Inert 15ตึก
ตึก
ตึกเห็นไฟสว่างเข้ามาเป็นช่วง เหมือนรถที่ขับอยู่ในอุโมงค์
ลมพัดหน้า เป็นลมเบาๆที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับถูกสัมผัสด้วยมือเล็กๆนับไม่ถ้วน
ตึก
ตึก
ตึกมันไม่ใช่เสียงหัวใจ ตอนแรกคิดแบบนั้น สดับฟัง เมื่อทุกอย่างสงบลง ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจปนอยู่ด้วย ใช้เวลาสักพักก่อนจะเข้าใจว่ามันคือเสียงเท้า
และในตอนนั้นเองที่สั่นไปทั้งร่าง เคลื่อนไหวขึ้นลง เหมือนกระดาษผิวน้ำ นัยน์ตายังเลื่อนลอย ขาดการติดต่อกับสมอง ทำงานไปตามนึกคิดของอวัยวะ ไม่ใช่จากศูนย์กลางการควบคุม
เห็นใบหน้าคน
เขารู้ตัวว่าถูกมองอยู่ ก้มหน้าลงมา ใบหน้าเขาเรียบเฉย แต่เห็นความลนลานอยู่ในสายตานั้น คิ้วขมวดเพียงส่วนต้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน มันอาจไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะพูดเรื่องนี้นัก แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล สภาพอากาศ หรืออะไรก็ตาม ใบหน้าดูน่าหลงใหลเสียจนเหมือนตัวลอยขึ้นช้าๆ
ริมฝีปากเขาขยับ เห็นฟันเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ กอดคอกันในระนาบเส้นโค้งที่สวยงาม ลิ้นที่ขยับขึ้นลงตามเสียงสระ พยัญชนะ เสียงของเขา แน่นอน คิดว่ามันน่าฟัง แต่หูกลับไม่ได้ยินเสียงใดๆอีก
ตกอยู่ในความเงียบที่น่าสะพรึง อะไรบางอย่างบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี
ปลายนิ้ว ขยับสิไม่ตอบสนอง แม้อยากจะหันหน้าไปดู กลับทำไม่ได้
แสงที่เหมือนไฟในอุโมงค์ยังสลับติดดับไม่หยุด ลมพัดเบาๆ ทำให้ผมปรกลงมาที่แก้ม ปลิวพัดมาติดที่ข้างตา แล้วไม่ขยับออกไป เหมือนจะติดอยู่กับบางอย่างที่ชื้นและเหนียว เห็นสีที่แห้งกรังติดอยู่กับผนังสีขาวข้างตัว สังเกตเห็นกระเป๋าเสื้ออยู่ที่ตรงนั้น จึงเข้าใจได้ว่ากำลังถูกช้อนตัวอุ้ม วิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ทำให้เห็นเหงื่อจากปลายคางเขา หยดลงบนเสื้อที่สวมอยู่
ทะลักออกมาไม่สิ้นสุด
กลิ่นคุ้งคาวแตะจมูกแผ่วเบา มองเลยไปเห็นเงาดำอยู่ติดกาย มันแสยะยิ้มให้ ทักทายช้าๆ ทำความรู้จักกันอย่างเงียบเชียบ ราวกับรู้จักกันมาเป็นเวลานาน
ผนังสีขาวทั้งสองข้างวิ่งลู่เข้าหากันเหมือนถึงจุดสิ้นสุด หลายคนวิ่งกรูกันเข้ามาหา พยายามจะดิ้นหนีก็ถูกล็อคตัวไว้ มือไร้แขนยื่นมาจากความดำมืด ถูกจับล็อคลงกับเตียง เหมือนพิธีบูชายัญ แสงจากอุโมงค์หยุดลง กลายเป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่ย่อตัวต่ำลงมาเบื้องหน้า เหล็กส่องกับไฟ เครื่องมือที่อยู่ในถุงมือยางสีขาวขยับออกช้าๆ
