.......................................................................................
“ไม่เป็นอะไรแน่นะเราน่ะ” เสียงห้าวถาม เด็กหนุ่มก็แค่พยักหน้า แล้วตอบสั้นๆ ว่า
“ครับ”
“ไปหาหมอดีกว่ามั้ง”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” ปั๊บรีบบอก เพราะเกรงว่าเจ้าของรถเต่าเหลืองคันนี้จะพาตนเองเลี้ยวไปโรงพยาบาลจริงๆ “ถลอกแค่ที่หัวเข่านิดเดียว”
เจ้าของรถหันมามองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วก็หันกลับไปมองถนนต่อ ไม่วุ่นวายอีก ขับรถไปตามทางเรื่อยๆ รอให้อีกฝ่ายบอกทางเอง...
ปั๊บนั่งนิ่งเหลือบไปมองเจ้าลูกหมาสามตัวที่อยู่เบาะหลังเป็นระยะ แอบชำเลืองมองเจ้าของรถคลาสสิกคันนี้ด้วย
“จอดข้างหน้าก็ได้ครับ ในซอยหาที่กลับรถยาก” ปั๊บบอกเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงบ้านของตัวเองแล้ว
เขาโดนชนจนเกือบถลาไปให้รถของพี่คนนี้ชน อีกฝ่ายไม่โวยวายสักคำตอนที่ลงมาดูแถมยังมีน้ำใจถามอาการจะพาหาหมอ มีการหันไปยืนอบรมเด็กอีกกลุ่มที่เล่นกันจนไม่ระวังให้อีก แล้วก็อาสามาส่งเขาที่บ้าน หิ้วกรงหมามาวางที่เบาะหลังอีกด้วย...ถ้าจะรบกวนไปมากกว่านี้...คงไม่ไหว...ถึงทางเดินเข้าในบ้านของเขามันจะลึกก็เถอะ เกือบสุดซอยแนะ
“แล้วบ้านเราเข้าไปลึกไหมล่ะ น้าไปส่งให้ได้”
น้า?
แทนตัวเองว่าน้า?
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะพอเดาความหมายของสีหน้าของเด็กหนุ่มออกเลยกระตุกยิ้มพร้อมกับค่อยจอดรถข้างทางก่อนถึงทางเลี้ยวเข้าซอย
“ลูกชายน้าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรานั่นแหละ มหา’ลัยปีสอง” หน้าลูกชายน้าหน้าอ่อนหรือหน้าผมมันแก่เกินวัยล่ะครับ
“ผมเพิ่งเอ็นติดครับ...
คุณน้า” ท้ายเสียงแอบกดต่ำเบาๆ ข้อหาพูดจาทำให้ปั๊บรู้สึกเหมือนตัวเองแก ก็แค่สูงมากกว่าเด็กรุ่นๆ เดียวกัน และรูปหน้าคล้ายพวกแขกขาวนิดๆ คมหน่อยๆ มาทำเป็นว่าเขาเรียนปีสอง...
เช๊อะ!"อ่าวเหรอ? ช่างเหอะ บ้านน่ะ...เดี๋ยวน้าเข้าไปส่งแล้วกัน”
"ไม่ต้องครับ ผมนั่งวินแป๊บเดียว มันกลับรถยาก ขอบคุณมากนะครับคุณน้า” ปั๊บเสียงอ่อนลง ยกมือไหว้ก่อนจะเอี้ยวตัวไปเอากรงหมามาวางบนตักและจะเปิดประตู
“เอ้านี่!” ปั๊บหันมามองหน้าเจ้าของรถ อีกฝ่ายยื่นกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้ เขารับมาอย่างงงๆ “ถ้าอาการไม่ดี หรือมีปัญหาเพราะเรื่องเมื่อกี้โทรมาหาน้า น้ารับผิดชอบเอง” ปั๊บกระพริบตาปริบๆ มองนามบัตรสลับกับหน้าคนให้
“อย่ามองมาก น้ารู้ตัวเองว่าหล่อกว่านายแบบ” 
พอเหอะ กลับบ้านเถอะปั๊บ...
เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ “ขอบคุณครับ” ปั๊บไหว้อีกครั้ง ก่อนจะลงจากรถ ยืนที่ข้างทาง ตั้งใจจะส่งให้อีกฝ่ายขับรถไปก่อนแต่คนบนรถกับกระดิกนิ้วมาที่ตนแล้วชี้ไปที่วินมอร์เตอไซค์...
เด็กหนุ่มเลยต้องเดินไปตามคำสั่ง(นิ้ว) ขึ้นวินฯ เข้าซอยพร้อมกับเจ้าลุกหมาในกรงสามตัว ใจร้าวๆ เข่าเจ็บๆ และนามบัตรใบเล็กๆ หนึ่งใบ...ชื่อที่สลักอยู่บนกระดาษนั้นคือ
Mr.JANTAPSUK WANTANA
...
