ม่านราตรี
บทที่ 2
“แค่ก ๆ”
เสียงไอของร่างเล็กบนเตียงทำให้ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ชะงัก เขาวางหนังสือลง แล้วรีบลุกเดินไปดูอาการอีกฝ่ายทันที
“เป็นอะไรมากไหมตุล ...หิวน้ำไหม เดี๋ยวอารินให้”
“...อากริชครับ ตุลทรมานจังเลย... เมื่อไหร่ตุลจะแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขาบ้างล่ะครับ”
คำถามจากร่างเล็กที่นอนซมเพราะพิษไข้ ทำให้ผู้เป็นอาชะงัก แล้วฝืนยิ้มเศร้าให้กับหลานชายสุดที่รักของตน
“สักวันนะตุล ...สักวันหลานต้องแข็งแรง และไม่ต้องทรมานแบบนี้อีก อาสัญญา อาจะหาทางช่วยหลานให้ได้เอง”
พอผู้เป็นอาพูดจบร่างเล็กนั้นก็แย้มยิ้มทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยพิษไข้ ก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง โดยมีสายตาห่วงใยของอีกคนจับจ้องมองอยู่ไม่ห่าง กลิ่นดอกราตรีหอมฟุ้งโชยเข้ามาแตะจมูก แม้เจ้าของห้องจะไม่ได้เปิดประตูกระจกทิ้งไว้ กลิ่นมันแรงเสียจนคนไม่คุ้นเคยอย่างตุลาต้องงัวเงียลุกขึ้นมานั่งมองไปที่ผ้าม่าน เขาถอนหายใจเบา ๆ หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันถึงวัยเด็กที่แทบจะลืมไปแล้ว ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้บนหัวเตียง ปลายเข็มเรืองแสงในความมืด บ่งบอกว่าเวลานี้เป็นเวลาราวตีสาม แต่ชายหนุ่มนั้นกลับไม่ง่วงนอนอีกต่อไป เพราะกลิ่นฉุนที่ไม่คุ้นเคย และบรรยากาศห้องใหม่ซึ่งยังไม่คุ้นที่คุ้นทางเช่นนี้ มันช่วยทำให้เขาตาสว่างขึ้นมาได้ชะงัด
“หนาวแฮะ”
พอตื่นเต็มตัว ชายหนุ่มก็ต้องห่อไหล่ เมื่อเจ้าแอร์เก่า ๆ ที่ยังคงทำงานได้อย่างน่าทึ่ง แม้จะดูอายุการใช้งานน่าจะติดตั้งมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม
ตุลาตัดสินใจปิดเครื่องปรับอากาศในห้อง แล้วเปิดพัดลมตั้งโต๊ะมุมห้องตัวเล็กแทน พอเสียงมอเตอร์จากเครื่องปรับอากาศเงียบหายไป ความเงียบงัน และเสียงสายลมพัดกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีไปมาก็ดังขึ้นแทนที่
“แต่งนิยายต่อก็ได้วะ”
ชายหนุ่มพึมพำ ยังไงก็นอนไม่หลับแล้ว ขืนนั่ง ๆ นอน ๆ เงียบ ๆ ไปแบบนี้ ก็รังแต่จะทำให้วิตกกังวลมากเกินไปเสียเปล่า
ทว่าระหว่างที่กำลังจะหยิบโน้ตบุคคู่ใจขึ้นมาใช้งาน ตุลาก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงกรอกแกรก ตึงตังเบา ๆ ดังแว่วมาจากชั้นล่าง แวบแรกเขานึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ แต่แล้วก็ต้องรีบสลัดความคิดแรกนั้นไป เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่น่ากลัวมากกว่า
‘ขโมย?’