“…อย่า”
เสียงนั้นดูเหมือนไม่ใช่เสียงที่พูดออกไปเอง แหบพร่าเหมือนถูกบีบหลอดเสียง
“อย่า ไม่เอา”
ขยับตัวหนี ไร้ประโยชน์ หันไป เห็นเชือกที่ยึดข้อมือข้อเท้าติดกับโครงเหล็ก เว้นไว้เพียงข้อมือซ้ายสีแดง ถุงมือสีแดง? ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นเมื่อแสงสะท้อนกับของเหลว
“ต้องเย็บแผลด่วน”
“คนไข้ดิ้นไม่หยุดเลยค่ะ”
ไฟฉายเข้ามาใกล้ดวงตา หลับตาลง เบี่ยงหน้าหนี จุดประสงค์ที่ถูกซ่อนไว้ของคนพวกนั้น เป็นกลิ่นอายที่ดูน่ากลัว นิ้วชี้นิ้วโป้งในถุงมือยางจับเข้าที่เปลือกตาบนล่าง เคลื่อนที่ออกจากกัน กดลึกลงไป รู้สึกเหมือนดวงตากำลังจะทะลักออกมาด้วยแรงกดนั่น
เห็นไฟสว่างจ้าในระยะสั้น ไฟฉายสะท้อนให้เห็นม่านตา กระจกตาสะท้อนให้เห็นไฟฉาย ใบหน้าที่ครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในหน้ากากขมวดคิ้วอย่างลังเล
“ดูเหมือนว่าประสาทหลอน?”
“อาการเหมือนกำลังลงแดง ผมว่า”
เสียงพูดคุยข้ามหัวไปมา ผู้ชายตัวใหญ่อีกสองคนทิ้งแรงลงมา ทำให้ต่อต้านไม่ได้อีกต่อไป “ยาสลบ ขอยาสลบหน่อย!” เสียงวิ่ง เสียงลมหายใจ ล้อเตียงเข็นที่เลื่อนไปมา
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ไม่ใช่แค่ของเหลวใสรสเค็ม ยังมีสิ่งสีแดงเข้มที่ไหลตามออกมา ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเหมือนมิติในโลกขนาน เกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อมองไปทางใด ก็เห็นสิ่งนั้นเคลื่อนไหวช้าลง มีเส้นแสงใสตามหลังพวกเขา เมื่อเดินออกไปจากตำแหน่งเดิม
วัตถุลึกลับวางทาบลงบนหน้า ส่ายหนีก็ถูกจับไว้ เห็นใบหน้าเขา เขาคนนั้นจ้องมองมา สายตาที่มอง เป็นสายตาที่ชวนเวทนา “หลับไปซักพักเถอะ” ไอน้ำที่เกิดจากลมหายใจจับเข้ากับวัตถุนั้น กลั้นหายใจไว้ ด้วยความพยายามที่เทียมทัดกับการใช้นิ้วโป้งอุดรูรั่วเขื่อน ไม่ช้า น้ำก็ทะลักออกมา สำลักอากาศเข้าไป ควันจางๆนั่นก็เคลื่อนไหวเข้าสู่หลอดลมด้วย
มือข้างขวาถูกจับไว้ ในชั่ววินาทีนั่น รู้สึกเหมือนไม่ใช่แค่มือที่ถูกกักขังไว้
…………………………………
……………………..
“อีกกี่วันแกจะฟื้นคะหมอ?”
“เรื่องนั้นตอบไม่ได้หรอกค่ะ ผู้ป่วยร่างกายอ่อนล้าต้องการการพักผ่อนหลังเสียเลือดไปมาก จะนอนหลับไปสองสามวันเต็มๆก็คงไม่แปลก” เสียงบางอย่างเคาะเข้าด้วยกันดังเป็นจังหวะตลอดการพูดนั่น “ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วยังมีอาการคุ้มคลั่งอีก เราคงต้องส่งแกไปที่แผนกจิตเวช”
“…งั้นหรอคะ?”
