ขณะที่เพื่อนผมพยายามจะคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยกับคนที่มาด้วยกัน สุภาพงษ์ที่อยู่ใกล้ผมก็เอาแต่เงียบเหมือนเดิม พยักหน้าบ้าง ยิ้มแบบสังเกตยากบ้างตามประสา ถึงอย่างนั้น เขาก็อุตส่าห์เดินโอบตัวผมแบบเนียนๆ นี่กลัวว่าผมจะถูกใครชนล้มคว่ำหรือไงนะ ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้นหรอก แต่... ก็ขอรับความหวังดีไว้แล้วกัน
“โจ... ห่อหมกเจ้านั้นอร่อยนะ” เพราะมัวแต่ป้อนข้าวสุภาพงษ์ในรถ ผมเลยไม่ค่อยได้ทานเองเท่าไหร่ พอเดินดูของไปสักพัก ชักจะหิว เลยพยายามหาบทพูดเหมาะๆ เพื่อจะหาอะไรทาน สุภาพงษ์มองผม แล้วพยักหน้า “พี่นิตจะทานหรือครับ?”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ภูมิวัฒน์ก็ชิงพูดขึ้นมาเหมือนกำลังหันเรด้าจับสัญญาณได้ก็ไม่ปาน “เออ พนิตหิวแล้วสินะ งั้นไปซื้ออะไรมานั่งทานกันเถอะ เราก็หิวแล้วเหมือนกัน”
ผมเห็นคุณากรหรี่ตามองเขา จากนั้นก็ยิ้มนิดๆ “พี่ภูมิจะทานอะไรล่ะครับ ไปซื้อด้วยกันมั้ย? ผมอยากทานไข่ทรงเครื่องเจ้าโน้น ไปกันเถอะครับ”
จากนั้นเขาก็ดึงมือเพื่อนผมไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมหันไปมองหน้าสุภาพงษ์ เห็นเขาทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “กั้งก็แบบนี้แหละครับ ลองอยากจะรู้อะไรจากใคร เขาไม่ปล่อยง่ายๆ หรอก”
ผมพยักหน้า แล้วนึกขำ ว่าภูมิวัฒน์คงได้เจอดีก็คราวนี้แหละ
“โจ... พี่อยากทานผัดไทยด้วย ไปดูทางโน้นกันนะ” ไหนๆ เขาก็อยู่ใกล้ตัวผมแค่นี้ ผมชวนเขาไปดีกว่า ไม่น่าเกลียด แถมได้คนช่วยยกข้าวด้วย สุภาพงษ์พยักหน้าอย่างว่าง่ายตามเคย แหม... หล่อจนน่าเลี้ยงข้าวจริงๆ นะเนี่ย
แน่นอนว่าผมเป็นขาชิม มาคราวที่แล้วผมชิมไปหลายอย่าง ร้านไหนที่ไม่อร่อย ผมรีบจำเอาไว้แล้วเดินเลี่ยงทันที เพราะอย่างนั้น อาหารที่ผมสั่งมา จึงเรียกได้ว่าผ่านการคัดกรองแล้ว เลยเป็นอานิสงส์ให้ภูมิวัฒน์ ซึ่งเหมือนจะซื้อตะพึดเพราะอยากเปลี่ยนเรื่อง มีทางเลือกมากขึ้น จากอาหารสุ่มซื้อของตัวเอง
เราทานไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ใจหนึ่งผมอยากช่วยเพื่อน เลยชวนคุยเรื่องเก่าๆ แต่คุณากรก็พูดเก่งจริงๆ ยังวกกลับมาเรื่องที่เป็นประเด็นได้แบบไม่น่าเกลียด ผมล่ะนับถือความสามารถด้านการพูดของเขาจริงๆ
“พี่ถามหน่อยนะ ตอนกั้งกับโจเป็นแฟนกัน กั้งจีบโจก่อนใช่มั้ย?”
“โหย... คุณพนิตครับ อย่างไอ้โจน่ะเหรอครับ จะมีปัญญาจีบใคร” คุณากรพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทำหน้านึกขึ้นได้ “เออ จริง มีปัญญาจีบอยู่คนหนึ่ง” เขาพูด แล้วหรี่ตามองมาทางผม ผมรีบตีหน้าขรึม รีบวกเข้าเรื่องเดิมก่อนจะโดนคุณากรพูดจี้ใจดำ “แล้วจีบยากมั้ย เขาไม่ค่อยพูดนี่”
คุณากรยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์แสนกลจริงๆ “ไม่ยากครับ... เผอิญผมกับมันชอบนิยายของคุณพนิตเหมือนกัน เลยคุยกันถูกคออยู่.... ที่จริงผมพึ่งบารมีคุณพนิตจีบไอ้โจนะเนี่ย”
“กั้ง!” สุภาพงษ์เอ็ดเพื่อน “เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ”
“อะไรกันเล่า” คุณากรทำหน้าเคืองๆ “คุณพนิตถามเองนะ สงสัยอยากจะเรียนรู้วิธีจีบคนพูดน้อยอย่างนายล่ะมั้ง”
“บ้าเรอะ” ผมเอ็ดบ้าง ใครอยากจะไปจีบสุภาพงษ์กัน มีแต่เขานั่นแหละจีบผม สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ จากนั้นก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก นี่เขาคิดอะไรในหัวแล้วไม่ยอมพูดออกมาอีกล่ะเนี่ย
“ฮ่าๆ น้องโจนี่ตลกดีนะ” ภูมิวัฒน์พูดขึ้นบ้าง “แต่พี่ก็เข้าใจนะ กั้งพูดมากเป็นต่อยหอยอย่างกับนักต้มตุ๋นแบบนี้ เป็นใครก็ต้องหลงกลเท่านั้นแหละ”
คุณากรยิ้มกว้าง แต่ตาไม่ยักจะยิ้มด้วย พลางหันไปมองภูมิวัฒน์ “พี่ภูมิไม่คิดจะหลงกลบ้างหรือไงครับ?”
ภูมิวัฒน์ทำหน้าซื่อ “ไม่ล่ะ พี่ไม่อยากเสียคนตอนแก่”
ผมกับสุภาพงษ์มองหน้ากันอีก ก่อนที่สุภาพงษ์จะพูดขึ้นในที่สุด “กั้ง ฉันเข้าใจว่านายอยากได้ข่าว แต่เพลาๆ ลงหน่อยก็ได้ ชวนมาเที่ยวนะ”
“เอาน่า... นี่ก็เที่ยวเหมือนกัน” คุณากรพูดอย่างอารมณ์ดี “พี่ภูมิครับ ไปนั่งช้างกันไหม ผมออกค่านั่งให้”
ภูมิวัฒน์สั่นศีรษะ “ไม่เอา พี่ไม่ชอบช้าง”
“งั้นนั่งเรือ”
“พี่ไม่ชอบน้ำ”
ผมขำพรวดออกมา “คุณกั้ง อย่าไปตื้อภูมิมากๆ นะ เดี๋ยวมันจะตวาดเอา ถ้าอยากนั่งช้างล่ะก็ พี่นั่งเป็นเพื่อนมั้ยล่ะ?!”
คุณากรหันมาตอบผมด้วยสีหน้าเกรงใจเป็นที่สุด “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากโดนโจกระทืบ”
“.......”
“แต่เราอยากนั่ง พนิตนั่งกับเรานะ” คนไม่กลัวตายที่เหมือนลืมไปแล้วว่าตะกี้พูดอะไรพูดแทรกขึ้นทันที ผมหรี่ตามองเขา ขณะที่คุณากรพูดต่ออย่างที่คิดเอาไว้ “ไหนพี่ภูมิบอกว่าไม่ชอบช้าง”
“ก็ไม่ชอบ”
“แล้วไหงบอกอยากนั่งล่ะครับ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากนั่งนี่...”
