[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 341825 ครั้ง)

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
พี่พนิตเป็นช่างเหรออออออ
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยยยยยยยย!!!
สงสารน้องโจ อ่ะ อยากไปกัน สองคน ก็ไม่ได้ไป
นี่ยังมาของขึ้น แบบไม่ได้ตั้งใจ
อั้ยย่ะ
 เหอะๆ ++

A_ay

  • บุคคลทั่วไป
พี่นิตน่ารักมากกกกก

อายุปูนนี้แล้วยังขี้อายเหมือกันเนาะ   :-[ :-[

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
โอยยย พี่นิตน่ารักโคตรๆ  สงสารโจสุดๆ ยิ่งพี่นิตทำตัวน่ารักโจยิ่งน่าสงสาร ของได้ขึ้นกันอีกหลายรอบแน่โจ

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
พี่พนิตคิดผิดจริงๆคะที่ชวนสองคนนั้นมาเป็นตัวช่วย มาช่วยแซวกันมากกว่า 5555
ไม่ได้ตั้งใจคว้าผิดซะหน่อยเนอะพี่พนิต แต่น้องโจจะไหวไหมทริปอยุธยา ตบะจะแตกก่อนน๊า

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
ตามอ่านจนทันแล้ว ฮุๆ ตอนคว้าพลาดนี่ฮาจริงๆ พี่นิตน่ารักมาก แต่แอบสงสารโจ 
ภูมิ กับ กั้งก็ขยันแซวจริงจัง แต่อ่านแล้วช้อบ ชอบ น่ารักดีค่ะ ฮ่าๆ
+1 นะคะ

ryoko_chan

  • บุคคลทั่วไป
"อืม.... ทั้งตึงทั้งแน่นขนาดนี้ เห็นแล้วอยากดีดชะมัด คงดังเพี๊ยะๆ เลยนะเนี่ย"

ที่จริงก็พอจะรับรู้มานานแล้วนะคะว่าพี่นิตโรคจิตชอบแอบมองโจ แต่ครั้งนี้ถึงขนาดอย่างตีอยากดีด
นี่ก็ไมไหวนะคะ พอเห็นพี่นิตบรรยายโจด้วยประโยคนี้ ทำให้คนอ่านจินตนาการไปถึงว่าพี่นิต ถือแส้ และเทียนไขในมือ
ส่วนโจถูกถอดท่อนบน แล้วถูกพี่นิตเอาแส้ตีเพี๊ยะๆให้หน้าท้องแกร่ง กับหลังอันกำยำของโจ
ฮ่าาาาาาา ลุคนี้ จิ้นขึ้นด้วยแฮะ!!!(รู้สึกว่าจริงๆแล้วตัวเองโรคจิตกว่าคุณพนิตอีก ฮ่าา)

ตอนนี้มันวุ่นวะวุ่นวานจริงๆสิน่า ที่จริงจะไปสองคนดีๆ อาจจะเสี่ยงต่อการเสียตัวบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง(?)
แต่ก็ไม่ได้มีคู่หูดูโอ้ ที่ไม่รู้ว่าไปสู่ชู้กันตอนไหน ถึงได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อย่างคุณภูมิกับคุณกั้ง ที่ใครพูดอะไรขึ้นที อีกคนก็เสริมได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
จนแอบคิดไปว่า ถ้าสองคนนี้ยังพูดแซวพี่นิตไม่เลิก ปิ่นโตถาดที่พี่นิตถืออยู่ในมือ มันจะลอยไปคว่ำอยู่นหัวใครสักคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง ย่างที่พี่นิตเค้านึกจริงๆเสียล่ะมั้งคะ ฮ่าฮ่า

แต่ชอบคุณภูมิ ฮ่าาาา โอ้ยยย น่ารักๆ ทำเอาคุณพนิต เส้นเสียทุกครั้งที่เจอ
ไหนจะเจ้าสาวเอย..ไหนจะแซวนู่นนี่นั่นคู่กับกั้งเอยยย

พี่นิตของขึ้นทุกทีสิน่า (แต่ไม่ได้ของขึ้นเหมือนโจนะคะ! ก๊ากกก)

จะว่าไปแล้ว...เหมือนๆว่าทั้งคุณภูมิกับกั้งจะเหมาะสมกันดีนะคะ..ความไวของปากก็สูสี แถมเรื่องพูดแบบไม่ดูกาลเทศะก็ดูเหมือนว่าจะพอๆกัน ช่างเหมาะสมกันอย่างกับ กิ่งทองใบหยก..(ที่จริงอยากเปรียบอีกแบบ แต่แลดูจะแรงไป เดี๋ยวรอวีรกรรมของคู่นี้ออีกก่อน ฮ่าฮ่า)

กลับมาที่บ้านพี่นิตก่อนออกรถอีกสักหน่อย
ช่างน่าอิจฉาชีวิตอย่างคุณพนิต ที่มีหนุ่มหล่อ ถึงสามคนไปเที่ยวอยุธยาด้วย ฮ่าฮ่า
แหม พอแต่งตัวเสร็จ แล้วลงมาข้างล่างทำตาค้างเพราะความหล่อของสามหนุ่ม นี่ก็เป้นอีกโมเม้นท์ที่ชื่นชอบ
เพราะพี่นิตก็ยังเป็นพี่นิต เห็นคนหล่อไม่ได้ ตาค้างแบบไม่รู้สึกตัวทุกที


ตอนที่อ่านถึงตอนป้อนข้าว กว่าพี่นิตจะป้อนข้าวให้โจกินได้ ก็รู้สึกว่ามันวุ่นวาย(เพราะไอ้คนนั่งเบาะหลัง) แล้วนะคะ
แต่พอได้ป้อนจริงๆทำไม๊ มันถึงวายวอดไปเสียได้
เพราะข้าวตักบนตักแท้ๆ

พี่นิตคะ แน่ใจนะคะ ว่าตั้งใจจะเก็บเศษข้าวจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บอย่างอื่นแน่นะ! ทำไมมันถึงได้คว้าโดนเป้าซะขนาดนั้น
บอกว่าคว้าพลาดๆ แต่มือคว้าตรง"เป้า" เลยนะคะ ไม่เห็นจะพลาดตรงไหนเลยยยยย
เพราะถ้าคว้าพลาดจริงๆต้องไม่คว้าถูกเป้าหรอกใช่มั๊ยล่ะคะ? (เล่นมุกเองยังจะงงๆเองเลยนะคะเนี่ย ฮ่าาาา เฟมือนเวลายิงธนู ถ้ายิงพลาดก็ไม่ถูกเป้า แต่ถ้ายิงแม่น ก็ต้องถูกเป้า..นี่แหล่ะค่ะมุกที่อยากนำเสนอ ซึ่ง..เป็นมุกที่พิการมาก...พิการตั้งแต่กำเนิดเลย ก๊ากกก แต่ยังกล้าเล่น-"-)

ออฟไลน์ kururu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-3

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
โจโดนพี่นิตทำให้ของขึ้นกลางทางแบบนี้...น่าสงสารจัง  :laugh:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
อ่านตอนนี้แล้วฮาไม่ไหวจริง ๆ  :laugh:
ก็อะไรที่พี่นิตคิด มันไม่ได้อย่างที่พี่นิตหวังเลยนี่ค่ะ ( แถวบ้าน เรียก ผิดแผน )
ทั้งคนที่ให้มาเป็นกันชน เอาเข้าจริงทั้งตบ ทั้งชง แทบจะมัดพี่นิตแล้วส่งให้โจก็ไม่ปาน
ส่วนข้าวผัด ก็ไม่แคล้วต้องเป็นคนป้อนโจซะจริง ๆ ( ส่งเสริม และ สนับสนุนโดย กันชนกิตติมาศักดิ์ )

ที่สุด ๆ คงเป็นการคว้าพลาด(อย่างใหญ่หลวง) ที่อ่านยังไง ๆ ก็ไม่ไหวจะเคลียร์  :m20:
ยังดีที่โจน้อยแค่ของขึ้น(?)เลยแค่เบรครถหัวทิ่มหัวตำ ขืนโจน้อยเจ็บจริง อะไรจริง คงได้มี Drift กันบ้างล่ะ...!!!
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
ตายๆๆๆ ไปจับของเค้าได้ยังไง
รับผิดชอบโจซะเดี๋ยวนี้เลยนะพี่นิต  :laugh:

ออฟไลน์ milky way

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
555 พี่นิต ตลกมาก ยอมๆน้องไปเหอะ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
กริ้ดดดดดดดด เป็นการพลาดที่น้องโจต้องชอบมากแน่ ๆ กร้ากกกกก
แต่ถ้าให้ดี อยู่สองต่อสองดีกว่านะ อิอิ
ลุ้นต่อไปเรื่องนี้ ลุ้นนานดีจริง ๆ 55+ :-[

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ลงไปนอนดีดดิ้นเพราะคุณพนิต
อะไรจะขนาดนั้น โอยยย ดีนะที่ไม่เกิดอะไรขึ้น(นอกจากโจ)
คุณเพื่อนทั้งสองยกนิ้วไปเลย เพื่อนแบบนี้ชอบ
นี่แค่ระหว่าเดินทางไปถ้าหากว่าถึงอยุธยาแล้วมันจะเป็นยังไงน้ออออออ

:haun5: :haun5:

ออฟไลน์ pure_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
โจเราถึงกับไปต่อไม่ไหวเลย แหมๆๆๆ แค่เจอพี่นิต....นิดหน่อยๆเอง นะโจ
ของขึ้นซะั แล้ว  ถ้ามากกว่านี้  .....หึหึ

พี่นิตมีหวังถูกจับกินกลางรถแน่ๆ 555

ออฟไลน์ Kee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
พาคุณพนิตที่รักกลับมาส่งอีกครั้งแล้วค่ะ :L2:

ที่จริงตั้งใจว่า ไม่ตอนนี้ ก็ตอนหน้าจะจบ.. แต่ เอิ่ม... ตอนหน้าจะจบมั้ยเนี่ย ฮ่าๆๆ มันชักงอก...= ="

พี่นิตอ่ะ!!!!!!!!!!!!!! :a5:

----------------------------------------------------

 Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่22
            ผมนั่งหน้ามึนอยู่เบาะหน้าของรถ โดยมีภูมิวัฒน์เป็นคนขับ สาเหตุที่ต้องนั่งทำหน้าเหมือนจะไปฆ่าใครแบบนี้ ไม่ใช่อะไร ผมกลัวเพื่อนปากไวจะแซวอะไรอีก แค่นี้ผมก็อายจนแทบจะเอาหน้าซุกล้อรถอยู่แล้ว

            ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ผมแค่กลัวข้าวมันหล่นเลอะเบาะ ใครจะไปนึกว่าจะคว้าลงไปตรงนั้นของเขาพอดีล่ะ!!!