วันหยุดสงกรานต์ผ่านไปแล้ว...
แล้ว....
แล้วยังไงเหรอ?
ประเทศไทยมันไม่ได้หายร้อนสักหน่อย....
มู่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ใต้ต้นมะขามท้ายสวนหลังบ้านของนุช เขานั่งบนแคร่ไม้ไผ่อันเก่าเห็นว่าพวกคนสวนชอบมานอนเล่นกันตอนกลางวัน
ที่นี่อากาศร้อน ร้อนจนไม่อยากเปิดแอร์... พ่อคนเมืองหลวงอย่างมู่ลี่เลยเตร่มานั่งเล่นอยู่ที่นี่...
ใจจริงไม่อยากมาหรอกนะ
แต่เพราะทนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศบนบ้านไม่ได้...
อยู่ๆ คุณหญิงข้างบ้านนั่นก็มาหาแม่ใหญ่ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก พอเห็นว่าเขากำลังนั่งประจบคนแก่อยู่ก็ทำหน้าลำบากใจอีก พูดอะไรก็อ้อมค้อมอ่อมแอ้ม... และด้วยความฉลาดปานเทพสยบอย่างมู่ เรื่องอะไรจะอยู่สอดปากตรงนั้น สู้ขอตัวออกมาให้แม่ใหญ่ปลื้มเพิ่มอีกเพราะรู้จักกาลเทสะดีกว่า...
เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เดี๋ยวแอบไปถามพี่แตงที่นั่งรับใช้อยู่ใกล้ๆ ก็รู้เรื่อง ไม่ก็แม่ขวัญที่ยังไงก็ตอบทุกคำถามอยู่แล้วถ้าตามู่อยากรู้ ทุกคนในบ้านนี้เด็กไอ้มู่ลี่ทั้งนั้น แต่ถ้าเหยียบกันมิด สุดท้ายยังไงคุณสามีที่รักมันก็รายงานอยู่ดี
เพราะมั่นใจคนไทยหนึ่งล้านคนเชื่อว่ายัยคุณหญิงข้างบ้านมาด้วยเรื่องของพ่อนุชกับน้องลิลลี่อย่าลืมกดไลค์ถ้าคุณเห็นด้วย....
มู่เอาพัดที่วางอยู่ขึ้นมาโปกไปมาเล่น แล้วนุชไปไหน?
ขับรถให้แม่ขวัญไปตลาดไง
ทำไมไม่ให้เด็กในบ้านไปส่ง?
เพราะไอ้คุณนุชมันขี้เกียจไปรับน้องกะปิเหี่ยวไปเที่ยวไง...
มู่เลยแกร่วอยู่คนเดียว โทรไปหาผิง รายนั้นก็ไม่ว่างบอกช่วยแม่เลือกหนังสืออยู่ เขาก็เลยไม่อยากกวน แถมแอบรู้มาว่าไอ้หล่อเจมันสิงเชียงใหม่ตั้งแต่สงกรานต์ เรื่องนี้เพื่อนผิงต้องแจงรายละเอียดกับมู่ลี่ให้ละเอียดในเร็ววันนี้ จะโทรหาซอก็ไม่เอา คุยกับรายนั้นได้ไม่เกินสองประโยคหรอก กัดกันตายก่อน...
เบื่อจัง...
แต่ทนเบื่อได้ไม่นานเสียงรถก็แล่นเข้ามาในบ้าน มู่โดดลงจากแคร่ทันทีเขาจำเสียงรถคันนี้ได้...นุชกลับมาแล้ว และหลังจากนี้เวลาของนุชเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น
“พี่มู่ลี่คะ พี่มู่ลี่” เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากรั่วข้างบ้าน มู่ลี่เขม่นตามองหา ก่อนจะเห็นผู้หญิงที่เขาไม่คิดว่าจะกล้ามาเรียกเขา เพราะตลอดเวลาคุณเธอดูจะพยายามเลี่ยงเขาด้วยซ้ำ
“กะปิเหี่ยว?” มู่พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ รั้ว “ลิลลี่?”
“ใช่ค่ะลิลเอง”หญิงสาวบอก เธอพยายามจะมองผ่านช่องไม้ระแนงเล็กๆ พยายามใช้มือทุบรั้วให้มีเสียงเพื่อให้มู่เห็นว่าเธออยู่ตรงไหน? “พี่มู่ลี่ช่วยลิลลี่ด้วยค่ะ”
“ช่วย? ลิลลี่เป็นอะไร แล้วมาอยู่หลังบ้านทำไม?” มู่เอ่ยถาม ก่อนจะไปหยุดยืนใกล้กับรัว หลังบ้านของข้างบ้านเป็นโรงเก็บของ เขาคิดว่าอย่างนั้น และเป็นสถานที่ที่ลิลลี่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้...