เสียงนั่นไม่ได้เป็นการตอบรับใดๆทั้งสิ้น เป็นเสียงที่จมลึกเข้าไปในตัวผู้พูด ตอบรับกับความสิ้นหวังของตัวเอง
“เราหวังว่าแกจะอาการดีขึ้น”
“ส่วนนั้นหมอคิดว่าคงต้องพึ่งอาการทางใจ ไม่ใช่ร่างกาย”
ใจป่วยไม่ใช่ความหมายทางรูปธรรมที่ชัดเจน แต่เป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ กำลังป่วยและตายลงช้าๆ มาถึงจุดที่ต้องแตกหัก ทางเลือกมีอยู่แค่ทางเดียวคือตายลง
ความตายไม่ใช่ที่สิ้นสุด
ทุกวันนี้มนุษย์ล้วนแต่ตายซ้ำซากในทุกวินาทีที่หายใจ ความสุข ความทุกข์ ความหวัง ความสิ้นหวัง กำลังใจ ความท้อแท้ ล้วนแต่ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อรอการเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่เคยเป็น การที่จะเรียนรู้ถึงวัฏจักรนั้นได้ ไม่ได้มาจากการรับฟังประสบการณ์จากผู้อื่น แต่จำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันเอง เพี่อที่จะเติบโตขึ้น จำเป็นที่จะต้องก้าวพ้นเส้นนั้นไปให้ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่ทำสำเร็จ ไม่ใช่ทุกคนที่ล้มเหลว และไม่ใช่ทุกคนที่กล้าจะลอง
ในฝันที่ยาวนานสองวัน ได้พบกับอะไรบางอย่าง
กุญแจสำคัญ กุญแจที่หายไป
ตัวตนที่ถูกฝังไว้ลึกลงไป ทับถมด้วยความรู้สึกผิด แรงกดดัน และฤทธิ์ยา มันไม่ได้ให้ผลในทางที่หวังไว้ สิ่งที่เกิด เป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับการคาดการณ์โดยสิ้นเชิง
ในเมืองที่ทุกสิ่งมีเพียงสีดำ ในเมืองที่ความแห้งแล้งขยายอาณาเขตออกไปไม่สิ้นสุด
ในที่นั้น ในจิตใจ
ยืนเพียงลำพัง สองขาที่ก้าวลงไป มีเพียงเสียงแห้งแตกของดิน ไม่มีพืชใดที่จะเติบโตในที่แห้งนี้ได้ เป็นแหล่งบ่มเพาะความตายชั้นเลิศที่เกินจะใฝ่ฝัน ไม่มีใครอยู่ที่นี่
เดินหลงทางเหมือนเขาวงกตทั้งที่มีเพียงลานกว้างสุดสายตา หลงทางและไม่หลงทางในเวลาเดียวกัน ไม่หลงทางเพราะไม่ได้เดินวกวน ก้าวไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ที่หลงทาง คงเป็นเพราะไร้จุดหมาย ไร้ทางออกจากที่แห่งนี้
แห้งผากแม้กระทั่งลำคอ
สองเท้าที่เหมือนจะจมลงในเศษซาก ยกขึ้นช้าๆ เคลื่อนไปข้างหน้าได้เพียงแค่ห้าเซนต์ ก็ต้องวางกลับลงยังพื้นระแหงเดิม
ดินแดนที่เรียกว่าจิตใจคงเป็นเช่นนี้ เหี่ยวแห้งไร้ชีวิตชีวา เป็นเพียงสถานที่ว่างเปล่าที่ไม่สลักสำคัญอะไร ไม่มีประโยชน์ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน และขาดซึ่งความสวยงาม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นเลยจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด
เดินมานานจนคิดว่าเป็นเวลาทั้งชีวิต ก็ได้พบเจอเข้ากับบ่อน้ำสีแดงบ่อหนึ่ง
ภาพสะท้อนที่ผิวน้ำนิ่งไม่ไหวติงเหมือนกระจก เห็นใบหน้าซูบผอมของศพหายใจได้ นัยน์ตานิ่งเฉย ความตายฝังรากลึกลงไปถึงข้างในตัว อวัยวะทำงานตามหน้าที่ ไม่มีช่วงใดที่ทำงานหนักกว่าปกติหรือเบากว่าปกติ แค่ทำไปเพื่อให้ร่างกายทั้งหมดหายใจไปเรื่อยๆก็เท่านั้น
