ตอนที่ 7"เฮ้อ..."ผมทิ้งตัวลงกับฟูกหนานุ่ม หลับตาลงพร้อมความรู้สึกที่ว่างเปล่า.....
น่าจะชินได้แล้วนี่...กับเรื่องแบบนี้น่ะ เกิดมาแล้วตั้งไม่รู้กี่หนบางทีผมก็เซ็งเหมือนกันครับ ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงยังตัดใจไม่ได้สักที ทั้งๆที่สวรรค์อุสาห์สร้างโอกาสที่ให้ผมลืม ตั้งสามปีกว่า...อีที ลืมแฟนเก่านี่ ผมใช้เวลาแค่ สองสามเดือนเอง...
หลังจากที่ทอมช่วยตรีในการเปิดตัวแฟนคนล่าสุดไปเรียบร้อยแล้ว ตรีก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรครับ แถมอเล็กซ์ยังโชว์จูบกันระหว่าง ทานอาหารอีกต่างหาก
ก็รู้ดีอยู่หรอกครับ ว่าพวกนี้มันไปโตมาเมืองนอก แต่จะช่วยเกรงใจ คนที่โตมาในเมืองไทยที่นั่งหัวโด่อยู่หน่อยจะได้ไหมล่ะครับ

พอทานข้าวเสร็จ ผมก็ขี้เกียจจะอยู่ดูภาพบาดตาต่อ เลยอ้างว่าจะเตรียมตัวออกไปซื้อของ แล้วก็เลยปลีกตัวมานอนอืดอยู่ในห้องนี่แหละครับ
อีกตั้งชั่วโมง กว่าจะสิบโมง ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่รู้จะทำอะไร สุดท้ายเลยตัดสินใจ กดโทรไปหาอานิลซะหน่อย เดี๋ยวน้อยใจอีก
เสียงรอสายดังอยู่ สองสามตู๊ด เสียงอานิลก็แทรกเข้ามาในสาย
"มีนจ๋า 
"อานิลรับด้วยนำ้เสียงกึ่งดีใจกึ่งออดอ้อน และ กึ่งงอน"
ทำไมเพิ่งโทรมาล่ะ นี่อานั่งรอตั้งแต่เมื่อคืน 
"
ผมส่ายหน้าปลงกับความบ้าบอของอาตัวเอง อานิลก็ชอบเป็นซะอย่างนี้แหละครับ มีครั้งหนึ่ง ผมต้องไปค้างทำรายงานบ้านเพื่อนหนึ่งคืน อานิลนี่โทรหายิกๆแทบทุก สิบนาที จนผมเกือบไม่ได้ทำงาน ผมเลยตัดสินใจ โทรหา คุณอินทร์ หวังให้เขามาช่วยมาอยู่เป็นเพื่อน อานิลจะได้เลิกโวยวาย
ซึ่งมันก็ได้ผลครับ หลังจากนั้นอานิลก็ไม่โทรมาอีกเลย จนกระทั่งผมกลับบ้าน อานิลจึงได้วิ่งโร่มาฟ้องผมว่าคุณอินทร์ ยึดโทรศัพท์ไป
ขำดีครับกับคู่นี้ คุณอินทร์แกนิสัยค่อนข้างเด็ดขาดและเระเบียบจัดครับ แม้จะมีมุมน่ารักๆบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยแสดงออกให้ได้เห็นบ่อยๆ ต่างกับอานิลของผม...คนนี้เขาสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่สูงกว่าที่ใครๆคิดนะครับ อานิลฉลาดเป็นกรดเลยแหละ ไม่งั้นเด็กหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 17 คงไม่มีชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้หรอกครับ....
