“อ้อ...” ผมส่งเสียง แบบยังงงๆ อยู่นิดหน่อย “แล้วทำไมวันนี้เกิดอยากทำล่ะ”
“เพราะพี่นิตน่ะครับ” คำตอบเขาทำให้ผมนิ่วหน้า “พี่ทำกับข้าวไม่ถูกปากโจเหรอ?”
สุภาพงษ์หันหน้ามามองผมทันที ก่อนจะพูดเร็วปรื๋อ “ไม่ใช่นะครับ ผมแค่อยากทำให้พี่นิตทานบ้าง... ผมชอบกับข้าวฝีมือพี่นะ”
“ไม่อร่อยก็บอกเถอะน่า พี่ไม่ได้ทำเก่งอะไร” ผมว่า คราวนี้เขาตอบเสียงร้อนรน “อร่อยสิครับ พี่นิตทำอร่อยนะ แต่ว่า... ผมอยากทำ... อยากทำอาหารให้คนที่ชอบบ้าง”
ผมเกือบสำลักน้ำลายออกมา เลยรีบถามคำถาม เพื่อตัดคำพูดของเขา ที่อาจจะหลุดออกมาทำเอาผมสำลักอีก “แล้วแต่ก่อนโจทำให้ใครทานน่ะ”
“แม่กับน้าครับ”
ผมเริ่มได้กลิ่นหอมๆ ท่าทางเขาจะทำข้าวผัด อาจจะเป็นข้าวผัดเปรี้ยวหวาน เพราะได้กลิ่นเหมือนสัปปะรด นี่เขาไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
“โจซื้อกับข้าวเตรียมไว้เหรอ?”
“ลงไปซื้อตอนเช้ามืดนะครับ เห็นพี่นิตหลับอยู่ ก็เลยคิดว่าน่าจะเตรียมอะไรไว้ให้พี่นิตทาน แต่ว่าพี่นิตตื่นมาก่อน เลยอดเซอร์ไพรส์เลย”
‘แค่เธอตื่นก่อนพี่ก็ตกใจแทบแย่แล้วล่ะ’ ผมนึกในใจ พลางมองผู้ชายรูปหล่อที่แก้มยังช้ำอยู่นิดๆ ทำครัว อืม.... เขาดูดีจริงๆ นะเนี่ย วันนี้ถ้าประคบต่อสักหน่อย พรุ่งนี้น่าจะหายแล้วล่ะ.. ผมนี่ก็ทำลายหลักฐานเก่งเหมือนกัน เสียอย่างเดียว ถูกเขาจับได้กลางคันเสียก่อน แบบนี้จะเรียกว่าเก่งหรือไม่เก่งกันแน่นะเนี่ย
เพราะเห็นแล้วว่าจ้องเขาไป สมองมีแต่จะคิดฟุ้งซ่าน ผมเลยหันไปให้ความสนใจกับอย่างอื่นแทน เริ่มแรกก็คือเปิดโทรทัศน์ แต่ดูได้ไม่ถึงห้านาทีก็ต้องรีบปิด ไม่มีรายการอะไรถูกใจผมสักอย่าง ช่วงเช้าวันธรรมดาก็แบบนี้แหละ มีแต่รายการข่าว ฟังแล้วก็รู้สึกเครียดขึ้นมา คือไม่ใช่ว่าผมปิดโลกไม่รับรู้อะไรนะ ที่จริงผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ถึงจะไปยืมอ่านที่ร้านตามสั่งใกล้บ้านก็เถอะ ผมว่าตัวหนังสือมันละมุนละม่อมกว่าฟังเสียงกับดูภาพนะ แถมบางอย่าง ผมดูแล้วอารมณ์เสีย อารมณ์เสียแล้วมันก็พาให้คิดนิยายไม่ออกด้วย สุดท้ายมันก็กระเทือนกับงานผม เพราะงั้น... ผมปิดดีกว่า
พอผมปิดโทรทัศน์ มื้อเช้าก็ถูกเอามาวางตรงหน้าผมพอดี โดยพ่อครัวจำเป็นแถมรูปหล่ออย่างกับพระเอกหนัง นี่ถ้าผมไม่ตั้งตัวไว้ก่อน มีหวังได้มองตาค้างจริงๆ แน่
สุภาพงษ์นั่งลงข้างๆ แล้วขยับมาใกล้ผม แน่ะ... เมื่อคืนกับเมื่อเช้ายังใกล้ไม่พออีกหรือไง.....
ผู้ชายรูปหล่อที่แก้มยังมีรอยช้ำนิดๆ ขยับมาใกล้แล้วก็ชม้อยตามองผม จากนั้นก็เม้มปาก แต่ไม่ยอมแตะข้าวในจานตัวเองสักที ผมกลัวตัวเองอดปากไม่ไหว แขวะอะไรเขาแล้วจะเข้าตัวอีก เลยรีบตักข้าวขึ้นมาทานก่อน
“เป็นไงบ้างครับ” เขาถาม เมื่อเห็นว่าผมตักข้าวฝีมือเขาเข้าปากไปแล้ว ผมเคี้ยวจนละเอียด กลืนลงไปจนเกลี้ยง แล้วหันหน้าไปตอบเขา “อร่อยดี โจก็ทำกับข้าวเก่งเหมือนกันนะ”
คนตรงหน้าผมเม้มปาก ตาเป็นประกายเลย จากนั้นก็ขยับเข้ามาอีก “ผมดีใจจัง”
ผมถอยออกมาหน่อย เพราะรู้สึกเหมือนเขาจ้องจะกินผมมากกว่ากินข้าวแล้ว “โจ.. ทานข้าวเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด”
สุภาพงษ์ชะงักไปหน่อย แต่ก็ยอมก้มลงทานข้าวแต่โดยดี ผมแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารฝีมือเขา
เขาทำอร่อยจริงๆ นะ ไม่เกี่ยวกับว่าเพราะหน้าตาหรอก
เราทานข้าวเช้ากันเงียบๆ มีแค่เสียงพัดลมครางหึ่งๆ กับเสียงเครื่องยนต์จากรถบนถนนด้านล่างซึ่งดังแว่วขึ้นมาตามช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกถึงไออุ่นและเสียงลมหายใจของเขา สงสัยเพราะเราจะนั่งติดกันเกินไปล่ะมั้ง
ทานเสร็จผมก็หยิบจานตัวเองไปล้าง สุภาพงษ์พูดขึ้นมาทันที “ไม่ต้องครับพี่นิต เดี๋ยวผมล้างให้” จากนั้นเขาก็ฉวยจานจากมือผม แล้วเดินดิ่งไปที่อ่างล้างจาน ผมหัวเราะเบาๆ “โจกลัวพี่แย่งงานทำหรือไง?”
“ปะ... เปล่าครับ” เขาตอบ แล้วหน้าแดงนิดๆ “เห็นว่าเมื่อวานพี่นิตอุตส่าห์ไปทำลูกประคบมาประคบปากให้ผมน่ะ”
“อืม” ผมตอบ แล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องประคบให้เขาต่อ เลยเดินไปหยิบหม้อมาใส่น้ำเพิ่ม แล้วเปิดเตาเพื่อนึ่งให้มันร้อน
“นี่ถ้าเปิดไว้ตั้งแต่ตะกี้ก็ร้อนทันแล้ว” ผมแอบบ่นหน่อยๆ เพราะเสียดายเวลา สุภาพงษ์ที่เพิ่งคว่ำจานเสร็จ รีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือ จากนั้นก็ขยับมาโอบเอวผมไว้ “ไม่เป็นไรครับ รอก็ได้”
ผมขยับหน่อยหนึ่ง พลางคิดว่านิสัยมือถึงก่อนปากของเขาท่าจะแก้ไม่หายจริงๆ แค่รอน้ำเดือด ทำไมต้องมากอดผมไว้ด้วยนะ
“พี่นิต...”
