บทที่ ๒๓
หวงรัก(ครึ่งแรกจ้ะ

)
เธอเป็นของรักของหวงที่ห่วงอาลัย
เป็นดวงใจ ฉันจึงห่วงใยใฝ่ปอง
กายและใจของเราต่างเป็นเจ้าของ
หากไม่ครอบครองเดี๋ยวของรักต้องหลุดลอยไป
รักจริงถึงห่วง ไม่ใช่หลอกลวงรักจริงถึงห่วงดวงใจ
จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้ใคร แม้ใครชิงแย่งไปฉันยอมตายเอย*
*จ้อยกลับมาเรียนอีกครั้งหลังจากหยุดเรียนไปร่วมอาทิตย์
ที่หน้าชั้นเรียน หม่อมราชวงศ์เลอมานกำลังสอนภาษาอังกฤษไปตามปกติ เสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงกังวานก้อง เสียงคุณชายอธิบายคำศัพท์ฟังดูแจ่มใส เสียงเพื่อนนักเรียนรอบห้องหัวเราะกันครึกครื้น ทว่านานาสรรพเสียงเหล่านั้นไม่เข้าหัวจ้อยเลยสักนิด
วงหน้าละมุนเรียบเฉยไม่ยิ้มแย้มอย่างเคย มือเล็กจรดปากกาลงบนสมุด เขียนตัวอักษรไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มาสะดุดกึกเอาก็ตอนที่..
ปากกาจ้อยหมึกหมดเสียแล้ว
จ้อยลากปากกาไป แต่ไร้หมึกสีน้ำเงินจากปลายหัวลูกลื่น แรงกดก่อให้เกิดรอยขีดบนเส้นบรรทัด จ้อยสะบัดปากการาคาไม่กี่สตางค์แล้วลองเขียนใหม่ หากผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเช่นเดิม จ้อยลองขีดเขียนลงกระดาษสะเปะสะปะ ยิ่งเขียน ปากกาไร้หมึกยิ่งทวีความไร้ค่าของมันทุกที
ไม่ต่างจากเจ้าของมันนักหรอก
นักเรียนครูก้มดูใต้เก๊ะ เผื่อจะเจอปากกาแท่งอื่น แต่ก็พบเพียงสมุดหนังสือของตน เขาถอนใจเฮือก แย่แล้วซี แล้วแบบนี้จะเอาอะไรเขียน เห็นทีตอนพักกลางวันต้องไปซื้อที่สหกรณ์ใหม่สักด้าม ครั้นล้วงลงกระเป๋ากางเกงก็ยิ่งสลด เมื่อพบความจริงว่าเขาไม่มีเงินติดตัวมาสักสตางค์
อนาถตัวเองนัก แม้แต่ปากกาด้ามเดียวยังไม่มีปัญญาซื้อ จ้อยลองกดปากกาลงบนกระดาษอีกซ้ำๆ เผื่อปาฏิหาริย์จะบันดาลให้มีน้ำหมึกออกมาดังเดิม
“จ้อย!” เสียงสดใสมาพร้อมมือแตะป้าบลงไหล่ คนฟุ้งซ่านไม่ทันตั้งตัวเลยสะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้ จ้อยหันขวับคุณชายเล่นแบบนี้ใจเขาแทบร่วงไปอยู่ตาตุ่ม
“ฉันขอโทษ ไม่คิดว่าจะตกใจ..ขนาดนี้” คุณชายเสียงอ่อนลง ดวงตาสีน้ำตาลใสมองมาอย่างประหลาดใจ จ้อยหลบตาวูบ
กี่วันแล้วนะที่เขาสบสายตาใครต่อใครตรงๆ ไม่ได้ ยิ่งเป็นสัมผัสยิ่งไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะสัมผัสจากผู้ชาย ขนาดเมื่อเช้า สง่าและสันติเข้ามากอดไหล่กอดคอ จ้อยยังสะบัดหนีจนเพื่อนรักทั้งสองถึงกับแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จ้อยมองตาคุณชายไม่ได้ ครั้นจะเมินหน้าหนีก็เสียมารยาท ได้แต่ก้มหน้ายามวงหน้าผ่องแผ้วโน้มลงมาใกล้
