Show Me Now!!2
ภายในห้องเรียนม.6/3
ช่วงเวลาก่อนโฮมรูมเป็นช่วงเวลาอิสระที่นักเรียนทุกคนชอบมันมาก เพราะตอนนี้ต่างส่งเสียงดังอย่างไม่เกรงใจห้องข้างๆกันเลย หรือจะพูดให้ถูกห้องข้างกันก็มาร่วมแจมด้วยเสียอย่างนั้น
ตึง!!
ฝ่ามือใหญ่ของใครสักคนตบลงบนโต๊ะ ทำให้การสนทนาต่างๆหยุดกึกไปโดยปริยาย ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังที่มาของเสียง เด็กหนุ่มตัวโตหน้าคมเข้มท่าทางดื้อรั้นไม่ฟังใคร ยืนท้าวแขนคร่อมโต๊ะเรียนหนุ่มตัวเล็กที่นั่งนิ่งทำตาปริบๆเหมือนยังตกใจไม่หาย
“คุยกันหน่อยสิ” คนตัวโตพูดเสียงนิ่ง
ไม่รู้ว่ามันเป็นประโยคบอกเล่า ขอร้อง หรือ คำสั่ง แต่เปอร์เซนต์น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คนตัวเล็กยังนั่งนิ่งไม่ตอบรับใดๆกลับไป จนเสียงของฟ้าใสดังขึ้นมา
“มาหาเรื่องอะไรเพื่อนฉันอีก ฮ๊ะ! นายภคิน”
“จุ้น!!” ภคิน หรือ คูล ว่าเสียงห้วน
ฟ้าใสเบ้ปากก่อนเดินอ้อมโต๊ะไปด้านหลังเพื่อนตัวเล็กอย่างมิน โน้มตัวลงแล้ววางมือบนไหล่ พูดกับเพื่อนเบาๆ
“อย่าไปยอมหมอนี่มาก ไม่ชอบใจอะไรก็บอกปฏิเสธไป ไม่ต้องทำตามมันทั้งหมดหรอก เราอยู่ข้างมินนะ” คนตัวเล็กยิ้มบางขอบใจเพื่อน ก่อนหันไปมองคนหน้ามุ่ยที่ตอนนี้ยืนกอดอกฉับ แล้วบอก
“หลังเลิกเรียนนะ”
คูลโคลงศีรษะไปมา ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
“ได้ อย่าหนีล่ะ…” ชี้หน้าบอก ก่อนเดินเท่ออกจากห้อง6/3ไป
ฟ้าใสมองตามคนทำเท่อย่างหมั่นไส้
“ถ้าหมอนั่นไม่บอกนี่เราไม่รู้เลยนะว่าอยู่คนละห้อง เดินเข้าเดินออกยังกะห้องตัวเอง” ทำปากขมุบขมิบไล่หลัง คนฟังก็ได้แต่ยิ้มๆจนเพื่อนขัดใจ
“จะสู้เขาได้ไหมเนี่ยเพื่อนฉัน!!”
“……………..” ถึงพูดประชดไป มินก็เพียงยิ้มตอบเท่านั้น
หลังเลิกเรียนตามเวลาที่มินกำหนด พออาจารย์ปล่อยเด็กนักเรียนก็ทยอยเดินออกจากห้องมา มินกับฟ้าใสยังตัวติดกันเช่นเดิม แต่เมื่อทั้งสองเดินพ้นประตูห้องเรียนเท่านั้นฟ้าใสก็ทำหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือ นายภคิน
“ให้เราอยู่เป็นเพื่อนไหม?” ฟ้าใสเอ่ยถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง และต้องการกวนอารมณ์ไอ้หน้าหล่อนี่ด้วย แหม~ทำเป็นเก๊ก หล่อตายล่ะ! ชิ
“ไม่เป็นไร คุณคูลไม่ใช่ยักษ์สักหน่อย เขาไม่จับเรากินหรอก”
‘น้อยไปสิไม่ว่า’ ได้แต่พูดในใจ รู้อยู่ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังเรียกกำลังใจให้ตัวเองอยู่ ดูเอาเถอะหน้าซีดขนาดนั้น เฮ้อ~
“อืม งั้นเรากลับล่ะ…”
มองหน้าใสซื่อของมินแล้วอดกังวลไม่ได้จริงๆ ใช่ว่านายภคินจะทำอะไรรุนแรงหรอก แต่เพราะใจของมินเองต่างหากที่น่าเป็นห่วง
“สู้ๆ!!” บอกเพื่อนไปอย่างนั้นก่อนเดินจากมา ไม่วายหันกลับไปมองแล้วถอนใจที่ตนเองเป็นห่วงเพื่อนตัวเล็กมากจนเกินไป
เด็กตัวโตเดินนำหน้าไปตามทางเท้าโดยมีคนตัวเล็กกว่าเดินตามอย่างรักษาระยะห่าง แม้รอบกายมีเสียงจอแจของเด็กนักเรียนที่พูดคุยหยอกล้อกัน แต่มินกลับรู้สึกว่ามันเงียบจนน่าอึดอัด คนที่บอก ‘คุยกันหน่อย’ ก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูด เดินไปเงียบๆเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หรือคุณคูลจะหาเรื่องแกล้งเขาอีกแล้ว…
“มิน…” คนถูกเรียกถึงกับสะดุ้งเฮือก เพราะกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเองเหมือนกัน
“ค…ครับ”
คูลเลิกคิ้วมองไอ้ตัวเล็กที่ทำหน้าหวั่นๆ กลัวเขามากนักรึไง คิ้วเข้มเริ่มขมวดจนคนมองอย่างมินใจไม่ดี
“เอ่อ…คุณคูลบอกว่ามีเรื่องจะคุย…” โอ๊ยยย นี่มันเสียงเขาแน่ใช่ไหม ทำไมมันอ่อยขนาดนี้อ่า~~~
คูลเม้มปาก มือเท้าสะเอวทั้งสองข้าง เงยหน้ากลอกตาไปมาเหมือนกำลังนึกหาคำพูดเหมาะๆ ก่อนพ่นลมหายใจยาวเมื่อตัดสินใจได้
“เมื่อวาน…”
“…………………..”
