เป็นไงคะตอนที่แล้ว ผิดคาดกันสินะ คิดว่าเป็นผีหนุ่ม หุ ๆ เรื่องนี้แต่แรกเน้นจะเขียนใส ๆ บรรดาสาว ๆ ก็เลยเยอะไปนิด (แต่แน่นอน พวกเธอไม่ใช่นางเอก แต่เป็นบอดี้การ์ดและพี้เลี้ยงของน้องตุลต่างหาก)
ส่วนใครลุ้นพระเอก .....ถ้าจะบอกใบ้ว่า เขาออกมาแล้วล่ะ จะเป็นยังไง หุ ๆ ..... เดาได้ไหมคะว่าใคร?
เอาน่า เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล นาน ๆ จะเขียนอะไรใส ๆ สักทีน้อ เลยไม่ค่อยได้เน้นเรื่องความรักระหว่าง หนุ่ม-หนุ่ม นัก (แต่รับรองว่ามีหวาน ๆ ให้ชวนยิ้มแน่ค่ะ) หวังว่าคงจะยังตามอ่านกันอยู่นะคะ 
ป.ล. ตอนแรกก็ลังเลกับพระเอกคนนี้ แต่คิดไปคิดมา เอาน่า ....เหมาะดี(มั้ง) หุ ๆ
------------------------------------
ม่านราตรี
บทที่ 5
ผีสาวตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ทางด้านร่างโปร่งใสของกริชยกยิ้มเย็นชานิด ๆ ที่มุมปาก แล้วจึงตอบกลับ
“ถ้าเธอจะทำอย่างนั้น ก็ต้องผ่านฉันไปก่อน... ถ้าผ่านได้ล่ะนะ”
กริชกระโดดเพียงเบา ๆ ก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าของวิญญาณสาวอย่างน่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มจับคอเสื้อของอีกฝ่ายกระชากเข้ามา แล้วเหวี่ยงเจ้าหล่อนลงไปกับพื้นด้านล่าง
แผ่นดินสะเทือนพร้อมเสียงดังตุบ เวลาเดียวกับที่ร่างวิญญาณตกลงมากระแทกกับพื้นเต็มแรง จนเกิดรอยยุบลงไป ราตรีกระอักออกมาด้วยความจุกและเจ็บปวด
“อะ...อากริช...”
ตุลาเรียกชื่ออาของเขาเสียงสั่น พลางกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นอาของตนลงมือรุนแรงกับอีกฝ่ายขนาดนั้น และพอราตรีขยับกาย กริชก็พุ่งลงมา แล้วจ่อฝ่ามือเรืองแสงที่ใบหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้ซีดเผือด เพราะความต่างชั้นกันเกินไปกับอีกฝ่าย
“ตุล! ห้ามอานายทีเร็ว เขาจะฆ่าราตรีทิ้งแล้ว!”
เสียงของรุ้งพรายตะโกนเรียกชื่อชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่กับที่อย่างตกใจ ส่วนพาทิศนั้นมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างลุ้นระทึก เขาไม่ได้ห้ามเช่นรุ้งพราย เพราะรู้สึกถึงการตัดสินใจบางอย่างที่ชายคนนั้นมี และความผิดปกติของวิญญาณเพื่อนสาวที่เกิดขึ้น
กริชนั้นเหลือบไปมองร่างแมวดำที่ตะโกนขอร้องหลานชายของเขา ริมฝีปากกระตุกยิ้มนิด ๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นเฉยชาตามมา
“ช่วยไม่ได้... ใครใช้ให้เธอคิดร้ายกับหลานชายของฉัน ...วิญญาณร่อนเร่อย่างเธอ จะมีฤทธิ์มาสู้กับวิญญาณคุ้มครองมนุษย์อย่างฉันได้ยังไงกัน”
จากนั้นฝ่ามือเรืองแสงก็ค่อย ๆ เลื่อนมาที่รำคอเรียวแล้วลงมือเพิ่มแรงบีบมันทีละน้อย
“อาครับ! อย่าฆ่าเธอเลยครับ ได้โปรดเถอะครับ!”
ตุลาพยายามจะเข้ามาห้าม แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อขาทั้งสองข้างขยับไม่ได้อย่างใจคิด
“ผู้หญิงคนนี้จะฆ่าตุลอยู่แล้วนะ ถ้าอาไม่มาช่วย ป่านนี้ตุลได้กระดูกออกนอกเนื้อไปบ้างแล้วล่ะ”
กริชพูดโดยไม่หันไปมองหลานชายตัวเอง ตุลาเงียบกริบสักพัก แต่ก็ยังคงตัดสินใจขอร้องอาของตนต่อไป
“ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโกรธเกลียดผมขนาดนั้น ...แต่เรื่องที่เขารักคฤหาสน์หลังนี้ และรักเจ้าของคนเก่าแค่ไหน ผมเข้าใจดีครับ...ผมเข้าใจดี...”
ตอนที่ถูกบีบคอเกือบตายนั้น ตุลารู้สึกเหมือนตัวเองจะเห็นภาพเลือนรางบางอย่าง ภาพนั้นเป็นภาพของหญิงสาวที่กำลังทำร้ายเขา แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนใกล้ ๆ ชายชราคนหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่แสนงดงามอย่างที่ตุลาไม่เคยได้เห็นจากใครมาก่อน
กริชชะงักมือของตน เขายิ้มน้อย ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินคำพูดของหลาน แต่มือที่บีบคอของหญิงสาวกับบีบแน่นไปอีก เสียงปิ่นสุดากับรุ้งพรายตะโกนร้องห้าม แม้แต่พาทิศตอนนี้ก็เริ่มเฉยรอดูสถานการณ์ไม่ไหว เมื่อเห็นสภาพทรมานของเพื่อนสาวที่อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปีเบื้องล่าง
และก่อนที่คนอื่นจะทำอะไรลงไป ร่างของราตรีก็กระตุกเฮือก แล้วจึงมีควันสีดำลอยออกมาจากปากของหล่อน กริชยิ้มที่มุมปากนิด ๆ แล้วจึงปล่อยมือที่ลำคอของผีสาว เปลี่ยนไปจับหมับที่ควันดำนั้น ก่อนลากมาให้พ้นจากร่างที่นอนนิ่งอยู่
“นี่ล่ะตัวการที่ทำให้เธอคลุ้มคลั่งไป ...พวกเธอก็เหมือนกัน ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี จะถูกอาถรรพ์ของที่ดินผืนนี้กลืนกินเอาได้ และแปรเปลี่ยนพวกเธอให้กลายเป็นวิญญาณร้ายไปเช่นนี้”
พอกล่าวจบกริชก็ใช้มือเรืองแสงของตนบีบหมับที่กลุ่มก้อนสีดำ มันส่งเสียงกรีดร้องทรมาน แล้วค่อย ๆ สลายลงไปในที่สุด จากนั้นตุลาก็เริ่มขยับได้ เขาวิ่งมาดูราตรี แล้วเหลือบมองผู้เป็นอาด้วยสายตาตั้งคำถาม
“ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยแล้ว อาก็แค่ชำระล้างความอาฆาตแค้น ที่ทำให้หล่อนกลายเป็นวิญญาณร้ายทิ้งไปเท่านั้น แต่ถ้าไม่ทำรุนแรงแบบนี้ เจ้านั่นก็ไม่ยอมออกมาให้จับตัวง่าย ๆ หรอก”
ตุลานิ่งเงียบฟัง เขาจ้องร่างวิญญาณของชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง แล้วหมายจะตรงเข้าไปจับแขนร่างนั้น แต่ก็คว้าได้แค่เพียงความว่างเปล่า เมื่อร่างของกริชขยับหนีถอยไป
“อากริช...ทำไมล่ะครับ...”
น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ นัยน์ตาสีดำคลอวาววับไปด้วยหยาดน้ำใส ร่างวิญญาณของชายหนุ่มแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะบอกกับผู้เป็นหลาน
“ยิ่งจับต้องตัวตนได้ก็ยิ่งอาลัยอาวรณ์กันมากเปล่า ๆ ... ถ้าไม่เพราะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตุล อาก็ไม่อยากปรากฏกายให้ตุลเห็นแบบนี้หรอก”
“ทำไมล่ะครับ ...”
ตุลาถามเสียงแผ่ว เพราะตลอดเวลาเขานั้นอยากจะเจอกริชมาตลอด แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วก็ตาม
“เพราะตอนนี้อาเป็นเพียงวิญญาณคุ้มครองของหลานเท่านั้น และอาก็รู้ดีว่าหลานน่ะกลัวผีขนาดไหน อาพูดถูกไหม”
ตุลาชะงัก ก่อนที่น้ำตาใส ๆ จะเริ่มไหลอย่างหยุดไม่อยู่
“ผมกลัวผีก็จริง...แต่ถ้าเป็นอากริช ...ต่อให้มาในรูปร่างแบบไหน ...ผมก็ไม่กลัวหรอก!”
“แน่ใจนะ?”
กริชย้อนถาม แล้วร่างกายจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเน่าเฟะ พุพอง จนรุ้งพรายและปิ่นสุดาที่มองอยู่ยังร้องอี๋ ส่วนพาทิศต้องเบือนหน้า ฝ่ายตุลาตาเบิกกว้าง เขาถอยหลังไปก้าวสองก้าวด้วยความหวาดกลัว แต่พอเห็นรอยยิ้มเศร้า ๆ ของผู้เป็นอา ก็ทำให้เขากัดฟันแน่น แล้วพุ่งตรงไปกอดร่างนั้นไว้
“ถึงยังไงผมก็รักอามากนะครับ ...ถ้าเลือกได้ ผมอยากให้อาอยู่ แล้วผมตายแทนด้วยซ้ำ!”
กริชชะงักกึก ก่อนจะกลับกลายเป็นเป็นรูปลักษณ์แบบเดิม แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ศีรษะของหลานชายสุดที่รักของตนอย่างอ่อนโยน
“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะตุล ...ชีวิตของตุลมีค่ามาก ตุลเป็นที่รักของพ่อ ของแม่ และของอา ...ดังนั้นตุลต้องรักษาชีวิตตัวเองให้ดี อย่าคิดไปตายแทนใครง่าย ๆ รู้ไหม?”
“แต่อาเป็นที่รักยิ่งกว่าตุล... ทุกคนที่รู้จักอา รักอาทั้งนั้น ...แล้วก็ไม่อยากให้อาต้องตายเหมือนกัน”
ตุลาสะอื้นตอบ กริชยิ้มน้อย ๆ แล้วจับร่างของอีกฝ่ายดันออก ก่อนจะเอ่ยทวงสัญญาบางสิ่ง
“จำได้ไหม ใครเคยสัญญากับอาว่า ถ้าอาเขียนนิยายไม่ได้อีกต่อไป เขาคนนั้นจะเขียนนิยายแทนอาน่ะ”
ตุลาชะงัก แล้วพยักหน้ารับ
“จำได้ครับ ผมรับปากกับอาไว้ ว่าจะเขียนนิยายแทนอาให้ได้”
“ดี...เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องอดีต เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ให้ตุลคิดถึงแค่เรื่องอนาคตก็พอ เข้าใจไหม”
ตุลาปาดน้ำตาของตน ก่อนจะแย้มยิ้มพยักหน้ารับคำหนักแน่น
“ครับ!”
“เด็กดี...”
กริชจับหัวของอีกฝ่ายโยกไปมาอย่างเอ็นดู แล้วจึงมองสภาพรอบ ๆ ของคฤหาสน์ม่านราตรีแห่งนี้
“ที่นี่มีพลังวิญญาณแรงจังนะ แม้แต่อาเองก็ยังสามารถออกมาให้ตุลเห็นรูปลักษณ์และสัมผัสร่างของตุลได้ ...แต่กลับกันก็ต้องระวัง ถ้าอ่อนไหวง่าย ก็จะโดนเล่นงานได้เหมือนผู้หญิงคนนี้”
พอกริชพูดถึงราตรีก็ทำให้ตุลาขอผละไปดูอาการหล่อน ส่วนรุ้งพรายพอเริ่มขยับได้ก็กระโดดลงมาด้านล่าง ตรงไปหาเพื่อนสาว เช่นเดียวกับพาทิศ ส่วนปิ่นสุดานั้นคอยมองดูอยู่ห่าง ๆ เพราะเธอขึ้นจากบ่อตอนกลางวันไม่ได้
“ราตรี เป็นไงบ้าง?”
รุ้งพรายถามอย่างเป็นห่วง และเหลือบมองกริชอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เพราะชายหนุ่มลงมือรุนแรงกับเพื่อนของเธอค่อนข้างหนักเอาการ
“คุณราตรีครับ...ได้ยินผมไหมครับ?”
สัมผัสอันอบอุ่นผ่านมือของตุลา ทำให้ร่างของวิญญาณสาว ค่อย ๆ ปรือตาฟื้นขึ้นมามอง เธอเห็นตุลาและกริชที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลันในความทรงจำของเธอ ก็ฉายให้เห็นภาพของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ซ้อนทับร่างของตุลาอีกที
“เด็กน้อยตอนนั้น...คือเธอเองหรอกหรือ”
“ราตรีเธอจำเขาได้แล้วสินะ!”
รุ้งพรายบอกอย่างดีใจ วิญญาณสาวดันกายลุกขึ้นนั่งแล้วคิดทบทวนกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ ก่อนจะก้มหัวขอโทษกับกริช
“ขอโทษค่ะ...ที่ทำเรื่องร้ายกาจกับหลานของคุณลงไป ...ขอโทษจริง ๆ”
ท่าทางอ่อนโยนสุภาพ ผิดเป็นคนละคน ทำให้ตุลาเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตามมา แล้วเอ่ยขัดขึ้น
“ผมไม่เป็นไรครับ ยังปลอดภัยครบสามสิบสอง เพราะฉะนั้นคุณราตรีก็อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ”
“หลานฉันเขาเป็นสุภาพบุรุษเหมือนฉันนี่ล่ะ เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ต้องคิดมากนักหรอก”
รุ้งพรายเหลือบมองพลางค้อนขวับให้กริชอย่างหมั่นไส้ เพราะสุภาพบุรุษที่ว่าเล่นงานเพื่อนของเธอหนักเสียจนเธอคิดว่าเขาจะฆ่าเพื่อนของเธอจริง ๆ ด้วยซ้ำ
“เป็นแบบนี้นานแล้วสินะ ราตรี พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า อาถรรพ์ที่ดินผืนนี้จะเล่นงานให้เธอเปลี่ยนไปได้ ...ตอนอยู่กับคุณจอมเดช ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้นแท้ ๆ”
พาทิศพูดขึ้นบ้าง เขาฉุดร่างเพื่อนสาวให้ลุกขึ้นยืน ร่างวิญญาณของราตรีไม่ได้บอบช้ำอันใดนักอย่างที่น่าห่วง ตรงกันข้ามกันดูสดใสผิดหูผิดตา ต่างจากเมื่อหลายปีก่อน
“ฉันเองก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน ...รู้แต่ว่า ยิ่งคิดถึงเขา ก็ยิ่งเจ็บปวด อยากเจอเขาอีกสักครั้ง ...ถึงเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้ความทรงจำเก่า ๆ ไม่ถูกรบกวนหรือทำลายลงไปก็ยังดี ...ฉันอยากเก็บความสุขที่อยู่กับเขาไว้กับตัวเองแบบนี้ ...ไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไป ...พอคิดแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าสติของตัวเองจะเริ่มรางเลือนลงทุกที จนสุดท้ายก็เผลอทำในสิ่งที่ไม่น่าอภัยลงไป หลายต่อหลายครั้ง”
ราตรีบอกกับเพื่อนของเธอ แล้วร้องไห้อย่างเสียใจ ตุลาพอเห็นเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก กริชยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของหลานชายของตน
“คุณจอมเดชน่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ปรารถนาให้พวกเธอทุกคนมีความสุข ถึงแม้จะไม่ใช่มนุษย์ แต่ทุกคนก็คือครอบครัวของเขา ฉันว่าเขาคงไม่ต้องการให้พวกเธอจมทุกข์กับความทรงจำเก่า ๆ แต่ต้องการให้พวกเธอร่วมกันสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ที่แสนสุขร่วมกันตลอดไปมากกว่า ...”
กริชยังคงจำได้ดีถึงเรื่องที่เคยได้สนทนากับจอมเดชเมื่อสิบปีก่อน ชายชราผู้นั้นมอบความรักให้กับภูตผีปีศาจเหล่านี้ ดุจดังเป็นครอบครัวเดียวกัน ด้วยความรู้สึกจากหัวใจของเจ้าตัวอย่างแท้จริง
“ฉันไม่ได้บอกให้พวกเธอลืมเขา แต่ฉันอยากให้พวกเธอมีความสุขให้มาก ๆ เผื่อเขาที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับมันอีกต่อไปแล้ว ...”
ราตรีเงยหน้าฟังคำพูดอันอ่อนโยนของกริช ก่อนจะน้ำตาไหลพราก พลางพยักหน้ารับรู้ รุ้งพรายกับปิ่นสุดานั้นนิ่งเงียบรับฟังน้ำตาซึม ส่วนพาทิศแย้มยิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณชายหนุ่มแผ่วเบา
ทางด้านตุลาเฝ้ามองผู้เป็นอาอย่างปลาบปลื้มไม่วางตา ก่อนจะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อย เขาวูบไปเกือบจะล้มฟาดพื้น แต่ได้พาทิศที่อยู่ใกล้ช่วยประคองไว้ได้ทันก่อน
“เกิดอะไรกับตุลหรือคะ?”
รุ้งพรายถามอย่างเป็นห่วงใยในตัวเพื่อนใหม่ของเธอ กริชมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจึงบอกเบา ๆ
“ไม่เป็นไร เขาก็แค่อ่อนเพลีย ร่างกายตุลอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพิ่งจะมาแข็งแรงในระยะหลัง ๆ นี่ล่ะ ...แต่ระวังไว้สักหน่อยก็ดี ฝากพวกเธอดูแลเขาด้วย ...ฉันจะพักสักหน่อย ถ้าตุลถามถึงฉัน บอกว่าฉันใช้พลังวิญญาณไปมาก ต้องทำการพักฟื้น และถ้าค่อยยังชั่ว ฉันจะปรากฏกายให้เขาเห็นเอง”
จากนั้นร่างวิญญาณของชายหนุ่มก็หายไปในร่างของตุลา ราตรีมีสีหน้ากังวลและเฝ้าพึมพำโทษตัวเอง จนรุ้งพรายในร่างแมวดำที่กระโดดมาเกาะบ่าของพาทิศบ่นใส่
“มันช่วยไม่ได้นี่ แบบหมอนั่นบอกยังไงล่ะ! เรื่องมันผ่านมาแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราก็ปรับปรุงตัวใหม่ได้นี่!”
ราตรีเหลือบมองปีศาจแมวสาว เธอพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา
“เขาจะยอมรับฉันเป็นเพื่อน เหมือนยอมรับพวกเธอไหม ...”
ราตรีมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนพาทิศต้องอมยิ้มน้อย ๆ มองร่างที่สลบไปในอ้อมแขน แล้วจึงตอบคำถามนั้น
“ต้องยอมรับสิ ...เด็กคนนี้เป็นคนที่พวกฉัน และคุณจอมเดชให้ความไว้วางใจเชียวนะ”
วิญญาณสาวฟังคำตอบของเพื่อน แล้วก็ต้องหวนคิดถึงคำพูดของชายชราในวาระสุดท้าย เขาคนนั้นบอกกับเธอที่พยายามรั้งเขาให้อยู่ต่อว่า ถึงเขาจะจากไป แต่สักวัน จะมีคนที่เหมือนเขามาแทน และคนนั้นจะต้องเป็นเพื่อนกับทุกคนได้แน่ ๆ ... หากทว่าในตอนนั้นเธอเศร้าเสียใจมากกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของคนที่เธอรักและเคารพ จึงไม่ได้สนใจถ้อยคำทิ้งท้ายนั่น แต่มาวันนี้เธอพอจะรู้แล้วว่า จอมเดชนั้นหมายถึงผู้ใดกัน...
“คฤหาสน์ม่านราตรี จะกลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้งสินะ...”
ราตรีพึมพำ แล้วมองสภาพรกร้างรอบ ๆ บริเวณของคฤหาสน์อย่างมีความหวัง
“ก็คงอย่างนั้น...ง่า แต่ต้องปรับปรุงกันหนักเลยทีเดียว โดยเฉพาะประตูห้องเก่าของคุณจอมเดชน่ะ”
พาทิศบอกเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งได้พังประตูห้องไปหนึ่งบานหมาด ๆ
“หวังว่าคงไม่รู้ถึงหูยัยคุณนายแม้นศรีนะ ไม่งั้นตุลโดนจ่ายค่าปรับอื้อซ่าแน่”
รุ้งพรายบอกอย่างสงสารชายหนุ่มผู้เป็นมนุษย์คนเดียวของบ้าน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ ของเพื่อนสาวอีกคน เจ้าหล่อนกระโดดแผล็วลงจากบ่าของพาทิศตรงไปหาปิ่นสุดาที่บ่อน้ำทันที
“เป็นอะไรไปปิ่น ...หา! ไม่มีคนสนใจเธอเลย! โธ่วุ้ย! เอาน่า ๆ ไว้ตอนกลางคืนจะเริ่มปรึกษาใหม่ โดยมีเธอเข้าร่วมด้วย ตกลงไหม หยุดร้องได้แล้วน่า!”
รุ้งพรายกึ่งปลอบกึ่งบ่น กึ่งโวยใส่เพื่อนสาว โดยมีพาทิศและราตรีมองตามไปยิ้ม ๆ ทางด้านพาทิศนั้นดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของราตรีอีกครั้ง เขามองชายหนุ่มในอ้อมแขนด้วยความเอ็นดู ก่อนจะช้อนร่างของเจ้าตัวกลับขึ้นห้องนอน เพื่อให้ตุลาได้พักผ่อนตามที่กริชฝากฝังเอาไว้
“ฮึก...อากริช...ตุลทรมานจัง ...ตุลจะตายไหมครับ...”
ร่างเล็ก ๆ ที่หน้าแดงเพราะพิษไข้รุมเร้า ถามผู้เป็นอาที่เฝ้าไข้ จนคนฟังเม้มปาก แล้วจับมือข้างหนึ่งของเด็กชายขึ้นมาเกาะกุมไว้
“ไม่มีทาง! อาไม่ยอมปล่อยให้ตุลเป็นอะไรไปแน่!”
กริชบีบมือของหลานชายแน่น เขาหลับตาคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะลืมตาขึ้น แววตาฉายการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้ติดตรึงประทับในความทรงจำของตุลาที่นอนป่วยอยู่ในตอนนั้น จนถึงวันนี้
“อืม...อากริช”
เสียงละเมอของตุลา ทำให้ร่างโปร่งแสงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชะงัก แล้วจึงใช้มือใหญ่ลูบไล้ศีรษะของอีกฝ่ายแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงนะตุล ...อาจะไม่ยอมให้ตุลเป็นอะไรอีกเด็ดขาด”
กริชพึมพำกับร่างที่หลับอยู่ สักพักใบหน้าที่ดูทรมานนั่นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้ม แล้วหลับต่อไปอีกอย่างสงบ สร้างความสบายใจให้กับร่างโปร่งใส ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อย ๆ อันตรธานไปจากห้องนั้น เหลือแต่เพียงเจ้าของห้องที่นอนหลับสบาย ไปจนกระทั่งเวลาเย็นมาถึง
--- TBC ---