มาแล้วจ้า
เห็นมีคนแซวว่าต้องรอถึงวันพ่อ 555+++ ไม่นานขนาดนั้นหรอกค่ะ
ใครคิดถึงนิคกายกลับมา
ช่วงนี้เห็นมีเรื่องใหม่เยอะแยะมากมาย น่าอ่านทั้งน้านน แต่อ่านเรื่องอื่นแล้ว อย่าลืมติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะคะ อิอิ
ฝากด้วยนะคะ
-----------------------------------------------
Chapter:33 ต้องห่างกัน(1) คืนนี้... เป็นคืนที่ผมข่มตานอนไม่หลับ แต่คนข้างกายที่ผมคอยห่วงใยหลับไปแล้วด้วยความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ แม้ผมยังคงไม่รู้สาเหตุของเรื่องราว แต่ผมก็ได้ให้สัญญากับตัวเองแล้วว่า ผมจะต้องทำอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้ อย่างน้อยก็เพื่อให้ตัวผมหมดห่วงเสียก่อนที่ผมจะต้องกลับไปเริ่มทำงานอีกครั้ง
กว่าจะกล่อมให้คุณกายหลับได้ก็นาน เพราะเขาเป็นคนที่หลับยากอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องมารบกวนจิตใจแบบนี้ด้วย ก็สมควรแล้วที่เขาคิดจะพึ่งยานอนหลับ
ผมนอนมองใบหน้าที่อิดโรยของคนรักด้วยความไม่สบายใจนัก ยังไงผมก็ยังไม่วางใจที่จะหลับตานอนจนกว่าจะผ่านพ้นคืนนี้ไป อยากจะให้เขาตื่นขึ้นมาโดยเห็นผมอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ไม่อยากให้เขาคิดว่าเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ใจเพียงลำพัง ผมขอแค่ได้เป็นที่พึ่งพิงให้แก่เขาก็พอ
“แม่...” ความคิดสิ้นสุดลงเมื่อคนที่นอนหลับอยู่ละเมอเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทำเอาผมต้องลุกขึ้นมามองดูให้แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด
คนตรงหน้าผมเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ท่าทางของเขาดูกระสับกระส่าย คิ้วเรียวขมวดกันมุ่น เหมือนกับคนกำลังฝันร้าย
“แม่ครับ ผมทำผิดอะไร ผมผิดอะไร...” เสียงเพ้อดังขึ้นจนได้ยินอย่างแน่ชัด มือไม้ของเขาปัดป่ายไปมา เหมือนกับจะปัดป้องตัวเองจากอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
จนเมื่อเห็นน้ำตาค่อยๆไหลจากดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เท่านั้นแหละ ความกระวนกระวายก็ถาโถมเข้ามาหาผมในทันที
ตัดสินใจเขย่าตัวคุณกายให้ตื่นขึ้น แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาใด นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว ผมมองดูด้วยความร้อนใจและตกใจ ไม่อยากจะคิดเลยว่า คุณกายกำลังฝันถึงอะไร? แต่มันคงจะเป็นสิ่งที่ปวดร้าวอย่างมากจากจิตใต้สำนึกของเขา
“คุณกาย คุณกายครับ ตื่นเถอะ!” ผมร้องเรียกพร้อมกับเขย่าตัวอีกฝ่ายไปด้วย
“คุณกาย... คุณกายครับ คุณกาย!”
ผมเริ่มใจไม่ดี เมื่อปลุกเรียกคนตรงหน้าเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมตื่น จนผมนึกกลัวว่าเขาจะไม่ตื่นขึ้นมาหาผมอีก ท่าทางของเขาราวกับคนที่เดินวนเวียนในโลกอีกใบที่หาทางออกไม่พบ สีหน้าของเขาดูทุกข์ทรมานมาก จนผมทนดูต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“คุณกาย!” ผมตะโกนเสียงดังขึ้น ทั้งเขย่าร่างกายเขาแรงขึ้น จนในที่สุดคนตรงหน้าก็ลืมตาโพล่งมองหน้าผม
ในตอนนั้นความตื่นตกใจกับท่าทีของเขาสิ้นสุดลงพร้อมกับความปลอดโปร่งใจที่ตามมา จนต้องดึงตัวเขาเข้ามากอดไว้แน่เพื่อเรียกขวัญที่หายไปของตนเองกลับคืนมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คุณ... ฝันร้ายเหรอครับ ผมตกใจแทบแย่...”
