหัวเราะร่า (ได้ทีเชียวนะมรึง =_=”) “ฮ่าๆๆ ดูซิ หน้าแดงหมดแล้ว ขอหอมแก้มทีดิ”
มันไม่ทันได้ปฏิเสธอ่ะคับ จุ๊บ >.+”~~~ไอ้ชิพขโมยความหอมไปไว้ที่ปลายจมูกโด่งของมันเรียบร้อยภายในเสี้ยววินาที >///<
ผมปิดประตูลงเบาๆ ไม่ให้รบกวนชิพซึ่งนอนหลับเพราะฤทธิ์ยา คุณหมอเพิ่งเข้ามาดูอาการและให้ชิพกินยาเพื่อนอนหลับพักผ่อนได้มากๆ เวลานี้เย็นมากแล้ว ผมควรกลับบ้าน ไม่อยากปล่อยแม่ไว้คนเดียวนานๆ
“เดี๋ยว”
เสียงเย็นเชียบดังขึ้น ผมหันไปมอง…ภาพที่เห็นเป็นสตรีสูงวัยท่านหนึ่ง สวย คม และมีแววตาที่ดุดันคมกริบเยี่ยงผู้ชาย…ลักษณะท่าทางการแต่งตัวประณีตสวยงาม ดูเป็นคนมีฐานะร่ำรวย ยิ่งน้ำเสียงและกิริยาเปี่ยมอำนาจ…ทำให้ผมคิดว่าต้องเป็นท่านผู้ใหญ่มาจากไหนแน่ๆ
“จ้องอะไรฉัน?”
ผมส่ายหน้า “ปะ…เปล่าครับ”
บรรยากาศรอบๆตัว ณ เวลาที่ยืนพูดถามคำตอบคำกับผู้หญิงคนนี้ช่าง…อึดอัด ความกดดันและรังสีประหลาดแผ่กระจายออกมาโดยรอบ เพราะมีร่างระหงยืนอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างเลยช่างดู…เอ่อ น่ากลัว
อากาศเย็นลงๆ…เรื่อยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ
“เธอเป็นเพื่อนนายชิพหรือ?”
“ครับ…”
“แต่ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอนะ”
ท่านหรี่ตาลง ชั่ววูบนั้นผมสัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่าง ความสงสัย?...ท่านมองเหมือนจะพินิจจับผิดผม แต่แล้วมันก็ผ่านไป
เฮ้อ หายใจไม่ทั่วท้อง (-_-“)
“ผม เอ่อ ผมเป็นเพื่อนเก่าของชิพน่ะครับ”
“งั้นเหรอ? เหมือนฉันเคยเห็นเธอเหมือนกัน”
น้ำเสียงสูงขึ้นจมูก ไม่ชอบฟังเลยแฮะ…กระนั้นผมก็ต้องตอบไป เหมือนโดนบังคับให้พูดเอง และยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น หนีไปไหนไม่ได้
“เธอคงเป็นเพื่อนเก่าเขามากซินะ”
“ตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าครับ…”
“โรงเรียนเก่า?”
ท่านตาวาวขึ้นมา คล้ายบรรลุอะไรบางอย่าง (o_O*) แต่แล้วประกายตาน่ากลัวนั่นก็จางหายไป…กลับเป็นแววตาคมกริบที่ยังคงน่ากลัวอยู่ดีน่ะแหละ =_=”
“ฉันเป็นย่าของเขา…หลานฉันอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
โอ้พระเจ้า! นี่หรือคือย่าของชิพ
พอรู้ความจริงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ผมดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ยืนขาสั่นมือสั่นอยู่ตรงนั้น
“ฉันจะบอกเขาให้ว่าเธอกลับแล้ว...แต่นี่ยัยอุ๋มทำไมถึงไม่มาเยี่ยมเขาสักที? อะไรกัน ทั้งที่เป็นคู่หมั้นหลานชายฉันแท้ๆ...ทำแบบนี้คงต้องรายงานคุณหญิงลักษณากันหน่อยแล้ว...”
ท่านบ่นๆแล้วก้าวผ่านผมเข้าไป เฮ้อๆๆๆ เฮ้อเป็นล้านรอบเลยครับ! หายใจไม่ทั่วท้องจริงๆเมื่อรู้ว่าเมื่อกี้กำลังพูดอยู่กับย่าชิพ…ย่าตัวจริงที่แสนน่าเกรงขาม น่ากลัวจริงๆ…ผมคิดถึงคำพูดของแอล ก็คงจริงของมัน ที่ว่าไม่มีใครอยากมีย่าน่ากลัวแบบนี้หรอก…
มันไม่ใช่หน้าตา แต่เป็นบุคลิคที่น่ากลัวของย่าชิพ สะกดผมให้รู้สึกประหม่ามาก ยิ่งโดนจ้องจับผิดแบบนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่…
ผมตั้งสติไม่ให้มือสั่น แค่พบกันครั้งแรก ยังเป็นได้ถึงขนาดนี้
แล้วชิพที่ต้องเผชิญกับอารมณ์นั้นมาตลอดชีวิตล่ะ…มันจะเป็นไง
…สงสารชิพจริงๆ...
โปรดติดตามตอนต่อไป