Inert 13กลิ่นยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอลล์
สองสิ่งแรกที่มาเคาะประตูแห่งสติให้เปิดขึ้น
เปลือกตาดันตัวขึ้น ภาพพร่ามัว
“ไผ่”
เสียงเรียก
หันมอง โครงหน้าสองภาพซ้อนทับกัน ก่อนเลือนหายอย่างรวดเร็ว
ใครกันนะ...
ไม่ได้เอ่ยปากถาม ดันตัวขึ้น รับแว่นที่ถูกยื่นมาให้
คิมยังขมวดคิ้วอยู่ ช่วงที่คิมโน้มตัวกลับมานั้น เห็นแผลเป็นรอยใหญ่ภายใต้คอเสื้อ
อีกฝ่ายสังเกตเห็นถึงความสนใจ เงยหน้าขึ้นสบตา
ลมหายใจออกถูกดันไว้ด้วยบรรยากาศที่มากกว่า
สายตาคิม มีพลังมากพอที่จะทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
อึดอัด
ละสายตาออก เห็นอาจารย์ห้องพยาบาลนั่งห่างออกไป กินขนมคบเคี้ยว มองโทรทัศน์ ในนั้น ฉายหนังน้ำเน่า
กันนะ….“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ส่ายหัว
คำถามที่เจอบ่อยเสียยิ่งกว่าบ่อย ร่างกายสร้างปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติไว้
“นายเป็นไฮเปอร์เวนทิเลชั่น ช่วงนี้นอนไม่พอหรือเปล่า”
การหลับตาลงนั่นใช่ไหม คือการนอน
การจ้องมองความมืดดำหลังเปลือกตาเป็นเวลาแปดชั่วโมง ในเวลาที่สมอง ทิ้งการเชื่อมต่อกับร่างกาย
ที่ๆสมองไปถึง มุดลงไปในจิตใต้สำนึก ดำดิ่งไปในส่วนที่ไม่เคยรับรู้ ยามรู้สึกตัว
ความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ พรั่งพรูออกมาช้าๆ
ได้กลิ่นเลือดฉุน รุนแรงพอที่จะทำให้มือสั่น ทุกครั้งที่ฝัน
ถูกบังคับ นั่งลงในเก้าอี้ที่มีแรงโน้มถ่วงมากกว่าที่ใดๆในโลก จ้องมองภาพเดิมเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับถ้อยคำติดอ่าง เด็กหัดพูด หรือคำพูดไร้สติจากผู้ป่วยโรคประสาท
เป็นฝันที่ช่างเหน็ดเหนื่อย
“…คงจะเป็นแบบนั้น”
กระจกตรงข้าม กระจกใสที่มองทะลุออกไปอีกด้านของผนัง เห็นเงาที่สะท้อนมาอีกครั้งจากกระจกหน้าต่างด้านหลัง คนๆหนึ่ง กำลังจ้องมองอยู่
หันไปมองดีๆ ร่างนั้นก็ค่อยๆหายไป
“หืม? มองอะไรอยู่หรอ?”
นิ่งเงียบ
สายตาที่เล่นตลกด้วย เห็นรอยยิ้ม มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าที่ไม่มีอยู่จริงที่ยังคงหลงเหลือบนกระจกเคลือบบานนั้น รอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกขยะแขยง
ความฝันที่ตามมาถึงโลกความเป็นจริง กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“…เปล่า”
“ลุกไหวไหม? จะกลับห้องไปด้วยกันหรือเปล่า”
ไม่ได้ตอบอะไรออกไป คิมพูดต่อ
“งั้นเดี๋ยวเราช่วยพยุง”
มือที่ยื่นออกมา ร่างกายถอยร่นไม่รู้ตัว
ความเงียบที่แสนงงงันเกิดขึ้นภายในชั่วขณะ แม้แต่ตัวเอง ยังไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
สัมผัสของคิม
แค่เพียงแตะ ก็รู้สึกเหมือนถูกกดลงไปในโถเลือดใบนั้น โถไร้ก้น เลือดที่ข้นจนกลายเป็นสีดำ
“…ค่อยๆยืนนะ”
คิมถอยออกห่าง เปิดช่วงให้เดินแทรกออกไป
ร่างกายที่ค่อยๆแห้งผากลงช้าๆ
รู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น ขาดความอยากอาหาร รู้เพียงแต่ว่าต้องหายใจต่อไปเรื่อยๆ หายใจเข้า เดี๋ยวต่อไปก็ต้องหายใจออก ไม่รู้จุดหมายปลายทาง เพียงแต่ทำไปอย่างนั้น ก็เท่านั้น
“ตอนที่นายหลับไป …” ลังเล เสียงนั้นลังเล “จอห์นมาหานาย”
ไม่ได้พยักหน้าตอบอะไรไป แสดงออกด้วยท่าทีที่อีกฝ่ายไม่แน่ใจว่าถ้อยคำนั้นลอยไปถึงแก้วหูหรือเปล่า ก็แค่เดินต่อไป คิมเดินอยู่ข้างหลัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกผลักไปตามทางที่อีกฝ่ายต้องการ
“บอกว่าถ้าตื่นเมื่อไหร่ ให้โทรหา”
โทรศัพท์ไรนั่นไม่ได้พกมานานแล้ว หรือถ้าเอามาด้วย ก็นอนนิ่งเงียบอยู่ในกระเป๋า
มีเพียงสามเบอร์เท่านั้นที่โทรมาอย่างสม่ำเสมอ พ่อ แม่
จอห์น
ไม่ได้เห็นหน้ามาสักพัก หลังจากที่เจอกันวันนั้นที่บ้านจอห์น ก็ยังไม่ได้เจอกันอีก
“ไผ่ นายโอเคนะ”
พยักหน้าช้าๆ ถึงห้องเรียนไม่รู้ตัว ที่นั่งใหม่ถูกกำหนดขึ้นแล้ว นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมเครื่องยนต์ สายตาพวกเขาเหล่านั้น จ้องผ่านร่างกายโปร่งแสงไปยังกระดาน แม้แต่ลมหายใจ ยังถูกมองว่าเป็นแค่ลมพัด
ไม่เคยมีเสียงใดๆที่ทำให้รู้ว่ามีตัวตนอยู่ในห้อง
มองนาฬิกา ขวดยาถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋า
“นั่นยาอะไรนะ?”