คนในอ้อมกอดผมไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่หายใจหอบกระชั้นถี่ เหมือนกับคนที่ยังตื่นกลัวจากการฝันร้าย จนผมต้องลูบแผ่นหลังที่เปียกชุ่มนั้นเบาๆเพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง
“นิค... ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ปล่อยเถอะ...” คุณกายบอกเสียงเบา ผมได้แต่ปล่อยเขาออกจากอ้อมแขน แต่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยจะวางใจนัก
คุณกายลุกจากเตียงถอดเสื้อผ้าที่ชื้นเหงื่อออก ก่อนจะหันมาบอกผมให้นอนต่อไม่ต้องรอเขา ส่วนเขาจะไปอาบน้ำ
ผมมองตามการกระทำทุกอย่างของเขาจนกระทั่งประตูห้องน้ำปิดลงบดบังสายตาผมจากตัวเขา ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
จะให้นอนต่ออย่างที่เขาบอกคงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมเองก็นอนไม่หลับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เหลือบเห็นโทรศัพท์มือถือคุณกายบนโต๊ะหัวเตียง เลยหยิบขึ้นมาดูเวลา
ตีห้าสามสิบสองนาที... อีกไม่นานก็เช้าแล้ว...
หน้าจอมือถือโชว์สายที่ไม่ได้รับสามสาย ผมเปิดดู เห็นชื่อคนโทรมา ความคิดหนึ่งก็ผ่านวูบเข้ามาในสมองทันที
จะเป็นอะไรไหมนะ ถ้าผมตกลงใจจะทำอะไรบางอย่าง....
.
.
.
นี่เป็นเช้าที่เท่าไหร่แล้วนะ ที่ผมได้มาอยู่ร่วมกับคนที่ผมแสนรักคนนี้ ทุกๆวันที่ได้อยู่กับเขา นับเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับผม และอยากจะให้มันคงอยู่แบบนี้ร่ำไป
หากแต่สถานการณ์รอบข้างที่เปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา กลับทำให้ผมและคุณกาย ไม่สามารถจะหยุดเวลาแห่งความสุขของเราเอาไว้ได้ตามใจนึก พวกเรายังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ต่อไป เพียงเพื่อให้มีปัจจัยสำคัญในการดำรงอยู่ ถ้าเราหันหลังให้กับสิ่งรอบข้างโดยไม่ต้องแคร์อะไรได้จริงๆ วันนั้นก็คงเป็นวันที่ว่างเปล่าที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะนึกได้
หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ผมไม่ทราบสาเหตุ ท่าทางของคุณกายไม่ได้ดูดีขึ้นและไม่ได้ดูแย่ลง เหมือนกับว่าเขาพยายามจะแสดงให้ผมเห็นว่าเขาปกติดี ซึ่งสำหรับผมที่เป็นคนรักของเขาแล้ว ทำไมผมจะมองไม่ออก ว่าเขาได้แสร้งทำขึ้นมาเพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจเท่านั้น
แต่เขาไม่รู้หรอกว่า ยิ่งเขาทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมคิดมาก และหนักอึ้งในจิตใจมากกว่าเดิม...
เมื่อทุกอย่างไม่ดีขึ้นแบบนี้ มันทำให้ผมคิดว่า สิ่งที่ผมคิดจะลองทำดู เห็นทีจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว
.
.
.
รถแท็กซี่ที่ผมนั่งมาจอดนิ่งลงหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมจ่ายเงินเสร็จก็ลงจากรถ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อลดความตึงเครียดในใจให้สงบลง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อคิดว่าพอก้าวพ้นประตูร้านเข้าไป ผมจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
บางทีการกระทำของผม ที่หวังว่าจะให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี มันอาจจะเป็น... จากเรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องเลวร้ายกว่าเดิมก็เป็นได้
วินาทีนี้ ผมไม่มั่นใจเอาเสียเลย...
แต่จะทำไงได้ ในเมื่อทำไปแล้ว ก็ถอยหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
ผมยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา หน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกผมว่า อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลานัดแล้ว ผมไม่ได้มาสาย...
เพียงแต่ไม่ทราบว่า คนที่นัดไว้เขาจะมาถึงก่อนหรือผมมาถึงก่อนเท่านั้น...
