แปะใหม่นะคะ คราวก่อนที่แปะไปมันหายไปแล้ว
================
สืบเสน่หา
ตอนที่ 11
งานในวันนี้เป็นงานใหญ่งานหนึ่งทีเดียว ธนัทสมกับเป็นนักออกแบบเสื้อผ้า และจัดงานแสดงเดินแบบมืออาชีพนัก เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็สามารถหางานแสดงที่น่าสนใจ แถมยังสามารถเปลี่ยนคนเดินแบบให้เป็นเจมส์ได้ไม่ยากเย็น โดยเขาบอกว่าคนจัดเองก็เป็นเพื่อนกับพ่อเขาเช่นกัน
งานเหมือนจะราบรื่น แต่กลับมีคนหนึ่ง ที่ยังคงหน้ามุ่ย
“น่า พี่วินต์คะ แค่เดินแบบคู่พี่เจมส์แค่นี้เอง” เด็กสาวพยายามตะล่อม
“ทำไมต้องเป็นพี่ด้วยเล่า” เสียงผู้กองหนุ่มค้านอย่างไม่พอใจนัก “ที่สำคัญ ทำไมต้องแต่งชุดผู้หญิงด้วย”
“ก็ผู้หญิงจะเข้าใกล้เป้าหมายได้ง่ายกว่านี่คะ แถมเขาก็เคยเห็นหน้าพี่แล้วด้วย ปลอมตัวแบบนี้น่าจะดีกว่า เราจะวางยาเขานะ อีตาอดีต ส.ส. นั่น ก็มีบอดี้การ์ดเพียบ ถ้าเข้าใกล้ในสภาพผู้ชาย คงยุ่งยากน่าดู”
“แล้วทำไมต้องพี่ล่ะ”
“ก็คนที่แต่งหญิงรอด คงมีแต่พี่แหละค่ะ หรือพี่จะให้ปรางไปแทนล่ะ” ปรางทิพย์ยกไม้ตายขึ้นขู่
ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม “ไม่ได้เด็ดขาดนะ” ว่าพลางมองคนที่เหลือ ก่อนยอมจำนนจนได้ “ก็ได้ ๆ พี่ไปเองก็ได้ จะให้ทำอะไรบ้างก็บอกมา แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าเดินแบบอะไรนั่น พี่ทำไม่เป็นหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่นัทเขามืออาชีพพอ คงจะช่วยพี่ได้ มาเถอะค่ะ เราต้องซ้อมแล้วก็แต่งตัวกันอีกพักใหญ่ เดี๋ยวจะไม่ทันงานพอดี”
งานในวันนี้เป็นงานหรูสมกับที่ธนัทบอกว่าสามารถเชิญท่านอดีต ส.ส. มาร่วมงานได้ไม่อายใคร ห้องโถงใหญ่นั้นเช่าในโรงแรมมีชื่อ ไหนจะยังนายแบบนางแบบที่เป็นที่รู้จักคุ้นหน้ากันในวงการ ว่าค่าตัวแต่ละคนล้วนไม่น้อย
เวลาใกล้ต้องเดินแบบเริ่มมาถึง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นชุดเปิดตัวชุดแรก ๆ แต่เสื้อผ้าหน้าผมก็อลังการไม่แพ้กัน นางแบบนายแบบหลายคนลอบมองมาแกมอิจฉา เพราะคนทั้งคู่นั้นดูโดดเด่นเสียยิ่งกว่าคู่หลักของงานเสียด้วยซ้ำ
ดนตรียังบรรเลงไปเรื่อย ๆ เป็นจังหวะคลาสสิก เนื่องจากงานนั้นเป็นคอนเซปย้อนยุคแบบฝรั่ง ชุดที่สวมใส่จึงเป็นแนวยุโรปโบราณที่ดูเท่ไม่เบา เจมส์ที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าด้านหลังแคทวอล์ค เพื่อเตรียมพร้อมจะออกเดิน หันมายิ้มให้สุภาพสตรีที่ยืนเขินอยู่ด้านข้างอย่างขบขัน
