บทที่ ๑๒
ยูงกระสันเมฆนกยูงกระสันหมายมั่นเมฆฝนมา
แหงนมองจ้องฟ้าทุกวัน
เพราะรักจะชมสมเสก หมายรักถึงเมฆเทียวนั่น
เจ้าใฝ่กระสันผิดชั้นกันไกล
นกยูงกระสันหมายมั่นผสมพันธุ์
เหมือนเรียมกระสันขวัญใจ* สิงห์ไม่แน่ใจว่าเขาพาหัวใจชอกช้ำซมซานกลับมาถึงบ้านได้อย่างไร ในสมองลางเลือนจำได้เพียงว่าเขาขี่รถเครื่องไถลลงข้างทางหนหนึ่ง ทิ้งร่างนอนหงายกลางผืนหญ้าอย่างไม่ไยดี ตาพร่าจนหมู่ดาวที่เห็นบนฟ้าตรงหน้าลางเลือน เลือดรินช้าลงแต่ยังปล่อยกลิ่นคาวซ่านเข้าโพรงจมูก นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นนานเท่าไรไม่รู้ ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นพาตัวเองกลับบ้านในที่สุด
บ้าน.. ที่ไม่เคยอยากกลับ
“มาแล้วเรอะไอ้ลูกชั่ว!” นั่นไง.. แค่เลี้ยวรถเข้าเขตเรือนไทยไม้สักหลังงาม พ่อก็ให้พรมาแต่ไกล
“มึงไปก่อเรื่องอะไรอีก!” กำนันเสริมยืนถมึงทึงอยู่หัวบันได ในมือมีไม้ตะพดคู่กาย สิงห์จอดรถใต้ถุนเรือน เดินขึ้นบันไดผ่านหน้าพ่อไปไม่ทักไม่ทายสักคำ
กำนันหนวดกระดิก หันกลับมาคว้าแขนกำยำไว้ได้ทันก่อนไอ้ลูกตัวดีจะเดินพ้นชานเรือน สิงห์สะบัดหนี พ่อยิ่งโกรธจนเอาตะพดชี้หน้า
“มีคนบอกว่ามึงไปยิงปืนในวัด งานวัดงานบุญก็ไม่เว้น ระวังนรกจะกินหัวมึง!”
ลูกชายขบกรามกรอด แผลที่หน้าผากเลือดอาบแดงฉานอยู่ทนโท่ พ่อมอง..แต่ไม่เห็น.. ในสายตาพ่อเห็นแต่ความเลวระยำ เห็นแต่ความโง่ เห็นแต่ความไม่ได้ดั่งใจ
“ไอ้ลูกไม่รักดี!” มือใหญ่ตบเข้าบ้องหูจังๆ โลกแทบสะเทือน “เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาให้กู!”
“พี่เสริม! จะตีลูกให้ได้อะไรขึ้นมา!” คุณนายพูนทรัพย์วิ่งถลาออกมาในชุดนอนกรุยกราย โรลม้วนผมเต็มหัว ทันทีที่เห็นแผลบนหน้าผากลูกชาย คุณนายก็ร้องเสียงหลง “ตายแล้วตาสิงห์ เจ็บไหมลูก!”
“นี่ก็อีกคน ตามใจกันเข้าไป โอ๋มันจนเสียคนหมดแล้ว”
“ทำไมทำอย่างนี้ล่ะลูก หือ”
รำคาญ.. น่ารำคาญ.. ทั้งเสียงด่าทอของพ่อ และความเอาใจใส่เกินไปจนเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยของแม่ ร่างสูงใหญ่เดินหนีขึ้นพาไล กระแทกเท้าตึงตัง กระชากนมประตูปิดดังสนั่นอย่างไม่ออมแรง ทิ้งตัวลงบนตั่งเตียงไม้สัก ถึงกระนั้น..เสียงน่ารำคาญก็ยังเล็ดรอด จนต้องเอาหมอนอุดหู
“เวรกรรมอะไรของกูถึงได้มีลูกชั่วๆ อย่างมึง”
“เด็กผู้ชายมันก็ยังงี้ล่ะน่ะ!”
“เรอะ! ตาเสมก็ลูกชายยังได้ดิบได้ดีเป็นตำรวจ ยัยแสงเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังขวนขวายไปเรียนตัดเสื้อ มีใครเขาเลวเหมือนมันบ้าง ไม่รู้ไปเอาเชื้อมาจากใคร”
“เอ๊ะ! พี่กำนันว่าฉันเรอะ”
“ก็ใครล่ะตามใจมันจนเป็นแบบนี้ คอยดูเถอะ สักวันมันจะกลายเป็นเสือเป็นโจร!”
มีแต่เสียงและเสียง ผลัดกันเข้ามาหมุนวนในความรับรู้ เจาะไชเหมือนสว่าน ชอนแทรกจนอยากลุกขึ้นอ้วกให้หมด สำรอกเอาชีวิตออกไป ตายโหงตายห่าให้มันจบๆเสียที
“สิงห์ น้าเอง น้าเข้าไปนะ” น้าเวก ผัวน้าแป้นเคาะบานประตูสองสามทีก่อนถือวิสาสะเข้ามาในห้อง หิ้วกล่องยาและอ่างเคลือบใส่น้ำมาด้วย
สิงห์แทบไม่รู้ตัวยามมือหยาบแตะแผลที่หน้าผาก ใส่ยาให้อย่างแผ่วเบา น้าเวกใจเย็น สมกับที่เป็นคนสวน วันๆ ขลุกอยู่กับต้นไม้ แกไม่บ่น ไม่ด่า ไม่ว่าอะไรสักคำ
“ไปเสียท่านักเลงบ้านไหนมาล่ะ” เสียงทุ้มถามด้วยปรานี คนอ่อนวัยกว่าไม่ตอบคำ ปล่อยความคิดจมดิ่ง.. นิ่งงัน.. นึกถึงเจ้าของดวงตากลมโตกระจ่าง เจ้าของแก้มเนียนราวขนมหน้านวล มือขาวนั้นตีหนัก ปากแดงนั้นก็ด่าได้เจ็บแสบดีแท้
เสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันยังดังแว่วลอดฝาปะกน
ตั้งแต่เล็กจนโต เขาพบเจอคำดุด่า เหยียดหยาม ดูถูกมานักต่อนักจนแทบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อยู่บ้าน พ่อก็เปรียบเทียบกับพี่ชายและน้องสาวให้ฟังทุกวัน อยู่โรงเรียน ครูก็ดุด่าว่าโง่ แม้เพื่อนฝูงก็ยังล้อเลียนที่เขาเป็นเด็กโข่งตัวสูงโคร่งอยู่คนเดียวในห้อง
มีเพียงคนเดียว.. เพียงคนเดียวที่ไม่เคยหัวเราะเยาะ ไม่เคยดูหมิ่นเขา..
น้องจ้อย..
มันช่างน่าขำ
ตอนนั้น.. เขาอายุ ๑๔ ปีแล้ว แต่ยังเพิ่งเรียนอยู่แค่ชั้น ป.๗ ตัวเริ่มสูงใหญ่ เริ่มมีกล้ามเนื้อจับตามแขนขา อกกว้าง เสียงแตกหนุ่ม มีไรหนวดขึ้นบางๆ ..อยู่เพียงคนเดียวในชั้นเรียน
ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด
ในขณะที่จ้อยตัวเล็กยังไง ก็ยังตัวเล็กอย่างนั้น.. ตัวเล็กเสียจนสิงห์กลัวแขนน้องจะหักยามหิ้วตะกร้าตามหลังยายมาจ่ายตลาดต้อยๆ
เด็กผู้ชายมาเดินจ่ายกับข้าว ไม่แคล้วโดนพวกเด็กโตมันล้อ “ไอ้กะเทย ไอ้กะเทย”
ล้อได้ล้อดี ล้อได้ทุกวันทุกวี่ ล้อจนวันนั้นจ้อยร้องไห้จ้า จนสิงห์ที่ช่วยถือตะกร้าทนไม่ไหว ฟาดปากมันไปหนึ่งที ก่อนตะลุมบอนกันอุตลุด ฝุ่นตลบอบอวล แผงผักแผงปลาวอดวายระเนระนาด
ตามคาด เขาถูกตีหน้าเสาธงที่โรงเรียน กลับไปบ้านก็ถูกพ่อตบบ้องหูซ้ำอีก
ซ้ำร้าย.. ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชกต่อยวันนั้น ไอ้พวกเด็กโตในตลาดไม่ล้อจ้อยแค่คนเดียวอีกต่อไป
“พวกเอ็งดู ผัวเมียมาขายขนมด้วยกันว่ะ” ไอ้ลอยหัวโจกชี้ชวนพรรคพวกดู เมื่อเขาช่วยน้องหิ้วตะกร้าเร่ขายขนม
“ไอ้กะเทย! เฮ้ย ไอ้สิงห์ มึงเป็นผัวไอ้กะเทยเรอะ”
“เอ็งชอบมันล่ะสิ”
“หน้าไม่อาย ไอ้สิงห์ชอบไอ้กะเทย ไอ้สิงห์ชอบไอ้กะเทย”
พวกมันพากันโห่ฮาอย่างสนุกสนาน วันแรกๆ สิงห์แค่เดินหนี แต่พอนานวันเข้า โดนล้อเลียนหนักขึ้นทุกที สิงห์เริ่มทนความรู้สึกเป็นตัวตลกต่อไปไม่ไหว..
พี่ห่างเหินน้องเข้าไปทุกวัน..
จนวันนั้น..เมื่อความอดทนถึงขีดสุด เด็กหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป พยายามแสดงให้พวกมันเห็นต่อหน้าว่าเขาไม่ได้วิปริตวิตถารอย่างที่พวกมันคิด
“กูไม่ได้ชอบมัน! กูเกลียดมันจะตายไป!” เสียงแตกหนุ่มตะคอกลั่น ประกาศให้รู้กันทั่ว
สิงห์ยังจำดวงตารื้นน้ำของน้องในวันนั้นได้จนทุกวันนี้
เหตุการณ์วันนั้นไม่ได้จบลงด้วยดีหรอก ขนาดพูดใส่หน้าอย่างนั้นแล้วพวกมันก็ยังล้อกันไม่เลิก วงตะลุมบอนจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง มาสงบได้ก็ตอนน้าเวกไปตามแม่เขามา
แม่ยุติปัญหาทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะเอาบารมีกำนันมาขู่ และเพียงเพราะ.. เงิน
หลังถูกแม่แจกเงินไปแล้ว พวกไอ้ลอยก็มองเขาแปลกไป สิงห์จึงเพิ่งตระหนักรู้ว่าบารมีของพ่อ เงินของแม่ มันมีอำนาจมากมายแค่ไหน มากมายถึงขนาดคนที่เพิ่งมีเรื่องกันออกปากชักชวนเขาในวันหนึ่ง
“เอ็งอยากเข้ากลุ่มข้าไหมล่ะ”
สิงห์ตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิด หลังจากนั้น.. คล้ายหูตาที่ถูกปิดมาเนิ่นนานได้เปิดออก เส้นทางใหม่แสนฉูดฉาด ความคึกคะนองในวัยหนุ่มถูกปลดปล่อย พวกไอ้ลอยไม่ล้อเขาอีกแล้ว ไม่ด่าทอ ไม่ดูถูก มีแต่จะชื่นชมเมื่อเขาเอาเงินให้ หรือเมื่อเขาก่อวีรกรรมใดๆ สำเร็จ
คำก่นด่าของพ่อ คำติเตียนของครูไม่มีผลกระทบต่อเขาอีกต่อไป
ในเมื่อเขาค้นพบมิตรภาพ ค้นพบที่ยืน ค้นพบกลุ่มคนที่ยอมรับในตัวเขาแล้ว บ้านหรือโรงเรียนก็ไม่มีความหมายอีก
ยิ่งห่างเหินน้องมากขึ้นทุกที.. ทุกที..
แค่ห่างเหิน.. แต่สิงห์ไม่เคยคิด.. ไม่เคยอยาก ‘แตกหัก’ กับน้อง
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อไอ้ลอยชักชวน “เอ็งอยากเป็นลูกพี่ไหมวะ”
มนต์อำนาจของคำว่า ‘ลูกพี่’ นั้นช่างเย้ายวนนัก สิงห์พยักหน้ารับทันที
“เอ็งต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน ไปทำตามที่ข้าบอก ถ้าทำได้ ข้าจะให้เป็นลูกพี่”
***************************
คนึงไปส่งจ้อยถึงหอพัก หลังจากสง่ากับสันติพาเพื่อนไปทำแผลแล้ว อาจารย์หนุ่มก็ไปหาอาจารย์ใหญ่ เพื่อขอเบิกรถจี๊ปแลนด์โรเวอร์เพียงคันเดียวของโรงเรียนขับบึ่งกลับไปยังวัดหน้าพระเมรุทันที
งานวัดที่ยังรื่นเริงอยู่ตอนเขาไปส่งจ้อยกลับยาย บัดนี้กลับเงียบสงัด คนึงตรงไปยังโรงลิเก ใจหายวูบเมื่อพบว่ามันว่างเปล่า ฝนยังคงทิ้งสายเปาะแปะ อาจารย์หนุ่มยิ่งร้อนรนเมื่อหาลูกศิษย์ไม่พบแม้เงา เขาพยายามตะโกนเรียก พยายามตามหาไปทั่ว แต่ก็ไม่มีวี่แวว
จนตาแก่มือระนาดอดรนทนเสียงร้องเรียกไม่ไหว ต้องโผล่จากมุ้งหลังโรงมาบอกเสียงงัวเงีย
“ไอ้หนุ่มหัวแดงqใช่ไหม” ตะแกพูดไปหาวไป “เห็นมีผู้ชายตัวใหญ่ๆ มารับกลับไปแล้วนี่”
คนึงชะงักนิ่ง ผู้ชายตัวใหญ่ๆ งั้นหรือ “ใครครับ”
“ไม่รู๊..มันมืดๆ มองไม่ค่อยเห็น” ชายชราโบกไม้โบกมือวุ่นก่อนเดินกลับหลังโรงลิเกไป
ชายหนุ่มกระวนกระวาย ความคิดสับสนตีกันวุ่น หรือจะมีอาจารย์คนอื่นมาพบเข้าแล้วรับตัวกลับไป อาจจะสวนทางกันตอนเขาออกมา
ฝนยังโปรยสายต่อเนื่อง อากาศกลางดึกเย็นฉ่ำทว่าในหัวใจเขากลับร้อนรุ่มดังไฟสุม ใจแทบหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มเมื่อกลับมาที่เรือนไม้แล้วพบเพียงจ้อยนั่งรอข่าวอยู่ที่แคร่ใต้ต้นหางนกยูง
เลอมานยังไม่กลับมา!
จ้อยยิ่งร้อนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หนุ่มน้อยอาสาช่วยตามหาอีกแรง
“ผู้ชายตัวใหญ่ๆงั้นหรือครับ” ศิษย์เสนอแนะความเห็น นึกถึงอันธพาลที่เพิ่งมีเรื่องกันมา “หรือว่าจะเป็นไอ้สิงห์!”
***************************
ไอ้ลอยพาเลอมานมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นมีรั้วรอบขอบชิด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดนัก หน้าบ้านแขวนโคมไฟสีเขียวกระจ่าง ผู้คนคลาคล่ำ หญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย แต่งหน้าทาปากจัดจ้าน บรรดาชายหนุ่มเมามายส่งเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์
“อะไรกัน พามาที่นี่ทำไม” คุณชายประท้วงลั่น เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนถึงขนาดไม่รู้ว่าสถานที่นี้มีไว้ทำอะไร
“แวะมาหาเพื่อนก่อน” อีกฝ่ายตอบไม่ยี่หระ
“นายลอย” เลอมานดักหน้าไว้ เริ่มร้อนใจเต็มทน “รีบไปส่งฉันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์เป็นห่วง”
“แป๊บเดียวน่า” มือใหญ่ออกแรง ‘ลาก’ แขนเล็กเข้าไปอย่างไม่รีรอ
เพียงเข้าไปในบ้าน หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบ้าง ที่ยืนคลอเคลียกับผู้ชายตามมุมโน้นมุมนี้บ้างต่างหันมามองผู้มาเยือนเป็นตาเดียว ทุกคนพากันทักทายนายลอยอย่างสนิทสนม
“พี่ลอย มาแล้วหรือ ต๊าย.. พาใครมาด้วยเนี่ย”
“โอ้โห..มีเพื่อนหล่อแบบนี้ไม่เห็นพามาแนะนำเลยน๊า..”
“หน้าตาแบบนี้จะบริการให้ถึงใจเลย”
เลอมานกลายเป็นเป้าให้เหล่าผู้หญิงแต่งตัววาบหวิวรุมล้อม กลิ่นน้ำหอมราคาถูกฉุนเสียจนเวียนหัว เด็กหนุ่มพยายามเบี่ยงกายหลบมือไม้พวกหล่อนที่ถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัว จับมือถือแขน ลูบหน้าลูบตา
ยอมรับ.. ว่าเขาสะอิดสะเอียน.. รับรู้ได้ถึงความสกปรกที่แทรกซึมอยู่ในความรู้สึก กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ลอยอวลอยู่ในมวลอากาศจนอึดอัด
“จะทำอะไรก็รีบทำ ไม่ยังงั้นฉันจะกลับแล้ว” คุณชายขึงตาใส่ หากนักเลงหนุ่มกลับนิ่งมองด้วยดวงตาแพรวพราย มือขาวนั่นยัง
จับตุ๊กตานางฟ้าเอาไว้แน่น ยิ่งมาอยู่ในที่แบบนี้ หม่อมราชวงศ์หนุ่มยิ่งดูสูงส่งสะอาด ผ่องแผ้วเสียจนน่าทำให้แปดเปื้อน
“นั่งรอก่อนน่า แป๊บเดียว” ไอ้ลอยรุนหลังคุณชายนั่งที่โต๊ะ มีตาแก่กับชายหนุ่มนั่งอยู่สองสามคน มีผู้หญิงคลอเคลียไม่ห่าง สาวคนหนึ่งรินเหล้ายื่นให้เขา เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ถึงกับเบือนหน้าหนี
ดวงตาคมกร้าวมองกิริยาเย่อหยิ่งนั้นพลางหยักยิ้มมุมปาก
“เป็นอะไรไป..หืม..” เสียงทุ้มพร่ากระซิบข้างหู เผลอเกลี่ยแก้มขาวด้วยข้อนิ้ว หัวเราะหึเมื่อมือเรียวปัดออกอย่างไว้ตัว ไอ้ลอยถึงกับหัวเราะหึ
“หรือว่าคุณชาย..” ในดวงตาคู่นั้นราวจะยิ้มยั่วเย้า “..ไม่ชอบผู้หญิง”
เลอมานหันขวับ คำพูดนั้นกระทบใจอย่างจัง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งเม้มปากแน่น เขาคว้าแก้วเหล้าในมือสาวมากรอกปากทีเดียวหมดเรียกเสียงตบมือได้ครึกโครม หลังมือปาดคราบของเหลวทั้งที่ยังหอบแฮ่กยามกระแทกแก้วเปล่าลงกับโต๊ะดังตึง
พรานแสนสาสมใจ นิ่งมองเนื้อทรายเดินลงหลุมพรางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไอ้ลอยทิ้งคุณชายเล็กไว้กลางวงเหล้า ตัวเองเดินขึ้นชั้นบน เผชิญหน้ากับสาวใหญ่ร่างอวบอัดที่เดินสวนลงบันไดมา
“นั่นใคร” ดวงตาเฉี่ยวคมเหลือบมองเด็กหนุ่มแปลกหน้า มือเรียวทาเล็บแดงคีบบุหรี่พ่นควันเป็นสาย
“ไม่ต้องห่วงน่า..แค่ลองเล่นๆ” มือหยาบรวบร่างขาวเต่งตึงไว้ในอ้อมกอด ประคองกลับขึ้นไปข้างบน พอลับตาคน ใบหน้าคมเข้มก็กดริมฝีปากลงบนกลีบปากเคลือบสีแดงสด ซุกไซ้เรื่อยไล่ลงตามซอกคอ กระซิบเสียงพร่า “ยังไงฉันก็มีพี่ทองใบคนเดียว”
แม่เล้าทรงเสน่ห์ยิ้มมุมปาก โน้มคอชายหนุ่มตรงหน้าชิมรสปากหวานๆ ซ้ำๆ
..................................
เหล้าเป็นบ่อเกิดของความระยำอย่างที่พระท่านสงเคราะห์ไว้ เป็นอบายมุขหรือทางแห่งความฉิบหายโดยแท้ อย่าได้แตะต้องลองเล่นเป็นของสนุกเลยทีเดียวเชียว
ดูอย่างหม่อมราชวงศ์เลอมานตอนนี้ปะไร
วงเหล้าครึกครื้นได้ที่ กับแกล้มลำเลียงมาเรื่อยๆ กุนเชียงย่างหอมแล้วยำ ต้มยำโป๊ะแตกหม้อไฟ กุ้งแม่น้ำตัวโตๆ จิ้มน้ำจิ้มรสจัด ยำหนังหมูรสเผ็ดร้อน
เผ็ดจนเลอมานกินไม่ได้สักอย่าง ได้แต่เทเหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่า แต่ละหยดที่รินรดลงคอ คล้ายน้ำดับสติรู้คิดของตนให้พร่องลงเรื่อยๆ
ท่าทีเย่อหยิ่งไว้ตัวหายไป กลายเป็นสรวลเสเฮฮา พูดคุยกันออกรสออกชาติ
ด้วยอภินิหารน้ำเปลี่ยนนิสัย!
เสียงขาเตียงกระแทกพื้นดังกึงๆ เคล้าเสียงครวญครางของหญิงสาวดังแว่วมาจากชั้นสอง หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในวงเหล้าพากันแหงนมอง เห็นโคมไฟสีนวลแกว่งไกว
“เฮ้ยๆๆ ไอ้ข้างบนเบาๆ หน่อยโว้ย เดี๋ยวบ้านถล่มลงมาใส่หัวข้า” ชายหนึ่งโวยขึ้นก่อนหัวเราะร่า แม้แต่เลอมานเองก็พลอยขำ
“ลุงมันแก่แล้ว ทำอะไรๆ อย่างที่หนุ่มๆ เขาทำไม่ไหวร้อก” ตาอ่ำชายแก่หัวหงอกหันมาพูดกับเขา “แข้งขามันจะพับ เพราะมันต้องยงโย่ยงหยก แค่ลูบๆ คลำๆ ก็หลับสบายแล้ว”
ว่าแล้วก็ชนแก้วกันทั้งวงดังเคร้ง
“นี่ๆ คนเก่าเขาผูกกลอนไว้เกี่ยวกะเหล้า” ผู้เฒ่าทำท่านึกก่อนร่าย.. “หนึ่งถ้วยนงนุช สองถ้วยพุทธวาจา สามถ้วยแกล้วกล้าพูดจาองอาจ สี่ถ้วยเก่งกาจผ้าขาดไม่รู้ตัว”
เลอมานหัวเราะขำ “ผมเกินสี่แก้วแล้ว..ผ้ายังไม่ขาดเลย”
ตะแกโบกไม้โบกมือวุ่น “ไฮ้ แก้วสมัยเก่ากะสมัยนี้มันผิดกัน” ว่าแล้วก็โซเซไปที่บาร์เหล้า ก้มลงค้นหายุกยิกอย่างคนคุ้นเคยกับสถานที่ดี มือเหี่ยวย่นหยิบเอาแก้วหนาๆ ทำเป็นเฟืองๆ รอบตัวขึ้นมาใบหนึ่ง พวกหนุ่มรับเอาไปดูเห็นเป็นแก้วอย่างเก่าและใหญ่ สูงราวสี่นิ้วฟุต กว้างสักสามนิ้วฟุตครึ่งได้
“เจอเข้าไปสี่ถ้วยละผ้าขาดไม่รู้ตัวแน่” ตาอ่ำยืดตัวอย่างโอ่ เรียกเสียงเฮฮาครื้นเครงได้ทั้งโต๊ะ
ไอ้ลอยเดินกลับมายังวงเหล้าอีกครั้ง คุณชายที่หน้าแดงตาปรือหันไปถามเสียงอ้อแอ้ “มาแล้วหรือ..กลับกันได้รึยาง..”
คนตัวโตยิ้มกริ่ม วางของเล่นชิ้นใหม่ลงกลางโต๊ะ
บ้องไม้ไผ่ลำเท่าท่อนแขน!
“บ๊ะ มีเนื้อด้วย!” คนหนุ่มพากันฮือฮา ตาวาวลิงโลด แย่งกันเอา ‘เนื้อ’ ที่ผ่านการยำมาเรียบร้อยแล้วยัดลงที่อัดยา สูดกันคนละซื้ดสองซื้ด ได้ยินเสียงน้ำบุ๋งๆๆ แล้วก็พากันตาลอยเคลิบเคลิ้ม
เลอมานย่นจมูกให้กลิ่นฉุนกึกที่อบอวลอยู่รอบตัว เขาพอจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่เคยลอง และไม่เคยคิดอยากลองด้วย
ต้องดูดจากบ้องเดียวกัน สกปรกตายเลย
“ลองหน่อยไหม” นักเลงหนุ่มคะยั้นคะยอยื่นให้ คุณชายก็ส่ายหน้าลูกเดียว ปรายตามองปากกระบอกอย่างเคลือบแคลง ผ่านน้ำลายใครมาบ้างก็ไม่รู้
ไอ้ลอยแย้มยิ้มคล้ายจะรู้ทัน ส่งชนิดที่พันลำแล้วให้
บุตรชายท่านทูตค่อยยิ้มออก ฤทธิ์สุราทำให้อยากรู้อยากลองไปเสียหมด แถมมองเผินๆ มันก็ไม่ต่างอะไรจากบุหรี่ มือเรียวรับมาคีบใส่ปาก โน้มลงจรดกับเปลวไฟที่อีกฝ่ายจุดให้
“คนโบราณก็ผูกกลอนเกี่ยวกับกัญชาไว้เหมือนกัน” ไอ้ลอยเท้าคางมองคนแก้มแดงสูดควันเข้าปอดลึก พ่นควันเป็นริ้วขาวลอยอ้อยอิ่งในอากาศ “หนึ่งบ้องน้องนุช สองบ้องผรุสวาจา สามบ้องแกล้วกล้า สี่บ้องแก้ผ้าอมยิ้ม”
“ฮะๆๆ แก้ผ้าอีกแล้ว..” เลอมานหัวเราะเอิ้กอ้าก เมามายได้ที่ “ทำไมต้องแก้ผ้า..”
คนตัวโตไม่ตอบคำ เพียงมองเสี้ยวหน้าละมุนด้วยดวงตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์
“ฉันไม่มีทางแก้ผ้าหรอก..” ประกาศกร้าวแล้วก็สูดเข้าปอดอีกเฮือก น้ำเสียงยานคางนั้นมั่นใจนักหนา “ไม่เชื่อก็คอยดู”
***************************