Inert 14“ทำไมนายถึงอยู่กับคิม?”
เสียงนั้น ซ่อนความโมโหไว้ไม่มิด
เห็นแม้แค่เพียงปลายหาง แต่ก็ยังทิ้งช่วงในเวลาไว้ให้สังเกตนานเกินไป
“…บังเอิญ”
“มันไม่ใช่เพราะบังเอิญหรอกใช่ไหม?! แค่ไม่อยากพูดล่ะสิ พูดอะไรเป็นประโยคได้หรือเปล่า?”
ทางเดินไม่มีคน
ทอดตัวยาวไปทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะมองไปทางข้างหน้า หรือมองย้อนกลับไป ก็เหมือนเป็นกระดานไม้เส้นตรง ที่มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น
ข้างๆนั้น เป็นหุบเหว
หากพลาด ตกลงไป คงไม่ได้ยินเสียงตกกระทบกับวัตถุที่ข้างล่าง จุดจบ อาจเป็นความมืดมิดที่รอคอยอยู่อย่างหงอยเหงา รอการมาเยือนของผู้โชคร้าย ไม่ว่าจะทะเลอทะล่าเดินร่วงลงไปเอง หรือเต็มใจมอบชีวิตให้กับความหวังหลังความตาย
ปิดปากเงียบ
ความเงียบเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เชื่อถือได้ ไม่เคยหักหลัง ไม่โกหก และไม่เคยตอบอะไรกลับมา
เสียงจอห์นก้องออกไป วิ่งเป็นคลื่น กระแทกทุกความคิดให้กระเซ็นออก มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ที่ยังคว้ากระดานไม้แผ่นแคบไว้ทัน เกาะตัวแน่นรอบข้อเท้า หันไปมอง มันมองตอบกลับมา อ้อนวอนขอความเวทนา
ความคิดนั้นกระซิบ
อย่าปล่อยจอห์นให้เข้ามาในอาณาเขตของเรา ดินแดนศักดิ์สิทธ์ของเราเสียงของมันแหบพร่า ไม่น่าเชื่อถือ แต่ถึงกระนั้น ก็ทำตามอย่างไร้เงื่อนไขและคำถามใดๆ
“พูดออกมาสิ!จะเงียบทำไม!”
ความเดือดดาลพัดความคิดนั้น หายไปในความมืดอย่างไร้ปราณี มองจ้องผ่านเข้าไปในนัยน์ตาสีฟ้า เปลวไฟที่ไม่มีอยู่จริงกำลังพัดโหม
มือทั้งสองนั้นบีบลงกับต้นแขน เจ็บ ร่างกายบอก หัวใจตอบกลับ งั้นหรอ
“ได้ยินเสียง…”
“เสียง?”
“เสียงที่พูดอยู่ในหัว”
“เสียงของใคร”
ส่ายหน้าตอบ
ของใครน่ะหรอ? ลองถามดูในใจ
คนๆนั้นไม่อยู่ เหมือนเวลานี้ไม่ใช่เวลาของเขา
“แล้วเกี่ยวอะไรกับคิม?”