ไม่ได้ตอบ คิมดูจะชินกับท่าทางนี้แล้ว
หยิบเข้าปาก รสชาติขมที่ปลายลิ้น ละลายออก เคลื่อนตัวไปบนปุ่มรับรส ก่อนที่น้ำจะพาให้มันดำดิ่งลงไปพร้อมกัน
“…วาเลียม?”
ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบังคับอีกต่อไป
ยาเม็ดสีขาวเพียงเม็ดเดียว
มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างสงบลง
ความวุ่นวายครั้งก่อน เป็นเพราะขาดสิ่งนี้ไป
“นี่นายกินยากล่อมประสาทอยู่งั้นหรอ ไผ่?”
เงยหน้ามอง
เหมือนจะมีคำตอบอะไรบางอย่างที่กำลังผ่านออกทางปาก แต่กลับเปลี่ยนใจ เคลื่อนย้ายไปที่ตา แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ทำไมนายต้องกินยานี้ด้วย นายเป็นอะไรน่ะ ไผ่?”
“…เปล่า”
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ ก็หาคนปรึกษาสิ หรือยังไง จะบอกฉันก็ได้ พึ่งยามันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”
คนแปลกหน้า
คนแปลกหน้าที่ไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักกับโลกใต้น้ำ โลกที่เงียบสงบจนเย็นเชียบ โลกที่แรงดันจากทุกๆทิศบีบลงกับผิวหนัง คนที่มีประกายแสงอยู่ในตาเสมอ
จอห์นต่างออกไป
จอห์นก้าวขาลงมาในน้ำด้วยตัวเอง และเป็นหนึ่งในผู้คนที่อยู่ใต้บรรยากาศที่แสนอึดอัดนั่น ไม่ได้คิดจะแหวกว่ายไปข้างบน แต่พยุงตัวไว้ ไม่ให้สายน้ำดึงลงไป
รู้สึกว่าจอห์นกำลังว่ายน้ำมาทางนี้ ในความมืดนั้น คิดแบบนี้
ความคิดแบบนั้นหายไปสักพักแล้ว
“ยากินยาแบบนี้เลยไผ่ เลยเถอะ”
บางอย่าง กำลังเคลื่อนไหวรุนแรง
เลื่อนมือลงต่ำ มือถือที่ก้นกระเป๋า สั่นอย่างบ้าคลั่ง เหมือนจะสะท้อนความคิดของคู่สายออกมา
ไม่ได้เอื้อมมือไปหา สัมผัสเพื่อให้รู้สาเหตุของการเคลื่อนไหว เพียงเท่านั้น
“…แม่บอกให้กิน”
“นายก็บอกแม่นายไปสิ”
เขาไม่เข้าใจนายหรอก
ใช่ไหมล่ะ ไผ่?
ไม่มีใครเข้าใจนายเหมือนที่ฉันเข้าใจ
เพราะเรา เหมือนกันไงล่ะ“ไผ่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ใคร”
“ไผ่?”
“ใครกำลังพูดอยู่…”
นายจำฉันไม่ได้หรอ?
ฉันก็อยู่ในตัวนายมาตลอด
คนที่นายพยายามจะลืมไงล่ะ“ใครกัน .. หยุด หยุดพูดสักที”
“ไผ่!”
ข้อมือถูกจับ
เย็น ราวกับเป็นกุญแจเหล็ก คล้องข้อมือทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน
สัมผัสนั่นวิ่งตรงไปถึงหัวใจ เหมือนถูกบีบลงช้าๆ
ใบหน้าคิม
ซ้อนทับกับใบหน้าของใครอีกคนแสยะยิ้ม
มือคิมกดลงมา ผ่านเสื้อ ผ่านผิวนอกที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามลมหายใจ ผ่านช่องว่างของซี่โครงลงไป กดลงบนหัวใจ
ยื่นนิ้วออกมา จิกเล็บลงไปช้าๆ
ได้ยินเสียงทะลุลงไป เลือดไหลพุ่ง เปื้อนเต็มไปหมด
“อ..อือ…อึก”
“ไผ่! ไผ่!”