“หืม?” ผมหันไป แล้วก็ต้องผงะ เพราะเขายื่นหน้าเข้ามาจบเกือบจะชนกัน เพราะคิดว่าเขาคงมีเจตนาอยู่ที่ปาก ผมเลยรีบชิงใช้มันก่อน “โจ เจ็บมากมั้ย แก้มน่ะ”
สุภาพงษ์อึ้งไปนิดๆ แล้วสั่นศีรษะ
“งั้น... พี่ตบซ้ำอีกดีมั้ย” ผมพูดล้อเขา หนุ่มรูปหล่อตรงหน้าผมหน้าตื่นขึ้นมาอีกนิด จากนั้นก็เม้มปาก “ตบแล้วพี่นิตจะทำลูกประคบมาให้ผมอีกมั้ย”
“เหอะ ไม่ทำมาให้แล้วล่ะ” ผมว่า แล้วรีบหันหน้าหนี กลัวจะโดนเขาชิงปิดปากด้วยอย่างอื่นแทนคำพูดน่ะ สุภาพงษ์กอดผมแน่นอีก “งั้น ผมเจ็บครับ พี่นิตอย่าตบผมอีกเลยนะ”
“ถ้าโจทำตัวไม่ดีกับพี่อีกล่ะก็ พี่ตบไม่เลี้ยงแน่”
“................”
“ไม่มาโอ๋แบบนี้ด้วย”
เขากอดผมแน่นกว่าเดิม “ผมไม่ทำแล้วล่ะ ไม่อยากถูกพี่นิตโกรธแล้ว”
“อืม ดีแล้วล่ะ” ผมส่งเสียง แล้วยกมือขึ้นลูบมือเขาที่กอดเอวผมอยู่เบาๆ “พี่ก็ไม่อยากเป็นลมเพราะโจอีกแล้ว”
ได้ยินเสียงสุภาพงษ์สูดหายใจลึก จากนั้น ริมฝีปากอุ่นๆ ของเขาก็แนบเข้ากับแก้มผมเบาๆ ผมร้อนวาบไปทั้งตัว
“พี่นิต” เขากระซิบเสียงแผ่ว แล้วขบติ่งหูผมเบาๆ ผมสะท้านตัวเฮือก แทบจะครางออกไป โชคดีที่น้ำเดือดพอดี ผมเลยหาจังหวะพูดออกมาได้ “น้ำเดือดแล้วน่ะ”
“ครับ” ผู้ชายด้านหลังส่งเสียงงึมงำในคอ แล้วจูบแก้มผมอีกรอบ ไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยผมแต่อย่างไร ผมกลั้นใจ ยอมให้เขาจูบอย่างนั้นอยู่พัก ก็พูดออกมาอีก “โจไปนั่งที่โซฟานะ เดี๋ยวจะได้ประคบหน้าต่อ”
สุภาพงษ์กอดผมต่ออีกสองสามอึดใจ ก็พยักหน้า แล้วพูดออกมา “งั้นผมช่วยยกไปนะ”
เขาคลายวงแขนออก แล้วหยิบถุงมือมาสวมเพื่อยกหม้อออกจากเตา ผมเลยหยิบจานมารองให้ จากนั้นเราก็เดินไปที่โซฟา สุภาพงษ์วางหม้อนึ่งลง แล้วนั่ง ผมเลยหยิบลูกประคบด้านในออกมา ห่อผ้าพออุ่น แล้วค่อยๆ ประคบแก้มให้เขา ระหว่างนั้น สุภาพงษ์ก็ยื่นมือมาโอบเอวผมไว้
ไม่มีใครพูดอะไรอีก แต่ใจผมเต้นตึกๆ บ้าจริง ผมตั้งใจแค่ว่าจะมาแอบประคบให้เขาตอนหลับ พอเขาตื่นมาจะได้รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแก้มหายช้ำแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาประคบให้เขาต่อตอนเขาตื่นแบบนี้ แถม... เขาจะเอามือโอบเอวผมไว้ทำไมนะ ที่วางที่อื่นไม่มีแล้วหรือไง
ประคบไปได้สักพัก สุภาพงษ์ก็พูดออกมา “พี่นิต นั่งตักผมมั้ย?”
ผมยังไม่ได้ตอบหรือทำท่าอะไรตอบรับคำถามเขาเลยสักอย่าง สุภาพงษ์ก็ดันรวบเอวผมจนลงไปนั่งบนตักเขาจนได้ ผมถลึงตาใส่เขาหน่อย ให้เขารู้ว่าผมไม่เต็มใจ แต่พอเห็นรอยยิ้มนิดๆ บนหน้าเขา ตาผมมันก็พาลจะหลบลงพื้นเอาดื้อๆ พอดีว่าแถวนี้ไม่มีพื้นให้ผมมอง มีแต่ตัวล่ำๆ ของเขาน่ะ
จากนั้นเขาก็ขยับหน้าเข้ามา ทำท่าจะทำอะไรกับแก้มหรือปากผมอีก ผมเลยเอาลูกประคบขยี้แก้มเขาเสียเลย คราวนี้ผู้ชายตัวใหญ่ที่ให้ผมนั่งตักสะดุ้งเฮือก แล้วร้อง”อ๊ะ”ออกมา
“เหอะ!” ผมแค่นเสียง นึกสมน้ำหน้าเขา แต่พอเห็นเขาทำหน้าเจื่อน ก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เจ็บเหรอ?”
“เปล่า ตกใจน่ะครับ” สุภาพงษ์ตอบ แล้วขยับมือมาจับมือผมไว้ “พี่นิตมือหนักจริงด้วย”
ผมล่ะอยากจะขยี้ซ้ำอีกทีจริงๆ แต่ก็นึกได้ว่าเดี๋ยวแก้มเขาจะยิ่งช้ำกว่าเดิม เลยแค่นเสียบตอบเขาไป “พี่มือหนักแน่ ถ้าโจยังอยู่ไม่นิ่งแบบนี้ล่ะก็”
คราวนี้สุภาพงษ์ยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมประคบแก้มเขาแต่โดยดี ไม่ทำมือไม้ซุกซนแบบตะกี้แล้ว ผมเลยช่วยรักษาน้ำใจเขาหน่อย ค่าที่เชื่อฟัง เลยยอมนั่งตักเขาแล้วช่วยประคบให้ทั้งแบบนั้น
สุภาพงษ์หลุบตาลงต่ำ ตอนที่ผมประคบให้ ดีเหมือนกัน ผมจะได้มองหน้าเขาได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะเห็นสายตาตัวเอง ระหว่างที่กำลังเพลินกับการมองสันกรามสวยๆ ของเขา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทั้งผมและสุภาพงษ์สะดุ้งเฮือก ผมรีบลุกจากตักเขาทันที
“พะ.. พี่ไปเปิดให้นะ” ผมตะกุกตะกักด้วยความตกใจนิดๆ แล้วทำท่าจะผลุนผลันไปเปิดประตูห้อง แต่สุภาพงษ์ยึดมือผมไว้ “ไม่ต้องครับ พี่นิตนั่งเถอะ ผมเปิดเอง”
ผมมองเขา แล้วพยักหน้าหงึกๆ นึกอายขึ้นมาว่าเขาเป็นเจ้าของห้อง แถมยังตื่นอยู่ แต่ผมดันจะทะลึ่งไปเปิดประตูเองซะแล้ว ผมนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ
เหมือนสุภาพงษ์มีสีหน้าไม่สบอารมณ์พอสมควร ไม่รู้ว่าเพราะผมออกตัวจะเปิดห้องแทนเขา หรือว่าเพราะถูกเสียงเคาะขัดจังหวะกันแน่ เขาแทบจะจับผมให้นั่งบนโซฟา แล้วก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู
“ไอ้โจ!!!” เสียงของคุณากรดังเข้ามาก่อนที่ผมจะได้เห็นตัวเขาเสียอีก สุภาพงษ์เปิดประตูแง้มไว้ แต่ไม่ได้ก้าวออกไปนอกห้อง แล้วก็ไม่ได้เปิดให้คนด้านนอกเข้ามา ผมได้ยินเสียงคุณากรพูดต่อ “ตื่นแล้วไม่รู้จักหัดเปิดโทรศัพท์วะ!”
“ขอโทษที” ผู้ชายตัวใหญ่ที่ยังยืนขวางประตูตอบเสียงเรียบ ได้ยินเสียงคนด้านนอกขึ้นเสียงสูง “ไม่ต้องมาขอโทษเลย ของที่ฝากหาให้ล่ะ อย่าบอกนะว่าลืม”
“เปล่า” สุภาพงษ์ตอบ แล้วพูดต่อ “โทษทีนะ เดี๋ยวหยิบมาให้แล้วกัน รอตรงนี้นะ”
“เฮ้! ห้องมีพญานาคอยู่หรือไงนะ คนกันเองแท้ๆ วันนี้ดันมาบอกให้รอนอกห้อง” คุณากรโวยอีก ได้ยินเสียงสุภาพงษ์ตอบไป “ขอร้องล่ะครับคุณกั้ง ช่วยรอข้างนอกได้มั้ย ผมกำลังมีช่วงเวลาส่วนตัวน่ะ”
“ห๊ะ!” คุณากรร้อง ผมเองก็เกือบร้องออกไปด้วย อะไรคือช่วงเวลาส่วนตัวน่ะ เขาพูดงี้หมายความว่าไง?!
จากนั้นสุภาพงษ์ก็เดินเข้ามาในห้อง หยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วล้วงกระดาษที่พับไว้เป็นแผ่นเล็กๆ ขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูอีกครั้ง คราวนี้ผมฟังไม่ออกแล้วว่าคุณากรพูดอะไร เพราะเหมือนเขาจะลดเสียงเป็นเสียงกระซิบ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เขากำลังพูดถึง “ช่วงเวลาส่วนตัว” ที่สุภาพงษ์ว่าตะกี้รึเปล่า แต่ทำไมเขาต้องลดเสียงลงด้วยนะ หรือว่าเขาจะรู้ว่าผมอยู่ หรือว่านั่นจะหมายถึงผม?!
ผมชักร้อนตัวนั่งไม่ติด อยากจะออกไปอธิบายว่าผมแค่มาดูแลเขา ค่าที่ทำเขาเจ็บหนักเกินกว่าเหตุ ไม่สิ ผมแค่ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนมือไม้หนักเหมือนยักษ์เหมือนมารต่างหากล่ะ แล้วเจ้าคนต้นเหตุที่ทำให้ผมคิดแบบนี้ ก็คือคุณากรที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่นอกประตูนั่นแหละ
ไม่ได้ ผมปล่อยให้เขาคิดเองเออเองไม่ได้เด็ดขาด
“โจ” ผมเรียกผู้ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ ระหว่างเดินเข้าไปหา สุภาพงษ์หันกลับมามองผม ตามด้วยหน้าของนายคุณากรที่ชะเง้อมา “ว้าว คุณพนิต ยอดไปเลยครับ ผมอิจฉาโจจริงๆ นะเนี่ย”
ผมอ้าปากค้าง ไอ้คำที่นึกจะมาพูดหลุดหายเข้าไปในคอหมด นี่เขาคุยกันว่าอะไรน่ะ?
“นี่ถ้าผมโดนคุณพนิตตบ คุณพนิตจะมาดูแลผมบ้างไหมเน้อ” คุณากรรำพึง แล้วหรี่ตามองผม ผมเลยถลึงตาใส่เขาไป พยายามนึกหาคำพูดที่เหมาะสมตอบโต้ ขณะที่สุภาพงษ์มีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็โดนคุณากรชิงพูดขึ้นอีกจนได้ “คุณพนิตครับ วันหลังตบอีกสิครับ ตบโจนะ มันคงชอบ โดนตบแล้วมีคุณพนิตมาดูแลขนาดนี้เนี่ย”
“กั้ง!” สุภาพงษ์พูดขึ้นอย่างทนไม่ได้ “ไหนบอกว่ารีบเขียนข่าวไง”
“เออ!” คุณากรทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “ให้ตายสิ เพราะนายนั่นแหละ เอาแต่ปิดโทรศัพท์ บ้าจริงเชียว ดีนะที่ยังโชคดี มีอย่างอื่นให้เขียนแก้ขัดไปก่อน” เขาบ่น จากนั้นก็หันมาหาผม “ต้องขอบคุณคุณพนิตเลยนะครับ ผมเลยได้รู้จักกับคุณภูมิวัฒน์จริงๆ สักที คราวนี้ผมได้แหล่งข่าวสำคัญอีกคนแล้ว ว่าแต่... คุณพนิตเส้นให้ผมหน่อยสิ พี่ภูมิเขาเล่นตัวเวลาให้ข่าวมากเลย”
ผมถลึงตาใส่เขาแทนคำตอบ พลางนึกว่าภูมิวัฒน์เล่นตัวตรงไหน วันนั้นก็คุยกันสารพัดเรื่อง เพื่อนผมพูดจนน้ำลายแทบแตกฟอง
พอเห็นว่าบรรยากาศชักไม่เป็นใจ คุณากรก็รีบหลบฉาก ปลีกตัวออกไปทันที “งั้น... ผมไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวโดนเจ้านายด่า โจ... ดีใจด้วยนะ” เขาว่า แล้วยื่นมือมาตบแก้มอดีตแฟนเบาๆ ก่อนจะเดินฉับๆ ออกไป สุภาพงษ์รีบปิดประตูทันที
“ขอโทษแทนกั้งด้วยนะครับ เขาออกจะ... เอ่อ.... เป็นคนแบบนี้แหละ”
“อืม” ผมพยักหน้า แล้วถอนหายใจเฮือก “ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือหรอก”
สุภาพงษ์นิ่งไปอีก ผมเลยตบไหล่เขา “นี่... ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เขาก็ดูร่าเริงดีออก โจยังเคยชอบเลยไม่ใช่หรือไง?”
“เปล่า” เขาปฏิเสธทันที “คนที่ผมชอบมีแต่พี่นิตคนเดียว”
ผมเงยหน้ามองเขา แล้วถอนใจอีก “นี่ ไม่ต้องพูดเอาใจพี่ขนาดนี้ก็ได้ ถ้าไม่เคยชอบ แล้วโจจะคบเป็นแฟนกับเขาหรือ?”
สุภาพงษ์เม้มปากหน่อยๆ “เพราะเขาคล้ายๆ พี่น่ะ”
“................” ผมเลิกคิ้ว “คล้ายตรงไหนน่ะ?”
สุภาพงษ์แก้มแดงนิดๆ “เขาคุยเก่ง แล้วก็หน้าตาน่ารักคล้ายๆ พี่น่ะ” พอเห็นผมนิ่ง เขาก็ทำหน้ากระอักกระอ่วน “คือ... ผมก็คิดว่าชอบเขานะ จนผมเจอพี่อีกครั้ง ผมเลยรู้ว่าผมชอบใคร”
เออ จริงด้วยสิ ผมเป็นต้นเหตุให้พวกเขาเลิกกันตั้งแต่ตอนไหนนะ ตอนแรกคิดว่าเป็นตอนที่สุภาพงษ์มาขอผมให้เซ็นสัญญาเขียนเรื่องให้เขา แต่คุณากรเคยบอกว่าเลิกกันไปเป็นสิบปีแล้ว สรุปว่าผมไปทำให้ความรักคนอื่นเขาแตกหักตอนไหนนะเนี่ย
“โจเลิกกับกั้งเมื่อไหร่น่ะ”
“ตอนอยู่ปีสี่ครับ” ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าตอบผม “วันนั้นผมกับเขาไปงานเปิดตัวหนังสือของพี่นิต... หนังสือเรื่องเสียงกระซิบจากห้วงน้ำไกลโพ้นไงครับ”
ผมเลิกคิ้ว แล้วนึกย้อน “นั่นมันตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
“ครับ... สักสิบกว่าปีแล้วล่ะ” เขาตอบ ผมมองอึ้งๆ เออ.. ผมเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ตอนนั้นบ.ก.ที่ผมเขียนเรื่องให้ เป็นคนรู้จักกันกับน้าชาย ก็เลยสนับสนุนงานผมน่าดู ถึงกับจัดงานเปิดตัวหนังสือให้ผมเลย แต่ก็นะ หนังสือเล่มนั้นยอดขายดีจริงๆ เป็นหลายๆ เล่มที่ยอดสูงเป็นประวัติการณ์ของผมเลย นึกแล้วก็เสียใจอยู่เหมือนกัน ที่เขาด่วนลาโลกไปก่อน ไม่งั้นผมคงได้เขียนงานกับเขายาว เพราะบ.ก.คนใหม่ไม่ค่อยอยากได้งานสไตล์ผมเท่าไหร่ ผมเลยต้องย้ายสำนักพิมพ์
“แต่พี่ไม่เห็นโจเลยนี่” ผมว่า เพราะงานนั้นมีคนมาขอลายเซ็นผมหลายคน แต่กลับไม่มีความทรงจำว่าเจอสุภาพงษ์อยู่เลยสักกระผีกเดียว
“ผมไม่ได้ไปหาพี่หรอก มัวแต่เขินน่ะ” สุภาพงษ์ตอบ แล้วเม้มปาก “ตอนนั้นผมเขินพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรเลย กั้งเลยเอาหนังสือผมไปขอลายเซ็นให้”
“?” ผมนึกทบทวน วันนั้นมีคนเอาหนังสือมาขอลายเซ็นเยอะ แต่คนที่หยิบหนังสือมาสองเล่มเหมือนจะมีแค่คนเดียว เออ เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าเป็นนักศึกษา ท่าทางน่ารักคนหนึ่ง เข้ามาขอลายเซ็น บอกว่าเพื่อนอาย ไม่กล้ามาขอ ตกลงนั่นคุณากรหรอกเหรอ?