จริงอยู่ แม้ภูตผีปีศาจจะน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนอย่างตุลา มนุษย์ด้วยกันเองนั่นล่ะ ที่ยังน่ากลัวกว่ากันอยู่มาก
ตุลาสูดลมหายใจเข้าปอดรวบรวมความกล้า เขาพกไฟฉายไปกระบอกหนึ่ง ในห้องไม่มีอุปกรณ์อะไรให้ป้องกันตัวได้เลย เขาจึงติดไปแค่โทรศัพท์มือถือ เผื่อถ้าเป็นโจรจริง ๆ ก็ยังโทรเรียกตำรวจได้ทัน
“ใจเย็น ๆ ตุลา ...ใจเย็น ๆ”
ชายหนุ่มปลอบตัวเองระหว่างค่อย ๆ แง้มบานประตู เดินย่องออกไป เขาหรี่ไฟฉายเป็นไฟสว่างน้อยสุดให้เห็นเพียงแค่ทางเดินเท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ ย่องเบาให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังทางลงตรงบันได ทว่ายิ่งใกล้ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงจากชั้นล่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มฟังชัดว่าเสียงนั้นมีเสียงพูดคุยของคนปะปนมาด้วย
“ขโมยแน่ ๆ ทำไงดีวะ”
ตุลาเม้มปากนิ่งก่อนจะตัดสินใจกึ่งย่องกึ่งไต่คลานลงบันไดไปให้เบาที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ แต่เพราะความมืดและความเกร็ง เท้าที่ก้าวลงบันไดของเขาจึงเหยียบพลาด จนเจ้าตัวเกือบเสียหลักกลิ้งลงไปด้านล่าง ทว่า...
“โฮ่! เกือบไปแล้วไหมล่ะ เธอเกือบเป็นคนเช่าคนแรก ที่ประสบอุบัติเหตุเสียตั้งแต่คืนแรกที่มาพักแล้วนะ ...ขืนเป็นแบบนั้น ที่นี่ก็คงเฮี้ยนหนักขึ้นไปอีกแน่”
เสียงทุ้ม ๆ ของผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักดังขึ้นจากด้านหลัง แขนข้างหนึ่งของคนพูดจับเอวของตุลารั้งเอาไว้ไม่ให้ ร่างนั้นเสียหลักกลิ้งตกไปกับบันไดอย่างที่ควรเป็น แต่คนถูกช่วยนิ่งอึ้งกับการปรากฏกายอย่างกะทันหันและไร้วี่แววมาก่อนของอีกฝ่ายมากกว่า
“อ๊ะ! พาทิศ ไม่ยุติธรรมนี่นา ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไปทักทายคนใหม่พร้อม ๆ กันไงเล่า!”
เสียงแหลมสูงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากชั้นล่าง ตุลามองตามต้นเสียงนั้นไป แล้วก็ต้องพบกับเด็กสาววัยรุ่น หน้าตาสะสวยคนหนึ่งมองขึ้นมา แต่นั่นกลับทำให้ตุลาเบิกตากว้างมากไปกว่าเดิมด้วยความตกตะลึง เพราะร่างเจ้าหล่อนนั้นเรืองแสง จนทำให้เห็นถนัดชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดก็ตาม
“ก็พวกเธอนั่นล่ะทำเสียงดังจนเขาต้องลุกขึ้นมาดู จนเกือบจะประสบอุบัติเหตุแบบนี้”
“ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ ปิ่นต่างหาก ที่อยากเจอเด็กคนนี้”
เด็กสาววัยรุ่นผมสั้นดำขลับคนนั้นชี้โบ้ยไปอีกคนที่อยู่ข้างเธอ อีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงผมยาวหยักศกถึงกลางหลัง วัยไล่เลี่ยกัน แต่ดูท่าทางขี้อายผิดปกติ เจ้าหล่อนก้มหน้าก้มตา ดึงแขนเพื่อนให้หยุดพูด ก่อนจะสบตากับตุลาแวบหนึ่งแล้วรีบหลบตาด้วยความอาย
“พะ...พวกคุณ เป็นใคร?”
ตุลาถามเสียงสั่น ทำให้ร่างทั้งสามชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ช่วยเขาไว้จะเอ่ยถามขึ้นก่อน
“เธอจำพวกเราไม่ได้จริง ๆ หรือ ... เราคิดว่าเธอกลับมา เพราะจำพวกเราได้แล้วเสียอีก?”
ตุลาชะงัก พยายามเอี้ยวกายหันไปมองอีกฝ่าย ผู้ชายที่ช่วยเขานั้นเป็นชายหนุ่มวัยน่าจะราว ๆ สามสิบ หน้าตาคมคายดูดี อีกฝ่ายจ้องมองเขานิ่ง เช่นเดียวกับตุลาที่จ้องตอบ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องเบิกตาค้าง อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อลูกตาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายค่อย ๆ หลุดออกมาจากเบ้า แล้วห้อยหมิ่นเหม่จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ต่อหน้าต่อตาเขา
“อ๊าก! จ๊าก! ว๊าก!”
ตุลาร้องแทบไม่เป็นประสา ผลักร่างนั้นให้ออกห่างด้วยความตกใจ จนลืมนึกไปว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงบันได และจากแรงผลักหนีออกมานั้น ก็ทำให้เขาพลัดร่วงตกจากบันไดทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของชายอีกคน
“ระวัง!”
เสียงนั้นร้องเตือนแล้วพยายามเอื้อมมือมาช่วย แต่ก็สุดปลายมือคว้า ในขณะที่ตุลาคิดว่าเขาคงจะโชคร้ายเข้าให้แล้วแน่ เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ พร้อมกับเสียงคุ้นเคยของใครบางคนกระซิบข้างหู
“อย่าใช้ชีวิตที่อาให้ไว้ สิ้นเปลืองแบบนี้สิตุล”
“อา...กริช”
ตุลาพึมพำเรียกชื่ออาของเขา ก่อนจะหมดสติไป จากนั้นเขาก็เริ่มเห็นภาพบางอย่างเลือนรางเบื้องหน้า...
“ที่นี่สวยจังเลยครับอา ผมขอไปวิ่งเล่นนะครับ”
“ก็ได้ ๆ แต่อย่าซนนักล่ะ เดี๋ยวเกิดไม่สบายอีก อาจะโดนพ่อของตุลว่าเอา”
ตุลาเห็นตัวเองในวัย 12 ปี กำลังขออนุญาตกริชไปวิ่งเล่นในสวนดอกราตรีอันคุ้นตา และเมื่อเพ่งมองดี ๆ เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ทั้งสภาพสวนและคฤหาสน์ที่ถึงแม้จะดูแตกต่างไปบ้างจากปัจจุบันนี้ แต่มันก็เป็นสถานที่แห่งเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน
มันคือคฤหาสน์ม่านราตรีที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้นั่นเอง! ตุลาหลับไปนานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่พอรู้สึกตัวตื่นก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจใกล้ ๆ กายเขาไม่ห่างนัก
“เขาจะเป็นอะไรไหมรุ้ง?”
เสียงหวาน ๆ ฟังดูนุ่มหูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงใส ค่อนข้างโผงผาง
“เธอถามฉันเป็นรอบที่สิบแล้วนะปิ่น เขาไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า ถ้าใกล้ตายเมื่อไหร่ พวกเราก็ต้องรู้สิ!”
“แล้วทำไมเขาไม่ฟื้นสักทีล่ะ”
เสียงเดิมถามขึ้นฟังดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“จะไปรู้เหรอ คงช็อกน่ะสิ ใครใช้ให้พาทิศทำตาหลุดใส่ให้เห็นแบบนั้นล่ะ นายก็เหมือนกันพาทิศ บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ซ่อมร่างซอมซ่อของนายให้มันดี ๆ สักที!”
สาวเสียงใสโพล่งขึ้น และดูเหมือนจะแขวะไปยังอีกคน ด้วยประโยคแปลก ๆ ที่ทำให้คนนอนแอบฟังไม่ยอมลืมตาตื่นอย่างตุลาขนลุกซู่
“ก็อะไหล่มันไม่ค่อยมีนี่ เดี๋ยวนี้คนเขานิยมเผามากกว่าฝัง ฉันก็เลยต้องรักษาร่างเก่านี่ไว้ ทำไงได้ ถ้าไม่มีร่างก็ทำความสะอาดคฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้น่ะสิ ลูกสะใภ้ของคุณจอมเดชน่ะหรือ จะมาลงทุนทำความสะอาดให้ จะทำก็แค่ตอนมีคนมาเช่าล่วงหน้าวันสองวันพอเป็นพิธีเท่านั้นล่ะ”
“พูดถึงยัยสะใภ้จอมงกนั่นแล้วเจ็บใจไม่หาย นี่ถ้าไม่ได้พินัยกรรมของนายท่านช่วยไว้ ป่านนี้พวกเราโดนไล่ที่หมดแล้ว ...หือ มีอะไรหรือปิ่น?”
เด็กสาวหันมาถามเพื่อนอย่างสงสัย เมื่อแขนถูกสะกิด และเมื่อมองตามมือของอีกฝ่ายชี้ไป เธอก็เห็นหนังตากระตุก ๆ ของชายหนุ่มที่นอนสลบบนเตียง จึงทำให้เด็กสาวร้องอ๋อเบา ๆ แล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้าง ๆ หูของอีกฝ่าย
“ถ้ายังแกล้งหลับอีก แม่จะจับแหกอกควักไส้ออกมากินเลย คอยดูสิ ฮิ ๆ ๆ”
“จ๊าก! อย่าทำผมเลยครับ ผมกลัวแล้ว! พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย!”
ตุลาหลับตาปี๋ยกมือไหว้ท่วมหัว จนคนแกล้งแหย่ ต้องระเบิดเสียงหัวเราะหวานใสออกมาอย่างขบขัน
“บ้า! ใครเค้าจะทำเรื่องป่าเถื่อนแบบนั้น!”
“พะ...พวกเราไม่ทำร้ายใครหรอกค่ะ...อย่ากลัวเลยนะคะ”
เด็กสาวที่ชื่อปิ่นบอกขึ้นบ้าง จนตุลาเริ่มใจชื้นขึ้น
“พวกคุณเป็นผี?”
คำถามของชายหนุ่มทำให้ทั้งสามมองหน้ากัน แล้วเด็กสาวที่ถูกเรียกว่ารุ้งจึงเป็นคนตอบคำถามนั้นของตุลาพร้อมกับแนะนำตัวเองและพรรคพวก
“อือฮึ ผีเหรอ? จะเรียกแบบนั้นก็ได้หรอกนะ...เอาเป็นว่าพวกเราเป็นผีที่สิงอยู่ในคฤหาสน์ม่านราตรีแห่งนี้ เพราะที่นี่เป็นบ้านสำหรับพวกผีเร่ร่อนอย่างพวกเราน่ะ... ฉันรุ้งพราย เรียกรุ้งเฉย ๆ ก็ได้ ส่วนนี่ปิ่นสุดา เรียกเธอว่าปิ่นนะ แล้วเขา ชื่อพาทิศ เธอจะเรียกเขายังไงก็แล้วแต่”
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ ถึงการแต่งตัวและรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสามจะดูเหมือนคนทั่วไปมากเพียงใด แต่พฤติกรรมและสิ่งที่เขาเห็นมากับตา มันก็บ่งบอกแล้วว่าเรื่องที่อีกฝ่ายนั้นเล่าเป็นเรื่องจริง
“อะไรกัน ...แสดงว่าข่าวลือที่ชาวบ้านลือกันนั่นก็จริงน่ะสิ...”
ตุลาพึมพำด้วยความรู้สึกสับสน เขากลัวมากก็จริง แต่ท่ามกลางความกลัวนั้น มันกลับแฝงไปด้วยความพิศวง และขุ่นข้องใจ ทั้งเรื่องพินัยกรรมที่อาของเขาฝากฝังให้เช่าบ้านหลังนี้ รวมไปถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ด้วย
“จริงสิ! อาของผมล่ะ! ผมได้ยินเสียงอากริช ก่อนจะสลบไป...”
ตุลามองซ้ายมองขวาหาคนที่เขาอยากจะพบที่สุด ถ้าเป็นกริช ผู้เป็นอาที่เขาเคารพรักแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผี เขาก็ไม่คิดกลัวแต่อย่างใด
“พูดอะไรของนาย ฉันกับปิ่นเป็นคนช่วยนายก่อนจะหล่นกระแทกพื้นนะ ถ้าพวกฉันไม่ช่วยไว้ เผลอ ๆ นายได้มาเฝ้าบ้านอยู่กับพวกฉันไปแล้ว”
เด็กสาวที่ชื่อรุ้งพรายบอก ซึ่งคนอื่นก็พยักหน้ายืนยันตามมา ทำให้ตุลานิ่งอึ้ง พร้อมกับใบหน้าที่สลดลง
“คิดไปเองหรอกหรือ...”
ทั้งสามพอเห็นสีหน้าของตุลาเป็นเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากัน แล้วชายหนุ่มในกลุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“พวกฉันเองก็ไม่อยากทำให้เธอตกใจหรอกนะ ก็แค่อยากทักทายในฐานะคนเคยรู้จักมาก่อน ไม่คิดว่าเธอจะจำพวกเราไม่ได้ ...แต่เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ทำความรู้จักกันใหม่ได้อีกอยู่ดี เพราะเธอยังคงจะเช่าที่นี่ต่อ ...สินะ?”
พาทิศถามอย่างคาดหวัง ตุลามองชายหนุ่มที่ดูสุภาพอ่อนโยน และสาวน้อยทั้งสองที่น่ารักน่าทะนุถนอม อย่างพิจารณา ก่อนจะย้อนถามกลับไปแทน
“พวกคุณไล่คนเช่าคนก่อน ๆ ออกไปไม่ใช่หรือ ...แล้วทำไมถึงอยากให้ผมอยู่ต่อล่ะ?”
“ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่ฝีมือเราสักหน่อย!”
เสียงหวานแหลมสูงของรุ้งพรายดังขัดขึ้น ทำให้ตุลาสะดุ้ง แล้วหันไปมองหล่อน
“พวกนั้นหนีกันไปเองต่างหาก ขนาดไม่มีเซนส์ทางวิญญาณ ก็พากันกลัวโน่นกลัวนี่ คิดไปเองแท้ ๆ แล้วพอตัวเองประสบอุบัติเหตุในบ้าน ก็มาโทษพวกเรา บ้าชะมัด!”
เด็กสาวบ่น ๆ แล้วก็ทำหน้ามุ่ย ส่วนพาทิศก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวเสริมตามมา
“นั่นสิ ความจริงฉันอยากให้มีคนเช่านะ บ้านหลังนี้จะได้ไม่โทรม แล้วถ้าคนเช่าเขารักบ้านหลังนี้ได้ ก็จะยิ่งดี พวกเราก็จะได้อยู่ร่วมกันกับเขาอย่างมีความสุข เหมือนสมัยก่อน...”
ชายหนุ่มทำหน้าย้อนคิดถึงความหลัง สีหน้านั้นช่างมีความสุข จนทำให้ตุลาเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างไม่คิดระแวง
“นะ...นั่นสิคะ...ถึงจะมีบางคนที่ถูกทำให้ออกไป เพราะพวกเราบางคนก็ตาม ...แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่หลอกหลอนใครนะคะ”
ปิ่นสุดาพูดขึ้นมาบ้าง ถึงแม้เธอจะพูดตะกุกตะกักและเสียงค่อยด้วยความขี้อาย แต่คำพูดของเธอก็ทำให้ตุลาหันขวับไปมองอย่างตกใจ
“หมายความว่าไงครับ?”
“กะ...ก็...”
ปิ่นสุดาหน้าแดง พูดอะไรไม่ถูกแล้วรีบหลบไปอยู่หลังรุ้งพรายทันที เด็กสาวอีกคนทำท่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ สบตากับพาทิศ แล้วจึงตัดสินใจเล่าความจริงออกไป
“ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี รู้เลยวันนี้ก็ดีเหมือนกัน!”
รุ้งพรายบอกแล้วเหลือบมองคนฟังที่ยังคงมีท่าทางสนใจไม่เปลี่ยน เจ้าหล่อนจึงเริ่มเล่าต่อ
“นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีวิญญาณในคฤหาสน์นี้อีก 1 ราย ...รายนั้นน่ะ รักคฤหาสน์นี้มาก แล้วเขาก็ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนก็ตาม เข้ามาอยู่ที่นี่ ...ถ้าเขาไม่ยอมรับล่ะนะ”
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ ลำพังแค่มีผีโผล่มาสาม เขาก็อยากจะเผ่นกลับบ้านอยู่ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผีดี ก็ยังพอทำใจยอมรับได้บ้าง แต่ลองมาได้ยินแบบนี้เข้า เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ดีหรือไม่
“ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะดูแลเธอเอง แล้วจะพยายามอธิบายให้คนนั้นเข้าใจ”
“อือ! อย่างที่พาทิศบอกนั่นล่ะ นาน ๆ จะเจอมนุษย์ที่มีประสาทสัมผัสที่หกดี มองเห็นวิญญาณได้ เหมือนนายท่านทั้งที”
“นายท่าน?”
ตุลาทวนคำถามอย่างสงสัย เพราะสังเกตดูสีหน้าของรุ้งพราย เธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยน ยามเมื่อพูดถึงนายท่านที่ว่า
“เจ้าของคฤหาสน์คนเก่าน่ะ แต่เสียชีวิตไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว”
พาทิศตอบคำถามนั้นให้แทน ทำให้ตุลาชะงัก แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ขอโทษนะครับ ถ้าจะทำให้คิดถึงเรื่องเศร้า ๆ”
พาทิศนิ่งเงียบ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบา ๆ
“เด็กดี ...เธอไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลยนะ ตุล”
ตุลามองชายหนุ่มที่เคยบอกว่ารู้จักเขามาก่อนตาปริบ ๆ เขาจำไม่ได้หรอกว่าเคยเจออีกฝ่ายมาก่อน แต่ในความฝันก่อนหน้านั้น ก็แสดงว่าเขาอาจจะเคยมาที่นี่จริง ๆ ก็เป็นได้
“ผมเคยเจอพวกคุณจริง ๆ ใช่ไหม?”
ตุลาถามกลับแผ่วเบา คนอื่น ๆ สบตากันแล้วยิ้มอ่อนโยนให้
“อืม...อายุของเธอตอนนั้นก็ราวสิบกว่าปีได้ ฉันก็นึกว่าเธอจะจำได้เสียอีก...แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ความทรงจำน่ะ เราสร้างร่วมกันใหม่ได้เสมออยู่แล้ว”
พาทิศบอกแล้วยิ้มให้ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มทีแรกก็ยิ้มตอบ แล้วจึงค่อย ๆ เบิกตากว้าง ก่อนจะหงายผึ่งเป็นลมล้มตึงไปอีกครั้ง
“กรี๊ด! พาทิศ เอาอีกแล้วนะ! ไปซ่อมลูกตานายให้ดี ๆ เลย! โธ่! นายตุลนี่ก็เหมือนกัน ขวัญอ่อนจริง ๆ เจอซ้ำอีกครั้งน่าจะมีภูมิต้านทานได้แล้วนะ! โอ๊ย! บอกแล้วไงปิ่น ว่าเขาไม่เป็นอะไรแน่ไงเล่า!”
รุ้งพรายโวยวายลั่นเมื่อเพื่อนร่วมชายคาอาศัยแต่ละรายทำให้เธอหัวปั่น ตั้งแต่อีตาซอมบี้ที่ร่างกายผุ ๆ พัง ๆ ไม่ค่อยสมประกอบ รวมไปถึงเพื่อนสาวขี้กลัวและขี้อาย ที่ถูกชะตาเพื่อนร่วมอาศัยคนใหม่คนนี้เข้าให้เต็มเปา
สงสัยนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป คงจะมีแต่เรื่องปวดหัววุ่นวายตามมาอีกมาก หลังจากที่พวกเธอต้องทนนั่งแกร่ว อยู่เฝ้าบ้านร้างหลังนี้มาหลายปีตามลำพังกันเอง จนกระทั่งถึงวันที่ได้เจ้าของบ้านคนใหม่อย่างตุลา ถึงจะเป็นเพียงแค่เจ้าของบ้านชั่วคราว แต่แค่เพียงวันแรก เขาก็ทำให้พวกเธอหายเหงาเข้าให้เสียแล้ว และในวันถัดไปอีกเล่า...
รุ้งพรายเฝ้าจินตนาการถึงเรื่องสนุกต่าง ๆ ในอนาคตอันใกล้ด้วยรอยยิ้ม แม้จะยังหนักใจอยู่บ้าง เกี่ยวกับสมาชิกอีกราย ที่แสนจะหัวแข็ง และไม่ยอมเปิดใจให้มนุษย์คนไหนอีกเลย นับตั้งแต่จอมเดชเจ้าของคนเก่าตายไป
--- TBC ---
มาต่อตอนที่สองแล้วค่า อย่าเพิ่งกลัวผีกันก่อนนะคะ ยังย้ำนะคะ ว่าผี ๆ ในบ้านนี้น่ารักกันทุกคนเลยค่า หุ ๆ (แต่เปิดตัวสำหรับบางคนอาจจะหลอนไปสักนิดล่ะนะ) ป.ล. ตอนแรกข้อความมันไปกองด้านขวา แก้ไปแก้มา ถึงได้รู้ว่า "หัวข้อกระทู้" มันยาวไป-- ต้องตัดสั้น เล้าอาจจะเปลี่ยนระบบอะไรสักอย่างทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น เผื่อใครไม่รู้ก็แนะนำให้ลองแก้หัวข้อให้สั้น ๆ แล้วกันค่ะ หรือไม่ต้องแก้อะไรก็ได้ เพราะเดี๋ยวทางเล้าคงปรับให้เองล่ะมั้งคะ เพราะเมื่อวานยังไม่เป็นเลยนี่นะ ^ ^