“….ได้ยินทุกครั้งที่อยู่ใกล้คิม”
“ตอนนี้ล่ะ”
เงี่ยหูฟังในความเงียบ
ช่างเหน็บหนาว
หัวใจไม่ใช่ที่ๆจะสามารถขุดเข้าไปเพื่อหาความคิด ความทรงจำอะไรได้ง่ายเท่าสมอง มันเปราะบาง ยากต่อการเข้าใจ มีอำนาจเหนือการควบคุมใดๆจะอาจเอื้อม ขบถ บางครั้ง เผด็จการ
“นึกให้ดีๆ ไผ่ มันเกิดอะไรขึ้น”
จอห์นดูจริงจัง จนแทบไม่น่าเชื่อ
เหงื่อเม็ดโตไหล่ไปตามโครงหน้าจอห์น ไหลออกจากไรผม ผ่านหน้าผาก เลื่อนมายังคิ้ว เอนตัวไปตามแนวโค้งของเปลือกตา พักที่แอ่งปลายหางตา แล้วเลื่อนตัวลง ดูคล้ายราวกับน้ำตา
ยกมือขึ้น
ปลายนิ้ว ที่ไม่รู้ของใครแต่แสนที่จะคุ้นเคย ปาดหยดน้ำเม็ดนั้นออกช้าๆ
แรงที่จับอยู่รอบไหล่ ผ่อนลง
ก่อนจะเข้าใจในวินาทีต่อมา เมื่อรู้สึกถึงความชื้นที่ปลายนิ้ว ก้มลงมอง แสงสะท้อนจากของเหลวเน้นตอบ
ดวงตาลอยขึ้น มองหน้าจอห์น ที่ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร เหมือนกระจกสะท้อนตัวตนเขาในเวลานี้
จอห์นพูดออกมา เสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน
“กลับกันเถอะ….”
…………………………………………
………………………………
ที่หน้าประตู
เท้าของจอห์นหยุดอยู่แค่นั้น
ไม่ได้ก้าวต่อ ไม่ได้ถอยหลัง
ข้างหลัง เพียงแค่บิดลูกบิดออก ก็จะกลับเข้าไปสู่โลกที่ห่างไกลจากเสียง โลกที่เหมือนอยู่ในวุ้น ดูดทุกสิ่งเข้าไปในนั้น ล่องลอยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ทำให้ไม่ทันได้สังเกต
“…ฉันอยากคุยกับแม่นาย”
“คุย…ทำไม”
“ไม่รู้สิ ก็แค่อยากลองคุยดู”
“…..”
ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามหรือเชิญชวน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร จอห์นเอื้อมมือผ่านเอวไป บิดลูกบิดประตูช้าๆ ยังไม่ได้ดึงประตูออกจากกรอบ เพียงแค่จ้องหน้าเงียบๆ
เหมือนมีอะไรวิ่งผ่านอากาศ ช่องว่างระหว่างจอห์นไปช้าๆ
แสงสีส้ม ขนาดเท่าแมลงตัวเล็กๆ วิ่งผ่านไป สองสามสาย ทิ้งแสงไว้เป็นเหมือนเส้นด้ายที่พาดผ่าน เส้นด้ายนั้นส่องแส่งอ่อนๆ ด้วยความแรงที่เหมือนจะดับไปได้ง่ายๆด้วยลมแผ่วเบา
แสงอ่อนๆนั้น เล่นกับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน
ได้กลิ่นของหวานออกมาจากตัวจอห์น
ของหวานที่ทำให้นึกถึงความนุ่ม ในลมหายใจ สูดเข้าไป ได้กลิ่นที่ทำให้นึกถึงบรรยากาศแบบนั้น
“อย่าพึ่ง”