ย่อตัวลง ยื่นปลายนิ้วออกไป กระหายน้ำเสียจนไม่ว่าของเหลวนี้จะเป็นสิ่งใด ก็คิดว่าสามารถดื่มลงไปได้ หลังจากเดินทางมานาน ความเหนื่อยล้าแทบจะดูดกลืน บดเขี้ยวกระดูกให้เป็นผง กล้ามเนื้อแข็งเหมือนซากไม้ การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นสั่นกระตุกเหมือนเครื่องยนต์วาระสุดท้าย
ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับผิวหน้าของเหลว เชื่อมเข้าหากัน ดึงขึ้นมาก่อนที่จะเอาชนะแรงตึงผิวไปได้ มองดูแล้ว นั่นเป็นของเหลวสีแดงหนืด
ก้มมองลงไปอีก หวังจะเห็นก้นบ่อที่รู้ว่าไม่มีทางได้เห็น เงาสะท้อนชัดเจน คนสองคนมองหน้ากันในความนิ่งเงียบ แลกเปลี่ยนความสิ้นหวัง ความท้อใจผ่านสัมผัสเพียงครั้งเดียว
ลมพัดแรง
ที่แห่งนี้ไม่เคยมีลมมาก่อน จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสองต่อ ความประหลาดใจแรกคือเรื่องของสิ่งที่ทำให้ผิวน้ำเคลื่อนไหว และความประหลาดใจที่สอง คือใบหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนไม่มีความคิดใดๆออกมา
ผิวน้ำเคลื่อนที่ซิกแซก โมเลกุลโยกตัวซ้ายขวาอย่างแออัด พยายามจะยึดเหนี่ยวพันธะกันและกันไว้ และในขณะนั่น ภาพสะท้อนในผิวน้ำก็เปลี่ยนไป
กลายเป็นคนที่ไม่รู้จัก แต่มีเค้าลางของความคุ้นเคยซ่อนอยู่
“..ใคร”
“ถามฉันหรอ?”
พยักหน้าตอบ รู้ว่าเป็นเรื่องบ้าสิ้นดีที่คุยตอบกับเงาสะท้อนในน้ำที่ไม่ใช่เงาของตัวเอง แต่ที่แห่งนี้ คิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะมันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่เวิ้งว้างระหว่างสมองและหัวใจ สถานที่ที่ไม่มีอยู่จริง
“นายจำฉันไม่ได้หรอ”
ส่ายหน้าตอบ อีกฝ่ายก็ยิ้มจางๆ
“ทั้งๆที่ฉันน่าจะเป็นคนที่นายไม่มีวันลืมแท้ๆ”
“ฉันจำไม่ได้”
“ฉันตายเพราะนายเชียวนะ”
หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจหยุดพักและหันหน้าคุยกัน หารือเรื่องอนาคต ที่มีเพียงการเคลื่อนที่หดขยายเข้าหากันไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ทำงานสัมพัทธ์กับลมหายใจ เมื่อกลับมาหายใจอีกครั้ง หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว
“…ฉัน-“
“ใช่ นาย
ฆ่าฉัน จำไม่ได้หรอ ทิวไผ่”
ไม่ใช่จำไม่ได้ มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
บางอย่างเดินทางมาถึงหน้าประตู ไม่เคาะประตูเรียก แต่กลับยืนเงียบเชียบอยู่ที่ตรงนั้น
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ว่าจะเปิดประตูต้อนรับมันเข้ามาหรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างหลังนั่น ประตูบานนั้นจึงถูกปิดตายมาตลอด จนกระทั่งตอนนี้
“นายต้องเลือกแล้ว ทิวไผ่”
“เลือก…”
“นายอยู่แบบนี้ไม่ได้ ลืมอดีต ทิ้งอนาคต ไร้สาระสิ้นดี”
“ฉันไม่กล้าพอ”
“นายเป็นคนขี้ขลาดมานานพอแล้ว นานเกินกว่าที่คนอย่างนายสมควรจะได้รับด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้พูดด้วยความอาฆาต “ฉันเคย…ทำแบบนั้นจริงๆน่ะหรอ?”
บานประตูแง้มออกเองช้าๆ
มือเย็นเชียบ หันไปดู เห็นกรรไกรอยู่ในมือ มันส่องประกายวิบวับจนน่ากลัว
เงียบจนเหมือนแก้วหูหายไป ตัดขาดออกจากโสตประสาททั้งหมด รู้ตัวอีกที ก็กำลังนั่งคร่อมร่างๆหนึ่งอยู่ กรรไกรในมือคล้ายเกิดสนิม คราบสีแดงฟูฟ่องขึ้นมาเหมือนหยดกรดลงบนหินปูน ร่างที่อยู่เบื้องล่างนั้นไม่ได้นอนนิ่ง แต่สองมือปัดป่ายอากาศเหมือนพยายามไขว่คว้า”ชีวิต”กลับคืนมา มันกำลังจะจากเขาไป เพราะร่างนั้นรู้ ถึงได้พยายามยื้อมันกลับมา
ที่กลางตัว เห็นเพียงรอยเสื้อขาดขนาดเท่าปากกรรไกรตอนหุบสนิท เลือดทะลักออกมาจากที่ตรงนั้น ลึกลงไป เป็นหัวใจที่หมดแรง ส่วนหนึ่งขาดออกจากกัน ถึงจะยื่นมือเข้าหากันเท่าไหร่ ก็ไกลเกินกว่าจะผสาน
ทุกครั้งที่หายใจ ทุกครั้งที่หัวใจอ่อนแรงบีบตัวเชื่องช้าลงทุกที จะเกิดแอ่งน้ำพุเล็กๆแดงฉานจากช่องโหว่ตรงนั้น
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนกลับเป็นโรงยิม พื้นไม้ข้างใต้ร่างนั่น คล้ายปีกเลือดที่กางสยาย ความตายโบยบินลงมา รวมเป็นหนึ่งกับร่างกายที่นอนอยู่ตรงพื้น เสียงรองเท้ารอบตัวดังเหมือนฝนที่กระทบกันสาด แล้วหยุดลงสนิท
ล้อมเป็นวงกลม
ทุกสายตาเคลื่อนจากร่างเนื้อ มาสู่ผู้ที่ยังหายใจ กรรไกรในมือ คายเลือดที่พึ่งดื่มลงไป หยดลงพื้น จนแอ่งเลือดเล็กๆขยายตัวอีกจุด
ฆาตกรทุกคู่สายตากระซิบ เหมือนถูกตรึงด้วยคำนั้น แรงไร้จุดกำเนิดพุ่งเข้าหาจากสายตาของมนุษย์รอบตัว
แกฆ่าเขา“ฉันเปล่า”
แกทำ“ไม่ใช่”
“นายฆ่าฉัน”
แม้แต่ศพเย็นเชียบนั่นก็ยังพูดคำนี้ ดวงตาเหลือกกว้าง จ้องมองมา สายตาที่ทำให้ทนไม่ไหว อยากจะตายไปให้พ้นโลกนี้ซะเดี๋ยวนั้น
ไม่ได้เป็นผู้ฆ่า แต่เป็นผู้
ถูกฆ่าที่ยังมีชีวิต
“นายฆ่าฉัน หลักฐานนี้ยังไม่พออีกหรอ?”
“ไม่ ไม่ใช่ นี่เป็นแค่ฤทธิ์ยาเท่านั้น ยา ยากล่อมประสาท”
“ไผ่ นายรู้ตัวดี”
ประตูบานนั่นตั้งอยู่ที่ปลายสายตา ภาพผู้คนรอบตัวเลือนหายกลับสู่ความมืดต้นกำเนิด แม้แต่ร่างกายนั่นก็ยังหายไป รอยเลือดหดตัวเข้าหากัน เคลื่อนที่ย้อนกลับเหมือนราเมือก ถูกโอบอุ้มด้วยความมืดที่ไม่สิ้นสุด
ประตู และเขา
เหลือเพียงสองอย่างนี้บนโลก โลกที่ไร้พื้น แต่ไม่ร่วงลงไป ไร้แรงโน้มถ่วง แต่ก็ไม่ลอยหนีไปไหน
ตึง!ประตูสั่นแรงๆ ถูกกระแทกจากด้านนอน ขยับตัวแต่ไม่ได้หนีไปไหน ขาก้าวไม่ออก
ตึง! ตึง!