            ของสุภาพงษ์ไซส์ไหนผมไม่รู้ แต่ใหญ่กว่าผมแน่นอน เพราะเขาเคยให้ผมจับตอนที่... เอ่อ... ผลัดกันช่วยตัวเองคราวที่แล้ว ว่าแต่ ผมจะนึกทำไมเนี่ย!!!!

            “พนิต ป้อนข้าวเราหน่อย” จู่ๆ ภูมิวัฒน์ก็พูดขึ้น ผมหันหน้าไปเพราะคิดว่าฟังผิด เห็นเขายังมองถนน ถือพวงมาลัย ขับรถอย่างปกติ ขณะกำลังจะหันไปมองทางบ้าง เพื่อนรูปหล่อของผมก็พูดซ้ำ “ป้อนข้าวเราหน่อย เรายังไม่อิ่มเลย”

            ผมจ้องหน้าภูมิวัฒน์เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาละเมออยู่รึเปล่านะ จู่ๆ จะให้ผมมาป้อนข้าวเขา แฟนกันรึก็ไม่ใช่ ทำมาอ้อนเป็นเด็กๆ อยู่ได้ ที่จริงถ้ามันมีเหตุสุดวิสัยผมก็ทำให้ได้หรอก แค่ป้อนข้าวเพื่อนมันจะเป็นจะตายอะไร แต่... สุภาพงษ์นั่งอยู่เบาะหลัง เขาไม่กลัวโดนต่อยตอนขับรถหรือไงนะ

            ขณะที่ผมจะอ้าปาก คุณากรก็ชิงพูดขึ้นก่อน “พี่ภูมิครับ จะทำอะไร เกรงใจโจมันบ้างเถอะ ขืนคุณพนิตป้อนข้าวพี่ภูมิจริง ไอ้โจมีหวังพุ่งไปหักคอพี่ภูมิแน่”

            “กั้ง!” สุภาพงษ์ส่งเสียงขึ้นบ้าง แต่ก็พูดอะไรไม่ทันคุณากรตามเคย “พี่ภูมิ ผมรู้นะ พี่แอบชอบคุณพนิตอยู่ใช่ไหมล่ะ?”

            “ไม่ได้แอบ พี่ชอบของพี่มานานแล้ว” เพื่อนผมตอบตรงดีจริงๆ แต่เดี๋ยว ถึงปากสุภาพงษ์จะบอกผมว่าไม่ขี้หึง แต่ผมจำได้ คราวก่อนเขาเคยต่อยภูมิวัฒน์จนหน้าคว่ำเพราะเล่นจั๊กจี๋กับผมในบ้านมาแล้ว แล้วไอ้หมอนี่ก็ยังจะทำล้อเล่นอีก เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก

            ขณะที่ผมอ้าปากจะเตือนเขา ภูมิวัฒน์ก็พูดต่ออีก “นี่ถ้าน้องโจไม่ยอมจัดการพนิตให้เด็ดขาดเร็วๆ นี้ พี่จะจัดการเองแล้วนะ”

            “เฮ้ย!” ผมโพล่ง แต่ที่ได้ยินดันไม่ใช่เสียงผมน่ะสิ

            สุภาพงษ์ทะลึ่งพรวดมาระหว่างเบาะด้านหน้า จนคุณากรต้องรีบดึงไว้ “โจ ใจเย็น!”

            ผู้ชายที่แทบไม่ได้พูดเลยตั้งแต่ออกรถมา พูดโดยพยายามจะกดเสียงเอาไว้ให้มากที่สุด “พี่ภูมิ... ห้ามมาล้อเล่นกันแบบนี้นะ”

            นั่นไง... ผมว่าแล้ว ไหนเขาบอกว่าไม่ขี้หึงไงล่ะ... แต่ก็นะ ไอ้เพื่อนผมมันวอนหาเรื่องเหมือนกันล่ะ.. อืม... ชักหวั่นแล้วสิ ตกลงวันนี้จะไปถึงอยุธยารึเปลานะ...

            “เออ พี่ล้อเล่น” ภูมิวัฒน์พูดหน้าตาเฉย “ตกลงหายของขึ้นหรือยัง? จะได้ให้กลับมาขับรถต่อ พี่หิวข้าว ยังกินค้างอยู่เลย”

            “.......................” สุภาพงษ์อึ้งสนิท ขณะที่คุณากรร้องขึ้น “อ๋อ! ที่แท้พี่ภูมิใช้แผนเอาความหึงมาบังความหื่นนี่เอง ล้ำลึก!”

            ผมมองหน้าสุภาพงษ์กับภูมิวัฒน์สลับกัน ภูมิวัฒน์ทำหน้านิ่งๆ ดูดีตามแบบฉบับของเขา เออ เขาดูดีหมดแหละ ยกเว้นเวลาอ้าปากพูด พูดที.. อยากจะเอาเปลือกทุเรียนอุดปากจริงๆ ส่วนสุภาพงษ์ก็... หน้าอึ้งตามระเบียบ.. ปกติเขาก็พูดไม่เก่งอยู่แล้ว จะมาทันฝีปากคนอย่างภูมิวัฒน์ได้ไง แต่ก็นะ...เขาไม่หน้าแดงแล้วล่ะ หายแล้วมั้ง... ผมควรจะภูมิใจที่มีเพื่อนฉลาดดีมั้ยเนี่ย? ตอนแรกคิดว่าจะต้องไปแวะเอาออกที่ปั้มแล้วสิ เขาเป็นมากรึเปล่าไม่รู้ ผมเคยเป็นมากสมัยหนุ่มๆ มันคัดจนเจ็บ สุดท้ายต้องเอาออกเอง อืม... ผมเอาออกเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว จนมาเจอสุภาพงษ์นี่แหละ

            โอ๊ย มาคิดอะไรเรื่องนี้บนรถนะผม เดี๋ยวก็ของขึ้นตามเขาไปอีกคนหรอก

            สุภาพงษ์เงียบไปสักพัก ก็พูดออกมา “เดี๋ยวพี่ภูมิผลัดมือกับผมก็ได้ครับ ผมจะได้ทานข้าวต่อ”

            “..................”

            อืม.... สุภาพงษ์ไม่ค่อยพูดก็จริง แต่พูดทีนึงก็.... เล่นเอาผมจุกทุกที นี่เขาหัดพูดอะไรให้พ้นๆ ผมไม่ได้หรือไงนะ ได้ยินเสียงไอ้เพื่อนตัวแสบผมหัวเราะเบาๆ

            “คราวนี้น้องโจห้ามทำข้าวหกอีกนะ พี่กลัวพนิตคว้าพลาดแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่”

            ผมถลึงตาใส่เพื่อน ขณะที่สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ

            เหอะ ให้ข้าวหกทั้งปิ่นโต ผมก็ไม่หยิบแล้วล่ะ!!

            สุดท้าย สุภาพงษ์ก็กลับมาขับรถตามเดิม ผมเลยได้ป้อนข้าวที่เหลือให้เขาต่อ คราวนี้ระวังแล้ว ไม่กล้าคว้าอะไร กลัวพลาดอีก ส่วนภูมิวัฒน์ ท่าทางมีเรื่องคาใจบางอย่างกับคุณากรจริงๆ ขนาดผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยังรู้เลยว่า เขาคุยเรื่องลับกันอยู่ เจ้าพวกนี้ชอบลับลวงพรางจริงๆ เลย

----------------------------------------

            ในที่สุดก็เข้าเขตอยุธยา ผมเริ่มเห็นซากเจดีเก่าประปรายอยู่ข้างทาง เลยหันไปถามสุภาพงษ์ “โจจะไปตรงไหนของอยุธยาน่ะ?”

            “พระราชวังโบราณใกล้วัดพระศรีสรรเพชญ์ครับ” เขาตอบ ผมพยักหน้า “โจจะไปถ่ายรูปเหรอ?”

            คนขับรถรูปหล่อของผมนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ “ไว้ถึงแล้วผมนะบอกพี่นิตนะ”

            อะไรเนี่ย หัดลับลวงพรางอีกคนแล้วหรือไง แค่ไอ้สองคนข้างหลังที่คุยกันอย่างกับใช้รหัสลับผมก็เวียนหัวล่ะ ยังมาเจอสุภาพงษ์ที่ไม่ค่อยจะพูดแล้วดันกั๊กแบบนี้อีก ผมคงต้องนั่งอมน้ำลายเป็นเพื่อนเขา

            อืม... งั้นผมเอาเวลาไปคิดพล็อตต่อดีกว่า

            ที่จริงผมชอบคิดพล็อตนอกสถานที่พอสมควร พอได้เห็นอะไรๆ ที่ต่างไปจากบ้านตัวเองแล้ว มันมักจะมีไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นเสมอ

            แต่ว่า.. พอเห็นซากเมืองเก่าที่ผ่านไปแล้ว ผมดันนึกถึงพล็อตนิยายเรื่องหนึ่งที่เคยคิดอยากเขียนสมัยหนุ่มๆ ตอนที่ผมมาเที่ยวที่นี่กับเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย แน่นอนว่ามีภูมิวัฒน์อยู่ด้วย

            นิยายรักที่ผมเคยอยากเขียน... แต่ก็เขียนไม่สำเร็จเพราะโดนรูมเมทตัวดีพูดจาทำร้ายจิตใจจนผมช็อกนี่แหละ

            นึกแล้วยังแค้นไม่หายนะเนี่ย

            ผมหันไปมองภูมิวัฒน์ เห็นเขาทำหน้าอมภูมิคุยกับคุณากรอยู่ อีกคนก็ดูจะรู้ไต๋พอกัน ทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยถามจ้อยๆ แต่ถามแต่ละอย่าง อย่าว่าแต่ภูมิวัฒน์ ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่ตอบ.. เอาเถอะ เขาคงคุยกันเองรู้เรื่องกว่าคุยกับผม ภูมิวัฒน์เป็นคนชอบอะไรที่ยืนพื้นอยู่บนความเป็นจริง สมัยเรียนเขาเป็นคนที่พอถึงร้านหนังสือก็เลือกหยิบตำรา ไม่ก็หนังสือประสบการณ์ชีวิตก่อน ต่างจากผมที่ไปทีไร ตรงรี่ไปชั้นนิยายทุกที

            ผมควรรู้ตั้งนานแล้วว่าเขากับผมเข้ากันไม่ได้ แต่เพราะเขาคุยเก่ง ผมเลยชอบพูดเรื่องที่คิดให้เขาฟัง...

            มานึกๆ ดู เขาคงทำถูกแล้วล่ะที่ตวาดผมวันนั้น ถ้าเกิดเขากับผมคบกันจริง ไม่แน่นะ... ผมอาจจะเจ็บกว่านี้ก็ได้ เพราะเขาคงทนคบผมได้ไม่นานหรอก

            แต่ทำไมเรื่องมันผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ไอ้หมอนี่เพิ่งจะกลับมาทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยผมตอนนี้ล่ะ... เจ้าภูมิวัฒน์วางแผนอะไรกันนะเนี่ย แต่บอกไว้ก่อนเลย ให้ตายผมก็ไม่ชอบเขาแล้วล่ะ ผมกำลังดูใจกับคนใหม่แล้ว.... ที่สำคัญ เขาชอบนิยายผมด้วย ถึงเขาจะพูดไม่เก่ง แต่... เขาคุยเรื่องนิยายกับผมรู้เรื่อง แค่นี้ก็พอแล้ว ผมมีความสุขเวลาได้คุยเรื่องนิยายกับเขานะ

            “....................”

            ผมหันหน้าไปมองสุภาพงษ์ที่กำลังขับรถอยู่ จู่ๆ ก็นึกอยากกอดเขาขึ้นมา... นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย อยากให้เขาของขึ้นกลางทางรึไง

            ไม่ไหวล่ะ ผมควรหันไปมองข้างทาง แล้วหาพล็อตเขียนเรื่องพ่อกระแตต่อดีกว่า..

----------------------------------------------

            กว่าจะถึงวังโบราณ ผมว่าสองคนข้างหลังคุยกันน้ำลายแห้งแล้วล่ะ ใครจะได้อะไรจากใครนี่เดาไม่ออกเลย ส่วนผม ได้รายละเอียดเรื่องลูกกระแตหล่นจากรถแล้ว เลยหยิบสมุดมาจดยิกๆ ในรถกันลืม แต่เพราะรถวิ่งอยู่ ต่อให้สุภาพงษ์ขับรถนิ่มยังไง ผมก็ยังรู้สึกมึนอยู่ดี ตอนที่เขาจอดรถเสร็จ หัวผมก็ปวดตึบๆ แล้ว

            “พี่นิตเมารถหรือครับ?” สุภาพงษ์ถาม เมื่อเห็นผมลงจากรถแล้วเอามือนวดขมับเป็นการใหญ่ ผมพยักหน้า “อืม... สงสัยพี่เขียนหนังสือในรถมั้ง”

            ผู้ชายหน้าตาหล่อ รูปร่างสมบูรณ์แบบ ชนิดที่ต่อให้ไม่ใส่อะไรเลยก็คงดูดีสุดๆ รีบเดินเข้ามาหาผม จากนั้น... ก็ยื่นยาดมมาให้

            อืม... ที่จริงในกระเป๋าผ้าของผมมียาดมอยู่เหมือนกัน แต่ไหนๆ เขายื่นมาแล้ว ผมก็ต้องดมตามมารยาท อืม... โล่งหัวดีจริงๆ แต่....

            “โจติดยาดมด้วยเหรอ?” ผมถามหลังจากหยิบน้ำมันกวางลุ้งในกระเป๋าขึ้นมานวดศีรษะ คือ.. อันที่จริงผมก็ไม่ได้อายุมากขนาดต้องมียาดมติดตัวนะ แต่เพราะหลังๆ ผมชักหน้ามืดบ่อย โดยเฉพาะเวลาอยู่กับสุภาพงษ์ มาเที่ยวคราวนี้ผมเลยเตรียมไว้ เอาล่ะ ผมเตรียมเพราะมีเหตุผล แต่สุภาพงษ์นี่สิ สุขภาพก็ดี อายุก็ยังไม่มาก ไม่น่าจะพกยาดมติดตัวนี่นา

            “เปล่าครับ” สุภาพงษ์ตอบผม “ผมพกเผื่อพี่นิตหน้ามืดน่ะ”

            “.........................” ผมอึ้ง แต่ภูมิวัฒน์กับคุณากรหัวเราะก๊าก

            “พนิต นายทำตัวแก่ขนาดน้องนุ่งต้องพกยาดมเตรียมไว้เลยเหรอ?!” อดีตรูมเมทที่ผมชวนมาเป็นกันชนแซวผมอีก ผมว่าผมน่าจะไล่เขากลับบ้านตั้งแต่มาได้กลางทางแล้วล่ะ เรียกมาไม่คุ้มค่าโทรศัพท์จริงๆ นะเนี่ย

            ขณะที่ผมตีหน้าเมินใส่เพื่อน คุณากรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “โจ... ถึงเวลาแบบนั้นน่ะ.. หยิบมาให้คุณพนิตดมให้ทันนะ”

            โอ๊ย เด็กสมัยนี้นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ ผมทำหน้าบึ้งใส่คุณากร “คุณกั้ง ล้อเล่นให้มันมีขอบเขตหน่อยนะ”

            คราวนี้คุณากรเงียบเสียงลงทันที ภูมิวัฒน์กะพริบตาหน่อยๆ แล้วทำเนียนหันไปทางอื่น กลัวจะโดนผมเล่นงานด้วยสินะ ผมถอนหายใจ ขณะที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรให้บรรยากาศมันลดความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันเพราะความเก็บกดในใจผมดี สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นเบาๆ

            “พี่นิต เราไปกันเถอะครับ”

            จากนั้นเขาก็ฉวยมือผม แล้วจูงออกไปทันที เอ่อ... รู้หรอกว่าเขาชอบจับนั่นจับนี่ผม แต่ช่วยสนใจสายตาคนอื่นบ้างได้มั้ย?!!!

            ผมอายแสนอาย แต่จะสะบัดมือหนี สุภาพงษ์ก็จับแน่นเหลือเกิน จะให้หยุดแล้วกระชากออกแบบในละครหลังข่าว ก็เกรงว่าจะน่าอายกว่าเก่า ถึงสุภาพงษ์จะหล่อกว่าพระเอกละคร แต่ผมไม่ได้สวยแบบนางเอกนี่... เอาล่ะ ไหนๆ มันก็มาถึงขึ้นนี้แล้ว ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้คงไม่เป็นไหรหรอก ผมไม่ใช่คนแถวนี้... ไม่มีใครรู้จักผมแน่...

            พอเห็นผมไม่หือไม่อือ สุภาพงษ์ก็เนียน จับมือผมเดินเอื่อยโดยไม่สนใจอีกสองคนด้านหลัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเดินตามมารึเปล่า ผมไม่กล้าหันไปมองน่ะ กลัวเห็นสายตาเย้ยหยัน ถึงผมจะทำหน้าด้านเดินให้สุภาพงษ์จูงได้ แต่ถ้าเกิดเห็นสายตาอย่างนั้นล่ะก็ ผมคงต้องรีบเอาหน้ามุดพื้นแน่ๆ เพราะงั้น... ผมมองแค่ผู้ชายรูปหล่อที่เดินนำหน้าผมก็พอ

            เดินไปได้สักพัก สุภาพงษ์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “พี่นิตครับ ตอนผมไปเล่นบ้านพี่นิต พี่นิตเคยเล่านิยายรักให้ผมฟังเรื่องหนึ่ง พี่นิตยังจำได้มั้ย?”

            “?!” ผมหันไปมองหน้าเขา เรากำลังเดินอยู่ใกล้ๆ กับฐานอิฐของพระราชวังสรรเพชรปราสาทเดิม ซึ่งตอนนี้เหลือแต่ฐานกับตอเสาเก่าๆ แต่ครั้งหนึ่ง ผมเคยมาเที่ยวที่นี่แล้วจิตนาการถึงเรื่องราวความรักระหว่างกรมวังหนุ่มรูปหล่อ กับนางสนองพระโอษฐ์สาวที่เคยเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กกันมาก่อน แต่พอถวายตัวเข้าวังก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะถูกภูมิวัฒน์ตวาดใส่ก่อนนั่นแหละ

            “นิยายเรื่องนั้นพี่ลืมไปแล้วล่ะ” ผมตอบเขาตามตรง คือ... ก็ใช่ว่าลืมจนเกลี้ยงหรอกนะ แต่ไม่อยากจะจำแล้ว แค่นึกก็รู้สึกไม่ดี สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ

            “เหรอครับ... แต่ผมชอบมากเลยนะ”

            “.....................”

            “พี่นิตไม่คิดจะเขียนต่อหรือครับ?”

            ผมสั่นศีรษะทันที “ไม่ล่ะ พี่ไม่มีอารมณ์จะเขียน”

ผมขี้เกียจบอกว่าเพราะเพื่อนตัวดีที่ผมมาพามานั่นล่ะ สุภาพงษ์นิ่งไปอีก พอเห็นเขาเงียบ ผมเลยยิ้มให้หน่อยหนึ่ง “โทษทีนะ พี่ไม่ถนัดเขียนเรื่องรักๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ...” เขาพูด “เพราะพี่นิตเคยเสียใจเรื่องความรักใช่ไหมล่ะ ผมเข้าใจครับ”

            “..............................”

            “แล้ว.... เอ่อ.... พี่นิตพอจะอ่านนิยายของคนเพิ่งหัดเขียนได้ไหมครับ?”

            ผมเลิกคิ้วหน่อยหนึ่ง หรือสุภาพงษ์จะเปิดรับสมัครนักเขียนนิยายหน้าใหม่ จะเอาผมไปเป็นคนช่วยคัดเลือก ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ ดีเสียอีก จะได้ดูแววเด็กใหม่ๆ ด้วย

            “ได้ โจจะให้พี่ไปช่วยอ่านนิยายคัดเลือกเหรอ?”

            “เปล่าครับ” เขาตอบ แล้วทำหน้าแบบที่ผมอธิบายไม่ถูก เหมือนจะอึ้งๆ เขินๆ อธิบายยากจริงๆ ต้องมาเห็นเองน่ะ

            เราเงียบกันไปสักพัก สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นต่อ “ไปเดินเล่นรอบๆ กันเถอะครับ”

 

            สุดท้าย ผมก็ได้เดินเล่นรอบพระราชวังโบราณ เพื่อย้อนอดีตที่ผมเคยมากับเพื่อนสมัยเรียน กับเด็กที่อายุน้อยกว่าผมเป็นสิบปี อืม.... ไม่รู้สิ ถึงผมจะเคยคิดนิยายรักได้ตอนมาที่นี่ แต่ตอนนี้ ผมคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากหันไปมองหน้าคนที่จับมือผมอยู่

            เขาหล่อและนิสัยดีพอจะเป็นพระเอก แต่ผมดันไม่กล้าเขียนตัวนางเอก... น่าตลกดีจริงๆ ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ผมกล้าเขียนตัวผมเป็นนางเอก ภูมิวัฒน์เป็นพระเอกแท้ๆ แต่ตอนนี้...

            ผมมีพระเอกอยู่ข้างๆ แต่ผมดันไม่กล้า.....

            ความเพ้อฝันของผมหายไปเยอะแล้ว ผมคงอายุมากแล้วจริงๆ....

            ถึงอย่างนั้น.... มือที่จับผมเอาไว้... ไม่ใช่ความเพ้อฝัน.... ไม่รู้ว่าหลังจากนี้หนึ่งวัน สองวัน สามสัปดาห์ สี่สัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี เขายังอยากจะเดินจับมือผมแบบนี้อีกรึเปล่า....

            ผมไม่รู้ว่าอนาคตจะไปในทิศทางไหน อดีตแสนดี มักจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดเสมอตอนที่มันแปรเปลี่ยน ผมควรเสี่ยงมั้ย? ผมควรจะเดินหน้าต่อมั้ย?.. กับเขา... คนที่เดินจับมือผมตอนนี้

            “..........................” จู่ๆ สุภาพงษ์ก็หันมา แล้วยิ้มบางๆ ให้ผม หัวใจผมเต้นอึงในอก ถึงผมจะพยายามบอกตัวเองว่า ผมอยากทอดเวลา ไม่อยากจะให้ความรักครั้งนี้มันหวือหวามาก ไม่อยากจะทุ่มลงไปให้ทั้งใจ แต่.... หัวใจเจ้ากรรมของผมคงจะไม่เชื่อฟังผมเท่าไหร่แล้ว แค่เห็นเขายิ้ม มันก็เต้นแรง แค่เขาเข้ามาใกล้ มันก็แทบจะกระดอนออกมา

            ไม่รู้ว่าผมจะฝืนต้านไปได้อีกสักกี่น้ำ

            “โจ.....”

            “ครับ?”

            ผมนิ่งไปพัก นึกไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรกับเขา มีแค่ความรู้สึกที่เต้นอึงอยู่ในห้องหัวใจเล็กๆ สี่ห้อง ผมเลือกคำพูดที่จะมาอธิบายมันให้ไม่น่าเกลียดและไม่เสียเชิงไม่ออกจริงๆ ได้แต่มองหน้าเขา บีบมือเขา

            เรื่องนี้เขาเป็นพระเอก เหลือแต่ผม... ที่ยังไม่กล้ากำหนดฐานะตัวเองสักที.......

            ก็ผม........... ผม.............

            “พนิต!” “โจ!” เสียงของใครสองคนเรียกชื่อผมกับสุภาพงษ์พร้อมกัน พอหันไปก็เห็นภูมิวัฒน์กับคุณากรเดินโบกมือหยอยๆ ผมรีบดึงมือออกจากมือของสุภาพงษ์ทันที แล้วตีหน้าขรึม “หายไปไหนกันมาน่ะ?!”

            ภูมิวัฒน์หรี่ตามองผมเหมือนเพิ่งเคยเห็นหน้ากันวินาทีนี้ แล้วพูดเสียงน้อยใจนิดๆ “นายที่ทิ้งเพื่อนไว้แล้วไปกับเด็กๆ กล้าพูดแบบนี้กับคนแสนดีที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนแบบเราเหรอเนี่ย”

            โอ๊ย ผมนึกสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ตกลงไอ้หมอนี่มันรับราชการ แล้วอายุเท่าผมจริงๆ เหรอเนี่ย!?

            ขณะที่ผมเบิ่งตาจ้องภูมิวัฒน์กลับเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน คุณากรก็หัวเราะขึ้นมา “ฮะๆ พี่ภูมิครับ คุณพนิตเขาโดนพญาช้างสารแบบโจลากตัวไปนะครับ แบบนั้นใครจะไปขัดได้”

            เออ เขาพูดถูก สุภาพงษ์แรงเยอะ ผมขัดไม่ได้หรอก แต่... ผมไม่ได้โดนเขาลากตัวไปนะ ผมสมัครใจไปเองต่างหาก ซึ่งเรื่องนี้ ผมไม่บอกใครหรอก อายคนน่ะ.... เพราะงั้น ถ้าเขาจะเข้าใจว่าผมถูกสุภาพงษ์ลากตัวไป ก็ให้เขาเข้าใจแบบนั้นแหละ ผมเข้าใจถูกเองคนเดียวก็พอแล้ว...

            สุภาพงษ์ทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ “เอ่อ.... อยากจะไปที่อื่นกันรึเปล่าครับ?”

            ไม่รู้ว่าเขาถามใคร แต่คุณากรรีบพูดขึ้นมาคนแรกทันที “ตลาดน้ำอโยธยา ฉันอยากไปถ่ายรูป”

            พูดจบก็ยกกล้องที่ห้อยคอขึ้นมาถ่ายพวกผมหน้าตาเฉย แบบไม่ให้สัญญาณ ไม่ให้อะไรทั้งนั้น ผมทำหน้าอึ้งๆ ขณะที่สุภาพงษ์หน้านิ่งแบบปกติ เลยไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไง คุณากรถ่ายไปแล้วรูปหนึ่ง เห็นผมยังยืนเฉยๆ เลยถ่ายอีก คราวนี้ผมอดไม่ได้ ต้องพูดขึ้น “คุณกั้ง จะถ่ายรูปก็บอกกันหน่อยสิ”

            “ใช่ๆ พนิตจะได้เก๊กหน้าหล่อๆ ให้ถ่ายไง” ภูมิวัฒน์พูดต่อ ผมหันไปค้อนเขานิดหนึ่ง เขาช่วยหัดเงียบหน่อยไม่ได้หรือไง พูดแซวเป็นเด็กๆ ไปได้ คุณากรสั่นศีรษะ “ไม่เอาล่ะ ผมชอบถ่ายหน้าธรรมชาติ มันให้อารมณ์ดีนะ ดูสิ... รูปน่ารักดีนะครับ”

            เขาว่า แล้วเดินเข้ามา ขยับจอแอลซีดีของกล้องให้ผมกับสุภาพงษ์ดู

            อืม.... คนข้างๆ ผมหล่อทุกมุมจริงๆ ส่วนอีกคน ใครน่ะ?!