จอห์นเลิกคิ้วขึ้น มือดันไหล่ ทำให้จอห์นหยุดมือไว้
บรรยากาศที่ยังไม่อยากให้พังทลายลง ด้วยการเปิดประตูบานนั้น
มือนั้นคลายออกจากลูกบิด
ยืนอยู่นิ่งๆอย่างนั้น แสงเล็กๆนั่นยังวาดเส้นในอากาศ เหมือนพยายามจะวาดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งแสงสว่างหนึ่ง สีส้มอ่อน บินเข้ามาใกล้ หยุดลงที่ปลายจมูกจอห์น
ถึงได้รู้ว่า จอห์นอยู่ใกล้เพียงไหน
ริมฝีปากแตะลง เข้าหากันเบาๆ กลิ่นของหวานนั้นรุนแรงขึ้น จอห์นเปิดริมฝีปากออก ดันให้ริมฝีปากที่ประกบอยู่ เปิดออกด้วย
แสงสว่างแบ่งตัวเพิ่มขึ้น ทวีคูณ
จังหวะที่ถูกเม้มปากเบาๆนั้น แสงสว่างนั้นก็เล่นเอาตาพร่า หลับตาลง สว่างเสียจนมองอะไรไม่เห็น กลิ่นหอมชัดจนข้นไปทั้งอากาศ สิ่งที่สัมผัสกันมีเพียงริมฝีปาก รู้สึกเหมือนเซลล์ร่างกายจอห์น กำลังผลิตสารเคมีบางอย่างส่งผ่านมาช่องทางเพียงช่องทางเดียวนั้นอยู่
เข้มไปทั้งบรรยากาศ แสงสว่างที่ทำให้การมีอยู่ของเงา เป็นเรื่องโกหก
ก่อนหน้านี้ กริยาแบบนี้เคยเกิดขึ้น แต่ปฏิกิริยาที่เกิดตามมา ณ เวลานี้ เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่กำลังทำความรู้จักกันอยู่ช้าๆ
แม่เหล็กสองขั้ว ลดความเข้มของสนามแม่เหล็กลง
คลายออกจากกันช้าๆ แม้แรงดึงดูดยังเหลืออยู่ แต่ก็กลัวว่าถ้ายืดเวลาต่อไปอีกสักนะที จะถูกกลืนไปในบรรยากาศพิลึกพิลั่นนี้
อีกครั้งที่ร่างกายส่งสัญญาณบอกหัวใจ แต่ไม่ยอมให้วิธีไขรหัสนั้นมา
ต้องการจะบอกอะไรล่ะเท้ากลับลงมาที่พื้นอีกครั้ง การเดินทางไปยังดาวคู่ขนานที่ไร้แรงโน้มถ่วงในช่วงเวลาสั้น ความแปลกใจที่เหมือนอาการคันยุกยิก ทำให้เขาตอบตัวเองไม่ถูก
กลายเป็นความเงียบ ร่างกายทำเพียงนำพาดวงตามองกลับไปที่จอห์นอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยดูเหมือนมั่นใจตัวเองเสมอ กลายเป็นสีแดงที่ทำให้นึกถึงผลไม้ หลบสายตา พูดเบาๆอีกเป็นครั้งที่สองของวันว่า “ฉันจะเปิดประตูแล้วนะ”
ตอบกลับไปในครั้งนี้ “…อืม”
บรรยากาศที่เหมือนเดิมอยู่ในวุ้น จอห์นเดินฝ่าเข้าไปก่อน เดินตามแผ่นหลังนั้นไป รู้สึกกว้างกว่าครั้งไหนๆที่เคยมอง ดันไปตามทางตันขึ้นหน้าไปเรื่อยๆ ทางข้างหลัง เดินได้สะดวกกว่าที่เคยเป็น
ร่างกายไม่ยอมมอบคำใบ้ใดๆ นอกจากการไม่ละสายตาออกจากแผ่นหลังนั้นเลยแม้แต่เสี้ยววินาที
…………………………………………….