“มึง… นาย… ร้องไห้” คิ้วขมวดเหมือนไม่พอใจคำถามของตนเอง
“อ่า…”
พอได้ยินอย่างนั้นไอ้คนร้องไห้เมื่อวานก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา ‘น่าอายชะมัด’
กิริยาที่ยกมือเกาท้ายทอยเก้อเขินทั้งแก้มแดงๆนั่น ทำให้คนตัวโตเผลอยื่นมือไปสัมผัสแก้มสีระเรื่อ เกลี่ยเบาๆราวกำลังละเมอ จนเห็นมันขึ้นสีจัดมากกว่าเดิมมุมปากยิ่งยกยิ้มพึงใจ ก่อนเลื่อนปลายนิ้วมายังริมฝีปากอมชมพูที่เผยอน้อยๆคล้ายเชิญชวนให้ลิ้มลอง
‘อา~น่าฟัดจริงๆให้ตาย…’
นิ้วเรียวยังเกลี่ยไล้อยู่อย่างนั้น ดวงตาจับจ้องคนตรงหน้า โดยไม่สนใจรอบข้าง คนถูกลูบมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ก่อนจับมือนั้นกดลงถามเสียงตื่น
“คุณคูลหยุดลูบได้แล้ว อายคนเขาบ้างไหม!!”
คนถูกต่อว่าแค่มองไปซ้ายค่อยย้ายมาขวาช้าๆกวนอารมณ์ เบ้ปาก ยักไหล่ไม่ยี่หระ มินหรี่ตา หน้าเริ่มเคลียด
“แกล้งผมอีกแล้วใช่ไหม ทำไมถึงทำแบบนี้เรื่อยเลย เกลียดกันมากหรือไง” ต่อว่าหน้างอ
“งอนเหมือนผู้หญิง” คนนี้ก็ไม่วายปากไว
“……………….” หน้าที่งออยู่แล้วยิ่งกว่าจวักอีกคราวนี้
“อะไร? ว่าแค่นี้ไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจะร้องไห้อีก ไม่ง้อนะโว้ย!!”
ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจชักเริ่มหวั่น ถ้าร้องไห้ขึ้นมาจริงๆจะทำไงวะเนี่ย ก่อนอื่นคงต้องห่างสายตาสอดรู้ของเด็กรุ่นน้องพวกนี้ก่อน จ้องตาเป็นมันเชียว มีแต่เด็กผู้หญิงด้วย ถ้าไม่เกรงใจคงหยิบมือถือมาถ่ายวิดีโอประกอบการเม้าท์ด้วยมั้งน่ะ คิดได้ดังนั้นจึงคว้ามือไอ้ตัวเล็กหมับ ช่วงขายาวๆจึงก้าวพาตนเองและไอ้จืดมินไปให้พ้นรัศมีสอดรู้
“ผมถามจริงๆเมื่อไหร่จะเลิกแกล้งผมสักที ถ้าจะเข้าหาฟ้าใสไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ คุณไม่คิดเหรอว่าจะทำให้ตัวเองโดนเกลียด”
ในที่สุดมินก็ต้องเป็นฝ่ายเปิดปาก เมื่อคนอยากคุยทำโยกโย้ไม่ยอมพูด แล้วนี่จะพาเขาไปไหนอีกก็ไม่รู้ คูลไม่ตอบคำถาม เห็นอยู่ว่าชะงักแต่ก็เหมือนตาฝาดไป เพราะคนเอาแต่ใจยังคงลากเขาต่อไป ต้องเรียกว่าลาก เพราะคนข้างหน้าไม่ได้ดูเลยว่าช่วงขาของตัวเองกับคนเดินตามมันต่างกัน นึกจะไปก็ไป จนมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งก็ถือว่าใหญ่พอตัว เพราะมีพื้นที่ใช้สอยด้านหน้าบ้านค่อนข้างกว้างไม่เหมือนบ้านจัดสรรโดยทั่วไป
“เดี๋ยวคุณคูล…” ตัวเล็กขืนแรงดึงสุดตัว เมื่อคูลเปิดประตูจะพาเขาเข้าบ้านหลังดังกล่าว
“บ้านฉันเอง” บอกเสียงเรียบเหมือนชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน แต่เราไม่ถูกกันไม่ใช่เหรออออ
‘แง~~~~~~แม่จ๋าช่วยด้วย~~~~~~~~’นั่นเป็นเพียงเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน…
TBC
• ฮ้า ผ่านไปอีก1ตอน เหมือนจะไม่คืบหน้าไปไหน ฮะๆ ดูที่ตัวเองพิมพ์ไว้แล้วก็ไม่รู้จะตัดตรงไหนจริงๆ
• ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกคำติชมนะคะ จะพัฒนาให้ดีขึ้นค่ะ

• อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้พล็อตมันมาปุบปับ ถ้าอ่านตรงไหนแล้วงงๆบอกได้นะคะ พอดีอารมณ์มันพาไป ก็จัดไปซะเต็มที่
• หวังว่าจะมีความสุขกับการอ่านกันนะคะ ถ้าทำให้คุณสนุกได้เราก็ดีใจค่ะ