"แหม อานิล ก็เมื่อวานผมจัดห้องอยู่ เลยยุ่งๆน่ะครับ กว่าจะเสร็จก็ตั้งเที่ยงคืน "หลังจากนั้นผมก็ง้ออานิลอยู่สองสามประโยค กว่าอาแกจะหายงอน แล้วกลับมาลั้นลาคุยกับผมตามปกติ
"แล้วอยู่ที่นู่นเป็นไงบ้าง ลำบากไหม ไปดูมหาลัยรึยัง...""มีนยังไม่ได้ไปดูมหาลัยเลยครับกะจะไปดูพรุ่งนี้ อยู่ที่นี่ไม่ลำบากเลยครับ คอนโดที่คุณอินทร์หามาให้อยู่กลางเมือง ใกล้ๆกลับมหาลัย เลยเดินทางสะดวก แถมใกล้ๆนี่ยังมี ตลาดนัดเปิดด้วยครับมีของกินแน่นอน"ผมว่าไปตามเรื่องตามราว ให้อานิลสบายใจจะได้ไม่มไปอาละวาดกับคุณอินทร์อีก
"แล้วอาล่ะครับ ตอนนี้เป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรรึเปล่า"อานิลเงียบไปพักหนึ่ง สงสัยมีเรื่องอะไรแหงๆ อานิลโกหกไม่เก่งครับ เวลาต้องโกหก อาแกเลยชอบเงียบไปพักหนึ่งเพื่อคิดคำโกหกที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วถึงค่อยโกหกครับ
"เอ่อ ก็ดีนะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก""แน่ใจนะครับอา คุณ โรจน์ มายุ่มย่ามรึเปล่า"ดูเหมือนคำถามของผมจะตรงประเด็นเกินไป อานิลถึงได้เงียบไปอีกพักหนึ่ง้หมือนลังเล"เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะครับอา มีเรื่องอะไรก็บอกผม"
"เฮ้อ...ก็ได้ คืือช่วงนี้มันมีปัญหานิดหน่อย...คุณโรจน์เขาชอบมายุ่งย่ามกับอาบ่อยๆ แล้วเมื่อวานเขาชวนอาไปกินข้าว อาปฏิเสธเขาไปหลายครั้งแล้วก็เลยเกรงใจ จึงต้องตกลง ทีนี้ อินทร์ดันโทรมาระหว่าง ดินเนอร์ แล้ว อินทร์ก็รู้ว่า อากับคุณโรจน์อยู่ด้วยกันตอนนี้ เลยโมโหมากไม่ยอมคุยกับอาเลย..."ผมถอนหายใจ คุณโรจน์นะคุณโรจน์ ทำคู่รักเขาเข้าใจผิดกันอยู่ได้ ไม่รู้จะขี้แกล้งไปไหน...
คุณโรจน์แกเป็นหนุ่มโสดวัย 30 ครับ แต่หน้าแกยังหนุ่มเหมือนเพิ่งอายุ ยี่สิบกว่าๆ แกเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกผลไม้กระป๋อง ก็เลยต้องพึ่งพากันอยู่ คุณโรจน์แกชอบแกล้งอานิลเป็นพิเศษครับ ยิ่งตอนที่อานิลมีแฟนแล้วนี่ คุณโรจน์ยิ่งแกล้งหนัก ชวนไปนู่นไปนี่ในเวลาที่คุณอินทร์มักโทรหาอานิลจนคุณอินทร์ได้หึงเป็นประจำ คุณอินทร์ก็เลยไม่ชอบคุณโรจน์มากนัก
"เรื่องนี้มีนคงช่วยอะไรอานิลไม่ได้หรอกครับ อาคงต้องไปเคลียร์กันเอาเอง อาก็เด็ดขาดหน่อยสิครับ เขาจะได้เลิกเล่นอะไรบ้าๆแบบนี้สักที"คุณโรจน์แก แกล้งคุณนิลอย่างบริสุทธิ์ใจนะครับ ไม่ได้คิดอะไรมากเกินเลยไปกว่าเพื่อน ผมคอยสังเกตุอยู่ครับ
"เฮ้อ
อาจะพยายามละกัน...."หลังจากนั้นเราก็คุยกันสัพเพเหระทั่วไปครับฆ่าเวลา เช่น หมาข้างบ้านหาย หรือ ต้นไม้ที่บ้านออกดอก คนงานที่ไร่คลอดลูก อะไรก็ว่ากันไปครับ
ก็อกๆ