หมอผีหนุ่มในตอนนี้ไม่ได้มีมาดหมอผีอีก แต่กลับเป็นมาดนายแบบเต็มตัว นี่ไม่ใช่งานแรกของเขา ดังนั้นจึงไม่มีท่าตื่นเวทีแม้แต่น้อยนิด ชายหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีดำเล่นลูกเล่นเป็นตัวปักเงินตามตัวปกดูหรูหรา เมื่อรวมกับหน้ากากสีดำสนิทที่ส่วนดวงตาติดลายขอบสลักเงินวาวรับผมสีทองประกายกับใบหน้าอันคมสัน ยิ่งดูเท่ราวจอมโจรในภาพยนตร์เสียจนหลายคนมองแทบเคลิ้ม แม้หน้ากากจะปิดบังบางส่วนของใบหน้าไป แต่นัยน์ตาสีสวยอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา กลับเป็นประกายเด่นชัด พอใบหน้านั้นหันมาแย้มยิ้ม คนมองก็เผลอใจเต้น
“แต่งแบบนี้ก็เท่ดีนะ” ปวินต์พึมพำเบา ๆ แต่อีกฝ่ายที่หูดีเสียเหลือเกิน ก็ยังคงได้ยิน
เจมส์มองกลับมายังคนตัวบางด้านข้าง ที่อยู่ในชุดกระโปรงตัวยาว เอวแคบที่ถูกรัดไว้ด้วยคอเซท ยิ่งทำให้แคบระหงขึ้นอีก ไหนจะตัวเสริมตัวดันที่หน้าอกจนดูอวบอิ่มแนบเนียน ขนาดคนใส่เองยังรู้สึกเขินตัวเองเสียด้วยซ้ำ ผมซึ่งเป็นวิกยาวเปิดหน้าผาก รวบปักดอกไม้สีอ่อนไว้ด้านหลัง เน้นใบหน้านวลให้กระจ่างชัด ดวงตากลมรับขนตายาว ริมฝีปากอิ่ม งดงามขึ้นผิดหูผิดตาจากการแต่งหน้าโดยช่างมืออาชีพ ทำให้ไม่ว่ามองมุมไหน อีกฝ่ายก็ไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด แถมยังเหมือนเจ้าหญิงตัวจริงขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
ใบหน้าชายหนุ่มที่ยิ้มกว้าง เล่นเอาคนพูดแอบใจเต้น เจมส์พูดกับผู้กองหนุ่มด้วยเสียงกระซิบ
“ใครชมผมก็ไม่ปลื้มเท่าคุณชมนะครับเนี่ย แต่ว่า…ผมชักอยากเป็นจอมโจรจริง ๆ เสียแล้ว” ว่าพลางดึงมือของอีกฝ่ายที่ใส่ถุงมือลูกไม้โปร่งบางขึ้นมาจุมพิต “ถ้าผมลักพาตัวคุณในค่ำคืนนี้ คนในงานคงจะอิจฉากันแน่ ๆ”
คนถูกจูบที่หลังมือหน้าแดงฉาน เสมองด้านข้างก่อนพึมพำ “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ใครจะไปอิจฉานายกัน”
“คุณน่ารักมาก…จริง ๆ นะครับ”
“ถูกผู้ชายชม ไม่เห็นน่าดีใจตรงไหน!” ปวินต์บ่นพึมพำ ก่อนก้าวเดินด้วยท่าทางติดจะเงอะงะ “รองเท้านี่ก็ด้วย เดินยากซะจริง ถ้าฉันเดินสะดุดตกแคทวอล์คขึ้นมาจะทำไง”
คนฟังอมยิ้มก่อนพูดว่า “เจ้านัทรู้อยู่แล้วครับ ว่าคุณเดินไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องห่วง”
“หา…?”
ใบหน้าคมยังมีรอยยิ้มขี้เล่น “เพราะตามคอนเซปแล้ว คุณคือเจ้าหญิงที่ผมลักพาตัวมา ดังนั้น…”
ว่าแล้วก็อุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา อย่างง่ายดายเสียจนคนถูกอุ้มหลุดเสียงอุทานอย่างตกใจ
“เจ้าหญิงก็ต้องอยู่ในอ้อมแขนของจอมโจรสิครับ…”
“ปละ…ปล่อยนะ…เจ้าบ้าลามกเนี่ย!”