“พี่มู่ช่วยลิลด้วย ฮึก...ลิล...ลิลเจ็บ คุณแม่มัดลิลไว้ตรงนี้” มู่ขมวดคิ้ว ก่อนมองผ่านรั้วระแนงนั้นไปแล้วเขาก็ได้เห็น
มือทั้งสองข้างของลิลลี่โดนมัดติดกันแล้วล่ามด้วยโซ่ติดกับเสา!
“ใครทำ!” มู่ตกใจพยายามหาอะไรมาต่อเพื่อปีนข้ามไปพร้อมกับพูดกับหญิงสาว “เดี๋ยวจะรีบช่วยไม่ต้องกลัว”
“คุณแม่...คุณแม่มัดลิลไว้”
“ทำไมต้องทำกันขนาดนั้นด้วยเล่า” ร่างผอมบางของมู่ไปคว้าเก้าอี้เก่าๆ ที่คิดว่าคงเป็นของคนสวนเอาไว้นั่งเล่นกันนั่นแหละ เขาเอามาวางไว้แล้วขึ้นไปยืนเพื่อจะปีนข้ามไป
หญิงสาวร้องสะอึกสะอื้น ทันทีที่ข้ามมาได้มู่ลี่รีบเข้าไปดูข้อมือทั้งสองข้ามีรอยถลอกปอกเปิกดูแล้วเธอคงพยายามที่จะแก้มัดเอง โซ่ยาวนั้นต่อจากเชื่อที่มัดอีกที มันเลยไม่ใช่เรื่องยากที่จะแก้มัด
“คุณแม่จับได้...ว่าลิลแอบคุยกับแฟนที่อยู่อเมริกา คุณแม่โกรธเลยจับลิลมัดไว้”
“ห๊ะ!” มู่ลี่หูผึ่ง มือชะงักไปนิดหน่อยมองหน้าคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้ “อีกทีดิคุยกับแฟน?”
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวสะอื้นพยักหน้ารับ “คุณแม่โกรธที่ลิลบอกว่าไม่ได้ชอบพี่นุชแล้วจะไม่ออกไปกับพี่นุชแล้ว คุณแม่ไม่ฟัง บอกว่ายังไงก็ต้องแต่งกับพี่นุชให้ได้”
โอเค...อะไรที่ได้ยินตอนนี้มันทำให้สมองของมู่รวนนิดๆ เหมือนคอมโดนไวรัส แต่นับว่าไวรัสตัวนี้มันทำให้สติล้ำๆ ของมู่วิ่งเร็วจี๋ขึ้นล่ะ
“แล้วยังไงต่อคะน้องลิลเล่าให้พี่มู่ฟังสิคะ พี่มู่จะได้ช่วยถูก”
ณ จุดนี้มู่ลี่นับญาติกับนางทันทีครับ เพราะผลประโยชน์ทั้งนั้นที่อยู่ตรงหน้า
“ลิลมีแฟนแล้ว อีกอย่างลิลไม่ได้อยากกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร ลิลอยากอยู่ที่โน้นกับคุณพ่อ เราทะเลาะกัน คุณแม่ไม่ฟังอะไรลิลเลย พี่มู่...ช่วยลิลด้วยนะคะ พี่มู่เป็นแฟนกับพี่นุชคงไม่ชอบที่เรื่องนี้อยู่แล้ว”
“ห๊ะ!” มู่ลี่เกือบจะเอาเชือกที่แก้ออกมามัดปากลิลลี่ แม่นางรู้ได้เยี่ยงไรเล่าเนี่ย
“ก็พี่นุชติดพี่มู่ขนาดนั้น ลิลไม่ได้โง่นี่คะจะได้ดูไม่ออก เพื่อนลิลเป็นตั้งหลายคน มีแต่คุณแม่เท่านั้นที่ไม่เชื่อ” มู่ทำความเข้าใจประโยคนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตาโตอ้าปากพะงาบๆ
“ว่าอะไรนะ แม่ของเธอไม่เชื่อ?” ลิลลี่พยักหน้า ลูบข้อมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เชื่อไม่เชื่อ แต่มันอยู่ที่...รู้แล้ว!
“ลิลบอกคุณแม่ว่าพี่นุชเป็นเกย์แน่ๆ แล้วลิลก็จะไม่เดทกับพี่นุชอีกแล้วเพราะออกไปพี่นุชก็คุยแต่โทรศัพท์กับพี่มู่ ถึงลิลจะชอบที่พี่นุชหล่อ แต่ไม่ได้หมายความลิลต้องอยากได้พี่นุชมาเป็นแฟน ที่สำคัญ ลิลคบกับมาร์กมาสองปีแล้ว คุณแม่โกรธเลยตบแล้วก็เอาลิลมาขังไว้ที่นี่”
ชิบหายแล้ว!.............................................
น้องปั๊บของนิมาไม่ตายหรอกค่ะ...
นิมาทั้งรักทั้งห่วงขนาดนี้ อิอิ....
แต่ผู้ชายเจ้าของนามบัตรคนนั้น....กรี๊ดดดดดดด