แม้แต่หายใจยังลำบาก
ระดับเลือดที่พื้นห้อง กระเซ็นออกจากหน้าอก เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
หล่นลงจากเก้าอี้ คิมช้อนตัวรับไว้ไม่ทัน จึงกระแทกลงกับพื้น
ช่วงที่ร่วงหล่นลงไป จนถึงช่วงที่ลงกับพื้น แอ่งเลือดแหวกตัวออก จึงได้ยินแต่เสียงกระทบกับพื้นอิฐ นอนลงกับพื้น ของเหลวข้นก็โอบตัวเข้าหา
สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ
ปัดป่ายมือไปมา ยกขึ้นมอง ของเหลวก็ทิ้งตัวลงจากปลายนิ้ว ลงบนแก้ม ให้ความรู้สึกคล้ายกับน้ำตา ไหลร่วงผ่านไป
คิมเดินก้าวเข้ามา
ร่างกายขยับเขยื้อน กระเถิบหนี คลานให้ห่างออกจากสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้ คล้ายหนอนที่ขาดครึ่งตัว เหงื่อชุ่มชื้นไปทั้งตัว ทั้งๆที่แช่อยู่ในเลือดข้นแบบนี้ เหตุผลที่ยังรู้สึกถึงเหงื่อ เป็นเรื่องเกินเข้าใจ
เสียงนั้นยังเรียกไม่หยุด
“ไผ่ เป็นอะไรไป?! ยาหรอ? เพราะยาใช่ไหม?”
หันกลับไปมอง คิมก้าวยาวๆเข้ามาหา
หลังติดเข้ากับขาโต๊ะ ดิ้นจนกระแทกเก้าอี้ กระเป๋าร่วงตกลงมา สมุดกระจายไปทั่ว
เสียงฝีเท้าจำนวนมากใกล้เข้ามา เสียงพูดคุยที่ขยายผ่านลำโพงสิบตัว กรอกติดแก้วหู จนแทบระเบิดเยื่ออ่อนนั้นขาด
ยกมือขึ้น คิมคว้าข้อมือไว้ราวกับรอจังหวะอยู่
ถูกดึงขึ้นมาด้วยแขนเดียว ลอยตัวขึ้นจากพื้นเพียงนิด
ใบหน้านั่นเรียบเฉย
เป็นความเรียบเฉยที่ทำให้เลือดรอบตัวทั้งหมด เหือดแห้งไปในพริบตา
“…จำไม่ได้หรือไง?”
จำ
จำอะไร
ความทรงจำไหน ที่ถูกพูดถึง
พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ใบหน้ายังไม่แสดงออกอารมณ์ เหมือนพูดคุยเรื่องอากาศประจำวัน
“ลืมมันไปหมดแล้วหรอ ไผ่?”
ริมฝีปากนั่นขยับต่อ
เปิดออกช้าๆ เห็นคราบชื้นที่อยู่บนริมฝีปากล่าง
คำพูดลอยออกมาทีละคำ
เชื่องช้า เสียจนยืดยาน
คำพูดนั่นใกล้เข้ามา
อีกแค่อึดใจ
กลับถูกปัดออก
มือบุคคลที่สามยื่นเข้ามา เหลือบตาไปมอง สายตาจอห์นก็ตวัดมองกลับมา
“ปล่อย”
ไม่พูดเปล่า ดึงมือคิมออก แล้วคว้ามือไปกุมไว้เอง
มองมือที่อยู่ในมือของจอห์น รู้สึกแปลก แต่คล้ายกับว่าเป็นที่อยู่ของมันมาแต่เริ่ม
“โทรไปทำไมไม่รับสาย ต้องให้เดินมาตาม”
“…..”
“ไปกันเถอะ”
ไม่ได้มองอยู่
มองจ้องไปทางคิม ทั้งคู่จ้องมองกัน แลกถ่ายข้อความที่ไม่ได้เปิดปากพูด
ถูกมือนั่นดึงออกไป
กระตุกเพียงเบาๆ ก็รู้สึกเหมือนมีมืออีกสิบดันจากแผ่นหลัง ให้เดินตามไป
ก้มลงมอง
คราบเลือดสีแดง กลายเป็นฝุ่น ถูกจอห์นเหยียบลงแรงๆ ก็ปลิวออกไป เหลือเพียงทางเดินธรรมดา
…………………………………….
………………………….
…………………….
[Inert 13 : complete]
[11.10.55]
โหวตดองเค็มหรอ?
นี่แหน่ะ อัพใส่ซะเลย

แอบรู้สึกเหมือนกลายเป็นนิยายปล่อยผี ใส่อารมณ์ติสท์ๆลงไปซะเยอะ จนแอบคิดว่า ใครมันจะมานั่งติสท์กับเราวะเนี่ย?
คงจะมีล่ะมั้ง?