“ผมอุ้มตามคิวนะครับ…แต่จริง ๆ ผมอยากอุ้มนานกว่านั้นอีก…วันนี้…บางทีอาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เรา…”
นิ้วเรียวของปวินต์แตะที่ริมฝีปากเจมส์ “เลิกพูดแบบนั้นเลย วันนี้งานของเราต้องสำเร็จ เราจะต้องช่วยเคนได้ และจับพวกนั้นเข้าคุกให้หมด”
คนฟังหัวเราะเบา ๆ ก่อนยิ้มให้ “ถ้าอย่างนั้นผมถือว่าวันนี้ เป็นการซ้อมแล้วกัน”
“ซ้อมอะไรของนาย”
“ก็…ซ้อมอุ้มเจ้าสาวของผมเข้าหอน่ะสิครับ” ว่าพลางก้มลงหอมแก้มคนในอ้อมแขน ซึ่งหนียังไงก็ไม่พ้นอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวแทบไม่ติด
“จะ…เจ้าบ้าเจมส์นี่ คนเขามองกันอยู่นะ!!!” คนกำลังอายขู่ฟ่อ มือแตะที่แก้มซึ่งถูกหอมเมื่อครู่ก่อนซุกหลบ ปากก็ยังบ่นพึมพำไม่เลิก จนเจมส์ต้องกระซิบว่า
“ผมจะออกไปด้านหน้าแล้วนะครับ อย่าลืมหันหน้ามายิ้มหวานรับผู้ชมได้แล้ว”
“อ่ะ เดี๋ยวสิ” คนยังทำหน้าไม่ถูกรีบรั้งไว้ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า
“ช้าไม่ได้ครับ ต้องตามกำหนดการ อย่าลืมทำตามแผนด้วยล่ะ โปรยยิ้มหวานให้เป้าหมายเราเยอะ ๆ หน่อยนะครับ ถึงผมจะหึงก็เถอะ!” ประโยคหลังมีแอบบ่น ก่อนชายหนุ่มจะก้าวยาว ๆ ออกไป แสงไฟด้านนอกสว่างเจิดจ้ากว่าด้านหลังเวที แถมยังสาดส่องมาที่พวกเขาโดยเฉพาะ เมื่อสายตาแทบทุกคู่จ้องมองมา คนในอ้อมแขนก็อดประหม่าไม่ได้ หากได้ยินเสียงเจมส์กระซิบว่า
“มั่นหน่อยสิครับผู้กอง”
เสียงแซวแกมหัวเราะหน่อย ๆ ของเจมส์ เล่นเอาเขาของขึ้น
ฮึ กะอีแค่ยิ้มหวาน เพื่อช่วยลูกชายคนสำคัญ มีหรือเขาจะทำไม่ได้!
ร่างในอ้อมแขนขยับตัวขึ้นตรงอย่างมั่นใจกว่าเดิม มือเรียวโอบรอบคอแกร่ง ส่งยิ้มเชิญชวนไปโดยรอบ ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างแคทวอล์คต่างมองมาอย่างลืมตัว โดยเฉพาะชวรัตน์ที่นั่งเป็นประธานในงานรับเชิญนี้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างใกล้จนเห็นตัวแบบได้ชัดเจน ร่างนั้นยิ้มให้อดีต ส.ส. ที่มองมาจนเคลิบเคลิ้มอย่างจงใจ ก่อนรั้งแก้มสากของคนอุ้มมาใกล้ แล้วจุมพิตซ้ำ ท่ามกลางเสียงพึมพำสนอกสนใจของผู้ชมรอบด้านอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน กล้าดีนี่นา” ชวรัตน์ถามธนัทที่เป็นผู้อำนวยการจัดงานนี้แทนบิดาอย่างสนใจ ธนัทอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนบอกว่า “เธอเป็นดาวรุ่งคนใหม่ในวงการนี้ ที่ทางเราเชิญมาเป็นพิเศษ ท่านสนใจอยากจะคุยกับเธอบ้างไหมครับ”
“หืม ดาวรุ่งงั้นหรือ ชื่ออะไรล่ะ”
“รวินต์ ทิพย์อาภา ครับ”
“อืม…ถ้าอย่างนั้นเดินเสร็จ ชวนเธอมาคุยสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
“แต่ท่านครับ…พวกนั้นอาจจะ” บอดี้การ์ดที่ยืนใกล้ ๆ พยายามแย้ง
“ก็แค่ผู้หญิงคนนึง คุยกันนิดเดียวเท่านั้นแหละน่า ส่วนเรื่องสำคัญในคืนนี้ ฉันจะจัดการหลังจากนั้นเอง” ชวรัตน์พูดต่อไปอย่างชำนาญเกม เขาไม่รู้สึกกลัวเจมส์แม้แต่น้อยนิด เด็กรุ่นอ่อนกว่าเขาเกินครึ่งแบบนั้น คิดจะมาจัดการเขา มันยังไวไปอีกหลายสิบปี!
ธนัทฟังอีกฝ่ายแล้วยิ้มหวาน “เธอจะเดินแค่นี้แหละครับ เดี๋ยวผมจะตามให้เอง”
“ดี…มาทั้งที ก็ต้องมาให้คุ้มสิ” เขาว่าพลางหัวเราะอย่างพอใจ
ที่ด้านหลังเวที เจมส์ซึ่งอุ้มร่างบอบบางนั้นไม่ยอมวาง ได้แต่ร้องโอ๊ยเพราะโดนหยิก ก่อนอีกฝ่ายจะกระซิบเครียด “ปล่อยฉันลงได้แล้ว จะอุ้มไปถึงไหนกัน”
“อ้าว…ผมคิดว่าคุณติดใจ อยู่ดี ๆ ก็กล้าหอมแก้มผมกลางงานเสียอย่างนั้น” ชายหนุ่มพูดต่อไปอย่างยิ้ม ๆ
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนั้น เป้าหมายเราจะสนใจงั้นรึ ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นกับนายสักเท่าไหร่หรอกนะ” คนตอบเสียงสะบัด แม้จะมีเขินอายอยู่บ้าง เขาก็รีบใช้เสียงข่มเข้าไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นอาการที่ซ่อนเร้น
เจมส์มองมาพลางพูดต่อไปว่า “ยังไงผมก็ดีใจอยู่ดี ไม่ว่าคุณจะทำเพื่อเหตุผลอะไรก็เถอะครับ แต่สักวัน ผมจะทำให้คุณ อยากทำแบบนั้นกับผม…ด้วยความตั้งใจโดยไม่ได้มีอะไรบังคับให้ทำแบบนี้อีกแน่ ๆ”
“เลิกแจกขนมจีบได้แล้ว เรื่องสำคัญของเราล่ะ ไปถึงไหนแล้ว” ปวินต์ตัดบทเสียงห้วน ก่อนหันมาเห็นธนัท ที่เดินเข้ามาพอดี
“คุณทำได้ดีจนผมชักอยากจ้างเป็นนางแบบถาวรเสียแล้วนะครับเนี่ย” ธนัทว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงที่เบาลง “ปลากินเบ็ดแล้วครับ เขาอยากพบคุณเป็นการส่วนตัว…อย่าลืมนะครับ ตามแผนของเราที่วางไว้”
ปวินต์พยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวเดินอย่างเงอะงะนิดหน่อย เพราะรองเท้าส้นสูงนั้นเดินลำบาก
“ให้ผมอุ้มอีกไหมครับ” เจมส์ขยับเข้าไปกระซิบ ก่อนจะโดนค้อนให้ตามความคาดหมาย
“ฉันเดินเองได้” ผู้กองหนุ่มพยายามตั้งหลักอีกครั้ง อย่างมั่นคงกว่าเดิม แม้กระโปรงจะรุ่มร่ามไปบ้าง แต่ก็ไม่เกินความสามารถของคนมุ่งมั่นจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว ซึ่งลักษณะนี้ของปวินต์นี่เอง ที่ทำให้เจมส์ชื่นชมเสมอมา
“ผมชักจะอิจฉาเป้าหมายของเราอีกแล้วสิเนี่ย…ระวังตัวด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง” หมอผีหนุ่มพึมพำเบา ๆ
คนกำลังเดินไปหยุดหันกลับมามอง ด้วยแววตาที่จริงใจ “อื้ม นายก็ระวังเหมือนกันนะ ยังไงเป้าหมายของมัน ก็ยังคงเป็นนายอยู่ดี”
“ขอบคุณครับ” มือที่จับกันไว้กุมกันแนบแน่น ก่อนเจมส์จะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจากไป
แม้จะมองตามจนลับตาด้วยความเป็นห่วง แต่เพื่อเคน เขาจะต้องทำงานนี้ให้สำเร็จให้ได้!
ร่างบอบบางในชุดยุโรปย้อนยุคราวเจ้าหญิงก้าวเดินอย่างมั่นใจขนาบคู่มากับธนัท ที่เดินนำทางมายังโต๊ะของชวรัตน์ซึ่งนั่งรออยู่ ชายหนุ่มผู้มาส่งยิ้มให้กับคนที่โต๊ะ ก่อนขอตัวอย่างสุภาพแยกออกมาอย่างรู้หน้าที่ หลังแนะนำอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย
ดวงตากรุ้มกริ่มที่จับจ้อง ทำให้ปวินต์เองแอบขนลุก หากในตอนนี้เขาจะถอยไม่ได้ ผู้กองหนุ่มหายใจเข้าลึก ก่อนโปรยยิ้มหวานกลับไป ท้าทายสายตาคู่นั้นอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็เรียกรอยยิ้มให้อีกฝ่ายได้มากพอดู
“ฉันดูเธอบนแคทวอล์คเมื่อกี้ ทำได้น่าประทับใจมาก”
“ขอบคุณค่ะ เป็นเกียรติที่ได้พบนะคะ ท่านชวรัตน์” เสียงดัดดูแหบต่ำไปนิดหน่อย แต่ดวงตากลมโตดำคลับที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเสียจนสวยหยาดเยิ้มนั้นดึงดูดความสนใจไปจนหมด เพียงขยับส่งยิ้มให้นิด ๆ ชวรัตน์ที่มองมาก็หัวเราะชอบใจแล้ว
“เป็นเกียรติมากเช่นกันครับคุณผู้หญิง เชิญ…เชิญนั่งสิครับ” เขาผายมือไปยังเก้าอี้ใกล้ ๆ บอดี้การ์ดด้านหลังขยับจะแย้ง หากถูกสายตาดุ ๆ ถลึงจ้องแกมปรามไม่ให้พูดของผู้เป็นนาย ในที่สุดจึงได้กลับไปประจำที่เดิมโดยไม่กล้าปริปากอีก
มือที่ยื่นมาโอบด้านหลังเล่นเอาคนถูกโอบแอบสะดุ้ง เขาลอบขมวดคิ้วขัดใจ ก่อนตีหน้ายิ้มดังเดิม
เจ้านักการเมืองคนนี้นี่ นอกจากจะเลวแล้วยังลามกอีก ถ้าเขาจับได้คาหนังคาเขาเมื่อไหร่ จะเพิ่มข้อหาลวนลามเจ้าพนักงานให้ดู ชายหนุ่มแอบเขม่นในใจ
ใบหน้ายิ้มแย้มหวานหยดมองมาอีกครั้ง ก่อนพูดขึ้นว่า “ไหน ๆ ก็พบกันแล้ว เรามาดื่มฉลองกันหน่อยดีไหมคะ”
ว่าพลางเงยหน้าขึ้นไปสบสายตากับบริกรสาวในชุดกระโปรงน่ารัก อันเป็นยูนิฟอร์มสำหรับสาวเสิร์ฟในงานนั่นเอง สาวน้อยผู้นั้นสบตาพลางส่งยิ้มให้ ก่อนส่งถาดใส่เครื่องดื่มมาอย่างคล่องแคล่ว
บอดี้การ์ดด้านข้างขยับจะรั้งถาดนั้นไว้อีก ปวินต์มองมายังสาวน้อยอย่างวิตก เพราะเด็กคนนั้นคือปรางทิพย์ น้องสาวของเขา ที่เตี้ยมกันมาก่อนเรื่องเครื่องดื่มเฉพาะสำหรับชวรัตน์นั่นเอง ร่างบอบบางรีบแก้ไขสถานการณ์โดยหันกลับไปยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “แค่เครื่องดื่มแก้วเดียว คงไม่ทำให้ท่านเมาหรอกใช่ไหมคะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่หรอก อย่าสบประมาทกันสิ ของแค่นี้เอง” ชวรัตน์หัวเราะชอบใจ ก่อนเอื้อมมือไปรับแก้วจากมือหญิงสาว ไวน์ชั้นดีสีใสชวนลิ้ม ยิ่งทำให้คนถือยิ้มอย่างพึงใจกว่าเดิม