            “คุณกั้ง ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมพูด รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมา คุณากรรีบยกกล้องหนี “ลบทำไมล่ะครับคุณพนิต น่ารักดีออก”

            น่ารักอะไรกัน น่าเกลียดน่ะสิไม่ว่า! ผมจ้องหน้าเขา จากนั้นภูมิวัฒน์ก็พูดขึ้นอีก “ไหนๆ ถ่ายอะไรติดน่ะ ทำไมพนิตต้องทำท่าเขินขนาดนั้นด้วย”

            “..................” เห็นแล้วเงียบไว้บ้างก็ได้ จะอธิบายหน้าผมทำไมเนี่ย

            “ไม่ให้พี่ภูมิดูหรอกครับ เดี๋ยวจะเปลี่ยนใจ นึกอยากกลับไปหาคุณพนิตขึ้นมาจริงๆ”

            “โห.... พี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก” เขาตอบ แต่ผมมั่นใจ เขาโกหกแน่นอน หน้ามันฟ้องชัดๆ คุณากรยิ้มที่มุมปากนิดๆ “ให้ดูก็ได้ แต่พี่ภูมิต้องเล่าเรื่องที่ผมถามให้ฟังก่อน”

            คราวนี้ได้เวลาภูมิวัฒน์ทำหน้าเหมือนเห็นคนไม่รู้จักใส่คุณากรบ้าง ก่อนที่ตัวเขาจะหัวเราะออกมาเอง “งั้นไม่ดูก็ได้ ตื้อจริงๆ นะเนี่ย”

            “ผมเป็นนักข่าว ก็ต้องตื้อสิ ไม่ตื้อจะทำงานมาถึงตอนนี้ได้ไง” เขาพูดยิ้มๆ ผมกับสุภาพงษ์มองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจพูดขึ้นเอง “ถ้าจะไปตลาดอโยธยา ก็รีบไปกันเถอะ จะได้มีเวลาเดินนานๆ”

--------------------------------------------------

            ผมไม่ได้มาตลาดน้ำอโยธยาเป็นครั้งแรก เห็นผมทำงานกับบ้านแบบนี้ ผมเที่ยวบ่อยกว่าคนทำงานมีเงินเดือนซะอีก แต่ดูท่าภูมิวัฒน์จะไม่เคยมา เลยมีอาการสนอกสนใจสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นพิเศษ แต่ไม่รู้เขาทำเพราะอยากจะเปลี่ยนเรื่องคุยกับคุณากรรึเปล่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2012 16:44:20 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
            ขณะที่เพื่อนผมพยายามจะคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยกับคนที่มาด้วยกัน สุภาพงษ์ที่อยู่ใกล้ผมก็เอาแต่เงียบเหมือนเดิม พยักหน้าบ้าง ยิ้มแบบสังเกตยากบ้างตามประสา ถึงอย่างนั้น เขาก็อุตส่าห์เดินโอบตัวผมแบบเนียนๆ นี่กลัวว่าผมจะถูกใครชนล้มคว่ำหรือไงนะ ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้นหรอก แต่... ก็ขอรับความหวังดีไว้แล้วกัน

            “โจ... ห่อหมกเจ้านั้นอร่อยนะ” เพราะมัวแต่ป้อนข้าวสุภาพงษ์ในรถ ผมเลยไม่ค่อยได้ทานเองเท่าไหร่ พอเดินดูของไปสักพัก ชักจะหิว เลยพยายามหาบทพูดเหมาะๆ เพื่อจะหาอะไรทาน สุภาพงษ์มองผม แล้วพยักหน้า “พี่นิตจะทานหรือครับ?”

            ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ภูมิวัฒน์ก็ชิงพูดขึ้นมาเหมือนกำลังหันเรด้าจับสัญญาณได้ก็ไม่ปาน “เออ พนิตหิวแล้วสินะ งั้นไปซื้ออะไรมานั่งทานกันเถอะ เราก็หิวแล้วเหมือนกัน”

            ผมเห็นคุณากรหรี่ตามองเขา จากนั้นก็ยิ้มนิดๆ “พี่ภูมิจะทานอะไรล่ะครับ ไปซื้อด้วยกันมั้ย? ผมอยากทานไข่ทรงเครื่องเจ้าโน้น ไปกันเถอะครับ”

            จากนั้นเขาก็ดึงมือเพื่อนผมไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมหันไปมองหน้าสุภาพงษ์ เห็นเขาทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “กั้งก็แบบนี้แหละครับ ลองอยากจะรู้อะไรจากใคร เขาไม่ปล่อยง่ายๆ หรอก”

            ผมพยักหน้า แล้วนึกขำ ว่าภูมิวัฒน์คงได้เจอดีก็คราวนี้แหละ

            “โจ... พี่อยากทานผัดไทยด้วย ไปดูทางโน้นกันนะ” ไหนๆ เขาก็อยู่ใกล้ตัวผมแค่นี้ ผมชวนเขาไปดีกว่า ไม่น่าเกลียด แถมได้คนช่วยยกข้าวด้วย สุภาพงษ์พยักหน้าอย่างว่าง่ายตามเคย แหม... หล่อจนน่าเลี้ยงข้าวจริงๆ นะเนี่ย

 

            แน่นอนว่าผมเป็นขาชิม มาคราวที่แล้วผมชิมไปหลายอย่าง ร้านไหนที่ไม่อร่อย ผมรีบจำเอาไว้แล้วเดินเลี่ยงทันที เพราะอย่างนั้น อาหารที่ผมสั่งมา จึงเรียกได้ว่าผ่านการคัดกรองแล้ว เลยเป็นอานิสงส์ให้ภูมิวัฒน์ ซึ่งเหมือนจะซื้อตะพึดเพราะอยากเปลี่ยนเรื่อง มีทางเลือกมากขึ้น จากอาหารสุ่มซื้อของตัวเอง

            เราทานไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ใจหนึ่งผมอยากช่วยเพื่อน เลยชวนคุยเรื่องเก่าๆ แต่คุณากรก็พูดเก่งจริงๆ ยังวกกลับมาเรื่องที่เป็นประเด็นได้แบบไม่น่าเกลียด ผมล่ะนับถือความสามารถด้านการพูดของเขาจริงๆ

            “พี่ถามหน่อยนะ ตอนกั้งกับโจเป็นแฟนกัน กั้งจีบโจก่อนใช่มั้ย?”

            “โหย... คุณพนิตครับ อย่างไอ้โจน่ะเหรอครับ จะมีปัญญาจีบใคร” คุณากรพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ “เออ จริง มีปัญญาจีบอยู่คนหนึ่ง” เขาพูด แล้วหรี่ตามองมาทางผม ผมรีบตีหน้าขรึม รีบวกเข้าเรื่องเดิมก่อนจะโดนคุณากรพูดจี้ใจดำ “แล้วจีบยากมั้ย เขาไม่ค่อยพูดนี่”

            คุณากรยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์แสนกลจริงๆ “ไม่ยากครับ... เผอิญผมกับมันชอบนิยายของคุณพนิตเหมือนกัน เลยคุยกันถูกคออยู่.... ที่จริงผมพึ่งบารมีคุณพนิตจีบไอ้โจนะเนี่ย”

            “กั้ง!” สุภาพงษ์เอ็ดเพื่อน “เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ”

            “อะไรกันเล่า” คุณากรทำหน้าเคืองๆ “คุณพนิตถามเองนะ สงสัยอยากจะเรียนรู้วิธีจีบคนพูดน้อยอย่างนายล่ะมั้ง”

            “บ้าเรอะ” ผมเอ็ดบ้าง ใครอยากจะไปจีบสุภาพงษ์กัน มีแต่เขานั่นแหละจีบผม สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ จากนั้นก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก นี่เขาคิดอะไรในหัวแล้วไม่ยอมพูดออกมาอีกล่ะเนี่ย

            “ฮ่าๆ น้องโจนี่ตลกดีนะ” ภูมิวัฒน์พูดขึ้นบ้าง “แต่พี่ก็เข้าใจนะ กั้งพูดมากเป็นต่อยหอยอย่างกับนักต้มตุ๋นแบบนี้ เป็นใครก็ต้องหลงกลเท่านั้นแหละ”

            คุณากรยิ้มกว้าง แต่ตาไม่ยักจะยิ้มด้วย พลางหันไปมองภูมิวัฒน์ “พี่ภูมิไม่คิดจะหลงกลบ้างหรือไงครับ?”

            ภูมิวัฒน์ทำหน้าซื่อ “ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากเสียคนตอนแก่”

            ผมกับสุภาพงษ์มองหน้ากันอีก ก่อนที่สุภาพงษ์จะพูดขึ้นในที่สุด “กั้ง ฉันเข้าใจว่านายอยากได้ข่าว แต่เพลาๆ ลงหน่อยก็ได้ ชวนมาเที่ยวนะ”

            “เอาน่า... นี่ก็เที่ยวเหมือนกัน” คุณากรพูดอย่างอารมณ์ดี “พี่ภูมิครับ ไปนั่งช้างกันไหม ผมออกค่านั่งให้”

            ภูมิวัฒน์สั่นศีรษะ “ไม่เอา พี่ไม่ชอบช้าง”

            “งั้นนั่งเรือ”

            “พี่ไม่ชอบน้ำ”

            ผมขำพรวดออกมา “คุณกั้ง อย่าไปตื้อภูมิมากๆ นะ เดี๋ยวมันจะตวาดเอา ถ้าอยากนั่งช้างล่ะก็ พี่นั่งเป็นเพื่อนมั้ยล่ะ?!”

            คุณากรหันมาตอบผมด้วยสีหน้าเกรงใจเป็นที่สุด “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากโดนโจกระทืบ”

            “.......”

            “แต่เราอยากนั่ง พนิตนั่งกับเรานะ” คนไม่กลัวตายที่เหมือนลืมไปแล้วว่าตะกี้พูดอะไรพูดแทรกขึ้นทันที ผมหรี่ตามองเขา ขณะที่คุณากรพูดต่ออย่างที่คิดเอาไว้ “ไหนพี่ภูมิบอกว่าไม่ชอบช้าง”

            “ก็ไม่ชอบ”

            “แล้วไหงบอกอยากนั่งล่ะครับ”

            “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากนั่งนี่...”

