[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 316742 ครั้ง)

ออฟไลน์ วิหคท่องนภา

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 :laugh:กว่าจะพูดได้ คุณลุงแทบจะคั้นคอ พอพูดทีก็๋มาเป็นคอมโบเลย :m20: โอ้ย คุณโจน่ารัก!

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แอร๊ยยยย
คุณพนิตแล้วอะไำรต่อค๊าาาา  :z3:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
ช่างซึนกันทั้งสองหนุ่ม (?)  :laugh:

ออฟไลน์ lunarinthesky

  • ~ My Cutie Candy... ~ Meow
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-0
อยากรู้ว่า คนเงียบๆ เวลาได้เป็นแฟนแล้วจะยังเงียบอยู่รึเปล่า

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
พึ่งเหนเรื่องนี้

แหม่

คงไม่ใช่ว่าเปนลมเปนแล้งนะ

รุสึกเหมือนเรื่องนี้เปนปัจจบันส่วนเรื่องที่แล้วเปนอดีตของคนแต่งเรย อิอิ

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :a5:
ตายแล้ว 
ใครก็ได้เอายาหอม ยาลม ยาอม ยาหม่อง มาให้คุณพนิตที 
คุณพนิตเป็นลมไปแล้ว o2

ออฟไลน์ ชินจัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
คุณโจ รีบรับผิดชอบโดยด่วน
ไปทำเขาเป็นลมเนี่ย ผิดผีอย่างแรงงง  ฮ่าๅ

flawless

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักดีค่ะ เอื่อยๆ เรื่อยๆ อ่านไปยิ้มไปกับความ
เรื่อยเฉื่อยของคุณสุภาพงษ์ ฮาๆ

ออฟไลน์ tay028643904

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ติดตามน่ะค้ะ><"
รอลุ้นน่ะเนี่ย ลุงจ่ะตอบยังไงน้ะ??
ลุงหัวใจจ่ะวายใหมเนี่ย??




ขอบคุนค้ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
กลับมาแล้วค่ะ แต่... พอดีจำวันปิดรวมเล่มสายลับผิด = ต้องรีบปั่นอย่างเร่งด่วน (เพราะยังไม่ได้ทำเลยสักตัว)

แปลว่า จะดองต่อไปนะคะ ขออภัยด้วยก่ะ TAT

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ลุงพนิตเจอหนุ่มโจบอกรัก ก็เป็นลมเป็นแล้งซะแล้ว 5555
ปล. ปร้าเพิ่งได้อ่าน ก็เจอโหลดองซะแล้ว คึคึคึ

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เปนกำลังใจให้คนแต่งปั่นงานเสดเรวไว

:) ตีพุงรอ

ออฟไลน์ CHADMM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
อ๋าาาา  คุณพนิษเป็นลมไปซะงั้นอะ  ฮ่าๆ 

รีบมาต่อน้าา  กำลังสนุกเลยค่า ^^

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

 :serius2:    :serius2:     :serius2:    :serius2:

ไม่อยากอ่านแบบดอง  มันเสียสุขภาพ(จิต)

 :z3:     :z3:    :z3:   :z3:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**โอ๊ย ฮ่าๆ มีมาลงจนได้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะดองเค็มตามอีกเรื่องไปแล้วแท้ๆ  :o8:

แบบว่าเขียนเอาไว้ก่อนจะไปตจว.เกือบจะจบตอนแล้วล่ะ แล้วบังเอิญ... แก้สายลับไปครึ่งวันสองตอนรวด (เริ่มเกิดอาการขาดออกซิเจน :really2:) ก็เลยเปิดมาลองเีขียนต่อ (แบบมึนๆ)

เขียนแล้วรู้สึกว่า คู่นี้ชิล ถึง ชิลที่สุด ทั้งชิลทั้งเฉื่อยทั้งคู่แบบนี้ มันจะมีอะไรตื่นเต้นมั้ยเนี่ยยย (เขียนไปนึกถึงฉากเวลาอย่างว่าของคุณพนิตไป... ไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้รึเปล่านะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆ)
---------------------------------------

Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่4

   ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย และนิยายก็ไม่ใช่ชีวิตจริง
   นั่นคือสิ่งที่รุ่นพี่คนหนึ่งบอกผม ในตอนที่ผมเริ่มต้นคิดจะเขียนนิยาย ผมมาเข้าใจได้หลังจากนั้นไม่นาน นิยายอาจจะคล้ายชีวิตจริง แต่จะเป็นชีวิตจริงไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะชีวิตจริงมักมีสิ่งไม่คาดฝันมากกว่านิยายเสมอ แล้วก็มักจะไม่ได้มีบทสรุปงดงามสวยหรูอย่างในนิยายด้วย และชีวิตจริงบางทีก็อาจจะคล้ายนิยาย เพียงแต่ว่านิยายกำหนดได้ และตอนจบก็ควรจะต้องสวยงาม เนื่องจากชีวิตจริงมันโหดร้ายพออยู่แล้ว
   ผมระลึกถึงประโยคนี้เสมอมา งานเขียนของผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเศร้าเคล้าน้ำตา อาศัยปูมชีวิตของคนจริงๆ มาเขียนขนาดไหน ตอนสุดท้ายผมจะพยายามทำให้มันจบอย่างสวยงามเสมอ เพื่อให้มันติดตราตรึงใจคนอ่าน ให้เขาได้รับความอิ่มอกอิ่มใจที่อาจจะหาไม่ได้ในชีวิตจริงๆ
   ผมว่านิยายเป็นงานศิลปะ ที่ใช้ปลอบประโลม และยกระดับจิตใจของคนอ่าน
   แต่ที่แน่ๆ ชีวิตจริงจะไม่มีทางเป็นเหมือนในนิยายไปได้อย่างเด็ดขาด
------------------------------------------------
   ผมลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกเบลอๆ ในหัว พอเห็นเพด้านไม้ด้านบน ถึงนึกได้ว่าน่าจะนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงส่วนที่ใช้รับแขก อืม... แล้วทำไมผมถึงมานอนอยู่แบบนี้นะ?
   ลืมตาได้สักพัก ผมถึงได้กลิ่นคล้ายๆ ยาดมที่จมูก พอขยับตัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “คุณพนิต”
   ผมกะพริบตาปริบๆ สมองยังงงๆ อยู่ จะลุกร่างกายก็ดันไม่มีแรงไปเสียดื้อๆ ผมเห็นใครคนหนึ่งตรงเข้ามาประคองผมเอาไว้ หน้าเขาหมดจด หล่อเนี๊ยบดีจริงๆ ได้ยินเสียงเขาถามผม “เป็นไงบ้างครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?”
   ผมมองเขาอยู่พัก ถึงเรียกชื่อเขาออกมาได้ “สุภาพงษ์”
   “ครับ”
   “อืม.... เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผมถามเขา พลางพยายามลำดับความคิด จำได้ว่าผมเอาต้นฉบับไปส่งเขาที่สำนักงาน แล้วขากลับมาเหตุให้ต้องกลับมาด้วยกัน จากนั้นก็...
   “คุณเป็นลมน่ะครับ” เขาตอบ จากนั้นก็ช่วยขยับตัวผมให้ลุกขึ้นมานั่ง ผมมองหน้าเขา กะพริบตาซ้ำอีกหลายรอบ “ว่าไงนะ?!”
   “คุณ... เป็นลมไปน่ะครับ” เขาตอบซ้ำ คราวนี้ผมมองหน้าเขาเหมือนคนไม่เคยเจอกันมาก่อน
   “ผมเป็นลม... ได้ยังไงน่ะ?” ผมถามเขา พลางนึกย้อนกลับไป สุภาพงษ์ทำหน้ายุ่งยากใจเต็มที่ “ไม่ทราบเหมือนกันครับ.....”
   ผมกะพริบตาอย่างงงๆ อยู่อีกพัก ถึงจะพอพูดออกมาได้ “สงสัยเพราะอายุมากแล้วล่ะมั้ง”
   สุภาพงษ์เม้มปาก ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไร ผมเงยมองนาฬิกา โอ๊ย ตายล่ะ สี่โมงเข้าไปแล้วหรือนี่ จำได้ว่าตอนมาถึงบ้านสักบ่ายสองเองนี่ ผมก้มลงมองเขา ถึงเพิ่งเห็นว่าเขานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผมเลย หน้าตาหมดจดน่ามองจริงๆ นะ แต่............
   “สี่โมงแล้ว คุณสุภาพงษ์ รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวรถจะติดมาก” ผมว่า เพราะแถวบ้านผม พอถึงช่วงเวลาไปทำงานและเลิกงานทีไร รถจะติดตะพึดตะพือขึ้นมาทันที ก็คงเป็นธรรมดาของถนนเส้นเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองนั่นล่ะ
   “คุณพนิต....” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม แล้วมองด้วยแววตาตื่นๆ นิดหน่อย อายุตั้งสามสิบสี่แล้ว จะมาทำหน้าตื่นอะไรอย่างนี้อีก ผมเลยยิ้มให้เขาไป “ผมไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ”
   ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเม้มปาก คราวนี้เขาเม้มปากให้ผมเห็นจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่ว่าเม้มหน่อยๆ จากนั้นก็เลื่อนมือมาจับมือผมไว้
   ผมใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาทันที
   เขาจับมือผมไว้อยู่พัก บีบเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองหน้าเขาจากมุมที่สูงกว่า ทั้งผม ทั้งคิ้ว สันจมูก ขนตา... หมดจดจริงๆ
   แต่...
   “งั้น... ผมกลับนะครับ” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา ผมพยักหน้า สุภาพงษ์ยังกุมมือผมไว้อีกพัก ตอนที่เขาผละมือออกไป ผมรู้สึกถึงความชื้นในมือของผมเลย
   สุภาพงษ์เดินกลับไปขึ้นรถยนต์สีขาวของตัวเอง ผมเดินตามออกมาส่งเขาที่หน้าประตูรั้ว ก่อนจะเข้ารถ เขาหันกลับมามองผมอีกรอบ ด้วยสีหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะบึ้งก็ไม่บึ้ง เหมือนบอกไม่ถูกว่าจะเลือกข้อไหนกันแน่ เขามองแบบนั้นอยู่พัก จนผมต้องบอกเขาไปว่าช้ารถจะติด นั่นแหละเขาถึงได้ยอมขึ้นรถและขับออกไป
---------------------------------------------
   ผมส่งสุภาพงษ์เสร็จแล้ว แทนที่จะเดินกลับเข้าบ้าน ก็ตัดสินใจเดินไปที่ต้นก้ามปูซึ่งมีชิงช้าผูกอยู่ จากนั้นก็หย่อนก้นลงบนชิงช้าตัวหนึ่ง ที่จริงมันเป็นชิงช้าที่ผูกเอาไว้ให้เด็กๆ มาเล่นกัน แต่มันก็กว้างพอจะให้ผู้ใหญ่ตัวผอมๆ สักคนนั่งได้ เผอิญว่าผมผอมพอจะทำแบบนั้น แต่ถ้าเพื่อนบางคนที่หุ่นเป็นขุนช้างทำท่าว่าจะนั่งล่ะก็ ผมจะรีบไล่เขาไปนั่งที่ม้านั่งหินทันที
   ผมไกวชิงช้าเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือก....
   เรื่องที่วันนี้มัน..........
   ผมหลับตาลง ถอนหายใจออกมาอีก นึกถึงคำพูดที่สุภาพงษ์พูดกับผม ก่อนที่ผมจะหมดสติไป..
   น่าอายจริงๆ
   อยู่มาสี่สิบห้าปีแล้ว ช่วงวัยรุ่นก็เคยคิดหรอกนะ ว่าอยากจะมีความรักกับเขาบ้าง ปัญหาคือผมจีบใครไม่ค่อยเก่ง แถม.. ไม่รู้จะมีปัญญาให้ความสนใจเขาได้เพียงพอรึเปล่า สุดท้ายก็ไม่เคยรักกับใครเลย ตอนนั้นเคยแอบๆ คิดว่าถ้ามีคนมาบอกรักคงน่าตื่นเต้นน่าดู เคยลงมือเขียนเป็นนิยายด้วย แต่ก็เขียนไม่จบ ผมไม่ถนัดเรื่องรัก ไม่ถนัดเลยสักนิด
   ที่สำคัญ ผมไม่รู้ว่ามันจะมาเกิดกับผมในวันหนึ่งตอนที่อายุสี่สิบห้าเข้าไปแล้ว
   ผมเหม่อมองไปยังต้นกล้วยไม้ที่แขวนอยู่ตรงชายคาบ้าน มองไปที่ประตูรั้วซึ่งมีต้นมะขามปลูกอัดกันแน่น เป็นรั้วกินได้ภายในตัว เลยออกไปจากบ้านผมอีกสี่ห้าหลัง คือที่ตั้งของบ้านเช่า หลายสิบปีมาแล้วที่มีเด็กๆ จากที่นั่นมาเล่นที่บ้านผม...
   หลายสิบปีมาแล้วจริงๆ
   ลมพัดมาทำให้ใบของต้นก้ามปูและต้นไม้อื่นๆ ที่ปลูกเอาไว้ส่งเสียงยวบยาบ ผมไกวชิงช้าเบาๆ พลางนึกถึงเรื่องเก่าๆ
   ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว........
   เวลามันผ่านมานานมากจริงๆ นับแล้วช่วงนั้นผมคงอายุสักยี่สิบต้นๆ เพิ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง ช่วงนั้นแถวนี้ยังเป็นสวนอยู่ มีเด็กที่เป็นลูกสวนข้างบ้านมาเล่นบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็โตๆ กันหมดแล้ว ที่มีมาบ่อยๆ ก็คงจะเป็นเด็กที่อยู่บ้านเช่านั่นแหละ
   ผมนึกย้อนกลับไปในอดีตที่เลือนรางเหมือนภาพฝัน หลายเรื่องนึกออก หลายเรื่องก็นึกไม่ออกแล้ว ช่วงนั้นผมคงเริ่มต้นเขียนนิยายอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว เพราะความหนุ่ม และร้อนวิชา ในหัวคงมีพล็อตเอาไว้สารพัด จำได้ว่าเคยยัดเยียดให้น้องสาวอ่านเรื่องที่เขียนอยู่พักหนึ่ง บางทีก็ให้พ่อแม่ช่วยอ่าน จากนั้นใครสักคนก็แนะนำให้ผมลองเล่าเป็นนิทานให้พวกเด็กๆ ที่มาเล่นที่บ้านฟัง ตอนแรกผมก็แอบเขินๆ นิดหน่อย แต่พอลองเข้าครั้งหนึ่ง ดูเหมือนเด็กๆ จะติดใจ วันต่อมาก็มาให้เล่าอีก กลายเป็นติดนิทานผมจนต้องมาฟังทุกวันเสียอย่างนั้น
   ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว.......
   จำได้ว่าเด็กที่มามีตั้งแต่สองสามขวบที่พี่จูงมาบ้าน ไปจนถึงอายุสิบกว่าขวบแล้วก็มี พอมาอยู่รวมกันแล้ว พ่อแม่ผมในสมัยนั้นก็เลยให้พวกที่โตกว่าคอยดูพวกน้องๆ ผมที่อยู่บ้านตลอด ก็เลยมีหน้าที่ดูแลเด็กพวกนั้นอีกที เพราะน้องสาวยังเรียนมหาวิทยาลัย ต้องท่องหนังสือบ้าง ทำงานบ้าง ไม่ค่อยจะมีเวลาเท่าไหร่
   มานึกๆ ดูแล้ว ในบรรดาเด็กพวกนั้น เห็นจะมีเด็กอยู่คนหนึ่งล่ะมั้งที่ไม่ค่อยพูด รู้สึกจะอายุสักสิบสี่สิบห้าแล้วเหมือนกัน เขามักจะมานั่งดูคนอื่นเล่นเงียบๆ บางทีก็ไปช่วยพ่อแม่ผมตัดกิ่งต้นไม้ในสวน คงเพราะเขาอายุมากที่สุดในกลุ่มล่ะมั้ง ก็เลยไม่ค่อยอยากจะเล่นแล้ว เห็นว่ามาเป็นเพื่อนเด็กอีกห้องหนึ่งเฉยๆ หลังๆ ผมเลยชวนเขามาเป็นพี่เลี้ยงช่วยดูเด็กๆ พวกนั้นด้วย เขาชื่ออะไร ผมจำไม่ได้แล้วล่ะ จำได้แค่ว่า บางทีเวลานั่งกันอยู่ตรงชานบ้าน คอยดูเด็กเล็กๆ ที่เล่นกันอยู่ ผมเล่าพล็อตนิยายของตัวเองให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เขาก็แค่พยักหน้า แต่จะหันมามองผมทันทีที่ผมไม่ยอมเล่าต่อ
   เขาเป็นคนเงียบๆ เงียบมากจริงๆ
   ผมไม่รู้ว่านั่นจะใช่คนเดียวกับคนที่เป็นบรรณาธิการของผมตอนนึ้รึเปล่า
   ผมไม่รู้จริงๆ.............
   ลมพัดมาเบาๆ ผมกลับจากอดีตแสนนาน แล้วนึกไปถึงคำพูดของคุณากรที่พูดกับผมในร้านอาหาร เขาพูดเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องพล็อตนิยาย ผมก็ตอบเขาไปตามประสานักเขียน
   แต่เผอิญว่าท่าทางเรื่องที่เขาพูดอาจจะไม่ใช่แค่พล็อตนิยายก็ได้
   ผมถอนหายใจอีกครั้ง....
   เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป ผมไม่กล้าคิดแล้วก็สรุปเอาเอง มัน... ดูสับสนแบบแปลกๆ บางทีนี่อาจจะเป็นการเข้าใจผิด มันอาจจะเป็นความคลาดเคลื่อนอะไรสักอย่างก็ได้
   ผมเหม่อมองไปในหมู่ไม้เบื้องหน้า... ได้ยินเสียงนกกำลังทยอยกันกลับรังของมันแล้ว และเสียงการจารจรที่ดังห่างออกไป
   ในฐานะนักเขียน ผมกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในนิยายที่เขียนได้ แต่ในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่ง ผมไม่สามารถกำหนดอะไรได้เลย
   กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง............
---------------------------------------------------------------
   “เด็กหญิงน้อยในเมืองใหญ่” ตอนที่หกตีพิมพ์แล้ว แทรกอยู่ในนิตยาสารสำหรับคนมีครอบครัวซึ่งออกทุกสี่สิบห้าวัน ผมเพิ่งได้รับหนังสือที่ไปรษณีย์มาส่งที่หน้าบ้านเมื่อเช้านี้เอง เรื่องราวของเด็กหญิงพิมชนกยังมีอยู่ในหัวผมอีกเยอะ แต่เรื่องของพ่อกระแตนี่สิ
   กระดาษที่สอดอยู่ในเครื่องพิมพ์ดีดมีตัวอักษรอยู่แค่บรรทัดหนึ่ง เป็นชื่อเรื่องกับเลขตอน ที่เหลือยังว่างเปล่าขาวสะอาดอยู่เลย
   ผมมองปฏิทิน ยังเหลือเวลาอีกสักสิบวัน กว่าจะถึงกำหนดส่ง ผมเลยตัดสินใจว่าจะออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าผมหาเรื่องอู้นะ แต่คิดไม่ออกแบบนี้ นั่งอยู่บ้านไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะอย่างนั้น สู้ออกไปดูอะไรต่อมิอะไรนอกบ้านดีกว่า เผื่อว่าจะเกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาได้บ้าง
   ผมออกจากบ้านไปที่ป้ายรถเมล์ ใจยังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหน แต่ไม่อยากจะเข้าเมือง เพราะในเมืองมีแต่ตึก แทบจะไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องที่ผมเขียนอยู่เลย พอดีกับว่ารถเมล์สายที่จะไปนครปฐมวิ่งผ่านมาพอดี ผมเลยโบกเรียก
   สุดท้ายผมก็พบตัวเองมาอยู่ที่ตลาดดอนหวาย เผอิญว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ รถเลยแน่นเป็นพิเศษ แต่ผมนั่งรถประจำทางมา เลยสะดวกโยธิน ลงรถแล้วเดินเข้าตลาดใกล้กว่าพวกพารถมาด้วยซ้ำ
   ผมไม่มีรถ เรื่องขับรถเลยไม่ต้องพูดถึง ไม่คิดจะขับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าให้ขับก็คงชน ผมยิ่งเหม่อๆ ชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ แถมยังชอบมองข้างทางที่ไม่ใช่ถนนอีก น้องสาวเคยให้ผมลองขับหนหนึ่ง จากนั้นก็สั่งห้ามผมยุ่งกับรถเด็ดขาด เพราะเกือบจะพุ่งไปชนประตูรั้วคนข้างบ้าน เนื่องจากผมมัวแต่มองนกสีฟ้าๆ ที่มันกำลังบินขึ้นมาจากต้นมะขามต้นใหญ่แถวนั้น ถึงจะไม่ห้าม ผมก็ไม่คิดจะขับอยู่แล้วล่ะ
   ดอนหวายมีขนมแบบที่หาทานในเมืองไม่ได้เยอะอยู่พอสมควร กว่าผมจะได้ลงเอยมื้อหลัก ก็อิ่มขนมจนแทบจะใส่ข้าวคลุกกะปิที่สั่งมาเข้าท้องไม่ไหว ข้าวอร่อย แต่ขนมอืดท้อง กว่าจะทานหมด คนที่มาขอยืมโต๊ะนั่งด้วยก็ลุกไปสักสามคนได้แล้วล่ะมั้ง ผมนึกดีใจที่ไม่มีใครมาด้วย ไม่งั้นท่าทางผมจะกลายเป็นภาระเขาแน่ อืม... ผมเป็นพวกเรื่อยๆ เฉื่อยๆ แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วน่ะ สมัยเรียนยังโดนเพื่อนวงแดงชื่อไว้เลยว่า ถ้ารีบล่ะก็ อย่าเอาไอ้พนิตไปเข้ากลุ่มเด็ดขาด
   ก็ผมรู้สึกว่าถ้ารีบแล้วมันจะเก็บรายละเอียดอะไรได้ไม่ค่อยจะครบ แล้วก็ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดนี่นา
   สงสัยเพราะอย่างนี้ พ่อกระแตถึงไม่ไปถึงไหนสักที ตอนที่แล้วให้เจ้าของบ้านล้อมต้นไม้ไว้ แต่ไม่ได้บอกคนอ่านนะว่าจะย้ายไปปลูกที่ไหน พ่อกระแตเองก็ไม่รู้หรอก หอบลูกหอบเมียซัดเซพเนจรไปอยู่บนต้นมะขามแทน แต่มะขามไม่อร่อยเท่ามะเฟือง แถมยังมีนกเจ้าถิ่นอยู่ แล้วเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปดีนะ
   ระหว่างที่ผมทานข้าวอยู่ ก็เห็นมีให้ล่องเรือชมแม่น้ำ เลยตัดสินใจว่าเดี๋ยวทานหมดแล้ว จะไปนั่งเรือเล่นก็แล้วกัน เผอิญโชคดี ว่ามีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งเหมาเรือแล้วยังว่างอีกที่พอดี แล้วเห็นว่าผมมาคนเดียว เลยให้ไปนั่งด้วย ผมเลยได้นั่งเรือแบบไม่ต้องรอคิวนาน
   น้ำที่ดอนหวายยังดีอยู่ ลมก็กำลังเย็นสบาย แต่ขึ้นเรือไปแล้วผมยังเจออะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นอีก
   “พนิต พนิตใช่มั้ย?” ผู้ชายรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผม ตอนที่กำลังจะเดินไปขึ้นเรือ ท่าทางมีเงินมีทองอยู่พอสมควร ดูจากเสื้อผ้าและทองที่สวมอยู่บนคอบนนิ้วล่ะนะ ผมเขม่นมอง ก่อนจะโพล่งออกมา “วิชัย!”
   “พนิตจริงๆ ด้วย” เขาพูดและยิ้มจนตาหยี เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของผม สนิทกันพอสมควรเลยล่ะ จำได้ว่าเรียนเศรษฐศาสตร์เก่งมาก เพราะบ้านเขาเป็นคนจีน ค้าขายอยู่แล้ว เหมือนจะขายข้าวสารล่ะมั้ง ผมดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า เลยถามไป “เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานมากๆ เลย”
   “นานจริงๆ ไปๆ ขึ้นเรือเถอะ จะได้คุยกันยาวๆ ”
---------------------------------------------------
   ผมขึ้นเรือไปก็ได้คุยกับวิชัยยาว เลยรู้ว่าเขามาเปิดโรงสีอยู่ที่นครปฐม ตอนนี้เลยกลายเป็นเถ้าแก่โรงสีไปแล้ว วันนี้พอดีแวะมาเที่ยวกับครอบครัว และว่าที่ลูกเขยคนใหม่ ผมเลยได้รับไหว้ทั้งลูกสาว และลูกชายเขาอีกคน ซึ่งกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง แล้วก็บรรดาญาติๆ แถมด้วยว่าที่ลูกเขยเขาอีกคน อายุสักสามสิบกว่าๆ ได้ หน้าตาธรรมดา แต่ท่าทางเอางานเอาการน่าดู พอแนะนำกันเสร็จแล้ว เขาก็หันมาขอความเห็นเรื่องลูกเขยกับผม จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องเก่าๆ สมัยเรียน เขาหัวเราะชอบใจ ในตอนที่รู้ว่าผมยังเขียนนิยายอยู่ แล้วบอกว่าผมนี่เอาจริงเอาจังกับอาชีพนี้จริงๆ ถามว่าหนังสือที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้ชื่อหนังสืออะไร จะได้ไปหามาอ่าน ผมเลยบอกชื่อหนังสือเขาไป บอกอีกว่าอาจจะเหมาะกับคนกำลังสร้างครอบครัวก็ได้ ถือโอกาสโฆษณาหนังสือตัวเองไปในตัวเลย
   คุยไปคุยมา สรุปแล้ววันนั้นผมก็ได้ไปนอนค้างบ้านวิชัย บ้านเขาใหญ่นะ เป็นดึกปูน ตอนแรกเขาจะให้ผมนอนห้องแอร์ แต่ผมบอกว่าผมแพ้แอร์ ก็เลยย้ายกันมานอนด้านล่าง กางมุ้งเอา คุยกันถึงเรื่องสมัยเรียนจนดึกนั่นแหละ เลยหลับกันได้
   เช้าวันรุ่งขึ้น วิชัยก็พาผมดูโรงสีช่วงเช้า จากนั้นเราก็ไปพระปฐมเจดีย์กัน พอดีว่าลูกชายเขาจะกลับมหาวิทยาลัยพรุ่งนี้ ก็เลยมาเป็นคนขับรถให้ คนแก่สองคนเลยได้คุยกันเต็มที่ระหว่างนั่งรถ พอไหว้พระปฐมเจดีย์เสร็จแล้ว ก็แวะทานอาหารกันแถวนั้น แล้วไปเที่ยวพระราชวังสนามจันทร์กันต่อ
   สรุปแล้วผมก็ค้างบ้านเพื่อนเก่าอีกหนึ่งคืน เพราะเขาบอกว่าลูกชายกลับกรุงเทพฯพรุ่งนี้ จะได้เลยไปส่งผมเลย ผมก็ไม่รีบไม่ร้อนอะไรอยู่แล้ว บอกเขาว่าผมติดรถไปก็ได้ไม่ต้องไปส่งหรอก เดี๋ยวเข้ากรุงเทพฯแล้วผมต่อรถกลับบ้านเอง เพื่อนผมก็ไม่ยอม จะให้ลูกชายมาส่งผมให้จงได้ ตลกดี คุยกันอย่างกับจะทะเลาะ แค่เรื่องให้ลูกมาส่ง สุดท้ายลูกชายเขาเลยมายุติปัญหา บอกว่าเดี๋ยวเขาจะขับรถไปส่งผม เพราะว่าจะแวะไปหาเพื่อนใกล้ๆ พอดี นั่นแหละเลยทำให้คนอายุสี่สิบกว่าสองคนเลิกเถียงกันได้
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ผมบอกให้ลูกชายของวิชัยส่งผมตรงถนนใหญ่ เพราะเข้าซอยมาก็เอารถออกลำบาก อีกอย่างซอยไม่ลึก ผมเดินไม่นานก็ถึงบ้าน
   ผมไม่อยู่บ้านหลายวัน แต่ต้นกล้วยไม้ที่ชายคายังสภาพดีอยู่ แสดงว่าคนข้างบ้านที่มักจะเดินผ่านบ้านผมบ่อยๆ คงรู้แล้วว่าผมไม่อยู่ เลยแวะเข้ามารดน้ำให้ ผมไม่เคยล็อกประตูรั้วนะ แค่คล้องสายยูเอาไว้เฉยๆ เพื่อนบ้านคนนี้เป็นคนละแวกนี้แหละ รู้จักกันมานานแล้ว เป็นที่รู้กันว่าถ้าวันไหนเห็นไฟบ้านผมปิดสนิท แปลว่าผมไปค้างข้างนอก ซึ่งผมก็มักจะออกไปค้างโดยไม่ได้บอกล่วงหน้ากับใครอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน เขาก็มาช่วยรดน้ำต้นไม้ให้ บางทีก็ใช้ให้ลูกมาบ้าง ผมเลยไปไหนมาไหนอย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวว่าต้นไม้เล็กๆ จะเหี่ยวตาย ว่าแล้วก็หิ้วขนมที่ซื้อมาไปฝากเขาดีกว่า
   พอเห็นหน้าผม เพื่อนบ้านคนนั้นก็ทักขึ้นทันที “พนิต เมื่อวานมีคนมาหาน่ะ ฉันก็บอกแล้วล่ะว่าคุณอาจจะออกไปค้างข้างนอก เขาก็ทำท่าร้อนใจน่าดู ถามเอาจริงๆ จังๆ ว่าคุณไปไหน ฉันก็เลยบอกว่าไม่รู้สิ เพราะปกติคุณไปไหนก็ไม่ค่อยบอกใครอยู่แล้ว เขาเลยฝากบอกว่า ถ้าคุณมาแล้ว ให้บอกคุณให้โทรกลับหาเขาด้วย”
   ผมนึกงง ไม่คิดว่าจะมีใครต้องการตามตัวผมด่วนขนาดนั้น “เขาชื่ออะไรล่ะ”
   “สุภาพงษ์” เพื่อนบ้านคนนั้นตอบ แล้วรับขนมที่ผมซื้อมาให้ “เออ ขอบใจนะ วันหลังไม่ต้องก็ได้ คนกันเองทั้งนั้น”
   “ไม่เป็นไรหรอก” ผมว่า เราคุยนั่นคุยนี่กันอีกพัก เขาก็กำชับให้ผมกลับมาโทรศัพท์ เพราะดูว่าคนชื่อสุภาพงษ์จะร้อนใจกับการหายไปของผมมากจริงๆ
   ผมนึกแปลกใจ ความจริงเพื่อนหลายคนก็บอกให้ผมซื้อโทรศัพท์มือถือเสียที จะได้ตามตัวกันสะดวกๆ แต่ผมขี้เกียจถูกตามตัวแบบกะทันหัน สมัยก่อนมีแต่โทรศัพท์บ้านก็อยู่กันได้ สมัยนี้มันก็อยู่ได้เหมือนกันนั่นล่ะ ผมอยู่มาโดยไม่เคยใช้โทรศัพท์มือถือ แล้วไม่คิดจะหามาใช้ด้วยซ้ำ เครื่องที่น้องสาวเอามาให้บังคับใช้ก็ลืมชาร์ตแบ็ตจนแบ็ตเสื่อม ก็เลยไม่มีใครมาบังคับผมใช้โทรศัพท์มือถืออีกเลย
   ว่าแต่สุภาพงษ์มีธุระอะไรกันนะ เรื่องก่อนหน้าก็พิมพ์ไปแล้วนี่นา..
   “ขอสายคุณสุภาพงษ์ครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เพื่อนบ้านอุตส่าห์กำชับมาขนาดนั้น ผมโทรหาเขาก่อนจะกวาดบ้านก็ได้ เผื่อว่าจะเป็นเรื่องสำคัญ
   “คุณสุภาพงษ์คุยธุระอยู่ค่ะ” เสียงเลขาฯปลายสายตอบผม “นั่นคุณพนิตรึเปล่าคะ?”
   “ครับ”
   “ตายแล้วคุณพนิต อยู่ไหนคะเนี่ย?” อรนภาถามผมทันที ผมเลยตอบเธอไป “อยู่บ้านแล้วครับ”
   ได้ยินเธอถอนหายใจเฮือก “คุณพนิตหายไปไหนหลายวันคะเนี่ย คุณสุภาพงษ์ไม่รู้จะธุระอะไรกับคุณค่ะ พอแวะไปหาคุณที่บ้านแล้วเห็นคุณไม่อยู่ติดกันสองวัน เขาก็ทำท่าจะไปแจ้งความ ฉันเลยบอกเขาว่าตอนมาเขียนเรื่องให้เราใหม่ๆ คุณก็เคยหายไปแบบนี้เหมือนกัน”
   “ผมไปค้างบ้านเพื่อนมาน่ะ” ผมตอบไป นึกตกใจเหมือนกันว่าสุภาพงษ์ถึงกับจะไปแจ้งตำรวจเลยเหรอ เขามีธุระอะไรกับผมกันแน่เนี่ย
   “คุณพนิตอยู่บ้านทั้งวันรึเปล่าคะ วันนี้?”
   “อืม..ครับ คิดว่านะครับ”
   “ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันจะบอกคุณสุภาพงษ์ให้นะคะ เขาจะได้เลิกวิตกจริตสักที ที่จริงวันหลังคุณโทรเข้าเบอร์มือถือเขาเลยก็ได้ค่ะ”
   “อ้อ โทรเข้าสำนักงานมันประหยัดกว่าน่ะ ผมใช้โทรศัพท์บ้าน” ผมตอบไป ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา “อืม... ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันบอกคุณสุภาพงษ์ให้นะคะ”
   “ครับ” ผมว่า แล้วก็วางสาย พลางนึกสงสัยว่าสุภาพงษ์มีธุระอะไรกับผมกันแน่ คงไม่ใช่คิดว่าผมจะเบี้ยวหนีหายไปเพราะเรื่องต้นฉบับหรอกนะ
------------------------------------------
   “คุณพนิตครับ!” เสียงตะโกนเรียกจากหน้าประตูบ้านทำเอาผมที่กำลังนั่งดูหนังทางช่องเคเบิลอยู่เพลินๆ สะดุ้งเฮือก พอมองออกไปก็เห็นสุภาพงษ์ยืนอยู่แล้ว
   อืม.. หน้าตาดีกว่าพระเอกหนังที่ผมกำลังดูอยู่เสียอีก
   เขายกมือไหว้ผมตามมารยาทตอนที่ผมเดินออกไปเปิดประตูให้ ผมยกมือรับไหว้เขา แล้วก็เห็นเขายิ้มออกมา “คุณกลับมาแล้ว..”
   “อืม... ผมไปบ้านเพื่อนน่ะ” ผมบอกเขาไป สุภาพงษ์พยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าบ้านมา
   “คุณพนิตไม่คิดจะพกโทรศัพท์มือถือเลยหรือครับ” เขาถาม เมื่อเข้ามานั่งในบ้านแล้ว ผมสั่นศีรษะ “ไม่เอาล่ะ ผมรำคาญน่ะ”
   สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ “แต่พกไว้บ้างก็ดีนะครับ เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน”
   ผมมองเขา อยากจะพูดออกไปจริงๆ ว่าเหตุฉุกเฉินที่ว่าน่ะ คือการทวงต้นฉบับใช่ไหมล่ะ แต่จิตสำนึกผมยังทำงานดีอยู่ เลยพูดยิ้มๆ ตอบเขาไป “นี่ คุณสุภาพงษ์ สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือก็ยังอยู่กันได้เลย ผมไม่พกก็ไม่เป็นไรหรอก”
   “แต่คุณอายุเยอะแล้วนะครับ” เขาพูด แล้วเงยหน้ามองผม “หายไปหลายวันแบบนี้ ผม... เป็นห่วงนะ”
   ความจริงผมอยากจะเถียงอยู่หรอกว่าสี่สิบห้าน่ะยังไม่เยอะเท่าไหร่ เทียบกับนักการเมืองแล้วยังถือว่าเด็กๆ อยู่เลย แต่ก็นะ... เห็นเขาทำหน้าตอนพูดว่าเป็นห่วงแล้ว ผมก็พูดตอบแบบนั้นไปไม่ออกเหมือนกัน
   “คุณพนิตครับ... พกโทรศัพท์เถอะนะครับ ผมขอร้องล่ะ” สุภาพงษ์พูดต่อหลังจากนั้น ผมมองหน้าเขา ให้เป็นให้ตายผมก็ไม่พกเด็ดขาด ไอ้เครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวแบบนั้นน่ะ ผมพูดตอบเขาไป “มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรหรอกนะ จริงสิ คุณมาหาผม มีธุระอะไรล่ะ” ผมได้ที หาช่องเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะกลัวจะต้องมาอารมณ์เสียเรื่องโทรศัพท์กับเขา เผลอๆ จะโดนเขาใช้หน้านิ่งๆ ล่อให้ยอมพกโทรศัพท์น่ะสิ
   สุภาพงษ์มองผม แล้วขบปากนิดๆ เอ่อ... เดี๋ยวนะ จำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยทำท่าแบบนี้ให้ผมเห็นนี่นา.... เขาเป็นคนหน้าตาดี ติดแต่ว่าหน้านิ่งไปหน่อย แต่พอขบปากนิดๆ แบบนี้ก็........
   “คุณพนิต ไปซื้อโทรศัพท์มือถือกันเถอะครับ”
   สุภาพงษ์ถึงกับไม่ตอบคำถามผม และลากเข้าเรื่องเก่าดื้อๆ ผมมองเขาอย่างอึ้งๆ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรตอบ เขาก็พูดขึ้นอีก “ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์ตแบ็ตหรอกนะครับ ผมจะจัดการให้”
------------------------------------------
   ท้ายที่สุดผมก็ถูกสีหน้าและท่าทางจริงจังของสุภาพงษ์ล่อลวงจนต้องมายืนอยู่ที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือซึ่งอยู่ในห้างฯ ให้ตายสิ ผมน่ะ ไม่ถนัดกับอากาศที่ถูกปรับจนเย็นแบบนี้เลย ยืนมองตู้ใส่โทรศัพท์ไปกอดอกไป ท่าทางเหมือนครูใหญ่ตรวจแถวเด็กนักเรียนไม่มีผิด แต่ผมไม่ได้ตรวจแถวผู้ค้าโทรศัพท์หรอกนะ ผมหนาวเลยต้องกอดตัวเองเอาไว้น่ะ
   สุภาพงษ์ยืนอยู่ข้างๆ ผม หน้าเขาหล่อหมดจดเหมือนเคย กระทั่งกำลังก้มมองดูโทรศัพท์ในตู้แบบนี้ ผมยังรู้สึกว่าเขาดูดีมากเลย ถ้าไม่หนาวจนตัวสั่น กับต้องมาเลือกเจ้าเครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวนี่ ผมคงมีความสุขกับการมองหน้าเขามากกว่านี้
   “คุณพนิต ผมว่าเอารุ่นนี้ดีไหมครับ?” สุภาพงษ์ชี้โทรศัพท์เครื่องหนึ่งในตู้ ผมกำลังมองหน้าเขาเพลินๆ เลยไม่ทันได้ฟัง จนเขาเงยหน้าขึ้นมานั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัว
   “อ้อ... อืม.. ไหนล่ะ?” ผมทำเป็นตาไม่ดีขึ้นมากะทันหัน ทั้งๆ ที่ขนาดตัวอักษรพิมพ์ดีดตัวเล็กๆ ผมก็ยังอ่านได้แบบไม่มีปัญหา ไม่เคยต้องพึ่งแว่นหรืออะไรเลย แต่เพราะกลัวเขาจับได้ว่าแอบมองอยู่ เลยต้องทำตาหรี่ๆ มองโทรศัพท์ในตู้ตามเขาไป
   สุภาพงษ์มอหน้าผมพลางกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร หันไปบอกพนักงานให้หยิบโทรศัพท์ที่เป็นรุ่นตัวโชว์มาให้ผมดู ผมวางแผนในใจไว้แล้วว่าจะบ่นและติทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าเครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวพวกนี้ เขาจะได้เลิกตื้อผมให้ซื้อสักที
   “อืม.. จอเล็กขนาดนี้ ผมจะมองเห็นตัวเลขได้ไง” ผมเริ่มเอ่ยปากติตามเรื่อง หลังจากได้เห็นตัวเครื่องแล้ว พนักงานขายซึ่งเป็นผู้หญิงก็ดี รีบหยิบอีกเครื่องที่มีตัวเลขตัวใหญ่มาให้ผม โดยที่สุภาพงษ์ยังไม่ทันได้พูดด้วยซ้ำ เอาล่ะสิ ผมรู้หรอกว่าเขาพูดไม่เก่ง ไม่ทันผมแน่ แต่พนักงานขายนี่สิ ผมจะพูดแข่งกับเธอทันไหมเนี่ย
   ผมพยายามหาข้อติโทรศัพท์อีกหลายเครื่อง อ้างว่ารำคาญเสียงบ้างล่ะ เครื่องใหญ่ไปบ้างล่ะ สุภาพงษ์น่ะ แทบไม่ได้พูดอะไรสักคำ นอกจากพยักหน้า แล้วเหลือบมามองผมเป็นระยะๆ เหมือนพยายามจะใช้ความอดทนกับผมอย่างเต็มที่ แต่พนักงานขายนี่สิ อดทนยิ่งกว่า สรรค์หาโทรศัพท์มาให้ผมดูจนแทบจะหมดร้าน สุดท้ายผมก็หาข้อติต่อไม่ออก อืม... ถึงผมจะแก่ แต่ยางอายและความเกรงใจของผมยังพอจะมีเหลืออยู่ล่ะนะ ในเมื่อเถียงไม่ออกแล้ว ผมคงต้องยอมรับเป็นเจ้าของไอ้เจ้าเครื่องมือรบกวนความเป็นส่วนตัวเครื่องนี้ แต่ผมยังมีไม้ตายสุดท้ายอยู่
   “คุณสุภาพงษ์ ถ้ามันแพงเกินไปก็ไม่ต้องหรอก ผมไม่อยากขอขึ้นค่าต้นฉบับกับคุณน่ะ”
   ผมไม่เคยซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือตามข่าวเจ้าอุปกรณ์พวกนี้ก็จริง แต่พอรู้หรอกว่าไอ้เครื่องที่พนักงานหยิบมา ราคามันคงไม่น้อยแน่ๆ
   สุภาพงษ์หันมามองหน้าผม แล้วยิ้มนิดๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ต้นเดือนหน้าผมตั้งใจจะปรับขึ้นค่าต้นฉบับคุณอยู่แล้วน่ะ”
   ผมมองเขา แล้วกะพริบตาปริบๆ เขาก็เลยอาศัยจังหวะนั่น ยื่นบัตรเครดิตการ์ดให้กับพนักงาน โดยไม่ถามราคาสักคำ ผมเห็นแล้วก็อดไม่ได้ ต้องเอ็ดออกไป “คุณสุภาพงษ์ ทำไมไม่ถามราคาก่อนน่ะ”
   “ผมกลัวคุณจะไม่ยอมพกไว้น่ะครับ” เขาตอบผมสั้นๆ ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุด ผมมองหน้าเขาอึ้งๆ และให้รู้สึกตัวว่าไม่น่าพลาดท่ามากับเขาเลย
   ให้ตายสิ ใครใช้ให้เขาหน้าตาดีจนผมถอนสายตาไม่ได้ขนาดนี้ล่ะ....
-------------------------------------------
   ในที่สุดสุภาพงษ์ก็ประสบผลสำเร็จในการทำให้ผมผู้ซึ่งไม่เคยยอมจะพกโทรศัพท์มือถือมาเลยตลอดหลายปีตั้งแต่มันเริ่มมีขายอย่างแพร่หลายต้องมีมันเอาไว้ในครอบครองจนได้
   ขากลับผมทั้งหนาวทั้งงงตัวเอง ว่ายอมจะพกไอ้อุปกรณ์รบกวนความเป็นส่วนตัวนี้ไว้กับตัวได้ยังไง สุภาพงษ์เดินอยู่ข้างๆ ผม ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ เหมือนเขาพยายามให้ชิดผม เห็นว่าผมหนาวหรือกลัวผมจะเอาโทรศัพท์มือถือไปทิ้งก็ไม่รู้ ผมเองก็ขี้เกียจจะเดาจุดประสงค์จากสีหน้านิ่งๆ ของเขาด้วย อยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้ ผมคงไม่ไร้มารยาทพอจะเอาโทรศัพท์ที่เขาซื้อให้ทิ้งหรอก แล้วถ้าเขากลัวว่าผมจะหนาวจริง ผมก็ไม่กล้าให้เขากอดอยู่ดี...
   ผมอายคนเป็นเหมือนกันนะ... แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาอยากจะกอดผมจริงๆ รึเปล่า

   “คุณพนิตครับ เวลารับสายกดปุ่มสีเขียวๆ ตรงนี้นะครับ” สุภาพงษ์พยายามจะสอนผมใช้โทรศัพท์มือถือต่อจากพนักงานที่ร้าน ในตอนที่มาส่งผมที่บ้านแล้ว เขานั่งอยู่ข้างผม บอกให้ผมดูโทรศัพท์ที่ซื้อผม แต่ผมอยากดูหน้าเขามากกว่านะ เอาเถอะ เขาจริงจังกับโทรศัพท์ก็ดีแล้ว ผมจะได้แอบมองหน้าเขาได้
   เฮ้อ.... นี่ถ้าเขามาแค่ให้ผมมองหน้าทุกวันก็คงจะดีหรอก
   ตอนที่ผมกำลังมองขนตาเขาเพลินๆ สุภาพงษ์ก็หันหน้ากลับมา “คุณพนิต”
   “หืม?!” ผมรีบปั้นหน้าขรึมทันที ก่อนจะพูดตอบเขา “มีอะไรหรือ?”
   “ลองกดดูหน่อยสิครับ” เขาพูดพลางยื่นโทรศัพท์เครื่องนั้นมาให้ผม ผมรังเกียจเจ้าเครื่องมือนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยทำท่ายึกๆ ยักๆ ไม่อยากจะรับมา พร้อมกับคิดหาข้ออ้างที่ดูสุภาพพอที่จะให้เขาเอามันกลับไป ขณะที่ผมกำลังเค้นสมองหาเหตุผลอยู่นั้นเอง โทรศัพท์ก็ถูกวางลงบนมือของผม พร้อมกับอุ้งมืออุ่นๆ ที่แนบเข้ามา
   “เวลาออกไปไหน ช่วยพกไว้ด้วยนะครับ” เขาพูดเสียงเรียบ แล้วช้อนตาขึ้นมองผม ผมถึงขั้นเกือบลืมหายใจ รู้แล้วล่ะว่าเขาหล่อ รู้แล้วล่ะว่าเขานิสัยดี รู้ด้วยว่าตัวเองชอบมองหน้าเขาขนาดไหน แล้วก็.... คิดว่ารู้นะว่าเขาคิดอะไรกับผมอยู่
   “อืม..” ผมส่งเสียงในคออย่างไม่ค่อยจะให้ความสำคัญนัก ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น มือของสุภาพงษ์ยังกุมมือผมเอาไว้แน่น เออ... เขาน่ะพูดไม่เก่งก็จริง แต่จับมือเก่งนะ เผลอไม่ได้ เขาต้องหาจังหวะจับมือผมทุกที ตอนนี้ผมเริ่มแน่ใจแล้วล่ะว่าเขาจงใจจะจับมือผม ปัญหาคือ ก่อนหน้านี้เวลาถูกเขาจับมือ ผมมักจะไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ออกจะแย่สักหน่อย เพราะพอถูกเขาจับแบบนี้แล้ว หัวใจผมดันเต้นแรงขึ้นมาน่ะสิ
   ทั้งๆ ที่ผมอายุสี่สิบห้าแล้วแท้ๆ.....
   “คุณพนิต”
   ผมหันหน้ามาตามเสียงเรียก และเกือบผงะ เมื่อพบว่าหน้าเขายื่นเข้ามาใกล้มาก จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมว่าปลายจมูกของเราแตะกันด้วยนะ
   เพราะหัวใจผมเต้นแรงมากจนน่ากลัว ผมเลยรีบพูดออกไป “คุณสุภาพงษ์ กลับบ้านได้แล้วล่ะ ค่ำแล้ว เดี๋ยวรถจะติด”
   สุภาพงษ์มองหน้าผมอยู่พัก เขาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นบาง จนผมต้องรีบเบือนหน้าหนีอีกรอบ เพราะกลัวว่าจะแสดงสายตาหน้าอายในเขาเห็น จากนั้นก็ได้ยินเสียงเขาพูดเรียบๆ “ครับ ผมไปนะครับ แล้วจะมาชาร์ตแบ็ตเตอรีให้นะครับ”
   “อืม” ผมส่งเสียงไปตามเรื่อง และรู้สึกโล่งใจตอนที่เขาผละมือออก
   สุภาพงษ์รูปร่างสูงโปร่ง หุ่นก็กำลังดี ไม่หนาไม่บางจนเกินไป เขาดูดีทุกอย่างนั่นล่ะ... ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเคยอยู่บ้านเช่าแถวนี้
   ผมเดินออกมาส่งเขาที่หน้าประตูรั้วบ้าน และนึกว่าคงต้องหาจังหวะถามเรื่องราวของเขาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
   แต่คงจะต้องเป็นจังหวะที่เขาไม่ได้จับมือผม แล้วผมเองก็ไม่เผลอมองเขาจนลืมคิดเรื่องอื่นล่ะนะ....
--------------------------------------------
**ปล. จบตอนนี้แล้วคาดว่าจะหายยาวจริงๆ อย่างต่ำสักหนึ่งสัปดาห์นะคะ เพราะคงต้องไปปั่นสายลับอย่างจริงๆ จังๆ แล้วล่ะ!!!

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
คุณพนิตระลึกถึงอดีตได้ลางๆ
แต่เหมือนแอบมีใจให้นิดๆแล้วล่ะค่ะ

เอาใจช่วยคุณ JUON ให้ทำภารกิจสายลับเสร็จโดยไวนะคะ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
คิวต่อจากสายลับ  คงเป็นนกยูงแดงนะ โหะ โหะ โหะ  กดดันกันต่อไป

ออฟไลน์ lovely2min

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
กรี๊ด อ่านเรื่องนี้ด้วยคน
ชอบคุณสุภาพงษ์จัง ชื่อ เชยได้อีกนะ 555
รีบๆลุกคุณพนิตเร็ว
555 สงสาร เห็นเอาแต่เงียบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
5555+ คราวนี้เลยมีข้ออ้างมาที่บ้านทุกวันแล้ว  :mc4:
มาช่วยชาร์จแบตมือถือ

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
ยอมใช้มือถือแล้ว เริ่มมีอะไรคืบหน้า รึเปล่า? ฮ่าๆ
พยายามเข้านะคุณสุภาพงษ์
หาเรื่องมาชาร์ตแบตทุกวันไปเลย ฮ่าๆ

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
เอ่อ ซื่อบื้อขนาดนี้ได้เปนแบบคุณกระรอกแน่เลย


ฮืออออออ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
คืบหน้าจิ๊ดเดียวเองอ่ะ เฮ้ออออรุกมากๆหน่อยสิ บก. เอาให้หวานจ๋อยไปเลย หึหึ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ย้ายบ้านมาคอยชาร์ตมือถือเลยสุภาพงษ์

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อยู่บ้านเดียวกันมือถือไม่ต้องก็ได้มั้ง

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3

ออฟไลน์ Heisei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
กำลังลุ้นเลยอ่าาาาาา

สงสัยจะอีกนานเนอะ...เฮ้อ ~

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ชอบแนวนี้จังเลย ><
คนมีอายุนี่อ่านกี่ทีก็ชื่นใจ ฮ้า~

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
'เขาพูดไม่เก่ง แต่จับมือเก่งนะ' ...กร๊ากกกกก
ปากไม่ว่า แต่มือไปแล้วนะคุณสุภาพงษ์ ฮุๆ

คู่นี้เค้าไปแบบกระดื๊บกระดื๊บจริงๆนั่นแล

ออฟไลน์ bluerose

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกมากเลยค่ะ ชอบจังเลย ซึนๆอึนๆกันไปตามเรื่อง ที่เค้าก็รักของเค้าเนอะ >//<

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด