** เอาคุณพนิตมาส่งค่ะ
พอดีติดงานรวมเล่ม และเผชิญปัญหาส่วนตัวกะทันหัน พี่นิตเลยแอบหนีไปเที่ยวนานค่ะ แหะๆ
---------------------------------------------
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่20
ถึงผมจะยอมรับว่าปิดบังต้นรักต้นใหญ่ที่สุภาพงษ์แอบมาปลูกไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าผมจะเคยชินกับมันนะ
ดังนั้น พอสุภาพงษ์ทำท่าจะผลักผมลงบนโซฟา ผมจึงรีบพูดออกตัวทันที “โจ พี่ต้องกลับบ้านแล้วล่ะ”
สุภาพงษ์เลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง “ทำไมล่ะครับ?”
ผมนึกหาข้ออ้างเอาอย่างปัจจุบันทันด่วน เพื่อพาตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยังไม่ได้เตรียมใจรองรับ “เออ พี่วางกับข้าวทิ้งไว้น่ะ สงสัยจะบูดหมดแล้ว ทิ้งไว้นานๆ เดี๋ยวแมลงสาบกับหนูมันจะแวะมาเยี่ยมบ้านเอา”
ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และมั่นใจว่าข้ออ้างของผมมีน้ำหนักพอที่จะทำให้เขาปล่อยผมกลับบ้าน สุภาพงษ์อึ้งไปสักพัก
“งั้น... เดี๋ยวตอนเย็นผมไปส่งพี่นะครับ”
“.......”
“อยู่กับผมก่อนเถอะนะ” เขาพูด พลางทำหน้าอ้อนอย่างที่ผมไม่ค่อยได้เห็น ไม่สิ ผมว่าผมเริ่มเห็นบ่อยแล้วล่ะ หลังจากเขาถูกผมตบนะ แย่ล่ะสิ ผมยิ่งใจอ่อนกับเขาที่ชอบทำหน้าแบบนี้อยู่
อืม.. เอาเถอะ ขนาดเขาทำหน้านิ่งๆ ผมยังจะใจอ่อนกับเขาจนยวบมาขนาดนี้เลย นับประสาอะไรกับเวลาเขาทำหน้าอ้อน....
แต่ขืนปล่อยให้เขาอ้อนต่อไปแบบนี้ ผมมีหวังพลาดท่าเข้าสักวันแน่นอน
“ก็ได้ แต่พอเย็นโจต้องไปส่งพี่นะ ไม่งั้นพี่จะกลับเอง” ผมยื่นคำขาดให้เขา ผู้ชายรูปหล่อที่ยังมีรอยช้ำตรงแก้มนิดๆ พยักหน้า ผมอดที่จะยกมือลูบแก้มเขาไม่ได้
“โจฟันหักรึเปล่า?” ผมถาม เพราะนึกถึงข้อสังเกตของคุณากรขึ้นมา สุภาพงษ์เลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง “ไม่มีนี่ครับ ทำไมเหรอ?”
“เปล่า พี่กลัวโจโดนตบฟันหักน่ะ เดี๋ยวจะต้องเสียค่าหมอกับค่าทำขวัญอีก”
“พี่นิตไม่ได้มือหนักขนาดนั้นหรอกครับ” เขาว่า ไม่รู้ว่าพยายามจะปลอบผมรึเปล่า เลยได้แต่พยักหน้า “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ”
“ผมห่วงพี่นิตมากกว่า” ผู้ชายรูปหล่อที่กอดผมอยู่พูด ก่อนจะอาศัยทีเผลอ หลอกล่อผมให้นั่งลงบนโซฟาจนได้... แถมไม่ได้นั่งบนโซฟาธรรมดานะ นั่งบนโซฟาที่มีตักเขารองอยู่อีกชั้นน่ะ
“ไปตรวจสุขภาพอีกสักหนเถอะนะครับ” สุภาพงษ์พูดต่อ ผมเลยย่นคิ้วหน่อยๆ “พี่เพิ่งไปตรวจมาตอนต้นปี”
“นี่มันปลายปีแล้วนะครับ ไปตรวจอีกครั้งเถอะ เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนก็ได้”
พอเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ผมก็จำต้องรับปากไปอย่างเสียไม่ได้ “อืม... เดี๋ยวพี่ค่อยไป โจทำงานเถอะ ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนหรอก”
อันที่จริง พักนี้ผมหน้ามืดบ่อยมาก สาเหตุหลักๆ ก็มาจากผู้ชายที่ผมนั่งตักอยู่นี่แหละ เขาจะรู้ตัวรึเปล่าว่าเป็นคนทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะ แต่ผมไม่บอกเขาหรอก กลัวเขาจะกังวลน่ะ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะผมตื่นเต้นเกินไปก็ได้
แค่ได้เห็นหน้าเขา ถูกเขายิ้มให้ ผมก็ใจเต้นตึกๆ หัวใจเจ้ากรรมของผมมันแพ้เขามานานชาติแล้ว ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากยอมรับเลยสักนิด
และผมก็ยังไม่อยากยอมรับต่อไปอีกสักพัก เพราะผมกลัวจะแพ้เข้าจริงๆ สักวัน
ผมอยากรอดูก่อน รอดูว่าผมกับเขาจะเดินไปด้วยกันได้ รอดูว่าผมจะทนเขาได้มั้ย... แค่รักคงไม่พอสำหรับคนวัยผมแล้ว ผมอยู่มานาน ชีวิตประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง จะอาศัยความรักอย่างเดียวมาประคับประคองชีวิตคู่คงไม่ได้หรอก
เพราะงั้น ผมขอทดลองอยู่ใกล้ๆ เขาไปก่อนแล้วกัน
“.........................”
ความเงียบเกิดขึ้นในห้องชั่วอึดใจ ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังสบตากับสุภาพงษ์อยู่ ดวงตาเขาดำสนิท เซื่อง และเหมือนกำลังจะสื่ออะไรบางอย่างกับผม แต่ผมไม่ใช่นักอ่านแววตา ผมคงระบุอะไรชัดไม่ได้
รู้แต่ พอสบตากันแล้ว หัวใจผมเต้นตึกๆ เหมือนมีวงกลองยาวอยู่ข้างในเลยทีเดียว
!!!!!!
ผมสะดุ้งเฮือก เพราะสุภาพงษ์อาศัยทีเผลอ ที่ผมมัวแต่จ้องตาเขาจนมึน แอบหอมแก้มผมอีกแล้ว เขานี่จอมฉวยโอกาสจริงด้วย
เพี้ยะ!
พอรู้สึกตัว ผมก็ยกมือตีไหล่เขาทันที ไม่รู้หรอกว่าตีแรงรึเปล่า แต่เห็นเขาสะดุ้งโหยงเลยน่ะ
“เจ็บเหรอ?” ผมถามออกไป ผู้ชายรูปหล่อตรงหน้าผมกะพริบตาสองสามครั้ง จากนั้นก็สั่นศีรษะ “เปล่าครับ ตกใจน่ะ”
“พี่ก็ตกใจ” ผมว่า แล้วยกมือลูบแก้ม ถึงไม่ใช่การหอมแก้มครั้งแรก แต่จู่ๆ มาฉวยโอกาสหอมกันแบบนี้ ผมตกใจเหมือนกันนะ บรรยากาศยิ่งเป็นใจอยู่ด้วย
สุภาพงษ์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แล้วกระซิบเบาๆ “พี่นิตน่ารักจัง”
วงกลองยาวในหัวใจผมแทบจะแปรสภาพเป็นขบวนแห่ในบัดดล
“โจ!” ผมเรียกชื่อเขา อาศัยจังหวะที่เขาชะงัก แล้วมองผมอย่างสงสัย มองหาตัวช่วยใกล้มือทันที โชคดีที่เหลือบไปเห็นสมุดโน้ตที่ใช้จดพล็อตเรื่องวางอยู่ตรงมุมโต๊ะ ผมเลยรีบคว้ามาขวางระหว่างเราสองคนเอาไว้ ราวกับมันเป็นผ้ายันต์กันภัยก็ไม่ปาน
“ลองอ่านตอนใหม่ของพี่หน่อยสิ”
สุภาพงษ์เลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ยอมจะยื่นมือออกมารับสมุดโน้ตเก่าๆ เล่มนั้น ไปพร้อมๆ กับมือผม...
เอ่อ.... ผมควรทำตัวให้เคยชินกับนิสัยรับของติดมือของเขาแล้วสินะ
“พี่นิตลายมือสวยนะครับ” เขาพูด ขณะเปิดหน้าที่ผมคั่นเอาไว้ออกอ่าน ผมเลยฉวยโอกาสแอบมองหน้าเขา อยากจะสังเกตดีๆ ว่าเวลาเขาอ่านนิยายผม เขาทำหน้าแบบไหนกันแน่
สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ ตอนอ่านต้นฉบับที่เป็นลายมือของผม ท่าทางตั้งอกตั้งใจน่าดู หน้าเขาที่ปกติก็ดูดีทุกมุมอยู่แล้ว พอทำท่าขรึมแบบนี้ก็เลยดูน่ามองเข้าไปอีก คนอะไรไม่รู้ ดูดีทุกท่าจริงๆ
ผมมองเพลิน จนเขาเงยหน้าขึ้นมานั่นแหละ เพื่อแก้เก้อ ผมเลยรีบถามเขาไป “เป็นไงมั่ง?”
สุภาพงษ์มีสีหน้าลำบากใจ หรือตอนใหม่ผมจะมีปัญหาอีก แต่นี่เป็นฉบับร่าง เขาจะติก็รีบติ ผมจะได้รีบแก้
“เอ่อ.... มีแค่นี้หรือครับ?” นั่นคือคำแรกที่เขาพูดออกมา ผมโล่งอกไปนิด เลยพยักหน้าไป “อืม มีแค่นี้แหละ”
“เพิ่งเขียนหรือครับ?”
“อืม เมื่อวานนี้น่ะ”
“ที่ห้องผมเหรอ?”
“อืม.......” เอาล่ะสิ... อันที่จริงผมไม่อยากบอกให้เขารู้เลยว่าผมมาเขียนต้นฉบับที่นี่ กลัวเขาจะรู้ว่าผมมาอยู่นานแล้ว ผมตั้งใจจะแอบกลับไปตอนเช้า อย่างที่ว่า ผมแค่มาทำลายหลักฐาน แต่เขาดันตื่นมาก่อน ผมเลยถูกจับได้ก็เท่านั้นเอง
พลาดซ้ำพลาดซากจริงๆ ผม
ผู้ชายรูปหล่อ หุ่นดีที่นั่งข้างผมคลี่ยิ้มออกมา เล่นเอาวงกลองยาวที่เพิ่งยกขบวนกลับไป รีบวกกลับมาใหม่ อูย... จะยิ้มก็ไม่บอกให้ผมตั้งตัวบ้างเลย ดีนะที่ผมพอมีภูมิต้านทานนิดหน่อยแล้ว เลยไม่เห็นเดือนเห็นดาวมาลอยตรงหน้าเหมือนครั้งก่อนๆ
แต่ให้นั่งเงียบๆ รอเขาพูดก่อน ผมกลัวจะเจอคำพูดพิฆาต ทำเอาหน้ามืดอีก เลยรีบชิงพูดไประหว่างที่เขายังอ้าปากไม่ออกนี่แหละ “พี่ว่าจะให้ลูกกระแตตัวกลางหล่นลงจากรถ โจว่ามันจะเศร้าไปมั้ย?”
“พี่นิตจะให้ตายหรือครับ?” เขาถาม ผมครางในคออย่างใช้ความคิด “ที่จริงก็ไม่อยากให้ตายหรอก แต่ว่าหล่นจากรถมันก็ดูจะรอดยากอยู่นะ”
สุภาพงษ์เม้มปาก “ถ้าให้ตาย คนอ่านจะเสียใจเอานะครับ ยังไงให้หายไปก่อนดีไหมครับ? แล้วค่อยมาเจอกันตอนหลัง”
“อืม ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ ลูกกระแตตัวกลางน่ารักซะด้วย แต่พี่อยากให้มันมีการสูญเสียไปตลอดการเดินทาง ให้มันดูสิ้นหวังอย่างที่สุด แล้วค่อยให้ทั้งหมดกลับมาเจอกันในตอนท้ายๆ ดีมั้ย?”
บรรณาธิการคนปัจจุบันของผมกะพริบตาอีก ก่อนจะยิ้มออกมา “พี่นิตชอบเขียนดราม่าจัง”
ผมไม่รู้ว่าเขาจะชมหรือแอบเหน็บ เลยทำหน้าไม่ถูก แต่คงไม่ได้ตีหน้ายิ้มแน่นอน สุภาพงษ์เหมือนจะรู้ตัว เลยพูดต่อ “ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อมือพี่นิต เขียนเถอะครับ แต่ขอจบดีๆ นะครับ เวลาอ่านจบจะได้รู้สึกมีความสุขไปด้วย”
“เรื่องนี้พี่ตั้งใจจบดีอยู่แล้ว” ผมว่า หลังจากนั้นก็เริ่มสาธยายเนื้อหาต่อไปให้เขาฟัง พอผมเล่าจบ เขาก็ช่วยเสริมบ้าง ติบ้าง เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเห็นเขานั่งฟังนิ่งๆ เขาจำได้แทบทุกประโยคคำพูดของผม.. คราวนี้ใจผมไม่ได้มีวงกลองยาวแล้วล่ะ แต่เหมือนมีฆ้องใบเล็กๆ อยู่ข้างใน ตีทีหนึ่ง ดังสะท้อนจนก้องไปหมด ทำเอาหัวใจผมพองเลยทีเดียว
นี่ถ้าได้เขาไปอยู่ใกล้ๆ ไว้คอยปรึกษาเวลานึกพล็อตไม่ออกน่าจะดี
“โจ...”
“ครับ?”
“ว่างๆ ไปนั่งคุยกับพี่ที่บ้านบ้างสิ เผื่อพี่อยากคุยเรื่องพล็อต” เอาล่ะ ผมพูดออกไปจนได้ ก็แค่อยากหาคนคุยเรื่องพล็อตน่ะ พักหลังๆ พอเขียนนิยายไปนานๆ ผมเริ่มจะปรึกษาเนื้อเรื่องกับตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องไปง้อคนอื่นให้มานั่งฟัง แต่พอได้คุยกับเขาหลายๆ ครั้ง ผมว่ามันดีกว่าที่ผมนั่งปรึกษากับตัวเองนะ อีกอย่าง เขาเป็นบรรณาธิการ เรียกไปคุยด้วยแต่เริ่มเลยก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องแก้อะไรมาก อืม... คิดๆ แล้วผมมีแต่ได้กับได้จริงๆ เสียอย่างเดียว เขาจะว่างไปบ่อยๆ รึเปล่าน่ะ
สุภาพงษ์เบิ่งตานิดๆ จากนั้นก็เม้มปาก “ได้เหรอครับ ผมไปบ่อยๆ ไม่รบกวนพี่นะ?”
เอ่อ.... บ่อยไปมันก็รบกวนเหมือนกันนะ... ผมชักลังเล อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าผมต้องการจะพล่ามสิ่งที่คิดเอาไว้ในหัวตลอดสักหน่อย พอผมเงียบ สุภาพงษ์ก็อ้าปากพูดขึ้นอีก
“เอางี้มั้ยครับ ถ้าพี่นิตอยากคุย โทรมาหาผม เดี๋ยวผมจะไปหาพี่ถึงบ้านเลย”
ผมมองหน้าเขา แล้วก็พูดขึ้นมา “จริงสิ แบบนั้นก็ได้ แต่ว่าโจไม่ต้องมาหาพี่ถึงบ้านหรอก เสียเวลาทำงาน” ผมว่า เพราะเรื่องแค่นี้โทรศัพท์เอาก็ได้ ผมแค่อยากพูด อยากเล่า แล้วก็อยากได้คำแนะนำเท่านั้นเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ใบหน้าที่ท่าทางมาเป็นส่วนประกอบ เหมือนสุภาพงษ์มีสีหน้าผิดหวังหน่อยๆ
“งั้นตอนเย็น เลิกงานแล้วผมไปนั่งคุยบ้านพี่นิตนะ”
“อืม...” ผมพยักหน้า แล้วก็นึกเอะใจขึ้นมาได้ “แต่ไม่ต้องมาทุกวันหรอก”
“ทำไมล่ะครับ?”
“....................” ผมอึ้งไปพัก... จะบอกว่ามารบกวนการทำงาน... ปกติผมก็ทำงานช่วงเช้า เย็นๆ ผมก็ออกมารดน้ำต้นไม้แล้ว เขามาก็ไม่ถือว่ารบกวนหรอก ดีซะอีกจะได้คุยกัน แต่... ถ้ามาทุกวัน... แล้วผมอยู่บ้านคนเดียว.... เขาจะมานานมั้ย มาแล้วคุยเฉยๆ มั้ย เกิดวันไหนผมนึกเรื่องคุยไม่ออก จะได้ทำอย่างอื่นกันรึเปล่า อยู่กันสองต่อสองแบบนั้น......
“ผมไปทุกวันได้ไหมครับ ไปช่วยพี่นิตรดน้ำต้นไม้ก็ได้ ยังไงเลิกงานผมว่างอยู่แล้ว จะได้ทานข้าวด้วยกันเลย” ผู้ชายรูปหล่อพูดน้อย แต่พอได้ทีก็พูดเป็นต่อยหอย พูดจ้อยๆ ยิงผมแทบพรุน ทำเอาคนเบนประเด็นเก่งแบบผม อึ้งกิมกี่ไปพักหนึ่ง
“นะครับ...”
แน่ะ... ทำมาอ้อนอีก ผมตบโดนเส้นอะไรเขารึเปล่า ถึงฟื้นมาอ้อนเอาๆ แบบนี้
“ไปแค่ทานข้าวเหรอ?” ผมถาม หวังได้ยินว่าเขาจะสาบทสาบานว่าจะไม่ทำอะไรมากกว่านี้ สุภาพงษ์เลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง แล้วเม้มปากอีก “พี่นิตอยากให้ทำอย่างอื่นมากกว่าทานข้าวเหรอ?”
“.................” เอาแล้วไง เขาทำท่าส่อเจตนาไม่ดีจริงๆ ด้วย ผมเลยต้องรีบพูดต่อทันทีที่ตั้งตัวได้ “พี่อยากได้คนคุยด้วย อยากได้คำแนะนำเรื่อง จะได้ไม่ต้องแก้ ถ้าโจอยากมาทานข้าวด้วยก็มา แต่ห้ามทำอย่างอื่น”
“ทำไมล่ะครับ?”
“พี่กลัว”
“......................”
“................................”
จู่ๆ สุภาพงษ์ก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบคนที่อดกลั้นอะไรสักอย่างไม่ไหว ทำเอาผมเกือบร้องเหวอออกมา จากนั้นเขาก็ฉวยโอกาสหอมแก้มผมอีก ทำเอาผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“โจ!”
“ครับ?”
“..............” ผมพูดไม่ออก เพราะพอเรียกแล้วก็เผลอหันไปมองหน้าเขาตามสัญชาตญาณ แล้วก็โดนเขาใช้ความหล่อสะกดจนขยับปากไม่ได้ จากนั้น เขาก็ขยับตัวเข้ามา เอาริมฝีปากตัวเองสะกดริมฝีปากผมต่อ
ไม่นะ!!! ผมพลาดอีกแล้ว
คราวนี้อย่าว่าแต่วงกลองยาว หัวใจผมเต้นแรงขนาดที่ว่าคงเอาไปประชันกับวงออเครสตร้าได้ เพราะสุภาพงษ์ จูบ จูบ แล้วก็จูบ จนมือไม้ผมอ่อน จะผลักก็ผลักไม่ไหว จะดิ้นก็ดิ้นไม่ออก ได้แต่เงยหน้าให้เขาจูบอยู่แบบนั้น
ตอนแรกรู้สึกแค่ลิ้น ต่อมาก็รู้สึกว่ามือเขาเริ่มลูบตัวผมแล้ว
โอ๊ยแย่แล้ว! ผมต้องรีบหาทางออกจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ให้ได้อย่างไวที่สุดเลย
ผมพยายามยกมือผลักผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าออก แต่ที่เกิดขึ้นคือ มือผมไปลูบหน้าอกเขา โอ๊ย แน่นจัง กล้ามเป็นมัดๆ เลย ผมเคยเห็นของจริงครั้งสองครั้ง ยังจำได้เลยว่าขาวและแน่นขนาดไหน แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมานึกถึงอะไรแบบนั้นนี่นา!!!
“โจ!” ผมอาศัยจังหวะ ที่เขาขยับริมฝีปากออก เรียกชื่อเขา นี่ผมถึงกับเลือกจะพูดก่อนหายใจเลยนะเนี่ย ผลคือสงสัยเขาจะไม่ได้ยิน เพราะเสียงผมเบาเกินไป เพราะเรียกได้ไม่ทันขาดคำ เขาก็เลื่อนริมฝีปากมาปิดปากผมไว้อีก
โอ๊ย! จะตายแล้ว...
บ้าจริง จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเกลี้ยกล่อมให้ผมไปตรวจสุขภาพอยู่หยกๆ ไปๆ มาๆ ไหงทำอะไรไม่ห่วงสุขภาพผมบ้างเลย เขาจะเอายังไงกับผมแน่ หรือเขาไม่รู้ว่าเวลาทำแบบนี้แล้ว หัวใจผมมันจะหลุดออกมาเอาง่ายๆ ไม่กลัวว่าผมจะหน้ามืดกลางทางหรือไง
ตกลงเขาห่วงผมจริงๆ รึเปล่าเนี่ย?!