…………………………
………………
ขึ้นไปก่อนนะพูดด้วยเสียงที่ไว้พูดกับเด็ก ให้ทิ้งตัวลงกับที่นอน มือที่ดันหลังให้เดินขึ้นบันไดไป ไม่ต่างจากการดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงปลายคาง
ความอ่อนโยนของจอห์นเป็นสิ่งน่ากลัว ความคิดตกหลุมพรางอีกครั้งอย่างไร้ความสงสัย
ปิดประตูห้อง
โลกเพียงหนึ่งเดียว สิ่งของในนี้ไม่มีการเคลื่อนไหว อากาศเบาบาง ที่ทำให้หายใจออก
ทิ้งตัวลงนอนกับเตียง
ฟังเสียงลมหายใจตัวเองในความเงียบงัน
เสียงหัวใจ
ตุบ ตุบ ตุบ คล้ายเสียงฝีเท้าเดินย่องไปในความมืดตามมุมห้อง
สายตาที่แม่มองตามขึ้นมา เต็มไปด้วยคำถาม ทำเป็นมองไม่เห็นอย่างเคย ไอสีเทาก็ลอยออกมาจากร่างผู้หญิงคนนั้น ไล่ตามมาจนต้องเร่งจังหวะการเดิน
กลิ่นขนมยังเหลืออยู่ แม้แสงนั้นจะหายไปแล้ว
ได้กลิ่นในอากาศ ลอยเป็นเส้นบางๆเท่าเส้นผม คว้ามันเอาไว้ พยายามจดจำกลิ่นนั้น
รู้ได้ว่ามันเป็นสิ่งมีค่า
เปิดขวดโหลในความคิดออก ในนั้น มีสิ่งของหลายๆอย่างถูกเก็บอยู่ ขนาดขวดไปใหญ่ไปกว่าแขนนัก แม้จะมีของมากมายแต่ความสูงที่สร้างเนินจากก้นขวดก็สูงได้ไม่ถึงเครื่องของโหลแก้ว
ปล่อยเส้นบางๆนั้นลงไป มันเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดตัวลง เมื่อวางทับลงบนรูปใบหนึ่ง
เพ่งมองกระดาษใบนั้นให้ดี โหลใบนี้ไม่มีโอกาสได้เปิดบ่อย จึงมีเรื่องที่หลงลืมไปมาก
เด็กสองคนในรูป
ผมดำขลับ ดวงตาเรียว ยืนด้วยความสูงที่มากกว่า วัยประถม ยืนยืดอก รอยยิ้มกว้างจนดูเหมือนเป็นการตัดวางภาพ ข้างขวา เด็กผอม ดูขี้โรค แว่นตาหนา ผมด้านหน้ายาวจนปรกถึงคิ้ว บอกไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ เป็นภาพสี แต่ก็มีสีเพียงฝั่งเดียว
ฝั่งที่ไม่ใช่ตัวเขา
ยืนมือลงไปในโหล โหลก็ขยายปากขวดออก กว้างจนเขาร่วงลงไป คว้าขอบแก้วไว้ด้วยมือข้างเดียว ปัดแกว่งอยู่ในอากาศ ส่งเสียงร้องออกไป มีเพียงลมหายใจแห้งๆออกมา
มือถูกเหยียบ
ในความมืดที่เห็นเพียงแสงสะท้อนจากแผ่นกระจกรอบตัว มองขึ้นไป เด็กคนนั้น ยิ้มด้วยรอยยิ้มด้วยกันกับในรูป ออกแรงเหยียบมือของเขาอีกครั้ง จนต้องปล่อยมือออก
ตกลงไปในขวดโหลนั้น
จำได้แล้ว
มันเป็นขวดโหลเดียวกันกับในฝัน
ขวดโหลที่เต็มไปด้วยเลือด
ตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้าจนไม่น่าเชื่อ แต่ระยะทางที่สูงระดับนี้ ทำให้ความกลัวพุ่งสูงไม่สิ้นสุด
พยายามจะแหวกตัวผ่านอากาศ แหวกว่ายผ่านไป
ชนเข้ากับแผ่นกระจกแรงจนต้องเซ