เอาล่ะ ผมว่าถ้าปล่อยไป ผมคงถูกลากเข้าสงครามน้ำลายแน่ๆ เลยรีบตัดบท “ไปดูการแสดงฝั่งโน้นดีกว่า”
---------------------------------------
พวกเราสี่คนออกจากตลาดน้ำตอนสักสี่โมงกว่าเห็นจะได้ ที่จริงผมเร่งให้ออกมาตั้งแต่บ่ายสามแล้วล่ะ เพราะกลัวจะถึงบ้านดึก แต่ภูมิวัฒน์กับคุณากรดันอ้อยอิ่งเดินดูนั่นดูนี่ไม่ยอมกลับเสียที ไหนตอนบ่ายเห็นกลัวคุณากรถามเหมือนอะไร พอตกเย็นก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอีกแล้ว ผมล่ะไม่เข้าใจเพื่อนผมจริงๆ
ออกมาจากตลาดน้ำ แทนที่จะรีบกลับ ภูมิวัฒน์ดันชวนเที่ยวต่ออีก โดยให้เหตุผลว่า
“ทำงานเจ็ดวัน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยว ได้ออกมาทั้งที ก็ต้องเที่ยวให้คุ้มสิ”
ผมดูจากสภาพแล้ว ไม่เห็นว่าเขาจะทำงานเจ็ดวันตรงไหน จะทำเต็มห้าวันตามเวลาราชการรึเปล่ายังไม่แน่ใจเลย แต่เพราะสุภาพงษ์กับคุณากรเห็นด้วย ผมเลยไม่อยากจะพูดอะไรมาก ขอแค่อย่าให้ดึกเกินไปก็พอ
สุภาพงษ์ก็ใจดี เห็นว่าเวลาเหลือไม่มาก เลยอาสาว่าจะขับรถตระเวนให้ภูมิวัฒน์ได้ชมตัวเมืองอยุธยาสักรอบ แล้วค่อยกลับ ปรากฏว่าจู่ๆ คุณากรก็บอกว่าอยากจะถ่ายรูปตะวันตกดินที่วัดพระศรีสรรเพชญ์อีก ทำไปทำมา... ตอนขึ้นรถอีกที ฟ้าก็มืดแล้ว
“อืม.... ได้ยินว่าที่นี่มีตลาดกลางคืน ใหญ่ด้วย ไปทานมื้อค่ำกันเถอะ” ภูมิวัฒน์พูดขึ้นตอนอยู่ในรถ ผมเหลือบมองนาฬิกา แล้วพูดตอบไป “แต่มันค่ำแล้วนะภูมิ ขากลับมันจะดึกเอานะ”
“กลับไม่ทันก็ค้างสิครับ โรงแรมในอยุธยามีตั้งเยอะตั้งแยะ” คุณากรพูด ผมกะพริบตาปริบๆ
“นั่นสิ ไม่ทันก็ค้าง ไม่เห็นจะต้องซีเรียสเลย ปกติพนิตก็ชอบนอนค้างที่อื่นบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ?” เพื่อนผมพูดแบบรู้ทันอีกแล้ว ถูกหรอก ผมน่ะติดนิสัย ค่ำไหนนอนนั่นมาแต่สมัยไหนแล้ว แต่ทว่า... ผมจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ได้มากับสุภาพงษ์
ผมกลัวต้องค้างห้องเดียวกับเขาน่ะ แต่... เอา ผมเหน็บภูมิวัฒน์มาด้วยนี่นา ไอ้เพื่อนผมจะมีประโยชน์ก็ตอนนี้แหละ
“งั้น โจติดธุระรึเปล่า?” ผมหันไปถามคนขับรถ สุภาพงษ์สั่นศีรษะ “เปล่าครับ ถ้าจะค้างก็ค้างเถอะครับ”
“อืม..” ผมส่งเสียงในคอ ก่อนจะพยักหน้า “ค้างก็ค้างแล้วกัน ไหนๆ ก็มาถึงตอนนี้แล้ว”
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลข้างต้น พอทานข้าวกันเสร็จ แล้วเดินทัวร์ตลาดกันสักครึ่งชั่วโมง คณะสี่คนของเราก็ขับรถตระเวนหาโรงแรมเพื่อจะค้างคืน ในที่สุดก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าโรงแรมระดับสี่ดาว ที่ภูมิวัฒน์อ้างว่าเคยมาประชุม และพนักงานบริการดี
ไหนเขาว่าไม่เคยมาอยุธยาไง... โกหกอีกแล้วสิเนี่ย
“เรามาประชุมต่างหาก ไม่ได้มาเที่ยวสักหน่อย” เพื่อนผมแก้ตัวอย่างรู้ทันหลังจากเปิดห้องแล้ว
โชคดีจริงๆ ห้องมีทั้งเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ผมเลยเลือกห้องเตียงเดี่ยว ซึ่งสุภาพงษ์ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ภูมิวัฒน์นี่สิ จองห้องเตียงคู่เลย แล้วหันมาหาผม “คืนนี้พนิตนอนกับเรานะ”
“...............” ผมมองเพื่อน “ไม่เอา เราไม่นอนเตียงเดียวกับภูมิหรอก”
“สมัยก่อนยังนอนด้วยกันเลย”
“นั่นมันเตียงสองชั้น”
“ไม่เอาน่า หรือพนิตจะนอนกับน้องโจ”
“..............................”
พอเห็นภูมิวัฒน์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ผมเลยนึกหมั่นไส้ขึ้นมา เอาเถอะ แม้สมัยเรียน ผมจะเคยมุดไปนอนเตียงล่างกับเขา แต่เวลามันผ่านมานานมากแล้ว อีกอย่าง เขาดันทำท่าเหมือนมีจุดประสงค์ไม่ดีกับผม แทนสุภาพงษ์ไปเสียได้ รู้งี้ไม่ชวนมาก็ดีหรอก จริงๆ เลยนะ ไอ้เพื่อนคนนี้นี่
“โจ... ไปห้องกันเถอะ” ผมตัดบท ภูมิวัฒน์อยากเลือกเตียงคู่ ก็ให้คุณากรจัดการไปแล้วกัน ก็ใครใช้ให้เขาทำตัวกวนประสาทผมกันล่ะ
เตียงในห้องเป็นเตียงแยก ผมสบายใจเป็นที่สุด และถึงไม่ได้เตรียมชุดเปลี่ยนมา แต่โรงแรมมีเสื้อคลุมให้ ผมใส่เสื้อคลุมนอนน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ดีกว่าใส่เสื้อเลอะเหงื่อตัวเดิมนอนเป็นไหนๆ
ดังนั้น ผมจึงอาบน้ำอุ่นจนพอใจ แล้วห่อเสื้อคลุมเดินออกมา ถึงอย่างนั้นพอเจออากาศที่ปรับแล้วด้านนอก ฟันของผมก็สั่นจนกระทบกันทันที
“โจ เพิ่มแอร์หน่อยสิ พี่หนาว”
สุภาพงษ์มองหน้าผม แล้วพยักหน้า ก่อนจะเดินไปปิดตัวปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นอีก
“ผมอาบน้ำก่อนนะครับ ถ้าพี่นิตง่วง ปิดไฟนอนได้เลยนะ”
ผมพยักหน้า แล้วมุดเข้าผ้าห่มทันที โอย... ผมไม่ถูกกับเครื่องปรับอากาศเลย ให้ตายสิ หนาวก็หนาว แสบจมูกก็แสบ ผมจะนอนหลับรึเปล่านะเนี่ย...
จนสุภาพงษ์ออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมยังข่มตาหลับไม่ได้เสียที ได้แต่นอนยุกๆ ยิกๆ อยู่ใต้ผ้าห่ม จนได้ยินเสียงเขาถามขึ้น “พี่นิตนอนไม่สบายเหรอครับ?”
“อืม.. พี่หนาว ปิดแอร์ได้มั้ย?”
“ปิดก็ร้อนสิครับ”
เออ จริง จะเปิดกระจกอย่างเดียวก็ไม่มีพัดลมอีก ผมอาจจะทนได้ แต่สุภาพงษ์นี่สิ ถ้าเขาต้องมาทนร้อนเพราะความเอาแต่ใจของผมคงไม่ดีแน่....
“พี่นิตหนาวมากรึเปล่าครับ ขอผ้าห่มเพิ่มมั้ย?”