โอ้ คุณชายเหน็บปากกาไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้วย โก้จริงหนา ปลอกสีทองเตะตา คาดว่าราคาก็คงจะแพงไม่หยอก ปากการาคาไม่กี่สตางค์ของจ้อยคงเทียบไม่ติดแม้แต่เศษเสี้ยว
ของมันแน่อยู่แล้ว หม่อมราชวงศ์สูงศักดิ์ สูงส่ง มั่งมีและเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง คนที่เกิดมาต้อยต่ำซ้ำยังถูกเหยียบย่ำให้ต่ำซ้ำลงไปอีกอย่างจ้อยจะเอาอะไรไปเทียบ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงอ่อนโยนไถ่ถามห่วงใย
“ปะ..เปล่าครับ” จ้อยกลับส่ายหน้ารัว
“หน้าซีดเชียว ไม่สบายยังไม่หายหรือ” มือขาวยื่นมาแตะหน้าผาก ทว่าคนตัวเล็กกับผงะหลบ ซ้ำยังปัดมือคุณชายทิ้งอย่างไม่ใยดี
“ผมไม่เป็นไร!” นักเรียนครูเสียงดังเกือบเป็นตะคอก หม่อมราชวงศ์หนุ่มนิ่งงัน จ้อยถึงกับชะงักเมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาเสื่อมทรามออกไป ดวงตาเศร้าหมองหลุบลงต่ำ เอ่ยเสียงแผ่ว “ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
เพื่อนนักเรียนรอบห้องเริ่มหันมามองกันแล้ว
“ไปห้องพยาบาลนะ เดี๋ยวฉันพาไปเอง” เนื้อตัวหอมสะอาดเข้ามาใกล้ ประคองจ้อยให้ลุกขึ้น จ้อยร้อนผ่าวที่กระบอกตาขึ้นมาเฉยๆ คุณชายตัวหอมเหลือเกิน เชิ้ตที่ใส่มีตราลูกศรที่กระเป๋าเสื้อ คงราคาแพงน่าดู แถมยังสะอาดและรีดเรียบกริบ
ต้องอย่างนี้สิถึงเรียกได้เต็มปากว่า ‘หงส์’
จ้อยสูดจมูกลึกยามก้มดูสารรูปตัวเองบ้าง เสื้อจ้อยเก่ามากแล้วเพราะตกทอดมาจากพี่จินดาอีกที ผ่านการซักมาหลายครั้งจนเนื้อบางจ๋อย สีจำปาซีดจนเป็นจำปาเน่า ซ้ำยังยับย่นไปทั้งตัวเพราะจ้อยต้องทำงานบ้านจนไม่มีเวลารีด
ถ้าคุณชายเป็นหงส์ แล้วจ้อยจะเป็นอะไรดี..
กา?
คุณชายเข้ามาประคองจ้อยแบบนี้ สีดำของกาจะตกใส่ปีกขาวของหงส์ไหม
“ฉันจะพาจ้อยไปห้องพยาบาล อ่านหนังสือกันไปก่อนนะ” คุณชายหันไปสั่งนักเรียนทั้งห้อง มือยังจับจูงจ้อยไม่ปล่อย “สง่าจดชื่อคนคุยกันด้วย เดี๋ยวฉันกลับมา”
**********************
เลอมานนิ่งมองร่างเล็กที่นอนขดบนเตียงพยาบาลด้วยความห่วงใย จ้อยแปลกไปจริงๆ ด้วย เมื่อครู่แค่อาจารย์ห้องพยาบาลซึ่งเป็นผู้ชายเดินมาแตะหน้าผาก จ้อยก็สะดุ้งเสียตัวโยน ทำท่าเหมือนสัมผัสจากคนอื่นเป็นหนามแหลมจนต้องคอยหลบเลี่ยงอย่างนั้นละ
“จ้อย เป็นอะไรหรือเปล่า” คุณชายแตะมือลงไหล่เล็ก แน่ะ.. สะดุ้งอีกแล้ว “มีอะไรก็บอกฉันได้นะ เพื่อนกันไม่ใช่หรือ”
คนป่วยกลับไม่ตอบคำ ได้แต่ส่ายหน้ารัวก่อนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมมิดหัว เป็นอวัจนภาษาสื่อว่าไม่อยากเสวนากับใครทั้งสิ้น
บุตรท่านทูตถอนใจพรู ได้แต่นั่งมองเพื่อนรักอยู่ข้างเตียงอย่างนั้น อดคิดในใจไม่ได้ ว่าใครทำเพื่อนของเขาเป็นแบบนี้กันหนา
เห็นทีต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว
****************************
ตอนเย็นหลังโรงเรียนเลิกแล้วเป็นเวลาที่เลอมานชอบที่สุด ช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนหย่อนใจกับผองเพื่อนนักเรียน สรรหากีฬามาเล่นกัน มีสนามเดียวก็แบ่งพื้นที่กัน มุมโน้นเตะตะกร้อกันเฮๆ ส่วนเลอมาน อาจารย์คนึง อาจารย์ประพนธ์ สง่า สันติและผองเพื่อนเกือบสิบคนจับกลุ่มเล่นฟุตบอลที่อีกฝั่งสนาม
ไม่มีเสื้อทีมอย่างเป็นทางการหรอก ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแยกสองทีมออกจากกันก็คือ.. ทีมถอดเสื้อ กับทีมใส่เสื้อ
เพื่อความยุติธรรมผู้เล่นทั้งหมดก็ต้องโอน้อยออกเพื่อแบ่งทีมกัน เลอมานเพิ่งรู้จักโอน้อยออกจากที่นี่แหละ ตอนอยู่อังกฤษรู้จักแต่ hammer-paper-scissors ออกไปออกมา ผลสรุปว่านัดนั้นคุณชายได้อยู่ทีมถอดเสื้อ ส่วนอาจารย์ที่รักอยู่ทีมใส่เสื้อ
เขารีบสลัดเสื้อโปโลเนื้อดีออกทางหัว โชว์แผ่นอกเปลือยเปล่าไม่อายสายตาใคร ก็ผู้ชายเหมือนกันจะอายไปใยเล่า แถมยังมีนักเรียนเปลือยอกโชว์เป็นเพื่อนตั้งหลายคน
ผิวนอกร่มผ้าว่าขาวแล้ว ไอ้ที่อยู่ใต้ร่มผ้าแดดส่องไม่ถึงมันขาวเสียยิ่งกว่า คนตัวบางผิวขาวผ่องมาอยู่ท่ามกลางชายกำยำผิวคร้ามแดดก็เลยดูโดดเด่นดั่งหงส์ในฝูงกาเป็นธรรมดา ใครต่อใครพากันมองมาบ้าง แต่จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนฝูงกันทั้งนั้น
หากพอเริ่มเล่นเท่านั้น ลูกหนังลอยสูงเหนือผืนหญ้า คนโน้นเตะไปคนนี้เตะมา พอบอลมาเข้าเท้าคุณชายทีไร คุณชายไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอาจารย์คนึงถึงจงใจสกัดหน้าสกัดหลังเขาเพียงคนเดียวอยู่ได้นะ จะว่าไป.. สายตาคมเข้มคู่นั้นจับจ้องเขาไม่วางตาตั้งแต่เริ่มถอดเสื้อเลยด้วยซ้ำ
อาจารย์เป็นอะไรไป? เขาทำอะไรผิด?
ยิ่งตอนคนึงทำลูกออก ต้องไปทุ่มลูกจากข้างสนาม เขารับไว้ได้แต่ถูกอาจารย์ประพนธ์ถลาเข้ามาคลุกวงใน สองคนโรมรันกันจนฝุ่นกลัด พอรู้สึกตัวอีกที อาจารย์หนุ่มใจดีก็โถมลงทับเขาทั้งตัว ตัวหนักไม่เบาเล่นเอาเลอมานจุกแอ้ดแต่ไม่วายหัวเราะร่า ก็มันสนุกจริงๆ นี่ มิน่า.. คนไทยถึงชอบพูดกันว่า ‘กีฬาเป็นยาวิเศษ’
แล้วใครนั่น เดินตีหน้ายักษ์มาแต่ไกล
“พอแล้ว!” เสียงห้าวๆ ตวาดห้วนๆ มือแข็งแรงฉุดคนที่นอนแผ่อยู่กลางหญ้าให้ลุกขึ้นอย่างง่ายดาย “เล็กเปลี่ยนทีมกับครูเดี๋ยวนี้!”
เผด็จการ! เผด็จการอย่างที่สุด! เลอมานได้แต่อ้าปากค้างเมื่อถูกมือใหญ่ปัดเศษหญ้าที่ติดตามหลังไหล่ชื้นเหงื่อออกให้ สมาชิกที่เหลือพากันรุมล้อมเข้ามา ต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
“ใส่เสื้อซะ!” แล้วคนกินรังแตนก็สลัดเสื้อออกยื่นให้ พอเห็นเขายังทำหน้าเป๋อเหลอก็จับใส่ให้เองเสียอย่างนั้น
“อาจารย์” เลอมานโอดทั้งหัวผลุบโผล่อยู่ใต้คอเสื้อ สองแก้มแดงซ่าน กลิ่นที่เคยคุ้นกระตุ้นเตือนความทรงจำหวามไหว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยืนยันว่ากลิ่นเหงื่อบนกล้ามเนื้อตึงแน่นตอนใกล้รุ่งอุ่นอวลกว่ากันเยอะ
อาจารย์อ่อนโยนเสมอ แต่พอบทจะร้อนแรงขึ้นมา ก็ละลายเขาแทบหยดเป็นเทียนไข อาจารย์ใจดีก็จริง แต่พอบทจะดุขึ้นมา แค่ตาวาวๆ ปราดมาฉับเดียว หม่อมราชวงศ์เลอมานก็หุบเล็บเก็บเขี้ยวแทบไม่ทัน
นี่ถ้าท่านพ่อมาเห็นเข้า คงไม่แคล้วตรัสว่า.. เจ้าเสือร้ายกลายเป็นแมวเหมียวไปเสียแล้ว
ถูกใครต่อใครร้องทักว่าหน้าแดงจนเลอมานยิ่งร้อนหน้าหนัก อาจารย์คนึงได้ทีพาเขาไปพักริมสนาม ถือโอกาสสวดเสียยกใหญ่ว่าทีหน้าทีหลังอย่าเปิดเผยเนื้อหนังมังสาต่อหน้าผู้ชายทั้งฝูงแบบนี้อีก ครั้นพอเขาถามเหตุผล อาจารย์กลับอึกอักเสียนี่
หากโหนกแก้มขึ้นสีเรื่อแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์อมยิ้ม มองคนตัวโตเปลือยท่อนบนวิ่งไปรวมกลุ่มกับเหล่านักเรียน แบบนี้ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ หวง? ห่วง? หึง? หึ่ง? อืม..จะอะไรก็ช่าง เขารู้สึกดีจัง
แสงสุดท้ายอาบผืนหญ้าเป็นสีทองอมส้ม จูบลาทุกสรรพสิ่งบนโลกอย่างอ้อยอิ่ง การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่เลอมานไม่ได้มองเจ้าลูกกลมๆ แม้แต่น้อย ตามันคอยแต่จะจับจ้องเพียงคนคนเดียวนั่นละ
หากจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ นักเรียนครูตัวเล็กที่ปกติเคยมาร่วมวงด้วยกันเสมอ แต่วันนี้กลับหายตัวไปไหนเสียเล่าหนอ
**************************
ปกติห้องสมุดประจำโรงเรียนก็เงียบเชียบอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเวลาเย็นย่ำยิ่งเงียบเหงาเข้าไปใหญ่ แสงตะวันสีทองส่องผ่านผ้าม่านลูกไม้พลิ้วก่อเป็นลวดลายทาบบนชั้นหนังสือไม้หนาหนัก พื้นกระดานมันปลาบเยียบเย็น โต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงรายอยู่ในความสงัดยามสนธยา
นั่นไง จ้อยอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย นั่งอ่านหนังสือขะมักเขม้นอยู่คนเดียว กางตำราวางกองเป็นฆ้องวง สาบานนะว่าอ่านทั้งหมดนั่นจบได้ภายในวันเดียว
“จ้อย” เลอมานว่าเขาลดเสียงแล้วนะ แต่จ้อยก็ยังไม่วายสะดุ้ง “หลบมาอยู่ที่นี่เอง”
คนตัวเล็กกว่าไม่ตอบคำ ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อเหมือนมันน่ามองกว่าหน้าเขาหนักหนา แต่เขาไม่ถือเคืองหรอก ได้แต่ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม เท้าคางมองวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูซูบเซียวลง
“ไปฉายหนังกัน” จู่ๆ เลอมานก็โพล่งขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ครับ?”
บุตรชายท่านทูตหัวเราะขำ จ้อยตีหน้างงเป็นไก่ตาแตก คิ้วเรียวๆ ยุ่งแทบผูกโบว์ อ้าปากค้างเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่จ้อยใช้เวลาหลังเลิกเรียนอยู่ที่ห้องสมุดแทนที่จะอยู่ร่องผักหลังตึกเรียนอันเป็นที่ตั้งของชมรมกสิกรรมหรือไปเตะฟุตบอล เตะตะกร้อกับเพื่อนๆ เหมือนก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนรัก แม้จะอยากรู้แค่ไหนหากอีกฝ่ายไม่อยากบอกเขาก็ไม่คาดคั้น ได้แต่เฝ้าห่วงใยอยู่ห่างๆ พยายามหาทางให้จ้อยสดชื่นขึ้น
“อาจารย์จะพาไปฉายหนังนอกเมือง ไปกันเถอะนะจ้อย สง่ากับสันติก็ไป” เขาคะยั้นคะยอ อยากให้จ้อยไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เผื่อจะลืมเรื่องเศร้าหมองในใจ “เอาหนังไปฉาย เอาขนมไปเลี้ยงพวกเด็กๆ น่าสนุกออกนะ”
แผนนี้เขานอนคุยกับอาจารย์คนึงตั้งนาน ใช่แล้ว.. นอนคุย ไม่ผิดหรอก หลังๆ มานี้อาจารย์ย้ายมานอนเตียงเขาเสมอ เพราะเตียงเขาติดฝั่งระเบียง เผื่อเวลามี.. ‘อะไร’ เสียงจะได้ไม่เล็ดรอดไปยังห้องอาจารย์ประพนธ์และวิรัช อย่างเมื่อคืน อาจารย์นอนเอกเขนกอ่านหนังสือสบายใจ เขาแค่ถอดแว่นตาออกให้ เกยคางบนอกกว้างทำตาปริบๆ อาจารย์ยังไม่ยอมปิดหนังสือ เขาเลยชะโงกไปจูบเบาๆ ที่ปลายคาง แค่นี้อาจารย์ก็ยอมสิโรราบตามใจเขาสิ้นทุกสิ่งอัน
จนช่วยกันคิด ‘ทริป’ สนุกๆ นี้ขึ้นมา
“ไปเถอะนะ มีแต่พวกเราแล้วก็เด็กๆ” ไม่มีคนที่ทำให้จ้อยเป็นแบบนี้หรอก..
เมื่อเห็นตะกอนความกังวลลอยขุ่นในแววตา คุณชายข้ามฝั่งมาโอบไหล่เล็กไว้แน่น โยกโคลงเบาๆ จ้อยก้มหน้าเงียบเชียบ และเมื่อเขาดึงศีรษะเพื่อนมาแนบอก จ้อยก็ตัวอ่อนเหมือนลูกแมว ไม่มีทีท่าขัดขืนแต่อย่างใด เขาเลยอนุมานเอาว่านั่นคือคำตอบตกลง
คนไทยไม่ค่อยแสดงความรักความห่วงใยด้วยการกอดกัน หารู้ไม่ว่าอานุภาพมันช่างยิ่งใหญ่ แค่กอดเบาๆ หัวใจเหน็บหนาวก็อุ่นขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เหมือนจ้อยในตอนนี้..
(ติดตามต่อครึ่งหลังจ้ะ
)**********************
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ค่ะคนอ่านที่รัก

ใจจริงอยากเขียนให้จบตอนเลยแล้วลงทีเดียวเป็นของขวัญปีใหม่ แต่มันเข็นไม่ขึ้นค่ะพี่น้อง (ได้หยุดงานตั้งห้าวัน แต่มัวตะลอนไปโน่นมานี่ฉันจะตีก้นเธอ) เลยปั่นมาได้แค่นี้
ถึงจะสั้นไปหน่อย แต่ก็ขอเอาฤกษ์เอาชัย อัพนิยายรับปีใหม่ และถือโอกาสอวยพรคนอ่านที่น่ารักให้มีความสุขมากๆ นะคะ สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้า ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ กินอิ่มนอนหลับ ได้อยู่กับคนที่รัก มีวายให้เสพตลอดปี ไชโย

รักคนอ่านค่ะ
ดอกไม้
คืนส่งท้ายปีเก่า ๒๕๕๕