บิดร่างกายให้เคลื่อนไหวไปทางอื่น ได้ยินเสียง วัตถุขนาดใหญ่ กำลังเคลื่อนตามมา ไม่กล้าพอที่จะหันไปมอง สันดานเดิมไม่ใช่คนกล้าหาญอะไร ยิ่งตกลงมาในความมืดเช่นนี้ ความกล้าหาญยิ่งกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคุ้นเคยด้วยเลย
แหวกว่ายด้วยความเร็วสูงสุดที่ร่างกายจะทำได้
เซลล์ออกปากบ่นถึงความเหนื่อยล้า ร่างกายเหมือนจะขาดออกจากกัน
ถูกคว้าข้อเท้าไว้ หันกลับไป เห็นความมืดกลุ่มใหญ่รวมตัวเข้าหากัน เป็นก้อนคล้ายก้อนขยะปิโตรเลียม กลิ่นเหม็นฉุน ที่รอบข้อเท้า คล้ายยางมะตอย โอบล้อมไว้
ดวงตาสีแดงจ้องมองตรงมา แทบจะดูดสารสื่อประสาทในสมองออกไปทั้งหมด หยุดนิ่ง ไร้การทำงาน
ถอยหลังหนี ชนเข้ากับบางอย่าง
สิ่งของชิ้นหนึ่ง ส่องแสงประกายวิบวับ ร่วงลงมาจากด้านบนที่มองไม่เห็น ของชิ้นนั้นตกลงบนตัก มือคว้าไว้ทันที
ปากตะโกน ออกไป ไม่มีเสียง ใช้ของสิ่งนั้น แทงลงบนยางมะตอยสีคล้ำ ได้ยินเสียงกรีดร้องของสิ่งแปลกประหลาดนั่น เสียงต่ำคล้ายลำโพงที่หมดช่วงการทำงาน ในความวุ่นวายของเสียงนั้น ได้ยินเสียงผู้คนหลายๆเสียงพูดทับซ้อนกันไปมา
ใช้มันสิ
แค่ใช้มัน ทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว
ไม่มีความวุ่นวาย ไม่ต้องเจ็บปวดอีก
ไม่ดีหรอ? นั่นคือสิ่งที่นายต้องการไม่ใช่หรอ?
ไผ่…ดวงตาสีแดงละลายออก เปิดให้เห็นช่องว่างภายในร่างกายของมัน
เด็กคนนั้น
ยิ้มรอยยิ้มเดิม ครั้งนี้ต่างออกไป มันบิดเบี้ยว ราวกับรูปที่โดนเปลวเทียนเผา
ครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีดำ ครึ่งที่เหลือ ละลาย หลอมรวมกับยางมะตอยส่วนนั้น
ยื่นมือออกมา พูดด้วยเสียงที่ชวนให้จิตใจสงบ แต่ในเวลานี้ มันเหมือนตลกร้าย
“ใช้มันสิ”
สิ่งของที่อยู่ในมือ ส่องประกาย
เรียกเบาๆ นั่นแหละ ใช้ฉันสิ อีกแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้น กำสิ่งนั้นแน่น อยากให้มันหยุดส่งเสียงเล็กแหลมน่ารำคาญนี้สักที แต่หยุดมันไม่ได้ กลับกัน ของเหลวสีดำหนืด ทะลักออกมาจากมันแทน
ใช้ฉันเร็ว ใช้ฉันหยุดซะ หยุดพูดซักที
มันไม่ยากหรอก นายก็รู้นี่น่า แค่เพียงใช้ฉันเท่านั้นทุกอย่างนิ่งเหมือนถูกปิดลง
ได้ยินเสียงนาฬิกา เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ แต่ละวินาที ไม่ใช่เรื่องจริง
ร่างกายถูกโอบรัดจากด้านหลัง กลิ่นเหม็นไหม้ ชัดเจน
แข็งทื่อ ไม่กล้าหันกลับไปมอง
“เดี๋ยวฉันจะทำให้…แบบเดียวที่นายทำกับฉันไง”
มือนั้นจับลงมา มือเหมือนถูกเผาไปด้วย ร้อนฉ่าจนความปวดทำสมองแทบระเบิด
ส่งเสียงร้องดัง ดิ้นพล่าน น้ำตาระเหยขึ้นไป ดูคล้ายกับไอของกำยาน ส่งกลิ่นเหม็นน่าเวียนหัว
ปลายชิ้นส่วนที่กำอยู่ ผลักตัวของมันเองลงในข้อมือ ของเหลวสีดำทะลักล้นออกมา เจ็บแค่เพียงครึ่งเดียวจากที่คิดว่าจะเป็น แต่ก็เป็นความเจ็บปวดที่ทำให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ เจ็บ ที่เหมือนจะฉีกไขสันหลัง หักกระดูกที่ละท่อน เผาทุกเซลล์ให้โปรตีนเสียสภาพ
อ้าปาก ส่งเสียงร้องสุดเสียง มันดูห่างไกล ไกลเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงร้องของตัวเองชัดเจน คล้ายเป็นเสียงสะท้อนจากที่ห่างไกล
มือนั้นหายไป มือที่กุมอยู่ ไม่ มันยังอยู่ แต่แค่ดูเป็นรูปร่างมืออย่างที่สมควรจะเป็น
มือข้างนั้น เปื้อนสีแดง
ด้วยแสงสว่างที่มีเท่าที่บานประตูแง้มออกจะให้ได้ เห็นเพียงหน้าจอห์นที่นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
ไฟในห้องน้ำถูกเปิด
เสียงกรีดร้องดังขึ้นชัด เสียงผู้หญิงที่แหลมจนแสบหู อยากจะยกมือขึ้นอุดหู ไม่มีแรง
นั่งอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ด้วยท่าทางที่คล้ายกับตุ๊กตาหุ่นเชิดร้างเวที ไม่มีใครสนใจ
เศษกระจก เกลื่อนพื้น หลายชิ้นเปื้อนสีแดง
ต้นกำเนิดของมันไหลออกจากจุดสองจุด มือซ้าย และข้อมือขวาที่จอห์นกุมอยู่ ตามร่องนิ้วนั่น ของเหลวล้นเอ่อออกมา
ความเย็น
เย็นเฉียบจากในตัว แล่นพล่าน
ไม่ไกลออกไป เหมือนได้ยินเสียงโลกอีกใบกำลังเรียกอยู่อย่างแผ่วเบา เสียงที่ทำให้ทุกรูขุมขนกระชับตัว ขนลุกชัน
กลิ่นชวนเวียนหัว คลุ้งขึ้นชัดเจน ไม่คล้ายกับกลิ่นในความคิด เพราะความเป็นจริง กลิ่นมันสดใหม่ยิ่งกว่านั้น ความชื้น ความอุ่น จังหวะการเต้นของหัวใจที่ทำให้ของเหลวนั้นออกมามากกว่าปกติ เน้นย้ำว่านี่ ไม่ใช่แค่ความคิดอีกต่อไป
ก้าวผ่านความฝันมาสู่โลกความเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว
แรงบีบที่ข้อมือมากขึ้น ปลายนิ้วจอห์นก็สั่น สั่นไม่แพ้กัน
ที่ผนังห้องน้ำ รอยมือ ดูคล้ายกับศิลปะยุคหิน ปาดป้ายด้วยสีแดง เป็นแนวยาว มีอยู่หลายรอย จนในห้องแคบๆนี้ เหมือนโรงฆ่าสัตว์ ในทางที่เบากว่า และดูคล้ายกับสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม ที่ยังมีศพหายใจอยู่
ฆาตกรรมคำ คำนั้น
ตีตราลงบนสมอง ตรึงเลือดไว้ไม่ให้หมุนเวียน และปิดกั้นม่านตาลงไม่ให้เห็นภาพตรงนั้นโดยสิ้นเชิง
………………………………………….
……………………………………
[Inert 14 : complete]
[15.10.55]
อ่านจบแล้วก็บินออกนอกโลก
![:z2:](https://thaiboyslove.com/webboard/Smileys/Smilies/05.gif)
คงต้องมีสักวันที่ย้อนอ่านเรื่องนี้แล้วพูดว่า "เราเขียนอะไรไป" แหง 555