“ก็ได้” ผมว่า สุภาพงษ์เลยโทรศัพท์ไปขอผ้าห่มเพิ่มอีกผืน แหม.. นึกไปก็ทุเรศตัวเองจริงๆ ทำเหมือนมาอยู่ที่ไซบีเรียไปได้ แต่ผมแพ้แอร์จริงๆ นะ สู้ไม่ไหวหรอก
ผมหันไปมองสุภาพงษ์ เห็นเขาสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเหมือนกัน โอย... เห็นแผงอกกำยำของเขาแพลมออกมานิดๆ ด้วย ทั้งหล่อทั้งหุ่นดีจริงๆ นะเนี่ย ผมอดไม่ได้ต้องถามเขาไป “โจไม่หนาวหรือไง?”
“เปล่านี่ครับ” เขาหันมาตอบผม “พี่นิตผอมเกินไป เลยหนาวง่ายมั้ง”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเราก็เงียบกันไปพักใหญ่ จนพนักงานโรงแรมเอาผ้าห่มอีกฝืนมาส่งให้
เอาล่ะ... ได้ผ้าห่มอีกผืน น่าจะดีขึ้น.... ดีขึ้นจริงๆ นะ!
ผมคิดว่าอีกสักพักคงหลับ เลยบอกให้สุภาพงษ์ปิดไฟหัวเตียงเลย แต่เขาบอกว่าอยากจะเขียนอะไรบางอย่างก่อนนอน ผมเลยปิดไฟหัวเตียงเฉพาะเตียงของตัวเองแทน..
ผ้าห่มสองผืน อุ่นใช้ได้... แต่... ชักจะอุ่นจนร้อนไปล่ะมั้งเนี่ย...
สุดท้ายผมก็ยังนอนไม่หลับ เอาผ้าห่มออกชั้นหนึ่ง ก็หนาว พอห่มสองชั้นก็ร้อน จะเอาไงกันนะ ร่างกายผม สงสัยสุภาพงษ์ที่เขียนอะไรอยู่ คงรำคาญเสียงขยับตัวยุกยิกของผมเต็มที เลยถามอีก “นอนไม่ได้เหรอครับ?”
“อืม... ไม่พอดีเลยน่ะ” ผมตอบไปอย่างจนปัญญา “ห่มชั้นเดียวก็หนาว สองชั้นก็ร้อน”
“............................”
“..................................”
“พี่นิตมานอนกับผมมั้ย?”
“?”
“นอนด้วยกันเฉยๆ น่ะครับ อาจจะอุ่นพอดีก็ได้ ผมไม่ทำอะไรพี่นิตหรอก”
“..................” จู่ๆ ผมก็ร้อนวาบขึ้นมาตามหน้า เออ.. ผมกลัวเขาทำอะไรนี่แหละ ถึงได้ไม่อยากจะค้าง ไม่อยากจะร่วมเตียงด้วย แต่เขากลับมาเสนอผมแบบนี้... ผม.....
“ไม่ดีกว่า... พี่เกรงใจ”
“แต่พี่นิตนอนไม่สบายนี่ครับ ลองดูก่อนก็ได้”
“โจไม่ทำอะไรพี่แน่นะ?”
สุภาพงษ์หันมองผม แล้วยิ้มหน่อยๆ “ถ้าผมตั้งใจจะทำอะไรพี่นิตจริงๆ ผมทำไปตั้งนานแล้วครับ ในเมื่อพี่นิตไม่พร้อม ผมก็ไม่อยากฝืนใจพี่นิตหรอก”
“.....................” ผมมองหน้าเขาอยู่พัก จากนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง
“พี่นอนใกล้ๆ โจไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“หืม?”
ผมหน้าร้อนนิดๆ “คือ... โจจะไม่ของขึ้นกลางทางแบบคืนวันนั้นนะ”
สุภาพงษ์หน้าแดงขึ้นมา “พี่นิตอย่าพูดถึงเลยครับ ผมอุตส่าห์ไม่นึกแล้ว”
ผมมองหน้าเขา แล้วให้เขินหนักกว่าเดิม “พี่กลับไปนอนที่เตียงดีกว่า”
ผู้ชายรูปหล่อที่นั่งอยู่บนเตียงรีบดึงมือผมทันที “นอนกับผมเถอะ”
จากนั้น ผมก็หงายหลังร่วงลงไปบนตักเขา ตัวเขาอุ่นดีจริงๆ ด้วย สุภาพงษ์โอบแขนกอดผมเอาไว้
“อุ่นขึ้นไหมครับ?”
“อืม...”
“พี่นิต...” เขาเรียกชื่อผม เว้นจังหวะไปหน่อยหนึ่ง “คืนนี้ให้ผมนอนกอดพี่แบบนี้เถอะ”
“...................”
“................................”
ผมเงยหน้าขึ้นมองสุภาพงษ์ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขามองลงมาพอดี ตาของเราสองคนเลยประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ผมจะเผลอตัว ยอมให้เขาจูบอีกครั้ง
ไหนเขาบอกว่าจะไม่ทำอะไรไงล่ะ?!
สุภาพงษ์เคล้าริมฝีปากผมเบาๆ อยู่พักหนึ่ง จึงถอนออก ก่อนจะกระซิบข้างหู “นอนกันเถอะครับ”
ผมเกิดนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ เลยยื่นมือไปแตะตรงใต้สายรัดเสื้อคลุมเขาเบาๆ ได้ยินเสียงผู้ชายรูปหล่อร้อง “อ๊ะ” แล้วรีบฉวยมือผมไว้ทันที
“พี่นิต!!”
“โจมีอารมณ์อีกแล้วนี่” ผมพูด แล้วตีหน้าบึ้งนิดๆ ใส่เขา สุภาพงษ์ทำหน้าปั้นยาก “ผม....”
“ไหนโจบอกจะไม่ทำอะไรพี่ไง”
หน้าเขายุ่งกว่าเดิม “ผมไม่ทำอะไรพี่หรอกครับ แต่ผมห้ามไม่ให้มันแข็งไม่ได้หรอก”
“แล้วโจจะทำไง?”
“เดี๋ยวผมเอาผ้าห่มขวางไว้”
ผมเกือบหลุดขำออกมา เลยยกมือลูบหน้าเขาเบาๆ แล้วถอนหายใจอย่างเอ็นดู “เอาออกก็ได้ เดี๋ยวพี่ช่วย”
“?!”
“ตอนกลางวันโจยังไม่ได้เอาออกเลยไม่ใช่เหรอ?”
หน้าของสุภาพงษ์แดงจัดกว่าเดิม “พี่นิตจะให้ผมทำเหรอ?”
“................” ผมหันหน้าไปทางอื่น “กลางวันพี่ก็ผิดอยู่ส่วนหนึ่งเหมือนกัน”
ท่าทางหมือนสุภาพงษ์จะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว เขาก้มลง กัดหูผมเบาๆ หายใจแรงจนผมสะดุ้ง “พี่นิต”
ผมจับแขนเขาไว้ รีบพูดก่อนที่จะพูดไม่ออก “แต่โจห้ามใส่เข้ามานะ พี่ยังไม่พร้อม”
ได้ยินเสียงเขางึมงำอยู่ด้านหลัง ก่อนจะดึงผมเข้าไปจูบอีกครั้ง แล้วกดผมลงบนเตียง
หัวใจผมเต้นแรงเป็นรัวกลอง ตอนที่เขาดึงเสื้อคลุมอาบน้ำของผมออก ไฟหัวนอนยังเปิดอยู่ เขาเห็นผมทุกสัดส่วนแน่ๆ เขาจะชอบมั้ย จะรังเกียจร่างกายผมมั้ย มันไม่หนุ่มไม่แน่น ไม่ตึงเหมือนตอนสมัยอายุน้อยแล้ว
ผมอดใจไม่ไหว ต้องเหลือบตามองหน้าเขาให้รู้แน่ แล้วก็ต้องใจเต้นกว่าเดิม เมื่อเห็นดวงตาดำสนิทของเขากำลังจ้องมองร่างกายผมอย่างตั้งใจ ก่อนจะลูบมือไปตามส่วนต่างๆ ด้วยอาการแสดงความต้องการอย่างเห็นได้ชัด มือเขาร้อนผ่าวเหมือนเหล็กอังไฟ พลอยทำให้ตัวผมร้อนวูบวาบไปด้วย
สุภาพงษ์ลูบมือพลางซุกหน้าลงบนซอกคอผม เม้มจูบจนผมขนลุก เสียงลมหายใจรุนแรงของเขาพลอยทำให้ผมหายใจปั่นป่วนไปด้วย ทุกส่วนของร่างกายที่ถูกเขาสัมผัสร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมตะกายกอดเขาบนเตียงแคบๆ เราจูบกันอีกครั้ง ลึกซึ้ง รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า ผมแทบจะหายใจไม่ทัน
หลังจากเคล้าลิ้นกันจนพอใจแล้ว สุภาพงษ์ก็เลื่อนหน้าลงต่ำ จูบเม้มไปตามซอกคอ เนินอก ใช้ลิ้นวนเวียนอยู่บนยอดอกผมเป็นนานสองนาน ทำเอาผมซ่านไปทั้งตัว
จากนั้นเขาก็เลื่อนศีรษะลงต่ำไปเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่าริมฝีปากเขาแตะกับส่วนนั้นของผม
“โจ! อย่า! สกปรกนะ!” ผมสะดุ้งเฮือก ตอนที่ส่วนนั้นของผมผลุบเข้าไปในปากเขา ดะ.. เดี๋ยว! แบบนี้มัน....
“อ๊า!” ผมร้องเสียงน่าเกลียดมาก เพราะเขาเคล้าลิ้นแถมดูดตรงนั้นผมแบบไม่เกรงใจ จนผมเสียวไปถึงสันหลัง บ้าจริง แบบนี้ดีกว่าผมใช้มือทำเองเป็นสิบๆ เท่า แต่... อา... เดี๋ยวก่อน เร่งมากๆ ผมไม่อึดเหมือนสมัยก่อนแล้วนะ มันจะ...
ผมผงกศีรษะ ตั้งใจจะผลักเขาออก แต่ความซ่านเสียวที่กำลังดำเนินอยู่ ทำให้ผมหมดเรี่ยวหมดแรง พอผงกศีรษะขึ้นมาแล้ว ก็ได้แค่ใช้มือจับศีรษะเขาไว้ ก่อนจะกระแทกตัวลงอีกครั้ง สันหลังผมสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่าสิ่งที่เก็บอยู่ข้างในพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“อื้อ!!” ผมพยายามยกมือปิดปาก แต่ก็ส่งเสียงออกมาอยู่ดี สมองผมเบาหวิว ร่างกายท่อนล่างกระตุกกึกๆ รู้สึกเลยว่ามันไม่ได้พุ่งไปเลอะเทอะตรงไหน เพราะมันยังอยู่ในปากของสุภาพงษ์อยู่เลย
ผมนอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ขณะที่สุภาพงษ์ยังวนเวียนอยู่ตรงหว่างขา เขาเลียตรงนั้นผมซ้ำอีกครั้งสองครั้ง จนผมสะดุ้งหลังกระแทกเบาะ จากนั้นก็เลียสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ปากผม เราเคล้าจูบกันอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงรสชาติเฝื่อนๆ ของตัวเอง จากนั้น เขาก็จับตัวผมแล้วพลิกลงกับเตียง
“!!!!!!!!!!!!!” ผมขนสันหลังลุกเกรียว ตอนที่เขายกสะโพกผมสูงขึ้น แล้วป้วนเปี้ยนมือไปรอบๆ
“โจ... ห้ามใส่นะ” ผมพยายามบอกเขาเสียงพร่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสุภาพงษ์จะได้ยินรึเปล่า เขาลูบมือไปตามสะโพกของผม อ้าปากกัดจนผมเจ็บนิดๆ แล้วใช้มือขยี้เบาๆ จากนั้นเขาก็จับขาผมให้ชิดกัน แล้วขยับตัว สอดตรงนั้นเข้ามาในระหว่างขาของผม
ทั้งร้อนทั้งแข็งจนผมสะดุ้งอีกรอบ
สุภาพงษ์ขยับตัวมากอดเอวผมไว้จากด้านหลัง ส่วนนั้นของเขาสอดเข้ามาแนบกับส่วนของผมที่ยังแข็งตัวอยู่พอดี ได้ยินเสียงเขาหายใจหอบอยู่หลังหูนี่เอง จากนั้นเขาก็เริ่มขยับ โดยใช้มือข้างหนึ่ง กุมทั้งของเขาและผมเอาไว้
“อ๊ะ!” แรงกระแทกด้านหลังทำเอาผมตาพร่า เขาไม่ได้สอดเข้ามาในตัวผมก็จริง แต่ลักษณะการขยับเอวคงใกล้เคียงสถานการณ์จริงเข้าไปทุกที ผมสะท้านสันหลังวาบครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกตื่นเต้นไปกับจังหวะการขยับตัว สัมผัสจากกล้ามเนื้อแน่นๆ ที่แนบตัวผมอยู่
หัวใจผมเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมา.... ทั้งๆ ที่นี่เป็นแค่การเสียดสีภายนอกเท่านั้นเอง
ผมกำผ้าปูที่นอนด้วยความตื่นเต้น ส่งเสียงครางต่ำๆ ในลำคออย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ สัมผัสของเขาเร้าอารมณ์จนสติผมเตลิด รับรู้แต่รสชาติความสุขตรงหว่างขาที่เขาปรนเปรอเข้ามา
!!!
ผมทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เหลือส่วนสะโพกที่ยังยกสูงอยู่ เพราะสุภาพงษ์จับเอาไว้ ของเหลวขุ่นข้นในตัวผมหยดลงบนเตียง พร้อมกับของสุภาพงษ์ ซึ่งข้นและเยิ้มกว่าอย่างเห็นได้ชัด... นี่เขาเสร็จพร้อมผมหรือ?
เราหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่บนเตียงแคบ สุภาพงษ์ช้อนตัวผมให้พลิกกลับมานอนหงายอีกครั้ง แล้วก้มลงจูบผม ซุกตัวลงข้างๆ โอบแขนกอดผมไว้หลวมๆ
ผมเอนศีรษะพิงอกเขาอย่างประคองสติไม่ค่อยอยู่ ความสุขสมจากจากสัมผัสภายนอกทำหัวผมเบาหวิว รู้สึกถึงแต่กลิ่นอายบางๆ จากร่างกำยำที่นอนแนบอยุ่ข้างๆ ลมหายใจอุ่นๆ สัมผัสอ่อนโยนจากวงแขนที่โอบตัวผมไว้
บ้าจริงเชียว ที่จริงแล้วผมตั้งใจจะมาให้เขากอดแก้หนาวแท้ๆ แต่ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ก็ไม่รู้.......
แบบนี้รึเปล่านะ ที่เขาเรียก หนาวเนื้อห่มเนื้อ จึงหายหนาว
------------------------------------------------
** อ๊ากก อยากบอกว่า รู้สึกเหมือนตอนนี้พี่นิตหลุดๆ แล้วน้องโจก็... ว่าง่ายจริงๆ ฮ่าๆ ไอ้ฉากหวิวๆ ตอนท้ายๆ ที่จริงไม่ได้อยู่ในแพลนที่คิดจะเขียนตอนแรก แต่... ไม่รู้ทำไม มีจนได้ เพราะอารมณ์พี่นิตกับโจพาไปแน่ๆ เลย!!!! ลองอ่านซ้ำอยู่สองรอบ คิดว่าพอกล้อมแกล้ม ไม่น่าหลุดมาก (ไม่งั้นก็หมายถึงสติเราหลุดแทน..)
โอย งานท่วมหัว จะพาตัวไม่รอด ฮ่าๆ ที่จริงเราไม่ได้เขียนนิยายอย่างเดียวนะคะ ยังรับจ๊อบอื่นๆ อีกสองสามจ๊อบ พอดีจ๊อบที่ว่า มันใกล้ถึงกำหนดเข้ามาแล้ว กร๊าสสส (อยากจะขอให้มีสัปดาห์ละสิบวัน จะได้มีเวลาพักบ้างไรบ้าง<<จะได้พักจริงเดะ?!)
โอ๊ย พี่นิต พี่นิต ฮ่าๆๆๆ เมื่อไหร่พี่นิตจะยอม ก๊ากกกกก

ปล. คุณภูมิกับตากั้ง แอบโผล่มาแย่งซีนนิดๆ แต่สงสัยโดนฉากสุดท้ายของตอนกลบหมดแน่ๆ เลย ฮ่าๆๆๆ
พี่นิต!!! ไม่ไหวนะ จะให้โจไปแข่งอดทนกับโทชิเอะหรือไงคะ?!!!