            เอาล่ะ ผมว่าถ้าปล่อยไป ผมคงถูกลากเข้าสงครามน้ำลายแน่ๆ เลยรีบตัดบท “ไปดูการแสดงฝั่งโน้นดีกว่า”

---------------------------------------

            พวกเราสี่คนออกจากตลาดน้ำตอนสักสี่โมงกว่าเห็นจะได้ ที่จริงผมเร่งให้ออกมาตั้งแต่บ่ายสามแล้วล่ะ เพราะกลัวจะถึงบ้านดึก แต่ภูมิวัฒน์กับคุณากรดันอ้อยอิ่งเดินดูนั่นดูนี่ไม่ยอมกลับเสียที ไหนตอนบ่ายเห็นกลัวคุณากรถามเหมือนอะไร พอตกเย็นก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกแล้ว ผมล่ะไม่เข้าใจเพื่อนผมจริงๆ

            ออกมาจากตลาดน้ำ แทนที่จะรีบกลับ ภูมิวัฒน์ดันชวนเที่ยวต่ออีก โดยให้เหตุผลว่า

            “ทำงานเจ็ดวัน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยว ได้ออกมาทั้งที ก็ต้องเที่ยวให้คุ้มสิ”

            ผมดูจากสภาพแล้ว ไม่เห็นว่าเขาจะทำงานเจ็ดวันตรงไหน จะทำเต็มห้าวันตามเวลาราชการรึเปล่ายังไม่แน่ใจเลย แต่เพราะสุภาพงษ์กับคุณากรเห็นด้วย ผมเลยไม่อยากจะพูดอะไรมาก ขอแค่อย่าให้ดึกเกินไปก็พอ

            สุภาพงษ์ก็ใจดี เห็นว่าเวลาเหลือไม่มาก เลยอาสาว่าจะขับรถตระเวนให้ภูมิวัฒน์ได้ชมตัวเมืองอยุธยาสักรอบ แล้วค่อยกลับ ปรากฏว่าจู่ๆ คุณากรก็บอกว่าอยากจะถ่ายรูปตะวันตกดินที่วัดพระศรีสรรเพชญ์อีก ทำไปทำมา... ตอนขึ้นรถอีกที ฟ้าก็มืดแล้ว

            “อืม.... ได้ยินว่าที่นี่มีตลาดกลางคืน ใหญ่ด้วย ไปทานมื้อค่ำกันเถอะ” ภูมิวัฒน์พูดขึ้นตอนอยู่ในรถ ผมเหลือบมองนาฬิกา แล้วพูดตอบไป “แต่มันค่ำแล้วนะภูมิ ขากลับมันจะดึกเอานะ”

            “กลับไม่ทันก็ค้างสิครับ โรงแรมในอยุธยามีตั้งเยอะตั้งแยะ” คุณากรพูด ผมกะพริบตาปริบๆ

            “นั่นสิ ไม่ทันก็ค้าง ไม่เห็นจะต้องซีเรียสเลย ปกติพนิตก็ชอบนอนค้างที่อื่นบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?” เพื่อนผมพูดแบบรู้ทันอีกแล้ว ถูกหรอก ผมน่ะติดนิสัย ค่ำไหนนอนนั่นมาแต่สมัยไหนแล้ว แต่ทว่า... ผมจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ได้มากับสุภาพงษ์

            ผมกลัวต้องค้างห้องเดียวกับเขาน่ะ แต่... เอา ผมเหน็บภูมิวัฒน์มาด้วยนี่นา ไอ้เพื่อนผมจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้แหละ

            “งั้น โจติดธุระรึเปล่า?” ผมหันไปถามคนขับรถ สุภาพงษ์สั่นศีรษะ “เปล่าครับ ถ้าจะค้างก็ค้างเถอะครับ”

            “อืม..” ผมส่งเสียงในคอ ก่อนจะพยักหน้า “ค้างก็ค้างแล้วกัน ไหนๆ ก็มาถึงตอนนี้แล้ว”

 

            ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลข้างต้น พอทานข้าวกันเสร็จ แล้วเดินทัวร์ตลาดกันสักครึ่งชั่วโมง คณะสี่คนของเราก็ขับรถตระเวนหาโรงแรมเพื่อจะค้างคืน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสี่ดาว ที่ภูมิวัฒน์อ้างว่าเคยมาประชุม และพนักงานบริการดี

            ไหนเขาว่าไม่เคยมาอยุธยาไง... โกหกอีกแล้วสิเนี่ย

            “เรามาประชุมต่างหาก ไม่ได้มาเที่ยวสักหน่อย” เพื่อนผมแก้ตัวอย่างรู้ทันหลังจากเปิดห้องแล้ว

            โชคดีจริงๆ ห้องมีทั้งเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ผมเลยเลือกห้องเตียงเดี่ยว ซึ่งสุภาพงษ์ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ภูมิวัฒน์นี่สิ จองห้องเตียงคู่เลย แล้วหันมาหาผม “คืนนี้พนิตนอนกับเรานะ”

            “...............” ผมมองเพื่อน “ไม่เอา เราไม่นอนเตียงเดียวกับภูมิหรอก”

            “สมัยก่อนยังนอนด้วยกันเลย”

            “นั่นมันเตียงสองชั้น”

            “ไม่เอาน่า หรือพนิตจะนอนกับน้องโจ”

            “..............................”

            พอเห็นภูมิวัฒน์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ผมเลยนึกหมั่นไส้ขึ้นมา เอาเถอะ แม้สมัยเรียน ผมจะเคยมุดไปนอนเตียงล่างกับเขา แต่เวลามันผ่านมานานมากแล้ว อีกอย่าง เขาดันทำท่าเหมือนมีจุดประสงค์ไม่ดีกับผม แทนสุภาพงษ์ไปเสียได้ รู้งี้ไม่ชวนมาก็ดีหรอก จริงๆ เลยนะ ไอ้เพื่อนคนนี้นี่

            “โจ... ไปห้องกันเถอะ” ผมตัดบท ภูมิวัฒน์อยากเลือกเตียงคู่ ก็ให้คุณากรจัดการไปแล้วกัน ก็ใครใช้ให้เขาทำตัวกวนประสาทผมกันล่ะ

 

            เตียงในห้องเป็นเตียงแยก ผมสบายใจเป็นที่สุด และถึงไม่ได้เตรียมชุดเปลี่ยนมา แต่โรงแรมมีเสื้อคลุมให้ ผมใส่เสื้อคลุมนอนน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ดีกว่าใส่เสื้อเลอะเหงื่อตัวเดิมนอนเป็นไหนๆ

            ดังนั้น ผมจึงอาบน้ำอุ่นจนพอใจ แล้วห่อเสื้อคลุมเดินออกมา ถึงอย่างนั้นพอเจออากาศที่ปรับแล้วด้านนอก ฟันของผมก็สั่นจนกระทบกันทันที

            “โจ เพิ่มแอร์หน่อยสิ พี่หนาว”

            สุภาพงษ์มองหน้าผม แล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินไปปิดตัวปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นอีก

            “ผมอาบน้ำก่อนนะครับ ถ้าพี่นิตง่วง ปิดไฟนอนได้เลยนะ”

            ผมพยักหน้า แล้วมุดเข้าผ้าห่มทันที โอย... ผมไม่ถูกกับเครื่องปรับอากาศเลย ให้ตายสิ หนาวก็หนาว แสบจมูกก็แสบ ผมจะนอนหลับรึเปล่านะเนี่ย...

            จนสุภาพงษ์ออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมยังข่มตาหลับไม่ได้เสียที ได้แต่นอนยุกๆ ยิกๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม จนได้ยินเสียงเขาถามขึ้น “พี่นิตนอนไม่สบายเหรอครับ?”

            “อืม.. พี่หนาว ปิดแอร์ได้มั้ย?”

            “ปิดก็ร้อนสิครับ”

            เออ จริง จะเปิดกระจกอย่างเดียวก็ไม่มีพัดลมอีก ผมอาจจะทนได้ แต่สุภาพงษ์นี่สิ ถ้าเขาต้องมาทนร้อนเพราะความเอาแต่ใจของผมคงไม่ดีแน่....

            “พี่นิตหนาวมากรึเปล่าครับ ขอผ้าห่มเพิ่มมั้ย?”

            “ก็ได้” ผมว่า สุภาพงษ์เลยโทรศัพท์ไปขอผ้าห่มเพิ่มอีกผืน แหม.. นึกไปก็ทุเรศตัวเองจริงๆ ทำเหมือนมาอยู่ที่ไซบีเรียไปได้ แต่ผมแพ้แอร์จริงๆ นะ สู้ไม่ไหวหรอก

            ผมหันไปมองสุภาพงษ์ เห็นเขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเหมือนกัน โอย... เห็นแผงอกกำยำของเขาแพลมออกมานิดๆ ด้วย ทั้งหล่อทั้งหุ่นดีจริงๆ นะเนี่ย ผมอดไม่ได้ต้องถามเขาไป “โจไม่หนาวหรือไง?”

            “เปล่านี่ครับ” เขาหันมาตอบผม “พี่นิตผอมเกินไป เลยหนาวง่ายมั้ง”

            ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเราก็เงียบกันไปพักใหญ่ จนพนักงานโรงแรมเอาผ้าห่มอีกฝืนมาส่งให้

            เอาล่ะ... ได้ผ้าห่มอีกผืน น่าจะดีขึ้น.... ดีขึ้นจริงๆ นะ!