เอาล่ะ ผมคงจะไปเปิดดูหัวใจสุภาพงษ์ไม่ได้หรอกว่า เขาห่วงผมแบบไหน ยังไง แต่ที่แน่ๆ ผมห่วงตัวเองนะ และแน่ใจด้วยว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มีหวัง... ผมเสร็จแน่!
ไม่เอานะ ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมา ยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับเขาถึงขั้นนี้ แม้ว่าเราสองคนจะเคย เอ่อ.... ผลัดกันช่วยตัวเองมาก่อน แต่นั่นมันเรื่องสุดวิสัย เหมือนเวลาคนจมน้ำต้องช่วยผายปอดก่อนนั่นแหละ เพราะงั้น เขาจะมาข้ามขั้นตอนนี้ไม่ได้ ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด
ปัญหาคือ ใจผมไม่ยอม แต่ตัวผมอ่อนปวกเปียก อย่างกับยอมเขาไปแล้ว โอ๊ย ไหนว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวไง นี่ใครเป็นนายใครกันแน่นะเนี่ย
ผมชักนึกฉุนตัวเอง แต่ก็ไม่มีสมาธิจะมาฉุนนาน เพราะสุภาพงษ์จูบแล้ว ลูบแล้ว ก็กดตัวผมลงกับโซฟา อันที่จริงจะเรียกว่ากดก็ไม่ได้ เรียกว่าเขายอมให้ผมนอนแต่โดยดีมากกว่า เพราะผมตัวอ่อนจนซบเขาไปตั้งนานแล้ว
โอ๊ย!! ไม่ไหวนะเนี่ย ฉุกเฉินสุดๆ แล้วผม
ผมพยายามหาตัวช่วยสุดชีวิต จะอ้าปากบอกว่าผมหน้ามืด เขาก็ไม่เปิดโอกาส เอาปากปิดปากผมตลอดเลย จะผลักเขาออกก็.... ทำไม่ได้ตั้งแต่ถูกจูบแล้ว เอาไงดี ผมจะเอาไงดี....
ทันใดนั้นเองสายตาผมก็เหลือบไปเห็นเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ บอกเวลาสิบหกนาฬิกาพอดี ผมเลยรีบยกมือตีไหล่เขาเป็นการใหญ่ ได้ผลแฮะ สุภาพงษ์ชะงัก แล้วยอมผละริมฝีปากออก
“พี่นิตเขินน่ารักจัง” เขากระซิบ แล้วจับแขนผมกดลงกับโซฟา ผมสั่นศีรษะดิกๆ ไม่ได้การล่ะ ผมต้องเรียกสติเขากลับมาก่อนจะเตลิดไปมากกว่านี้
“โจ! สี่โมงแล้วนะ!”
สุภาพงษ์ไม่เอาปากปิดปากผมแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดอยู่เฉยๆ เพราะพอจับมือผมกดลงบนโซฟาแล้ว เขาก็เริ่มจูบซอกคอผม แถมกัดเบาๆ อีกต่างหาก ดูท่าทางไม่ให้ความสนใจกับคำพูดผมเลยสักนิด
“พี่จะต้องกลับบ้านแล้วนะ!” ผมพูดอีกครั้ง แต่พยางค์สุดท้ายหายลงไปในคอครึ่งหนึ่ง เพราะเขาเลียตรงหูผมพอดี สุภาพงษ์ขบติ่งหูผมเบาๆ แล้วกระซิบตอบ “ครับ เดี๋ยวผมจะพาพี่นิตไปส่ง”
เดี๋ยวอะไรน่ะ?! ไปตอนนี้เลยไม่ได้หรือไง!!!
พอเขาเริ่มลูบคลำหนักเข้า ผมเลยต้องกลั้นใจพูดออกไป “โจ พี่ยังไม่ได้ไปตรวจสุขภาพนะ!”
ผู้ชายรูปหล่อที่คลอเคลียคอผมอยู่ชะงักไปหน่อยหนึ่ง ผมรีบอาศัยจังหวะนั้น พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที “พี่ยังไม่ได้เช็กหัวใจเลย เกิดเป็นอะไรขึ้นมา โจจะทำยังไง”
คราวนี้เขานิ่งสนิท อึ้งไปเป็นนาน ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ “ครับ....”
