เรื่องการใช้คำว่า "คนพิการ" นั้นผมถามเจ้าของเรื่องแล้วครับ เขาให้ใช้คำนี้
มันมีความแกร่ง แข็งแรง จริงใจและดูเป็นมนุษย์เหมือนคนทั่วไป
การใช้คำว่า "คน" ก็เพื่อที่จะบอกว่าคนพิการเป็น "คน" นั่นเอง
ส่วน "ผู้พิการ" เป็นคำสุภาพ ดูมีมารยาท เสแสร้ง บางครั้งก็เลยเถิดไปคล้ายๆ ผู้ป่วย
คนพิการเขาบอกว่าเขาไม่ได้ป่วย ก็เลยไม่อยากใช้คำนี้ครับ
ผมก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาบ้าง ก็เลยรู้ว่าในกฎหมายก็ใช้คำว่า "คนพิการ" ไม่ใช่ "ผู้พิการ" ครับ
แต่ก็คงแล้วแต่เราจะสะดวกใจว่าจะเรียกแบบไหน▙▜ รักนี้มีล้อ ◯ น้องเก้า VS พี่แตซอง ▛▟CHAPTER 15 ◉☥ ช่วงเวลาสุดท้าย ทุกคนคงคิดไปไกลแล้วว่าผมคงมีอะไรกับพี่แตซองแล้ว ยังหรอกครับ พอถึงบทจะทำจริงๆ ขึ้นมา พี่แตซองก็บอกว่า
"อย่าดีกว่าเก้า พี่ไม่อยากให้เก้าเข้าใจว่าพี่เป็นคนเห็นแก่ได้ ถึงแม้ว่าเก้าจะเต็มใจก็เถอะ"
ผมก็เลยต้องหยุดครับ แอบเซ็งเล็กน้อย ใครว่าล่ะ ต่างคนต่างได้ต่างหาก แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจที่พี่แตซองเป็นสุภาพบุรุษ ช่างเป็นพี่ที่น่ารักเสียจริงๆ เลย
"ครับ"
"คิดๆ ไปแล้ว พี่ก็รู้สึกเหมือนคนเสียสติ พี่ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะสามารถชอบผู้ชายด้วยกันได้ ในสังคมเกาหลี พี่ถูกสอนให้เป็นผู้ชาย และถ้าผู้ชายคนไหนเป็น...เอ่อ...ทำตัวเหมือนผู้หญิง เขาก็จะถูกรังเกียจอย่างมาก พี่ก็คิดว่าพี่เป็นผู้ชายนะเก้า แต่พี่ก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย ทำไมมันถึงเกิดกับพี่ได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
พี่แตซองพูดเหมือนเพ้อ ผมก็เข้าใจพี่แตซองอยู่หรอก พี่แตซองคงสับสนอย่างมาก ผมเองก็เชื่อว่าพี่แตซองเป็นผู้ชาย เท่าที่รู้จักกันมา พี่แตซองก็ไม่ได้มีท่าทางหรือพฤติกรรมใดที่ส่อว่าจะไม่ใช่ผู้ชายเลย
"แต่เลิกคิดดีกว่า มันเกิดขึ้นแล้ว คงไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดถึงมัน สิ่งที่ต้องคิดต่อไปก็คือเราสองคนจะทำยังไงต่อไปดี... ใช่ไหม"
พี่แตซองหันหน้ามาถามผม
"ตอนนี้ผมก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ"
"อืม...เอาไว้ค่อยคิดละกัน ตอนนี้พี่อยากอาบน้ำแล้วล่ะ"
"ครับ" ผมตอบรับแล้วก็ถามไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง
"พี่แตซอง พรุ่งนี้พี่คุยกับที่ศูนย์หน่อยได้ไหมครับว่าผมจะขอมาเป็น PA พี่ทุกวันจนถึงวันที่ผมกลับ"
พี่แตซองพยักหน้า คงเข้าใจที่ผมบอกเป็นอย่างดีว่าทำไม ผมช่วยพยุงพี่แตซองลุกขึ้นนั่งเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแล้วก็ทำท่าสูดดม หลับตาพริ้ม
"พี่แตซองตัวหอมจังครับ อุ่นด้วย"
"หอมหรือเปล่าไม่รู้ แต่อุ่นอาจจะใช่ เพราะพี่ยังไม่หายไข้ดีนี่นา" ตอบพร้อมขำ ผมก็เลยขำไปด้วย
พออาบน้ำเสร็จ ผมก็อาบบ้างครับ ตอนนอน ผมก็เลยได้นอนกอดพี่แตซองทั้งคืนเลยครับ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าความรักครั้งแรกของผมจะเกิดที่ต่างประเทศแถมยังเกิดกับคนพิการอีกต่างหาก ช่างเถอะ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ถ้าเขาเป็นคนที่ผมควรจะรักผมก็จะรัก
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
วันรุ่งขึ้น มีเรื่องให้ผมเซ็งและงอนเล็กน้อยเพราะพี่แตซองมีเพื่อนมาหาเต็มบ้านเลย คนที่ไม่ได้มาหาตอนอยู่โรงพยาบาลก็มาหาวันนี้แทน ที่ทำให้ผมเซ็งมากก็คือมีผู้หญิงคนหนึ่งมาคนเดียวแล้วก็คุยกับพี่แตซองเสียนาน ดูท่าทางจะคุยกันถูกคอมาก อย่างว่าแหละนะ ยังไงพี่แตซองก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายก็คือผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายพิการหรือไม่พิการก็เป็นผู้ชายอยู่ดี อ้อ เราไม่เรียกว่าผู้ชายปกตินะครับ เพราะถ้ามีผู้ชายปกติ ก็ต้องมีผู้ชายผิดปกติ พี่แตซองบอกผมว่าคนพิการไม่ใช่คนผิดปกติ แค่มีความแตกต่างทางกายภาพเหมือนที่เราทุกคนก็ต่างกันอยู่แล้ว
พี่แตซองคงดูออกว่าผมรู้สึกยังไง พอเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไปแล้วก็เข็นวีลแชร์มาบอกผมว่า
"อย่าคิดมาก"
สั้นๆ แต่ได้ใจความ ผมก็เลยยิ้มแหยๆ รู้สึกผิดที่ตัวเองคิดอกุศลมากเกินไป แถมพี่แตซองยังรู้ทันอีก
"เดี๋ยวตอนบ่ายๆ พี่จะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนะครับ ไม่ได้อยู่หลายวัน ไม่มีอะไรกินเลย"
ผมพยักหน้ารับรู้ ออกไปข้างนอกก็ดีเหมือนกัน ผมชอบไปซื้อของในซุเปอร์มาร์เก็ตกับพี่แตซอง ว่างๆ เราก็ทำอาหารกินกันเองด้วย
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ตอนไปซื้อของ มีอะไรแปลกๆ นิดหน่อย ผมก็ไม่เคยคิดว่าคนพิการจะเจออะไรแบบนี้ด้วย มีป้าแก่ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาทักพี่แตซอง ดูแกจะทึ่งมากที่เห็นคนพิการออกมาซื้อของข้างนอกได้ แถมยังหาว่าผมเป็นคนใช้ของพี่แตซองเสียอีก มีประโยคหนึ่งที่ป้าแกพูดแล้วทำให้พี่แตซองไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ประมาณว่า
"โถ...หน้าตาก็หล่อเหลา เสียดาย...ไม่น่าพิการเลย"
ตามประสาคนคิดยังไงก็พูดทันที พี่แตซองก็เลยตอบกลับด้วยเสียงเข้มๆ หน้าดุๆ
"ไม่น่าเสียดายหรอกครับ ผมมีความสุขกับชีวิตผมดีครับ" ว่าแล้วพี่แตซองก็บอกให้ผมพาไปซื้อของตรงบริเวณอื่นแทน
ผมว่าจริงๆ หลายคนคิดแบบนี้นะครับ ความพิการมักถูกเอาไปเปรียบเทียบกับความโชคร้ายหรือเรื่องที่ไม่ดี อย่างเช่น เรามักชอบพูดกันว่าความรักทำให้คนตาบอด รถติดเป็นอัมพาต ปัญญาอ่อน ถ้าพิการแล้วก็ถือว่าโชคร้ายและจะมีชีวิตที่ไม่น่าพึงประสงค์ ในละครไทยเอง ตัวเอกที่กลายเป็นคนพิการก็มักจะหายจากความพิการในตอนจบ ในขณะเดียวกันตัวร้ายบางคนก็ถูกลงโทษให้กลายเป็นคนพิการ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่าความพิการคือสาเหตุของชีวิตที่ไม่มีความสุข เป็นสิ่งที่คนไม่พิการคิดเดาเอาเองทั้งนั้น
พอผมได้รู้จักกับพี่แตซองก็คิดว่ามันไม่ใช่หรอก คนพิการก็สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้ ไม่ต้องไปพยายามหรือเสียเวลาไปกับการทำตัวเองให้หายพิการ เพราะบางทีมันก็เสียเวลาเปล่า แทนที่จะเสียเวลาฟื้นฟูเป็นสิบยี่สิบปี เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
"พรุ่งนี้ไปบ้านน้าสาวผมไหมครับ" ผมถามพี่แตซองขึ้นขณะช่วยกันเลือกซื้อของสด
"ถ้าสะดวกพี่ก็ไปได้ครับ"
พี่แตซองพูดจบผมก็ยิ้ม แล้วก็โทรไปบอกแม่ให้เตรียมตัวเดี๋ยวนั้นเลย ผมอยากให้พี่แตซองลองกินอาหารไทยฝีมือแม่ผม น้าสาวผมบอกว่าจะให้น้าเขยพาไปเที่ยวด้วยครับเพราะว่าเป็นวันหยุดพอดี คิดแล้วก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยที่ผมจะพาพี่แตซองไปเที่ยวกับครอบครัวของผมเอง
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
วันต่อมา ตอนเช้า ผมพาพี่แตซองมาที่บ้านน้าสาว ทุกคนดูตื่นเต้นกันใหญ่เลย น้าเขยของผมอุตส่าห์ไปหาไม้มาทำทางลาดตรงทางเข้าบ้านให้เพื่อให้พี่แตซองเข้าได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องยก พี่แตซองรู้สึกประทับใจมากทีเดียว แม่กับน้าสาวของผมก็อุตส่าห์ไปหาซื้อของมาทำอาหารไทยหลายอย่าง ผมบอกให้แม่ทำต้มยำไก่เป็นอาหารพิเศษเพราะพี่แตซองไม่ชอบกินกุ้ง แม่พยายามทำอาหารให้เป็นรสชาติแบบไทยๆ ให้มากที่สุดเพราะพี่แตซองอยากลองกินอาหารไทยแท้ๆ เพราะได้ยินกิตติศัพท์มานานจนอยากรู้ว่าอาหารไทยเผ็ดแค่ไหน พอกินจริงๆ พี่แตซองก็ชอบมากครับ ยอมรับว่าอาหารไทยเผ็ดร้อนจริงๆ โดยทั่วไปคนเกาหลีก็จะไม่กินเผ็ดขนาดนี้
พอสายๆ น้าเขยผมก็พาพวกเราไปเที่ยวที่ซูวอนกันครับ อยู่ไม่ไกลจากโซลมากเท่าไหร่ เราไปกันที่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลี ภายในนั้นจะมีบ้านเกาหลีโบราณ จำลองวิถีชีวิตของคนเกาหลีในสมัยก่อนไว้ มีลานกว้างๆ สำหรับแสดงศิลปะพื้นบ้านของชาวเกาหลีด้วยครับ เราไปถึงก็เที่ยงเศษๆ ก็เลยไปหาข้าวกินกันก่อน มีร้านอาหารอยู่ตรงบริเวณทางเข้าพอดี ผมกับพี่แตซองสั่งอาหารอย่างเดียวกันมากินนั่นก็คือ "บิบิมบับ" คล้ายๆ ข้าวยำหรือข้าวคลุก ร้านนี้ทำอร่อยทีเดียว ผมชอบมากจนต้องกินสองชาม ปกติไม่กินเยอะขนาดนี้เลย
พอกินเสร็จแล้ว เราก็เดินดูไปตามจุดต่างๆ โดยมีพี่แตซองกับน้าเขยเป็นไกด์ให้ ถือว่าเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสุขมากทีเดียว แม้ว่าตอนนั้นจะเริ่มรู้สึกใจหายมากแล้วก็ตาม อีกไม่กี่วันผมก็จะต้องกลับ แล้วผมจะทำอย่างไรดีกับความรักที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะทิ้งมันไปหรือเปล่า
ผมเองล่ะ ผมจริงจังกับความรักครั้งนี้มากแค่ไหน บางทีผมก็ยังตอบไม่ได้เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร พี่แตซองเองก็คงต้องคิดเหมือนกันว่าเดินทางไปกับความรักอย่างนี้ได้นานแค่ไหน ไม่แน่ว่ามันก็อาจจะเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบหรือความหวั่นไหวเพียงชั่วคราวก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าชีวิตจะพาเราไปทางไหน
✢ ✣ ✤ ✥ ✦ ✧ ✩ ✪ ✫ ✬ ✭ ✮ ✯ ✰ ★ ✱ ✲ ✳ ✴ ✵ ✶ ✷
ช่วงห้าวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับนั้น ผมกับพี่แตซองใช้เวลาด้วยกันค่อนข้างมาก โดยมากจะเน้นไปเที่ยวด้วยกันครับ อากาศกำลังดีเพราะเข้าใกล้ฤดูใบไม้ร่วง ใช้เงินไปเยอะเหมือนกันครับ พี่แตซองออกให้หมดเลย ไม่ยอมให้ผมออกซักวอน ผมก็ยอมและไม่ค่อยกล้าดื้อเท่าไหร่ ถ้าพี่แตซองเต็มใจให้แล้วขัดไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกรักพี่แตซองมากขึ้น
จะว่าไปแล้ว ผมเองก็เคยแอบมีแฟนมาก่อนตอนสมัยมัธยมปลาย แต่ไม่ถึงกับรักหรอกครับ แค่ชอบกันเฉยๆ แล้วก็ไม่ได้ดูแลอะไรกันมากขนาดนี้ ตอนนั้นก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจความรักมากเท่าไหร่ด้วยแหละครับ แค่อยากลองมีแฟนกับเขาดูบ้าง พอไม่เวิร์กก็เลยเลิกกันไปแล้วก็หันมาตั้งใจเรียนดีกว่า แต่กับพี่แตซอง พี่แตซองเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรักครั้งนี้จึงดูจริงจังมากขึ้น ไม่ใช่แฟชั่นหรือแค่ความอยากลองเหมือนเด็กๆ แต่ก็ยังไม่ได้มีอะไรกันนะครับ
จนกระทั่งก่อนวันสุดท้ายที่ผมจะกลับ วันนี้คือวันที่เราต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ตอนเช้า ผมช่วยพี่แตซองอาบน้ำเช่นเคย แล้วก็ทำงานบ้าน ตอนเที่ยงเราก็ไปกินข้าวนอกบ้านกันที่ร้านอาหารใกล้ๆ ที่เราชอบไป ตอนบ่ายก็ไปดูหนังกันครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไปดูหนังกับคนพิการ ตกเย็นก็กินอาหารเย็นด้วยกันในห้าง
เกือบๆ สี่ทุ่มจึงกลับมาที่คอนโด ผมรู้สึกใจหายเหมือนกันครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้อยู่ในห้องนี้และได้ทำหน้าที่เป็น PA ให้กับพี่แตซอง จะว่าไปแล้ว พอเป็น PA พร้อมกับเป็นคนรู้ใจกันด้วยมันก็ทำให้ทำงาน PA ยากเหมือนกันนะครับ บางทีผมต้องคอยเตือนตัวเองว่ากำลังทำหน้าที่ PA อยู่ อย่าทำเกินกว่านั้น โดยเฉพาะการคิดแทน
"เก้า...อาบน้ำเสร็จแล้ว ขอพี่คุยด้วยหน่อยนะครับ"
เสียงพี่แตซองทำให้ผมรู้สึกตัว ผมหันไปมองแล้วก็ยิ้มเศร้าๆ รู้ดีว่าการคุยกันคืนนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
"ครับ ผมก็อยากคุยกับพี่แตซอง"
เรามองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก มีทั้งความเศร้า สุข ใจหาย สับสนและกังวลปนกันไปหมด แต่ถึงกระนั้น การคุยกันคืนนี้คงเป็นการคุยกันที่มีความหมายมากที่สุดก่อนที่เราจะจากกันไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง
น่าใจหายใช่ไหมครับ มันก็น่าใจหายจริงๆ นั่นแหละ แต่สุดท้ายวันที่เราต้องจากกันก็คงต้องมาถึง ไม่ช้าก็เร็ว แล้วเราก็ไม่มีทางที่จะห้ามหรือหยุดโชคชะตาเช่นนั้นได้
TBC