แรงขึ้นจากครั้งก่อน
เสียงนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ เว้นช่วง แล้วเพิ่มจังหวะการชน
ตึง!ตึง!ตึง! ประตูไม้แอ่นตัวแล้วหดกลับเข้าที่เดิมในสองสามครั้งแรก แต่ไม้ไม่ใช่วัตถุที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่ของไหลที่อยู่ในสถานะพันธะอ่อนแรง เกิดรอยแตกระหว่างโครงไม้ช้าๆ เหมือนรอยแตกของผิวโลก
แคร่ก…แคร่กบานไม้เกิดรูโหว่ กัดกินแผ่นไม้ รอยแตกขยายกว้าง
กว้างพอที่จะเห็นคนหน้าประตู
เจ้าของใบหน้าแรกที่เห็นที่ผิวน้ำ ยืนร้องไห้อย่างเงียบงันเพียงลำพัง
……………………………..
………………………….
“ไผ่”
เสียงเรียก สัมผัส ลมหายใจ กลิ่นอ่อนๆของชายรุ่น สะกิดเบาๆเหมือนลมเหนือผิวทราย
“…ทิวไผ่”
ลืมตาขึ้น
ดวงตากรอกตัวไปมาอย่างเชื่องช้า ความเหนื่อยอ่อนเข้าถาโถม ก่อนที่จะรู้สึกตัว ก็เจ็บที่ข้อมือเสียจนเท้ากระตุก
ยังมีชีวิตอยู่ ความเจ็บนั่นกระซิบ แผลนั่นคือข้อย้ำเตือน ผ้าก็อซสีขาวพันทบไปมาอย่างประณีตทักทาย
“เกือบไปแล้วนะ”
“จอห์น….”
ไม่คิดว่าจะเป็นคนแรกที่ได้เห็นตอนลืมตาตื่น
ฝันร้าย ฝันร้ายที่แสนยาวนานจนคิดว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุด
“ร้องไห้อยู่น่ะ”
ปาดน้ำตาออกอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วชุ่ม อ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กๆ คล้ายเสียงของลูกสัตว์
“ฝันร้าย”
“ฝันว่าอะไร?”
ความทรงจำที่เลือนราง เห็นหน้าจอห์นอีกครั้ง ก็เหมือนจะจำได้
จอห์นเป็นคนพามาส่งที่โรงพยาบาล
เสียงกระซิบ อย่าตายนะ เป็นคำอธิษฐานศักดิ์สิทธิที่ไม่คิดว่าจะได้รับ ดังซ้ำไปมาจนวินาทีที่หมดสติไป
“จำฝันนั่นไม่ได้แล้ว…”
“อย่างนั้นหรอ” ตอบรับกลับด้วยเสียงที่เหมือนดังในลำคอ เห็นแววอิดโรยในดวงตาของจอห์น มันเคยเปล่งประกายเสมอมา คล้ายกับดวงตาของลูกกวาง มองลึกลงไปในดวงตาสีฟ้านั่น อาจจะได้เห็นโลกอีกใบที่ซ่อนอยู่ วันนี้แสงอ่อนลง ดูคล้ายกับน้ำทะเลลึก “ฝันร้ายลืมมันไปก็คงจะดี”
เป็นครั้งแรกที่คิดไปในทางเดียวกับจอห์น
ใช่
ถ้าลืมมันไปได้ก็คงดีขยับนิ้วได้ไม่สะดวก แต่ถึงอย่างนั้น สัมผัสยังชัดเจน
ความเย็นเฉียบจากผิวโลหะในอุ้งมือยังไม่เลือนหายไป
……………………………..
………………………..
[Inert 15:complete]
[5.11.55]
เกรดออก วิญญาณหลุด