"มีน จะไปรึยัง"มิวสิคตะโกนเรียกมาจากข้างนอก พร้อมเคาะประตูปังๆ ผมเลยต้องรีบตัดบทคุณอาที่กำลังจะเข้าโหมดพล่ามยาว อย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าใจจริงจะอยากคุยต่ออีกนิดก็ตาม
ผมคว้ากระเป็าตังค์กับมือถือรุ่นถึกๆของตัวเองยัดไว้ในกางเกงยีนส์ขาตรงตัวใหญ่แสนเชย(แต่กระเป๋าใหญ่นะ)เปิดประตูห้องนอนพร้อมล็อก
เมื่อออกมาผมพบว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจาก ผมกับมิวสิค ไอ้พวกนี้นิ คิดจะมาก็มา จะไปก็ไป ไม่เคยมีใครขอเจ้าของห้องก่อนอ่ะ

"นายจะไปซื้ออะไรบ้าง"มิวสิคถามผมหลังจากเราออกมาจากห้องเรียบร้อยแล้ว
"ก็จะไปตัดแว่นใหม่ก่อน แล้วก็ไปตัดผม แล้วค่อยไปซื้อของใช้จำเป็น เอากลับมาเก็บที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกไปซื้อเสื้อผ้า"ผมร่ายรายการยาวเลยครับ สงสัยวันนี้เหนื่อยหนักแน่ๆ
"อืมๆ"มิวสิคพยักหน้ารับรู้ แล้วคิดอะไรบางอย่างคนเดียว เพราะมันเริ่มพึมพำๆอีกแล้ว
พวกเราเดินออกจากคอนโดเดินเลี้ยวขวาไปตามรางรถไฟฟ้าเรื่อยๆก็เจอกับสถานีใหญ่ครับ ดูเหมือนช่วงนี้เป็นช่วงที่คนเยอะพอดี
ในรถเลยแน่นเอิี๊ยดจนแทบหายใจไม่ออก
ผ่านไปสิบห้านาทีก็ถึงที่หมายของผมครับ มิวสิคลากผมที่เกือบลมจับออกมาทันทีพร้อมฝูงชนที่กรูกันออกมาข้างนอก กก้นี่มันเป็นแหล่งช็อปนี่ครับ คนจะเยอะก็ไม่เห็นจะแปลก
ผมไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้วจริงๆ มาครั้งสุดท้ายก็เมื่อม.ต้นนั่นแหละครับ ผมเดินไปตามทางที่คุ้นๆว่าร้านแว่นที่ผมมาทำเมื่อสมัยก่อนตั้งอยู่ ดูเหมือนผมจะโชคดี พอร้านอาแปะแกยังไม่ย้ายไปไหน
ที่นี่เป็นร้านเล็กๆ ตกแต่งไม่ได้ดูหรูหราอะไร แต่ของเขาคุณภาพนะครับ ตระกูลผมใช้บริการร้านนี้กันมาตั้งแต่ปู่ทวดย่าทวดนู่นแหละครับ
ทุกๆอย่างยังคงเหมือนเดิม อาแปะแกก็ยังนั่งกินแปะก๊วยรังนกฝีมืออาม่าอยู่ที่เดิม แม้แต่ถ้วยยังถ้วยใบเดิมเลยครับ
"ยินดีต้อนรับน่อ "อาแปะพูดด้วยเสียงยานคาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ท่าทางแกจะจำผมไม่ได้แหะ
"อาแปะ นี่มีนเองจำได้ไหม"ผมเดินไปใกล้ๆปัดๆผมที่ปรกหน้าผากขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ให้ อาแหะทำตาโตเลยรับ จากนั้นเราก็ถามไถ่ความเป็นอยู่ แล้วก็วัดสายตาอีกรอบ
"นี่เป็นแบบใหม่เลยนา กำลังฮิตอยู่มากๆเลยตอนนี้"อาแปะแนะนำกรอบแว่น ray ban สีน้ำตาลเข้มสุดแนวมาให้ แล้วเริ่มเสนอราคาพิเศษให้อย่างที่อชบทำทุกครั้ง ผมต่อราคาอยู่กับอาแปะได้พักหนึ่ง เราทั้งคู่?จึงได้ราคาที่น่าพอใจ
"ลื้อหายไปสามปีนี่ วิชาการต่อราคาของลื้อดีขึ้นโขเลยนาอามีน"อาแปะทำหน้าบู้บี้ ประชดประชันอย่างไม่จริงจังนัก"ลื้อแวะไปหา อาส้มโอสิ เห็นบ่นคิดถึงลื้ออยู่ แล้วก็ ลื้อมารับแว่นอาทิตย์หน้านะ"
ส้มโอ เป็นเจ้าของร้านทำผมที่ผมไปบ่อยๆสมัยอยู่ที่กรุงเทพครับ พี่แกมีฝีมือการทำผมขั้นเทพ แถมคุยกันไปมาถูกคอ ก็เลยมักจะได้ส่วนลดเป็นประจำเมื่อมาที่ร้านเจ๊แก
ผมพยักหน้ารับคำอาแปะ แล้วจึงลากมิวสิคออกมาจากร้านตรงดิ่งไปทิศตรงกันข้ามเพื่อทำการตัดผมให้เรียบร้อย มิวสิคเองก็ดูท่าจะต้องการตัดผมด้วยเหมือนกัน
ทันทีที่ถึงร้านเจ๊แก ผมก็แอบอึ้งไปนิดหน่อย ร้านนี้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจนผมแทบจำไม่ได้ โชคดีที่ตอนนี้ร้านพึ่งเปิดเลยยังไม่ค่อยมีลูกค้า
เจ็ส้มโอนั่งทำเล็บอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมบรรดาลูกจ้าง ผมจึงตรงเข้าไปหาทันทีอย่างไม่รีรอ
"ทำอะไรดีค่ะ"พนักงานสาวแต่งตัวจี๊ดจ๊าดคนหนึ่งออกมาต้อนรับผม ผมจึงบอกเธอไปว่าขอพบเจ๊ส้มโอเจ้าของร้านหน่อย
หล่อนเดินกลับไป เรียกเจ๊ส้มโอออกมา ซึ่งดูเหมือนเจ๊แกก็จำผมไม่ได้เหมือนกัน
"ไม่ทราบมีอะไรรึเปล่าค่ะ"
"เจ๊ จำมีนไม่ได้เหรอ"ผมพูดด้วยนำ้เสียงน้อยอกน้อยใจ เจ๊ส้มโดตาโต แล้วโวยวายลั่นร้าน ประมาณว่า ทำไมโทรมขนาดนี้ บลาๆๆ
จากนั้นเจ๊แกก็ให้คนลากผมกับมิวสิคไปสระผม ก่อนจะไม่ถามอะไรสักคำ ตัดฉับๆๆๆๆๆ แล้วก็ทำนู่นทำนี่กลิ่นฉุนกึก ไปร่วมสองชั่วโมง
จากนั้น ผมในนิวลุค ก็ถือกำเนิดขึ้นครับ...
"หล่อม๊ากก น้องใครเนี่ย"เจ๊ส้มโอกระโดดกอดผมพร้อมหอมแก้มฟอดใหญ่"ว๊าย เจ๊ลืมหาเสื้อผ้าให้เราเปลี่ยน"เจ๊แกเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบครับ คงเพราะผมแต่งตัวเชยเกินไป เจ๊แกเลยทนไม่ได้ สั่งน้องผู้ชายในร้านให้ออกไปซื้อเสื้อผ้าบลาๆมาสองชุด ของผมกับของมิวสิค
น้องแกก็ซื้อของได้เร็วเว่อร์ เพราะผมนั่งุคยกับเจ๊ส้มโอได้แปบเดียวก็มีอันโดนลากเข้าหลังร้าน ไปแต่งตัวซะใหม่
พอผมเดินออกมาอีกที น้องๆในร้านก็แอบหัวเราะคิกคักและร้องวี๊ดว๊ายกันใหญ่ มีบางคนวิ่งเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยเลยก็มี
กริ้ง!
กระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น ในจังหวะเดียวกับที่เจ๊ส้มโอกำลังจัดการกับหัวผมขั้นสุดท้าย พร้อมเสียงทุ้มๆห้าวๆที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น
"เจ๊ส้มโอ ตัดผมให้หน่อย"ผมค่อยๆหันไปมองช้าๆก่อนจะแอบอ้าปากค้าง
อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดเน้ ไอ้ตอนไม่อยากเจอดันเจอ ไอ้ตอนอยากเจอล่ะดันไม่เจอ 
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ตอนนี้แต่งแบบเบลอๆค่ะ อิงเสียใจ สอบเคมีตก

แงๆๆๆ อีกแค่คะแนนเดียวก็ผ่านแล้วอ่ะ อาจาร์ยใจร้าย

งือ...ตอนนี้อาจจะคำผิดเยอะแล้วก็ลำดับเหตุการ์ณและภาษาที่ใช้ไม่ค่อยดีนะค่ะ เพราะอิงรีบๆปั่น ไม่ค่อยมีกะใจจะแก้คำด้วย นั่งเครียดอยู่กับเรื่องสอบตก

ป.ล. ไหนก็สามเส้าแล้ว เราเปลี่ยนให้มันเป็น
เราสามคนไปเลยดีมะ 