ผมมองสุภาพงษ์อีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าเขาหน้าแดงจัด “ผมขอโทษนะ แต่ว่า พี่นิตน่ารักมากจริงๆ ผมกลัวว่าถ้าเข้าไปขอลายเซ็นจะเผลอทำอะไรไม่ดีลงไป”
“จะทำอะไรล่ะ” ผมถามเขา และรู้สึกขำขึ้นมา เขาจะทำอะไรผมกลางงานน่ะ ท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้จะทำอะไรได้
สุภาพงษ์เม้มปาก จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด แล้วจูบแก้มผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว “กลัวว่าจะเผลอทำแบบนี้ลงไปน่ะ”
ผมหน้าเห่อวาบ บ้าแล้ว เกิดเขาไปกอดผมกลางงานแบบนี้ อย่าคิดเลยว่าผมจะยอมให้เขากอด ผมคงได้กระทืบเขาตายคางานแน่ๆ
สุภาพงษ์ซุกหน้าลงกับไหล่ผม แล้วกระซิบเบาๆ “หลังวันนั้นผมก็ฝันถึงพี่นิตหลายคืนเลยนะ ฝันว่าได้กอดพี่ไว้แบบนี้....”
ผมผลักเขาออก เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขาเป็นผู้ชาย แถมเป็นเกย์ ไม่มีทางฝันว่ากอดผมไว้เฉยๆ แค่นี้แน่
สุภาพงษ์เซถอยหลังไปนิดๆ จากนั้นก็ยื่นมือมาจับตัวผมไปกอดอีก “ผมรักพี่คนเดียว พี่นิตเชื่อผมมั้ย?”
“.........................”
“ผมคิดถึงพี่ ผมแอบชอบพี่ แอบมองพี่ เขินจนพูดอะไรไม่ออก แต่อยากจะได้เจอพี่ อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ ผมต้องปั้นหน้าตายไปขอพี่ให้มาเขียนเรื่อง ผมอยากกอดพี่ใจจะขาด อยากบอกรักพี่ แต่ผมกลัวพี่เกลียดผม ผมแค่อยากให้พี่รู้ว่า... ผมรักพี่ ผมรักพี่แค่คนเดียว” สุภาพงษ์พูดยืดยาว พลางหอบหายใจด้วยใบหน้าแดงจัด จากนั้นก็กอดผมแน่นอีก
“พี่ไม่ต้องคบผมอย่างที่คนเป็นแฟนปกติเขาทำกันก็ได้ แค่ให้ผมเป็นคนพิเศษของพี่ ผมไม่หวังเข้าไปแทนที่ส่วนไหนของชีวิตพี่ทั้งนั้น แค่ให้ผมอยู่ในสายตาพี่บ้างก็พอ”
เหอะ.... เขาไม่รู้ตัวหรือไง ว่าอยู่ในสายตาผมมานานแล้ว.... เอาน่ะ อาจจะไม่ได้อยู่ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ตอนนี้นอกจากเขา ผมก็แทบจะไม่ได้มองคนอื่นแล้ว
บ้าจริงเชียว
“พี่นิต?!” สุภาพงษ์ร้องเสียงแปลก คงเพราะผมเอาศีรษะกระแทกอกเขาล่ะมั้ง ผมยื่นแขนโอบเอวแน่นๆ ของเขาเอาไว้ ไม่ได้คิดอยากแข่งรัดแข่งกอดกับเขาหรอกนะ ผมทำไปเพราะอยากทำน่ะ
“โจ.... พี่ไม่อยากเสียน้ำตาเพราะโจอีกแล้วนะ”
“............”
“พี่ไม่รู้หรอกว่าโจจะทำตามที่พูดได้จริงหรือเปล่า”
“................”
“แต่ว่า....” ผมค้างคำพูดไว้แค่นั้น เพราะรู้สึกขืนขึ้นมาที่คอ แถม... อะไรที่ตามันก็พร่าไปหมด เพราะไอ้น้ำใสๆ ที่ดันไหลออกมาอีกแล้วแท้ๆ สุภาพงษ์ขยับตัวหนีผมหน่อย ผมก็รีบขยับตาม นึกในใจว่าให้ตายก็จะไม่ยอมให้เขาเห็นเด็ดขาด แต่ขนาดผมสู้อุตส่าห์ยอมให้อกเขาเป็นที่กำบังแล้ว เขายังเอามือมาจับไหล่ผมไว้ แล้วดูหน้าผมจนได้
“พี่นิต...?!” เขาเรียกชื่อผม ผมหลุบตาลงต่ำ เม้มปากนิดๆ นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร แล้วก็คงพูดไม่ออกด้วย จากนั้นสุภาพงษ์ก็ขยับหน้าเข้ามา กระซิบเบาๆ ใกล้ริมฝีปากผม
“ผมรักพี่นะ”
ผมหลับตาลง ปล่อยให้เขาแนบริมฝีปากลงมา จากนั้นก็เลื่อนแขนไปกอดเขาไว้
เขาคอยแอบมาดอดรดน้ำต้นรักในหัวใจที่ผมพยายามทิ้งๆ ขว้างๆ จนมันต้นสูงออกดอกสะพรั่ง ต่อให้ผมไม่อยากหันมอง ไม่อยากยอมรับ... ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เมล็ดรักของเขา ที่ผมเผลอเก็บมาไว้ในใจอย่างไม่รู้ตัว ได้ผลิบานจนผมไม่อาจจะซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้ว
-------------------------------------------
**ต้นรักในใจพี่นิตออกดอกสะพรั่ง... บานจนทะลักออกมาแล้ว อ๊ายยย อิจฉาโจ....
ต้นรักที่โจอุตส่าห์ปลูกอย่างยากลำบาก(?) กลายเป็นต้นออกดอกบานแล้ว
รอบนี้นายกั้งมาผิดคิวไปเยอะ ฮ่าๆๆๆ คนกำลังมีความรักนะกั้ง.... มาขัดจังหวะนี่ มุกไหนก็แถต่อไปรอดหรอก อิอิ
ทางที่ดี กั้งควรพยายามไปหลอกล่อหาข่าวกับพี่ภูมิเอง อย่าได้ใช้พี่นิตเป็นเหยื่อล่อเด็ดขาด เพราะนอกจากพี่ภูมิ(อาจจะ)งับไปแบบไม่เอามาส่งคืนแล้ว อาจจะโดนแฟนเก่าอย่างโจตามฆ่าด้วยก็ได้ (ขนาดน้าน)
น่าลองเขียนตอนสั้นๆ ของกั้งกับคุณภูมิสักตอนนะเนี่ย (เผื่อจะไม่ได้เขียนเป็นเรื่องยาว ฮ่ะๆ)
ปล. เหมือนจะรู้สึกว่ามีเพลงที่อารมณ์คล้ายๆ คุณพนิตตอนนี้ แต่หาไม่เจออออ วอนนักอ่าน ถ้าพอนึกออก สงเคราะห์คนเขียน เอาไว้ประกอบการจิ้นด้วยนะคะ (เล่นกันงี้เลยค่ะ)
ปล.2 โจ โจร้ายมากค่ะ แอบซุ่ม โอ๊ย โจอ่ะ
พี่นิต ห้ามให้ทันนะ โจเชื่อฟัง แต่ถ้าไม่ห้ามล่ะก็.... อ๊ายยยย
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า^^