ผมไม่รอช้า รีบพาตัวเองออกจากสถานการณ์คับขันทันที ตอนนี้อะไรเป็นอะไรไม่รู้ล่ะ ขอผมเอาตัวเองรอดไว้ก่อน เพื่อจะเขียนนิยายต่อ ผมไม่ยอมตายคาอกสุภาพงษ์แน่ แม้ว่าอกเขาจะแน่น หน้าเขาจะหล่อ แถม... เทคนิคเวลาจูบ... ก็น่าจะดีล่ะมั้ง ไม่งั้นจะทำผมเคลิ้มขนาดนี้ได้ไง
แต่... พอหันไปเห็นเขาทำหน้าเศร้า เหมือนคนทำอะไรผิดกาลเทศะ ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้
“โจ..” ผมเรียก แล้วเอามือแตะหน้าเขา สุภาพงษ์สะดุ้งหน่อยหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม เราสบตากันอยู่พัก แต่ไม่มีใครพูดอะไร
ไม่รู้สิ ผมสงสารเขานะ แต่สงสารตัวเองมากกว่า ผมยังไม่พร้อม แม้ว่าเขาจะพร้อมอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เขาไม่มาเป็นผม เขาไม่รู้หรอกว่ามันตื่นเต้นขนาดไหน ผมยังต้องการเวลาเตรียมตัว และอยากได้ความแน่ใจมากกว่านี้
ครั้งแรกที่ผมเก็บไว้ตั้งสี่สิบห้าปี จะมาให้เขาครอบครองทีเดียวหลายๆ อย่างไม่ได้หรอก
“ใจเย็นๆ กับพี่หน่อยนะ”
สุภาพงษ์สูดหายใจลึก จากนั้นก็ยกมือมาจับมือผมไว้ “ครับ” เขาเอาแก้มที่มีรอยช้ำแนบมือผมไว้ แล้วหลับตาลง เฮ่อ... เห็นแล้วใจมันอ่อนยวบๆ จริงๆ นะเนี่ย
แต่ผมจะมาโอนอ่อนให้เขาก่อนถึงเวลาอันควรไม่ได้ ดังนั้น.....
!?
สุภาพงษ์เงยหน้าขึ้นมองผม เบิ่งตานิดๆ ด้วยความตกใจ เขาจะตกใจอะไรนักหนา ผมก็แค่.... เอาปากแตะปากเขาหน่อยหนึ่ง ก็แค่นั้นเอง ทีเขาเอาปากปิดปากผมแถมล้วงลิ้นเข้ามา คิดว่าผมไม่ตกใจหรือไง แต่เพราะกลัวว่าเขาจะเอาคืนด้วยการทำแบบก่อนหน้านี้ ผมเลยรีบพูดต่อทันที
“ไปส่งพี่กลับบ้านหน่อยสิ”
สุภาพงษ์อ้าปากนิดๆ แล้วทำท่าจะขยับหน้าเข้ามา ผมเลยรีบใช้มืออีกข้างปิดปากเขาไว้ “โจสัญญาแล้วนี่ ว่าจะไปส่งพี่ตอนเย็น จะเบี้ยวพี่เหรอ?”
สุภาพงษ์นิ่งไปพัก เพราะปากเขาโดนผมเอามือปิดไว้ เขาเลยใช้แขนดึงตัวผมเข้าไปกอดไว้แทน
ผมนับหนึ่งถึงสิบในใจ กะว่าถ้าเขากอดนานไป ผมจะได้ตบไหล่บอก กลัวเขาจะกอดจนลืมไปส่งผมน่ะ
พอนับถึงสิบสอง สุภาพงษ์ก็ยอมคลายวงแขน
“พี่นิต..”
“หืม?”
“พรุ่งนี้ไปอยุธยากับผมนะ”
“?!” ผมเลิกคิ้วด้วยความงุนงง อะไรน่ะ จู่ๆ ก็มาชวนผมไปอยุธยา แต่เดี๋ยวก่อน.... เหมือนผมจะเคยตกลงกับเขาว่าจะไปเที่ยวด้วยนี่นา ตกลงมันพรุ่งนี้แล้วหรือ?
“ไปนะครับ” บรรณาธิการรูปหล่อของผมอ้อนต่อ นี่เขายังกลัวว่าผมจะงอนจนไม่ยอมไปหรือไงน่ะ ถ้าผมงอนนะ ผมไม่มานั่งกับเขาแบบนี้หรอก แต่พอเห็นเขาทำท่าอ้อนแบบนี้ ผมเล่นตัวต่ออีกนิดดีกว่า
“อืม... พี่ไม่รู้จะไปทำอะไรนี่”
“แต่พี่นิตตกลงว่าจะไปแล้วนี่ครับ”
“เปลี่ยนใจไม่ไปได้รึเปล่า?”
ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าผมเม้มปากนิดๆ “ยังโกรธผมอยู่หรือ?”
“อืม...”
“.............”
“ถ้าโจรีบไปส่งพี่ที่บ้าน แล้วเอาถ้วยเอาจานกับข้าวบูดๆ ของพี่ไปล้าง พี่อาจจะยอมไปกับโจก็ได้” ผมแกล้งพูด แต่เขารีบพยักหน้ารับทันที “ครับ”
“...................” เอ่อ... ทำไมเขาต้องทำท่าทางจริงจังขนาดนี้ด้วย ผมอดไม่ได้ ต้องพูดต่อ “พี่ล้อเล่นน่ะ ไปส่งพี่ที่บ้านเถอะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยนัดเจอกัน โจจะได้ไม่ต้องขับรถเข้าไป”
อันที่จริงผมกลัวว่าถ้าบอกให้เขาขับรถไปรับผมพรุ่งนี้ เขาจะดันพูดออกมาอีกว่า ให้ผมกลับมาค้างกับเขาซะเลย ไม่ก็ขอเขาค้างที่นั่นซะเลย ไม่เอานะ... อยู่กันสองต่อสองมันหวิวๆ ผมกลัวจะพลาดท่าเขาสักที
พักนี้หัวใจผมยิ่งอ่อนแออยู่ด้วย
“ก็ได้ครับ แต่ผมไปช่วยพี่นิตเก็บบ้านดีกว่า พี่นิตอุตส่าห์มาดูแลผมหลายวันเลยนี่ครับ” สุภาพงษ์พูดอีก สุดท้ายผมก็เลยต้องพยักหน้า
เอาเถอะ ดีเหมือนกัน ผมไม่ต้องล้างจานเอง จะได้มีเวลาแอบดูหน้าหล่อๆ ของเขาเวลาก้มหน้าก้มตาล้างจาน ไม่แน่นะ ผมอาจจะอยากได้เขาไปล้างจานประจำที่บ้านเลยก็ได้
แหม... คิดอะไรไม่อายคนจริงๆ ผม
----------------------------------------------
** เขียนมาถึงตอนนี้ รู้สึกว่า พี่นิตเนี่ยยย เป็นจอมกั๊กเลยล่ะ ฮ่าๆๆ

ไม่ไอ้นั่น ไม่ไอ้นี่ แต่... ขอกั๊กไว้ก่อน ต๊ายยยย (พี่นิตอย่าทำแบบนี้นะคะ สงสารน้องนุ่งบ้าง น้องจะเป็นโรคหัวใจตายเพราะพี่นิตนี่ล่ะค่ะ ฮ่าๆ)
ถ้าเป็นคุณไพฑูรย์ อาจจะนั่งหยิ่งๆ อย่างราชินี แต่พี่นิต.... แอบหยอดแอบยั่ว (จะรู้ตัวรึเปล่าคุณพี่) จนเรารู้สึกว่า สุภาพงษ์เนี่ย อดทนกว่าโทชิเอะอีก (แน่นอน เพราะนายโจมีจิตพิศวาสพี่นิตมาแต่แรก ต่างกับโทชิเอะ... ที่พิสวาสมาโกโตะ<<ไม่ใช่ล่ะ)
กรี๊ดดด ระหว่างโจกับคนอ่าน ใครจะหัวใจวายตายก่อนเนี่ย
พี่นิต : แล้วพี่ล่ะ ทำไมไม่มีใครสงสารหัวใจพี่บ้าง!!
คนเขียน : สงสารแล้วค่ะ ไม่งั้น.. ให้พี่นิตเสร็จโจไปแล้วนะเนี่ย ดร๊าฟก่อนหน้านี่พี่นิตยวบๆ นอนระทวยรอโจเลยนะคะ เพราะรักพี่นิต เลยต้องลบเขียนใหม่ไงคะ!!
พี่นิต : ......................
โจ+คนอ่าน // วิ่งมาไล่กระทืบอิฉัน

อ๊ากกก ขออนุญาตวิ่งหนีฝ่าเท้า ไปทำรูปประกอบต่อล่ะนะคะ

ฝากพี่นิตตัวน้อยๆ ไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยค่ะ (อารมณ์ไหนเนี่ยฉัน!!)
ปล. ลองเว้นบรรทัดแบบนี้ อ่านง่ายขึ้นรึเปล่าคะ?