เข้ามาภายในร้านที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ก็ทำให้รู้สึกใจเย็นลงได้ในนิดหน่อย บรรยากาศในร้านตกแต่งได้อย่างมีรสนิยม ไม่แปลกเลยที่คนที่ผมนัดไว้ จะเป็นคนเลือกสถานที่นัดพูดคุย
พนักงานเดินเข้ามาทักทายผมอย่างมีอัธยาศัย พลอยทำให้บรรยากาศในร้านที่เปิดเพลงฟังสบายๆดูอบอุ่นยิ่งขึ้น ผมบอกกับพนักงานว่านัดคนไว้ก่อนแล้ว
“ใช่เป็นคุณธาราทิพย์รึเปล่าครับ?”
“ครับ ใช่ครับ! หรือเธอมาแล้ว?” ผมเลิกคิ้วถาม รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ผมไม่ได้เป็นคนที่มาถึงก่อน
“ครับ คุณเขาเป็นลูกค้าประจำของเราอยู่แล้วครับ มาดื่มกาแฟที่ร้านเราเป็นปกติทุกวัน เชิญทางนี้เลยครับ...”
บริกรหนุ่มเดินนำผมเข้าไปภายใน ออกทางประตูหลังร้าน ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าร้านกาแฟแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองโซน พ้นประตูมาก็เห็นความร่มรื่นของพันธุ์ไม้สีเขียวนานาพันธุ์ทันที ที่แห่งนี้ตกแต่งเป็นสวนสวยเล็กๆมีโต๊ะไม้หวายจัดอยู่ประมาณสามชุดตามมุมต่างๆภายในสวน
ร่มผ้าใบสีขาวจัดวางไว้ระหว่างโต๊ะกันแสงแดดยามเช้าที่เริ่มส่องแสงเจิดจ้าขึ้น เห็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกว่าเทียบกับข้างในร้านที่ติดแอร์เย็นฉ่ำแล้วที่นี่ให้บรรยากาศที่น่านั่งกว่าเป็นไหนๆ
ผมลองแอบถามพนักงานที่นำทางผม ว่าคนที่ผมนัดไว้เขามาถึงนานแล้วรึยัง? คำตอบที่ได้รับทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะคนที่นั่งคอยผมอยู่เพิ่งจะมาก่อนผมได้ไม่ถึงสิบนาทีเอง
“สวัสดีครับพี่ทิพย์” ผมกล่าวทักทายขึ้นก่อนเมื่อเดินถึงโต๊ะ
หญิงสาวยิ้มรับพร้อมกับเอ่ยเชิญชวนให้ผมนั่งลง บริกรคนเดิมยื่นเมนูให้ผมสั่งเครื่องดื่มกับขนมของทางร้าน
“เอสเปรสโซ่ครับ… พี่ทิพย์ล่ะครับ?”
“พี่สั่งของพี่เรียบร้อยแล้วจ้ะ เดี๋ยวคงมา”
“ครับ... เท่านี้แหละครับน้อง” พนักงานค้อมศีรษะให้ก่อนจะเดินหายเข้าไปภายในร้าน
เมื่อเหลือแค่เราสองคนนั่งอยู่ตามลำพัง ความรู้สึกประหม่าก็เริ่มเข้าครอบงำผมขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะพูดคุยกับเธอถึงเรื่องสำคัญให้กระจ่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามจากตรงไหนก่อนดี
ใช่แล้วครับ... เรื่องที่ผมลองตัดสินใจทำดูก็คือการขอพบกับพี่สาวของคุณกายตามลำพังนี่เอง...
ในวันที่เกิดเรื่องนั้น ผมดูโทรศัพท์มือถือของคุณกายแล้วเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นชื่อพี่สาวของคุณกาย นั่นทำให้ผมจุดประกายความหวังขึ้นมา ผมจึงเมมเบอร์มือถือของเธอไว้ แล้วตัดสินใจอยู่นานกว่าจะโทรไปหาเธอ เพื่อขอนัดคุยด้วยเป็นการส่วนตัวในเช้าวันนี้
จุดประสงค์ของผมก็เพื่อถามพี่สาวคุณกาย ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนรักของผมเท่านั้น ในเมื่อคุณกายไม่ยอมบอกอะไร แถมท่าทางอาการก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นอย่างปากพูด ผมถึงได้ตัดสินใจถามคนต้นเหตุอีกคน ที่ดูเหมือนจะทราบเรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดีคนนี้
มันอาจจะดูเป็นการละลาบละล้วงเรื่องในครอบครัวของเขา แต่ผมก็ทนไม่ได้ที่ยังเห็นคุณกายเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ต้องบินกลับไปทำงานของผมต่อแล้ว
ถ้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ ผมก็คงทำงานได้อย่างไม่เป็นสุข เพราะยังไม่หมดห่วงเรื่องของเขา อย่างน้อยก็ขอให้ได้รู้ต้นสายปลายเหตุสักหน่อย ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
อยากจะให้ฐานะแฟนของผม มีส่วนช่วยอะไรได้บ้าง อย่างน้อยก็สามารถพูดให้กำลังใจคนรักได้ถูกจุด...
รอจนกาแฟมาเสริฟ์ที่โต๊ะแล้ว แต่บทสนทนาระหว่างผมกับเธอก็ยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเธอที่มองผมอย่างสำรวจสร้างความกระอักกระอวนแก่ผมเป็นอย่างมาก จนไม่รู้จะเริ่มพูดกับเธออย่างไรดี
ความจริงผมเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงนะ แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน กลัวว่าถ้าถามอะไรออกไปที่เกี่ยวกับน้องชายของเธอ เรื่องที่ผมคบกับน้องชายเธอจะแดงขึ้นมา แล้วพลอยทำให้คุณกายของผมเดือดร้อน
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคุณกายรู้จะเกิดอะไรขึ้น!
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเขาไม่บอกอะไรผม ก็มีแต่ผมต้องเป็นฝ่ายมาถามจากพี่สาวของเขาแทน
ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนั้น ก็เอาไว้แก้ปัญหากันในภายหลังก็แล้วกัน
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยกแก้วเอสเปรสโซที่หอมกรุ่มขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คือว่า...”
“ตกลงเธอเป็นอะไรกับน้องชายพี่กันแน่?”
ผมสะอึกคำพูดที่เตรียมไว้ลงคอ ลืมตามองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ที่จู่ๆเธอก็สวนคำถามขึ้นมาโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว แถมยังเป็นคำถามที่ตรงเป้าชนิดที่หลบหลีกไม่พ้นเสียอีก เลยได้แต่มองหน้าเธอเงียบๆ
เพราะรู้ว่าเธอคงคาดเดาอะไรได้เองอยู่แล้ว จากการที่ผมโทรนัดพบเธอในวันนี้ อะไรๆจากการกระทำของผม มันฟ้องให้เห็นอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของผมกับคุณกายนั้น คงไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา
“พี่สงสัยตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว พี่เห็นพวกเธอตักกับข้าวให้กันกินก่อนที่จะทักพวกเธอแล้ว มองดูแล้วมันเหมือนเป็นคู่รักมากกว่าเป็นเพื่อนอีกนะ”
นี่เธอสังเกตเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอเนี่ย! คงเป็นเพราะตอนนั้นผมกับคุณกายมากินข้าวกันสองคน ไม่คิดว่าจะเจอกับคนรู้จัก เลยไม่ทันได้ระวังตัวเอาไว้ก่อน มัวแต่สนใจกันและกันจนลืมไปเลยว่าคนรอบข้างอาจสังเกตได้จากการแสดงออกของพวกเรา
ไอ้ผมนะไม่เท่าไรหรอก ไม่ถือสาเลยว่าใครจะมามองผมกับคุณกายเป็นอะไรกัน แต่คุณกายนี่สิ... ผมรู้ดีว่าเขายังไม่พร้อมที่จะให้ใครต่อใครมารู้เรื่องระหว่างเรากัน
“ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะคิดไปเอง แต่พอได้รับโทรศัพท์จากเธอ พี่ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เธอนัดพี่มาคุยเรื่องกายในวันนี้ ก็เพราะเป็นห่วงกายใช่ไหม?”
“ครับ...”
“นั่นสินะ... ถ้าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ คงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก” เธอพึมพำออกมาให้ผมได้ยิน ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบบ้าง
ท่าทีของเธอดูเรียบเฉยมากเมื่อรู้เรื่องที่ผมกับคุณกายคบกัน ทำให้ผมอ่านไม่ออกเลยว่า เธอรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้เรื่องนี้
ไม่รู้เลยว่าเธอรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้หรือไม่ได้กันแน่?
ผมไม่ห่วงตัวเองหรอกนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมห่วงคุณกายมากกว่า ในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าผมคนนี้ เป็นพี่สาวแท้ๆของคุณกายนี่นา
บางที... ผมอาจจะผิดตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ ที่ตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้
เฮ้อ... แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ในเมื่อผมเป็นห่วงคุณกายในตอนนี้มากกว่านี่
---------------------------------------------