            ผมคิดว่าอีกสักพักคงหลับ เลยบอกให้สุภาพงษ์ปิดไฟหัวเตียงเลย แต่เขาบอกว่าอยากจะเขียนอะไรบางอย่างก่อนนอน ผมเลยปิดไฟหัวเตียงเฉพาะเตียงของตัวเองแทน..

            ผ้าห่มสองผืน อุ่นใช้ได้... แต่... ชักจะอุ่นจนร้อนไปล่ะมั้งเนี่ย...

            สุดท้ายผมก็ยังนอนไม่หลับ เอาผ้าห่มออกชั้นหนึ่ง ก็หนาว พอห่มสองชั้นก็ร้อน จะเอาไงกันนะ ร่างกายผม สงสัยสุภาพงษ์ที่เขียนอะไรอยู่ คงรำคาญเสียงขยับตัวยุกยิกของผมเต็มที เลยถามอีก “นอนไม่ได้เหรอครับ?”

            “อืม... ไม่พอดีเลยน่ะ” ผมตอบไปอย่างจนปัญญา “ห่มชั้นเดียวก็หนาว สองชั้นก็ร้อน”

            “............................”

            “..................................”

            “พี่นิตมานอนกับผมมั้ย?”

            “?”

            “นอนด้วยกันเฉยๆ น่ะครับ อาจจะอุ่นพอดีก็ได้ ผมไม่ทำอะไรพี่นิตหรอก”

            “..................” จู่ๆ ผมก็ร้อนวาบขึ้นมาตามหน้า เออ.. ผมกลัวเขาทำอะไรนี่แหละ ถึงได้ไม่อยากจะค้าง ไม่อยากจะร่วมเตียงด้วย แต่เขากลับมาเสนอผมแบบนี้... ผม.....

            “ไม่ดีกว่า... พี่เกรงใจ”

            “แต่พี่นิตนอนไม่สบายนี่ครับ ลองดูก่อนก็ได้”

            “โจไม่ทำอะไรพี่แน่นะ?”

            สุภาพงษ์หันมองผม แล้วยิ้มหน่อยๆ “ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรพี่นิตจริงๆ ผมทำไปตั้งนานแล้วครับ ในเมื่อพี่นิตไม่พร้อม ผมก็ไม่อยากฝืนใจพี่นิตหรอก”

            “.....................” ผมมองหน้าเขาอยู่พัก จากนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง

            “พี่นอนใกล้ๆ โจไม่เป็นอะไรแน่นะ?”

            “หืม?”

            ผมหน้าร้อนนิดๆ “คือ... โจจะไม่ของขึ้นกลางทางแบบคืนวันนั้นนะ”

            สุภาพงษ์หน้าแดงขึ้นมา “พี่นิตอย่าพูดถึงเลยครับ ผมอุตส่าห์ไม่นึกแล้ว”

            ผมมองหน้าเขา แล้วให้เขินหนักกว่าเดิม “พี่กลับไปนอนที่เตียงดีกว่า”

            ผู้ชายรูปหล่อที่นั่งอยู่บนเตียงรีบดึงมือผมทันที “นอนกับผมเถอะ”

            จากนั้น ผมก็หงายหลังร่วงลงไปบนตักเขา ตัวเขาอุ่นดีจริงๆ ด้วย สุภาพงษ์โอบแขนกอดผมเอาไว้

            “อุ่นขึ้นไหมครับ?”

            “อืม...”

            “พี่นิต...” เขาเรียกชื่อผม เว้นจังหวะไปหน่อยหนึ่ง “คืนนี้ให้ผมนอนกอดพี่แบบนี้เถอะ”

            “...................”

            “................................”

            ผมเงยหน้าขึ้นมองสุภาพงษ์ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขามองลงมาพอดี ตาของเราสองคนเลยประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ผมจะเผลอตัว ยอมให้เขาจูบอีกครั้ง

            ไหนเขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรไงล่ะ?!

            สุภาพงษ์เคล้าริมฝีปากผมเบาๆ อยู่พักหนึ่ง จึงถอนออก ก่อนจะกระซิบข้างหู “นอนกันเถอะครับ”

            ผมเกิดนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ เลยยื่นมือไปแตะตรงใต้สายรัดเสื้อคลุมเขาเบาๆ ได้ยินเสียงผู้ชายรูปหล่อร้อง “อ๊ะ” แล้วรีบฉวยมือผมไว้ทันที

            “พี่นิต!!”

            “โจมีอารมณ์อีกแล้วนี่” ผมพูด แล้วตีหน้าบึ้งนิดๆ ใส่เขา สุภาพงษ์ทำหน้าปั้นยาก “ผม....”

            “ไหนโจบอกจะไม่ทำอะไรพี่ไง”

            หน้าเขายุ่งกว่าเดิม “ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ แต่ผมห้ามไม่ให้มันแข็งไม่ได้หรอก”

            “แล้วโจจะทำไง?”

            “เดี๋ยวผมเอาผ้าห่มขวางไว้”

            ผมเกือบหลุดขำออกมา เลยยกมือลูบหน้าเขาเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างเอ็นดู “เอาออกก็ได้ เดี๋ยวพี่ช่วย”

            “?!”

            “ตอนกลางวันโจยังไม่ได้เอาออกเลยไม่ใช่เหรอ?”

            หน้าของสุภาพงษ์แดงจัดกว่าเดิม “พี่นิตจะให้ผมทำเหรอ?”

            “................” ผมหันหน้าไปทางอื่น “กลางวันพี่ก็ผิดอยู่ส่วนหนึ่งเหมือนกัน”

            ท่าทางหมือนสุภาพงษ์จะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว เขาก้มลง กัดหูผมเบาๆ หายใจแรงจนผมสะดุ้ง “พี่นิต”

            ผมจับแขนเขาไว้ รีบพูดก่อนที่จะพูดไม่ออก “แต่โจห้ามใส่เข้ามานะ พี่ยังไม่พร้อม”

            ได้ยินเสียงเขางึมงำอยู่ด้านหลัง ก่อนจะดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง แล้วกดผมลงบนเตียง

            หัวใจผมเต้นแรงเป็นรัวกลอง ตอนที่เขาดึงเสื้อคลุมอาบน้ำของผมออก ไฟหัวนอนยังเปิดอยู่ เขาเห็นผมทุกสัดส่วนแน่ๆ เขาจะชอบมั้ย จะรังเกียจร่างกายผมมั้ย มันไม่หนุ่มไม่แน่น ไม่ตึงเหมือนตอนสมัยอายุน้อยแล้ว

            ผมอดใจไม่ไหว ต้องเหลือบตามองหน้าเขาให้รู้แน่ แล้วก็ต้องใจเต้นกว่าเดิม เมื่อเห็นดวงตาดำสนิทของเขากำลังจ้องมองร่างกายผมอย่างตั้งใจ ก่อนจะลูบมือไปตามส่วนต่างๆ ด้วยอาการแสดงความต้องการอย่างเห็นได้ชัด มือเขาร้อนผ่าวเหมือนเหล็กอังไฟ พลอยทำให้ตัวผมร้อนวูบวาบไปด้วย

            สุภาพงษ์ลูบมือพลางซุกหน้าลงบนซอกคอผม เม้มจูบจนผมขนลุก เสียงลมหายใจรุนแรงของเขาพลอยทำให้ผมหายใจปั่นป่วนไปด้วย ทุกส่วนของร่างกายที่ถูกเขาสัมผัสร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมตะกายกอดเขาบนเตียงแคบๆ เราจูบกันอีกครั้ง ลึกซึ้ง รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ผมแทบจะหายใจไม่ทัน

            หลังจากเคล้าลิ้นกันจนพอใจแล้ว สุภาพงษ์ก็เลื่อนหน้าลงต่ำ จูบเม้มไปตามซอกคอ เนินอก ใช้ลิ้นวนเวียนอยู่บนยอดอกผมเป็นนานสองนาน ทำเอาผมซ่านไปทั้งตัว

            จากนั้นเขาก็เลื่อนศีรษะลงต่ำไปเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่าริมฝีปากเขาแตะกับส่วนนั้นของผม

            “โจ! อย่า! สกปรกนะ!” ผมสะดุ้งเฮือก ตอนที่ส่วนนั้นของผมผลุบเข้าไปในปากเขา ดะ.. เดี๋ยว! แบบนี้มัน....

            “อ๊า!” ผมร้องเสียงน่าเกลียดมาก เพราะเขาเคล้าลิ้นแถมดูดตรงนั้นผมแบบไม่เกรงใจ จนผมเสียวไปถึงสันหลัง บ้าจริง แบบนี้ดีกว่าผมใช้มือทำเองเป็นสิบๆ เท่า แต่... อา... เดี๋ยวก่อน เร่งมากๆ ผมไม่อึดเหมือนสมัยก่อนแล้วนะ มันจะ...

            ผมผงกศีรษะ ตั้งใจจะผลักเขาออก แต่ความซ่านเสียวที่กำลังดำเนินอยู่ ทำให้ผมหมดเรี่ยวหมดแรง พอผงกศีรษะขึ้นมาแล้ว ก็ได้แค่ใช้มือจับศีรษะเขาไว้ ก่อนจะกระแทกตัวลงอีกครั้ง สันหลังผมสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่าสิ่งที่เก็บอยู่ข้างในพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

            “อื้อ!!” ผมพยายามยกมือปิดปาก แต่ก็ส่งเสียงออกมาอยู่ดี สมองผมเบาหวิว ร่างกายท่อนล่างกระตุกกึกๆ รู้สึกเลยว่ามันไม่ได้พุ่งไปเลอะเทอะตรงไหน เพราะมันยังอยู่ในปากของสุภาพงษ์อยู่เลย

            ผมนอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ขณะที่สุภาพงษ์ยังวนเวียนอยู่ตรงหว่างขา เขาเลียตรงนั้นผมซ้ำอีกครั้งสองครั้ง จนผมสะดุ้งหลังกระแทกเบาะ จากนั้นก็เลียสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ปากผม เราเคล้าจูบกันอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงรสชาติเฝื่อนๆ ของตัวเอง จากนั้น เขาก็จับตัวผมแล้วพลิกลงกับเตียง

            “!!!!!!!!!!!!!” ผมขนสันหลังลุกเกรียว ตอนที่เขายกสะโพกผมสูงขึ้น แล้วป้วนเปี้ยนมือไปรอบๆ

            “โจ... ห้ามใส่นะ” ผมพยายามบอกเขาเสียงพร่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุภาพงษ์จะได้ยินรึเปล่า เขาลูบมือไปตามสะโพกของผม อ้าปากกัดจนผมเจ็บนิดๆ แล้วใช้มือขยี้เบาๆ จากนั้นเขาก็จับขาผมให้ชิดกัน แล้วขยับตัว สอดตรงนั้นเข้ามาในระหว่างขาของผม

            ทั้งร้อนทั้งแข็งจนผมสะดุ้งอีกรอบ

            สุภาพงษ์ขยับตัวมากอดเอวผมไว้จากด้านหลัง ส่วนนั้นของเขาสอดเข้ามาแนบกับส่วนของผมที่ยังแข็งตัวอยู่พอดี ได้ยินเสียงเขาหายใจหอบอยู่หลังหูนี่เอง จากนั้นเขาก็เริ่มขยับ โดยใช้มือข้างหนึ่ง กุมทั้งของเขาและผมเอาไว้

            “อ๊ะ!” แรงกระแทกด้านหลังทำเอาผมตาพร่า เขาไม่ได้สอดเข้ามาในตัวผมก็จริง แต่ลักษณะการขยับเอวคงใกล้เคียงสถานการณ์จริงเข้าไปทุกที ผมสะท้านสันหลังวาบครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกตื่นเต้นไปกับจังหวะการขยับตัว สัมผัสจากกล้ามเนื้อแน่นๆ ที่แนบตัวผมอยู่

            หัวใจผมเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมา.... ทั้งๆ ที่นี่เป็นแค่การเสียดสีภายนอกเท่านั้นเอง

            ผมกำผ้าปูที่นอนด้วยความตื่นเต้น ส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคออย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ สัมผัสของเขาเร้าอารมณ์จนสติผมเตลิด รับรู้แต่รสชาติความสุขตรงหว่างขาที่เขาปรนเปรอเข้ามา

            !!!

            ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เหลือส่วนสะโพกที่ยังยกสูงอยู่ เพราะสุภาพงษ์จับเอาไว้ ของเหลวขุ่นข้นในตัวผมหยดลงบนเตียง พร้อมกับของสุภาพงษ์ ซึ่งข้นและเยิ้มกว่าอย่างเห็นได้ชัด... นี่เขาเสร็จพร้อมผมหรือ?

            เราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนเตียงแคบ สุภาพงษ์ช้อนตัวผมให้พลิกกลับมานอนหงายอีกครั้ง แล้วก้มลงจูบผม ซุกตัวลงข้างๆ โอบแขนกอดผมไว้หลวมๆ

            ผมเอนศีรษะพิงอกเขาอย่างประคองสติไม่ค่อยอยู่ ความสุขสมจากจากสัมผัสภายนอกทำหัวผมเบาหวิว รู้สึกถึงแต่กลิ่นอายบางๆ จากร่างกำยำที่นอนแนบอยุ่ข้างๆ ลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสอ่อนโยนจากวงแขนที่โอบตัวผมไว้

            บ้าจริงเชียว ที่จริงแล้วผมตั้งใจจะมาให้เขากอดแก้หนาวแท้ๆ แต่ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ก็ไม่รู้.......

            แบบนี้รึเปล่านะ ที่เขาเรียก หนาวเนื้อห่มเนื้อ จึงหายหนาว

------------------------------------------------

**  อ๊ากก อยากบอกว่า รู้สึกเหมือนตอนนี้พี่นิตหลุดๆ แล้วน้องโจก็... ว่าง่ายจริงๆ ฮ่าๆ ไอ้ฉากหวิวๆ ตอนท้ายๆ ที่จริงไม่ได้อยู่ในแพลนที่คิดจะเขียนตอนแรก แต่... ไม่รู้ทำไม มีจนได้ เพราะอารมณ์พี่นิตกับโจพาไปแน่ๆ เลย!!!! ลองอ่านซ้ำอยู่สองรอบ คิดว่าพอกล้อมแกล้ม ไม่น่าหลุดมาก (ไม่งั้นก็หมายถึงสติเราหลุดแทน..)

โอย งานท่วมหัว จะพาตัวไม่รอด ฮ่าๆ ที่จริงเราไม่ได้เขียนนิยายอย่างเดียวนะคะ ยังรับจ๊อบอื่นๆ อีกสองสามจ๊อบ พอดีจ๊อบที่ว่า มันใกล้ถึงกำหนดเข้ามาแล้ว กร๊าสสส (อยากจะขอให้มีสัปดาห์ละสิบวัน จะได้มีเวลาพักบ้างไรบ้าง<<จะได้พักจริงเดะ?!)

โอ๊ย พี่นิต พี่นิต ฮ่าๆๆๆ เมื่อไหร่พี่นิตจะยอม ก๊ากกกกก :laugh:

ปล. คุณภูมิกับตากั้ง แอบโผล่มาแย่งซีนนิดๆ แต่สงสัยโดนฉากสุดท้ายของตอนกลบหมดแน่ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ

พี่นิต!!! ไม่ไหวนะ จะให้โจไปแข่งอดทนกับโทชิเอะหรือไงคะ?!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2012 16:45:06 โดย juon »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
 :m25:

เกิดเป็นโจก็ทรมานเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ jaja-jj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-3
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด

น่ารักไปไหนเีนี่ยๆๆๆๆ ตอบฉากหวิวตอนจบอะ นึกว่าจะไม่รอดแล้วซะอีก

โจ น่ารักจริงๆเลยอะ นึกว่าสติจะหลุดแล้วนะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pure_ka

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
พี่นิตมาไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ ขนลุก ขนพองไปหมด อร๊าย...ย
ไ่ม่เสียหลายที่ลงทุนไปทวงเรื่องนี้ ที่ทู้กระบอกปืน แบบหวั่นๆว่าจะโดนปืนยิงแสกหน้า555

เมื่อไหร่จะ....คิดแล้วก็ปลง ได้แค่นี้พี่นิตไม่เป็นลมเป็นแล้ง ก็นับว่าเก่งแล้ว

ว่าแต่ีัมันจะจบได้ใน 1-2 ตอนเหรอ ยังไม่เห็นเค้าลางเลยว่าจะ happy ending ได้ไง
ก็ยังมึน+อึนกันอยู่เลย ต่อไปอีกนิดก็ได้นะค่ะ .....แฟนคลับไม่รีบให้จบ ^^
 :o8:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
คุณพนิตยอมโจเหอะ
เราสงสารโจนะ

อดทนมาได้ขนาดนี้ก็เหนือมนุษย์แล้ว

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ต้องขอบคุณอารมณ์คุณพนิตกับน้องโจจริงๆ ที่ทำให้เราได้พบกับฉากแบบนี้
โดยคุณพนิตกับโจเป็นผู้แสดงนำ อิ อิ  อิ เป็นไงคะคุณพนิต.....
เห็นไหมว่าถ้าเราไม่คิดกลัวคิดกังวล แล้วไม่ต่อต้านกับอารมณ์ต้องการของตัวเอง
คุณพนิตก็ไปได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่หน้ามืดเป็นลมแหละ
แล้วคุณพนิตกกล้าปฏิเสธไหมว่า คราวนี้คุณพนิตไม่มีความสุขน่ะ
ดังนั้นคุณควรปล่อยอารมณ์ไปตามความพอใจและความต้องการเหอะ หุ หุ หุ
(ของแบบนี้ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ อยากลองอยากลิ้มอีกหนาคุณพนิต อิ อิ อิ)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เมื่อไหร่จะยอมโจซักที  สงสารโจแล้วน๊าาาาา

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ถือเป็นรางวัลเล็กๆ ค่าขับรถ ใช่มั้ย?  o4

little_nok

  • บุคคลทั่วไป
โอ้โหย สำนวนภาษากินขาดจริงๆ ค่ะ
อ่านแล้วเห็นภาพ เข้าใจบุคคลิกนิสัยตัวละคร
อยากเขียนให้ได้แบบนี้บ้าง ต้องอ่านเยอะๆ ใช่ไหมค่ะ
คนเขียนงานเยอะ เข้าใจจริงๆ ค่ะ
แต่ยังมาต่อนิยายให้เราได้อ่านกัน ขอบคุณมากเลย

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
พี่พนิตไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ยอมโจไปเถอะ

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18

ระริน

  • บุคคลทั่วไป
โอย  เราเป็นคนอ่าน ยังอ่านไป เขิลไปเลย

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
ตายละคุณพนิตนี่ไปเชิญชวนเขาเองนะ
โอยยย เขินนนนนน
โจจ๋า คนอ่านคนนี้ขอยาดมที่เตรียมไว้ด่วน
จะเป็นลมเพราะคุณพนิตคนเดียวเลย
การกระทำของโจและคุณพนิตตอนท้ายทำเอาเราอึ้งปนเขินไปเลย

กั้งจอมตื๊อน่ารักดี แบบนี้่ทางคุณภูมิคงจะไม่เหงาหรอกเนอะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด